Professional Documents
Culture Documents
ชีวประวัติของ แมกซิม กอร์กี้
ชีวประวัติของ แมกซิม กอร์กี้
1
http://en.wikipedia.org/wiki/Maxim_Gorky
2
เปนการนับวันที่แบบปฏิทินแผนใหม(เกรกอเรียน) ถาเปนการนับวันที่โดยใชปฏิทินแผนเกา(จูเลียน)ที่ใชในรัศเซีย จนถึงป ค.ศ.1918
นั้นจะเปนวันที่ 15 มีนาคมแทน
3
เปนแมน้ําสายสําคัญของรัสเซีย ไหลผานทางตะวันตกของรัสเซีย เปนแมน้ําสายที่ยาวที่สุดของทวีปยุโรป
4
เปลี่ยนชื่อเปน กอรกี้(Gorky)ในชวงป ค.ศ. 1932-1990 เพื่อเปนเกียรติแกตัวเกอรกี้กอ นกลับไปใชชื่อเดิม ใน ปค.ศ.1991 เปนเมือง
ใหญอันดับที่ 4 ของรัสเซีย อยูติดแมนา้ํ โวลกา
5
ตอนนั้นเปนการปกครองโดยราชวงศโรมานอฟ มีซารที่มีอาํ นาจอัตตาธิปไตยเปนประมุขของประเทศ
6
เปนชื่อจริงที่พอแมของเขา ตั้งให สวนนามปากกาของเขาไดนํามาจากชือ่ ของบิดาของเขา แมกซิม ซัมฟาติวิช ที่เขาเห็นวาเปนคนที่วิเศษ
คนหนึ่ง
7
อเล็กซานเดอร, รอสคิน จากลุมแมน้ําโวลกา:ชีวประวัติของแมกซิม กอรกี้ แปลโดย อรุณ ชัยโรจน (พิมพครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ : เจริญ
วิทยการพิมพ, 2517)หนา 8-18
8
อางแลว หนา 29-30
9
อางแลว หนา 29-30,32
10
เปนศูนยกลางอํานาจของพวกมองโกลในรัสเซีย ชวงศตวรรษที่13-14 เปนสถานที่ที่ขาน(Khan) อาศัยอยู อยูติดแมน้ําโวลกา
ปจจุบันเปนเมืองหลวงของตาตารสถาน(Tatarstan)
11
อเล็กซานเดอร, รอสคิน จากลุมแมน้ําโวลกา:ชีวประวัติของแมกซิม กอรกี้ แปลโดย อรุณ ชัยโรจน (พิมพครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ : เจริญ
วิทยการพิมพ, 2517)หนา 41-42
เขาหวังไว แตเขากลับ ไดไปเลาเรียนสิ่งตางๆจากในโรงงาน หองใตถุนตึกที่ชานนครซึ่งเคยอาศั ยอยู ทาเรือ
สมาคมการเมืองใตดินและการไดคลุกคลีกับพวกนักศึกษา กุย ตํารวจและพวกปฏิวัติแทน
และตอมาในเดือนธันวาคม ป ค.ศ. 1887 เขาก็ไดตัดสินใจฆาตัวตายเนื่องจากรูขาวที่ยายผูเปนที่รักยิ่ง
ของเขาไดเสียชีวิตลง แตก็รอดตาย โดยหลังจากรอดตายนั้นเขาไดรับกําลังใจจากเพื่อนๆของเขา ทําใหเขามีพลัง
ที่จะมีชีวิตตอเนื่องจาก “อาการปวดฟนในหัวใจ”ไดผานพนไปแลว12 และในขณะที่ทํางานอยูในโรงงานขนมปง
ไดไปเจอกับมิคไฮล อันโตโนวิช โรมาส13 ที่ทําใหเขาไดอานหนังสือตางๆมากมายไมวาจะเปนเรื่องเจา(The
Prince) ของ นิโคโล แมคคิเวลลี(Niccolo Machiavelli) หรือลีเวียธาน(Leviathan) ของ โทมัส ฮอบส(Thomas
Hobbes)14 แตตอมาทรัพยสินของโรมาสถูกคนในทองถิ่นทําลาย กอรกี้จึงตองออกเดินทางอีกครั้ง ซึ่งชีวิต
ในชวงนี้เขาไดนํามาเขียนเปน เรื่องมหาวิทยาลัยของฉัน (My Universities)
โดยเขาได เ ดิ น เท า ทั่ ว จั ก รวรรดิ รั ส เซี ย เป น เวลา 5 ป ก อ นที่ จ ะหยุ ด พั ก ชั่ ว คราวที่ เ มื อ งคอเคซั ส ใน
แควนทิฟฟลิส ณ ที่นี้ที่เขาไดเขียนหนังสือเปนครั้งแรกภายใตการชักชวนของอเล็กซานเดอร เมโฟดิวิช คาลูชนีซึ่ง
เปนสมาชิกขององคกรลับ “นารอดนายา โฟลยา” (Narodnaya Volya)15 และไดรับการตีพิมพเปนครั้งแรกในเดือน
กันยายน ค.ศ. 1892 ภายใตนามปากกา “แมกซิม กอรกี้” ที่มีความหมายวา “แมกซิมผูระทมขมขื่น” โดยเรื่องแรกที่
ไดรับการตีพิมพเปนเรื่องนิยายปรัมปราที่เขาไดฟงจากยิปซีชราผูหนึ่งในแคมปชาวยิปซี16
หลังจากนั้นเขาก็เดินทางกลับบานเกิดและก็แตงงานกับ ออลกา ไดทํางานในสํานักทนายความและใน
ขณะเดียวกันก็เขียนหนังสือดวย และไดพบกับโคโรเลนโคนักเขียนเอกในยุคนั้น และโคโรเลนโคก็ใหคําแนะนํา
ที่สําคัญแกเขาวา “อยาปลอยใหบทประพันธลองลอยไปกับประโยคที่ไพเราะเสนาะโสต ใหประหยัดในการใช
ถอยคํา และอยาสรรเสริญเยินยอคนจนเลอเลิศเกินไป”17 หลังจากนั้นเขาก็ไดหยากับภรรยาผูชมชอบการใชชีวิตที่
ฟุมเฟอย และเดินทางไปยังเมืองซามารา
ณ เมือ งแหงนี้เขาได เริ่ม ตนชี วิ ตการเปนนักเขีย น โดยใชนามปากกาวา “เยกุดิล ขลามิดา”(Yegudil
Khlamida) โดยเขียนเรื่องเบ็ดเตล็ดทั่วไป ในหนังสือพิมพทองถิ่น ซามารสกา ยา กาเซตา โดยแรงบันดาลใจของ
เขาไมไดมาจากการศึกษาวรรณคดีเพียงอยางเดียว แตยังไดมาจากสามัญชนคนทั่วไปอีกดวย ซึ่งเขาเห็นวาเปนแรง
บันดาลใจที่ยิ่งใหญและเขายังเห็นวาจุดมุงหมายของวรรณคดีที่ดีมีมากกวาการสรางความพึงพอใจใหแกผูที่อาน
แตยังตองชวยปลุกเราดวงจิตผูอานใหตื่นขึ้นสูความรูสึกใหมๆ18
12
อเล็กซานเดอร, รอสคิน จากลุมแมน้ําโวลกา:ชีวประวัติของแมกซิม กอรกี้ แปลโดย อรุณ ชัยโรจน(พิมพครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ : เจริญ
วิทยการพิมพ, 2517)หนา 67
13
เปนชื่อที่ใชในหมูบ านที่เขาอาศัยอยู สวนตัวกอรกี้เองนั้นจะเรียกเขาวา โกกอล
14
แมกซิม กอรก,ี้ มหาวิทยาลัยของฉัน แปลโดยชาลีมาน-คําเพลิง (กรุงเทพฯ:เจริญวิทยการพิมพ 2518) หนา 180
15
หรือมีอีกชือ่ หนึ่งวากลุมเจตจํานงประชาชน (People’s Will) เปนกลุมที่สนับสนุนการใชการกอการรายและใชความรุนอรงใน
การตอตานพระเจาซาร เปนหนึ่งในองคกรสังคมนิยมในปลายศตวรรษที่ 19
16
อเล็กซานเดอร, รอสคิน จากลุมแมน้ําโวลกา:ชีวประวัติของแมกซิม กอรกี้ แปลโดย อรุณ ชัยโรจน(พิมพครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ : เจริญ
วิทยการพิมพ, 2517) หนา 119
17
อางแลว หนา 125
18
แมกซิม กอรกี้ , แม แปลโดย ศรีบรู พา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา 15
ตอมากอรกี้ก็ไดกลับไปบานเกิดเพื่อเขียนในหนังสือพิมพในทองถิ่นตามคําเชิญชองหนังสือพิมพนิชนิ
นอฟกอรอดสกี้ ลิสตอค และเขาก็ไดวิจารณสังคมรัสเซียผานทางบทความของเขา ที่เขียนถึงงานแสดงสินคา
อุตสาหกรรม โดยไดแสดงทัศนะที่เกี่ยวกับงานนี้ในแงของชีวิตอันตกต่ําของผูที่ผลิตสิ่งเหลานี้ไมไดเขียนถึงความ
เกรียงไกรหรือเอิกเกริกเกรียวกราวของงาน
ตอมาเขาก็รวบรวมขอเขียนของเขาเปนหนังสือเลมหนึ่งที่ขายดีมาก เนื่องจากเปนหนังสือเลมแรกที่เขียน
ถึงชีวิตของผูคนที่อยูตามสภาพแวดลอมอันเลวราย และใหเห็นถึงสภาพแวดลอมอันโหดรายของชาวรัสเซีย และ
เขากลาพูดวาตนตอของปญหาทั้งหมดมาจากการปกครองของ พระเจาซาร 19 และหนังสือเลมนี้ก็ทําใหชื่อของเขา
ยิ่งใหญเทียบเทา ลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) และ แอนตัน เชคอฟ (Anton Chekhov)
แตในขณะเดียวกันขอความของกอรกี้ก็สรางความกลัวใหแกรัฐบาลของพระเจาซาร มีการสงคนสอด
แนมตลอดเวลา และในชวงเวลานั้นเขาก็มีความสนิทสนมกับชาเลียปน20 เปนพิเศษ แตทางเดินของคนทั้งสอง
ตางกัน กอรกี้ทํางานเพื่อรับใชกรรมกร สวนชาเลียปนรับใชกลุมคนชั้นสูง โดยในงานฉลองเพื่อเปนเกียรติแก
ชาเลียปนในป ค.ศ.1902 เขาไดกลาวเตือนชาเลียปนใหมารับใชคนที่ถูกเอาเปรียบ เหลาผูใชแรงงานที่ถูกกดขี่ แต
ชาเลียปนก็ไมเชื่อคําเตือนของกอรกี้
ในป ค.ศ. 1901 กอรกี้ไดถูกรัฐบาลเนรเทศไปที่เมืองอาซารมาส ซึ่งเปนเมืองที่หางไกล เนื่องจากขอหา
กอความไมสงบในบานเมือง โดยกอนที่รถไฟจะออกเดินทางไปยังไครเมียเพื่อใหเขาพักรอนกอนเปนเวลา3 เดือน
กอนที่จะไปยังอาซารมาส ประชาชนที่เดินทางไปสงกอรกี้ไดตระโกนวา “แมกซิม กอรกี้ จงเจริญ ไอพวก
เบียดเบียนประชาชนจงพินาศ”21 โดยในระหวางที่เขาอยูที่ไครเมียและอาซารมาส เขาไดเขียนบทละครที่สําคัญ
2 เรื่องคือ Philistine และ The Lower Depths Of Life
ตอมาในป ค.ศ. 1902 กอรกี้ไดรับเลือกตั้งเปนสมาชิกผูทรงเกียรติสําหรับวิทยาศาสตรบัณฑิตยสถาน ทํา
ใหพระเจาซารนิโคลัสที่ 2 โกรธมาก และก็ลมการเลือกตั้ง ซึ่งก็มีนักเขียนสองคนที่ตอตานการกระทําดังกลาวดวย
การลาออกจากสถาบันแหงนั้นคือ เชคอฟและโคโรเลนโค และในปนี้เขาก็ไดพบกับเลนิน ที่ตอมากลายเปนสหาย
หลั ง จากกอร กี้ ได รั บ การปล อ ยตั ว มาแลว ในปค .ศ.1905เขาได เ ดิ น ทางไปเซนต ปเ ตอร ส เบิ ร ก (St.
Petersburg) ไดไปพบเห็นเหตุการณวันอาทิตยที่ 9 มกราคม22 เขาจึงไดเขียนคําอุทรณ “ตอประชาชนชาวรัสเซีย
และตอสาธารณมติของบางประเทศในทวีปยุโรป”23 ที่บรรยายเหตุการณและตําหนิพระเจาซาร ตอมาอีก 2 วันเขา
ก็ถูกจับอยูในคุกปเตอรแอนปอล ซึ่งเปนคุกสําหรับผูกอการกบฏ
19
แมกซิม กอรกี้ , แม แปลโดย ศรีบรู พา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา 17
20
เปนนักรองที่มีชื่อเสียงชาวรัสเซีย ไดรจู ักกับกอรกี้ที่เมืองกาซาน ในขณะที่กอรกี้ทํางานเปนผูชวยคนทําขนมปง สวนชาเลียปนเปนชาง
ทํารองเทา ไดหนีออกจากรัสเซียหลังการปฏิวัติ ป ค.ศ. 1917
21
อเล็กซานเดอร, รอสคิน จากลุมแมน้ําโวลกา:ชีวประวัติของแมกซิม กอรกี้ แปลโดย อรุณ ชัยโรจน(พิมพครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ : เจริญ
วิทยการพิมพ, 2517) หนา 162
22
เปนการนับโดยใชปฏิทินแบบเกา ถานับวันที่โดยใชปฏิทินแบบใหมจะเปนวันที่ 24 มกราคมแทน และวันนี้มักจะถูกเรียกในอีกชื่อ
หนึ่งวาวันอาทิตยนองเลือด (Bloody Sunday)
23
แมกซิม กอรกี้ , แม แปลโดย ศรีบรู พา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา 27
ตอมาเมื่อไดรับการปลอยตัวเนื่องจากรัฐบาลของพระเจาซารทนแรงกดดันไมไหว และหลังจากที่เขาถูก
ปลอยตัวพรรคบอลเซวิค(Bolshevik) ไดสงตัวเขาไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ณ ที่นี้เขาไดเขียนวรรณกรรมเอก
เรื่องหนึ่งของโลก คือ แม(Mother)
โดยในชวงป ค.ศ. 1906ถึง 1913 เขาไดอาศัยอยูที่เกาะคาปรี ประเทศอิตาลี ในชวงนี้เขาไดเขียนงาน
สนับสนุนพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยของประเทศรัสเซียโดยเฉพาะกลุมของบอลเซวิค
แตในป ค.ศ. 1913 เขาก็ไดเดินทางกลับไปยังรัสเซียอีกครั้งเนื่องจากราชวงศโรมานอฟจังานฉลองครอ
รอบ 300 ปของราชวงศ จึงอนุญาตใหกอรกี้เขาประเทศได แตเขาก็ยังเดินหนาวิจารณสังคมตอไป โดยในชวง
สงครามโลกครั้งที่ 1 เขาไดอาศัยอยูในเปโตรกราด(Petrograd)24 และทํางานเปนทีมงานของพวกบอลเซวิค แต
ความสัมพันธระหวางตัวเขากับแกนนําพรรคคนสําคัญก็แยลง25
โดยเฉพาะหลังชวงปฏิวัติเดือนตุลาคม ค.ศ.1917 ซึ่งในชวง 2 สัปดาหหลังการปฏิวัตินั้น เขาไดเขียนวา
นั้น “เลนินกับตรอตสกีไมไดมีความคิดใดๆที่เกี่ยวของกับอิสรภาพหรือสิทธิมนุษยชนมากนัก พวกเขาถูกทําให
ฉอฉลดวยความสกปรกของอํานาจ สามารถเห็นไดจากความไมเคารพที่นาอับอายในเรื่องของความมีอิสระในการ
พูดหรือเสรีภาพของพลเมืองอื่นๆสําหรับการตอสูเพื่อประชาธิปไตย”26 หลังจากที่หนังสือพิมพของเขา Novaya
Zhizn (New Life) ไดถูกเซนเซอรโดยพรรคบอลเซวิค
และตอมาเขาก็ไดพิมพหนังสือที่รวบรวมบทวิจารณเกี่ยวกับพรรคบอลเซวิคในชื่อ Untimely Thoughts
ในป ค.ศ.191827 หนังสือเลมนี้เรียกเลนินวาเปนทรราชยเนื่องจากการจับกุมที่ไรเหตุผลและการควบคุมอิสระทาง
ความคิดของเขาและยังเปนนักอนาธิปไตยอันเนื่องมาจากยุทธวิธีแบบสมคบคิด กอรกี้ยังไดเปรียบเทียบเลนินกับ
ซารและเซรเกย เนชาเยฟ (Sergei Nechaev)28 และในป ค.ศ.1919 เลนินไดสงจดหมายถึงกอรกี้ที่มีเนื้อความวา
“นี้คือคําแนะนําของผม(เลนิน)ถึงคุณ(กอรกี้) ,เปลี่ยนสิ่งที่อยูรอบตัวคุณ ,เปลี่ยนมุมมองของคุณ ,เปลี่ยนการ
กระทําของคุณ,หาไมแลวชีวิตคุณจะจบสิ้น”29
ในเดือนสิงหาคม ป ค.ศ. 1921 กอรกี้ไดกลับไปอยูที่อิตาลีอีกครั้ง และตองกลับมาที่รัสเซียอีกครั้งในป
ค.ศ. 1929 เนื่องจากความตองการทางดานวัตถุ ที่อิตาลีเขาไมมีทั้งเงินและชื่อเสียง และการกลับมาครั้งนี้เขาก็ถูก
24
คือเมืองเซนตปเตอรสเบิรก แตเปลี่ยนชือ่ ในป ค.ศ.1914 เพราะเห็นวาชือ่ เดิมมีความเปนเยอรมันซึ่งเปนศัตรูของรัสเซียในตอนนั้นมาก
เกินไป
25
จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Maxim_Gorky แตถาเปนชีวประวัตกิ อรกี้ที่เขียนในสมัยสหภาพโซเวียตแทบไมมีเรือ่ ง
เหลานี้เลย ชีวประวัติในยุคนั้นจะเขียนวากอรกี้เปนเพื่อนที่ดีคนหนึ่งของพรรคบอลเซวิค
26
ถอดความจาก “Lenin and Trotsky don't have any idea about freedom or human rights. They are already
corrupted by the dirty poison of power, this is visible by their shameful disrespect of freedom of speech and all
other civil liberties for which the democracy was fighting." จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Maxim_Gorky
27
หนังสือเลมนี้ไมเคยไดรับการตีพมิ พในรัสเซียจนกระทั่งสมัยสหภาพโซเวียตลมสลาย
28
เปนนักปฏิวัติที่เสนอการใชความรุนแรงเปนแนวทางในการปฏิบัติ ตั้งแตชวงกลางทศวรรษ 1860 แตไมไดรับการยอมรับ แตในชวง
1880แนวคิดนี้ไดรับการยอมรับอยางแพรหลาย โดยเฉพาะกลุม เจตจํานงประชาชน (People’s Will)ที่ยึดถือเปนแนวทางปฏิบัติ
29
ถอดความจาก "My advice to you: change your surroundings, your views, your actions, otherwise life may turn
away from you." จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Maxim_Gorky
ใชเปนเครื่องมือทางการเมืองเชนเขียนถึงคายกักกันแรงงาน (Gulag Camp) ในมุมมองที่เปนบวกซึ่งตางกับมุมมอง
ของยุโรปตะวันตก เนื่องจากไดไปเยี่ยมคาย Solovski ที่ถูกสรางภาพ(Clean Up)เพื่อการนี้โดยเฉพาะ30
โดยในชวงบั้นปลายชีวิตของเขา กอรกี้ไดถูกกักบริเวณอยูที่บานของเขาในกรุงมอสโคว(Moscow) และ
ไดรับหนังสือพิมพปราฟดา (Pravda)31 ที่ไมมีขาวเกี่ยวกับการจับกุมหรือการกวาดลางเลย
ในวันที่ 18 มิถุนายน ป ค.ศ. 1936 กอรกี้ไดเสียชีวิตลงโดยมีผูสงสัยวาเขาอาจถูกวางยาพิษโดยสตาลิน
และพรรคพวกก็ได32 แตกระนั้นก็ตาม วี.เอ็ม.โมโลตอฟ (V.M.Molotov) ไดกลาวในวันชุมนุมระลึกถึงกอรกี้ ณ
จัตุรัสแดง(Red Squard) วา :
“ในการที่อเล็กไซ แมคซิโนวิช กอรกี้ ไดจากไปในวันนี้ เราผูเปนมิตรของเขาและบรรดาผูอานหนังสือ
ของเขา และผู ที่ ย กย อ งเชิ ด ชู ง านของเขาอย า งเหลื อ ที่ จ ะคณนา รู สึ ก ประดุ จ ว า หน า หนั ง สื อ อั น รุ ง โรจน น า
ภาคภูมิใจไดพลิกไปเสียแลวชั่วกัปชั่วกัลป.........”
“หลังจากมรณกรรมของเลนินมาแลว ก็มาถึงมรณกรรมของกอรกี้นี้แหละที่ประเทศเราและมนุษยชาติผู
ตกยากทั้งหลาย ไดศูนยเสียสมบัติอันลนคาอยางหนักที่สุด”33
ในชวงสมัยแหงสหภาพโซเวียต กอรกี้ไดถูกยกยองใหเปนบุคคลที่ควรยึดเปนแบบอยาง(iconic image)
เนื่องจากเขามีภาพของเพื่อนผูซื่อสัตยของพรรคบอลเซวิค นักประพันธผูยิ่งใหญผูที่มาจากสามัญชน และผูกอตั้ง
แนวคิด “สัจจสังคมนิยม” แตในปจจุบันไดมีการตั้งขอสงสัยเกี่ยวกับตัวเขามากขึ้นในหมูปญญาชนไมวาจะเปน
เรื่องมุมองดานศีลธรรมของสังคมรัสเซียสมัยใหมที่ถายทอดผานงานเขียนของเขา และนักประวัติศาสตรบางคน
เริ่มมองกอรกี้ในฐานะของผูสังเกตการณที่มีความตระหนักยิ่งถึงสัญญา(Promise)และความอันตรายทางศีลธรรม
(Moral Danger)ของการปฏิวัติในรัสเซีย34
30
http://en.wikipedia.org/wiki/Maxim_Gorky
31
หนังสือพิมพของพรรคคอมมิวนิสต เปนสื่อที่เปนทางเลือกเพียงไมกี่สือของรัสเซียในยุคสหภาพโซเวียต
32
ในป ค.ศ. 1938 บูคาริน(Bukharin) ไดออกมาพูดวาเห็นกอรืกี้ถกู สายลับ NKVD ของ เจนริกค ยาโกดา(Genrikh
Grigor'evich Yagoda) ฆาตาย จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Maxim_Gorky
33
อเล็กซานเดอร, รอสคิน จากลุมแมน้ําโวลกา:ชีวประวัติของแมกซิม กอรกี้ แปลโดย อรุณ ชัยโรจน(พิมพครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ : เจริญ
วิทยการพิมพ, 2517)หนา 223-224
34
http://en.wikipedia.org/wiki/Maxim_Gorky
บทวิ เ คราะห ว รรณกรรมของแมกซิ ม กอร กี้ ศึ ก ษาจากเรื่ อ งแม
(Mother)และมหาวิทยาลัยของฉัน(My Universities)
ภูมิหลังทางประวัติศาสตรเรื่องมหาวิทยาลัยของฉัน
ถึงแมวากอรกี้ไดเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาในป ค.ศ.192335 แตเนื้อหาในเรื่องนี้จะอยูในชวงประมาณ ค.ศ.1883-
1888 ซึ่งเปนยุคที่ไดรับผลจากการการปฏิรูปตางๆที่เกิดขึ้นในรัสเซียหลังจากพายแพในสงครามไครเมีย(Crimea
Wars)36 ซึ่งเปนเสมือนเหตุการณที่แสดงถึงความลาหลังของรัสเซีย มีผลใหรัฐบาลพระเจาซารตระหนักในการให
ความสําคั ญ ของการปฏิ รู ป รัส เซีย ใหเ ปนสมัย ใหม(Modernize)37 ไมวา จะเปน ในดา นสั งคมเศรษฐกิจ ระบบ
การเมือง และเทคโนโลยีดานตางๆเปนตน ยังไงก็ตามตามการปฏิรูปในดานตางๆก็ไมสูจะไดผลนัก เนื่องจาก
รัสเซียมีมีการปกครองแบบอัตตาอํามาตยาธิปไตย (Bureaucratized Autocracy) ดังนั้นการปฏิรูปจึงเปนเพียงแค
การเปลี่ยนนโยบายของรัฐมากกวาที่จะเปลี่ยนแปลงกลไกการทํางานของรัฐอยางแทจริง ( This yery fact made
revolution the only method of changing state policy other than catching the tsar’s ear and moving the
38
machinery of state into action from above) และทําไปเพื่อรักษาอํานาจอัตตาธิปไตยของระบบซารเทานั้น
โดยการปฏิ รู ป ที่ สํ า คัญ ในยุ ค นี้ คือ การออกพระราชกฤษฎี ก าปลดปล อ ยทาสติ ด ที่ ดิน (Edict of
Emancipation of Serfs) ในป ค.ศ. 196139 เพื่อกําจัดระบบทาสติดที่ดินที่เปรียบเสมือนกับเครื่องแสดงความลา
หลังของสังคมรัสเซีย แตก็ตองประสบปญหาในระยะแรกเพราะไมไดรับความยินยอมจากพวกเจาที่ดินเทาที่ควร
เพราะเห็นวาตนเองสูญเสียผลประโยชนไป
ซึ่งการที่พระเจาซารตองประนีประนอมในเรื่องของการออกพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีความสําเร็จที่
แทจริงไมมากนัก เนื่องจากมีขั้นตอนในการที่ปลดแอกตนเองของทาสติดที่ดินจากพวกเจาที่ดินคอนขางยาก40 ทํา
ใหทาสติดที่ดินบางคนที่มีฐานะยากจนหมดอิสรภาพในการยายที่ทํากินและจําตองประกอบอาชีพในที่ดินของเจา
ที่ดินคนเดิมตอไป41 ดังนั้นผูที่ไดรับประโยชนจากพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้กลับเปนชนชั้นเจาที่ดินแทน แต
อยางไรก็ตามพวกทาสที่ดินที่ถูกปลดปลอยเปนอิสระเหลานี้ ไดกลายเปนชาวนาอิสระบาง ชาวนาที่ตองเชาที่ดิน
บาง และสวนหนึ่งก็ไปเปนกรรมกรในโรงงานอุตสาหกรรมที่ขยายตัวในรัสเซีย ซึ่งตอมากรรมกรเหลานี้ก็เปน
กําลังสําคัญในการโคนลมระบบซาร
35
http://en.wikipedia.org/wiki/Maxim_Gorky
36
เกิดในชวงปค.ศ.1853-1856 มีผลใหรัสเซียตองปฏิรูปประเทศขนานใหญ
37
Hobsbawm, Eric John Ernest, The age of empire, 1875-1914 (New York : Vintage, 1987.)
p 292
38
Ibid p 292
39
เกิดขึ้นในสมัยซารอเล็กซานเดอรที่ 2 ดังนั้นพระองคจึงไดรับฉายาวาผูปลดปลอย (Alexander 2 ,The Liberator)
40
หรือถาจะพูดในภาษานักเศรษฐศาสตรก็คือมีตนทุนในการปลดแอกคอนขางสูง
41
อนันตชัย เลาหะพันธุ, สัญชัย สุวังบุตร , รัสเซียสมัยซารและสังคมนิยม (กรุงเทพ ฯ: ศักดิโสภาการพิมพ, 2548) หนา 189
และเป น ยุ ค ที่ สื บ ต อ มาจากช ว งที่ แ นวคิ ด นารอดนิ ก (Narodniks)หรื อ รั ส เซี ย ปอปปู ลิ ส ต (Russian
Populism) เริ่มเปลี่ยนฐานการจัดตั้งแนวคิดสังคมนิยมในหมูไปเปนไปหมูกรรมกรแทนชาวนา ซึ่งเปนผลมาจาก
ความลมเหลวของเหตุการณฤดูรอนที่บาคลั่ง(Mad Summer Days) ในป ค.ศ. 197442และเห็นวากรรมกรสามารถ
ยอมรับแนวความคิดสังคมนิยมไดดีกวาและยังมีกําลังเพิ่มมากขึ้นควบคูกับการขยายตัวของอุตสาหกรรม43 ทําให
เกิดกลุมที่ดินและเสรีภาพ(Land And Freedom) ที่มีกลุมนารอดนายา โฟลยา (Narodnaya Volya) ซึ่งเปนกลุมที่
นิยมใชความรุนแรงเปนแนวทางในการปฏิวัติมีบทบาทมากขึ้น แตในขณะเดียวกันก็มีกลุมที่เห็นวาใหใชแนวทาง
สันติวิ ธีดวยการจั ดตั้ ง ความคิ ดทางการเมื อ งแกชาวนาและกรรมกรอยา งคอ ยเปน คอ ยไป ซึ่ง กลุม นี้คื อกลุ ม
แบงแยกดํา ( Black Partition) หรือ เชียรนี เปเรดยาล (Cherny Peredyal) และเปนชวงที่ปญญาชนรัสเซียมีการ
ถกเถียงกันทางดานเศรษฐกิจและการเมืองเพื่อใหบรรลุในแนวมางของการปฏิวัติ
แตขณะเดียวกันในชวงเวลานี้(ค.ศ.1883-1888)ก็มีการควบคุมกลุมนักปฏิวัติตางๆอยางเขมงวดอันเปน
ผลมาจากการลอบสังหารพระเจาซารอเล็กซานเดอรที่ 2 ในป ค.ศ.1981 โดยกลุม นารอดนายา โฟลยา (Narodnaya
Volya) มีผลใหรัสเซียไดกลับสูระบบปฏิกิริยาจัดอีกครั้งเมื่อซารพระองคใหมคือ อะเล็กซานเดอรที่ 3 (Alexader 3,
ค.ศ. 1881-1894) ที่ตอตานการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปทุกรูปแบบ ทําใหเกิดการกวาดลางกลุมปฏิวัติตองหยุดนิ่ง
มีผลใหการปฏิวัติตองปรับเปลี่ยนยุทธวิธีที่มีความประนีประนอมมากขึ้น แตในขณะเดียวกัน เกออรกี
เปลฮานอฟ(Greogi Plekhanov)44ที่หนีไปอยูที่นครเจนีวา สวิตเซอรแลนด และเขาก็ไดศึกษาแนวความคิดลัทธิ
มากซ และไดเผยแพรแนวความคิดมากซสูรัสเซียผานทางการแปลเปนภาษารัสเซีย รวมถึงเปลฮานอฟยัง
ชี้ใหเห็นวารัสเซียไดเขาสูระบบทุนนิยมแลว และชนชั้นคนงานกําลังเติบโตขึ้นอีกไมชาการปฏิวัติตองเกิดขึ้น45แต
จากเรื่องมหาวิทยาลัยของฉันยังเห็นไดวาประชาชนในชนบทยังมีความศรัทธาในตัวซารอยู และชนชั้นแรงงานยัง
ไมมีความกระตือรือรนในการปกปองสิทธิของตนเอง
ดังนั้นแนวคิดลัทธิมากซเปนรัสเซียจึงเริ่มมีบทบาทสําคัญในขบวนการปฏิวัติรัสเซีย สวนแนวคิดนารอด
นิกก็ลดบทบาทลงไป ซึ่งก็มีอิทธิพลใหแนวทางการปฏิวัติในชวงนั้นคือการปลุกจิตสํานึกทางการเมืองแกกรรมกร
และยึดแนวทางมากซเปนแนวทางในการปฏิวัติ แตในเรื่องมหาวิทยาลัยของฉันแนวคิดนารอดนิกก็ยังแพรหลาย
อยูเห็นไดจากปญญาชนที่กอรกี้เจออยูในกลุมนี้
ถาจะกลาวโดยสรุปก็คือชวงเวลาประวัติศาสตรที่กอรกี้เผชิญในเรื่องมหาวิทยาลัยของฉันเปนชวงที่
ป ญ ญาชนรั ส เซี ย มี ก ารเปลี่ ย นผ า นทางความคิ ด และแนวทางการปฏิ บั ติ ง าน เป น ช ว งที่ รั ส เซี ย กํ า ลั ง เข า สู ยุ ค
“เปลี่ยนเปนอุตสาหกรรม” (Industrialization) และเปนชวงเริ่มตนของแนวคิดมากซที่จะมีอิทธิพลอยางใหญใน
รัสเซีย และเปนชวงที่รัสเซียกลับไปเปนระบบอัตตาธิปไตยที่มีการรวมอํานาจสูงโดยซารอีกครั้ง46
และถามาดูปจจัยในดานประวัติศาสตรในปที่กอรกี้เขียนหนังสือเลมนี้( ค.ศ. 1923)จะพบวา ชวงเวลานั้น
เปนยุคทองของงานประพันธในประเภทเรื่องสั้นและนวนิยาย ซึ่งเปนผลมาจากการใชนโยบายเศรษฐกิจแผนใหม
42
เปนการลงไปอยูกบั ชาวนาของพวกปญญาชนเพื่อที่จะปลูกฝงแนวคิดสังคมนิยมและโคนลมระบบซาร แตก็ไมไดผลเพราะชาวนาสวน
ใหญยังนับถือซารอยู และยังไมไวใจพวกปญญาชนมากนัก และยังยึดมั่นในจารีตประเพณีเดิมอยู
43
อนันตชัย เลาหะพันธุ, สัญชัย สุวังบุตร , รัสเซียสมัยซารและสังคมนิยม (กรุงเทพ ฯ: ศักดิโสภาการพิมพ, 2548) หนา 198
44
อดีตแกนนํากลุมแบงแยกดํา ไดรับการยกยองวาเปนบิดาของลัทธิมากซแหงรัสเซีย
45
อนันตชัย เลาหะพันธุ, สัญชัย สุวังบุตร , รัสเซียสมัยซารและสังคมนิยม (กรุงเทพ ฯ: ศักดิโสภาการพิมพ, 2548) หนา 202
46
หลังจากที่ลดลงไปในสมัยพระเจาซารอเล็กซานเดอรที่ 2
(NEP)47ที่มีผลใหสภาพเศรษฐกิจดีขึ้น ความตองการในการอานวรรณกรรมก็สูงขึ้นดวย และมีเสรีภาพทางความ
คิดเห็นและการแสดงออกมากขึ้น ซึ่งถือเปนการผอนปรนการควบคุมของพรรคคอมมิวนิสตดานศิลปวัฒนธรรม48
และในชวงหลังการปฏิวัติเปนตนมา มีการกําเนิดและเพิ่มขึ้นของบทบาทของศิลปวัฒนธรรมแนวใหม
ที่ถูกเรียกในภายหลังวา “สัจจสังคมนิยม” (Socialist Realism) ที่มีจุดมุงหมายเพื่อลดชองวางระหวางประชาชน
กับนักปฏิวัติ เปนอาวุธทางวัฒนธรรม โดยหนาที่หลักของศิลปวัฒนธรรมแนวนี้คือ สะทอนภารกิจของการตอสู
ทางประวัติศาสตรเพื่อกาวไปสูสังคมนิยมและเปนอาวุธของการตอสูทางชนชั้นตลอดจนเปนการปลุกระดม
โฆษณาทางการเมืองอีกดวย49
และยังมีแรงผลักดันจากนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ(Norkompros) ที่ตองการใชวรรณกรรมเปน
สิ่งถายทอดความเขาใจทางการเมืองและใหดารศึกษาเรื่องสังคมนิยมแกประชาชน50 รวมไปถึงคําขวัญของการ
สรางงานศิลปะปฏิวัติในยุคนั้นคือ “ศิลปะในทองถนน” (Art Into The Street) และ “ศิลปะเปนของประชาชน”
(Art Belongs To The People)51 โดยมีจุดประสงคเพื่อใหศิลปะไดเขาถึงคนทุกชนชั้น
รวมไปถึงในตอนนั้นรัฐบาลโซเวียตมีความพยายามผลักดันความไมรูหนังสือ(illiteracy)และปลูกฝง
อุดมการณคอมมิวนิสตใหแกประชาชน
ดังนั้นจึงอาจสรุปไดวาวรรณกรรมเรื่อง มหาวิทยาลัยของฉัน ไดรับอิทธิพลจากปจจัยทางประวัติศาสตร
ถึง 2 ชวงดวยกัน โดยชวงแรกคือในชวง ทศวรรษ 1880 และชวงที่สองคือ ชวงหลังการปฏิวัติในเดือนตุลาคม ค.ศ.
1917 ที่มีผลใหวรรณกรรมเรื่องนี้ถูกเสนอออกมาเพื่อแสดงใหเห็นถึงสภาพสังคมที่เลวรายภายใตการปกครองของ
ระบบซารและบงบอกถึงประวัติศาสตรในการปฏิวัติผานทางบันทึกประสบการณชีวิตของตัวกอรกี้เอง ซึ่งตรงกับ
แนวคิด “สัจจสังคมนิยม”ที่กําลังแพรหลายในตอนนั้นอยูพอดี
ภูมิหลังทางประวัติศาสตรเรื่องแม(Mother)
กอรกี้เขียนเรื่องนี้ขึ้นในป ค.ศ. 1907 ซึ่งตอนนั้นบทบาททางการเมืองของชนชั้นแรงงานมีมาก
47
New Economic Policy เปนการใชนโยบายเศรษฐกิจที่ใหกลไกตลาดมีบทบาทในการจัดสรรทรัพยากรมากขึ้น แตสุดทายก็
ลมเหลวอันเปนผลมาจากความตางกันระหวางสินคาเกษตรกับสินคาอุตสาหกรรมมีมากเกินไป ซึ่งเรียกเหตุการณนี้วา วิกฤตการณกรรไกร
48
อนันตชัย เลาหะพันธุ, สัญชัย สุวังบุตร , รัสเซียสมัยซารและสังคมนิยม (กรุงเทพ ฯ: ศักดิโสภาการพิมพ, 2548) หนา 329
49
อางแลว หนา335-336
50
อางแลว หนา336
51
อางแลว หนา 338
ขึ้นเนื่องจากประเทศมีการผลิตในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น และแนวคิดมากซมีอิทธิพลอยางสูงในรัสเซีย และ
ความเคารพในสถาบันซารของกรรมกรก็ลดลงสืบเนื่องมาจากเหตุการณวันอาทิตยนองเลือดในป ค.ศ.190552
โดยอิทธิพลของลัทธิมากซเขาสูรัสเซียไดโดยวารสารใตดินอิสครา(Iskra)ที่เปนเคื่องมือปลุกระดมทาง
ความคิด ที่ เปน เครื่องมื อ ที่ เลนิ นผูนําลั ท ธิ มากซน อกประเทศจัดทําขึ้นมาเพื่ อ เปน เครื่องมือในการจัดตั้งทาง
การเมือง ที่จัดทํากันตั้งแต ปค.ศ.1900 และสวนสําคัญอีกอยางหนึ่งคือ.การทําหนาที่ของผูแทนอิสครา(Iskra
Agent) ที่ปฏิบัติงานในประเทศ เพื่อประสานงานกับองคกรทองถิ่นและผลักดันจัดตั้งองคกรทางการเมืองของ
มวลชนในเขตที่ยังไมมีการจัดตั้ง รวมทั้งพยายามประสานงานการเลื่อนไหวกับองคกรลัทธิมากซตางๆใหเปน
เอกภาพ53 และการปฏิวัติ ค.ศ.1905 ยังมีสวนชวยใหบทบาทและพลังสําคัญของกรรมกรในการกอการปฏิวัติ และ
ยังมีการจัดตั้งสภาคนงานหรือโซเวียตผูแทนกรรมกร( Soviet of Workers’ Depuries)ซึ่งองคกรนี้จะเปนกําลัง
สําคัญในการปฏิวัติดวยพลังจากประชาชน ในอีกไมกี่ปขางหนา
และผลจากการปฏิวัติ ค.ศ.1905มีผลใหรัสเซียเปลี่ยนแปลงการปกครองเปนแบบระบอบกษัตริยภายใต
ระบอบรัฐธรรมนูญ โดยมีการตั้งสภาดูมา(Duma)54 ซึ่งทําใหกลุมเสรีนิยมพอใจและยุติการเคลื่อนไหว แตสภาโซ
เวียต(ที่เปนตัวแทนของกลุมแรงงาน)ที่ไมพอใจเพราะเห็นวารัฐบาลใชนโยบายตบตาประชาชน โดยจะเห็นไดวา
ซารยังทรงมีพระราชอํานาจเหนือฝายนิติบัญญัติอยู ยังไมยอมสละพระราชอํานาจอยางแทจริง ดังจะเห็นไดจาก
การที่ซารมีอํานาจในการเรียกประชุมสภาและยุบสภา ตลอดจนคัดคานกฎหมายที่ไมเห็นดวย
แตการประชุมสภาดูมาที่ลมเหลวในป ค.ศ.1906 มีผลใหซารนิโคลัสที่2 แตงตั้งปเตอร สโตลิปน (Peter
Stolypin) ที่มีชื่อเสียงดานการบริหารและปราบปรามประชาชนเปนอัครเสนาบดีคนใหม โดยปลงานที่สําคัญของ
เขาคือการปฏิรูปที่ดิน ซึ่งมีผลใหชาวนาเปนอิสระจากหนี้สินและขอผูกมัดของรัฐอันเนื่องจากพระราชกฤษฎีกา
ปลดปลอยทาสติดที่ดิน ค.ศ.1861 ซี่งมีผลใหพวกชาวนารวยหรือพวกกูลัค(kulak)มีจํานวนมากขึ้น และสโตลิปน
ก็หวังวากลุมชาวนารวยจะเปนฐานพลังทางการเมืองแกซาร แตชาวนาจนซึ่งตองขายที่ดินของตนเองใหแกพวก
ชาวนารวยนั้นตองกลายเปนแรงงานรับจางในที่ดินของชาวนารวยหรือเปนกรรมกรในเมือง ทําใหเกิดความไม
พอใจในการดําเนินนโยบายของรัฐบาลสูงขึ้น และในปค.ศ.1907มีการกวาดลางองคกรปฏิวัติ จนองคกรเหลานี้
ตองวิธีการเคลื่อนไหวกบดานสูใตดินเพื่อรักษาองคกรและผูนําองคกรก็ลี้ภัยไปอยูในตางประเทศ เนื่องจาก
52
มีสาเหตุมาจากสงครามรัสเซีย-ญี่ปุน(Russo-Japanese Wars ค.ศ.1904-1905)มีผลทําใหเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ํา กรรมกรใน
กรุงเซนตปเตอรสเบิรกจึงออกมาประทวง แลวพระเจาซารทรงใชความรุนแรงในการสลายการชุมนุม ทําใหประชาชนรัสเซียหมดความ
ศรัทธาในพระเจาซาร
53
อนันตชัย เลาหะพันธุ, สัญชัย สุวังบุตร , รัสเซียสมัยซารและสังคมนิยม (กรุงเทพ ฯ: ศักดิโสภาการพิมพ, 2548) หนา 243
54
ประกอบดวยสองสภา คือ สภาสูง(State Council) ซึ่งสมาชิกตรึ่งหนึ่งมาจากการแตงตั้งของซารและอีกครึ่งหนึ่งกลุมตางๆเปนผู
เลือก และสภาลาง(State Duma)หรือสภาผูแทนราษฎรที่สามชิกมาจากการเลือกตั้งประกอบดวยผูแทนประชาชน 6 กลุม คือ
กลุมผูแทนชาวนา พอคานักธุรกิจ เจาที่ดนิ ชาวเมือง พระและกรรมกร โดยมีวาระการตํารงตําแหนง 5 ป โดยพรรคการเมืองที่สําคัญคือ
พรรคคาเดตส(Kadets) หรือพรรคประชาธิปไตยภายใตรัฐธรรมนูญ(Constitutional Democrats)และพรรคตุลาคม(Octobrist)
หรือพรรคสหภาพ 17 ตุลาคม (Union of 17 October Party) ซึ่งทั้งสองพรรคเปนพรรคอนุรักษเสรีนิยมที่สนับสนุนการปกครองแบบ
กษัตริยภ ายใตรัฐธรรมนูญและรักษาผลประโยชนของเจาที่ดินและนายทุนใหญ สวนพรรคฝายซายคือพรรคแรงงานสังคมนิยม
ประชาธิปไตยรัสเซีย(Socialist Revolutionary Party)
ดังนั้นประวัติศาสตรในชวงนี้อาจกลาวสรุปไดวา เปนชวงที่แสดงใหเห็นวาชนชั้นกลางของรัสเซียไม
สามารถเปนพลังในการปฏิวัติได มีแตชนชั้นแรงงานเทานั้นที่สามารถกระทําไดสําเร็จ ดังนั้นวรรณกรรมเรื่อง
“แม"”จึงถูกแตงขึ้นมาเพื่อเรียกรองใหชนชั้นแรงงานทําการปฏิวัติ
ดังบทบันทึกเรื่องจาก....ความทรงจําและเรื่องราวของเลนิน ของ แมกซิม กอรกี้ ที่เนื้อความวา
“...หลังจากนั้นก็เริ่ม สนทนากับ ขาพเจาเกี่ยวกับ ขอบกพรองในหนังสือ ของขาพเจาเรื่อ ง “แม” ซึ่ ง
ขาพเจาทราบวา ทานไดอานตนฉบับของขาพเจาแลว ขาพเจาไดเรียนใหทานทราบวา ขาพเจาเขียนเรื่องนี้ขึ้นอยาง
รีบดวน ขาพเจายังมิทันไดชี้แจงเหตุผลแหงความรีบดวนนั้นโดยตลอด เลนินก็สั่นศีรษะประจักษแจงในเหตุผลที่
ขาพเจาตองเขียนอยางรีบดวนโดยตลอดแลว เพราะวาหนังสือเลมนี้มีความจําเปนเชนเดียวกับกรรมกรตางๆที่เขา
รวมในขบวนการปฏิวัตินั่นเอง การอานหนังสือเลมนี้ใหประโยชนอยางเหลือหลาย แมจะไมเขาใจเรื่องอื่นๆอยาง
ถองแท เลนินไดใหคําเชยชมเพียงอยางเดียววา “หนังสือเลมนี้มีคุณคามาก” คําชมเชยนี้แมจะสั้น แตก็เปนคําชม
ที่มีคายิ่ง”55
ดังนั้นอาจกลาวไดวาเงื่อนไขทางดานการเมืองภายในประเทศรัสเซียหลังการปฏิวัติในป ค.ศ.1905 มีผล
ทําใหวรรณกรรมเรื่องนี้ถือกําเนิดขึ้นมา แตขาพเจาก็ไปเจอปจจัยภายนอกรัสเซียในชวงนั้นที่อาจจะสงผลตอแรง
บันดาลใจของกอรกี้ในการแตงวรรณกรรมเรื่องนี้
และสุดทายผมก็ไดพบขอมูลชุดหนึ่งที่นาสนใจคือการมีสวนรวมทางการเมืองที่มากขึ้นของผูหญิงใน
ยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกาที่เห็นโอกาสในการเริ่มตนการเคลื่อนไหวของตนเองจากการเคลื่อนไหวของ
กลุมสังคมนิยม56 โดยในเยอรมันจะพบวาสมาชิกผูหญิงของพรรคสังคมนิยมมีมากขึ้นหลังป ค.ศ.1905 ซึ่งสวน
ใหญมักจะเปนภรรยา ,ลูกสาว หรือแม(ที่ปรากฏในนิยายเรื่องนี้ของกอรกี้)ของสมาชิกพรรคผูชาย แตอยางไรก็
ตามผูหญิงก็ยังไมไดรับสิทธิในการเลือกตั้ง ซึ่งถือไดวาเปนดัชนีที่วัดการมีสวนรวมทางการเมืองที่สําคัญ57
55
แมกซิม กอรกี้ , แม แปลโดย ศรีบรู พา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา 34
56
แตในความเปนจริงผูหญิงที่มีสวนรวมทางการเมืองมักมาจากชนชั้นกลางหรือชนชั้นสูง ไมไดมาจากชนชั้นแรงงานเหมือนใน
วรรณกรรมเรือ่ งนี้
57
Hobsbawm, Eric John Ernest, The age of empire, 1875-1914 (1st. Vintage Books ed. New
York : Vintage, 1989.) p 210
58
ประกอบดวยวรรณกรรม 3 เรื่องคือ วัยเยาวของขาพเจา(My Childhood) ขาพเจาออกไปเผชิญโลก(In The World) และ
มหาวิทยาลัยของฉัน(My Universities)
กรรมกร,ตํารวจไปจนถึงปญญาชน รวมไปถึงหนังสือตางๆที่เขาไดอาน ที่มีสวนผลักดันใหเขาเปนนักเขียนผู
ยิ่งใหญที่ผลิตงสนเขียนที่รับใชประชาชน
ซึ่ งในความเห็ นของผมคิดว าเรื่ อ งมหาวิ ท ยาลัยของฉั นได ทํ าหน าที่ ต รงนี้เช นเดี ยวกั บ เรื่ องอื่ น ๆใน
วรรณกรรมชุดนี้ แตสิ่งที่ผมคิดวาเรื่องนี้ไดเนนเปนพิเศษคือเรื่องของการศึกษาแนวความคิดสังคมนิยมหรือจะ
เปนความรูในเรื่องตางๆนั้นไมจําเปนตองศึกษาจากมหาวิทยาลัยเพียงแหงเดียวแกได แตยังสามารถศึกษาไดจากที่
อื่นๆไดมากมายไมวาจะเปนในสลัม โรงงาน ทาเรือ ชนบทหรือแมกระทั่งศึกษาจากชีวิตคนสามัญธรรมดา ซึ่ง
สอดคลองกับแนวทางการศึกษาของโซเวียตในขณะนั้นที่ตองการใหนักเรียนเขาใจในคุณคาของพลังแรงงาน
อย า งไรก็ต ามผมคิ ดว า กอร กี้โ ชคดี ม ากที่ ได เรี ย นใน “มหาวิ ท ยาลัย มนุ ษ ย ”หลายแหง ที่ส อนทฤษฎี
ทางการเมืองใหเขา เพราะในชวงนั้นรัสเซียเปนประเทศที่มีอัตราการไมรูหนังสือสูงมาก โดยอัตราการไม รู
หนังสือของประเทศรัสเซียสูงกวา 50 เปอรเซ็นต59
โดยสิ่งที่กอรกี้ไดเรียนรู พบเห็นและตองการที่จะถายทอดแกผูอื่นจากมหาวิทยาลัยหลายแหงในเรื่องนี60้
มีสิ่งตางๆที่ขาพเจาสรุปไดตอไปนี้
กอรกี้ไดเดินทางไปเมืองคาซานเพื่อที่จะศึกษาในมหาวิทยาลัยตามคําชักชวนของ นิโดไล เยฟรายคอฟ
แตกอรกี้ไมมีความพรอมทั้งทางดานความรูที่จะใชในการสอบเขาและฐานะทางการเงิน โดยในชวงแรกเขาได
อาศัยอยูในบานของนิโคไลที่เขากลาววาเปนมหาวิทยาลัยแหงหนึ่งของเขา61 ที่นั้นพบเห็นสภาพขาดแคลนที่
ผูหญิงคนเดียวที่ตองแบกรับภาระครอบครัว ที่ไมมีผูชายคนไหนในครอบครัวจะมาสนใจรับฟง ผมจึงคิดวากอรกี้
อาจจะไดรับอิทธิพลสวนหนึ่งของเรื่อง “แม” จากตรงนี้ เพราะเห็นวาในบางครั้งผูหญิงก็รับภาระที่หนักหนวงได
และตอมากอรกี้ก็ไดไปทํางานที่ทาเรือใหญริมฝงแมน้ําโวลกา ซึ่งเขาตองเจอกับพวกกุลี พวกพเนจร
เรรอน และพวกหัวขโมย ที่นี้เขาไดเรียนรูถึงสันชาติญานอันหยาบชาของมนุษยดวยตนเอง และเขาก็ไดเรียนรูดวย
ตนเองจาก เนื้อเรื่องในวรรณกรรมตอนหนึ่งวา “ในชวงขณะของความหิว ความขมขื่นและความหมดหวังนั้น ฉัน
รูสึกวาตนเองไมเพียงแตละโมบอยากไดทรัพยสินเงินทองเทานั้น แตยังรูสึกวาตนเองกออาชญากรรมใดๆก็ได
ทั้งสิ้น” แตความรูสึกยิ่งผยองแบบเด็กหนุม ทําใหฉันยังรักษาทางเดินของชีวิตไวได62
ตอมาเขาก็ไดยายไปอาศัยในบาน “มารูชอฟกา” ในแหลงสลัมในที่นี้เขาไดเจอคนหลายประเภท ตั้งแต
นักศึกษายากจน หญิงโสเภณีและคนที่เหนื่อยลากับการใชชีวิต ณ ที่แหงนี้เปรียบเสมือนหนึ่งในกระจกสะทอน
สภาพสังคมที่เลวรายของรัสเซียใหเขาเห็น จนเขาตองตั้งคําถามตอตนเองวา “ชีวิตเชนนี้มคี าที่ตรงไหนกัน”63
และมี เนื้ อ เรื่ องส วนที่ผ มคิดวาน าสนใจอีกสวนหนึ่ง เพราะผมคิดวาเปนสวนที่ทําใหกอร กี้เกิด แรง
บันดาลใจในการเขียนหนังสือที่อานเขาใจงาย และมีขนาดเล็กใหพวกกรรมกรตามโรงงานอาน(ดังเห็นไดจาก
รูปแบบวรรณกรรมของเขาเอง) จากเนื้อเรื่องในชวงที่กอรกี้ไดไปรวมกลุมกับพวกนักศึกษาที่ อาสคอเย พอลเย ซึ่ง
เปนทุงหญ าขนาดใหญนอกเมืองคาซาน ซึ่งเมื่อ เขาไดสนทนาแลวเขาเกิดความรู สึกวา “ไมจําเปนตองเขีย น
59
Hobsbawm, Eric John Ernest, The age of empire, 1875-1914 (1st. Vintage Books ed. New York
: Vintage, 1989.) p 345 Table 4
60
ตั้งขอสังเกตจากชื่อเรื่อที่เปน My Universities ไมใช My University
61
แมกซิม กอรก,ี้ มหาวิทยาลัยของฉัน แปลโดยชาลีมาน-คําเพลิง (กรุงเทพฯ:เจริญวิทยการพิมพ 2518) หนา 9
62
อางแลว หนา 21-22
63
อางแลว หนา31
หนังสือเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐศาสตรเปนเลมใหญๆ มีแตคําศัพทยากๆ เพียงเพื่อจะอธิบายใหพวกที่ใชแรงงานแตเสีย
ผลประโยชนให “คนอื่น” เขาใจ”64
และเขาก็ไดเห็นในอํานาจของ “พลังแรงงาน” จากการไปลูกจางในการชวยขนยายสินคาจากเรือบรรทุก
สินคาลําใหญของเปอรเซียที่แลนมาชนหิน แลวประจวบกับเจอลมแรงพายุฝนพอดี แตแรงงานกลุมดังกลาวก็
สามารถทํางานสําเร็จลุลวงได ดังจะเห็นไดจากขอความที่กอรกี้เขียนถึงสิ่งนี้จาก “พลังที่เราใชทํางานในวันนั้น
ชางมีความรุนแรงเหลือเกิน จนราวกับวาเราจะสามารถเนรมิตทุกสิ่งทุกอยางได เหมือนกับการรายมนตของผูวิเศษ
ในตํานาน”65
ตอมาเขาไดเจอกับ เดเรนคอฟซึ่งเปนพวกนารอดนิกที่รานขายของเดเรนดอฟเอง ซึ่ง ณ ที่แหงนี้นั้นผม
คิดวาเปนหนึ่งใน “มหาวิทยาลัยชีวิต”ที่สําคัญแหงหนึ่งของเขา เขาไดเรียนรูสิ่งตางๆจากที่นี้หลายอยาง เชน
เขาไดพบกับ โกกอล66ซึ่งจะเปนคนที่มีบทบาทตอชีวิตของเขาอีก และกอรกี้ยังไดพบกับกลุมที่ชวยทํา
ใหความคิดของเขามีความตอเนื่องกันมากขึ้น และกลุมคนในรานแหงนี้ยังเปนคนแนะนําวาหนังสือเลนไหนควร
อานหรือไมควรอานแกตัวกอรกี้
แตในขณะเดียวกันเขาก็รูสึกวานักศึกษาเหลานี้ปฏิบัติตอเดเรนคอฟเหมือนกับเจานายทําตอคนใช67 แต
เขาก็ยังคิดวารายไดจํานวนนอยที่ไดจากการคาขายจะนํามาอุทิศใหพวกที่เชื่อวา “ความสุขของมวลชนตองอยู
เหนือสิ่งอื่นใด”68 ผมจึงคิดวากอรกี้ตองการสื่อใหเห็นวาคนอยาง เดเรนคอฟเปนบุคคลที่ประชาชนโซเวียตใน
แบบนั้นควรยึดถือเปนแบบอยาง
ตอมากอรกี้ก็ไดไปทํางานในรานทําขนมปง “กําแพงแหงความลืมเลือน” ณ ที่นี้เขาไดพบวาชนชั้น
แรงงานไมมีความหวังที่จะทีชีวิตที่ดีกวา ดังนั้นเขาจึงตองกระตุน และบางครั้งก็ทําไดสําเร็จ ซึ่งตัวเขาเองก็
ภาคภูมิใจเพราะอยางนอย ก็ได “ทํางานกับประชาชน” และชวยใหเขาเหลานั้นได “รับรูความจริง” ขึ้นมาบาง69
ซึ่งผมก็ขอตีความวากอรกี้ตองการสื่อวาการทํางานเพื่อประชาชนสามารถทําไดในทุกสถานการณ
แลวมีวันหนึ่งกอรกี้ก็ไดเรียนรูถึง “ดานมืด” ของคนจําพวกที่ตนเองนับถือ คือ พวกนักศึกษา ปญญาชน
จากการไปเที่ยวซองกับเพื่อนคนงานในโรงงานขนมปง ซึ่งเรื่องเหลานี้ทําใหเขาเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะคําพูด
ของเพื่อนคนงานของเขาที่วา “คนมีการศึกษานะ บางทีเลวกวาพวกเราเสียอีก”70
แตพอกอรกี้นําเรื่องนี้ไปเลาแกพวกนักศึกษาพวกนั้นก็ดูถูกกอรกี้อยางไมไวหนา จนกอรกี้รูสีกวาตนเอง
มีสติปญญาและความกลาหาญมากกวาพวกนั้นนัก71
64
แมกซิม กอรก,ี้ มหาวิทยาลัยของฉัน แปลโดยชาลีมาน-คําเพลิง (กรุงเทพฯ:เจริญวิทยการพิมพ 2518) หนา42
65
อางแลว หนา 47
66
ในเรื่อง จากลุม แมน้ําโวลกาจะเรียกชื่อเขาเปนโรมาส
67
แมกซิม กอรก,ี้ มหาวิทยาลัยของฉัน แปลโดยชาลีมาน-คําเพลิง (กรุงเทพฯ:เจริญวิทยการพิมพ 2518) หนา 63
68
อางแลว หนา 62
69
อางแลว หนา 65
70
อางแลว หนา 70
71
อางแลว หนา 71
และกอรกี้ยังไดเลาถึงความศรัทธาตอซารและความคิดชาตินิยมในสมัยพระเจา ซารอเล็กซานเดอรที่ 3
ผานทางการคุยกับนายตํารวจ นิกิโฟริช จากคําพูดวา “สายใยที่มองไมเห็น…เหมือนกับใยแมลงมุม มันเริ่มตนขึ้น
จากหัวใจของพระมหาจักรพรรดิซารอเล็กซานเดอรที่ 3 กษัตริยแหงรัสเซียทั้งหมด มันสงผานมายังบรรดา
รัฐมนตรี รัฐบาลแลวก็ลงมายังตําแหนงตางๆเรื่อยๆจนมาถึงฉัน หรือแมแตพลทหารในกองทัพ สายใยนี้สงไปถึง
ทุกคนและทุกสิ่งทุกอยาง และก็เพราะวามันมองไมเห็นนี่เองที่ทําใหอาณาจักรของพระองคมั่นคงตลอดมาเปนนับ
ศตวรรษ นอกจากนังพระราชินีอังกฤษเทานั้นแหละมันพยายามติดสินบนไอพวกโปแลนด และแมแตชาวรัสเซีย
บางคนมันพยายามทําลายสายใยนี้ตลอดเวลา แลวก็แกลงทําเปนอางวาเพื่อประชาชน”72 และนิกิโฟริชก็ชักชวน
ใหกอรกี้ไปทํางานกับพระเจาซารหลายครั้งเพราะเห็นวาเขาเปนคนฉลาด ตองชวยงานพระเจาซารไดดีแน แตเขา
ก็ไมยอมไป จากตรงนี้อาจแสดงกอรกี้เปนคนที่มีความยึดมั่นในจุดยืนของตนเอง
และกอรกี้ยังไดเรียนรูวาคนที่ไมมีความเห็นแกตัวและพยายามตอสูดิ้นรนทุกทางเพื่อจะทํางานที่เปน
ประโยชน ก็มีสิทธิที่ชีวิตของพวกเขาจะถูกทําลายไดจากคนที่เห็นแกตัวอยูรอบๆตัวเขา ดังกรณีของเดเรนดอฟ ที่
ครอบครัวของเขาแตกแยก และจากเหตุการณนี้เองที่ทําใหกอรกี้เริ่มไมศรัทธาในตัวนักศึกษา ซึ่งตรงงนี้อาจ
ตีความไดวากอรกี้ตองการใหคนทุกคนเสียสละเพื่อคนอื่น เพราะถาใหคนเพียงไมกี่คนเสียสละแลว คนกลุมนั้น
ตองเผชิญกับความทุกข ในขณะที่คนบางกลุมไดรับผลประโยชนไป(เชนนักศึกษาที่เดเรนดอฟใหความชวยเหลือ)
รวมไปถึงเขายังมีประสบการณพบกับพวกนิยมตอลสตอยที่ดีจําคําสอนของเขาแตไมสามารถปฏิบัติตาม
ไดอยางแทจริง ดังเนื้อเรื่องที่วา “ “ความจริงคือความรัก” ผูนิยมตอลสตอยยืนยัน แตสายตาของเขาแวบหนึ่งมีแต
ความเกลียดชังและดูถูกเหยียดหยาม”73
และมหาวิทยาลัยแหงสุดทายในเรื่องนี้ก็คือ “มหาวิทยาลัยในชนบทรัสเซียแถบลุมแมน้ําโวลกา” ผาน
ทางการไปอาศัยอยูกับโกกอลที่เมือง คราสโนวิโดโว โดยโกกอลนั้นประกอบอาชีพคาขายและปลูกแอปเปล
โดยสิ่งที่โกกอลสอนกอรกี้อยางหนึ่งนั้นที่ผมคิดวามีอิทธิพลวิธีการเขียนหนังสือของกอรก้ีมาก คือ
ประโยคที่วา “สิ่งที่คนสอนเธอนั้นทําใหเธอรูสึกเจ็บปวดไดมากกวาสิ่งที่เธอเรียนรูจากหนังสือเพราะคําสอน
เหลานั้นมีแตความรุนแรง แตสิ่งที่เธอเรียนรูมานั้นมันจะฝงรากของมันลงไปลึกกวาการเรียนดวยวิธีอื่นใด”74
และเขายังเปนคนสอนกอรกี้วา ตองเขาไปพูดคุยกับพวกชาวนาวาพวกเขานี้แหละที่เปนรากฐานของทุก
สิ่งทุกอยาง ทุกคนในประเทศนี้แมแตพระเจาซารก็เคยเปนคนธรรมดามากอน ถาเขาใจแลว พวกเขาก็จะไดเรียนรู
การตอสูเพื่อที่จะไดอยูตอไปโดยไมถูกเหยียบย่ําไดอีก
มีอยูครั้งหนึ่งที่กอรกี้ถามโกกอลวาเมื่อไหรเขาจะพูดคุยกับชาวบานเสียที75 แตสิ่งที่กอรกี้ไดรับคําตอบ
กลับเปนความรูเรื่องทัศนคติของชาวนาในชนบทรัสเซีย โดยโกกอลกลาววา “ชาวนามักเปนพวกขี้ระแวง ไมไวใจ
ใครงายๆ และก็เขาใจคําวา “อิสรภาพ”อยางผิวเผินเนื่องจากเพิ่งไดรับอิสรภาพมาไมถึง 30 ป และจากการที่พระ
เจาซารไดชื่อวาเปนผูปลดปลอยชาวไรชาวนาจากพวกเจาที่ดิน นั้นจีงดูเหมือนวาพระองคเองกลับเปนเจานายของ
ทุกคน เชื่อวาวันหนึ่งพระเจาซารจะมาอธิบายคําวา “อิสรภาพ”ใหกระจาง และมีศรัทธาในพระเจาซารอยางแนว
แน เชื่อวาบางทีพระองคอาจยึดทรัพยจากพวกนายทุนก็ได ดังนั้นพวกชาวไรชาวนาจึงเปนพวกนิยมกษัตริย และ
72
แมกซิม กอรก,ี้ มหาวิทยาลัยของฉัน แปลโดยชาลีมาน-คําเพลิง (กรุงเทพฯ:เจริญวิทยการพิมพ 2518) หนา 112
73
อางแลว หนา 145
74
อางแลว หนา 178
75
อางแลว หนา 187
คิดวาการมีนายหลายคนเปนเรื่องเลวราย บางทีการมีนายคนเดียวอาจจะดีขึ้นก็ไดพวกเขากําลังรอวันนั้น(วันที่พระ
เจาซารจะมาอธิบ ายคําวา “อิสรภาพ”ใหกระจาง ) แตข ณะเดียวกันก็มีความหวั่ นเกรง กลัววาวันแหงความ
เปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญจะมาไมถึง พวกเขาก็ไมมีความเชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลงดวยกําลังของตนเอง ความ
ตองการของทุกคนก็เหมือนกันหมดแตเขาจะไดมันมาอยางไร และ…ไมวาจะหันไปทางไหน…เจาหนาที่ราชการ
เปนปฏิปกษกับทั้งประชาชน และกับพระเจาซารดวยในขณะเดียวกัน แตกระนั้นเราก็ยังตองมีเจาหนาที่ราชการ
เพราะไมอยางนั้นพวกชาวบานนี้แหละจะหันเขาฟาดฟนกันเอง”76 สิ่งที่โกกอลพูดก็เปนความจริงขึ้นมาเพราะ
ตอนที่บานและสวนแอปเปลของเขาถูกเผา เขาจะถูกชาวบานรุมทํารายเพราะชาวบานคิดวาเขาจะเผาเพื่อเอาเงิน
ประกัน เนื่องจากไฟไดลุกลามไปในไรนาของผูอื่นดวย
และโกกอลยังอธิบายถึงวิธีการใหกอรกี้ฟงวา “การจะทําใหชาวบานเขาใจนั้น ตองทําใหพวกเขาเรียนรู
ไปทีละนอยๆ เพื่อจะยึดอํานาจจากพระเจาซารมาอยูในมือประชาชนได ตองอธิบายใหเขาเขาใจวาประชาชนตอง
มีสิทธิเลือกเจาหนาที่บานเมือง เลือกรัฐบาล และแมแตเลือกษัตริยเองดวย”77 และเขายังสอนสิ่งที่สําคัญอีกอยาง
หนึ่งในการปฏิบัติงานแกประชาชนคือ “สิ่งที่สําคัญที่สุดคือ เราตองสอนใหประชาชนรูจักคิด แลวเขาก็จะหา
หนทางไปสูความจริงดวยตนเอง”78
และยังคนพบวาคํากลาวที่วา “ชีวิตในชนบทนั้นบริสุทธิ์สะอาดและนาเบิกบานกวาในเมือง” ไมเปน
ความจริง ดังเนื้อหาที่วา “ฉันไดเห็นชาวบานตองทํางานดวยความเหนื่อยยากไมรูจักสิ้นสุดราวกับไมใชงานของ
มนุษย หลายคนเจ็บปวย และอีกหลายคนไมสามารถทํางานไดเพราะทํางานมากเกินไป ความรื่นเริงแจมใสเปน
ของหายากในที่แหงนี้ คนงานหรือชางฝมือแมวาจะทํางานหนักเทาๆกัน แตก็มีชีวิตที่เปนสุขมากกวา และยังไม
บนเบื่อหนายชีวิตเทาชาวชนบทที่นี่”79
แตในที่สุดกอรกี้ตองออกจากมหาวิทยาลัยแหงนี้เนื่องบานของโกกอลถูกเผา โดยคําสอนสุดทายของโก
กอลตอกอรกี้เปนเรื่องของ “จงอดทนตอการตัดสินใจ”
กอรกี้ ไดแสดงความเคารพตอโกกอลในเรื่องนี้หลายครั้งซึ่งแสดงใหเห็นวาบุคคลอยาง โกกอลเปน
แบบอยางแกประชาชน เนื่องจากมีความเขาใจในสภาพสังคมรัสเซีย มีความอดทน80 มีความเปนครูที่ดีและมีการ
อุทิศตนเพื่อการปฎิวัติ81
ดังนั้นสรุปนิยามสั้นของวรรณกรรมเรื่องนี้ในมุมมองของผมไดวา “การเรียนรูสภาพสังคมในสมัยปลาย
ราชวงศโรมานอฟและแนวทางในการใชชีวิตที่พึงประสงค(ในสายตาพรรคบอลเซวิค)ผานทางชีวประวัติของ
แมกซิม กอรกี้”
76
แมกซิม กอรก,ี้ มหาวิทยาลัยของฉัน แปลโดยชาลีมาน-คําเพลิง (กรุงเทพฯ:เจริญวิทยการพิมพ 2518) หนา 187-189
77
อางแลว หนา 189
78
อางแลว หนา 232
79
อางแลว หนา 205
80
ดังเห็นไดจากตอนที่บานถูกเผา โกกอลไมรูสึกโกรธแตกลับเขาใจสาเหตุที่ตอ งเผาบานของตนเอง
81
ดังเห็นไดจากการทีจ่ ะพยายามจะทําใหชาวบานมีความเขาใจมากขึ้น โดยไมหวัน่ เกรงตอภัยทีอ่ าจจะมาจากคนรวยหรือชาวบานเอง
แมแตการที่เพื่อนสนิทของเขา คือ ไอซอตถูกฆาตายก็ไมสามารถเปลี่ยนความตัง้ ใจของเขาได
บทวิเคราะหวรรณกรรมเรื่องแม (Mother)
กอรกี้เขียนวรรณกรรมเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อ วัตถุประสงคทางการเมืองที่ตองการใหกรรมกรในรัสเซียรวม
พลังเพื่อการปฏิวัติโคนลมระบบซารและชนชั้นนายทุนในรัสเซีย โดยผานทางการใหความรูแนวคิดมากซที่
อธิบายกลั่นกรองออกมาเปนภาษาที่อานเขาใจงาย สอดแทรกคําพูดปลุกระดมลงไป และใหการกระทําของตัว
ละครในเรื่องเปนแรงบันดาลใจในแนวทางการปฏิบัติ เพื่อนําไปสูการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพและยังแสดงให
เห็นความสําคัญของการถายทอดความรูและทฤษฎีตางๆแกพวกกรรมกรไมวาจะเปนโดยการใชหนังสือหรือการ
สั่งสอนดวยปากเปลา
โดยกอรกี้ไดลงมือเขียนเรื่องนี้ ระหวางที่พํานักอยูในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกอรกี้ไดเคาโครงเรื่องนี้จาก
ประสบการณชีวิตโดยตรงของเขา จากตัวบุคคลที่เขารูจักดีเชน ปยอดร ซาโลมอฟที่เปนคนงานนักปฏิวัติซึ่งไดเคย
ตองคําพิพากษาใหจําคุกมาแลว ในฐานที่เขารวมเดินขบวนวันที่ ระลึกกรรมกรสากร (May Day) แหงคณะคนงาน
ซอรโมโฟ และมารดาของเขาก็เปนตัวตั้งตัวตีในกระบวนการปฏิวัติ อยางเขมแข็งดวย โดยการปลอมกายเปน
นางชีและยังไดทําการเผยแพรจําหนาย จายแจก วรรณคดีฝายปฏิวัติ ไปทั่วภูมิภาคนิชนินอฟกอรอด
และเขายังไดรูจักแมของตระกูล กาโดมตเซฟส ดี ตระกูลนี้เปน ตระกูลนักปฏิวัติ ซึ่งไดถูกทรมานอยูใน
คุกอูฟาเพราะไดชวยบุตรของหลอนใหหลบหนีออกจากคุกโดยลักลอบสงลูกระเบิดไปใหเขา และเขาก็ไดใชลูก
ระเบิดลูกนั้นระเบิดกําแพงคุก กอรกี้ยังสามารถระบุนามหญิงผูเปนแมคนอื่นๆไดอีกนับจํานวนไดหลายสิบคน
ซึ่งไดถูกทรมานรวมกับบุตรของหลอน82 หรืออาจจะเปนแมของ นิโคไล เยฟรายคอฟ ที่ตองแบกรับภาระหนักใน
การทําใหครอบครัวมีสภาพเปนอยูที่ดีเพียงคนเดียวโดยที่สมาชิกในครอบครัวคนอื่นไมไดรับรูเลย หรืออาจจะ
เปนยายของเขาเองที่เปนทั้งผูปกปองและใหความรักความอบอุนแกเขาในวัยเด็ก
โดยเรื่องไดเริ่มตนในชุมชนใกลโรงงานอุตสาหกรรมแหงหนึ่งที่มีความเปนอยูที่ลําบากและซ้ําซาก โดย
ชีวิตของคนงานในแตละวันเริ่มตนจากเสียงหวูดของโรงงานที่ดังขึ้น ลวพอพวกเขาเลิกงานพวกเขาก็จะไปโรง
สุราเพื่อใหฤทธิ์ของสุราลืมความจริงที่โหดรายไป และกอรกี้ก็ชี้ใหเห็นวาไมวาโรงงานที่ไหนก็มีสภาพเหมือนกัน
จากเนื้อเรื่องที่มีใจความวา “ตามคําบอกเลาของผูที่มาใหมนั้นเห็นไดโดยแจมแจงวาชีวิตของพวกคนงานไมวาที่
ไหนๆก็เ หมือนกันทั้ งนั้ น และหากวามันเปนจริงดังนั้ น แลว จะมีอะไรเหลืออยูอีกเลาที่เขาเหลานั้นจะนํามา
สนทนากัน”83
และกอรกี้ยังแสดงใหเห็นถึงภาพของกรรมกรที่ไมเปน “แบบอยาง” ซึ่งก็คือพวกคนงานสวนใหญของ
โรงงานแหง นี้ ที่ ไมช อบใหมี ค วามเปลี่ย นแปลงเกิดขึ้ นแกชีวิ ต ของตนเอง และถ า ใครก็ต ามมี แ นวโนม ที่จ ะ
เปลี่ยนแปลงสภาพเชนนี้พวกเขาก็จะไมคบคาสมาคมดวย และมักจะไมพูดคุยกับบุคคลที่มีความคิดใหมๆ ดัง
เนื้อความที่เปนตัวอยางของสภาพเชนนี้ “คนเหลานั้นมีความเคยชินตอการรับเอาชีวิตตามที่เขาถูกยัดเยียดใหรับ
เอา พรอมทั้งยอมรับเอาความบีบบังคับที่มีตอชีวิตอยางสม่ําเสมอไวตลอดกาล โดยที่พวกเขาไมมีความหวังวา จะ
ปลดเปองความทุกขยากออกไปจากชีวิตไดอยางไร”84
82
อเล็กซานเดอร, รอสคิน จากลุมแมน้ําโวลกา:ชีวประวัติของแมกซิม กอรกี้ แปลโดย อรุณ ชัยโรจน(พิมพครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ : เจริญ
วิทยการพิมพ, 2517) หนา 204-205
83
แมกซิม กอรกี้ , แม แปลโดย ศรีบูรพา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา 42
84
อางแลว หนา 43
และกอรกี้ยังไดเขียนถึงบุคคลที่เปน “ตัวอยาง” ของคนงาน “ที่ไมควรเอาเปนแบบอยาง” ซึ่งคนงานคน
นั้นคือ มิคเฮล วลาสซอฟ ที่เปนพอของตัวเอกในเรื่อง พาเวล วลาสคอฟ และเปนสามีของ “แม” เพลาเกีย
นิลอฟนา วลาสคอฟ โดยมิคเฮลเปนคนที่แข็งแรงที่สุดในโรงงาน แตมีนิสัยที่กาวราว ชอบดื่มสุรา และชอบทํา
รายภรรยาและยังไมคอยดูแลสนใจบุตรซักเทาไร เปนคนงานที่ไมมีความพยายามทําใหชีวิตของตนเองดีขึ้น แต
ในตอนกลางบทที่ 2 เขาก็ไดตายเพราะอวัยวะภายในแตก
ดังนั้น พาเวลจึงตองทํางานหาเลี้ยงครอบครัวแทนพอของเขา ในชวงแรกนั้นพาเวลก็มีความประพฤติ
เฉกเชนกับคนงานคนอื่นๆ แตตอมาเขาไดคนพบ “สัจธรรม”(แนวคิดสังคมนิยมลัทธิมากซ) จากการสั่งสอนของ
ผูอื่น โดยเขายกยองใหบุคคลเหลานั้นเปน “เกลือของแผนดิน”85และจากการอานหนังสือตองหามที่บรรยายสัจ
ธรรมของพวกคนงาน หลังจากนั้นเขามีความประพฤติที่ดูสงบนิ่งขึ้น และยังปฏิบัติตอแมของเขาโดยเปนอยางดี
และยังไดกระตุนแมของเขาใหมีความกลาหาญขึ้นดวย
และตอมาเขาพาพวกเพื่อนที่มีอุดมการณเดียวกันมาชุมนุมที่บานของเขา โดยเพื่อนๆของเขาไดแก นาตา
ซา วาซิลเยฟนา ,ฮอฮอล86 ,นิโกไล เวซอฟซิคอฟและฟโอดอร เปนตน ซึ่งเรื่องที่สนทนากันจะเปนเรื่องของ
ทฤษฎีทางการเมืองมีการอานหนังสือใหฟง และมีการถกเถียง ซึ่งผมคิดวากอรกี้ไดรับแรงบันดาลใจในฉากเหลานี้
จากการประชุมใตดินของขบวนการปญญาชนในรัสเซีย และไดทําการแจกใบปลิวปลุกระดมใหคนงานลุกขึ้นสู
รวมถึงยังไดไปเรียกรองสิทธิของคนงานจากการที่โรงงานจะเก็บคาแรงจากโรงงานคนละ 1 โกเปก87เพื่อที่จะ
ระบายน้ําออกจากบึง โดยเขาไดพูดวา “ที่เราตอสูนี้ไมใชเพื่อสตางค แตเพื่อความยุติธรรม ขอนั้นแหละเพื่อน
ไมใชสตางคที่เราหวงแหนนักหนา สตางคของเราไมกลมไปกวาเงินเหรียญอื่นๆ ถึงแมวามันจะหนักกวา มันบรรจุ
เลือดของมนุษยมากยิ่งกวาเงินของทานผูอํานวยการ คาของมันไมไดอยูที่ตัวสตางค แตอยูที่เลือด อยูที่ความ
ยุติธรรม-ขอนั้นแหละเพื่อนเอย”88
แตอยางไรก็ตามการลุกขึ้นสูของคนงานครั้งนั้นก็ตองยกเลิกไป เพราะผูอํานวยการขูจะไลพวกที่ชุมนุม
ออกจากงาน ทําใหคนงานไมกลาประทวงตอเพราะผูอํานวยการสามารถหาคนตกงานที่ไหนก็ไดมาทํางานแทน
ตน ซึ่งตรงนี้ตรงกับแนวคิดของมากซเรื่องกําลังแรงงานสํารอง ที่กลาววาแรงงานจะมีอํานาจตอรองกับนายจาง
นอยลงเนื่องจากนายจางจะจางใครมาทํางานแทนตนก็ได
ตอมาพาเวลและฮอฮอล89ก็ถูกจับ แตก็ถูกปลอยตัวออกมาเพราะไมมีหลักฐานยืนยันวาพวกเขาเปนคน
แจกใบปลิว(เนื่องจากตอนที่ทั้งสองถูกจับเพลาเกียแอบไปแจกใบปลิวแทน) และพาเวลก็ไมยอมแตงงานกับนาตา
ซาเพราะเห็นวาภารกิจในการปฏิวัติยังไมสําเร็จ ตองอุทิศตนเพื่อการปฏิวัติใหถึงที่สุดกอน
และในตอนทายของเรื่องพาเวลก็เตรียมตัวเต็มที่เพื่อการเดินขบวนในวันเมยเดย ไมวาจะเปนการแจก
ใบปลิวชักชวนใหเขารวมขบวนหรือสอนภารกิจดานตางๆใหแกผูอื่นเชนนิโคไลในเรี่องของการเรื่องเรียงพิมพ90
และยังเปนผูนําขบวนในวันเมยเดยอีกดวย โดยเขานําขบวนเขาไปอยางไมกลัวการจับกุมของเจาหนาที่ตํารวจ
85
แมกซิม กอรกี้ , แม แปลโดย ศรีบรู พา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา 75
86
ชื่อจริงของเขาคือ อันเดร โอนิสิมอฟ เปนชาวยูเครน
87
สกุลเงินของรัสเซีย
88
แมกซิม กอรกี้ , แม แปลโดย ศรีบรู พา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา 185
89
ตอนที่ถูกจับนั้นฮอฮอลไดมาอาศัยอยูที่บานวลาสคอฟแลว
90
แมกซิม กอรกี้ ,แม แปลโดย ศรีบูรพา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา 395
ผมจึ ง คิ ด ว า กอร กี้ ส ร า ง “พาเวล” มาเพื่ อ เป น ภาพของแรงงานที่ ไ ด รั บ รู ถึ ง “สั จ ธรรม” และนํ า เอา
“สัจธรรม”เหลานั้นมมาสอนเพื่อนคนงาน และเปนคนที่อุทิศตนใหการปฏิวัติ เห็นผลประโยชนของชนชั้น
คนงานมากกวาผลประโยชนสวนตัว เปนคนงานในอุดมคติของแนวคิดมากซ91
และ “แม” เพลาเกีย นิลอฟนา วลาสคอฟ เปนตัวแทนแสดงถึงความรักอันยิ่งใหญตอมวลมนุษยชาติที่
เปนสากล ดังเห็นไดจากคําพูดในตอนที่ทหารมาจับฮอฮอล โดยเธอไดพูดวา “ผูเปนแม ยอมมีน้ําตา เพียงพอที่จะ
ใช แกทุกเรื่องเสมอ-มีพอทุกรื่อง ถานายมีแม แมของนายจะตองรูเรื่องนี้อยางแนนอน”92 และยังเห็นไดจากการที่
ฮอฮอลเรียกเธอวา “เนนโก” ซึ่งเปนคําที่ชาวยูเครนใชเรียกมารดาอันเปนที่รักยิ่ง อันแสดงใหเห็นวาไมวาจะเปน
คนงานจากชาติไหนก็จะไดรับความรักจากเธอหมด และเธอยังเปนคนชักชวนใหฮอฮอลมาอยูที่บานของเธอดวย
และจากคําพูดของฮอฮอลที่พูดหลังจากที่เขาถูกปลอยตัวออกจากคุกแลวที่แสดงใหเห็นวานางเปน “แม”ที่เปน
แบบอยาง ซี่งมีเนื้อความวา “ ใครๆก็รักสิ่งที่อยูใกลชิดกับเขา แตหัวใจที่ใหญ ยอมทําใหสิ่งที่อยูไกลเขามาอยูใกล
กับเขา ทานอาจประกอบภารกิจที่ใหญหลวงได เพราะวาทานมีความรักของมารดา อันเปนความรักที่ใหญหลวง
อยูในตัวทาน”93
และตัว “แม” เองก็ไดแสงความรักที่ยิ่งใหญผานทางคําพูดของนางเอง หลังจากที่พาเวลไดสํานึกผิดกับ
นาง ซึ่งมีเนื้อความวา “อยาพูดอะไรเลย พระผูเปนเจา94ทรงทราบดีวา ชีวิตของลูกก็ยอมเปนสมบัติของลูก สุดแต
ลูกจะใชตามที่ลูกพอใจ แต-ขอจงปลอยดวงใจของแมไวแตลําพังเถอะนะลูก จะใหผูเปนแมไมรูจักรักไดยางไรเลา
ลูกเอยผูเปนแมจําเปนตองรัก, แมรักพวกลูกทุกคน พวกของลูกทุกคนเปนที่สุดสวาทของแม และพวกของลูกทุก
คนก็สมควรที่จะไดรับความรัก ใครที่ไหนจะสงสารลูกถาแมไมสงสาร พวกของลูกทั้งหมดจะจากไป ลูกนําหน
ขบวน-คนอื่นๆติตามไปขางหลังละทิ้งทุกสิ่งทุกอยาง-อาพาชา95”96
และเธอยั งเป นตั ว แทนของคนที่ มี การเปลี่ย นแปลงในทางที่ ดี จากผูห ญิงธรรมดาที่ มีแ ต ค วามกลั ว
เปลี่ยนไปเปนแมที่มีความรักที่ยิ่งใหญและเปลี่ยนไปดวยความกลาหาญโดยในตอนแรกนั้นเธอเปนคนที่ยังเต็มไป
ดวยความหวาดกลัวในสิ่งตางอยู เพราะตลอดชีวิตที่ผานมาเธออยูกับความกลัว ไมมีสิทธิเลือกทางเดินของชีวิต
แมแตการแตงงานเธอก็ไมไดเต็มใจที่จะเลือกเองเทาไร ถึงแมในตอนสาวเธอจะคุยกับเพื่อนๆถึงชีวิตแตงงานที่
เลวราย และไมเคยคิดหาหนทางที่จะหลีกเลี่ยงจากมัน
แตตอมาเมื่อเธอไดเปดใจรับ “สัจธรรม” เธอก็มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จากตอนแรกเธอเพียงแค
ทําหนาที่ดูแลพวกของพาเวลในขณะที่มาคุยกันที่บานของเธอเทานั้น แตผมก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของเธอ
91
ถาจะเห็นภาพก็ใหไปดูคนอยาง ผูใหญวิบูล ในแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ในแงของการสรางภาพใหบุคคลคนหนึ่งเปนสัญลักษณที่มี
ชีวิตของแนวคิดนั้น
92
แมกซิม กอรกี้ , แม แปลโดย ศรีบรู พา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา 158
93
อางแลว หนา 256
94
ดังที่กอรกี้ไดกลาวโดยผานทางพาเวลแลว วา “พระผูเปนเจา”ของแมกับของพวกพระเปนคนละองคกัน ซึ่งปรากฎในวรรณกรรมเรือ่ ง
นี้ภาคแรก หนา 171-172
95
เปนชื่อเลนของพาเวล(พาชา)
96
แมกซิม กอรกี้ ,แม แปลโดย ศรีบรู พา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา 343
ในตอนที่คนงานมาขอรองใหพาเวลไปเรียกรองสิทธิประโยชนในเรื่องของการตัดเงินคาจางเพื่อการระบายน้ําใน
บึง เธอไดรับอาสาพาเวล ไปสงหนังสือในเมืองที่ที่พิมพหนังสือพิมพของขบวนการปฏิวัต97ิ
รวมถึงเธอยังทําหนาที่เปนคนแจกใบปลิวในโรงงานในขณะที่พวกพาเวลติดคุกอยู โดยเธอเขาไปแจก
โดยปลอมตัวเปนแมคาขายอาหารบังหนา และเธอก็มีความพยายามที่จะเรียนหนังสือเพื่อที่จะไดอานหนังสือได
เพื่อเขาใจ “สัจธรรม” ใหมากยิ่งขึ้น
และไปตอนทายของเรื่องเธอยังไดถือธงของพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย หลังจากที่พาเวลถูกจับตัว
ไปและเปนคนกลาวคําพูดกระตุนใหแรงงานเกิดความคิดขึ้นมา โดยเธอไดกลาววา “ฟงนี่แนะในนามของพระผู
เปนเจา พอคนดีทั้งหลาย พอคุณทั้งหลายที่มองดูเหตุการณที่เกิดขึ้นโดยปราศจากความกลัวพวกลูกเตาของเราเอง
เลือดที่มาจากเลือดของเราไดพากันออกไปสูโลกในนามของความยุติธรรม เพื่อคนทั้งหมด เพื่อประโยชนแกพวก
ทานทั้งหมด และเพื่อบุตรของพวกทานที่ยังไมเกิด พวกเขาไดรับเอาความทุกขทรมานอันนี้โดยไมปริปาก ในการ
แสวงหาวันที่แจมใสกวานี้ สิ่งที่พวกเขาตองการคือชีวิตอีกอยางหนึ่ง ชีวิตแหงสัจธรรมและยุติธรรม สิ่งที่เขา
ตองการคือความดีงามเพื่อคนทั้งหลาย”98 ซึ่งคําพูดของนางก็ไดผลเพราะคนที่นางพูดใหฟงกําลังตั้งใจฟงอยู
ในความของผมนั้นคิดวากอรกี้สราง เพลาเกีย นิลอฟนา วลาสคอฟ มาจากผูหญิงที่เขาไดเจอจาก
ประสบการณชีวิตของเขา โดยสรางเธอที่เต็มไปดวยความกลัวจากผูหญิงแมบานชาวรัสเซียทั่วไป และตนแบบ
ของเธอที่เปน “แม”ที่เปนแบบอยางนั้นไดมาจากบุคลิกของผูหญิงที่กอรกี้มีความนับถือในชีวิตของเขามารวมกัน
เชนความรักอันยิ่งใหญที่ผมคิดวานาจะไดมาจากยายของเขาเอง และความกลาหาญที่ไดมาจากแมของนักปฏิวัติที่
เขามีโอกาสไดเจอ
และที่กอรกี้แสดงถึงทัศคติของชาวนาตามแนวคิดมากซ(ที่มองวาชนชั้นนี้เปนอุปสรรคในการที่จะ
พัฒนาไปสูระบบสังคมนิยม) ผานทางคําพูดของตัวละครตัวหนึ่ง ไรบิน ดังคําพูดที่วา “ชาวนารูสึกในผืนดินที่อยู
ขางลางเขา ถึงแมวาที่ดินนั้นจะมิใชของเขาเอง เขารูสึกผูกพันกับมันดี-จาผืนแผนดินนั้น.. แตพวกคนงานตาม
โรงงานเหมือนกับนก-ไมมีผืนดินที่เปนถิ่นของตัวไมมีบาน วันนี้อยูที่นี้ พรุงนี้ก็จากไปแลว แมแตผูหญิงก็ไมอาจ
เหนี่ยวรั้งเขไวไดในที่เดียว”99 ซึ่งในกอนหนานั้นไรบิน ไดไปอยูตามหมูบานในชนบทเพื่อกระตุนใหชาวบาน
ตื่นตัว ซึ่งคําพูดที่กลาวมาแสดงความคิดของมากซที่วาชาวนาเปนพวกที่เฉื่อยชา(Inert) ตอการเปลี่ยนแปลงเพราะ
ยังมีความยึดติดในกรรมสิทธิ์สวนบุคคลซี่งก็คือที่ดินที่ใชในการทําการเกษตร
และในวรรณกรรมเรื่องนี้ยังไดแทรกสอดความคิดของมากซ เลนินรวมไปถึงคําพูดปลุกระดมเพื่อการ
ปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพผานทางคําพูดของตัวละครตางๆ เพื่อใหพวกกรรมกรสามารถเขาใจไดงาย
เชนคําพูดปลุกกระตุนที่กอรกี้ตองการใหแรงงานในรัสเซียหลุดพนจากความกลัว เพื่อจะไดเกิดความ
กลาหาญในการกอการปฏิวัติ โดยผานคําพูดของพาเวลที่พูดกับแมเพื่อใหนางหลุดพนจากโซตวงแหงความกลัว
ดังมีเนื้อความวา “ความกลัวนั่นแหละแม คือ ที่มาของความฉิบหายวอดวายของเราละ และพวกที่เปนนายเรากฌ
ฉวยประโยชนจากความกลัวของเรานั่นแหละ เขาคอยทําใหเราตองขวัญหนีดีฝออยูเสมอ”100
97
แมกซิม กอรกี้ ,แม แปลโดย ศรีบูรพา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา 183
98
อางแลว หนา 442-443
99
อางแลว หนา 388
100
แมกซิม กอรกี้ , แม แปลโดย ศรีบรู พา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา 81
หนาที่และจุดหมายที่สําคัญยิ่งของชนชั้นกรรมาชีพ ผานทางคําพูดของพาเวล ในขณะที่นั่งคุยกันถึง
ความคิดทางการเมืองในบานของเขา ซึ่งแสดงจากเนื้อความวา “เราจะตองแสดงใหบรรดาบุคคลที่ขี่ครอมอยูบน
หลังพวกเรา และไดปดตาเราไว ไดทราบเสียที่วา บัดนี้เราไดแลเห็นทุกสิ่งทุกอยางแลว เราไมใชไองั่ง และเราก็
ไมใชสัตวปา ซึ่งไมตองการอะไรอีกเลยนอกจากจะหาอาหารมาบรรจุเขาไปในกระเพาะใหเต็มเทานั้น เราตองการ
ดํารงชีวิตที่สมควรแกความเปนมนุษยของเรา เราตองพิสูจนใหศัตรูของเราไดเห็นตระหนักชีวิตที่ตองทํางานอยาง
หลังขดหลังแข็ง ที่เขาทุมเทมาใหแกพวกเรานั้น หาไดทําใหพวกเรากลายเปนคนดอยปญญาไปกวาเขาไม และ
ยิ่งกวานั้นเสียอีก หาไดเปนสิ่งกีดกันพวกเรามิใหมีสติปญญายิ่งไปกวาเขาไม เราจะติองพิสูจนใหศัตรูของเรา
ประจักษในความจริงขอนี้”101และฮอฮอลก็ไดพูดขึ้นตอวา “ เราจําเปนตองกอสรางสะพานขึ้น เพื่อจะทอดขาม
ชีวิตอันเนาเฟะนี้ไปสูอนาคตแหงภราดรภาพของมวลมนุษยในอนาคต สหายทั้งหลาย, ขอนั้นและคือภาระที่
เผชิญหนาพวกเราอยูในขณะนี้”102
และกอรกี้ยังไดพาดพิงถึงบทบาทของศาสนาที่ชนชั้นปกครองใชในการกดขี่ผูถูกปกครอง โดยผาน
คําพูดของพาเวล ที่มีเนื้อความวา “ฉันไมไดพูดถึงพระผูเปนเจา ผูมีพระเมตตากรุณาองคที่แมเคารพสักการะ”
พาเวลไดพูดตอไปวา “ หากพูดถึงพระผูเปนเจา องคที่พวกพระนําเอามาใชขูเข็ญพวกเราดุจเปนไมตะบองพระผู
เปนเจาองคที่เขาไดอาศัยนามของทาน มาพยายามทําใหคนทั้งหลายกมหัวลงนอบนอมเจตจํานงอันชั่วรายของคน
ไมกี่คน”103
และกอรกี้ยังไดพูดถึงความเปนสากลของชนชั้นแรงงานและการจะไมประนีประนอมกับชนชั้นนายทุน
โดยผานทางคําพูดของพาเวลที่วา “เขาพูดกันวามีคนชาติตางๆ อาศัยอยูในโลกนี้ มียิว และเยอรมัน, อังกฤษและ
ตาด104 แตฉันไมเชื่อเชนนั้น มีคนอยูสองจําพวกเทานั้น คนสองจําพวกที่ไมอาจจะเขากันได คือคนมีกับคนจน
มนุษยแตงกายตางๆกันและพูดภาษาตางๆกัน แตขอจงดูเถอะวาพวกคนมั่งมีที่เปนชาวฝรั่งเศส, ชาวเยอรมัน และ
ชาวอังกฤษปฏิบัติตอพวกคนงานอยางไร แลวทานทั้งหลายก็จะตระหนักไดดีวา สําหรับพวกเราที่เปนคนงานนั้น
คนเหลานั้นทั้งหมดก็คือ ไอพวกคนระยําอัปปรียนั่นเอง ขอใหมันฉิบหายตายโหงเสียที่เถอะ”105 และเขาก็พูดตอ
วา “และในอีกดานหนึ่งถาทานไดมองดู ทานก็จะเห็นวาพวกคนงานฝรั่งเศส และพวกตาด และพวกเตอรกทั้งหมด
106
ตางก็ยังชีวิตเหมือนกับหมา เชนเดียวกับพวกคนงานรัสเซียไดอยูกันมา”
และกอรกี้ยังไดพูดโดยนัยวาราชวงศโรมานอฟที่รุงเรืองไดเพราะประชาชน จากคําพูดของ “แม”ที่กลาว
ว า “จะไม มี พ ระเยซู 107ขึ้ น มาได เ ลย หากว า ประชาชนมิ ไ ด ถ วายชี วิ ต ของเขา เพื่ อ ที่ จ ะนํ า ความรุ ง โรจน ม าสู
พระองค”108
101
แมกซิม กอรกี้ , แม แปลโดย ศรีบูรพา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา 102
102
อางแลว หนา102,104
103
อางแลว หนา 171-172
104
พวกมองโกล
105
แมกซิม กอรกี้ ,แม แปลโดย ศรีบูรพา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา414-415
106
อางแลว หนา 415
107
เนื่องจากซารนั้นถือวาเปนใหญทั้งทางโลกและทางธรรม เปนตัวแทนของพระเจาในศาสนาคริสตนิกานกรีก-ออโทดอกซเหมือนกับ
พระเยซูที่เปนบุตรของพระเจา
108
แมกซิม กอรกี้ ,แม แปลโดย ศรีบูรพา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516) หนา 447-448
และกอรกี้ยังไดพาดพิงถึงความคิดของเลนินดวย ซึ่งความคิดนั้นคือ “ถาไมมีทฤษฎีปฏิวัติก็ไมมีการ
เคลื่อนไหวที่ปฏิวัติ” (without revolutionary theory there can be no revolutionary movement)109 ซึ่งแสดงผาน
คําพูดของฮอฮอลที่กลาววา “ฉันไมทราบหรอกวา เมื่อไหรเรา(ชนชั้นแรงงาน)ถึงจะเริ่มการตอสู แตฉันรูวาคน
เหลานั้นจะกระหน่ําพวกเราหลายตอหลายครั้งกอนหนานั้น ตามความเห็นของฉันเราตองติดอาวุธในหัวของเรา
กอนที่จะติดอาวุธใหแกมือของเรา”110
แตในความเห็นของผมนั้นสิ่งที่กอรกี้อยากใหไดจากอานวรรณกรรมเรื่องนี้ของเขามากที่สุดคือ การเติม
ไฟแหงการตอสูกับระบบการปกครองที่ฉอฉลในใจของผูอาน เห็นไดจากตอบจบที่แมพวกของพาเวลจะถูกจับ
จากการเดินขบวนแตการเดินขบวนของพวกเขาก็ปลุกจิตสํานึกในการตอสูของคนงาน และกอรกี้ตองการที่จะ
สอนคนงานในรัสเซียวาการปฏิวัติไมสามารถจะสําเร็จไดดวยคนไมกี่คน แตตองเกิดจากความสามัคคีของชนชั้น
แรงงานที่จะทําการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม ถึงแมการปฏิวัติจะเริ่มตนดวยพายแพแตความพายแพนี้แหละที่จะจุด
ประกายใหคนงานทั้งโลกทําการปฏิวัติ
สุดทายนี้ผมก็แอบคิดวาการที่กอรกี้เขียนเรื่อง “แม” ขึ้นมา ที่เนนหนักไปในความรักของแม แตกลับพูด
ถึงบทบาทของ “พอ” นอยมากและเปนบทบาทพอที่ไมดีดวย เขาอาจตองการสื่อวาในเมื่อ “พอ”ของรัสเซียไม
สามารถทําหนาที่ดี ขมเหงรังแกลูก ดังนั้น “ลูก”ชาวรัสเซียจึงควรโนลม “พอ” และเชิดชู “แม” ซึ่งหมายถึง
ระบอบสังคมนิยมปกครองแทน เพราะผูเปน “แม” มีทั้งความรักที่ยิ่งใหญที่เปนสากล เพียงแตในตอนแรก “แม”
อาจจะออนแอหนอยแตก็ขอให “ลูกๆทุกคน” ชวยกันดูแลและปกปอง “แม”จากการรังแกของ “พอ” กอน
109
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล , การปฏิวัติรัสเซีย: บันทึกเพื่อการบรรยาย(กรุงเทพฯ, 2548) หนา 1
110
แมกซิม กอรกี้ ,แมแปลโดย ศรีบูรพา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516)หนา 308
บรรณานุกรม
หนังสือภาษาไทย
แมกซิม กอรกี้, มหาวิทยาลัยของฉัน แปลโดยชาลีมาน-คําเพลิง (กรุงเทพฯ:เจริญวิทยการพิมพ , 2518)
แมกซิม กอรกี้ , แม แปลโดย ศรีบูรพา (กรุงเทพฯ, บพิธ, 2516)
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล , การปฏิวัติรัสเซีย: บันทึกเพื่อการบรรยาย (กรุงเทพฯ, 2548)
อนันตชัย เลาหะพันธุ, สัญชัย สุวังบุตร , รัสเซียสมัยซารและสังคมนิยม (กรุงเทพ ฯ: ศักดิโสภาการพิมพ, 2548)
อเล็กซานเดอร, รอสคิน จากลุมแมน้ําโวลกา:ชีวประวัติของแมกซิม กอรกี้ แปลโดย อรุณ ชัยโรจน(พิมพครั้งที่ 2
กรุงเทพฯ : เจริญวิทยการพิมพ, 2517)
หนังสือภาษาอังกฤษ
Hobsbawm, Eric John Ernest, The age of empire, 1875-1914 (1st. Vintage Books ed. New York : Vintage,
1989.)
Internet
http://en.wikipedia.org/wiki/Maxim_Gorky