Professional Documents
Culture Documents
สัมมาสัมพุทโธ
ep 4 Apr 5 ,2023 สมฺมาสมฺพุทฺโธ
พระพุทธเจ้านั้นแทงตลอดอริยสัจธรรมทั้ง ๔ การที่เราท่านทั้งหลาย
ได้เข้ามาศึกษาพระพุทธคุณ คือคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้
โดยเฉพาะบทว่า สัมมาสัมพุทโธ เป็นคำสอนที่ขับเน้น พระปัญญาคุณ
ปรับพฤติกรรมให้อ่อนโยนนุ่มนวล
ปรับจิตใจ ขจัดราคะ โทสะ โมหะ ทำให้จิตใจอ่อนโยน
เพราะเป็นการบอกถึงการตรัสรู้อริยสัจ ๔ ได้ด้วยตนเอง
และสามารถประกาศหลักการคือ อริยสัจ ๔ ให้บุคคลอื่นได้รู้ตามด้วย
นี้เป็นคุณสมบัติพิเศษของคำว่า สัมมาสัมพุทโธ
รอบรู้บัญญัติด้วย นอกจากทรงตรัสรู้เญยยธรรมทั้งปวงแล้วยังสามารถรอบรู้บัญญัติด้วย
ถ้าเป็นปัจเจกพุทธะ สาวกพุทธะ มีข้อมูล มีการตรัสรู้อริยสัจเหมือนกัน
แต่จำกัด
ปัจเจกพุทธะ สามารถตรัสรู้อริยสัจได้ แต่ไม่สามารถเปิดเผยอริยสัจให้
บรรดาหมู่สัตว์ทั้งหลายปฏิบัติตามได้
ศักยภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่ควงไม้โพธิพฤกษ์
แล้วเสวยวิมุตติสุข ๗ สัปดาห์ ต่อมาจาริกจากพุทธคยา ไปที่สารนาท
๑๘ โยชน์ แล้วสามารถไปเปิดเผยสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้
ให้กับท่านอัญญาโกญฑัญญะ ได้ตรัสรู้ตามในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ต่อมาแสดงปกิณกเทสนาให้พระวัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ
ได้ตรัสรู้เป็นพระโสดาบัน
แรม ๕ ค่ำ แสดงอนัตตลักขณสูตรโปรดปัญจวัคคีย์ได้เป็นพระอรหันต์
ท่านอัญญาโกญฑัญญะได้ตรัสรู้ เป็นมนุษย์ ๑
พรหมได้ตรัสรู้ ๑๘ โกฎิ เทวดาไม่นับ
นี้คืออานุภาพของสัมมาสัมพุทธะ
เราฟังตามบริบทที่พระอานนท์จำมา
แต่บรรดาพรหม ๑๘ โกฏิที่ได้บรรลุ เทวดาอีกนับไม่ได้
การฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ของบรรดาเทพเทวดาเหล่านั้น ทั้ง
โดยย่อ โดยพิศดา มีความต่างกันของหมู่สัตว์ นั่นคือศักยภาพ
ของสัมมาสัมพุทธะ ซึ่งเราไม่อาจจะรู้ได้
ฉะนั้นไม่ใช่ว่าฟังแล้วเหมือนกันหมด
โครงสร้างเหมือนกันแต่รายละเอียด เราไม่สามารถเจาะถึงได้
พระองค์มาสรุปและเจาะประเด็นธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ที่เทศน์ไว้แล้วแต่แรก ซึ่งปัญญาของท่างวัปปะ ภัททิยะ
มหานามะ อัสสชิ ต่างจากปัญญาของท่านโกญฑัญญะ
ท่านจึงมาเจาะประเด็นแกะเชิงลึกในพระธัมมจักนั้นให้
เห็นทุกแง่ทุกมุม แยกรายละเอียด
ให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ในการเจาะพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ฉะนั้น พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จึงเป็นพระสูตรเดียวเท่านั้นที่รวม
พระธรรมของพระพุทธเจ้าไว้ทั้งหมด จึงเรียกว่าปฐมเทสนา
นี้คืออานุภาพของคำว่า “สัมมาสัมพุทโธ”
ศักยภาพของสัมมาสัมพุทโธ
พระองค์สามารถรู้ว่าท่านผู้นี้ อินทรีย์ยังไม่สามารถแทงตลอดได้
พระองค์ก็ไม่ให้ออกจากป่าอิสิปปตนมฤคทายวัน
ให้สำรวมอินทรีย์ ให้ตั้งมั่นในศีล ปิดสิ่งแวดล้อมข้างนอกหมด
ระดมให้ข้อมูล เมื่อเป็นพระโสดาบัน ครบทั้ง ๕ รูปตามลำดับแล้ว
พระองค์จึงมาทรงสรุปลงอนัตตลักขณสูตร ให้เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ โดยความเป็นอนัตตาอย่างไร
มาจากความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์
สิ่งนั้นประชุมลงสู่อนัตตา
ในที่สุดทั้ง ๕ ท่านจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์
พระพุทธเจ้ากล่าวอย่างเดียว แต่พระธรรมนั้นแปรเปลี่ยน
ไปตามอัธยาศัยของผู้ฟังนั้นๆ
ที่ผ่านมาเราเคยเจอพระพุทธเจ้าแน่ แต่เราระลึกไม่ได้
ปรารถนาจะเห็นความมหัศจรรย์ที่ออกจากพระโอษฐ์ของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วอานุภาพแห่งพระสัพพัญญุตญาณที่เรียก
ว่าสัมมาสัมพุทธะ เป็นตัวผลักออกมา ต้องการอยากให้พระธรรม
เนรมิตพวกเราจากปุถุชนสู่ความเป็นอริยะ
พระสัทธรรมที่เข้ามากระทบในโสตปสาท โสตวิญญาณเป็นต้น
ลงสู่มโนทวารวิถี ของบรรดาหมู่สาวกทั้งหลาย มีพระสารีบุตร
เป็นต้น พระสารีบุตรฟังพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าก็แปรเปลี่ยน
เข้าสู่ความเป็นอริยะ บรรลุสาวกบารมีญาณ เป็นอัครสาวกเป็นต้น
พระธรรมเนรมิต เย ธมฺมา เหตุ ปพฺพวา เตสํ เหตุงฺ ตถาคโต อห
เตสญฺจ โย นิโรธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ
ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด
พระตถาคตเจ้ากล่าวถึงเหตุและความดับเหตุของธรรมะเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้
เวลาหมู่สัตว์ทั้งหลายจะรู้ หรือมีความชำนาญในพยัญชนะอะไร
จะเกิดเป็นคนจีน คนอินเดีย หรือคนยุโรป คนไทย เวียตนาม พม่า
กัมพูชา คนละภาษา แต่อานุภาพของสัมมาสัมพุทธะ เวลาพระองค์ใช้
มคธภาษาในการกล่าวพระธรรม แต่จะแปรเปลี่ยนไปเป็นภาษาของบุคคล
เหล่านั้นทันที นี้คือความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าเป็นแบบนี้
หมู่สัตว์ทั้งหลายเพียงแต่ว่าให้เราฝึกตนเอง ทำศรัทธาให้เกิดขึ้น
ในสัมมาสัมพุทธะ
เมื่อศรัทธาเราตั้งมั่นไว้ในพระรัตนตรัย ในพระพุทธเจ้าแล้ว
พระพุทธเจ้าจะมาบอก และจะมาดึงเราออกจากชาติภัย ชราภัย
พยาธิภัย มรณภัย
อภิญเญยยธรรม ธรรมที่ควรรู้ยิ่ง
เวลาเราไปรู้จักความจริงของรูปนามขันธ์ ๕ แล้วเราไปละ
การละนี้ พอปัญญาเกิดขึ้นเราไม่ต้องไปท่องว่าขอให้ละๆ
บ่งบอกว่า เวลาสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นก็ไปละกิเลสเหล่านี้
สายป่าให้ภาวนา จริงๆคือท่านขับเน้นข้อมรรค
เวลาเรากำหนดดูลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
ถ้าเราจะบอกถึงอริยสัจ อะไรเป็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
เวลาดูลมหายใจเข้าออก
จัดอริยสัจเบื้องต้น สติที่เข้าไปกำหนดรู้ลมหายใจเป็นทุกขสัจจะ
ตัณหาในอดีตที่เป็นเหตุให้ได้สติ เป็นสมุทยสัจจะ
การดับทุกข์และสมุทัย เป็นนิโรธสัจจะ
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงการดับเป็นมรรคสัจจะ
ในขณะเจริญอานาปาน นั่นแหละกำลังรอบรู้ทุกข์
นั่นแหละสมุทัยถูกละในขณะที่เจริญอานาปาน
และนิโรธคือตทังคนิโรธกำลังปรากฏกับท่านผู้นั้นชั่วขณะหนึ่งๆ
นั่นแหละกำลังอบรมมรรค
จัดแบบมรรคเบื้องปลาย สติเป็นทุกขสัจจะ
ตัณหาที่ทำให้สติเกิดเป็นสมุทยสัจจะ
ความไม่เป็นไปของตัณหาและสติ เป็นนิโรธสัจจะ
ข้อปฏิบัติให้ถึงนิโรธเป็นมรรค
สติที่กำหนดพุทธคุณ เป็นทุกขสัจจะ
ตัณหาในอดีตที่เป็นเหตุให้สติเกิดขึ้น เป็นสมุทยสัจจะ
ความไม่เป็นไปของตัณหาและสติเป็นนิโรธ
ปฏิปทาข้อปฏิบัติเป็นมรรค
พูดอย่างนี้ให้เข้าใจว่า เมื่อสติเกิด รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณก็เกิด ก็ตัวมรรคเบื้องต้นนี้แหละเกิด
สติที่ไประลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า เบื้องต้นเป็นปุพภาค
มรรคเบื้องต้น แท้จริงจัดเป็นทุกข์
ในขณะที่กำลังระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าอยู่นั้น
ตอนนั้นสมุทยสัจจะไม่เกิด เป็นตทังคนิโรธ
สติที่เกิดขึ้นก็เป็นมรรคเบื้องต้นได้ ให้มองแบบนี้เพื่อจะรอบรู้อริยสัจ
สัมมาสัมพุทโธ
สัมมา แปลว่าโดยชอบ
สํ แปลว่า ด้วยพระองค์เอง
พุทธะ แปลว่า ทรงตรัสรู้
หมู่สัตว์ทั้งหลายทำกรรมให้ได้จักขุปสาท
กรรมที่ทำให้ได้จักขุปสาท เรียกว่ารูปตัณหา ความยินดีพอใจในรูป
เมื่อยินดีพอใจในรูปเราจึงทำกรรม เมื่อทำกรรม เราจึงได้จักขุปสาท
พอได้จักขุปสาทมา จักขุปสาทจึงน้อมไปในการที่อยากจะดู
แสดงให้เห็นชัดว่ามันมาจากตัณหาจริงๆ ความอยากดูจึงไม่จบไม่สิ้น
สัมมาสัมพุทธะรอบรู้เรื่องทุกข์ ไม่พอ
รอบรู้สมุทัยที่ทำให้ได้ตาทุกชนิด ตาของสัตว์นรก ตาของสัตว์เดรัจฉาน
เปรต อสูรกาย มนุษย์ เทวดา พรหม
ep 5 Apr 6 ,2023 สมฺมาสมฺพุทฺโธ
อนุ แปลว่าเนืองๆ
สติ มาจากคำว่า สรณํสติ หมายความว่า การระลึกได้ชื่อว่าสติ
พุทธคุณ ๙ บท ให้ระลึกคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สมฺมาสมฺพุทฺโธ
พระนามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสรู้ธรรมทั้งปวง
โดยชอบ และด้วยพระองค์เอง คือ
ทุกข์เหล่านี้ควรกำหนดรู้ พระพุทธเจ้าก็ทรงรอบรู้หมดสิ้น
E
ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ที่มีอยู่ประมาณเท่าใด พระญาณปัญญาของ
พระพุทธเจ้าก็ไปแทงตลอดทุกข์เหล่านี้โดยสิ้นเชิง โดยไม่มีสิ่งใด
มากีดขวางได้
๓. ตรัสรู้ปหาตัพพธรรม ธรรมที่ควรละ ท่านกล่าวถึงสมุทยสัจจะ คือ ตัณหาที่เป็นปหาตัพพกิจ
กิจที่ควรปหาณ เอาตัวโลภะเป็นด่านหน้า เบื้องหลังมาจากอวิชชาความไม่รู้
มีอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ทิฏฐุปาทาน และมีกิเลสทุกหมู่เหล่า
จัดเป็นสมุทยสัจจะทั้งสิ้น เช่น อาสวะ โอฆะ โยคะ คันถะ อุปาทาน นิวรณ์
อนุสัย สิ่งต่างๆเหล่านี้จัดเป็นสมุทยสัจจะทั้งนั้น
E ปหาตัพพธรรมที่ควรละ พระพุทธเจ้าก็ละได้หมดสิ้น
๔. ตรัสรู้สัจฉิกาตัพพธรรม นิโรธสัจจะ เป็นธรรมที่ควรกระทำให้แจ้ง เป็นสัจฉิกาตัพพธรรม ควร
ประจักษ์แจ้ง ควรกระทำให้แจ่มแจ้ง ควรลุถึง
ตทังคนิโรธ การละกิเลสชั่วขณะ
วิขัมภนนิโรธ การละกิเลสด้วยการข่มไว้ ด้วยกำลังของฌานสมาบัติ
สมุจเฉทนิโรธ การละกิเลสด้วยกำลังของอริยมรรค ที่ไปละกิเลสเด็ดขาด
ปฏิปัสสัทธินิโรธ หมายถึงกำลังของอริยผล เมื่อมรรคเกิดผลก็เกิดทันที
นิสสรณนิโรธ พระนิพพานหรือนิโรธที่แท้จริง หมายถึงสภาพของนิพพาน
แท้ๆ เมื่อลุถึงเมื่อไรแล้วก็ดับวัฏฏทุกข์ได้อย่างแท้จริง ควรลุถึง เป็นจุด
หมายเป็นเป้าหมาย
ผู้ตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบด้วยพระองค์เอง ชื่อว่าสัมมาสัมพุทธะ
นกแอ่นลมบินไปในนภากาศ หางและปีกของนกแอ่นลมต้องอากาศ
นั้นคือพุทธคุณที่พระเถระแสดง ๑๒ ชั่วโมง แต่อากาศทั่วจักรวาลทั้งสิ้น
ที่ไม่สามารถมาแสดงได้ นั้นหมายถึงพุทธคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธคุณเปรียบได้กับอากาศที่ไร้ขอบเขต แต่ปัญญาของ
พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์สามารถหยั่งเห็นธรรมได้เพียงบาง
ส่วน เหมือนอากาศในอุ้งมือที่มีจำนวนน้อย เมื่อเปรียบกับอากาศใน
ท้องฟ้า
พระอรหันต์ทั้งหลายก็รู้ตามพระสัพพัญญุตญาณนั้น เพียงแต่
กำหนดหมาย รู้เข้าใจ แต่ไม่สามารถแต่งตั้งเปิดเผย รู้และบอกชื่อ
บอกสภาพธรรมเหล่านั้นได้อย่างละเอียดละออ ถี่ถ้วน เราได้พระ
ญาณปัญญาของพระพุทธเจ้าที่เป็นสัมมาสัมพุทธะ มาบอกความจริง
ข้อนี้ บอกสภาวธรรมว่า ปฐวีธาตุ อาโป เตโช วาโยธาตุ
สภาวะที่แข็งและอ่อนเรียกว่าปฐวี
สภาวะที่ไหลและเกาะกุมเรียกว่าอาโป
สภาวะที่เย็นและร้อนเรียกว่าเตโช
สภาวะที่พยุงและผลักเรียกวาโย
พระปัจเจกพุทธเจ้าแยกสภาวธรรมเหล่านี้ได้หมดแต่ไม่สามารถ
ไปบัญญัติชื่อเพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจทะลุทะลวงได้ และไม่สามารถ
ที่จะมาตั้งคณะสงฆ์ หมู่สงฆ์ วินัย บัญญัติต่างๆเหล่านี้ได้
เพราะต้องอาศัยปัญญาระดับสัมมาสัมพุทธ ที่เรียกว่าพระสัพพัญญุตญาณ
เป็นต้น จึงจะสามารถมีความชาญฉลาดที่มาบัญญัติแต่งตั้งและเปิดเผย
สัมมาสัมพุทธ มีค่ามาก เพราะรู้ถูกต้องครบถ้วน พระญาณของพระองค์
เปรียบได้กับอากาศ
พระญาณปัญญา เปิดเผยธรรมที่เป็นไปในกาลทั้ง ๓ และพ้นจากกาลทั้ง ๓ รวมถึงบัญญัติ
การที่จะไปรู้สภาวธรรมโดยประการทั้งหมด แต่พระสัพพัญญูทรงรู้แจ้ง
เญยยธรรมทุกอย่าง เพราะพระองค์ทรงหยั่งเห็นธรรมอันเป็นไปในกาล
ทั้ง ๓ และพ้นกาลทั้ง ๓
ในสังสารวัฏ อันไม่ปรากฏเบื้องต้นและในโลกธาตุอันหาที่สุดมิได้
ทรงทราบถ้วนทั้งหมด
พระสัพพัญญุตญาณของพระพุทธเจ้า มองเห็นโลกธาตุทั้งหมดทั้งสิ้นในโลก
ธาตุ หาที่สุดมิได้ ทรงทราบครบถ้วนทั้งหมด ดังแก้วมณีในพระหัตถ์
ธรรมทั้งปวง ย่อมมาปรากฏในข่ายพระญาณของพระผู้มีพระภาค
ผู้ทรงรู้ ผู้ทรงเห็นโดยสิ้นเชิง เหมือนแก้วมณีปรากฏบนฝ่าพระหัตถ์
จะมนสิการเมื่อไหร่ก็รู้ จะมนสิการอะไรก็เห็น ก็ทราบ
อยู่ตรงที่พระองค์จะมนสิการหรือไม่ นี้คือพลังของพระสัพพัญญุตญาณ
ตัวมโนทวาราวัชชนะ อาวัชชนะที่เกิดก่อนพระสัพพัญญุตญาณ
ของพระพุทธเจ้า มีพลังกว้างใหญ่ไพศาลมาก
จิตของเราจะน้อมก็น้อมได้มีข้อจำกัดมากมาย เราจะมนสิการอะไร
บางทีริบหรี่มาก จะมนสิการให้กุศลเกิดก็ยากจริงๆ
จะมนสิการให้ศรัทธาเกิด ให้ความเพียรเกิด ในสติเกิด ให้สมาธิ
ให้ปัญญาเกิด ก็ยากแสนเข็ญ เพราะอาศัยพระสัพพัญญุตญาณ
ของพระพุทธเจ้ามาบอก มาแนะนำพร่ำสอน เราจึงรู้จักกุศลเป็น
อย่างไร รู้จักอกุศลเป็นอย่างไร รู้จักโยนิโสมนสิการ อโยนิโส
มนสิการกับเขาบ้าง เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าจริงๆ
แต่พระสัพพัญญุตญาณของพระองค์ หลังจากที่พระองค์ได้อรหัตตมรรค
แล้ว พอกำลังของอรหัตตมรรค ประชุม ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์
หนึ่งขณะจิต ต่อจากนั้นเป็นอรหัตตผล หลังจากนั้นปัจเวกขณะ
ญาณปัญญา ที่ไปรู้มรรค รู้ผล กิเลสที่ละ กิเลสที่เหลือไม่มีแล้ว รอบรู้
พระนิพพาน หลังจากนั้นพระคุณอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระ
สัพพัญญุตญาณ อนาวรณญาณ อินทริยปโรปริยัตติญาณ มหากรุณา
สมาปัตติญาณ ยมกปาฏิหาริยญาณ อาสยานุสยญาณ ปรากฏ
พระทศพลญาณ ๑๐ เวสารัชญาณ ๔ เวนิกธรรม ๑๘
พระญาณอีก ๒ล้าน ๔ แสนโกฏิสมาบัติที่ทรงใช้สอย อย่างครบถ้วน
บริบูรณ์ในแต่ละวัน
ผืนแผ่นดินที่เป็นชมพูทวีปจะหล่อหลอมขึ้นมาบนโลกใบนี้
E
บริเวณโพธิมณฑล จุดนั้นจะตั้งขึ้นมาก่อน เป็นจุดที่พระพุทธเจ้า
ทุกพระองค์จะต้องมาตรัสรู้ ณ ที่ตรงนี้ เอาไว้รองรับคุณธรรมของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ซึ่งจะต้องมาใช้เข้าสมาบัติอย่างกว้างใหญ่ไพศาล
เรียกว่าเสวยวิมุตติสุข สุขที่เกิดขึ้นจากการได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เราผ่านพระพุทธเจ้ามามากมาย แต่เราเก็บเกี่ยวบารมีไม่ได้เลย
กว่าที่พระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องผ่านพระพุทธเจ้า
มาประมาณ ๕ แสนกว่าพระองค์ ๒๐ อสงไขยยิ่งด้วยแสนมหากัป
เก็บเกี่ยวสะสมเรียนรู้จากพระพุทธเจ้ามาขนาดนี้กว่าจะได้มาเป็น
พระพุทธเจ้าได้ พวกเราก็ผ่านพระพุทธเจ้ามามิใช่น้อย แต่พวกเรา
เก็บบารมีไม่ได้ เราเก็บไม่ได้เลย ต้องยอมรับว่าเราพัง
ถ้าเราเก็บได้ เราจะไม่ต้องมานั่งทนทุกข์ทรมาณกันแบบนี้
เพราะเราเก็บไม่ได้ เก็บบารมีธรรมไว้ในตนไม่ได้
ได้ทานบารมีมาแล้วก็มาทุบทิ้ง ได้ศีลบารมีมาแล้วก็มาทุบทิ้ง
ได้เนกขัมมบารมีมาแล้วก็มาทุบทิ้ง ได้ปัญญามาแล้วก็มาทุบทิ้ง
แล้วก็ไปตกระกำลำบากในอบายทุคติ วินิบาต นรก เจ็บปวดใน
สังสารวัฏมาอย่างยาวนาน
พวกเราฟังพระสัทธรรมและประพฤติธรรม เราก็ได้สุคติโลก
สวรรค์เป็นต้น อุบายต่างหากที่เป็นมรรคเบื้องต้น เป็นข้อปฏิบัติ
เบื้องต้น ที่เรากำลังฝึกผลพัฒนากันอยู่
สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมเป็นธรรมดา มีความวิบัติ
ที่นั่งกันอยู่นี้ ไม่นานหรอกสังขารทั้งหลายก็จะหายไปกับตา
บรรดาสังขารเหล่านั้น หากไม่ทำทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี
เป็นต้น หรือไม่ทำ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดขึ้น บรรดาสังขารเหล่านั้นก็
หมุนไปในวัฏฏะ
พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระสาวกก็ดีไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมด
เสวยวิมุตติสุข
ตอนไปเจออุปกชีวก อุปกชีวกถามว่าท่านเป็นศิษย์ของใคร
ใครเป็นอาจารย์ของท่าน ท่านชอบธรรมะของท่านผู้ใด
อาจารย์ของท่านสอนว่าอย่างไร
ทรงประกาศยืนยัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เราไม่มีอาจารย์ เราไม่มีผู้เสมอเหมือน
เราไม่มีผู้ทัดเทียมในโลกและเทวโลก
เรารู้แจ้งแทงตลอด
เราครอบงำธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ
และแทงตลอดธรรมะ ที่เป็นไปในภูมิทั้ง ๔ แทงตลอดในกามภูมิ
รูปภูมิ อรูปภูมิ เช่นนี้จะพึงอ้างใครเล่าว่าเป็นอาจารย์
เรียกได้ว่าเป็นอาจารย์ที่บอกโลกียธรรมที่คับแคบ ไม่ใช่โลกียธรรม
ที่กว้างขวาง เช่นแค่เพียงกสิณเท่านั้น แต่พระพุทธเจ้าสามารถรอบรู้
ธรรมะที่จะทำให้ได้ปฐมฌานเป็นต้น มากมายนัก
สัมมาสัมพุทธ เป็นพระญาณปัญญาที่หยั่งเห็นธรรมทุกอย่าง
การหยั่งเห็นธรรมทุกอย่างในการตรัสรู้
พระองค์ตรัสรู้ด้วยวิปัสสนาปัญญาในเบื้องแรก ด้วยมรรค
ปัญญา ในการบรรลุธรรม และพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
เกิดมาในภายหลัง
เวลาทำปัญญาในโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค
สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔
การที่จะทำให้รู้จักอริยสัจ ต้องเป็นปัญญาในระดับทานกุศล ศีล
กุศล สมาธิกุศลหรือ วิปัสสนากุศล จึงจะรู้อริยสัจ?
ต้องใช้ปัญญาระดับวิปัสสนาญาณ จึงจะรู้จักอริยสัจ
สัมมาสัมพุทธ เริ่มจากเห็นความจริงอย่างนี้
ที่สุดจริงๆ ก็ไปประชุมในอริยมรรค อริยผล
พระญาณคือพระพุทธเจ้า ปัญญาที่ในมหากิริยาญาณสัมปยุตต์
ถ้าถามว่าพระพุทธเจ้าเป็นใคร อะไรเป็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าไม่ใช่สัตว์บุคคล เราขับเน้นไปที่พระญาณ
พระสัพพัญญุตญาณ พระญาณที่รู้โลกธาตุทั้งสิ้นเป็นพระพุทธเจ้า
อนาวรณญาณ พระญาณที่ไม่มีสิ่งใดมากีดขวาง ขัดขวาง
แห่งการที่จะไปแทงตลอดได้ เป็นพระพุทธเจ้า
อินทริยปโรปริยัตติญาณ ปัญญาญาณที่เข้าไปรู้ความแก่ ความอ่อน
ของ สัทธินทรีย์ วิรินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ของหมู่
สัตว์ทั้งหลายในสากลจักรวาลเป็นพระพุทธเจ้า
มหากรุณาสมาปัตติญาณ พระญาณปัญญาที่ไปเห็นความจริงของกระแสชีวิตก็เกิดกรุณาจิต
เกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ นั้นเป็นพระพุทธเจ้า
ยมกปาฏิหาริยญาณ พระญาณที่สามารถทำยมกปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้น คือ แสดงทำฤทธิ์ทั้ง
หลายให้เกิดขึ้น ทั้ง อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์
และอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เวลาพระพุทธเจ้าจะแสดงปาฏิหาริย์ทั้งหลาย
ก็เพื่อจะเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย ให้ได้ศรัทธา ให้ได้ความเพียร
ให้ได้สติ ให้ได้สมาธิ ให้ได้ปัญญา
กำหนดรู้ใจ เช่น หมู่สัตว์ประชุมกันอยู่หมื่นหรือแสนคน พระพุทธเจ้าทำปาฏิหาริย์
ให้เหมาะสมแก่ความประสงค์และความต้องการของหมู่สัตว์นั้นๆ
ไม่ใช่ว่าแสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นอย่างเดียวกันหมด
ปาฏิหาริย์ ๓ ภาวะที่ทำให้ศรัทธานั้นเป็นอิทธิปาฏิหาริย์
การที่รู้ว่าตอนนี้หมู่สัตว์ ศรัทธาเกิดแล้วเป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์
การที่สัตว์เหล่านั้นประสบความสำเร็จ เข้าถึงศรัทธาเป็นต้นได้ นั้น
เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นความมหัศจรรย์แห่งพระธรรม
สภาพธรรมที่เกิดพร้อมกับ เมื่อพระญาณนี้เป็นพระพุทธเจ้าบรรดาสภาพธรรมทั้งหลายที่จะเป็นปัจจัย
พระญาณเป็นพระพุทธเจ้าด้วย เกื้อกูลให้พระญาณเหล่านี้เกิดขึ้น ก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้าด้วย เช่น เวทนา
ขันธ์ ที่เกิดร่วม สัญญา คือความจำได้หมายรู้ที่เป็นกลุ่มบรรดาสัญญา
ที่ในมหากิริยานั้นก็เป็นพระพุทธเจ้าด้วย บรรดาสังขารธรรม ผัสสะ เจตนา
เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ มนสิการ วิตก วิจาร อธิโมกข์ วิริยะ ปีติ ฉันทะ
ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ ทั้งหลายเหล่านี้เป็นต้น สังขารธรรมเหล่านั้น
ที่เกิดในกระแสขันธ์ของพระพุทธเจ้า ต้องเป็นพระพุทธเจ้าด้วย
จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
มโนวิญญาณที่เกิดในกระแสขันธ์ของพระพุทธเจ้า ต้องเป็นพระพุทธเจ้าด้วย
กระแสขันธ์ของพระพุทธเจ้า นั้นแหละคือพระพุทธเจ้า
E
แต่ที่ตัว “พุทธะ” จริงๆ ก็คือพระสัพพัญญุตญาณ เป็นต้นเหล่านี้
แต่องค์ประกอบก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้าด้วย
ฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักพระพุทธเจ้าให้ชัด
เวลาระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ระลึกแล้วจิตต้องดิ่งและตั้งมั่น
และชื่นใจว่า เราจะฝึกฝนตนเองให้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ตาม
ปณิธานของพระพุทธเจ้าได้แน่นอน มั่นใจ ตื่นเต้น
อรหํ ขับเน้นที่พระบริสุทธิคุณ
สมฺมาสมฺพุทฺโธ ขับเน้นที่พระปัญญาคุณ
E กว่าจะได้พุทธคุณเข้ามาประดับในกระบวนการกระแสชีวิตนี้ยากนัก
การฟัง การเรียบเรียง การมนสิการ การใส่ใจอย่างต่อเนื่องจึงเป็น
ประโยชน์อย่างมาก
ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ได้แก่พระนิพพาน
อนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานที่ไม่มีขันธ์เหลืออยู่
ตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง
รู้ทั้งปรมัตถ์และบัญญัติ
และสามารถประกาศหลักการของอริยสัจให้หมู่สัตว์ได้ตรัสรู้ด้วย
จกฺขุํ ทุกฺขสจฺจํ
ว่าโดยย่อ จักขุปสาทเป็นตัวทุกข์
จึงควรรอบรู้จักขุปสาท รอบรู้โดยความเป็นทุกข์ในอริยสัจ
จักขุปสาทเป็นผล ลองตามไปดูว่ากลุ่มสมุทยสัจจะที่ทำให้
ได้ทุกขสัจจะ คือ จักขุปสาท คือกลุ่มไหน เราจะได้รู้จักคำ
ว่าสัมมาสัมพุทธ
เข้าไปดูในรายละเอียดแบบนี้ เราจะเข้าใจชัดขึ้น
E
ไม่ใช่รู้เพียงแค่จักขุปสาทเป็นทุกขสัจจะ ต้องรู้ด้วยว่าจักขุปสาท
มาจากสมุทยสัจจะ
นิโรธสัจจะ ความไม่เป็นไปของสมุทยสัจจะและทุกขสัจจะ
ความไม่เป็นไปของจักขุปสาท และเหตุให้จักขุปสาทเกิด นี้เป็นนิโรธสัจจะ
ถ้าปรารถนาอยากจะลึกซึ้งในคำว่าสัมมาสัมพุทโธ ต้องเอาจักขุปสาท
มามนสิการใส่ใจให้ปัญญาเข้าไปเห็นความจริงให้ชัด จะได้เข้าใจ
คำว่าสัมมาสัมพุทธะ
จักขุปสาท เป็นทุกขสัจจะ
จักขุสมุทัย เป็นสมุทยสัจจะ
จักขุนิโรธ เป็นนิโรธสัจจะ
จักขุนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นมรรคสัจจะ
คำว่าจักขุปสาทต้องให้ชัด เมื่อเห็นจักขุปสาท เป็นทุกขสัจจะ ต้องเห็นทุกขสมุทัยของจักขุปสาทด้วย
และต้องเห็นจักขุนิโรธ ความดับของจักขุปสาทและเหตุของจักขุปสาท
และต้องเห็นจักขุนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้เข้าถึงนิโรธสัจจะ
ต้องปฏิบัติได้ เมื่อมนสิการถึงจักขุปสาท ตัวสติสัมปชัญญะไปรอบรู้
ทุกขสัจจะคือจักขุปสาท ก็กันตัณหาคือรูปตัณหาไปในตัว
เพราะรู้จักรูปตัณหาแล้วเป็นตัวสร้างจักขุปสาท จึงไปรอบรู้ทุกขสมุทัย
และจะไม่ให้ทุกขสมุทัยเกิด ไม่ให้จักขุปสาทเกิด ก็กลายเป็นนิโรธ
สติที่เกิดขึ้น ความเพียรที่เกิดขึ้น ปัญญาที่เกิดขึ้น
เป็นจักขุนิโรธคามินีปฏิปทา
E ทุกสภาวธรรมต้องเอามาไล่ทั้งหมด
รูปทุกรูป ขันธ์ อายตนะ ธาตุ ต้องเอามาไล่โดยความเป็นอริยสัจ
จึงจะเข้าใจคำว่าสัมมาสัมพุทธ
ep 6 Apr 7 ,2023 สมฺมาสมฺพุทฺโธ
พระพุทธเจ้ามีพระนามว่าสัมมาสัมพุทธ เพราะทรงได้ตรัสรู้
สภาวธรรมทั้งหลายด้วยพระองค์เอง และทรงประกาศหลักการที่
ทรงตรัสรู้ให้ผู้อื่น หรือสัตว์อื่นได้ตรัสรู้ด้วย
สังขารวิการ การเกิดดับและเปลี่ยนแปลงของสังขารธรรมเหล่านั้น
บางทีเรียกว่า วิการรูป ๕ หมายถึง กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ลหุตา ความ
เบา มุทุตาความอ่อน และ กัมมัญญตา ความควร ของสภาวธรรมนั้น
(วิการรูป ๕ = วิการรูป ๓+ วิญญัติรูป ๒)
การที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขันธ์ ๕ คือ จิต เจตสิก นิปผันนรูป
เป็นเญยยธรรม ธรรมที่ควรรู้ยิ่ง แปลว่าสัมมาสัมพุทธ ก็ทรงไปรอบรู้ว่า
จิตว่ามีเท่าไหร่ รอบรู้เจตสิกธรรม ว่าเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
นั้นมีเท่าไหร่ และรู้นิปผันนรูปว่ามีอยู่เท่าไหร่ในสากลจักรวาล ก็สามารถ
เข้าไปแทงตลอดนิปผันรูปเหล่านั้น
ผัสสะ มีการกระทบอารมณ์เป็นลักษณะ
มีการเชื่อมประสานระหว่าง ทวาร อารมณ์ และจิต ให้เนื่องกันเป็นกิจ
(ในปัญจโวการภวังค์)
มีการประชุมพร้อมกัน ของ วัตถุ อารมณ์ จิต เป็นผลปรากฏ
มีอารมณ์ที่มาปรากฏเฉพาะหน้าเป็นเหตุใกล้ให้เกิด
การเข้าไปเห็นความจริงของสภาวธรรมทั้งหลาย
เช่น อุปจยะ การเกิดขึ้น สันตติ การสืบต่อ ชรตา ความแก่
อนิจจตา ความดับ การเข้าไปเห็นไตรลักษณ์ของสภาวธรรม
เหล่านี้เป็นต้น นี้เป็นลักษณะของสัพพัญญุตญาณของพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ไปเห็นความจริงและเปิดเผยความจริง
เหล่านี้ให้บรรดาหมู่สัตว์ทั้งหลาย ได้รู้ได้เข้าใจความจริง
ของกระแสชีวิตในทุกแง่ทุกมุม
พระนิพพานเหล่านี้ปรากฏในญาณปัญญาของพระพุทธเจ้า แล้วทรงมาเปิดเผย
Ex
บอกกล่าว นี้คือ เญยยธรรม ธรรมที่ควรรู้ยิ่ง
สัททบัญญัติ และ อัตถบัญญัติ เป็นเญยยธรรม ธรรมที่ควรรู้ยิ่ง
อิทธิพลของตัณหา ความทะยานอยาก
อิทธิพลของอวิชชา คือความมืดบอด
อิทธิพลของทิฏฐิ ความเห็นว่านั่นเป็นนิพพาน เป็นสภาพที่
ดับทุกข์ จึงปรุงแต่งการทำกรรม คิดว่าทำกรรมประเภทนี้
แล้วจะทำให้หมู่สัตว์พ้นทุกข์ เช่นอาฬารดาบส อุทกดาบส
พระโพธิสัตว์ เมื่อไปเรียนรู้ในสำนักของทั้งสองครูใหญ่ในชมพูทวีป
ในแคว้นมคธนั้น ท่านก็เห็นทันทีว่านี้ไม่ใช่หนทางแห่งการดับทุกข์
การทำอรูปสมาบัติ ก็ทำให้ได้อรูปฌาน อรูปฌานก็ทำให้เกิดในอรูปภพ
อากิญจัญญายตนฌาน อากิญจัญญายตนภพ อากิญจัญญายตนพรหม
ไม่ใช่คำตอบ ไม่ใช่สภาพที่ดับวัฏฏทุกข์
เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ไม่ใช่สถานที่ดับวัฏฏทุกข์
เป็นตัวทุกข์อยู่ดี เป็นการได้ทุกขสัจจะ เป็นผลผลิตของตัณหา ของทิฏฐิ
ของอวิชชา แล้วหมู่สัตว์ทั้งหลายก็ทำกรรม
ต้องการชี้ให้เห็นว่า รู้จักมิจฉาทิฏฐิว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ
รู้จักสัมมาทิฏฐิ ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ความรู้ของเธอจึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ
ต้องการให้พวกเราไปรู้และเข้าใจว่า ตัวมิจฉาทิฏฐินั้นรุนแรงมาก
ท่านขยายเป็นทิฏฐิ ๖๒ บรรดาทิฏฐิทั้ง ๖๒ ไม่ใช่นิพพาน
ไม่ใช่สภาวะที่ดับวัฏฏทุกข์ อันนี้เป็นมูลเหตุให้หมู่สัตว์ทั้งหลายต้อง
เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ มีความเข้าใจผิด
ด่านหน้าของทิฏฐิคือตัณหา
ที่ปกปิดทำให้ทิฏฐิ ทำให้ตัณหาต้องมืดบอด คืออวิชชา
หมู่สัตว์ทั้งหลายจึงทำกรรม
ฉะนั้นในบรรดาหมู่สัตว์ทั้งหลายที่วิ่งโลดแล่นอยู่ในสังสารวัฏ
ขอบข่ายเครือข่ายของพระสัพพัญญุตญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คลุมบรรดาทิฏฐิเหล่านี้
บรรดาทิฏฐิเหล่านี้เป็นเหมือนข่าย ที่ปกปิดอยู่ในหนองน้ำใหญ่
ในหนองน้ำใหญ่นี้มีปลาเต็มไปหมด
บรรดาปลาเหล่านี้ไม่สามารถกระเสือกกระสนออกจากหนองน้ำ
ใหญ่ เข้าสู่ทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลเป็นต้นได้ แม้ฉันใด
หมู่สัตว์ทั้งหลายโลดแล่นอยู่ในกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ
เป็นหนองน้ำใหญ่นั้น แต่มีข่ายของทิฏฐิ ๖๒ คลุมไว้
เพราะอาศัยคำว่าสัมมาสัมพุทโธ มาดึงตาข่ายนี้ออก
เปิดทิฏฐิ ๖๒ นี้ ทำให้หมู่สัตว์ทั้งหลายที่จมอยู่ในหนองนำ้ คือ
กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ หลุดออกจากภพภูมิได้ เข้าสู่ทะเลกว้าง
ใหญ่ไพศาล เข้าสู่พระนิพพานได้
นี้คือพระมหากรุณาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมาจาก
พระปัญญาคุณ
พระปัญญาคุณเกิดขึ้นมา ได้จากพระบริสุทธิคุณ
หรือพระปัญญาคุณนั่นแหละที่ไปทำให้เกิดความบริสุทธิ์
พอเกิดความบริสุทธิ์แล้วก็มีพระมหากรุณาธิคุณแก่หมู่สัตว์ทั้งหลาย
เป็นต้น
เราทั้งหลายเมื่อระลึกถึงพระพุทธคุณในบทนี้แล้วให้รู้สึกชื่นใจมาก
ที่เราเกิดมาใต้ร่มพระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีขอบข่ายพระญาณของพระพุทธเจ้าปกคลุม
ดึงข่ายคือ มิจฉาทิฏฐิ ออกจากกระแสชีวิตของหมู่สัตว์ได้
มิจฉาทิฏฐิ ๖๒ เป็นผลิตผลของสักกายทิฏฐิ ๒๐
สักกายทิฏฐิที่มีวัตถุ ๒๐ การเห็นรูปเป็นเรา เรามีรูป รูปอยู่ในเรา เราอยู่ในรูป
เวทนาเป็นเรา เรามีเวทนา เวทนาอยู่ในเรา เราอยู่ในเวทนา
สัญญาเป็นเรา เรามีสัญญา สัญญาอยู่ในเรา เราอยู่ในสัญญา
สังขารเป็นเรา เรามีสังขาร สังขารอยู่ในเรา เราอยู่ในสังขาร
วิญญาณเป็นเรา เรามีวิญญาณ วิญญาณอยู่ในเรา เราอยู่ในวิญญาณ
การเห็นแบบนี้ เรียกว่า สักกายทิฏฐิ ที่มีวัตถุ ๒๐
ขันธ์ ๕ * ๔ = ๒๐
ไปเข้าใจว่ามีอัตตาตัวตนเป็นแก่นเป็นแกนสิงอยู่ในรูปขันธ์
บางทีก็ไปสิงอยู่ในผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หรือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เป็นเรา นี้คือความเห็นผิดประเภททั่วไปของหมู่สัตว์
แต่เมื่อสัตว์นั้นเกิดมาเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม แล้วได้ข้อมูลผิด
พัฒนากลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ เช่น
สัสสตทิฏฐิ เห็นว่าอัตตาเที่ยง
อุจเฉททิฏฐิ เห็นว่าอัตตาขาดสูญ
นัตถิกทิฏฐิ พัฒนาสูงขึ้น เห็นว่าไม่มี บาปไม่มีบุญไม่มี คุณของพ่อแม่บิดามารดา
เป็นต้นไม่มี
ปัจจยปริคคหญาณ ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายที่ได้กรรมฐานในบทปัจจยปริคคหญาณ
เมื่อได้นามรูปปริจเฉทญาณ เห็นกระแสชีวิตที่เป็นรูปนามขันธ์ ๕
ตามความเป็นจริงแล้ว สามารถย้อนรอยกระแสชีวิตรูปนามขันธ์ ๕
เป็นต้นได้ สามารถย้อนรอยได้
และมีญาณปัญญาอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า ปัจจยปริคคหญาณ
สามารถย้อนรอยไปเห็นกระแสชีวิตของตนเอง เห็นรูปนามขันธ์ ๕
ที่เป็นไปตามวิถีต่างๆ แล้วย้อนรอยกลับไปได้ สำหรับบุคคลที่มี
สติสัมปชัญญะที่แข็งแรง ย้อนเห็นแม้กระทั่งรูปนามขันธ์ ๕ ในครรภ์
ของแม่ ไม่ใช่แค่นั้น ยังเห็นภวังคจิตของตนเองด้วย ว่ามีกรรม
อารมณ์ กรรมนิมิต คตินิมิต ว่ามีอะไรเป็นอารมณ์ แล้วย้อนระลึก
ชาติได้ด้วย ว่าในชาติที่แล้วตนเองทำกรรมอะไร
เหมือนการที่พระพุทธเจ้ามีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
บางทีทิฏฐิของเราก็มั่นใจว่าถูกแล้ว แล้วเราก็ยึดทิฏฐินั้น
แต่สังเกตว่าทำไมกิเลสไม่ลด ศีล สมาธิ ปัญญาไม่เจริญขึ้น
เข้าใจธรรมะทำไมเป็นแบบนี้
ท่านสุเมธดาบสได้ยินคำว่าพุทโธแล้วเกิดปีติ น้ำตาไหล
เก็บก้อนหินแล้วท่องพุทโธ ๆ แต่เราได้ยินแล้วเราเฉย
นี้แปลว่าอัธยาศัยไม่มีเลย อัธยาศัยอยู่ลึกมาก
แต่อย่าท้อสำหรับบุคคลที่มีอัธยาศัยอยู่ลึกๆ อย่าท้อใน
การที่จะขุดลงเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะโลดแล่นออกมา
เป็นชื่อของปัญญาในอรหัตตมรรค
ผลของปัญญาในอรหัตตมรรค คือ พระสัพพัญญุตญาณ
อนาวรณญาณ อินทริยปโรปริยัตติญาณ เป็นต้น
พระญาณเหล่านี้ไปเห็นว่า
มิจฉาทิฏฐิ เห็นว่า นัตถิ ทินนัง ทานที่ให้แล้วไม่มีผล
แต่ถ้าเป็นกัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ เห็นว่า อัตถิ ทินนัง ทานที่
ให้แล้วมีผล
พระสัพพัญญุตญาณ เห็นลำดับจุติ ปฏิสนธิ
กำลังของวิปัสสนาญาณของพวกเราหรือหมู่สัตว์ทั้งหลาย
สามารถที่จะเห็นได้ตามกำลังที่ฝึก พอประมาณแห่งปัญญาญาณ
ที่เข้าไปรู้ความจริงนั้นๆ อย่างนี้เป็นต้น
จักษุ เป็นทุกขสัจจะ
ตัณหาในภพก่อนอันก่อให้เกิดจักษุ เป็นมูลเหตุ เป็นสมุทยสัจจะ
ตาของสัตว์นรก ตาของสัตว์เดรัจฉาน ตาของเปรต อสูรกาย
ตาของมนุษย์ ตาของเทวดา ตาของรูปพรหม
จักขุปสาทของสัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏ มีตัณหาเป็นมูลเหตุ
ตัณหาเป็นมูลเหตุของสัตว์นรกได้อย่างไร เพราะกรรมที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์นรกเป็นโทสะ
จักขุปสาทของสัตวนรก จึงมาจากตัณหาในอดีตเป็นเบื้องหลัง
จักขุปสาทของมนุษย์ ถ้าตัณหาให้ผลในมรณาสันนกาล ต้องเกิดเป็นเปรต
หากทิฏฐิให้ผลในมรณาสันนกาล ต้องเกิดเป็นอสูรกาย
ถ้าโทสะให้ผลเป็นสัตว์นรก ถ้าโมหะให้ผลเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ได้จักขุปสาทของมนุษย์แต่ก็ไม่พ้นจากตัณหาคือความทะยานอยาก
และมีอวิชชา ความมืดบอด อุปาทานคือทิฏฐิ เป็นปัจจัยเกื้อหนุน
ให้ผู้นั้นทำกรรมที่งดงาม
จักขุปสาท มาจากตัณหา
ตัณหาในภพก่อน อันก่อให้เกิดจักษุโดยความเป็นมูลเหตุ
เป็นสมุทยสัจจะ
นี้เป็นการกล่าวโดยมีส่วนเหลือ ไม่ใช่ตัณหาเกิดอย่างเดียว
ตัณหาเกิด ณ ที่ใด อวิชชาก็เกิดในที่นั่น ทิฏฐิ ที่เป็นอุปาทาน
กิเลส ๓ ตัวนี้เป็นกิเลสวัฏ
กิเลสอย่างเดียวไม่สามารถเป็นสมุทัยให้ทุกข์เกิดได้ ต้องเกิด
ร่วมกับกรรม คือเจตนากรรมหรือเป็นปัจจัยให้กรรมเกิด
หากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เกิดพร้อมกันด้วย มีเจตนา
กรรมอยู่ในนั้นด้วย แปลว่าทำกรรมด้วยโลภะ โทสะ โมหะ
อปุญญาภิสังขาร ถ้าทำกรรมด้วยอกุศล นี้เป็นตัวสมุทยสัจจะที่จะทำให้ได้ รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ ของสัตว์นรกบ้าง เปรต อสูรกาย สัตว์
เดรัจฉาน โดยตรง
ปุญญาภิสังขาร แต่ถ้าอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อยู่เบื้องหลังในการทำกุศลกรรม
มีความไม่รู้ปกปิด มีตัณหาครอบงำ มีอุปาทาน คือ ทิฏฐิ เห็นว่า
เป็นอัตตาตัวตน เป้นผู้ทำกรรม ก็ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา
เป็นพรหม อย่างนี้เป็นต้น
จักขุปสาทเป็นทุกขสัจจะ
ตัณหาในภพก่อนเป็นสมุทยสัจจะ
ทุกขสัจจะไม่เที่ยง ตัณหาที่เป็นเหตุของทุกขสัจจะก็ไม่เที่ยง
ทุกขสัจจะเป็นทุกข์ ตัณหาที่เป็นเหตุของทุกขสัจจะเป็นทุกข์ด้วย
จักขุปสาท เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ตัณหาที่เป็นเหตุของจักขุปสาทก็
เป็นอนัตตาด้วย
ไล่ไปทีละตัวอย่างนี้ก่อน แล้วก็ไล่เป็นอวิชชา อุปาทาน สังขาร กรรม
เมื่อกำหนดทุกตัวแล้วจะเกิดความชำนาญและความรู้ความเข้าใจ
ในพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้ง
ความไม่เป็นไปของสัจจะทั้งสอง สภาวะที่ดับสัจจะทั้งสอง
คือทุกข์และสมุทัย เรียกว่านิโรธสัจจะ
ปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงนิโรธ เรียกว่ามรรคสัจจะ
ขนเป็นทุกขสัจจะ
เหตุที่ทำให้ขนเกิด เป็นสมุทยสัจจะ
ดับเหตุ ดับขน ได้เป็นนิโรธ
ปฏิปทาให้ถึงนิโรธเป็นมรรค
เคยไปไล่อาการทั้ง ๓๒ หรือไม่ ว่าเป็นทุกขสัจจะอย่างไร
เป็นสมุทยสัจจะอย่างไร เป็นนิโรธสัจจะอย่างไร เป็นมรรคสัจจะอย่างไร
ถ้าไปเห็นความจริงอย่างนี้ สัมมาสัมพุทโธจึงจะปรากฏ
คำถาม หากเชื่อตามสัมมาสัมพุทธ เรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน ชีวิตที่เกิดดับสืบต่อ
ในกรณีที่ได้อุทิศร่างให้ทางการแพทย์จะต้องวางใจอย่างไรให้กุศลเกิด ได้อย่างถูกต้อง
หมู่สัตว์ทั้งหลายมีความยึดมั่น แม้กระทั่งศพตัวเอง
ฉะนั้นตายแล้ว ไปเกิดเป็นหนอนในศพตัวเองก็ได้
ไปเกิดเป็นพยาธิในท้องตัวเองก็ได้ สามารถเอาศพตัวเองเป็นอารมณ์
ตายแล้วไปเป็นสัตว์เดรัจฉาก็ได้ เป็นเปรต อสูรกายก็ได้ เป็นมนุษย์อีก
ก็ได้ มีความพร้อมของกรรมให้ผล เป็นเทวดาก็ได้ แล้วแต่ว่ามนสิการ
อย่างไร เป็นกุศลหรืออกุศล เป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องวิจิตรมาก
กุศลเกิดชัด เป็นญาณสัมปยุตต์เพราะเรามีปัญญาประกอบ
E ก่อนให้เป็นปุพเจตนา ใกล้ตายให้รู้สึกชื่นใจพิจารณาร่างกายอวัยวะทั้ง
หลายที่เป็นประโยชน์แก่หมู่สัตว์ทั้งหลาย
คิดทุกวัน มนสิการว่า เราจะรักษากายนี้ รักษาไตให้ดี รักษาตับให้ดี
หัวใจก็ดี สมองก็ดี จะรักษาให้ดี เพราะเราต้องการอยากจะ
สละทานนี้ที่ดีที่สุด ประณีตที่สุด ดูแลร่างกายนี้
รักษาตานี้ไว้ รักษาหูนี้ไว้ วัตถุทานให้ประณีต
รักษาไว้ให้ดี มีปัญญาในการดูแลรักษาตนเอง อย่างนี้เป็นต้น
คำถาม ลูกเสียชีวิตไปตั้งแต่ต้นปี ยังรู้สึกทุกข์อยู่และออกจากทุกข์ไม่ได้
เราจะไม่สร่างจากความทุกข์ได้เลย เพราะบุคคลที่มาสัมพันธ์
เกี่ยวข้องได้นั้นคือลูก นั้นคือพ่อ นั้นคือแม่
เพียงแต่ว่าสถานะไหน ในชาติไหนเท่านั้นเอง แล้วเราก็จะ
ต้องกลับไปเสียใจไม่สร่างซา และเวลาในการที่จะฟื้นคืนโศก
ขึ้นมาไม่มีเลย มัวแต่ไปอาลัยอาวรณ์ในสิ่งที่ไม่สามารถ
ยื้อยุดฉุดมาได้
ทำปัญญาให้เกิดขึ้นจะได้รู้ความจริง ได้รู้จักกระแสชีวิตว่าในสังสารวัฏที่ผ่านมา
มีลูกมาแล้วเท่าไหร่ ร้องไห้ไม่จบไม่สิ้น
มหันตภัยหนักเกินไป เราต้องรู้จักทุกข์ในอริยสัจและทุกข์ในไตรลักษณ์ให้ได้
ที่จะมัวมาร้องไห้ ต้องรู้จักสมุทยสัจจะ และรู้ไตรลักษณ์ของสมุทยสัจจะ
ต้องรู้จักนิโรธสัจจะ เป็นความเที่ยงแท้แน่นอน เป็นความสุขที่แท้จริง
เราจะประกอบมรรค เราจะไม่มัวมาเสียเวลา กับการมานั่งร้องไห้
จากการบ่นเพ้อ จากการพลัดพราก
เพราะสัตว์มีการพลัดพรากเป็นธรรมดา จากของรักของชอบใจ
ควรพิจารณาว่าเราจะต้องพลัดพราก
เจอสิ่งใดต้องจากสิ่งนั้นทั้งหมด
เห็นความจริงตรงนี้แล้วให้ชื่นใจว่า วันนี้เราเห็นความจริงแล้ว
เราจะมนสิการถึงคำว่า สัมมาสัมพุทโธให้ชัด
เราจะเข้าใจความจริงของชีวิตให้ชัด
เราจะตั้งมั่นในการเจริญกุศล เราจะทำสติให้มีพลัง
เราจะไม่ให้โทมนัสเกิดขึ้นในใจอย่างเด็ดขาด เห็นทุกข์แล้วจะต้องได้
ความสุขจากปัญญา จากความตั้งมั่นแห่งจิต เราจะมีสัมมาสัมพุทธ
เป็นสรณะเป็นที่พึ่งเป็นเครื่องกำจัดภัย
เราจะเข้าใจความจริงของอริยสัจทุกมุม ที่สัมมาสัมพุทธเข้าไปเห็น
เราจะระลึกตาม มนสิการตาม
กระแสชีวิตเหมือนไฟ… ดับแล้วก็ไม่รู้ไปไหน
เดี๋ยวก็หายวับไปหมด
บรรดาขันธ์เหล่านี้ มันไม่เที่ยงแบบนี้
มันไม่น่าเพลิดเพลินแบบนี้ ไม่น่าชอบใจแบบนี้
เพียงพอหรือยังที่จะละความยึดมั่นถือมั่น
เพียงพอแล้วที่จะเบื่อหน่าย เพียงพอแล้วที่จะคลายกำหนัด
เพียงพอแล้วที่ควรจะรอบรู้ ควรละ และควรประจักษ์แจ้ง
ควรอบรม สติ สมาธิ และปัญญาให้เกิดขึ้น
เห็นใครแล้วก็มนสิการว่า จากแน่นอน
ทั้งชอบใจและไม่ชอบใจ เราก็จะต้องพลัดพรากจากสิ่งนี้ตลอด
เรามีกรรมเป็นของของตน ทำกรรมใดไว้ก็ต้องรับผลของการกระทำ
ลูกชั่วคราว พ่อแม่ชั่วคราว ทรัพย์ชั่วคราว ครูอาจารย์ชั่วคราว
แต่สุจริตกรรม ก็ตามส่งเสริมทุกอัตภาพ
ทุจริตกรรม ก็ตามเบียดเบียนทุกอัตภาพ
อย่าได้ไปยึดมั่นในสิ่งที่ชั่วคราว
แต่เมื่อไปสัมพันธ์กับใคร จงทำกรรมที่งดงาม
และเป็นปัจจัยต่อการพ้นทุกข์ให้รวดเร็วที่สุด
ep 7 Apr 9 ,2023 สมฺมาสมฺพุทฺโธ
ทบทวน
สมฺมาสมฺพุทฺธ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร
พระพุทธเจ้าทรงประกาศว่าตนเองเป็นสัมมาสัมพุทธนั้น
เพราะทรงตรัสรู้อริยสัจธรรมทั้ง ๔ รอบ ๓ อาการ ๑๒
ในพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นพระสูตรที่ประกาศยืนยันความเป็น
สัมมาสัมพุทธ หรือที่ได้สัมมาสัมโพธิญาณ
แม้มนุษย์ เทวดา มาร พรหม ใครๆ ก็คัดค้านการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ไม่ได้ เพราะการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นการตรัสรู้จริง และกิเลสไม่
กลับมากำเริบอีกเลย เป็นการประหาณกิเลสได้หมดสิ้นจริงๆ
ที่เราไม่สามารถหาทางออกของชีวิตได้ เพราะเราไม่สามารถ
E
มองเห็นอริยสัจในที่ทุกแห่ง ที่เราไปสัมพันธ์เกี่ยวข้อง
เช่นเราสัมพันธ์กับจักขุปสาทหรือรูปารมณ์ ก็ไม่สามารถประชุมลงใน
อริยสัจธรรมทั้ง ๔ ได้
เวลาเราเห็นตาของ เราก็เห็นโดยความเป็นสมมติบ้าง บัญญัติบ้างแล้วก็ไปติดข้องในตา
หมู่สัตว์ทั้งหลาย เป็นต้น เราไม่เคยเข้าใจว่า ตานี้ จักขุปสาทนี้เป็นทุกข์ ควรรอบรู้กำหนดรู้
จักขุเกิดขึ้นเรียกว่าชาติทุกข์ คร่ำคร่าไปเรียกว่าชราทุกข์
โรคที่เกิดขึ้นกับจักขุปสาทเรียกพยาธิทุกข์ จักขุนั้นต้องดับเป็นมรณทุกข์
เกี่ยวข้องกับตาแล้วก็ต้องโศก มีโสกะจากการได้ตา
บ่นเพ้อ ปริเทวะ ต้องมีความทุกข์กายเพราะได้ตา ทุกข์ใจเพราะมีตา
บางท่านก็อุปายาส เห็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย
และคนแก่ คนเจ็บ คนตายนั้นเป็นคนที่เรารัก เราก็บ่นเพ้อหรืออุปายาส
ทรุด ไม่มีเรี่ยวแรงเพราะการมีตา
ต้องประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา ไปเห็นสิ่งไม่พึงปรารถนาก็เป็นทุกข์
ต้องพลัดพรากจากการที่มีจักขุปสาทที่ดีๆ มีตาที่ดีๆเป็นต้นก็ต้องประสบ
ความทุกข์ ปรารถนาให้ตาได้คุณภาพตาที่ดี เห็นสิ่งที่ดี ไม่สมปรารถนา
ด้วยตัณหา อุปาทาน ก็ประสบทุกข์
โดยย่อคือ เพราะมีจักขุปสาท เป็นรูปขันธ์ อุปาทานขันธ์เป็นทุกข์
เวทนาที่ไปสัมพันธ์เกี่ยวข้อง มีสัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นต้น
ไม่เห็นความจริงของอริยสัจ เมื่อไปเห็นจักขุปสาทแล้วไม่สามารถประชุมลงในทุกข์ของอริยสัจได้
ก็ไม่เห็นความจริงของอริยสัจนั้นๆ
จักขุเป็นทุกขสัจจะ
เหตุปัจจัยที่ทำให้ได้จักขุเป็นสมุทยสัจจะ
สภาวะที่ดับจักขุปสาท ดับเหตุปัจจัยให้หมดจักขุปสาท เป็นนิโรธสัจจะ
ข้อปฏิบัติให้ถึงนิโรธเป็นมรรค
ท่านทั้งหลายต้องไปคิด ไปวิจัย ลงในอริยสัจให้ได้
รูปารมณ์เป็นทุกขสัจจะ
เหตุปัจจัยที่ทำให้สีเกิดขึ้น เป็นสมุทยสัจจะ
ดับสี ดับรูปารมณ์ และดับเหตุปัจจัยให้เกิดรูปารมณ์เสียได้เป็นนิโรธสัจจะ
ข้อปฏิบัติให้ถึงนิโรธ เป็นมรรคสัจจะ
จักขุวิญญาณ การเห็นแต่ละครั้งเพราะเรามีจักขุวิญญาณ
จักขุวิญญาณสมุทย จักขุวิญญาณ เป็นวิญญาณขันธ์ เป็นทุกขสัจจะ
จักขุวิญญาณนิโรธ จักขุวิญญาณสมุทย เหตุปัจจัยที่ทำให้เราได้จักขุวิญญาณเเป็น
จักขุวิญญาณนิโรธ สมุทยสัจจะ จักขุวิญญาณเกิด เรียกว่าชาติทุกข์ ตั้งอยู่เป็นชราทุกข์
คามินีปฏิปทา ดับไปเป็นมรณทุกข์ สัมพันธ์กับจักขุวิญญาณก็ตามมาด้วยความโศก
ความร่ำไรรำพัน ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ คับแค้นใจ
ประจวบกับสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รัก พลัดพรากจากสัตว์และ
สังขารอันเป็นที่รัก ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น โดยย่อจักขุวิญญาณ
เป็นตัวทุกข์
จักขุวิญญาณเป็นที่ตั้งของความยินดีบ้าง ความยินร้ายบ้าง
ฉะนั้นเมื่อเราไปสัมพันธ์หรือไปเกี่ยวข้องกับจักขุวิญญาณก็มีอภิชฌา
และโทมนัสเกิดขึ้น เพราะเราไม่รู้จักทุกข์
หากเรารู้จักชาติทุกข์ของจักขุวิญญาณ รู้จักชราทุกข์ของจักขุวิญญาณ
รู้จักมรณทุกข์ของจักขุวิญญาณ รู้จักโสกะ ที่ไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ
จักขุวิญญาณ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส และอุปายาส
รู้จักอัปปิเยหิ สัมปโยคทุกข์ ปิเยหิ วิปโยคทุกข์ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ
ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
เห็นจักขุวิญญาณ ๑๒ กอง เรียกว่าเห็นทุกขอริยสัจในจักขุวิญญาณ
เราก็เตลิดกันไป เพราะเราไม่ได้บอกให้เห็นทุกข์ในอริยสัจ
ของจักขุวิญญาณ ในสำนักต่างๆก็ไม่ได้สอนให้เห็นจักขุวิญญาณ
โดยความเป็นอริยสัจ
เวลาไปกำหนดสภาวธรรมต่างๆไม่ยาก เพราะนิวรณธรรมไม่รบกวน
เมื่อนิวรณธรรมไม่รบกวน จะน้อมไปดูสภาวธรรมตัวไหนก็ได้ที่เรามี
ความเข้าใจ เช่นเมื่อกำหนดรูปธรรม รูปธรรมก็ปรากฏต่อปัญญา
ของบุคคลที่กำลังใส่ใจมนสิการนั้น
กำหนดธาตุดิน สภาวะความแข็งความอ่อนก็จะปรากฏ
กำหนดธาตุน้ำ สภาวะที่ไหลและเกาะกุมก็จะปรากฏ
กำหนดธาตุไฟ สภาวะเย็นและร้อนก็ปรากฏ
กำหนดธาตุลม สภาวะพยุงและผลักก็ปรากฏ
การเข้าไปเห็นลักษณะเฉพาะตัวของสภาวธรรมนี้ปรากฏได้เพราะ
นิวรณ์ไม่กลุ้มรุม จิตจะเริ่มสะอาดขึ้น และจิตจะมีพลังมากขึ้น
เวลาไปกำหนดเวทนา ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขา
เวทนา ที่ปรากฏขึ้นในกระแสชีวิตของตนเอง ก็จะสามารถจับเวทนา
มาเห็นความจริงของลักษณะของเวทนาได้
แม้สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ก็เช่นเดียวกัน
เวลามนสิการ ไม่ต้องคอยจ้องใส่ใจว่าตอนนี้คิดอะไร แต่พอน้อม
จิตจะไปรู้อะไร สิ่งนั้นก็จะปรากฏ เพราะจิตมีพลังในการจับ
อารมณ์ได้เร็วมาก เช่นจะใส่ใจการรู้จักขุปสาท จักขุปสาทก็
ปรากฏต่อญาณปัญญา จะกำหนดรู้เวทนา เวทนาก็ปรากฏ
กำหนดความจำได้หมายรู้ ความจำได้หมายรู้ก็ปรากฏ อย่างนี้
แปลว่า สติสัมปชัญญะมีความว่องไวและคล่องแคล่ว
เราควรไปจ้องดูปัจจุบันที่เราไปสัมพันธ์เกี่ยวข้อง หรือดึงเรื่องในอดีต
มาจนเห็นความจริง แล้วก็กำหนด จนสามารถเห็นเจตนาชั่วร้าย
และเห็นตัวตัดรอนเจตนาชั่วร้าย
ที่จริงการปฏิบัติมี ๒ กรณี
เป็นเจ้าการใหญ่ เป็นโรงงานผลิตทุกข์
ผลิต จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ
กายวิญญาณ มโนวิญญาณ แล้วที่ตัณหาสร้างมามีมากมายนับไม่ได้
สลับกันเกิดตลอดเวลาและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และที่เราทำกรรมไว้
อย่างหนาแน่น ที่จะเป็นตัวสร้างให้จักขุวิญญาณเกิดอย่างไม่จบไม่สิ้น
ทำเป็นไหม สร้างเหตุปัจจัยถูกต้องไหม
อยากพ้นทุกข์ อยากเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระ
อรหันต์ อยากเป็นพระสารีบุตร อยากเป็นพระโมคคัลลานะ
อยากเป็นพระพุทธเจ้า ได้แค่ให้ความสำคัญกับคำว่า “เป็น”
แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำว่า “ทำ”
บำเพ็ญบารมีอย่างไร ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี
วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี
อยากเป็นพระพุทธเจ้าแล้วทำอย่างไร ความสำคัญอยู่ที่คำว่าทำ
ในพระพุทธศาสนาให้ความสำคัญกับคำว่าทำ มากกว่า คำว่าเป็น
คำถาม สัมมาวาจาวิรตี ถ้าเป็นเรื่องของวันนี้
ถ้าวิรตีเกิดไปแล้วก็ถือว่าเป็นอดีตเช่นเดียวกัน
สติที่ดึงขึ้นมาตอนนี้ว่าวิรตีเกิด คือสัมมาวาจา
เป็นปัจจุบันขณะ คำว่าปัจจุบันจริงๆแล้วเป็นปัจจุบันอะไรกันแน่
ปัจจุบันสันตติ กำลังฟังเรื่องนี้อยู่แล้วไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลยเป็นปัจจุบันสันตติ
ระลึกก่อนหน้านี้เป็นอตีตสันตติ คิดไปเรื่องอื่น เป็นอนาคตสันตติ
วิปัสสนาญาณของบุคคลที่สามารถเห็นความจริงตรงนี้มีอยู่
คนที่มีกำลังของวิปัสสนาญาณอย่างนี้มีจริงๆ
เราถูกฝึกให้เก่งด้านเดียว เมื่อมนุษย์ต้องการประสบความสำเร็จคือได้วัตถุสิ่งเสพ
เพราะถ้าเก่งหลายด้านจะ ก็คิดวิธีว่าจะทำอย่างไร ถ้ามนุษย์ยังขัดแย้งกันอยู่ เป้าประสงค์ เป้าหมาย
ทะเลาะกัน ที่ตนเองกำหนดก็ไม่ได้เพราะความขัดแย้งกัน เพราะผู้บริหารทั้งหลาย
ต้องการตัวเลข ต้องการวัตถุสิ่งเสพ ต้องการขยายกิจการ หากมนุษย์เก่ง
หลายด้านมาอยู่ด้วยกันจะเกิดปัญหาขัดแย้งกันมาก
จึงคิดว่าวิธีให้มนุษย์เก่งคนละด้าน ดีที่สุด ไม่ได้สนใจว่ามนุษย์จะไม่ได้
พัฒนาได้รอบด้าน ในที่สุดจริงๆ มนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์
มนุษย์จึงเริ่มมีศักยภาพตำ่กว่า AI ก็เริ่มเอามนุษย์ออก
เพราะไม่ตอบสนองความต้องการ เรื่องเยอะ
เราเริ่มเบื่อมนุษย์ เราเริ่มแปลกแยกจากมนุษย์
ถ้าต้องการจะพัฒนามนุษย์ก็ต้องใช้สติปัฏฐาน
ศีลไม่ใช่ข้อห้ามแต่เป็นข้อฝึก พระพุทธเจ้าไม่เคยห้าม
เจตนาที่งดเว้นจากการฆ่า เจตนาที่งดเว้นจากการลัก เจตนาที่งดเว้น
จากการเอาของมึนเมาใส่ในกระแสชีวิต เป็นเหตุให้คนอื่นต้องหวาดระแวง
เรามีเจตจำนงจงใจตั้งใจที่จะฝึกตนเอง
ผลของศีลข้อ ๕
E สติสัมปขัญญะดี เพราะไม่ทำกรรมที่ทำลายสติสัมปชัญญะ
ep 8 Apr 10 ,2023 สมฺมาสมฺพุทฺโธ
สมฺมาสมฺพุทฺโธ หมายถึงพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า
นะโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
เป็นการเจริญพุทธานุสสติ
ในขณะที่สติเกิดขึ้นติดต่อและต่อเนื่อง สมาธิก็เริ่มตั้งมั่น
ปัญญาก็เริ่มลุกโพลงขึ้น แท้จริงเป็นการบ่มอินทรีย์นั่นเอง
ศรัทธาความเชื่อมั่นในคุณของพระพุทธเจ้าก็จะเพิ่มขึ้น
ความแกล้วกล้าอาจหาญก็กำจัดความหดหู่ท้อแท้
หากไม่มีศรัทธา ความเพียรก็ไม่เกิด
หากไม่มีความแกล้วกล้าอาจหาญ สติก็ไม่เกิด
หากไม่มีสติ สมาธิก็ไม่เกิด
หากไม่มีสมาธิ ปัญญาก็ไม่เกิด
ใจเราน้อมไปในกาม ทุกวันนี้ไม่แปลกที่พวกเราเกิดมาท่ามกลางกามคุณเต็มไปหมด
มีแต่เสียงสรรเสริญกามคุณเต็มไปหมด ไม่แปลกใจเลยว่า
ทำไมสภาพจิตของเราเป็นแบบนี้ เราไม่ชอบฟังพุทธคุณ แต่
ชอบฟังกามคุณ ดูภาพยนตร์ได้เป็นวัน คุยเรื่องกามได้
E ถ้าเราไม่พยายามฝึกตนเอง เราจะถูกกระชากลงไปในกามคุณ
เป็นความเสียหายของกระแสชีวิต
แต่การฝืนตัวเอง ฝึกตัวเองก็ไม่ง่าย
บุคคลที่บำเพ็ญบารมีมาสูงระดับพระปัจเจกพุทธเจ้า สามารถสกัด
นิวรณ์ธรรมได้
คำภีร์ ชินาลังการ
ห้ามขี้ขลาดเกียจคร้าน บุคคลที่ปรารถนาจะเจริญพุทธานุสสตินั้น
ไม่ควรเป็นเหมือนบุรุษขี้ขลาด เกียจคร้าน แล้วไปบอกว่าคุณ
ของพระพุทธเจ้ามีมากมาย หาประมาณมิได้ แม้ตัวเราเองก็มีปัญญา
เพียงน้อยนิด จะสามารถหยั่งเห็นพุทธคุณได้อย่างไร
คุณของสัมมาสัมพุทโธ พระพุทธเจ้าเห็นกระแสชีวิตของเราทุกแง่มุม
ไม่ว่าจักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท
หทยวัตถุ อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ หทย ชีวิตินทรีย์ ก็สามารถเห็น
ด้วยความเป็นทุกขสัจจะได้ ที่เราได้กระแสชีวิตเหล่านี้ก็มาจาก
สมุทยสัจจะ เราจะดับสมุทยสัจจะ ดับขันธ์เหล่านี้ จะได้เป็นนิโรธสัจจะ
ข้อปฏิบัติให้ถึงนิโรธเป็นมรรคสัจจะ
เห็นอริยสัจก็คือเห็นสัมมาสัมพุทโธ
เมื่อระลึกเห็นคุณของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ก็เกิดความซาบซึ้งตรึงใจ
ดื่มด่ำในคุณของพระพุทธเจ้า เกิดปราโมทย์ เกิดปีติ ปัสสัทธิ สุข
โสมนัส สมาธิก็ตั้งขึ้น ยังอุปจารสมาธิ แม้เรามีปัญญาน้อย คิด
พุทธคุณได้เพียงบทเดียวก็ไม่เป็นไร เราก็คิดบทนั้น
ปริมาณของพุทธคุณ แม้ห้องใจเราจะเล็กเท่าเมล็ดผักกาด จะโตขึ้น
มาเท่าเมล็ดถั่วเขียว หรือ เมล็ดมะม่วง มะพร้าวก็ไม่เป็นไร
ขอให้เราได้สักบท เข้าใจในคุณ มันก็สามารถทำห้องใจของเราให้
เต็มเปี่ยมด้วยพุทธานุสสติ ด้วยพุทธคุณได้ ยังปีติให้โลดแล่นได้
ระลึกจนรู้สึกว่าเห็นคุณของพระพุทธเจ้าจริงๆ
ไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเราระลึกจนสามารถดื่มด่ำ
ในคุณของพระพุทธเจ้าเป็นต้นได้ เมื่อได้สมาธิอย่างนี้แล้ว จิตมีพลัง
จนสามารถเอาความกำหนัด ความขัดเคือง ความหดหู่ท้อแท้ เซ็ง
เบื่อหน่าย ฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย หลุดไป
หากกิเลสยังไม่หลุดก็สาธยายไปเรื่อยๆ
พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์
แสงของดวงอาทิตย์ เปรียบเหมือนพระธรรม
บรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายที่ได้รับประโยชน์จากแสงอาทิตย์นั้น
ก็เหมือนสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ฝึกที่ดีที่สุด พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนนายสารถี
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
นายสารถี เป็นผู้ฝึกช้าง ม้า แต่พระพุทธเจ้าฝึกมนุษย์
ทรงเป็นนักฝึกชั้นยอดที่สุด ฝึกจากคนที่ไม่มีศรัทธาให้มีศรัทธา
ฝึกจากคนเกียจคร้านให้แกล้วกล้าอาจหาญ
ฝึกจากคนฟั่นเฟือนเลือนหลงให้มีสติได้
ฝึกจากคนฟุ้งซ่านให้มีสมาธิ ฝึกจากคนหลงคนไม่รู้ให้มีปัญญา
ฝึกมนุษย์ธรรมดา จากปุถุชนสู่ความเป็นพระโสดาบัน
จากพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี จากพระสกทาคามี
เป็นพระอนาคามี จากพระอนาคามีเป็นพระอรหันต์
ฝึกบุคคลให้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จนถึงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มองให้เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนสารถี
พระธรรมเปรียบเสมือนอุบาย ฝึกม้าอาชาไนย
พระสงฆ์เปรียบเหมือนม้าอาชาไนย ที่ฝึกดีแล้ว
พระพุทธเจ้าเปรียบเสมือนมัคคุเทศก์ที่ดี
พระธรรมเปรียบเสมือนมรรคาที่ราบรื่นไปสู่ภูมิสถานอันเป็นแดนเกษม
พระสงฆ์หรือพุทธบริษัท เปรียบเหมือนคนที่ได้รับองค์ความรู้นั้น
ทำให้สามารถรู้และเข้าใจในการที่จะเดินในสถานที่ต่างๆได้
พระพุทธเจ้าเปรียบเสมือนบุรุษผู้ทรงปัญญา ผู้ให้ความปลอดภัย
พระธรรมเปรียบเสมือนความไม่มีภัย
พระสงฆ์ผู้บรรลุแล้วซึ่งความปลอดภัยโดยแท้จริง เปรียบเสมือน
ประชาชนผู้ถึงความปลอดภัยแล้ว
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนผู้ปลุกปลอบใจ
พระธรรมเปรียบเสมือนความอุ่นใจ
พระสงฆ์เปรียบเสมือนชนผู้มีความอบอุ่นใจนั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเหมือนบ่อรัตนะ
พระธรรมเปรียบเสมือนรัตนะอันเป็นแก่นสาร
พระสงฆ์เปรียบเสมือนคน ผู้ใช้สอยรัตนะที่เป็นแก่นสารนั้น
ทำไมเราจึงต้องมาระลึกคุณของพระพุทธเจ้า และต้องมาเรียนแต่ละบทให้ละเอียดประณีต
เพื่อก่อให้เกิดความเคารพยำเกรงในพระพุทธเจ้า
ใจของเราจะได้นอบน้อม จะได้ยำเกรงในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยความเคารพ
หากเจริญพุทธคุณอย่างติดต่อและต่อเนื่อง จะเหมือนเราอยู่
กับพระพุทธเจ้า ได้เฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างต่อเนื่อง แล้วจะไม่
เหงาไม่ว้าเหว่เลย
ตรัสรู้ทุกขสัจจะ เป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่งโดยการกำหนดรู้
ตรัสรู้สมุทยสัจจะ ควรรู้ยิ่งด้วยการละ
ตรัสรู้นิโรธสัจจะ ควรรู้ยิ่งด้วยการประจักษ์แจ้ง
ตรัสรู้มรรคสัจจะ ควรรู้ยิ่งด้วยการเจริญ
โสตปสาท ควรรู้ยิ่งด้วยการกำหนดรู้
โสตสมุทย เหตุที่ทำให้โสตปสาทเกิดขึ้น ควรรู้ยิ่งด้วยการละ
โสตนิโรธ ดับธรรมที่เป็นเหตุให้โสตปสาทเกิดขึ้น ควรรู้ยิ่งด้วยการ
ประจักษ์แจ้ง
โสตนิโรธคามินีปฏิปทา ควรรู้ยิ่งด้วยการเจริญและอบรม
ต้องสามารถเห็นอริยสัจได้ทุกประเด็น
E ทุกประเด็นของสภาวธรรมทั้งหลายก็สามารถประชุมลงในอริยสัจได้
สมุทัย
โลภะเป็นสัจจะอะไร ตัณหาเป็นสมุทัย
ตัณหาที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันควรกำหนดรู้หรือควรละ
ตัณหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ควรรู้จัก ควรรอบรู้
เป็นชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ ฯ เหมือนกัน ควร
รู้จักเขา
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยถูกต้องและด้วยพระองค์เอง
ธรรมะแต่ละบทมากมายเหลือเกิน แค่สัมมาสัมพุทธ บทเดียวก็
ไม่จบ ไปบทอื่นไม่ได้เลย ต้องมาวิจัยสัมมาสัมพุทโธ
กลิ่นเกิดขึ้นครั้งแรกเรียกว่าปฏิสนธิ เรียกว่าชาติทุกข์
เกิดแล้วก็ชรา เสื่อมไป ดับเรียกมรณะ
กลิ่นทำให้เกิดโสกะได้ เช่นกลิ่นเหม็น บ่นเพ้อ
ประสบกับกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาก็เป็นทุกข์
พลัดพรากกับกลิ่นที่พึงปรารถนาก็เป็นทุกข์
ปรารถนาอยากได้กลิ่นแบบนี้ไม่สมปรารถนาก็เป็นทุกข์
กลิ่นเป็น อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
กลิ่นเหล่านี้มีตัณหาเป็นสมุทยสัจจะ เป็นตัวสร้างมา
ฉะนั้นจึงมีกลิ่นที่แปรปรวนไปตามสภาพนั้นๆ
กลิ่นของสัตว์นรก เปรต อสูรกาย เหม็นกว่านี้อีก
ให้มองทุกอย่างลงอริยสัจให้ได้
E
เกสา ผมเกิดขึ้นครั้งแรกในสัปดาห์ที่ ๕-๑๒ เป็นชาติทุกข์
ชราทุกข์ มรณทุกข์ โสก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส ฯ
ผมมีทุกข์ในไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เข้าใจความจริงแล้ว จะไม่เกิดตัณหายินดีพอใจในผม
เห็นผมเป็นทุกข์ในอริยสัจ จะไม่ยินดีไม่เพลิดเพลินในผมอีกต่อไป
ทุกวันนี้เราเข้าใจว่าผมงาม ผมเที่ยง ผมเป็นสุข ผมเป็นอัตตาตัวตน
มรรคที่ทำมาทั้งหมด เมื่อจัดการกิเลสได้แล้วก็ไม่แบกมรรคอีกต่อไป
ฉะนั้นบุคคลที่เป็นพระอรหันตาเจ้าทั้งหลายจะไม่มีโอกาสทำมรรคให้
เกิดขึ้นอีกแล้ว หมดเหลือแต่ผล คืออรหัตตผล ได้เสวยผลที่ยังมีชีวิต
อยู่ แม้จะเข้าสู่อนุปาทาปรินิพพาน คุณธรรมที่ได้มาทั้งหมดทิ้งหมด
รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
ไม่เอาไปเลย พระอรหันตาเจ้าทั้งหลายไม่ได้เอาศีล สมาธิ ปัญญาไป
เลย ทิ้งหมด เหมือนเราขึ้นเรือสำเภาทองออกจากท่านี้ไปสู่ฝั่งโน้น
พอถึงฝั่งแล้วก็ต้องทิ้งเรือแม้ฉันใด พวกเราฝึกศีล สมาธิ ปัญญา ให้
เกิดขึ้นเต็มที่ จากโลกีย ศีล สมาธิ ปัญญา ไปจนถึงโลกุตตร ศีล
สมาธิ ปัญญา ก็ทิ้ง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีพระคุณมากมายอันหาประมาณมิได้
พระพุทธเจ้ามีพระคุณ ๑. พระปัญญาคุณ
ทั้ง ๓ ประการ ๒. พระบริสุทธิคุณ
๓. พระมหากรุณาธิคุณ
พระปัญญาคุณ พระพุทธเจ้าทรงแทงตลอดอริยสัจธรรมทั้ง ๔
พระบริสุทธิคุณ ทรงละกิเลสหมดจดเป็นสมุจเฉทปหานโดยสิ้นเชิง ได้ด้วยพระองค์เอง
พระมหากรุณาธิคุณ ทรงมีพระคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลต่อบรรดามวลมนุษย์ในสากลจักรวาล
พระพุทธเจ้านั้นทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาก แต่เราท่านทั้งหลายที่ไม่ได้
มนสิการถึงพระพุทธเจ้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ด้วยสภาพของ
สติสัมปชัญญะของมนุษย์ในยุคนี้ จึงไม่สามารถเก็บรายละเอียด
เข้าไปเห็นคุณของพระพุทธเจ้าเป็นต้นได้
มหากรุณาสมาปัตติญาณ พระญาณที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่หมู่สัตว์อันหาประมาณมิได้
ในพระพุทธคุณทั้งหมด ๙ บทนั้น
ในครั้งที่พระองค์ทรงเป็นสุเมธดาบส ที่เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมา
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ๔ แสนรูป ท่านก็บอกว่าถ้าท่านจะตรัสรู้เป็นพระ
อรหันต์ ท่านสามารถฟังพระธรรมแม้เพียง ๓ บาทคาถากึ่ง ไม่จบ ๔ บท
คาถา ท่านก็จะสามารถแทงตลอดอริยสัจ บรรลุเป็นพระอรหันต์ เดิน
ตามพระอรหันต์ ๔ แสนรูปได้ทันที ณ บัดดลนั้น
เราตรัสรู้แล้ว จักให้สัตว์อื่นตรัสรู้ด้วย
E
เราข้ามได้แล้ว จักให้สัตว์อื่นข้ามได้ด้วย
เราหายใจคล่องแล้ว จักให้สัตว์อื่นหายใจคล่องด้วย
การที่สละอรหัตตมรรค อรหัตตผล สละความเป็นพระอรหันต์
ยอมทนทุกข์อีก ๔ อสงไขยยิ่งด้วยแสนมหากัป
อย่างนี้เรียกว่า กรุณาคุณตักเตือน
พุทธคุณทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ
วิมุตติคุณ วิมุตติญาณทัสสนคุณ เวลาเราศึกษาพระคุณของพระพุทธเจ้า
ไม่ว่าจะเป็น
พระทศพลญาณ ๑๐
เวนิกธรรม ๑๘
อสาธารณญาณ ๖
เวสารัชชญาณ ๔
หรือพระคุณอีกมากมายหาประมาณมิได้ นั้นแหละเป็นพระกรุณาคุณ
เป็นเค้ามูล เป็นรากเหง้า กระตุ้นเตือนใจ ไม่ให้ทิ้งกรุณา
เพราะพระพุทธคุณทั้งมวล มีพระกรุณาคุณนั่นแหละเป็นรากเหง้า
พระมหากรุณาธิคุณ ต้องฝังรากลึกอยู่ในใจ
ถ้าอย่างนั้น กรุณาคุณไม่เด่น ก็จะกลายเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย กรุณาไม่เด่น
ออกจากจักขุสัมผัสสชาเวทนาไม่ได้ ออกจากโสตสัมผัสสชาเวทนาไม่ได้
ออกจากฆานสัมผัสสชาเวทนาไม่ได้ ออกจากชิวหาสัมผัสสชาเวทนาไม่ได้
ออกจากกายสัมผัสสชาเวทนาไม่ได้ ออกจากมโนสัมผัสสชาเวทนาไม่ได้
ถูกสภาพธรรมเหล่านี้เคี้ยวกิน เบียดเบียนบีบคั้น
Ef
ประทุษร้ายแล้วๆเล่าๆ เรียกว่าติดคุก
คุกที่แท้จริงของหมู่สัตว์ คือการติดอยู่ในสังสารวัฏ
พระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วบอกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
นั่นไม่ใช่คุกที่แท้จริง นั้นเรียกว่าทุกข์ชั่วคราว
แต่การติดอยู่ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ติดอยู่ในขันธ์ อายตนะ
ธาตุ การติดอยู่ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ การติดอยู่ในสังสารวัฏ
นี้เป็นคุกที่แท้จริงของหมู่สัตว์ทั้งหลาย
หมู่สัตว์ทั้งหลายที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่อง
ฉาบติด ก็ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ ไม่รู้เบื้องต้นและท่ีสุด ว่าคือ
อะไร ถูกความมืดบอดปกปิด ปิดกั้น นั่นแหละเป็นทุกข์ที่ถาวร
ของบรรดาหมู่สัตว์ทั้งหลาย
กรุณามีทุกขิตสัตว์เป็นอารมณ์
พวกเราอ่อนแอเกินไป หลอกง่าย เอากามคุณมาหลอกก็ติดง่าย
หากจะมายกย่องเชิดชูพุทธคุณเราก็มองไม่เห็น
พวกเราเป็นสัตว์ติดกาม
เราไม่รู้จักพระพุทธเจ้า
เรากระเสือกกระสนดิ้นรนทุกอย่าง เอามาตอบสนองตัวเราเองที่มี
กิเลสและคนที่เรารัก วิ่งเพ่นพ่านเต็มไปหมด
วันหนึ่งๆเสียงโฆษณากามคุณ ประชาสัมพันธ์กามคุณ เชิญชวน
กามคุณ ให้หมู่สัตว์ทั้งหลายหลงใหลเพลิดเพลิน พรรณนาเรื่องกาม
เอาจริงเอาจัง ตัณหา มานะ ทิฏฐิ แข็งแรง
อสุรินทราหู คุณของพระพุทธเจ้าก็คุ้มครองกระแสชีวิตตลอด
จันทิมาเทพบุตร ได้นิมิตจากแสงจันทร์
วิมานของเขาต้องอาศัยแสงจันทร์เป็นเครื่องอุบัติเกิดขึ้น
สุริยเทพบุตรก็ได้นิมิตจากแสงอาทิตย์ วิมานต้องอาศัยแสง
อาทิตย์อุบัติเกิดขึ้น
ต้องอาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ เพราะกำลังบุญมา
อย่างนั้น แต่อสุรินทราหูชอบแกล้ง ปิดแสงสว่าง วิมานของ
บรรดาเทวดาเหล่านี้ แต่เทวดาเหล่านี้เป็นอริยสาวกเจริญ
พระพุทธคุณ ฉะนั้นใจของเขาเจริญพุทธคุณอยู่ เมื่อตกใจก็อุทาน
ออกมาเป็นพุทธคุณ ความกลัวความขนพองสยองเกล้าของ
บรรดาเทพบุตรเทพธิดาก็หายไป แต่อสุรินทราหูไม่ยอมปล่อย
พระพุทธเจ้าจึงบอกอสุรินทราหูด้วยความกรุณาว่าให้ปล่อยแสงจันทร์
แสงอาทิตย์ เพราะหากไม่ปล่อย ศีรษะจะแตก ๗ เสี่ยง
อสุรินทราหูตกใจสั่นงันงกหลบในซอกเขา
กลั่นแกล้งผู้มีศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ กลั่นแกล้งผู้มีคุณ ดีที่อาศัย
พระพุทธเจ้าเตือนจึงหยุดแกล้ง และไม่ตาย
เท้าเวปปจิตติเข้าไปถาม บทสนทนาระหว่างทั้งสองนี้จึงเป็นคาถาภาษา
บาลี แต่คนปัจจุบันไม่รู้ความหมาย พากันไปไหว้อสุรินทราหู
เป็นคาถาบูชาเพราะความไม่รู้
E เมื่อสาธยายพุทธคุณ จิตจะเป็นสมาธิตั้งมั่นและมีพลังมาก
ร่วมกันเจริญพุทธคุณ ร่วมกันทำ ร่วมกันระลึก ร่วมกันเจริญ เป็นพลังหมู่ทำให้มีอานุภาพ
ให้มีพลัง สิ่งดีๆทั้งหลายก็จะเกิดขึ้น
การเจริญพุทธานุสสติ เป็นการเจริญสติปัฏฐานหมวด
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งให้แก่เราได้
เมื่อบุคคลมีตนที่ฝึกดีแล้ว ชื่อว่าได้ที่พึ่งท่ีหาได้ยากที่สุด
การเจริญพุทธานุสสติชื่อว่ามีตนเป็นที่พึ่งหรือไม่ หรือเราพึ่งพระพุทธเจ้า?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกราะมีตนเป็นที่พึ่ง
อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง เธอทั้งหลายจงมีธรรมเป็นเกราะมีธรรมเป็นที่พึ่ง
อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง อย่างไรชื่อว่ามีตนเป็นเกราะมีตนเป็นที่พึ่งไม่มีสิ่งอื่น
เป็นที่พึ่ง อย่างไรชื่อว่ามีธรรมเป็นเกราะมีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
หากพักผ่อนไม่พอ ร่างกายทรุดโทรมก็ระลึกได้ยาก
ร่างกายอ่อนแอฝืนอย่างไรก็ยาก เพราะรวนไปหมด
สติ มีการระลึกได้
กิจของสติ กำจัดความฟั่นเฟือนและเลือนหลง
สติต้องระลึกได้อย่างมั่นคงและตั้งมั่นเวลาจะนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าก็
จับคุณของพระพุทธเจ้าได้อย่างแข็งแรง
และการที่จะสามารถไประลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าได้อย่างกว้างขวาง
มาจากถิรสัญญาปทัฏฐานา ความจำที่มั่นคง
จำในทานบารมี ศีลบารมีเป็นต้น จำในบทของอรหํ ๑๑ ความหมาย
จำในบทสัมมาสัมพุทโธเป็นต้น
ระลึกทีไร คุณของพระพุทธเจ้าก็ปรากฏในใจ
ท่องพุทธคุณเป็นมงคลแก่ปากและพลิกฟื้นชีวิต
E
ความทุกข์ใจ ความกลัว ความวิตกกังวลหายไปหมด
เจริญพุทธคุณมีพลังมาก
ในบรรดาหมู่สัตว์ทั้งหลายในสากลจักรวาล เอาคุณของสัตว์ทั้งหลาย
ทั้งหมดมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็น ศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ ก็ไม่เท่าคุณของ
พระพุทธเจ้า ทานบารมี ของสัตว์ทั้งสากลจักรวาลมารวมกัน ก็ไม่เท่า
ทานบารมีของพระพุทธเจ้า ไม่เท่าศีลบารมี เนกขัมมะ เป็นต้น
ก็ไม่เท่าบารมีของพระพุทธเจ้า
แค่ตั้งมั่นแค่นี้ก็ยังช่วยรักษาใจได้ขนาดนี้
และเมื่อกุศลเกิด คุณของพระพุทธเจ้าปรากฏในใจ
แล้วก็เป็นตัวปิดกั้นไม่ให้บาปให้ผลด้วย
ถ้าใครอยู่ในสายพระเนตรของพระพุทธเจ้า แผ่นดินจะไม่สูบ แม้
ทำกรรมหนักถึงอนันตริยกรรมก็ตาม
สติตั้งมั่นในพุทธคุณ ผัสสะก็กระทบอารมณ์ของคุณของพระพุทธเจ้า
เวทนาก็เสวยในคุณของพระพุทธเจ้า สัญญาก็จำในคุณของพระพุทธเจ้า
เจตนาก็กระตุ้นเตือนสภาพธรรมให้ระลึกในคุณของพระพุทธเจ้า
ทำกิจในการระลึกคุณของพระพุทธเจ้า เอกัคคตาก็ตั้งมั่นในคุณของ
พระพุทธเจ้า มนสิการก็มุ่งนำสัมปยุตตธรรมสู่คุณของพระพุทธเจ้านั้น
วิตกยกจิตขึ้นสู่พุทธคุณ วิจาร เคล้าคลอพุทธคุณ อธิโมกข์ก็ตัดสินใจอย่าง
มั่นคงว่าพระพุทธเจ้าดีจริง วิริยะเพียรพยายามประคองจิตให้ระลึกถึงคุณ
ของพระพุทธเจ้า ฉันทะ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการที่จะเข้า
ถึงคุณของพระพุทธเจ้านั้น ศรัทธาก็เชื่อมั่นในพระคุณของพระพุทธเจ้า
ในส่วนของพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ
สติระลึก สภาวธรรมทั้งหลายจะพากันทำกิจในการน้อมไป
ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า องคาพยพของบรรดาเวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ กุศลจิตตุปบาท ที่มีคุณ
ของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ จึงมีความผ่องใสอย่างยิ่ง
นี้เป็นปัญหามากที่ว่า ชาวพุทธไม่รู้จักพระพุทธเจ้า
และเวลาไปเจริญกรรมฐานที่ไม่มีพุทธคุณเป็นตัวนำร่อง
กรรมฐานนั้นก็จะไปไม่ตลอดรอดฝั่ง
ต้องถามว่าทำไมท่านเหล่านั้นจึงไม่เห็นคุณของพระพุทธเจ้า
ทั้งๆที่ท่านบำเพ็ญบารมีมาขนาดนี้ ตรัสรู้อริยสัจ ๔ มาแบบนี้
เมื่อเราไม่รู้จักพระพุทธเจ้า แล้วเราจะไปเห็นคุณของพระธรรมได้อย่างไร
แล้วเราจะพัฒนาตนเองเข้าสู่ความเป็นอริยสงฆ์ได้อย่างไร
E เวลาเรามองกระแสชีวิตของบุคคลอื่น เรามองเห็นด้วยความเป็น
ขันธ์ ๕ หรือไม่ แปลว่าเราเลอะเลือน
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ หรือตรัสรู้ปฏิจจสมุปบาท
เราระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ พร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและชีวประวัติ
(ระลึกได้ทั้งลักษณะ กิจ อาการปรากฏ เหตุใกล้)
พราหมณ์ เราได้บรรลุวิชชาที่ ๑ ในยามแรกแห่งราตรี ความมืดบอด
คืออวิชชา แสงสว่างแห่งวิชชาได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เปรียบเสมือนแสง
สว่างที่เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจ
พราหมณ์เอย นี้คือการเจาะกระเปาะไข่ คือทำลายอวิชชาออกเป็นครั้ง
ที่ ๑ ของเรา เหมือนการเจาะกระเปาะไข่ของลูกไก่
เมื่อพระมหาบุรุษพิจารณาอย่างนี้ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ
ย่อมรู้แจ้งว่า แท้ที่จริงก็คือนามรูปนั้นแลบังเกิดขึ้นในชาตินั้นๆ
ความสืบต่อแห่งนามรูปนั้นแล ความสืบต่อแห่งเขต การเกิดขึ้น
แห่งวิญญัติต่างๆได้ปรากฏขึ้น
แปลว่าสติสัมปชัญญะที่เกิดขึ้น แท้จริงเห็นด้วยความเป็นรูปธรรมและ
นามธรรม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ในขณะยามต้นแห่งราตรี สติสัมปชัญญะของพระโพธิสัตว์ที่เกิดขึ้น
ในขณะนั้น ชื่อว่าได้เห็นทุกข์ เห็นทุกขสัจจะแล้ว และในขณะเดียวกัน
ก็สกัดสมุทยสัจจะด้วย ไม่ให้อวิชชา ตัณหา อุปาทานเกิดขึ้น
ตอนนั้นที่เรียกว่า ทิฏฐิวิสุทธิ หรือ นามรูปปริจเฉทญาณ
เกิดขึ้นกับพระโพธิสัตว์
เราระลึกอดีตก็เห็นเป็นแค่อัตตาตัวตน แสดงให้เห็นว่ากำลังสมาธิ
ของเราไม่พอ
ทิฏฐิวิสุทธิ อริยสัจปรากฏ
เรามีอยู่หรือไม่มี คำถามนี้ผิด
ถ้ามีอยู่ เราเป็นอะไร มันไม่มีเรา
เราเป็นอย่างไร สัตว์นี้มาจากไหน ไม่มีสัตว์จากภพอื่นมาสู่ภพนี้
กระแสของรูปนามขันธ์ ๕ เกิดดับสืบต่อ และสัตว์นี้จะไปไหนไม่มี
แท้ที่จริงเป็นกระบวนการเกิดดับสืบต่อ ความสงสัยทั้งหมดนี้ละได้แล้ว
การเข้าใจโมหะที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ด้วยจุตูปปาตญาณ
เห็นปฏิจจสมุปบาท
สัมมาสัมพุทโธ ตรัสรู้ทั้งอริยสัจและปฏิจจสมุปบาท
วิญญาณ เป็นทุกขสัจจะ
วิญญาณสมุทย เหตุที่ทำให้วิญญาณเกิดขึ้นเป็นสมุทยสัจจะ
วิญญาณนิโรธ ดับวิญญาณ ดับเหตุให้เกิดวิญญาณเป็นนิโรธ
วิญญาณนิโรธคามินีปฏิปทา สติที่เกิดขึ้น ปัญญาที่เกิดขึ้น
ความเพียรที่เกิดขึ้น เพื่อจุดหมายคือนิโรธ เป็นมรรค
หยั่งญาณลงสู่อริยสัจอย่างนี้ทุกข้อ
นามรูป เป็นทุกขสัจจะ
นามรูปสมุทย เป็นสมุทยสัจจะ
นามรูปนิโรธ เป็นนิโรธสัจจะ
นามรูปนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นมรรคสัจจะ
ก็ได้บรรลุอริยมรรค ยถาภูตญาณทัสสนะเป็นไปในลักษณะแบบนี้
ไล่ไปตามลำดับเริ่มตั้งแต่สัมมสนญาณ อุทยัพพยญาณไล่ไป
หรือมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ
และญาณทัสสนวิสุทธิ
เราก็เอาปฏิจจสมุปบาทไปท่อง ไปนั่งไล่ เพื่อจะได้เข้าใจ
คำว่าสัมมาสัมพุทโธ
ต่อไปให้สมาทานว่า ข้าพเจ้าจะรู้จักพระพุทธเจ้า
แม้ในส่วนของรูปธรรมและนามธรรม
ในส่วนของพระจริยาคุณ พระสรีรคุณ พระคุณคุณ
มีพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
ก็จะรู้จักให้ได้
เราจะเข้าไปรู้ทุกประเด็นให้ได้ ก่อนลมหายใจจะขาด
เราจะฝังพุทธคุณไว้ในกระแสชีวิต
ไป ณ ที่ไหน ไม่ต้องมีใครบอกอีกต่อไป
เห็นแล้วรู้ทันทีว่าท่านผู้นี้เป็นพระพุทธเจ้า
เราจะศึกษาพุทธคุณ ให้ลึกลงไปเรื่อยๆ
แล้วฝังคุณของพระพุทธเจ้าไว้ในใจ
แล้วเราจะเดินไปในสังสารวัฏได้อย่างปลอดภัย
ที่ผ่านมาเราไม่รู้จักพระพุทธเจ้า
กว่าจะมีคนบอกพุทธคุณเราก็อายุมากแล้ว
เราเรียนแต่กรรมฐานอื่น ไม่ได้เรียนรู้พุทธคุณเลย
เราไม่รู้จักพระพุทธเจ้าจริงๆ
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
พระพุทธเจ้าไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อ ไม่ได้เห็นด้วยจักขุวิญญาณ
แต่เห็นด้วยญาณปัญญา ที่ไปแทงตลอดอริยสัจ
จึงชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า
ตอนนี้เวลาเราเจริญพุทธคุณ
แปลว่าเราได้เห็นพระพุทธเจ้าแล้ว
ถ้าเราได้เกิดความซาบซึ้งและระลึกถึงคุณ
แปลว่าเราได้เห็นพุทธเจ้า
ต่อไปเราจะรู้จักพระพุทธเจ้าจริง ๆ
ท่านมองคนอื่น ท่านจะเห็นพระพุทธเจ้า
เพราะไม่มีชีวิตไหนเลย ที่พระญาณของพระพุทธเจ้าไม่ตรวจสอบ
และไม่มีชีวิตไหนเลย ที่พระพุทธเจ้าไม่ผูกไว้
พระพุทธเจ้าจะผูกบารมีไว้ในตน และผูกสัตว์ไว้ในตนในฐานะเป็นบุตร
เมื่อเราเห็นหมู่สัตว์ทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย
มนุษย์ เทวดา หรือพรหม
เราต้องเห็นพระพุทธเจ้าได้
เราต้องมองผ่านบุคคลเข้าไปเห็นคุณของพระพุทธเจ้าได้จริง
ep 10 Apr 12 ,2023 สมฺมาสมฺพุทฺโธ
จึงเป็นเรื่องราวที่มีการบันทึกบอกให้ทราบว่า ในวันที่พระพุทธเจ้า
ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน มีแผ่นดินไหวทั้งโลก เป็นเรื่องความมหัศจรรย์
มากว่ามีหลักฐานที่แสดงได้ตรงกัน
พระพุทธเจ้าหลังรับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดาแล้ว พระองค์อยู่
อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเนรัญชรา พอตกเย็นพระองค์ก็ข้ามฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
มาที่โพธิมณฑล แม่น้ำเนรัญชราเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีนั้นลึกมาก
ท่านอธิษฐานลอยถาดทองคำ ถาดก็ลอยทวนกระแสน้ำไป ๘๐ ศอกแล้ว
จมลงไปกระทบถาด ๓ ใบ เป็นใบที่ ๔ กาฬนาคราชก็ตื่นขึ้นมาจากการ
นอน ๑ พุทธันดร
พระพุทธเจ้า เหาะข้ามแม่น้ำเนรัญชรา หลังจากนั้นท่านก็รับหญ้ากุศะ
จากโสตถิยพราหมณ์ หลังจากนั้นท่านก็เดินรอบต้นพระศรีมหาโพธิ์
สถานที่ตรัสรู้เรียกว่าโพธิบัลลังก์ ก็ใช้หญ้ากุศะมาปูลาด
เป็นนิมิตหรือความฝัน เราจะแยกได้อย่างไรว่านี้คือความฝันหรือคตินิมิตปรากฏแล้ว
อารมณ์ทุกอารมณ์ที่ปรากฏแม้ในเวลาฝัน ที่เราเห็นทั้งหมด
อารมณ์เหล่านี้เหตุการณ์เหล่านี้ สามารถไปปรากฏเป็นกรรมอารมณ์
กรรมนิมิต คตินิมิตได้ทั้งหมด จะฝันก็ได้ ไม่ฝันก็ได้ ที่เราเห็นดีและไม่
ดี นิมิตหมายเหล่านี้ถ้าไปปรากฏก่อนตาย เรียกว่ากรรมอารมณ์
ปรากฏทางมโนทวารอย่างเดียว ถ้าไปปรากฏทางทวาร ๖ เป็นนิมิต
เครื่องหมาย ในขณะที่ทำดีทำชั่ว เช่น ลูกปืน มีด อย่างนี้เรียกว่า
กรรมนิมิต แต่ถ้าสถานที่ที่จะไปเกิด เป็นคตินิมิต
E คตินิมิตสามารถแปรเปลี่ยนได้ถ้าเราเจริญกุศลอย่างรุนแรง
แต่หากยังประมาทมัวเมาอยู่ นิมิตนี้ที่มาปรากฏ แล้วนำพาสู่อบาย ทุคติ วินิบาต นรก
นิมิตนายนิรยบาล กรรมอะไรทำให้นายนิรยบาลปรากฏ แสดงว่าคนๆ นี้ตอนเป็นมนุษย์
กรรมดีก็ทำ กรรมชั่วก็ทำ ก้ำกึ่งกัน บุคคลเหล่านี้จะถูกจับไปก่อน
ถ้าบุคคลเหล่านี้ตายแล้ว แสดงว่าตอนนั้นเป็นสัตว์นรกแล้ว เช่นนาง
มัลลิกา เป็นสัตว์นรกแล้ว แต่พอเห็นไฟนรกก็เปลี่ยนนิมิตเป็นจีวร
เป็นประทีปที่บูชาพระพุทธเจ้า
แต่กรณีที่ฝันหรือสลบไปอย่างนี้เรียกว่ากรรมนิมิต คนที่เป็นแบบนี้
เปลี่ยนนิสัยทุกคน เพราะอารมณ์เกิดชชัด
ทุกลมหายใจเข้าออก สัตว์ไปตกนรกนับไม่ได้
ทุกลมหายใจเข้าออก สัตว์มาเกิดเป็นมนุษย์นับไม่ได้
สัตว์ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย เทวดา นับไม่ได้
มันมีการจุติ ปฏิสนธิ มีการเคลื่อนย้ายตลอด
พระสัพพัญญุตญาณของพระพุทธเจ้าไปเห็นความจริงตรงนี้ จึงนำมาเปิด
E
เผยให้เห็น ชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ ถ้าเราไม่เข้าใจ
กระบวนการของสังสารวัฏ เราก็จะไปเห็นว่ามันเที่ยง
บรรดาภพภูมิเหล่านี้มันซ้อนกันอยู่จริงๆ พวกเราเวลาตายไปแล้ว
เราสามารถจะมีบ้านเป็นอารมณ์ก่อนตาย มีแผ่นดินเป็นอารมณ์ก่อนตาย
มีอากาศ แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ ต้นไม้ สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา
เป็นอารมณ์ก่อนตายเป็นต้นได้หมด
E พระพุทธเจ้าที่ได้นามว่าสัมมาสัมพุทธ เพราะพระองค์รู้จักทุกขสัจ
มีพระสัพพัญญุตญาณ รู้จุติปฏิสนธิ รู้กรรมอารมณ์ กรรมนิมิต
คตินิมิตของหมู่สัตว์ ตรงนี้เป็นความมหัศจรรย์มาก หากเราไม่ได้ศึกษา
พระธรรมของพระพุทธเจ้า เราก็จะงงและตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้
แล้วก็จะเป็นไปตามเขา
ในใจของท่านทั้งหลาย จึงมีอารมณ์ปรากฏมากมายนัก
ทำไมให้สาธยายพุทธคุณ เพื่อต้องการให้เปลี่ยนนิมิต
ให้ใจเราแนบชิดแนบแน่นในคุณของพระพุทธเจ้า เวลาจะตายเรา
จะได้มีนิมิตหมายคือพุทธคุณเป็นอารมณ์ ตราบใดที่เรายังไม่พ้น
จากการเวียนว่ายตายเกิด
เราก็สาธยายพุทธคุณหลายร้อยรอบ ทำไมอารมณ์ของพุทธคุณจึงไม่ปรากฏต่อสติปัญญา
และความเพียรของเรา
แต่ยังมีกัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิอยู่ เชื่อกรรมและผลของกรรม
บรรดาหมู่สัตว์เหล่านี้จึงฝังแน่น อยากจะพ้นอยากจะหนี
ตัวอย่างญาติพระเจ้าพิมพิสาร ที่เป็นเปรตนานพุทธันดร
ด้วยความกลัว ด้วยความที่เผชิญปัญหาชีวิตต่างๆ เปรต
โลภะมีกำลัง สัตว์นรกโทสะมีกำลัง อสูรกาย ทิฏฐิมีกำลัง
มนุษย์ เมื่อเผชิญปัญหาชีวิตอย่างหนักเราจะขวนขวายทันที
ให้ทำอะไรก็ได้ อยากจะพ้นจากตรงนั้น
กระบวนการของชีวิตในอาคัญสูตรก็ดีหรือในพระสูตรทั้งหลาย เมื่อมีเทวดา
สัมมาทิฏฐิมาบอกเขาจึงได้กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิในบางคราว
คำถาม สวดพุทธคุณตลอดเวลา ก็มีความรู้สึกว่าไม่สุขไม่ทุกข์
บางครั้งที่สาธยาย เวลาเจริญพุทธคุณถ้าระลึกอารมณ์ซ้ำๆจะเกิดอุเบกขา
แต่ถ้าระลึกเห็นคุณใหม่ๆ ที่ลึกขึ้นละเอียดขึ้นจะเกิดปีติ นี้เป็นเรื่องปกติ
ธรรมดา ฉะนั้นบุคคลที่สามารถระลึกคุณของพระพุทธเจ้า ถ้าสมาธิไม่ดี
สติไม่แข็งแรง ปัญญาไม่ชัด ข้อมูลไม่ถึง เจริญไปเจริญมาก็จะได้เพียง
เฉยๆ แต่เฉยๆแบบสุขใจ แต่หากได้องค์ความรู้ใหม่ๆมา เห็นคุณที่
ละเอียดขึ้น เช่นเวลาระลึกถึงคุณของสัมมาสัมพุทธะก็คือระลึกถึงปัญญา
พอไประลึกถึงปัญญาที่ในมหากิริยาญาณสัมปยุตต์ อสังขาริก โสมนัส
เราไประลึกว่า พระปัญญาญาณนี้เป็นพระสัพพัญญุตญาณ อนาวรณญาณ
อินทริยปโรปริยัติญาณ เป็นต้น พระญาณเหล่านี้ได้เคยมาสัมผัสกระแส
ชีวิต ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และได้ตรวจสอบอินทรีย์
ในกระแสชีวิตของเราแล้ว พระพุทธเจ้าได้ตรวจสอบ สัทธินทรีย์
วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ในกระแสชีวิตนี้ และได้
ตรวจสอบกระแสชีวิตของหมู่สัตว์ทั้งหลายที่มีอินทรีย์อ่อนและแก่ทั้งหมด
แล้ว ฉะนั้นเวลาเรามองไปที่หมู่สัตว์ทั้งหลาย เราก็จะชื่นใจว่ากระแสชีวิต
นี้ได้ถูกพระญาณของพระพุทธเจ้าตรวจสอบแล้วหนอ บรรดาหมู่สัตว์ทั้ง
หลายที่ยังไม่พ้นจากกิเลสและกองทุกข์ เพราะมีอนุสัยเป็นเครื่องกางกั้น
มีอัธยาศัยน้อมไปกาม ติดแน่นในกาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็น
อัธยาศัยของหมู่สัตว์ว่าจะได้อธิมุตติคือการหลุดพ้นเมื่อไหร่ เห็นความ
ละเอียดอ่อนตรงนี้ และพระพุทธเจ้าก็ได้ตรวจสอบกระแสชีวิตของเราแล้ว
และเราจะไม่ละเลยในการพัฒนาตนเอง
พิจารณาปัญญาที่ใน ปัญญาเป็นสังขารขันธ์ สติเป็นสังขารขันธ์ ความเพียรเป็นสังขารขันธ์
มหากิริยาญาณสัมปยุตต์ เวทนาเป็นเวทนาขันธ์ สัญญาเป็นสัญญาขันธ์ จิตที่เกิดขึ้นเป็น
วิญญาณขันธ์แท้ที่จริงพระสัพพัญญุตญาณของพระพุทธเจ้าก็คืออาการ
ของขันธ์ ๕ แท้ที่จริงคือนามขันธ์ มีพระมหากิริยาญาณสัมปยุตต์
อสังขาริก โสมนัส ที่มีปัญญาญาณไปแทงตลอดโลกธาตุทั้งสิ้น
นี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากพระปัญญาญาณที่เกิดขึ้น เราจะเห็นพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่สัตว์บุคคลแต่เป็นสภาพธรรม
ฉะนั้นเวลาเราไปอ่านแต่ละเรื่อง ด้วยการที่เราต้องศึกษาเรื่องสัปปุริสสทาน
มาดี หรืออ่านเรื่องทานกถามาดี เบ็ดเสร็จเราจะเห็นว่าที่ท่านบำเพ็ญทานนั้น
ท่านทำมาอย่างครบถ้วนทุกขั้นตอน เหตุผลเพราะว่าท่านมีกำลังของ
อภิญญาญาณด้วย กำลังของสติสัมปชัญญะด้วย สามารถระลึกในชาติก่อนๆ
ที่ท่านได้ฟังจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆจนถึงปัจจุบัน ฉะนั้นความรู้ความ
เข้าใจตรงนี้แปลว่ากุศลจิตที่เกิดขึ้น ท่านเห็นด้วยความเป็นสัตว์บุคคลก็ได้
สามารถเจาะเข้าไปเห็นด้วยความเป็นขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์
ปฏิจจสมุปบาทได้ นี้คือการทำโยนิโสมนสิการให้เกิดขึ้น และโดยเฉพาะ
เวลาอ่านเรื่องราวต่างๆ ที่ท่านมนสิการทั้งหลาย เป็นต้น เป็นไปตามลำดับ
จนถึงการสละทรัพย์ทั้งหมด เข้ามาอยู่ในป่า เข้ามาบำเพ็ญจนสามารถทำ
ฌานสมาบัติให้เกิดขึ้น
เราต้องศึกษาเส้นทางที่ท่านทำให้เห็นชัดว่า
ทานกถา ศีลกถา สัคคกถา กามทีนวกถา เนกขัมมานิสังสกถา
แปลว่าท่านได้ฌานสมาบัติ
สัมมาสัมพุทโธ ไม่ใช่แค่ปัญญาในอรหัตตมรรคญาณเท่านั้น
พระสัพพัญญุตญาณ อนาวรณญาณ อินทริยปโรปริยัตติญาณ
มหากรุณาสมาปัตติญาณ ยมกปาฏิหาริยญาณ อาสยานุสยญาณ
พระสัพพัญญุตญาณ ญาณปัญญาของพระอรหันตาเจ้าทั้งหลายไม่สามารถเจาะทะลุทะลวง
โลกธาตุทั้งสิ้นได้
ไม่สามารถแทงตลอดในกระแสชีวิตของหมู่สัตว์ทั้งหลายได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ซึ่งต่างจากพระพุทธเจ้า หากพระองค์มนสิการมาที่กระแสชีวิตของท่านทั้งหลาย
จะทรงเก็บรายละเอียดได้ทั้งหมด ว่าเรามีกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย มานานุสัย
ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย อวิชชานุสัย เป็นต้น มีอนุสัยที่ยังฝังแน่นอยู่ในขันธสัน
ดารอยู่ประมาณเท่าไหร่ และการที่จะดับหรือละอนุสัยกิเลสเหล่านั้นให้หมดสิ้น
จากขันธสันดาร ต้องให้เหตุผลอย่างไร ฟังพระธรรมอะไร กาลเวลานี้เหมาะสม
หรือไม่ พระพุทธเจ้าเจาะทะลุทะลวงทั้งหมด
ซึ่งพระปัญญาเหล่านี้จะมีในพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่เรียกว่าพระสัพพัญญุตญาณ
๑. ปหานสัมปทา หมายถึงอรหัตตมรรคญาณ
๒. ญาณสัมปทา หมายถึง พระสัพพัญญุตญาณ และ พระทศพลญาณเป็นต้น
พระพุทธเจ้ามีพระญาณเหล่านี้ปรากฏซึ่งไม่สาธารณะกับหมู่สัตว์
ทั้งหลายแม้ได้ตรัสรู้แล้ว ฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับพระภิกษุสงฆ์
ซึ่งเป็นพระอรหันต์ จึงมีความต่างกันมาก
เมื่อเจริญพุทธคุณหัวข้อ ก็ไปเห็นอรหัตตมรรคญาณซึ่งตรัสรู้อริยสัจธรรมทั้ง ๔
สัมมาสัมพุทโธ
พระพุทธเจ้าจึงสรรเสริญการเจริญปัญญาก่อน สติปัฏฐานก่อน
เมื่อได้กำลังของจิตที่พิเศษคืออภิญญาแล้ว ระลึกไปกี่ชาติก็
สามารถรู้แจ้งแทงตลอดทุกขสัจจะได้ เห็นความจริงของรูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นทุกข์
ทุกขสัจจะที่ปรากฏไม่ว่าจะระลึกในชาติใด ก็จะเห็นชาติทุกข์ ชรา
ทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ โสกะ ปริเทวะ ก็เห็นเป็นขันธ์ ๕
ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ ฯลฯ
สติปัฏฐานจึงไม่ใช่จดจ่ออยู่แค่เฉพาะหน้า แต่ระลึกไปในอดีตได้
ทุกข์ในอริยสัจปรากฏตลอดเวลา
เมื่อได้สมาธิแล้วให้ดึงข้อมูล เมื่อเจริญพุทธคุณได้สมาธิแล้วให้ดึงข้อมูลมาวิจัย
เหล่านี้มาวิจัยให้เห็นความจริง
พระโพธิสัตว์ท่านมอง จึงเห็นว่า มีแต่ขันธ์ อายตนะ ธาตุ เท่านั้น
ที่เกิดดับสืบต่อเป็นไปอยู่ สัตว์บุคคล อัตตา ตัวตนไม่มี ความ
เห็นแบบนี้เป็นสัมมาทัสสนะ เป็นความเห็นที่ถูกต้อง
ทำสิ่งที่ยังไม่เคยฟังให้ได้ฟัง
ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้เข้าใจชัด
บรรเทาความสงสัยเสียได้
จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส ย่อมเลื่อมใส
ขจัดความเลอะเลือน ในที่สุดเราก็จะเข้าใจการปฏิบัติ
เข้าใจความจริงของชีวิต
ยามที่ ๑ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ตอนที่พระโพธิสัตว์ท่านระลึกในยามที่ ๑
ยังไม่เรียกว่าเป็นพระสัพพัญญุตญาณ ยังไม่เป็นสัมมาสัมพุทโธ
พระโพธิสัตว์ท่านใช้กุศลจิต ในการระลึกย้อนหลัง ยังไม่ใช่กิริยาจิต
ใช้สติ สัมปชัญญะ ที่เป็นไปกับกุศลจิตนั่นเอง เป็นทิฏฐิวิสุทธิ
เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ จัดว่าเป็นวิปัสสนาญาณเบื้องต้น
เห็นเป็นชื่อ เป็นโคตร ตระกูล สีผิว และเจาะเข้าไปเห็นด้วยความเป็น
รูปนามขันธ์ ๕ ด้วย
พระโพธิสัตว์เข้าไปเห็นความจริงของกระแสชีวิต เห็นความลี้ลับมหัศจรรย์
ซ่อนเงื่อนของบรรดากรรมและผลของกรรมซึ่งมีความละเอียดอ่อน ทุก
ประเด็นในบรรดาหมู่สัตว์ทั้งหลาย รู้ว่าสัตว์ทั้งหลายทำกรรมอะไรมา
ไม่มีความผิดพลาด
ยถากัมมูปคญาณ ญาณปัญญาที่เข้าไปเห็นกรรมและผลของกรรม
(จุตูปปาตญาณ)
พระพุทธเจ้าจะเห็นความจริงของกระแสชีวิตในมุมเหล่านี้
ทั้งหมดโดยไม่ผิดพลาดเลย
ชีวิตคืออะไร ชีวิตคือขันธ์ ๕
ชีวิตเป็นอย่างไร เป็นไปตามปฏิจจสมุปบาท เมื่อสร้างสมุทัยแบบไหนก็ได้ทุกขสัจจะ
รองรับตามสมุทัยนั้นๆ เมื่อได้ทุกขสัจจะมาแล้วนำมาประกอบ
สมุทยสัจจะต่อ ก็ต้องประสบชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์
ต่อไป เป็นต้น
จะบอกธรรมะแก่หมู่สัตว์ทั้งหลายเหมือนกันไม่ได้ ต้องบอกตามที่หมู่สัตว์
สั่งสมมา ด้วยพระมหากรุณาธิคุณและปัญญาคุณ
ผูกสัตว์ไว้ในตน ปัญญาเห็นความเบื่อหน่ายอยากจะพ้นทุกข์ แต่ว่าต้องเอา
กรุณามาดึงเข้าไว้
หากกรุณาอย่างเดียวไม่พัฒนาปัญญามาให้สมดุล เดี๋ยวก็จะติดอยู่ในวัฏฏะ
ฉะนั้นปัญญากับกรุณาต้องได้สมตา ได้ดุลยภาพในทุกๆอัตภาพที่บำเพ็ญ
บารมีมา
พระพุทธเจ้าจึงต้องบำเพ็ญบารมีมาครบทุกประเด็น
ใครที่ไปเผชิญหน้ากับพระพุทธเจ้า ในทุกๆประเด็นที่พระพุทธเจ้า
จะชี้แจงไม่ได้เป็นไม่มีเลย สัมมาสัมพุทธะจึงเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่มาก
เพราะบ่งบอกถึงตัว ปหานสัมปทา นั่นคือตัวของอรหัตตมรรคญาณ
และยังมีญาณสัมปทา นั่นคือ พระสัพพัญญุตญาณ
หมายถึงพระปัญญาญาณที่ในมหากิริยาญาณสัมปยุตต์
คือเมื่อตรัสรู้แล้วจึงได้พระญาณเหล่านี้ประชุมพร้อม
การบรรลุเป็นพระอรหันต์ของพระพุทธเจ้าจึงตามมาด้วยพุทธคุณเต็มไป
หมด
เพราะยึดด้วยความเป็นอัตตา จึงคิดแบบนี้
ปัญญาทั้งหลายไม่แรงกล้าในการเข้าไปเจาะทะลุทะลวง เห็นความจริง
ของชีวิตว่ามันยึดทุกขั้นตอน แม้ปัญญาที่เข้าไปเห็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรา
เป็นเพียงสภาพธรรมที่ได้เหตุปัจจัยและปัญญาก็เกิดขึ้น
ปัญญาที่เข้าไปรู้ก็ดี สติที่เข้าไประลึก สมาธิเข้าไปตั้งมั่น สภาวธรรมที่
ถูกรู้ทั้งหลายล้วนแต่สืบต่อเกิดดับ สิ่งที่ดับก็หายไปหมดแล้ว
ท่านทั้งหลายต้องพัฒนาปัญญาไปเห็นความจริง จึงจะรู้สึกถึงความคลาย
จากความยึดถือทั้งหลายจะถูกทำลายได้
ต้องได้ทิฏฐิวิสุทธิและกังขาวิตรณวิสุทธิ
การสืบต่อเป็นไปอยู่ไม่ว่าจะเป็นสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน
เปรต อสูรกาย ไม่มีอยู่จริง แต่ความเจ็บปวดมีอยู่จริง
เหมือนเมล็ดมะม่วงที่ปลูกลงในดิน ออกมาเป็นลำต้นและออกเป็น
มะม่วงอีกมากมาย แท้ที่จริงสืบต่อมาอย่างนี้
อดีตเหตุเป็นปัจจัยแก่ปัจจุบันผล ปัจจุบันเหตุเป็นปัจจัยแก่อนาคตผล
การเกิดดับสืบต่ออย่างนี้ หากเป็นการเกิดดับสืบต่อในอัตภาพหนึ่งๆ
เรียกว่าเป็นปัจจุบันอัทธา แต่หากเป็นการสืบต่อในภพที่แล้ว
เป็นอตีตอัทธา
อวิชชา สังขาร เป็นอตีตอัทธา อวิชชาเป็นตัวแทนของกิเลส สังขารเป็นตัวแทนของกรรม
เมื่อมีอวิชา มีสังขารแล้ว การเกิดที่เรียกว่าปฏิสนธิวิญญาณจึงเกิดขึ้น
ปัจจุบันผล วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา เป็นปัจจุบันผล
ปัจจุบันเหตุ ตัณหา อุปาทาน กัมมภวะ อวิชชา สังขาร เป็นปัจจุบันเหตุ
เป็นปัจจุบันอัทธา
อนาคตอัทธา ชาติ ชรา มรณะ คือวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ไปเกิด ไป
แก่ เจ็บและตาย นี้คือปฏิจจสมุปบาท ความจริงของชีวิต
เมื่อยังมีขันธ์ ๕ เกิดดับสืบต่อเป็นไป จึงมีกาลทั้ง ๓
เริ่มตั้งแต่มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิไปจนถึงญาณทัสสนวิสุทธิ
แปลว่าปัญญาเข้าไปเห็นทุกขสัจจะ เข้าใจสมุทยสัจจะ
กำหนดหมายที่นิโรธสัจจะ
มรรค คือ สติปัฏฐานแข็งแรงแล้ว
เมื่อเข้าใจอริยสัจ เห็นความจริงในอริยสัจ
กับการแทงตลอดปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องเดียวกัน
รอบแรกเป็นพระโสดาบัน
รอบที่สองเป็นพระสกทาคามี
รอบที่สามเป็นพระอนาคามี
รอบสุดท้ายจึงได้เป็นพระอรหันต์
ถ้าเราไม่ชัดเจนในการดำเนินชีวิต เราก็ไม่ต่าง
ประกอบสมุทยสัจจะเพื่อทุกขสัจจะต่อไป
สัมพันธ์กับท่านผู้ใดให้สติปัฏฐานเกิด
หากทำอย่างนี้ได้แปลว่าเรากำลังดำเนินไปตามสัมมาสัมพุทธะ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจและบอกอริยสัจ
เรามี ๒ สัจจะ คือ ทุกข์ กับสมุทัย จงเปลี่ยนจากสมุทัย มาเป็น
มรรคสัจจะเพื่อนิโรธสัจจะจึงจะชัดเจน
พวกเราต้องเตรียมให้พร้อม ในโลกปัจจุบันที่เป็นอย่างนี้
เทคโนโลยี สภาพสิ่งแวดล้อมแบบนี้ ข้อมูลข่าวสารแบบนี้
ต้องทำให้สติสัมปชัญญะอยู่กับเนื้อกับตัวให้ได้ เจริญพุทธคุณให้ต่อเนื่อง
หากสติสัมปชัญญะไม่แข็งแรงแล้ว เราจะไม่มีภูมิคุ้มกันที่จะสกัดบาปอกุศล
กรรมอันชั่วร้าย
ปหานสัมปทา หมายถึงอรหัตตมรรคญาณ
ญาณสัมปทา หมายถึงพระสัพพัญญุตญาณ
หลังจากที่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์จึงได้ปัญญาญาณ
ที่ในมหากิริยาญาณสัมปยุตต์ ที่เป็นพระสัพพัญญุตญาณ
เวลาไประลึกอดีต หรือเวลาที่พระองค์จะเข้าปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่มหากุศลแล้ว แต่เป็นมหากิริยาญาณสัมปยุตต์
หรือจะเข้าไปรู้จุติ ปฏิสนธิของหมู่สัตว์ทั้งหลาย เวลาพระองค์ระลึก
จะเป็นกำลังของมหากิริยาญาณสัมปยุตต์
พระสัพพัญญุตญาณได้แก่ญาณปัญญา
สัมมาสัมพุทโธ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเป็นใคร อรหัตตมรรคญาณที่แทงตลอดอริยสัจทั้งสิ้นเป็นพระพุทธเจ้า
อะไรเป็นพระพุทธเจ้า ไม่พอ หลังจากอรหัตตมรรคญาณดับแล้วต่อมาพระสัพพัญญุตญาณก็ดี
พระอนาวรณญาณ อินทริยปโรปริยัตติญาณ มหากรุณาสมาปัตติญาณ
ยมกปาฏิหาริยญาณ อาสยานุสสยญาณ พระญาณเหล่านี้คือญาณ
ปัญญาที่ในมหากิริยาญาณสัมปยุตต์ที่เพียบพร้อมด้วยคุณอย่างอลังการ
นี้แหละเป็นพระพุทธเจ้า
เจาะลงไปที่ปัญญาญาณในมหากิริยาญาณสัมปยุตต์
ความเป็นพระพุทธเจ้าต้องประกอบไปด้วยขันธ์ ๕ ซึ่งทำกิเลสให้หมดจากขันธสันดานแล้ว
พระพุทธเจ้าไม่ใช่สัตว์บุคคล อัตตาตัวตน
แต่หมายถึงญาณปัญญาที่ไปแทงตลอดโลกธาตุทั้งสิ้น นี้เป็นพระพุทธเจ้า
เมื่อพระญาณปัญญานี้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แม้เวทนาขันธ์ที่สหรคตกับ
พระญาณปัญญานั้นก็เป็นพระพุทธเจ้าด้วย
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ รูปขันธ์ เป็นพระพุทธเจ้าด้วย
นามขันธ์ ๓ ที่สรหคตกับพระปัญญาญาณเป็นพระพุทธเจ้า
มหาภูตรูป และ อุปาทายรูป ที่ประกอบไปด้วยมหาปุริสสลักษณะ
๓๒ ประการและอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ บรรดารูปธรรมนี้ต้อง
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย
พระพุทธเจ้าจึงมีพระคุณอย่างหนึ่งคือพระบริสุทธิคุณ แปลว่าเวทนา
ขันธ์ สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เกลือกกลั้วกับกิเลสแล้ว
กิเลสถูกประหารหมดสิ้น
แม้รูปขันธ์ก็กลายเป็นที่ตั้งของพระญาณที่บริสุทธิ์หมดจดด้วย รูปขันธ์
ก็พลอยบริสุทธิ์หมดจดด้วย พระพุทธเจ้านั้นจึงเป็นผู้ได้พระบริสุทธิคุณ
หมดจด ซึ่งได้มาเพราะปัญญาคุณ
เมื่อมีพระปัญญาคุณ สามารถทำกิเลสและกองทุกข์ให้หมดสิ้นแล้ว
พระพุทธเจ้าจึงมีกรุณาต่อหมู่สัตว์ทั้งหลายไม่เลือกหน้า จึงมี
พระมหากรุณาธิคุณ
อรหัง เป็นชื่อของพระบริสุทธิคุณ
สัมมาสัมพุทโธ เป็นชื่อของพระปัญญาคุณ
ภควาเป็นต้น เป็นชื่อของพระมหากรุณาธิคุณ ทรงจำแนกแจกแจงการประกาศ
หลักการให้หมู่สัตว์ ได้รู้ได้เข้าใจ เป็นพระมหากรุณาธิคุณ
การที่เราเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เป็นการที่เราได้เห็นพระคุณอย่างลึกซึ้ง
ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ep 12 Apr 24 ,2023 สมฺมาสมฺพุทฺโธ
การที่จะได้ปหานสัมปทา ที่จะประหารกิเลสให้หมดสิ้นจากขันธสันดาน
กว่าจะได้มาซึ่งคำว่าสัมมาสัมพุทธ ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาอย่างยิ่งยวด
และอย่างยาวนาน
ส่วนของพระจริยาคุณทั้งหมด
มหาวิปัสสนาญาณ มหาวิปัสสนาญาณนั้นเป็นปทัฏฐานของโพธิญาณอันประเสริฐ
เป็นเหตุสัมปทา ก็คือ อรหัตตมรรคญาณโดยแท้
กว้างขวางอย่างมาก ก็เป็นปทัฏฐานแห่งการเจริญวิปัสสนาญาณทั้งหมด
เช่นเวลาพระองค์เข้าปฐมฌาน ไม่ว่าปฐมฌานมีอะไรเป็นอารมณ์ พระองค์ก็
เข้าหมด
ตัวอย่าง ตอนนั้นระลึกถึงปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ออกจากปฐมฌานที่มีปฐวี
กสิณเป็นอารมณ์ ก็พิจารณาขึ้นสู่วิปัสสนาญาณไปจ่อไว้
เข้าปฐมฌานที่มี อาโปกสิณ วาโยกสิณ เตโชกสิณ เป็นอารมณ์ หรือสีแดง
สีเขียว สีเหลือง สีขาวเป็นอารมณ์ ทุกๆองค์ฌานที่เป็นอารมณ์ของปฐมฌาน
เข้าหมด แล้วออกจากฌานเหล่านั้นก็ยกขึ้นสู่วิปัสสนาญาณทั้งหมด
ปัญญาของพระพุทธเจ้าจึงเรียกว่า มหาวชิรญาณ
ฉะนั้นวิปัสสนาญาณของพระบรมโพธิสัตว์เวลาพระองค์ระลึก
เอาสติไปจับอารมณ์นั้นแล้วดึงมาทุกๆเรื่อง
เมตตากรรมฐาน ออกจากเมตตากรรมฐานเอาอารมณ์ของเมตตามา
พิจารณาเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาญาณ
กรุณากรรมฐาน มุทิตากรรมฐาน
อสุภกรรมฐานทุกส่วน เช่น เกสา โลมา นขา ทันตา ทุกๆชิ้นส่วนของ
กรรมฐานพระองค์เข้าหมด แล้วเอาสมถกรรมฐาน เอามาเป็นบาทแห่ง
การเจริญวิปัสสนาญาณทั้งหมด
มหาวิปัสสนาญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถไปวิจัยขันธ์ ๕
ของหมู่สัตว์ทั้งหลายในสากลจักรวาลมาเป็นอารมณ์ และวิจัย ยกขึ้นสู่
ไตรลักษณ์ได้หมด ทะลุทะลวง เป็นอุปนิสสยปัจจยสติ เป็นปัจจัยที่เป็นที่
อาศัยที่ให้อรหัตตมรรคญาณที่เรียกว่าสัมมาสัมพุทธเกิดขึ้น
ฉะนั้น สัมมาสัมพุทธเกิดขณะจิตเดียว มีนิพพานเป็นอารมณ์จริงอยู่
แต่พลังเบื้องหลัง ตั้งแต่ศีลก็ดี สมาธิก็ดี มหาวิปัสสนาญาณก็ดี กว้าง
ใหญ่ไพศาลมาก ที่เป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่อรหัตตมรรคญาณ
พระสัพพัญญุตญาณ ปัญญาที่รอบรู้สิ่งทั้งปวงทั้งหมด
อนาวรณญาณ ไม่มีอะไรกีดขวางได้ อะไรก็ขัดขวางญาณปัญญาไม่ได้
อาสยานุสยญาณ ปัญญาที่เข้าไปรู้อัธยาศัยและอนุสัยของหมู่สัตว์
เราไม่รู้อัธยาศัยของตนเอง เราไม่รู้อธิมุตติของตนเองว่าจะหลุดพ้นได้ด้วยประการอย่างไร
จะหยิบยกเรื่องอะไรมาบอกให้เรารู้สึกว่าโดนใจ
แต่พระพุทธเจ้าทรงสามารถหยิบยกเรื่องราวที่เราเคยชินทั้งหลายมาบ
อกพวกเราได้เลย ว่าเราเป็นสัตว์ประเภทไหนมา เกิดเป็นหญิง เป็น
ชาย เป็นนายช่าง เป็นแม่ค้า เป็นโค พระพุทธเจ้าจะสามารถรู้และยก
ประเด็นนั้นๆมาบอกเรา ข้ออุปมาอุปมัย พระพุทธเจ้ารู้อัธยาศัยและ
อนุสัยของเราที่หนาแน่นว่าเป็นกลุ่มไหน อนุสัยกลุ่มไหนที่ฝังแน่นที่ลึก
ที่สุด จะจัดการกลุ่มไหนก่อน จะให้เหตุปัจจัยกลุ่มไหนก่อน
การกำจัดวาสนา เกี่ยวกับระยะเวลาการบำเพ็ญบารมีหรือไม่
มหาวิปัสสนาญาณแบบกว้างใหญ่ไพศาล มีเฉพาะพระพุทธเจ้า
เท่านั้น พระมหากัสสปที่พระพุทธเจ้ายกย่องนั้น เพียงว่าท่านพระ
มหากัสสปไม่ปล่อยเวลาให้เพลินไป มีธรรมเครื่องอยู่ตลอด
ไม่มีปล่อยใจคิดเรื่องอื่นเพลิน หยุดจากกิจกรรมที่ทำก็อยู่ใน
สมาบัติทันที มีธรรมเครื่องอยู่เสมอกับพระพุทธเจ้าคือแบบนั้น
แต่ไม่ได้มีมหาวิปัสสนาญาณเหมือนพระพุทธเจ้า
คนเจริญพุทธคุณ เมื่อพุทธคุณปกคลุมกรัชกายแล้ว
เป็นคนน่าเกรงขาม คนเจริญพุทธคุณจะเป็นคนตัดสินใจแน่วแน่ จิตใจเข้มแข็ง
เด็ดเดี่ยว มีพลัง มั่นคงตั้งมั่น ไปที่ไหนจะเป็นที่เกรงขามของทุกคน
เพราะอานุภาพของพุทธคุณที่ประชุมในกระแสชีวิต
อรหัตตมรรคญาณ เป็นปหานสัมปทา
(ญาณปัญญาทั้ง ๔ เรียกว่าปหานสัมปทา)
การเป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องผ่านจากพระโสดาบัน พระสกทาคามี
พระอนาคามี และความเป็นพระอรหันต์ก่อน
รูปกายสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยพระวรกายที่ประกอบไปด้วยพระวรลักษณ์
๓๒ ประการและอนุพยัญชนะ ๘๐ นั้นไม่ต้องพูดถึง ได้มาแล้ว
มหาปุริสสลักษณะ ๓๒ ประการ อนุพยัญชนะ ๘๐ ได้มาก่อน
เป็นพระพุทธเจ้า ได้มาตั้งแต่เกิดแล้ว ต่อมาถูกทำลายไปด้วย
การบำเพ็ญทุกรกิริยา มหาปุริสสลักษณะอันตรธานหายไป
เมื่อกลับมาเสวยอาหารอย่างเดิม มหาปุริสสลักษณะ ๓๒
ประการและอนุพยัญชนะ ๘๐ ก็กลับคืนมาอย่างเดิม
ลักษณะเหล่านี้เมื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว มหาปุริสสลักษณะ ๓๒
ประการ อนุพยัญชนะ ๘๐ ไม่หายไปเลยแม้เวลาเจ็บป่วย ชราภาพ
หายตอนที่ถูกพระเพลิงเผาพระบรมศพ
มหาปุริสสลักษณะ ๓๒ ประการ อนุพยัญชนะ ๘๐ อันตรธานเหลือแต่พระ
ธาตุ บรรดาหมู่กษัตริย์ทั้งหลายจึงร้องไห้ว่า มหาปุริสสลักษณะ ๓๒ ประการ
หายวับไปกับตาแล้ว ไม่มีโอกาสได้เห็นแล้วหนอ
สัตตูปการสัมปทา
เราทั้งหลายเวลาระลึกถึงพุทธคุณ ก็ต้องระลึกทั้งหมดนี้
พระพุทธเจ้านี้ จะระลึกอย่างไรก็ไม่หมดไม่สิ้น
เราเอาใจของเราไปคิดถึงคนอื่นมานานแล้ว
ตอนนี้ขอให้เราเอาชีวิตส่วนหนึ่ง ไปคิดถึงพระพุทธเจ้าได้หรือไม่
วัน ๆ หนึ่งเราไม่เคยมีพุทธานุสสติอยู่ในใจเลย
ที่ไม่คิดถึง เพราะเราไม่รู้จักพระพุทธเจ้า และไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร
พระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ
การบำเพ็ญบารมี ๑๐ เข้าอยู่ในหมวดของพระมหากรุณาธิคุณ
สัมมาสัมพุทธ เข้าอยู่ในหมวดของพระปัญญาคุณ
อรหัง เข้าอยู่ในหมวดของพระบริสุทธิคุณ
การที่พระพุทธเจ้าทรงมีอัธยาศัย ถึงพร้อมด้วยการอนุเคราะห์เหล่าสัตว์
มีอัธยาศัยเกื้อกูลเหล่าสัตว์แม้สัตว์ที่ประทุษร้าย ตลอดถึงมีอัธยาศัย
ความบริสุทธิ์ เพียรในการกล่าวพระธรรม โดยการไม่เพ่งลาภสักการะ
แม้ว่าท่านผู้นั้นจะเป็นใคร ก็มีความเพียรที่สะอาดบริสุทธิ์
E ต้องเป็นความเพียรที่สะอาดบริสุทธิ์
พระพุทธเจ้าไม่เคยท้อเลย แสดงธรรมครั้งแรกมีมนุษย์ฟังเพียง ๕ คน
บางทีมีอุปกชีวกคนเดียว ยสกุลบุตรคนเดียว พระองค์ก็ไม่คิดท้อเลย
เราต้องดูพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการแสดงธรรม กล่าวธรรม
เผยแผ่ธรรมะ และปฏิบัติธรรม เรามีบุคคลต้นแบบระดับพระพุทธเจ้า
ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นต้นแบบ
สัตตูปการสัมปทา อัธยาศัยในการอนุเคราะห์เหล่าสัตว์
พระพุทธเจ้าจึงเป็นมหาบุรุษที่สมบูรณ์แบบที่สุดในจักรวาล
E ไม่มีบุคคลใดที่จะสมบูรณ์แบบเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมอง
ในมุมไหนก็ไม่มีข้อขาดตกบกพร่อง
เมื่อได้อรหัตตมรรคญาณบรรลุเป็นสัมมาสัมพุทธ ต่อมาได้ญาณ
สัมปทา คือ พระสัพพัญญุตญาณ ตามมาด้วย อสาธารณญาณ ๖
พระทศพลญาณ ๑๐ เวสารัชชญาณ ๔ อาเวนิกธรรม ๑๘ พระฤทธิ์
อานุภาพอีกมากมาย ที่ถึงพร้อมด้วยศีลคุณ
เวลาเราระลึกถึงสภาพธรรมทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม แม้แยกย่อย
รายละเอียดทุกขั้นตอนแล้วประชุมลงในอริยสัจ ๔ ก็ให้เห็นความตรัสรู้ดีของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเป็นธรรมดีของพระธรรม และการประพฤติ
ปฏิบัติดีของหมู่อริยสงฆ์ อย่างนี้เรียกว่าสัมมาสัมพุทธ
เมื่อเราเข้าใจบทของสัมมาสัมพุทโธ เราจะเห็นอริยสัจทั้ง
ภายในและภายนอก ทั้งหลายจะประชุมลงในอริยสัจ
เพราะเธอและเราไม่ได้ตรัสรู้อริยสัจ ๔ จึงได้หมุนเวียนไปในสังสารวัฏ
อันหาเบื้องต้นและที่สุดอันบุคคลรู้ไม่ได้จึงเป็นแบบนี้
เวลาเห็นสิ่งใดที่ประกอบไปด้วยชีวิตทั้งหลาย ท่านทั้งหลายต้องประชุม
สัมมาสัมพุทธ ประชุมลงอริยสัจให้ได้ มนสิการให้ได้
E ทำโยนิโสมนสิการ ทำสติสัมปชัญญะให้เกิดขึ้นและหยั่งลงอริยสัจให้ได้
เห็นทุกข์ เห็นขันธ์ ๕ ที่จะต้องหมุนไปตามทุกข์ ๑๑ กอง ว่าเป็นทุกขสัจ
มีสมุทยสัจจะเป็นแดนเกิด ดับทุกข์ ดับสมุทัยได้เป็นนิโรธ ปฏิปทาให้
เข้าถึงนิโรธเป็นมรรค ต้องเห็นแบบนี้ให้ได้ แยกองค์ประกอบให้ได้
ต้องสามารถเห็นทุกอย่างแล้วสามารถหยั่งลงอริยสัจได้ ท่านผู้นั้นจึง
เข้าใจคำว่าสัมมาสัมพุทโธ
= พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงอย่างนี้ และความจริงเหล่านี้กำลังปรากฏต่อญาณปัญญาของเรา
หมั่นพิจารณา หลงใหลในทุกข์ ยินดีในทุกข์ เพราะไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นเหตุให้เกิด
ทุกข์ ไม่เห็นนิโรธ ไม่เข้าใจมรรค ไม่เข้าใจสัมมาสัมพุทโธ
สัมมาสัมพุทโธสัมพันธ์กับชีวิตของเราทั้งหลาย
เมื่อมองเห็นหมู่สัตว์ ๑. เห็นทุกขสัจจะ
๒. สมุทยสัจจะ
แท้ที่จริงหมู่สัตว์ทั้งหลายอยู่ได้แค่ ๒ สัจจะ
ทุกขสัจจะ ที่บรรดาหมู่สัตว์ได้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้สภาพสังคม
สิ่งแวดล้อม มาจากสมุทยสัจจะ ทำให้เขาต้องประสบสภาพสังคม
สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ การที่เขาอยากได้สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น หากใช้
ตัณหาคือความทะยานอยาก ใช้อุปาทานคือความยึดมั่น ใช้อวิชชา
คือความไม่รู้ ด้วยความไม่รู้จริงจึงขวนขวายวิชาการต่างๆ แล้วมานำ
เสนอข้อมูล นี้คือสมุทยสัจจะที่กำลังเกิดขึ้นเต็มไปหมด เห็นสมุทัยใน
อดีตที่ทำให้ได้สภาพในปัจจุบัน และกำลังประกอบสมุทยสัจจะเพื่อจะ
ได้ทุกขสัจจะในอนาคต เขาคิดว่าเป็นนิโรธของเขา จึงประกอบเหตุที่
เป็นสมุทยสัจจะ แท้ที่จริงเขากำลังสร้างทุกข์
E เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้ว เราท่านทั้งหลายจะได้เห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ยิ่งยวดมาก ละเอียดอ่อน ประณีต วิจิตรบรรจง
เหตุสัมปทา การละกิเลสพร้อมทั้งวาสนา ที่ได้เป็นพระอรหันต์ ความบริบูรณ์ทั่วทั้งหมด
ในการกำจัดกิเลส ได้แก่ มรรคญาณ หรือ ปัญญาญาณในมรรคทั้ง ๔
เจาะลงไปจริงๆ ก็คือ ปัญญาในอรหัตตมรรคญาณ ทรงรอบรู้ไม่มีติดขัด
เลย เหตุปัจจัยที่ทำให้ได้อรหัตตมรรคญาณนั้น เป็นเหตุสัมปทาทั้งหมด
อรหัตตมรรคญาณ เป็นผล
ผลจากการประหารกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา
อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ หมดสิ้นจากขันธสันดาน
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระแสชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สะอาด
บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส กำจัดกิเลสพร้อมทั้งวาสนา อยู่ในบทของคำว่า
อรหัง
ส่วนพระปัญญาญาณเหล่านั้นที่เป็นตัวกำจัดกิเลสและกองทุกข์
อยู่ในบทของคำว่า สัมมาสัมพุทโธ
พุทธคุณ เป็นได้ทั้ง ศีล สมถะ วิปัสสนาญาณ ท่านทั้งหลายจึงควรศึกษาเรียนรู้ให้
ละเอียด ประณีต วิจิตรบรรจง ท่านทั้งหลายก็จะสงบบาปอกุศลธรรมชั่ว
ร้ายในใจได้ คิดถึงพระพุทธเจ้าแล้ว จิตใจก็รู้สึกปลาบปลื้มยินดีมากว่า
เราได้มีสภาพจิตที่น้อมระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
พระพุทธเจ้าทำปหานสัมปทาให้เกิดขึ้น ณ ที่ตรงนั้น
ก่อนที่จะทำปหานสัมปทาให้เกิดขึ้น คือ การประหารกิเลส
พระพุทธเจ้าตอนที่นั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ที่โพธิบัลลังก์
พระแท่นวัชรอาสน์ พระองค์ระลึกถึงทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะ
ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาบารมี
อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ มาไว้ในตน ในขณะที่กำลังหมุน
บารมีให้เกิดขึ้นในตน ในขณะนั้นกำลังสร้าง เหตุสัมปทา
คือการบำเพ็ญทำเหตุสัมปทาให้เกิดขึ้น แล้วสามารถกำจัดมารและ
เสนามารให้หมดสิ้นจากขันธสันดานได้
ขัดขวางพระพุทธเจ้าตอนที่พระพุทธเจ้าจะบรรลุ
เป็นเทวปุตตมารสูงสุด ตอนนี้ท่านเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว
E วสวัตดีมาร จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
อานุภาวสัมปทา การถึงพร้อมด้วยศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ และฤทธิทั้งหลาย
อิทธิวิทธิ ทิพพจักขุ เจโตปริยญาณ เป็นต้น ฤทธิ์ทั้งหลายที่หาสิ่ง
ใดๆมากีดขวางไม่ได้
ระลึกถึงญาณปัญญาในอรหัตตมรรคญาณ นั้นคือพระพุทธเจ้า
E
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ อรหัตตมรรคญาณจิตตุปปบาท
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตรวจดูหมู่สัตว์ว่าสัตว์ผู้นี้มีศรัทธาแก่กล้าหรืออ่อน มีความเพียรแก่กล้า
หรืออ่อน มีสติแก่กล้าหรืออ่อน มีสมาธิแก่กล้าหรืออ่อน มีปัญญาแก่กล้า
หรืออ่อน บ่งบอกว่าในกระแสชีวิตของเราที่เกิดดับสืบต่อ ข่ายพระญาณ
ของพระพุทธเจ้าตรวจสอบหลายรอบมาก แต่ตรวจสอบแล้ว
พวกเราไม่ฝึกฝนพัฒนาตนเอง ถ้าอินทรีย์ของพวกเราแก่กล้าแล้ว ป่านนี้
พระพุทธเจ้าไปโปรดเราเรียบร้อยแล้ว เพราะพวกเราประมาท ละเลย
ไม่ฝึกฝนพัฒนาตนเอง ต่อไปอย่าให้พลาดอีก
เวลาพระพุทธเจ้าแสดง เมื่อพระพุทธเจ้าได้ปฏิเวธญาณแล้วตอนแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
พระสัทธรรม มนุษย์ได้บรรลุ ๑ นั้นคือเทศนาญาณ พรหมบรรลุ ๑๘โกฏิ เทวดานับไม่
ถ้วน ด้วยอานุภาพแห่งพระสัพพัญญุตญาณ อินทริยปโรปริยัตติญาณ
ด้วยอานุภาพแห่งมหากรุณาสมาปัตติญาณ พระสุรเสียงของพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า เบื้องต่ำกระเทือนไปยังอเวจีมหานรก เบื้องสูงถึงภวัคคพรหม
แนวราบไปหมื่นโลกธาตุ ได้ยินพระสุรเสียงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทั้งหมด
จำนวนหมู่สัตว์ทั้งหลายที่ได้บรรลุมากมายนัก
นี้เป็นอานุภาพของพระสัพพัญญุตญาณ เป็นอานุภาพของสัมมาสัมพุทธ
เมื่อตรัสรู้แล้วก็ให้สัตว์อื่นได้ตรัสรู้ด้วย ข้ามได้แล้วก็ให้สัตว์อื่นข้าม
ได้ด้วย หายใจคล่องแล้วก็ให้สัตว์อื่นหายใจคล่องด้วย
พระพุทธเจ้าทรงมีพระเนตรงามเหมือนตาของลูกโคอ่อน
ท่านที่ศึกษาหรือฟังลักขณสูตรมาดีแล้ว ก็จะเข้าใจทันทีว่า
พระพุทธเจ้าทรงมีพระเนตรงดงามอย่างนี้ ในสังสารวัฏที่ผ่านมา
พระองค์ไม่เคยถลึงตามองหมู่สัตว์ทั้งหลายด้วยความโกรธเลย
ไม่เคยปล่อยให้ความกำหนัด ความขัดเคือง ความลุ่มหลงเกิดในใจ
แล้วมองสัตว์ทั้งหลายเลย ไม่เคยมองค้อน ไม่เคยมองด้วยความ
ประทุษร้าย ไม่เคยมองใครด้วยหางตา ทำเมตตาจิตให้เกิดขึ้นแล้ว
มองทำความรักความปรารถนาดีให้เกิดขึ้นแล้วมอง ทำกรุณาให้เกิด
ขึ้นก่อนแล้วมองด้วยความสงสาร คิดช่วยเหลือ มองด้วยมุทิตาจิต
ชื่นชมยินดีกับหมู่สัตว์ทั้งหลาย
พอเห็นพระลักษณะของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ บุคคลที่เจริญพุทธานุสสติ
ก็ไปเห็นทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะ ปัญญา ที่พระองค์บำเพ็ญมา
อย่างนี้เป็นต้น เห็นสรีรคุณ ที่ได้สรีระแบบนี้เพราะบำเพ็ญอะไรมา
รูปกายสัมปทา ที่ปรากฏต่อญาณปัญญาของหมู่สัตว์ทั้งหลาย
พุทธานุสสติก็เกิดขึ้น ในการระลึกคุณของพระพุทธเจ้า
การเห็นคุณของพระพุทธเจ้าจึงไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อ
จากตาเนื้อพัฒนาสู่ตาปัญญา ทำให้เราเห็นกรรมที่พระองค์บำเพ็ญมา
เป็นกุศลกรรมที่ละเอียดอ่อนประณีติวิจิตรบรรจง
พระมหาปุริสสลักษณะ ที่งดงามด้วยความละเอียดอ่อนประณีตวิจิตร
บรรจง มาจากกำลังของทานบารมี ศีลบารมี เป็นต้น ที่พระองค์
บำเพ็ญมา อธิกุศลที่ละเอียดอ่อน ประณีต วิจิตรบรรจง
ท่านทั้งหลายต้องพัฒนาปัญญาเพื่อให้เข้าใจคำว่าสัมมาสัมพุทโธ
ชีวิตคืออะไร ชีวิตคือ ขันธ์ อายตนะ ธาตุ
ชีวิตเป็นอย่างไร เป็นไปตามกรรม เป็นไปตามปฏิจจสมุปบาท คือ กังขาวิตรณวิสุทธิ
หรือจุตูปปาตญาณ ชีวิตเป็นของมันอยู่อย่างนี้ เราจะเข้าใจหรือไม่
เข้าใจ แต่ความจริงก็เป็นแบบนี้
ถ้าประกอบกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกก็ไปอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ถ้าประกอบกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ไปสุคติโลกสวรรค์
เป็นไปตามกรรม เป็นไปตามปฏิจจสมุปบาท เป็นเหตุเป็นผล เป็นกรรม
และผลของกรรม
แต่ไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรม หากมีเจตจำนง
กระแสขันธ์นั้นเป็นผู้ทำกรรม กระแสขันธ์นั้นก็ต้องเป็นผู้รับกรรมนั้นๆ
สัมมาสัมพุทธเห็นความจริงของทุกข์ เห็นความจริงของทุกขสมุทัย
เห็นความจริงของทุกขนิโรธ ถ้าต้องการให้ขันธ์ อายตนะ ธาตุ
หยุดการสืบต่อ ก็ต้องเข้าใจทุกขนิโรธ คือพระนิพพาน
ชีวิตควรให้เป็นอย่างไร ควรนิพพาน ควรเข้าถึงนิโรธ
ชีวิตควรเป็นอยู่อย่างไร ควรเป็นอยู่ด้วยสติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท
ควรเป็นอยู่ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ควรเป็นอยู่ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘
ควรทำสติให้เกิดขึ้น ควรเจริญพุทธานุสสติ
โพธิมณฑล
การอุบัติเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความตื่นเต้นของมนุษยชาติ
ว่ามนุษย์สามารถฝึกฝนตนเองจากปุถุชนเป็นพระอรหันต์ได้
และพระพุทธเจ้าเป็นสัมมาสัมพุทโธ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
และตอนนี้พระองค์ทรงประกาศทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ให้หมู่สัตว์ทั้ง
หลายได้มาเห็น ได้มาเข้าใจ ได้มาแทงตลอด เพื่อจะได้ตรัสรู้
ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านผู้ใดรู้และเข้าใจในการเสวยวิมุตติสุข เมื่อไปที่พุทธคยาจะตื่นเต้น
อย่างมากว่าที่พระองค์รวบรวมญาณสัมปทา มีพระสัพพัญญุตญาณ
พระทศพลญาณ อานุภาวสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีลคุณ เป็นต้นหรือ
อำนาจฤทธิ์ทั้งหลายอลังการมาก สถานที่อื่นไม่สามารถเป็นที่รองรับ
สมาบัติอย่างมากมายขนาดนั้นได้ เป็นที่เดียวในโลกนี้ เพราะที่ตรง
นั้นพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ต้องมาตรัสรู้จึงเป็นสถานที่ที่มั่นคง
มองทุกข์แล้วใจเป็นสุข
เมื่อพลังของสมาธิมาแล้ว ฐานที่มั่นในการให้ปัญญาทำกิจ
ในการที่ไปวิจัย ผมไม่งาม ปักไปในศีรษะดูดกินเลือด ไม่น่ายินดี
ไม่น่าเพลิดเพลิน ไม่งาม กำลังสติ กำลังสมาธิแข็งแรง จึงเป็นฐานที่
ตั้งของปัญญา เมื่อศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
หรือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ ปัญญามีพลังขึ้นมา ความเด็ดเดี่ยว
ความแกล้วกล้า ความมีใจรักที่จะฝึกพัฒนาตนเองมาเต็มที่
ความลังเลสงสัยถูกตัดออก ความแกล้วกล้าก็เกิดขึ้น
สงสัยพระสงฆ์ว่าบุคคลฝึกตนเองจากปุถุชนเป็นพระอริยะจริงหรือ
การฝึกตนตามศีล สมาธิ ปัญญา มีประโยชน์จริงหรือไม่
กระแสชีวิตในอดีตมีจริงหรือ อนาคตมีจริงหรือ ปัจจุบัน ปฏิจจสมุปบาท
มีจริงหรือไม่ สงสัยทุกประเด็นแต่ไม่ยอมฟังไม่ยอมศึกษาไม่ยอมประพฤติ
ปฏิบัติจริงจัง วิจิกิจฉาเป็นกำลังอย่างมาก
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นศาสนาที่เลิศ
ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออริยมรรคมีองค์ ๘
เมื่อบุคคลท่านใดอบรม ศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว ก็จะสามารถขัดเกลา
กาย วาจา ใจ ได้
การที่เราทำพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มาประชุมใน
กระแสชีวิตของตนเองและของหมู่สัตว์ทั้งหลาย จึงเป็นเรื่องที่จำเป็น
มากและสำคัญอย่างยิ่ง
การรู้พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วสามารถนำไป
ปฏิบัติได้ ซึ่งปัจจุบันยังขาดตกบกพร่องอยู่มากสำหรับพุทธบริษัท
เพราะการท่ีเราไม่เรียนรู้พระธรรมคำสอนอย่างละเอียดอ่อนลึกซึ้ง
การประพฤติปฏิบัติของเราทั้งหลายจึงยังขาดตกบกพร่อง จึงไม่
สามารถนำเอาพระธรรมคำสอนมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต
ขจัดกิเลสและกองทุกข์ได้หมด
ปหานสัมปทา พระปัญญาญาณที่ทรงประหารกิเลสพร้อมทั้งวาสนาหมดสิ้นจากขันธ
สันดานเป็นต้น นี้เป็นกลุ่มของผล มาจากเหตุสัมปทาที่พระองค์ทรง
บำเพ็ญบารมีมาอย่างยิ่งยวด ในที่สุดจริงๆก็มานั่งอยู่ที่ควงไม้โพธิพฤกษ์
สามารถกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นจากขันธสันดานได้ เป็นปหานสัมปทา
จากการประหารกิเลสและวาสนาได้ พระองค์จึงเต็มเปี่ยมไปด้วย
ญาณสัมปทา มีพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
ในครั้งหนึ่ง พระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาท
แล้วนั่งในที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้ตรัสดังนี้
เวลาพระองค์จะเคลื่อนไหวกายกรรม ไม่มีเลยที่จะไม่มีพระญาณนำหน้า
จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว มีสติสัมปชัญญะนำหน้าทุกขณะไม่มีหลุดเลย
วจีกรรมทั้งปวง จะเป็นกถาสัมมาวาจา เจตนาสัมมาวาจา
คำพูดที่มีเจตจำนง จงใจตั้งใจ เวลากล่าววาจาออกมา ผลจากการจที่พระองค์ละเวรเจตนา
อกุศลที่เป็นเหตุแห่งการพูดเท็จทั้งหมด เวรเจตนาอกุศลที่เป็นเหตุแห่งการพูดส่อเสียด
เวรเจตนาอกุศลที่เป็นเหตุพูดคำหยาบ เพ้อเจ้อ อกุศลกรรมเหล่านั้นท่ีเป็นปัจจัยต่อการเปล่ง
วจีกรรมทั้งหมดพระองค์ทรงละได้แล้ว ในโสดาปัตติมรรคญาณ สกทาคามิมรรคญาณ
อนาคามิมรรคญาณ อรหัตตมรรคญาณ ถอนได้กระทั่งราก
พระพุทธเจ้ามีพระญาณนำหน้าวจีกรรมทั้งหมด ต่างกับหมู่สัตว์ทั้งหลายที่ขาดสติสัมปชัญญะ
และมโนกรรมทั้งปวง มีพระญาณนำหน้า เป็นไปตามพระญาณนั้น เวลาจะมนสิการสิ่งใด
ไม่มีเลยที่ชวนจิตเกิดขึ้นจะปราศจากปัญญา
สัมมาสัมพุทโธมีพลานุภาพอย่างนี้
การที่พระองค์เห็นความจริงตรงนี้เพราะมีพระปัญญาญาณ
พระสัพพัญญุตญาณเป็นต้นที่ไปแทงตลอดโลกธาตุทั้งสิ้น
เห็นบรรดากิเลสทั้งหลายที่ถูกละด้วยกำลังของปัญญาในมรรค มีโสดา
ปัตติมรรคเป็นต้น
เป็นไปได้ที่ปุถุชนจะลงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เป็นไปไม่ได้ที่พระ
โสดาบันจะลงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ซับซ้อนขนาดไหน พระองค์ก็มีพระปรีชาญาณเข้าไปหยั่งรู้
เรียกว่าญาณสัมปทาของพระพุทธเจ้า เข้าไปเห็นวิบากทุกชนิด
เช่น เวลาพระสงฆ์นั่งประชุมกันว่าเพราะอะไรหนอแล…
มีคนๆหนึ่งก่อไฟอยู่ เฉวียงที่ถูกไฟก็ดีขึ้นไปบนท้องฟ้าตัดคอนกขาด
พระพุทธเจ้ารู้ทันทีว่านกตัวนี้เคยเกิดเป็นมนุษย์แล้วเอาไฟเผาควายให้
ตาย
พระพุทธเจ้ามีพระญาณหยั่งรู้ว่าผลเหล่านี้ยึดโยงกับเหตุคือกรรมอะไร
เวลาพวกเราเผชิญปัญหาชีวิตใดๆ เราได้แต่ศึกษาตามแนวทางแห่ง
ธรรมะ แนวทางแห่งกรรมเท่านั้น ไม่เห็นชัดเหมือนพระพุทธเจ้า
พระองค์เองอาเจียนออกมาเป็นพระโลหิต พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าสมัย
บำเพ็ญบารมี ช่วยชีวิตเศรษฐีท่านหนึ่ง แต่เศรษฐีมีความคิดว่าจะไม่จ่ายเงิน
จึงบอกว่าอาการยังไม่ดีขึ้น พระโพธิสัตว์จึงปรุงยาที่ทำให้เศรษฐีอาเจียนเป็น
เลือดและถ่ายเป็นเลือด ด้วยจิตอกุศลคิดเบียดเบียน บาปกรรมจึงตามให้ผล
พวกเราหากไม่ได้บำเพ็ญกุศลดีๆมา โอกาสจะมานั่งฟังพระสัทธรรม
อย่างนี้ก็ไม่มี เพราะการทำสิ่งที่ดีๆมา เราจึงมีโอกาสมานั่งฟังพระ
สัทธรรม แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อมานั่งฟังพระสัทธรรมนี้แล้ว บางครั้ง
เราก็เผลอปล่อยให้สติสัมปชัญญะหลุดในขณะที่ทำกรรมดีก็ได้
กรรมที่ไม่ดีเหล่านี้ก็จะให้ผลอีก เป็นบาปเป็นอกุศล
เรื่องกรรมและผลของกรรมเป็นเรื่องใหญ่
หากต้องการศึกษารายละเอียดต้องไปดูเรื่องจุลกัมมวิภังคสูตร
มหากัมมวิภังคสูตร หรือศึกษาเรื่อง
ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม กรรมที่ทำในปัจจุบันให้ผลในปัจจุบัน
อุปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ทำในปัจจุบันให้ผลในภพที่ ๒
อปราปรเวทนียกรรม กรรมที่ทำในปัจจุบันให้ผลในชาติที่ ๓ เป็นต้นไป
อโหสิกรรม กรรมที่ไม่ให้ผล
ชนกกรรม กรรมที่นำเกิด อุปถัมภกกรรม กรรมที่คอยสนับสนุน
อุปปีฬกกรรม กรรมที่คอยเบียดเบียน อุปฆาตกรรม กรรมที่ตัดรอน
ศึกษาเรื่องครุกรรม กรรมหนักทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล
อาสันนกรรม กรรมที่ทำใกล้ตาย
อาจิณณกรรม กรรมที่ทำเป็นประจำ
กฏัตตาวาปนกรรม กรรมที่มีกำลังไม่แข็งแรง กรรมที่สักแต่ว่าทำ
กามาวจรกุศลกรรม รูปาวจรกุศลกรรม อรูปาวจรกุศลกรรม โลกุตตรกรรม
ตถาคตรู้ชัดปฏิปทาที่ให้ถึงภูมิทั้งปวงตามความเป็นจริง ปรีชาที่
หยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่นำไปสู่สุคติทั้งปวง ทุคติ หรือพ้นจากคติทั้งหลาย
ปรีชาที่หยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่อรรถประโยชน์ทั้งปวง เป็นต้น
การเข้าไปรู้ความจริงอย่างนี้เรียกว่า สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ
นี้เป็นญาณสัมปทา เป็นพระทศพลญาณ เป็นผลของการเป็นสัมมา
สัมพุทธ
นานาธาตุญาณ
พระตถาคตรู้ชัดโลกที่มีธาตุหลายชนิด มีธาตุที่แตกต่างกันตามความ
เป็นจริง นี้เป็นกำลังของพระพุทธเจ้า
ปรีชาหยั่งรู้สภาวะของโลกอันประกอบด้วยธาตุต่างๆ เป็นเอนก รู้สภาวะ
ของธรรมชาติทั้งฝ่ายของอุปาทินนกสังขารและอนุปาทินนกสังขาร
คือสังขารที่มีใจครองและไม่มีใจครอง
เช่นในเรื่องของชีวิต ทราบองค์ประกอบต่างๆเหล่านั้นตามหน้าที่
สามารถแยกองค์ประกอบเป็นต้นว่า ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโย
ธาตุ รู้จักเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ รู้สภาพธรรมต่างๆ เหล่านี้ตามความ
เป็นจริง
หากได้พุทธคุณแล้วต่อยอดจากพุทธคุณไปเจริญปัญญาญาณ
จนไปแทงตลอดสัจจะทั้ง ๔ จนสามารถบรรลุเป็นพระโสดาบัน มีอัน
ไม่ตกตำ่เป็นธรรมดา ตราบใดยังเป็นปุถุชนอยู่ ยังไว้ใจไม่ได้
ยังไม่ต้องกล้าเผชิญหน้าก่อน แต่ให้นำเอากระแสชีวิตของท่านผู้นี้มาวิจัย
ใช้สติเข้าไปจับ ใช้สมาธิเข้าไปตั้งมั่น ความเพียรประคองใจ ปัญญาดึง
มาแยกย่อยรายละเอียด ตั้งเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
เราประกาศว่าเราจะพ้นทุกข์แล้วแค่นี้เราก็ผ่านไม่ได้ เราจะเอาหน้าไปเฝ้า
พระพุทธเจ้าได้อย่างไร วิจัยแยกแยะอย่างนี้
เรามองท่านผู้นี้แล้วความเศร้าหมองเกิดขึ้นทุกครั้ง
เพราะเรามองเห็นจุดด้อยของเขา
มองจุดเด่นให้เป็นเมตตา
ท่านผู้นี้อยู่ในฐานะพุทธบุตร เราเจริญพุทธคุณ แล้วพระพุทธเจ้าผูกท่านผู้นี้อยู่ในฐานะเป็นพุทธบุตร
ของพระพุทธเจ้า เขาเป็นลูกของพระพุทธเจ้าแล้วเราไปโกรธท่านผู้นี้
พระพุทธเจ้าเคยมองกระแสชีวิตนี้มาแล้วไม่เคยโกรธเลย มีแต่เมตตา
กรุณา อุเบกขา แล้วไหนเราจะฝึกตนเอง ไหนบอกว่าเราเคารพ
คนผู้นี้เคยเป็นที่ตั้งของ ทุกๆกระแสชีวิตเคยเป็นปทัฏฐานให้บารมีธรรมของพระพุทธเจ้า
ขันติวาทีดาบสท่านออกจากป่าไปอยู่อุทยาน ท่านไม่เคยบอกว่า
พลาด ไม่น่าไปเลย ทำให้โดนตัดแขนตัดขา เป็นเหตุให้เสียชีวิต
ทำให้พระเจ้าแผ่นดินต้องลงอบาย เป็นเหตุทำให้คนต้องเจ็บปวด
ท่านไม่เคยคิดว่าเราไม่น่าไปเลย ผิดพลาดจริงๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้พูด
คำนี้ กลับเอาประโยชน์ทันทีเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์นั้นๆ
ทานบารมีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราไปสัมพันธ์กับผู้คน ศีลบารมี
จะเกิดขึ้นได้ เพราะเขาไปเจริญกับมนุษย์ ยิ่งเผชิญปัญหามากเท่า
ไหร่ ทานบารมีก็เข้มแข็งขึ้น การให้วัตถุทาน การให้อภัยทานมัน
เกิดขึ้นจากการสัมพันธ์กับผู้คนนี้แหละ การได้ทานบารมี ทานอุป
บารมี ปรมัตถบารมีเกิดขึ้นจากการสัมพันธ์กับผู้คนนี่เอง
ศีลบารมี ศีลอุปบารมี ศีลปรมัตถบารมี …เป็นต้น เขาไม่ได้ไป
เจริญบารมีกับต้นไม้ใบหญ้า จอมปลวก แต่ต้องสัมพันธ์กับมนุษย์
สิ่งที่เราเห็น คือสิ่งที่เราเป็น เคยเป็นและจักต้องไปเป็น
ถ้าเราอยู่ในเซฟโซน เหมือนกบจำศีล บารมีจะแก่กล้าไม่ได้เลย
เราเจอคนโกรธจะหวั่นไหวทำไม เราต้องชื่นใจว่าเราจะบำเพ็ญบารมี
ของเรา เราจะปฏิบัติต่อสิ่งนี้อย่างไร การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การหนี
คำถาม ตัวชี้วัดของอินทรีย์ที่เพิ่มขึ้นคืออะไรบ้าง
การเจริญพุทธานุสสติ จนสามารถยังอุปจารสมาธิให้ตั้งขึ้น
จนสามารถเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ ส่วน
ทั้งพระจริยาคุณ พระสรีรคุณ พระคุณคุณ มีพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
หรือฟังพุทธคุณแล้วเกิดความซาบซึ้งตรึงใจ จนหยั่งเห็นคุณจริงๆ
นิวรณ์ธรรมทั้งหลาย มีกามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธ อุทธัจจะกุกกุจจะ
วิจิกิจฉา หลุดออกจากใจได้ อย่างนี้เรียกว่าประสบความสำเร็จใน
พุทธานุสสติเป็นอุปจารสมาธิแล้ว เท่านี้ไม่พอต้องพัฒนาต่อ
อาศัยพุทธคุณเป็นปทัฏฐานต่อการเจริญปัญญาญาณเพื่อเข้าไปแทง
ตลอด เห็นความจริงของรูปขันธ์ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
การเข้าไปวิจัยแยกแยะ เป็นการพัฒนาจากพุทธานุสสติ
เข้าถึงปัญญาญาณ แท้ที่จริงคือรูปนามขันธ์ ๕
เช่นระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า มหากิริยาญาณสัมปยุตต์
ปัญญาญาณในมหากิริยาญาณสัมปยุตต์เป็นพระคุณของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่ใช่อัตตาตัวตน แต่พระปัญญาญาณเหล่านี้
ได้อุปนิสสยปัจจัยมาจากอรหัตตมรรคญาณ
เพราะการแทงตลอดอริยสัจ ๔ ในอรหัตตมรรคญาณนั้นจึงได้พุทธคุณ มี
พระปัญญาญาณที่ในมหากิริยาญาณสัมปยุตต์
ที่เราเรียกว่าอินทริยปโรปริยัตติญาณ เรียกว่าพระสัพพัญญุตญาณบ้าง
เรียกว่าอนาวรณญาณบ้าง เรียกว่ามหากรุณาสมาปัตติญาณบ้าง
แท้ที่จริงคือเป็นพระปัญญาเหล่านี้เป็นคุณ เป็นพุทธเจ้าโดยสภาวธรรม
ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่อัตตาตัวตน แต่พระคุณเหล่านี้มีอยู่จริง
เมื่อระลึกถึงพุทธคุณแล้วก็ไปเห็นคุณเหล่านี้ วิจัยว่าแท้ที่จริง
พระปัญญาญาณนั้นเป็นสังขารขันธ์ พระสติที่เกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้า
ที่ไประลึกถึงหมู่สัตว์ทั้งหลาย เป็นสังขารขันธ์ ความเพียรเป็นสังขารขันธ์
ศรัทธาเป็นสังขารขันธ์ ปัญญาเป็นสังขารขันธ์
เวทนาที่เกิดร่วมเป็นเวทนาขันธ์ สัญญาความจำได้หมายรู้ที่เกิดในมหา
กิริยาญาณสัมปยุตต์เป็นสัญญาขันธ์
มหากิริยาญาณสัมปยุตต์จิตตุปบาทเป็นวิญญาณขันธ์
แท้ที่จริงพระพุทธเจ้าก็คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณ
ขันธ์ มีสติปัญญาเข้าไปเจาะทะลุทะลวง เห็นความจริงของสิ่งเหล่านี้
พระพุทธเจ้านั้นคือพระญาณ ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่ใช่อัตตาตัวตน
แต่กว่าจะได้มาซึ่งพระญาณเหล่านี้ ๔ อสงไขยยิ่งด้วยแสนมหากัป
หรือ ๒๐ อสงไขยยิ่งด้วยแสนมหากัปถ้านับโดยพิศดาร เป็นพระคุณอย่าง
มากมาย พระสัพพัญญุตญาณเหล่านี้แทงตลอดโลกธาตุทั้งสิ้น ในการบอก
ข้อมูลเรื่องสติปัฏฐาน สัมมัปปธาน ทั้งหลายก็อาศัยพระปัญญาญาณเหล่า
นี้ นามธรรมเหล่านี้ คุณธรรมเหล่านี้ ที่ประชุมกันอยู่
เกิดอย่างมากมาย บอกกล่าวพระธรรม ทำให้เราได้รู้คำสอน
พระปัญญาญาณเหล่านี้ นามธรรมเหล่านี้ ก็อาศัยหทยวัตถุเกิดขึ้นมา
ที่เป็นรูปขันธ์ หทยวัตถุนั้นก็ต้องมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็น
ปทัฏฐาน เป็นรูปธรรม
มหาภูตรูป อุปาทายรูป ที่ประดับไปด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ
อนุพยัญชนะ ๘๐ เป็นรูปขันธ์ เวทนาเจตสิก เป็นเวทนาขันธ์ สัญญาเจตสิก
เป็นสัญญาขันธ์ ปัญญาเป็นต้นเป็นสังขารขันธ์ จิตเป็นวิญญาณขันธ์
ขันธ์ ๕ นั่นเองเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระปัญญาญาณเป็นตัวนำหน้า
เข้าไปเห็นด้วยความเป็นขันธ์ เห็นด้วยความเป็นกระแสชีวิตจริงๆ
พระโสดาบันได้สัมผัสพระนิพพาน ยังไม่ยึดมั่นว่านิพพานเป็นของของเรา
ท่านไม่ได้ไปยึดอย่างนี้เลย จะยึดอะไรด้วยตัณหา มานะ ทิฏฐิ
แสดงว่าเราเรียนด้วยอลคัททูปมปริยัติ เราก็ไม่พ้นทุกข์
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม
ที่มีความงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ทรงประกาศพระสัทธรรม
ที่ถึงพร้อมด้วยอรรถะและพยัญชนะ ที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน
เราท่านทั้งหลายได้เกิดมาใต้ร่มพระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นผู้มีศรัทธา เป็นผู้มีความเพียร เป็นผู้มีสติ และเป็นผู้มีความตั้งมั่น
ในการระลึกถึงพุทธคุณ และเป็นผู้ได้ปัญญาจากการฟังคำสอน ของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มีโอกาสมาน้อมระลึกถึงพระพุทธคุณ
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความนอบน้อม ด้วยความเคารพ
พระพุทธเจ้านั้นมีทั้งศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ วิมุตติคุณ วิมุตติ
ญาณทัสสนคุณ อย่างหาที่สุดไม่ได้
เราท่านทั้งหลายได้น้อมนำศรัทธา ไประลึกถึงบุคคลผู้มีคุณสูงสุดใน
Ef โลกธาตุนี้ จึงเป็นบุญลาภอย่างยิ่งที่กระแสความคิดของเราทั้งหลาย
ได้ประมวลรวมเป็นหนึ่งเดียวในการระลึกคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในสังสารวัฏที่ผ่านมา เราคิดถึงคนที่มีกิเลส มัวรับใช้คนที่มีกิเลส และมัวแต่
สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีราคะ โทสะ โมหะ
เราไม่ได้อุปัฏฐาก ไม่ได้บูชา ไม่ได้นอบน้อม บุคคลที่มีศีลคุณ สมาธิคุณ
ปัญญาคุณ วิมุตติคุณ วิมุตติญาณทัสสนคุณ อันสูงสุด เพราะเราไม่ได้คบ
บัณฑิต ไม่ได้ฟังพระสัทธรรม ไม่ได้มีโยนิโสมนสิการ เราจึงไม่ได้
ธัมมานุธรรมปฏิปัตติ จึงไม่ได้ประพฤติธรรม ตามสมควรแก่โลกุตตรธรรม
ตอนที่ยังไม่ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตอนเป็นพระโพธิสัตว์
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ของพระโพธิสัตว์นั้นยังเป็นไปกับทิฏฐิวิสุทธิ
ด้วย ทำลายทิฏฐิ ทำลายอวิชชาคือความมืดบอด เจาะทะลุทะลวง
เห็นความเป็นไปของรูปนามขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริงอย่างนี้เป็นต้น
ทรงได้ทิฏฐิวิสุทธิ
อุปายาสเป็นต้น
ในเรื่องนี้ ตาและรูปทั้งหลาย ย่อมไม่มีความคิดอย่างนี้ว่า เพราะความ
สามัคคีแห่งตา เพราะความสามัคคีแห่งรูปารมณ์ เพราะความสามัคคี
แห่งจักขุวิญญาณ เป็นต้นเหล่านี้ ผัสสะจึงเกิดขึ้น เวทนาจึงเกิดขึ้น ตัณหา
จึงเกิดขึ้น อุปาทานจึงเกิดขึ้น แท้ที่จริง สภาพธรรมเหล่านี้ไม่ได้มีความ
คิดความอ่านอย่างนี้ สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย นี้เป็นความสมัคร
สมานสามัคคีแห่งตา แสงสว่าง และมนสิการ จักขุวิญญาณเกิดขึ้น
กฏนิยาม
๑. อุตุนิยาม ความแน่นอนของดินฟ้าอากาศ ความเย็นความร้อน ฤดูกาลต่างๆเป็นต้น
นั้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยไม่มีใครสร้างขึ้น
๒. พีชนิยาม กฏของพันธุกรรม กฏของพืชพันธ์ุทั้งหลาย
๓. กรรมนิยาม กฏของกรรม คือ เจตนากรรม ที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นต้น
๔. จิตตนิยาม ความเป็นไปของ จิตที่ทำหน้าที่เห็น จิตที่ทำหน้าที่ได้ยิน จิตที่ทำหน้าที่รู้กลิ่น
จิตที่ทำหน้าที่รู้รส จิตที่ทำหน้าที่รู้สัมผัสเป็นต้น
๕. ธรรมนิยาม สิ่งทั้งหลายมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเป็นต้น
สัญญาวิปลาส ความจำหมายว่าเที่ยงในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
มีความจำหมายว่างามในสิ่งที่ไม่งาม
จำหมายว่าสุขในสิ่งที่เป็นทุกข์
จำหมายว่าเป็นอัตตาตัวตนในสิ่งที่ไม่เป็นอัตตาตัวตน
ทิฏฐิวิปลาส ความเห็นว่าเที่ยงในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
มีความเห็นว่างามในสิ่งที่ไม่งาม
มีความเห็นว่าสุขในสิ่งที่เป็นทุกข์
มีความเห็นว่าเป็นอัตตาตัวตนในสิ่งที่ไม่เป็นอัตตาตัวตน
จิตวิปลาส ความคิดว่าเที่ยงในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
มีความคิดว่างามในสิ่งที่ไม่งาม
มีความคิดว่าสุขในสิ่งที่เป็นทุกข์
มีความคิดว่าเป็นอัตตาตัวตนในสิ่งที่ไม่เป็นอัตตาตัวตน
ความจริงทั้งหลายของสภาวธรรม
เมื่อจักขุปสาทกับรูปารมณ์กระทบกันแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้เกิดจักขุวิญญาณ
ธรรม ๓ ประการประชุมกันแล้ว เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัย
แก่เวทนา
ในกรณีอย่างนี้ จักขุปสาทไม่ได้รู้ว่าตนเองกระทบกับรูปารมณ์
รูปารมณ์ก็ไม่รู้ว่าตนเองสัมผัสกับจักขุปสาท แม้จักขุวิญญาณก็ไม่รู้ว่า
ตนเองอาศัยจักขุปสาทเกิดขึ้น จักขุวิญญาณก็ไม่รู้ว่าตนเองเข้าไปรู้รูปา
รมณ์ และจักขุปสาทก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นที่อาศัยให้จักขุวิญญาณเกิด
เป็นต้น ธรรม ๓ ประการนี้ก็ไม่ได้รู้ว่าตนเองเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ แม้
ผัสสะก็ไม่รู้ว่าตนเองเกิดจากธรรม ๓ ประการนี้ประชุมกัน
ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนา
บ้าง บรรดาเวทนาเหล่านั้นก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นปัจจัยต่อตัณหา ตัณหาก็
ไม่รู้ว่าตนเองเป็นปัจจัยต่ออุปาทาน เป็นต้น
ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่ไม่รู้ซึ่งกันและกันแต่เป็นปัจจัยแก่กันและกัน
E
ด้วยอาการอย่างนี้
เราได้รู้ความจริงของชีวิต เพราะอานุภาพของคำว่า “สัมมาสัมพุทโธ”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ
ทรงมีอนาวรณญาณ เป็นต้น จึงมารู้ความจริงของสภาวธรรมเหล่านี้
สัมมาสัมพุทโธ พระองค์ทรงรู้เวทนา รู้สัญญา รู้เจตนา รู้มนสิการ
รู้จักขุปสาท รู้จักรูปารมณ์ รู้จักจักขุวิญญาณ รู้จักจักขุสัมผัสสะ
รู้จักจักขุสัมผัสสชาเวทนา รู้จักตัณหา รู้จักอุปาทาน รู้จักกรรมภวะ เป็นต้น
การที่พระองค์เห็นความจริงของชีวิตแล้วนำมาเปิดเผย นี้ได้แก่อานุภาพ
ของคำว่าพระสัพพัญญุตญาณ ที่คืออานุภาพของสัมมาสัมพุทโธ
ที่ทรงตรัสรู้สภาวธรรมทั้งหลาย และนำสภาวธรรมเหล่านี้มาเปิดเผย มา
แสดง เพื่อให้บรรดาหมู่สัตว์ทั้งหลายเข้าใจความจริงของสภาวธรรมเหล่านี้
การที่หมู่สัตว์ทั้งหลายจะเข้ารู้ความจริงเหล่านี้เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่อาศัย
พระสัพพัญญุตญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาเราท่องสาธยายพุทธคุณ ก็ให้ตระหนักในคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ว่าคุณของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่มาก ถ้าอย่างนั้นเราก็เป็นสัตว์ที่มืดบอด
เราจะไม่รู้สภาวธรรมเหล่านี้เลยว่าเป็นเหตุเป็นผลอย่างไร มีลักษณะอย่างไร
ทำกิจอย่างไร มีอาการปรากฏอย่างไร เป็นต้นเหล่านี้ เราก็ไปสำคัญว่า
สภาพธรรมเหล่านี้เป็นสัตว์ บุคคล เป็นอัตตาตัวตน
เมื่อหมู่สัตว์ทั้งหลายไม่เข้าใจความจริง จึงมีสักกายทิฏฐิ ยึดว่าเป็นตัวเป็นตน
จักชุปสาทก็ไม่ได้เป็นอัตตา ที่เป็นผู้กระทำการให้เป็นไป
แม้รูปารมณ์ แม้จักขุวิญญาณก็ไม่ได้มีอัตตาอยู่ในนั้น สิ่งทั้งหลาย
เป็นสภาวธรรม มีการเกิดขึ้น มีการตั้งอยู่ มีการดับไป
แต่หมู่สัตว์ทั้งหลายไม่เข้าใจความจริงของชีวิตว่า จักขุปสาทเป็นทุกข
สัจจะอย่างไร เหตุปัจจัยที่ทำให้จักขุปสาทเกิดขึ้นเป็นสมุทยสัจจะ
อย่างไร สภาวะที่ดับจักขุปสาท ดับเหตุปัจจัยที่ทำให้จักขุปสาทไม่ให้
เป็นไปเป็นนิโรธสัจจะอย่างไร ข้อปฏิบัติให้ถึงนิโรธเป็นมรรคอย่างไร
หมู่สัตว์ก็เลยไม่เข้าใจความจริงของการที่ไปสัมพันธ์กับจักขุปสาท
เมื่อไปสัมพันธ์กับจักขุปสาท เมื่อไประลึกถึงจักขุปสาท ก็ไปยินดีพอใจ
ว่าจักขุปสาทนั้นเป็นเรา เรามีจักขุปสาท จักขุปสาทอยู่ในเรา เราอยู่
ในจักขุปสาทนั้น หมู่สัตว์ทั้งหลายจึงมีสักกายทิฏฐิ มีมิจฉาทิฏฐิเข้าไป
ยึดมั่นในจักขุปสาทนั้นว่าเป็นอัตตา เป็นตัวเป็นตน
จักขุปสาทกระทบกับรูปารมณ์ หมู่สัตว์ก็ยึดมั่นว่ารูปารมณ์เป็นเรา
เรามีรูปารมณ์ รูปารมณ์อยู่ในเรา เราอยู่ในรูปารมณ์นั้น
เวลาจักขุวิญญาณทำทัสนกิจในการเห็นสี เห็นรูปารมณ์ เห็นวัณณะ
ก็ไปยึดมั่นจักขุวิญญาณเป็นเรา เรามีจักขุวิญญาณ จักขุวิญญาณอยู่
ในเรา เราอยู่ในจักขุวิญญาณ จึงมีอัตตาตัวตนเป็นแก่นเป็นแกนสิง
อยู่ในจักขุวิญญาณนั้น
หมู่สัตว์ ไปยึดสภาวธรรมต่างๆ ไม่รู้จักผัสสะ ไม่รู้จักเวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์
ว่าเป็นอัตตาตัวตนของเรา มนสิการ วิตก วิจาร อธิโมกข์ วิริยะ ปีติ ฉันทะ ไม่รู้จักโมหะ
อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ โลภะ ทิฏฐิ มานะ โทสะ อิสสา
มัจฉริยะ กุกกุจจะ ถีนะ มิทธะ วิจิกิจฉา
ไม่รู้จักศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ ตัตตรมัชฌัตตตา
เป็นต้น จึงไปยึด เมื่อระลึกถึงสภาพธรรมเหล่านี้ทีไร ก็เข้าไปยึดโดย
ความเป็นอัตตา โดยความเป็นเรา เป็นของของเราเป็นต้นเหล่านี้
อย่าแปลกใจว่าหมู่สัตว์ทั้งหลายจึงรกรุงรังไปด้วยตัณหา มานะ ทิฏฐิ
มีความเข้าใจผิด มีความเห็นผิด
เราไม่รู้จักทุกข์
เราไม่รู้จักทุกขสมุทัย
เราไม่รู้จักทุกขนิโรธ
เราไม่รู้จักทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
เราวิปริตมนสิการในการทำกิจของอริยสัจเหล่านั้น
หมู่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้ที่มืดบอด ไม่สามารถมนสิการใส่ใจสภาพธรรม
เหล่านี้ตามความเป็นจริง
แต่สัตว์บุคคลที่ไปเกิดในอนาคตไม่มี อัตตาตัวตนไม่มี
มีแต่รูปนามขันธ์ ๕ เท่านั้นเป็นไปอยู่
ปัจจุบัน เรามีอยู่หรือ มีแต่รูปนามขันธ์ ๕ แต่หากไม่ได้อานุภาพของสัมมาสัมพุทโธ
เราจะไม่รู้จักเลย แท้ที่จริงสัตว์บุคคล อัตตาตัวตนโดยความเป็นสมมติมี
แต่เนื้อแท้แล้วไม่มี มีแต่รูปขันธ์ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
คำถามนี้เป็นการตั้งคำถามไม่ถูก เพราะเป็นการตั้งคำถามที่
เป็นสมมติ อิงสัตว์บุคคล
ความสงสัยในอดีต เรามีอยู่หรือ
ปัจจุบัน อนาคต เราไม่มีอยู่หรือ
เราเป็นอะไรอยู่
เราเป็นอย่างไร
สัตว์นี้มาจากภพไหนไปสู่ภพไหน
เราเคยเกิดในอดีตหรือ
เราไม่เคยเกิดหรือ
เราเคยเกิดเป็นอะไร
เราเป็นอย่างไร
เราเคยเป็นอะไรมาแล้ว
ความสงสัยที่มีอัตตามีอยู่จริงหรือไม่มีอยู่จริงในอดีต ความสงสัยลักษณะ
นี้เที่ยง ลักษณะอย่างนี้เป็นการอาศัยโดยไม่เข้าใจเหตุปัจจัย
ความสงสัยของปุถุชนเกิดจากการไม่มีโยนิโสมนสิการ
สุตวาอริยสาวโก มีข้อมูลของพระอริยเจ้าในทุกๆประเด็นที่เราไปสัมพันธ์เกี่ยวข้อง
ระลึกถึงอริยสัจได้ในทุกประเด็นเมื่อเราไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องทั้ง
ภายในและภายนอก
เป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องฝึกจนเห็นความจริงของกระแสชีวิต
=
มองทะลุทะลวง เจาะทะลุบัญญัติเข้าไปเห็นปรมัตถธรรมได้ เห็นเหตุปัจจัยของปรมัตถธรรม
ได้ เห็นชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ เห็นทุกข์ในอริยสัจและยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ได้ด้วย
เพียงพอแล้วที่จะเบื่อหน่าย เพียงพอแล้วที่จะคลายกำหนัด
เพียงพอแล้วที่ควรจะรู้ยิ่ง เห็นแล้วไม่น่าเพลิดเพลิน ไม่น่ายินดี ไม่ว่า
อะไรทั้งนั้นที่เราไปสัมพันธ์เกี่ยวข้อง ไม่มีความงามอยู่เลยแม้แต่น้อย
ไม่มีความเที่ยง ไม่มีความสุข ไม่มีความเป็นอัตตาตัวตนเลย เจาะ
ทะลุทะลวงเห็นความจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่มีสมมติบัญญัติ
หรืออัตตาตัวตนใดๆมาเคลือบแฝง เห็นความจริงทันที
E นี้คือกำลังของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีพระกำลังญาณปัญญาที่มองเห็น
สรรพสัตว์ทั้งหลาย เห็นด้วยความเป็นขันธ์ อายตนะ ธาตุ
พระพุทธเจ้ามีพระสัพพัญญุตญาณมาเพื่อพวกเรา
อนาวรณญาณ อินทริยปโรปริยัตติญาณ มหากรุณาสมาปัตติญาณ
ยมกปาฏิหาริยญาณ อาสยานุสยญาณ ทรงแผ่ข่ายพระญาณตรวจ
และมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพวกเราตลอดเวลา
สัมมาสัมพุทโธ กับคำว่า อสาธารณญาณ เป็นเรื่องเดียวกัน
ที่เราได้ฟังพระสัทธรรมทุกวันนี้ เพราะพระมหากรุณาธิคุณของ
พระพุทธเจ้า เมื่อพระธรรมประชุมอยู่ในกระแสชีวิตของท่านผู้ใด ท่านผู้
นั้นก็จะเกิดกรุณาจิตในการที่จะบอก แนะนำ สอน
ไม่ง่ายเลยที่ท่านทั้งหลายจะได้มาพบเจอพระธรรมคำสอนของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ยากมาก เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
การจะได้รู้และเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ง่ายเลย
สัมมาสัมพุทโธ หมายความว่าพระสัพพัญญุตญาณ
ญาณที่รู้ทุกสรรพสิ่ง ไม่มีสรรพสิ่งใดๆเลยที่สัมมาสัมพุทโธหรือ
พระญาณนี้จะไม่เจาะทะลุทะลวงได้ เจาะทะลุทะลวงได้หมด และ
ประชุมลงอริยสัจได้หมด และสามารถบอกข้อมูลเหล่านั้นได้
ทั้งหมด แจกแจงให้เราเข้าใจได้ทุกประเด็น อานุภาพของ
สัมมาสัมพุทโธเป็นแบบนี้
สัมมาสัมพุทโธ บอกเราทุกแง่มุม บอกปมชีวิตให้เราเข้าใจทุกประเด็น
สัพพัญญุตญาณนี้แหละอุบัติเกิดขึ้นแล้ว กว่าจะได้มา
ย้อนกลับไป ๔ อสงไขยยิ่งด้วยแสนมหากัป กว่าจะได้มาซึ่ง
พระสัพพัญญุตญาณนี้ และกว่าจะได้มีโอกาสฟังพระสัทธรรมนี้นาน
หนักหนา
เหลืออย่างเดียวคือปล่อยศรัทธามาที่พระสัพพัญญุตญาณ อย่าให้
ราคะ โทสะ โมหะ มันสกัด ให้ศรัทธาแท้ๆเข้าไป แล้วจะได้เป็นปัจจัย
แก่ความเพียร สติ สมาธิ และเป็นปัจจัยแก่ปัญญา อย่างนี้เป็นต้น
ไม่มีคำสอนใดเลยจะสามารถเคลียร์ปัญหาให้เราได้ทั้งหมด
บอกทุกประเด็นให้เราเข้าใจอย่างถ่องแท้
คำถาม มีตัวเราสองตัวอยู่ข้างใน มีเสียงเป็นจิตคิดไม่ดีต่อการฟังธรรม
ศีลแข็งแรง มานะก็หมดบทบาท
สมาธิแข็งแรง ตัณหาก็หมดบทบาท
ปัญญาแข็งแรง ทิฏฐิก็หมดบทบาท
วิตกที่เสียๆทั้งหลายก็มาไม่ได้เพราะอาหารไม่มี เราถอนรากมัน
ได้แล้ว อย่างนี้เป็นต้น
ep 16 Apr 28 ,2023 สมฺมาสมฺพุทฺโธ ลำดับการพิจารณาอสาธารณญาณ ๖
กิจในปุเรภัต ก่อนฉัน
กิจในปัจฉาภัต หลังจากฉันแล้ว
กิจในปฐมยาม กิจในยามต้น
กิจในมัชฌิมยาม กิจในยามกลาง
กิจในปัจฉิมยาม กิจในยามสุดท้าย
เช้าเสด็จไปบิณฑบาต บ่ายทรงแสดงธรรม
คำ่ประทานโอวาทแก่ภิกษุ กลางคืนตอบปัญหาเทวดา
เวลาจวนสว่าง ตรวจดูผู้ที่ควรและยังไม่ควรตรัสรู้
พระพุทธเจ้าองค์พระมุนีผู้ประเสริฐ ทรงยังกิจ ๕ ประการนี้ให้หมดจด
กิจในปุเรภัต เวลาเช้าเสด็จบิณฑบาตและแสดงธรรมโปรดมหาชน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตื่นบรรทมแต่เช้าตรู่ หลังจากปฏิบัติสรีระ
เสร็จแล้วก็ทรงประทับบนพุทธอาสน์ ครั้นได้เวลาภิกขาจาร ทรง
ครองจีวรถือบาตร เสด็จดำเนินไปบิณฑบาต ก็ยังคามนิคมทั้งหลาย
บางครั้งก็เสด็จไปพระองค์เดียว บางครั้งก็มีภิกษุสงฆ์เสด็จตามไป
เป็นจำนวนมาก มหาชนทั้งหลายก็พากันบูชาพระพุทธเจ้าด้วย
ดอกไม้ของหอมเป็นต้น กราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอ
ประทานภิกษุ ๑๐ รูป ๒๐ รูป หรือร้อยรูป เพื่อรับอาหารบิณฑบาต
ยังเรือน แล้วก็รับบาตรของพระพุทธเจ้า ปูลาดอาสนะน้อมถวาย
อาหารบิณฑบาตด้วยความเคารพ
การบิณฑบาตของพระพุทธเจ้า คือการโปรดพุทธเวไนย
เมื่อพระองค์เสร็จสิ้นภัตกิจแล้วก็แสดงพระธรรมเทศนาโปรดมหาชน
ในขณะที่กำลังแสดงพระสัทธรรมนั้น บางพวกก็ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์
บางพวกก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล บางพวกก็ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล
บางพวกก็ตั้งอยู่ในอนาคามิผล บางพวกก็บรรลุอรหัตตผลทุกวัน
การอนุเคราะห์มหาชนดังนี้ แล้วก็เสด็จกลับไปยังพระวิหาร คอยภิกษุ
กลับจากการบิณฑบาต ครั้นภิกษุทั้งหลายเสร็จจากภัททกิจแล้ว
ภิกษุอุปัฏฐากก็มากราบทูลให้ทรงทราบ ลำดับนั้นพระพุทธเจ้าก็เสด็จ
เข้าไปในพระคันธกุฎี
พระคันธกุฏีของพระพุทธเจ้าเป็นพระคันธกุฎีที่มีกลิ่นหอม ด้วยบรรดา
พุทธบริษัททั้งหลายนำของหอมมาบูชา ณ รอบๆ พระคันธกุฎีนั้นเต็มไป
หมด เป็นอย่างนี้ทุกวัน
เมื่อได้ฟังอย่างนี้แล้วภิกษุเหล่านั้นก็ตื่นเต้น บ้างก็ทูลขอกรรมฐาน
พระพุทธเจ้าก็ทรงประทานกรรมฐานที่เหมาะแก่จริต อัธยาศัย
จากนั้นภิกษุทั้งหลายถวายบังคมลา บางพวกก็ไปสู่ป่า บางพวกก็ไปสู่โคนไม้
บางพวกก็ไปสู่ภูเขา ถ้ำ เป็นต้น
เมื่อเสร็จกิจตรงนี้แล้วพระบรมศาสดาก็เสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฎี
ถ้ามีพระประสงค์จะทรงสำเร็จสีหไสยาครู่หนึ่ง ครั้นมีพระวรกายปลอดโปร่ง
ดีแล้วก็เสด็จลุกขึ้นตรวจดูโลกในภาคที่ ๒
ครั้นได้เวลาที่สมควร มหาชนก็พากันถือดอกไม้ของหอมมา
เข้ามาประชุมในพระวิหาร เมื่อพุทธบริษัทพร้อมเพรียงกันแล้ว
พระผู้มีพระภาคก็เสด็จประทับ ณ พุทธอาสน์ แสดงธรรมที่ควร
แก่กาลสมัยแก่มหาชนเหล่านั้น ครั้นทรงทราบกาลอันควรแล้วก็
ทรงส่งบริษัทกลับ มหาชนเหล่านั้นถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้ว
พากันหลีกไป
๑. สำเร็จสีหไสยา
๒. เสด็จประทับตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ
พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์จะทรงแผ่ข่ายพระญาณตรวจดูสัตว์โลกวันละ ๒ ครั้ง
ในเวลารุ่งและเวลาบ่ายเพื่อพิจารณาบุคคลที่สั่งสมบุญญาธิการไว้ด้วยอำนาจ
แห่งทานบารมี ศีลบารมี ในสำนักของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ แล้วเพื่อจะได้
เสด็จไปโปรด
ในพระญาณเหล่านั้น ๖๗ ญาณเป็นพระญาณที่มีแก่พระสาวก
แต่อสาธารณญาณทั้ง ๖ นั้นมีเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ในบรรดาอสาธารณญาณ ๖ พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย
เมื่อทรงจะตรวจดูความที่สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้มีภาชนะเป็นเครื่องรองรับ
พระธรรมเทศนา ก็ย่อมตรวจด้วยพุทธจักษุ
พุทธจักษุที่พระพุทธเจ้าจะต้องตรวจก่อนคือ อินทริยปโรปริยัตติญาณ
จะต้องตรวจสอบดูอินทรีย์ของหมู่สัตว์ก่อน ว่าสัตว์นี้มี
สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สติทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ตรวจดูความ
แก่กล้าแห่งอินทรีย์ในสัตว์ทั้งหลายก่อน ว่ามีกำลังมาก กำลังน้อย
หรือปานกลาง
ลำดับแห่งการทำพระญาณให้เกิดขึ้นในการตรวจดูเวไนยสัตว์
เราได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เราอุบัติเกิดขึ้นมา
ใต้พระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ท่านทั้งหลายอย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
อย่าให้กาลเวลากินเรา เราต้องกินกาลเวลา ไม่ใช่ปล่อยให้กาลเวลากินตัว
มันเองและกินกระแสชีวิตของเรา ปล่อยไปเปล่าประโยชน์จะเสียหายมาก
การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก เราก็ได้แล้ว
การอุบัติเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นของยาก
ตอนนี้พระพุทธเจ้าก็อุบัติขึ้นแล้ว
พระสัทธรรมหาฟังได้ยากอย่างยิ่ง ที่เราฟังส่วนใหญ่เป็นอสัทธรรม
การได้ศรัทธาเป็นเรื่องที่ยาก
โดยเฉพาะพระสงฆ์การได้บวชเป็นสิ่งยาก
ตอนนี้เราได้มาหมดแล้ว เราจะประมาททำไม ปล่อยให้กาลเวลากินเราทำไม
คำถาม มหากรุณาสมาปัตติญาณ เป็นอันที่ ๔ ทำไมไม่เป็นอันแรก
เพื่อจะแสดงเหตุแห่งญาณทั้ง ๓ เหล่านี้จึงยกมหากรุณาสมาปัตติญาณ
ขึ้นแสดง แปลว่า จริงๆแล้วมหากรุณาสมาปัตติญาณที่เกิดขึ้นต่อจาก
พระญาณทั้ง ๓ ถ้าไม่มีมหากรุณาสมาปัตติญาณแล้ว จะเพียร
พยายามใช้อินทริยปโรปริยัตติญาณตรวจสอบทำไม ถ้าไม่มีมหา
กรุณาแล้วจะเพียรพยายามไปตรวจสอบดูอัธยาศัย อนุสัยทำไม
และถ้าไม่มีมหากรุณาสมาปัตติญาณแล้วจะทรงเหน็ดเหนื่อยทำ
ยมกปาฏิหาริย์ทำไม ไม่ได้ทำเพื่อโชว์ แต่ทำเพื่อให้สัตว์เหล่านั้นหลุด
ออกจากกิเลส ออกจากความหลงความมืดบอด และเมื่อเวลาจะแสดง
ยมกปาฏิหาริย์คอยกำกับอยู่ ก็จะแสดงให้เหมาะสมในร้อยคนพันคน
ที่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์หรือลับหลังก็แล้วแต่ก็จะแสดงยมกปาฏิหาริย์
ให้เหมาะสมแก่อัธยาศัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แปลว่าทุกคนจะ
เห็นปาฏิหาริย์ต่างกันตามอัธยาศัยเพื่อเกื้อกูลให้ศรัทธาหมู่สัตว์เพิ่ม
ขึ้น ความเพียรเพิ่มขึ้น สติ สมาธิ ปัญญา เพิ่มขึ้น เมื่อเพิ่มขึ้นแล้วต่อ
มาพระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์เสร็จ เป็นอิทธิปาฏิหาริย์แล้ว
พระพุทธเจ้าจึงมีอาเทศนาปาฏิหาริย์ตรวจอีกทีหนึ่งดูว่าใจเป็นอย่างไร
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ได้ดุลยภาพหรือยัง แล้วจับเอาพระ
ธรรมเทศนาให้เหมาะสมแก่อัธยาศัย เมื่อสัตว์เหล่านั้นได้ฟังพระธรรม
เทศนาเหมาะสมแก่จริตและอัธยาศัย จึงได้บรรลุ ฉะนั้นจึงตามมาด้วย
พระสัพพัญญุตญาณและอนาวรณญาณอย่างนี้เป็นต้น
เป็นการรักษาที่เห็นขั้นตอน เห็นกิเลสของหมู่สัตว์ เป็นการรักษาจิต
ที่หมู่สัตว์มีโรคเต็มไปหมด จึงเป็นการรักษาที่เหมาะและรวดเร็วที่สุด
ถ้าคราวนี้รักษาไม่ทันจะเสียหายทันที ต้องรอโอกาสใหม่อีกมากมายนัก
พระองค์ทรงชาญฉลาดมากในการที่จะให้สัตว์เหล่านั้นได้ตรัสรู้
ได้เข้าใจ พระพุทธเจ้าจึงต้องมีมหากรุณาเป็นเหตุ
อิทธิปาฏิหาริย์
ต่อมาอาเทศนาปาฏิหาริย์ ดูใจ จิตมีราคะ ปราศจากราคะ จิตมีโทสะ
ปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ปราศจากโมหะ จิตหดหู่หรือไม่หดหู่
จิตตั้งมั่นหรือไม่ตั้งมั่น มีจริต มีอัธยาศัยอย่างไรเป็นต้น
ต่อมาใช้อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ คำสอนที่เป็นอัศจรรย์ ใส่เข้าไปในใจของ
หมู่สัตว์ เมื่อสัตว์ฟังคำสอนแล้วจะได้แทงตลอดทันที
พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลที่สุดยอดที่สุดในสากลจักรวาล
หาบุคคลใดเสมอเหมือนพระพุทธเจ้าเป็นไม่มี การระลึกถึงพระพุทธเจ้า
การน้อมฟังคำสอน การรักพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
เวลาพระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์ ๓ จะเห็นว่าจริงๆแล้ว
พระพุทธเจ้าทำเพื่อจะเกื้อกูลหมู่สัตว์ เพราะในบรรดาหมู่สัตว์ทั้งหลาย
เวลาพระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์ออกมาแตกต่างหลากหลาย
สัตว์เหล่านั้นตื่นตาตื่นใจในปาฏิหาริย์นั้น พระพุทธเจ้าก็จะเข้าไปดูจิต
ที่เป็นอาเทศนา ว่าจิตของสัตว์เหล่านั้นหลุดออกจากราคะ ออกจาก
โทสะ ออกจากโมหะเป็นต้นหรือยัง แล้วพระพุทธเจ้าก็จะแสดงพระ
ธรรมเทศนา ให้เหมาะสมกับจริต อัธยาศัยนั้นๆ นี้เป็นการแสดง
ปาฏิหาริย์จริงๆนั้นอย่างหนึ่ง อีกบางอย่างพระพุทธเจ้าไม่แสดงออกมา
ในรูปลักษณ์ของอิทธิปาฏิหาริย์ เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรม จากสัตว์ที่
ไม่มีศรัทธา ทำให้ศรัทธาเกิดขึ้น ศรัทธานั้นเป็นฤทธิ์ เพราะสามารถ
ออกจากความไม่มีศรัทธาได้
ความเพียรก็เป็นฤทธิ์ เพราะออกจากโกสัชชะอกุศลได้
สติเป็นฤทธิ์ เพราะออกจากมุฏฐัสสติ ความฟั่นเฟือนเลือนหลงได้
สมาธิเป็นฤทธิ์ เพราะออกจากความฟุ้งซ่านได้
ปัญญาก็เป็นฤทธิ์ เพราะออกจากความมืดบอด ออกจากความหลงได้
นี้เป็นอิทธิ ในสภาวธรรมในตัวมันเองได้
การที่ไปรู้ว่าจิตของท่านผู้นี้ออกจากความไม่มีศรัทธา เข้าถึงควาไม่มี
ศรัทธาแล้ว ออกจากความหดหู่เข้าถึงความเพียรแล้ว
ออกจากความฟั่นเฟือนเลือนหลงเข้าถึงความมีสติแล้ว
ออกจากความฟุ้งซ่านเข้าถึงสมาธิแล้ว ออกจากความมืดบอดเข้าถึง
ปัญญาแล้ว นี้เป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์ ความรู้ใจ
และคำสอนที่สามารถบอกแนวทางการปฏิบัติให้สัตว์นั้นสามารถ
เจริญภาวนาศรัทธา ภาวนาวิริยะ ภาวนาสติ ภาวนาสมาธิ ภาวนาปัญญา
ให้เกิดขึ้นให้ดำเนินไปตามเส้นทางนั้นได้ นี้เป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์
ต้องเข้าใจบริบท ๒ ประเด็น
คือ ประเด็นที่ทรงแสดงฤทธิ์จริงๆก็ได้ เช่น มีทั้งน้ำและไฟพุ่งออก
มาจากพระวรกาย และประเด็นที่เป็นฤทธิ์ในตัวของธรรมะ
พระพุทธเจ้าจะดูอินทรีย์ก่อนแล้วดูอัธยาศัยจริต
คำสอนที่เป็นอัศจรรย์ในตัวเอง ที่เป็นอิทธิ อาเทศนา และอนุสาสนีย์
พระสัพพัญญุตญาณจะสามารถเอาคำสอนไปบอกว่าท่านผู้นี้ควรให้เข้าสู่กา
ยานุปัสสนาก่อน เพราะมีตัณหาจริต กิเลสอย่างหยาบ
เมื่อเข้าถึงกายานุปัสสนาจน อัธยาศัยนั้นสามารถละตัณหาอย่างหยาบได้
แล้ว เห็นกายเป็นกายชัด เห็นกายโดยความไม่งาม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น
อนัตตา พระพุทธเจ้าก็ทรงให้รู้เวทนานุปัสสนาต่อเพื่อจัดการตัณหาละเอียด
ให้หมด พอตัณหาละเอียดหมดแล้วพระองค์ก็บอกจิตตานุปัสสนาต่อ
กำจัดทิฏฐิที่ไม่ยึดมั่นเห็นจิตเป็นอัตตา แล้วประชุมลงด้วยธรรมานุปัสสนา
แยกแยะรูปนามขันธ์ ๕ ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ เจริญโพชฌงค์ อริยมรรคให้
เกิดขึ้น ประชุมลงในอริยสัจแล้วบรรลุได้เลย เป็นตามอัธยาศัย
หากตัณหาวิจิตร ก็ให้เข้าสู่ประตูทางเวทนาก่อน แล้วค่อยไปหมวดอื่น
พระพุทธเจ้าจะทรงรอบรู้ว่าจะให้เข้าประตูทิศไหนก่อน แต่ต้องรอบรู้ทุกๆ
ประตูจึงจะเข้าไปถึงกึ่งกลางพระนครได้ ไม่ใช่ว่าอย่างเดียวแล้วบรรลุ
ต้องรอบรู้ทั้งหมด
คำถาม มหากรุณาจิตของพระพุทธเจ้ากับมหากรุณาสมาปัตติญาณต่างกันอย่างไร
แม้ช้างตัวเดียว ดุร้ายก็ไปโปรดเพื่อให้ตั้งอยู่ในศีล ๕
แม้นกฮูกตัวเดียวท่านก็ไปแผ่ฉัพพรรณรังสีเพื่อให้เกิดศรัทธา ทำความ
เลื่อมใสให้เกิดขึ้น จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหลายๆโกฏิกัป
ep 17 Apr 29 ,2023 สมฺมาสมฺพุทฺโธ ลำดับการพิจารณาอสาธารณญาณ ๖
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้สัจธรรมทั้ง ๔
และทรงแทงตลอดทุกขสัจจะ สมุทยสัจจะ นิโรธสัจจะ และมรรคสัจจะ
คมฺภีโร พระธรรมที่พระองค์ทรงแทงตลอดนั้นลึกซึ้ง หมายความว่าไม่ได้ที่อาศัย
ด้วยญาณของบุคคลอื่น เว้นจากผู้ที่ได้สั่งสมบารมีแก่กล้ามาแล้วเท่านั้น
เปรียบดังมหาสมุทร ซึ่งไม่ได้ที่อาศัยด้วยจงอยปากยุง
อารยรามา บรรดาเหล่าสัตว์ทั้งหลายที่เพลิดเพลินในเบญจกามคุณด้วยอำนาจแห่ง
ตัณหา ที่สิงอยู่ในใจของสัตว์นั้น
ก็พากันลุ่มหลงไม่เบื่อหน่ายในสังสารวัฏ ไม่เบื่อหน่ายในการเกิด ไม่ว่า
จะเกิดเป็นมนุษย์เทวดาฉันนั้นเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงประสงค์จะ
แสดงกามคุณ ตัณหาเหล่านั้นที่น่ารื่นรมย์เหมือนอุทยาน จึงได้ตรัสว่า
อารยรามา หมายความว่าผู้รื่นรมย์ในกามคุณ ผู้รื่นรมย์ในตัณหา
เป็นต้น (แปลว่าผู้ยินดีและเพลิดเพลินยิ่งนัก)
บรรดาหมู่สัตว์ทั้งหลายที่ไม่เข้าไปเห็นความจริงของกระแสชีวิต ก็พากัน
รื่นเริงอยู่ในอารมณ์เหล่านั้น ยินดีเพลิดเพลินหลงใหลมัวเมาในอารมณ์นั้น
อย่างหนัก และพากันติด ยึดอยู่ ไม่สามารถออกจากกิเลสและกองทุกข์
เป็นต้น เหล่านี้ได้
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าอุบัติเกิดขึ้นมา พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์
เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ในบทคำว่าสัมมาสัมพุทโธบ่งบอกถึงพระญาณ
อะไรเป็นพระพุทธเจ้า
อรหํ ขับเน้นพระบริสุทธิคุณ
สมฺมาสมฺพุทฺโธ ขับเน้นที่พระปัญญาคุณ
ภควา ขันเน้นที่พระมหากรุณาธิคุณ
ฉะนั้นถ้ามองถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า นั้นคือพระญาณ
ตัวพระญาณที่เรียกว่า อสาธารณญาณ ๖ มีพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
นั้นเป็นญาณสัมปทา การจะได้ญาณสัมปทา มาจากปหานสัมปทา
คือ ญาณปัญญาที่ในอรหัตตมรรค ที่ทำการประหารกิเลสและวาสนาให้
หมดสิ้นจากขันธสันดานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นคือปัญญาที่ใน
อรหัตตมรรคญาณ เมื่อได้ทำการประหารกิเลสแล้ว พระองค์ก็ทรงได้
พระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
พุทธกิจ ในการได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ก็ได้วาง
ลำดับแห่งการขนสัตว์รื้อสัตว์ตามปณิธานที่ได้ตั้งขึ้นไว้
ปุเรภัตกิจ กิจก่อนฉัน
ปัจฉาภัตกิจ กิจหลังฉัน
ปุริมยามกิจ กิจในยามต้น
มัชฌิมยามกิจ กิจในยามท่ามกลาง
ปัจฉิมยามกิจ กิจในยามสุดท้าย
พระพุทธเจ้าทรงเสวยอาหารเรียบร้อยแล้วก็ตรวจดูจิตสันดานของ
ประชาชนหมู่นั้นๆ ด้วยพระญาณว่าควรจะแสดงธรรมะอะไรที่จะตรงประเด็น
และแก้ปัญหา เพราะบรรดาหมู่สัตว์เป็นผู้ป่วย สัตว์นี้มีราคะจริต โทสจริต
โมหจริต วิตกจริต ศรัทธาจริต พุทธิจริต สัตว์นี้มีอัธยาศัยอย่างไร คู่ควรต่อ
การจะฟังอย่างไร เรื่องราวอย่างไรที่จะสามารถดึงศรัทธาของสัตว์นั้นขึ้นมา
โดยปกติที่พระพุทธเจ้ามีปาฏิหาริย์หลากหลายก็เพื่อกระตุ้นสัทธินทรย์
วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ของสัตว์เหล่านั้นให้เกิดความ
เคารพนอบน้อมในการจะฟังพระสัทธรรม บรรดากิเลสทั้งหลายในใจของ
สัตว์เหล่านั้นก็หดหายไป เห็นพระพุทธเจ้าแล้วมีกำลังใจ เห็นพระบรม
ศาสดาแล้วมีสภาพจิตที่ฮึกเหิม จากที่อ่อนแออยู่ก็มีกำลังใจทันที
พระพุทธเจ้าจะมีปกติเป็นแบบนี้
พระพุทธเจ้าก็จะเทศนาโปรดได้บางพวกก็ถึงไตรสรณคมน์ บางพวกก็สมาทาน
ศีล ๕ โปรดให้บางพวกบรรลุ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล
อรหัตตผล ครั้นอนุเคราะห์มหาชนเหล่านี้แล้วก็เสด็จกลับพระวิหาร ประทับนั่ง
ณ อาสนะที่จัดถวายบริเวณศาลา ทรงรอคอยจนภิกษุฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว
ภิกษุอุปัฏฐากก็เข้ามากราบทูลให้ทรงทราบ จากนั้นพระองค์ก็จะเสด็จ
เข้าพระคันธกุฏี นี้เป็นปุเรภัตกิจ กิจก่อนฉันเป็นไปด้วยอาการอย่างนี้
ครั้นพระพุทธเจ้าทรงทำกระทำกิจอย่างนั้นเสร็จแล้ว ทรงพักผ่อนบนอาสนะที่
อุปัฏฐากถวายในพระคันธกุฎี ทรงล้างพระบาทประทับยืนบนตั่งรอง
พระบาท ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงบำเพ็ญประโยชน์เพื่อตนและผู้อื่นให้ถึง
พร้อมเถิด การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าในโลกเป็นเรื่องยาก
การจะได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นเรื่องยาก ความถึงพร้อมด้วยขณะเป็นเรื่องยาก
๑. ขณะการอุบัติเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า ๒. การเกิดเป็นมนุษย์
๓. ขณะที่ได้มีศรัทธา ๔. ขณะที่ได้บวช ๕ . ขณะที่ได้ฟังพระสัทธรรม
เป็นเรื่องยาก
การบวชเป็นเรื่องยาก การได้ฟังพระสัทธรรมเป็นเรื่องยาก
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทอย่างนี้ จะมีประมาณ
บางทีก็ยาวระดับทีฆนิกาย หรือมัชฌิมนิกาย เทศนาอย่างไม่รู้จัก
เหน็ดเหนื่อย จนสามารถกระตุ้นเตือนจิตของบรรดาภิกษุเหล่านั้น
ให้เกิดพลังขึ้นมา
ภิกษุเหล่านั้นฟังแล้วมีใจอย่างยิ่ง บางพวกทูลขอกรรมฐาน
พระพุทธเจ้าก็ประทานกรรมฐานที่เหมาะแก่จริต เหมาะสมแก่บุคคลนั้นๆ
บางพวกก็เข้าไปยังป่า ต้นไม้ ภูเขา บางพวกที่มีฤทธิ์ เหาะไป
ในจาตุมหาราชิกา ตาวติงสา ยามา ดุสิตา วิมานตรงไหนที่ร้าง ก็หลบเข้าไป
ทำกรรมฐาน เมื่อพระพุทธเจ้าให้กรรมฐานแล้ว ทรงตรวจสอบตลอดเป็นระยะ
พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าคันธกุฎี ถ้าจะทรงพักก็ทรงมีสติสัมปชัญญะ
สำเร็จสีหไสยา โดยข้างเบื้องขวาครู่หนึ่ง พอพักพระวรกายเสร็จแล้วก็
ตรวจดูโลกในภาคที่ ๒
ใช้อินทริยปโรปริยัตติญาณ อาสยานุสยญาณเป็นต้นเหล่านี้
ปัจฉาภัตกิจ ในภาคที่ ๓ ประชาชนในหมู่บ้าน นิคม ที่พระพุทธเจ้าอาศัยอยู่
ก็ได้มาถวายทานในเวลาก่อนฉัน ในเวลาหลังฉันก็จะนุ่งห่มเรียบร้อย
ถือของหอมมาประชุมกันในวิหาร เมื่อประชาชนมาประชุมกันแล้ว
พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปอย่างมีปาฏิหาริย์อันสมควร ประทับนั่ง ณ พุทธอาสน์
ที่จัดไว้แล้ว ก็แสดงธรรมให้เหมาะแก่กาล เหมาะแก่สมัย
พอทรงทราบว่าพอแก่กาลเวลาแล้วก็ส่งประชาชนกลับ ประชาชนพากัน
ถวายอภิวาทพระพุทธเจ้าแล้วก็กลับ นี้จัดว่าเป็นปัจฉาภัตกิจ กิจหลังฉัน
เวลาพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ก็จะทรงแสดงธรรมที่เกื้อกูล
แก่จริตของบุคคลทั้งหลาย
บุคคลเหล่านั้นจะเป็นอุฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู หรือ เนยยะ
ก็เป็นไปแบบนี้ นี้คือการทำพุทธกิจชองพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อินทริยปโรปริยัตติญาณ
พระญาณที่ทรงเห็นหมู่สัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีน้อยในปัญญาจักษุ
มีกิเลสดุจธุลีมากในปัญญาจักษุ มีอินทรีย์แก่กล้าและมีอินทรีย์อ่อน
มีอาการดีและมีอาการทราม ทั้งหลายเป็นต้น
พึงสอนให้รู้แจ้งได้ง่าย หรือพึงสอนให้รู้แจ้งได้ยาก บางพวกเป็นปรโลก
และโทษโดยความเป็นภัย บางพวกก็ไม่เห็นปรโลกโดยความเป็นภัย
สังเกตแต่ละวันว่าศรัทธาเราแก่กล้าหรือยัง
สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้อาศัยทิฏฐิในภพก็มี อาศัยทิฏฐิในความปราศจาก
ภพก็มี หมายความว่า เป็นสัสสตทิฏฐิก็มี เป็นอุจเฉททิฏฐิก็มี
เห็นว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกเกิดอีกบ้างไม่เกิดอีกบ้าง
พระตถาคตก็ทราบความที่บุคคลที่เป็นผู้ติดแน่นในกาม ด้วยยถาภูต
ญาณทัสสนะ ทรงทราบบุคคลที่เสพกามว่า บุคคลนี้เป็นผู้หนักในกาม
มีกามเป็นที่อาศัย น้อมใจไปในกาม กลุ่มนี้เป็นพวกติดกาม ติดสี
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กลุ่มนี้เป็นพวกน้อมไปในเนกขัมมะ
๓. มานานุสัย เป็นรากของความยกตนชูตนเปรียบเทียบตน
๔. ทิฏฐานุสัย เป็นรากของความเห็นผิด
๕. วิจิกิจฉานุสัย เป็นรากของความลังเล ไม่กล้าตัดใจอย่างเด็ดขาดลงไป ยัง
ห่วงในกาม เมื่อวิจิกิจฉานุสัยมีกำลังก็ผลักขึ้นมา
๖. ภวราคานุสัย ติดในภพ
๗. อวิชชานุสัย ติดในความหลง ความมืดบอด
หมู่สัตว์ก็นอนเนื่องในอารมณ์ เป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก
ปฏิฆานุสัยก็นอนเนื่องในอารมณ์อันไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่ยินดี
อวิชชานุสัยก็ตกไปในธรรมทั้งสองประการเหล่านั้น
มานะทิฏฐิ วิจิกิจฉาก็ตั้งร่วมกันกับอวิชชา
กิเลสเหล่านี้มันนอนเนื่องในใจสัตว์ทั้งหลาย
พระพุทธเจ้าเห็นความจริงตรงนี้ว่า เพราะเรามีรากของกิเลสตรงนี้จึง
โผล่ออกมาตลอด
อนุสัยเหมือนภูเขาน้ำแข็ง ก้อนน้ำแข็งที่มันโผล่มาบนน้ำ เราเห็นยอดแหลมของก้อนน้ำแข็ง
อยู่ใต้มหาสมุทร แต่ข้างล่างเต็มไปหมด
เช่นกัน อนุสัย รากของอนุสัยมันฝังแน่นแล้ว ฉะนั้นต้องจัดการ
ถ้าเราไปจัดการข้างล่างทีเดียว กำลังสติ กำลังปัญญาไม่ไหว
ต้องจัดการที่มันโผล่ขึ้นมาก่อน กิเลสตัวไหนที่โผล่ขึ้นมา ไม่ว่าความกำหนัด
ความขัดเคือง ความหดหู่ท้อแท้ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ความลังเลสงสัย
กิเลสตัวไหนที่โผล่มาจากใจ แล้วผลักออกมาทางกายกรรม วจีกรรม
ให้เจริญพุทธคุณต่อเนื่องจนสามารถสงบ ไม่โผล่ออกมาเหนือน้ำแล้ว
ตอนนี้จึงจะมีกำลังพอที่จะไปจัดการที่อยู่ใต้น้ำ
แต่หากมันแสดงอาการออกมาแล้วยังตามใจก็แย่แล้ว
กามราคานุสัย อนุสัยติดแน่นในกามคุณ
ปฏิฆานุสัย อนุสัยคือความเครียดความโกรธ
มานานุสัย คือการยกตน ชูตนเปรียบเทียบตน
ทิฏฐานุสัย คือความเห็นผิดในการยึดมั่นอัตตาตัวตน
วิจิกิจฉานุสัย คือความลังเลสงสัย ไม่กล้าตัดใจที่จะน้อมเข้าหาพระรัตนตรัย
ภวราคานุสัย คือ ความติดในภพ
อวิชชานุสัย คือ ความมืดบอด
คำสอนของพระพุทธเจ้าก็เพื่อต้องการมาแก้ปัญหาชีวิตของพวกเรา
พระพุทธเจ้ามีอาสยานุสยญาณตรงนี้ แล้วพระพุทธเจ้าอุบัติเกิดขึ้นมาแล้ว
คำสอนก็มีแล้ว พระพุทธเจ้าพร้อมที่จะแก้ปัญหาชีวิตให้กับเรา
เราเป็นคนป่วยอย่างหนัก ต้องเป็นผู้ที่ทำตามหมอ คือ ทำตามที่
พระพุทธเจ้าบอก
จริตของหมู่สัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างไร
จริตของสัตว์ทั้งหลายที่น้อมไปแบบนี้เพราะมันชอบ
บางพวกก็ชอบที่จะยินดีในความโลภ ยินดีในความโกรธ บางคนก็ยินดี
ในความหลง บางคนก็ยินดีในการให้ทาน รักษาศีลที่เป็นไปในโลก
มนุษย์ บางคนก็ยินดีในสมาธิ บางคนยินดีในสมาบัติ มันไม่ได้ยินดี
ในการออกจากวัฏฏะ พระพุทธเจ้าทราบจริตของสัตว์ทั้งหลาย
พระญาณที่เป็นการแสดงยมกปาฏิหาริย์ ฤทธิ์
๑. อิทธิปาฏิหาริย์
๒. อาเทศนาปาฏิหาริย์
๓. อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์
พระพุทธเจ้ามีปาฏิหาริย์ ๓ ที่พระพุทธเจ้าต้องมีฤทธิ์ เพื่อประโยชน์แก่หมู่
สัตว์ทั้งหลายไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น
รัศมีสีเหลือง แดง ขาว แสด ประภัสสร ฉัพพรรณรังสีที่แผ่ออกจากพระ
วรกายของพระพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์แก่การที่จะยังให้สัตว์ทั้งหลายได้
ตื่นเต้นอย่างหนึ่ง แล้วพระพุทธเจ้าทรงรู้สภาพจิตของหมู่สัตว์
เวลาที่พระพุทธเจ้าจะทรงแสดงปาฏิหาริย์เหล่านี้ ก็แสดงเพื่อให้เหมาะสม
แก่สัตว์นั้นๆ เพื่อจะยังใจให้หมู่สัตว์ทั้งหลาย จากการที่หมกมุ่นในกาม
พยาบาท ถีนมิทธ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ในบาปอกุศล หรือยังมี
กิเลสทั้งหลายเป็นตัวรั้งและฉุดอยู่ พระพุทธเจ้าก็กระตุกให้เกิดศรัทธา
วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ขึ้นมา แล้วพระพุทธเจ้าก็กำหนดรู้ใจ เมื่อรู้ใจ
แล้วก็แสดงธรรมให้เหมาะสมแก่อัธยาศัย พระพุทธเจ้ามีปกติแบบนี้
ฉะนั้นยมกปาฏิหาริยญาณเป็นไปด้วยอาการอย่างนี้
มหากรุณาสมาปัตติญาณ
พิจารณาเห็นอยู่ด้วยอาการเป็นอันมากของหมู่สัตว์ทั้งหลาย
พระพุทธเจ้าจะทรงแผ่พระญาณเหล่านี้ไปในหมู่สัตว์ทั้งหลายเป็นอันมาก
เหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงแผ่พระญาณไปแบบนี้เพื่อต้องการที่จะขนสัตว์
รื้อสัตว์เพราะเห็นความจริงของหมู่สัตว์ทั้งหลายที่พากันจมอยู่
พระพุทธเจ้ามีพระมหากรุณาธิคุณ เห็นหมู่สัตว์ทั้งหลายที่กำลังเดินทางผิด
และปฏิบัติผิดอย่างนี้เป็นต้น
พระพุทธเจ้ากรุณาเรามาก เราต้องฝึกตนเองอย่างอมืองอเท้า
E ให้ปฏิบัติอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามนั้น โดยปราศจากเงื่อนไข
ep 18 Apr 30 ,2023 สมฺมาสมฺพุทฺโธ ปาฏิหาริย์ ๓
เราท่านทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราได้เห็น
พระปัญญาญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้นามว่าสัมมาสัมพุทโธ
หมายถึงพระปัญญาคุณนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เญยยธรรมทั้ง
ปวงด้วยพระสยัมภูญาณ ด้วยพระองค์เอง
สัมมาสัมพุทธ มาจากคำว่า
สมฺมา โดยชอบ
สํ ด้วยพระองค์เอง
พุทฺธ ทรงตรัสรู้
โดยใจความก็คือ พระองค์ทรงตรัสรู้อริยสัจธรรมทั้ง ๔ ด้วยมรรคญาณทั้ง ๔
ที่ประหารกิเลสพร้อมทั้งวาสนา และต่อมาพระองค์ก็ทรงได้มี
พระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอาสยะ และทรง
ทราบอนุสัยของเหล่าสัตว์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงมีพระญาณอันยิ่งใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นอินทริยปโรปริยัตติญาณ อาสยานุสยญาณ ทรงทราบอนุสัย
และทรงทราบจริต และทรงทราบอธิมุตติของหมู่สัตว์ทั้งหลาย ว่าหมู่สัตว์จะ
หลุดพ้นได้ด้วยอาการอย่างไร
ทรงทราบหมู่สัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีน้อยในปัญญาจักษุ ผู้มีกิเลสดุจธุลี
มากในปัญญาจักษุ ผู้มีอินทรย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี มี
อาการทราม พึงสอนให้รู้แจ้งได้ง่าย พึงสอนให้รู้แจ้งได้ยาก ผู้ควร
สอนให้รู้ได้ ผู้ที่สอนให้รู้ไม่ได้ เมื่อพระองค์ทรงทราบอย่างนี้ก็ทรง
เนรมิตรัตนจงกรมในอากาศกว้างหมื่นจักรวาล แล้วก็เสด็จจงกรม
ในที่นั้นๆ ทรงแสดงปาฏิหาริย์อันไม่ทั่วไปแก่พระสาวกทั้งหลาย ใน
ขณะที่ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ทรงทราบอัธยาศัยของหมู่สัตว์ทั้งหลาย
โดยประการดังกล่าวนี้ และในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงใช้พระ
ญาณปัญญา มีพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น ตรวจดูอาการ ๑๖ อย่าง
ของจิต ว่าสัตว์เหล่านี้ จิตมีราคะ ปราศจากราคะ จิตมีโทสะ
ปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ปราศจากโมหะ จิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่าน จิต
ตั้งมั่น จิตไม่ตั้งมั่น จิตหลุดพ้น จิตไม่หลุดพ้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ปาฏิหาริย์ ๓ ประการก็คือ
หมายความว่าภิกษุในพระธรรมวินัยหรือแม้แต่พระพุทธเจ้าเอง
หรือบุคคลที่ปฏิบัติเข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะมี
สติสัมปชัญญะ ในการไปกำหนดรู้วาระจิตของหมู่สัตว์ทั้งหลาย
ฟังเสียง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ไม่ได้ทายใจตามเหตุที่กำหนดเลย แต่เมื่อได้
ฟังเสียงของมนุษย์ ฟังเสียงของอมนุษย์ เทวดา ก็ทายใจได้ว่าใจของ
ท่านผู้นี้เป็นอย่างไร ฟังเสียงก็รู้ได้ทันทีว่าเสียงของท่านผู้นี้มาจากจิต
ประเภทไหน เสียงที่พูดออกมา มาจากราคะจิตเป็นตัวขับเคลื่อน โทสะ
จิตเป็นตัวขับเคลื่อน หรือ โมหะจิตเป็นตัวขับเคลื่อน หรือพูดด้วย
เมตตา กรุณา มุทิตา หรือพูดด้วยศรัทธา สติ ก็สามารถกำหนดได้ว่า
มนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี ที่พูดคำนี้ออกมา สภาพจิตของท่านเป็นอย่างนี้
ถึงแม้ภิกษุนั้นจะสามารถทายใจได้เป็นอันมาก การทายใจอย่างนี้ไม่
ได้เป็นอย่างอื่น แปลว่าสามารถกำหนดได้ชัด
เนกขัมมะเป็นทั้งอิทธิปาฏิหาริย์
E เนกขัมมะเป็นทั้งอาเทศนาปาฏิหาริย์
เนกขัมมะเป็นทั้งอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์
ได้ปาฏิหาริย์ ๓
กลุ่มพยาบาท ขี้หงุดหงิด
E อพยาบาทเป็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
อาเทศนาปาฏิหาริย์ ชนเหล่าใดทั้งหมดเป็นผู้หมดจด มีความดำริไม่ขุ่นมัว ฉะนั้น
พยาบาทเป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์ด้วย เมื่อเมตตาเกิดขึ้น
จิตไม่ขุ่นมัวเกิดขึ้น จิตไม่พยาบาทเกิดขึ้น เราสามารถรู้วาระ
จิตของเรา กำหนดจิตของเราว่าตอนนี้ปลอดโปร่งโล่งเบา
ไม่เครียด ไม่พยาบาทใครเลย ความพยาบาทออกไปแล้ว
ถ้าเราเห็นวาระจิตนี้เป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์
ให้มีความเชื่อมั่นว่าอพยาบาท เป็นปาฏิหาริย์
E ถ้ากำจัดพยาบาทได้เป็นอิทธิปาฏิหาริย์
ถ้ารู้ว่าจิตของตนเองหมดจด มีการดำริไม่ขุ่นมัว เห็นอย่างนี้เป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์
ถ้ารู้ว่าเราจะดำริออกจากพยาบาทอย่างไร คิดอย่างไรไม่พยาบาท ให้เหตุปัจจัยแล้ว
สามารถปฏิบัติได้เข้าถึงได้ เป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นอัศจรรย์
เราเป็นพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้า เราต้องมีฤทธิ์ได้
สมาทานตั้งมั่นว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะเป็นผู้มีฤทธิ์ มีอิทธิปาฏิหาริย์
ด้วย เราจะมีอาเทศนาปาฏิหาริย์ จะคอยรู้จิตของตนเองด้วย และในขณะ
เดียวกันจะปฏิบัติให้เห็นความอัศจรรย์ของอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ เราจะดำริ
ออกจากพยาบาท ดำริไม่ขุ่นมัว เราจะกระทำให้มาก มีสติในการตั้งมั่น
จะไม่โกรธสัตว์และสังขาร ไม่ขัดเคืองสัตว์และสังขารอีกต่อไป นับตั้งแต่วัน
นี้เป็นต้นไปจนกว่าจะถึงซึ่งความพ้นทุกข์
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพวกเราอย่างนี้เพียรพยายามเหน็ดเหนื่อยอย่างนี้
หากเราเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าต้องทำให้ต่อเนื่อง ต้องปฏิบัติ
ทำเดี๋ยวนี้เวลานี้ทันที
E ท่านทั้งหลายได้ปาฏิหาริย์ ๓ ในเนกขัมมะหรือยัง
ได้ปาฏิหาริย์ ๓ ในอพยาบาทหรือยัง
บรรดากลุ่มนิวรณ์มากลุ้มรุมเราจะไม่กลัวอีกแล้ว เพราะเรามีปาฏฺิหาริย์ ๓
ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกไว้
กลุ่มเซ็ง หดหู่
พระโพธิสัตว์ท่านได้ยินอย่างนั้น จิตของท่านไม่หดหู่เลย
ดูร่างกายที่เต็มไปด้วยเอ็น เนื้อและเลือดเหือดแห้งหายไป
ท่านบอกว่า ถึงแม้ท่านจะเหลือแต่เอ็นและกระดูก เนื้อและเลือดจะ
เหือดแห้งหายไป ใจของท่านก็ไม่เคยหวั่นไหวเลย จิตไม่เคยหดหู่
ไม่เคยท้อแท้เลย สติไม่เคยฟั่นเฟือนเลย ปัญญายิ่งแจ่มใสชัด
ความแกล้วกล้าอาจหาญอย่างมาก จะเอาความตายมาขู่อีกกี่ร้อย
อัตภาพ ก็ไม่เคยเบื่อไม่เคยเซ็งเลย จิตใจยิ่งฮึกเหิมยิ่งสว่างโล่ง
ท่านจงดูเถิด เรานี้จักต้องเป็นสัตว์ที่สะอาดบริสุทธิ์ให้ได้
บุคคลที่มีอาโลกสัญญา เห็นความมหัศจรรย์ของอาโลกสัญญาว่า
เป็นฤทธิ์ เพราะอาโลกสัญญากำจัดถีนมิทธ ความเซ็งความหดหู่ได้
นี้เป็นปาฏิหาริย์ เชื่อมั่นในอิทธิปาฏิหาริย์ว่าสามารถกำจัดความเซ็ง
ความหดหู่ท้อแท้ได้
ชนเหล่าใดทั้งหมดเป็นผู้มีจิตหมดจด มีความดำริไม่ขุ่นมัวเพราะฉะนั้น
อโลกสัญญาจึงเป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์
เวลาความแกล้วกล้าอาจหาญ สภาพจิตโปร่งโล่งเบาเกิดขึ้น
หากไปเห็นจิตของตนเองแบบนี้ ที่ได้ปีติ ได้ความตื่นเต้น ได้ความเบิก
บาน ได้ความโปร่งโล่งเบา นี้เป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์
พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญการแสดงฤทธิ์นอกตัว เพราะคนอยากดูแล้วอยากดูอย่างอื่นอีกไม่
จบไม่สิ้น แต่สรรเสริญสภาพธรรมที่เป็นฤทธิ์ในตัวสามารถกำจัดนิวรณ์ธรรมได้
ต้นมะม่วง
คนปฏิเสธเรื่องฤทธิ์ของพระพุทธเจ้าแปลว่าปฏิเสธเรื่องการ
บำเพ็ญบารมี ปฏิเสธเรื่องการฝึกจิตด้วยว่าจิตที่ฝึกแล้วมี
อานุภาพอย่างไร
แดนยมกใกล้วัดเชตวัน
การแสดงยมกปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า
๑. อิทธิปาฏิหาริย์ เพื่อให้หมู่สัตว์ทั้งหลายได้เห็นความมหัศจรรย์ของความตรัสรู้ของ
พระพุทธเจ้า เพื่อกระตุ้นให้สัตว์นั้นได้ศรัทธา ความเพียร สติ สมาธิ และ
ปัญญา ดึงอินทรีย์ของสัตว์ที่อ่อนได้แก่กล้าขึ้นมา
๓. อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมะให้เหมาะสมกับอัธยาศัย
ว่าสัตว์นั้นควรฟังเรื่องอะไร สัตว์จึงได้บรรลุในครั้งนั้นประมาณ
๓ ร้อยล้านคน
หลังแสดงยมกปาฏิหาริย์ เสด็จไปโปรดพระมารดาที่ชั้นดาวดึงส์
พระมารดาอยู่ในชั้นดุสิต เป็นเทพบุตร พระมารดาจะเป็นเพศ
ชายจะไม่เป็นเพศหญิงอีก
ความมหัศจรรย์ของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็น
สิ่งที่สำคัญที่สุด ให้ความสำคัญกับอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์
พระธรรมที่สามารถทำให้เราเป็นปัจจัยในการพ้นจากกิเลสและ
กองทุกข์ได้
พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงแสดงธรรม
ทั้งที่เป็นสังขตธรรม ทั้งที่เป็นอสังขตธรรม แก่สัตว์ทั้งหลายโดยถูกต้อง
ทรงพิฆาตสังสารวัฏเสียได้
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมกราบไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ส่งสั่งสมบารมีทั้งหลายมาโดยชอบ
ทรงก่อสร้างความสุขแก่พระองค์ขึ้นได้
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ทรงเห็นความเสื่อมสิ้นแห่งสังขารทั้งหลายแล้ว
ได้ทรงบรรลุธรรมอันกำราบระงับได้แล้ว
พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงล้างเสียซึ่งราคะและโทสะ
ทรงล้างเสียซึ่งโมหะของสัตว์ทั้งหลายแล้ว
ข้าพเจ้าของนอบน้อมพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้มีบุญมาก
ผู้มีกิเลสอาสวะอันล้างได้แล้ว ด้วยเศียรเกล้า
ขอนอบน้อมพระธรรมด้วย ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลายด้วย
ด้วยความเคารพเอื้อเฟื้อ
ep 19 May 1 ,2023 สมฺมาสมฺพุทฺโธ
ซึ่งจะเป็นองค์คุณของสัมมาสัมพุทธะ ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
พระมหาบุรุษนั้น ทรงบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมแก่
เทวดาพร้อมทั้งนรชนทั้งหลาย ทรงให้สัตว์ทั้งหลายได้บรรลุโดยนัยต่างๆ
ในบรรดาเทวดาและพรหมเหล่านั้น ได้แล้วซึ่งแสงสว่างแห่งธรรมะแน่แท้
ได้เห็น ได้บรรลุ ได้ตรัสรู้สัจจะ และได้ข้ามพ้นจากราคะ โทสะ โมหะแล้ว
ก็พากันยกย่องว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐกว่าราชามุนี
เป็นผู้ประเสริฐกว่านรชน ประเสริฐกว่าเทวดาที่อยู่ในสวรรค์
เป็นผู้สะอาด ผู้ประเสริฐกว่าพรหม ผู้ทรงนำไปซึ่งบาปของตนเอง ผู้ทรง
นำไปซึ่งบาปของผู้อื่น
หมายความว่าละบาปของตนเองได้แล้ว ก็แนะนำวิธีการให้สัตว์อื่น
ละบาปด้วย ผู้ทรงกระทำความเจริญแก่ตน และผู้ทำความเจริญแก่
บุคคลอื่น ให้เจริญศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ยัง
หมู่สัตว์อื่นให้เข้าถึงความเจริญนี้ได้
พระคุณ ๙ ประการ มีอรหันตคุณเป็นต้น อันไพบูลย์ ที่ปราศจากมลทิน
อันหมู่มนุษย์และเทพ เทวดาและพรหมทั้งหลาย กล่าวเต็มท้องฟ้าและแผ่น
ดิน แผ่ไปแล้วในหมู่ไตรเทพและไตรภพทั้งสิ้น
ทำไฉนที่เราจะได้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
ปากของเราพูดเรื่องอื่นมามากแล้ว ให้มาพูดคุณของพระพุทธเจ้าบ้าง
จิตของเราคิดถึงสิ่งอื่นมามากแล้ว ให้มาคิดถึงคุณของพระพุทธเจ้า
ให้เป็นกิจกรรมของชีวิต ในทุกๆกิจกรรมของการดำเนินชีวิต
ให้คุณของพระพุทธเจ้านั้นปรากฏในใจของเราตลอด ในการก้าวไป
ถอยกลับ แลตรง แลเหลียว คู้เข้าเหยียดออก กินดื่ม เคี้ยวลิ้ม
นุ่งห่มผ้า ถือภาชนะ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ยืน เดิน นั่ง นอน ตื่นหลับ
แม้หลับก็ให้พุทธคุณฝังลงไป พูด หรือ แม้นิ่งอยู่ก็ให้พระคุณของ
พระพุทธเจ้านั้นปรากฏในใจของท่านทั้งหลาย
= ให้ถือว่าการอยู่ในคุณของพระพุทธเจ้านั้นคือการพักที่ดีที่สุด หากจิตของเรา
กำลังออกจากคุณของพระพุทธเจ้าแปลว่าเรากำลังดิ้นรนกระเสือกกระสน
= สัมมาสัมพุทโธนี้ ยากนักหนาที่เราท่านทั้งหลายจะได้ยินได้ฟัง
และจะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้
สัมมาสัมพุทโธ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ในบรรดาพระญาณทั้งหลายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะ
อาสวักขยญาณ หรือ สัมมาสัมพุทโธ เป็นไวพจน์แห่งอรหัตตมรรคญาณ
อรหัตตมรรคญาณของพระพุทธเจ้ากับอรหัตตมรรคญาณของ
E
พระสาวกทั่วไปไม่เหมือนกัน
อรหัตตมรรคญาณของสาวกทั่วไปไม่เรียกว่าสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่เรียกว่า
สัมมาสัมพุทโธ เรียกว่าตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า เป็นอาสวักขยญาณได้ แต่
เป็นอาสวักขยญาณที่เกิดขึ้นกับพระสาวก ไม่ได้เกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้า
เราศึกษาเพื่อต้องการมนสิการให้เห็นความจริงของสัมมาสัมพุทโธ
ประทีปที่เราจุดไว้ในเรือนตอนกลางคืนกำจัดความมืดในขณะหนึ่ง และ
กระทำสิ่งทั้งหลายในเรือน ในที่นั้นๆ แสงสว่างเกิดขึ้นก็ย่อมทำให้เราเห็น
ส่วนต่างๆในบ้าน ในห้องนั้นๆ ผู้มีจักษุย่อมเห็น แม้อยู่ในที่นั้นก็ย่อมเห็น
แต่ละอย่างตามที่ปรารถนาฉันใด
อรหัตตมรรคย่อมยังเญยยธรรมทั้งสิ้นให้สว่างไสวด้วยการละความมืดคือ
กิเลสและย่อมไม่รู้สิ่งนั้นเป็นแผนกๆ ย่อมรู้ทุกอย่างด้วยพระสัพพัญญุตญาณ
อันควรแก่การนึกในภายหลัง
Ef อรหัตตมรรคที่เกิดขึ้น ตอนนั้นชื่อว่ารอบรู้ทุกขสัจทั้งหมด
ละสมุทยสัจจะหมด ได้สัมผัสพระนิพพาน ประชุมมรรคแล้ว
ในขณะที่อรหัตตมรรคญาณที่เกิดขึ้นในขันธสันดานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ประทับอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ แค่ขณะจิตเดียว ทำไมเรียกว่า
สัมมาสัมพุทโธ
อรหัตตมรรคญาณ
ขณะจิตนี้เป็นขณะจิตที่มีความสำคัญมาก ภายหลังจากขณะจิตนี้เกิด
พระสัพพัญญุตญาณ อนาวรณญาณ อินทริยปโรปริยัตติญาณ
มหากรุณาสมาปัตติญาณ ยมกปาฏิหาริยญาณ อาสยานุสยญาณ
พระทศพลญาณ ๑๐ เวสารัชชญาณ ๔ อาเวณิกธรรม ๑๘ หรือพระญาณอีก
มากมาย หลั่งใหลตามมาอย่างมโหฬาร
อรหัตตมรรคญาณ ย่อมยังเญยยธรรมทั้งสิ้นให้สว่างไสวด้วยการละความมืดแห่งกิเลส
เวลาอรหัตตมรรคญาณเกิดขึ้น
๑. รอบรู้ทุกข์
๒. ละสมุทัย
๓. ประจักษ์แจ้งนิโรธ
๔. ประชุมอริยมรรค
จุดนั้นสำคัญมาก การได้อรหัตตมรรคญาณขณะนี้ การแทงตลอดโลก
ธาตุทั้งสิ้นชื่อว่าเกิดขึ้นแล้วด้วยอานุภาพแห่งอรหัตตมรรค
ย่อมรู้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยพระสัพพัญญุตญาณอันสมควรแก่การนึกใน
ภายหลังด้วยอานุภาพแห่งอรหัตตมรรคญาณนั้น
ถ้าท่านผู้นั้นคือพระพุทธเจ้า ไม่ได้อรหัตตมรรคญาณจะไม่ได้สัพพัญญุตญาณ
E
ตามมาเลย เพราะสัพพัญญุตญาณที่สามารถเข้าไปรู้สรรพสิ่งทั้งหลาย โดย
ไม่มีอะไรกีดขวางได้ นั้นเป็นผลที่สืบเนื่องมาอย่างแท้จริง
ด้วยอานุภาพแห่งอรหัตตมรรคญาณฉันนั้น
เปรียบเหมือนบุคคลผู้ได้ฌานใดฌานหนึ่งนั่งอยู่ในที่นี้แล้วก็แผ่กสิณไป
โดยคิดว่าเราจะดูรูปทั้งหลายในป่าหิมพานต์ด้วยประมาณเท่านี้
แล้วก็เข้าฌานตามลำดับมีกสิณเป็นต้น ออกจากจตุตถฌานแล้ว
ใคร่ครวญด้วยกามาวจรจิตว่ารูปจงปรากฏในระหว่างนี้ รูปก็ปรากฏ
พร้อมด้วยการอธิษฐาน ในที่นี้เป็นอภิญญาจิต
ต้องการชี้ให้เห็นว่าอรหัตตมรรคญาณคล้ายแบบนี้ อรหัตตมรรคญาณเกิด
=
ขณะจิตเดียว เบื้องหลังอรหัตตมรรคญาณคือมหาวิปัสสนาญาณ กำลัง
สมาธิ กำลังของศีลเป็นต้น
พอได้อรหัตตมรรคญาณแล้ว อรหัตตมรรคญาณมีอานุภาพมาก
พอดับไปเป็นผลญาณ เป็นผลจิต เสร็จแล้วเป็นปัจจเวกขณะ
พิจารณามรรค พิจารณาผล กิเลสที่ละได้หมดแล้ว และนิพพาน
หลังจากนั้นพระสัพพัญญุตญาณเกิดขึ้นแล้วในกระแสชีวิต
เวลาได้อรหัตตมรรคญาณแล้วขณะหนึ่ง ต่อมาเป็นอรหัตตผล
พอขึ้นสู่วิถีใหม่เป็นกิริยาจิต ฉะนั้น มหากิริยาญาณสัมปยุตต์ที่เป็น
อสังขาริก โสมนัส เกิดขึ้นแล้ว
พระพุทธเจ้ามีพระมหากรุณาธิคุณอยากจะให้เราได้ตรัสรู้
E
อย่าให้ความปรารถนาของพระพุทธเจ้าเป็นหมัน เราต้องทำให้ได้
ชาติเขต หมื่นจักรวาล
อาณาเขต แสนโกฏิ
วิสัยเขต หาประมาณมิได้
ที่ชื่อว่าสัพพัญญุตญาณ เพราะพระตถาคตทรงรู้รูปที่มีเป็นของไม่เที่ยง
เห็นรูปไม่เที่ยง เวทนาที่ไม่เที่ยง สัญญาที่ไม่เที่ยง สังขารที่ไม่เที่ยง
วิญญาณที่ไม่เที่ยง เห็นขันธ์ ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ตลอดจนเห็นปฏิจจสมุปบาท ทั้งหมดเป็นของไม่เที่ยง
และที่ชื่อนาวรณญาณ
อภิญเญยยธรรม ธรรมที่ควรรู้ยิ่ง
ชื่อว่าพระสัพพัญญุตญาณ พระพุทธเจ้าทรงรู้ว่าขันธ์ทั้งหลายที่มีทั้งหมด
เป็นขันธ์ ทรงรู้ธาตุทั้งหลายที่มีทั้งหมดด้วยความเป็นธาตุ ทรงรู้
อายตนะทั้งหลายทั้งหมดด้วยความเป็นอายตนะ และตถาคตทรงรู้สิ่งที่
มีปัจจัยประชุมปรุงแต่งทั้งหลาย ว่าทั้งหมดเป็นธรรมที่มีปัจจัยประชุม
ปรุงแต่ง นอกจากเห็นขันธ์มีเท่าไร ธาตุมีเท่าไร อายตนะมีเท่าไรก็ทรง
เห็นหมด ไม่ใช่เท่านั้น ยังไปเห็นว่าปัจจัยที่ทำให้ขันธ์ อายตนะ ธาตุ
เป็นไปอยู่ ก็เห็นของสภาพธรรมเหล่านั้นทั้งหมด การที่มีญาณปัญญา
ไปรู้อย่างนี้เรียกว่า พระสัพพัญญุตญาณ และเมื่อมนสิการไม่มีอะไรไป
ขวางได้ เรียกว่า อนาวรณญาณ
ชื่อว่าพระสัพพัญญุตญาณ เพราะตถาคตรู้ทุกข์โดยความเป็นทุกข์
สมุทัยโดยความเป็นสมุทัย นิโรธโดยความเป็นนิโรธ
มรรคโดยความเป็นมรรคทั้งหมด ไม่ผิดเพี้ยน
เราไม่เห็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์ แต่เราเห็นทุกข์โดยความเป็นของงามบ้าง
โดยความเป็นของเที่ยง โดยความเป็นสุข โดยความเป็นอัตตาตัวตนบ้าง
เห็นโดยความเป็นสัตว์บุคคล
เพราะไม่รู้จักสัมมาสัมพุทโธ จึงไม่ได้เห็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์
หากไม่เห็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์ เพราเรามีวิปลาส
E
เห็นสมุทัยโดยความเป็นสมุทัย
เราไม่รู้จักสัมมาสัมพุทโธว่านี้ทุกข์ สัมมาสัมพุทโธว่านี้เหตุให้เกิดทุกข์
สัมมาสัมพุทโธว่านี้ความดับทุกข์ สัมมาสัมพุทโธว่านี้ทางดำเนินให้
ถึงความดับทุกข์ เราจึงไม่รู้จักอริยสัจ และปฏิบัติผิดต่ออริยสัจ
ที่ผ่านมามันผิด ก็มาทำให้มันถูก
ถ้าไปมองสีแล้วปล่อยให้ความกำหนัดขัดเคืองเกิดขึ้น เอาเหล็กแหลมแทง
ให้ตาบอดยังดีกว่า
ถ้าไปได้ยินเสียงแล้วปล่อยให้ความกำหนัดขัดเคืองเกิดขึ้น เอาเหล็ก
แหลมแทงหูให้หนวกยังดีกว่า
ถ้าไปดมแล้วปล่อยให้ความกำหนัดขัดเคืองเกิดขึ้น เอามีดมาเฉือนจมูก
ทิ้งไปยังดีกว่า
ถ้าไปกินแล้วปล่อยให้ความกำหนัดขัดเคืองเกิดขึ้น ดึงลิ้นขึ้นมาเอา
มีดโกนมาตัดทิ้งดีกว่า
ถ้าไปสัมผัสสิ่งต่างๆแล้วรู้สึกเกิดความกำหนัดขัดเคืองลุ่มหลงแล้ว
เอามีดมาลอกแผ่นกายปสาทออกทิ้งยังดีกว่า
ถ้าคิดเรื่องต่างๆแล้วเกิดความกำหนัดขัดเคืองลุ่มหลงแล้ว ตัดหัวใจทิ้งยัง
ดีกว่า
E ถ้ากำหนัดเกิดขึ้นจากการเห็น ในจักขุทวารวิถีดับลงไปแล้ว
ขึ้นสู่มรณาสันนวิถี ตายในขณะกำหนัดเกิดก็เป็นเปรต เห็นผิดก็เป็นอสูรกาย
โมหะเกิดก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน โทสะเกิดก็เป็นสัตว์นรก
เราอยู่อย่างคนไม่รู้ เราไม่รู้เลยว่าจุติจิตจะเกิดเวลาไหน ทวารไหน
อยู่อย่างไม่รู้ตัว
พระสัพพัญญุตญาณ พระตถาคตทรงรู้ทุกข์เป็นทุกข์ สมุทัยเป็นสมุทัย
นิโรธเป็นนิโรธ มรรคเป็นมรรคทั้งหมด
ที่ชื่อว่าอนาวรณญาณเพราะไม่มีอะไรกีดขวางพระญาณเหล่านี้ได้
ฉะนั้นถ้าเรามีพระพุทธคุณอยู่ในกระแสชีวิตอย่างนี้แล้ว
พึงมั่นใจได้เถิดว่า ความปลอดภัยเกิดขึ้น แล้วพระพุทธเจ้าจะนำท่าน
ด้วยการตั้งอัธยาศัยนี้ แม้เราไปเกิด ณ อัตภาพใด ณ ที่ใด
ถ้าพระพุทธเจ้าอุบัติเกิดขึ้นมาแล้ว
ไกลแสนไกลอย่างไร พระพุทธเจ้าจะเสด็จดำเนินไปโปรดท่าน
ถ้าบำเพ็ญคตปัจจาคติกวัตรแล้ว
ทำไมพระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ ท่านอัญญาโกญทัญญะเป็นคนแรก
เพราะพระพุทธคุณอยู่ในกระแสชีวิตของท่าน
บรรดาพรหม ๑๘ โกฏิ เทวดาอีกไม่นับ
บุคคลเหล่านี้ล้วนเจริญพุทธคุณ เจริญคตปัจจาคติกวัตรมาทั้งนั้น
พระพุทธเจ้าเห็นเรา
พระพุทธเจ้าในอดีตก็รู้จักเรา พระพุทธเจ้าในปัจจุบันก็รู้จักเรา
พระพุทธเจ้าที่จะมาในอนาคตก็จะรู้จักเรา
แปลว่าเราได้ฝังกระแสชีวิต
เข้าไปในข่ายพระญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียบร้อยแล้ว
เราต้องสาธยาย ให้ฝังแน่น
จนรู้สึกว่า ให้ปลอดภัยให้ได้
และเราจะรู้ตนเอง ว่าตอนนี้เรามั่นคงหรือไม่มั่นคงอย่างไร
ความสุขที่ได้ การดำเนินชีวิต ว่าเข้าถึงหรือไม่เข้าถึงอย่างไร
เมื่อสาธยายเร็วจนคล่องแล้ว
จนไม่ต้องท่องก็ไปเอง ไหลตลอดเวลาแล้ว
เมื่อคล่องอย่างนี้แล้ว ให้ระลึกทีละบทให้เร็ว
และให้เห็นคุณปรากฏทุกคุณ
ถ้าจนดิ่งลึกในพุทธคุณในทุกบท ทั้ง ๙ บท
เหมือนกับการกระโดดลงในทะเลของปีติได้
จนกิเลสสกปรกทั้งหลายไม่มาคั่นได้
จะต่อยอดไปเจริญอานาปานสติเชิงลึก หรือเจริญวิปัสสนาญาณย่อมได้
ให้ใช้เวลาที่เหลือไปฝึกให้ชำนาญในพุทธคุณ
ชีวิตของมนุษย์มันจำกัด มันมีเวลาจำกัด
มันไม่ได้มากอย่างที่เราเข้าใจกันหรอก
ไม่มีความปลอดภัย ณ ที่ไหนๆเลย
ไม่มีอะไรมั่นคงเลย
การจะเปลี่ยนนิสัยเดิมๆของเราได้ ต้องเข้าถึงคุณของพระพุทธเจ้า
ถ้าอย่างนั้นนิสัยเดิมๆ กิเลสเดิมๆ มันจะไม่เปลี่ยน
จริงๆแล้วเรายังไม่รู้จักในคุณของพระพุทธเจ้า
หากรู้จัก จิตของเราก็จะวิ่งโลดแล่นในคุณของพระพุทธเจ้า
เป็นสัพพัตถกกรรมฐาน ทุกกิจกรรมทำได้หมด ทำได้เลย
จนรู้สึกว่ามีพระพุทธเจ้ากำกับในการดำเนินชีวิต
ให้มีพุทธคุณกำกับอยู่ทุกๆอิริยาบท โดยไม่ยาก โดยไม่ลำบาก
ถ้าทำอย่างนี้เรียกว่า ได้คตปัจจาคติกวัตร ในการถือพุทธคุณแล้ว
และชีวิตจะได้สัมผัสความสุขอย่างมหัศจรรย์ที่เราไม่เคยได้เจอมาก่อน
แล้วจะรู้สึกว่า พระพุทธเจ้ามองเรา
เราอยู่ในสายพระเนตรของพระพุทธเจ้า ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ
กว่าจะได้สัมผัสคุณของพระพุทธเจ้า
ต้องลงมือทำ ต้องลงมือฝึก
ใจของเราวิ่งเข้าหากามเร็วมาก
หากเราเพียรเท่านี้ยังออกไม่ได้ ก็ให้เพียรมากกว่านั้น
หากยังออกไม่ได้ก็ให้ใช้ทั้งชีวิต ทุ่มทั้งชีวิต
เมื่อเราไม่ละเลยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงจะไม่ละเลยเรา
ที่ผ่านมา เราละเลยพระพุทธเจ้า เราจึงถูกราคะ โทสะ โมหะ เคี้ยวกิน
แล้วเราก็ทำกรรมผิดพลาด
คำถาม คุณพ่อเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แต่ยังดูมวย เล่าธรรมะท่านก็ฟังแต่จำไม่ได้
ควรทำอะไรได้มากกว่านี้หรือไม่
สิ่งที่ควรทำคือคุยกับท่านบ่อยๆ เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมทั้งหมด
เปลี่ยนญาติทุกคนมาคุยกันทั้งหมด เปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องใช้ในห้อง
ให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าทั้งหมด
สารคดีก็เปลี่ยนเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า
เสียงสวดมนต์ก็เป็นเสียงพระธรรมของพระพุทธเจ้า
เพลงธรรมะที่ฟังแล้วเพราะ แสง สี เสียง บรรยากาศ ให้เปลี่ยนเป็น
พระธรรมทั้งหมด ลูกๆทั้งหลายคุยธรรมะ น้อมใจให้มาหาพระธรรม
เช่นสารคดีเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า คุยให้ท่านฟัง ให้ท่านคลายจากทุกข์ใจ
พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงแสดงธรรมทั้งที่เป็นสังขตธรรม
และอสังขตธรรม แต่สัตว์ทั้งหลายโดยถูกต้อง ทรงพิฆาตสังสารวัฏเสียได้
ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธเจ้าถนอมเราเหมือนมารดาถนอมบุตร
ขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าที่กำจัดมานะได้
ถ้าภาวนาคาถานี้ทุกวัน คนที่ใจแข็งมานะแรงๆ จิตใจก็จะอ่อนโยน
สมฺมา แปลว่าไม่วิปริต
สามํ แปลว่า ด้วยตนเอง
สมฺมาสมฺพุทฺโธ แปลว่าตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง
พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ปัญญาที่ในอรหัตตมรรคญาณ
E เกิดครั้งเดียวแล้วจบ ต่อจากนั้นพระญาณจึงเกิดตามมามากมาย
สัมมาสัมพุทโธ ตรัสรู้ธรรมทั้งปวง ถูกต้องด้วยพระองค์เอง
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมที่ควรรู้ยิ่งโดยความเป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่ง
เช่น ตรัสรู้ทุกขสัจจะ รู้ยิ่งทุกขสัจจะด้วยการกำหนดรู้
รู้ยิ่งสมุทยสัจจะด้วยการละ รู้ยิ่งนิโรธสัจจะด้วยการกระทำให้
ประจักษ์แจ้ง รู้ยิ่งมรรคสัจจะด้วยการเจริญ
พวกเราที่เป็นพุทธบริษัทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องประชุมรูป
ขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ลงสู่สัจจะทั้ง ๔
ได้
รูปขันธ เป็นทุกขสัจจะ
รูปขันธสมุทย เหตุที่ทำให้รูปขันธ์เกิด เป็นสมุทยสัจจะ
รูปขันธนิโรธ สภาวะที่ดับรูปขันธ์ ดับเหตุให้เกิดรูปขันธ์ เป็นนิโรธสัจจะ
รูปขันธนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้เข้าถึงนิโรธเป็นมรรค
ฉะนั้นเวลาเราท่องไปติดบัญญัติ แต่สภาวธรรมไม่เกิด
เช่นเราเห็นเด็กร้องไห้ เสียงเป็นสัททะ เสียงนั้นเป็นทุกขสัจจะ
หรือเห็นเด็กดีใจ หัวเราะ เสียงเป็นสัททะ เป็นทุกขสัจจะ
การเกิดขึ้นของเสียงเป็นชาติทุกข์ การคร่ำคร่าของเสียงเป็นชราทุกข์
การดับไปของเสียงเป็นมรณทุกข์ โสกะเพราะเสียง ทำให้เกิดความโศก
ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ
เพราะเสียง ประสบกับเสียงที่ไม่พึงปรารถนา พลัดพรากจากเสียงที่พึง
ปรารถนา โดยย่อ เสียงเป็นอุปาทานขันธ์
เราเห็นความจริงของเสียงทุกเสียงหรือไม่ ต้องรู้จักโดยความเป็น
= ทุกข์ที่เป็นอริยสัจ เสียงมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นทุกขัง
อนิจจัง อนัตตา นี้เป็นไตรลักษณ์ในเสียงนั้น การไปรอบรู้อย่างนี้
เรียกว่า เห็นทุกขสัจจะ
ให้เอาธรรมแต่ละอย่าง แต่ละบทมาประชุมลงในอริยสัจ
ให้เอาธรรมแต่ละอย่าง แต่ละบทมาประชุมลงในอริยสัจ
= เป็นการรอบรู้อริยสัจ
เวลาพระพุทธเจ้ามนสิการสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะปรากฏทันที
ปรากฏในญาณปัญญาประดุจดังแก้วมณีในฝ่ามือ แค่หน่วงนึกจะรู้อะไร
สิ่งนั้นก็จะปรากฏทันที และในการจะหน่วงนึกในเรื่องใดนั้น ไม่สามารถ
มีอะไรมาขัดขวางได้ พระสัพพัญญุตญาณ อนาวรณญาณจึงกล่าวไว้คู่กัน
ด้วยอาการอย่างนี้
วิชชา ได้แก่อริยมรรค
วิมุตติ ได้แก่ผล
ธรรมที่ควรเจริญ ได้แก่มรรคสัจจะซึ่งสมบูรณ์แบบเป็นโลกุตตระแล้ว
ธรรมที่ควรละ ได้แก่สมุทัย
ทุกข์กับนิโรธ แม้ไม่ได้กล่าวก็ชื่อว่ากล่าวแล้ว
พระพุทธเจ้าทรงรอบรู้ ทรงตรัสรู้อริยสัจธรรมทั้งหลายได้ด้วยพระองค์เอง
และทรงประกาศความจริงของกระแสชีวิตทั้งหลายให้เราทั้งหลายได้รู้
ด้วย เวลาเราไปวิจัย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น
ก็ทรงให้มนสิการหยั่งลงสู่อริยสัจ ตามคำว่าสัมมาสัมพุทธให้ได้
เพราะเราไม่ไปประชุมลงอริยสัจ บรรดาสภาพธรรมเหล่านี้จึงเป็นที่ตั้ง
ของตัณหา มานะ ทิฏฐิ
เป็นศีลบารมี วันนั้นพระโพธิสัตว์ท่านสมาทานศีลด้วย
เป็นเนกขัมมบารมี การไม่อาลัย กล้าสละกาม ที่เรียกว่าขันธ์ ๕
เป็นวัตถุกามไม่อาลัยอาวรณ์
เป็นปัญญาบารมี วิจัยแยกแยะ เห็นความจริงของชีวิต
เป็นวิริยบารมี แกล้วกล้า
เป็นขันติบารมี อดทน
เป็นสัจจบารมี อธิษฐานบารมี
เป็นเมตตาบารมี รักปราถนาดี
เป็นอุเบกขาบารมี วางใจเป็นกลางไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
ศึกษาชาดกไม่ใช่แค่เรื่องราวต่างๆอย่างเดียว แต่ต้องเจาะไปที่บารมี
กลุ่มนามธรรมทั้งหลายที่เป็นตัวบารมีที่กำลังหมุนอยู่ใน
กระแสชีวิตของพระโพธิสัตว์นั้น ที่ท่านกำลังกระทำ กำลังคิด
หรือมีข้อปฏิบัติให้เราได้เห็น เป็นแบบอย่าง
พอเราไปอ่านแล้ว ทำให้เราได้ศรัทธา บ่มอินทรีย์
ทำให้ได้ความเพียร ได้สติ ได้สมาธิ ได้ปัญญา
พอได้ระลึกเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ ทำให้สติสัมปชัญญะของเรา
หรืออินทรีย์ของเราทั้งหลายแก่กล้าขึ้น มีกำลังขึ้น
ระลึกในเรื่องราวเหตุการณ์ทั้งหลาย ทั้งรูปธรรมและนามธรรม
ระลึกทั้งเป็นเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆที่ว่ามีข้อปฏิบัติอย่างไร
มีจริยาวัตรอย่างไร มีวัตรปฏิบัติอย่างไร เห็นความงดงาม เห็นความ
เด็ดเดี่ยว เห็นความตั้งมั่นในการทำในการกระทำ เวลาเราไปอ่าน
ต้องไปศึกษาเห็นว่าศีลของท่านเป็นอย่างไร สมาธิของท่านเป็นอย่างไร
ปัญญาเป็นอย่างไร เป็นต้น ที่ท่านกำลังกระทำ ต้องกล้าขนาดไหน
ต้องฝึกขนาดไหน ที่จะชนะกิเลสของตนเอง ทั้งๆที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน
เพราะสัตว์ทั้งหลายก็รักตัวกลัวตายทั้งนั้น
การจะต้องกล้าทำลายความขี้ขลาด ความกลัว ความหดหู่ ท้อแท้
ทั้งหลายออก แล้วกระทำสติสัมปชัญญะให้เกิดขึ้น มีความมุ่งมั่น
ตั้งมั่นในการปรารถนาฝึกฝนตนเองแต่ละพระชาติ
ทั้งหมดมีทุกบารมี แต่บารมีไหนเด่นก็ต้องเจาะไปให้เห็นด้วย
ทานเจตนาโยธา ต้องฝึกจนรู้สึกว่ากล้าสละ
ศีลเจตนาโยธา ดำเนินไปตามแบบอย่างของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เป็นจารีตศีลด้วย
เนกขัมมเจตนาโยธา เป็นเนกขัมมะ เห็นโทษ ใจน้อมออกจากกาม ไม่ติดข้อง ไม่อาลัย
อาวรณ์ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ทั้งหมดคือการเข้าไปศึกษา เห็นทั้งบัญญัติเจาะเข้าไปที่ปรมัตถธรรม
E
เห็นศีล เห็นสมาธิ เห็นปัญญา เห็นศรัทธา ความเพียร สติ สมาธิ ปัญญา
เรามองถึงมหาปุริสลักษณะที่ทรงได้มา กว่าจะได้สรีระ
ที่สวยสดงดงาม มีพระเนตร พระนลาฏ เป็นต้น ต้องบำเพ็ญ
กุศลที่ยิ่งยวดอย่างไร ทั้งบุญกิริยาวัตถุ ทั้งกุศลกรรมบท ตลอดถึงบารมีต่างๆ
ต้องบำเพ็ญอย่างยิ่งยวดและประณีต จึงจะได้ความละเอียดอ่อน
ของอวัยวะแต่ละชิ้น ที่ได้มาทั้งหมด ไม่ใช่ต้องการมาอวดมาโชว์
แต่ต้องการให้หมู่สัตว์ได้เห็นแล้วเกิดศรัทธา เกิดความเพียร
เกิดสติ สมาธิ ปัญญา ได้เห็นแล้วเกิดรู้สึกว่าออกจากอกุศลกรรมอันชั่วร้ายได้
อย่างนี้เป็นต้น
การระลึกพระคุณคุณ
Ef ความเป็นพระพุทธเจ้า ขับเน้นไปที่พระญาณนั่นแหละเป็นพระพุทธเจ้า
โดยเฉพาะขับเน้นไปที่อสาธารณญาณ ๖
ต้องเห็น แยกแยะองค์ประกอบให้ได้
ทำไมต้องสาธยายเร็วๆ ปัจจุบัน จิตของพวกเราอ่อนแอมาก บาปแทรกตลอด หากไม่สาธยาย
ให้เร็วให้ตั้งมั่น จิตจะไม่อ่อนโยนและไประลึกคุณไม่ชัด ฉะนั้นจึงต้อง
มีการสาธยายติดต่อและต่อเนื่อง จนจิตใจอ่อนโยนตั้งมั่นจริงๆ
เมื่อจิตปราศจากนิวรณ์ธรรมได้แล้ว ต่อไประลึกทีละบท ทีละคุณ
พระคุณจะปรากฏ
เวลาสติเข้าไประลึกถึงคุณ ถ้าระลึกพระจริยาคุณตอนนั้นเป็นสติปัฏฐาน
ในหมวดธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เวลาไประลึกถึงพระจริยาคุณก็อยู่ในส่วนของธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ระลึกถึงพระสรีรคุณ ก็อยู่ในส่วนของธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เพราะระลึกถึงกรรมที่ทำมาจึงได้สรีระแบบนี้
ระลึกถึงพระคุณคุณก็เป็นส่วนของธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
สติของเราไประลึกถึงปัญญาของพระพุทธเจ้าได้หรือไม่
ระลึกถึงอาสยานุสยญาณ ที่ไประลึกถึงปัญญาที่ในมหากิริยาญาณสัมปยุตต์
หรืออินทริยปโรปริยัตติญาณ เป็นอารัมมณปัจจัยแก่สติของบุคคลที่เข้าไประลึก
เป็นอารัมมณาธิบดีได้ด้วย เป็นอารัมมณูปนิสสยะได้ด้วย
เพราะมหากิริยาเป็นกามจิต เป็นโลกียจิต
การเข้าไประลึกเห็นปัญญานี้ไม่ใช่อยู่ๆไประลึกได้ แต่ต้องมี
ความเข้าใจ มีข้อมูลจึงจะสามารถระลึกได้
เวลาระลึกพุทธคุณ พอไประลึกจนจิตสามารถดิ่งในอารมณ์นั้นแล้วก็ระลึกตามพระคุณนั้นๆ
อารมณ์จะไม่ดิ่ง สังเกตว่าเวลาเจริญพุทธคุณจะไม่จับอยู่ที่อารมณ์เดียว เพราะจะเป็นไปตามสติ
ปัญญาที่เข้าไปเห็นคุณแต่ละบทเป็นต้นเหล่านี้ จึงไม่มีการดิ่งลึกเหมือน
อานาปานสติ แต่ได้ความสงบได้ความเยือกเย็นจากการระลึกถึงคุณ
เพราะเรามีพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลต้นแบบทำให้เรารักพระพุทธเจ้า
จริงๆ เมื่อได้รักพระพุทธเจ้าแล้วรู้สึกว่าเราได้รักบุคคลที่สมควรรัก
ได้คิดถึงบุคคลที่ควรคิดถึง ได้บูชาบุคคลที่ควรบูชา ได้กราบไหว้
บุคคลที่ควรกราบไหว้ ได้ยกย่องบุคคลที่ควรยกย่องจริงๆ
สภาวธรรมที่ถูกรู้ เป็นพระคุณของพระพุทธเจ้า
สภาวธรรมที่เข้าไปรู้ เป็นตัวสติที่เกิดขึ้นของบุคคลที่กำลังเจริญพุทธานุสสติ
ตรงนี้ให้เราพยายามทำความเข้าใจ เพราะเวลาที่เราจะเจริญพุทธคุณ
E คำว่าสัตว์ บุคคล อัตตาตัวตน ไม่มี จิตจะได้โปร่งโล่งเบา
ไม่อย่างนั้นจะเป็นว่า อัตตาตัวตนเป็นผู้เจริญ อัตตาตัวตนเป็นผู้รู้และผู้
ถูกรู้ก็จะมีปัญหาตามมาได้
เรามีสายพระเนตรของพระพุทธเจ้ามองเราอยู่ เราต้องไม่ประมาท
หากประมาทบาปก็ได้ช่องเล่นงาน
นี้เป็นผลพลอยได้ ไม่ใช่ผลโดยตรง
ผลโดยตรงคือเราต้องการจิตที่มีพลัง มีคุณภาพ
E
เพื่อให้ไปเห็นความจริงของชีวิต
ฝึกให้เป็นเนื้อเป็นตัวทุกกิจกรรม
เจริญพุทธคุณอย่างไรเวลาต้องไปสอนหนังสือ
กระแสชีวิตทุกชีวิต พระพุทธเจ้าเคยใช้พระญาณเข้าไปวิจัย
ทั้งรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
ทั้งจักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท เป็นต้น
พระญาณของพระพุทธเจ้าเคยสัมผัสหมดแล้ว และผูกไว้ในตน
ในฐานะเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า เราจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องดีงาม
ไม่เอาข้อมูลที่เป็นโทษไปให้ การให้วิชา องค์ความรู้เป็นธรรมะ
เป็นการให้ความรู้ที่ไม่มีโทษและเป็นประโยชน์แก่เขา จิตเราเห็นคุณ
ของพระพุทธเจ้า เราจะให้ความรู้ ให้ข้อมูล ให้ทางออก บอกวิธีคิดแก่
เขา เป็นการให้ธรรมทาน แต่เราจะต่อยอดธรรมทานที่เป็นโลกียะต่อ
เนื่องเป็นโลกุตตระให้ได้
พวกเราศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว
ต้องใช้ให้ได้ ต้องปฏิบัติให้ถึง
มองโลกและชีวิตตามที่มันเป็น
ep 21 May 3 ,2023 สมฺมาสมฺพุทฺโธ
เป็นชื่อของพระปัญญาญาณ ทรงทำกิเลสให้หมดสิ้น
ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ แล้ว ทรงประกาศอริยสัจ ๔ ให้แก่หมู่สัตว์ทั้งหลาย
ให้ทราบ ได้ตรัสรู้ตามด้วย จึงขับเน้นไปที่ ปัญญาคุณ
สมฺมา โดยชอบ
สํ ด้วยพระองค์เอง
พุทธ ทรงตรัสรู้
โดยใจความก็คือ ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ ด้วยมรรคญาณทั้ง ๔
ที่ประหารกิเลสด้วย พร้อมทั้งวาสนาด้วย คือความเคยชิน และ
มีพระสัพพัญญุตญาณ อันสามารถแทงตลอดหรือรู้เญยยธรรม
ทั้งสิ้น โดยไม่มีส่วนเหลือ โดยชอบด้วยพระองค์เอง
พระสารีบุตรแสดงไว้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระสยัมภู หาครูอาจารย์มิได้ ตรัสรู้ยิ่งซึ่งสัจจธรรม
ทั้งหลาย คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ด้วยพระองค์เอง
ในพระธรรมทั้งหลายซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน และบรรลุความ
เป็นผู้รู้ทั้งสิ้นในสัจจะทั้งหลายนั้นด้วย ถึงความเป็นผู้คล่องแคล่ว
ชำนาญในพระทศพลญาณนั้นด้วย จึงชื่อว่าพุทธะ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างถูกต้องในสังขตธรรมทั้งสิ้น ไม่มีสังขตธรรมใดเลย
ที่พระพุทธเจ้าจะไม่เข้าไปรู้ ที่พระญาณของพระพุทธเจ้าจะไม่แทงตลอด
สัมมา ศัพท์นี้แปลว่ารู้อย่างถูกต้อง
พระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกว่า เรารู้ยิ่งเองจะพึงอ้างใครเล่า
พระองค์ทรงตื่นเฉพาะแล้วโดยชอบ ด้วยพระองค์เอง ไม่ใช่บุคคลใดมาปลุก
ให้ตื่น บรรดาหมู่สัตว์ทั้งหลายหลับใหลด้วยอำนาจของกิเลสคือ ราคะ
โทสะ โมหะ ทำให้หมู่สัตว์หลับอยู่
พวกเราถูกกิเลสทับถมกลายเป็นผู้หลับอยู่ พระพุทธเจ้ามาปลุกเราให้ตื่น
คำว่าพุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
มหากิริยาญาณสัมปยุตต์
ตอนที่พระพุทธเจ้าอุบัติเกิดขึ้น ขณะจิตแรกที่เกิดขึ้นในครรภ์ของพระนางสิริมหามายา
พระองค์ปฏิสนธิด้วย มหาวิบากญาณสัมปยุตต์ โสมนัส อสังขาริก
ไม่ต้องอาศัยปัจจัยกระตุ้นเตือน เห็นอะไรแล้วปัญญาเกิดได้ง่าย เกิดสังเวคทันที
เห็นคนเกิด เห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บ เห็นคนตาย สะเทือนใจทันที
พวกเราเป็นมนุษย์ ก็ปฏิสนธิด้วยมหาวิบากดวงใดดวงหนึ่ง
พระสาวกที่เป็นพระอรหันต์ ก็สามารถใช้มหากิริยาญาณสัมปยุตตจิตดวงที่ ๑ ได้
แต่ไม่เรียกว่าพระสัพพัญญุตญาณ เพราะอสาธารณญาณ ๖ มีได้เฉพาะพระพุทธเจ้า
เท่านั้น
มหากิริยาญาณสัมปยุตต์ ที่เกิดขึ้นในกระแสขันธ์ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีพระคุณ มี
พระทศพลญาณเป็นต้น พระองค์ทรงมีความคล่องแคล่วในพระ
ญาณอย่างมาก ไม่ว่าจะทรงใช้พระญาณไหน
พระญาณเหล่านี้ มีพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น มีโยนิโสมนสิการ
คือ มโนทวาราวัชชนะที่เกิดก่อน เป็นปัจจัยทำให้กิริยาจิตเกิด
ชวนะของพระพุทธเจ้าเป็นกิริยา
ชวนะพวกเราเป็นกุศล อกุศล สลับ
พระสัพพัญญตญาณ
สำนวนกล่าว สัพพัญญุตญาณซึ่งประกอบไปด้วยโยนิโสมนสิการเป็นต้น
เป็นปัจจัย สำนวนที่กล่าวถึงผลแต่มุ่งให้หมายถึงเหตุ
ผลจริงๆ คือพระสัพพัญญุตญาณ
เหตุคือ จิตตุปบาทที่เกิดขึ้นก่อนพระสัพพัญญุตญาณ
จิตตุปบาท ที่เกิดขึ้นภายหลังพระสัพพัญญุตญาณ
พระสัพพัญญุตญาณ สามารถเกิดได้อย่างมากมาย ไม่ใช่เกิดวิถีเดียว
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมทั้งหลายได้ด้วยพระองค์เอง
ตอนที่พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ให้สังเกตว่า คนที่สั่งสมอัธยาศัย บ่มบารมีมาอย่างแรงกล้า
พอไปเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ก็เกิดสังเวคญาณ
เราได้ยินข่าวคนตาย รู้สึกสะเทือนใจหรือไม่ว่าหมู่สัตว์เหล่านี้จะต้องไปเจ็บปวดในสังสารวัฏ
แล้วรู้สึกสะเทือนใจหรือไม่ เกิดมาในอัตภาพนี้แล้วเสียหายมาก ไปตายก่อนยังไม่ได้ทำมรรคให้
เกิดขึ้น เราจะไม่เป็นบุคคลประมาทเหมือนบุคคลเช่นนี้ เราจะ
ขวนขวาย ทำมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
หากเราไม่มีสังเวคอย่างนี้บ่งบอกว่า อัธยาศัยที่จะน้อมออกจาก
สังสารวัฏยังไม่ถึง
พระพุทธเจ้าตรัสรู้สัจธรรมทั้ง ๔
คำว่าพุทธ สภาวะที่ตรัสรู้อริยสัจ ๔ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
เวลาจะมาวินิจฉัยการรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องรู้ได้ยาก
เวลาระลึกในพุทธคุณบทนี้
และบรรดาหมู่สัตว์ที่มีอัธยาศัยแตกต่างกันไป มีอนุสัยฝังแน่นอยู่
ในขันธสันดาน ออกจากกิเลสไม่ได้ พระญาณของพระพุทธเจ้าก็เคยตรวจ
สอบแล้ว และพระพุทธเจ้าเคยแสดงปาฏิหาริย์อย่างหลากหลาย กระตุ้นเตือน
หมู่สัตว์เหล่านี้ให้เข้าถึงกุศลความดีมาแล้ว พระสัพพัญญุตญาณของ
พระพุทธเจ้าเคยแทงตลอด เคยวิจัยกระแสชีวิตของหมูสัตว์ทั้งหลาย
ประชุมลงในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นหมดแล้ว ไม่มีอะไรมากีดขวาง
เมื่อเราไปสัมพันธ์กับกระแสชีวิตนี้ เราจะนึกถึงคำว่าสัมมาสัมพุทโธ โดยจะ
ทำปัญญาให้เกิดขึ้น แล้วจะชื่นใจว่าเราได้เข้าใจสัมมาสัมพุทโธแล้ว
๑. เห็นความแก่อ่อนของอินทรีย์ของหมู่สัตว์
#
๒. เห็นอัธยาศัยของหมู่สัตว์ที่จมอยู่กับกิเลสแต่ละตัว
๓. เราจะประชุมแยกแยะกระแสชีวิตนี้ลงอริยสัจ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
๔. เราจะเข้าใจสัมมาสัมพุทโธ และจะฝึกตนเองให้ตรัสรู้ เป็นพุทธตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้