Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 1
บทนำ
การเกิ ดฟ้ าผ่าเป็ นเรื่ องที่อยู่เหนื อการควบคุ มของมนุ ษย์ ดังนั้นจึงจาเป็ นต้องมี ระบบป้ องกัน
ฟ้ าผ่าอาคารที่ สมบูรณ์ ซึ่ งประกอบด้วยระบบป้ องกันฟ้ าผ่าภายนอก และระบบป้ องกันฟ้ าผ่าภายใน
ระบบป้ องกันฟ้ าผ่าภายนอกประกอบด้วยตัวนาล่ อฟ้ า ตัวนาลงดิ น และรากสายดิ น ที่ เห็ นกันทัว่ ไป
ระบบป้ องกันฟ้ าผ่าภายนอกนี้ มีไว้เพื่อป้ องกันไม่ให้เกิ ดเพลิงไหม้อาคารเนื่ องจากฟ้ าผ่า แต่ไม่ได้มีไว้
เพื่อป้ องกันอุปกรณ์ไฟฟ้ าที่มีอยูภ่ ายในอาคารไม่ให้เกิดความเสี ยหายเนื่ องจากฟ้ าผ่า ระบบป้ องกันฟ้ าผ่า
ภายในประกอบด้วยการต่อลงดิ นที่ สมบูรณ์ การประสานให้ศกั ย์เท่ากันของระบบต่างๆไม่ว่าจะเป็ น
ระบบไฟฟ้ า สื่ อสาร ท่อน้ า ท่อก๊าซ นอกจากนี้ ระบบป้ องกันฟ้ าผ่าภายในยังรวมถึ งการติดตั้งอุปกรณ์
ป้ องกันเสิ ร์จ (Surge Protection Devices) ที่ใช้สาหรับป้ องกันอุปกรณ์ไฟฟ้ าในอาคาร
1.2 วัตถุประสงค์
1.3 ขอบเขตของโครงกำร
ขอบเขตของการค้นคว้าพัฒนาให้โครงงานมีดงั ต่อไปนี้
(1) ตรวจสอบระบบป้ องกันฟ้ าผ่าอาคารมหาวิทยาลัยศรี ปทุม
(2) พัฒนาซอฟต์แวร์ สาหรับวิเคราะห์และประเมินความเสี่ ยงของสิ่ งปลูกสร้าง ระบบอาคาร
และผูใ้ ช้อาคาร
(3) วิเคราะห์และประเมินความเสี่ ยงระบบป้ องกันฟ้ าผ่าต่ออาคาร ระบบอาคาร และบุคคลผูใ้ ช้
อาคาร
3
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการทาโครงงานในครั้งนี้ได้แก่
(1) นักศึกษามีความรู้ความสามารถในการประเมินความเสี่ ยงของระบบป้ องกันฟ้ าผ่าได้
(2) นักศึกษามีความรู้ความสามารถในการตรวจสอบระบบป้ องกันฟ้ าผ่าภายนอกอาคารได้
(3) นักศึกษามีความรู้ความสามารถในการตรวจสอบระบบป้ องกันฟ้ าผ่าภายในอาคารได้
(4) นักศึกษามีความรู้ความสามารถในการนาซอฟต์แวร์มาจาลองการประเมินความเสี่ ยงได้จริ ง
(5) มหาวิทยาลัยได้รู้รับทราบเรื่ องความเสี่ ยงจากการเกิดฟ้ าผ่าของอาคารเรี ยน
4
บทที่ 2
ทฤษฏีและหลักกำรที่เกีย่ วข้ อง
ฟ้ าผ่า เป็ นปรากฎการณ์ ทางธรรมชาติ ซึ่ ง เป็ นการดิ ส ชาร์ จกระแสสู ง ตามเส้ นทางฟ้ าผ่า ใน
ช่วงเวลาสั้นๆ โดยเกิดขึ้นได้ 4 ลักษณะคือ
(1) การเกิดดิสชาร์ จในก้อนเมฆ (Intra cloud)
(2) การเกิดดิสชาร์ จระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน (Cloud to ground)
(3) การเกิดดิสชาร์ จระหว่างก้อนเมฆที่แรงดันไฟฟ้ าต่างกัน (Cloud to cloud)
(4) การเกิดดิสชาร์ จระหว่างก้อนเมฆกับอากาศ (Cloud to air)
2.2 อันตรำยจำกฟ้ำผ่ ำ
2.3.1 ระบบตัวนำล่อฟ้ำ
วัตถุประสงค์ในการออกแบบตัวนาล่อฟ้ าที่ถูกต้อง คือ เพื่อลดโอกาสของลาฟ้ าผ่าที่ทะลุบริ เวณ
ป้ องกัน อาจจะประกอบร่ วมกันของสิ่ งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
(1) แท่งตัวนา (Rods) เรี ยกว่า หลักล่ อฟ้ าหรื อเสาล่ อฟ้ า มี ลกั ษณะเป็ นหลัก หรื อเสาโลหะที่
ติดตั้งมีความสู งเหนื ออาคาร หรื อติดตั้งบนส่ วนที่สูงที่สุดของอาคารเพื่อให้มีพ้ืนที่ป้องกันกว้าง เหมาะ
สาหรับอาคารที่มีลกั ษณะไม่ซบั ซ้อน ที่ปลายเสาล่อฟ้ ามักจะทาให้มีรูปร่ างแหลมคมเพื่อเพิ่มความเข้ม
ของสนามไฟฟ้ า เพื่อช่วยเพิ่มประสิ ทธิ ภาพในการล่อฟ้ าให้สูงขึ้นนั้นเอง
6
วิธีการป้ องกัน
ระดับการ กระแสค่ายอด รัศมีทรงกลมกลิ้ง ขนาดตาข่าย มุมป้ องกัน
ป้ องกัน (kA) (m) (m) (α)
1 2.9 20 5×5 ดูจากรู ป
2 5.4 30 10 × 10 ด้านล่าง
3 10.1 45 15 × 15
4 15.7 60 20 × 20
2.3.2 ระบบตัวนำลงดิน
ทาหน้าที่นากระแสฟ้ าผ่าจากตัวนาล่อฟ้ าลงในพื้นดิน การติดตั้งตัวนาลงดินต้องพยายามจัดให้
มีเส้นทางไหลของกระแสหลายชุด ให้มีความยาวของเส้นทางที่กระแสไหลสั้นที่สุด และตรงที่สุด และ
ควรทาการประสานศักย์เท่ากันนี้ ควรทาที่ทุกๆระยะสู งไม่เกิ น 20 เมตร ระบบตัวนาลงดิ นแบ่งการ
ติดตั้งออกเป็ น 2 แบบ คือ
(1) ระบบตัวนาลงดินแบบแยกอิสระ หมายถึง ตัวนาลงดินที่เดินลงมาตามผนังอาคาร โดยเดิน
บนวัสดุที่เป็ นฉนวน เช่ น อิฐ ไม้ เป็ นต้น และไม่มีการเชื่ อมต่อกับส่ วนที่เป็ นตัวนาของอาคารและเมื่อ
เดินถึงดินจะมีการเชื่อมต่อตัวนาลงดินนี้เข้าด้วยกันที่ระดับพื้นดินเท่านั้น
(2) ระบบตัวนาลงดินแบบไม่อิสระ หมายถึง สิ่ งปลูกสร้างที่มีตวั นาจานวนมาก โดยปกติจะฝัง
ในผนังหรื อกาแพงและในหลังคาของอาคาร โดยเฉพาะอาคารที่มีโครงสร้ างเป็ นเหล็กหรื อคอนกรี ต
เสริ มเหล็ก ตัวนาลงดิ นจะต่อเข้า สิ่ งปลู กสร้ างส่ วนที่ เป็ นตัวนาหลายจุ ด ทาให้ส่วนที่ เป็ นตัวนาของ
อาคารทาหน้าที่เป็ นตัวนาลงดินด้ว ย ลักษณะนี้ จะเป็ นการประสานศักย์ให้เท่ากันและเมื่อเกิ ดฟ้ าผ่าจะ
สามารถลดแรงดันไฟฟ้ าและลดการเหนี่ยวนาของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าภายในอาคารได้
2.3.3 ระบบรำกสำยดิน
มีวตั ถุ ประสงค์เพื่อกระจายกระแสฟ้ าผ่าลงดิ น โดยไม่เกิ ดกระแสไฟฟ้ าเกิ นจนเป็ นอันตราย
ระบบรากสายดินอาจมีลกั ษณะหลายแบบตามความเหมาะสม คือ แบบวงแหวน แบบแนวดิ่ง แบบรัศมี
8
2.5 ควำมเสี่ ยง
ระบุสิ่งปลูกสร้างที่จะป้ องกัน
คานวณ
ติดตั้งมาตรการป้ องกันที่เหมาะสมให้พอเพียง
เพื่อลดความเสี่ ยง R
โดยที่
NX คือ จานวนของเหตุการณ์อนั ตรายต่อปี (ดูจากภาคผนวก ก)
16
2.7.5 กำรประเมินองค์ ประกอบควำมเสี่ ยงเนื่องจำกวำบฟ้ำผ่ ำใกล้ สำยทีต่ ่ อเข้ ำกับสิ่ งปลูกสร้ ำง (S4)
การประเมินองค์ประกอบความเสี่ ยงเนื่ องจากวาบฟ้ าผ่าใกล้สายที่ต่อเข้ากับสิ่ งปลูกสร้าง ให้ใช้
ความสัมพันธ์ดงั นี้
- องค์ประกอบที่สัมพันธ์กบั ความล้มเหลวของระบบภายใน (D3)
RZ = (NI – NL) × PZ× LZ
พารามิเตอร์ ที่ใช้ประเมินองค์ประกอบความเสี่ ยงเหล่านี้ แสดงไว้ในตารางที่ 2.2
18
S2 D3
S3 D1 D2
D2 D3
D3
S4 D3 D3
20
บทที่ 3
รากสายดินหม้อแปลงไฟฟ้ า ความต้านทานรากสายดินหม้อแปลงไฟฟ้ า
RB = 0.35 × 10-5
3.1.1.3 ค่ ำควำมเสี่ ยงทีท่ ำให้ เกิด ควำมล้มเหลวของระบบไฟฟ้ำ และอิเล็กทรอนิกส์ ที่
เกิดจำกวำบฟ้ำผ่ ำลงสิ่ งปลูกสร้ ำง (RC)
หาได้จากสมการ
RC = ND × PC × Lo
เมื่อ
PC คือ ความน่าจะเป็ นที่วาบฟ้ าผ่าลงสิ่ งปลูกสร้างจะทาให้เกิดความล้มเหลว
ของระบบภายใน ค่าเท่ากับ 1 (ภาคผนวก ข.3)
Lo คือ การสู ญเสี ยทางเศรษฐศาสตร์ สามารถกาหนดในรู ปของปริ มาณ
สัมพัทธ์ ของการ สู ญเสี ยที่เป็ นไปได้ ค่าเท่ากับ 1×10-3 (ภาคผนวก ค.
7)
เมื่อ
Ad/a คือ พื้นที่รับฟ้ าผ่าของสิ่ งปลูกสร้าง (m2) (ดูรูปที่ ก.1)
Ad/b = 59 × 14 + (6 × 56) (59 + 14)+ π(3 × 56)2
Ad/b = 114,022 ตารางเมตร
Cd/a คือ ตัวประกอบตาแหน่งที่ต้ งั ของสิ่ งปลูกสร้างมีค่าเท่ากับ 0.5
(ภาคผนวก ก.2)
Ct คือ ตัวประกอบการแก้ กรณี มีหม้อแปลงไฟฟ้ า HV/LV บนระบบ
สาธารณูปโภคที่ต่อกับสิ่ งปลูกสร้าง โดยหม้อแปลงตั้งอยูร่ ะหว่างจุด
ฟ้ าผ่ากับสิ่ งปลูกสร้าง (ภาคผนวก ก.4) ตัวประกอบนี้ใช้กบั ส่ วนของ
สายที่อยูต่ น้ ทางจากหม้อแปลงไฟฟ้ าเมื่อเทียบกับสิ่ งปลูกสร้าง มีค่า
เท่ากับ 1
ดังนั้นจานวนเฉลี่ยรายปี ของเหตุการณ์อนั ตราย เนื่องจากวาบฟ้ าผ่าลง สิ่ งปลูก ส ร้ า ง ที่
อยูป่ ลาย “a” ของสายมีค่าเท่ากับ
NDa = Ng × Ad/a × Cd/a × Ct × 10-6
NDa = 9.9 ×114,022 ×0.5 × 1 × 10-6
NDa = 0.564
PU คือ ความน่าจะเป็ นที่วาบฟ้ าผ่าลงระบบสาธารณูปโภคจะทาให้เกิดการ
บาดเจ็บของสิ่ งมีชีวติ มีค่าเท่ากับ 0.2 (ภาคผนวก ข.6)
ru คือ ตัวประกอบลดการสู ญเสี ยของชีวติ มนุษย์ ขึ้นอยูก่ บั ชนิดของพื้น มีค่า
เท่ากับ 1×10-2 (ภาคผนวก ค.2)
Lt คือ การสู ญเสี ยของชีวติ มนุษย์ อาจกาหนดในรู ปของจานวนสัมพัทธ์ของ
ผูเ้ คราะห์ร้าย มีค่าเท่ากับ 1×10-4 (ภาคผนวก ค.1)
35
เมื่อ
NI คือ จานวนเฉลี่ยรายปี ของหตุการณ์อนั ตรายเนื่องจากวาบฟ้ าผ่าใกล้ระบบ
สาธารณูปโภคจากสมการ
NI = Ng × Ai × Ce × Ct × 10-6
Ai คือ พื้นที่รับฟ้ าผ่ากรณี วาบฟ้ าผ่าลงดินใกล้ระบบสาธารณูปโภค
Ai = 25 × Lc × √ρ
37
Ai = 25 × 300 × √38
Ai = 46,233 ตารางเมตร
Ce คือ ตัวประกอบสภาพสิ่ งแวดล้อม มีค่าเท่ากับ 0 (ภาคผนวก ก.5)
Ct คือ ตัวประกอบการแก้ กรณี มีหม้อแปลงไฟฟ้ า HV/LV บนระบบ
สาธารณูปโภคที่ต่อกับสิ่ งปลูกสร้าง โดยหม้อแปลงตั้งอยูร่ ะหว่างจุด
ฟ้ าผ่ากับสิ่ งปลูกสร้าง (ภาคผนวก ก.4) ตัวประกอบนี้ใช้กบั ส่ วนของ
สายที่อยูต่ น้ ทางจากหม้อแปลงไฟฟ้ าเมื่อเทียบกับสิ่ งปลูกสร้าง มีค่า
เท่ากับ 1
ดัง นั้ น จ านวนเฉลี่ ย รายปี ของเหตุ ก ารณ์ อ ัน ตรายเนื่ อ งจากวาบฟ้ าผ่ า ใกล้ร ะบบ
สาธารณูปโภคเท่ากับ
NI = Ng × Ai × Ce × Ct × 10-6
NI = 9.9 × 46,233 × 0 × 1 × 10-6
NI = 0
NL คือ จานวนเฉลี่ยรายปี ของเหตุการณ์อนั ตรายเนื่ องจากวาบฟ้ าผ่าลงระบบ
สาธารณูปโภคระบบสาธารณูปโภคที่มีส่วนเดียวอาจประเมินค่าจาก
สมการ
NL = Ng × Al × Cd × Ct × 10-6
เมื่อ
Al คือ พื้นที่รับฟ้ าผ่าของวาบฟ้ าผ่าลงระบบสาธารณูปโภค (m2)
(ภาคผนวก ก.3 และรู ปที่ ก.5)
Al =√ρ × (Lc – 3(Ha + Hb))
Al = √38 × (300 – 3 × (12 + 56))
Al = 128,158 ตารางเมตร
Cd คือ ตัวประกอบตาแหน่งที่ต้ งั ของระบบสาธารณูปโภค มีค่าเท่ากับ 0.5
(ภาคผนวก ก.2)
Ct คือ ตัวประกอบการแก้ กรณี มีหม้อแปลงไฟฟ้ า HV/LV บนระบบ
สาธารณูปโภคที่ต่อกับสิ่ งปลูกสร้าง โดยหม้อแปลงตั้งอยูร่ ะหว่างจุด
ฟ้ าผ่ากับสิ่ งปลูกสร้าง (ภาคผนวก ก.4) ตัวประกอบนี้ใช้กบั ส่ วนของ
38
ลักษณะของอาคาร เป็ น อาคารเรี ยน กว้าง 32.75 เมตร ยาว 47 เมตร สู ง 58 เมตรภายในเป็ นพื้น
หิ นอ่อน ตั้งอยู่บนพื้นราบ ในเมื องที่ มีอาคารสู งและมี ตน้ ไม้ใหญ่อยู่บริ เวณใกล้เคี ยง มีระบบป้ องกัน
ฟ้ าผ่า อยูใ่ นระดับ 2 โดยใช้แบบแท่งตัวนา (Rods) ซึ่ งบริ เวณดังกล่าวมีอาคาร 9 ที่มีขนาด กว้าง 48 เมตร
ยาว 46.5 เมตร สู ง 55 เมตร อยูใ่ กล้เคียง แสดงแผนผังชั้นดาดฟ้ า ดังรู ปที่ 3.3
ระบบสาธารณูปโภคที่เข้าสู่ อาคาร ประกอบด้วย ระบบไฟฟ้ าที่เดินแบบฝังดินโดยมีหม้อแปลง
ขนาด 1600 kVA 3 เฟส ชนิด Dry Type จานวน 2 ชุด ติดตั้งอยูภ่ ายในอาคาร และระบบโทรคมนาคมที่
เดินใน ช่องชาร์ ป (Shaft) สายไฟฟ้ าแรงสู ง ขนาด 50 Sq.mm. โดยมีค่า Rs =0.822 Ohm/km
ความหนาแน่นของวาบฟ้ าผ่าในบริ เวณดังกล่าวมีค่า 99 ครั้ง ต่อตารางกิโลเมตรต่อปี (ข้อมูล
จากกรมอุตุนิยมวิทยา ดูจากภาคผนวก ง) และดินบริ เวณนั้นมีค่าความต้านทานจาเพาะของดินเท่ากับ 38
39
ÃÙ»´ éÒ¹ ˹ éÒ
บทที่ 4
บทที่ 5
สรุปผลของโครงงำนและข้ อเสนอแนะ
ในบทนี้ จะกล่ า วถึ ง การสรุ ป การประเมิ น ความเสี่ ย งของระบบป้ องกัน ฟ้ าผ่ า อาคารของ
มหาวิทยาลัยศรี ปทุม จากผลลัพธ์ที่ได้จากการคานวณค่าความเสี่ ยงของแต่ละอาคาร ซึ่ งจะแบ่งออกตาม
ผลความเสี่ ยงตามชนิดแบบของความเสี ยหาย และแนวทางการแก้ไขของสาเหตุที่ได้ค่าความเสี่ ยงเกิ น
กว่า มาตรฐานตามที่ วสท. ซึ่งได้กาหนดไว้ ดังต่อไปนี้
5.1.2 แนวทำงกำรแก้ไข
(1) ควรติดตั้งระบบป้ องกันเสิ ร์จของระบบป้ องฟ้ าผ่าภายในอาคารให้ได้ตามมาตรฐาน
(2) ควรตรวจสอบระบบป้ องกันไฟฟ้ าภายนอกอาคารว่ายังใช้งานได้หรื อไม่และมีค่าความ
ต้านทานจาเพาะของระบบได้ตามมาตรฐาน
(3) ควรมีการตรวจสอบระบบป้ องกันฟ้ าผ่าทั้งภายใน และภายนอกอาคารอย่างน้อยปี ละครั้ง
เพื่อความปลอดภัยของบุคคลที่ใช้อาคารและระบบภายในอาคารให้มีความปลอดภัยมาก
ยิง่ ขึ้น
62
5.2.2 แนวทำงกำรแก้ไข
(1) ควรติดตั้งระบบป้ องกันเสิ ร์จของระบบป้ องฟ้ าผ่าภายในอาคารให้ได้ตามมาตรฐาน
(2) ควรตรวจสอบระบบป้ องกันไฟฟ้ าภายนอกอาคารว่ายังใช้งานได้หรื อไม่ และมีค่าความ
ต้านทานจาเพาะของระบบได้ตามมาตรฐาน
(3) ความมีการตรวจสอบระบบป้ องกันฟ้ าผ่าทั้งภายในและภายนอกอาคารอย่างปี ละครั้ง เพื่อ
ความปลอดภัยของบุคคลที่ใช้อาคารและระบบภายในอาคารให้มีความปลอดภัยมากยิง่ ขึ้น
63
5.3.2 แนวทำงกำรแก้ไข
(1) ควรติดตั้งระบบป้ องกันเสิ ร์จของระบบป้ องฟ้ าผ่าภายในอาคารให้ได้ตามมาตรฐาน
(2) ควรดาเนินการติดตั้งระบบป้ องกันฟ้ าผ่าภายนอกอาคารอย่างเร่ งด่วน เนื่องจากอาจทาให้
เกิดอันตรายขึ้นกับผูใ้ ช้อาคารได้
64
5.4.2 แนวทำงกำรแก้ไข
(1) ควรติดตั้งระบบป้ องกันเสิ ร์จของระบบป้ องฟ้ าผ่าภายในอาคารให้ได้ตามมาตรฐาน
(2) ควรตรวจสอบระบบป้ องกันไฟฟ้ าภายนอกอาคารว่ายังใช้งานได้หรื อไม่ และมีค่าความ
ต้านทานจาเพาะของระบบได้ตามมาตรฐาน
(3) ความมีการตรวจสอบระบบป้ องกันฟ้ าผ่าทั้งภายในและภายนอกอาคารอย่างปี ละครั้ง เพื่อ
ความปลอดภัยของบุคคลที่ใช้อาคารและระบบภายในอาคารให้มีความปลอดภัยมากยิง่ ขึ้น