Professional Documents
Culture Documents
วัตถุประสงคการเรียนรู
1. ทราบและสามารอธิบายภาวะสมดุลของน้ําและเกลือแรในภาวะปกติได
2. ทราบหลักการการใหสารน้ําทดแทนและสามารถนําไปประยุกตทางคลินิกได
3. ทราบหลักการการรักษาภาวะผิดปกติของเกลือแรและสามารถนําไปประยุกตทางคลินิกได
บทนํา
การใหของเหลวเขาเสนเลือดมีความสําคัญมากในการรักษาและชวยชีวิตผูปวย ของเหลวที่นํามาใชใหเขาเสน
เลือดกันอยูในขณะนี้มีมากมายหลายชนิด จําเปนที่จะตองเลือกใชใหถูกตองตามขอบงชี้และวัตถุประสงคซึ่งมีอยูมากมาย
หลายประการ ถาเลือกชนิดของของเหลวนํามาใชไดถูกตองก็จะเปนประโยชนอยางมาก สามารถชวยชีวิตผูปวยได
ในทางตรงขาม ถาเลือกใชไมถูกตองและ/หรือไมตรงตามขอบงชี้ก็อาจทําอันตรายผูปวยจนถึงแกชีวิตได
ภาวะสมดุลของน้ําและเกลือแรในภาวะปกติ
รางกายของมนุษยมีน้ําเปนสวนประกอบมากที่สุด ในผูใหญมีน้ําเปนสวนประกอบของ รางกายถึงรอยละ 61.2
โดยน้ําหนักนอกนั้นเปนโปรตีน ไขมัน คารโบไฮเดรต และเกลือแร รอยละ16.8, 13.6, 1.0 และ 7.4 ตามลําดับ ฉะนั้นจะ
เห็นไดวาน้ําเปนสวนประกอบที่สําคัญมาก ถาเปรียบเทียบเปรียบเทียบการขาดน้ํากับการขาดอาหาร มนุษยจะทนตอการ
ขาดอาหารไดมากกวาการขาดน้ํา นั่นคือการขาดน้ําจะทําใหคนตายกอนการขาดอาหาร
น้ําที่มีอยูในรางกายรอยละ 61.2 หรือประมาณรอยละ 60 นั้นแบงออกไดเปน 2 ประเภท
1. น้ําที่อยูภายในเซลล (intracellular fluid) มีรอยละ 40 หรือ ประมาณ 400 มิลลิลิตร/กิโลกรัม น้ําหนักตัว
2. น้ําที่อยูภายนอกเซลล (extracellular fluid) มีอยูประมาณรอยละ 20 หรือประมาณ 200 มิลลิลิตร/กิโลกรัม
น้ําหนักตัว ซึ่งอยูในที่ 2 แหงคือ
2.1 น้ําที่อยูภายในเสนเลือด (intravascular fluid) มีอยูประมาณรอยละ 5 หรือประมาณ 70 มิลลิลิตร/
กิโลกรัมน้ําหนักตัว
2.2 น้ําที่อยูภายนอกเสนเลือด อยูระหวางเซลลในเนื้อเยื่อตางๆ (interstitial fluid) มีอยูประมาณ
รอยละ 15 หรือประมาณ 130 มิลลิลิตร/กิโลกรัมน้ําหนักตัว
น้ําที่อยูภายนอกเซลลเปนตัวสําคัญในการควบคุมสมดุลของน้ําและเกลือแรตางๆ โดยเปนตัวเคลื่อนที่
เขาทดแทนการสูญเสียน้ํา พลาสมา และเกลือแร ฉะนั้น ของเหลวที่จะนํามาทดแทนหรือชดเชยการสูญเสียน้ําของ
รางกายจึงควรจะมีสวนประกอบที่ใกลเคียงกับน้ําที่อยูภายนอกเซลลมากที่สุด จึงจะเปนตัวทดแทนหรือชดเชยที่ดีได
สําหรับของเหลวที่จะนํามาใชเพื่อชดเชยการสูญเสียโลหิต นอกจากการที่ควรจะมีคุณสมบัติดังกลาวนั้นแลว ยังควรที่จะมี
คุณสมบัติใกลเคียงกับพลาสมามากที่สุด เพื่อที่จะคงอยูภายในเสนเลือดใหนานพอสมควร ทั้งนี้เพื่อชดเชยปริมาตรของ
เลือดที่เสียไป และอยูภายในเสนเลือดไดนานพอที่จะกูสถานการณของการเสียเลือดไวได
ของเหลวที่นํามาใหเขาเสนเลือดในปจจุบันมีมากมายหลายชนิด แบงออกเปน 4 ประเภท ไดแก คริสตอลลอยด
คอลลอยล เลือด และอื่นๆ รายละเอียดดังกลาวตอไป
สําหรับเกลือแรนั้น เปนองคประกอบที่สําคัญ โดยสวนใหญภายนอกเซลลจะมีโซเดียม (Na) และคลอไรด (Cl)
และในเซลลจะมีโพแทสเซียม (K) (ตาราง 1) โดยมีไตทําหนาที่ควบคุมความสมดุลของน้ําและเกลือแรในรางกาย เพื่อให
รางกายดํารงชีพไดอยางปกติ ดังนั้นในแตละวันเราจึงควรไดรับน้ําและเกลือแรตามปริมาณที่รางกายตองการ (ตาราง 2, 3)
ตาราง 1 ความเขมขนของเกลือแรในเซลลและนอกเซลล
Concentration (mEq/L)
Electrolyte
Intracellular Fluid (ICF) Extracellular Fluid (ECF)
Sodium 10 142
Potassium 140 4
Chloride 2 103
Bicarbonate 8 25
Magnesium 35 3
Calcium 3 5
Phosphate 95 2
ตาราง 3 ปริมาณเกลือที่รางกายตองการตอวัน
Electrolyte Daily requirement Minimum (per 24 hr) Maximum (per 24 hr)
+
Na 3-4 mEq/kg or 25-40 mEq/1000 kcal 70 mEq 100-150 mEq
+
K 2-3 mEq/kg or 25-40 mEq/1000 kcal 25 mEq 80-120 mEq
-
Cl 2-4 mEq/kg or 25-40 mEq/1000 kcal 70 mEq 100-150 mEq
2+
Ca 1-2.5 mEq/kg or 10-35 mEq/1000 kcal 0.2-0.3 mEq/kg 9-35 mEq
2+
Mg 0.2-0.5 mEq/kg or 3-10 mEq/1000 kcal Varies 8-16 mEq
3-
PO4 2 mmol/kg or 35 mmol/1000 kcal 20 mmol 15-30 mmol
ขอบงชี้ของการใหของของเหลวเขาเสนเลือด
ขอบงชี้หรือวัตถุประสงคของการใหของเหลวเขาเสนเลือดที่สําคัญมี 5 ประการ ดังตอไปนี้
1. ใชเปนทางนํายาเขาสูรางกาย มีบอยครั้งที่เราใหของเหลวเขาเสนเลือดอยางชาๆ ทั้งนี้เพื่อวัตถุประสงคใหมี
เข็มคาไวในเสนเลือดดํา เมื่อตองการจะฉีดยาเขาเสนเลือดใหผูปวยจะไดไมจําเปนตองแทงเข็มเขาเสนเลือดทุกครั้งเพราะ
สามารถฉีดยาเขาทางเข็มที่คาเสนเลือดไวนั้นไดทุกเวลาที่ตองการเรียกวิธีการนี้วา เพื่อเปดเสนเลือด (KVO = keep vein
opened) ของเหลวที่ใชมักจะใชน้ํายาพวก 5% Dextrose in 1/2 N.S.S. น้ํายาที่ใหเขาเสนนั้นมีความมุงหมายเพื่อปองกัน
ไมใหเกิดเลือดแข็งตัวอยูภายในเสนเลือดเทานั้น เราจึงใหของเหลวในอัตราที่ชาที่สุด และเพื่อปองกันไมใหผูปวยไดรับแร
ธาตุตางๆ เกินกวาที่รางกายตองการดวย
2. เพื่อรักษาระดับน้ําและเกลือแรของรางกาย (maintenance fluid) ซึ่งบางทีเรียกวาเปน การบําบัดรักษา
ค้ําจุน ทั้งนี้โดยมีวัตถุประสงคเพื่อชดเชยจํานวนน้ําและแรธาตุที่สูญเสียไปประจําวัน ( insensible loss) ตามปกติอัน
ไดแก การหายใจ เหงื่อ ปสสาวะ อุจจาระ รวมทั้งการงดน้ําและอาหารกอนผาตัดดวย ทั้งนี้ไมรวมถึงน้ําที่เสียไป
ในทางที่ผิดปกติทุกวิถีทาง เชน การอาเจียน ทองเดิน น้ําที่ดูดออกจากกระเพาะอาหารชองทองหรือชองปอด ฯลฯ
ของเหลวที่ใชในกรณีนี้มักใชพวกคริสตอลลอยด เชน 5 %Dextrose in Water, 5%Dextrose in 1/2 N.S.S., 5 %
Dextrose in Lactate – Ringer’s Solution โดยคํานวณจํานวนน้ําที่รางกายสูญเสียตามปกติ ดังกลาวนั้นตอวัน
ประมาณวันละ 2 - 3 ลิตร แลวใหน้ําจํานวนนั้นเขาเสนเลือดตลอด 24 ชั่วโมง เชน ใหหยดในอัตรา 120 มิลลิลิตร/
ชั่วโมง ดังนั้นใน 24 ชั่วโมงผูปวยจะไดรับน้ําทางเสนเลือดเกือบ 3,000 มิลลิลิตรตอวัน
3. เพื่อทดแทนและเสริมสรางน้ําและเกลือแรที่สูญเสียไป (replacement fluid) ทั้งนี้เพื่อการแกไขหรือ
รักษาการสูญเสียของน้ําและเกลือแรของรางกายตามปกติตามขอ 2 รวมกับการสูญเสียน้ําจากรางกายโดยความผิดปกติ
ดวย เชน มีไขสูง บาดแผลไฟไหม น้ํารอนลวก อุบัติเหตุ ทองเดิน อาเจียน ฯลฯ ของเหลวที่นํามาใชทดแทนหรือ
ชดเชยการสูญเสียน้ําของรางกายในกรณีเชนนี้ ควรจะตองมีสวนประกอบที่ใกลเคียงกับน้ําที่อยูภายนอกเซลลมากที่สุด
ดังที่กลาวมาแลว
สารละลายที่ใชในกรณีนี้มีหลายชนิด เชน 5% Dextrose in Water, 5% Dextrose in N.S.S., Ringer’s Sol.,
Lactated Ringer’s Sol., Acetated Ringer’s Sol. , Plasma Substitutes, or Blood Plasma ฯลฯ
การใหของเหลวเขาเสนเลือดในกรณีนี้บางทีเรียกวา การบําบัดรักษาทดแทน ทั้งนี้เพื่อแกภาวะการขาดน้ํา
(dehydration) ในภาวะการณนี้ปริมาตรของน้ํานอกเซลลลดลงเมื่อเทียบสวนของปริมาตรของน้ําภายในเซลล ภาวะการ
ขาดน้ํามีไดหลายชนิด isotonic dehydration เปนการสูญเสียน้ําและเกลือแรที่ไดสัดสวนกันพบประมาณรอยละ 70
การสูญเสียเกลือแรมากแตเสียน้ํานอยเรียกวา hypotonic dehydration พบไดประมาณรอยละ 8 ภาวะการขาดน้ํานี้
เปนอันตรายอยางยิ่งโดยเฉพาะในเด็ก จําเปนอยางยิ่งที่จะตองรีบทดแทนของเหลวที่สูญเสียจากรางกายโดยเร็วที่สุด
4. เพื่อใหสารอาหาร (nutrition supplement) มีผูปวยจํานวนไมนอยที่ไดรับอาหารไมเพียงพอ เนื่องจากกิน
อาหารไมได หรือถูกหามกินอาหาร ซึ่งมักจะไดรับแตน้ําเกลือ ทําใหรางกายหรือสุขภาพทั่วๆ ไป ทรุดลงเร็วกวาที่ควร
จะเปน ฟนตัวไดชา เนื่องจากการเสริมสรางซอมแซมรางกายทําไดไมเต็มที่ ภูมิตานทานโรคลดลง ทําใหเกิดโรค
แทรกซอนไดงายขึ้น กลายเปนผูปวยเรื้อรัง เสียเวลาเสียเงินในการรักษามากขึ้น เสียเศรษฐกิจทุกฝาย ทั้งทางตรงและ
ทางออม และอาจจะตองเสียชีวิตไปอยางนาเสียดาย ผูปวยที่ขาดอาหารอีกพวกหนึ่งคือผูปวยเปนโรคเรื้อรัง เชน มะเร็ง
ทองเดินเรื้อรัง ฯลฯ ผูปวยที่กลาวมาแลวเหลานั้น จะอยูในภาวะโภชนาการที่ไมดีหรือขาดอาหาร
ป 1968 ไดเริ่มมีการเปดศักราชใหมของโภชนบําบัด Dudrick และคณะไดแสดงใหเห็นวาสามารถเลี้ยงเด็กซึ่งมี
ลําไสสั้นมากจนไมสามารถรับประทานอาหารทางปากได ใหมีชีวิตรอดและเจริญเติบโตไดอยางปกติ โดยการใหอาหาร
ทุกชนิดทางเสนเลือดดําเพียงทางเดียว จึงไดมีการศึกษาถึงการใหอาหารโดยวิธีนี้อยางกวางขวาง
สารอาหารที่ใหทางหลอดเลือดดํานั้น จําเปนตองคํานวณใหพอเหมาะกับความตองการของรางกายของแตละคน
ซึ่งประกอบดวย พลังงาน โปรตีน ไขมันและกรดไขมันจําเปน วิตะมินและเกลือแรตางๆ
แหลงที่มาของพลังงานสวนใหญเปนพวกคารโบไฮเดรต ที่นิยมกันคือ กลูโคสเขมขน 50% ในระยะหลังนี้มี
การใชไขมันเปนสารใหพลังงานทางเสนเลือดดวย
การใหโปรตีนใหเพียงพอนั้น เพื่อปองกันไมใหมีการลดลงของโปรตีนในรางกาย เพื่อเสริมสรางซอมแซมสวนที่
สึกหรอ เพื่อใหมีการสมดุลของไนโตรเจนที่ดี รวมทั้งเพื่อใหมีการเจริญเติบโตของรางกายไดอยางปกติ โปรตีนที่
นํามาใชในกรณีนี้เปน amino acid ที่เปนสารสังเคราะห เนื่องจากรางกายนําไปใชไดทันที น้ํายา amino acid ที่ใชกัน
อยูในปจจุบันมี 2 ชนิด ชนิดหนึ่งประกอบดวย essential amino acid เทานั้น อีกชนิดหนึ่งมีทั้ง essential amino acid
และ non essential amino acid รวมอยูดวยกันในขวดเดียว อัตราสวนที่พอเหมาะควรจะมี essential amino acid
ไมต่ํากวา 40 % ของ amino acid ทั้งหมด
ไขมัน เปนสารอาหารที่สําคัญอีกชนิดหนึ่งที่ผูปวยควรจะตองไดรับโดยการใหทางเสนเลือดดํา เนื่องจากให
กําลังงานที่เขมขน ผูปวยจะไดรับแคลอรี่มากโดยไดน้ํานอย และยังชวยลดโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซอน เนื่องจากการ
ใหกลูโคสที่มีความเขมขนสูง ทั้งยังมี osmolarity ต่ําดวย นอกจากนั้นยังมีกรดไขมันจําเปน (essential fatty acid)
ผสมอยูดวย ไขมันที่นํามาใชในกรณีนี้เปน 10 % fat emulsion การใหไขมันเขาเสนเลือดดําเริ่มใชกันในประเทศไทย
ประมาณ 7 ปมาแลว
เกลือแรและวิตะมิน เปนสารอาหารที่จําเปนสําหรับทําใหการเผาผลาญภายในรางกาย (metabolism) เปนไป
อยางปกติ การใหคารโบไฮเดรตและโปรตีนมากๆ อาจเปนไปอยางปกติ การใหคารโบไฮเดรตและโปรตีนมากๆ อาจเปน
เหตุใหขาดเกลือแรและวิตะมินอยางเฉียบพลัน ถาไมมีการเสริมเกลือแรและวิตะมินใหดวย เกลือแรที่สําคัญ ไดแก
อีเลคโทรไลท คือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โครเมียม เหล็ก ฯลฯ ควรจะไดรับการเสริมใหเปนประจําเมื่อ
สามารถทําได วิตะมินรวม รวมทั้งวิตะมินเค วิตะมินบี 12 และ โฟลิกแอซิด ก็จําเปนที่จะตองใหอยางเพียงพอตาม
ความจําเปนของรางกาย
ความตองการน้ําสําหรับผูใหญตามปกติมีปริมาณใกลเคียงกับปริมาณแคลอรี่ที่ไดรับ คือ ประมาณ 30 – 50
มิลลิลิตร/ กิโลกรัม น้ําหนักตัว/วัน ในเด็กตองการประมาณ 50-90 มิลลิลิตร/ กิโลกรัม – น้ําหนักตัว/วัน ปริมาณของน้ํานี้
เพิ่มขึ้นหรือลดลง ขึ้นอยูกับความตองการน้ําของผูปวย สภาวะของระบบไหลเวียนโลหิตและหัวใจของผูปวยในขณะนั้น
5. เพื่อชดเชยการเสียเลือด (Blood supplement) อันตรายจากการเสียเลือดที่ทําใหถึงแกความตายในอันดับ
แรก คือ การขาดปริมาณของเลือด (hypovolemia) ไมใชการขาดเม็ดเลือดแดงหรือ เม็ดเลือดแดงมีจํานวนลดต่ํากวาที่
รางกายตองการ ฉะนั้นการชดเชยปริมาณของเลือดที่ขาดไปจึงเปนเรื่องที่จะตองกระทําทันทีในอันดับแรก การที่จะใช
ของเหลวอะไรมาชดเชยปริมาตรของเลือดที่เสียไปนั้นขึ้นอยูกับปริมาตรของเลือดที่เสียไปเปนสําคัญ โดยใช vital signs
ซึ่งประกอบดวย ชีพจร การหายใจ และ ความดันโลหิต เปนมาตรการของการวัดในเบื้องตน ถาสามารถวัดความดัน
โลหิต เปนมาตรการของการวัดในเบื้องตน ถาสามารถวัดความดันของโลหิตดําสวนกลาง (central venous pressure) ได
ดวย ก็จะเปนการวัดปริมาตรของเลือดที่เสียไปได แนนอนขึ้น นั่นก็คือ ทําใหเราทราบวาเกิดชองวางหรือเนื้อที่วางภายใน
ระบบไหลเวียนโลหิต (intravascular space) มากนอยหรือใหญโตแคไหนเราก็ตองชดเชยปริมาตรของเลือดที่ขาดไปนั้น
ดวยของของเหลวชนิดตางๆ อาจเปนคริสตอลลอยด, คอลลอยด, และ/ หรือ เลือด ทั้งนี้แลวแตปริมาตรของเลือดที่เสียไป
นั้นมากหรือนอย รายละเอียดจะไดอธิบายในอันดับตอไป
ชนิดของของเหลวที่นํามาใชใหเขาเสนเลือด
ของเหลวที่นํามาใชใหเขาเสนเลือดมีมากมายหลายชนิด แบงออกเปนประเภทตางๆ ดังนี้
1. คริสตอลลอยด
2. คอลลอยด
3. เลือด
4. อื่นๆ
คริสตอลลอยด (Crystalloids)
คริสตอลลอยดเปนน้ํายาที่ประกอบดวยโมเลกุลของสารละลายอยูในน้ํา หรือในน้ํายาเดกซโตรส หรืออาจ
เรียกวา “สารละลายเกลือแร” ก็ได
ป 1960 Shaire ไดศึกษาพบวา ในขณะผาตัดผูปวยจะเสียน้ําที่อยูภายนอกเซลลอยางชัดเจน เขาไดแนะนํา
ใหชดเชยการเสียน้ํานั้นทันทีดวยน้ํายาคริสตอลลอยด ซึ่งเปนสารละลายเกลือแร เชน น้ําเกลือ น้ํายาริงเกอร และถือ
ปฏิบัติกันเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ จะเห็นวาผูปวยจะไดรับน้ําเกลือนอรมอลหรือน้ํายาเกลือแรอื่นๆ ตลอดเวลาในขณะ
ผาตัดเพื่อชวยรักษาความดันโลหิตเอาไวใหคงที่อาจเพิ่มจํานวนหรือความเร็วของการใหของเหลวนั้นเพื่อแกการลดต่ําลง
ของความดันโลหิต ในการใหสารละลายเกลือแรเพื่อชดเชยปริมาตรของเลือดที่เสียไปนั้น จะตองใชของเหลวประเภทนี้
จํานวนถึง 3 เทาของปริมาตรของเลือดที่เสียไปจึงจะดึงความดันโลหิตใหสูงขึ้นมาเทากับกอนที่จะเสียเลือดไป แพทย
ยังใหน้ําเกลือหรือน้ํายาเกลือแรอื่นๆ หลังผาตัดตอไปอีกวันละประมาณ 2,000 – 3,000 มิลลิลิตร จนกวาผูปวยจะกิน
อาหารหรือดื่มน้ําได
น้ํายาคริสตอลลอยดแบงออกเปน 3 ประเภท
1. Isotonic Crystalloids เปนน้ํายาที่มีเกลือแรตางๆ ละลายอยูโดยมีความเขมขนที่ใกลเคียงกับน้ํายาของรางกาย
มากที่สุด
สารละลายเกลือแรชนิดนี้หาไดงายและมีราคาถูก สามารถใหเขาเสนเลือดดําไดในอัตราเร็วมากๆ เนื่องจากมี
ความเหนียวความหนืดนอยมาก จึงสามารถที่จะใชแกไขการลดปริมาตรของเลือดไดอยางรวดเร็วไมทําใหเกิดการแพ
ถาน้ํายานั้นสะอาดและปราศจากจากไพโรเจน จึงใชกันอยางกวางขวางมาก แตผลเสียของการใหน้ํายาประเภทนี้เขา
เสนเลือดก็มีมากมายดังจะกลาวตอไป
ตัวอยางของสารละลายเกลือแรชนิดนี้ไดแก 5% Dextrose in Water, Normal Saline, 5% Dextrose in
N.S.S., Ringer’s Sol., Lactated Ringer’s Sol., Acetated Ringer’s Sol.
2. Hypertonic Crystalloids เปนน้ํายาที่มีเกลือแรตางๆ ละลายอยูในความเขมขนมากกวาที่มีอยูในรางกาย
ตามปกติ น้ํายาประเภทนี้มีที่ใชนอยกวาประเภทแรก มีขอบงชี้พิเศษบางประการเทานั้นที่จําเปนตองใชน้ํายาประเภทนี้
ตัวอยางของน้ํายาประเภทนี้ไดแก 10% Dextrose in Water, 3% Sodium Chloride Sol., 5% Sodium Chloride Sol.
3. Hypotonic Crystalloids เชน 1/4, 1/3, 1/2 of N.S.S. เปนน้ํายาเกลือแรที่มีความเขมขนของเกลือแรต่ํากวาที่
ละลายอยูภายในน้ําของรางกาย ปจจุบันนิยมใชกันมากกวาประเภทอื่น เนื่องจากใหปริมาณของโซเดียม และคลอไรด
ไมมากนัก มักใชเปนสารละลายกับกลูโคสเพื่อใหกับผูปวยในการรักษาหรือทดแทนเกลือแรและพลังงานดังกลาวมาแลว
ผลของการใหน้ํายาคริสตอลลอยด
คริสตอลลอยดที่อยูในรางกายนั้น สวนใหญเปนน้ําที่อยูนอกเสนเลือด กระจายอยูในชองวางของเนื้อเยื่ออยู
ระหวางเซลล (Interstitial space) การใหน้ํายาคริสตอลลอยดเขาเสนเลือดจะไปทดแทนปริมาตรภายในเสนเลือดที่ลดลงได
อยางฉับพลันทันที เนื่องจากใหไดงาย มีความเหนียว ความหนืดนอย แตน้ํายาประเภทนี้จะอยูภายในการไหลเวียน
โลหิตไดไมเกิน 2 ชั่วโมง และจะตองใชปริมาตรถึง 3 เทาของปริมาตรของเลือดที่เสียไป จึงจะกูใหความดันเลือด
ที่ลดลงนั้นกลับคืนเทาปกติ นี่คือผลเสียประการแรกของการใหน้ํายาคริสตอลลอยดเขาเสนเลือดเพื่อชดเชยปริมาตรของ
เลือดที่เสียไป
ผลเสียที่เกิดตามมา คือ การที่ใหสารละลายประเภทนี้เขาเสนเลือดจํานวนมากเขาๆ น้ํายานี้อยูภายในเสนเลือด
ไดเพียง 2 ชั่วโมง ก็ไหลซึมออกไปจากเสนเลือด ไปอยูภายในเนื้อเยื่อตางๆ นอกเสนเลือด (Interstitial space) ทําให
เนื้อเยื่อนอกเสนเลือดทั้งรางกายบวมน้ํา และจะบวมมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ถายังใหน้ํายาประเภทนี้เขาเสนเลือดอยูเรื่อยๆ
ผลเสียที่เกิดตามตอมาจากรางกายบวมน้ําที่สําคัญมีอีกหลายประการคือ
การบวมน้ําของปอด เกิดขึ้นพรอมๆ กับเนื้อเยื่อทั่วไปบวมน้ําน้ําในเนื้อเยื่อของปอดบวมน้ําก็เบียดถุงลมใหเล็ก
ลง และยังมีน้ําซึมเขาไปอยูภายในถุงลมอีกดวย จากการทดลองใหน้ําเกลือเพียง 1,000 มิลลิลิตรแกคนปกติที่แข็งแรงดี
ก็จะทําใหสามารถลดปริมาตรของการหายใจของปอดลงไปไดแลว ฉะนั้นการใหน้ํายาคริสตอลลอยดเขาเสนเลือดจํานวน
มากทําใหเกิดการบวมน้ําของปอด (pulmonary edema) การหายใจก็ลดลงจนถึงหายใจไมได ทําใหผูปวยถึงแกกรรมได
เนื้อเยื่อทั่วไปขาดออกซิเจน (Tissue anoxia) การบวมน้ําของเนื้อเยื่อทั่วรางกายนั้นน้ําจะแทรกอยูระหวาง
เซลลของเสนเลือดฝอย ทําใหเสนเลือดฝอยอยูหางจากเนื้อเยื่อทั่วไปมากขึ้น ประกอบกับความดันภายในเนื้อเยื่อก็เพิ่มขั้น
เนื่องจากการบวมน้ํา กดลงบนผนังของเสนเลือดฝอย ทําใหการไหลเวียนในเสนเลือดฝอยไมดี การถายเทออกซิเจนจาก
เลือดไปยังเนื้อเยื่อทั่วไปก็เลวลง ทําใหเนื้อเยื่อทั่วไปไดรับออกซิเจนนอยลงจนถึงขาดออกซิเจนไดถาอาการบวมน้ํานั้นมี
มากขึ้นๆ เรื่อยๆ
แผลหายยากและติดเชื้อไดงาย ถาผูปวยมีแผล แผลนั้นก็จะบวมน้ํา เนื้อเยื่อของแผลก็ไดรับออกซิเจน
นอยลงดังกลาวมาแลว และยังทําใหการสรางเสนใยคอลลาเจน (Collagen fiber) ลดลงดวยแผลจึงติดเชื้อไดงายดวย
เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น การที่ใหน้ําเกลือเขาเสนจํานวนมาก มีผลทําใหเลือดแข็งตัว (coagulation) ไดเร็วขึ้น
อาจเกิดกอนเลือดขึ้นในหลอดเลือดดํา ไปอุดตันหลอดเลือดดําที่อยูลึกๆ ได
โรคแทรกอื่นๆ ทั่วๆ ไปของการใหของเหลวเขาเสนเลือดก็อาจเกิดขึ้นได เชน การติดเชื้อ เสนเลือดดําอักเสบ
ฯลฯ
แนนอนการแกปญหาเรื่องการเสียเลือดในขณะผาตัด จะตองทําการแกไขใหเร็วที่สุดที่จะเร็วได การใหน้ํายา
คริสตอลลอยดนั้นสามารถกระทําไดงาย รวดเร็ว และประหยัดที่สุด แตไมควรใหจํานวนมากเพราะทําใหเกิดผลเสีย
ตามมามากมายดังกลาวมาแลว ถาจําเปนที่จะตองใหของเหลวเขาเสนเลือดจํานวนมาก จะตองคิดแลววาควรจะให
ของเหลวชนิดใดตอไป หลังจากการที่ใชน้ํายาคริสตอลลอยดขวดแรกนําไปแลว จึงจะทําใหผูปวยปลอดภัยที่สุด น้ํายา
คอลลอยดควรจะเปนของเหลวที่เหมาะสมที่สุดที่จะนํามาใชในอันดับตอไป
คอลลอยด (Colloids)
คอลลอยด เปนน้ํายาที่มีสวนประกอบเปนสารประกอบที่มีโมเลกุลใหญละลายอยูในน้ํา รวมกับโมเลกุลของสาร
อื่นๆ ในความเขมขนตางๆ
Starling รายงานเมื่อป 1896 วา ถาเติม gelatin ซึ่งเปน colloid ลงไปในน้ําใหเขาเสนเลือดแทนน้ําเกลือ
นอรมอล จะทําใหน้ํายาเจลาตินนั้นอยูในกระแสเลือดไดนานกวาน้ําเกลือ เจลาตินเปนโปรตีนชนิดหนึ่งของสัตวที่เลี้ยงลูก
ดวยนม มีน้ําหนักโมเลกุล 100,000 – 200,000 แตพบวามันมีฤทธิ์ขางเคียงและทําใหเกิดอันตรายไดมาก
ป 1916 Baylis ใช gum arabic 6% เติมลงไปในน้ําเกลือนอรมอลเรียกวา 6 % gum saline ใชเปนน้ํายาชดเชย
ปริมาตรของเลือด ใชอยางกวางขวางในระยะสงครามโลกครั้งที่ 1 แตพบวามีฤทธิ์ขางเคียงที่ไมตองการอยางรุนแรงมาก
จนถึงช็อคแลวตายได
ในระยะสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการใชน้ํายาคอลลอยดเพื่อชดเชยปริมาตรของเลือดกันมาก ป 1940 Weese &
Hecht แหงประเทศเยอรมันนี้ไดสังเคราะหสารคอลลอยดขึ้นไดชนิดหนึ่งคือ Polyvinylpyrrolidone (PVP) ทําเปนน้ํายาให
เขาเสนเลือดเพื่อชดเชยปริมาตรของเลือดที่เสียไป PVP มีน้ําหนักโมเลกุลประมาณ 50,000 ตอมามีการคนควาดัดแปลงให
มีน้ําหนักโมเลกุลต่ําลงเปน 25,000, 17,550 และ 12,600
Dextran เปนคอลลอยดอีกชนิดหนึ่ง Gronwall & Ingelmann แหงประเทศสวีเดนไดนําเอามาใชทําน้ํายาใหเขา
เสนเลือดเพื่อชดเชยปริมาตรของเลือด ใชแพรหลายในระยะสงครามโลกครั้งที่ 2 เชนเดียวกัน สารนี้มีน้ําหนักโมเลกุล
70,000 -75,000 ตอมาไดมีการคนควาทําใหน้ําหนักโมเลกุลลดลงเปนประมาณ 40,000
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไดมีผูนําเอาเจลาตินกลับมาใชใหม โดยมีการคนควาดัดแปลงแกไขเสียใหม เรียกวา
modified gelatin ซึ่งเปนคอลลอยดที่มีน้ําหนักโมเลกุลประมาณ 23,000 – 35,000 น้ํายาพวกนี้ที่นํามาใชกันมี 3 ประเภท
คือ
1. Polygeline ผลิตภัณฑของ Behring/ Hoechst ซึ่งคนพบโดย Schmidt Thome และคณะ ไดแก Haemaccel
2. Oxypolygelatin คนพบโดย Campbell และคณะ เชน Gelifundol ของ Biotest ของ Hausmann
ป 1983 J.G. Williams และคณะ ศัลยแพทยแหงราชนาวีอังกฤษไดรายงานวา ในการรักษาทหารบาดเจ็บใน
สนามรบสงครามเกาะฟอลคแลนด ประมาณ 500 คน ภายหลังจากเจาะเลือดจากผูปวยเพื่อเอาไปทํา cross matching
แลวเขาเริ่มให compound sodium lactate sol. (Ringer- Lactate solution) 1,000 มิลลิลิตร ทันทีเพื่อชดเชยการเสีย
เลือดของทหารที่บาดเจ็บแลวให polygeline 500 มิลลิลิตรตาม ถามีความจําเปนเขาจะใหของเหลวทั้ง 2 ชนิดนี้ซ้ําไดอีก
ในรายที่จําเปนจะตองใหเลือดเมี่อมีขอบงชี้และสามารถที่จะหาไดในขณะนั้น เขาก็จะใหเลือดตามไปทันทีหลังจากที่ให
ของเหลวทั้ง 2 ชนิดไปแลว การทํา cross matching ตามปกติใชเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง สําหรับผูปวยบาดแผลไฟไหม
เขาใหของเหลวเขาเสนเลือดจํานวน 120 มิลลิลิตร/ 1 % ของบาดแผลไฟไหมที่คํานวณได ในเวลา 24 ชั่วโมงนับตั้งแตเริ่ม
ถูกไฟไหม ไมใชเริ่มนับเวลาเมื่อผูปวยมาถึงโรงพยาบาลเมื่อคํานวณจํานวนของเหลว ที่จะใหเขาเสนเลือดไดเทาไรแลว
เขาให Ringer- Lactate sol. และ polygeline ในอัตราสวนเทาๆ กัน บาดแผลไฟไหมมากกวา 15 % จึงตองใหของเหลว
เขาเสนเลือด ถาต่ํากวานั้นไมตองใหนอกจากคริสตอลลอยดและคอลลอยด ทั้ง 2 ชนิดดังกลาวมาแลวนั้น เขาไมไดใช
อยางอื่นอะไรอีกเลย
M.D.Jowitt และ R.J.Knigh วิสัญญีแพทย ไดรายงานเมื่อป 1983 เกี่ยวกับประสบการณที่ไดรับจากการที่ไปเปน
แพทยสนามในสงครามเกาะฟอลคแลนด ของเหลวที่เหมาะสมที่สุดที่จะเลือกใชเพื่อการชวยชีวิตในปจจุบันทันดวน คือ
Hartmann’s sol. (Ringer- Lactate sol. หรือ compound sodium lactate sol.), N.S.S. และ Haemaccel เหตุที่เขา
เลือกใช Haemaccel เพราะวาไมทําใหเกิดมีการแพที่รุนแรง ไมมีปญหาเกี่ยวกับการไหลเวียนและการแข็งตัวของเลือด
เคยมีบางรายที่เขาให Haemaccel มากกวา 1,000 มิลลิลิตร เขาเคยให Haemaccel 1,000 มิลลิลิตร เขาเสนเลือดดําหมด
ในเวลาไมถึง 5 นาทีแกผูปวยหลายประเภท เชน ผูปวยช็อคไดรับความเย็นจัดมาก เกิดภาวะ acidosis และผูปวยที่เสีย
เลือดจํานวนมากหลายราย ทําใหสามารถชวยผูปวยใหพนสภาวะที่จะถึงแกชีวิตปริมาตรการไหลเวียนของเลือดกลับสู
สภาวะปกติ สภาวะทางชีวเคมีของรางกายคงที่ดี Haemaccel กระตุนใหมีการหลั่ง histamine ออกมาบาง
คุณสมบัติที่ดีของน้ํายาคอลลอยด
น้ํายาคอลลอยดที่นํามาใหเขาเสนเลือดดวยความปลอดภัย ควรจะมีคุณสมบัติที่ดีอยางนอยที่สุดดังตอไปนี้
1. รูปรางลักษณะและน้ําหนักโมเลกุล ของสารคอลลอยดที่ละลายอยูในน้ํายาหรือของเหลวที่นํามาใหเขาเสน
เลือดนั้น มีผลทางออสโมซิส (osmotic effect) ที่พอเหมาะ ซึ่งจะไมทําใหปริมาตรของเลือดเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ
2.น้ํายาคอลลอยดนั้นมีความดันออนโคติค (oncotic pressure) เทากับหรือใกลเคียงกับ ความดันออนโคติคของ
พลาสมา
3.มีความหนืด (viscosity) เทากับหรือใกลเคียงกับความหนืดของพลาสมา
สารคอลลอยดนั้นไมควรจะเปนสิ่งแปลกปลอมสําหรับรางกายคือไมเปนแอนติเจน (antigeniticy) และไมควร
ทําใหเกิดปฏิกิริยาอิมมูน (immunological reaction)
5.สารคอลลอยดนั้นควรจะอยูในกระแสเลือดเปนเวลานานพอสมควร และไมควรจะรบกวนการทํางานของอวัยวะ
ตางๆ ถึงแมวาจะใหน้ํายาคอลลอยดนี้ซ้ําอีกหลายครั้งก็ตาม
6.สารคอลลอยดควรจะถูกขับออกจากรางกายโดยการเผาผลาญ (metalbolism) และ/ หรือโดยการขับถาย ไม
ควรจะสะสมอยูในรางกายเปนเวลายาวนาน
7.สารคอลลอยดนั้นไมควรรบกวนการหยุดของเลือด การแข็งตัวของเลือด และ หนาที่ของเกร็ดเลือด การ
เปลี่ยนแปลงในเรื่องดังกลาวนั้นไมควรจะมากไปกวาอัตราสวนของการเจือจางของเลือด
8.น้ํายาคอลลอยดไมควรจะทําใหหนาที่ของไต และ การขับปสสาวะ เสื่อมไป
9.น้ํายาคอลลอยดนั้นจะไมทําใหปริมาณของเลือดที่สงออกจากหัวใจ (cardiac output) นั้นลดลง
10.น้ํายาคอลลอยดนั้น ควรจะมีค วามคงทนหรือมี อ ายุ ย าว ไมเสียงา ย เก็บ เอาไว ใ ชไ ดน านและคงตัวเป น
ของเหลวอยูในทุกอุณหภูมิ
น้ํา ยาคอลลอยดมีห ลายชนิดดัง ไดก ล า วมาแลว สํา หรับ ในประเทศไทยปจ จุบั น นี้ เทา ที่ใ ชกั นอยูม ากมี 2
ประเภท คือ dextran (ที่มีในตลาดเปนผลิตภัณฑของหลายบริษัท) และ polygeline (Haemaccel)
DEXTRAN
1. ปริมาตรของเลือดลดลง (Hypovolemia)
Polygeline จะเปนประโยชนในการใชชดเชยปริมาตรของเลือดที่เสียไป ใชกันมากในการที่ผูปวยเสียเลือดไป
ประมาณ 20-40 % ของปริมาตรของเลือดทั้งหมด (ประมาณ 1,000 - 2,000 มิลลิลิตร ในผูใหญ) การให polygeline
500 มิลลิลิตรในผูใหญจะทําใหฮีโมโกลบินลดลง 1 กรัม% (ฮีมาโตคริท ลดลง 3%) ฉะนั้นในผูปวยที่มีฮีโมโกลบินในเกณฑ
ปกติมากอนสามารถที่จะให polygeline ไดถึง 1,000- 1,500 มิลลิลิตร กอนที่จะมีความจําเปนจะตองใหเลือด ในปจจุบัน
พบวาผูปวยทนการเสียเลือดไดถึงขนาดฮีโมโกลบิน ลดลงถึง 8-10 กรัม% (ฮีมาโตคริทลดลงถึง 24-30 % ) ผูปวยยังไม
มีอันตรายถึงแกชีวิต ฉะนั้นในการใชคอลลอยดประเภทนี้ควรจะวัดฮีโมโกลบินและฮีโมคริทเพื่อเฝาระวังการเปลี่ยนแปลง
เพื่อที่จะใชเปนขอชี้บงในการกําหนดปริมาตรของน้ํายาคอลลอยด และบอกไดวา เมื่อไรจึงจําเปนจะตองใหเลือด
2. ปริมาตรของเลือดลดลงโดยการเปรียบเทียบ (Relative Hypovolemia)
ในการใหยาสลบ spinal หรือ epidural anesthesia หรือในการใหยาสลบ general anesthesia ในระยะตนใน
บางโอกาส intravascular space จะขยายตัวซึ่งทําใหมองดูเหมือนวาปริมาตรของเลือดลดลง ทั้งๆ ที่ตามความเปนจริง
แลวปริมาตรของเลือดไมไดลดลงแตเมื่อชองวางภายในระบบการไหลเวียนขยายตัวออก จึงทําใหมองเห็นวาปริมาตรของ
เลือดนั้นลดลงไปกวาเดิม ในการใหยาสลบทางไขสันหลัง 2 วิธีนั้น จะทําใหชองวางภายในระบบไหลเวียนเลือดขยายตัว
ไดตั้งแต 1 ถึง 5 ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยูกับวาใชยาชาชนิดไหนฉีดเขาไป ยาชานั้นไปยับยั้ง sympathetic nerve นานเทาไร
การใช polygeline ใหเขาเสนเลือดจะชวยแกปญหากรณีนี้ไดอยางดี
3. ใชเจือจางเลือด (Hemodilution)
ปจจุบันการผาตัดบางชนิด โดยเฉพาะอยางยิ่งการผาตัดเสนเลือดใหญ หรือการผาตัดใหญที่จําเปนตองใชเลือด
แตไมตองการรับเลือดจากผูอื่น และผูปวยรายนั้นสามารถคอยเวลาของการผาตัดที่เนิ่นนานออกไปได ศัลยแพทยจะเจาะ
เลือดออกจากผูปวยกอนผาตัด 2-3 หนวย แลวให polygeline ทดแทนเลือดที่เจาะออกมา 1,000- 1,500 มิลลิลิตร แลว
จึงทําการผาตัด ในระหวางการผาตัดนั้นเขาให polygeline ทดแทนการเสียเลือดขณะผาตัด เขาจะเอาเลือดของผูปวยที่
เจาะออกมาเก็บไวนั้นใหผูปวย ถาผูปวยมีฮีโมโกลบินลดลงจนถึงเกณฑที่จะตองใหเลือด แตถาผูปวยยังมีฮีโมโกลบินที่ยัง
ไมต่ําพอเขาก็ยังไมใหเลือด แตจะนําเอาเลือดของผูปวยที่เจาะเก็บเอาไวนั้นมาให ผูปวยเมื่อผาตัดเสร็จเรียบรอยแลว
คุณสมบัติของ Polygeline
ผลเสียจากการใหเลือดที่สําคัญมีดังตอไปนี้
1. นําพาโรคไปสูผูรับ ดังเชนโรคที่กลาวมาแลว และโรคอื่นอีก เชน มาลาเรีย ซิฟลิส
2. อาจใหเลือดผิดหมูทั้ง ABO และ Rh
3. เลือดเปนแอนติเจน จึงทําใหเกิดการสรางภูมิตานทานได
4. เลือดเปนโปรตีนจึงทําใหเกิดการแพ (allergy) ได
5. ถายทอดอิมมูน isohaemagglutinins จากคนที่มีไปยังผูรับที่ไมมีได
6. อาจทําใหเกิดปฏิกิริยาที่ทําใหเม็ดเลือดแตก (hemolytic reaction) ซึ่งเกิดจากการใหเลือด หรือ
immunological factor
7. อาจทําใหเกิด isoimmunization
อื่นๆ
ของเหลวที่นํามาใหเขาเสนเลือดนอกจาก คริสตอลลอยด คอลลอยด และ เลือด แลวยังมีของเหลวอื่นอีกเชน
fat emulsion ดังที่ไดกลาวมาแลว
สรุป
เอกสารอางอิง
1. กิติ ตยัคคานนท. การใหของเหลวเพื่อชดเชยปริมาตรของเลือด. สาสนยา. ปที่ 4 ฉบับที่ 3 พฤษภาคม–มิถุนายน
2531.
2. รุงทิวา หมื่นปา. การใหสารน้ําและรักษาภาวะผิดปกติของเกลือแร. ใน: สมชาย สุริยะไกร, นุจรี ประทีปะวณิช,
ศิริลักษณ ใจซื่อ, เดนพงศ พัฒนเศรษฐานนท, บรรณาธิการ. คูมือฝกปฏิบัติงานบริบาลทางเภสัชกรรม (ฉบับ
พกพา). พิมพครั้งที่ 2. ขอนแกน: คณะเภสัชศาสตร มหาวิทยาลัยขอนแกน; 2547. หนา 207-30.