Professional Documents
Culture Documents
หน้ า 1
รู ปที่ 1 รู ปที่ 2
รู ปที่ 3 รู ปที่ 4
รู ปที่ 5 รู ปที่ 6
รู ปที่ 7 รู ปที่ 8
หน้ า 2
กราฟที่ 1 กราฟแสดงปริมาณความชื ้น (%RH) ที่แปรเปลี่ยนโดยทัว่ ไป 1 วัน
ตารางที่ 1 ตารางที่ 2
หน้ า 3
ความชื ้นที่ควบคุมไม่ได้ ถ้ าไม่หาสถานที่ติดตังท่ ้ อนําความเย็นที่เหมาะสมแล้ วจะเกิดปั ญหาเรื่ อง
หยดนํ ้า ดังรู ปที ่ 9 ทําให้ ผ้ อู อกแบบต้ องหาสถานที่ที่เหมาะสมในการติดตังท่
้ อนําความเย็นที่เมื่อ
เกิดปั ญหาหยดนํ ้าแล้ วไม่สร้ างปั ญหา เช่นการวางแนวท่อนําความเย็น บนระเบียง, อยู่เหนือสวน
ดังรู ปที ่ 10
รู ปที่ 9 รู ปที่ 10
รู ปที่ 11 รู ปที่ 12
หน้ า 4
1.3 ท่ อนําความเย็นที่อยู่ภายในอาคารที่ความชื้นจากภายนอกไม่ สามารถเข้ าในอาคารได้
โดยปกติความชื ้นจากภายนอกสามารถเข้ าอาคารได้ ซึ่งมักเข้ ามาทางประตู ระบบปรับอากาศ
สามารถลดความชื ้นอากาศภายในอาคารได้ แต่ถ้าเข้ ามามากๆ ก็จะทําให้ เกิดหยดนํ ้าบนหัวลม
จ่ายแอร์ ได้ ดังนันประตู
้ ที่มีคนเข้ าออกมาก จึงนิยมติด air curtain เพื่อทํา precool air และ
ขณะเดียวกันก็ สามารถแก้ ปัญหาหยดนํา้ บนหัวจ่ายได้ อีกด้ วย ปั ญหาการเกิดหยดนํา้ ภายใน
อาคารที่ความชื ้นจากภายนอกไม่สามารถเข้ าในอาคารได้ แบ่งได้ เป็ น 2 กรณีคือ
1.3.1 กรณีที่ 1 มีแหล่งความชื ้นภายในอาคาร แหล่งความชื ้นในอาคารมาจากห้ องครัว, ห้ องนํ ้า,
ห้ องซักล้ าง, ห้ องหรื อบริ เวณอื่นๆ ที่มีการใช้ นํ ้ามาก ห้ องหรื อบริ เวณเหล่านี ้ทําให้ เกิด
ปั ญหาหยดนํ ้าขึ ้นได้ ดังรู ปที ่ 13 การแก้ ไขสามารถกระทําได้ หลายวิธีอาทิเช่น การติดระบบ
ระบายอากาศชื ้นออกจากอาคาร, การหลีกเลี่ยงการติดตังท่ ้ อนําความเย็นผ่านบริ เวณ
ดังกล่าว, การแยกห้ องดังกล่าวออกจากตัวอาคาร หรื อติดตังท่ ้ อนําความเย็นที่เกิดหยดนํ ้า
แล้ วไม่สร้ างปั ญหาอย่างเช่นในช่องชาร์ ปเป็ นต้ น
รู ปที่ 13
หน้ า 5
1.3.2 กรณีที่ 2 การเคลื่อนย้ ายความชื ้นภายในอาคาร ความชื ้นจะเคลื่อนย้ ายจากที่มีมากไปหา
ที่มีน้อย ถ้ าอุณหภูมิใกล้ เคียงในการเคลื่อนย้ ายความชื ้นก็จะช้ าเช่น บริ เวณหนึ่งมีความชื ้น
70 %RH 27C แต่ถ้ามีอณ ุ หภูมิและความชื ้นที่แตกต่างกันมาก ความชื ้นจะมีการ
เคลื่อนย้ ายเร็ วมาก ปริ มาณความชื ้นที่อณุ หภูมิตา่ งๆ กัน ดังตาราง 3 และ รู ปที ่ 14 แสดง
การเกิดหยดนํ ้าบนท่อนําความเย็นจากการเคลื่อนย้ ายความชื ้น ความชื ้นจะไปสะสมอยู่ที่
บริ เวณที่ มีอุณหภูมิสูง แต่ตอนดึกอุณหภูมิอากาศบริ เวณดังกล่าวลดลงมาก อากาศที่
อุณหภูมิตํ่าความสามารถในการดูดความชืน้ จะตํ่าลงด้ วย ทําให้ ค่าความชื ้นสัมผัส (%
RH) สูงขึ ้นมากจนในบางแห่งมีสภาพเป็ นหมอกอยู่บนช่องเหนือฝ้า วัสดุต่างๆ นอกจาก
ฉนวนแล้ ว เช่นโครงเหล็ก, ผนัง, ปูนซิเมนต์, แผ่นฝ้า และวัสดุอื่นๆ จะเปี ยกชื ้น การแก้ ไข
ปั ญหานี ้มีหลายวิธี เช่นการใส่แผ่นฉนวนการสร้ างหลังคา หรื อทําสวนบนดาดฟ้า เพื่อลด
อุณหภูมิของอากาศในช่องฝ้า, การระบายอากาศและการกันไม่ ้ ให้ อากาศไหลผ่านบริ เวณ
ดังกล่าวเป็ นต้ น
รู ปที่14
หน้ า 6
2. การหาความหนาที่เหมาะสม
ในอดีตที่ผา่ นมามีการใช้ ฉนวนหลายประเภท ความหนาของฉนวนแต่ละประเภทแตกต่างกัน เริ่มตังแต่ ้
การใช้ ฉนวนใยแก้ ว ที่มีการหุ้มหนาระหว่าง 1.5 นิ ้ว (38 มม.) จนถึง 4 นิ ้ว (100 มม.) ที่ความหนาแน่น
2-4 ปอนด์/ลูกบาศก์ฟตุ (32-64 กก./ ลูกบาศก์เมตร) และหุ้มทับด้ วยแผ่นอลูมิเนียมฟอล์ย หรื อวัสดุ
กันความชื ้นอื่นๆ (Water Vapor Barriers) ฉนวนใยแก้ วเป็ นฉนวนที่มีโครงสร้ างเซลเปิ ด ทําให้ ความชื ้น
สามารถแทรกซึมเข้ าไปในเนื ้อฉนวนได้ ทําให้ ฉนวนใยแก้ วมีค่าความเป็ นฉนวนลดลง จึงเกิดหยดนํ ้า
และสร้ างปั ญหามากขึ ้น จนอาจทําให้ ท่อโลหะที่ใช้ ในระบบสึกกร่ อน ค่าความเป็ นฉนวนของใยแก้ ว
แปรเปลี่ยนไปตามความชืน้ ที่มีอยู่ในเนื ้อฉนวนดังกราฟที ่ 2 แสดงความสัมพันธ์ ระหว่างปริ มาณ
ความชื ้นในฉนวนกับค่าสัมประสิทธิ์การนําความร้ อน (ค่า K) และตารางที ่ 3 แสดงค่า K เมื่อฉนวนใย
แก้ วมีความชื ้นต่างๆ กัน จะเห็นได้ วา่ ค่าสัมประสิทธิ์การนําความร้ อน (ค่า K) จะลดลงจนอยู่ตวั เมื่อไม่
มีความชื ้นอยู่ในฉนวนเลย (ความชื ้นเท่ากับ 0) และมีคา่ สูงมากเมื่อมีความชื ้นเพิ่มขึ ้น แต่ถ้านํ ้าอยู่ใน
รู ปของเหลวจะมีคา่ สัมประสิทธิ์การนําความร้ อนที่ 0.604 W/m K (4.2 Btu.in/ft2.hr F) ที่อณ ุ หภูมิ
เฉลี่ย 21C และนํ ้าที่อยู่ในรูปของแข็งจะมีคา่ สัมประสิทธิ์การนําความร้ อนที่ 2.232 W/m K (15.5
Btu.in/ft2.hr F) ที่อณ ุ หภูมิเฉลี่ย 0C ขณะที่ฉนวนทัว่ ไปที่ไม่มีความชื ้นเลยจะมีคา่ สัมประสิทธิ์การ
นําความร้ อนที่ 0.035 0.040 ที่อณ ุ หภูมิเฉลี่ย 20C มาตรฐานสากลต่างๆ จะวัดค่า K ของฉนวน
เมื่อฉนวนนันไม่ ้ มีความชื ้น จากลักษณะงานดังกล่าวทําให้ ฉนวนใยแก้ วไม่เหมาะสมในการหุ้มท่อนํา
ความเย็น ถัดมาคือฉนวนโฟมโพลีสไตลีนโฟม ซึ่งมีคณ ุ สมบัติที่ดีกว่าฉนวนใยแก้ วคือ เป็ นฉนวนชนิด
เซลอัด (Interconnecting cell) ความหนาแน่นอยู่ระหว่าง 1-2 ปอนด์/ลูกบาศก์ฟตุ (16-32 กิโลกรัม/
ลูกบาศก์เมตร) ร่ วมกับการทาด้ วยบิทเู มนต์ (Bitumen) หรื อฟริ๊ นโค๊ ต และพันแน่นด้ วยผ้ าและทาทับ
ด้ วยบิทเู มนต์อีกชันหนึ ้ ่ง เพื่อทําหน้ าที่เป็ นวัสดุกนั ความชื ้น (Water Vapor Barriers) ซึง่ มีคณ ุ ภาพ
ดีกว่าการใช้ ฉนวนใยแก้ วมาก มีอายุการใช้ งานได้ นานยิ่งขึ ้น ความหนาที่ใช้ ประมาณ 1-3 นิ ้ว (25-75
มม.) แต่ความชื ้นก็ยงั สามารถแทรกซึมเข้ าไปในเนื ้อฉนวนโพลีสไตลีนโฟมได้ ทําให้ คา่ สัมประสิทธิ์การ
นําความร้ อนสูงขึ ้น (แต่ช้ากว่าฉนวนใยแก้ ว) ประกอบกับเป็ นฉนวนที่ติดตังลํ ้ าบากและเป็ นฉนวนที่ติด
ไฟลามไฟง่ า ย แม้ จะใส่สารกันไฟก็ ยังเกิ ดหยดไฟไม่ผ่านมาตรฐานไฟทั่วไป ฉนวนที่ ดีกว่าเข้ า มา
ทดแทนฉนวนโพลีสไตลีน คือฉนวนเซลปิ ดที่ทําจากวัสดุอีลาสโตเมอร์ (Elastomer) ตามมาตรฐาน
ASTM C534 เป็ นฉนวนเซลปิ ดที่ความชื ้นแทรกซึมไม่ได้ หรื อน้ อยมาก มีความยืดหหยุ่นสูงทําให้ การ
ติด ตัง้ ง่ า ย ไม่ มี ช่ อ งว่ า งของรอยต่ อ จากโครงสร้ างเซลปิ ดไม่ มี ค วามชื น้ ในเนื อ้ ฉนวน ทํ า ให้ มี ค่า
สัมประสิทธิ์การนําความร้ อนคงที่ ไม่แปรผันตามความชื ้นในบรรยากาศ ดังกราฟที ่ 3 ค่าสัมประสิทธิ์
การนําความร้ อนที่คงที่ ของฉนวนเซลปิ ดที่ทําจากวัสดุอีลาสโตเมอร์ จึงสามารถนํามาหาค่าความหนา
ของฉนวน เพื่อใช้ ป้องกันการเกิดหยดนํ ้าบนผิวฉนวนที่ห้ ุมท่อนําความเย็นได้ อย่างถูกต้ องมากกว่า
ฉนวนใยแก้ วและฉนวนโพลีสไตลีนโฟมที่ผ่านมาสามารถใช้ Nomograph ดังกราฟที ่ 4 ได้ และใช้ สตู ร
หน้ า 7
คํานวณตามหลักวิชาการได้ ความหนาของฉนวนเซลปิ ดที่ใช้ ในระบบปรับอากาศที่ใช้ นํ ้าเย็น (Central
Chilled Water System) ¾”-2” (19-50 มม.) ไม่ต้องหุ้มหรื อทาเคลือบด้ วยวัสดุกนั ความชื ้น
(Moisture Barrier Material) เหมือนกับฉนวนใยแก้ วและโพลีสไตลีนโฟม
ขนาดความหนาของฉนวนเซลปิ ดวัสดุอีลาสโตเมอร์ (Closed Cell Elastomer Thermall
Insulation) สําหรับใช้ ป้องกันการเกิดหยดนํ ้าบนผิวฉนวนหุ้มท่อนํ ้าเย็น สามารถใช้ Nomograph ซึง่
ค่าที่ได้ จากวิธีดงั กล่าวเป็ นค่าที่ใช้ ทวั่ ไป สําหรับท่อ ¼”-5” IPS เมื่อค่าสัมประสิทธิ์การพาความร้ อน
ของอากาศ (ha) อยู่ในช่วงประมาณ 8.0-10.0 W/m2K ไม่สามารถใช้ กบั ท่อขนาดใหญ่ๆ ได้ ในปั จจุบนั
การคํานวณค่าความหนาของฉนวนเซลปิ ด เพื่อป้องกันการเกิดหยดนํ ้า (Condensation) สามารถ
คํานวณได้ ง่ายมาก โดยใช้ Computer สูตรคํานวณดังนี ้
สําหรับพื ้นราบ (Flat Plate)
Insulation Thickness = k (Ts – Top)
ha (Tdb – Ts)
เมื่อ k = ค่าสัมประสิทธิ์การนําความร้ อนของฉนวน
ha = ค่าสัมประสิทธิ์การพาความร้ อนของอากาศ
Ts = อุณหภูมิผิวฉนวน
Top = อุณหภูมิของสารนําความเย็น
Tdb = อุณหภูมิห้อง
หน้ า 8
เพื่อเป็ นการง่ายต่อการคํานวณ สามารถหาโปรแกรมสําเร็ จรู ป เพื่อคํานวณหาความหนาฉนวน
เพื่อป้องกันการเกิดหยดนํ ้า หรื อพลังงานที่ประหยัดได้ จากบริ ษัทผู้ผลิตฉนวนเซลปิ ดชนิดยืดหยุ่นสูง
เช่นโปรแกรมสําเร็ จรูป Aeroflex 2000 ของฉนวนยี่ห้อ Aeroflex เป็ นต้ น อย่างไรก็ตาม ควรศึกษา
สูตรการหาความหนาฉนวนดังกล่าวเพิ่มเติม ซึง่ จะทําให้ เข้ าใจในการเลือกใช้ คา่ ต่างๆ ในการคํานวณ
มีรายละเอียดเป็ นข้ อๆ ดังต่อไปนี ้
ค่า k ค่าสัมประสิทธิ์การนําความร้ อนของฉนวนค่า k จะแปรผันตามอุณหภูมิที่ใช้ งาน ในการ
คํานวณจะใช้ คา่ k ที่อณ ุ หภูมิเฉลี่ยของท่อนําความเย็นกับอุณหภูมิผิวฉนวนที่ต้องการ
ค่า Ts อุณหภูมิผิวฉนวน อุณหภูมิผิวฉนวนต้ องสูงกว่าจุดควบแน่นของความชื ้นเป็ นหยดนํ ้า
หรื อนิยมเรี ยกว่าจุดนํ ้าค้ าง (Dew Point) อุณหภูมิที่เกิดควบแน่นเป็ นหยดนํ ้าขึ ้นอยู่กบั ค่า
ความชื ้นสัมพัทธ์ (%RH, Percent Relative Humidity) ตารางที ่ 4 เป็ นตารางแสดงอุณหภูมิที่
เกิดการควบแน่นเป็ นหยดนํ ้า ที่ค่าความชื ้นสัมพัทธ์ (%RH) ต่างๆ กัน โดยทัว่ ไปในประเทศ
ไทยนิยมคํานวณที่ 80 หรื อ 85 %RH อุณหภูมิห้องที่ 30 หรื อ 35C ดังนันเมื ้ ่อกําหนดค่าที่ใช้
คํานวณแล้ วต้ องควบคุมให้ บริ เวณติดตังมี ้ เงื่อนไขตามที่ตงไว้
ั ้ ในพื ้นที่ที่มีความชื ้นสูงมากเช่น
ติดทะเล, ติดแหล่งนํ ้าขนาดใหญ่, ล้ อมรอบด้ วยภูเขาต้ นไม้ ควรออกแบบอาคารและบริ เวณที่
ติดตังท่
้ อนําความเย็นผ่านอย่างรอบคอบ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ คา่ 90 %RH, 95 %RH เพราะ
นอกจากจะเปลืองค่าใช้ จ่ายแล้ วยังอาจส่งผลให้ วสั ดุโดยรอบเสียหายก่อนเวลาอันควร
%RH 50 55 60 65 70 75 80 85 90 95 100
อุณหภูมิที่เกิดการ 18.4 20.0 21.4 22.7 23.9 25.1 26.2 27.2 28.2 29.1 30.0
ควบแน่น (C)
ตารางที่ 4 ตารางแสดงอุณหภูมิที่เกิดการควบแน่นเป็ นหยดนํ ้าที่ค่าความชื ้นสัมพัทธ์ (%RH) ต่างๆ กันที่อณ
ุ หภูมิห้อง
30C
หน้ า 10
บริ เวณปิ ดมีการเคลื่อนไหวของอากาศตํ่ามาก (Blocked or still air areas) ค่า ha อยู่
ระหว่าง 01-5.0 W/m2K บริ เวณที่มกั มีคา่ ดังกล่าว เช่นท่อนําความเย็นที่ห้ มุ ฉนวนแล้ วอยู่
ใกล้ กันมากหรื อสัมผัสกันเอง สัมผัสผนัง ฝ้า เพดาน ท่อส่งลม หรื อวัสดุอื่นๆ ที่กันไม่ให้
อากาศไหลผ่านได้ การเคลื่อนไหวน้ อยมากของอากาศทําให้ เกิดปั ญหาหยดนํ ้าเป็ นอย่าง
มาก แม้ ว่าจะใช้ ฉนวนหุ้มหนามากก็ตามก็แก้ ปัญหาไม่ได้ ดังนันจึ ้ งควรหลีกเลี่ยงด้ วยการ
ให้ มีช่องว่างอย่างน้ อย 3“ (75 มม.) สําหรับท่อตํ่ากว่า 2” IPS และ 4” (100 มม.) สําหรับ
ท่อที่ขนาดใหญ่กว่า 2” IPS สําหรับท่อนําความเย็นที่อยูเ่ หนือฝ้าหรื อช่องชาร์ ป ส่วนบริเวณ
ที่มีการเคลื่อนไหวลมมาก เช่นในโรงงานโล่งๆ อาจจะห่างกัน 2“ (50 มม.) สําหรับท่อตํ่า
กว่า 2” IPS และ 3” สําหรับท่อที่มีขนาดใหญ่กว่า 2” IPS
บริเวณที่มีลมเคลื่อนไหวช้ า (Low air movement areas) เช่นบริ เวณในช่องชาร์ ป เหนือฝ้า
และห้ องใต้ ดิน เป็ นต้ น ค่า ha ที่ใช้ คํานวณออยู่ระหว่าง 4.0-10.0 W/m2K ขึ ้นอยู่กบั ขนาด
ของท่อนําความเย็น
บริ เวณที่ลมเคลื่อนไหวปานกลาง ( Moderate air movement areas) เช่นบริ เวณในห้ อง
ต่างๆ พื ้นที่เปิ ดในอาคาร มีการหมุนเวียนของอากาศดี ค่า ha ที่ใช้ ในการคํานวณอยู่
ระหว่าง 5.0-12.0 W/m2K ขึ ้นอยูก่ บั ขนาดของท่อนําความเย็น
บริ เวณที่มีแรงลม (forced air areas) บริ เวณที่มีการหมุนเวียนหรื อการระบายของลมด้ วย
ความเร็ วมากกว่า 1 M/sec (3.6 km./hr) เช่นบรรยากาศภายนอกอาคาร, ภายใน Air
Handling Unit, ห้ องที่มีการใช้ พดั ลมพัดไปมา, ห้ องซักผ้ าหรื อห้ องครัวที่ต้องใช้ การระบาย
อากาศในปริมาณมาก เป็ นต้ น ค่า ha อยูร่ ะหว่าง 12.0-100.0 W/m2K
หน้ า 11
ha 2 4 6 8 10 12 20 40 60
ค ว า ม ห น า ฉ น ว น ที่ ใ ช้ 69.3 40.6 29.6 23.6 19.8 17.1 11.2 6.2 4.3
ป้องกันหยดนํ ้า (mm.)
พลัง งานที่ สูญ เสี ย เมื่ อ หุ้ม 1.7 1.7 2.0 2.1 2.2 2.3 2.3 2.4 2.4
ฉนวนหนา 1” (W/m)
ตารางที่ 6 แสดงความหนาของฉนวนเซลปิ ด Aeroflex ที่ใช้ ป้องกันการเกิดหยดนํ ้า และการสูญเสียพลังงานที่มีค่า ha
ต่างๆ กัน ที่อณ
ุ หภูมินํ ้า 5C อุณหภูมิห้อง 30C ความชื ้นสัมพัทธ์ 85 % RH
หน้ า 12