Professional Documents
Culture Documents
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร
เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร
วันอาทิตย์ที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒
ราชบัณฑิตยสภา
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.
ชาตะ ๒๑ มีนาคม ๒๔๖๑
มตะ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
4 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของราชบัณฑิตยสถานเมื่อครั้งด�ำรงต�ำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสถาน
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
6 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
สัมมนาทางวิชาการ เรื่อง
คลองกระ : ผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ของไทยและโลก
เมื่อวันอังคารที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๒
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 7
การเสวนาทางวิชาการเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ ๒๕๖๑
“ภาษาไทย ภาษาไทยถิ่น อ่าน เขียน พูดไทย อย่างถูกใจและถูกต้อง”
เมื่อวันพุธที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ณ ห้องแคทลียา โรงแรมรามาการ์เดนส์ กรุงเทพฯ
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
10 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ศึกษาดูงานแหล่งโบราณคดีและประวัติศาสตร์
ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
และแลกเปลี่ยนความรู้ วัฒนธรรม และเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างราชบัณฑิตยสถาน
กับมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ ถึงวันจันทร์ที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 11
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
12 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
การสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง
สุโขทัยศึกษาและล้านนาศึกษา
เมื่อวันพุธที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ณ โรงแรมรอยัลปริ๊นเซส ถนนหลานหลวง
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 15
ถ่ายภาพร่วมกับคณะกรรมการวิชาการของส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภา
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 17
ประวัติการท�ำงานที่ส�ำคัญ
๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ เลขาธิการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ ศาสตราจารย์ประจ�ำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๗ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ เลขาธิการและรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ รักษาการในต�ำแหน่งปลัดทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ
และเป็นผู้ใช้อ�ำนาจของรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย
ของรัฐจนกระทั่งมีรัฐมนตรีว่าการทบวงฯ
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
18 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ต�ำแหน่งหน้าที่ที่ส�ำคัญในอดีต
- ปลัดทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ
- สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
- กรรมการบริหารในคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 19
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
- มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
- มหาวชิรมงกุฎ
- ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
- ทุติยดิเรกคุณาภรณ์
- เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา
เกียรติยศหรือรางวัลที่ได้รับ
- รางวัลที่ ๑ ในการประกวดร้อยกรอง ประเภทกลอนหก ชื่อ “อุทกเทวี” พ.ศ. ๒๔๘๖
- รางวัลที่ ๑ ในการประกวดร้อยกรอง ประเภทกลอนหก ชื่อ “เชื่อผู้น�ำ” พ.ศ. ๒๔๘๗
- รับพระราชทานรางวัลแผ่นเสียงทองค�ำ ร่วมกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า
จักรพันธ์เพ็ญศิริ ในผลงานการประพันธ์ค�ำร้องเพลง “ฝากรัก” พ.ศ. ๒๕๐๙
- สมาชิกสมาคม ฟาย กาป้า ฟาย ในฐานะที่เรียนดี
- สมาชิกสมาคม ซิกม่า ซาย ในฐานะที่เป็นนักวิจัยดีเด่น
- รับโล่ Distinguished Alumnus จากมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์
- นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจ�ำปี ๒๕๓๑ ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี
จากส�ำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
20 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ด้วยเคารพ-รักและอาลัย
แด่
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ราชบัณฑิต
ศาสตราจารย์พิเศษจ�ำนงค์ ทองประเสริฐ
ราชบัณฑิต ส�ำนักธรรมศาสตร์และการเมือง
๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๒
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
30 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
คุรุบูชาแด่ “ครูผู้ประเสริฐ”
“ข้าพเจ้าเห็นว่าคนไทยต้องอ่านจารึกให้ได้
ถ้าไม่มีคนไทยคนอื่นอ่านได้ ข้าพเจ้าจะต้องอ่านให้ได้เอง”
ข้อความข้างต้นเป็นปณิธานในการศึกษาจารึกของศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ราชบัณฑิต
ส�ำนักธรรมศาสตร์และการเมือง อดีตนายกราชบัณฑิตยสถาน ผูเ้ ป็นเมธีทางด้านการอ่านจารึกและเอกสาร
โบราณของประเทศไทย
ก่อนที่ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร จะสนใจศึกษาจารึกอย่างจริงจังนั้น ท่านมีความรอบรู้
และเชี่ยวชาญในศาสตร์หลายแขนง ทั้งวิชาที่ท่านศึกษาจากสถาบันการศึกษาได้แก่วิชาสถิติและวิชา
กฎหมาย รวมทัง้ วิชาทีท่ า่ นสนใจเป็นพิเศษทีไ่ ด้ศกึ ษาค้นคว้า เรียนรูก้ บั ครูเฉพาะทาง และฝึกฝนด้วยตนเอง
อย่างจริงจังนั้นมีหลายวิชา วิชาแรกเป็นวิชาด้านอักษรโบราณ ภาษาและวรรณกรรมล้านนา โดยที่ท่าน
เกิดที่จังหวัดแพร่ มีความรู้ในภาษาไทยถิ่นเหนือเป็นทุนอยู่แล้วจึงท�ำให้ท่านสนใจที่จะศึกษาโคลงนิราศ
หริภญ
ุ ชัย ตัง้ แต่เมือ่ พ.ศ. ๒๔๘๖ และก่อนทีจ่ ะปริวรรตโคลงนิราศหริภญ ุ ชัย ท่านต้องศึกษาอักษรโบราณ
ของล้านนา ๒ ชนิดที่ใช้เขียนโคลงดังกล่าวก่อนคือ อักษรธรรมล้านนาและอักษรที่พัฒนาไปจากอักษร
ฝักขาม ซึ่งท่านเรียกว่า “อักษรขอมไทย” เมื่อปริวรรตค�ำในโคลงนิราศหริภุญชัยมาเป็นค�ำไทยปัจจุบันและ
แบ่งวรรคตอนให้ถกู ต้องตามฉันทลักษณ์ของโคลงเสร็จแล้ว ท่านได้วเิ คราะห์คำ� ศัพท์และเขียนค�ำแปลโคลง
แต่ละบทซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาของโคลงได้เป็นอย่างดี หนังสือโคลงนิราศหริภุญชัยนี้ได้พิมพ์
เผยแพร่มาแล้วถึง ๔ ครั้ง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๓-๒๕๔๖ นอกจากนี้ ท่านยังได้ศึกษาวิชาภาษาศาสตร์ ภาษาถิ่น
ตระกูลไท อักษรไทในต่างประเทศ ประวัติศาสตร์ และวิชาโหราศาสตร์อีกด้วย ซึ่งวิชาเหล่านี้ล้วนแล้ว
แต่เป็นประโยชน์ต่อการอ่าน การก�ำหนดอายุจารึก การวิเคราะห์ค�ำศัพท์ การแปล การตีความจารึกและ
เอกสารโบราณทั้งสิ้น
ส่วนการอ่านจารึกนั้น ท่านฝึกอ่านด้วยตนเองดังที่ท่านเขียนไว้ในบทความเรื่อง “ศิลาจารึกกับ
ข้าพเจ้า” ว่า ท่านได้ฝึกอ่านจารึกในหนังสือประชุมศิลาจารึกจนสามารถแก้ไขค�ำที่อ่านไว้ผิดได้ โดยอาศัย
ความเข้าใจภาษาไทยมาพิจารณาข้อความ หากตอนใดทีส่ งสัยว่าจะไม่ถูกต้อง ก็ไปสอบทานกับภาพจารึก
ซึ่งก็พบว่าผิดจริง ๆ เช่น ในหนังสือประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๑ มีจารึก ๑๕ หลัก ท่านพบที่ผิดกว่า ๕๐ แห่ง
แต่มีค�ำว่า “ชนก” ในข้อความว่า “อันตนชนกประดิษฐาแต่ก่อน” ในจารึกหลักที่ ๘ จารึกเขาสุมณกูฏ
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 31
รองศาสตราจารย์กรรณิการ์ วิมลเกษม
ภาคีสมาชิก ประเภทวิชาวรรณศิลป์ สาขาวิชาอักษรโบราณ ส�ำนักศิลปกรรม
ประมวลผลงานวิชาการ
ของ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ปาฐกถา
เรื่อง ภาษาถิ่นกับศิลาจารึก
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
36 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ปาฐกถา
เรื่อง ภาษาถิ่นกับศิลาจารึก
โดย
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ราชบัณฑิต
จัดโดย
ส�ำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสถาน
ณ ห้องราชา โรงแรมรัตนโกสินทร์ กรุงเทพมหานคร
วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๔
อธิบายว่า “ไปเที่ยวบ้านไทย กาเล หม่านไต” เทียบตัวต่อตัวจะเป็น คลา เดร่ บ้าน ไทย ค ออกเสียง
เป็น ก ด ออกเสียงเป็น ล บ ออกเสียงเป็น ม และ ท ออกเสียงเป็น ต
ลิลติ ยวนพ่าย บทที่ ๘๙ “เพียงบานทพาธิก ทรงเดช ทีค่ นเคารพไข้ ข่าวขยรร” ประหนึง่ กษัตริย์
ปาณฑพผู้ยิ่งใหญ่ที่คณะเการว ได้ข่าวแล้วหวาดกลัว (ขยั้น) จนเป็นไข้ ท่านผู้แต่งแผลง ก เป็น ค
๒. การกลายเสียงของสระ
สระเสียงเดียว ๙ ตัว อาจจัดแบ่งได้ดังแผนต่อไปนี้
หน้า กลาง หลัง
เปิดปากแคบ อี อือ อู
ปานกลาง เอ เออ โอ
กว้าง แอ ออ
อา
สระหน้าใช้ปลายลิ้นกระดกขึ้นช่วยในตอนเปล่งเสียง สระกลางเรากระดกลิ้นตรงกลางขึ้น
สระหลังเรากระดกโคนลิ้นขึ้น ถ้าเราท�ำเสียง อี ปากเปิดแคบ ถ้าเตรียมออกเสียง อี แต่เปิดปากปานกลาง
เสียงจะเปลี่ยนเป็น เอ และถ้าเปิดปากกว้างเสียงจะเปลี่ยนเป็น แอ สระหน้า อี เอ แอ มักจะแทน
กันได้ เช่น อาเม ในภาษาไทใหญ่ อาจจะตรงกับ อ้าแม่ ของเรา เพดาน มาจากปาลีว่า วิตาน “ไก่ใด
ขันขิ่งน้องวานเฉลย” ขิ่ง อาจจะแปลว่า แข่ง หรือจะแปลว่า กริ่ง คือยังสงสัย ก็ลองพิจารณาดูเอง
สระกลาง อือ เออ อา มักจะใช้แทนกันได้ เช่น ถึง เถิง กึ่ง เกิ่ง
สระหลัง อู โอ ออ มักจะใช้แทนกันได้ เช่น มุ่ง ม่ง สอง โสง แม่น�้ำของ โขง อาจารย์เคย
สอนว่า เป็นเครื่องแผลงสระ แต่ที่จริงไทยเผ่าต่าง ๆ ออกเสียงโดยเปิดปากไม่เท่ากัน เสียงสระจึงผิด
กันไป เช่น ทุ่ง โต้ง ตะวันโอก ตะวันออก
สระ เอีย เป็นเสียงผสม อี + อา คือ เปิดปากแคบออกเสียง อี แล้วเปิดปากกว้างออกเสียง อา
พวกไทใหญ่เปิดปากปานกลางออกเสียง เอ (โปรดดูแผนข้างบนประกอบ เช่น เมีย เป็น เม)
สระ เอือ คือ อือ + อา ไทใหญ่เปิดปากปานกลางออกเสียง เออ เช่น เมือง เป็น เมิง
สระ อัว คือ อู + อา ไทใหญ่ออกเสียงเป็น โอ (โปรดดูแผนประกอบ) เช่น ถั่ว เป็น โถ่ พ่อขุน
น�ำถุม หรือน�ำถมในจารึกหลักที่ ๒ จึงตรงกับ พ่อขุนน�้ำถ้วม (ท่วม) เพื่อน ไทอาหมใช้ ปื้น แปลว่า มี
เสน่ห์ แพง ไทอาหมใช้ ปิง แปลว่า น่ารัก แพง (ล้านนา) แปลว่า รัก เหมือนกัน พระเพื่อนพระแพง
จึงแปลว่า พระผู้มีเสน่ห์และพระผู้น่ารัก นางรื่น นางโรย ไทใหญ่ออกเสียง รวย เป็น โรย ค�ำแปล
นางรื่น นางโรยจึงตรงกันกับ ระรื่นระรวย นั่นเอง
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 39
บัตรค�ำ
เมื่ออ่านวรรณคดีหรือศิลาจารึก ผู้บรรยายจะขีดเส้นใต้ค�ำศัพท์ที่แปลไม่ได้ หรือเป็นค�ำศัพท์ที่มี
อยู่ในภาษาถิ่น เพื่อเตรียมไว้เป็นตัวอย่างอธิบายให้นักศึกษาฟัง ถ้ามีเวลา ควรจะถ่ายทอดค�ำศัพท์เหล่านั้น
ลงในบัตรขนาดเล็ก บัตรละค�ำ คัดประโยคทีพ่ บลงไว้ในบัตรและบอกทีม่ าว่าได้มาจากเรือ่ งใด หน้าใด หรือ
เป็นโคลงบททีเ่ ท่าใด แล้วน�ำบัตรค�ำเหล่านัน้ มาเรียงตามล�ำดับอักษร ค�ำศัพท์คำ� เดียวกันทีพ่ บจากทีต่ า่ ง ๆ
ก็จะไปรวมอยู่กลุ่มเดียวกัน มีประโยคตัวอย่างหลายประโยค ท�ำให้มีทางแปลความหมายได้ถูกต้อง
เช่น ค�ำ บัดแมง พบในมหาชาติค�ำหลวงหน้า ๑๒๑ “ธก็เสด็จเอาอาศนบัดแม่งแห่งต้นไทร” และใน
ศิลาจารึกหลักที่ ๒ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๗๗ “เมื่อรุ่งจึงเสด็จออกอยู่บัดแมงให้คนทั้งหลายเห็น” อีสาน
ใช้ บัดแม้ง แปลว่า ชั่วขณะหนึ่ง
การรวบรวมศัพท์โดยใช้บัตรค�ำนี้ มีข้อควรระวังเกี่ยวกับความหมายที่เปลี่ยนแปลงไปตาม
ยุคสมัย เช่น ค�ำว่า ชีสา แปลว่า แม้ว่า ในยวนพ่ายบทที่ ๑๐๗ และบทที่ ๑๒๑ “ชีสาท่านโอนเอาดีต่อ
ก็ดี คิดใคร่ควักดีผู้เผ่าดี” แม้ว่าท่านทั้งหลายโอนอ่อนท�ำดีต่อ ก็โดยหวังที่จะควักความดีออกมาจาก
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
40 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
การใช้พจนานุกรมภาษาอื่น
เมื่อได้เทียบค�ำในพจนานุกรมภาษาถิ่นว่าตรงกับค�ำใดในภาคกลาง โดยสังเกตพยัญชนะต้นว่า
เป็นอักษรสูง กลาง หรือต�่ำ และเสียงวรรณยุกต์ของภาษาถิ่น ท�ำให้ก�ำหนดได้ว่าตรงกับรูปวรรณยุกต์ใด
ในภาษาภาคกลางแล้ว เราก็จะเริ่มดูค�ำแปลของศัพท์แต่ละค�ำ ถ้าหากความหมายตรงกับค�ำภาคกลาง
หรือเป็นค�ำภาษาถิน่ ทีเ่ ราทราบความหมายอยูแ่ ล้ว เราก็จะอ่านผ่านไป ถ้าค�ำแปลใดผิดแปลกจากทีเ่ คย
ทราบ เราจะขีดเส้นใต้ไว้ เช่น คอน (ไทขาว) เป็นค�ำกริยาแปลว่า จับคอน ซึ่งไม่ปรากฏในภาคกลาง
หากเป็นค�ำที่น่าสนใจ เช่น ก้องข้าว แปลว่า ต�ำข้าว ถ้าเช่นนั้นค�ำ ข้าวกล้อง จะแปลว่า ข้าวต�ำ หรือไม่
เราก็อาจจะเติมดอกจันไว้ดอกหนึ่ง ถ้าหากเป็นค�ำที่เราเคยพบในวรรณคดีหรือจารึกที่ยังแปลไม่ออก
หรือแปลออกแต่ยงั หาหลักฐานไว้อา้ งอิงยังไม่ได้ เราก็อาจเติมเครือ่ งหมายดอกจันไว้สองดอก เช่น ก๊าน
(ค้าน) แปลว่า พังลง โคลงนิราศหริภุญชัยบทที่ ๖๕ “สองตราบมัคคาพัง ค่นค้าน” และมหาชาติ
ค�ำหลวง หน้า ๓๓๘ “คือจะค่นค้านไพรสะเทือน” โค่นค้าน จึงแปลว่า พังทลาย เฟือด แปลว่า กระฉอก
ล้นออก นิราศหริภุญชัย บทที่ ๒๔ “เหราเฟือดพัดฟองคือค่าย งามเอย” คือ แปลว่า คูเมือง อนึ่งค�ำ
ที่ออกเสียงเอือ ของไทไย้ ตรงกับเสียงอา ในไทยภาคกลาง และค�ำที่ออกเสียงอา ของไทไย้ ตรงกับ
เสียงเอือของภาคกลางหลายค�ำ เฟือด จึงตรงกับ ฟาด ผู้บรรยายพยายามหาค�ำภาคกลางที่ตรงกับ
เมือ คือ มา ในล้านนา ซึ่งแปลว่า ไป มา ไม่ได้ บัดนี้จึงทราบว่า เมือ คือ มา นั่นเอง และ เตื้อ (เทื่อ)
ของล้านนาแปลว่า ครั้ง ก็ตรงกับค�ำ ท่า ในกราบงามสามท่า คือ สามครั้ง นั่นเอง
การเทียบพยัญชนะที่แทนที่กันได้
ในตอนต้นได้กล่าวมาแล้วว่า ล ด น ใช้แทนกันได้ ยังมีพยัญชนะอื่นที่ใช้แทนกันได้ เช่น บ
กับ ว บาก – หวาก บ่าย – อว่าย บ�๋ำ – หว�ำ บิ่น – วิ่น บุ๋ม – หวุม เบ้อ – เว่อ เบอะ – เหวอะ
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 41
แบะ – แหวะ โบ๋ – โหว่ ฉะนั้นในนิราศหริภุญชัยบทที่ ๒๖ “อกบ่า บินแฮ” แปลว่า อกหว่า หรือ
ว้าเหว่ แต่ไทขาวใช้ เมืองบ่า แปลว่า เสียงเมือง อกบ่าจะเหมือนกับขวัญหายไปกระมัง หมาว้อ แปล
ว่า หมาบ้า คงจะตรงกับหมาบอ นั่นเอง
ฟ กับ ล ในมังรายศาสตร์ กฎหมายของพระเจ้ามังราย (เม็งราย) มีค�ำ พีก แปลว่า หลีก ท�ำให้
คิดได้ว่า เฟอะ เลอะ เฟือน เลือน เฟะ เละ ฯลฯ ใช้แทนกันได้ โคลงทวาทศมาสบทที่ ๖๓ “พระพรุณ
รายเรื่อยฟ้า เฟ็ดโพยม” เฟ็ดโพยม แปลว่า เล็ดจากฟ้า ท�ำให้นึกถึงพระเจ้าฟ้ารั่ว ยวนพ่ายบทที่ ๔๓
“ลวงแส้งเฟดไฟ่อ้อม เอาชัยเชี่ยวแฮ” เชิงตั้งใจเล็ดลอดออกไปแล้วไล่ล้อมข้าศึก เฟดไฟ่ เท่ากับ เล็ด
ไล่ ค�ำว่า ลวง หมายถึง ทาง (ล้านนา) หรือ เชิง บทที่ ๔๐ ใช้ กล บทที่ ๔๑ ใช้ เชิง บทที่ ๔๒-๔๔
ใช้ ลวง ในความหมายเดียวกันว่า ในทาง ในมหาชาติค�ำหลวงมี “เจ้าฟ้าฟอก ไพชยนต์” เปรียบเทียบ
พระพุทธเจ้าเหมือนพระอินทร์ ฟอก ตรงกับ ลอก ภาษาไทอาหม แปลว่า เนรมิต เจ้าฟ้าฟอกไพชยนต์
คือ พระผู้เนรมิตไพชยนต์ขึ้นมา
สมัยโบราณมีอกั ษรควบกล�ำ้ มากกว่าในปัจจุบนั เช่น ม กับ ล จารึกหลัก ๒ ใช้ฟา้ แมลบ ปัจจุบนั
ภาคกลางใช้ แลบ ล้านนาใช้ แมบ ในท�ำนองเดียวกันนี้ มีค�ำ มลื่น – ลื่น – มื่น มล้าง – ล้าง – ม้าง
เราอาจจะแปล ไม้มลาย ไม่ออกแล้ว แต่ไทยล้านนาใช้ มาย แปลว่า คลายออก ฉะนั้นไม้ม้วนเขียน
ปลายม้วนเข้า ไม้มลายเขียนปลายคลายออกไป ค�ำว่า มลาก แปลว่า ดี เช่น ยินมลาก ฉะนั้นผู้ลาก
มากดี ก็แปลว่า ผู้ดีดีดี นั่นเอง
ล กับ ว เช่น จารึกหลักที่ ๑ หลวัก ปัจจุบนั ภาคกลางใช้ หลักแหลม อีสานและล้านนาใช้ หลวก
แปลว่า ฉลาด ปักษ์ใต้ไม่ใช้ค�ำนี้ แต่ไทยในกลันตันใช้ หลวก เหมือนกัน ในกลันตันยังใช้ค�ำ ผ้าผึ้ง แปล
ว่า ผ้าเช็ดหน้า ยืนยันค�ำในไตรภูมพิ ระร่วงหน้า ๑๒๔ “นางอสันธิมติ ตา” ได้ให้ทานผ้าผึง้ แก่พระปัจเจก
โพธิเจ้า ฉบับแก้ไขใหม่ได้แก้ ผ้าผึ้ง เป็น น�้ำผึ้งไปเสีย แต่ในหน้า ๑๐๑ ยังมีข้อความยืนยันว่า “ได้ถวาย
ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง” (ได้มาจากนายฉันทัส ทองช่วย วิทยานิพนธ์เรื่อง “ภาษาไทยในกลันตัน”
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
ง กับ ว เช่น งว้าย (ล้านนา) แปลว่า วกกลับ งัว และ วัว น่าจะมาจาก งวัว ทางล้านนาเรียก
แมงวัน ว่า แมงงูน วันวานว่า วันงวา โคลงโบราณมีค�ำ ไหง้ว และ ไหงว เช่น ยวนพ่าย บทที่ ๒๖๘
“หาญเราต่อเต่งง้วงไหงวฤา” แปลว่า ทวยหาญของเราจะสู้กับช้างไหวหรือ
ตัวอย่างค�ำภาษาถิ่นในจารึกหลักที่ ๑ และ ๒
จารึกหลักที่ ๑
เตียมแต่ – ตั้งแต่
เกลื่อน – เคลื่อน (ดูยวนพ่ายบทที่ ๘๑ “กลัวกลับเกลื่อนพลอยายอยังออก”)
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
42 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
แพ้ – ชนะ
เพือ่ – เพราะ โคลงประกาศแช่งน�ำ
้ “อย่ากินข้าวเพือ่ ไฟจนตาย” คือกินข้าวแล้วกลายเป็นแกลบ
ไหม้ไฟแต่ปากลงไปจนถึงทวารหนัก
ส้ม – เปรี้ยว
เงือน – เงิน (ชาวน่าน)
ลูท่าง – ยูต้าง – อยู่ช่าง – เป็นการสะดวก
ไพร่ฟ้าหน้าใส – พลเมือง เช่น มหาชาติค�ำหลวงกัณฑ์มหาพล หน้า ๑๖๙ “ไพร่ฟ้าหน้าใส
ชาวเชตุดร ก�ำจัดท้าวจร จากเมืองมานาน” ชาวเมืองโกรธพระเวสสันดร จึงมาขับไล่ คงไม่มาด้วยหน้าตา
แจ่มใสหรือหน้าใสเป็นแน่ พจนานุกรมไทยยวน – ไทย – อังกฤษ ของนายเมธ รัตนประสิทธิ์ แปล
ไพร่ฟ้าหน้าใส ว่า ไพร่ฟ้า แต่น่าเสียดายที่ไม่อ้างที่มาหรือยกตัวอย่างไว้
ล้มตายหายกว่า กว่า – ไป (ไทใหญ่)
เสื้อ – เชื่อ (อีสาน) – เชื้อ พ่อเชื้อเสื้อค�ำเป็นวลีคู่กัน หมายความเท่ากับ พ่อเชื้อหรือพ่อนั่นเอง
เยีย – ยุ้ง ฉาง
หั้น – นั้น
เจ็บท้องข้องใจ – จะแปลว่าเดือดเนื้อร้อนใจ หรือจะแปลตามไทขาว ข้องใจ – ทะเลาะกัน
บ่ไร้ – ไม่ยาก
แลปีแล – เยียปีเยีย – เยปีเย – แต่ละปี
เยียมาบางผึ้ง – และมาบางผึ้ง เยียอาจแปลว่า ท�ำ และ แล้ว หรือจึงก็ได้
เลื้อน – อ่านท�ำนองเสนาะ (ดร.บรรจบ ว่าเป็นภาษาถิ่นของไทในพม่า)
ราม – ปานกลาง จารึกวัดอโสการาม สุโขทัย แปลรามว่ามัชฌิม
ลุกมา – มาจาก
มน – กลม
เที่ยง – มั่นคง สงบสุข (ไทขาว)
อั้น – นั้น เช่น ผีในเขาอั้น
เดือนบ้าง – ข้างแรม (ชาวน่าน)
สูดธรรม – สวดธรรม
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 43
จารึกหลักที่ ๒
รอม – รวม
ตบ – ตลบ ทบ
อีนดู – น่าสงสาร
หลวง – ใหญ่
ตาง – แทน
หนดิน – ทางพื้นดิน
ซ่อย – ช่วย
บ่อยา – ไม่หยุด
บัดหัว บัดไห้ – เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้
ล้อ – เกวียน
ถ่อง – แถว
มล้าง – ล้าง งัด
โคลงประกาศแช่งน�้ำมี “มารเฟียดไทยทศพล ช่วยดู” มหาชาติค�ำหลวงกล่าวถึง พระพุทธเจ้า
ว่ามารพยศน ฉะนั้น มารเฟียด จึงมาจาก มารพยศน์ แปลว่า ผู้ประหารมาร รวมทั้งทศพลก็หมายถึง
พระพุทธเจ้า
ไตรภูมิพระร่วง
เรียนแต่ไกลด้วย สารพิสัย มหาชาติค�ำหลวงแปลค�ำนี้จาก ทูต ในที่นี้หมายถึง ผู้สื่อสาร
ร�ำพึงน้อง ร�ำพึงทราม (ปานกลาง) ร�ำพึงหนักหนา
ตาอันแต่งดู จมูกอันแต่งดม จารึกหลักที่ ๔๕ แต่งตาดู – เฝ้าดู ท�ำหน้าที่ดู
เคียดฟูน – โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
44 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ตัวอย่างค�ำศัพท์จากไทขาว
อ่าว – คิด หรือวาดภาพในใจ เผา (อิฐ)
เบ้ (ฝา) – เป้า (ยิง)
เบ้ (เบี้ยว) – ใบเมล็ด (พนมหมาก พนมเบี้ย)
โบ้น (เบียนบ่อน) หนอนโบ้น – หนอนยุ่บยั่บ
เบิ๋นมุน – จันทร์เพ็ญ
แปกเก่า (แปลกเก่า) – เหมือนเดิม
ก๋อม (ค้อม) – โค้ง กลม ๆ
โก๋ง (กลวง) – ข้างใน
กู้ – เก็บผ้า
กีบ (กลีบ) – ชั้นหนึ่ง
หมากลาง – หมาก
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
46 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
คม้อ – มักว่า
ค้อน – ไม้ตี เอาไม้ค้อนไปยอนหูหมา
คลาลั่นปั่นเฟือน – ไหว
งวง – ช้าง
เงือน – เงิน แต่ไม่ใช่ เงือนขามป้อมตั้งกึ่ง กลางกร ไส้แฮ ซึ่งแปลว่า ประหนึ่ง (เงื่อน) วางมะขามป้อม
ไว้ในมือ
จ้อง – ร่ม
จารีตร – จารึก ต้องจารีตร – สลักจารึก
ชู่ – ทุก
ญญ่าย – ไย่ ๆ ไปอย่างรวดเร็ว
ดวง – ลักษณนามของของที่กลม
ดอกซ้อน – ดอกมะลิ
ดังริแล – ดังรือแล เหตุใดแล
เดือนบ้าง – เดือนแหว่ง ข้างแรม
ตกท่ง – (ศึก) มาประชิดเมือง
ตวง – จนกระทั่ง
ตู – เราทั้งหลายไม่รวมผู้ฟัง
เผือ – เราทั้งสองไม่รวมผู้ฟัง
รา – เราทั้งสองรวมผู้ฟังด้วย
เขือ – ท่านทั้งสอง
ขา – เขาทั้งสอง
เตียมแต่ – ตั้งแต่ (ล้านนา ปักษ์ใต้)
ถ้า ท่า – ครั้ง
เถิง – ถึง
ท่อ – ตี กวาดต้อน
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 51
ท่อ – คู
ทอง – ทองเหลือง ทองแดง
เหมืองฝาย – ท�ำนบชลประทาน
พระธาตุ – เจดีย์
บน – สวรรค์
บเหิง – ไม่นาน
บัวรณมี – บูรณมี วันเพ็ญ
บัดแมง – ชั่วครู่
บั้น – ส่วน ฝ่าย
บิ้ง – (นา) แปลง
บริบวร – บริบูรณ์
ประหญา – ผะหยา ปัญญา
ไป่ – ยังไม่
แผ้ว – ถาง (เผี้ยว – ล้านนา)
พยาธิ – (เป็น) โรค
พระขพุง – เขาสูง มีพระขพุง ผีเทพยดาในเขาอันนั้น ไม่ใช่พระขพุงผี เป็นเพราะแบ่งวรรคผิด
พ่อออก – พ่อแท้ ๆ พ่อของสามี
พ่อท่าน – พระสงฆ์ผู้มีอายุ (ปักษ์ใต้)
พี้ – เพ้ นี้
พู่งช้าง – รบช้าง, ชนช้าง
ฟูก – เสื่อ
เพื่อน – เพื่อนบ้าน มีเสน่ห์ (ไทอาหม) สรรพนามบุรุษที่ ๓
แพ้ – ชนะ
เฟือน – ไหว
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
52 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
มน – กลม
มล ควบ เช่น มลาก ดี ผู้ลากมากดี มล้าง มลาย
มัก – ชอบ
มี่ – นัน ดัง
เมือ – ไป มา
ยั้ง – หยุด
ยา – รักษา
เยีย – ยุ้ง ท�ำ และ (แล)
ลวง – ทาง
ล่ามหมื่น – เจ้าหน้าที่ติดต่อระหว่างเจ้าหมื่นกับเจ้าพัน
ลายสือไทย – ตัวอักษรไทย
ลูท่าง – อยู่ช่าง เป็นการสะดวก
ลุน – หลัง
เลื้อน – อ่านท�ำนองเสนาะ การร้องเพลงโต้ระหว่างชายกับหญิง
แลปีแล – ปีละ
(เมื่อ) แล้ง – (ฤดู) ร้อน
ลุกแต่ – มาจาก
แล่น – วิ่ง (ล้านนา ปักษ์ใต้)
เป็นที่แล้ว – เป็นแดน เป็นที่สิ้นสุด
วัวมอ – ไทยบางเผ่าเรียกวัวว่า มอ
แว่น – กระจก
สทาย – โบก (ปูน) ผสม (ปูน)
ส้ม – เปรี้ยว หมากส้ม – ผลไม้รสเปรี้ยว
สเล็กสน้อย – เล็ก ๆ น้อย ๆ
สาด – เสื่อ
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 53
สุง – เตาไฟ
สู่ – (มา) อยู่ด้วย
สู้ – ยินยอม
หนี – หลีก
ลาง – ขนุน มะพร้าว หมาก
หลวัก – ฉลาด หลักแหลม
หลวง – ใหญ่
หัวนอน – ทิศใต้ (อีสานและปักษ์ใต้)
หัวปาก – ผู้ดูแลไพร่ร้อยคน
หา – หาก ด้วยตนเอง
เหิง – นาน
เหียก – ดีบุก
อด – อดทน
ตวง – จนกระทั่ง
อเนจอนาถ (อนิตยอนาต) – อนิจจัง อนัตตา
อโยธยา – ชื่ออาณาจักรก่อนกรุงแตกครั้งที่ ๑ กรุงแตกแล้วจึงเปลี่ยนเป็นอยุธยา
อร่อย – ดี
ขอม – มาจาก กรอม โกรม คนต่างชาติที่อยู่ทางใต้
ยินวอย – ห่างไกล
ที่ข้อง – ห้องนอน
สังว่า – หากว่า (อาหม สังบ่) สังมิมาน้องแก้ว พี่ชี้ชวนดู
ผ้ง – ก�ำลัง (อีสาน)
เฝือ – ใบไม้
เบ่าอย่า – บ่อย่า แน่นอน
สัพหลี้ – เจ้าเล่ห์
ยั้ง – พัก
ผ่านแผ้ว – วิเศษ
นอนพอย – คนเดียว
ขิ่ง – วอน เวลา
สอนแหน – สอนให้
คลา – จาก
สันแหน – เหมือนดังอธิบาย
กว่าแถ้ง – ไปอีก
กาย – ผ่าน กราย แตะต้อง
ค้าย – ย้าย
ฅ่าว – เรื่องราว นิทาน
คิ่น – กรรมสิทธิ์ แท้
เชิญตีน – ยกตีน
แชง – ระมัดระวัง ส�ำรวม
ถี่ – ชัดแจ้ง
เถียง – ห้างนา กระต๊อบ
ปอง – คิด พยายาม ท�ำ
ปาง – ที่พัก ระหว่างทาง
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
56 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ฝูง – ฝูง ปะ
เฝียด – เก็บ รักษา จัดเข้าที่
ใภ้ – เฝ้า รอ
พ้อย – ท�ำไม ผันแปร
เมี้ยนชาติ – ตาย
ส้าย – ชดใช้ ทดแทน
หาด – ขนาดกลาง
เหง้อ – โง่ เขลา
อ้วนม่อย – อ่อนเพลีย
ออน – ก่อน น�ำหน้า
แหน – ชี้ บอก แสดง
อ้วน – อ่อน
ต่าว – กลับ
ใม – สรรพนามบุรุษที่ ๒
ตอก – เตะ เขก
ต้องถิ่น – สลักหิน
ตู – ตัว (ตัวเนื้อตัวปลา)
ตุ้ง – ถัง (ล้านนา น�้ำทุ่ง)
ตืนจิ่ง – เชิงก�ำแพง (ตีนเชียง)
ฟ้าแดด – ฟ้าแจ่ม
ไฟฟ้า – ไฟที่เกิดจากฟ้าผ่า
เฟม – คว�่ำ (ฟ�่ำ)
ฝัก – ฝ่าย (สองฝักสองฝ่าย)
ฟั้น – หมื่น (พัน?)
ฟูก – เสื่อ
กั้ง – พูด คุย (คลั่งใหล)
ก่าว – ฟ้องร้อง (จักกล่าวถึงขุนบ่ไร้)
แก้ – อธิบาย บรรยาย
แกว – เวียดนาม
ก็อกขรอว – กกหู
ก็อนแขก – อาคันตุกะ (คนแขก)
เกวก – เขก
กวาว – เคล้า
แกว้ – เกี่ยว
กวิ้ง – ล้มกลิ้ง
กือ – มะเขือ
กลับงอว – คราบงู
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
58 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
เกษตรกร
ผู้ที่ประกอบอาชีพหรือผู้ได้รับการฝึกฝนมาในทางเกษตรกรรมเป็นต้นว่า ชาวนา ชาวสวน
คนเลี้ยงไก่ คนเลี้ยงโคนม ฯลฯ เดิมใช้ค�ำว่า กสิกร ปัจจุบันนี้ใช้ทั้งเกษตรกรและกสิกร ในความหมาย
เดียวกัน.
[สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๓ หน้า ๑๕๐๗, ๒๔๙๙-๒๕๐๒]
เกษตรกรรม
การท�ำไร่นาหรือเลี้ยงสัตว์ก็ได้ และอาจจะหมายถึงศิลปะและวิทยาแห่งการเพาะปลูกหรือ
เลี้ยงสัตว์ในไร่นาก็ได้ เดิมใช้ค�ำว่า กสิกรรม มาก่อน ต่อมานิยมใช้ค�ำสองค�ำนี้ในความหมายเดียวกัน และ
บางทีก็ใช้ค�ำว่า เขตรกรรม ด้วย ค�ำนี้ความหมายตรงกับค�ำ Agriculture ในภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะ
ค�ำว่า กสิกรรม ในปัจจุบันนี้เป็นชื่อกรมกรมหนึ่ง ซึ่งมีประวัติและหน้าที่โดยสังเขปดังต่อไปนี้
กรมกสิกรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ กระทรวงเกษตราธิการได้เริ่มตั้งกรมช่างไหมขึ้น และเปลี่ยนชื่อ
เป็นกรมเพาะปลูก ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๕๑ เป็นต้นมา และรวมงานปศุสัตว์เข้าไว้ด้วย ได้จัดตั้ง
สวนทดลองการเพาะปลูก (สถานีกสิกรรม) ขึ้นเป็นแห่งแรก ที่อ�ำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ และจัดท�ำนาทดลองขึ้นที่คลองรังสิตเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ นับเป็นก้าวใหม่ในการคัดพันธุ์
และขยายพันธุ์ข้าวที่ดีที่สุดมาแนะน�ำแก่ราษฎร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ ได้ตั้งสวนทดลองผลไม้ขึ้นที่
คลองบางกอกน้อย ต่อมาได้โอนกรมเพาะปลูกไปสมทบกับกองตรวจพันธุ์รุกขชาติ ตั้งเป็นกรมตรวจ
กสิกรรม สังกัดกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๔
เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นกรมเกษตร สังกัดกระทรวงเศรษฐการ
และเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้รวมกรม ๒ กรมเป็นกรมเกษตรและการประมง สังกัด
กระทรวงเกษตราธิการ ซึ่งแยกออกมาต่างหากจากกระทรวงเศรษฐการ กรมประมงกลับแยกออกไปอีก
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ และได้แยกกองสัตวบาลและกองสัตวรักษ์จากกรมเกษตร ไปตั้งเป็นกรมปศุสัตว์และ
สัตว์พาหนะ ตั้งแต่วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ กรมเกษตรได้เปลี่ยนนามไปเป็นกรมการกสิกรรม
เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ และเปลี่ยนเป็นกรมกสิกรรมเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๗
กรมการข้าวแยกออกไปจากกรมกสิกรรมตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๖
หน้าที่โดยย่อ กรมกสิกรรมมีหน้าที่ท�ำการทดลองค้นคว้าเกี่ยวกับพืชไร่ พืชสวน อันรวมทั้ง ผัก
ไม้ผล ไม้ดอก ไม้ประดับ พืชสวนใหญ่ เช่น ยาง การท�ำไร่นาผสม เรื่องแมลงและโรคพืช การปราบศัตรูพืช
การส�ำรวจดิน การวิเคราะห์ดิน การใช้ปุ๋ย การคัดและขยายพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับท้องถิ่น และท�ำการ
ส่งเสริมพืชต่าง ๆ ออกหนังสือพิมพ์และเอกสารเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการกสิกรรม.
[สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๓ หน้า ๑๕๐๗−๑๕๐๘, ๒๔๙๙−๒๕๐๒]
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
62 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
เกษตรศาสตร์
ศิลปะและวิทยาแห่งการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ในไร่นา ตรงกับความหมายส่วนหนึ่งของค�ำว่า
Agriculture ในภาษาอังกฤษ ค�ำเกษตรศาสตร์นี้ ในปัจจุบันเป็นชื่อของมหาวิทยาลัยและกรม ดังต่อไปนี้
คือ
มหาวิ ท ยาลัย เกษตรศาสตร์ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ก่อสร้างมหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ขนึ้ โดยพระราชบัญญัตมิ หาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พุทธศักราช ๒๔๘๖ เมือ่ วันที่ ๒๑ มกราคม
๒๔๘๖ เพื่อจัดการสอน ค้นคว้าและส่งเสริมวิชาการทางทฤษฎีและปฏิบัติการในสาขาวิชาเกี่ยวเนื่องกับ
เกษตรกรรม โดยรวมวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่บางเขนเข้ากับวิทยาลัยวนศาสตร์ที่จังหวัดแพร่ และมี
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อยู่ที่แม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่
การศึกษาและการปกครอง ในขัน้ มหาวิทยาลัย เดิมได้จดั แบ่งเป็น ๔ คณะ คือ ๑. คณะเกษตรศาสตร์
(ปัจจุบัน-คณะกสิกรรมและสัตวบาล) ๒. คณะวนศาสตร์ ๓. คณะการประมง (ปัจจุบัน-คณะประมง)
๔. คณะสหกรณ์ (ปัจจุบัน-คณะเศรษฐศาสตร์สหกรณ์) และในเดือนธันวาคม ๒๔๙๗ ได้โอนคณะ
สัตวแพทยศาสตร์มาจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ กับมีอ�ำนาจให้ปริญญาส�ำหรับวิชาช่างชลประทาน
โดยให้รวม ร.ร. ช่างชลประทานเข้ามา และก�ำลังอยู่ในระหว่างด�ำเนินการก่อตั้งขึ้นเป็นคณะที่หกใน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิชาทุกประเภทมีหลักสูตร ๓ ปีส�ำหรับอนุปริญญา และ ๕ ปีส�ำหรับปริญญาตรี
เว้นแต่สัตวแพทยศาสตร์ซึ่งได้ขยายหลักสูตรออกเป็น ๖ ปี ส่วนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์นั้น ได้โอนไปขึ้นกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๒
หน้าทีโ่ ดยย่อ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มหี น้าทีจ่ ดั การสอน ค้นคว้าและส่งเสริมวิชาการทางทฤษฎี
และปฏิบัติการในสาขาวิชาเกี่ยวกับการเกษตร เช่น วิชาเกษตรกรรม วิชาการประมง วิชาการสหกรณ์
วิชาวนศาสตร์ วิชาวิศวกรรมชลประทาน และวิชาสัตวแพทย์ เป็นต้น ในการที่จะบ�ำรุงการกสิกรรมของ
ประเทศให้เจริญก้าวหน้าเป็นปึกแผ่นมั่นคง
กรมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ. ๒๔๙๕
ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ ให้ตั้งกรมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ขึ้นเพื่อด�ำเนินการ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
[สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๓ หน้า ๑๕๑๐−๑๕๑๑, ๒๔๙๙−๒๕๐๒]
ปลัด
ต�ำแหน่งรองหัวหน้าของหน่วยงานราชการระดับต่าง ๆ มาแต่โบราณ ดังปรากฏในกฎหมาย
ตราสามดวง ว่าด้วยพระไอยการต�ำแหน่งนาพลเรือน พ.ศ. ๑๙๑๙ ว่ามีตำ� แหน่งปลัดทูลฉลอง ช่วยราชการ
อัคมหาเสนาธิบดี ปลัดบาญชี ปลัดวัง ปลัดเวรมหาดเล็ก ปลัดเวรขอเฝ้า ปลัดกอง ปลัดนายกอง ปลัด
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 63
ส�ำนักงานปลัดส�ำนักนายกรัฐมนตรีมีอ�ำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการประจ�ำทั่วไปของส�ำนักนายก
รัฐมนตรีและราชการที่คณะรัฐมนตรีมิได้ก�ำหนดให้เป็นหน้าที่ของกรมใดกรมหนึ่งในสังกัดส�ำนักนายก
รัฐมนตรีโดยเฉพาะ มีปลัดส�ำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผูบ้ งั คับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบในการปฏิบตั ิ
ราชการของส�ำนักงานปลัดส�ำนักนายกรัฐมนตรี
หน้าทีข่ องปลัดกระทรวง กระทรวงหนึง่ นอกจากมีรฐั มนตรีวา่ การกระทรวงและรัฐมนตรีชว่ ยว่าการ
กระทรวง ให้มีปลัดกระทรวงคนหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมราชการประจ�ำในกระทรวง และก�ำกับ
เร่งรัด ติดตามผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการในกระทรวง และเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ
ในกระทรวงรองจากรัฐมนตรี และจะให้มีรองปลัดกระทรวงหรือผู้ช่วยปลัดกระทรวง หรือมีทั้งรองปลัด
กระทรวง และผู้ช่วยปลัดกระทรวงเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติราชการก็ได้
ส�ำนักงานปลัดกระทรวงมีอำ� นาจหน้าทีเ่ กีย่ วกับราชการประจ�ำทัว่ ไปของกระทรวง และราชการที่
คณะรัฐมนตรีมิได้ก�ำหนดให้เป็นหน้าที่ของกรมใดกรมหนึ่งในสังกัดกระทรวงโดยเฉพาะ มีปลัดกระทรวง
เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของส�ำนักงานปลัดกระทรวง
หน้าที่ของปลัดทบวง ทบวงนอกจากมีรัฐมนตรีว่าการทบวง รัฐมนตรีช่วยว่าการทบวง ให้มีปลัด
ทบวงคนหนึ่ง มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมราชการประจ�ำในทบวง และก�ำกับ เร่งรัด ติดตามผลการปฏิบัติ
ราชการของส่วนราชการในทบวงรองจากรัฐมนตรี และจะให้มีรองปลัดทบวงหรือผู้ช่วยปลัดทบวง หรือมี
ทั้งรองปลัดทบวงและผู้ช่วยปลัดทบวง เป็นผู้ช่วยสั่งหรือปฏิบัติราชการแทนปลัดทบวงก็ได้
ในกรณีที่ปลัดทบวงจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือค�ำสั่งใด หรือมติของคณะ
รัฐมนตรีในเรื่องใด ถ้ากฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือค�ำสั่งนั้น หรือมติของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้นมิได้
กล่าวถึงอ�ำนาจของปลัดทบวงไว้ ให้ปลัดทบวงมีอ�ำนาจหน้าที่ดังเช่นปลัดกระทรวง
ส�ำนักงานปลัดทบวงมีอำ� นาจหน้าทีเ่ กีย่ วกับราชการประจ�ำของทบวง และราชการทีค่ ณะรัฐมนตรี
มิได้ก�ำหนดให้เป็นหน้าที่ของกรมใดกรมหนึ่งในสังกัดทบวงโดยเฉพาะ มีปลัดทบวงเป็นผู้บังคับบัญชา
ข้าราชการ และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของส�ำนักงานปลัดทบวง
ปลัดจังหวัด ในจังหวัดหนึ่ง นอกจากจะมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชา
ข้าราชการและรับผิดชอบงานบริหารราชการของจังหวัด ให้มปี ลัดจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการประจ�ำ
จังหวัดซึ่งกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ส่งมาประจ�ำท�ำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือผู้ว่าราชการจังหวัด และมี
อ�ำนาจบังคับบัญชาข้าราชการบริหารส่วนภูมิภาคซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมนั้น ในจังหวัดนั้น
ในจังหวัดหนึ่ง ให้มีคณะกรรมการจังหวัด เป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหาร
ราชการแผ่นดินในจังหวัดนัน้ คณะกรรมการนีม้ ผี วู้ า่ ราชการจังหวัดเป็นประธาน มีปลัดจังหวัดและหัวหน้า
ส่วนราชการประจ�ำจังหวัดเป็นกรรมการ
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 65
หนังสืออ้างอิง
๑. กฎหมายตราสามดวง กรมศิลปากร.
๒. ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๖ และ ๒๑๘.
๓. พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ (แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว).
๔. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๑๘ (แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว).
๕. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. ๒๕๒๑.
๖. ประชุมกฎหมายประจ�ำศก พ.ศ. ๒๔๑๘.
๗. ราชกิจจานุเบกษา พ.ศ. ๒๔๓๕ และ พ.ศ. ๒๔๗๕ (๒๔ มิถุนายน และ ๑๐ ธันวาคม).
[สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๑๘ หน้า ๑๑๓๘๗–๑๑๓๙๓, ๒๕๒๔–๒๕๒๖]
พระยา ผากอง ๑
กษัตริย์ไทยเมืองน่าน เมืองพลัว (อ�ำเภอปัว) สมัยสุโขทัย พระยาผากอง (ผู้ปู่) ครองเมือง
พ.ศ. ๑๘๖๓–๑๘๙๒ และพระยาผากอง (ผู้หลาน) ครองเมือง พ.ศ. ๑๙๐๔–๑๙๒๙ กรีกโบราณและไทย
สมัยสุโขทัยนิยมน�ำชื่อปู่มาเป็นชื่อหลาน เช่น มหาธรรมราชาผู้ปู่ กับมหาธรรมราชาผู้หลาน และพระเจ้า
ไสยลือไทยเป็นนัดดาของพระเจ้าลือไทย (ลิไทย) แต่ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๑๐ ใช้พระยาผากอง (ผู้ปู่)
ว่าเป็นพระยาผานองไป
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 67
พ่อขุน
ในสมัยสุโขทัยตอนต้น “พ่อขุน” เป็นค�ำขึ้นต้นพระนามพระเจ้าแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรใหญ่
ในขณะที่ “ขุน” เป็นค�ำขึ้นต้นพระนามพระเจ้าแผ่นดินแคว้นเล็ก ๆ ส่วน “พระ” เป็นพระนามเจ้านาย
ที่มีบรรดาศักดิ์สูง ต่อมาในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) พระนามพระเจ้าแผ่นดินจึงเปลี่ยนไป
ขึ้นต้นด้วยค�ำว่า “พญา” หรือ “พระญา” แล้วเปลี่ยนไปเป็น “สมเด็จพระ” หรือ “พระเจ้า” ในสมัยอยุธยา
จนในที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ ต้องเป็น “พระบาทสมเด็จ” จึงจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ค�ำว่า “พ่อขุน” ประกอบไปด้วยค�ำว่า “ขุน” ซึ่งเป็นค�ำเรียกพระนามพระเจ้าแผ่นดินแคว้นเล็ก ๆ
และค�ำว่า “พ่อ” ซึ่งแสดงว่าเป็นหัวหน้าของขุนในแคว้นต่าง ๆ เทียบได้กับค�ำว่า “แม่” ในค�ำ “แม่ทัพ”
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
68 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยในความหมายไทย มาจากค�ำว่า มหา+วิทยะ+อาลัย ซึ่งแปลโดยรูปศัพท์ว่า ที่อยู่ของ
วิชาการหรือความรู้อันยิ่งใหญ่ ความหมายนี้นับว่าตรงกับความหมายของ University ในภาษาอังกฤษ
ซึ่งมีรากศัพท์เดิมจาก Universitas แปลว่า กลุ่มทั้งหมด
ก�ำเนิดของ University มาจากการรวมกลุ่มนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อการเรียนรู้และความ
เจริญงอกงามทางวิชาการ
ในปัจจุบัน มหาวิทยาลัย หมายถึง สถาบันทางวิชาการที่ท�ำหน้าที่จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา
ซึ่งเป็นการศึกษาระดับสูงสุดของประเทศ ต่อจากระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา มหาวิทยาลัย
ประกอบด้วย คณะวิชา สถาบัน ส�ำนัก และศูนย์ ซึ่งมีภารกิจหลักในการผลิตบัณฑิตตั้งแต่ระดับปริญญาตรี
ขึ้นไป และสร้างสรรค์ความเป็นเลิศทางวิชาการ
จุดมุง่ หมายและหน้าทีข่ องมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยในฐานะทีเ่ ป็นสถาบันสังคม ย่อมมีววิ ฒ
ั นาการ
ของจุดมุ่งหมายและบทบาทหน้าที่ไปตามกาลสมัยและสภาพของสังคม จากระยะเริ่มต้นที่เป็นแหล่งรวม
กลุ่มนักวิชาการเพื่อแสวงหาความเรืองปัญญาและการพัฒนาบุคคล ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปครอบคลุม
ถึงการพัฒนาวิชาชีพและก�ำลังคนระดับสูงให้แก่ประเทศ อย่างไรก็ตาม จุดมุ่งหมายของมหาวิทยาลัยที่
กล่าวได้ว่า เป็นสากลและเป็นที่ยอมรับกันมากที่สุด มีอยู่ในขอบข่าย ๓ ประการ คือ
๑. มุ่งบุกเบิก แสวงหา บ�ำรุงรักษา และถ่ายทอดความรู้เพื่อสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าและความ
เป็นเลิศทางวิชาการ
๒. ใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยถือว่ามหาวิทยาลัยเป็นแหล่งวิทยาการชั้นสูง ที่เอื้อ
อ�ำนวยประโยชน์ต่อมนุษยชาติ
๓. ทะนุบ�ำรุงและส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรม
ตามจุดมุง่ หมายดังกล่าว มหาวิทยาลัยในปัจจุบนั จึงได้รบั การก�ำหนดบทบาทให้ทำ� หน้าทีค่ รบถ้วน
ในงานหลัก ๔ ลักษณะ คือ การสอนวิชาการและวิชาชีพเพือ่ สนองความต้องการก�ำลังคนระดับสูงของสังคม
การค้นคว้าวิจัยเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการ การบริการเผยแพร่วิชาการแก่สังคม และการทะนุบ�ำรุง
ศิลปวัฒนธรรม ภารกิจในการผลิตบัณฑิตและการด�ำเนินงานของมหาวิทยาลัย จึงมีลักษณะแตกต่างจาก
สถาบันอุดมศึกษาอืน่ ๆ ในแง่ทตี่ อ้ งครอบคลุมงานทัง้ ๔ ประการดังกล่าวอย่างครบถ้วน ในขณะทีส่ ถาบัน
อุดมศึกษาที่เป็นมหาวิทยาลัยอาจเน้นเฉพาะการสอนและการผลิตบัณฑิต หรือสถาบันวิจัยเน้นการวิจัย
ค้นคว้าทางวิชาการเป็นงานหลักเพียงด้านเดียว
พัฒนาการของแนวความคิดและการจัดตั้งมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยในต่างประเทศ แนวคิดและ
การจัดตั้งส�ำนักศึกษาชั้นสูง ซึ่งเทียบได้กับระดับอุดมศึกษานั้น เริ่มขึ้นจากโลกตะวันตก ตั้งแต่สมัยกรีก
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 71
และโรมันโบราณ เมื่อกว่า ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว คือ อะแคเดมี (Academy) ของพลาโต (Plato) และไลซีอัม
(Lyceum) ของอริสโตเติล (Aristotle) ส�ำนักศึกษาในยุคนั้นมุ่งพัฒนาความเรืองปัญญาและคุณธรรมของ
ผูเ้ รียน จึงเน้นการให้ความรูป้ ระเภทปรัชญาตรรกศาสตร์ ภาษา และกฎหมาย ให้เป็นความรูพ้ นื้ ฐานส�ำหรับ
คนกลุ่มเฉพาะให้เป็นอภิชน (Elite) เพื่อเตรียมท�ำหน้าที่ปกครองประเทศ
ต่อมา ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ซึ่งเป็นมัธยสมัยของยุโรป ได้มีการรวมกลุ่มนักวิชาการผู้ทรง
คุณวุฒิและนักศึกษาเข้าด้วยกันตามเมืองใหญ่ ๆ ในบางประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการศึกษาวิชาที่
สนใจและเห็นประโยชน์ ยุคนั้นจึงนับเป็นการเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยอย่างถาวรในฐานะเป็นศูนย์รวม
ความรู้ ความคิดทางวิชาการ ควบคู่ไปกับการศึกษาเพื่อการประกอบวิชาชีพชั้นสูงด้วย คือ ทางศิลปศาสตร์
กฎหมาย ศาสนา และแพทยศาสตร์
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๒–๒๓ เป็นต้นมา บทบาทของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การค้นคว้าวิจัย
และการใช้เทคโนโลยี ความก้าวหน้าทางวิชาการแขนงต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของชีวิตและสังคมได้เข้าไปมี
ส่วนส�ำคัญในการตั้งจุดมุ่งหมายและการด�ำเนินงานของมหาวิทยาลัย โดยเริ่มขึ้นก่อนที่ประเทศเยอรมนี
และในสมัยต่อมาจนถึงปัจจุบันก็ได้มีการผสมผสานแนวคิดและการด�ำเนินงานของมหาวิทยาลัยให้มี
ลักษณะครอบคลุมงานด้านการสอน การวิจัย บริการ และการทะนุบ�ำรุงศิลปวัฒนธรรมดังที่ได้กล่าวมา
แล้วในตอนต้น อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยแต่ละประเทศก็อาจมีการเน้นเฉพาะลักษณะเด่นบางลักษณะ
ทีแ่ ตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ เน้นการศึกษาระดับปริญญาตรีให้สามารถ
ผลิตบัณฑิตที่ใช้งานได้ดี มหาวิทยาลัยเยอรมัน เน้นการค้นคว้าวิจัย และงานระดับบัณฑิตศึกษา ส่วน
มหาวิทยาลัยอเมริกัน ให้ความส�ำคัญมากต่อการบริการสังคม เป็นต้น
โดยสรุปแล้ว อาจกล่าวได้วา่ แนวคิดและการด�ำเนินงานของมหาวิทยาลัยจากประเทศตะวันตกได้
แพร่หลาย และมีอิทธิพลต่อระบบมหาวิทยาลัยของประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
มหาวิทยาลัยในประเทศไทย ในสมัยโบราณ การศึกษาระดับสูงของคนไทยมีจ�ำกัดเฉพาะคน
กลุ่มน้อย คือ ผู้ชายที่ได้บวชเรียนรับการศึกษาจากวัด ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของสงฆ์ และผู้ที่ได้อยู่กับ
ส�ำนักนักปราชญ์ราชบัณฑิตในวังหรือในครอบครัวของขุนนางชั้นสูง การศึกษาในระยะนั้นเป็นการเน้น
ทางด้านอักษรศาสตร์ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี และการฝึกความเชี่ยวชาญในวิชาชีพบางแขนง
แนวคิดและการจัดตัง้ มหาวิทยาลัยเพิง่ เริม่ ขึน้ เมือ่ ประมาณ ๑๐๐ ปีมานีเ้ อง การพัฒนาการของมหาวิทยาลัย
ไทย อาจแบ่งอธิบายได้เป็น ๕ ช่วงระยะ กล่าวคือ
ช่วงระยะที่ ๑ คือ ช่วงเวลาก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ. ๒๔๗๕) สืบเนื่องจากอิทธิพล
จากแนวคิดทางการศึกษาของตะวันตก และความต้องการก�ำลังคนส�ำหรับรับราชการ จึงได้มีการจัดตั้ง
มหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทยขึน้ เมือ่ พ.ศ. ๒๔๕๙ คือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึง่ เป็นการยกฐานะ
โรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึน้ เป็นมหาวิทยาลัยเพือ่ ให้ผลิตนักวิชาชีพชัน้ สูงเข้ารับราชการ โดยมีคณะวิชา
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
72 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
จ�ำนวนผู้เรียนในมหาวิทยาลัยเปิดมีจ�ำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากจนมีสัดส่วนเป็นประมาณ ๓ ใน ๔ ส่วนของ
จ�ำนวนผู้เรียนในมหาวิทยาลัยไทยทั้งหมด
ในช่วงเวลาดังกล่าว ได้มีการยกฐานะวิทยาลัยต่าง ๆ โดยเฉพาะทางด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา
และทางการศึกษาขึน้ เป็นมหาวิทยาลัยและสถาบันอีกหลายแห่ง ทัง้ ในส่วนกลางและส่วนภูมภิ าค ตัวอย่าง
เช่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
เฉพาะสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น รัฐได้มีนโยบายให้เอกชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาระดับ
อุดมศึกษา จึงมีวิทยาลัยเอกชนเกิดขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ใน พ.ศ. ๒๕๒๘ ก็ได้มีการยกฐานะ
วิทยาลัยเอกชนขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย ๔ แห่งด้วยกัน คือ มหาวิทยาลัยพายัพ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มหาวิทยาลัยเอกชนเปิดการสอนส่วนใหญ่
ในสาขาวิชาบริหารธุรกิจ นิติศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ การพยาบาล วิศวกรรมศาสตร์ และ
โปลีเทคนิค
กล่าวโดยสรุปแล้ว นับว่าการด�ำเนินงานอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัยของประเทศได้มีการขยายตัว
อย่างมากและรวดเร็วในช่วง ๒ ทศวรรษที่ผ่านมา ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีมหาวิทยาลัยและสถาบัน
ในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ๑๘ แห่ง โดยเป็นของรัฐ ๑๔ แห่ง และของเอกชน ๔ แห่ง ทัง้ นีไ้ ม่รวมถึงสถาน
ศึกษาระดับวิทยาลัยและสถาบันเฉพาะทางในสังกัดหน่วยงานอื่น ๆ อีกเป็นจ�ำนวนมาก
รูปแบบการบริหารงานมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ในช่วงเวลาก่อน พ.ศ. ๒๕๐๐ สถาบัน
อุดมศึกษามีสังกัดอยู่ในกระทรวง กรม และหน่วยงานต่าง ๆ หลายหน่วยงาน ต่อมา ด้วยการตระหนักถึง
ความส�ำคัญและความจ�ำเป็นทีจ่ ะต้องมีหน่วยประสานงานระดับชาติขนึ้ จึงได้มกี ารจัดตัง้ สภามหาวิทยาลัย
ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ ให้มีหน้าที่ดูแลจัดการและควบคุมการศึกษาระดับนี้ให้มีมาตรฐานระดับเดียวกัน
และให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ต่อมา หน่วยงานนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น
สภาการศึกษาแห่งชาติ และเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ ก็ได้กลายเป็นส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
ท�ำหน้าที่วางนโยบายการศึกษาระดับชาติ
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ มีการก่อตั้งทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐขึ้น ท�ำหน้าที่เป็นเจ้าสังกัด ดูแลรับผิดชอบ
มหาวิทยาลัยและสถาบันของรัฐโดยตรง ต่อมา ได้รวมมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยเอกชนด้วย จึงเปลีย่ นชือ่
เป็นทบวงมหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐
การบริหารงานภายในมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งนั้น ก็มีการด�ำเนินงานภายใต้พระราชบัญญัติของ
แต่ละมหาวิทยาลัย โดยมีสภามหาวิทยาลัย อธิการบดี คณบดี ผูอ้ ำ� นวยการสถาบันหรือส�ำนักศูนย์ หัวหน้า
ภาควิชา เป็นผู้บริหารงานในระดับต่าง ๆ ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายและรูปแบบที่ก�ำหนดไว้ในพระราช
บัญญัติการจัดระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัยไทยโดยทั่วไป มีลักษณะเป็นรูปแบบสากลคล้ายคลึงกับ
มหาวิทยาลัยในต่างประเทศ คือ การใช้ระบบปีการศึกษาเป็นแบบทวิภาค (semester) หรือไตรภาค
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
74 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
๔. ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, รายงานการวิจัยเรื่องระบบอุดมศึกษาไทย.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ส�ำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ๒๕๒๒.
๕. ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, รายงานการประเมินสภาพการจัดการศึกษาและ
ประเมินผลแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๒๕–๒๕๒๙) ระดับอุดมศึกษา. ส�ำนัก
นายกรัฐมนตรี, ๒๕๒๘.
๖. Chonhenchob, Arthorn. Private Institutions of Higher Education in Thailand,
Ministry of University Affairs, Bangkok, Thailand, 1984.
๗. Levine, Arthur. Handbook on undergraduate curriculum, San Francisco: Jossey–
Bass Publishers, 1979.
๘. Malakul, Prasarn. Higher education expansion in Thailand : Process, problems
and prospects. A paper presented at the International Seminar on Asian Higher
Education, Hiroshima, Japan, 26 January–February, 1985.
[สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๒๒ หน้า ๑๔๓๙๕–๑๔๔๐๔, ๒๕๓๒–๒๕๓๓]
พญาเม็งราย
พญาเม็งราย (พ.ศ. ๑๗๘๒–๑๘๕๔) มีพระนามที่ถูกต้องว่า พญามังราย ทั้งนี้ ปรากฏตามหลักฐาน
ในศิลาจารึก ต�ำนานและเอกสารดั้งเดิมทุกชนิด ยกเว้นพงศาวดารโยนกที่พระยาประชากิจกรจักร
เรียบเรียงขึ้น และเอกสารที่อ้างอิงพงศาวดารโยนกในชั้นหลังซึ่งใช้พระนาม เม็งราย
พญาเม็งรายเป็นกษัตริยไ์ ทยฝ่ายเหนือผูท้ รงรวบรวมอาณาจักรล้านนาขึน้ เป็นปึกแผ่นสมัยเดียวกับ
พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช ผู้ทรงสร้างอาณาจักรสุโขทัยขึ้น
พญาเม็งรายเป็นโอรสของลาวเมงแห่งหิรญ ั นครเงินยางเชียงราวและพระชนนี คือ นางเทพค�ำขยาย
ราชธิดาของท้าวรุ่งแก่นชาย กษัตริย์เมืองเชียงรุ่ง สิบสองพันนา
พญาเม็งรายขึ้นเสวยราชย์เป็นกษัตริย์องค์ทึ่ ๒๕ ในหิรัญนครเงินยางเชียงราวเมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๔
ราชวงศ์นี้มีลาวจังกราช หรือลาวจก เป็นปฐมกษัตริย์และขุนเจื๋องเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๑๙ พญาเม็งรายมี
พระประสงค์ที่จะสร้างอาณาจักรใหม่ โดยรวบรวมเมืองที่เป็นอิสระต่าง ๆ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เริ่ม
ทางหัวเมืองฝ่ายเหนือก่อน แล้วจึงขยายลงมาทางหัวเมืองฝ่ายใต้ พระองค์ทรงสร้างเมืองใหม่ขึ้นอีกหลาย
เมือง เช่น ทรงสร้างเมืองเชียงรายเป็นเมืองหลวงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๕ เมืองฝาง พ.ศ. ๑๘๑๖ เมืองชะแว
ทางตะวันออกเฉียงเหนือของล�ำพูน พ.ศ. ๑๘๒๖ เวียงกุมกามในอ�ำเภอเมืองและอ�ำเภอสารภี จังหวัด
เชียงใหม่ พ.ศ. ๑๘๒๙ และเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. ๑๘๓๙ เชียงใหม่มชี อื่ เต็มว่า “นพบุรศี รีนครพิงค์เชียงใหม่”
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
76 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ยามสามตา
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้บทนิยามไว้ว่า “น. ชื่อวิธีจับยามของหมอดู
ใช้นับตามหลัก ๓ หลัก เวียนกันไป” เรื่องยามสามตานี้ เมื่อกล่าวตามต�ำรายามสามตา (ตรีเนตร) ท่าน
ก�ำหนดไว้เป็นสูตรดังนี้
ใส
๑ (อาทิตย์)
แล้วบอกวิธีท�ำนายไว้เป็นกาพย์ ต�ำราฉบับต่อไปนี้มีข้อความสมบูรณ์มากกว่าฉบับอื่นในเรื่อง
เดียวกัน จึงน�ำมาแสดงไว้เพื่อรักษามิให้สูญหายไป แต่ภาษาที่ใช้อ่านเข้าใจได้ยาก จึงได้เรียงความเสียใหม่
เป็นร้อยแก้ว เพื่อให้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น
หลัก ๓ หลักมีดังนี้ เลข ๑ แทนอาทิตย์ อยู่ต�ำแหน่งเดียวกับ ใส เลข ๒ แทนจันทร์ ต�ำแหน่งเดียว
กับ ปลอด และเลข ๓ แทนอังคาร ต�ำแหน่งเดียวกับ ด�ำ
เวลาท�ำนาย ให้นับขึ้นต้นที่อาทิตย์ ถ้าวันที่จับยามเป็นวันข้างขึ้น ให้นับเวียนตามเข็มนาฬิกา
ถ้าวันที่จับยามเป็นวันข้างแรม ให้นับเริ่มต้นที่เลข ๑ หรืออาทิตย์ แล้วเวียนทวนเข็มนาฬิกา ไปที่เลข ๓
หรืออังคาร ต่อไปที่เลข ๒ หรือจันทร์ คือนับเลข ๑-๓-๒-๑-๓-๒ ... ไปจนถึงวันที่จับยาม เช่น ถ้าจับยาม
วันแรม ๕ ค�่ำ นับ ๑ ที่อาทิตย์ นับ ๒ ที่อังคาร นับ ๓ ที่จันทร์ นับ ๔ ที่อาทิตย์ และนับ ๕ ที่อังคาร
แล้วหยุดลงตรงนั้น
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 79
ยูนนาน
ชื่อมณฑลทางภาคใต้ของประเทศจีน มีชนชาติไทยอาศัยอยู่ประมาณ ๗๖๐,๐๐๐ คน ยูนนาน
แปลว่า แดนใต้แห่งเมฆหมอก (ยูน แปลว่า เมฆหมอก และ นาน แปลว่า ใต้) ทั้งนี้เพราะเป็นดินแดนที่
อยู่ทางใต้ของเทือกเขายูนหลิ่ง
ยูนนานมีอาณาเขตทางทิศตะวันออกติดต่อกับมณฑลไกวเจาและมณฑลกวางสี ทิศใต้จดเวียดนาม
และลาว ทิศตะวันตกและทิศตะวันตกเฉียงใต้จดพม่าและทิเบต ทิศเหนือจดมณฑลเสฉวน เมืองหลวง
ของยูนนานชื่อ คุนหมิง
อ�ำเภอต้าหลี่ (ตาลีฟ)ู อยูท่ างทิศตะวันตกของคุนหมิงแต่คอ่ นไปทางเหนือเล็กน้อย ห่างออกไปตาม
ทางรถยนต์ประมาณ ๔๐๐ กม. ต้าหลีเ่ คยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรน่านเจ้าและต่อมาเป็นเมืองหลวง
ของอาณาจักรตาลีฟูเมื่อกว่าพันปีมาแล้ว
แต่เดิมเชื่อกันว่าชาวไทยเป็นผู้สร้างอาณาจักรน่านเจ้า และเมื่อกุบไลข่านพิชิตอาณาจักรนี้แล้ว
ชนชาติไทยจึงอพยพลงมาตั้งกรุงสุโขทัย ในปัจจุบันนี้นักภาษาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อ
กันว่า อาณาจักรน่านเจ้าเป็นของชนชาติไป๋ซึ่งไม่ใช่ชนชาติไทย อนึ่ง เมื่อกุบไลข่านพิชิตอาณาจักรนี้ได้ใน
พ.ศ. ๑๗๙๗ นั้น สุโขทัยได้ก่อตั้งเป็นอาณาจักรอยู่ก่อนแล้ว ในจดหมายเหตุจีนก็ไม่เคยบันทึกว่าคนไทย
อพยพจากจีนลงมาเป็นกลุม่ ใหญ่เลย แต่มบี นั ทึกว่า คนไทยเคยตีขนึ้ ไปถึงยูนนาน หลังจากกุบไลข่านพิชติ
น่านเจ้าแล้ว กษัตริย์ของน่านเจ้ายังได้ร่วมมือกับจักรพรรดิจีนต่อมาอีกหลายร้อยปี
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 83
ค�ำศัพท์พวกน่านเจ้าที่จดส�ำเนียงไว้ตรงกับภาษาของโลโลซึ่งอยู่ในตระกูลภาษาทิเบต-พม่า อีกทั้ง
ธรรมเนียมการตั้งชื่อซึ่งเอาค�ำท้ายของชื่อพ่อมาตั้งเป็นค�ำต้นของชื่อลูกก็ไม่ตรงกับธรรมเนียมของชนชาติ
ไทย แต่ตรงกับธรรมเนียมของพวกโลโล เช่น พีล่อโก๊ะมีลูกชื่อโก๊ะล่อฝง มีหลานชื่อฝงกาอี
นักภาษาศาสตร์ให้เหตุผลว่า ถ้าหากยูนนานเป็นถิ่นก�ำเนิดของชนชาติไทยมาแต่ดั้งเดิมก็ควรจะมี
ภาษาถิ่นหลากหลายชนิดอยู่รอบ ๆ ยูนนาน แต่ไม่ปรากฏว่ามีภาษาไทยถิ่นเช่นว่านั้น ชนชาติไทยในยูนนาน
ใช้ภาษาไทยเหนือและไทยลื้อ ซึ่งจัดว่าเป็นภาษาถิ่นภาษาเดียวกับไทยขาวและไทยลื้อทางทิศตะวันออก
ไทยลื้ อ ทางใต้ แ ละไทยเขิ น ทางทิ ศ ตะวั น ตก และไม่ เ คยมี ร ายงานว่ า มี ภ าษาไทยถิ่ น อื่ น อยู ่ เ หนื อ
ยูนนานขึ้นไปเลย เว้นแต่ชนชาติไทยที่เพิ่งอพยพขึ้นไปอยู่ใหม่ในระยะ ๒๐๐-๓๐๐ ปีมานี้ ยูนนานจึงน่า
จะเป็นดินแดนเหนือสุดที่ชนชาติไทยอพยพขึ้นไป ดินแดนที่มีภาษาไทยถิ่นมาก ได้แก่ มณฑลกวางสีของ
จีนต่อกับเดียนเบียนฟูของเวียดนาม
ปัจจุบันนี้ไม่มีคนพื้นเมืองที่เป็นชนชาติไทยอยู่ในคุนหมิงและต้าหลี่ ยกเว้นพวกคนไทยในสิบสอง
ปันนาที่ขึ้นไปหางานท�ำและมีอยู่เป็นจ�ำนวนน้อยมาก
สิบสองปันนาเป็นเขตปกครองตนเองของประเทศจีน อยูใ่ นมณฑลยูนนานทางภาคใต้ มีเชียงรุง่ เป็น
เมืองหลวง อยู่ห่างจากคุนหมิงลงไปประมาณ ๗๘๐ กม. ชนชาติไทยในสิบสองปันนาเป็นพวกไทยลื้อ
ไทยเหนือ ไทยด่อนหรือไทยขาว และไทยปอง
อาณาเขตของสิบสองปันนาทางทิศตะวันออกติดกับเมืองอูเหนือ เมืองอูใต้ เมืองบุน่ เหนือ และเมือง
บุ่นใต้ของประเทศลาว มีแม่น�้ำของ (โขง) ไหลผ่านกลาง แม่น�้ำนี้มีต้นน�้ำอยู่ใต้เมืองต้าหลี่ ค�ำ “สิบสอง
ปันนา” เป็นเสียงอ่านของไทยในยูนนานจากค�ำ “สิบสองพันนา” ในภาษาเขียน เดิมแบ่งการปกครองออก
เป็นสิบสองหัวเมืองใหญ่หรือพันนา
ตามที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงรุ่ง ขุนเจื๋องเป็นกษัตริย์องค์แรกของเชียงรุ่ง และ
สวรรคตใน พ.ศ. ๑๗๗๒ ท้าวรุ่งแก่นชายเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๔ มีธิดาชื่อนางเทพค�ำกราย (เทพค�ำขยาย)
อภิเษกกับเจ้าชายเชียงแสน ตรงกับพงศาวดารโยนกว่า นางเทพค�ำกรายอภิเษกกับลาวเม็ง และมีโอรสคือ
พระเจ้ามังราย (เม็งราย) ผู้ทรงรวบรวมอาณาจักรล้านนาขึ้นเป็นปึกแผ่น กษัติรย์องค์สุดท้ายของเชียงรุ่ง
คือเจ้าหม่อมค�ำลือ (พ.ศ. ๒๔๙๐) เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๔๔ และสิ้นสภาพเป็นกษัตริย์ของสิบสองปันนาเมื่อ
ประเทศจีนประกาศสถาปนาประเทศเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน
ชนชาติไทยในสิบสองปันนาส่วนใหญ่นบั ถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ซึง่ สันนิษฐานว่า จะเผยแผ่
เข้าไปในสิบสองปันนาหลังจากการสังคายนาพระพุทธศาสนาเป็นครั้งที่ ๘ ของโลก ในรัชสมัยพระเจ้า
ติโลกราชแห่งล้านนาใน พ.ศ. ๒๐๒๐ เพราะคนไทยในสิบสองปันนาเองกล่าวว่า พระพุทธศาสนาเพิ่งเข้า
สู่ดินแดนของตนเมื่อประมาณ ๓๐๐ ปีมานี้
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
84 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช
พ่ อขุ น รามค�ำแหงมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๓ ในราชวงศ์พระร่ว งแห่ง
ราชอาณาจักรสุโขทัย เสวยราชย์ประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๒ ถึงประมาณ พ.ศ. ๑๘๔๑ พระองค์ทรงรวบรวม
อาณาจักรไทยจนเป็นปึกแผ่นกว้างขวาง ทั้งยังได้ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้น ท�ำให้ชาติไทยได้สะสม
ความรู้ทางศิลปะ วัฒนธรรม และวิชาการต่าง ๆ สืบทอดกันมากว่า ๗๐๐ ปี
พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๓ ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์กับนางเสือง
พระเชษฐาองค์แรกสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ พระเชษฐาองค์ที่ ๒ ทรงพระนามตามศิลาจารึกว่า
พระยาบานเมือง และได้เสวยราชย์ต่อจากพระราชบิดา เมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช
จึงได้เสวยราชย์แทน
ตามพงศาวดารโยนก พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชแห่งสุโขทัย พระยามังรายมหาราช (หรือพระยา
เม็งราย) แห่งล้านนา และพระยาง�ำเมืองแห่งพะเยา เป็นศิษย์ร่วมพระอาจารย์เดียวกัน ณ ส�ำนัก
พระสุตทันตฤๅษีที่เมืองละโว้ จึงน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน พระยามังรายประสูติเมื่อ พ.ศ. ๑๗๘๒
พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชน่าจะประสูติในปีใกล้เคียงกันนี้
เมือ่ พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชมีพระชนมายุ ๑๙ พรรษา พระองค์ได้ทรงท�ำยุทธหัตถีมชี ยั ต่อพ่อขุน
สามชน เจ้าเมืองฉอด (อยูบ่ นน�ำ้ แม่สอดใกล้จงั หวัดตาก แต่อาจจะอยูใ่ นเขตประเทศพม่าในปัจจุบนั ) พ่อขุน
ศรีอนิ ทราทิตย์จงึ ทรงขนานพระนามพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชว่า “พระรามค�ำแหง” สันนิษฐานว่าพระนาม
เดิมของพระองค์คือ “ราม” เพราะปรากฏพระนามเมื่อเสวยราชย์แล้วว่า “พ่อขุนรามราช” อนึ่ง สมัยนั้น
นิยมน�ำชื่อปู่มาตั้งเป็นชื่อหลาน พระราชนัดดาของพระองค์มีพระนามว่า “พระยาพระราม” (จารึก
หลักที่ ๑๑) และในชั้นพระราชนัดดาของพระราชนัดดา มีเจ้าเมืองพระนามว่า “พระยาบาลเมือง” และ
“พระยาราม” (เหตุการณ์ พ.ศ. ๑๙๖๒ ในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์)
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 85
หากผู้ใดไม่ได้รับความเป็นธรรมในกรณีพิพาท ก็มีสิทธิไปสั่นกระดิ่งถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์
ได้
ยิ่งกว่านั้น พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชยังทรงใช้พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องช่วยในการปกครอง
โดยได้ทรงสร้างพระแท่นมนังศิลาบาตรขึ้น ให้พระเถรานุเถระแสดงพระธรรมเทศนาแก่ประชาชนใน
วันพระ ส่วนวันธรรมดาพระองค์เสด็จประทับเป็นประธานให้เจ้านายและข้าราชการปรึกษาราชการร่วมกัน
เมื่อประชาชนเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาและประพฤติปฏิบัติแต่ในทางที่ดีที่ชอบ การปกครองก็
สะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น
ในด้านอาณาเขต พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชได้ทรงขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางไพศาล
คือ ทางทิศตะวันออกทรงปราบได้เมืองสระหลวง สองแคว (พิษณุโลก) ลุมบาจาย สะค้า (๒ เมืองนี้อาจ
อยู่แถวลุ่มแม่น�้ำน่านหรือแควป่าสักก็ได้) ข้ามฝั่งแม่น�้ำโขงไปถึงเวียงจันทน์ เวียงค�ำในประเทศลาว ทาง
ทิศใต้พระองค์ทรงปราบได้คนที (บ้านโคน ก�ำแพงเพชร) พระบาง (นครสวรรค์) แพรก (ชัยนาท) สุพรรณภูมิ
ราชบุรี เพชรบุรี นครศรีธรรมราช มีฝั่งทะเลสมุทร (มหาสมุทร) เป็นเขตแดน ทางทิศตะวันตก พระองค์
ทรงปราบได้เมืองฉอด เมืองหงสาวดี และมีสมุทรเป็นเขตแดน ทางทิศเหนือ พระองค์ทรงปราบได้เมืองแพร่
เมืองม่าน เมืองพลัว (อ.ปัว จ.น่าน) ข้ามฝั่งโขงไปถึงเมืองชวา (หลวงพระบาง) เป็นเขตแดน
ในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชทรงท�ำพระราชไมตรีกับพระยา
มังรายแห่งล้านนา และพระยาง�ำเมืองแห่งพะเยาทางด้านเหนือ ทรงยินยอมให้พระยามังรายขยาย
อาณาเขตล้านนาทางแม่น�้ำกก แม่น�้ำปิง และแม่น�้ำวังได้อย่างสะดวก เพื่อให้เป็นกันชนระหว่างจีนกับ
สุโขทัย และยังได้เสด็จไปทรงช่วยเหลือพระยามังรายหาชัยภูมิสร้างเมืองเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๙
ทางประเทศมอญ มีพอ่ ค้าไทยใหญ่ชอื่ มะกะโท เข้ารับราชการอยูใ่ นราชส�ำนักของพ่อขุนรามค�ำแหง
มหาราช มะกะโทได้ผูกสมัครรักใคร่กับพระราชธิดาของพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช แล้วพากันหนีไปอยู่
เมืองเมาะตะมะ ต่อมาได้ฆ่าเจ้าเมืองเมาะตะมะแล้วเป็นเจ้าเมืองแทนเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๔ แล้วขออภัยโทษ
ต่อพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช และขอพระราชทานนาม ทั้งยินยอมเป็นประเทศราชของกรุงสุโขทัย
ซึ่งพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชได้พระราชทานนามว่า พระเจ้าฟ้ารั่ว
ทางทิศใต้ พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชได้ทรงอาราธนาพระมหาเถรสังฆราชผู้เรียนจบพระไตรปิฎก
มาจากนครศรีธรรมราช เพื่อให้เผยแผ่พระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัย
ส่วนเมืองละโว้ยังเป็นเอกราชอยู่ เพราะปรากฏว่ายังส่งเครื่องบรรณาการไปเมืองจีนอยู่ระหว่าง
พ.ศ. ๑๘๓๔ ถึง พ.ศ. ๑๘๔๐ พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชคงจะได้ทรงผูกไมตรีเป็นมิตรกับเมืองละโว้
พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชทรงส่งราชทูตไปเมืองจีน ๓ ครัง้ เพือ่ แสดงความเป็นมิตรไมตรีกบั ประเทศ
จีน
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 87
วรรณกรรมสมัยพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชสูญหายไปหมดแล้ว คงเหลือแต่จารึกหลักที่ ๑
(พ.ศ. ๑๘๓๕) ซึ่งแม้จะมีข้อความเป็นร้อยแก้ว แต่ก็มีสัมผัสคล้องจองกัน ท�ำให้ไพเราะซาบซึ้งตรึงใจ เช่น
“ในน�้ำมีปลา ในนามีข้าว ... ลูท่างเพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ... เห็นข้าวท่านบ่ใคร่พิน เห็นสิน
ท่านบ่ใคร่เดือด” นับเป็นวรรณคดีเริ่มแรกของกรุงสุโขทัย ซึ่งตกทอดมาถึงปัจจุบัน โดยมิได้มีผู้มาคัดลอก
ให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม
จากจดหมายเหตุจีน พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๑๘๔๑ พระเจ้าเลอไทยซึ่งเป็น
พระราชโอรสเสวยราชย์แทนในปีนั้น.
หนังสืออ้างอิง
๑. ตรี อมาตยกุล. “ประวัติศาสตร์สุโขทัย.” แถลงงานประวัติศาสตร์ เอกสารโบราณคดี. ปีที่ ๑๔
เล่ม ๑ (๒๕๒๓) ปีที่ ๑๕ เล่ม ๑ (๒๕๒๔) ปีที่ ๑๖ เล่ม ๑ (๒๕๒๕) และปีที่ ๑๘ เล่ม ๑ (๒๕๒๗).
๒. ประชากิจกรจักร, พระยา. พงศาวดารโยนก. พระนคร : คลังวิทยา, ๒๕๑๕.
๓. ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๑. คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ส�ำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ๒๕๒๑.
๔. ประเสริฐ ณ นคร. “ประวัตศิ าสตร์สโุ ขทัยจากจารึก.” งานจารึกและประวัตศิ าสตร์ของประเสริฐ
ณ นคร. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก�ำแพงแสน, ๒๕๓๔.
๕. .“ลายสือไทย.” งานจารึกและประวัติศาสตร์ของประเสริฐ ณ นคร. มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ ก�ำแพงแสน, ๒๕๓๔.
๖. พระคลัง (หน), เจ้าพระยา. ราชาธิราช. พระนคร : บรรณาการ, ๒๕๑๕.
[สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๒๕ หน้า ๑๕๘๘๗–๑๕๘๙๒, ๒๕๔๔]
ราหู
ค�ำที่ใช้เรียกต�ำแหน่งส�ำคัญแห่งหนึ่งของดวงจันทร์บนเส้นทางโคจรรอบโลก เมื่อมองจากอวกาศ
นอกโลกจะเห็นระนาบทางโคจรของดวงจันทร์เอียงกับระนาบทางโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์เป็นมุม
ประมาณ ๕ องศา ๘ ลิปดา ดวงจันทร์จึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่เหนือหรือใต้ระนาบทางโคจรของโลก มี
จุดส�ำคัญ ๒ จุดทีด่ วงจันทร์ผา่ นระนาบทางโคจรของโลกเรียกว่า จุดโหนด (Node) ถ้าผ่านจากเหนือระนาบ
ลงสู่ใต้ระนาบตรงระนาบทางโคจรของโลกเรียกว่า จุดโหนดลง (Descending Node) และจุดตรงข้าม
ซึง่ ดวงจันทร์ผา่ นระนาบทางโคจรของโลกจากใต้ระนาบขึน้ เหนือระนาบเรียกว่า จุดโหนดขึน้ (Ascending
Node) นักโหราศาสตร์เรียกจุดโหนดขึ้นว่า ราหู (Rahu) และเรียกจุดโหนดลงว่า เกตุ (Ketu) ราหูและเกตุ
จึงไม่ใช่ดวงดาวจริง แต่เป็นจุดสมมุตแิ สดงต�ำแหน่งดวงจันทร์บนระนาบทางโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
88 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
ปฐมกษัตริยใ์ นราชวงศ์พระร่วงแห่งอาณาจักรสุโขทัย รายพระนามกษัตริยใ์ นราชวงศ์พระร่วงมีดงั นี้
๑. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พ.ศ. ๑๗๙๒– )
๒. พ่อขุนบานเมือง (พ.ศ. –๑๘๒๒) พระโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
๓. พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช (พ.ศ. ๑๘๒๒–๑๘๔๑) พระอนุชาของพ่อขุนบานเมือง
๔. พระยาเลอไทย (พ.ศ. ๑๘๔๑–๑๘๖๖) พระโอรสของพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช
๕. พระยางั่วน�ำถุม (พ.ศ. ๑๘๖๖–๑๘๙๐) พระโอรสของพ่อขุนบานเมือง
๖. พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย พ.ศ. ๑๘๙๐–๑๙๑๑) พระโอรสของพระยาเลอไทย
๗. พระมหาธรรมราชาที่ ๒ (พ.ศ. ๑๙๑๑–๑๙๔๒) พระโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ ๑
๘. พระมหาธรรมราชาที่ ๓ (ไสลือไทย พ.ศ. ๑๙๔๓–๑๙๖๒) พระนัดดาของพระมหาธรรมราชา
ที่ ๑
๙. พระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล พ.ศ. ๑๙๖๒–๑๙๘๑) พระโอรสของพระมหาธรรมราชา
ที่ ๒
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ครองราชสมบัติในปี ๑๗๙๒๑ ในคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ ระบุว่าบ้านเดิม
ของพระองค์อยูท่ บี่ า้ นโค (ค�ำว่า “โค” นีอ้ าจจะเป็นค�ำว่า “โคณ” ในภาษาบาลี หม่อมเจ้าจันทรจิรายุวฒั น์
รัชนี จึงทรงสันนิษฐานว่าจะเป็นบ้านโคน ใน จ.ก�ำแพงเพชร ในปัจจุบัน) ก่อนที่จะกล่าวถึงราชวงศ์
พระร่วง จ�ำเป็นต้องโยงถึงความสัมพันธ์กับราชวงศ์ศรีนาวน�ำถุม (พ.ศ. ๑๗๖๒–๑๗๙๒)๒ ซึ่งเป็นราชวงศ์
ก่อนหน้าราชวงศ์พระร่วง อาศัยหลักฐานจากจารึกหลักที่ ๒ กล่าวว่า เมื่อพ่อขุนศรีนาวน�ำถุม (เดิมอ่าน
คลาดเคลื่อนว่า ศรีนาวน�ำถม) สิ้นพระชนม์ในปี ๑๗๙๒ ขอมสบาดโขลญล�ำพงได้ยึดเมืองศรีสัชนาลัย
สุโขทัยได้กอ่ นพ่อขุนผาเมืองซึง่ เป็นพระโอรสของพ่อขุนศรีนาวน�ำถุม และครองราชย์อยูท่ เี่ มืองราด พ่อขุน
ผาเมืองจึงร่วมกับพ่อขุนบางกลางหาว (เดิมอ่านข้อความนี้ผิดว่า บางกลางท่าว เป็นเจ้าเมืองบางยาง)
วางแผนทีจ่ ะตีสโุ ขทัย พ่อขุนบางกลางหาวขึน้ ไปเมืองบางยาง พ่อขุนผาเมืองจึงน�ำพลมาสมทบและจัดสรร
๑
ตัวเลข ๑๗๙๒ ได้มาจากคัมภีรส์ รุ ยิ ยาตร ซึง่ ใช้คำ� นวณต�ำแหน่งทีอ่ ยูข่ องดาวนพเคราะห์โดยโหรน�ำเลข ๖๑๐ มาลบจากปีจลุ ศักราช
เพื่อให้ตัวเลขน้อยลงและท�ำให้สามารถค�ำนวณได้เร็วขึ้นมาก ศักราช ๑ ตรงกับ จ.ศ. ๖๑๑ หรือ พ.ศ. ๑๗๙๒ ซึ่งน่าจะเป็นปีที่ ๑
ของอาณาจักรสุโขทัย ตามข้อเสนอของ ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร และพันเอกพิเศษ เอื้อน มนเทียรทอง ซึ่งเสนอตรงกัน
๒
ตัวเลข ๑๗๖๒ คือปีที่สันนิษฐานว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แห่งราชอาณาจักรขอมสิ้นพระชนม์ ท�ำให้ดินแดนในลุ่มน�้ำเจ้าพระยา
ว่างกษัตริย์ คนไทยซึ่งสามารถในการชนช้าง สามารถเอาชนะหัวหน้าชนชาติอื่น จึงตั้งตัวขึ้นเป็นกษัตริย์ได้
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
90 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
หนังสืออ้างอิง
๑. เฉลิม ยงบุญเกิด. เมืองไทยในจดหมายเหตุจีน ศิลปากร ปีที่ ๗ เล่ม ๒. กรกฎาคม ๒๕๐๖.
๒. ประเสริฐ ณ นคร. การอธิบายศิลาจารึกสมัยสุโขทัย โครงการกิตติเมธีสาขาวิชาศิลปศาสตร์.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๔๗.
๓. . ต�ำนานมูลศาสนาวัดป่าแดง เชียงตุง. สารัตถคดีประเสริฐ ณ นคร มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์, ๒๕๒๗.
๔. . ประวัติศาสตร์จากจารึกวัดบูรพาราม และวัดอโสการาม. สารนิพนธ์ประเสริฐ ณ นคร
จัดพิมพ์โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๔๑.
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 91
กรอม : ขอม
ค�ำว่า กรอม กร๋อม เพี้ยนมาจากค�ำภาษาเขมรว่า โกรม แปลว่า ใต้ และค�ำที่เขียนว่า “กรอม”
นี้ ชาวล้านนาอ่านออกเสียงเป็น “ขอม” ส่วนคนไทยภาคกลางออกเสียงเป็น “กร๋อม” กรอมหรือขอม จึง
เป็นค�ำที่ใช้เรียกชื่อชาวต่างชาติที่อยู่ทางทิศใต้ เช่น ไทยใหญ่เรียกคนไทยในประเทศไทยว่า ขอม ต�ำนาน
ต่าง ๆ ของล้านนากล่าวว่า เมื่อคนไทยอพยพลงมายังตอนบนของประเทศไทย บริเวณนั้นมีมอญโบราณ
ครอบครองอยู่ก่อนแล้ว คนไทยจึงเรียกพวกมอญโบราณว่า กรอมด�ำ ส่วนขอมที่อยู่ทางทิศใต้ของสุโขทัย
หรืออยุธยาก็คือ บรรพบุรุษของเขมรในปัจจุบัน
ต�ำนานเมืองสุวรรณโคมค�ำ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๒) กล่าวถึงกรอมด�ำว่า เป็นชาติหนึ่งอยู่ใน
แคว้นสุวรรณโคมค�ำ มีเขตแดนทิศเหนือจดปากทางหนองแส (ในยูนนานหรือหยุนหนาน) ทางทิศตะวันตก
จดฝายนาค (แก่งลี่ผีในแม่น�้ำโขง) ทิศตะวันออกจดแม่น�้ำแท้ ทิศใต้จดแม่น�้ำตู ภายหลังเมืองสุวรรณโคมค�ำ
ถูกน�้ำท่วมท�ำลายไป พวกกรอมด�ำที่เหลือตาย หนีไปอยู่ยังเมืองอุมงคเสลา ซึ่งอยู่บนฝั่งของแม่น�้ำกกทาง
ด้านเหนือ บ้างก็ไปอยู่ที่เมืองนครไทยเทศ (เมืองไทยในยูนนาน)
ตามต�ำนานสิงหนวัติ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๒) ต่อมา เมืองอุมงคเสลาเป็นกบฏต่อเมือง
โยนกนาคนครไชยบุรีศรีช้างแส่น (ช้างแส่น แปลว่า ช้างร้อง ต่อมามีชื่อว่า เชียงแสน) พระยากรอมแห่ง
อุมงคเสลามาตีเมืองโยนกนาคนครได้จากพระองค์พัง ภายหลังพรหมกุมารโอรสพระเจ้าพังตีเมืองคืนได้
และไล่ติดตามพวกกรอมลงมา จนพระอินทร์ต้องมาเนรมิตท�ำก�ำแพงหินกั้นไว้ เพื่อมิให้พรหมกุมารรุกไล่
กรอมด�ำต่อไป (ต่อมา บริเวณนี้เรียกว่า เมืองก�ำแพงเพชร) พรหมกุมารได้เป็นพระเจ้าพรหมสืบต่อจาก
พระองค์พังประมาณ พ.ศ. ๑๔๐๐
ตามหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ พระนางจามเทวีเป็นอัครมเหสีของเจ้าประเทศราชในเมืองรามัญ
ซึ่งพระราชบิดาคือ พระเจ้าจักรพรรดิเมืองลวะปุระส่งให้ไปครองหริภุญชัย (ราว พ.ศ. ๑๕๐๐) ต่อมา
ไม่นาน ในรัชกาลของพระเจ้ากัมพลเกิดโรคห่า ชาวหริภุญชัยหนีโรคนี้ไปอยู่เมืองสุธรรมนคร (สะเทิม)
ภายหลังถูกพระยาปุณกาม (พุกาม) เบียดเบียนจึงหนีกลับมา
ตามพงศาวดารพม่า ในสมัยพระเจ้าอนิรุทธแห่งพุกาม มีกองทัพกรอมจากที่เมืองเชียงใหม่
ในปัจจุบนั ยกไปประชิดเมืองพะโค และในต�ำนานเมืองสะเทิมของมอญอันเป็นตอนต้นของเรือ่ งราชาธิราช
ว่า ในสมัยพระเจ้าอุทินแห่งเมืองสะเทิม มีพวกกรอมยกมารบเมืองสะเทิม พุกามต้องยกกองทัพมาช่วย
จึงสามารถตีพวกกรอมแตกไป
นักโบราณคดีลงความเห็นว่า ชาวละโว้ (ลวะปุระ) พระนางจามเทวีกับพวกที่อพยพไปเมือง
หริภุญชัยน่าจะเป็นมอญ พวกกรอมที่ยกไปเมืองสะเทิมดังกล่าวข้างต้น ก็น่าจะเป็นมอญที่ยกไปจาก
หริภุญชัยนั่นเอง.
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
94 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
บรรณานุกรม
เสฐียรโกเศศ. (นามแฝง). “ขอม.” ใน สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. เล่ม ๓ กาลิทาส-ขอม
แปรพักตร์. พระนคร : โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, ๒๔๙๙-๒๕๐๒.
บรรณานุกรม
ประชากิจกรจักร, พระยา. พงศาวดารโยนก. พระนคร : คลังวิทยา, ๒๕๐๗.
พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา. เล่ม ๑-๒. กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, ๒๕๑๖.
ราชบัณฑิตยสถาน. สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. เล่ม ๒. พระนคร : โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม,
๒๕๐๑.
บรรณานุกรม
ประชากิจกรจักร, พระยา. พงศาวดารโยนก. พระนคร : คลังวิทยา, ๒๕๐๗.
พงศาวดารเมืองเชียงใหม่. สมุดขาวเลขที่ ๓๓ มัด ๔ กรมศิลปากร.
ศิลปากร, กรม. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓. พระนคร : กองวรรณคดีและประวัตศิ าสตร์จดั พิมพ์, ๒๕๐๗.
สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๒๙.
หนังสือประวัตพิ ระเจ้านครเชียงใหม่และเจ้าเชียงใหม่. โรงพิมพ์บำ� รุงประเทศเจริญ บ้านอ่อ นครเชียงใหม่
ผู้เขียนเขียนถวายเจ้าดารารัศมี เนื่องจากงานฉลองกู่ ร.ศ. ๑๒๘.
ขอมสะบาดโขลญล�ำพง
ขอมสะบาดโขลญล�ำพง เป็นขุนนางขอมผู้สามารถยึดอ�ำนาจครอบครองแคว้นเชลียงสุโขทัยได้ใน
ตอนปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เดิมพ่อขุนศรีนาวน�ำถุมครอบครองแคว้นนี้อยู่ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๑๗๖๒
เป็นต้นมา พ่อขุนผาเมืองโอรสของพระองค์ไปครองกลุ่มเมืองราด เมืองสะค้า และเมืองลุมบาจาย เมื่อ
พ่อขุนศรีนาวน�ำถุมถึงแก่พิราลัย ขอมสะบาดโขลญล�ำพงยึดแคว้นเชลียงสุโขทัยได้ ก่อนที่พ่อขุนผาเมือง
จะทรงยกทัพมาจากเมืองราด พ่อขุนบางกลางหาว (ต่อมาคือ พ่อขุนศรีอนิ ทราทิตย์) พระสหายของพ่อขุน
ผาเมือง ทรงยึดเมืองเชลียง (ปัจจุบันคือ อ�ำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย) คืนมาได้ แล้วเวนเมืองให้แก่
พ่อขุนผาเมือง
กษัตริย์ไทยทั้งสองพระองค์ทรงช้างเชือกเดียวกันให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อเป็นกลลวงให้ขอมสะบาด
โขลญล�ำพงหลงเข้าใจว่าทัง้ สองพระองค์ทรงมาชุมนุมกันอยูท่ เี่ มืองเชลียง แล้วพ่อขุนผาเมืองลอบเสด็จกลับ
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 99
บรรณานุกรม
ประเสริฐ ณ นคร. งานจารึกและประวัติศาสตร์ของประเสริฐ ณ นคร. นครปฐม : โรงพิมพ์ศูนย์ส่งเสริม
และฝึกอบรมการเกษตรแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก�ำแพงแสน, ๒๕๓๕.
สารนิพนธ์ ประเสริฐ ณ นคร. ศาสตราจารย์ ดร.นิยะดา เหล่าสุนทร บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์, ๒๕๔๑.
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
100 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ข้าไท
“ข้าไท” ปรากฏในวลี “ไพร่ฝ้าข้าไท” ในจารึกสมัยสุโขทัย เช่น จารึกหลักที่ ๑ พ.ศ. ๑๘๓๕
หลักที่ ๓ พ.ศ. ๑๙๐๐ และหลักที่ ๕ พ.ศ. ๑๙๐๔ ไพร่ฝ้าข้าไท หมายถึง ประชาราษฎร เช่น จารึก
หลักที่ ๕ ว่า “พระยาลือไทย...รู้ปรานีแก่ไพร่ฝ้าข้าไททังหลาย” ต่อมาในสมัยอยุธยา ใช้ค�ำว่า “ฟ้า”
แทนค�ำว่า “ฝ้า” ดังปรากฏในกฎหมายตราสามดวงใช้ไพร่ฟ้าข้าไทหลายแห่ง เช่น “เจ้าเมืองเอาพล
ไพร่ฟ้าข้าไททั้งหลายออกเลี้ยงนอกเมือง” และใช้ “อณาประชาราษฎรไพร่ฟ้าข้าขอบขัณฑเสมา”
ไพร่คกู่ บั ฟ้า แต่เดิมคงมีความหมายเท่ากับข้าคูก่ บั ไท เพราะจารึกสุโขทัยชอบใช้วลีทมี่ คี วามหมาย
อย่างเดียวกัน ซ้อนกัน เช่น ข้าเสิกข้าเสือ หัวพุ่งหัวรบ กฎหมายตราสามดวงกล่าวถึง “ข้าหนีเจ้า ไพร่หนี
นาย”
ข้าคงไม่เท่ากับทาส เพราะจารึกหลักที่ ๓ มีข้อความว่า “ไพร่ฝ้าข้าไทขี่เรือไปค้า ขี่ม้าไปขาย” ถ้า
ปล่อยให้ทาสไปค้าขาย ก็คงจะหลบหนีกันไปหมด
ต่อมาถึงสมัยอยุธยา ไพร่ของฟ้าคงจะหมายถึงคนของหลวง และข้าของไทหมายถึงบริวารของ
นาย และท้ายที่สุดในกฎหมายตราสามดวง ได้ลดฐานะของข้าลง โดยใช้ “ถ้าไพร่ฟ้าทาษไทใคร ๆ หนีนาย
หนีเจ้า”
นอกจากนี้ จารึกสุโขทัยยังกล่าวรวมไพร่ฝ้าข้าไทไปกับทรัพย์ศฤงคารของบุคคล เช่น จารึกหลักที่ ๑
“ช้างขอ ลูกเมีย เยียข้าว ไพร่ฝ้าข้าไท ป่าหมาก ป่าพลู (ของ) พ่อเชื้อมัน ไว้แก่ลูกมันสิ้น” และจารึกหลัก
ที่ ๑๐๒ พ.ศ. ๑๙๒๒ กล่าวถึง “ช้างม้าข้าไททังหลาย” ไตรภูมิกถากล่าวถึง “มีช้าง มีม้า มีข้า มีไท แกล้ว
หาญ มีรี้พลเพียงดังพระอินทร์” ไท หมายถึง ผู้มีอิสระแก่ตน ดังจะเห็นได้จากจารึกหลักที่ ๑๐๖ พ.ศ.
๑๙๒๗ ว่า “ข้าและเมียมัก (รัก) กัน ให้ขา (เขาทั้งสอง) แก่กันไปเป็นไทให้เลี้ยงแม่ผู้ชาย”
จากข้อมูลข้างบนนี้ อาจสรุปได้ว่า สมัยสุโขทัย ข้าไท ใช้คู่กับ ไพร่ฟ้า แปลว่า ประชาราษฎร แต่มี
อีกความหมายหนึ่งว่า บริวาร ต่อมาในสมัยอยุธยา ข้าของไท หมายถึง บริวารของนาย คู่กับไพร่ฟ้า
ซึ่งหมายถึง คนของหลวง ครั้นมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ใช้ไพร่ฟ้าทาสไทแทนที่ ไพร่ฟ้าข้าไท แสดงว่า
ข้ามีความหมายเช่นเดียวกับทาส จึงเป็นอันว่าข้าไทค่อย ๆ ลดฐานะของคนอิสระลงมาจนกลายเป็นทาส
ไปในที่สุด.
บรรณานุกรม
ขจร สุขพานิช. ฐานันดรไพร่. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, ๒๕๑๙.
ศิลปากร, กรม. จารึกสมัยสุโขทัย. กรุงเทพฯ, ๒๕๒๖. (จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสฉลอง ๗๐๐ ปีลายสือไทย
พุทธศักราช ๒๕๒๖).
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 101
ข้าพระ
ข้าพระ คือคนที่มีผู้อุทิศให้แก่วัด เพื่อรักษาวัด พระพุทธรูป และอุปัฏฐากพระสงฆ์ เป็นต้น
ในปัจจุบันไม่มีข้าพระแล้ว
จารึกหลักที่ ๑๐๗ จังหวัดแพร่ พ.ศ. ๑๘๘๒ เจ้าเมืองตรอกสลอบอุทิศ “คนครอกหนึ่งให้ดูพระ”
จารึกหลักที่ ๙ จังหวัดสุโขทัย พ.ศ. ๑๙๐๒ พระมหาธรรมราชาลิไทยไปรบเมืองแพร่ แล้วเอา “คนสิบห้า
เรือน” อุทิศให้วัดป่าแดง ศรีสัชนาลัย จารึกหลักที่ ๓๘ จังหวัดสุโขทัย พ.ศ. ๑๙๔๐ กล่าวถึง ข้าชีบา
พระอุปัธยาจารย์
ค�ำว่า “ข้าพระ” ปรากฏในจารึกผ้าขาวทอง จังหวัดสุโขทัย พ.ศ. ๑๙๖๕ ว่า ชีปะขาวชื่อทองอุทิศ
เมียและลูกเป็นข้าพระ ค�ำ “ข้าพระ” ยังปรากฏในจารึกหลักที่ ๑๐๐ จังหวัดพะเยา พ.ศ. ๒๐๓๕ ว่า
“พระมหาราชเทวีเจ้าให้คนขอครัวรักษาพระพุทธรูป และพระมหาเถรเจ้า ใครอย่ารบกวนข้าพระเหล่านี”้
และค�ำ “ข้าพระ” ปรากฏในจารึกเชียงราย ๕ พ.ศ. ๒๐๔๕ ว่า “เจ้าพันนาหวังให้ลูกเป็นข้าพระ ถ้าเขา
อยู่ไม่ได้ให้เอาเงินค่าตัวไปไถ่ได้” ส่วนจารึกวัดจุฬามณี จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. ๒๒๒๓ ว่า “พระราชทาน
ข้าพระไว้ส�ำหรับพระอาราม ข้าพระได้แตกฉานซ่านเซ็นไป จึงถวายคนใหม่แทนตามเดิม ถ้าผู้ใดเอาไปใช้
ราชการหรือท�ำเรื่องอื่น ขอให้ไปตกนรก”
ตามศิลาจารึก ปรากฏว่า มีการอุทิศคน หุงจังหัน และตีระนาดบ�ำเรอพระพุทธรูป เฝ้าอุโบสถ
พระอาราม และพระศรีรัตนธาตุ
จารึกหลักที่ ๑๐ จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. ๑๙๔๗ ว่า ผู้ที่ถูกอุทิศให้วัด จะต้องท�ำหน้าที่ในศาสนาไป
ตลอดจนถึงลูกหลานเหลนสืบสายไป ข้อความอย่างเดียวกันปรากฏในจารึกหลักที่ ๗๓ จังหวัดล�ำพูน
พ.ศ. ๒๐๕๕
จารึกหลักที่ ๖๙ จังหวัดเชียงราย พ.ศ. ๒๐๓๙ ว่า “พระเจ้าแผ่นดินอุทิศคน ๑๐ ครัวปลงอาชญา
ให้ ‘หลาบค�ำ’ (สุพรรณบัฏ) ไว้”
จารึกหลักที่ ๑๐๔ จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๐๙๙ ว่า “ห้ามมิให้น�ำข้าพระไปท�ำศึก แม้ข้าศึกมา
ประชิดเมืองก็จะเกณฑ์ข้าพระไปรักษาเมืองไม่ได้ อย่าเรียกเก็บส่วยไร อย่าให้ไปราชการทางน�้ำทางบก
อย่าเกณฑ์ให้เกี่ยวหญ้าช้างม้า” จารึกหลักที่ ๙๒ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๓๐๑ กล่าวถึง
ข้าพระ ในกฎหมายตราสามดวง พ.ศ. ๒๓๔๗ ก็กล่าวถึงข้าพระในพระราชก�ำหนดเก่าข้อ ๘.
บรรณานุกรม
คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ ส�ำนักนายกรัฐมนตรี. ประชุมศิลาจารึก
ภาคที่ ๔. พระนคร : โรงพิมพ์ส�ำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ๒๕๑๓.
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
102 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
เจมส์ เอช. ดับเบิ้ลยู. ทอมป์สัน, มูลนิธิ. จารึกล้านนาภาค ๑ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ, ๒๕๓๔. (จัดพิมพ์ใน
วโรกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระชนมายุครบ ๓ รอบ พุทธศักราช
๒๕๓๔).
ขุน
“ขุน” เดิมเป็นต�ำแหน่งเจ้าหรือผู้ปกครองแคว้นสมัยสุโขทัย ต่อมาในสมัยอยุธยา ขุนเป็นต�ำแหน่ง
ยศขุนนางตามล�ำดับดังนี้ พระยา พระ หลวง ขุน และหมื่น ในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ ขุนเป็นล�ำดับ
ฐานันดรศักดิ์ของขุนนางตามล�ำดับดังนี้ สมเด็จเจ้าพระยา เจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน หมื่น
และจ่า
ในสมัยสุโขทัย ขุนเป็นต�ำแหน่งเจ้า หรือผู้ปกครองนครหรือแคว้น เช่น ขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด
ส่วนพ่อขุนเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรใหญ่ มีขุนมาขึ้นด้วยจ�ำนวนมาก เช่น พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
พ่อขุนรามค�ำแหง ต่อมาในสมัยอยุธยา ขุนกลายมาเป็นยศขุนนาง ดังปรากฏในกฎมนเทียรบาล สมัยสมเด็จ
พระบรมไตรโลกนาถ ตราขึ้นราว พ.ศ. ๒๐๑๑ มาตรา ๑๐๑ ความว่า “ถ้าแลมีพระราชฎีกาด�ำเนิร มีตรา
ขุนอินทราทิตยน�ำ ถ้าพระราชเสาวนีด�ำเนิร ตราขุนอินทราทิตยน�ำ” อย่างไรก็ตาม ยศขุนในสมัยอยุธยามี
ศักดินาแตกต่างกันไปตามต�ำแหน่งที่ด�ำรง เช่น ที่ปรากฏในพระไอยการต�ำแหน่งนาพลเรือนซึ่งตราขึ้นใน
สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเช่นกัน ขุนราชนิกุลนิตยภักดี ต�ำแหน่งปลัดทูลฉลองกรมมหาดไทย
นา ๑๐๐๐ ขุนราชพินิจใจ ต�ำแหน่งราชปลัดถือพระธรรมนูญ นา ๘๐๐ ขุนพินิจอักษร ต�ำแหน่งเสมียน
ตรา นา ๖๐๐ ขุนแก้ว ต�ำแหน่งเจ้ากรมช่างดอกไม้เพลิงขวา นา ๓๐๐ ขุนไฉนไพเราะ ต�ำแหน่งพนักงาน
ปี่พาทย์ นา ๒๐๐
ล�ำดับฐานันดรศักดิ์ ขุนนางในสมัยรัตนโกสินทร์ ตามทีป่ รากฏในพระราชก�ำหนดใหม่ พ.ศ. ๒๓๒๖
กฎหมายตราสามดวง กฎข้อ ๔ ลงวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๒๖ ระบุล�ำดับฐานันดรศักดิ์ของขุนนางไว้
ดังนี้ “…เจ้าพญา แลพญา พระ หลวง เมือง เจ้าราชนิกุล ขุน หมื่น พัน ทนาย ฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือน…”
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติศักดินา
ขุนหมื่นนายเวรเสมียร ลงวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ มาตรา ๑ ระบุว่า “บันดาขุนหมื่นในกระทรวง
ต่าง ๆ ที่รับประทวนเจ้ากระทรวงตั้ง ยังไม่ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร ฤๅยังมิได้ก�ำหนดศักดินา
ในพระราชก�ำหนดกฎหมาย ขุนให้ถือศักดินา ๔๐๐ ไร่ เป็นอย่างสูง ๓๐๐ ไร่ เป็นอย่างต�่ำ... ตามแต่
เจ้ากระทรวงจะก�ำหนดตั้งในประทวน”
หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ และประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว ไม่มีการแต่งตั้ง
บุคคลให้ด�ำรงบรรดาศักดิ์ขุนนางตามระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีก และในที่สุด
ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ยกเลิกบรรดาศักดิ์ ตามประกาศเรื่องการยกเลิก
บรรดาศักดิ์ ลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ ให้ยกเลิกบรรดาศักดิ์อันมีราชทินนาม เป็น เจ้าพระยา
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 103
บรรณานุกรม
กฎหมายตราสามดวง. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด อุดมศึกษา, ๒๕๒๑.
“ประกาศเรื่องการยกเลิกบรรดาศักดิ.์ ” ราชกิจจานุเบกษา. (แผนกกฤษฎีกา) เล่ม ๕๙ ภาค ๑ ตอนที่ ๓๓
(๑๙ พฤษภาคม ๒๔๘๕) : ๑๐๘๙-๑๐๙๑.
“ประกาศเรื่ อ งให้ ย กเลิ ก ประกาศพระบรมราชโองการเรื่ อ งการยกเลิ ก ยศและบรรดาศั ก ดิ์ . ”
ราชกิจจานุเบกษา. (แผนกกฤษฎีกา) เล่ม ๖๑ ตอนที่ ๗๙ (๓๑ ธันวาคม ๒๔๘๗) : ๑๒๘๒-๑๒๘๗.
“พระราชบัญญัติศักดินาขุนหมื่น นายเวรเสมียร.” กฎหมายในรัชกาลที่ ๕ เล่ม ๔. กรุงเทพฯ : บริษัท
อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จ�ำกัด (มหาชน), ๒๕๔๐. (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรด
กระหม่อมให้พิมพ์พระราชทานในงานพระราชทานเพลิงศพนายจิตติ ติงศภัทย์ ณ เมรุหลวง
หน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐).
ศิลปากร, กรม. พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑. พระนคร : กอง
การพิมพ์สลากกินแบ่งรัฐบาล, ๒๔๙๙.
ขุนเจือง
ขุนเจืองซึ่งบางท้องถิ่นออกเสียงว่า ขุนเจื๋อง เป็นเรื่องกึ่งต�ำนานและกึ่งประวัติศาสตร์ ตามเอกสาร
ที่มีอยู่ในประเทศไทย สรุปได้ว่า ขุนเจืองเป็นกษัตริย์ไทยอยู่ในอาณาจักรเหนือสุโขทัยขึ้นไป และน่าจะมี
พระชนม์ชีพอยู่เวลาใดเวลาหนึ่งระหว่าง พ.ศ. ๑๕๘๒–๑๗๓๕ และสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุ ๗๔–๘๐
พรรษา
อาณาจักรของขุนเจืองครอบคลุมถึงพะเยา เชียงแสน ประเทศลาว และเมืองปะกันของแกว (ญวน)
จากเอกสารประเทศลาว ขุนเจืองอภิเษกสมรสกับนางง้อมม่วน เมืองเชียงเครือ ตามต�ำนานทุตยิ วังสะหรือ
ต�ำนานพระยาเจืองว่าเมืองเชียงเครือคือเมืองหงสาวดี เนือ่ งจากขุนเจืองมีอาณาจักรกว้างขวางเป็นทีภ่ มู ใิ จ
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
104 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
บรรณานุกรม
จดหมายเหตุ โ หร ประชุ ม พงศาวดารภาคที่ ๘. พระนคร, ๒๕๐๗. (พิ ม พ์ ใ นการฌาปนกิ จ ศพ
นางเปลื้อง อินทรทูต).
ต�ำนานพืน้ เมืองเชียงใหม่. พระนคร : คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารประวัตศิ าสตร์ ส�ำนักนายกรัฐมนตรี,
๒๕๑๔.
ต�ำนานเมืองพะเยาและค�ำเล่นค่าวซอ. เอกสารล�ำดับที่ ๘. เชียงใหม่ : คณะกรรมการศูนย์วัฒนธรรม
จังหวัดเชียงใหม่ วิทยาลัยครูเชียงใหม่, ๒๕๒๖.
ต� ำ นานสิ ง หนวั ติ ประชุ ม พงศาวดารภาคที่ ๖๑. พระนคร, ๒๔๗๙. (พิ ม พ์ ใ นงานฌาปนกิ จ ศพ
นางชื่น ราชพินิจจัย).
ทวี สว่างปัญญางกูร. ต�ำนานพื้นเมืองสิบสองพันนา. เชียงใหม่ : ส�ำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่,
๒๕๒๙.
ประชากิจกรจักร, พระยา (แช่ม บุนนาค). พงศาวดารโยนก. กรุงเทพฯ : ส�ำนักพิมพ์คลังวิทยา, ๒๕๑๖.
ประเสริฐ ณ นคร. “ล�ำดับเจ้าแผ่นดินแสนหวี (เชียงรุ่ง).” ใน รวมบทความประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ :
สมาคมประวัติศาสตร์, ๒๕๒๘.
พงศาวดารเงินยางเชียงแสน ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๑. พระนคร, ๒๔๗๙. (พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพ
นางชื่น ราชพินิจจัย).
อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว และศรีธน ค�ำแปง (ปริวัตร). ต�ำนานพญาเจือง. เล่ม ๑-๒. เชียงใหม่ : คณะ
สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๒๗.
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
106 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ขุนบรม
ขุนบรมหรือขุนบูลมราชาธิราช เป็นกษัตริย์ของชนเผ่าไทย ซึ่งทรงพระปรีชาสามารถแผ่อาณาเขต
ครอบคลุมบางส่วนของประเทศต่าง ๆ กล่าวคือ ลาว เวียดนาม ไทย และจีน
เรื่องของขุนบรมปรากฏอยู่ใน (๑) พงศาวดารเมืองล้านช้าง ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๑ (๒)
นิทานเรื่องขุนบรมราชา ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๐ (๓) พงศาวดารลาวของมหาสิลา วีระวงส์ และ
(๔) พื้นขุนบรมราชาธิราช ปริวรรตโดย นายพิทูร มลิวัลย์ มีข้อความแตกต่างกันไปหลายแห่ง
ฉบับพงศาวดารล้านช้าง กล่าวถึงปูล่ างเชิง ขุนเด็ก และขุนคานปกครองเมืองลุม่ (เมืองมนุษย์) แต่
ไม่กระท�ำพลีกรรมแก่พระยาแถน พระยาแถนจึงบันดาลให้น�้ำท่วมเมือง ขุนทั้งสามจึงต่อแพพาลูกเมียไป
อยู่เมืองฟ้ากับพระยาแถนชั่วคราว พอน�้ำแห้งแล้วขอกลับลงมาเมืองลุ่มอีก มาอยู่ที่เมืองนาน้อยอ้อยหนู
ได้ควายลงมาช่วยท�ำนา เมื่อควายตายเกิดต้นน�้ำเต้าที่รูจมูกควาย มีผลน�้ำเต้าปู้ง (โป้ง–ใหญ่) ๓ ผล ปู่ลางเชิง
ใช้สว่านเผาไฟและสิ่วเจาะผลน�้ำเต้านั้น คนที่ออกมาทางรูสิ่ว คือ ไทยเลิง ไทยลอ และไทยควาง เป็นไท
ส่วนคนที่ออกมาทางรูสว่านเผาไฟ คือ ไทยลมและไทยลี มีผิวด�ำ เป็นข้า จ�ำนวนคนที่ออกมาจากน�้ำเต้ามี
มากมายจนไม่สามารถปกครองได้ ต้องไปขอพระยาแถนให้ส่งขุนครูและขุนครองลงมาปกครอง แต่ขุน
ทั้งสองดื่มแต่เหล้า ไม่สนใจดูแลประชาชน ขุนเด็กและขุนคานต้องไปขอให้พระยาแถนเรียกขุนครูและ
ขุนครองคืนไป และส่งขุนบูลมมหาราชาธิราช (ขุนบรม) มาปกครองแทน ขุนบรมพยายามสอนให้ประชาชน
ท�ำไร่ ไถนา แต่ประชาชนมีอยู่เป็นจ�ำนวนมาก จึงต้องส่งขุนเสลิงไปขอให้พระยาแถนส่งแถนแต่งคือ
พระวิษณุกรรมและแถนอืน่ ๆ มาช่วยดูแลสัง่ สอนให้ผคู้ นท�ำมาหากินได้เป็นอย่างดี ต่อจากนัน้ พระยาแถน
ก็ตัดไม่ให้เมืองมนุษย์ขึ้นไปติดต่อกับเมืองฟ้าได้อีก
ขุนบรมสร้างบ้านเมืองเป็นปึกแผ่น จึงเรียกชื่อว่า เมืองแถน (คือเมืองแถงหรือเดียนเบียนฟูใน
เวียดนาม)
ขุนบรมมีโอรส ๗ องค์ องค์ที่ ๑, ๒, ๓ และองค์ที่ ๗ เกิดจากนางแอกแดง องค์ที่ ๔, ๕, ๖ เกิดจาก
นางยมพลา โอรสทั้ง ๗ แยกย้ายกันไปครองเมืองต่าง ๆ ดังนี้
องค์ที่ ๑ ขุนลอ ไปครองเมืองชวา (ล้านช้าง)
องค์ที่ ๒ ยี่ผาลาน ไปครองเมืองหัวแตหรือหอแต (หนองแส)
องค์ที่ ๓ สามจูสง ไปครองเมืองแกว (เวียดนาม)
องค์ที่ ๔ ไสผง ไปครองล้านนา
องค์ที่ ๕ งั่วอิน ไปครองอโยธยา (สยาม)
องค์ที่ ๖ ลกกลม ไปครองเมืองเชียงคม (ค�ำเกิด)
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 107
บรรณานุกรม
ขจร สุขพานิช. “ถิน่ ก�ำเนิดและแนวอพยพของเผ่าไทย.” ใน แถลงงาน ประวัตศิ าสตร์ เอกสาร โบราณคดี.
ปีที่ ๔ เล่ม ๑. พระนคร, ๒๕๑๓.
พิทูร มลิวัลย์. พื้นขุนบูรมราชาธิราช กฎหมายธรรมศาสตร์ขุนบูรม ปีและศกไทยโบราณ. กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๓๐.
วิจิตรมาตรา, ขุน (สง่า กาญจนาคพันธุ์). หลักไทย. พระนคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๐๖.
วีณา โรจนราธา. “ขุนบรม.” ในอักขรานุกรมประวัติศาสตร์ไทย อักษร ข. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ยูไนเต็ด
โปรดักชัน, ๒๕๒๗.
ศิลปากร, กรม. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๑. พระนคร : กองการพิมพ์สลากกินแบ่งรัฐบาล, ๒๔๙๙.
. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๐. พระนคร : โรงพิมพ์คุรุสภา, ๒๕๑๓.
สิลา วีระวงส์. พงศาวดารลาว. ประเทศลาว : กระทรวงศึกษาธิการลาว, ๒๕๐๐.
ขุนหลวง
ขุนหลวง เป็นค�ำขึ้นต้นพระนามของพระมหากษัตริย์ที่ใช้อยู่ในสมัยอยุธยาและสมัยธนบุรี ค�ำว่า
ขุนหลวง ประกอบด้วยค�ำ ขุน ซึ่งเดิมเป็นค�ำน�ำพระนามของพระมหากษัตริย์ หลวง คือ ใหญ่ และของ
ผู้เป็นใหญ่ คือ พระมหากษัตริย์ เช่น วังหลวง รถไฟหลวง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรง
ราชานุภาพทรงนิพนธ์ไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า ขุนหลวง เป็นพระนามที่ ราษฎร
เรียกพระมหากษัตริย์เมื่อล่วงรัชกาลไปแล้ว
สมัยสุโขทัย ในระยะเริ่มแรกถึงสมัยพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช นิยมเรียกกษัตริย์ หรือเจ้าเมืองว่า
ขุน เรียกพระมหากษัตริย์ว่า พ่อขุน ซึ่งแปลได้ว่า หัวหน้า หรือผู้เป็นใหญ่เหนือขุน คือมีขุนมาอ่อนน้อม
เป็นจ�ำนวนมาก เทียบได้กับแม่ทัพ ซึ่งแปลว่า หัวหน้าหรือผู้เป็นใหญ่ของทัพ ต่อมาถึงสมัยพระยาลิไทย
(พ.ศ. ๑๘๙๐–ประมาณ พ.ศ. ๑๙๑๑) นิยมเรียกพระมหากษัตริย์ว่า พระยา
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 109
บรรณานุกรม
ด�ำราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ. พระนคร : โรงพิมพ์
มหาดไทย, ๒๕๐๒.
ศิลปากร, กรม. พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา. กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, ๒๕๑๖.
พระยางั่วน�ำถุม
พระยางั่วน�ำถุม เป็นกษัตริย์ครองเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย พระนามปรากฏอยู่ในจารึกหลักที่ ๔๕
(พ.ศ. ๑๙๓๕) ซึง่ เป็นจารึกทีก่ ษัตริยส์ โุ ขทัยทรงท�ำสาบานกับกษัตริยน์ า่ น และมีขอ้ ความอ้างถึงบรรพบุรษุ
ของทั้งสองฝ่ายให้มาเป็นสักขีพยาน ในสมัยพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช (พ.ศ. ๑๘๒๒–ราว พ.ศ. ๑๘๔๑)
ขุนเป็นกษัตริยข์ องเมืองเล็ก ๆ ส่วนพ่อขุนเป็นกษัตริยข์ องแคว้นใหญ่หรืออาณาจักรทีม่ ขี นุ มาอ่อนน้อมเป็น
จ�ำนวนมาก ครั้นมาถึงสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย พ.ศ. ๑๘๙๐ ถึงระหว่าง พ.ศ. ๑๙๑๑–๑๙๑๗)
นิยมเรียกกษัตริย์ว่า พรญา ในจารึกหลักดังกล่าว ปรากฏพระนามปู่ไสสงคราม ปู่พรญาเลอไทย (พ.ศ.
๑๘๔๑– ) ปู่พรญางั่วน�ำถุม ปู่พรญามหาธรรมราชาที่ ๑ ตามล�ำดับ
จารึกหลักที่ ๔ (พ.ศ. ๑๙๐๔) มีข้อความเป็นภาษาเขมรว่า พ.ศ. ๑๘๙๐ พระมหาธรรมราชาที่ ๑
(ซึง่ ขณะนัน้ เป็นกษัตริยค์ รองเมืองศรีสชั นาลัยอยู)่ เสด็จน�ำพลพยุหเสนาทัง้ หลายเข้าประหารศัตรู แล้วเข้า
เสวยราชย์ในเมืองสุโขทัย ข้อความไม่ปรากฏชัดว่า พระยางั่วน�ำถุมทรงเป็นฝ่ายเดียวกับพระมหาธรรม
ราชาที่ ๑ หรือไม่ ถ้าเป็นฝ่ายเดียวกันเมื่อพระยางั่วน�ำถุมเป็นกษัตริย์ ก็คงจะทรงสนับสนุนให้พระมหา
ธรรมราชาที่ ๑ เป็นกษัตริย์ครองเมืองศรีสัชนาลัยใน พ.ศ. ๑๘๘๓ ดังปรากฏว่า พระมหาธรรมราชาที่ ๑
เมื่อเสวยราชย์ได้ย่างเข้า ๒๒ ปี จึงทรงพระผนวชใน พ.ศ. ๑๙๐๔ และเมื่อเสวยราชย์ในเมืองศรีสัชนาลัย
ได้ย่างเข้า ๖ ปี จึงทรงพระนิพนธ์ไตรภูมิกถาในปีระกา พ.ศ. ๑๘๘๘ เมื่อพระยางั่วน�ำถุมสิ้นพระชนม์แล้ว
พระโอรสของพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนพระมหาธรรมราชาที่ ๑ จึงเสด็จน�ำพลไปปราบ
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
110 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ถ้าพระยางั่วน�ำถุมเป็นคนละฝ่ายกับพระมหาธรรมราชาที่ ๑ พระยาเลอไทยก็คงทรงสนับสนุนให้
พระมหาธรรมราชาที่ ๑ พระโอรสเป็นกษัตริย์ครองเมืองศรีสัชนาลัยใน พ.ศ. ๑๘๘๓ และเมื่อพระยา
เลอไทยสิน้ พระชนม์แล้ว พระยางัว่ น�ำถุมขึน้ เสวยราชย์ทเี่ มืองสุโขทัยแทน พระมหาธรรมราชาที่ ๑ จึงทรง
ยกพลไปปราบพระยางั่วน�ำถุม
ในสมัยสุโขทัยนิยมน�ำชื่อปู่มาตั้งเป็นชื่อหลาน อาจสันนิษฐานว่า พระยางั่วน�ำถุมมีพ่อขุนศรีนาว
น�ำถมเป็นบรรพบุรษุ และพ่อขุนศรีอนิ ทราทิตย์ พระราชบิดาของพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช อาจจะอภิเษก
สมรสกับพระธิดาของพ่อขุนศรีนาวน�ำถุมก็เป็นได้
งั่ว เป็นค�ำน�ำหน้านามแสดงว่าเป็นลูกชายคนที่ ๕ และ น�ำถุม ยังมีใช้ในภาษาถิ่นแปลว่า น�้ำท่วม.
บรรณานุกรม
ประเสริฐ ณ นคร. งานจารึกและประวัติศาสตร์ของประเสริฐ ณ นคร. นครปฐม : โรงพิมพ์ศูนย์ส่งเสริม
และฝึกอบรมการเกษตรแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก�ำแพงแสน, ๒๕๓๔.
ศิลปากร, กรม จารึกสมัยสุโขทัย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ยไู นเต็ดโปรดักชัน, ๒๕๒๖. (จัดพิมพ์เนือ่ งในโอกาส
ฉลอง ๗๐๐ ปี ลายสือไทย พุทธศักราช ๒๕๒๖).
บรรณานุกรม
ประเสริฐ ณ นคร. งานจารึกและประวัติศาสตร์ของประเสริฐ ณ นคร. นครปฐม : โรงพิมพ์ศูนย์ส่งเสริม
และฝึกอบรมการเกษตรแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก�ำแพงแสน, ๒๕๓๔.
พระราชวิสทุ ธิโสภณ และคณะ. “ประวัตพิ ระยาง�ำเมือง.” ใน ล้านนาไทย. เชียงใหม่ : ทิพย์เนตรการพิมพ์,
๒๕๒๗. (อนุสรณ์พระราชพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์).
อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว. พื้นเชียงใหม่. เชียงใหม่ : ภาควิชาประวัติศาสตร์ สถาบันราชภัฏเชียงใหม่, ๒๕๓๙.
หนังสือจามเทวีวงศ์
จามเทวีวงศ์ เป็นต�ำนานว่าด้วยพงศาวดารเมืองหริภุญชัย หรือล�ำพูน พระโพธิรังษี พระภิกษุชาว
ล้านนาแต่งเรื่องนี้เป็นภาษาบาลี เมื่อราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ หรือต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ท่านเป็น
ผู้แต่งสิหิงคนิทานและในปริเฉทที่ ๘ ท่านได้กล่าวถึงพระเจ้าสามฝั่งแกน (ครองล้านนา พ.ศ. ๑๙๔๔–
๑๙๘๔) ว่ายังครองล้านนาอยู่จนถึงวันที่ท่านแต่งสิหิงคนิทาน
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
112 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
บรรณานุกรม
พระโพธิรังษี. “เรื่องจามเทวีวงศ์.” ใน พงศาวดารเมืองหริภุญชัย. แปลโดย พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ
ตาละลักษณ์) และพระญาณวิจิตร (สิทธิ โรจนานนท์). พระนคร : โรงพิมพ์พิฆเณศ, ๒๕๑๕.
สดุภณ จังกาจิตต์. “จามเทวีวงศ์ : วรรณกรรมที่ถูกลืม.” วรรณกรรมพุทธศาสนาในล้านนา. เชียงใหม่ :
สุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์, ๒๕๔๐.
พวกขุนนางหัวเมืองดังกล่าวประชุมกันที่เมืองเชียงแสน แล้วยกทัพมาฆ่าแสนคราวและพรรคพวก
เสีย ยกมหาเทวีจิรประภา (สันนิษฐานว่าเป็นพระมเหสีของพระเมืองเกศเกล้า) ขึ้นเป็นกษัตริย์เมื่อ
พ.ศ. ๒๐๘๘ พญาบรมไตรจักรแห่งอยุธยา (คือสมเด็จพระไชยราชาธิราช) ทรงยกทัพมาถึงเมืองเชียงใหม่
มหาเทวีจริ ประภาจึงแต่งเครือ่ งบรรณาการไปถวาย พญาบรมไตรจักรทรงบริจาคเงินสร้างกูเ่ ฝ่า (ทีเ่ ก็บอัฐิ
ของพระเมืองเกศเกล้า) เสด็จไปสรงน�้ำที่เวียงเจ็ดลิน แล้วเสด็จกลับอยุธยา ขณะเดียวกันกองทัพไทใหญ่
จากเมืองนายมาตัง้ ทัพทีส่ วนดอก แต่ถกู กองทัพเชียงใหม่ของมหาเทวีจริ ประภาตีแตกพ่ายกลับไป ทีเ่ มือง
เชียงใหม่ได้เกิดแผ่นดินไหว เจดีย์วัดเจดีย์หลวง เจดีย์วัดพระสิงห์ และเจดีย์องค์อื่น ๆ หักพังลงมาก
สามเดือนต่อมาทัพล้านช้างของพระอุปโยราชยกมาเสริมก�ำลังเมืองเชียงใหม่ เป็นเหตุให้พญาบรมไตรจักร
ทรงส่งเจ้าเมืองสุโขทัยมาตีได้เมืองล�ำพูน และทัพหลวงยกมาตีเมืองเชียงใหม่ แต่ถูกตีพ่ายแพ้เสียทหาร
จ�ำนวนมาก
พ.ศ. ๒๐๘๙ พระอุปโยราชเสด็จจากล้านช้างมาถึงเมืองเชียงใหม่ มหาเทวีจิรประภาได้ถวาย
เมืองให้พระอุปโยราชขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์เชียงใหม่ จนถึง พ.ศ. ๒๐๙๐ พระเจ้าโพธิสาร พระบิดา
พระอุปโยราชสิ้นพระชนม์ลง พระอุปโยราชจึงเสด็จกลับล้านช้างเพื่อไปร่วมพิธีศพพระบิดาพร้อมทั้ง
อัญเชิญพระพุทธรูปส�ำคัญ เช่น พระแก้วมรกต พระพุทธสิหิงค์ไปให้ชาวล้านช้างสักการบูชา รวมทั้ง
น�ำช่างฝีมือต่าง ๆ ไปด้วย แต่นั้นมา บ้านเมืองล้านนาก็เกิดกลียุคเพราะขุนนางรบพุ่งฆ่าฟันกันเอง
หลายครั้ง พระยาแพร่ พระยานครล้านช้าง และพระยาหัวเวียงล้านช้างจึงถือโอกาสยกทัพมารุกราน
เชียงใหม่ แต่ถูกตีกลับไป
พ.ศ. ๒๐๙๑ พระไชยเชษฐา พระอุปโยราชได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ที่ล้านช้าง ต่อมาใน
พ.ศ. ๒๐๙๔ ทรงตัดสินพระทัยที่จะครองราชย์ที่ล้านช้าง จึงทรงส่งคนน�ำธูปเทียนข้าวตอกดอกไม้จาก
ล้านช้างมาขอสมาพระสงฆ์ทเี่ มืองเชียงใหม่วา่ จะไม่เสด็จกลับมาเชียงใหม่อกี ขอให้มหาเทวีจริ ประภาครอง
เมืองต่อไป แต่พวกขุนนางกลับไปเชิญท้าวเมกุฎ (พระนามที่ถูกต้อง คือ ท้าวแม่กุ หมายความว่า เจ้าแห่ง
แม่น�้ำกุ) จากเมืองนายซึ่งเป็นเชื้อสายของพระยามังรายมหาราช ให้มาเป็นกษัตริย์เชียงใหม่ในปีนั้น
หลังจากนี้ก็ไม่ปรากฏชื่อมหาเทวีจิรประภาในพระราชพงศาวดารอีกเลย.
บรรณานุกรม
ต�ำนานพื้นเมืองเชียงใหม่. เชียงใหม่ : ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่, ๒๕๓๙. (จัดพิมพ์เนื่องใน
โอกาสเชียงใหม่ครบ ๗๐๐ ปี).
ประชากิจกรจักร, พระยา. พงศาวดารโยนก. พระนคร : ชูวัน, ๒๔๙๘.
สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. เชียงใหม่, ๒๕๓๙.
อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว. ต�ำนานพื้นเมืองเชียงใหม่. เชียงใหม่, ๒๕๔๒.
บทความวิชาการเรื่อง
ลายสือไทย
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 117
ลายสือไทย๑
ก�ำเนิดลายสือไทย
พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์ลายสือไทยหรือตัวหนังสือไทยขึ้นเมื่อมหาศักราช
๑๒๐๕ (พุทธศักราช ๑๘๒๖) นับมาถึงพุทธศักราช ๒๕๒๖ ได้ ๗๐๐ ปีพอดี ในระยะเวลาดังกล่าว
ชาติไทยได้สะสมความรูท้ งั้ ทางศิลปะ วัฒนธรรม และวิชาการต่าง ๆ และได้ถา่ ยทอดความรูเ้ หล่านัน้ สืบ
ต่อกันมาโดยอาศัยลายสือไทยของพระองค์ท่านเป็นส่วนใหญ่ ก่อนสมัยสุโขทัย ชาติไทยเคยรุ่งเรือง
อยู่ที่ไหนอย่างไร ไม่มีหลักฐานยืนยันให้ทราบแน่ชัด แต่เมื่อพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์
ลายสือไทยขึ้นแล้ว มีศิลาจารึกและพงศาวดารเหลืออยู่เป็นหลักฐานยืนยันว่า ชาติไทยเคยรุ่งเรืองมา
อย่างไรบ้างในยุคสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ในโอกาสครบรอบ ๗๐๐ ปีนี้ คนไทยทุกคน
จึงควรน้อมร�ำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่านโดยพร้อมเพรียงกัน
ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช มีข้อความปรากฏว่า “เมื่อก่อนลายสืไท
นี้บ่มี ๑๒๐๕ สกปีมแมพ่ฃุนรามคแหงหาใคร่ใจในใจแล่ใศ่ลายสืไทนี้ลายสืไทนี้จี่งมีเพื่อฃุนผู้น้นนใศ่ไว้”
หา แปลว่า ด้วยตนเอง (ไทยขาวยังใช้อยู่) ใคร่ใจในใจ แปลว่า ค�ำนึงในใจ (จากพจนานุกรม ไทยอาหม)
ข้อความที่อ้างถึงแสดงว่าพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์ตัวหนังสือไทยแบบที่จารึกไว้ในศิลา
จารึกหลักที่ ๑ ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๖
ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ได้กล่าวไว้ในต�ำนานอักษรไทย ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ว่า ค�ำ
ที่ใช้ในจารึกมีค�ำ นี้ อยู่ต่อค�ำ ลายสือ ทุกแห่ง (๓ แห่ง) หมายความว่า หนังสือไทยอย่างนี้ไม่มีอยู่ก่อน
มิได้ประสงค์จะทรงแสดงว่า หนังสือของชนชาติไทยพึ่งมีขึ้นต่อเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๖ เซเดส์ยังเห็นว่า พวก
ไทยน้อยซึ่งมาอยู่ทางล�ำนํ้ายม ชั้นแรกเห็นจะใช้อักษรไทยซึ่งได้แบบมาจากมอญ๒ ต่อมาขอมมีอ�ำนาจ
ปกครองสุโขทัย พวกไทยคงจะศึกษาอักษรขอมหวัดที่ใช้ในทางราชการ แล้วจึงแปลงอักษรเดิมของไทย
มาเป็นรูปคล้ายตัวอักษรขอมหวัด ถ้าประสงค์จะสมมติวา่ อักษรไทยเดิมเป็นอย่างไร ควรจะถือเอาอักษร
อาหม (ใช้ในอัสสัม) กับอักษรไทยน้อย (ใช้ในอีสานและประเทศลาว) นี้เป็นหลัก นายฉํ่า ทองค�ำวรรณ
ได้เขียนเรื่อง “สันนิษฐานเทียบการเขียนอักษรไทยกับอักษรขอมในสมัยพ่อขุนรามค�ำแหง” ไว้ และได้
สันนิษฐานว่า อักษรพ่อขุนรามค�ำแหงทุกตัวดัดแปลงมาจาก อักษรขอมหวัด
๑
ตัดตอนจากบทความเรื่อง ลายสือไทย เรียบเรียงโดย ศ. ดร.ประเสริฐ ณ นคร ลงพิมพ์ในหนังสือ รวมบทความเรื่องภาษา
และอักษรไทย กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๒๗ หน้า ๑๙-๒๔.
๒
ต�ำนานอักษรไทย, หน้า ๑, ๖ และ ๑๑.
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
118 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
มีหนังสือไทยเดิมก่อนลายสือไทยหรือไม่
ผูเ้ ขียนเคยบรรยายไว้ทหี่ อสมุดแห่งชาติ เมือ่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ว่า ถ้า ลายสือไทยนีบ้ ม่ ี หมายความ
ว่า หนังสือไทยชนิดนี้ไม่มี แต่คงจะมีหนังสือไทยแบบอื่นอยู่ก่อนแล้ว ในจารึกหลักเดียวกันนี้ได้กล่าวถึง
เมืองสุโขทัย ๑๔ ครั้ง ทุกครั้งใช้ค�ำ เมืองสุโขทัยนี้ จะตีความว่า มีเมืองสุโขทัยอยู่ก่อนแล้ว แล้วจึงมา
ตั้งเมืองสุโขทัยขึ้นใหม่กระนั้นหรือ ผู้เขียนเห็นว่า นี้ เป็นแต่ค�ำชี้เฉพาะ ถ้าเทียบกับภาษาอังกฤษก็คงจะ
ตรงกับ the เท่านั้น มิได้หมายความว่า this เพราะฉะนั้นที่ว่า ลายสือไทยนี้บ่มี คงมิได้หมายความว่า
มีลายสือไทยอื่นอยู่แล้ว แต่ผู้เขียนยอมรับว่าอาจจะมีหนังสือของไทยอาหมเกิดขึ้นทางอัสสัมในเวลา
ใกล้เคียงกับการก่อก�ำเนิดตัวหนังสือในสุโขทัยก็เป็นได้๑
ประวัติไทยอาหมปรากฏอยู่ในหนังสือบูราณยี ค�ำว่า ยี อาจจะตรงกับ สือ ใน ลายสือ หรือ
รากศัพท์เดียวกับ จื่อ ซึ่งใช้อยู่ในภาคเหนือและภาคอีสาน แปลว่า จดจ�ำ เช่น ได้จื่อจ�ำไว้ บูราณยีบอก
ประวัติผู้ครองราชย์มาตั้งแต่ยุคที่นิยมแต่งต�ำนานเป็นเทพนิยายลงมา ศักราชแรกที่กล่าวถึง คือ
พ.ศ. ๑๗๓๓ ส่วนไทยเผ่าอื่นเริ่มมีประวัติเป็นหลักเป็นฐานไม่เก่าไปกว่ายุคไทยอาหม หากเก่ากว่านั้น
ขึ้นไป จะเป็นเรื่องเทพนิยายแบบพงศาวดารเหนือหรือต�ำนานเก่า ๆ ของเรา ซึ่งเกี่ยวกับปาฏิหาริย์เป็น
ส่วนมาก ประวัติศาสตร์ไทยทุกเผ่ามาเริ่มจดเป็นหลักเป็นฐานในยุคพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชนี้ ผู้เขียน
จึงเห็นว่าตัวหนังสือไทยคงจะเกิดขึ้นต้นยุคสุโขทัยนี้เอง เมื่อมีตัวหนังสือใช้แล้วก็อาจจะจดเรื่องราว
ย้อนหลังขึ้นไปได้อีกสองสามชั่วคน
อีกประการหนึ่ง ไม่เคยมีผู้พบจารึกภาษาไทยก่อนยุคสุโขทัยขึ้นไปเลย จริงอยู่เป็นไปได้ว่า
คนไทยอาจจะมีตัวอักษรอื่นใช้อยู่ก่อนแล้ว แต่เผอิญจารึกหายไปหมด หรืออาจจะเขียนไว้บนไม้ไผ่หรือ
สิ่งอื่นที่ผุพังไปได้ง่ายก็เป็นได้ แต่ถ้ามีตัวอักษรอื่นอยู่ก่อนแล้ว ตัวอักษรแบบนั้นก็น่าจะปรากฏขึ้นที่ใด
ที่หนึ่ง เพราะดินแดนตั้งแต่อัสสัมถึงเวียดนามและจีนตอนใต้ถึงมลายูมีคนไทยอาศัยอยู่ทั่วไป ท�ำไมจึง
ไม่ปรากฏตัวอักษรแบบดังกล่าวเลย ไม่ว่าจะจารึกไว้ในรูปลักษณะใด ๆ ทั้งสิ้น
๑
หนังสือรวบรวมการบรรยายเรื่องตัวอักษรไทย หน้า ๕๕.
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 119
ตัวหนังสือของพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชแพร่หลายเข้าไปในล้านนา ดังปรากฏในศิลาจารึก
หลักที่ ๖๒ วัดพระยืนว่า พระมหาสุมนเถรน�ำศาสนาพุทธนิกายรามัญวงศ์ หรือนิกายลังกาวงศ์เก่า เข้าไป
ในล้านนา เมือ่ พ.ศ. ๑๙๑๒ และได้เขียนจารึกด้วยตัวหนังสือสุโขทัยไว้เมือ่ พ.ศ. ๑๙๑๔ ต่อมาตัวหนังสือ
สุโขทัยนี้ได้เปลี่ยนรูปร่างและอักขรวิธีไปบ้างกลายเป็นตัวหนังสือฝักขาม และล้านนายังใช้ตัวหนังสือ
ชนิดนี้มาจนถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
เชียงตุงและเมืองที่ใกล้เคียงในพม่ามีศิลาจารึกอักษรฝักขามซึ่งดัดแปลงไปจากลายสือของ
พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชอยู่กว่า ๑๐ หลัก เริ่มแต่ศิลาจารึกวัดป่าแดง พ.ศ. ๑๙๙๔ เป็นต้นมา นอกจากนี้
ยังมีจารึกที่เจดีย์อานันทะในพุกามเขียนด้วยตัวหนังสือสุโขทัย ประมาณ พ.ศ. ๑๙๑๔-๑๙๔๐ อยู่หลักหนึ่ง
ในประเทศลาวมีจารึกเขียนไว้ที่ผนังถํ้านางอันใกล้หลวงพระบางด้วยตัวอักษรสุโขทัยซึ่งมี
ลักษณะใกล้เคียงกับตัวหนังสือสมัยพระเจ้าลิไทย (พ.ศ. ๑๘๙๐-๑๙๑๑)
ไทยขาว ไทยด�ำ ไทยแดง เจ้าไทยในตังเกี๋ย ผู้ไทยในญวน และลาวปัจจุบันนี้ยังใช้ตัวอักษรที่
กลายไปจากลายสือของพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช
ถ้าคนไทยมีตัวอักษรไทยเดิมอยู่แล้ว ก็คงจะไม่ยอมรับลายสือไทยเข้าไปใช้จนแพร่หลาย
กว้างขวางไปในหลายประเทศดังกล่าวมาแล้ว เพราะการเปลีย่ นแปลงให้ผดิ ไปจากของทีเ่ คยชินแล้วท�ำได้
ยากมาก เป็นต้นว่า เราเคยเขียนค�ำว่า “น�้ำ” บัดนี้ออกเสียงเป็น “น้าม” แต่ก็มิได้เปลี่ยนวิธีเขียนให้ตรง
กับเสียง
ผู้เขียนเห็นว่า ในชั้นแรกเมื่อคนไทยมิได้เป็นชนชั้นปกครองก็จ�ำเป็นจะต้องเรียนตัวหนังสือ
ที่ทางราชการบ้านเมืองใช้อยู่ เพื่ออ่านประกาศของทางราชการให้เข้าใจ ถ้าจะประดิษฐ์ตัวหนังสือขึ้นใช้
เอง จะไปบังคับใครให้มาเรียนหนังสือดังกล่าว เมื่อใดคนไทยได้เป็นชนชั้นปกครองขึ้น ก็น่าจะดัดแปลง
ตัวหนังสือที่ใช้กันอยู่ในถิ่นนั้นมาเป็นตัวหนังสือของไทย เช่น คนไทยในเมืองจีนคงดัดแปลงตัวหนังสือ
จีนมาใช้ คนไทยในล้านนาคงจะดัดแปลงตัวหนังสือมอญซึ่งนิยมใช้กันในถิ่นนี้มาก่อน ส่วนพ่อขุน
รามค�ำแหงมหาราชก็น่าจะดัดแปลงตัวหนังสือขอมซึ่งนิยมใช้กันอยู่แถวลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยามาแต่เดิม
หากมีตวั อักษรไทยเดิมอยูแ่ ล้ว พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชคงจะทรงใช้ตวั อักษรไทยเดิม หรือทรงดัดแปลง
จากนัน้ บ้างเล็กน้อยแทนทีจ่ ะดัดแปลงจากอักษรขอมเป็นส่วนใหญ่ แท้จริงนัน้ มีเค้าเงือ่ นอยูใ่ นพงศาวดาร
เหนือว่าพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชได้ทรงอาศัยนักปราชญ์ราชบัณฑิตที่เชี่ยวชาญตัวหนังสือชาติต่าง ๆ
ที่อยู่ใกล้เคียงไทย ยกเว้นแต่จีน เพราะจีนใช้หลักการเขียนหนังสือเป็นรูปภาพ ผิดกับหลักการเขียนเป็น
รูปพยัญชนะและสระแบบของไทย รูปอักษรของพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชคล้ายตัวหนังสือลังกา
บังกลาเทศ ขอม และเทวนาครี ฯลฯ เป็นต้นว่า ตัว จ ฉ หันหน้าไปคนละทางกับอักษรขอม แต่หันไป
ทางเดียวกับตัวอักษรลังกาที่มีอยู่ก่อนแล้ว
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
120 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
สมัยพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชยังไม่มีไม้หันอากาศ แต่ใช้พยัญชนะตัวเดียวกันหรือวรรค
เดียวกันเขียนติดกัน เช่น อนน แทน อัน และ อฏฐ แทน อัฏฐ
พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์ลายสือไทยขึ้น โดยมิได้ทรงทราบว่ามีตัวหนังสือ
ไทยเดิมอยู่ก่อน ข้อพิสูจน์ข้อหนึ่งคือไทยอาหมและไทยค�ำที่ (ข�ำตี้) ออกเสียงค�ำ อัน คล้ายกับค�ำ อาน
แต่เสียงสระสั้นกว่า และออกเสียงค�ำ อัก-อาก อัง-อาง อัด-อาด อับ-อาบ เหมือนกับตัวหนังสือของเราโดย
ออกเสียงค�ำต้นสั้นกว่าค�ำหลังในคู่เดียวกัน แต่ออกเสียง อัว ว่า เอา เพราะถือหลักการที่กล่าวมาข้างต้น
แล้วว่า อัว คือ อาว ที่เสียงสระสั้นลง พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชทรงใช้ อวว (คืออัว) เป็นสระ อัว แทนที่
จะเป็นสระ เอา หากคนไทยเคยอ่าน อัว เป็น เอา ซึ่งถูกตามหลักภาษาศาสตร์มาแต่เดิมแล้วคงยากที่
จะเปลี่ยนแก้ให้อ่านเป็น อัว ซึ่งขัดกับความเคยชิน ฉะนั้นจึงน่าเชื่อว่า พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชทรง
ประดิษฐ์ตัวหนังสือไทยขึ้นโดยมิได้ทรงทราบว่า มีตัวหนังสือไทยเดิมอยู่ก่อนแล้ว
พ่อขุนมังรายมหาราช (เป็นพระนามที่ถูกต้องของพระยาเม็งราย) คงจะได้ดัดแปลงตัวอักษร
มอญมาใช้เขียนหนังสือไทยในเวลาใกล้เคียงกัน ดังตัวอย่างตัวอักษรในจารึกลานทองสุโขทัย พ.ศ. ๑๙๑๙
ส่วนไทยอาหมคงสร้างตัวหนังสือขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกับตัวหนังสือสุโขทัย ทั้งนี้เพราะ
คนไทยเพิ่งจะสร้างอาณาจักรเป็นปึกแผ่นกว้างขวางออกไปในระยะนั้น อย่างไรก็ดี นักอ่านศิลาจารึก
หลายท่านเชื่อว่ารูปตัวอักษรของไทยอาหมชี้ให้เห็นว่า อักษรไทยอาหมพึ่งเกิดใหม่หลังอักษรพ่อขุน
รามค�ำแหงมหาราชเป็นระยะเวลานานทีเดียว
คุณวิเศษของลายสือไทย
๑. ลายสือไทยของพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชมีลกั ษณะพิเศษกว่าตัวอักษรของชาติอนื่ ซึง่ เป็น
ลูกศิษย์ของชาวอินเดีย กล่าวคือ ชาติอื่นขอยืมตัวหนังสือของอินเดียมาใช้โดยมิได้ประดิษฐ์พยัญชนะ
และสระเพิ่มขึ้นให้พอกับเสียงพูดของคนในชาติ ยกตัวอย่างเช่น เขมรโบราณ เขียน เบก อ่านออกเสียง
เป็น เบก แบก หรือ เบิก ก็ได้ ไทยใหญ่เขียน ปีน อ่านออกเสียงเป็น ปีน เปน หรือ แปน ก็ได้ เวลาอ่าน
จะต้องดูความหมายของประโยคก่อน จึงจะอ่านออกเสียงได้ถูกต้อง
พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์ตัวพยัญชนะ สระ อีกทั้งวรรณยุกต์ขึ้น เป็นต้นว่า
ได้เพิ่ม ฃ ฅ ซ ฎ ด บ ฝ ฟ อ สระอึ อือ แอ เอือ ฯลฯ ไม้เอก ไม้โท (ในรูปกากบาท) จนท�ำให้สามารถ
เขียนค�ำไทยได้ทุกค�ำ
๒. อักขรวิธีที่ใช้ สามารถเขียน ตาก-ลม แยกออกไปจาก ตา-กลม ท�ำให้อ่านข้อความได้
ถูกต้อง ไม่ก�ำกวม กล่าวคือ ถ้าเป็นอักษรควบกลํ้าให้เขียนติดกัน ส่วนตัวสะกดให้เขียนแยกห่างออกไป
เช่น ตา-กลม เขียนเป็น ตา กลํ ส่วน ตาก-ลม เขียนเป็น ตา ก ลํ
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 121
อักขรวิธีลายสือไทย
๑. พยัญชนะต้นและสระเขียนเชื่อมติดต่อกัน เช่น กา
๒. ตัวสะกดเขียนแยกออกไป เช่น การ เขียนเป็น กา ร
๓. อักษรควบเขียนเชื่อมติดกัน เช่น กราน เขียนเป็น กรา น
๔. อักษรน�ำเขียนเชื่อมกับอักษรตาม เช่น แหนง เขียนเป็น แหน ง
๕. ไม้หันอากาศยังไม่มีใช้ ก�ำหนดให้ใช้พยัญชนะตัวเดียวกัน หรือพยัญชนะวรรคเดียวกัน
เขียนเชื่อมกันสองตัวแทน เช่น อัน เขียนเป็น อ นน และ อัง เขียนเป็น อ งง
๖. สระ ออ และ อือ ไม่ต้องมี อ เคียง เช่น เขียน พ่ชื่ แทน พ่อชื่อ
๗. สระ อิ อี อือ อุ อู น�ำมาเขียนข้างหน้าติดกับพยัญชนะต้น เช่น ป น แทน ปีน
๘. สระ เอือ ประกอบด้วย สระ อือ สระ เอ พยัญชนะต้น ตัว อ เรียงกันไป โดยตัวอักษร
แต่ละตัวเชื่อมกับตัวที่อยู่ถัดไปข้างหลังตามล�ำดับ เช่น เมือง เขียนเป็น เมอ ง และ เมือ เขียน เป็น
เมอ อ มี อ มาเคียงแทน ตัว ง สะกด
๙. นฤคหิต ใช้แทนตัว ม สะกด เช่น ชํ แทน ชม แต่รูปเป็นครึ่งวงกลม แทนที่จะเป็นวงกลม
ทั้งวง
๑๐. สระ เอีย ประกอบด้วยสระ อี พยัญชนะต้น ตัว ย เรียงกันไป โดยแต่ละตัวเชื่อมกับตัว
ที่อยู่ถัดไปข้างหลังตามล�ำดับและมีตัว ย เคียงอีกตัวหนึ่ง แต่วางไว้ห่างออกไป เช่น เมีย เขียน เป็น มย ย
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 123
๑
ฒ ปรากฏในจารึกวัดบูรพาราม สุโขทัย ประมาณ พ.ศ. ๑๙๕๖ และ ฬ ปรากฏในจารึกวัดอโสการาม สุโขทัย ประมาณ
พ.ศ. ๑๙๔๒ และจารึกวัดบูรพาราม.
บทความวิชาการจาก
พจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทย
สมัยสุโขทัย
ไตรภูมิกถา
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 125
บรรดาศักดิ์สมัยสุโขทัย
ตามที่ปรากฏในศิลาจารึก ต�ำแหน่งผู้บังคับบัญชาคนของสุโขทัยคล้ายคลึงกับของล้านนา
และไม่ปรากฏว่าใช้บรรดาศักดิ์แบบอยุธยา
จากมังรายศาสตร์ฉบับอ�ำเภอเสาไห้ พ.ศ. ๒๓๔๒ ก�ำหนดต�ำแหน่งผู้บังคับบัญชาคนของ
ล้านนาว่ามีดังนี้ ไพร่สิบคนให้มีนายสิบผู้หนึ่ง และมีข่มกว้านเป็นล่ามติดต่อการงาน ล�ำดับต่อไปมี
นายห้าสิบ นายร้อย ล่ามพัน เจ้าพัน ล่ามหมื่น เจ้าหมื่น และท้าวพระยา แต่ในจารึกล้านนา ปรากฏว่า
มีนายซาว ซึ่งควบคุมไพร่ยี่สิบคนอยู่ด้วย
สมัยที่พระยายุธิษเฐียรเอาใจออกหากจากสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไปเข้ากับพระเจ้า
ติโลกราชแห่งเชียงใหม่ เจ้าเมืองมีตำ� แหน่งเป็นเจ้าหมืน่ หรือหมืน่ ในขณะทีพ่ ระยายุธษิ เฐียรเป็นเจ้าเมือง
สี่เมืองได้เป็นเจ้าสี่หมื่นพระเยา
จารึกสุโขทัยมีค�ำ หัวปาก (เท่ากับ นายร้อย ดูจารึกหลักที่ ๘๖) ล่ามหมื่น ล่ามพัน (ค�ำว่า พัน
หักหายเหลือ พ เพียงครึ่งตัว ดูหลักที่ ๔๕) นายพัน (หลักที่ ๑๕) ส่วน ขุน ในสมัยพ่อขุนรามค�ำแหง
มหาราชเป็นเจ้าเมือง หรือกษัตริย ์ ค�ำ พ่อขุน แปลว่าผูเ้ ป็นใหญ่เหนือขุนทัง้ หลาย เหมือนแม่ทพั เป็นใหญ่
ในทัพ พ่อขุนมีขุนมาเป็นบริพารหลายเมืองด้วยกัน มาถึงสมัยพระเจ้าลิไทยใช้ พระยา น�ำพระนาม
กษัตริย์
สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กษัตริย์เป็นสมเด็จเจ้าพระยา ในที่สุดพระบาทสมเด็จ จึง
จะเป็นกษัตริย์ ส่วนขุน พระยา สมเด็จเจ้าพระยา กลายเป็นบรรดาศักดิ์ของขุนนางไป
ไทอาหมมีต�ำแหน่งหัวซาว (นายยี่สิบ) หัวปาก (นายร้อย) และหัวริง (นายพัน) จึงน่าจะ
สันนิษฐานได้ว่า ก่อนที่ไทยจะแยกย้ายจากกันมาเป็นไทอาหม ล้านนา และสุโขทัยนั้นคงได้ใช้ต�ำแหน่ง
แบบนี้มาก่อนแล้ว
ส่วนอยุธยาปรากฏตามพระราชพงศาวดารฉบับปลีกว่า ตอนต้นรัชสมัยสมเด็จพระบรม
ไตรโลกนาถ ยังใช้เรียกเจ้าประเทศราชเป็นพรญาอยู่ เวลายกทัพไปมีแม่ทัพนายกอง ส่วนใหญ่เป็นขุน
เช่น ขุนก�ำแพงเพชร และมี หมื่น อยู่บ้าง ต่อมาตอนปลายรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถปรากฏ
ตามพระไอยการต�ำแหน่งนาพลเรือน ว่ามีต�ำแหน่ง พระ หลวง ขุน หมื่น ลงไปจนถึง นายหัวสิบ แสดงว่า
รับแบบบรรดาศักดิ์จากเขมรเข้ามาใช้ร่วมกับต�ำแหน่ง หมื่นพัน ฯลฯ ซึ่งเป็นของเดิม หรือมิฉะนั้น
ก็อาจน�ำเอาต�ำแหน่งเจ้าประเทศราช (เจ้าพรญา พรญา) และต�ำแหน่งเจ้าเมืองที่เป็นเมืองขึ้น (ขุน)
มาเป็นต�ำแหน่งขุนนางอยุธยา
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
126 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
หนังสืออ้างอิง
๑. พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับปลีก – ข้อมูลประวัติศาสตร์ในรอบศตวรรษ (พ.ศ. ๒๕๒๐-
๒๕๓๐) ของสมาคมประวัติศาสตร์.
๒. พระไอยการต�ำแหน่งนาพลเรือน – กฎหมายตราสามดวง กรมศิลปากรจัดพิมพ์เผยแพร่.
๓. มังรายศาสตร์. พิมพ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงโหตรกิตยานุพัทธ์ (อาสา โหตระกิตย์)
พ.ศ. ๒๕๑๔.
ผู้นิพนธ์และวันนิพนธ์ไตรภูมิกถา
ผู้นิพนธ์
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๗ ข้าพเจ้าได้เขียนบทความเรื่องประวัติศาสตร์สุโขทัย และได้แสดงให้เห็นว่า
พระเจ้าลิไทยนิพนธ์ไตรภูมิกถาเมื่อ พ.ศ. ๑๘๘๘ แต่มาจนถึงบัดนี้ก็ยังมีผู้อ้างพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ
กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพว่า ปีนิพนธ์ศักราช ๒๓ ปีระกาไม่ทราบว่าปีใด กรณีคล้ายคลึงกันใน
พ.ศ. ๒๔๘๗ ข้าพเจ้าได้แสดงให้เห็นว่า โคลงนิราศหริภญชัยแต่งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๐๖๐ ศรีทิพเป็นผู้หญิง
มิใช่ผู้แต่ง แต่จนบัดนี้คนจ�ำนวนมากก็ยังอ้างว่า นายศรีทิพ เป็นผู้แต่งนิราศเรื่องนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๑๘๐
ต่อมา นายไมเคิล วิกเกอรี เขียนบทความคัดค้านว่า ผู้นิพนธ์ไตรภูมิกถาน่าจะเป็นพระยา
ไสยลิไทย พระราชนัดดาของพระเจ้าลิไทยมากกว่า โดยอ้างความในอวสานพจน์ว่า “พระยาลิทัยผู้เป็น
หลานปูพ่ ระยาเลลิทยั ผูเ้ สวยราชย์ในเมืองศรีสชั นาลัยแลสุกโขทัย ผูเ้ ป็นหลานแก่พระรามราช” ผูน้ พิ นธ์
จึงเป็นหลานของพระเจ้าลิไทยผู้เป็นหลานพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชอีกต่อหนึ่ง ม.จ.จันทร์จิรายุ รัชนี
ทรงรับความเห็นนี้และทรงต�ำหนิว่าข้าพเจ้าปิดบังความจริง กล่าวถึงแต่บานแพนก ไม่กล่าวถึงอวสานพจน์
ไว้ด้วย
ข้าพเจ้าเห็นว่าข้อความในบานแพนกและอวสานพจน์เป็นข้อความเดียวกัน แต่คดั ลอกหลาย
ครั้งจนคลาดเคลื่อนกลายเป็นคนละเรื่องไป และเห็นว่าข้อความตอนต้นผู้คัดยังมีสมาธิไม่เมื่อยล้าจึงน่า
เชื่อกว่าข้อความตอนอวสาน ซึ่งผู้คัดเบื่อหน่ายมากแล้ว ฉะนั้นจึงถือว่า “เจ้าพญาเลไทยผู้เป็นลูกแห่ง
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 127
วันนิพนธ์
(๑) ในบานแพนก มีข้อความว่า วันนิพนธ์ วันพฤหัสบดี เพ็งเดือนสี่
(๒) ในอวสานพจน์ว่า วันนิพนธ์ วันพฤหัสบดี เพ็งเดือนสิบ
(๓) ต่อจาก ข้อ (๒) มีข้อความว่า “มฤคเศียรนักษัตร” เมื่อเป็นวันเพ็ญควรจะตรงกับเดือน
อ้าย
การคัดตัวเลขอาจผิดพลาดได้ง่าย จึงน่าเชื่อถือว่าวันนิพนธ์ควรจะเป็นเดือนอ้าย วันเพ็ญ
ตรงกับวันพฤหัสบดี
เมือ่ สอบกับวันในสัปดาห์แล้ว วันเพ็ญเดือนอ้าย พ.ศ. ๑๘๘๘ ตรงกับวันพฤหัสบดี แต่วนั เพ็ญ
เดือนสี่หรือเดือนสิบไม่ตรงกับวันพฤหัสบดี จึงช่วยยืนยันว่า วันนิพนธ์ไตรภูมิกถา ตรงกับวันพฤหัสบดี
วันเพ็ญ เดือนอ้าย ปีระกา พ.ศ. ๑๘๘๘
หากจะให้สนั นิษฐานว่า การคัดลอกเดือนอาจจะผิดพลาดมาอย่างใด ก็อาจสันนิษฐานว่าเดิม
เขียนเดือนอ้ายเป็นตัวเลขคือเดือน ๑ แล้วมีจุดเปื้อนมาต่อท้ายท�ำให้อ่านเป็นเดือน ๑๐ แล้วเขียนเป็น
ตัวหนังสือเวลาคัดหรืออ่านได้ยินเป็นเดือนสี่ไปอีกต่อหนึ่ง.
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
128 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ไพร่
ไพร่ หมายถึง ประชาชนทั่วไป ซึ่งยามปรกติเป็นพลเรือน ยามสงครามเป็นทหาร ไพร่สิบคน
มีหัวหน้าคนหนึ่ง เรียกว่า นายสิบ ไพร่ร้อยคนมีหัวหน้า คือ หัวปาก ล�ำดับต่อไปมีหัวพัน หัวหมื่น และ
เจ้าแสน การปกครองแบบนี้ใช้อยู่ในสุโขทัย ล้านนา ไทยอาหม ฯลฯ สมัยโบราณ
.
ไพร่ฟ้าข้าไท
จารึกหลักที่ ๑ (พ.ศ. ๑๘๓๕) หลักที่ ๓ (พ.ศ. ๑๙๐๐) และหลักที่ ๕ (พ.ศ. ๑๙๐๔) ใช้ ไพร่ฝ้า
ข้าไท หมายถึง ประชาราษฎร เช่น จารึกหลักที่ ๕ ว่า “พระยาลือไทย...รู้ปราณีแก่ไพร่ฝ้าข้าไท
ทั้งหลาย” กฎหมายตราสามดวงใช้ ไพร่ฟ้าข้าไท หลายแห่ง ตัวอย่างเช่น
“เจ้าเมืองเอาพลไพร่ฟ้าข้าไททั้งหลายออกเลี้ยงนอกเมือง” และใช้ “อณาประชาราษฎรไพร่ฟ้า
ข้าขอบขัณฑเสมา”
ไพร่ คู่กับ ฟ้า แต่เดิมคงมีความหมายเท่ากับ ข้า คู่กับ ไท เพราะจารึกหลักที่ ๑ ชอบใช้วลีที่
มีความหมายอย่างเดียวกันซ้อนกัน เช่น ข้าเสิกข้าเสือ หัวพุ่งหัวรบ กฎหมายตราสามดวงกล่าวถึง
“ข้าหนีเจ้า ไพร่หนีนาย”
ข้า คงไม่เท่ากับ ทาส เพราะจารึกหลักที่ ๓ มีข้อความว่า “ไพร่ฝ้าข้าไทขี่เรือไปค้า ขี่ม้าไป
ขาย” ถ้าปล่อยให้ทาสไปค้าขาย ก็คงจะหลบหนีกันไปหมด
ต่อมาถึงสมัยอยุธยา ไพร่ของฟ้า คงจะหมายถึง คนของหลวง และ ข้าของไท หมายถึง บริวาร
ของผู้เป็นนาย และท้ายที่สุด ในกฎหมายตราสามดวงได้ลดฐานะของข้าลง โดยใช้ “ถ้าไพร่ฟ้าทาษไท
ใคร ๆ หนีนายหนีเจ้า”
นอกจากนี้ จารึกสุโขทัยยังกล่าวรวมไพร่ฝ้าข้าไทไปกับทรัพย์ศฤงคารของบุคคล เช่น “ช้าง
ขอ ลูกเมีย เยียข้าว ไพร่ฝ้าข้าไท ป่าหมากป่าพลู (ของ) พ่อเชื้อมัน” (จารึกหลักที่ ๑) และ “ช้างม้าข้าไท
ทั้งหลาย” (จารึกหลักที่ ๑๐๒) ไตรภูมิกถากล่าวถึง “มีช้าง มีม้า มีข้า มีไท แกล้วหาญ มีรี้พลเพียงดัง
พระอินทร์” ไท หมายถึง ผู้มีอิสระแก่ตน ดังจะเห็นได้จากจารึกหลักที่ ๑๐๖ ว่า “ข้าและเมียมัก (รัก)
กันให้ขา (เขาทั้งสอง) แก่กันไปเป็นไท”.
อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร 129
พระเกตุ
พระเกตุ (โหร) ชื่อดาวพระเคราะห์ดวงที่ ๙ มีเลข ๙ เป็นเครื่องหมาย
พระเกตุมีปรากฏอยู่ในดวงชาตาซึ่งผูกขึ้นในสมัยหลังนี้ แต่ไม่ปรากฏในจารึกทั้งภาคเหนือ
และเชียงตุงสมัย พ.ศ. ๒๐๑๙ ถึง พ.ศ. ๒๓๓๙ รวมทั้งจารึกเรื่องสร้างวัดบรมนิวาส พ.ศ. ๒๓๗๗ ด้วย
ในเตภูมิกถามีพระชาตาวันตรัสรู้ วันปรินิพพาน และวันธาตุนิพพาน ซึ่งมีพระเกตุอยู่ราศี
พฤษภ แต่ขาดลัคนาซึ่งจ�ำเป็นจะต้องปรากฏในพระชาตาด้วย ตามพระชาตาที่พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงให้โหรค�ำนวณไว้ ทัง้ พระชาตาวันตรัสรูแ้ ละวันปรินพิ พาน ลัคนาอยูร่ าศีพฤษภ
แต่พระเกตุอยูร่ าศีอนื่ จึงน่าจะสันนิษฐานว่า ผูค้ ดั ลอกเตภูมกิ ถาคงจะส�ำคัญผิดอ่าน ล ซึง่ แทนลัคนาเป็น
พระเกตุไป เพราะสมัยโบราณ เลข ๙ ซึ่งแทนพระเกตุ มีลักษณะเหมือน ล อยู่ด้วย.
นาที
นาที ในเตภูมิกถาตรงกับมหานาทีที่ใช้ในโหราศาสตร์ และเป็นหน่วยเวลาเท่ากับ ๒๔ นาที
ตามเวลาปัจจุบัน ในที่นี้จะใช้ค�ำ “มหานาที” แทน “นาที (โบราณ) ในเตภูมิกถา” เพื่อป้องกันความ
เข้าใจสับสนระหว่างนาทีโบราณกับนาทีปัจจุบัน
ทางโหราศาสตร์ วันหนึ่งแบ่งออกเป็น ๖๐ มหานาที ๑ มหานาทีจึงเท่ากับ ๒๔ นาที ปัจจุบัน
เตภูมิกถาอธิบายว่า วันที่กลางวันกลางคืนเท่ากันนั้น กลางวันยาว ๑๕ มหานาที (๖ ชั่วโมง) และกลางคืน
ยาว ๑๕ มหานาที (๖ ชั่วโมง) หลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร์) อธิบายไว้ในต�ำราโหราศาสตร์
เล่ม ๓ ว่า กลางวัน (กลางของวัน) ก�ำหนดแต่เวลาเที่ยงวันมาถึงเวลายํ่าคํ่า (เท่ากับครึ่งวัน) และ
กลางคืน (กลางของคืน) ก�ำหนดแต่เที่ยงคืนถึงยํ่ารุ่ง (เท่ากับครึ่งคืน) ถ้านับกลางวันเต็มวันจะเป็นเวลา
๓๐ มหานาที เท่ากับ ๑๒ ชั่วโมง
ในเวลาที่กลางวันยาวที่สุด กลางวันยาวถึง ๑๘ มหานาที คิดแต่เที่ยงวันถึงยํ่าคํ่า ถ้าคิดกลางวัน
ทั้งวันตั้งแต่ยํ่ารุ่งถึงยํ่าคํ่า กลางวันที่ยาวที่สุดจะยาวเท่ากับ ๓๖ มหานาที หรือ ๑๔ ชั่วโมง ๒๔ นาที
และกลางคืนในตอนนัน้ จะสัน้ ลงเหลือเพียง ๑๒ มหานาที เมือ่ คิดตัง้ แต่เทีย่ งคืนถึงยํา่ รุง่ ถ้าคิดเต็มทัง้ คืน
จะเป็นเวลา ๒๔ มหานาที หรือ ๙ ชั่วโมง ๓๖ นาที.
หนังสืออ้างอิง
๑. พระสุริยยาตร์และมานัตต์. โรงพิมพ์ศรีหงส์, ๒๔๗๓.
๒. วิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร์), หลวง. ต�ำราโหราศาสตร์ เล่ม ๓ ภาคที่ ๑.
พิมพ์ที่ ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด อรุณการพิมพ์ โทร. ๐ ๒๒๘๒ ๖๐๓๓-๔