You are on page 1of 153

Physics 207105

Thermodynamics-1
อุอณุ หพลศาสตร์
(Thermodynamics)-1
อุณหพลศาสตร์ คือ ศาสตร์ ทวี่ ่ าด้ วยการเปลีย่ นแปลงความร้ อน
เชิงมหภาคโดยอาศัยตัวแปรสถานะของระบบ เช่ น ปริมาตร (V)
อุณหภูมิ (T) และ ความดัน (P) เป็ นต้ น
อณ
ุ หภูมแิ ละความร้ อน
กฎข้ อทีศ่ ูนย์ ทางอุณหพลศาสตร์
การขยายตัวเชิงความร้ อน
อุณหภูมิ (Temperature : T)
อุณหภูมิ + - + - + - - +

• เป็ นปริ มาณที่สื่อให้เห็นว่า


- + - + - + - + -
- - + - + - + + -
-- + - + - + + -
-- + - + - + + -

วัตถุน้ นั ร้อน หรื อ เย็น เพียง


-- + - + - + + -
-- + - + + + -

ของแข็ง ของเหลว แก๊ส พลาสมา


ใด.
เพิ่ม อุณหภูมิ
ของแข็งและของเหลว จะประกอบด้วยอะตอม
จำนวนมากเชื่อมต่อกันด้วยระยะประมาณ 10-10 m
ด้วยแรงดึงดูดทางไฟฟ้ า. ในสถานะ
ของเหลว,แก๊สหรื อพลาสมา อะตอมหรื อ
โมเลกุล(รวมทั้งไอออน) จะมีการเคลื่อนที่แบบสุ่ ม
การว ัดอุณหภูม ิ หน่วยว ัดอุณหภูม ิ และเทอร์โมมิเตอร์
สเกลของอุณหภูม ิ (Temperature scales)

องศาฟาเรนไฮต์ (degree Fahrenheit : 0F)


นิยามจากช่วงอุณหภูมิที่สตั ว์เลี้ยงในฟาร์มจะดำรงชีวติ อยูไ่ ด้ดว้ ยตัวเอง (0 0F คือ เย็น
ที่สุด และ 100 0F คือ ร้อนที่สุด)
องศาเซลเซียสหรือเซลติเกรด (degree Celsius or Centigrade : 0C)
นิยามจากคุณสมบัติของคุณสมบัติของน้ำที่ผวิ โลก ณ ระดับน้ำทะเล (0 0C คือ
จุดเยือกแข็ง และ 100 0C คือ จุดเดือด) 0 0C  32 0 F
5 9
T (0 C )  T (0 F )  32  T (0 F )  T (0 C )  32 0 0 F  17.78 0C
9 5
เคลวิน (Kelvin : K)
นิยามจากจุดอุณหภูมิที่พลังงานระดับโมเลกุลมีค่าต่ำสุ ดซึ่งกำหนดเป็ นศูนย์องศา
สัมบูรณ์(Absolute zero) หรื อ 0 K  -273.150C
T ( K )  T ( 0 C )  273.15 T ( 0 C )  T ( K )  273.15
สเกล 1 K = 1 0C
สเกลของอุณหภูม ิ (Temperature scales)

t tF tC tK tx
สเกลของอุณหภูม ิ (Temperature scales)

t x  FP t F  32 tC  0 t K  273.15
  
BP  FP 212  32 100  0 373.15  273.15
t x  FP t F  32 tC t K  273.15
  
BP  FP 180 100 100

สำหรับ ตัวแปรอุณภูมิเคลวินนิยามเขียนด้วย T
t F  32 tC 100 5
จับคู่ C กับ F :
0 0  tC  t F  32  t F  32
180 100 180 9
tC T  273.15
จับคู่ C กับ K :
0  tC  T  273.15
100 100
เครือ
่ งว ัดอุณหภูม ิ :
เทอร์โมมิเตอร์ (Thermometer)
เทอร์ โมมิเตอร์ คือ อุปกรณ์ ทใี่ ช้ วดั อุณหภูมิ T โดยใช้ หลักการสมดุลทางความ
ร้ อน (Thermal equilibrium)
สมบัตขิ องเทอร์ โมมิเตอร์
• ความไวสู ง
• แม่ นยำ
• ผลิตง่ าย
• เข้ าสู่ สมดุลทางความร้ อนได้ เร็ว
“สสารทุกชนิด จะไม่ มีการถ่ายเทความร้ อนซึ่งกันและกัน เมื่อสสารเหล่ า
นั้นมีอณ
ุ หภูมิหรือระดับความร้ อนเท่ ากัน”
ชนิดของเทอร์ โมมิเตอร์
ตัวอย่ างชนิดของเทอร์ โมมิเตอร์
แบบของเหลวบรรจุในหลอดแก้วยาว แบบแก๊ สปริมาตรคงที่
ต ัวอย่าง : มาตรอุณหภูมฟ ิ าเรนไฮต์อ ันหนึง่ ซงึ่ มีจด
ุ เยือกแข็ง
และจุดเดือดของน้ำเป็น 32 และ 212oF ตามลำด ับ อ่านอุณหภูม ิ
ของน้ำในภาชนะใบหนึง่ ได้เท่าก ับ 122oF จงหาอุณหภูมข ิ องน้ำ
ในภาชนะใบนนเปั้ ็ นองศาเซลเซย ี สและเคลวิน

t x  FP t F  32 tC t K  273.15
  
BP  FP 180 100 100

5 5 
tC  (t F  32)  (122  32)  50 C
9 9

t K  tC  273.15  323.15K
กฎข้ อทีศ่ ูนย์ ทางอุณหพลศาสตร์
(The zeroth law of thermodynamics)
“ถ้าระบบสองระบบต่ างอย่ ใู นภาวะสมดุลทางความร้ อนกับระบบทีส่ ามแล้ ว
ระบบทัง้ สองนี้ต่างก็อย่ ใู นภาวะสมดลุ ทางความร้ อนซึ่งกันและกันด้ วย”

• ถ้าอุณหภูมิที่ A เท่ากับที่ C • อุณหภูมิที่ A จะเท่ากับที่ B


• และอุณหภูมิที่ C เท่ากับที่ B
ตัวกลาง (mediums)
ตัวกลางแอเดียแบติก (adiabatic medium; A; ) คือตัวกลางสมมติทไี่ ม่
ยอมให้ พลังงานความร้ อนผ่ านได้ เลย เช่ น ฉนวน
ตัวกลางไดอะเทอร์ มกิ (diathermic medium; D; ) คือตัวกลางสมมติที่
ยอมให้ พลังงานความร้ อนผ่ านได้ ดี เช่ น โลหะตัวนำ

A
S3
S1 D S2 D D
A
S1 S2

The zeroth law of thermodynamics


The zeroth law of thermodynamics

ระบบ 2 ระบบทีอ่ ย่ ใู นสมดุลความร้ อนย่ อมมีอณ


ุ หภูมิเท่ ากัน
หลักการเทอร์ โมมิเตอร์ : สมดุลความร้ อน(อุณหภูมเิ ท่ า
กัน)
• ถ้าเราวางวัตถุที่ร้อนให้สมั ผัสกับวัตถุที่เย็น
วัตถุที่ร้อนก็จะเย็นตัวลง และวัตถุที่เย็นก็จะ
ร้อนขึ้น
• ในที่สุดความร้อนก็จะไม่มีการถ่ายเทระหว่าง
วัตถุท้ งั สอง
• เรี ยกว่าวัตถุท้ งั สองอยูใ่ นสมดุลความร้อน
• หรื อ วัตถุท้ งั สองมีอุณหภูมิเท่ากัน
อุณหภูมิ
 คือ การวัดว่าวัตถุน้ นั มีความร้อน เย็น แค่ไหน
 การบอกระดับความร้อนจากการสัมผัสมีขอ้
จำกัด และในหลายกรณี ก่อให้เกิดความผิดพลาดได้
ง่าย
การขยายตัวเชิงความร้ อน (Thermal Expansion)
วัสดุส่วนใหญ่ ขยายตัวเมือ่ ได้ รับความร้ อน:
 ระยะห่ างระหว่ างอะตอมเพิม่ มากขึน้ เมือ่ อุณหภูมเิ พิม่ สู งขึน้
 การเปลีย่ นแปลงของอุณหภูมติ ้ องไม่ มากนัก (ไม่ มากพอทีจ่ ะทำให้ วสั ดุมกี าร
เปลีย่ นแปลงสถานะ)
การขยายตัวของสารจากความร้ อน (Thermal expansion)
โดยทัว่ ไปการขยายตัวตามเส้นจะแปรตามอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง t  t  t0
และผลของอุณหภูมิที่เปลี่ยนทำให้ขนาดของสารเปลี่ยนแปลง เช่นความยาว
เปลี่ยนไป l  l  l0 และจะได้วา่ l  l0 t
ดังนั้นสามารถเขียนได้ ว่า
การขยายตัวตามเส้ น l  l0 1  t  เมื่อ  คือ ส.ป.ส. การขยายตัวตามเส้น

การขยายตัวตามพืน้ ที่ A  A0 1  t  เมื่อ  คือ ส.ป.ส. การขยายตัวตามพื้นที่

การขยายตัวตามปริมาตร V  V0 1  t  เมื่อ  คือ ส.ป.ส. การขยายตัวตาม


ปริ มาตร
การขยายตัวของสารจากความร้ อน
ขยายตัวตามเส้ น ขยายตัวตามพืน้ ที่ ขยายตัวตามปริมาตร

L  L0 1  T  A  A0 (1  T ) V  V0 1  T 

โดยทัว่ ไป   2 และ   3
การขยายตัวของสารจากความร้ อน
ผลกระทบจากการขยายตัวเชิงความร้ อน
ตัวอย่ าง:
ง แท็งก์ เหล็กขนาดความจุ 70 ลิตร บรรจุน้ำมันไว้ จนเต็ม ถ้ าในวันหนึ่ง
อุณหภูมเิ ปลีย่ นแปลงจากเดิม 20 oC ไปเป็ น 35 oC. จะมีน้ำมันปริมาณเท่ าใดทีจ่ ะ
-6 -1 -6 -1
( = 950 x 10 C ) ( = 36 x 10 C )
ล้ นหกไป petrol steel

petrol 70 L
steel

สำหรับของเหลว การเปลีย่ นแปลงปริมาตร :


V  Vo (1   T )
 V T
V V o
 950  10 6  (70  103  10 6 )  (35  20 )
0

V   V  T  9.98  10  4 m3  0.998 L
0

สำหรับแท็งก์ โลหะ : 36
V  t V  T 0 V   0.998  0.038 L
t

V  p V  T 950
p 0

 0.998 0.038  0.960 litre เป็ นปริมาณน้ำมันทีล่ ้ นหกไป


การประยุ
การประยกุ ต์ ใช้ งาน
การขยายตัวของรู กลางวัตถุ
Physics 207105

Thermodynamics-2
อุอณุ หพลศาสตร์
(Thermodynamics)-2
พล ังงานความร้อน
ความร้อนและการถ่ายเทความร้อน
ความจุความร้อน และ ความจุความ
ร้อนจำเพาะ
การถ่ายเทความร้อน
พลังงานความร้ อน (Thermal Energy)
การทดลองของ จูล (James Pascott Joule; 1818–1889)
ให้ แนวคิด
สมมูลเชิงกลความร้ อน
(Mechanical equivalent of heat)
หรือ สมมูลของจูล (Joule’s equivalent)
นับว่ าเป็ นจุดทีส่ ำคัญทีเ่ ชื่อมระหว่ าง
ปริมาณความร้ อนเข้ ากับพลังงาน
ความร้ อนได้ เป็ นอย่ างดี
Mechanical equivalent of heat
ความร้ อนและการถ่ ายเทความร้ อน (Heat and heat transfer)
ความร้ อน (Heat) คือ รู ปหนึ่งของพลังงานที่ส่งผ่านเนื่องจากผลต่างระหว่างอุณหภูมิ
หน่ วยของความร้ อน
คาลอรี (calorie : cal) : 1 cal = ความร้อนที่ท ำให้น ้ำ 1 gm ณ 14.50Cมีอุณหภูมิ
สู งขึ้น 10C
BTU (British Thermal Unit) : 1 BTU = ความร้อนที่ท ำให้น ้ำ 1 pound มี
อุณหภูมิสูงขึ้น 1 0F (630F ไปเป็ น 640F)
ซึ่ ง 1 BTU  1055 จูล  251.996 cal (1 pound  0.4536
การทดลองของจู
kg) ล (Joule)
พลังงานกล พลังงานความร้อน
work J 1 cal = 4.186 J
ค่าสมมูลย์ความร้อนกล (J) = heat  4.18605 cal
ความจุความร้อนและความจุความร้อนจำเพาะ
(Heat capacity and specific heat capacity)
ความจุความร้ อน คือ ความร้อนที่เปลี่ยนแปลงต่ออุณหภูมิ :
Q
C
T
ทำให้เป็ นปริ มาณไม่ข้ ึนกับมวล (intensive variable) โดยการหารด้วยมวล
C 1 Q เรียกว่ า ความจุความร้ อนจำเพาะ
c 
m m T (specific heat capacity)
ในกรณี ที่หารด้วยจำนวนโมล n จะได้
1 Q เรียกว่ า ความจุความร้ อนจำเพาะเทียบกับโมล
c
n T (molar specific heat capacity)
cน้ำ  1.00
cal
ทั้งค่า C และ c จะไม่คงที่ โดยจะขึ้นกับอุณหภูมิ T g K
การวัดค่ าความจุความร้ อน
การหาค่าความจุความร้อนสามารถทำได้โดยใช้อุปกรณ์ที่เรี ยกว่า Calorimeter
ตัวอย่างความจุความร้อน
จำเพาะของของแข็งต่าง ๆ ฉนวน
กระป๋ อง
ขดลวดต้านทาน

ในกรณี ให้ความร้อนจากไฟฟ้ าจะได้วา่


พลังงานไฟฟ้ าที่ให้ = (mcT)ของเหลว+ (mcT)กระป๋ อง
โดยการชัง่ มวลและวัดอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง
จะสามารถหาค่าความจุความร้อนจำเพาะ c ได้
ต ัวอย่าง : ต้องเติมนมทีม่ อ
ี ณุ หภูม ิ 4oC ปริมาณเท่าใดลงใน
กาแฟ 0.25 kg ทีม ่ อ
ี ณ
ุ หภูม ิ 95oC เพือ่ ให้ได้อณ
ุ หภูมสิ ด
ุ ท้ายเป็น
70oC (ถ้าพิจารณาให้การเปลีย ่ นแปลงอุณหภูมข ิ องแก้วกาแฟมี
น้อยมาก)

วิธีทำ ให้
นม
ccoffee = cwater = cmilk
=4180 J/kg-C
กาแฟ
HLoss = HGain
ความร้อนของกาแฟทีล
่ ดลง = ความร้อนของนมทีเ่ พิม ้
่ ขึน
mc cc Tc  mm cm Tm
0.25  4180  (95  70)  mm  4180  (70  4)
mm  0.0095kg
mm  9.5 g
ต ัวอย่าง : เมือ ่ อ
่ ใสก ้ นอะลูมเิ นียมมวล 120 กร ัม ลงใน แคลอรี
มิเตอร์ ทีม ่ น ่ อ
ี ้ำ อุณหภูม ิ 20oC อยู่ 1.5 กิโลกร ัม ถ้าก่อนใสก ้ น
อะลูมเิ นียมมีอณ ุ หภูม ิ เท่าก ับ 205oC ให้หาว่าสุดท้ายแล้ว
อุณหภูมข ิ องน้ำจะเป็นเท่าใด กำหนด cAl = 900 J/kg.oC-1

วิธีทำ ก่ อนใส่ หลังใส่


205 oC 120 g

20 oC TF = ?
1.5 kg

HLoss = HGain
ความร้ อนของก้ อนอะลูมิเนียมทีล่ ดลง = ความร้ อนของน้ำทีเ่ พิม่ ขึน้
mAl c Al TAl  mwcw Tw
120  10 3  900  (205  TF )  1.5  4180  (TF  20)
 TF  23 C

NOTE: อุณหภูมขิ องน้ำ 3 oC


อุณหภูมขิ องก้ อนอลูมเิ นียม 182 oC
ความร้ อนแฝง (Latent heat; L)
ความร้ อนแฝง คือ ความร้อนที่ตอ้ งใช้ในการเปลี่ยนสถานะของสาร
• จากของแข็งเป็ นของเหลว : ความร้อนแฝงของการหลอม (Latent heat of fusion)
• จากของเหลวเป็ นแก๊ส : ความร้อนแฝงของการกลายเป็ นไอ (Latent heat of vaporization)
• ณ จุดที่เปลี่ยนสถานะอุณหภูมิคงที่ ความร้อนที่ให้จะไปใช้ในการเปลี่ยนสถานะ
แก๊ส (G)
ของเหลว (L)
(L)+(G)
(L)+(S)
ของเหลว (L)
ของแข็ง (S)

หลอมเหลว กลายเป็ นไอ(เดือด)


ความร้ อนแฝง (Latent heat; L)
นิยาม
ความร้อนแฝงของการหลอม Qm  mLm หรื อ Q f  mL f

ความร้อนแฝงของการกลายเป็ นไอ Qv  mLv

เมื่อ m คือ มวลของระบบ


Lf และ Lv คือ ความร้ อนแฝงจำเพาะ (specific latent heat) ของ
การหลอมเหลวและการกลายเป็ นไอตามลำดับ
ตัวอย่ าง สำหรับน้ำ L  79.7 cal/gm  334 J/gm
m
L  539 cal/gm  2260 J/gm
v
Graph of Ice to Steam

A=Warming Ice B=Melting Ice C=Warming Water


D=Boiling Water E=Heating Steam
ตัวอย่ าง : ใส่ ก้อนน้ำแข็งมวล 20 กรัม ทีม่ อี ุณหภูมิ 0oC ลงในกระป๋ อง
แคลอรีมเิ ตอร์ ทที่ ำจากทองแดง ทีม่ นี ้ำมวล 100 กรัม อุณหภูมิ 20 oC โดยที่
กระป๋ องแคลอรีมเิ ตอร์ มวล 500 กรัม ถ้ ากระป๋ องแคลอรีมเิ ตอร์ และ น้ำมี
อุณหภูมิ 8oC ตอนทีน่ ้ำแข็งละลายหมด จงหา Lf ของน้ำแข็ง
น้ำแข็ง
0 oC, 20 g
CW = 4180 J kg-1 oC-1
20 oC, 500 g

20 oC, 100 g Cc = 390 J kg-1 oC-1

HG = HL
HG ice  HG water (ice)  HL (cal)  HL water (cal)
LF  mi  mi ci Ti  mc cc Tc  mwcw Tw
( LF  20  103 )  [20  10 3  4180  (8  0)]  [0.5  390  (20  8)]  [ 0.1  4180  (20  8)]

 LF  3.34  105 J kg1


การถ่ ายเท (โอน) ความร้ อน (Heat transferring)
การถ่ ายเทความร้ อน
• การนำความร้ อน (conduction)
• การพาความร้ อน (convection)
• การแผ่ รังสี ความร้ อน (radiation)
การนำความร้ อน
adiabatic

T2
Q
T1
T1 > T2

Q T Q
 ค่าคงที่
 kA สถานะคงที่ (steady state) : t   t
t x
อัตราการส่ งผ่านความร้อนไม่เปลี่ยนตามเวลา
การนำความร้ อน
T
Temperature gradient = x ที่ steady state : Q
 คงที่ หรื อ
dQ
 คงที่
t dt
Q T dQ dT
กล่าวคือ α Aα หรื อ α Aα
t x dt dx
dQ dT T2
ดังนั้น dt
 kA
dx T1
Q
เรี ยก dQ T1 > T2
H ว่ าเป็ นอัตราการถ่ ายเทปริมาณ
dt
ความร้ อน (Rate of heat flow หรือ Heat current)
dT
นัน่ คือ H  kA กฎการนำความร้ อนของฟูเรียร์ (Fourier’s heat conduction law)
dx

เมือ่ ค่ าคงที่ k คือ ส.ป.ส. การนำความร้ อน(สภาพนำความร้ อน): Watt/m.K


การนำความร้ อน
สำหรับแท่งวัตถุพ้ืนที่หน้าตัด A ยาว L ขณะที่ปลายร้อนเป็ น T1 ส่ วนที่
ปลายเย็นเป็ น T2 ที่ steady state จะคำนวณ H ได้ดงั นี้
dT
H   kA Hdx  kAdT
dx
L T2

ดังนั้น  Hdx    kAdT เมื่อ H มีค่าคงที่เนื่องจาก steady state


0 T 1

ได้ HL   kAT2  T1  Q
T1 T2
kA kA
H   T2  T1    Tcold  Thot 
L L L
T1 > T2
การนำความร้ อน
ผนังประกอบ (compound wall)
รอยต่ออุณหภูมิ
ที่ steady state : H คงที่ Tx
k1 A1
สำหรับ L1 : H   L T1  Tx 
1
k 2 A2
สำหรับ L2 : H  
L2
Tx  T2  H
AT1  T2 
ถ้า A1 = A2 = A ได้ H 
L1 L2 x T2 > T1

k1 k 2
A T2  T1  A Thot  Tcold 
H 
รู ปแบบทัว่ ไปสำหรับหลายผนังประกอบ คือ k
Li
k
Li
i i
การนำความร้ อน
ทรงกระบอกกลวง
ภายใน : รัศมี r1, อุณหภูมิ T1
ภายนอก:รัศมี r2, อุณหภูมิ T2
โดย T1 > T2
L
dT
ที่รัศมี r ใด ๆ ในโลหะ H   kA
dx
 คงที่ , steady state

พื้นที่ที่ส่งผ่านความร้อน ณ ที่ r ใด ๆ คือ A = 2 r L


dT r2
ดังนั้น H   k 2 rL  H ln  2 kLT2  T1 
dr r 1
r  r2 T2
dr 2 kL T1  T2  2 kL Thot  Tcold 
 H   k 2 L dT
 H 
r r1
r T1
ln  r2 r1  ln  r2 r1 
การพาความร้ อน
การพาความร้ อน เป็ นกระบวนการถ่ ายโอนพลังงานความร้ อนผ่ านของไหล
- การพาอย่ างอิสระ (natural/free convection)
- การพาอย่ างไม่ อสิ ระ (forced convection)
ทั้งสองลักษณะขึน้ กับ
1. รู ปลักษณะผิววัตถุ
2. ผิววัตถุอยูแ่ นวดิ่งหรื อราบ
3. ตัวกลางที่พาความร้อน(เหลวหรื อแข็ง)
4. ความหนาแน่น ความหนืด ความร้อนจำเพาะ
สภาพนำความร้อนของตัวกลาง
5. ตัวกลางเคลื่อนที่แบบสม่ำเสมอหรื อวกวน
6. ขณะพาความร้อน ตัวกลางเปลี่ยนสถานะหรื อไม่
การพาความร้ อน
การระเหย
เป็ นการพาความร้อนในลักษณะหนึ่ง
น้ำ จะต้ องใช้ พลังงานในการระเหย = 241 J/gm ที่ 37 0C
ตัวอย่ าง ผิวหนังและปอดของมนุษย์ จะระเหยน้ำประมาณ 600 gm/วัน คำนวณหา
อัตราความร้ อนทีส่ ู ญเสี ย
วิธีทำ ในการระเหย น้ำ 1 gm จะใช้พลังงาน 241 J
น้ำ 600 gm จะใช้พลังงานในการระเหย = 1.45105 J
Q 1.45 105 J ตอบ
H   1.7  1.7 Watt
t 24  60  60 s
*เมตาบอริ ซึมคนปกติ  120 Watt ดังนั้น น้ำระเหย 600 gm/วัน  1% metabolism
การแผ่ รังสี ความร้ อน
EMW: คลื่นวิทยุ-โทรทัศน์, microwave, infrared, light, UV, X-ray, gamma
กำหนดให้ อัตราการแผ่รังสี = Re (e : emission , ปลดปล่อย)
และ R  A เมื่อ A = พื้นที่ผวิ ของวัตถุ
 Te4 Te = อุณหภูมิของวัตถุ : เคลวิน
4
เขียน Re   ATe กฏของสเตฟาน-โบลต์ ซมานน์
เมื่อ
 = Stefan-Boltzmann constant
= 5.6710-8 W/m2-K4
 = สภาพเปล่งรังสี (emissitivity) ;
มีค่า 0 ถึง 1
= ความสามารถในการแผ่รังสี ของวัตถุ
การแผ่ รังสี ความร้ อน
วัตถุต้ งั ในสิ่ งแวดล้อมอุณหภูมิ Ta วัตถุจะดูดกลืนรังสี จากสิ่ งแวดล้อม
4
Ra   AT a
(a : absorption , ดูดกลืน)
 : (0-1)
เมื่อ Ra = อัตราการดูดกลืนรังสี ของวัตถุ
Ta = อุณหภูมิสิ่งแวดล้อม, เคลวิน, Te = อุณหภูมิของวัตถุ : เคลวิน
ถ้า Te > Ta อุณหภูมวิ ตั ถุลดลง , Re > Ra
Te < Ta อุณหภูมวิ ตั ถุเพิม่ ขึน้ , Re < Ra
ปริ มาณสุ ทธิที่วตั ถุได้รับพลังงาน
R = Re - Ra R เป็ นลบ อุณหภูมิของวัตถุจะเพิ่ม ดูด
R เป็ นบวก อุณหภูมิของวัตถุจะลด แผ่
ต ัวอย่าง : จงหา Q ทีท
่ ำให้น้ำแข็ง 250 g ที่ 00C กลาย
เป็นน้ำหมดและสุดท้ายน้ำ 10 g เดือดกลายเป็นไอ
(กำหนด cน้ำ = 4.2 kJ/kg-K, Lm=334 kJ/kg,
Lv=2260 kJ/kg)

วิธีทำ
น้ำแข็ง  น้ำที่ 00C: Q1  mLm =  0.25 kg  × 334 kJ/kg   83.5 kJ

น้ำที่ 00C  น้ำ 1000C: Q 2  mcT  (0.25kg )  (4.2kJ / Kg  K )  100 K  105kJ

น้ำ 10 g  ไอน้ำ 1000C : Q3  mLv   0.01kg  ×  2260 kJ/kg  = 22.6 kJ

ดังนั้น ความร้อนทั้งหมดที่ตอ้ งใช้ เท่ากับ 83.5 kJ + 105 kJ + 22.6 kJ = 211.1 kJ


ตัวอย่ าง : แผ่นทองเหลือง 2 แผ่น แต่ละแผ่นมีความหนา 0.5 cm ระหว่างแผ่น
ทั้งสองมีแผ่นยางวางกั้นอยูเ่ ป็ นแซนวิชหนา 0.1 cm ผิวนอกของแผ่นหนึ่งมี
อุณหภูมิ 00C และผิวนอกของอีกแผ่นมีอุณหภูมิ 1000C จงหาค่ าอุณหภูมทิ ผี่ วิ ทั้ง
ยาง ่ถูกประกบอยูโ่ ดยสมมติให้การถ่ายเทความร้อนเป็ นแบบมิติ
สองของแผ่ นยางที
เดียว สภาวะคงตัว และ ขนาดพื้นที่หน้าตัดขวางของแผ่นทองเหลืองและยางมี
ค่าเท่ากัน (กำหนดให้ สภาพการนำความร้ อนของทองเหลืองมีค่า 490 เท่ าของ
สภาพนำความร้ อนของแผ่ นยาง)

0.5cm 0.5cm

1000C 00C
ยาง
ทองเหลือง
0.1cm
วิธีทำ กำหนดที่ผวิ แผ่นยางทั้งสองด้านมีอุณหภูมิ T1 และ T2

ณ ที่สภาวะคงที่ ความร้อนที่ถ่ายเทระหว่างชั้นของวัสดุจะมีค่าเท่ากัน (ความร้อนขา


เข้าจะเท่ากับความร้อนขาออก) ดังนั้น
T1 T 2 (T1  100)
H  kbrass A ...............(1)
0.50
(T2  T1 ) kbrass
100C 0 C H  k rubber A
0.10
...............( 2)
krubber
 490

(0  T2 )
H  kbrass A ...............(3)
0.50

จาก 1 และ 2 จะได้ 99T1  T2  9800 และ จาก 2 และ 3 จะได้ 99T2  T1  0

จากการแก้สมการจะได้วา่ T1  990 C T2  10 C ตอบ


Physics 207105

Thermodynamics-3
อณุ หพลศาสตร์
(Thermodynamics)-3

กฎเกีย
่ วก ับแก๊ส
และทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
กฎเกีย
่ วก ับแก๊สและทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
(Gas law and kinetic theory of gas)
นิยามของแก๊ สอุดมคติ
• แก๊สที่ประกอบด้วยจำนวนโมเลกุลจำนวนมาก (>1026 ตัวต่อลบ. เมตร)โดยที่
โมเลกุลเหล่านั้นมีการเคลื่อนที่แบบสุ่ ม ตามลักษณะที่เรี ยกว่าแบบบราวน์ (Brownian
motion) และความเร็ วต่างๆ กันไป
• ขนาดของแต่ละโมเลกุลซึ่งมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับระยะห่างระหว่างโมเลกุล
• โมเลกุลเหล่านั้นประพฤติตวั ตามกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน โดยที่ไม่มีแรงกระทำ
ระหว่างโมเลกุล ยกเว้นเมื่อเกิดการชนกันของโมเลกุลเท่านั้น
• การชนกันระหว่างโมเลกุลนั้น เป็ นการชนแบบยืดหยุน่ คือ ไม่มีการสูญเสี ย
พลังงานเลย มีการอนุรักษ์ท้ งั พลังงานจลน์และโมเมนตัม
• สำหรับระบบที่ประกอบด้วยแก๊สบริ สุทธิ์ ชนิดหนึ่ง ย่อมแสดงว่าโมเลกุลของแก๊สดัง
กล่าวต่างคล้ายกัน
Brownian Motion
กฎเกีย่ วกับแก๊ สและทฤษฎีจลน์ ของแก๊ ส
กฎของแก๊สอุดมคติ (Ideal gas law)
สมการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ(สถานะ)ของระบบ P,V, T
และ n (สมการสถานะ,equation of state) ของแก๊สอุดมคติ
1
กฎของบอยล์ (Boyle’s law) : V α
P
; T , n  constant

กฎของชารลส์ (Charles’s law) : V α T ; P, n  constant

กฎของเกย์ -ลุคแซค (Gay-Lussac’s law) : P α T ; V , n  constant

กฎของอาร์ โวกาโดร (Avogadro’s law) : V α n ; T , P  constant

n คือ จำนวนโมลของสาร และ T เป็ นอุณหภูมหิ น่ วย K


กฎของบอยล์
PV  ค่าคงที่
หรื อ PV  P V  P V  
1 1 1 1 2 2 3 3
V α  P α ; T , n  constant
P V

กราฟ ไฮเปอร์โบลาของ P กับ V


กฎของชารลส์
V α T ; เมื่อ P, n  constant
V
 constant
T
V1 V2 V3 VN
  
T1 T2 T3 TN

อุณหภูมิ T ยิง่ สู ง
แก๊ สยิง่ มีปริมาตร V สู ง
กฎของเกย์ -ลุคแซค
P α T ; เมื่อ V , n  constant
1 atm 2 atm 4 atm
P
 cons tan t
T
V V V

T1 < T2 < T3
Heat
กฎของอาโวกาโดร์ (Avogadro's Law)
V α n; เมื่อ P, T  constant

V
n
22.4
ทีอ่ ณ
ุ หภูมิ T และความดัน P คงที่ ปริมาตร V จะแปรผันตามจำนวนโมล n ของแก๊ ส
STP (Standard temperature and pressure :
อุอณุ หภู
หภมู แิ ละความดันมาตรฐาน)
ปริ มาตรต่อโมลของแก๊สที่ STP

ที่ STP (1 atm, 25 0C) แก๊ส 1 โมล จะมีปริ มาตรประมาณ 22.4 ลิตร (103 cm3)
กฎของแก๊ สอุดมคติ (Ideal gas’s law)
รวม PV  nRT สมการแก๊สอุดมคติ
เมื่อ R = universal gas constant
= 8.31 J/K-mole (ค่าคงที่แก๊สสากล)
ถ้าให้ N = จำนวนโมเลกุลของแก๊ส
NA = Avogadro’s number
= 6.021023 อนุภาค/โมล
เนื่องจากจำนวนโมล n = N/NA
N
ดังนั้น PV 
N
RT  NkT
A

PV
เมื ่ อ k = R / NA
 constant
Tn = ค่าคงที่โบลทซ์มานน์ = 1.3810-23J/K
หน่ วยของความดัน
หน่วยมาตรฐานต่าง ๆ ของความดันและการแปลงหน่วย
ต ัวอย่าง : O2 ในถ ังมี V = 40 dm3 เดิมมี P = 20 atm และ T =
270C ต่อมาแก๊สรว่ ั จนเหลือความด ัน 4 atm และมีอณ ุ หภูม ิ 200C
จงหาแก๊สรว่ ั ไปกีกิ่ โิ ลกร ัม (กำหนดให้มวลโมเลกุ
ก มวลโมเลกุลของ O2 = 32
และ T(K)  T(0C)+273 )
P1  20  1.013  105 Pa P2  4.0 1.013 105 Pa
วิธีทำ
T1  273  27  300 K T2  273  20  293K
V1  V2  40  103 m3
จาก PV  nRT

n1 
PV
1 1

 20  1.013  10 5
N/m 2
 40  10 3
m 3
  32.51mol
RT1 8.31J/mol- K 300 K 
PV
n2  2 2 
 
4.0 1.013 105 N/m 2 40 103 m3   6.66 mol
RT2 8.31J/mol- K  293K  g
n
ดังนั้นแก๊สรั่วไป n1 - n2 = 32.51 - 6.66 = 25.85 mol M
หรื อแก๊สรั่วไปเท่ากับ (25.85 mol)(32 g/mol) = 827g = 0.827 kg ตอบ
กฎของดาลตันสำหรับความดันย่ อย
(Dalton’s law of partial pressure)
“สำหรั บแก๊ สผสม ความดันของแก๊ สแต่ ละชนิดขึน้ กับจำนวนโมเลกุลของแก๊ สชนิดนั้น”

สมมุติ แก๊ส 3 ชนิดมีจ ำนวนโมเลกุล N1, N2 และ N3 ตามลำดับแล้วผสมกัน


ได้แก๊สรวมที่มีจ ำนวนโมเลกุล N (แก๊สไม่มีปฏิกิริยาต่อกัน)
N = N 1 + N2 + N3
N R
จาก PV  nRT หรื อ PV  NkT เมื่อ n  ,k 
NA NA
ได้ PV  N1  N 2  N 3  kT
N1kT N 2 kT N 3 kT
P  
V V V
P  P1  P2  P3 ความดันร่ วม = ความดันย่ อยบวกกัน
กฎความดันย่ อยของดาลตัน

ความดันของแก๊สแต่ละชนิดจะเป็ นสัดส่ วนกับจำนวนโมล ของแก๊ส ความดันรวม


ทั้งหมดจะเป็ นผลรวมของความดันของแก๊สแต่ละชนิด
Pαn P   Pi
i
กฎความดันย่ อยของดาลตัน
• สำหรับแก๊สผสมในภาชนะเดียวกันที่อุอณุ หภูมิ T เดียวกัน แก๊สทุกชนิดจะมี
ปริมาตร V เท่ ากัน
• และจากกฎความดันย่อย P = P1 + P2 + P3 + …
• จากสมการของแก๊สอุดมคติ PV = nRT  P = nRT/V
• จะได้วา่ P1V  n1RT , P2V  n2 RT , P3V  n3 RT , ...
P1V n1 RT P2V n2 RT P3V n3 RT
 ,  ,  , ...
PV nRT PV nRT PV nRT
 ni 
ดังนั้น Pi   n  P  xP
 
นิยาม เศษส่ วนโมล (mole faction) x ของแก๊สใด ๆ หมายถึง อัตราส่ วนของโมล
ของแก๊สชนิดนั้นเทียบกับจำนวนโมลทั้งหมดของแก๊สผสม
ตัวอย่ างกฎความดันย่ อย
ตัวอย่ าง : ถัง A บรรจุ O2 ความดัน 1 atm ถัง B บรรจุ H2 ความดัน 2 atm และถัง C
บรรจุ N2 ความดัน 3 atm เมือ่ นำถังแก๊ สทั้งสามถังมาต่ อเข้ าด้ วยกัน ความดันรวมจะเป็ น
เท่ าใด ถ้ าปริมาตร A = 2 litre , B = 3 litre และ C = 5 litre (ในการผสมอุณหภูมคิ งที)่
วิธีทำ PV  nRT
วิธีที่ 1 คิดในรู ปแบบ โมล (n) การผสมเป็ นระบบปิ ด
จำนวนโมเลกุลหลังผสม = ก่อนผสม n = nA + nB + nC
PAVA
ถัง A, n A  RT และเมื่อรวมกันแล้ว
A
PBVB V  VA  VB  VC
ถัง B, nB 
RTB และจำนวนโมลรวม
PV PV
n
ถัง C, nC  C C
RTC RT
PV PAVA PBVB PCVC P VA  VB  VC 
n = nA + nB + nC แทนค่า    
RT RTA RTB RTC RT

เนื่องจากอุณหภูมิคงที่ T = TA = TB = TC
PAVA  PBVB  PCVC
P
ได้ VA  VB  VC
(1)(2)  (2)(3)  (3)(5)

235
 2.3atm ตอบ

วิธีที่ 2 คิดในรู ปแบบความดัน (P) ใช้กฎของดาลตัน P = PA + PB + PC


ก่อนผสม ถัง A, PAVA  nA RTA และเมื่อผสมกัน
ถัง B, PBVB  nB RTB V  VA  VB  VC
ถัง C, PCVC  nC RTC
สมมุติ ความดันของแก๊สแต่ละชนิดเป็ น
PA, PB, และ PC ตามลำดับ

หลังผสม ถัง A, PAV  n A RT

PBV  nB RT
เมื่อ T คือ อุณหภูมิของการผสม
ถัง B,
และ T = TA = TB = TC
ถัง C, PCV  nC RT
nB RT nC RT
ดังนั้น 
PA 
n A RT
, 
PB  , 
PC  โดยที่
V V V
V  VA  VB  VC
  
P  PA  PB  PC n = nA + nB + nC
PAVA  PBVB  PCVC
P  2.3 atm ตอบ
VA  VB  VC
ความสำคัญของความดันย่ อย
บริเวณทีส่ ู งกว่ าระดับน้ำทะเลมาก ๆ ความดันย่ อยของ O2 จะมีค่าน้ อย
กว่ า 40 torr การหายใจจะติดขัด
บริเวณทีล่ กึ ลงไปใต้ ทะเลถ้ าความดันย่ อยของ O2 มากกว่ าหรือเท่ ากับ 2
บรรยากาศจะทำให้ เกิดอาการชักหรือโคม่ าได้
ถ้ าความดันย่ อยของ N2 มากกว่ าหรือเท่ ากับ 3.9 บรรยากาศจะทำให้ แก๊ ส
ไนโตรเจนเป็ นพิษ (Nitrogen narcosis) ทำให้ เกิดอาการมึนงงไม่ มสี ติ
ดังนั้นในการดำน้ำลึก ถังอากาศจะผสมระหว่ าง He 97% กับ O2 3%
แทนการใช้ N2 และหัวควบคุมแก๊สจะปรับให้ แก๊สทีใ่ ช้ หายใจมีความดัน
เท่ ากับความดันสมบูรณ์ ทกี่ ดตัวนักดำน้ำเสมอ
บทสรุปกฎของแก๊ ส

Increase P Increase V Increase V Pαn

T,n คงที่
P   Pi
P,n คงที่ T,P คงที่ i
ทฤษฎีจลน์ ของแก๊ ส (Kinetic theory of gas)
“เป็ นการศึกษาการเคลือ่ นทีข่ องแต่ ละโมเลกุล”
แบบจำลองของแก๊ สอุดมคติ
1. เป็ นทรงกลมขนาดเล็ก
2. เคลื่อนที่ตลอดเวลาแบบสุ่ ม
แบบ Brownian motionโดยมีทิศทางและ
ความเร็ วต่างกัน
3. การชนกันระหว่างโมเลกุลเป็ นแบบ
ยืดหยุน่ สมบูรณ์ (KEก่อน = KEหลัง)
4. หลังจากการชน ขนาดของความเร็ วเท่าเดิม
5. ใช้กฎความดันและกฎของนิวตันในการอธิบาย
ความดันของแก๊ สอุดมคติ
Force F
Pressure  
area A
 
การเปลี่ยนแปลงโมเมนตัม p
F  แรงดล  
เวลาที่เกิดการชน t
 
การดล  p  Ft

การเปลี่ยนแปลงโมเมนตัม(แกน x)
p  p2  p1   mv   mv 
p  2mv
กฎการเคลื่อนที่ขอ้ สองของนิวตัน F=ma
 
p v
แรงที่ท ำต่อผนัง Fext  m
t t
ความดันของแก๊ สอุดมคติ
 2mv
ดังนั้น หากพิจารณาเฉพาะขนาด; Fext 
t ผนงั
กำหนดให้ FW = แรงที่โมเลกุลกระทำต่อผนัง A
 
กฎการเคลื่อนที่ขอ้ ที่ 3 ของนิวตัน FW   Fext 6 ทิศทาง
2mv
ได้ FW 
t d = vt
โมเลกุลที่วงิ่ ชนผนังบนพื้นที่ A ต้องอยูใ่ นปริ มาตร V = Ad
N
ถ้าสมมุติใน V มีโมเลกุลทั้งหมด N ตัวและกำหนด 
V
; number density

จะได้ N  V  Ad  Av t แต่โมเลกุลมีโอกาสเคลื่อนที่ 6 ทิศทาง


ความดันของแก๊ สอุดมคติ
 จำนวนโมเลกุลที่เข้าชนผนัง = N/6 และแรงลัพธ์ที่กระทำต่อผนัง = F
N 1  2mv  1
F   FW   Av t    Amv
2

6 6  t  3
อัตราเร็วกำลังสองเฉลีย่
F 1 1 N
หรื อ   mv 2 และ P  m v 2 โดยที่ 
V
; number density
A 3 3
แต่ v ของแต่ละโมเลกุลไม่เท่ากันดังนั้น v ที่ใช้ตอ้ งเป็ นตัวแทน (vrms) จาก
รากที่สองของกำลังสองเฉลี่ยของความเร็ ว (root mean square velocity) คือ
1
1 2 3  3kT 
ได้วา่
2
เทียบ vrms  v 2
KE  mv
2
และ KE  kT
2 vrms   
 m 
2 nRT
ดังนั้น ความดัน P   KE
3 แต่ P
V
และ  = N/V ; N = nNA ; k = R/NA
แก๊ สโมเลกุลอะตอมเดีย่ ว
ตัวอย่ างแก๊ สทีม่ กั พบได้ เช่ น He, Ne, Ar เป็ นต้ น จะเห็นได้ ว่าสมบัตเิ ชิงกล และ สมบัตเิ ชิง
ความร้ อนมีความสั มพันธ์ กนั คือ KE α T
3
จาก KE  kT แสดงว่า ถ้า T = 0 K ความเร็ ว v จะมีขนาดเป็ น 0
2
3 อย่างไรก็ตาม “ในเอกภพ เราไม่ มศี ูนย์ เคลวิน”
สมการ KE  kT
2 ใช้อธิบายได้เฉพาะแก๊สอะตอมเดี่ยว
โมเลกุลของแก๊สมีลกั ษณะเป็ นจุด
 คิดเฉพาะการเลื่อนที่ (translation
motion) 3 แกน คือ แกน x, y และ z
เรี ยกว่ามีองศาความเป็ นอิสระ (degree of
freedom: D) เป็ น 3
1
แต่ละองศาความเป็ นอิสระมีพลังงาน = 2 kT
แก๊สโมเลกุ
โมเลกลุ อะตอมคู
อะตอมค่ ู
สำหรับแก๊สโมเลกุลคู่ (diatomic gas) เช่น H2 : จะมีรูปร่ างคล้าย dumbbell
การเคลื่อนที่จะมี 3 ลักษณะ
1 . การเลื่อนที่ : Translation motion (3 แนว)
2. การหมุน : Rotation motion (2 แนว)
3. การสัน่ : Vibration motion (2 แนว)

7
ดังนั้น degree of freedom = 7 KE 
2
kT
แก๊สโมเลกุ
โมเลกลุ อะตอมคู
อะตอมค่ ู
D
ดังนั้นโมเลกุลที่มี degree of freedom = D จะมี KE  kT
2
ถ้าระบบมี N โมเลกุล KE รวม เรี ยกว่า พลังงานภายในของระบบ = U
D D
นัน่ คือ U  N KE  kTN หรื อ U  nRT
2 2
แสดงว่าถ้า T = คงที่  T = 0 ดังนั้น U คงที่ดว้ ย  U = 0
ในความเป็ นจริ ง โมเลกุลอะตอมคู่ทวั่ ในอาจจะไม่ มกี ารเคลือ่ นในบางลักษณะ
เช่ น การสั่ น (ยกเว้ นอณ
ุ หภูมิจะสูงมาก ๆ)
ดังนั้น ในทางปฏิบตั ิ diatomic molecule ที่เป็ นแก๊ส 1 โมเลกุล จะมี D = 5
5 5
จึงได้ KE  kT
2
หรื อ U  RT
2
ุ มคติและสมการวานเดอวาลส ์
แก๊สไม่อด
(Imperfect gases and Van der Walls’ equation)

กฎของแก๊สอุดมคติ (Ideal gas law) n คือ จำนวนโมล


m เมื่อ m คือ มวลของสาร
PV  nRT  RT
M M คือ มวลของสารจำนวน 1 โมล (มวลโมเลกุล)
PV
เพื่อทดสอบแก๊สจริ ง เขียนสมการแก๊สอุดมคติใหม่ nT
R

การทดลอง ทำการวัดค่านิจของแก๊ส R ของแก๊สต่าง ๆ เทียบกับความดัน P

*** สมการแก๊ สอุดมคติใช้ ได้ ที่ P ต่ำ ๆ เท่ านั้น


ตัวอย่ าง : กำหนดให้ มวลโมลาร์ ของอาร์ กอนเท่ ากับ 39.9 g/mol จงคำนวณหาปริมาณ
ต่ อไปนีส้ ำหรับระบบก๊าซอาร์ กอนระบบหนึ่ง ซึ่งมี 2 โมล ณ อุณหภูมิ 27C จงหา
1. พลังงานจลน์ โมเลกุลเฉลีย่
2. พลังงานภายในของก๊าซอาร์ กอนระบบนี้

กำหนดเงือ่ นไข : ก๊ าซอาร์ กอนเป็ นก๊าซอะตอมเดีย่ ว, D เป็ น 3 ได้ ว่า


3 3
1.Ek  kT  (1.38  1023 )  300  6.21  1021 J
2 2

3
2.U  NkT  N KE  nN a KE  2  (6.02  1023 )  (6.21  1021 )
2
U  7.48  103 J  7.48kJ
ตัวอย่ าง : ค่ าอัตราเร็วรากทีส่ องเฉลีย่ ของโมเลกุลไฮโดรเจน ณ อุณหภูมิ
300 เคลวินเป็ นเท่ าใด กำหนดมวลของโมเลกุลไฮโดรเจน 1.67 x 10-27 kg
กำหนดเงือ่ นไข : ก๊ าซไฮโดรเจนเป็ นก๊าซโมเลกลุ อะตอมค่ ู คำนวณจาก
1
 3kT  2
vrms  
 m 
มวลของโมเลกุลก๊ าซไฮโดรเจน (m) = 2 x (1.67 x 10-27) kg
ดังนั้น  3  (1.38  10 23 )  300 
1
2
vrms   27

 2  (1.67  10 ) 
vrms  1928m / s
คำถาม : จงหา vrms ของโมเลกุลของแก๊ส He ทีอ่ ุณหภูมิ 300 K

วิธีท ำ
3kT 3RT
สำหรับแก๊สอะตอมเดี่ยวเราทราบว่า vrms  
m M

เมื่อ m = มวลของ 1 อะตอม แต่ M = มวลโมเลกุล ซึ่ ง MHe = 2 g/mol

3RT 3 8.31J/K- mol 300 K 


แทนค่า vrms 
M
 3
2  10 kg/mol
 1933.8 m/s

ตอบ
Ludwig Boltzmann
• 1844 – 1906
• Austrian physicist
• Contributed to
– Kinetic Theory of
Gases
– Electromagnetism
– Thermodynamics
• Pioneer in statistical
mechanics
Physics 207105

Thermodynamics-4
อณุ หพลศาสตร์
(Thermodynamics)-4
ระบบ
งานและพล ังงานความร้อน
กฎอนุร ักษ์พล ังงาน
พล ังงานและกฎข้อทีห ่ นึง่ ของ
อุณหพลศาสตร์
กระบวนการ
ระบบ (System)
ระบบ ทางอุณหพลศาสตร์ คือ สิ่ งใด ๆ ที่พิจารณาและมีขอบเขตที่แน่ชดั อธิบายได้
ด้วยตัวแปรสถานะ เช่น ความดัน ปริ มาตร อุณหภูมิ ฯลฯ สิ่ งที่อยูน่ อกระบบเรี ยกว่า
สิ่ งแวดล้อม (surrounding) ระบบแบ่งได้ดงั นี้
• ระบบโดดเดีย่ ว (isolated system) : ไม่มีการ
แลกเปลี่ยนมวลและพลังงานกับสิ่ งแวดล้อม
• ระบบปิ ด (closed system) : พลังงานแลก
เปลี่ยนกับสิ่ งแวดล้อมได้แต่มวลสารคงที่
• ระบบเปิ ด (opened system) : ทั้งมวลสารและ
พลังงานแลกเปลี่ยนกับสิ่ งแวดล้อมได้
กำหนดสถานะของระบบโดยใช้ตวั แปรสถานะในภาวะสมดุลเชิงความร้อน
ตัวแปรสถานะของระบบ (State variable)
ตัวแปรสถานะของระบบ
• คุณสมบัติที่สงั เกตได้ในทางอุณหพลศาสตร์
• มวล (m) ความดัน (P) อุณหภูมิ(T) ปริ มาตร (V) ความหนาแน่น ()
• แบ่งออกเป็ น 2 ประเภทเชิงปริ มาณ คือ
-ทีไ่ ม่ แปรตามมวล (Intensive variable) : คุณสมบัติไม่ข้ ึนกับขนาด
มวลสาร เช่น ความดัน อุณหภูมิ และความหนาแน่น เป็ นต้น
-ทีแ่ ปรตามมวล (Extensive variable) : คุณสมบัติข้ ึนกับขนาดมวลสาร
เช่น มวล น้ำหนัก ปริ มาตร และพลังงาน เป็ นต้น
หารด้ว ยขนาดมวลสาร ตัวแปรไม่แปรตามมวล
ตัวแปรที่แปรตามมวล
เช่น ปริ มาตรจำเพาะ
งานในทางอุณหพลศาสตร์
• งาน คือ กลไกการส่ งพลังงานทีส่ ำคัญในระบบ
อุณหพลวัตร เช่ นเดียวกับความร้ อน Ady = dV
• ตัวอย่ าง : แก๊ สในกระบอกสู บมีปริมาตร V และมี
ความดัน P กระทำต่ อผนังกระบอกสู บและลูกสู บ
กำลังขยายตัวจาก (a) เป็ น (b)
• สมมติการขยายตัว(หรือการอัด)จะเป็ นไปอย่ าง
ช้ า ๆ ซึ่งเพียงพอทีจ่ ะทำให้ ทุกจุดของระบบอยู่ใน
ภาวะสมดุลเชิงความร้ อนโดยตลอด(quasi-
equilibrium) จะหางานได้ จาก
 
dW  F  dy  F cos  dy
 PAdy  PdV
หรื อ W  PV
เครื่องหมายของงานทีแ่ ก๊สกระทำต่ อระบบ
W  PV
• ทิศทางของความดัน P จะพุง่ เข้าหา (ตั้งฉาก) ขอบเขตระบบจากด้านในเสมอ
• แก๊ สถูกอัด V < 0 (ปริ มาตรลดลง) และงานที่แก๊สทำจะเป็ นลบ
• แก๊ สขยายตัว V > 0 (ปริ มาตรเพิ่มขึ้น) และงานที่แก๊สทำจะเป็ นบวก
• ดังนั้น เครื่ องหมายของ W เวลาคำนวณ จะพิจารณาจาก V
• ถ้าปริ มาตรมีค่าคงที่ตลอดเวลาจะไม่มีงานกระทำต่อแก๊สเลย
แก๊ สขยายตัว งานทีแ่ ก๊สทำเป็ น +
แก๊ สถูกอัด งานทีแ่ ก๊สทำเป็ น -
*ระวัง เครื่องหมายของ “งานทีแ่ ก๊สทำ” กับ “งานทีล่ ูกสู บทำ” จะตรงข้ ามกัน*
แผนภาพความดัน-ปริมาตร (PV Diagrams)
• แสดงถึงความดันและปริมาตร ณ ทุก จุด W   P2  P1 V2  V1 
ของกระบวนการ
P
• พืน้ ทีใ่ ต้ กราฟ P-V คือ งาน W ซึ่งเป็ นจริง 2

งานทีเ่ กิดขึน้ เท่ ากับ


แม้ ว่าความดันอาจจะไม่ คงที่
พืน้ ทีใ่ ต้ กราฟ
• จากรู ป งานทีแ่ ก๊ สทำจากสถานะ P1

1 -> 2 -> 3 -> 4 -> 1 คือ W


V V
• เส้ นทางเดินบนแผนภาพเรียกเส้ น
1 2

ทาง(path) การเปลีย่ นแปลงกระบวนการ


• ถึงแม้ ว่าสถานะเริ่มต้ นและสุ ดท้ ายของกระบวนการต่ าง ๆ จะอยู่ทเดี ี่ เดียวกัน แต่
งานทีก่ ระทำจะต่ างกันไปตามเส้ นทาง (กระบวนการ)
งานขึน้ กับเส้ นทาง
ในเส้นโค้งความสัมพันธ์ P-V
Vf
W  V P  dV
i

งาน คือ พื้นที่ใต้เส้นโค้ง

* งานจะขึน ้ ทางของกระบวนการ  ชนิดของเครือ


้ ก ับเสน ่ งจ ักรกล
กฎอนุรักษ์ พลังงาน
•พลังงานทีส่ ำคัญของระบบทัว่ ไป : พลังงานจลน์, พลังงานศักย์, งาน, ฯลฯ
•พลังงานทีส่ ำคัญของระบบอุณหพลวัตร : พลังงานภายใน(U), ความร้อน(Q),
งาน(W)
โดยทัว่ ไป:
• พลังงานภายใน U เป็ นผลรวมของพลังงานจลน์และศักย์และ U  T
• ความร้ อน Q เป็ นพลังงานที่ถ่ายเทระหว่างสองระบบใด ๆ ที่มี T ต่างกัน
• งาน W เป็ นงานที่เกิดขึ้นจากที่ระบบมีการเปลี่ยนแปลง P หรื อ/และ V

ระบบมีการอนุรักษ์ พลังงานเสมอ ไม่ สูญหายแต่ เปลีย่ นรู ป


กฎข้ อทีห่ นึ่งทางอุณหพลศาสตร์
(The first law of thermodynamics)
• พลังงานภายในของระบบที่
งานที่ใบพัดทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น
เปลี่ยนแปลงจะมาจากการเปลี่ยนแปลง
งานแปลงเป็ นพลังงานความร้อน ความร้อนและงานของระบบ
• พลังงานภายใน U ของระบบที่เปลี่ยน
จะมีรูปแบบดังสมการ
dU  dQ  dW หรื อ dQ  dU  dW

พลังงานต้องอนุรักษ์

กฎข้อที่หนึ่งทางอุณหพลศาสตร์
เครื่องหมายคำนวณ
• พลังงานภายในของระบบ : U  T
พลังงานภายในสู งขึ้น U = +
พลังงานภายในลดลง U = -
*ถ้าอุณหภูมิคงที่ เช่น ระบบกลับมาที่เดิม
(สถานะเริ่ มต้น = สถานะสุ ดท้าย) ได้U = 0
• ความร้ อน : ไหลเข้าระบบ Q = +
ไหลออกระบบ Q = -
• งาน : ระบบขยายตัว W = +
ระบบหดตัว(ถูกอัด) W = -
การเปลีย่ นสถานะของระบบเนื่องด้ วยกฎข้ อทีห่ นึ่ง
• ในระบบปิ ด (isolated system) : Q = 0 U  Q  W
จะได้วา่ U = -W U  Q  PV
• ในระบบที่กระบวนการดำเนินเป็ นวัฎจักร
(cyclic process : ซึ่ งจะมีตวั แปรสถานะของ
จุดเริ่ มต้นกับจุดสุ ดท้ายเป็ นจุดเดียวกัน) จะ
ได้ T = 0 และเนื่องจาก U  T ดัง
นั้น ก๊าซอุดมคติ
U = 0 ได้วา่ Q = W Cyclic process
คำถาม : เมือ่ อัดแก๊ สให้ มปี ริมาตรน้ อยลง ถ้ าไม่ มกี ารถ่ ายโอนพลังงานเข้ าออก
ระบบ พลังงานภายในจะเปลีย่ นแปลงหรือไม่ อย่ างไร U = W
ถือน้ำแข็งไว้ในมือจนน้ำแข็งละลาย
วิธีคดิ แบบที่ 1 วิธีคดิ แบบที่ 2
• ระบบ คือ ตัวเรา • ระบบ คือ ก้อนน้ำแข็ง
• สิ่ งแวดล้อม คือ น้ำแข็ง + สิ่ ง • สิ่ งแวดล้อม คือ คนถือ + สิ่ ง
อื่นๆ อื่นๆ
• ความร้ อน Q < 0 เพราะว่าความ • ความร้ อน Q > 0 เพราะว่าความ
ร้อนจากมือถ่ายไปยังก้อนน้ำแข็ง ร้อนจากมือถ่ายไปยังก้อนน้ำแข็ง
(ไหลออกจากระบบ) (ไหลเข้ าสู่ ระบบ)
การระเหยของเหงือ่
วิธีคดิ แบบที่ 1 วิธีคดิ แบบที่ 2
• ระบบ คือ เหงือ่ • ระบบ คือ ร่ างกาย
• สิ่ งแวดล้อม คือ ร่ างกายคน + สิ่ งอื่นๆ • สิ่ งแวดล้อม คือ เหงื่อ + สิ่ งอื่นๆ
• ความร้ อน Q > 0 เพราะว่า ความร้อน • ความร้ อน Q < 0 เพราะว่า ความร้อน
ถ่ายเทให้กบั ระบบ(เหงื่อ) จากร่ างกาย ไหลออกจากระบบ (ร่ างกาย) ไปสู่ เหงื่อ
เพื่อเพิม่ พลังงานจลน์ให้กบั เหงื่อจน (ร่ างกายให้ เหงือ่  ไหลออก)
ระเหย (เหงือ่ รับความร้ อน ไหลเข้ า)
เหงือ่ ระเหยจะทำให้ เราเย็นขึน้ และพบว่ าคำตอบนั้นไม่ เหมือนกันขึน้ อยู่กบั ว่ าเลือกระบบ
อย่ างไร แต่ เหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน้ คือสิ่ งเดียวกัน และคำตอบนั้นถูกทั้ง 2 แบบ ดังนั้นการหาคำ
ตอบไม่ ขนึ้ อยู่กบั ว่ าเราเลือกให้ สิ่งไหนเป็ นระบบแต่ ขนึ้ กับการคำนวณ
ตัวอย่าง: เมือ ่ เผาแท่งเหล็กในความดันบรรยากาศจงคำนวณ
ก. อัตราสว่ นงานในการขยายต ัวเหล็กต่อปริมาณความร ้อนทีใ่ ช ้
ข. อัตราสว่ นพลังงานภายในทีเ่ ปลีย
่ นแปลงต่อปริมาตรความร ้อน
ทีใ่ ช ้
กำหนดให ้ =3.610-5 0C-1, c = 460 J/kg-0C,  = 7860
kg/m3, P = 1.01 105 N/m2

วิธีทำ จาก งาน W = PV และ V= V0T การขยายตัวเชิงความร้ อน


ดังนั้น W = PV0T และความร้อน Q = mcT
W PV0 T P V0 P W
นัน่ คือ Q

mcT
 
c m c แทนค่าได้  1.0 10 6 ตอบ ก
Q
U W
 1  1  1.0 10 6  1
จาก U  Q  W ได้ Q Q
แสดงว่ า งานเนื่องจากการขยายตัว (expansion work)
น้ อยมากสามารถตัดทิง้ ได้ ตอบ ข
กระบวนการ (Process)
กระบวนการในธรรมชาติ
-แบบผันกลับได้ (Reversible process) ระบบอยู่ในสภาวะสมดุลกับสิ่ งแวดล้ อม
ตลอดเวลา
-แบบผันกลับไม่ ได้ (Irreversible process) เป็ นกระบวนการทีเ่ กิดขึน้ ได้ เอง
สำหรับกระบวนการแบบผันกลับได้มีหลายลักษณะ คือ
1. กระบวนการปริมาตรคงที่ (Isochoric process): dV = 0: P/T = คงที่
2. กระบวนการความดันคงที่ (Isobaric process): dP = 0 : V/T = คงที่
3. กระบวนการความร้ อนคงที่ (Adiabatic process): dQ = 0
4. กระบวนการอุณหภูมคิ งที่ (Isothermal process): dT = 0
กระบวนการปริมาตรคงทีแ่ ละความดันคงที่
1. Isochoric process ; dV = 0
จาก dU  dQ  dW
P
งาน dW = PdV Gay-lussac’s law T  คงที่
dW  0 คือ ระบบไม่ท ำงาน
ดังนั้น dU  dQ  mcV dT
2. Isobaric process ; dP = 0
V
Charle’s law T  คงที่
จาก dU  dQ  dW ; งาน dW  PdV
ดังนั้น dU  mcP dT  PdV
งานช่วง Vi ถึง Vf คือ W  P V f  Vi 
ผลต่ างระหว่ างความจุความร้ อนทีค่ วามดันและปริมาตรคงที่
1 dQ
นิยาม ความจุความร้อนจำเพาะเทียบกับโมล c
n dT
1  dQ  1  dQ 
ดังนั้น cP    cV   
n  dT  P n  dT V
Isochoric process; dV = 0  dU = ncVdT
Isobaric process; dP = 0  dU = ncPdT - PdV
แต่ PV  nRT หรื อ
หาอนุพนั ธ์ PdV  VdP  nRdT
แต่ dP = 0 ได้ PdV = nRdT ได้ dU  nc p dT  nRdT
นัน่ คือ ncV dT  ncP dT  PdV หรื อ n cP  cV  dT  PdV  nRdT
สรุป cP  cV  R
กระบวนการผันกลับได้
3. Adiabatic process ; dQ = 0
dU  dQ  dW ได้ dU   dW

Isochoric process; dV = 0 :
dU  ncV dT
ในกรณี
Isobaric process; dP = 0 :
dU  ncP dT  PdV
 PdV
ดังนั้น ncV dT   PdV dT 
ncV
และ ideal gas PV = nRT
PdV+VdP = nRdT
หรื อ PdV = nRdT - VdP
กระบวนการผันกลับได้
  PdV   cP  cV 
ดังนั้น PdV  nR    VdP      PdV   VdP cP  cV  R
 ncV   cV 
 cP 
   1   PdV   VdP
 cV 
cP cP
PdV   PdV  PdV  VdP ได้ VdP  PdV  0
cV cV cP
dP cP dV dP dV 
หรื อ P  cV V  0 ดังนั้น P   V  0 เมื่อกำหนด cV

แก้สมการจะได้ ln P   ln V  คงที่ หรื อ PV   คงที่


nRT TV  constant
เนื่องจาก P   ดังนั้น V  1T  constant
V V nR
งานของกระบวนการความร้ อนคงที่
งานของกระบวนการ adiabatic process : dQ = 0
V 2

นิยามของงาน W   dW   PdV ่ เมื่อ 1 คือ initial, 2 คือ final, P ไม่คงที่


V1
แต่ adiabatic process ; k

PV  constant  k ดังนั้น P  V 
V2 1 V2
k V kV21  kV11
W    dV  k 
V1
V 1  V1
1 
P2V2 1  P1V1 1
แต่ k  P1V1 , k  P2V2 ดังนั้น W  1 
P2V2  P1V1 cP P2V2  P1V1
Adiabatic work W  W
1  cV 1 
กระบวนการอุณหภูมคิ งที่
4. Isothermal process ; dT = 0
ถ้า T คงที่ได้วา่ PV = ค่าคงที่ (Boyle’s law)
และถ้า dT = 0 แสดงว่า dU = 0 เพราะว่า
dU  ncV dT

ดังนั้นจาก dU  dQ  dW  0

ได้ dQ  dW  PdV
V nRT V f nRT
หาปริ พนั ธ์ dQ  dW  V 
f
PdV ; P  dV
i V Vi V
Vf
งานของ isothermal process W  nRT ln V 103
i
สรุ
สรปุ การคำนวณงานจากกระบวนการ
1. Isochoric process ; dV = 0 dW  0 dU  dQ  mcV dT

dU  mcP dT  PdV dW  PdV


2. Isobaric process ; dP = 0
W  P V f  Vi 

3. Adiabatic process ; dQ = 0 W  P2V2  P1V1 


cP
1  cV

4. Isothermal process ; dT = 0 Vf
W  nRT ln
Vi
ตัวอย่ าง : จากรู ปแสดงแผนภาพค่ าความดัน-ปริมาตรของก๊ าซ
จำนวนหนึ่ง จงหางานทีก่ ๊าซจำนวนนีก้ ระทำครบวัฏจักรเป็ นเท่ าใด

แนวคิด : งานทีเ่ กิดขึน้ เท่ ากับพืน้ ทีใ่ ต้ กราฟ


P (บรรยากาศ)
P2 W = พืน้ ทีใ่ ต้ กราฟ
3
1
W  (V )  (P )
2
1 5 N
1 P1 P3
W   (1litre )  (2atm)  1atm  1.0132  10 2
2 m
1 3 3 5 N
0 W   (1  10 m )  (2  1.0132  10 2 )
1 2 V (ลิตร) 2 m
W  1.0132  102  101.32 N  m  101.32 J
ตัวอย่ าง : จากรู ปแสดงแผนภาพค่ าความดัน-ปริมาตรของก๊ าซอุดมคติจำนวน
หนึ่งทีม่ กี ารเปลีย่ นแปลงจากสถานะเริ่มต้ น ณ Pi ไปสู สถานะปลาย ณ Pf ตาม 2
ทิศทาง จงคำนวณหางานทีร่ ะบบก๊าซอุดมคติจำนวนนีก้ ระทำตามกระบวนการ
ต่ อไปนี้ 1.ไอโซคอริก 2.ไอโซบาริก 3.ไอโซเทอร์ มอล
1. กระบวนการไอโซคอริ ก V=0 PiP1
W ( Pi  P1 )   pdV  0
2. กระบวนการไอโซบาริ ก P=0 P1Pf
W ( P1  Pf )  p (V f  Vi )
W  (100  103 )(1  103 )  100 J
Vf
dV  Vf 
3. กระบวนการไอโซเทอร์มอล W ( Pi  Pf )  nRT 
V
 piVi ln 

V i
 Vi 
W  (2  105 )(1  103 ) ln 2
T=0 PiPf W  138.6 J
Physics 207105

Thermodynamics-5
อณุ หพลศาสตร์
(Thermodynamics)-5
กฎข้อทีส ่ องของอุณหพลศาสตร์
เอนโทรปี
เอนโทรปี ก ับมุมมองระด ับจุลภาค
ความชน ื้
ความด ันไอ
กฎข้ อทีส่ องทางอุณหพลศาสตร์
(The second law of thermodynamics)
output work W
ประสิ ทธิภาพ : Efficiency ; e, นิยาม e
input heat

Q
• ระบบทำงานเป็ นกระบวนการ ถ้ากลับคืนสู่ สภาพเดิมได้ เรี ยกว่า วัฏจักร (Cycle)
• วัฏจักรที่ประกอบด้วยกระบวนการแบบผันกลับได้จะมีประสิ ทธิภาพสู งสุ ด
พิจารณา
1) ล้อแกนฝื ด  แกนมีความร้อน
ตามกฎข้อที่ 1 (อนุรักษ์พลังงาน) เป็ นไปได้ที่ ความร้อนที่แกน งาน แล้วล้อหมุนกลับที่ได้
แต่ ธรรมชาติจะไม่ พบเหตุการณ์ เช่ นนี้
2) น้ำแข็งโรยเกลือ  เวลาผ่านไป  ได้น้ำเกลือ
แต่เวลาผ่านไปในธรรมชาติจะไม่ พบน้ำเกลือแยกเป็ นน้ำแข็งกับเกลือ
กฎข้ อทีส่ องทางอุณหพลศาสตร์
แสดงว่า เพียงกฎข้อที่ 1 ทางอุณหพลศาสตร์ไม่เพียงพอที่จะบอกถึงว่า
กระบวนการใดบ้างในธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้เองและกระบวนการใดเกิดไม่ได้เอง
 ต้องการกฎข้อที่ 2 เข้ามาช่วย
ตัวอย่ าง 1. เครื่ องทำความเย็น (Clausius statement of 2nd law of thermodynamics)
เขียนเป็น
“ไม่ มีกรรมวิธีใด ๆ ทีร่ ะบบจะสามารถ แผนภาพด ังนี้

ถ่ ายเทปริมาณความร้ อนทัง้ หมดทีไ่ ด้ รับ QH ซงึ่ จะพบว่าเป็น


ไปไม่ได้

จากแหล่ งความร้ อนซึ่งมีอณ ุ หภูมิต่ำ ไป


ยังแหล่ งความร้ อนทีม่ ีอณุ หภูมิสูงกว่ าได้ QC TC

ด้ วยตัวมันเองโดยไม่ มีงานกลภายนอก QC QH TH
เข้ ามาเกีย่ วข้ อง”
กฎข้ อทีส่ องทางอุณหพลศาสตร์
ตัวอย่ าง 2. เครื่องกลความร้ อน (Kelvin statement of 2nd law of thermodynamics)

“เป็ นไปไม่ ได้ ทกี่ ระบวนการใด


กระบวนการหนึ่งเพียงกระบวนการ
เดียวทีจ่ ะเปลีย่ นปริ มาณความร้ อน จะพบว่ า
ทัง้ หมดทีร่ ะบบได้ รับมาจากแหล่ ง เป็ นไปไม่ ได้
ความร้ อนทีม่ ีอณ ุ หภูมิคงทีเ่ พียง
แหล่ งเดียวไปเป็ นงานกลได้ ทงั้ หมด”
กฎข้ อทีส่ องทางอุณหพลศาสตร์
เครื่องกลทีเ่ ป็ นไปได้
1. เครื่องทำความเย็น 2. เครื่องกลความร้ อน
W QH  QC
e 
Q QH QH

W QC
 1
QC QH

QH  QC TC
 1
TH
ตูเ้ ย็นคาร์โนท์ TH  TC
เครื่ องกลคาร์โนท์ e
TH
TC ตู้เย็นทีด่ คี วรมี e  1 เครื่องยนต์ สมบูรณ์

TH  TC  สู งถึง5,6 e  1 เครื่องยนต์ จริง
เอนโทรปี (Entropy)

Clausius ศึกษาเครื่ องกล ปริ มาณความร้อนที่รับหรื อคายจากระบบ  คงที่หรื อมากขึ้น


ต่าง ๆ แล้วพบว่า อุณหภูมิของระบบรับหรือคายความร ้อน

นิยาม dQ เมื่อ S  entropy


dS  ; T : Kelvin
T Measure of disorder
กฎข้อที่สองทางอุณหพลศาสตร์ (ค่ าวัดของความไม่ เป็ นระเบียบ)
“กระบวนการใด ๆ ในธรรมชาติทนี่ ่ าจะเป็ นไปได้ มากทีส่ ุ ด คือ กระบวนการที่
ทำให้ เอนโทรปี รวมเพิม่ ขึน้ หรือมีค่าคงที”่
เอนโทรปี
หรื อกล่าวได้วา่

Sรวม  0
เมื่อ
Sรวม = Sระบบ + Sสิ่งแวดล้อม

S = 0, กระบวนการแบบผันกลับได้
S > 0, กระบวนการแบบผันกลับไม่ ได้
dQ
dS 
T การเปลี่ยนแปลงเอนโทรปี
เอนโทรปี ก ับมุมมองระด ับจุลภาค
(Entropy and microscopic view)

โทรปี  องศาความไม่เป็นระเบียบ
สมมติว่า:
• ระบบมีแก๊สจำนวน N โมเลกุล
• แก๊สแต่ละโมเลกุลจะครอบครองปริ มาตร Vm
• ถ้าแบ่งปริ มาตรทั้งหมด V ออกเป็ นส่ วนเล็ก ๆ ส่ วนละ Vm จะได้วา่ แก๊ส
1โมเลกุลจะเลือกที่อยูไ่ ด้ W = V/Vm กรณี (แบบ)
• ดังนั้น ถ้ามีแก๊ส N โมเลกุลจะได้วา่ จำนวนแบบทั้งหมดทีแ่ ก๊ สเลือกอยู
่ ไ ด้
  W W  1W  2   W  N  1  W N
() คือ
  V Vm 
N
เอนโทรปี ก ับมุมมองระด ับจุลภาค

ถ้าระบบมีการเปลี่ยนแปลงจากสถานะเริ่ มต้น (initial state) ไปยังสถานะสุ ดท้าย


(final state) จะได้วา่
Initial state:
Wi  Vi Vm ,  i  Vi Vm 
N
N
f Vf 
Final state:    
 i  Vi
W f  V f Vm , f  V f Vm 
N 

โดยการใส่ ฟังก์ชนั ล็อกการิ ทึมและคูณด้วยค่าคงที่ของโบสท์มานน์ k :


f Vf Vf Vf
k ln  Nk ln  nkN A ln  nR ln  S  S f  Si
i Vi Vi Vi
เอนโทรปี ก ับมุมมองระด ับจุลภาค

ขยายตัวแบบอุณหภูมค
ิ งที่ T จาก(a) ไป (b)
f dQr 1 f
S     PdV Q  W
i T T i

1 nRTf  Vf 

T i V dV  nR ln  Vi 
Vf  f
S f  Si  nR ln   k ln
 Vi  i
S f  Si  k ln  f  k ln i

S  k ln   Nk ln W

ดังนั้น เอนโทรปี คือการวัดความไม่ เป็ นระเบียบระดับจุลภาค


ตัวอย่ าง : จงแสดงให้ เห็นว่ ากระบวนการแพร่ ของแก๊สในสุ ญญากาศในกระบวนการ
อุณหภูมคิ งที่ ดังรู ปเป็ นกระบวนการผันกลับไม่ ได้

วิธีทำ ฉนวน
U  Q  W แก๊ส สุ ญญากาศ

อุณหภูมคิ งที่ ดังนั้น dU = 0 S 2  S1  


2 dQ
 nR 
2 dV V
 nR ln 2
1 T 1 V V1
ดังนั้น dQ = dW = PdV แต่ V2 > V1 แสดงว่า S2 > S1
nRT
จาก PV = nRT, P  V หรื อ Sระบบ > 0
nRT
dQ  dV สิ่ งแวดล้อม Sสิ่งแวดล้อม = 0
V
dQ nRT dV นั่นคือ S > 0 จึงเป็ นกระบวนการ
จาก dS  
T V T ผันกลับไม่ ได้ ตอบ
ตัวอย่ าง : น้ำแข็ง 1 kg ที่ 00C หลอมเหลวหมด จงคำนวณหาเอนโทรปี
วิธีทำ ความร้อนจำเพาะของการหลอมเหลวของน้ำ Lf(น้ำ) = 79.6 cal/gm
dQ
จาก dS  เนื่องจากความร้อนที่ใช้ในการละลาย
T
ทำการหาปริ พนั ธ์(อินทิเกรต) : น้ำแข็งที่อุณหภูมิเดียวกันนี้ตอ้ งมาจาก
S water  Sice  
Q dQ
เมื ่ อ T คงที ่ ท่ ี 00
C สิ่ งแวดล้อม ดังนั้น
0 T 4
Qสิ่งแวดล้อม  7.95  10 cal
1 Q Q

T 
0
dQ 
T ; T = 273 K
ดังนั้น Sสิ่งแวดล้อม  292 cal/K
แต่ Q = mL = (103)(79.6) = 7.95104 Cal
ดังนั้น แสดงว่า S = 0
4
7.95  10
S system  S water  Sice 
273 กระบวนการนีจ้ ึงเป็ นกระบวน
S system  292cal / K การทีผ่ นั กลับได้ ตอบ
ตัวอย่ าง จงคำนวณค่ าเอนโทรปี ทีเ่ ปลีย่ นไปเมือ่ ต้ มน้ำ 1 kg ที่
0C ให้ มอี ณ
ุ หภูมิ 100C โดยไม่ มกี ารเปลีย่ นสถานะ
วิธีทำ
ในกรณีนีอ้ ุณหภูมไิ ม่ คงที่ ดังนั้นจึงแปลง dQ ให้ เป็ นฟังก์ ชันของ T
Q  mcT
T2 dO T2 mcdT T2 dT T2
S 2  S1  
T1 T
 
T1 T
 mc T1 T
 mc ln( )
T1
373
S 2  S1  1000  1  ln( )  312cal / K
273
ตัวอย่ าง : แก๊ สอุดมคติ 4 โมล ขยายตัวมีปริมาตร 2 เท่ า
ก. เมือ่ ขยายตัวแบบอุณหภูมคิ งที่ ที่ 400 K จงคำนวณงานและเอนโทรปี
ข. เมือ่ ขยายตัวแบบความร้ อนคงที่ จงคำนวณหาเอนโทรปี
dQ
2
วิธีทำ ก. งาน dW = PdV เอนโทรปี S 2  S1  
1 T
กระบวนการ
PV = nRT หรื อ P = nRT/V แต่ dQ  dU  dW ไอโซเทอร์ มอล
2 V2 2V1 dV

W  PdV 
1 
V1
nRT
V
และ T  0  dU  0

 nRT ln
V2 ได้ dQ  dW 2
2 dW W
V1 ดังนั้น S 2  S1   
1 T T 1
 nRT ln 2  9214 J
1
 nRT ln 2  nR ln 2
วิธีทำ ข. ความร้อนคงที่ dQ = 0 กระบวนการ T
อะเดียแบติก S  23
ดังนั้น dS = dQ/T = 0  S2-S1 =S= 0 ตอบ ข. ตอบ ก.
ื้ (Humidity)
ความชน
ส่ วนประกอบของอากาศ
• N2  80%, O2  18%, CO2, แก๊สอื่น ๆ และ ไอน้ำ (water vapor)
ความดันลัพธ์ของอากาศ  ความดันย่อยของแก๊สแต่ละชนิด(Dalton’s law)
• บรรจุน ้ำในภาชนะปิ ดสนิท  น้ำระเหยเป็ นไอ
• ไอน้ำ(แก๊ส) จะมีความดัน  ความดันไอ
• ที่อุณหภูมิ T หนึ่ง ๆ ความดันไอมีค่าสูงสุ ดค่าหนึ่ง
 ความดันไออิม ่ ตัว : ( Ps) (ปริมาณไอน้ำมีได้ จำกัดขึน้ กับ T)
• ความดันไอสู งขึ้นอีก น้ำจะกลัน่ ตัวเป็ นหยดน้ำ
• ทีจ่ ุดเดือดของของเหลว ของเหลวจะต้ องมีความดันไอ
เท่ ากับความดันบรรยากาศ
้ื
ความชน
ความดันไอน้ำ ณ T ต่ าง ๆ มวลไอน้ำ
t (0C) Pvapor(mm-Hg)
ความชื้นสั มบูรณ์ (Absolute humidity) = ปริ มาตร
ความดันไอน้ำอากาศ
0 4.58
ความชื้นสั มพัทธ์ *
= ความดันไอน้ำอิ่มตัวที่อุณหภูมิของอากาศ
10 8.94

20 17.5 จุดน้ำค้ าง (dew point)


40 55.1(0.07atm) คือ อุณหภูมิที่ไอน้ำเริ่ มกลัน่ ตัว(ณ ความดันไอน้ำ
100 760(1atm) อิ่มตัว) เกิดเป็ นละอองน้ำเกาะที่ผวิ ภาชนะผิวมัน
120 1490(1.96atm)

200 11650(15.33atm)
*ถ้ าทำเป็ นเปอร์ เซ็นต์ ต้องคูณด้ วย 100
ความดันไอ
(a) เมือ่ เริ่มต้ นจะมีแต่ อตั ราการเป็ น
ไอซึ่งมีค่าสู ง
(b) เวลาผ่ านไป ไอบางส่ วน
ควบแน่ นมาเป็ นของเหลว
(c) เวลาผ่ านไปนานเกิดสมดุลของ
ไอ-ของเหลว โมเลกุลทีเ่ ป็ นไอจะคงที่
เกิดเป็ นความดันไอ

ของเหลวจะเดือดต่ อเมือ่ มี
ความดันไอเท่ ากับความดัน
บรรยากาศ
ตัวอย่ าง : ความดันย่อยของไอน้ำเป็ น 10 mm-Hg ทีอ่ ากาศ 200C จงคำนวณ
a. จุดน้ำค้ าง (dew point)
b. ความชื้นสั มพัทธ์
c. มวลไอน้ำทีม่ จี ริงต่ อปริมาตร
โดย Pvapour(100C) = 0.01312 bar, Pvapour(110C) = 0.01401 bar, Pvapour(200C) = 0.02337 bar
วิธีทำ ก. จุดน้ำค้ าง คือ อุณหภูมทิ ที่ ำให้ ไอน้ำทีม่ อี ยู่จริงในอากาศเริ่มกลัน่ ตัว
(อุณหภูมทิ ที่ ำให้ ไอน้ำเริ่มอิม่ ตัว : Saturated)
1.013 bar
แปลงหน่วย 10 mm  Hg 
760 mm Hg
 10 mm Hg  0.01333 bar

เพราะว่า Pvapour(100C) = 0.01312 bar, Pvapour(110C) = 0.01401 bar


เทียบบัญญัติไตรยางค์ได้ 0.01333 bar จะมีอุณหภูมิ โดยประมาณ 10.5 0C ตอบ ก.
partial pressure
วิธีทำ ข. ความชื้นสัมพัทธ์ = vapor pressure ณ ที่อุณหภูมิเดียวกัน
และที่ 200C vapor pressure = 0.02337 bar
0.01333
ดังนั้น ความชื้นสัมพัทธ์ = 0.02337 100  57% ตอบ ข.
วิธีทำ ค. มวลไอน้ำ
ที่ 200C
ปริ มาตร
n P m
PV  nRT ;  ; n
V RT M
และ H2O (น้ำ) มีมวลโมเลกุล (molecular weight : M) = 18 gm/mole
m PM
ดังนั้น V

RT
 1.013 105 N/m 2 
P  10 mmHg   1.333 N/m 2
 760 mmHg 
T  273  20  293 K และ Mน้ำ = 18 gm/mole
m 1.333 N/m 2 18 10 3 kg/mole
  9.85  10 6 kg/m 3 ตอบ ค.
V 8.31 J/mole . K 293 K 
Physics 207105

Thermodynamics-6
อณุ หพลศาสตร์
(Thermodynamics)-6

เครือ
่ งจ ักรเครือ
่ งยนต์
เครื่องยนต์
เครือ่ งยนต์
• เครื
ความร้อ
่ งยนต์
อนจะดึง Qh จากแหล่ง
ความร ้อนสู

่ งยนต์ทำงาน W  Q  Q Q  0
• เครือ h c c

•Wเครือ่ งยนต์ปล่อยความร ้อน Q สู่


c
แหล่งความร ้อนต่ำ
ประสท ิ ธิภาพเชงิ อุณหภาพ
(thermal efficiency)
W Qh  Qc Q
e   1 c
ประสท ิ ธิภาพ e Qh Qh Qh

กว่า 100% เสมอ(กฎข ้อทีส


่ องทางอุณหพลศาสตร์)
เครื่องทำความเย็น
เครื่องทำความเย็น เครื่ องยนต์ที่ท ำงานในลักษณะตรงข้าม
 ของเหลวหล่อเย็นทีอ ่ ณ
ุ หภูมต ิ ่ำ TC
จะดูดความร ้อน QC จากแหล่งความ
ร ้อนอุ
งานณWหภู ถูกมจ่ติายให
่ำ TC. ้กับตัว Heat pump (โดย
 การอัดสารหล่อเย็นทีค ่ วามดันสูงจนมี
 อุณ หภู้อนจาก
ไอร มสิ งู กว่Heat
า Thpump
) จะคลายความ
ร ้อน Qh ไปยังแหล่งความร ้อน
อุณอทีหภู
กฎข้ ่หนึ่ม สิ งู Tรh ักษ์พลังงาน)
ง(กฎอนุ

QH  QC  W

QC QC
สั มประสิ ทธิ์สมรรถภาพ COP  
W QH  QC
เครื่องจักรเบนซิน (Gasoline engine)
ใช้ น้ำมันเบนซิน ซึ่งระเหยเร็ว จึงเผาไหม้ ได้ เร็วเป็ นเชื้อเพลิง

Q1
w
Q2
1-2 2-3 3-4 4-5 5-6

1-2 ลูกสูบเคลื่อนลงเพื่อดึงอากาศผสมเชื้อเพลงเข้าทางคาร์บูเรเตอร์
2-3 ลูกสูบเคลื่อนขึ้นอัดเชื้อเพลิงผสมแบบความร้อนคงที่
3-4 หัวเทียนจุดระเบิดเชื้ อเพลิงทำให้อุณหภูมิและความดันเพิ่มอย่างรวดเร็ ว
4-5 ขั้นตอนการทำงาน แก๊สกระทำงานต่อลูกสูบให้เคลื่อนลงด้วยความร้อนคงที่
5-6 วาล์วระบายเปิ ดขณะที่ลูกสูบอยูต่ ่ำสุ ดเพื่อระบายอากาศเสี ยออก ความดันลด
เครื่องจักรเบนซิน : วัฎจักรออตโต (Otto cycle)
NiKolaus A Otto (2375-2434)

Q = 0

Q = 0

1. ab จังหวะอัด : อากาศ+ไอน้ำมันเข้าถูกดูด V2 V1
Q = 0 3. cd จังหวะทำงาน : กำลังลูกสู บ
2. bc จังหวะระเบิด : หัวเทียนจุดประกายอัด ขยายให้เคลื่อนที่ Q = 0
V = 0 4. da จังหวะคาย : ไอเสี ยออก V = 0
เรียกเครื่องยนต์ 4 จังหวะ (four-stroke engine) : ดูด-อัด-กำลัง-คาย
หลักการวิเคราะห์ การทำงานของเครื่องจักรเบนซิน
QH  ncV Tc  Tb  , PV  nRT
ช่วง bc, V = 0
ncV
  PV b 2
c 2  PV
nR
Q = 0 cV
QH  V2  Pc  Pb 
R
cV
Q = 0 ทำนองเดียวกัน QC  V1 Pd  Pa 
R
QC V1  Pd  Pa  cP
V2 V1 ดังนั้น  
QH V2  Pc  Pb  cV
อัตราส่ วนการอัด
compression ratio = V1/V2 ช่วง cd, Pd

 V2  Pa  V2 

Q  0;    และ   
typical = 7 - 8 Pc  V1  Pb  V1 
เครื่องจักรเบนซิน
QC V2  V2 V1  Pc  V2 V1  Pb 
   1
QC  V2 
แทนค่า      
QH V1  Pc  Pb  QH  V1 
 1
W QH  QC QC  V2 
ประสิ ทธิภาพ e
QH

QH
 1
QH
 1  
 V1 
V1
เช่น อากาศมี  = 1.4 ถ้า 8 ได้ประสิ ทธิภาพ = 56%
V2
ในทางปฏิบัติ ประสิ ทธิภาพที่พบจะมีเพียง 15 ถึง 20%
- ความเสี ยดทาน
เพราะ - การสู ญเสี ยความร้ อนทีเ่ สื้อสู บ
- การเผาไหม้ ไม่ สมบูรณ์ เพราะส่ วนผสมอากาศ+น้ำมันไม่ เหมาะสม
เครื่องยนต์ ดเี ซล (Diesel engine)
ใช้ น้ำมันข้ นเป็ นเชื้อเพลิง เผาไหม้ ช้า • ทำงานคล้ายเครื่องยนต์ เบนซินแต่ ไม่ มกี าร
บรรจุเชื้อเพลิงในขั้นตอนการอัดอากาศ
(น้ำมันดีเซลหรือโซลา)
• เชื้อเพลิงจะจ่ ายให้ กบั เครื่องยนต์ ก่อนขั้น
ตอนทำงานเล็กน้ อยและอุณหภูมใิ น
กระบวนการอัดสู งมาก (อัดอย่ าง
รวดเร็วQ=0) ขณะถูกอัดซึ่งสู งพอให้ เกิดการ
จุดระเบิดโดยไม่ ต้องใช้ หัวเทียน
• compression ratio สู งกว่ า (15-20)
• expansion ratio = V1/V3 = 5 (typical)
• เครื่องยนต์ จะมีประสิ ทธิภาพสู งกว่ า
Compression ration = V1/V2 typical = 15 เครื่องยนต์ เบนซิน ทำงานได้ หนักกว่า ไม่ ต้อง
ใช้ หัวจุดระเบิด (carburattor) แต่ จะสตาร์ ทติด
Expansion ratio = V1/V3 typical = 5 ยากกว่ า
หลักการวิเคราะห์ การทำงานเครื่องยนต์ ดเี ซล
ช่วง bc, P = 0: QH  ncP Tb  Tc  , PV  nRT
ncP
  PV c 3
b 2  PV
nR
c
QH  P Pc V2  V3  , Pc  Pb
R

ช่วง da, V = 0: QC  ncV Ta  Td  , PV  nRT


ncV
  PaV1  PdV1 
nR
c
QC  V V1  Pa  Pd 
R
QC cV V1  Pa  Pd  V1  Pa / Pc  Pd / Pc  cP
     
QH cP Pc  V2  V3   
  V2  V3 
 cV
หลักการวิเคราะห์ การทำงานเครื่องยนต์ ดเี ซล

  Pd  V3 
ช่วงความร้อนคงที่ cd ได้ PV
c 3  PdV1   
Pc  V1 

ช่วงความร้อนคงที่ ab ได้
 
  Pa  V2  Pa  V2 
PaV1  PV
b 2        Pb  Pc
Pb  V1  Pc  V1 

QC V1

V / V   V / V    V / V   V / V  
2 1

3 1

2 1

3 1

แทนค่าได้ QH  V2  V3  V2 / V1  V3 / V1 

e
W QH  QC
  1
QC
 1

V2 / V1   V3 / V1 
 

ประสิ ทธิภาพ QH QH QH  V2 / V1  V3 / V1 
ตัวอย่ าง : กระบอกสู บเครื่องยนต์ ดีดเี ซลขนาดความจุ 2500 cm3 บรรจุด้วยแก๊ ส
ไนโตรเจนทีค่ วามดัน 1 บรรยากาศและมีอุณหภูมิ 27 0C ถ้ าลูกสู บถูกอัดอย่ าง
รวดเร็ว ให้ มปี ริมาตร 0.10 เท่ าของปริมาตรเดิม เมือ่ กำหนดให้ ไนโตรเจน = 1.4
อยากทราบว่ า
a. อุณหภูมแิ ละความดันสุ ดท้ าย และ ข. งานมีค่าเท่ าใด
วิธีทำ การที่ลูกสู บถูกอัดอย่างรวดเร็ วถือได้วา่ dQ = 0 (adiabatic process)
PV   คงที่; P1V1  P2V2
P1 = 1 atm, V2 = (0.1)V1 ;  = 1.4
(1 atm) V11.4
แทนค่า P2  1.4
(0.1) V1 1.4
 25.1 atm

 nRT
จาก PV  คงที่; และ P
V
nRT 
ดังนั้น V  nR TV  1   คงที่
V
 1
ได้ TV  คงที่ หรื อ T1V1 1  T2V2 1  T2 (0.1V1 ) 1

300 V1 
0.4

แทนค่า T2   753.6 K หรื อ T2  480.6 0 C ตอบ ก.


0.10.4 V1 0.4
P2V2  P1V1
งานของ adiabatic : W
1 

25.110 0.25 10  10 2.5 10 


5 3 5 3
 943.8 J ตอบ ข.
แทนค่า W  1  1.4
หมายเหตุ 1. เป็ น Adiabatic process และเกิดทีอ่ ุณหภูมสิ ู ง ดังนั้น
เครื่องยนต์ ดเี ซล ไม่ ต้องมีหัวเทียนช่ วยจดุ ระเบิด
2. งานเป็ น ลบ : ต้ องทำงานให้ ระบบ
Sadi Carnot
• 1796 – 1832
• French engineer
• First to show
quantitative
relationship between
work and heat
• Published Reflections
on the Motive Power
of Heat
– Reviewed industrial,
political and economic
importance of the
steam engine
เครื่องยนต์ คาร์ โนท์ : มีประสิทธิภาพมากทีส่ ุ ด
ประกอบด้ วย ในกระบวนการ
• Isothermal 2 กระบวนการ ความร้อนคงที่
• Adiabatic 2 กระบวนการ (adiabatic process):
 = 5/3 for an ideal Gas
Isothermal V  1T  cons tan t

V T  V T  VB VC  Tc Th 
1
 1
 1  1
Adiabatic B h C c

V T  V T  VA VD  Tc Th   1
1
 1  1
A h D c
Adiabatic
VB VA VB VC
Isothermal 
VC VD
 
V A VD
เครื่องยนต์ คาร์ โนท์
บวนการอุณหภูมค ้ AB (+QH)และ
ิ งที่ (Isothermal process) : เสน
VB
QH  WAB  nRTH ln
VA
Isothermal  QC  WCD   nRTH ln
VD
VC
VC
QC  WCD  nRTH ln
Adiabatic VD
QH TH ln VB / VA
Adiabatic 
QC TC ln VC / VD
Isothermal VB VC
จาก Adiabatic process: 
V A VD
QH TH
แสดงว่า 
QC TC
เครื่องยนต์ คาร์ โนท์
• แผนภาพ P-V สำหร ับว ัฏจ ักรคาร
ิ ธิภาพ e
ประสท
W Qh  Qc WAB  WDC
e  
Qh Qh WAB

nRTh ln VB VA   nRTc ln VC VD 


e
nRTh ln VB VA 
Th ln VB VA   Tc ln VC VD 

Th ln VB VA 

VB VC
Th  Tc TC
e  1 1
จาก Adiabatic process: 
V A VD
ดังนั้น Th TH
ตัวอย่ าง : กลจักรไอน้ำทำงานควบคู่กนั
TH1 = 700+273=973K ถ่านหิน
QH1 2 กลจักร ความร้ อนทีส่ ู ญเสี ยจากกลจักร
W1 หนึ่งจะไปเป็ นแหล่ง ความร้ อนของอีก
QC1
กลจักร อุณหภูมทิ ำงานของกลจักร 1
TC1 = 440+273=713K
เป็ น 700 กับ 4400C และของกลจักร 2
เป็ น 430 กับ 3100C ถ้ าความร้ อนในการ
TH2 = 430+273=703K
QH2
เผาไหม้ ของถ่ านเป็ น 2.8107 J/kg
W2
ถามว่ าถ่ านจะถูกเผาไหม้ ไปในอัตรา
เท่ าใด ถ้ ากลจักรให้ กำลังออกมา 500
QC2
MWatt (เมกกะวัตต์ ) และสมมติให้ กล
TC2 = 310+273=583K จักรทั้งสองเป็ นไปตามทฤษฎีของกล
จักรคาร์ โนท์
TC W
วิธีทำ จาก e  1 
TH Q แทนค่า QH2
713 W1 500 106 J  0.26QH 1  0.17 0.73  QH 1
กลจักรที่ 1 มี e1  1 
973
 0.26 
QH 1  QH 1  0.384 

กลจักรที่ 2 มี e1  1 
583 W
 0.17  2 ในหนึ่งวินาทีตอ้ งมีความร้อน
703 QH 2 500  106
QH 1   1.30 109 J
0.384
ใน 1 วินาทีงานรวม W1+W2
= 500106 J = 0.26QH1+ 0.17QH2 เนื่องจาก พลังงานจำนวน 2.8107 J
มาจากถ่านหิ น 1 kg
จาก
QH 1 TH 1 T ดังนั้น 1 s พลังงานจำนวน9 1.3109 J
  QC1  QH 1 C1  0.73QH 1
QC1 TC1 TH 1 มาจากถ่านหิ น 1.3 107 J  46.4 kg
2.8  10 J/kg
เนื่องจากความร้ อน QC1ไปเป็ น QH2  QC1 = QH2
เพราะฉะนั้น อัตราการเผาถ่ านหิน
QH 2  0.73QH 1 เท่ ากับ 46.4 kg/s
ตอบ
กระบวนการทร็อตลิง่ (Throttling process)
ของเหลวเป็ นสารทำงาน Working substance : liquid
กระบวนการมีของเหลวเป็
•ของเหลวจากความดันสู ง(คงที่) P1, V1
•เคลื่อนผ่านผ่านรู เล็ก P1,V1 P2,V2
•ระบบหุ้มด้ วยฉนวน, dQ = 0
•ของเหลวไปสู่ ความดันต่ำ P2,V2
ทีค่ วามดันต่ำ,
ต่ำ P2 ปริ มาตรเริ่ มต้น = 0 ทีค่ วามดันสู ง, P1 ปริ มาตรเริ่ มต้น = V1
ปริ มาตรสุ ดท้าย = V2 ปริ มาตรสุ ดท้าย = 0
ดังนั้น งาน Wlow = P2(V2-0) ดังนั้น งาน Whigh = P2(0-V1)
ดังนั้น งานลัพธ์ W = P2V2 - P1V1
แต่ กระบวนการเกิดที่ Q = 0 (adiabatic process)
กระบวนการทร็อตลิง่ และ เอนทาลปี
ตามกฎข้ อที่ 1 ทำให้ได้ 0 = (U2-U1) + (P2V2-P1V1)
หรื อ U1 + P1V1 = U2 + P2V2 ปริ มาณ U+PV เรียกว่ า Enthalpy (H) ใช้มากในเรื่ อง
ดังนั้นในระบบโดดเดีย่ ว (m, Q คงที)่ H1 = H2 = … = ค่ าคงที่
โดยทัว่ ไป
H  U  PV H   U  PV   U  PV  V P  Q  V P

• เอนทาลปี มีสัมบัติคล้ ายพลังงาน และขึน้ อยู่กบั อุณหภูมิ T, ความดัน P และH


เทียบได้ กบั Q ถ้ าความดันคงที่ (P = 0)  H = Q
• ถ้ า H มีค่าเป็ นลบ  Q จะมีค่าเป็ นลบ แสดงว่ าปฏิกริ ิยาคายความร้ อน
• ถ้ า H มีค่าเป็ นบวก  Q ก็จะมีค่าเป็ นบวก แสดงว่ าปฏิกริ ิยาดูดความร้ อน
แผนผังเฟสของสาร

สารทีข่ ยายตัวเมือ่ ละลาย


(CO2)

สารทีห่ ดตัวเมือ่ ละลาย


(H2O)
จุดวิกฤตหรือจุดเปลีย
่ นเฟส
(Critical point or the transition point)

ค่ าอุณหภูมิและความดันวิกฤตของสารบางชนิด

การเปลีย่ นเฟสของเบนซีน
ตัวอย่ าง สมมติเครื่องยนต์ ความร้ อนเครื่องหนึ่ง ซึ่งใช้ ก๊าซอุดมคติจำนวน 10-2 โมล
ในการทำงานระหว่ างแหล่ งต้ นทาง แหล่งทีม่ อี ุณหภูมิ 370 เคลวิน และ 300 เคลวิน
และมีแผนภาพ P-V ดังรู ป จงหางานสุ ทธิของเครื่องยนต์ ใน 1 วัฏจักร
วัฏจักรเครื่องยนต์ ความร้ อนทำงาน 2 ชุด คือ
1. ขยาย (P1-P2)-อัดตัวแบบไอโซเทอร์ มอล (P3-P4)
2. แบบไอโซคอริก (P2-P3) และจาก (P4-P1)
W  W ( P1  P2 )  W ( P2  P3 )  W ( P3  P4 )  W ( P4  P1 )
2 4
dV dV
W  nRT1
1
V  0  nRT2
3
V
0 
V  V 
W  nRT1 ln 2   nRT2 ln 4 
 V1   V3 
W  nRT1 ln1.6  nRT2 ln1.6
W  nR ln1.6(T1  T2 )
W  10  2  8.31  0.47  (370  300)
W  2.7 J
สรุปสมการ
ความดัน P  F / A; P  P0   gh แรงตึงผิว F   l
แรงลอยตัว B  Vsub. g กฎของสโตก F  6 r v
F1 F2
เครื่ องอัดไฮดรอลิก(กฎของปาสคัล) A  อัตราการไหล Av  constant
A2
1
สมการแบร์นูลี
การขยายตัวทางความร้อน 1 2
P   v   gh  constant
l  l0 1  T  A  A0 1   T  2
F/A
V  V0 1  T  Young’s modulus Y 
l / l 0
dT AT1  T2 
การนำความร้อน H   kA แท่ ง หรื อ แผ่
น H  kAT1  T2  
dX Li
ทรงกระบอกกลวง ทรงกลมกลวงH  4 kLT k
a  Tb  i i
2 kLTa  Tb  1 1
H   
ln b / a a b
สรุปสมการ
การแผ่รังสี R  AT 4 ความร้อนคงที่ (adiabatic)
PV   constant
อัตราการเย็นตัว H   k ' T  TS 
T  Ts งานจากกระบวนการความร้อนคงที่
 e  k 't / mc P2V2  P1V1
T0  Ts W
1 
กฎของแก๊ส PV  nRT  NkT W
1 2 3
mv  kT เครื่ องกลความร้อน e  Q
H
2 2
ทฤษฎีจลน์แก๊ส QC
3kT เครื่ องทำความเย็น cop 
vrms  v 2  W
m QC TC
3 3
พลังงานภายใน U  NkT  nRT เครื่ องกลคาร์โนท์ Q  T
H H
2 2 dQ
กฎข้อที่ 1 U  Q  W เอนโทรปี (entropy) S   T

You might also like