Professional Documents
Culture Documents
จากสถิติพบว่าประเทศไทยมีหัวนิตยสารที่เกี่ยวกับความสวยงามของผู้หญิงอยู่ไม่ตำ่ากว่า
32 เล่ม1 มีคลินคิ ศัลยกรรมนับเฉพาะที่ลงทะเบียนอยู่กับสมาคมศัลยแพทย์อยู่ไม่น้อยกว่า 300
แห่ง2 และมีเอกชนที่ให้บริการเกี่ยวกับการลดกระชับสัดส่วนอยู่มากมายในมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า
2,000 ล้านบาท3 ภาพรวมของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสวยความงามของผู้หญิงคิดเป็น
1
[ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก : http://www.magazinedee.com/main/premag.php สืบค้น 10 สิงหาคม 2550.
2
[ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก : http://www.plasticsurgery.or.th/main/memlist.html สืบค้น 10 สิงหาคม 2550.
3
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน. “มารีฟรานซ์ไทยหวังโค่นสิงคโปร์ เล็งตลาดศูนย์ลดอ้วนยุโรปอีก 3 ปี”. วันจันทร์
ที่ 30 พฤษภาคม 2548.
1
มูลค่าเกือบ 46,000 ล้านบาท และมีการเติบโตกว่า 4-5% ต่อปี4 แนวโน้มของการใส่ใจต่อสุขภาพ
และความสวยงามนั้นไม่ได้จำากัดอยู่ที่สตรีเพศอย่างเดียวเท่านั้น ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ไม่ว่าจะ
อยู่ในเพศใด วัยใด อยู่ในเมืองหรือชนบทต่างก็ไม่มีใครจะหลีกพ้นกระแสความสวยงามนี้ไปได้ แต่
น่าสนใจอย่างยิ่งว่าในขณะที่ทุกคนกำาลังให้ความสนใจอยู่กับการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ทาง
กายภาพให้สวย ให้งาม โดยวิ่งตามกระแสทุกอย่างที่ถูกกำาหนดโดยบรรทัดฐานของสังคม กลับ
ปรากฏว่าเรื่องของ “ความดีงาม” ที่อยู่ภายใน คุณค่าของความเป็นมนุษย์ อีกทั้ง จริยธรรม และ
คุณธรรม กลับไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจพูดถึง
4
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์. "ลอรีอัล"บุกตลาดความงามเต็มสูบสิ้นปีหวังโต 20%สูงสุดในรอบ 5 ปี. วัน
ที่ 2 กรกฎาคม 2550
2
ถึงว่าสภาวะของความสวยนี้อาจจะมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอนิจจังตามคติของพุทธศาสตร์
อย่างที่สองมันทำาให้เห็นว่าการจะได้มาซึ่งสภาวะของความ ‘สวย’ นัน้ ต้องมีปัจจัยบางอย่างมา
ปรุงแต่ง หรือมีกระบวนการบางอย่างมาก่อกำาเนิดความสวยที่ว่านี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มี
สาเหตุแต่อย่างใด และกระบวนการดังกล่าวนี้บอกได้เลยว่าต้องมีอาการ ‘เหงื่อตก’ หรือต้องใช้
ความพยายามไม่มากก็น้อย ([กุมภาพูดกับพยศ] “... ผู้หญิงน่ะลำาบากมากรู้ไหมเวลาอยากจะ
สวย ต้องเลือกเสื้อให้เข้ากับกระโปรง หมั่นทำาผม แต่งหน้าแต่งตา อาหารการกินก็ต้องควบคุม...”
น.4) และ ([ปรุงกับจูน] “คนสวย ก็คือคนสวย ไม่ต้องการสิ่งปรุงแต่ง” “อย่างน้าเนี้ย เกือบห้าสิบ
แล้วถ้ายังไม่ปรุงแต่งอยู่จะสวยได้ไหมจ๊ะ”)
ซึ่งเป็นคำานี้ในบริบทของสังคมไทยนั้นให้ความเป็นทางการ โดยจะเห็นได้ว่ามักจะใช้ในจดหมาย
หรือในที่ชุมนุมชน ซึ่งในกรณีจะต่างจากคำาศัพท์ภาษาอังกฤษ ‘Darling’ ซึ่งเป็นคำาเรียกอย่าง
เสน่หา ที่เพศใดก็ได้จะใช้เรียกขานบุคคลซึ่งมักจะเป็นคู่ครองของตน และสามารถใช้ได้เป็นปกติ
วิสัยในชีวิตประจำาวัน คำาว่า ‘ที่รัก’ นี้พอนำามาใช้กับคำาว่า ‘สวยแล้ว’ จึงมีความน่าค้นหาว่าผู้เขียน
จงใจที่จะซ่อนความหมายนัยยะอย่างไรเอาไว้ในชื่อนี้ ในที่นี้จะขอตีความไว้สองแบบ กล่าวคือ
แบบทีห่ นึ่งเป็นเรื่องของการต้องการตัดสินสภาวะความสวยโดยเพศตรงข้าม ในกรณีนี้ ผู้เขียนใคร่
ขอตีความว่าผู้พูดนั้นน่าจะเป็นผู้ชาย และพูดกับผู้หญิง ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นผู้หญิงที่ตนสนิท
3
ชิดเชื้อด้วย ตรงนี้จะเป็นการบ่งบอกว่าผู้หญิงนั้นจะสวยหรือไม่จะต้องผ่านการประเมินของเพศตรง
ข้ามเป็นสำาคัญ และแรงจูงใจเบื้องหลังของผู้หญิงในการต้องการทำาตัวให้สวยนั้น ก็เป็นไปเพื่อการ
ดึงดูดความสนใจของเพศตรงข้ามให้มาชื่นชมในตัวเธอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเพศตรง
ข้ามนั้นเป็นที่เธอให้ความรักความเสน่หา การชื่นชมในความสวยนั้นจะมีความหมายพิเศษยิ่งขึ้น
ไปอีก ([กุมภาพูดกับพยศ] “... ผู้หญิงน่ะลำาบากมากรู้ไหมเวลาอยากจะสวย…แต่คุณยศรู้หรือ
เปล่า พวกผู้หญิงเราก็ทนลำาบากได้นะเพื่อคนที่เรารัก… ถ้าคนอื่นมาชมเนี่ยมันก็ดีใจอยู่หรอก แต่
แหม มันก็ไม่พิเศษหรอก…” น.4) แต่การชื่นชมความสวยของผู้หญิงนี้ ถ้าหากทำาไปโดยมากมาย
จนเกินความพอดีก็จะกลายเป็นความจงใจที่หวานเลี่ยน และน่าขัน ซึ่งผู้เขียนสื่อจากตัวละครชื่อ
ปรุงซึ่งเป็นคนรักของนาปี ซึ่งทุกๆครั้งที่พบเจอนาปี ปรุงจะชมเธอว่าสวยเกือบจะทุกประโยค ([ปรุง
] “อรุณสวัสดิ์คนสวย (หอมแก้วนาปี)” น. 5, “ไม่มีข้อแก้ตวั ให้คนสวย นอกจากว่าถ้าอยากนั่งรถ
สบายๆ” น.6, “สวัสดีคนสวย (ก้มลงมาจะจูบนาปี แต่ผงะถอยเมื่อเห็นผมของเธอ) คนสวย เกิด
อะไรขึ้น” น.9, “เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ ไปกันเถอะ คนสวย” น. 10, [ปรุงกับนาปี] “หวัดดีคนสวย
(เดินมาหอมแก้มข้างซ้าย)” “สวย เสยอะไร ตาปูดเป็นปลาทองอย่างงี้เนี่ยนะ” “คนสวยตาบวม (
จูบบริเวณแถวๆเหนือตาข้างที่ชำ้า)”)
สำาหรับการตีความในแบบที่สองนั้นมีความเกี่ยวพันกับพล๊อทเรื่องกล่าวคือเป็นการ
คลี่คลายของตัวละครชื่อมีนาที่เป็นลูกสาวของเมษา มีนาหน้าตาสวยสู้กุมภาพี่สาวคนสวยแต่สติ
ไม่ดีของเธอไม่ได้แต่เป็นคนดี เก่ง ขยันขันแข็ง ความไม่สวยของมีนานี่เองถูกพยศ ชายหนุ่มที่เคย
วางแผนจะแต่งงานกับเธอใช้เป็นเหตุในการเลื่อนงานแต่งออกไปถึง 4 ครั้ง ในท้ายที่สุดมีนาเสียสติ
หลังทราบข่าวว่า ธันวา พี่ชายที่เธอรักมากฆ่าตัวตายโดยเดินออกไปให้รถชน แต่ตรงนี้เองเมื่อเธอ
เสียสติสัมปชัญญะของเธอไปแล้ว สิ่งที่เธอได้กลับมาทดแทนก็คือความสวย และความใส่ใจจาก
เมษา แม่ของเธอ ซึ่งแต่ก่อนแต่ไรไม่เคยให้ความรักกับเธอมากเท่าพี่สาวคนสวยของเธอเลย โดย
เห็นได้ชัดจากบทสนทนาระหว่างธันวากับพยศเมื่อพูดถึงมีนา ( “...มีนเขาเป็นคนดีนะครับ ยิ้ม
แย้มมาตั้งแต่เด็ก ขนาดแม่ชอบเอาไปเปรียบเทียบกับพี่กุมตลอด เขาก็ไม่ถือสา... แม่น่ะรักพี่มาก.
..ช่างเสริมสวยก็รักลูกสาวคนสวยเป็นธรรมดา” น. 8) การเปลี่ยนแปลงของมีนานี้ จะเห็นได้จาก
การวิเคราะห์ฉากส่งท้าย หรือ Epilogue
4
มีนา : “(ยิ้มมุมปาก)ขอบคุณค่ะแม่” (น.23)
บทละครเรื่องนี้ผู้แต่งมีเจตนาที่จะยกสัญญะบางอย่างมาเหน็บแนมค่านิยมของสังคมที่
เห็นได้อย่างดาษดื่น แล้วจะมีอะไรดีกว่าการให้เรื่องนี้เกิดขึ้นใน “ร้านเสริมสวย” ซึ่งถือได้ว่าเป็น
ปริมณฑลของสตรีเพศ ซึ่งคนไทยยังถือว่าร้านเสริมสวยธรรมดาที่มีอยู่ทั่วไปในตรอกซอกซอยนี้
เป็นสถานที่ที่ผู้หญิงจะสามารถมาพักผ่อน และหลีกไกลจากความฉาบทา ที่สังคมจ้องจะแปะตรา
ประทับยี่ห้อ ให้กับเธอ และเธอสามารถพูดคุยกันได้ในทุกเรื่องราวไม่เว้นแม้แต่เรื่องบนเตียง หรือ
สองแง่สองง่าม (“สงสัยหนูมีนแกได้เชื้อพ่อมาแรงมั้งคะ” [จูนพูดกับเมษา] น. 2) แต่ในขณะ
เดียวกันสถานที่นี้ก็มีความขัดแย้ง เพราะเป็นแหล่งที่ผู้หญิงทุกคนรู้ว่านอกจากที่ตนจะมาให้เวลา
กับตัวเองแล้ว ก็ยังเป็นสถานที่ที่ต้องมาแต่งองค์ทรงเครื่อง หรือ “ทำาสวย” เพราะวัตถุประสงค์หลัก
5
อันหนึ่งก็คือการต้องทำาตัวให้ดูดีเป็นที่ต้องตาของผู้ที่พบเห็น และที่สำาคัญก็คือให้ดึงดูดผู้ที่เธอรัก
และปารถนา ([กุมภาพูดกับพยศ] “... ผูห้ ญิงน่ะลำาบากมากรู้ไหมเวลาอยากจะสวย ต้องเลือก
เสื้อให้เข้ากับกระโปรง หมั่นทำาผม แต่งหน้าแต่งตา อาหารการกินก็ต้องควบคุม แต่คุณยศรู้หรือ
เปล่า พวกผู้หญิงเราก็ทนลำาบากได้นะเพื่อคนที่เรารัก… ถ้าคนอื่นมาชมเนี่ยมันก็ดีใจอยู่หรอก แต่
แหม มันก็ไม่พิเศษหรอก…” น.4)
การจัดองค์ประกอบของฉากให้ความหมายอย่างชัดเจนว่า ความสวยงามที่ดูเพียงแต่
ภายนอกนั้นไม่เพียงพอที่จะใช้ตัดสินว่าภายในเป็นอย่างไร เพราะการกำาหนดให้ “ร้านเสริมสวย”
นั้นแบ่งแยกออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน ก็คือด้านหน้าร้านด้านขวามือ ซึ่งตบแต่งดูสวยงาม และ
หลังร้านด้านซ้ายมือซึ่งดูรกรุงรังไม่เป็นระเบียบ และแบ่งคั่นระหว่างสองส่วนนี้ด้วยกึ่งกลางเวที
พอดี ซึ่ ง เห็ น ได้ ชั ดว่ า เป็น ความพยายามที่ จ ะล้ อ เลี ย นตั ว ตนของมนุ ษ ย์ ที่ บางครั้ ง หน้ า ฉากดู ดี
สวยงามอู้ฟู่ แต่เบื้องหลังกลับมีแต่ความหมองมัวที่พยายามปกปิดซ่อนเร้นเอาไว้ เหมือนกับคำา
พังเพยที่ว่า “ข้างนอกสดใส ข้างในเป็นโพรง” ([เมษาพูดกับธันวา “แล้วกระเป๋าสกปรกๆ นี่ก็เก็บไป
ซะด้วย อุตส่าห์แต่งหน้าร้านไว้สวยๆ” น. 7)
ความระยำาที่เคลือบด้วยนำำาตาลสีสวย
เมื่อเรื่องได้ดำาเนินไปกลับพบว่าเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นรอง แต่ประเด็นเรื่องของเงื่อนงำา
เบื้องลึกเบื้องหลังของมนุษย์ที่น่าเกลียดไม่สวยงามกลับมีนำ้า หนักเพิ่มขึ้นจนเชื่อได้ว่าน่าจะเป็น
ประเด็นหลัก สาเหตุที่ได้ข้อสรุปเช่นนั้นเป็นเพราะ
6
เงื่อนงำำที่หนึ่ง : มีหลายเหตุการณ์ในเรื่องที่ทำาให้เชื่อได้ว่า ผู้เขียนจงใจจะสื่อว่ามนุษย์ปุถุชนนั้นมี
ความอ่อนแอไม่มั่นคง และทุกคนล้วนแล้วแต่ตกเป็นทาสของอารมณ์ความรู้สึก(ชัว่ วูบ) รวมทั้ง
สัญชาติญานดิบของสัตว์ ซึ่งผลักดันให้มนุษย์สามารถลงมีกระทำาการใดๆ โดยไม่คำานึงถึงเหตุผล
จริธรรม คุณธรรม หรือศีลธรรมอันดี ซึ่งผลที่ตามมานั้นมักจะนำามาสู่ความหายนะที่ทั้งตนเองและผู้
อื่นจะต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ชา้ ก็เร็ว
ตัวอย่างเช่น การที่พยศนั้นเผลอตัวไปกับความสวยและการยั่วยวนจากกุมภาพี่สาวสติไม่
ดีของมีนา ทั้งๆที่ตัวเขากับมีนามีแผนการที่จะหมั้นหมายและแต่งงานกันในไม่ช้า ([มีนากับพยศ]
“คุณยศน่ะใจดีจังเลย ตัวก็อุ่นด้วย” (กุมภาหายใจรดต้นคอชายหนุ่มเบาๆ พยศชายตาลงมามอง
หน้าเธอไม่ช้าทั้งคู่ก็ค่อยๆจูบกัน) น.5) และภายหลังเรื่องนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำาให้เขาต้องเลื่อนการ
แต่งงานออกไปถึง 4 ครั้งและเลิกร้างกับมีนาในที่สุด บางครั้งอารมณ์ชั่ววูบนี้อาจจะถูกเรียกชื่อต่าง
กันไปเช่น ‘ปีศาจ’ ([มีนากับพยศ] “กุมกำาลังคิดไม่ซื่อกับผู้ชายทั้งคู่ที่กุมรัก กุม...กุม กุมไม่รู้
เหมือนกันค่ะ ว่าปีศาจอะไรมาดลใจ กุมขอโทษ” น.9) แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรความหมายก็ยังคง
หมายถึงสิ่งเดียวกันนี้เอง
หรือกรณีที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือกรณีของธันวา ที่เกิดพลั้งพลาดทำาผิดร้ายแรงเพราะดื่ม
เหล้าจนเมามาย และไปได้กับพี่สาวแท้ๆของตัวเอง (จากการสำารวจพบว่า 80% ของผู้ที่ถูกข่มขืน
ถูกกระทำาโดยคนใกล้ตัว5) โดยการข่มขืนพี่สาวของธันวานี้จะใช้คำาอธิบายอย่างอื่นนอกจากคำาว่า
สัญชาติญานดิบของสัตว์เห็นจะไม่ได้ ส่วนอีกครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องของธันวาอีกเช่นกันในตอนที่เป็น
Climax ของเรื่องนี้ ธันวาตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยวิ่งออกไปให้รถเฉี่ยวชนทั้งๆที่บอกมีนาไว้ว่าจะรอ
จนกว่างานแต่งงานของน้องจบก่อน แต่ก็ได้ลงมีกระทำาการไปอย่างนั้น จึงสรุปได้ว่าการฆ่าตัวตาย
ของธันวาในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ หรือมี ‘ปีศาจ’ มาดลใจให้ลงมือทำาได้เช่นเดียวกัน
5
กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารสุข. “เผยหญิงไทยตกเป็นเหยื่อกามช่วงปี 47 กว่าแสนคน.” [ออนไลน์] เข้าถึง
ได้จาก : http://www.dmh.go.th/sty_libnews/news/view.asp?id=2690 สืบค้น 15 กันยายน 2548
7
เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักสามตัวคือ เมษา ซึ่งเป็นแม่ กับ ลูกสาว
ทั้งสองคน ซึ่งก็คือ กุมภา กับ มีนา ซึ่งบทละครนี้เปิดเรื่องขึ้นมาด้วยเพลง “ลูกสาวคนดี” ที่แม่ร้อง
ให้กุมภา เนื้อเพลงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสาว และไม่ใช่ลูกสาวธรรมดา
เป็นลูกสาวที่ดี ที่แม่ภูมิใจ ส่วนการเลี้ยงลูกก็ถูกนำาไปเปรียบเปรยกับการทำาขนมหวาน ทีแ่ ม่พึง
ใส่ใจควบคุมสัดส่วนของนำ้าตาล ใบเตย และส่วนผสมให้พอเหมาะก็จะกลายมาเป็นลูกสาวคนดีได้
แต่แม่จะร้องเพลงนีใ้ ห้กับลูกสาวเพียงคนเดียว แต่อีกคนหนึ่งจะไม่ร้องให้ฟัง ([กุมภากับแม่ “แล้ว
เพลง เพลงนี่แม่จำาได้ใช่ไหม แม่ร้องให้กุมฟังบ่อยๆก่อนนอน.... แต่ทำาไมแม่ไม่เคยร้องให้น้องฟัง
เลยล่ะคะ” “ก็ลูกสาวต่างคน ก็ต้องเลี้ยงต่างกันไปสิ” น. 16) ประเด็นนี้จึงสื่อให้เห็นถึงความเป็น
มนุษย์ปุถุชนที่ย่อมตัดสินเรื่องราวต่างๆไปตามความมั่นหมายส่วนตน ซึ่งย่อมจะมีความไม่เป็นก
ลาง และยังสื่อให้เห็นอีกว่าสิ่งที่เป็นหลักการนามธรรมที่มีเอกภาพ (unity) เช่น ‘ความดี’ และ ‘
ความงาม’ นัน้ อาจไม่มีอยู่จริง เพราะย่อมขึ้นอยู่กับว่ามองผ่านสายตาของใคร นี่จึงชี้ให้เห็นว่าใน
ความเป็นมนุษย์นนั้ มีปมปัญหาบางประการที่ติดตัวมนุษย์ซึ่งไม่อาจจะเยียวยา ซึ่งแก้ไขอะไรไม่ได้
แต่ต้องยอมรับสภาพว่ามันเป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง
สรุปความ “แก่นความคิดหลัก”
“บำงครั้ งมนุ ษ ย์ เ รำควรจะเลื อ กที่ จ ะอยู่ อ ย่ ำ งไม่ รู้ ห รื อ ไม่ ใ ส่ ใ จแต่มี ค วำมสุ ขสบำย
(Ignorance is bliss) ดีกว่ำรู้หรือใส่ใจแล้วนำำไปสู่ควำมทุกข์ หรือหำยนะ”
8
คู่ต้องเลิกรากันไป การที่มีนาตระหนักรู้เรื่องนี้จึงนำามาสู่การปิดฉากลงของความสัมพันธ์ของคนทั้ง
สองอย่างช่วยไม่ได้
9
ว่าการแต่งงานมันคือการที่ผู้หญิงผู้ชายจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความลับซึง่ กันและ
กัน แต่ผมเชื่อว่าการแต่งงานมันมีอะไรมากกว่านี้ (พูดราวกับกำา ลังกล่าวสุนทรพจน์)
มันคือการเคารพนับถือ เชื่อใจซึ่งกันและกัน คือคนสองคนจะใกล้ชิดกันแค่ไหนมันก็
ต้องมี เออ ถ้าภาษาอังกฤษเขาต้องพูดว่า...personal space... คือช่องว่างที่แต่ละคนยัง
รู้สึกสะดวกสบายใจได้ (พยศเหงื่อตก ต้องปลดเนคไทตัวเองออก) แล้วผมก็ถือว่าการที่
เราจะมีอะไรปิดบังกันนิดๆหน่อยๆนี่มันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เช่น สมมุติว่าผมไป
ติดต่องานกับผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมา ถ้าผมจะมาเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟัง คุณก็คงไม่สบายใจใช่
ไหม...ใช่ไหมมีน ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือผมก็ควรปิดเรื่องนี้เป็นความลับแล้วก็ปล่อยให้
ทุกอย่างมันผ่านไป เห็นไหมแค่นี้มีนก็ไม่ต้องกังวล ทีนี้คณุ ก็คงเห็นแล้วใช่ไหมว่าไอ้การ
ที่ผมเลื่อนงานแต่งออกไปเรื่อยๆนี่ไม่ใช่ว่าผมไม่รักคุณ หรือผมไม่ต้องการแต่งงานกับ
คุณ ใช่คุณอาจจะมองแบบผู้หญิงๆว่าผมแค่ต้องการถ่วงเวลา ซึง่ ผมก็คงไม่โทษคุณในจุด
นี้ เราทุกคนก็มีสิทธิ์มองต่างมุมกันไป…”
10
ภายในจิตใจของเราเอง ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ต่างจากสัตว์เดียรฉาน เพราะมนุษย์สามารถรับรู้ถึง
ความผิดชอบชั่วดีในมโนสำานึก และสิ่งนี้จะตามหลอกตามหลอนมนุษย์ผู้นั้นในทุกขณะจิต.
ความคิดในเรื่องของความสวย กับความดีนี้เป็นวาทกรรมที่ปรากฏขึ้นในสังคมไทยทุกยุค
ทุกสมัย มิใช่พึ่งปรากฏในละครเวทีร่วมสมัยอย่างเรื่องนี้ แต่ในขณะที่บทละครเรื่องนี้ได้นำา เสนอ
โดยจับประเด็นของกระแสสังคมในปัจจุบันที่ยึดถือว่ารูปลักษณ์ หรือ ร่างกายนั้นแท้จริงแล้วมี
ลักษณะเพียง “โครงการ” อย่างหนึ่งที่ต้องทำาให้เสร็จลุล่วง ดังที่ได้พูดถึงมาแล้ว ดังนั้นแนวโน้มการ
เสริมดั้ง ตบนม ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันจึงสามารถเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะเรามีทัศนคติต่อร่างกายที่
เปลี่ ย นไปตามแนวทางของตะวัน ตกนั่น เอง ซึ่ ง มองร่ า งกายเป็ น ทุ น ชนิ ด หนึ่ ง เรี ย กว่ า ทุ น ทาง
กายภาพ (เสนาะ เจริญพร 2548) และผู้ที่มีความโน้มเอียงที่จะเป็นไปตามแนวความคิดดังกล่าว
นั้นก็หลีกไม่พ้นที่จะเป็นสตรีเพศเป็นหลัก
หากเราลองมาพิจารณาถึงวรรณกรรมของไทยสมัยก่อน เราจะเห็นได้ว่าสำาหรับสังคมไทย
นั้น รูปสมบัตินั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่วัดคุณค่าของสตรีไทย ซึ่งจะเห็นได้จากถ้อยคำาว่า “สวยแต่รูปจูปไม่
หอม” และในวรรณกรรมไทยนัน้ หากศึกษาให้ลึกซึ้งแล้วถึงแม้จะมีบทชมความงามของอิสตรี ก็มัก
จะเป็นไปเพราะศิลปินต้องการจะแสดงฝีมือในทางการใช้ถ้อยคำาพรรณาในเรื่องนี้ ประกวดประขัน
กันมากกว่าที่จะเน้นเอกลักษณ์ของสตรีไทยในด้านรูปสมบัติ (บุณยงค์ เกศเทศ 2532) ดังนั้นจึง
สรุปได้ว่าคนไทยสมัยก่อนนั้นให้ความสำาคัญกับความประพฤติ หรือคุณงามความดีอื่นๆ เป็นต้น
ว่ า จะต้ อ งมี กิ ริ ย ามารยาทเรี ย บร้ อ ย สงบเสงี่ ย มเจี ย มตั ว มี อั ธ ยาศั ย ไมตรี อั น ดี อี ก ทั้ ง ต้ อ งมี
คุณสมบัติในการปรนนิบัติสามี ดังจะเห็นในสุภาษิตสอนสตรีถึงกับให้กราบเท้าผัวก่อนเข้านอน
ระวังดูปูปัดสลัดที่นอน ทั้งฟูกหมอนอย่าให้มีธุลีลง
ถ้าแม้วา่ ภัสดาเข้าไสยาสน์ จงกราบบาททุกครั้งอย่างพลั้งหลง...
นายภู่ : สุภาษิต สอนสตรี
ซึ่งแม้ว่าผู้หญิงไทยของเราจะมีอิสรภาพจากค่านิยมอันครำ่าครึนี้แล้ว แต่ก็น่าสนใจว่าแท้จริงแล้วผู้
หญิ ง ไทยนั้ นได้ ห ลุด พ้ น จากอี ก กรงกรอบความคิ ด หนึ่ ง ไปยั ง อี ก ความคิ ด หนึ่ ง หรื อ ไม่ เรี ย กว่ า
เป็นการหนีเสือปะจรเข้ เพราะเราจะเชื่อได้อย่างไรว่า กระแสของความสวยความงามที่กำา ลังนำา
กลับมานำาเสนอในรูปแบบใหม่ๆ และเรียกว่าเป็น “กระแสเพื่อสุขภาพ” นี้จะไม่ใช่การพะยี่ห้อใหม่
ฉาบทาด้วยคำาพูดที่ไฉไลขึ้นกว่าเก่า แต่เมื่อมองให้ดีแล้ว เนื้อแท้ความจริงเป็นเรื่องของการกระตุ้น
11
ความต้องการที่เป็นสัญชาติญานดิบข้างในลึกๆของเรา ที่เรามักจะเก็บงำาซ่อนเร้นไว้ไม่ให้ใครเห็น
และถ้าเราโชคดี... ไม่แน่ว่าบางครั้งเราอาจจะหลอกตัวเองได้บ้างกระมัง
บรรณานุกรม
12