Professional Documents
Culture Documents
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ
ความเชื่อ
ภาษา
บทความ ประวัติและความเปนมา (History of the Hmong people)
ปจจุบัน ยังไมมีผูใดสามารถสรุปไดวาชนชาติมงมาจากที่ไหน แตสันนิษฐานกันวามงคงจะอพยพมาจากที่ราบสูงธิเบต
ไซบีเรีย และมองโกเลีย เขาสูประเทศจีน และตั้งหลักแหลงอยูแถบลุมแมน้ําเหลือง (แมน้ําฮวงโห) เมื่อราว 3,000
ปมาแลว ซึ่งชาวเขาเผามงจะตั้งถิ่นฐานอยูในมณฑลไกวเจา ฮุนหนํา กวางสี และมณฑลยูนาน
มงอาศัยอยูในประเทศจีนมาหลายศตรรษ จนกระทั่ง ประมาณคริสตศตวรรษที่ 17 ราชวงคแมนจู (เหม็ง)
มีอํานาจในประเทศจีน กษัตริยจีนในราชวงคเหม็งไดเปลี่ยนนโยบายเปนการปราบปราม
เพราะเห็นวามงที่เปนผูชายสวนใหญแลวรูปรางหนาตาคลายกับคนรัสเซีย ทําใหคนจีนคิดวา มงเปนคนรัสเซีย
จึงเปนเหตุใหมีการปราบปรามมงเกิดขึ้น โดยใหชาวมงยอมจํานน และยอมรับวัฒนธรรมของจีน
และอีกประการหนึ่งคือเห็นวา มงเปนพวกอนารยชนแหงขุนเขา (คนปาเถื่อน)
จึงไดมีการตอสูกันอยางรุนแรงในหลายแหง เชน ในเมืองพังหยุนในป พ.ศ.2009
และการตอสูในมณฑลไกวเจาในระหวาง พ.ศ. 2276 - 2278 และการตอสูในมณฑลเสฉวนในระหวาง พ.ศ. 2306
– 2318
ปจจุบันชาวมงสวนใหญในประเทศไทย ตั้งถิ่นฐานอยูตามภูเขาสูง
หรือที่ราบเชิงเขาในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงราย พะเยา นาน เชียงใหม แมฮองสอน แพร ลําปาง กําแพงเพชร เลย
พิษณุโลก เพชรบูรณ สุโขทัย และตาก มีจํานวนประชากรทั้งสิ้นประมาณ 151,080 คน
ตกตอนเย็นสามีปางแชกลับจากทํางานในไรดวยความดีใจที่จะไดเห็นลูก
ของตัวเอง พอกลับถึงบานเมียนอยจึงไดนําลูกสาวมาให สามีปางแชดูจากนั้น
ฝายสามีก็ถามถึงลูกของเมียหลวงละ? เมียนอยจึงพูดขึ้นวาทองของเมียหลวงนั้น
เปนแคทองลมเทา นั้นไมสามารถที่จะคลอดมาได ฝายสามีไดฟงเชนนั้นจึงมี
โมโหเมียหลวงมาก จึงไดไลเมียหลวงไปอยูในคอกวัวกับวัว และใหมาทํางานใน
ไรทุกวันพรอมกับใหไปเลี้ยงวัวดวย ซึ่งกาลเวลาผานไป 1 - 2 ปแลวแมวัวที่กลืน
ลูกชายเมียหลวง เขาไปทองก็เริ่มแกและออกลูกมาเปนลูกวัวตัวผูซึงลูกวัวตัวนี้
สวยมากและเมียหลวงไปเลี้ยวัวทุกวันทําใหเมียหลวงเกิด ความรักและผูกพันกับ
ลูกวัวตัวนี้มาก ในบางวันที่ไลวัวไปเลี้ยงนั้นลูกวัวตองมานอนขางๆเมียหลวง
ตลอดเวลาและเมีย หลวงก็พยายามทําความสะอาดลูกวัว อยูมาวันหนึ่งเมียหลวง
ไดไลฝูงวัวไปเลี้ยงและดวยความคิดถึงลูกของตัวเองมาก จึงไดพร่ําออกมาแลว
น้ําตาของเมียหลวงหยดใสนัยสตาของลูกวัว แลวลูกวัวก็เปลี่ยนรางกลายเปน
มนุษยขึ้นมา แลว เมียหลวงกับลูกชายไดกอดกันดวยความรัก และลูกชายของ
เมียหลวงก็ไดช วยแมของตัวเองปกผาชวยแมเลี้ยงฝูงวัว ทุกวัน
พอตกเย็นลูกชายของเมียหลวงก็เปลี่ยนรางเปนลูกวัวดังเดิม เพื่อที่จะไดกลับบานเมียนอยก็เริ่มสังเกตเมียหลวง
วาทําไมมีความสุขกับการเลี้ยงวัวมาก ซึ่งเมียนอยก็รูอยูวาลูกวัวนั้นเปนลูกชายของเมียหลวงเอง หลังจากนั้นเมียนอยเริ่ม
คิดที่จะทําลายลูกวัว ตัวนี้โดยการแกลงไมสบายเปนไขทุกวัน และปลอยใหสามีปางแชกับเมียหลวงสองคนทํางานในไร
เทานั้น เมื่อสามีปางแชกลับจากที่ทํางานในไรเมียนอยก็หาวิธีการพูดใหสามีปางแชวา
ใหสามีปางแชไปดูดวงที่หนาผาวาตัวเองเปนอะไร และอะไรเปน
อัปมงคลจึงทําให ตัวเองไมสบายเชนนี้ เมียนอยจึงไดบอกทางใหกับสามีปางแช
ไปดูดวงที่หนาผา สวนเมียนอยก็ไปทางลัดและไปถึงกอนสามีปางแช พอสามี
ปางแชไปถึง ก็เริ่มจุดธูปเทียนแลวนําไปปกไวที่หนาผาแลวเอยถามวา เมียนอย
ของขาไมสบายมากขาจะทําอยางไรเมียนอยขาจึง จะหาย เมียนอยซึ่งซุมอยูดาน
หลังอยูกอนแลวจึงพูดออกไปวา เจาตองเอาผาปกของเมียหลวงของเจามาทําพิ
ธี รักษา เมียนอยเจา เพราะผาปกของเมียหลวงเจาเปนอัปมงคล ตองนํามารักษา
เทานั้นจึงจะหาย หากวาไมไดนํามาทําการ รักษาก็จะไมหาย ฝายสามีปางแชได
ฟงดังนั้นจึงรับปากแลวกลับบาน สวนเมียนอยเดินโดยใชทางรัดก็กลับถึงบาน
กอนสามีปางแชอีก พอสามีปางแชกลับถึงบาน ฝายเมียนอยก็ทําเสียงออดๆ
แอดๆถามสามีวาไปดูดวงแลวเจาที่หนาผา วาอยางไรบาง ฝายสามีก็บอกวาตอง
เอาผาปกของเมียหลวงมาทําการรักษาถึงจะหาย แลวเมียนอยก็บอกกับสามีวา
งั้น ก็ใหรีบจัดการทันที เพื่อตัวเองจะไดหายสักที ฝายสามีปางแชจึงไดนําผาปก
ของเมียหลวงมาทําพิธีในการรรักษา โดยการเผาเรียบรอย ในวันตอมาเมียหลวง
ไดนําฝูงวัวไปเลี้ยงอีกแลวลูกวัวจึงไดพูดวาแมของตัวเองวา ลูกจะชวยแม ปกผา
ผืนใหมใหแมอีก จากนั้นลูกวัวกับเมียหลวงไดสนิทสนมกันมาก เพราะทั้งคูเปน
สายเลือดเดียวกันจึงมีความผูกพัน
หลังจากนั้นลูกวัวก็เติบใหญขึ้น เมียนอยจึงคิดวาจะทําอยางไรกับลูกวัว
ตัวนี้ เพื่อที่จะไดทําลายเมียหลวงไดเต็มที่ เมียนอยเริ่มคิดแผนอีกครั้งโดยการ
แกลงปวยอีก แลวใหสามีปางแชช วยไปดูดวงที่หนาผาอีกครั้ง พอสามีปางแชไป
ถึง เมียนอยก็ไปถึงกอนอยูแลวจึงไดบอกกับสามีปางแชวา ตองนําลูกวัว ตัวนั้น
มาทําการรักษา โดยการ นําวัวมาทําผี (อัวะงูดั้ง) จึงจะหาย พอสามีปางแชกลับ
ถึงบาน เมียนอยจึงถามวาเจาที่หนาผาเคาพูดอยางไร สามีปางแชจึงบอกวาเปน
เพราะลูกวัวเปนอัปมงคลฉะนั้นตองนําลูกวัวมาทําการรักษาจึงจะหาย พอวันรุง
ขึ้นสามีปางแชจึงไดบอกกับเมียหลวงวาใหนําลูกวัวไปเลี้ยงแลว วันถัดไปจะนํา
ลูกวัวมาทําพีธี รักษาเมียนอยเพื่อใหเมียนอยหายจากโรคเสีย พอเมียหลวงได
นําฝูงวัวไปเลี้ยงจึงไดบอกกับลูกวัววา พรุงนี้เจาตองถูก พอเจานําไปฆาเพื่อทํา
การรักษาเมียนอย ลูกวัวกับเมียหลวงจึงไดหากลอุบายเพื่อที่จะใหลูกวัวรอดพน
จากการถูกฆาวันพรุงนี้ โดยที่ใหเมียหลวงหรือ แมของลูกวัว ใหไปตักน้ํามารด
บริเวณที่จะนําลูกวัวไปผูกเพื่อทําการฆา
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ
ความเชื่อ
ภาษา
บทความ
ปจจุบัน ในอดีตนั้นมงอาศัยอยูตามภูเขาอยูตามธรรมชาติ มงตองตรากตรําทํางานหนักอยูแตในไรเทานั้น ทําใหมง
ไมมีเวลาที่จะดูแลตัวเองและครอบครัว ดังนั้นชีวิตความเปนอยูของมงจึงเปนแบบเรียบงาย เพราะคลุกคลีกับ
ธรรมชาติเปนสวนใหญเทานั้น ชีวิตประจําวันของมงคือ จะทําไร ทําสวน และหารายไดเล็กนอยเพื่อจุนเจือครอบครัว
สวนเรื่องอาหารก็จะเปนเรื่องเรียบงาย
อาหารมง
5. การตากเมล็ดพันธุ
มงสวนใหญจะตากเมล็ดโดยการสรางซุมไวเหนือกองไฟ เพื่อที่จะตากเมล็ดพันธุตาง ๆ เนื่องจากมงสวนใหญจะอยู
ในเขตหนาว หรืออยูในปาลึกเขาไป ทําใหเปนอุปสรรคในการตากเมล็ดพันธุ มงจึงนิยมนําเมล็ดพันธุมาตากไวในบาน
เพราะมงตองทํางาน ในไรในสวน และไมมีเวลาที่จะเก็บเมื่อเวลาฝนตก ดังนั้นจึงนิยมตากในบาน
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ
ความเชื่อ
ภาษา ในอดีตมงมีความเชื่อวา การตั้งครรภเกิดจากผีพอผีแมใหเด็กมาเกิด เวลาใกลคลอดหญิงมีครรภจะไมไป
บทความ ไหนมาไหนโดยลําพัง จะตองมีเพื่อนไปดวยอยางนอย 1 คน การคลอดบุตรเปนไปตามธรรมชาติ โดยหญิงตั้งครรภ
จะนั่งอยูบนมานั่งขนาดเล็ก หนาหองนอนเอนตัวพิงสามี ปดประตูบานหามเด็กเขาไปยุงในบาน
ปจจุบัน
หลังจากคลอดเสร็จจะทําความสะอาดเด็ก ตัดรกดวยกรรไกร ถาเปนเด็กชายจะนํารกไปฝงไวที่เสากลางบาน
ซึ่งเปนเสาที่มีผีเสาสถิตอยู เพราะเด็กผูชายควรจะรูเรื่องผี ถาบุตรเปนหญิงจะฝงรกไวใตแครนอนของมารดา เพราะ
ตองการใหลูกสาวรูจักรักนวลสงวนตัว และรูจักการบานการเรือน
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ
ความเชื่อ มงเชื่อวาพิธีศพที่ครบถวนถูกตอง จึงจะสงวิญญาณผูตายไปสูสุคติ และควรที่จะตายในบานของตน หรือบานญาติ
ก็ยังดี เมื่อทราบแนชัดวาบุคคลนั้นใกลสียชีวิตแลว บรรดาญาติสนิทจะมาชุมนุมพรอมเพียงกัน เพื่อที่จะไดมาดูแลคนที่
ภาษา
ใกลจะเสียชีวิต มงมีความเชื่อวาการตายในบานของตนเองนั้น เปนผูมีบุญมาก เพราะไดเห็นลูกหลานของตนเองกอน
บทความ ตาย ผูตายจะไดนอนตายตาหลับพรอมกับหมด หวงทุกอยาง เมื่อแนใจวาสิ้นลมหายใจแลว ญาติจะยิงปนขึ้นไปบนฟา 3
ปจจุบัน นัด เปนสัญญาณบอกวามีการตายเกิดขึ้นในบานหลังนั้น
ชาวบาน หรือญาติใกลเคียงจะมาชวยกันจัดงานใหกับผูตาย โดยอาบน้ําใหศพกอน จากนั้นก็จะแตงกายใหศพ
ดวยเสื้อผาที่ลูกหลานไดเตรียมไวใหกอนตาย ซึ่งเปนผาปกดวยลวดลายงดงาม มีผารองศีรษะตางหมอน หากวาเปน
ผูชายจะมีผาคาดเอว หรือปกเสื้อ หากวาเปนผูหญิงบริเวณใบหนาจะคลุมดวยผาแดง เพื่อไมใหผูตายตองตากหนาตอ
หนาธารกํานัล ผูชายจะใหแตงกายดวยเครื่องแตงกายของผูหญิง สวนผูตายที่เปนผูหญิงจะใหแตงกายดวยเครื่องแตง
กายของผูชาย แลวนําศพไปวางนอนขนานกับฝาผนังซึ่งอยูตรงกันขาม กับประตูบาน ทั้งนี้ขึ้นอยูกับความเชื่อของแตละ
นามสกุลที่แตกตางกันออกไป จะมีการผูกขอมือญาติทุกคนดวยผาสีแดง หามแกะออกจนกวาจะเสร็จงานศพ บางแซจะ
มีการคาดศีรษะดวยผาสีขาว ดังเชนพิธีศพของชาวจีนชาวมงเชื่อวาเมื่อมีเด็ก หรือใครก็ตามที่หกลมบริเวณบานของผู
ตาย ใหรีบทําพิธีเรียกขวัญบุคคลนั้นกลับมา มิฉะนั้นวิญญาณของผูตายจะนําวิญญาณของผูหกลมไปดวย
ชาวมงมีความเชื่อวาระหวางการเดินทางไปยังปรโลก วิญญาณของผูตายอาจ
ถูกรั้งไว ดวยการปอกหัวหอมในชั้นปรโลก ทําใหเดินทางไปเกิดไดชาลง ดังนั้นชาว
มงจึงนิยมพัน นิ้วมือศพดวยดายสีแดง เพื่อใหวิญญาณสามารถอางไดวาเจ็บนิ้ว ไม
สามารถปอกหอมได รวมทั้งมีการสวมรองเทาใหศพ ตามความเชื่อที่วาวิญญาณจะ
ตองเดินทางฝาดงบุงยักษ ซึ่งศพจะถูกจัดวางบนแครหามสูงจากพื้นประมาณ 1 เมตร
ตั้งบนพื้นใกลศาล พระภูมิหรือศาลบรรพชน ภาษามงเรียกวา "สือ กาง-xwm kaab"
รอใหญาติมารวมกันครบ ระหวางรอญาติเดินทางมา จะมีการตั้งขาวใหศพ วันละ 3
เวลา แตละครั้งจะตองยิงปน 3 นัด และมีการจุดตะเกียงวางไวที่ลําตัวของศพ
เมื่อมีแขกที่ใหความชวยเหลือทุนทรัพยในการจัดพิธีศพ ทายาทของผูตายซึ่งเปนเจาภาพจะตองกลาวขอบคุณ
แขกผูนั้นดวย ซึ่งในคืนกอนวันที่จะนําศพไปฝงจะมีการสวด และบอกเรื่องราวตาง ๆ ในภาษามงเรียกวา "ฮา จืด สาย-
has txwv xaiv" โดยจะมีคนหนึ่ง ซึ่งร่ําเรียนมาทางดานการสวดโดยเฉพาะเปนผูบอกกลาว นิยมทํากันกรณีที่ผูตายเปน
ผูใหญที่มีลูกหลาน หรือญาติพี่นองเยอะ และผูตายเปนบุคคลที่มีชื่อเสียงเปนที่นับหนาถือตาซึ่งพิธีนี้ จะเปนการสั่งสอน
ลูกหลานวาเมื่อตัวเองไมมีหัวหนา ครอบครัวแลวควรจะทําอยางไรตอไป ซึ่งจะบอกเปนทวง ทํานองที่คลองจองกัน
ไพเราะและซาบซึ้งมาก หากไมไดฟงตั้งแตตนจนจบจะไมสามารถเขาใจในสิ่งที่พูดได จะพูดเปนเรื่องราวติดตอกัน
ตั้งแตเวลาประมาณสองทุมไปจนถึงสองยาม หรือประมาณตีสองตีสาม
มงหามฝงศพลูกในวันคลายวันฝงบิดามารดา เพราะเชื่อวาจะทําใหการ
ทํามาหากินไมเจริญ และหามนําศพอื่นไปฝงในระดับเดียวกันอีกในไหลเขานั้น
เวนแตจะฝงใหต่ํากวา หรือเยื้องไปจากศพที่ฝงไวกอน ถาฝงอยูในระดับเดียวกัน
จะทําใหผูตายแยงที่ทํากินกัน และจะกลับมารบกวนทําใหญาติพี่นองเจ็บปวย
หามฝงศพไวบนไหลเขาซึ่งมีหมูบานตั้งอยู สําหรับศพเด็กนิยมฝงไวในบริเวณ
เดียวกัน เพื่อใหเปนเพื่อนเลนกันแกเหงา มงเชื่อวาเด็กนั้นยังความกลัวผีมาก
ฉะนั้นจึงนําไปฝงที่ใกล ๆ กัน หรือที่เดียวกัน
ทางฝายพอแมเจาสาวฆาหมูหรือฆาไกก็ไดเพื่อเปนการขอบคุณแขกและตอนรับฝายเจาบาว และจะมีการแบง
หนาที่ในการรับผิดชอบ เชน คนทําขาว คนสับเนื้อ ในงานแตง เมื่อฝายเจาบาวมาถึงบานของเจาสาว “ แมโกง ” ทาง
ฝายของเจาบาวจะถามวาอยูบานไหม “ เม ปว งอ เช ” และพอแมทางฝายหญิงจะตอบวาอยู “ งอ ” และจะเปดประตูให
เขาบาน ทางฝายเจาบาวจะคาราวะญาติ และแขกทางฝายหญิงดวยการคุกเขาโดยมีเจาบาวและเพื่อนเจาบาวคาราวะ
และหลังจากนั้นพักตามอัธยาศัยและพอแมทางฝายเจาสาวเตรียมอาหารเพื่อใหฝายเจาบาวรับประทาน โดยบานฝาย
เจาสาวมี “ กางสื่อ ” เปนผูจัดเตรียมการ กอนรับประทานอาหารผูนํา (แมโกง )ของฝายเจาบาวจะสวดบทสวดซึ่งมี
เนื้อหาวา “ เราขอขอบคุณสําหรับการตอนรับและอาหารในมื้อนี้เปนอยางมาก ” การสวดบทสวดนั้นเพื่อเปนการขอบคุณ
ที่พอแมทางฝายเจาสาวฆาหมูอยางมีคุณคาจากนั้นรวมรับประทานอาหารรวมกัน และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ
พักตามอัธยาศัย
ซึ่งเปนเวลาที่พอแมเจาสาวสั่งสอนการใชชีวิตรวมกันระหวางเจาบาวและเจาสาว และหลังจากนั้นญาติพี่นองจะ
เอาของใหเจาสาว เชน จาน หมอ เสื้อผาและผาหมเปนตน กางสื่อจะเปนคนมอบขาวของใหเจาสาว จากนั้นแมโกงจะ
สวดบทสวดเพื่อเปนการขอบคุณสําหรับขาวของ กอนสวดบทสวดจะริมเหลาใหเจาบาวและเจาสาว และหลังจากนั้นแม
โกงจะสวดบทสวดเอารมกอนกลับ และฆาไกและหอขาวใหโดย ไกที่ฆานั้นจะผา ครึ่งตัวใหแมเจาสาว และอีกครึ่งตัวให
เจาสาว โดยครึ่งตัวที่ใหเจาสาวนั้นมีหัวไกดวย สวนขาวที่หอนั้นจะผาเปนสองสวน อีกสวนใหแมของเจาสาว และอีก
สวนใหเจาสาว เพราะถือวาเปนสิ่งที่ดีตอการใชชีวิตรวมกันของเจาบาวและเจาสาว และจากนั้นเจาบาวและเพื่อนเจา
บาวจะคุกเขาเพื่อขอบคุณแขกและคนเฒาคนแกกอนกลับ จากนั้นทางฝายเจาบาวจะพาเจาสาวกลับโดยผานประตูผีซึ่ง
เปนการจบขั้นตอนในการจัดงานแตงที่บานของเจาสาว เปนธรรมเนียมของคนมงเมื่อเดินทางกลับครึ่งทางจะมีการรับ
ประทานอาหาร เพื่อเสนไหวเจาที่เจาทาง และเมื่อเดินทางถึงบานเจาบาวแมโกงจะบอกวา เราไดพาเจาบาวและเจาสาว
ไปจัดงานแตงงานที่บานฝายเจาสาวเสร็จเรียบรอยแลว จากนั้นเจาบาวและเพื่อนเจาบาวจะคุกเขาคาราวะเพื่อขอบคุณ
พอแมและแขกที่มารวมงานแตงที่บานเจาบาว ขอบคุณทุกคนที่มาชวยงานในงานแตงครั้งน
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน หลังจากวางงานหลังฤดูเก็บเกี่ยว หนุมสาวมงจะหาโอกาสเกี้ยวพาราสีในเวลาค่ําคืน
หนุมสาวมงมีขอหามที่จะไมไมเกี้ยวพาราสี กับคนแซเดียวกัน หรือตระกูลเดียวกัน เพราะถือ
ประเพณี วาเปนพี่นองกัน สําหรับโอกาสที่ดีที่สุด คือเทศกาลปใหม มงทั้งชายหนุม และหญิงสาวจะ
การแตงกาย แตงกายดวยเสื้อผาสวยสดงดงาม ที่ไดรับการจัดเตรียมมาตลอดทั้งป ชายหนุมและหญิง
สาวจะจับคูโยนลูกบอล ซึ่งลูกบอลทําจากผาสีดํา และมีขนาดใหญกวาลูกเทนนิสเล็กนอย
ศิลปะ
ฝายหญิงเปนผูนําลูกบอลมาการโยนลูกบอลไป-มานั้น ฝายหญิง และชายจะยืนหางกัน
ความเชื่อ ประมาณ 4-5 เมตร หญิงสาวที่ยังไมมีคูจะเปนคนเขาไปทักชายหนุมที่ตนรูจัก หรือชอบพอ
ภาษา และยื่นลูกบอลใหเปนการขอเลนโยนลูกบอลดวย หากชายหนุมคนใดไมชอบพอหญิงสาวคู
โยนของตน ก็จะหาทางปลีกตัวออกไปโดยมิใหเสียมารยาท ระหวางเลนโยนลูกบอลไปมาจะ
บทความ สนทนาไปดวย หรืออาจเลนเกม โดยตกลงกันวาใครรับลูกบอลไมไดตองเสียคาปรับเปนสิ่ง
ปจจุบัน ของ หรือเครื่องประดับใหกับฝายตรงขาม การเสียคาปรับแกกันและกัน จะเปนการเปดโอกาส
ใหทั้งคูไดพบกัน และเกี้ยวพาราสีกันในตอนกลางคืน ในการเกี้ยวพาราสีจะกระทําที่บริเวณ
นอกบานของฝายหญิง เพราะการเกี้ยวพาราสีในบานถือเปนการผิดผี และรบกวนผูใหญ หรือ
เปนการไมใหเกียรติญาติฝายหญิง เมื่อชายหนุมแนใจวาพอแมของฝายหญิงสาวหลับหมด
แลว ตนจะเขาไปชิดฝาผนังบานขาง ๆ หองนอน ของหญิงสาว แลวกระซิบเรียก หรือเปาจาง
(จางเปนเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งทําจาก แผนทองเหลืองบาง ๆ ใชดีดที่ริมฝปากแลวเปาเบา ๆ
แผนโลหะจะสั่นสะเทือน และใหเสียงนุมเบาไพเราะนาฟง)
หากฝายหญิงจําเสียงไดวาเปนชายหนุมที่ตนชอบพอ ก็จะกระซิบ
ตอบ และพูดคุยดวย หรืออาจจะออกมาพบชายหนุมขางนอกบาน หากเสียง
ดัง และพอแมฝายหญิงไดยินจะติเตียน และฝายชายตองไมโตเถียงแตอยาง
ใด มิฉะนั้นอาจถูกปรับเงิน แตโดยปกติพอแมฝายหญิงจะเขาใจ และใหอิสระ
ลูกสาวในการพูดคุย หรือออกไปพบชายหนุมที่ตนเห็นวาเปนคนดี โดยวิธีการ
ปฏิบัติเชนนี้จึงมีผูขนานนามมงวา ผูไมอิ่มในรัก ปจจุบันยังคงนิยมวิธีนี้อยู
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
ในอดีตการหมั้นของมง จะนิยมหมั้นระหวางญาติลูกพี่ลูกนองตางแซกัน กลาวคือ ลูก
วิถีชีวิต ของพี่ หรือนองชาย กับลูกของพี่ หรือนองสาว การหมั้นจะกระทําตั้งแตบุตรของทั้งสอง
บาน ฝายมีอายุประมาณ 1 เดือน ทางฝายชายเปนผูไปหมั้น โดยนําสิ่งของตาม ธรรมเนียมไป
มอบใหบิดามารดาของฝายหญิง โดยทั้งสองฝายใหคํามั่นสัญญาตอกันวา ถาบุตรโตเปน
ประเพณี หนุมเปนสาวแลวจะใหแตงงานกัน ถาฝายใดฝายหนึ่งผิด สัญญาจะตองเสียคาปรับใหคู
การแตงกาย สัญญาตามธรรมเนียมการหมั้น ปจจุบันมงยังคงยืดถือปฏิบัติกันอยู แตพบนอยมาก
ศิลปะ
ความเชื่อ
ภาษา
บทความ การสูขอ
ปจจุบัน ในอดีตมงจะหาภรรยาใหกับบุตรชายของตน เมื่อมี
อายุประมาณ 14-16 ป หากรูวาบุตรชายไปชอบ
หญิงสาวลูกของใคร ถึงกับตองการไวเปนภรรยา
บิดาจะไหวผีดวยธูป 7 ดอก และตมไกเซนผี โดย
อธิษฐานวาหากบุตรของตนแตงงานกับ หญิงสาว
แลว จะอยูเย็นเปนสุขร่ํารวยมีเงินมีทองหรือไม ขอ
ใหผีตอบโดยดูลักษณะดี หรือไมดีที่ลิ้นไก และ
กระดูกขาไกที่ตนเซนไหว
ในทางตรงกันขามหากฝายหญิงสาวปฏิเสธการสูขอในครั้งนี้ เถาแกฝายหญิง
สาวจะยายโตะไปดื่มเหลากันขางนอกบาน เมื่อเหลาหมดขวดฝายชายก็จะลากลับบาน
หากฝายชายมีความปรารถนาอยางแรงกลาที่จะสมรสกับหญิงสาว แมจะถูกปฏิเสธการ
สูขอไปแลว 1 ครั้ง ก็จะพยายามไปสูขออีกถึง 2 ครั้ง หากไมสําเร็จก็เลิกรากันไปเอง
อยางไรก็ตาม ปจจุบันนี้มงบางหมูบาน ไมนิยมการสูขอแตนิยมการฉุด หรือหนีตามกัน
เมื่อทํามาหากินมีเงินทองแลวจึงไปสูขอ และจัดพิธีแตงงานในคราวเดียวกัน
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
ในอดีตสวนใหญแลวมงจะเปนครอบครัวขนาดใหญ ดังนั้นเมื่อคูบาว-สาวยินดี
การแตงกาย พรอมใจแตงงานดวยกัน ผูหญิงมงที่แตงงานแลวสวนใหญจะตองเตรียมตัวเพื่อที่จะให
ศิลปะ กําเนิดบุตร ผูหญิงมงจะตองทํางานทุกชนิด และตื่นนอนตั้งแตเวลา 04.00น – 05.00
น ตองตักน้ํา ตําขาว หุงหาอาหารใหสมาชิกในบานรับประทาน และหาอาหารใหสัตว
ความเชื่อ
เลี้ยงดวย พอฟาสางแลวตองเตรียมตัวเพื่อไปทํางานในไร เชน เก็บเกี่ยวฝน ถางหญา
ภาษา หรือเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ปลูกไวในไรหรือ หากวันไหนไมมีงานในไรก็ตองทํางานอยูกับ
บทความ บาน เชน ทอผาเลี้ยงลูก เปนตน สวนฝายชายที่เปนสามีจะสบายมากกวา คือนั่งจิบน้ํา
ชานอนสูบฝนเฝาบาน สนทนากับแขก แมวางานในกลางวันเสร็จสิ้นลงแลว แตใน
ปจจุบัน ตอนกลางคืนเธอตองปนฝน และทําใหรอนเพื่อใหสามีสูบ งานของเธอจะสิ้นสุดลง ก็
ตอเมื่อทุกคนในบานหลับกันหมดแลว
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ ในอดีตนั้นมงนิยมการแตงงานโดยการฉุดเปนสวนมาก การฉุดจะกระทําเมื่อหญิงสาวไมเต็ม
ใจรับรักชายหนุม จะใชวิธีการฉุด ซึ่งนําไปสูการแตงงานในภายหลัง บิดาทางฝายชายจะหาวิธีใน
ความเชื่อ การฉุด และจัดหาคนไปชวยบุตรชายของตนดวย การฉุดจะกระทํากันนอกบานโดยลวงหญิงรักออก
ภาษา จากบานพัก เพราะถาฉุดในบานถือวาเปนการผิดผี จะตองเสียคาปรับไหม ฝายหญิงสาวจะไมยอม
ใหความรวมมือ และกระทําทุกวิธีทางที่จะใหญาติชวยเหลือตนเอง ขณะแยงชิงกันญาติผูใหญทาง
บทความ
ฝายชายจะออนวอนญาติทางฝายหญิงใหปลอยหญิงสาวไปกับตน
ปจจุบัน
การหนีตามกัน
ในอดีตการหนีตามกันจะเกิดขึ้นบอยมาก เมื่อชายหนุมหญิงสาวมีความรัก
ใครชอบพอกัน แตฝายชายไมสามารถไปสูขอฝายหญิงสาวแตงงานได ชายหนุม
จะชักพาหญิงสาวที่ตนรักใหนําเสื้อผา และสิ่งของตาง ๆ ไปอยูที่บานของตน วัน
รุงขึ้นจึงสงผูแทนไปแจงใหบิดามารดาของฝายหญิงทราบ หญิงสาวจะชวยครอบ
ครัวของสามีทํามาหากิน เมื่อมีเงินทองเพียงพอแลว ฝายชายจะไปสูขอ และจัด
พิธีแตงงานตามประเพณี
ปจจุบันนี้ มงนิยมแตงงานดวยวิธีนี้ เพราะไมสิ้นเปลืองคาใชจายมาก การมีภรรยา
คนที่สองของมงมักเกิดขึ้นโดยวิธีหนีตามกันนี้ เพราะเปนการกระทําของบุคคล
สองคนเทานั้นไมมีญาติ หรือผูใหญเปนพยานในการใชชีวิตคู หากวาเกิดความ
ลมเหลว ในการใชชีวิตคูฝายชายสามารถที่จะหาหญิงสาวมาแตงงานใหมไดอีก
พิพิธภัณฑ ระบบเครือญาติของมงในประเทศไทยตระกูลแซของเผามงในประเทศไทยจะ
ขอมูลทั่วไป ประกอบดวย
วิถีชีวิต
l ตระกูลแซรี ซึ่งจะเปนมงเขียว หรือมงดํา
บาน l ตระกูลแซทาว เปนมงเขียว หรือมงดํา
ประเพณี l ตระกูลแซยาง เปนมงดํา หรือมงเขียว
การแตงกาย l ตระกูลแซมา หรือแซหาง เปนมงดํา หรือมงเขียว
l ตระกลูแซวือ เปนมงขาว และบางตระกูลแซวือ ก็เปนมงกัวมะบา
ศิลปะ l ตระกูลแซฟา เปนมงขาว
ความเชื่อ l ตระกูลแซวาง เปนมงขาว และบางตระกูลก็เปนมงเขียวหรือมงดํา
ภาษา
(ตระกูลแซรีกับตระกูลแซมามีตํานานวาในอดีตเปนญาติกัน แตดวยความไมรูของหนุม
บทความ สาว เนื่องจากมง สวนใหญจะอยูตามภูเขาใหญ และหางไกลกัน ดังนั้นมีหนุมมงแซมา
ปจจุบัน มาจีบสาวมงตระกูลแซรี จึงหนีไปอยูดวยกัน พอผูใหญรูเรื่องจึงไดเขาไปกีดกันไมให
อยูดวยกัน เนื่องจากเปนพี่นองกัน ดังนั้นหนุมสาวคูนี้จึงตัดสินใจหนีไป ตายดวยกัน
แลวชาวบานมงสองตระกูลไดเขาไปพบ และจึงนํามาฝงดวยกันแลว จึงหามใหสอง
ตระกูลนี้แตงงานดวยกัน เนื่องจากเปนพี่นองรวมปูกับยาดวย แตปจจุบันนี้ก็ไดมีสอง
ตระกูลนี้ไดแตงงานดวยกัน และกอนที่จะแตงงานนั้น ตองทําพิธีตัดญาติกันกอน ถึงจะ
แตงงานกันได)
การเรียงลําดับญาติและการเรียกชื่อ
การเรียกชื่อญาติทางฝายภรรยา การเรียกชื่อญาติทางฝายสามี
พอของภรรยาหรือ
เยอไต ปูของพอสามี เยอกง
พอตา
แมของภรรยาหรือ พอของสามี
หนาะไต จือ
แมยาย หรือปู
นองสาวของ
พี่สะไภของภรรยา หนาะดั้ง ปูงัน (แลวเรียกชื่อตามคําวาปูงัน)
สามี
นองสะใภของภรรยา หนาะดั้ง
ไรขาว
โดยในปจจุบัน การเกษตรกรรมของมงบางสวนจะมีการปลูกขาวในนาดวย
เพราะเนื่องจากมงไดอพยพมาตั้งรกราก ในพื้นที่ราบลุม และสามารถที่จะทํานา
ได ซึ่งการทํานาขาวของมงนั้นโดยสวนใหญ แลวมงจะดํานาไมเปน ซึ่งสวนใหญ
แลวมงจะจางใหคนที่มีความชํานาญในการดํานาเปนคนทําให แตมงก็มีความ
สามารถในการไถวานเปนอยางดี แตกอนนั้นมงไมมีเครื่องจักรในการไถวานขาว
เนื่องจากมงยังไมมีเงินในการจัดซื้อเครื่องจักร แตปจจุบันนี้มงทั้งที่อยูในประเทศ
ลาว และประเทศไทยมีเครื่องจักรในการไถหวานแลว ดังนั้น การเกษตรกรรมของ
มง บางกลุมก็ไมคอยลําบากเทาที่ผานมา แตมงบางกลุมที่อยูหางไกลความ
เจริญก็จะคอยขางลําบากมาก
นาขาว
ยังไมเพียงแตการทําการเกษตรไรขาวเทานั้น มงยังไดรับการพัฒนาที่จะปลูก
พืชตางที่เปนพืชเศรษฐกิจ มงจะมีการปลูกพืชเพื่อเปนการสงเสริมรายไดใหกับ
ตนเอง เนื่องจากวาปจจุบันระบบ เศรษฐกิจเริ่มเปลี่ยนไป และมงมีความตองการ
ในการใชเครื่องบริโภคเปนอยางมาก ดังนั้นมง จึงตองมีการดิ้นรนเพื่อที่จะไดราย
ไดมาจุนเจือครอบครัวของตนเอง พืชที่นิยมปลูกสวนใหญมาก ไดแก มะมวง
ลําไย ลิ้นจี่ มะขาม เลี้ยงไหม และผักที่นิยมปลูกมาเปนรายได ไดแก กะหล่ําปลี
ขิง ฝาย มะเขือเทศ มันสําปะหลัง ซึ่งมงบางสวนที่ยังปลูกดอกไมขายไดแก ดอก
คาเนชั่น ดอกกุหลาบ ฯลฯ
สวนมะมวง
การเลี้ยงสัตว
ในอดีต มงมีการเลี้ยงสัตวไวเปนอาหาร โดยไมไดทําคอก หรือลอมไว มัก
จะปลอยตามอิสระจึงทํา ใหสัตวเลี้ยงมีจํานวนนอย สวนมากนิยมเลี้ยง มา วัว
ควาย หมู ไก แพะ แกะ และลา สัตวที่ไดรับการ เลี้ยงดูเอาใจใสเปนพิเศษ ไดแก
มา เพราะสวนใหญมงจะใชมาเปนพาหนะในการขนยายของ หรือบรรทุกของเทา
นั้น สวนสัตวที่ไดรับการดูแลนอยกวาสัตวอื่น ๆ คือสุนัข ยกเวนสุนัขลาเนื้อที่มี
ความสามารถในการลาสัตวเทานั้น
การเลี้ยงสัตว
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ
ความเชื่อ
ภาษา มารยาททางสังคมของมง
มารยาททางสังคมที่ชาวเขาเผามงพึงมีตอกันเพื่อสรางความเขาใจ และความสงบสุขในการอยูรวมกันเปนหมู
บทความ
บานเดียวกัน สวนมากเปนขาปฏิบัติที่ไดรับแนวคิดมาจากคานิยมเบื้องตนในวัฒนธรรมประจําเผา มารยาทที่สําคัญ
ปจจุบัน ไดแก
1. มารยาทในการเยี่ยมบาน
แขกที่มาเยี่ยมบานแมวหรือมงนั้นจะตองเรียนรูวัฒนธรรมของมงใหรูกอนที่จะไปเยี่ยมบานแมวหรือมง เพื่อจะ
ไดไมเสียมารยาท แขกที่ตองการเขาไปเยี่ยมบานมงนั้นเมื่อเขาไปถึงบานที่ทานตองเขาไปสนทนาดวยนั้นจะตอง
ปฏิบัติ เมื่อแขกเดินไปถึงหนา ประตูบานมงนั้น ถึงแมจะเห็นวาประตูบานจะปดหรือเปด ก็ตองตะโกนถามคนในบาน
กอนวา “ไจจือไจ” เปนการถามเพื่อขอ อนุญาตเขาบานมง (คําวา ไจจือไจ นั่นมีความหมายวา ขออนุญาตใหเขาไป
ไดหรือไม) ถามีเสียงตอบในบานมาวา “จือไจ” แสดงวาเจาของบานมงยอมอนุญาตใหเขาบานได (คําวา จือไจ นั้น
หมายความวา อนุญาตใหเขาบานได) แตถามีเสียงตอบรับ วา ไจ ดังนั้นแขกที่มาเยี่ยมบานไมควรเขาไปเพราะอาจ
ทําใหผิดผี เพราะบานมงนั้นอาจจะประกอบพิธีกรรมอยูก็ไดในขณะนั้น แตถาบานหลังนั้นเปดประตูไวแตไมมีเสียง
ตอบรับ ไมควรถือสิทธิ์เขาในบานมงควรจะฝากขอความไวกับคนบานใกลเคียง ถาใน กรณีที่แขกมาเยี่ยมบานนั้นแลว
เจอกัน แลวบานไมไจ มงจะมีการตอนรับอยางดีโดยถา เปนแขกที่ไมใชญาติกันมงจะมีการตอบ รับ โดยรับดวยน้ําชา
หรือเหลา ขึ้นอยูกับความสัมพันธระหวางแขกคนนั้นกับคนในครอบครัวนั้น ถาเปนญาติกันก็จะมีการตอนรับ โดยฝน
มารยาทในการรับเครื่องรับรองจากเจาของบาน แขกจะตองดื่ม หรือลงมือรับประทานอาหารหลังจากที่เจาของบาน
ให พรอมกับเจาของบานมารยาทแขกที่จะตองคางคืนกับเจาของบานมง จะตองปฏิบัติดังนี้ แขกจะตองนอนในที่เจา
ของบานจัด เตรียมใหเทานั้น คือมงจะมีการจัดเตรียมที่นอนใหกับแขกไวใกลกับเตาไฟเล็กใหกับแคนอนเพื่อที่จะพัก
ผอนแขกที่คางคืน ในบานมงนั้นจะตองไมมีเพศสัมพันธกันในระหวางที่
- การพักคางคืนอยูในบาน
ระหวางที่อยูในบานพักมงนั้น แขกควรจะหลีกเลี่ยงอาหารที่ตองหามดังนี้ และจะตองไมกระทําอะไรที่เปน
อันขัดแยงกับความคิดเห็นของเจาของบาน เชน มงกลุมแซ “ลี หรือ รี” จะไมบริโภคมามของสัตวทุกชนิด มงกลุม
แซ “ยาง” จะไมบริโภคหัวใจของสัตวทุกชนิด มงกลุมแซ “วาง” จะตองไมนําผลไมที่มีรสเปรี้ยวที่ขึ้นเองตาม
ธรรมชาติในปา มารับประทานในบาน สิ่งเหลานี้เปนความเชื่อและเปนมารยาทของมงที่ปฏิบัติตอกันตั้งแตอดีตจนถึง
ปจจุบันนี้
- ขอควรสังเกตในการเยี่ยมบานมง
หากแขกไปเยี่ยมบานมงแลวพบประตูปดแลวมีไมหรือกิ่งไม หรือ
ตะแหลวแขวนอยูช ายคาหนาบานแขกก็ไมควรเขาไปรบกวนเรียกเจาของ
บาน เพราะเจาของบานมงกําลังอยูกรรม หรือ “ไจ” อยู การไจหรืออยูกรรม
ของมงนั้น มงถือวาเปนการหลีกเลี่ยงการเจ็บปวยอยางหนึ่ง ถาหากวา เจา
ของบานมีบุคคลใดคนหนึ่งเกิดไมสบายขึ้นมา มงถือวา ขวัญ หรือ ปลี่ อยู
ไมครบ ดังนั้นจึงตองมีการทําผี หรือ อั๊วเนงเพื่อเปนการรักษาคนปวยใน
ครอบครัวนั้น ดังนั้นเมื่อหมอผีจะอั๊วเนงหรือทําผีเรียบรอยแลว หมอผีจะเปน
คนที่บอกวาควรจะ อยูกรรม หรือ ไจ จะกําหนดระยะเวลาของการอยูกรรม
หรือ ไจ เลือกวันที่ควรจะอยูกรรมดวย เมื่อบานนั้นอยูกรรมบานนั้นจะมีไม
หรือกิ่งไมแขวนไวที่หนาประตูเพื่อเปนการเตือนหรือบอกใหผูอื่นรับรู หากวา
แขกที่มาเยี่ยมบานนั้นไมทราบ เกิดไปตะโกนถามคนในบานนั้นจะทําใหผี
เอาขวัญของคนปวยในบานนั้นไป และจะตองมีการทําผีหรืออั๊วเนงใหมอีก รูปไมตะแหลวแขวนไวหนาบานมง
ครั้ง โดยจะปรับแขกที่มาเรียกนั้นเปนคาปรับหรือเปนสัตวที่จะตองมาทําผี
หรืออั๊วเนงอีกครั้ง
2. มารยาทในการรวมพิธีกรรม
มงมีขอกําหนดในเรื่องการประกอบพิธีกรรมที่แตกตางกัน ตามความเชื่อของ แตละแซสกุลยอย พิธีกรรม
หนึ่งๆที่มีชื่อเหมือนกันและมีจุดประสงคอยางเดียวกัน อาจจะมีรูปแบบการประกอบพิธีกรรมแตกตางกันในสกุล
ฉะนั้น ถามีการเขารวม ในพิธีกรรมใดๆก็ตาม ถาเปนพิธีกรรมตางแซตางสกุลตางกันคนที่เปนเจาของงาน หรือเจา
ของพฺธีกรรมนั้นจะตองอธิบายถึงการวางตัวที่เหมาะสมใหกับแขกที่มารวม พิธีกรรมนั้นใหทราบโดยทั่วกัน
- มารยาทในการรวมงานพิธีศพ
เปนพิธีกรรมที่มงใหความสําคัญมากเปนพิเศษ หากวาเจาของบานมีงานศพขึ้น มงที่เปนเครือญาติจะตองมี
การแบงหนาที่ในการประกอบพิธีกรรมใหสมบูรณ เรียบรอยดังนั้นแขกที่จะมารวมพิธีกรรมในงานศพนั้นจะตองปฏิบัติ
ดังนี้ จะตองไมแสดงพฤติกรมรังเกียจสภาพศพที่เห็น เพราะมงจะนิยมไมนําศพใสในโลงศพ ทําใหแขกที่มารวมงาน
จะเห็นสภาพศพที่ขึ้นอืดจนนาเกลียดมาก ศพบางศพจะเนา และลิ้นจะโผลออกมาใหเห็นเลย ดังนั้นแขกที่มารวมจะ
ตองไมแสดงพฤติกรรม เหลานี้ออกไป
- มารยาทในการรวมงานปใหม
งานปใหมเปนเทศกาลอยางหนึ่งของชนเผามงที่จัดขึ้นในทุกๆ
รอบป ซึ่งจะจัดขึ้นในระหวาง ขึ้น 1 ค่ําเดือน หนึ่งของทุกป ซึ่งตรงกับ
เดือนธันวาคมของทุกปมงทุกหลังคาเรือนจะตองมี การฆาหมูเพื่อเปน
การเฉลิมฉลองงานปใหมรวมกัน การฆาหมูนั้นเปนการสรรสันตรวมกัน
และเปนการเซนไหวบรรพบุรุษดวย ดังนั้นแขกที่มาเยี่ยมบานมงนั้นมงจะ
มีการตอนรับเปน อยางดีและมงจะมีการตอนรับโดยเอาเหลามารับแขก
ซึ่งแกวที่นํามาใสเหลานั้นจะเรียกวา แกวแมวัว กับแกวลูกวัว ดังนั้น
หากวาเจาของบานเอาแกวแมวัวใหกับแขกดังนั้นแขกจะ ตองดื่มกอน
และตองดื่มใหหมด ถาไมหมดมงถือวาเปนการรังเกียจกัน ดังนั้นถาแขก
ดื่มไมหมดมงถือวาแขกคนนั้นไมอยากมีความสัมพันธกับตน หรือไมให
เกียรติกับเจา ของบานดังนั้นจึงถือวาความสัมพันธระหวางแขกกับเจา
ของบานขาดจากกัน แตถาเจาของ บานเอาแกวลูกวัวใหแขก แขกไดรับ
แกวลูกวัวแลวจะตองดื่มแกวเหลาใหหมด แตถาไม สามารถที่จะดื่ม
รูปมารยาทในการรวมงานปใหม หมดก็สามารถที่จะใหคนอื่นมาชวยดื่มแกวเหลาลูกวัวนี้แทนตัวเองได
และความสัมพันธระหวางแขกกับเจาของบานยังคงเหมือนเดิมหรือแนน
เฟนยิ่งขึ้นมารยาท ระหวางผูนอยกับผูใหญ
มารยาทเปนเครื่องมืออีกอยางหนึ่งที่จะชวยสรางการยอมรับซึ่งกันและกันระหวางผูนอยกับ
ผูใหญ มงมีรูปแบบหรือพื้นฐานของมารยาทที่สําคัญคือ
1. ผูนอยจะตองยอมรับฟงความคิดเห็น คําชี้แนะและแสดงความเคารพตอผูใหญ
2. ผูน อยหรือสมาชิกในหมูบานจะไดรับการดูแล หรืออุปถัมภ จากผูอาวุโสหรือผูใหญ
3. ใหสิทธิ์ในการตัดสินเด็ดขาดแกผูใหญเทานั้น
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ
ความเชื่อ ชาวเขาเผามงมีความยึดมั่นในขอปฏิบัติเฉพาะประจํากลุม ประจําแซสกุลของตนเอง มงแตละสกุลหรือแตละแซมาอยู
ภาษา รวมกัน เปนชุมชนหมูบานมง ทุกคนตางก็จะตระหนักถึงขอปฏิบัติใหอยูในกรอบ ซึ่งขอกําหนดหรือขอปฏิบัติมีดังนี้
บทความ
1. สมาชิกมงที่มีนามสกุลเดียวกัน จะแตงงานดวยกันไมได ถาจําเปนตองแตงงงานกันจริงๆ จะตองใหหญิงและชายคู
ปจจุบัน กรณี ทําพิธีตัดญาติกอน แลวจึงจะแตงงานกันได
4. หามไมใหชายอื่นที่ไมใชมงอยูกับสาวมงตามลําพังสองตอสองในที่ลับตา
5. หามใหพี่ชายมงแตงงานกับนองสะใภ
6. หามแขกมีเพศสัมพันธในบานมงที่เขาไปอาศัยอยู
7. หามตีกลองโดยพลกาลเด็ดขาด เพราะการตีกลองนั้นถือวาเปนเสียงสัญญาณของ
งานศพที่มีคนตาย ในหมูบาน ซึ่งกลองเปนเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่ใชในงานศพของ
มง และจะใชประกอบกับแคน
พิพิธภัณฑ
การนับวัน เดือน ปของมงนั้น
ขอมูลทั่วไป ซึ่งตามวิถีชีวิตความเปนอยูของมงสวนใหญจะอยู
วิถีชีวิต ตามภูเขาสูง ดังนั้นบรรพบุรุษ ของมงไดอาศัย
ธรรมชาติในการนับวันเพื่อเปนฤดูการเพาะปลูก
บาน
ตางๆ เชนชวง เดือนที่มีเสียงแมลงรองทั้งวันจะ
ประเพณี บอกเปนลางวาฝนจะตกแลวตองทําการเผาปา เพื่อ
การแตงกาย จะไดทําการเพาะปลูก ไมเพียงแตการเพาะปลูก
เทานั้น ยังมีการนับวันของ การเดินทางดวย เนื่อง
ศิลปะ จากมงมีความเชื่อเรื่องโชคลาง หากวาการเดินมี
ความเชื่อ การ เสี่ยงทายดูกอนที่จะเดินทาง เพื่อใหการติดตอ
หรือการสื่อสารประสบ ความสําเร็จ และมีโชดใน
ภาษา
การเดินทางอีกดวย หากจะเดินทางนั้นจะ ตองมี
บทความ การดูเวลาที่เหมาะสมในการเดินซึ่งการนับเดือน
ปจจุบัน ของมงนั้น ในหนึ่งปจะมี 12 เดือน แตมงจะนับ
เดือนธันวาคมเปนเดือนที่1 แลวเรี่ยงตามลําดับ
1. การนับเดือนของมง
การนับเดือนของมง มงจะมีการนับเดือนตามวัน หากวาเดือนใดที่มีขางขึ้นหรือขางแรม เพียง 14 วัน ก็แสดง
วาเดือนนั้น จะมี29วัน แตถาเดือนใดที่นับแลวมีขางขึ้นและขางแรม 15วัน ก็แสดงวาเดือนนั้นจะมี 30 วัน
อี้ลี้ดู 1 กุมภาพันธ
ออลี้ดู 2 มีนาคม
เปลี้ดู 3 เมษายน
เปลาลี้ดู 4 พฤษภาคม
จือลี้ดู 5 มิถุนายน
เจาลี้ดู 6 กรกฏาคม
เชี้ยงลี้ดู 7 สิงหาคม
ยี่ลี้ดู 8 กันยายน
จั๊วะลี้ดู 9 ตุลาคม
เกาออลี้ดู 12 มกราคม
2. การนับวันของมง
การนับวันของมงโดยทั่วไปแลวมงจะมีการนับวันเชนเดียวกับประเทศจีน และยึดถือปฎิทินฉบับเดียวกับคนจีน ซึ่ง
การนับวัน มงจะนับเปนขางขึ้นกับขางแรมโดยเริ่มนับจากขึ้น 1 ค่ําเปนวันที่หนึ่งของเดือนนั้น
และตรงกับวันหนูหรือชั้วะนู
ชั้วะนู วันหนู
งูนู วันวัว
จูอนู วันเสือ
ยางเหลานู วันงูใหญ
นั้งนู วันงูเล็ก
เนงนู วันมา
เมยเอะนู วันแพะ
หลานู วันลิง
คลานู วันไก
เดนู วันสุนัข
บั๊วะนู วันหมู
พิพิธภัณฑ
อุปกรณเครื่องใชของมงโดยปกติแลวมงจะมีการทํางานหนักในไรหรือในสวนตางๆ มงจึงมีการตีมีดใหเหมาะ
ขอมูลทั่วไป
สมกับงานที่ทําเชน การตัดไมจะตองใช มีดดามยาว (เมาะจั๊วะ) หรืออาจจะใชขวานก็ได สวนการทําอาหารตางจะใช
วิถีชีวิต มีดดามสั้นหรือมีดปลายแหลม สวนงานที่หนักจะตองใชมีดที่มีขนาดใหญ เหมาะกับการใชงาน
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ
ความเชื่อ มีดดามสั้นหรือมีดปลายแหลม (เจาะปลึ่อ) ตัวมีดจะมีความยาวประมาณ
15-25 เซนติเมตรตรงปลายมีดจะแหลมและคมมาก วิธีการประดิษฐ มีด
ภาษา
ปลายแหลมหรือมีดดามสั้นจะนําเสนเหล็กมาเผาใหแดง เพื่องายตอการตี
บทความ แลวจะตีตามแบบที่มีไวแลว มีดดามสั้นนี้จะเปนมีดที่ใชในการประกอบอาหาร
ปจจุบัน และใชพกติดตัว เมื่อออกไปลาสัตวในปา
มีด (เจาะปลึ่อ)
มีดดามยาว (เมาจั๊ว )
ขวาน (เตา)
ปนแกส (ปลอ-ยาง) เปนปนแกสมง ซึ่งมีลักษณะเหมือนปนยาว แตไมได
ใชกระสุนจริงกระสุนที่ใชจะเปนการเอาขลุยไมที่เหลามาผสมกับดินปน ซึ่งมง
ทําขึ้นเพื่อใชยิงสัตวตัวเล็ก เชน นก ลิง ปลา เปนตน
ปนแกสมง
รูปธนูมง
กระบุง (เกอะ)
กระดงมง
กระชอนมง
หมอขาวมง
ขันมง
กะทะ (เยีย)
การรีดน้ําออย
ซุมไก
รูปแยะ (yeb)
ครกกระเดื่อง
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
กฏขอบังคับของมง มีลักษณะคลายกับกฏหมายอังกฤษ (Common Law) คือ
ศิลปะ
เปนกฎหมายที่สืบเนื่องจาก จารีตประเพณีไดมีการบัญญัติไวเปนลายลักษณอักษร จะ
ความเชื่อ ตางกันตรงที่มงนําเอากฎหมายขอบังคับไปผูกไวกับภูติผี มงเองไมมีภาษาเขียน ชาว
ภาษา มงไดถือหลักปฏิบัติตามจารีตประเพณีอยางเครงครัด ชาวมงไมมีหัวหนาสูงสุด และไม
ไดรวมกันอยูเปนที่หนึ่งที่เดียวกัน แตแยกหมูบานออกไปปกครองกันเองเปนอิสระไม
บทความ ขึ้นอยูกับสังคม ซึ่งในแตละหมูบาน จัดเปนสังคมที่เล็ก สามารถเรียกวา ประชุมโดยตรง
ปจจุบัน ได การกําหนดวิธีการปกครอง ก็ใชวิธีออกเสียง ซึ่งทุกคนมีสิทธิเทากันหมด และถือ
เสียงขางมากเชนเดียวกับหลักสากลทั่วไป
หัวหนาหมูบาน
ในอดีตหัวหนาหมูบานมีฐานะเปนประมุข และผูนําหมูบาน หัวหนาหมูบาน
ไดมาจาก การเลือกตั้ง ซึ่งเปนตัวแทนในนามของหมูบานนั้น ๆ หัวหนาหมูบานมี
สิทธิแตงตั้งผูชวยได 2 คน ระยะเวลาในการดํารงตําแหนงหัวหนาหมูบานไมมี
กําหนดไว แตจะหมดสภาพก็ตอเมื่อตาย ลาออก อพยพไปอยูที่อื่น หรือถูกที่
ประชุมหมูบานปลดออกโดยการลงมติไมไววางใจ ซึ่งเปนการหมดสภาพทั้งสิ้น
หนาที่ของหัวหนาหมูบาน ไดแก เปนผูแทนของหมูบานในการเจรจาติดตอกับคน
ภายนอก รับผิดชอบในการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ตัดสิน ขอพิพาทระหวาง
ครอบครัว ตัดสินใจในการโยกยายหมูบาน หรือมีอํานาจพิเศษในกรณีฉุกเฉิน เชน
ความปลอดภัยของหมูบาน ในทางปฏิบัติแลว การบริหารงานของหัวหนาหมูบานจะ
ถูกควบคุมโดยผูเฒาผูแก ซึ่งเปรียบเสมือนคณะที่ปรึกษาหมูบาน ในทางออมจะ
เปนผูใหคําปรึกษาแนะนํา ซึ่งหัวหนาหมูบานไมจําเปนตองปฏิบัติตามเสมอไป แตมี
อิทธิพลตอหัวหนาหมูบาน ไมนอย เพราะเปนคณะที่สามารถคุมเสียงขางมากใน
การประชุมหมูบานในปจจุบันนี้ยังคงถือปฎิบัติอยู
การประชุมหมูบาน
การประชุมหมูบานนี้ มีหนาที่ออกกฎระเบียบขอบังคับกฎเกณฑตาง ๆ ที่ไมขัด
แยงกับจารีตประเพณี เพื่อบังคับใชภายในหมูบาน การประชุมไมจํากัดจํานวนเพศ วัย
ทั้งไมระบุวามีเทาใด จึงจะครบองคประชุม การออกเสียงถือหลัก 1 เสียง 1 คน หัวหนา
หมูบานจะเปนประธาน ในกรณีคะแนนเสียงเทากัน ประธานมีอํานาจชี้ขาดใหฝายใด
ฝายหนึ่งชนะ และในกรณีที่มีการเลือก ตั้งหัวหนาหมูบานขึ้นใหม ที่ประชุมจะเลือกผู
เฒาผูแกที่มีอาวุโสทําหนาที่เปนประธาน
กระบวนการยุติธรรม
ในอดีตเมื่อเกิดกรณีพิพาท หรือเหตุการณรายแรงในหมูบาน มงจะไม
ยินยอมใหเจาหนาที่รัฐบาลไทย เขาไปดําเนินการ ตามกระบวนการยุติธรรมแบงได
เปน 2 ประเภท
1. คณะผูเฒาผูแกของสกุล ตัดสินขอพิพาทระหวางคูกรณีที่อยูในสกุล
เดียวกัน ผูเสียหายนําความไปรองเรียนเพื่อใหคณะผูเฒาผูแกในสกุลเดียวกัน
ตัดสิน และจะถือวาคําตัดสินนั้นเปนการตัดสินที่เด็ดขาด ในกรณีเชนนี้หัวหนาหมู
บานจะไมเขามาเกี่ยวของ เพราะถือวาเปนเรื่องภายในครอบครัว
กลุมการเมือง
ในอดีตการปกครองของมงถือหลักเสียงขางมาก มงจึงรวมพลังกันไดเปนกลุม
เปนกอน เหมือนระบบพรรคการเมือง แตไมไดถืออุดมการณเปนเครื่องยึดเหนี่ยว
สมาชิก หากแตถือสายสัมพันธทางสกุลเปน เครื่องรวมพลังเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน
ฉะนั้นสกุลใดใหญมีสมาชิกมากก็จะมีเสียงขางมาก ในการดําเนินงานทั้งปวง แตก็อาจมี
สกุลเล็ก ๆ แตรวมกันได จนไดเสียงขางมากมาบริหารงานของกลุม แตละกลุมขึ้นอยู
กับผูเฒาผูแกที่มีอาวุโสของสกุลดัง เชนในกรณีเลือกตั้งหัวหนาหมูบาน ผูอาวุโสของ
แตละสกุลจะเรียกสมาชิกของสกุลมาประชุม เพื่อคัดเลือก ผูแทนเขาสมัครรับเลือกตั้ง
เปนหัวหนาหมูบาน ซึ่งกอนออกเสียงสวนใหญ แลวมีมติใหสมาชิกทุกคนทําตามมติที่
วางไว และสมาชิกทุกคนจะตองไปออกเสียงตามมติของกลุมของหมูบานอยางพรอม
เพรียงกัน หากพิจารณาการปกครองของชาวมงอาจเรียกไดวาเปนประชาธิปไตย เพราะ
มีอํานาจอธิปไตยเปนอํานาจสูงสุด ชาวมงไดใชอํานาจนี้ในการตัดสิน และกําหนดวิธี
การปกครองหรือกิจกรรมตาง ๆ ไดดวยตนเองในปจจุบันการปกครองของมงเริ่มจะมีการ
เปลี่ยนแปลงขึ้นกวาเดิมคือ วิธีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ผูที่จะไดเปนผูนํานั้นจะ
ตอมีความรูความสามารถในการติดตอสื่อการ กับสังคมภายนอกได
พิพิธ ภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย เปนที่ทราบกันดีอยูวา สังคมมงเปนสังคมเกษตรกรรมเทานั้น ชาวมงไมมีวันหยุดตามประเพณี นอกจากวันพิธ ีปใหมเทา
นั้น เวนแตจะหยุดตามเหตุการณดังตอไปนี้ มีผูเสียชีวิตในหมูบาน พิธีแ ตงงาน หรือ การประกอบพิธ ีกรรมของแตละครัว
ศิลปะ เรือน ดังนั้นกิจกรรมการเกษตร ซึ่งรวบรวมไดตามกําหนดเวลาในรอบปที่เกี่ยวกับไรขาว ขาวโพด พืช ผักตาง ๆ เปนตน
ความเชื่อ แตปจจุบันนี้มงเริ่มมีการเกษตรผสมผสานมากขึ้น โดยสวนใหญแลวเลิกการทําไรขาว ขาวโพด แลวจะทําขาวนาแทน
สวนผลไม ตลอดจนประกอบอาชีพอื่นมาเสริม เชน การปก ผา การทําเครื่อ งประดับทองขาว การทําเครื่อ งเงิน เปนตน
ภาษา
บทความ
ปจจุบ ัน ชวงเวลา/เดือน กิจกรรมในอดีต กิจกรรมปจจุบัน
จาก สุจริตลัก ษณ ดีผดุง. จากหนังสือสารานุกรมกลุมชาติ (มง). หนา 10, กันยายน 2538
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ หมูบาน
ความเชื่อ
ภาษา มงจะชอบตั้งบานอยูบนดอยสูง โดยเฉพาะอยางยิ่งมงบางกลุมจะมีการปลูกฝนเปนพืชหลัก แตในปจจุบันนี้ มงไดรับ
พระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว รัชกาลที่ 9 ใหอพยพมาตั้งรกรากอยูในพื้นราบลุมเขา และยังมีมง
บทความ บางกลุมก็ยังคงตั้งรกรากอยูบนดอย แตไมลึก เขาไปเทาไร การคมนาคมพอที่จะเขาไปถึงได หมูบานมงจะประกอบดวย
ปจจุบัน กลุมเรือนหลายๆหยอมแตละหยอมจะมีบานราวๆ 7-8 หลังคาเรือน โดยที่มีเรือนใหญของคนสําคัญอยูตรงกลาง สวน
เรือนที่เปนเรือนเล็กจะเปนลูกบานหรือลูกหลาน สวนแตละหยอมนั้นจะหมายถึงตระกูลเดียวกัน หรือเปนญาติพี่นองกันนั่น
เอง มงจะมีการยายบานเมื่อมีโรคระบาด หรือมีเหตุการณที่รายแรงเกิดกับหมูบาน หรือขัดแยงกับราชการจนตองมีการ
ตอสูเกิดขึ้น ในการยายแตละครั้งจะมีการยายแบบระมัดระวังที่สุด เมื่อใกลจะยายแลวมงมีการขุดหลุมเพื่อที่จะฝงสัมภาระ
ที่เปนหมอขาว-หมอแกง ที่ไมจําเปนมาก และจะทําเครื่องหมายบางอยางที่สามารถที่จะจําไดไว เพื่อยอนกลับมาเอาเมื่อ
เหตุการณสงบเรียบรอย เมื่อเริ่มยายมงจะนํามา เปนพาหนะในการบรรทุกของ โดยใหผูชายนําขบวนเดินทางพรอมกับ
แผวถางทางเดินใหกับผูหญิง และลูกเดินตามกับมาที่บรรทุกของดวย และจะไวผูชายที่มีอาวุธอยูทายขบวนคอยปองกัน
ดูแล เมื่อการเดินทางไปถึงบริเวณที่ตองการที่จะตั้งรกรากแลว การที่จะอยูในบริเวณนั่นไดนั้น จะตองใหคนที่เปนหมอผี
หรือคนทรงเจาจะเปนคนเสี่ยงทายพี้นที่นั้นกอน เพื่อความอยูรอดของมง
ลักษณะตัวบาน
3. ผนังบานที่ตรงขามกับประตูหลัก 4. เตาไฟใหญ
(เปนสถานประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตรของมง จะ
ประกอบดวยกระดาษที่ตัดมาติดเปนแผนใหญและยาวเปน
รูปสี่เหลี่ยม และมี การตั้งโตะหมูบูชาจะมีการนะกระปอง
หรือ กระบอกไมไผใสขาวเปลือก หรือ ขึ้เถา หรือขาวโพด
ก็ได จะนําธูปจํานวน 7 ดอกมาปกขาง ๆ กระบอกธูป จะมี
กระบอกสุรา และกระบอกน้ําไวเซนไหว)
ความเชื่อกอนที่จะปลูกบานเรือน
มงจะมีการเสี่ยงทายพื้นที่ที่จะมีการปลูกบานเรือนกอน เพื่อครอบครัวจะไดมีความสุข และร่ํารวย โดยกระทําดังนี้
เมื่อเลือกสถานที่ไดแลว จะขุดหลุมหนึ่งหลุมแลวนําเม็ดขาวสารจํานวนเทากับสมาชิกในครอบครัวโรยลงในหลุม แลว
โรยขาวสารอีกสามเม็ดแทนสัตวเลี้ยงเสร็จแลว จะจุดธูปบูชาผีเจาที่เจาทาง เพื่อขออนุญาต และเอาชามมาครอบกอน
เอาดินกลบ รุงขึ้นจึงเปดดู หากเมล็ดขาวยังอยูเรียบ ก็หมายความวา ที่ดังกลาวสามารถทําการ ปลูกสรางบานเรือนได
รอบ ๆ ตัวบานมักจะมีโรงมา คอกหมู เลาไก ยุงฉางใสขาวเปลือก ถั่ว และ ขาวโพด ในปจจุบันนี้มงยังมีความเชื่อนี้อยู
และปฏิบัติอยู
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
ประเพณีขึ้นปใหมหรือประเพณีฉลองปใหม ซึ่งเปนงานรื่นเริงของชาวมง
บาน ของทุก ๆ ป จะจัดขึ้นหลังจากไดเก็บเกี่ยวผลผลิตในรอบปเรียบรอย และเปนการ
ประเพณี ฉลองถึงความสําเร็จในการเพาะปลูกของแตละป ซึ่งจะตองทําพิธีบูชาถึงผีฟา - ผี
ปา – ผีบาน ที่ใหความคุมครอง และดูแลความสุขสําราญตลอดทั้งป รวมถึงผล
การแตงกาย ผลิตที่ไดในรอบปดวย ซึ่งแตละหมูบานจะทําการฉลองกันอยางพรอมเพรียงกัน
ศิลปะ หรือตามวัน และเวลาที่สะดวกของแตละหมูบาน ซึ่งโดยมากจะอยูในชวงเดือน
ธันวาคมของทุกป ประเพณีฉลองปใหมมงนี้ชาวมงเรียกกันวา “นอเปโจวฮ” แปล
ความเชื่อ
ตรงตัวไดวา “กินสามสิบ” สืบเนื่องจากชาวมงจะนับชวงเวลาตามจันทรคติ โดย
ภาษา จะเริ่มนับตั้งแตขึ้น 1 ค่ํา ไปจนถึง 30 ค่ํา (ซึ่งตามปฏิทินจันทรคติจะแบงออกเปน
บทความ ขางขึ้น 15 ค่ํา และขางแรม 15 ค่ํา ) เมื่อครบ 30 ค่ํา จึงนับเปน 1 เดือน ดังนั้นใน
วันสุดทาย (30 ค่ํา) ของเดือนสุดทาย(เดือนที่ 12) ของปจึงถือไดวาเปนวันสง
ปจจุบัน ทายปเกา ชวงวันฉลองปใหมสวนใหญจะตกอยูประมาณชวงเดือนพฤศจิกายน ถึง
เดือนมกราคม ในวันดังกลาวหัวหนาครัวเรือนของแตละบาน จะประกอบพิธีกรรม
ทางศาสนา เพื่อความเปนสิริมงคลของครัวเรือน ถัดจากวันสงทายปเกาไป 3 วัน
คือวันขึ้น 1 ค่ํา 2 ค่ําและ 3 ค่ําของเดือนหนึ่ง จัดเปนวันฉลองปใหมอยางเปนทาง
การ ซึ่งทุกคนจะหยุดหนาที่การงานทุกอยางในชวงวันดังกลาวนี้ และจะมีการ
จัดการละเลนตาง ๆ ในงานขึ้นปใหม เชน การละเลนลูกชวง การตีลูกขาง การ
รองเพลงมง
1. การละเลนลูกชวง
ในวาระขึ้นปใหมมงจะมีการละเลนเพื่อฉลองวันปใหมโดย
เฉพาะ การเลนลูกชวง (ntsum pob) หรือที่เรียกกันวา “จุเปาะ”
ลูกชวง (pob) มีลักษณะกลมเหมือนลูกบอลทําดวยเศษผา มีขนาด
เล็กพอที่จะถือดวยมือขางเดียวได การละเลนลูกชวง จะแบงกลุมผูเลน
ออกเปน 2 ฝาย คือ ฝายหญิงกับฝายชายโดยที่กอนจะมีการละเลน
ฝายหญิงจะเปนผูที่เอาลูกชวงไปใหฝายชาย หรือญาติ ๆ ของฝาย
หญิงเปนผูที่นําลูกชวงไปใหฝายชาย เมื่อตกลงกันไดก็จะทําการโยน
ลูกชวงโดยฝายหญิง และฝายชายแตละฝายจะยืนเปนแถวหนา
กระดานเรียงหนึ่ง หันหนาเขาหากันมีระยะหางกันพอสมควร แลวโยน
ลูกชวงใหกันไปมาและสามารถทําการสนทนา กับคูที่โยนได
การละเลนลูกชวง
จุดประสงคของการเลน
เพื่อความสนุกสนานเปนการฉลองปใหม และเปนการหาคูให
กับหนุมสาว เพื่อมิตรภาพที่ดีตอกัน สวนหญิงที่แตงงานแลวจะไมมี
สิทธิ์ในการเลนลูกชวงอีก เพราะถือวาผิดตามธรรมเนียมของมง สวน
ฝายชาย สามารถเลนไดแตอยูที่วาฝายหญิงจะทําการยินยอมเลนกับ
ตนหรือไม แลวแตฝายหญิงสาวคนนั้น การเลนลูกชวง ยังเปนการชวย
ฝกทักษะความชํานาญในการควาจับสิ่งของที่พุงเขามาปะทะใบหนา
อันเปนการฝกปองกันตัวจากสิ่งของที่ลอยมาหาใบหนาอยางกระทัน
หันไดดวย ในชวงระหวาง การเลนลูกชวงหนุมสาวที่เลนลูกชวงจะรอง
เพลงโตตอบกัน เพิ่มความสนุกสนานในการเลน
กติกาการเลน
มีการปรับผูแพขึ้นอยูกับความพึงพอใจของผูเลนเอง ไมมีกติกากําหนดตายตัวแตประการใด ชาวมงมีการ
เลนลูกชวงเปนวัฒนธรรมประจําเผามาชานานแลว ชนเผาอื่นในไทยไมมีการละเลนในทํานองนี้ มงไดสืบทอด
วัฒนธรรมการเลนลูกชวงมาตั้งแตสมัยที่ยังอาศัยอยูในประเทศจีน ซึ่งในสมัยที่ยังอาศัยอยูในประเทศจีนนั้น ในทุกๆ
ปของชวงเดือนแรกในฤดูใบไมผลิจะมีการเลน "ระบําดวงจันทร (Moon dance)" โดยจะประดิษฐจากเศษผาสี
ตาง ๆ เปนลูกบอลเล็ก ๆ เรียกวา ลูกบอลลี เปาหมายอยูที่คนรักของแตละคน (มงที่อยูในประเทศจีนจะมีงาน
ฉลองลูกชวงในเดือนแรกของฤดูใบไมผลิ ซึ่งตรงกับเดือนมีนาคม -เมษายนของทุกป สวนมงที่อยูในประเทศไทย
จะมีการฉลองงานลูกชวงในเดือนธันวาคม - มกราคมของทุก ๆ ป ) ลูกชวง หรือลูกบอลที่ใชเลนกันในหมูบาน มง
ในประเทศไทยนั้นบางหมูบานทําดวยผาสีดํา ซึ่งตรงกันขามกับมงในประเทศจีนที่นิยมเลนลูกบอลที่มีสีสันสดใส
จุดประสงคการเลน เพื่อความสนุกสนานสรางความสัมพันธกับ
เพื่อนบานดวยกัน
การประดิษฐลูกขาง
สําหรับลักษณะของลูกขาง จะทํามาจากไม กลาวคือจะมีการ
นําทอนไมขนาดเสนผานศูนยกลางประมาณ 3 - 5 เซ็นติเมตร ตาม
ความตองการ และความเหมาะสมของผูเลน นํามาตัดเปนทอนๆยาว
ประมาณทอนละ 5 นิ้ว แลวนําไมที่ตัดเปนทอนนั้นมาทําการตัดแตงตาม
ตองการ โดยสวนหัวจะมีลักษณะทู ๆ ราบเรียบในขณะที่สวนหางหรือ
สวนที่ใช หมุนยืนพื้นนั้นจะทําใหมีลักษณะแหลมคลาย ๆ ดินสอ
วิธีการละเลน
เมื่อตองการเลนก็จะนําไมที่ผูกเชือกยาวประมาณสองถึงสาม
เมตรมามวนรอบลูกขาง โดยมือขางหนึ่งจะถือลูกขางที่ถูกเชือกหมุนพัน
รอบไว และมืออีกขางจะถือไมที่ผูกเชือกที่หมุนรอบลูกขางไว แลวเอา
มือทั้งสองสะบัดไปขางหนา พรอมดึงไมที่ผูกเชือกไวอยางแรง แลว
ลูกขางจะตกสูพื้นแลวหมุน ซึ่งในกติกาในการเลนจะถูกแบงออกเปน
สองฝาย โดยที่ฝายหนึ่งจะเปนฝายตีลูกขางที่กําลังหมุนอยูของอีกฝาย
โดยฝายที่ตีนั้นจะตองพยายามตีลูกขางใหถูกมากที่สุด ซึ่งถาหาก
สามารถทําการตีถูกมาก ก็จะสามารถทําการตีตอไปได แตหากตีไมถูกก็
จะตองเปลี่ยนมาเปนฝายหมุนลูกขางใหอีกฝายผลัดไปเปนฝายตีแทน
การเลนลูกขางนี้ นอกจากจะไดรับความสนุกสนานจากการเลนแลว ยัง
เปนการฝก และทดสอบความแมนยําทางดานสายตาดวย ป จจุบันการ
ละเลนลูกขางเริ่มหายไปตามวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป อยางไรก็ตาม การเลน
ลูกขางก็ยังมีใหเห็นอยูบางในชวงเทศกาลปใหมมง หรือเทศกาลตาง ๆ
ของชนเผา
3.1 เพลงใบไม
บรรพบุรุษมงรูจักนําใบไมมาเปาเปนเสียงเพลงตั้งแตอดีตกาลมาแลว อยางเชนชาวจีนทั่ว ๆ ไป เนื่องจากแตไหน
แตไรมามงอาศัยอยูกับธรรมชาติปาไม และหุบเขามาโดยตลอด จึงรูจักสรางเสียงเพลงจากใบไมออกมาเปนเสียง
เพลง ซึ่งใบไมที่ใชเปา และเสียงกองกังวานดีที่สุด และไกลกวาใบไมชนิดใด ๆ ก็คือ “ใบกลวย” ดวยเหตุนี้ในยาม
ที่เดินไปทําไรทําสวนในปา ก็จะมีการนําใบกลวยมาเปาเปนเสียงเพลงเรียกกัน หรือบงบอกที่อยู หรือจุดของตนเอง
วาในขณะนั้นตัวเองอยู ณ จุดใดของเสนทางหรือปา อีกทั้งหนุมสาวยังใชเปนสื่อในการใชเรียกกัน หรือเกี้ยวกัน
และกันดวย โดยจะใชเปา โตตอบ หรือเรียกหากันขามหุบ หรือดอยในขณะที่กําลังทําไรทําสวนกัน ในการเปาใบไม
ออกมาเปนเสียงเพลงนี้ตองใชแรงลมในการเปามาก จึงมักเหนื่อยเร็ว ตอไปนี้เปน ลักษณะเนื้อรองของเพลงใบไม
3.3 เพลงรองในเทศกาลวันขึ้นปใหม
งานฉลองวันขึ้นปใหมมีความหมายสําหรับหนุมสาวมงโดยเฉพาะ เปนโอกาสที่ผูใหญอนุญาตใหหนุมสาว
ไดมีโอกาสพบปะกันอยางเต็มที่ ในวันขึ้นปใหมหนุมสาวจะเลนลูกชวง และมีการรองเพลงโตตอบกัน ในโอกาสนี้
หนุมสาวมีสุข สนุกสนานกับการเลน และการรองเพลง ความหมายของเพลงที่ใชรองโตตอบกัน เปนไปในทํานอง
เกี้ยวพาราสีกัน บางคูอาจถือโอกาสสารภาพความในใจของตนเอง หรือขอแตงงานเลยก็ได ตอไปนี้เปน ตัวอยาง
เนื้อรองของเพลงที่รองในเทศกาลขึ้นปใหม
การเปาขลุยมง
การฟอนงิ้วมง
5. การแสดงการรํากระดงของมง จะแสดงในงานเทศกาลปใหม
และวันสําคัญตาง ๆเ ทานั้น เปนการสื่อถึงเครื่องมือเครื่องใชของมง ซึ่ง
อดีตนั้นมงนิยมใชกระดงในการฟดขาว หรือใชเปนอุปกรณในการทํา
ขนมมง ดังนั้นมงจะขาดกระดงไมไดเลย ซึ่งกระดงมี ความสําคัญตอมง
มากเกี่ยวกับชีวิตประจําวัน
การรํากระดงมง
6. การแสดงการรําเก็บใบชาของมง จะแสดงในงานเทศกาลปใหม
และวันสําคัญตาง ๆ เทานั้น เปนการสื่อถึงเครื่องใชในชีวิตประจําวัน
ของมงซึ่งอดีตมง นิยมเก็บใบชานํามาตมเปนน้ําชาดื่มในชีวิตประจํา มง
จึงไดมีการรําลึกถึงคุณคาของใบชาที่ชวยทําใหรางกายมงสมัยกอน
คอนขางแข็งแรง สามารถตรากตรําทํางานหนักไดตลอดทั้งป
การรําเก็บใบชามง
การรําเปาแคนมง
การรําใบพัดมง
9. การแสดงการนั่งรถแขงของมง การแขงขันรถสามลอจะมีเฉพาะ
ในเทศกาลปใหมเทานั้น จะเปนการเลนของเด็ก และผูใหญ ซึ่งสมัย
กอนมงไมมีรถ หรือยวดยานพาหนะใชในการเดินทาง และไมมีของเลน
ใหกับเด็ก ๆ ไดเลนกัน เนื่องจากอยูหางไกลจากความเจริญมาก ดังนั้น
ไมสามารถที่จะหาซื้อของเลนใหกับเด็ก ๆ เลนได ดังนั้นผูใหญจึงไดคิด
คนสรางรถสามลมขึ้นใหกับ เด็ก ๆ ไดเลนกัน ตอมาจึงไดมีการนํามาขี่
แขงขันกัน และไดมีวิวัฒนาการที่จะพัฒนาใหมีขนาดใหญขึ้น เพื่อให
ผูใหญสามารถที่จะเลนได จึงไดมีการประกวดแขงขันกันวา รถคันไหน
ไปไกลที่สุด และรถคันไหนตกแตงไดสวยงามที่สุด
การเลนรถสามลอมง
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ประเพณีกินขาวใหมของมง เปนประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแตสมัยรุนทวด – รุน
ศิลปะ ปู ซึ่งมงจะมีความเชื่อวาจะตองเลี้ยง ผีปู-ผียา เพราะชวงเวลาในหนึ่งรอบปหรือใน
ความเชื่อ หนึ่งปที่ผานมานั้นผีปู – ผียา ไดดูแลครอบครัวของแตละครอบครัวเปน อยางดี ดัง
นั้นจึงมีการปลูกขาวใหมเพื่อจะเซนบูชา คุณผีปู-ผียากับเจาที่ทุกตน ซึ่งการกินขาว
ภาษา
ใหมจะทํากันในเดือน ตุลาคมของทุกป ขาวใหมคือขาวที่ปลูกขึ้นมาเพื่อที่จะเซน
บทความ ถวายใหกับผีปู-ผียา แลวสุกในระหวางเดือนกันยายน ถึง ตนเดือนตุลาคม แลวจะ
ปจจุบัน ตองเก็บเกี่ยวโดยเคียวเกี่ยวขาวที่มีขนาดเล็ก เพราะเคี่ยวที่ใชเกี่ยวนั้นสามารถที่จะ
เกี่ยวตนขาวไดเพียง 3-4 ตนเทานั้น จะเริ่มเกี่ยวไดเมื่อรวงขาวสุกแตยังไมเหลือง
มาก ตองเกี่ยวตอนที่รวงขาวมีสีเขียวปนเหลือง เมื่อเกี่ยว เสร็จก็จะนํามานวดใหขาว
เปลือกหลุดออกโดยไมตองตากใหแหง นําขาวเปลือกที่นวดเรียบรอยแลวมาคั่วให
เม็ดขาวแข็งและเปลือกขาวแหง เพื่อใหสะดวกในการตําขาว ในอดีตนั้นนิยมการตํา
ขาวดวยโคกกระเดื่อง เมื่อตําเสร็จเรียบรอยนําขาวมาหุงเพื่อเซนไหวผีปู-ผียา ซึ่งใน
การทําพิธีเซนผีนั้น สามารถทําโดยการนําไกตัวผูมาเซนไหวตรงผีประตูกอน
โดยการนําไกที่ตมทั้งตัวมาประกอบพิธีซึ่งตําแหนงที่จะตองเซนไหวมี
5 แหงไดแก สื่อกาง ดั้งขอจุบ ดั้งขอจุด ดั้งขอจอง ดั้งจี้ดั้ง ขณะทําพิธี
ตองสวดบทสวดเพื่อที่บอกใหสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือไดรับรูและ เขามา
ทานกอน เมื่อทําพิธีเสร็จคนในบานถึงจะสามารถทานตอได ซึ่งพิธีกิน
ขาวใหมนั้นไดสืบทอด มานานหลายชั่วอายุคน
พิพิธภัณฑ
ลักษณะการแตงกายมงขาว หรือมงดาว
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
ชาย หญิง
บาน
ประเพณี
การแตงกาย ตัวเสื้อจะเปนผากํามะหยี่ เสื้อแขนยาวจรดขอ ตัวเสื้อจะเปนผากํามะหยี่ เสื้ออาจจะเปนสี
ศิลปะ มือ ชายเสื้อจะยาวคลุมเอว ดานหนามีสาบเสื้อสอง น้ําเงินเขมหรือดํา แตปจจุบันก็มี การเปลี่ยนแปลงใหมี
ขางลงมาตลอดแนว สายเสื้อลงไปยังชายเสื้อ ดาน หลากสีมากขึ้น เปนเสื้อแขนยาว ซึ่งที่ปลายแขนนี้ มี
ความเชื่อ
หลัง มักจะปกลวดลายสวยงามดวย ปจจุบันนิยมใส การปกลวดลายใสดานหนามีสาบเสื้อสองขางลงมา
ภาษา ซิปลงขอบ สาบเสื้อ เพื่อสะดวกในการใส สวนกางเกง และมีการปกลวดลาย ใสดวย การแตงกายของหญิง
บทความ จะสวมใสกางเกงขากวย หรือกางเกงจีนเปาตื้นขาบาน มงขาว (มงเดอะ) เดิมจะสวมกระโปรงจีบ รอบตัวสี
มีลวดลายนอย และใสผาพันเอวสีแดง คาดทับ ขาวลวนไมมีการปกลวดลายใด ๆ เมื่อสวมใสจะปลอย
ปจจุบัน กางเกง และอาจมีเข็มขัดเงินคาดทับอีกชั้นหนึ่งดวย รอยผาไว ดานหนา พรอมกับมีผาสี่เหลี่ยมยาวปกลวด
เหมือนกัน ลายปดทับรอยผา มีผาแถบ สีแดงคาดเอวไวชั้นหนึ่ง
โดยผูกปลอยชายเปนหางไวดานหลัง ปจจุบันนิยม
ใสกระโปรงสีขาวเฉพาะงานสําคัญเทานั้น เพราะ
กระโปรงขาวเปรอะเปอนไดงาย จึงหันมานิยมสวม
กางเกงทรงจีนกับเสื้อแทนกระโปรง และมีผาสี่เหลี่ยม
ผืนยาวหอยลงทั้งดานหนา และหลัง ผานี้มักจะปก
ลวดลาย สวยงามมีผาแถบสีแดงคาดเอว สําหรับ
เครื่องโพกผมของหญิงมงขาวนั้น นิยมพันมวยผม
คลอยมาดานหนา และใชผาสีดําโพกผมเปนวงรอบ
ศีรษะ โดยมีการปกลวดลายไวดวย นอกจากนี้ยังมี
เครื่องประดับอื่นประกอบเพิ่มเติม ซึ่งมักจะสวมใสกัน
ในงานสําคัญจําพวกเครื่องเงิน กําไลคอ กําไลขอมือ
ตุมหู แหวน รวมทั้งเหรียญเงินขนาดตาง ๆ ทั้งรูปวง
กลม และสามเหลี่ยม ที่ประดับตามเสื้อผาแพรพรรณ
รวมทั้งสายสะพายปกลวดลายสวยงาม เวลาใชจะ
สะพายไหลเฉียงสลับกันสองขาง
การแตงกายของมงขาวชายในอดีต การแตงกายของมงขาวหญิงในอดีต
การแตงกายของมงขาวชายในปจจุบัน การแตงกายของมงขาวหญิงในปจจุบัน
ลักษณะการแตงกายของมงดํา
ชาย หญิง
การแตงกายของมงดําชายในอดีต การแตงกายของมงดําหญิงในอดีต
การแตงกายมงดําชายในปจจุบัน การแตงกายมงดําหญิงในปจจุบัน
ลักษณะการแตงกายของมงกั๊วมะบา
ชาย หญิง
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ
ในอดีตผาปกชาวขาวสวนใหญจะใช
ความเชื่อ
ผาไหมดิบที่ผลิตเองมาปกเปนลวดลายตาง ๆ
ภาษา ซึ่งลวดลายเหลานี้ มงคิดคนออกแบบของ
บทความ ลวดลายเอง ปกติแลวมง จะมีความประณีต
ในการคิดลวดลาย และการปกลวดลายตาง ๆ
ปจจุบัน ซึ่งจะเห็น ไดจากกระโปรงของมงที่ทําจากผา
บาติกกับผาปก และเมื่อมีการปกลายเรียบ
รอยแลว จะนํามาแปลรูปเปนเสื้อผาที่จะสวม
ใสในเทศกาลปใหม หรือในวันสําคัญตาง ๆ
และสามารถที่จะประดิษฐเปนเครื่องใชอยาง
อื่นได เชน ถุงยาม กระเปาสะพาย กระเปาเป
กระเปาใสสตางค ถุงใสโทรศัพทมือถือ
เครื่องใชอื่น ๆ เปนตน ซึ่งผาปกของมงจะมี
ลวดลายที่แตกตางกันไป และมีชื่อเรียกแตก
ตางกัน
ผาบาติกชาวเขาเผามง
ในอดีตมงมีการนําผาไหมดิบที่ทอเองมาเขียนเปนลวดลายตาง ๆ เพื่อที่จะทําเปนกระโปรงของผูหญิงมง ซึ่งผา
ไหมนั้นทํามาจากเปลือกของเสนใยกัญชงที่แหงสนิท จากนั้นจะนํามาฉีกออกเปนเสนเล็ก ๆ เพื่อที่จะไดเสนดายที่มี
ขนาดเล็กเหมาะสมกับการทอผา ซึ่งทั่วไปจะนําเสนใยกัญชง ที่แบงเปน 4 สวน หรือแบงออกเปนอีก 16-20 เสน จากนั้น
จะนําเสนใยกัญชงไปตําในครกกระเดื่อง เพื่อใหเปลือกนอกที่หุมติดกับเสนใยหลุดออกไป ใหเหลือแตเสนใยแท ๆ เทา
นั้น เพราะเสนใยกัญชงแทจะมีความออนตัว และสะดวกแกการปน
หลังจากที่มีการตําเสนใยกัญชงเรียบรอยแลวก็จะนํามาพันมวน ๆ เปนกอนโดยใชตีนดั่ว (ตีนดั่ว เปนเครื่องมือ
เฉพาะในการพันเสนใยกัญชง) ทํามาจากไมกลม ๆ เสนผาศูนยกลางยาวประมาณ 8-10 นิ้ว มีที่ถือทําดวยหวายถักใน
ขณะที่นํามาพันแกนไมนั้น จะมีการตอเสนใยกัญชงแตละเสน โดยใชนิ้วมือขยี้สวนปลายของเสนใยกัญชงใหแตกออก
เปนสองเสน จากนั้นก็จะนําอีกเสนหนึ่งมาตอกับเสนเดิม เมื่อเสนใยกัญชงเต็มแกนแลวจะคลายกับรองเทาจีน จากนั้นจึง
ถอดไมออกเก็บมวนเสนใยไว นําไปจุมน้ํารอนใหออนตัว แลวนําไปตีเปนเกลียว โดยผานการเขาเครื่องตีเกลียว นั่นคือชั้ว
ดั่ว เสนใยที่ผานการปนเปนเกลียวแลวจะกรอไวในแกนที่เรียกวา ซาย ซึ่งเครื่องชั่วดั่วเครื่องหนึ่งสามารถที่จะใจแกนเสน
ใยกัญชงไดครั้งละ 4 - 6 แกนเมื่อเสร็จก็จะเปลี่ยนชุดใหมอีก
จากนั้นก็ดึงดายออกจากแกนเขาเครื่องโกลเพื่อเก็บตอไป จากนั้นนําดายเสนใยกัญชงมาฟอกสีและทําใหดาย
ออนตัว โดยนํามาตมกับน้ําขี้เถาประมาณ 4 กาละมัง นํามารอนเศษถานออกแลวผสมน้ําใสลงในกะทะใบบัวเสนผาศูนย
กลางประมาณ 3 - 3 1/2 ฟุต เอาไจดายกัญชงลงตมจนดายนิ่มยกลง และเอาไจดายคลุกกับขี้เถา แชไวเชนนั้น เมื่อแหง
สนิทแลวนําไปตมกับน้ําขี้เถา แชไว 1 คืน ลางขี้เถาออกใหหมด ตากใหแหง ทําซ้ําเชนนี้จนกวาเสนใยจะขาวจนพอใจ
จึงซักใหสะอาด
จากนั้นก็นําเสนดายที่ปนเรียบรอยแลวมาทอเปนผาไหมดิบ เมื่อทอเรียบรอยแลวก็จะนํามารีดดวยกอนหิน ซึ่ง
กอนหินนี้ใชสําหรับในการรีดผาไหมดิบเทานั้น หากวาไมรีดใหเรียบแลว เวลานําผาไหมดิบมาเขียนเปนลวดลายจะไม
สามารถเขียนได เนื่องจากมีปมของเสนดายที่ตอกันดวย หากวาไมเรียบก็จะเขียนลวดลายไดไมสวย
ขั้นตอนที่ 1
นําขี้ผึ้งมาละลายหรือตมใหรอน โดยวิธีการดังนี้ นํากระปองที่มีขนาด
เสนผาศูนยกลางกวาง 10 เซนติเมตร เจาะฝาขางหนึ่งออก แลวไมตองตัด
ทิ้ง และทําใหฝาขางที่เจาะขึ้นนั้นมันเรียบรอย พรอมกับสามารถที่จะเปนที่
หยดน้ําขี้ผึ้งได บริเวณรอบ ๆ ขอบของกระปองตองจัดใหเรียบรอย โดยที่ไม
เปนอันตรายตอคนที่ใช จากนั้นนําขึ้ผึ้งใสลงไป นํากระปองไปอุนกับถานที่
รอนจัด จากนั้นขึ้ผึ้งก็จะละลาย รอจนกวาขึ้ผึ้งรอนจัดถึงจะใชได
ขั้นตอนที่ 2
นําผาไหมที่ทอไดเรียบรอย มาสรางตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดของสี่
เหลี่ยมประมาณ 2-3 เซนติเมตร ตารางทุกชองจะตองมีขนาดเทากัน โดยสราง
ตารางใหเต็มผาไหมดิบ ตองใชดินสอขีดเสนตาราง หรือปากกาน้ําเงินก็ได ไมควร
ที่จะใชปากกาสีแดง เพราะปากกา สีแดงเมื่อนํามาขีด หรือสรางตารางแลวเวลา
ยอมผาไหม จะเห็นเสนตารางเปนสีแดงอยูทําให ผาไหมไมสวย จากนั้นนําปากกา
เขียนขึ้ผึ้ง โดยนําปากกาไปจุมขึ้ผึ้ง แลวนํามาเขียนลวดลายตาง ๆ บนผาไหมดิบ
ปากกาเขียนขึ้ผึ้งนั้นเรียกวา ดาตาะ ซึ่งดาตาะทําจากเหล็กหรือทองเหลือง วิธีการ
ทํา คือ นําแผนทอง เหลืองหรือแผนเหล็กมาวัดเปนรูปสามเหลี่ยมที่มีขนาด
ประมาณ 2 เซนติเมตร จากนั้นแลวนํามาขัดดานดานหนึ่งใหเรียบ เหลาไมไผที่มี
ขนาดเสนผาศูนยกลางประมาณ 2 เซนติเมตร หรือประมาณ 1 เซนติเมตร นําไมไผ
มาผาปลายดานใดดานหนึ่ง แลวนําแผนเหล็กที่ตัดมาเรียบรอยมา สอดใสลงไปใน
ชองรอยผาแลวมัดใหเรียบรอย หลังจากที่เขียนลวดลายเสร็จ
ขั้นตอนที่ 3
จะนําผาบาติกไปยอมครามใหดํา เมื่อยอมเสร็จเรียบรอยแลว ก็จะนําไปลางสีครามนั้นออกใหหมดกอน โดยที่จะ
ลางสีครามออกไดนั้นจะมีวิธีการดังนี้ คือ ตมน้ํารอนใหเดือด จากนั้นก็น้ําผาบาติกมาแชน้ําเย็นจากนั้นกํานําผาบาติก ที่
แชน้ําเย็นออกรอใหแหงกอน แลวนําผาบาติกมาตมกับน้ํารอนในกระทะที่ตั้งน้ําไว รอสักประมาณ 3-5 นาที พยายามลาง
คราบขึ้ผึ้งออกใหหมด นําไปผึ่งแดดใหแหง แลวก็นําผาบาติกไปตัดตกแตงใหสวยงาม โดยที่นําผาสีอื่นมาปะชุนใหเรียบ
รอยดังนี้ แลวจึงนํามาจับจีบทั้งหมด
ขั้นตอนที่ 4
นําผาที่ปกเรียบรอยมาตอกับผาบาติก แลวจัดกลีบใหตรงกัน จากนั้นรอยจีบนั้นจะตองเอาดายรอยไวแนน เพื่อให
จีบสามารถอยูไดนาน และจัดตัวอยูตลอดเวลา เมื่อถึงงานเทศกาลปใหมจะสามารถนํามาใชไดเลย เพราะหากวา
กระโปรงนั้นจับจีบไมสวย ก็ใสไมสวยเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อจับจีบเรียบรอยแลวจะตองเก็บ ประมาณ 1 เดือนเปนอยาง
นอย เพื่อใหจีบคงทน และสวยงาม สามารถนํามาใชไดเลย
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
มนุษยทุกชนชาติตางมีดนตรีอยูในหัวใจของตนเอง แตดนตรีของใครจะสุดซึ้งเพียงใดนั้นก็แลวแตที่จะถายทอด
ศิลปะ ออกมาใหคนอื่นไดรับรู บางถายทอดออกมาเปนบทเพลงรํานําโดยผานริมฝปาก บางถายทอดโดยอาศัยเครื่องดนตรี ซึ่ง
ความเชื่อ มีอยูมากมายหลายชนิด สําหรับเครื่องดนตรีของคนมงที่มีมาแตโบราณกาลนั้นก็มีหลากหลาย แตวาดนตรีเหลานี้ดู
เหมือนวากําลังจะสูญหายไปจากวิถีชีวิตของคนรุนใหม
ภาษา
บทความ เครื่องดนตรีมงสามารถแบงไดเปน 2 ประเภท
ปจจุบัน
1. เครื่องดนตรีประเภทเปา ไดแก จิ๊งหน อง"จาง" ขลุย และ แคนหรือเฆง
2. เครื่องดนตรีประเภทตี ไดแก กลอง "จั๊ว"
1. เครื่องดนตรีประเภทเปา
ดังนี้ในการเกี้ยวพาราสีของมงนั้นเราจะใชจางเปนสื่อ ของประเพณีการเกี้ยว
พาราสีอยางหนึ่งของมง ก็คือหนุมตองไปหาสาวในยามค่ําคืน ซึ่งสาวนอนในบาน
หนุมอยู นอกบานหนุมตองรูวาสาวนั้นเปนใคร นอนอยูตรงไหน ในยามที่ทุกคน
หลับหนุมจะคอย ๆ ไปเรียกสาว สาวเองคงไม ตอบหนุมอยางงายดาย เหมือนที่ทุก
คนคิดกัน ถาสาวไมตอบหนุมก็ตองกลับ หรือไมก็ตอบมาวายามนี้เวลาดึกแลว ทุก
คนตองการพักผอน ขออยาไดมารบกวนเมื่อไดคําตอบเชนนี้ หนุมก็ตองกลับไปที่
บาน แลวหาวิธีที่ใหพูดกับสาวใหไดรูจักกัน นั่นคือหนุมจะตองเปาจางที่เปนบท
เพลงรักมอบใหสาวเพื่อใหสาวได เห็นคุณคาของหนุม แลวจะมีเสียงตอบออกมาวา
ใครนะเปาจางไดเกงจังเลย อยากจะรูจักจริง ๆ การสนทนาจึงเกิดขึ้น จางเปนดนตรี
ที่มีอิทธิพลตอความรูสึกของคนมงในอดีตอยางยิ่ง
1.2 แคน (Qeej) เปนภาษามง อานวา เฆง หรือ qeng ซึ่งแปลวา แคน หรือ
mouth organ เฆง หรือแคนเปนเครื่องดนตรีที่ทําจากลําไมไผ และไมเนื้อแข็ง มี
ปรากฏในเอเชียมากวา 3,000 ปแลว และถือไดวาเปนเครื่องดนตรีที่เกาแกที่สุด
ชนิดหนึ่ง มงมีเรื่องเลาเกี่ยวกับความเปนมาของเฆงวา ในอดีตกาลมีคนมงอยูครอบ
ครัวหนึ่ง มีพี่นอง 7 คน วันหนึ่งผูเปนบิดาสิ้นชีวิตลง และบรรดาพี่นองทั้ง 7 คน
ตองการจัดพิธีงานศพเพื่อเปนเกียรติใหกับผูเปนบิดา แตไมรูวาจะทําอยางไรดี จึง
ไดขอคําปรึกษาจากเทพเจา
"ซีย" ซึ่งคนมงมีความเชื่อวาเปนเทพเจาที่พระเจาสงมาเพื่อชวยเหลือมวลมนุษย
ในโลก และเปนผูมีบทบาทสําคัญในการกําหนดพิธีกรรมที่สําคัญทางศาสนาของ
คนมง เทพเจาซียีไดแนะนําให คนหนึ่งไปหาหนังสัตวมาทํากลองไวตี และอีกหก
คนไปหาลําไมไผที่มีขนาด และความยาวไมเทากันมาคนละอัน เรียงลําดับตาม
ขนาด และอายุของแตละคน เมื่อเตรียมพรอมแลว ใหคนหนึ่งตีกลอง และอีก 6 คน
ที่เหลือ เปาลําไมไผของตนบรรเลงเปนเพลงเดียวกัน และเดินวนไปรอบ ๆ คนที่ตี
กลองพรอมกับมอบบทเพลงตาง ๆ ให
ตอมารูปแบบพิธีงานศพดังกลาวก็ไดรับการถือปฎิบัติมาเรื่อย ๆ จนกลายเปน
ประเพณีในการจัดพิธีงานศพของคนมงมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เฆงประกอบดวยลําไม
ไผทะลุปลอง 6 อัน คือ ซยงตั๋วจื๋อ (xyoob tuam tswm) 1 อัน และ ซยงเฆง
(xyoob qeej) 5 อัน แตละอันมีขนาด และความยาวไมเทากันกับลําไมเนื้อแข็งซึ่ง
มีปากกลมยาว (กางเฆง kaav qeej) เปนไมแดงหรือ ที่ภาษามงเรียกวา ดงจือเป
(ntoo txwv pem)
เนื้อเพลงเฆงในพิธีงานศพโดยทั่วไปจะมีลําดับการเปาดังนี้
ดี๋ (ntiv) ซึ่งเปนการโหมโรง
ปลั่วจี๋เฆงจี๋ จรั่ว (pluas cim qeej cim nruag) รัวกลองพรอมกันไป
กับเพลงเฆง
ลื๋อฆะจรั่ว (lwm qab nruag) การลอดใตคานที่แขวนกลองของผูเปา
เฆง
ซุตัว (xub tuag) เปนการแนะนําเพลงเฆง
ฆัวซุตัว (quas xub tuag) เปนการลงทายบทแนะนําเพลง
ยซาเฆงตัว (zaj qeej tuag) เริ่มตนเนื้อเพลง
ฆัวยซาเฆงตัว (quas zaj qeej tuag) เปนการรายเนื้อเพลงเพื่อเขาสู
ปรโลก
เฆงตรอฆาง (qeej rov qaab หรือ raib leev) เปนขั้นตอนการกลับ
จากปรโลก
ยซายตรอยซายเหนง (zais roj zais neev) เปนขั้นตอนการกลบ
เกลื่อนเสนทางกลับจากปรโลก เพื่อมิใหมีวิญญาณติดตามมาได
เสาเฆง (xaus qeej) ลงทายบทเพลง
ประเภทของบทเพลงที่ใชในพิธีงานศพมีดังนี้
เฆงตูสา (qeej tu sav) เพลงแรกหลังจากผูตายไดสิ้นลมหายใจแลว
เฆงฆฮัวะเก (qeej qhuab ke) เพลงนําทางดวงวิญญาณไปสูปรโลกหรือแดนแหงบรรพบุรุษ
เฆง นเจเหนง (qeej nce neeg) เพลงเคลื่อนยายศพขึ้นหิ้ง (แครลอย)
เฆง เฮลอเดอ (qeej hlawv ntawv) เพลงเผากระดาษเงินกระดาษทองใหผูตาย
เฆงเสอเก (qeej sawv kev) เพลงเคลื่อนยายศพออกจากบาน นอกจากจะใชในพิธีงานศพแลว ยังมีการใชเฆง
เพื่อความบันเทิงในงานรื่นเริงตาง ๆ ดวย โดยเฉพาะการเตนรําเฆงในงานฉลองเทศกาลปใหมมง ซึ่งบทเพลงเฆง เพื่อ
ความบรรเทิงจะมีลําดับการเปาดังนี้
ดี๋ (ntiv) โหมโรง
ซุ (xub) แนะนํา
นู นตรื่อ (nuj nrws) เนื้อเรื่อง
ฆัวนู นตรื่อ (quas nuj nrws) ทวนเนื้อเรื่อง
ปลั่ว (pluas) สรุป
เสา (xaus) ลงทาย
1.3 การเปาขลุย
ขลุยเปนเครื่องดนตรีอีกประเภทหนึ่ง
ของ มงที่ใชเปาเรียกหาคู และสรางความ
จรรโลงใจ ซึ่งขลุยมงจะทํามา
จากกระบอกไมไผ และทอพีวีซี จะใชเปา
แทนความรูสึกของสภาพจิตใจของผูนั้น
จะเปาในวันสําคัญ เชนงานปใหมและงาน
สําคัญอื่น ๆ
2. เครื่องดนตรีประเภทตี
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ
การตีมีด ในอดีตมงมีความรูเรื่องการทํามีดอยูมากมาย ลักษณะมีดของมงจะไม
ความเชื่อ
เหมือนกับชนเผาอื่น มงจะมีการตีมีดตามสภาพการ ใชงาน ถาเปนงานหนักตัวมีด
ภาษา ก็จะมีลักษณะใหญ แตถาใชในการดายหญา มงจะทําดามมืดใหยาวเพื่อสะดวกใน
บทความ การฟนหญา หรือถาตัดไมมงก็จะทําตัวมีดใหญขึ้นดามไมคอยยาวเทาไร เพื่อ
สะดวกแกการใชงาน มงจึงไดชื่อวาผูที่มีความสามารถในการตีมีดเปนอยางมาก
ปจจุบัน มีดมงจะมีลักษณะพิเศษกวา คือตัวมีดจะหนา ตรงปลายมีดจะแหลมมาก มีความ
คมมาก
เครื่องเปาลมกับกองถาน เครื่องเปาลมมี
ประโยชนในการเปาลมเพื่อใหถานรอนขึ้น
และไมดับ สะดวกแกการเผามีดใหรอน และ
สามารถที่จะตีมีดตามรูปแบบที่ตองการ ซึ่งมีด
ที่ถูกวัดแบบเรียบรอยแลว จะถูกนํามาเผาใหมี
ความออนตัวขึ้น แลวจึงจะตีมีดใหมีความสวย
งาม เครื่องเปาลมทํามาจากไม โดยหาทอน
ไมที่มีขนาดใหญพอสมควร เจาะตรงกลางให
มีช องวางในทอนไมอยู จากนั้นนําเสนเหล็ก
มา เอาแผนไมมาทําเปนฝาปดตรงดานหนา
ของทอนไม เจาะรู ตรงกลางของแผนไมที่ใช
ทําเปนฝา นําเสนเหล็กที่เตรียมไวมาสอดใส
เขาไป จากนั้นจึงนําไปสวมลงไปในทอนไม
เวลาที่ดึงออกแลวดันเขาไปจะมีลมเปนตัว
ชวยเปา ใหถานที่ติดไฟอยูขางหนาไมตองดับ
ซึ่งการตีมีดแตละครั้ง มงจะตองมีการนํา
แผนเหล็กที่จะตีเปนมีด มาวัดตามแบบ
มีดตามที่มงออกแบบไว เพื่อสะดวกแก
การใชงานเพราะมีดมง แตละแบบจะมี
การนํามาใชงานคนละดานกัน มีดจะมี
ขนาดของตัวมีดหนาก็จะมี การใชงานที่
คอยขางหนัก หรือใชสําหรับในการตัดสิ่ง
ของที่มีความแข็งแรง สวนมีด ที่มีขนาด
ของตัวมีดบาง และเล็กลงจะใชในการตัด
แบบ สิ่งของที่ออนกวา เชน ใชหั่นผักตาง ๆ
มีดตาง ๆ ของมง สวนมีดที่ใชในการหั่นเนื้อสัตวตางกันตรง
ปลายมีดจะมี ลักษณะแหลมมาก ตัวมีด
จะมี ลักษณะเล็กยาวเรียว เหมาะสําหรับ
ในการพกพาไปไหนมาไหนไดสะดวก
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ
ความเชื่อ ในอดีตมงนิยมทําเครื่องประดับจากเงิน และทองขาว เนื่องจากสมัยกอนนั้นมงไม รูจักทอง มีเรื่องเลาวา สมัยกอน
ภาษา มีมงผูชายคนหนึ่งซึ่งพระเจาไดใหตื่นแตเชาตรู เพื่อที่จะไปตีสิ่งของที่บินผานมา และพระเจาไดบอกวาเห็นอะไร บิน
ผานมาก็ตีใหหมด พอชายคนนี้ตื่นแตเชาตรูเพื่อที่จะไปตีสิ่งของที่บินผานมา แตพอไปถึงชายหนุมมงเห็นสิ่งของอะไรก็
บทความ ไมรู บินมาลอยอยูตรงหนา เห็นเปนสีเหลืองๆ แตก็่ไมตีปลอยใหลอยผานไป สักพักหนึ่งก็มีสีขาวบินผานมาชายคนนี้ก็
ปจจุบัน ไมตีอีก แตพอเห็นสีดําลอยผานมาจึงไดตัดสินใจตี เมื่อตีเสร็จเรียบรอยแลว ชายหนุมมงก็กลับมารายงานใหกับพระเจา
พระเจาจึงไดพูดวา เจานี่ทองลอยมาก็ไมตี เงินลอยมาก็ไมตี พอเหล็กลอยมาก็ตี ขาใหเจาไปตีทองและเงินนะ ไมได
ใหไปตีเหล็ก แตเมื่อเจาตีไดแคเหล็ก เจาจงนําเหล็กนี้ไปทําเปนอาวุธ เพื่อที่จะไดใชไปทํามาหากินนะ หลังจากนั้นมา
มงจึงไมรูจักทองกับเงิน แตที่มงรูจักใชทองและเงิน เนื่องจากชายมงผูอาภัพไดไปคาขายกับจีน จึงทําใหมงเริ่มรูจักใช
เงินตั้งแตนั้นเปนตนมา มงจึงเริ่มรูจักนําเงินและทองขาวมาทําเปนเครื่องประดับ ดังนั้นภายหลังหรือยุคหลังๆ มงจึงนิยม
นําทองขาวมาทําเครื่องประดับ สามารถที่จะทําเปน ตางหู กําไลขอมือ กําไลขอเทา เข็มขัด เข็มกลัด หวงคอ เปนตน
ซึ่งมีขั้นตอนการทําดังนี้
ขั้นตอนที่ 1
นําแผนทองขาวมาวัดขนาดของหวงตาง ๆ ซึ่งการทําหวงคอของมง
นั้นจะมีอยู 5 หวง คือหวงอันที่หนึ่งจะมีขนาดใหญที่สุด และจะลดขนาดลง
ไปเรื่อยๆจนถึงขนาดที่เล็กที่สุด หวงเล็กจะอยูบนสุดของหวงทั้งหมด หลัง
จากที่วัดขนาดของหวง ทั้ง 5 หวงเรียบรอย
ขั้นตอนที่ 2
นํามาตอกลวดลายเปนรูปดอกไมตางๆแตกอนที่จะตอกลวด
ลาย สมัยกอนจะไมนําแผนเงินมาทาบบนชันไม แตปจจุบันจะนําแผนทอง
ขาวมาทาบบนชันไมเพื่อไมใหเคลื่อนที่และสะดวกในการตอกลาย ชวย
ปองกันมิใหแผนเงินเกิดการชํารุด
ขั้นตอนที่ 3
นําหวงคอที่ตอกลายเรียบรอยแลว จากนั้นนําหวงคอที่ละอันมาดัด
ใหงอเขาหากัน เพื่อที่จะเชื่อมเขากันได จากนั้นก็ทําการเชื่อมหวงทีละอัน
ใหเสร็จเรียบรอย จากนั้นนํามาประกอบเขาดวยกัน โดยจะจัดเรียงหวงคอที่
มีขนาดที่ใหญที่สุดเปนฐาน แลวตามดวยหวงคอที่มีขนาดเล็กลดลั่นตามกัน
มาจนครบ 5 หวง เมื่อมีกันจัดเรียงหวงคอเรียบรอยแลวก็จะมีการเชื่อมหวง
คออีกครั้ง โดยที่เชื่อมหวงคอทั้ง 5 ห วงใหติดกันเปนแผน แลวจัดทํา
กระดุมใหแผนหวงคอคลองกันได
ขั้นตอนที่ 4
จากนั้นก็นําหวงคอไปลางดวยน้ํากรด ขัดใหเรียบรอย แลวชุบดวย
เงิน เมื่อเสร็จเรียบรอยแลว จะนําไปลางดวยน้ํากรดออนอีกครั้งเพื่อใหขาว
และเงามากมากขึ้น ซึ่งเครื่องประดับชิ้นนี้ใชเฉพาะในการ สวมใสใน
เทศกาลฉลองปใหมเทานั้นหรือวันสําคัญตางๆเทานั้น ซึ่งเครื่องประดับชนิด
นี้ก็เปนอีกอาชีพหนึ่ง ที่เสริมรายไดใหกับมง
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ
เครื่องประดับเงินมง
ความเชื่อ ในปจจุบันมงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นตลอด จนไดรับการพัฒนาฝมือ และมีการประกอบอาชีพที่เปนการ
ภาษา เสริมรายไดใหกับครอบครัวไดอยางมั่นคง ซึ่งอาชีพดังกลาว ไดแก การทําเครื่องเงิน การทําเครื่องประดับจากทอง
เหลืองและการเขียนผาบาติก การปกผาชาวเขา การทํามีด (ตีมีด) เปนตน
บทความ
ปจจุบัน การทําเครื่องเงิน มีวิธีการทํามีดังนี้
ขั้นตอนที่ 1
นําเงินเม็ดมารีดใหเปนแผนบาง ๆ หรืออาจจะมีการนําเศษเงินที่เหลือ
มารีดให เปนเสนตามขนาดที่ตองการ ซึ่งเม็ดเงินที่รีดไดนั้นใชในการทํากระเปา
เงิน เข็มขัดเงิน กําไลมือ กําไลเทา ตางหู สวนเศษเงินที่ได จากการรีดจะใชใน
การทําสรอยคอเงิน สรอยขอมือ ตางหู เปนตน เงินที่รีดมาเปนแผนบาง ๆ จะ
นํามาวัดขนาดของแบบที่ตองการ
ขั้นตอนที่ 2
นําแผนเงินที่รีดเปนแผนบางๆเรียบรอยแลว มาวัดแบบที่ตองการถา
ตองการกระเปา ขนาดความกวางเทาไร สูงเทาไรเสร็จเรียบรอย ก็จะนําไปทาบ
บนชันไมที่เตรียมไว ซึ่งกอน ที่จะทาบแผนเงินไปนั้นตองเผาชันไมใหมีความ
ออนตัวเพื่อที่จะไดยืดแผนเงินไดดี และมั่นคง แผนเงินจะไดไมเคลื่อนที่เวลา
ตอกลาย
ขั้นตอนที่ 3
จากนั้นเริ่มตอกลวดลายลงบนแผนเงินที่ทาบไวบนแผนชันไมหรือยาง
ไม สวนมาก ลวดลายที่ตอกลงไปนั้นจะเปนรูปดอกไม ตนไม หรือรูปสัตวตาง ๆ
มื่อตอกลายเรียบรอย แลวจะนําแบบที่ตอกลายไปเชื่อมและดัดใหเขารูปที่ตอง
การจากนั้นนําไปแชน้ํากรดออน ๆ
(น้ํามะนาว) แลวขัดใหขาวสนิทหรือถาตองการลงสีอื่นเพิ่มเติม
ตัวอยางเครื่องประดับเงินที่ประดิษฐเรียบรอยแลว เชน สวนหวงคอเงินที่
ประดิษฐเรียบรอยแลว สวนมากจะใสประดับ เครื่องแตงกายชุดมง ใชในวาระ
งานขึ้นปใหม
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
ในอดีตวิถีชีวิตของมงไดรับการสืบทอดวิธีปฏิบัติบูชาเพื่อการรักษาโรคภัยตาง
วิถีชีวิต
ๆ มาจากบรรพชน สามารถที่จะขับผีรายที่เขาสิงสูอยูในรางของผูปวยได และไดมี
บาน นิยายปราบปรามเกี่ยวกับการรักษาโรคของมงดังนี้ นานมาแลวไดมีเรื่องเลาวา มีหมอผี
ประเพณี คนหนึ่งชื่อ “ ฉียี ” แปลวา หมอผูทรงวิทยาคุณ อยูมาวันหนึ่งหมอฉียีไดผานมาพบไข
พญานาคอยูที่เชิงผา หมอฉียีไดทุบไขพญานาคใหแตกเรียบรอย แลวหมอฉียีไดกลับ
การแตงกาย บานพอผานไปไดสามวัน หมอฉียีไดกลับมาดูไขพญานาคอีกครั้ง แตพบวาไขพญา
ศิลปะ นาคกลับคืนสภาพเหมือนเดิม จากนั้นหมอฉียีไดทุบไขพญานาคใหแตกเรียบรอยทุกใบ
ความเชื่อ แลวก็กลับบาน พอผานไปหนึ่งวันก็กลับมาดูไขพญานาคอีก แตพบวาไขที่ทุบเรียบรอย
นั้นกลับมาในสภาพเดิมอีก หมอฉียีจึงไดสงสัยมาก
ภาษา
บทความ
ปจจุบัน
จึงไดตัดสินใจทุบไขพญานาคอีกครั้ง แลวหาที่หลบซอนเพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของพญานาคอีกครั้ง พอเวลา
ผาน ไปไดสักพักหนึ่ง แมพญานาคไดกลับมาพบวาไขของตนเองไดแตกเรียบรอยหมดแลว แมพญานาคจึงตรงไปที่
หนาผาแลว เด็ดตนยาตนหนึ่งจากหนาผามาเคี้ยวแลวถมไขที่แตก ถมครั้งแรกไขก็ดีขึ้นมานิดหนึ่ง ถมครั้งที่สองไขก็ดี
ขึ้นอีก ถมครั้งที่สามไขก็กลับมาสภาพดีเหมือนเดิม จากนั้นหมอฉียีไดนั่งรอจนกวาแมพญานาคจากไป จึงไดเอาหินทุบ
ไขใหแตกเรียบรอย แลวปนหนาผาเอาตนยานั้นกลับไปดูแลที่บาน เมื่อเวลาผานไปสองวันหมอฉียีไดกลับมา ดูไขที่ตน
เองทุบไว แตเห็นวาไขที่ตนทุบไวนั้นเนาเสียเรียบรอยไปแลว หมอฉียีไดกลับบานมาดูแลตนยาใหดี และคนใน หมูบานที่
ลมปวยหมอฉียีไดทําการรักษาจนหายเจ็บปวย สวนคนที่ตายก็สามารถพื้นขึ้นมา
เมื่อเวลาผานไปสองวันเมียของผีดาทั้ง 7 คนไมเห็นสามีตัวเองกลับมา
จึงไดขึ้นมาในยมโลก และหลอกลอ ฉียีใหไปรักษา หรืออั๊วเนงที่เมืองผี และเมีย
ผีจึงไดแอบมาเอาชีวิตของลูกชายคนโต ของฉียีไปฆาเปนหมู เพื่อจะใชในการ
รักษาสามีตัวเอง (มงมีความเชื่อวา เมื่อคนที่ตายไปแลวไปถึงเมืองผีจะกลาย
เปนสัตวทันที) ดังนั้นสัตวที่เมียของผีทั้ง 7 ตนเอามาใหหมอฉียีรักษา หรืออั๊วเนง
พอเสร็จสิ้นพิธีการรักษาแลวเมียผี ทั้ง 7 ตน จึงไดตักหมูที่นํามารักษาใหหมอฉียี
กิน แตหมอฉียีมีความรูสึกแปลก ๆ แตก็ตองยอมตักเอาตับ (เชี้ย) มาหนึ่งชิ้นแลว
กินเรียบรอยทันใดนั้น จื้อเนง หรือเครื่องมือที่ใชในการอั๊วเนง
ดังนั้นเมื่อชายที่ตองการเรียนมาถึงบานฉียีก็ไดเห็นเขาจัดงานศพใหหมอฉียีไปแลว และไดถามเจาของบานวา
หมอฉียีไดสั่ง หรือฝากอะไรใหหรือเปลา เจาของบานจึงบอกวา ฉียีไดฝากกองอุจจาระใหไปกิน พอชายคนนั้นไดฟงดัง
นั้น จึงขึ้นไปบนภูเขาแลวเห็นกอง อุจจาระของหมอฉียีทิ้งไว กองอุจจาระกองใหญมาก มีหนอนไตอีกทําใหชายคนนั้นไม
กลาที่จะไปกินอุจจาระนั้น คิดอยูนานมากจึงตัดสินใจเอามือแตะนิดหนึ่งขึ้นมากิน แลวกองอุจจาระนั้นก็กลายมีขนาดเล็ก
มาก จากนั้นอุจจาระก็หายไป ชายคนนั้นก็ไดกลับบาน และก็ไดเปนหมอผีที่มีความสามารถในการทําผี หรืออั๊วเนง รักษา
คนปวยใหหาย แตไมทัดเทียมกับหมอฉียี ชายคนดังกลาวเปนไดแคอั๊วเนงอยางเดียว สวนตนยานั้นไมรูจึงรักษาคนปวย
ไดบางไมไดบาง
พิพิธภัณ ฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีช ีวิต
บา น
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ
มงมีความเชื่อวาพิธีไสยศาสตรเหลานี้จะชวยใหวินิจ ฉัยโรคไดถูกตองและทําการรักษาไดผล เพราะความเจ็บปวย
ความเชื่อ
ทั้งหลาย ลวนแตเปนผลมาจากการผิด ผี ทําใหผีเดือดดาลมาแกแคนลงโทษใหเจ็บปวย จึงตองใชวิธีจัด การกับผีใหคนไข
ภาษา หายจากโรค หากวาคนทรงเจารายงานวาคนไขที่ล มปวยเพราะขวัญหนี ก็จะตองทําพิธีเรียกขวัญกลับเขาสูรางของบุคคล
บทความ นั้น แตการที่จะเรียกขวัญกลับมานั้น จะตองมีพิธีกรรมในการปฎิบัต ิมากมาย บางครั้งบางพิธีกรรมก็มีความยุงยากในการปฎิ
บัต ิ แตมงก็ไมยอทอตออุปสรรคเหลานั้น มงเชื่อวาการที่มีรางกายสมบูรณแข็งแรง โดยไมมีโรคภัยมาเบียดเบียน นั่น คือ
ปจ จุบัน
ความสุขอัน ยิ่งใหญของมง ฉะนั้นมงจึงตองทําทุกอยางเพื่อเปนการรักษาใหห าย จากโรคเหลานั้น ซึ่งพิธีกรรมในการรักษา
โรคของมงนั้นมีอยูหลายแบบ ซึ่งแตละแบบก็ร ักษาโรคแตละโรค แตกตางกัน ออกไป การที่จะทําพิธีกรรมการรักษาไดนั้น
ตองดูอาการของผูปวยวาอาการเปนเชนไร แลวจึงจะเลือกวิธีการรักษาโดยวิธีใดถึงจะถูกตอง
มีวิธีการรักษาดังนี้
เวลาอั๊วเนงหรือทําผีนั้น คนที่เปนพอหมอจะเริ่มไปนั่งบนเกาอี้ แลวรายเวทมนตค าถาตาง ๆ พรอมกับติด ตอ สื่อสาร
กับผีแลวไปคลี่ค ลายเรื่องราวตาง ๆ กับผี ถาคลี่คลายไดแลวจะมีการฆาหมู แตกอนจะฆาหมูนั้น จะตองใหคนไขไปนั่งอยู
ขางหลังพอหมอ แลวผูกขอมือ จากนั้นนําหมูมาไวขางหลังคนไข แลวพอหมอจะสั่งใหฆาหมู การที่จะฆาหมูไดนั้นจะตองมี
คนหนึ่งซึ่งเปนตัวแทนของพอหมอ และสามารถฟงเรื่องราวของการอั๊วเนงได รูวาตอนนี้พอหมอตองการอะไร หรือสั่งใหทํา
อะไร เมื่อพอหมอสั่งลงมา คนที่เปน ตัวแทนตองบอกกับคนในครอบครัว ใหทําตามคําบอกกลาวของพอหมอ เมื่อสั่งใหห า
หมูก็ต องนําหมูมาฆาแลวจะนํากัวะมาจุมกับเลือดหมู พรอมกับมาปะที่ห ลังคนไข แลวพอ หมอจะเปาเวทมนตให จากนั้นจะ
นํากัวะไปจุมเลือดหมู เพื่อไปเซนไหวที่ผนังที่เปนที่รวมของของบูชาเหลานั้น
2.การรักษาคนตกใจ (การไซเจง)
เปนการรักษาอีกประเภทหนึ่งของมง การไซเจงจะกระทําเมื่อมีคนปวยที่ตัวเย็น เทา
เย็น ใบหูเย็น มือเย็น ซึ่งมงเชื่อวาการที่เทาเย็น มือเย็น หรือตัวเย็น เกิดจากขวัญ ในตัวคน
ไดห ลนหายไป หรือไปทําใหผีกลัว แลวผีก็แกลงทําใหบุค คลนั้นไมสบาย
มีวิธีการรักษาดังนี้
พอหมอจะนําเอาขิงมานวดตามเสนประสาท ไดแก บริเวณปลายจมูกตรงไปที่ห นา
ผาก นวดแลวยอนกลับไปที่ใบหู แลว นวดบริเวณหนาผากไปที่ใบหูซ้ํา 3 ครั้ง จากนั้น
เปลี่ยนเปนการนวดที่เสนประสาทมือ คือจะนวดที่ ปลายนิ้วมือไลไปที่ขอมือทําซ้ําทุกนิ้ว
มือ แลวรวมกันที่ขอมือนวด และหมุนรอบที่ขอมือ ซึ่งขณะนวดตองเปาคาถาดวย และ
บริเวณฝาเทาใหนวดเหมือนกัน ตองทําซ้ํากัน 3 ครั้ง ซึ่งการรักษาไซเจงนี้จะทําการรักษา
3 วัน เมื่อเสร็จจากการรักษาแลว ถาอาการไมดีขึ้นก็ห าวิธีอื่น ๆ มารักษาตอ เชน อั๊วเนง
หรือการฮูปรี เปน ตน
5. การปดกวาดสิ่งที่ไมดีออกไป (การหรือซู )
เปนการรักษาอีกวิธีห นึ่งของมงที่จะปฏิบัติในชวงขึ้นปใหมเทานั้น คือในหนึ่งรอบปที่ผานมาครอบครัวจะเจอสิ่งที่ไมดี ดังนั้น
จึงมีการหรือซูเพื่อ ปดเปา หรือกวาดสิ่งที่ไมด ีใหออกไปจากบาน และตัวบุค คล หรือเปน การปดเปา กวาดโรคภัยไขเจ็บ
ออกจากตัวบุค คล หรือออกจากบานใหห มด เพื่อที่จะรับ ปใหมท ี่เขามา และตอนรับสิ่งดี ๆ ที่กําลังจะมาในปถัดไป พิธีกรรม
นี้มงจะทําทุกป และคนในครอบครัวตองอยูใหครบทุกคน ไมใหขาดคนใดคนหนึ่ง (แตห ากวาคนในครอบครัวนั้น เกิด ไปทํา
งานตางจังหวัดและไมส ามารถที่จะกลับมารวมพิธีกรรมนี้ได ผูปกครองของครอบครัวตองนําเสื้อผาของคน ที่ไมอยูมารวม
พิธีกรรมใหได หากไมไดเขารวมพิธีกรรมนี้ มงเชื่อวา สิ่งที่ไมดีจะติดตัวไปยังปถัด ๆ ไป และทําอะไรก็ไมเจริญ ) 6.หมู
ประตูผี (อัวะบั๊วจอง )
เปนพิธีกรรมที่มงกระทําเพื่อรักษาคนทั้งหมดในบานหลังนั้นใหปราศจากโรคภัยโดยมีวิธีการรักษา ดังนี้ ซึ่งการ
ประกอบพิธีกรรมหมูประตูนั้น จะทําในตอนกลางคืนเทานั้น อันดับแรกคือจะมีการกลาวปด และกลาวเปดประตู จากนั้น จะมี
การฆาหมูแลวตมใหสุก จากนั้นก็กลาวปด ประตู แลวนํา หมูที่ต มสุกนั้น มาหั่น ใหเปน ชิ้น เล็ก ๆ จัด ไวต ามจานที่วางไว 9 จาน
ซึ่งแตล ะจานจะใสชิ้นเนื้อไมเหมือนกัน โดย
จานที่ 1 ใสมือซายหมูและหัวขางซาย จานที่ 2 จะใสขาขวาหมูกับหัวขางขวา
จานที่ 3 จะใสขาซายหมูกับคางซายหม จานที่ 4 ใสมือขวาหมูกับคางขวาหมู
จานที่ 5 ใสมือซายหมู จานที่ 6 ใสข าขวาหมู จานที่ 7 ใสข าขวาหมูกับใบหู 5 ชิ้น
จานที่ 8 ใสมือขวาหมู จานที่ 9 ใสจมูกและหางหมู
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ
1. ไมคูเสี่ยงทาย (กั๊วะ)
ความเชื่อ ทํามาจากไมหรือเขาสัตวตาง ๆ มีลักษณะพิเศษ คือ หากวาทําจากไม ไม
ภาษา นั้นจะตอง เปนหนอไมที่โผลพนจากดินนิดหนึ่ง จึงจะตัดเอาไปทําไมคู
เสี่ยงทายได แตถาทําจากเขาสัตว จะตองเปนเขาสัตวที่แกตายเอง เพราะ
บทความ มงมีความเชื่อวา กั๊วะ นั้นเปนเครื่องมือในการสื่อสารกับผีปูผียา ดังนั้นจะ
ปจจุบัน ตองมีความศักดิ์สิทธิ์และมี ความแมนยําในการติดตอสื่อสาร ดังนั้นมงจึงไม
นิยมทําไมคูเสี่ยงทายจาก เขาสัตวที่ถูกยิงตาย กั๊วะเปนเครื่องมือในการสื่อ
สารระหวางคนกับผีปู-ผียาไดทุกกรณี การใชกั๊วะติดตอระหวางคนกับผีโดย
ทั่ว ๆ ไปนั้น สามารถที่จะปรากฏผลดังนี้ คือ
l ถาหงายทั้งคู หมายถึงภาษาคนติดตอกับผีหรือคนตายไมได
l ถาคว่ําทั้งคู หมายถึง ภาษาคนติดตอกับผีหรือคนตายไดแตผีไม
ยอมรับ
l ถาคว่ําอัน หงายอัน หมายถึง สามารถติดตอกับผีได และผีก็ยอมรับ
เอาของนั้น ๆ ไปกินไปใชดวย (กั๊วะ ใชสําหรับอั๊วเนงเทานั้น )
พิพิธภัณฑ
ขอมูลทั่วไป
วิถีชีวิต
บาน
ประเพณี
การแตงกาย
ศิลปะ
ความเชื่อ
ภาษา
บทความ มงไมมีภาษาที่แนนนอน สวนใหญมักจะรับภาษาอื่นมาใชพูดกัน เชน ภาษาจีนยูนนาน ภาษาลาว ภาษาไทยภาค
เหนือ เปนตน ซึ่งมงทั้ง 3 เผาพูดภาษาคลาย ๆ กัน คือ มีรากศัพท และไวยากรณที่เหมือนกัน แตการออกเสียงหรือ
ปจจุบัน สําเนียงจะแตกตางกันเล็กนอย มงสามารถใชภาษาเผาของตนเอง พูดคุยกับมงเผาอื่นเขาใจไดเปนอยางดี แตมงไมมี
ภาษาเขียนหรือตัวหนังสือ มีเรื่องเลากันวา แตเดิมมงมีตัวหนังสือเหมือนกันแตดวยศึกสงคราม และตองอพยพอยูเสมอ
วันหนึ่งขณะขนลําเลียงหนังสือบรรทุกมาเดินทางมาถึง ริมลําธารแหงหนึ่งจึงปลดตะกราหนังสือลงจากหลังมาแลวพา
กันพักผอน และนอนหลับไป ลืมปลอยมากินหญา มาเลยกินหนังสือของเขาเสียจนหมด
สําหรับในดานประวัติศาสตรบางสวนที่เปนลายลักษณอักษร สามารถศึกษาคนหาไดในหนังสือประวัติศาสตรของ
ประเทศจีน ลักษณะตัวหนังสือ
มงจะมีการนําพยัญชนะภาษาอังกฤษมาใช เนื่องจากสมัยกอนมงหนีจากจีนมาตั้งหลักอาศัยอยูในประเทศลาว
ซึ่งลาวตกอยูภายใตอํานาจของอังฤกษ ดังนั้นมงที่อยูในประเทศลาวจะรับเอาตัวอักษรอังฤกษมาใชเปนภาษา
เขียนเปนคําพูดของมง ซึ่งมงขาวกับมงดําจะมีลักษณะภาษาเขียนแตกตางกันไป พยัญชนะที่ใชทั้งหมด 26 ตัว
สวนวรรณยุกต มี 8 วรรณยุกต และสระมี 13 สระพยัญชนะ ไดแก
a b c d e f g h i
j k l m n o p q s
t r u v w x y z
วรรณยุกต ไดแก สั๊วบัว (suab npua), สั๊วฮา (suab has), สั๊วกอ (suab koj), สั๊วเป (suab peb), สั๊วกู (suab
kuv), สั๊วยอห (suab yog), สั๊วเธอ (suab ntawd), สั๊วนาะ (suab nam) ตัวอยางการเขียนภาษามง เชนดังนี้
สระ ไดแก สระโอง (oo), สระอ (o) , สระอั๊ว ( ua), สระอา (a), สระ_าง (aa), สระ_ี (i) , สระ_ื (w), สระ -ู (u),
สระ เ_ (e), สระ เ_ง (ee), สระเ_อ (aw), สระเ_ีย (ia), สระโ_ (au), สระ ไ_ (ai) ตัวอยางสระกับการผสมสระ มีดัง
นี้
การฝกผสมพยัญชนะกับสระ และวรรณยุกตเขาดวยกัน สามารถอานไดดังนี้
ภาษามง หมวดคําศัพทเกี่ยวกับสีตาง ๆ
ภาษามง คําอาน คําแปล
dub ดู ดํา
xiav เสีย สีน้ําเงิน
liab daj เลีย-ดาง น้ําตาล
ntsuab จั๊ว เขียว
liab dawb muag เลีย-เกอะ-มัว ชมพู
liab เลีย แดง
daj ดาง เหลือง
dawb เดอะ ขาว
paj yeeb ปาง - ยิ้ง สีบานเย็น
Neb tuaj ghov twg tuaj แปลวา คุณมาจาก zoo saib tau tsis ntsib แปลวา ยินดีที่ไดพบ
ที่ไหน กัน
ขยายความ ประโยคถามคนที่ไมรูจักกันมา ขยายความ ประโยคนี้จะใชเมื่อคนสองคนพึ่ง
กอน รูจักกัน
Noj mov แปลวา กินขาว หรือ ทานขาว Ua tsaug daug แปลวา ขอบคุณมาก
ขยายความ ประโยคบอกใหกินขาว ขยายความ ใชสําหรับขอบคุณ
พิพิธภัณฑ คลิกภาพเพื่อฟงเสียงชื่อภาษามง
ขอมูลทั่วไป
... ในปจจุบันนี้แมลงจัดไดวาเปนสัตวชนิดหนึ่งที่มีมากที่สุดในโลก และนับวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อยางหลีกเลี่ยงไมได แต
วิถีชีวิต การเพิ่ม จํานวนของแมลง ก็ไดเพิ่มชื่อเรียกของแมลงมากขึ้นเชนกัน ในขณะเดียวกันมงก็มีชื่อเรียกแมลงเหลาsนี้แตกตางกัน
บาน ออกไป
จากภาษาไทย ซึ่งทางทีมงานของ เราไดไปเก็บ รวบรวมองคความรูเล็กๆ นอยๆ มาฝากใหทานที่สนใจชื่อเรียกแมลงตางๆ
ประเพณี ซึ่งเปน ภาษามงดัง ตอไปนี้
การแตงกาย
ศิลปะ
muv "หมู" yoov "หยง " npauj npaim "ปวง บาย"
ความเชื่อ
ภาษา
บทความ
ปจจุบัน
kab laug sab "กะ เหลา ซะ" tus kab "ตู กะ" kab puj nyoog "กะ ปู โหยง"
ntsaum "เจา" kab ntsig, kab nyuam dev kooj "โกง "
"กะ เบา "
พิพิธภัณฑ
ความแตกตางทางดานเชื้อชาติและภาษาทําใหกลุมคนบางกลุมมีภาษาพูดที่แตกตางจากกลุมอื่นๆ ซึ่งมงก็จัดไดวา
ขอมูลทั่วไป
เปนชนเผากลุมหนึ่งที่มีภาษาพูด ที่แตกตางจากภาษาไทย และมีภาษาเขียนที่แตกตางจากภาษาไทย ตลอดจนชื่อ
วิถีชีวิต เรียกสิ่งของตางๆ หรือวัตถุตางๆ ก็มีช ื่อเรียกที่ไมเหมือนชนกลุมใดเชนกัน ซึ่งทางทีมงานของเราก็ไดไปเก็บเกี่ยว
บาน ความรูเล็กๆ นอยๆ เกี่ยวกับชนิดนก ที่เปนภาษามงมาฝากทานที่มีความสนใจในเรื่องความแตกตางทางภาษา
ประเพณี
คลิกภาพเพื่อฟงเสียงภาษามง
การแตงกาย
ศิลปะ
noog "นง " noog yeeb nkaub "โนง แยง dav "ดา"
ความเชื่อ
กู "
ภาษา
บทความ
ปจจุบัน
qaib ntxhw "ฃั๊าะ เซื้อ" yaj yuam "ยาง หยูน" os "ออ "
ภาพรวม
พิพิธภัณฑ
ปจจุบันนี้มงที่ถูกอพยพหลบหนีจากภัยสงครามในประเทศสาธารณรัฐ
ขอมูลทั่วไป
ประชาชนลาว มาพักอาศัยใน ประเทศไทยเปนชวงระยะหนึ่งแลว ถูกยายไป
วิถีชีวิต ตั้งถิ่นฐานในประเทศสหรัฐอเมริกา จากที่ตองหลบ ๆ ซอน ๆ อยูในกลางปา
บาน เขาลําเนาไพร ชีวิตทั้งชีวิตของมงเหลานี้ตองอยูกับความตื่นตระหนก หวาด
กลัวกับภัยสงครามที่กําลังเกิดขึ้นอยางฮื่กโหมโชกโชน หวาดระแวงทุกอยาง
ประเพณี ที่อยูขางหนา ขางหลัง คิดไดอยางเดียว คือ ตองหนี หนีไปใหไกลที่สุดเทา
การแตงกาย ที่จะหนีได เพื่อใหหลุดพนจากภาวะสงคราม ที่กําลังห่ําหั่นกันอยางดุเดือดบา
ศิลปะ คลั่ง ในที่สุดมงเหลานี้ก็หนีมาถึงประเทศไทย และพักอาศัยอยูในประเทศ
ไทย และในที่สุดรัฐบาลไทยก็ไมสามารถที่จะรับมงเหลานี้อยูในประเทศไทย
ความเชื่อ ได ดังนั้นจึงไดขอความชวยเหลือจากประเทศ ที่ 3 โดยประเทศสหรัฐ
ภาษา อเมริกาจําเปนตองเปนฝายยื่นมือมารับผิดชอบมงทุกคนที่หลบหนีภัยสงคราม
บทความ
ปจจุบัน
อดีตถึงปจจุบัน
พิพิธภัณฑ ภาพสวยงามในอดีตที่ยังคงตรึงอยูในหัว
ขอมูลทั่วไป ใจมงทุกคน นั่นคือ ชุดมงที่ยายชราสวม
ใสอยู เปนชุดมงที่มงทุกคนตองสวมใส
วิถีชีวิต
ตลอด แตปจจุบันภาพสวย ๆ งาม ๆ
บาน เหลานี้เริ่มสูญหายไปจากสังคมมง สวน
ประเพณี ใหญจะพบภาพที่สวยในแบบฉบับปจจุบัน
นี้ คือ ภาพสองตายาย แตงชุดทันสมัย
การแตงกาย ใหม แมวาจะเปนชุดลําลองอยูบานเทา
ศิลปะ นั้น แตเมื่อสวมใสแลว รูสึกสบายมากขึ้น
ความเชื่อ ไมตองลําบากในเวลาทําความสะอาดเสื้อ
ผา เปนเหตุผลประการหนึ่งที่มงตองปรับ
ภาษา เปลี่ยนตัวเอง ใหมานุงเสื้อผาสมัยใหม
บทความ เนื่องจาก เสื้อผาชุดมงนั้นตองเสียคาใช
จายในการซื้อมากกวา และตองนํามาตัด
ปจจุบัน
เย็บเปนชุดใหม กวาที่จะตัดเย็บเรียบรอย
ใชเวลานาน และเสื้อผามงนั้นมีความหนา
มาก ดังนั้น เวลาสวมใสหนารอน จะยิ่ง
เพิ่มความรอนมากยิ่งขึ้น จึงเปนเหตุผลใน
การปรับเปลี่ยนตัวเอง และอีกเหตุผลหนึ่ง
คือ เวลาเขาสังคมกับคนอื่นแลว ไมไดรับ
การยอมรับ ดังนั้น มงจึงตองมีการปรับ
เปลี่ยนตัวเอง เพื่อใหเขากับสภาพแวด
ลอมมากขึ้น
ภาพเด็กมงที่ทุกคนถูกฝกมา เพื่อที่จะ
แบงเบาภาระทางครอบครัวเปนหลัก นั่น
คือการทํางานในไร ในสวน ในอดีต เด็ก
มงจะตองตื่นแตเชา เพื่อที่จะไดชวย
ครอบครัวทํางาน และตองแบกหลังดวย
กระโดงใบใหญกวาตัวเด็กเสมอ เพื่อที่จะ
ไปแบก พืชไร หรือพืชสวนที่ทําไวกลับ
มาไวที่บาน แตปจจุบันภาพ เหลานี้เริ่ม
จางหายไปพรอมกับความเจริญทางดาน
เทคโนโลยี ความ เจริญทางสังคมเริ่มแผ
กายเขามาในชีวิตมงในชนบท และสิ่ง
เหลานี้เปนสิ่งแปลกใหมสําหรับชาวมง
ทุกคน ดังนั้นมงเริ่มที่จะมีความนิยมชม
ชอบสิ่งเหลานี้ และในที่สุด ชาวมงก็ตอง
ปรับเปลี่ยนตัวเองขึ้นมา เพื่อที่จะไดอยูใน
สังคมอยางมีความสุข และคิดวาสิ่งเหลา
นี้ คือ สิ่งที่ดี ซึ่งปจจุบันนี้มงหมดยุดการ
แบกชลอง (กุย) ไป แลวหันมาเลนกีฬา
ตามแบบฉบับของสังคมไทย ถือไดวา
เปน ความสําเร็จอีกประการหนึ่งของชาว
มง
เด็กชายมงกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ
แมวาเด็กชายมงคนนี้ จะตัวเล็กเทาพริกขี้
หนู แตก็มีภาระหนาที่ที่ตองรับผิดชอบตอ
ครอบครัวของเขา ตองตื่นนอนแตเชา
ตระเตรียมอุปกรณตาง ๆ ที่จะนําไปทําไร
เมื่อตระเตรียมเรียบรอยแลว ก็จะนําไปใส
ในชลอง (กุย) แลวแบกหลังพรอม กับธนู
คูกายเด็กชายมงทุกคน พรอมกับจูงเจา
เพื่อนยาก คือ ควายไปทํางานในไร ซึ่ง
ในอดีตนั้นเด็กชายมงทุกคนตองทําเชนนี้
เพราะเขาเหลานั้นถูกฝกมาเชนนี้ แตกาล
เวลาแปรเปลี่ยนไป สิ่งใหม ๆ ก็เขามา
แทนที่ โดยแทบตั้งตัวไมทัน ผูปกครอง
หลาย ๆ คน ตองสงลูกหลานของตัวเอง
เขาเรียน เพื่อที่จะไดเขาศึกษาเลาเรียน
ปจจุบันนี้ เด็กชาย-เด็กหญิงมงสวนใหญ
จะไดเขาโรงเรียนทั้งหมด ยกเวนเฉพาะ
บริเวณ ที่อยูหางไกลความเจริญมาก หรือ
โรงเรียนยังเขาไปไมถึงเลยแตมีสวนนอย
มาก สวนใหญแลว เด็กเหลานี้จะอาน
หนังสือออกทั้งนั้น
หลังสูฟาหนาสูดิน คํากลาวนี้คงจะหนีไม
พนหญิง-ชายมงหลายคูนี้ ทุกวันหลังจาก
ทํางานในไรเรียบรอยแลว พอจะกลับบาน
เพื่อที่จะเก็บแรงไวพรุงนี้อีก วันหนึ่ง ชาว
มงสวนใหญตองแบกฟนจากไรมาเก็บไว
ที่บาน เพื่อที่จะไดเปนเชื้อเพลิงในการหุง
หาอาหารตอไป ซึ่งในอดีตมงนิยมใชมา
บรรทุกสัมภาระตาง ๆ แต ยกเวนฟน มง
จะนิยมแบกฟนมากกวาใชมาบรรทุก
ธรรมชาติแลวมงจะมีความอดทน ขยัน
ประหยัด ดิ้นรนปากกัดตีนถีบ เพื่อที่จะได
อาหารมาเลี้ยงปากเลี้ยงทองไปวัน ๆ ใช
ตัวเองเปนเครื่องจักร แตปจจุบันนี้
เทคโนโลยีมีความเจริญ กาวหนา และ
ครอบคลุมความตองการของมนุษยทุกคน
มงก็เปนคนคนหนึ่งที่ ถูกครอบงําดวย
เทคโนโลยีที่สามารถเขาไปถึงไดเชนกัน
จะเห็นไดจากการเข็นรถเข็น การใช
โทรศัพทมือถือตาง ๆ การมีรถยนตเปน
ของตัวเอง การใชเครื่องเฟอรนิเจอร
อํานวยความสะดวกตาง ๆ เปนตน
มงที่อเมริกา
พิพิธภัณฑ หลังจากประเทศสหรัฐอเมริกาไดยื่นมือเขามาชวยเหลือมงที่หลบหนีภัยสงคราม
ขอมูลทั่วไป แลวไดยายมงเหลานี้เขาไปอาศัยอยู ในประเทศสหรัฐอเมริกาเปนที่เรียบรอยไปแลว
รัฐบาลสหรัฐอเมริกาไดจัดสรรที่ทํากิน และบานพักให โดยใหมีการเชาอาศัยอยู จัด
วิถีชีวิต
สวัสดิการให พรอมทั้งจัดหางานใหมงเหลานี้มีรายไดมาเลี้ยงชีพ รัฐบาลสหรัฐอเมริกามี
บาน งบประมาณกอนหนึ่งที่เปนเงินเลี้ยงดูเด็ก และคนชรา มงบางครอบครัวที่อยูในประเทศ
ประเพณี สหรัฐอเมริกานั้น ตองอาศัยเงินดูแลเด็กเปนคาใชจายของครอบครัว เนื่องจากวาการทํา
งานรับจางนั้นรายไดนอย ไมพอสําหรับการเลี้ยงชีพ
การแตงกาย
ศิลปะ เยาวชนมงสหรัฐอเมริกาทุกคนไดรับการศึกษาไดรับสวัสดิการตาง ๆ จากรัฐบาลสหรัฐ
ความเชื่อ อเมริกาอยางทั่วถึง ซึ่งเยาวชน มงบางคนที่เติบโตที่ประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ไดถูก
ความเจริญทางดานเทคโนโลยีหลอหลอมขัดเกลา จนบางคนไมรูจักประเพณีอันดีงาม
ภาษา ของตัวเอง ไวซึ่งความดั้งเดิมของประเพณีเหลานั้น และภาพเหลานี้คือ ความสําเร็จของ
บทความ เยาวชนมงในประเทศสหรัฐอเมริกาในดานการบังเทิง ตลอดจนมีการจัดประกวด แขงขัน
รองเพลงมงเกิดขึ้น และไดมีนักรองเยาวชนมงสหรัฐอเมริกามากมาย ดารานักแสดงชาย-
ปจจุบัน
หญิงมง ซึ่งเยาวชนเหลานี้ลวนแลวแตไดรับการศึกษาทั้งสิ้น ความเจริญทางวัฒนธรรม
ทางตะวันตก ปจจุบันนี้มงที่อยูในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ไดเปลี่ยนวิถีช ีวิตเพื่อใหสอด
คลองกับชาวอเมริกาที่นั่ น และวัฒนธรรมตะวันตกก็ไดเขามาหลอหลอมเยาวชนมงเหลา
นี้ จนพวกเขาไมสามารถที่จะยึด ติดอยูกับวัฒนธรรมมงเดิม ๆ ไดอีกแลว เยาวชนเหลานี้
ไดตกเปนทาสของวัฒนธรรมตะวันตกอยางบาคลั่ง ชุบชีวิตเยาวชนมงเหลานี้ขึ้นมาใหม
ในแบบฉบับที่แตกตาง