You are on page 1of 3

สส.

052/2556
การปลูกอินทผลัม สไตล์ไทยไทย
"อินทผลัม" เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ทุกวันนี้ประเทศไทยส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ขณะที่ในประเทศก็ยังไม่เพียงพอต่อ
การจาหน่าย อินทผลัมสายพันธุ์ไทยแห่งแรกในประเทศไทย มีชื่อว่า "พันธุ์ KL1" เป็นผลงานการผสมพันธุ์ของนายศัก ดิ์ ลาจวน
หรือที่รู้จักกันในนาม "สวนโกหลัก" อาเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสวนนี้ถือได้ว่าเป็นสวนอินทผลัมแห่งแรกในประเทศ
ไทย ที่ได้พัฒนาคิดค้นจนได้อินทผลัมคุณภาพดีส่งออกต่างประเทศ ซึ่งกว่าจะได้พันธุ์ไทยนี้ต้องใช้เวลานานกว่าจะผสมพันธุ์ได้ให้
สายพันธุ์ที่แน่นอนและคงที่ โดยสายพันธุ์นี้ให้ผลผลิตในระยะเวลาเพียง 3 ปี และบางพื้นที่ 1-2 ปีก็เริ่มให้ผล แต่ในต่างประเทศ
จะต้องใช้เวลานานถึง 7 ปี

การขยายพันธุ์อินทผลัมสามารถทาได้ 3 วิธี คือ เพาะจากเมล็ด แยก


หน่อจากต้นแม่ และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การขยายพันธุ์จากเมล็ด จะมี
ข้อดีคือ ขยายพันธุ์ปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว โดยมีต้นทุนในระยะแรกตา
กว่าวิธีอืน แต่เนืองจากอินทผลัมเป็นพืชทีไม่สมบูรณ์เพศ การขยายพันธุ์โดย
เมล็ด โอกาสทีจะได้เป็นต้นตัวผู้และต้นตัวเมียมีอย่างละครึง และเราจะไม่
สามารถทราบเพศของต้นอินทผลั มจากการเพาะเมล็ ด ต้องปลู กไว้และรอ
จนกว่าอินทผลัมจะออกดอกก่อนจึงจะทราบเพศ และถึงแม้ว่าเราจะได้ต้นตัว
เมียไปปลู ก แต่คุ ณภาพผลอิ นทผลั มก็จะไม่เหมือนกับต้น แม่ เนืองจากผล
อินทผลัมเป็นผลทีได้จากการผสมเกสรข้ามต้น จึงถือว่าเมล็ดทีได้เป็นพันธุ์
ลูกผสมไม่ใช่พันธุ์แท้ ซึงไม่สามารถเรียกชือเดียวกับต้นแม่ได้ เราจึงสามารถตั้ง
ชือพันธุ์อินทผลัมทีเพาะจากเมล็ดได้เอง ทั้งนี้คุณภาพของผลอินทผลัม ทั้งในเรืองของขนาดหรือรสชาติอาจจะแย่ลง หรือใกล้เคียงต้นแม่
พันธุ์เดิม หรือดีขึ้นก็ได้ แต่มีเพียงส่วนน้อยมากทีคุณภาพจะดีขึ้น ดังนั้นการปลูกด้วยวิธีนี้ เหมาะสาหรับผู้ทีสนใจทดลองปลูกทีมีเงิน
ลงทุนไม่มากนักก็ส ามารถทีจะซื้อผลอินทผลัมมาจากตลาดทัวไป ทั้งแบบกินผลสดและผลแห้ ง เมล็ดทีได้หลังจากการบริโภคแล้ ว
สามารถนาไปเพาะเป็นต้นกล้าเพือเพาะปลูกได้ สาหรับต้นกล้าทีเพาะจาก
เมล็ดควรจะเพาะเลี้ยงไว้ในถุงดาจนกว่าจะออกใบขนนกประมาณ 3 - 4 ใบ
ขึ้นไป หรือต้นกล้ามีอายุประมาณ 1 ปี เพือให้มีโอกาสรอดเกือบ 100% เมือ
ปลูกลงแปลงปลูก
วิธีที 2 คือการขยายพันธุ์โดยแยกหน่ออินทผลัมจากต้นแม่ วิธีนี้เป็น
การขยาย พันธุ์ทีเราจะได้พันธุ์แท้ ต้นกล้าทีได้จะมีคุณสมบัติเหมือนต้นแม่ทุก
ประการ แต่ ต้ น แม่ พั น ธุ์ จ ะมี ค วามสามารถในการให้ ห น่ อ ได้ เ พี ย งเฉลี ย
ประมาณ 20 หน่อต่อต้นตลอดอายุเท่านั้น เราจึงไม่สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธี
นี้ในปริมาณมากๆอย่างรวดเร็วได้
ปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่มีการจาหน่ายหน่อพันธุ์อินทผลัมในเชิงพาณิชย์ และหากจะสังหน่อพันธุ์มาจากต่ างประเทศจะมี
ราคาสูงมาก โดยราคาหน่อพันธุ์จะมีราคาสูงกว่าต้นกล้าทีได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยือ ทาให้หากสังซื้อหน่อต้นพันธุ์มาปลูกแล้ว การ
ลงทุนด้วยวิธีนี้ในระยะแรกจะสูงทีสุด วิธีนี้จึงเหมาะกับสวนทีมีต้นเมล็ดพันธุ์อินทผลัมทีดีอยู่แล้ว และต้องการขยายการเพาะปลูก
อินทผลัมออกไป
วิธีการสุดท้ายคือการเพาะเลี้ยงเนื้อเยือ จะได้ต้นอินทผลัมทีมีคุณสมบัติเหมือนต้นแม่พันธุ์ทุกประการ ผลผลิตทีได้มีคุณภาพสูง
และสมาเสมอ สามารถขยายพันธุ์ได้ปริมาณมากและรวดเร็วเหมาะสาหรับการปลูกในเชิงพาณิชย์ แต่ต้องใช้เงินลงทุนมากกว่าการปลูก
ด้วยเมล็ด ปัจจุบันการปลูกในเชิงพาณิชย์ของต่างประเทศจะนิยมวิธีนี้ เนืองจากสามารถบริหารจัดการแปลงปลูกได้ดีกว่า ผลผลิตทีได้มี
คุณภาพดีและสมาเสมอ และให้ผลผลิตได้เร็ว สามารถปลูกได้ปริมาณมากตามต้องการและทุกฤดูกาล ให้ผลผลิตทีมีคุณภาพสูงใน
ระยะเวลาสั้น สาหรับในประเทศไทยในขณะนี้ ยังไม่สามารถผลิตต้นกล้าอินทผลัมเพาะเลี้ยงเนื้อเยือได้
การปลูกและดูแลรักษาอินทผลัม
การปลูกอินทผลัมมีข้อคิดอยู่ว่า ควรเลือกพื้นทีทีมีแดดจัด ไม่มี
น้ าขั ง แฉะ แต่ มี ป ริ ม าณน้ าอย่ า งพอเพี ย ง เพื อให้ มี ก ารให้ น้ าอย่ า ง
สมาเสมอ เมือเลือกพื้นทีได้แล้ว จึงเริมเตรียมดินจากการขุดหลุมขนาด
50x50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ต้นทีนาลงปลูก
ไม่ควรให้ลงลึกใต้ดินมากนัก โคนต้นสูงจากพื้นดินประมาณ 1 ฝ่ามือ จะ
ช่วยให้ต้นโตเร็วขึ้น ระยะปลูกระหว่างต้นและระหว่างแถวประมาณ 8x8
เมตร หรือ 8x7 เมตร พื้นที 1 ไร่ จะปลูกได้ 25-30 ต้น หลังจากปลูก
ควรให้น้าประมาณ 7 วัน ต่อครั้ง การใส่ปุ๋ยควรใช้ปุ๋ยคอกปีละ 2 ครั้ง
ครั้งละ 5 กิโลกรัม ต่อต้น พร้อมกับการพรวนดินและกาจัดวัชพืช ควรมี
การตั ดแต่ ง ใบที แก่ทิ้ ง เพือให้ ทรงต้ น สะอาด ไม่ มีแ มลงรบกวน และ
สะดวกในการปฏิบัติงาน
ในระยะทีผลเริมโตแล้ว ควรสังเกตน้าหนักของทะลาย ทางทีดีควรใช้
เชือกหรือยางในรถจักรยานยนต์ มัดทะลายกับลาต้นเพือป้องกันการฉีกขาด
และจะทาได้สะดวกกว่ารอให้ผลสุกหรือมีปริมาณมากเกินไป ขณะทีผลเริมสุก
ควรใช้กระดาษสีน้าตาลคลุมทั้งทะลาย เพือป้องกันศัตรู เช่น นก ค้างคาว และ
ยังเป็นการช่วยให้สีของผลอินทผลัมสีเหลืองสวยงาม และช่วยป้องกันรอยขีด
ข่วนทีเกิดจากใบของอินทผลัมถูกลมพัด ทาให้ผลเป็นรอยแผล ไม่สวยงาม และ
อาจจะเน่าเสียได้

วิธีการเก็บเกี่ยวและรักษาผลผลิต
ต้นอินทผลัมทีเริมปลูกจะให้ผลผลิตเมืออายุประมาณ 3 ปีขึ้นไป ขึ้นกับสภาพดินและการดูแลรักษา ลักษณะของผลจะกลมรี
ออกผลเป็นพวงหรือเป็นทะลาย การพัฒนาของผลจะมี 4 ระยะ คือ ระยะทีผลดิบ ระยะผลสมบูรณ์เต็มที ระยะผลสุกแก่ และระยะผล
แห้ง
การเก็บเกียวสังเกตทีสีของผล คือ จะมีสีเหลืองเข้มมากหรือมีผลสุก 5-10%
จึงทยอยเก็บเกียวไปได้เรือยๆ แล้วแต่ทะลายทีสุกหรือแก่จัด ระยะเวลาทีอินทผลัมออก
ดอกจนถึงเก็บเกียวประมาณ 7-8 เดือน เมือเก็บเกียวผลอินทผลัมทีผลสุกแก่แล้ว ควร
เก็บไว้ในตู้เย็นทีอุณหภูมิประมาณ 8 องศาเซลเซียส จะสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 1 ปี
การผสมเกสรอินทผลัม
การปลู ก อิ น ทผลั ม ให้ ป ระสบความส าเร็ จ นอกจากการคั ด เลื อ กพื้ น ที ให้
เหมาะสมแล้ว สิงทีสาคัญอีกประการหนึงคือ การผสมเกสร เนืองจากอินทผลัมเป็นพืชที
มีเกสรตัวเมียและเกสรตัวผู้อยู่คนละต้นกัน เรียกง่ายๆ ว่า ต้นเพศผู้และต้นเพศเมีย หากปล่อยให้ผสมกันเองตามธรรมชาติทีเกิดขึ้นโดย
ลมหรือแมลงนั้น จะทาให้ได้ผลผลิตน้อยและไม่สมบูรณ์เต็มที ดังนั้น การช่วยผสมเกสรให้ได้ผลผลิตมากนั้นจะต้องใช้เทคนิคช่วยในการ
ผสมเกสร
วิธีการเก็บเกสรตัวผู้ของอินทผาลัม
จะต้องเก็บเกสรเพศผู้สารองไว้ก่อน ในระยะออกดอกให้สังเกตจันที
แทงออกมา เมือจันแตกจะเห็นดอกข้างใน เป็นดอกทีมีกลีบดอกเป็นแฉกคล้าย
หางกระรอก ใช้ถุงพลาสติคคลุมยอดดอกทั้งหมด แล้วเขย่าเพือให้ละอองเกสร
ดอกตัวผู้หล่นอยู่ในถุง จากนั้นจึงไล่อากาศภายในถุงออกให้หมด ปิดปากถุงให้
แน่นแล้วนาไปเก็บไว้ในตู้เย็นเพือรอเวลานาไปผสมกับเกสรตัวเมีย
การผสมเกสรตัวเมียของอินทผลัม
ต้นตัวเมียจะออกจันเหมือนเพศผู้ แต่เวลาจันแตกดอกของดอกตัวเมีย
จะมีดอกเป็นช่อเม็ดกลมๆ เมือจันเริมแตกให้นาละอองเกสรตัวผู้ทีเก็บสารอง
ไว้ในตู้เย็นนั้นมาผสมกับเกสรตัวเมีย ใช้เกสรตัวผู้ใส่ในถุงพลาสติก ประมาณ 1/3 ช้อนชา ต่อ 1 ช่อดอกตัวเมีย ใช้เกสรตัวผู้ทีแยกใส่
ถุงพลาสติกครอบช่อจันตัวเมียแล้วเขย่าให้ละอองเกสรตัวผู้ฟุ้งกระจายและติดกับเกสรตัวเมีย ทาซ้าเช่นนี้ประมาณ 1-2 วัน ก็จะได้
ผลผลิตทีมีคุณภาพและปริมาณมาก ช่วงเวลาทีเหมาะสมในการช่วยผสมนี้ควรเป็นช่วงเช้า เนืองจากเป็นเวลาทีอากาศไม่ร้อนจัดและ
ความชื้นในอากาศมีน้อย

การเก็บรักษาผลผลิต
หากเก็บไว้ในอุณหภูมิประมาณ 8 องศาเซลเซียส สามารถเก็บไว้
ได้ ห ลายเดื อ นถึ ง 1 ปี โดยไม่ ต้ อ งน าไปแช่ อิ ม อี ก ทั้ ง ผลของอิ น ทผลั ม
นอกจากรับประทานสดแล้ว ยังมีคุณสมบัติในการแก้กระหายน้า ลดเสมหะ
ในลาคออีกด้วย
ศูนย์บริการข้อมูลและสารสนเทศ สานักงานเกษตรจังหวัดนราธิวาส
http://www.dailynews.co.th/agriculture/189835,
www.kasetporpeang.com ข้อมูล
วีรพันธุ์ นิลวัตร ข่าว
มีนาคม ๒๕๕๖

You might also like