Professional Documents
Culture Documents
ย้อมผ้าหม้อฮ่อม003
ย้อมผ้าหม้อฮ่อม003
อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
ปริญญานิพนธ์
ของ
ภาวินี อินทวิวฒ
ั น์
ปริญญานิพนธ์
ของ
ภาวินี อินทวิวฒ
ั น์
บทคัดย่อ
ของ
ภาวินี อินทวิวฒ
ั น์
AN ABSTRACT
BY
PAWINEE INTAWIWAT
The purposes of this research are: 1) To study the levels of community participation,
the problems and the obstacles of community participation in conservation of Morhom cloth in
Tambon Tunghong, City District, Phrae Province and 2) To propose the guidelines of community
participation in conservation of Morhom cloth in Tambon Tunghong, City District, Phrae Province.
The samples were 307 people of the population in Moo 6, Tambon Tunghong, City District,
Phrae Province. The research was conducted using two research instruments: 1) The Five-
point Likert scale questionnaires with the reliability rate of 0.81 and 2) the Focus Group Method
which analyzes the quantitative data using Mean, Standard Deviation, t-test for Independent
and One - way ANOVA , and analyzes the qualitative data using the content analysis.
The research finding revealed that:
1. The community participation in conservation of Morhom cloth in Tambon Tunghong
in overall was at the average level with the highest rate of the participation in preservation
aspect, followed by the participation in dissemination aspect and the participation in planning
aspect, respectively
2. No significant differences at the 0.05 level were found in the participation in
conservation of Morhom cloth in Tambon Tunghong according to sex, age, occupation and
duration of dwelling in both overall and each aspect
3. Problems and obstacles in the community participation in conservation of Morhom
cloth in Tambon Tunghong in overall were at high level with the highest rate in the participation
in planning aspect, followed by the participation in dissemination aspect and the participation in
preservation aspect, respectively.
4. The appropriate guidelines to promote the community participation in conservation
of Morhom cloth are: 1) The recognition and the values of Morhom cloth conservation should
be instilled to the community in order to inspire them to preserve the identity of their community.
2) Several trainings should be conducted to provide the knowledge and skills about the
participation in conservation of Morhom cloth by the experts to the community. 3) There should
be the budget allocated for the dissemination and the advertisement of Morhom cloth in both
national and international levels.
ปริญญานิพนธ์
เรือ่ ง
การมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม: กรณีศกึ ษาตําบลทุ่งโฮ้ง
อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
ของ
ภาวินี อินทวิวฒั น์
...................................................................... คณบดีบณ
ั ฑิตวิทยาลัย
(รองศาสตราจารย์ดร.สมชาย สันติวฒ ั นกุล)
วันที.่ .........เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2555
คณะกรรมการควบคุมปริญญานิพนธ์ คณะกรรมการสอบปากเปล่า
................................................... กรรมการ
(ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. รวิเทพ มุสกิ ะปาน)
................................................... กรรมการ
(ดร. ชาติชาย .............................................)
ประกาศคุณูปการ
ภาวินี อินทวิวฒ
ั น์
สารบัญ
บทที่ หน้ า
1 บทนํา …………………………………………………………………………............. 1
ภูมหิ ลัง………………………………..……………………………………..……..... 1
ความมุง่ หมายของการวิจยั ................................................................................. 3
ความสําคัญของการวิจยั ..................................................................................... 3
ขอบเขตของการวิจยั ……………………………..……………………….………… 4
นิยามศัพท์เฉพาะ............................................................................................... 4
กรอบแนวคิดในการวิจยั ..................................................................................... 5
4 ผลการวิ เคราะห์ข้อมูล......................................................................................... 48
บทที่ หน้ า
บรรณานุกรม................................................................................................................... 82
ภาคผนวก........................................................................................................................ 86
ภาคผนวก ก รายนามผูท้ รงคุณวุฒ/ิ ผูเ้ ชีย่ วชาญ …………………………………........... 87
ภาคผนวก ข เครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการวิจยั …………………………………….……………… 89
ตาราง หน้ า
1 โครงสร้างเนื้อหา นําหนัก และจํานวนข้อของระดับการมีสว่ นร่วม
ของชุมชนในการอนุ รกั ษ์ผา้ หม้อห้อ ม …………………….............................. 42
2 โครงสร้างเนื้อหา นําหนัก และจํานวนข้อของระดับปญั หาและอุปสรรค
ในการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม…..…………………… 43
3 จํานวนและร้อยละของผูต้ อบแบบสอบถาม จําแนกตามเพศ อายุ
ระดับการศึกษา อาชีพ และระยะเวลาในการอาศัยอยูใ่ นพืน้ ที่..………............ 49
4 ค่าเฉลีย่ ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน และระดับการมีสวนร่วมของชุมชน
ในการอนุ รกั ษ์ผา้ หม้อห้อมตําบลทุ่งโฮ้ง โดยภาพรวม..……………………….. 51
5 ค่าเฉลีย่ ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน และระดับการมีสวนร่วมของชุมชน
ในการอนุ รกั ษ์ผา้ หม้อห้อม ตําบลทุง่ โฮ้ง ด้านการวางแผน..………………….. 51
6 ค่าเฉลีย่ ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน และระดับการมีสวนร่วมของชุมชน
ในการอนุ รกั ษ์ผา้ หม้อห้อมตําบลทุง่ โฮ้ง ด้านการรักษาธํารงไว้......…………... 52
7 ค่าเฉลีย่ ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน และระดับการมีสวนร่วมของชุมชน
ในการอนุ รกั ษ์ผา้ หม้อห้อมตําบลทุ่งโฮ้ง ด้านการเผยแพร่…….……………… 53
8 ผลการเปรียบเทียบระดับการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์
ผ้าหม้อห้อมตําบลทุ่งโฮ้ง จําแนกตามเพศ…..……………………………........ 55
9 ผลการเปรียบเทียบระดับการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์
ผ้าหม้อห้อมตําบลทุง่ โฮ้ง จําแนกตามอายุ..………………………………….… 55
10 ผลการเปรียบเทียบระดับการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์
ผ้าหม้อห้อมตําบลทุง่ โฮ้ง จําแนกตามระดับการศึกษา..……………………….. 56
11 ผลการเปรียบเทียบระดับการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์
ผ้าหม้อห้อมตําบลทุง่ โฮ้ง จําแนกตามอาชีพ ..………………………….………. 57
12 ผลการเปรียบเทียบระดับการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์
ผ้าหม้อห้อมตําบลทุง่ โฮ้ง จําแนกตามระยะเวลาในการอาศัยในพืน้ ที……..…..
่ 58
13 ค่าเฉลีย่ ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน และระดับปญั หาและอุปสรรคในการมีส่ วนร่วม
ของชุมชนในการอนุ รกั ษ์ผา้ หม้อห้อมตําบลทุ่งโฮ้ง โดยภาพรวม…………….. 59
14 ค่าเฉลีย่ ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน และระดับปญั หาและอุปสรรคในการมีสวนร่วม
ของชุมชนในการอนุ รกั ษ์ผา้ หม้อห้อมตําบลทุ่งโฮ้ง ด้านการวางแผน………… 59
15 ค่าเฉลีย่ ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน และระดับปญั หาและอุปสรรคในการมีส่ วนร่วม
ของชุมชนในการอนุ รกั ษ์ผา้ หม้อห้อมตําบลทุง่ โฮ้ง ด้านการรักษาธํารงไว้ …… 60
16 ค่าเฉลีย่ ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน และระดับปญั หาและอุปสรรคในการมีส่ วนร่วม
ของชุมชนในการอนุ รกั ษ์ผา้ หม้อห้อมตําบลทุ่งโฮ้ง ด้านการเผยแพร่ .............. 61
บทที่ 1
บทนํา
ภูมิหลัง
ผ้า เป็ นวัสดุสาํ หรับทําเครือ่ งนุ่งห่ม นับว่าเป็นปจั จัยทีจ่ าํ เป็นอย่างหนึ่งในการดํารงชีวติ ของ
มนุษย์ควบคูไ่ ปกับอาหาร ยารักษาโรค และทีอ่ ยูอ่ าศัย (สารานุกรมไทยสําหรับเยาวชนเล่ม 21.
2540) การผลิตผ้าเป็ นวัฒนธรรมโบราณทีส่ ตรีมบี ทบาทอย่างยิง่ เพร าะถือเป็นภาระหน้าทีโ่ ดยตรง
เนื่องจากเสือ้ ผ้าเครือ่ งนุ่ งห่มถือเป็ นสิง่ ทีบ่ ่งบอกสถานภาพทางฐานะของผูส้ วมใส่ได้อย่างเด่นชัด อีก
ทัง้ ยังเป็ นเครือ่ งหมายบอกสถานภาพทีแ่ ตกต่างกันโดยเฉพาะสตรีโสด และสตรีทแ่ี ต่งงานแล้ว เป็ น
สัญลักษณ์ของชนเผ่าต่างๆ ลวดลายบนผ้ายังสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความคิดต่อความเป็นไปของ
สภาพสังคมในแต่ละท้องถิน่ (ศูนย์ขอ้ มูลเมืองโบราณ . 2534) นอกจากนัน้ ผ้ายังมีความผูกผัน และ
เกีย่ วโยงกับพิธที างศาสนา และวิถชี วี ติ มานานนับศตวรรษ จนอาจเรียกได้วา่ เป็นมรดกทางสังคม
ซึง่ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็ นมาในอดีต การย้ายถิ่ น โครงสร้างสังคม ระบบการค้า ตลอดจน
แนวความคิดทางนามธรรม ซึง่ กลันกรองมาจากการสั
่ งเกตปรากฏการณ์รอบตัว เปรียบเสมือนเป็น
บันทึกเรือ่ งราวของสังคมโดยสะท้อนความคิดความอ่านของคนทอ (ทรงศักดิ ์ ปรางค์วฒ ั นากุล ; และ
แพทรีเซีย ซีสแมน แน่ นหนา. 2536: 45)
ผ้าพืน้ เมืองของไทย เป็ นผ้าประเภทหนึ่งทีม่ ลี กั ษณะเป็ นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มชนต่างๆ
ทีก่ ระจายอยูห่ ลายท้องถิน่ ในทุกภาคของประเทศ (วิบลู ย์ ลีส้ ุวรรณ. 2530: 34) จึงจัดเป็นงานศิลปะ
ท้องถิน่ ทีส่ ามารถบ่งบอกถึงความรุง่ เรืองของวัฒนธรรมประจําชาติ และความคิดสร้างสรรค์ของคน
ในชาติ เฉกเช่นเดียวกับการทอผ้าหม้อห้อมของชาวไทยพวน ตําบลทุ่งโฮ้ง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
การทําผ้าหม้อห้อมในจังหวัดแพร่ได้สบื ทอดกันมานานกว่า 100 ปี เนื่องจากชาวไทยพวนทีอ่ าศัยอยู่
ในปจั จุบนั นี้ได้อพยพมาจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในแขวงเชียงขวาง
หรือเรียกกันว่าลาวพวน เมือ่ มาอยูใ่ นประเทศไทยจึงเรียกตัวเองว่าไทยพวนมาจนทุกวันนี้ และได้นํา
ความรูเ้ รือ่ งการทําผ้าหม้อห้อมเข้ามาด้วย เมือ่ ประมาณ พ .ศ. 2340-2350 แม้วา่ ในระยะแรกจะผลิต
ผ้าขึน้ เพือ่ ใช้ในครัวเรือน ต่อมาได้นําไปแลกเปลีย่ นกับเพือ่ นบ้าน จนกระทังป ่ จั จุบนั ผ้าหม้อห้อมได้
กลายเป็นสินค้าทีร่ ะลึก หรือของฝากจากผูค้ นต่างถิน่ ทีแ่ วะเวียนเดินทางไปท่องเทีย่ วทีจ่ งั หวัดแพร่
จนกลายเป็ นสินค้าพืน้ เมืองทีม่ ชี อ่ื เสียง และส่งขายทัวประเทศไทย
่ โดยมีการแข่งขันในตลาดว่าหม้อ
ห้อมทีแ่ ท้ตอ้ งมาจาก จังหวัดแพร่ เท่านัน้ (จารุวรรณ ขําเพชร; และรวิญา พนาพฤกษ์ ไพร. 2536:
47)
ผ้าหม้อห้อม เป็ นชื่อของผ้าย้อมพืน้ เมืองสีกรมท่า ทีแ่ สดงถึงความเป็ นเอกลักษณ์ และ
ศิลปวัฒนธรรมของชาวล้านนา ในอดีตผ้าหม้อห้อมเป็นผ้าฝ้ายทอมือทีน่ ําดอกฝ้ายสีขาวมาทําเป็น
เส้นด้ายแล้วทอด้วยกีเ่ ป็ นผ้าพืน้ สีขาว จากนัน้ จึงนําไปตัดเย็บให้เป็ นเสือ้ ผ้าแล้ วนํามาย้อมในนํ้าห้อม
ทีไ่ ด้จากการหมักต้นห้อมไว้ในหม้อ (ศูนย์วฒ ั นธรรมจังหวัดแพร่. ม.ป.ป.)
2
ความมุ่งหมายของการวิ จยั
1. เพือ่ ศึกษาระดับการมีสว่ นร่วมของชุมชน สภาพปญั หา และอุปสรรคเกีย่ วกับการมีสว่ น
ร่วมของชุมชนในการอนุ รกั ษ์ผา้ หม้อห้อม ตําบลทุ่งโฮ้ง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
2. เพือ่ นําเสนอแนวทางเกีย่ วกับการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
ตําบลทุ่งโฮ้ง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
ความสําคัญของการวิ จยั
1. ได้สารสนเทศเกีย่ วกับระดับการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม อันจะ
เป็นประโยชน์เชิงนโยบาย กับกลุ่มผูอ้ นุรกั ษ์ผา้ พืน้ เมืองในท้องถิน่ หน่วยงานงานทัง้ ภาครัฐและ
เอกชน ตลอดจนผูป้ ระกอบกา รด้านหัตถศิลป์เกีย่ วกับ ผ้าหม้อห้อม อีกทัง้ เป็ นข้อ มูลพืน้ ฐานในการ
ปรับปรุงผ้าหม้อห้อมให้มคี ณ
ุ ภาพทีด่ ขี น้ึ ภายใต้ความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะทีส่ บื ทอดมาแต่โบราณ
2. ได้แนวทางและข้อเสนอแนะเกีย่ วกับการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อ
ห้อม ตําบลทุ่งโฮ้ง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่ อันเป็นแนวทาง สําหรับกลุ่มอนุรกั ษ์นิ ยมและผูม้ อี าํ นาจ
ในการวางแผนหหรือกําหนดนโยบาย ตลอดจนผูท้ เ่ี กีย่ วข้องใช้ในการอนุรกั ษ์เชิงสร้างสรรค์ต่อไป
4
ขอบเขตของการวิ จยั
ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิ จยั
ประชากรที่ใช้ในการวิ จยั คือ ประชาชนทีอ่ าศัยอยูใ่ นตําบลทุ่งโฮ่ง อําเภอเมือง
จังหวัดแพร่ ทีม่ อี ายุ ตัง้ แต่ 18 ปีขน้ึ ไป จํานวน 6,293 คน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิ จยั คือ ประชาชนตําบลทุ่งโฮ้ ง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
จํานวน 307 คน ซึง่ ได้จากการกําหนดขนาดกลุม่ ตัวอย่างโดยใช้สตู รของ Yamane (1967)
ตัวแปรที่ศึกษา
1. ตัวแปรอิ สระ (independent variable) ได้แก่ สถานภาพส่วนบุคคล ประกอบด้วย
1.1 เพศ
1.2 อายุ
1.3 ระดับการศึกษา
1.4 อาชีพ
1.5 ระยะเวลาของการอาศัยในพืน้ ที่
นิ ยามศัพท์เฉพาะ
1. ชุมชน หมายถึง ประชาชนทีอ่ าศัยอยูใ่ นเขตตําบลทุ่งโฮ้ง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
อายุตงั ้ แต่ 18 ปี ขึน้ ไป
2. ผ้าหม้อห้อม หมายถึง ผ้าย้อมพื้นเมืองสีกรมท่า ทีแ่ สดงถึงความเป็ นเอกลักษณ์
และศิลปวัฒนธรรมของชาวล้านนา ซึง่ เป็นผ้าฝ้ายทอมือทีน่ ําดอกฝ้ายสีขาวมาทําเป็นเส้นด้ายแล้ว
ทอด้วยกีเ่ ป็ นผ้าพืน้ สีขาว จากนัน้ จึงนําไปตัดเย็บให้เป็นเสือ้ ผ้าแล้วนํามาย้อมในนํ้าห้อมทีไ่ ด้จากการ
หมักต้นห้อมไว้ในหม้อ
3. การอนุรกั ษ์ หมายถึง การรักษาหรือธํารงไว้ซง่ึ ผ้าหม้อห้อมอันเป็ นเอกลักษณ์
ดังเดิมทีส่ บื ทอดกันมาตัง้ แต่บรรพบุรษุ และทรงคุณค่าของชาวตําบลทุ่งโฮ้ง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
5
ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
สถานภาพส่วนบุคคล
1. เพศ
2. อายุ
3. ระดับการศึกษา การมีสว่ นร่วมของชุมชน
4. อาชีพ ในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
5. ระยะเวลาของการ
อาศัยในพืน้ ที่
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง
1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของชุมชน
1.1 ความหมายของการมีส่วนร่วมของชุมชน
ความหมายของการมีสว่ นร่วมของชุมชนนัน้ ได้มนี กั วิชาก ารหลายท่านได้ให้
ความหมายไว้ต่างๆ กัน ดังรวบรวมเสนอเป็นแนวคิด ดังนี้
กรรณิการ์ ชมดี (2524: 32) ให้คาํ จํากัดความการมีสวนร่วมของประชาชนว่า หมายถึง
ความร่วมมือของประชาชนไม่วา่ ของปจั เจกชน บุคคล หรือกลุม่ คนทีเ่ ห็นพ้องต้องกันและเข้ามา
รับผิดชอบเพือ่ การดําเนินการพัฒนาและการเปลีย่ นแปลงในทิศทางทีต่ อ้ งการ โดยการกระทําผ่าน
กลุ่ม หรือองค์กรเพื่อให้บรรลุถงึ ความเปลีย่ นแปลงทีพ่ งึ ประสงค์
เจิมศักดิ ์ ปิ่นทอง (ศรินทร์ทพิ ย์ จานศิลา . 2540: 43; อ้างอิงจาก เจิมศักดิ ์ ปิ่นทอง.
2527: 33) ได้ให้ความหมายของการมีสว่ นร่วมว่า เป็นการเข้าร่วมกิจกรรมของชาวบ้านตามที่
หน่ วยงานของรัฐหรือเอกชนจัดขึน้ และชาวบ้านเป็นผูเ้ สนอโดยมีการเข้าร่วมในหลายระดับ เช่น การ
เข้าร่วมในการฟงั เฉย ๆ ฟงั และออกความคิดเห็น ตลอดจนร่วมในการวางแผน และมีผเู้ ข้าร่วมตัง้ แต่
ผูใ้ หญ่บา้ น กรรมการหมูบ่ า้ น และชาวบ้านทัวไป ่
ปรัชญา เวสารัชช์ (2530: 14) ได้ให้ความหมาย การมีสว่ นร่วมของประ ชาชนในการ
พัฒนาท้องถิน่ และชนบทว่า หมายถึง การทีป่ ระชาชน หรือชุมชน หรือองค์กรของประชาชนได้เข้า
มามีสว่ นร่วมในการดําเนินงานพัฒนาท้องถิน่ และชนบทในขัน้ ตอนใดขัน้ ตอนหนึ่งหรือทุกขัน้ ตอนใน
รูปแบบของการตัดสินใจในการกําหนดชีวติ ของตน โดยมีจดุ มุง่ หมายเพือ่ ทีจ่ ะพัฒนาหรือยกระดับขีด
ความสามารถของตนในการกําหนดชีวติ ของตนในการจัดการเกีย่ วกับทรัพยากร และปจั จัยการผลิต
ทีม่ อี ยูใ่ นสังคมเพือ่ ประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวติ ในทุก ๆ ด้านของตนทีเ่ ป็นอยูใ่ ห้ดขี น้ึ กว่าเดิม
ทวีทอง หงส์ววิ ฒ ั น์ (2527: 21) ได้สรุปความหมายของการมีสว่ นร่วมไว้วา่ กา รมีสว่ น
ร่วมคือการทีป่ ระชาชนหรือชุมชนพัฒนาขีดความสามารถของตนในการจัดการควบคุมการใช้และ
การกระจายทรัพยากรทีม่ อี ยูเ่ พือ่ ประโยชน์ต่อการดํารงชีพทางเศรษฐกิจและสังคมตามความจําเป็น
อย่างสมศักดิ ์ศรีในฐานะสมาชิกของสังคม ในการมีสว่ นร่วมประชาชนได้พฒ าั ญ
ั นาการรับรูแ้ ละภูมปิ ญ ซึง่
แสดงออกในรูปการตัดสินใจในการกําหนดชีวติ ของตนเองอย่างเป็นตัวของตนเอง
นิรนั ดร์ จงวุฒเิ วศย์ (2527: 16) ได้กล่าวว่า การมีสว่ นร่วมของประชาชน หมายถึง
การเกีย่ วข้องทางด้านจิตใจและอารมณ์ของบุคคลหนึ่งในสถานการณ์กลุม่ ซึง่ ผลของการเกีย่ วข้อง
ดังกล่าวเป็ นเหตุเร้าใจให้กระทําบรรลุมงุ่ หมายของกลุม่ นัน้ กับทัง้ ทําให้เกิดความรูส้ กึ ร่วมรับผิดชอบ
กับกลุ่มดังกล่าวด้วย
ไพรัตน์ เดชะรินทร์ (ศรินทิพย์ จานศิลา . 2540: 33; อ้างอิงจากไพรัตน์ เดชะรินทร์ .
2527: 30) ได้ให้ความหมายและหลักการสําคัญเกีย่ วกับนโยบายการมีสว่ นร่วมของชุมชนในก าร
พัฒนาว่า หมายถึง กระบวนการทีร่ ฐั บาลทําการส่งเสริม ชักนํา และสร้างโอกาสให้กบั ประชนใน
ชุมชน ทัง้ ส่วนบุคคล กลุม่ ชน ชมรม สมาคม และองค์กรอาสาสมัครให้เข้ามามีสว่ นในการดําเนินงาน
เรือ่ งใดเรือ่ งหนึ่งหรือหลายเรือ่ งรวมกัน
8
ขัน้ ที่ 1 การมีสว่ นร่วมในขัน้ ริเริม่ โครงการ เป็นขัน้ ทีช่ มุ ชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการ
ตัดสินใจค้นหาปญั หาและกําหนดความต้องการ ในขัน้ ชุมชนจะเข้ามามีสว่ นร่วมในการวิเคราะห์
สภาพปญั หา และความต้องการของท้องถิน่ ตลอดจนมีสว่ นร่วมในการตัดสินใจกําหนดความ
ต้องการของชุมชนและมีสว่ นร่วมในการจัดลําดับความต้องการนัน้ ๆ
ขัน้ ที่ 2 การมีสว่ นร่วมในขัน้ วางแผน เป็นขัน้ ทีช่ มุ ชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการกําหนด
เป้าหมายและกําหนดลักษณะ /แนวทางการพัฒนาหลักสูตร ตลอดจนการวางแผนพัฒนาหลักสูตร
ได้แก่ การออกแบบหลักสูตร การนําหลักสูตรไปใช้ การประเมินผลหลักสูตร ซึง่ ในขัน้ นี้ชมุ ชนจะมี
ส่วนร่วมตัดสินใจและวางแผน กําหนดวิธกี าร และแนวทางการดําเนินงาน
ขัน้ ที่ 3 การมีสว่ นร่วมในขัน้ ดําเนินการ เป็นขัน้ ทีช่ มุ ชนเข้ามามีสว่ นเกีย่ วข้องกับ
การดําเนินงานการพัฒนาหลักสูตร ในแต่ละขัน้ ตอนของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร โดยคํานึงถึงว่า
ใครจะเข้ามามีสว่ นที่ จะทําประโยชน์ หรือจะเข้ามามีสว่ นร่วมได้บา้ ง และจะทําประโยชน์หรือมี ส่วน
ร่วมได้อย่างไร โดยวิธกี ารใด เช่น โดยการช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์ ทรัพยากร วัสดุอุปกรณ์ และ
ขัน้ ที่ 4 การมีสว่ นร่วมในการประเมินผล การมีสว่ นร่วมในการประเมินผลชุมชนเข้า
มามีสว่ นร่วมในการประเมิ นว่า บรรลุวตั ถุประสงค์ทก่ี าํ หนดไว้หรือไม่ การประเมินผลนี้อาจเป็นการ
ประเมินความก้าวหน้า (formative evaluation) ซึง่ เป็นการประเมินผลเป็นระยะๆ หรือการ
ประเมินผลสรุปรวม (sumative evaluation)
1.3 รูปแบบของการมีส่วนร่วม
อคิน รพีพฒ ั น์ (2527: 31-32) ได้กล่าวถึงรูปแบบของการมีสว่ นร่วม ซึง่ อาจจําแนกได้
3 ประการ ตามลักษณะการมีสว่ นร่วม ดังนี้
1. การทีป่ ระชาชนมีสว่ นร่วมโดยตรง (direct participation) โดยผ่านองค์กรจัดตัง้ ของ
ประชาชน
2. การทีป่ ระชาชนมีสว่ นร่วมทางอ้อม (indirect participation) โดยผ่านองค์กร ผูแ้ ทน
ของประชาชน เช่น กรรมการของกลุม่ หรือชุมชน
3. การทีป่ ระชาชนมีสว่ นร่วมโดยการเปิดโอกาสให้ (open participation) โดยผ่าน
องค์กรทีไ่ ม่ใช่ผแู้ ทนของประชาชน เช่น สถาบัน หรือหน่วยงานทีเ่ ชิญชวนหรือเปิดโอกาสให้
ประชาชนเข้ามามีสว่ นร่วมเมือ่ ไรก็ได้ทกุ เวลา
10
1.4 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของชุมชน
อัพฮอฟ (ชูเกียรติ ลีสวุ รรณ์ . 2534: 34; อ้างอิงจาก Uphoff. 1981: 20) ได้แบ่ง ลักษณะ
การมีสว่ นร่วม ออกเป็ น 4 ลักษณะ คือ การมีสว่ นร่วมในการตัดสินใจ การมีสว่ นร่วมในการ
ดําเนินการ การมีสว่ นร่วมในผลประโยชน์ และการมีสว่ นร่วมในการประเมินผล โดยมุง่ เน้ นการมี
ส่วนร่วมในการตัดสินใจเป็ นประการสําคัญ และควรแย่งพิจารณาการมีสว่ นร่วมออกเป็น 2 นัย คือ
1. มิตกิ ารมีสว่ นร่วมและบริบทหรือสภาพเงือ่ นไขสถานการณ์สง่ิ แวดล้อม การมีสว่ น
ร่วมในแง่บริบท ได้แก่ ลักษณะการมีส่วนร่วมดังกล่าวข้างต้น
2. การมีสว่ นในกิจกรรมของการมีสว่ นร่วม อาจจะเป็นบุคคลภายใน หรือบุคคลภายนอก
หมูบ่ า้ นก็ได้ ประเด็นทีน่ ่ าสนใจ คือ ลักษะสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของผูม้ สี ว่ นร่วม อีกทัง้
วิธกี ารเข่าร่วมพิจารณาจากสาเหตุของแรงจูงใจลักษณะการร่วมขอบเขตระยะเวลาหรือลักษณะ
กิจกรรมทีเ่ ข้าร่วม ตลอดจนผลของการเข้าร่วม
ส่วนในแง่ของบริบท หรือเงือ่ นไขสภาพแวดล้อม อัพฮอฟ ได้พจิ ารณาจากสภาพแวดล้อม
แง่ตวั โครงการ ได้แก่ ส่วนทีน่ ําเข้า ลักษณะประโยชน์ทไ่ี ด้รบั รูปแบบของโครงการ และจาก
สภาพแวดล้อมอื่นๆ ซึง่ กระทบกิจกรรม ได้แก่ สภาพแวดล้อมในอดีต ตลอดจนประสบการณ์ของผูท้ ่ี
เกีย่ วข้องกับสภา พแวดล้อมทางกายภาพและธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมทางสังคม (วัฒนธรรม
สังคม การเมือง เศรษฐกิจ) ซึง่ มีสว่ นทําให้คนในชุมชนเข่าร่วมหรือไม่ ในการพิจารณาภายในชุมชน
ของตนเอง
จากกรอบวิเคราะห์ขา้ งต้นจะเห็นว่า ประชาชนมีสว่ นในกิจกรรมต่างๆ มากขึน้ เพียงใด
ขึน้ อยูก่ บั องค์ประกอบต่างๆ อย่างสลับซับซ้อน มิใช่ดา้ นใดด้านหนึ่ง จะต้องพิจารณาถึงมิตขิ องการ
มีสว่ นร่วม นอกจากนัน้ ในด้านองค์ประกอบทางประวัตศิ าสตร์ ภูมศิ าสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ และ
สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ก็เป็นสิง่ สําคัญในการพิจารณาการมีสว่ นร่วมของ
ชุมชนและสังคมไทยทีม่ ลี กั ษณะทางวัฒนธรรม
13
1.5 ปัญหาและข้อจํากัดของการมีส่วนร่วมของชุมชน
เจิมศักดิ ์ ปิ่นทอง (2527: 54) ได้เสนอความคิดเห็นไว้วา่ เจ้าหน้าทีแ่ ละระบบราชการ
เป็นอุปสรรคต่อการมีสว่ นร่วมของชุมชนได้ 2 ด้าน คือ
ปญั หาเกีย่ วกับตัวของชาวชนบทเองถึงความเป็นปจั เจกบุคคล นอกจากนัน้ ชาวชนบท
ยังอยูภ่ ายใต้ระบบอุปถัมภ์ หรือพึง่ บุคคลภายนอกมากเกินไป มีการดูถกู ฐานะของตนเอง โดยทํา
การเลือกผูน้ ําทีส่ ามารถอุปถัมภ์ตนเองได้
1. ปญั หาเกีย่ วกับตัวของเ จ้าหน้าทีแ่ ละระบบราชการต่อการมีสว่ นร่วมของชุมชน มี
ลักษณะดังนี้
1) นโยบายในระบบราชการมักจะมาจากเบือ้ งบน
2) การจัดสรรงบประมาณมาจากส่วนกลาง คํานึงถึงเฉพาะกิจกรรมทีส่ ว่ นกลาง
กําหนด
3) ระบบราชการและเจ้าหน้าทีใ่ นระดับต่างๆ ขาดการประสานงาน และรับปฏิบตั ิ
เฉพาะนโยบายหลักของหน่วยงาน
4) มีความสัมพันธ์แบบผูใ้ หญ่ผนู้ ้อย มักจะเชือ่ ว่าตนเองมีฐานะสูงกว่าชาวชนบท
5) เจ้าหน้าทีร่ าชการชอบทํางานสํานักงาน
6) ระบบราชการใช้การให้คณ ุ ให้โทษ ทําตัวให้พอใจแก่ผบู้ งั คับบัญชา มิได้ปฏิบตั งิ าน
เพือ่ ประชาชนอย่างแท้จริง
7) บุคคลภายนอกหรือผูเ้ กีย่ วข้อง ไม่ตอ้ งการให้ชาวชนบทเข้ามาร่วมในการพัฒนา
นําชัย ทนุผล (2531: 45) ได้ระบุวา่ ปญั หาในการมีสว่ นร่วมในกิจกรรมของการ
พัฒนาชุมชนชองประชาชนมีสาเหตุอยูด่ ว้ ยกันหลายประการ คือ
1. เกิดจากตัวของประชาชนเอง ข้อจํากัดในกรณีน้ี เกิดขึน้ ด้วยความเ คยชินของตัว
ประชาชนเอง ซึง่ มักจะเป็ นผูร้ บั บริการอยูเ่ สมอ ทัง้ ในรูปของการได้รบั บริการค่าตอบแทนหรือ
ยัดเยียดให้บริการประชาชนเองเลยมีคา่ นิยมและทัศนคติวา่ รัฐบาลจะเป็นผูใ้ ห้ความช่วยเหลือ
อยูเ่ สมอทําให้พวกเขาเหล่านัน้ เกิดความรูส้ กึ แบบการพึง่ พาตลอดเวลา จะ เห็นบ่อยครัง้ ทีเ่ ดียวที่
โครงการพัฒนาของรัฐบาลซึง่ ได้พยายามเข้าไปพัฒนาชุมชนเพือ่ ยกระดับคุณภาพชีวติ ของ
ประชาชนโดยเน้นในปรัชญาของการช่วยเหลือตนเอง แต่กจิ กรรมของโครงการเหล่านัน้ มักจะ
ออกมาในรูปของการกระทําเพือ่ ประชาชนมิใช่กระทําร่วมกับประชาชน
14
2.3 ปัญหาและอุปสรรคของการทอผ้าพื้นเมืองของไทย
การผลิตผ้าพืน้ เมืองในปจั จุบนั มีขอ้ จํากัด ปญั หาและอุปสรรคมากมายหลายประการ
ทัง้ ในด้านเครือ่ งมือ วัตถุดบิ การขาดแคลนช่างทอ ตลอดจนการสูญเสียเอกลักษณ์ดงั ้ เดิมของ
ท้องถิน่ ซึง่ ส่งผลต่อการอนุ รกั ษ์และพัฒนาผ้าพืน้ เมืองของไทยในปจั จุบนั เป็นอย่างมาก
วิบลู ย์ ลีส้ ุวรรณ (2530: 61) กล่าวถึงเป็นหาของการทอผ้าพืน้ เมืองไว้ ดังนี้
1) ปญั หาในด้านเครือ่ งมือ
1.1) กีพ่ ุ่งและกีก่ ระตุก เป็นกีโ่ บราณทีเ่ หมาะสมกับการทอผ้าทีเ่ ป็นลวดลาย
ต้องการความประณีต แต่ทอได้ชา้ มาก เช่น ข้อจํากัดของกีท่ จ่ี ะต้องมีผงั เป็นไม้ชน้ิ เล็กๆ ขนาดยาว
กว่าความกว้างของหน้าผ้าปาดปลายเสีย้ มแหลม หรือบางทีใช้โลหะปลายแหลมสวมปลายทัง้ สอง
ข้าง ขึงริมผ้าขณะทออยูต่ ลอดเวลา เพือ่ ช่วยให้ผา้ ทุกระยะมีความกว้างและตึงสมํ่าเสมอเท่ากัน
ตลอดผืน เมือ่ ทอผ้า ได้ระยะหนึ่งผูท้ อจะต้องเลือ่ นผังอยูเ่ รือ่ ยๆ ตลอดการทอผ้าทัง้ ผืน ซึง่ ทําให้
เสียเวลา ทําให้ทอผ้าได้ชา้
17
3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับผ้าหม้อห้อมบ้านทุ่งโฮ้ง
3.1 สภาพภูมิหลังของจังหวัดแพร่
จังหวัดแพร่ (จารุวรรณ ขําเพชร ; และรวิญา พนาพฤกษ์ไพร . 2536: 3 - 28) เป็ นเมือง
ทีต่ งั ้ ขึน้ มาช้านานแต่โบราณกาล ประมาณในราวพุทธศตวรรษที่ 12 แต่จะได้เริม่ สร้างเมือ่ ใดนัน้ ยัง
ไม่พบหลักฐานแน่ ชดั แต่เข้าใจว่าได้สร้างขึน้ หลังจากได้สร้างเชียงใหม่เป็ นราชธานีแล้ว จึงได้สง่ บุตร
หลานพร้อมด้วยไพร่พลออกไปทําการสร้างบ้านแปลงเมือง เป็ นการขยายอาณาเขตไปในตัว และ
ปรากฏว่าตระกูลเจ้านายผูค้ รองนครต่างๆ เป็นผูส้ บื ตระกูลจากจ้าวเจ็ดตนทัง้ นัน้
เมือ่ ปีพุทธศักราช 1389 ว่ามีขนุ หลวงพล เป็ นเจ้าหลวงผูค้ รองเมืองแพร่ ซึง่ ในขณ ะนัน้
มีช่อื ว่า เมืองพล หรือพลรัฐนคร และมีทา้ วพหุสงิ ห์ ขุนพนมสิงห์ เป็ นเจ้าผูค้ รองเมืองสืบๆ ต่อกันมา
ประมาณปี พ .ศ. 1542 ขอมส่งกองทัพเข้ารุกรานอาณาจักรเชียงแสน เมืองพลคือ เมืองแพร่กถ็ ูก
ขอมโจมตี เผาวัดวาอาราม และเข้ายึดเมืองได้ ใน พ.ศ. 1559 ท้าววังสุพลเจ้าเมื องแพร่สมัยต่อมา ก็
รวบรวมสมัครพรรคพวกเข้าโจมตีขบั ไล่ขอมออกไปได้ ตกถึง พ .ศ. 1650 ขอมกลับยึดได้เมืองแพร่
อีก ตอนนัน้ ก็ให้เมืองแพร่ คือ พลรัฐนคร เปลีย่ นชื่อเป็ นเมืองโกศัย หรือโกสิยะนคร ล่วงถึง
25
3.2 ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของชาวไทยพวน
ถิน่ เดิมของเผ่าไทยพวนตามแผนทีซ่ ง่ึ ฝรังเศสเขี
่ ยนไว้ในปี 2483 อันปรากฏว่าเป็น
แผนทีก่ ารปกครองแคว้นลาวนัน้ ประเทศลาวแบ่งการปกค รองออกเป็ น 10 จังหวัดใหญ่ๆ
(โพธิ ์ แซมลําเจียก. 2537: 30 – 31) ดังนี้
1. จําปาสัก (ศาลากลางตัง้ อยูท่ เ่ี มืองปากเซ)
2. คําม่วน (ศาลากลางตัง้ อยูท่ เ่ี มืองแขก)
3. หัวพัน (ศาลากลางตัง้ อยูท่ เ่ี มืองซําเหนือ)
4. สาระวัน
5. สุวรรณเขต
6. ตรันนิน (ศาลากลางตัง้ อยูท่ เ่ี มืองเชียงขวาง)
7. นครเวียงจันทน์
8. นครหลวงพระบาง
9. แม่โขงเหนือ (ศาลากลางตัง้ อยูบ่ า้ นห้วยทราย)
10. พงศาลี (จังหวัดทหารบกที่ 5)
ถิน่ ไทยเดิมของเผ่าไทย หมายถึง จังหวัดตรันนิน ซึง่ ใช้ชอ่ ื นี้ตามภาษาญวน (เวียดนาม )
ทว่าแต่เดิมมานัน้ ปรากฏเรียกว่า แขวงเมืองพวน อันมีเชียงขวางเป็ นเมืองหลวงจากการดูตามแผนที่
จะเห็นว่า เมืองพวน เชียงขวาง อยูร่ ะหว่างเมืองต่างๆ ดังนี้
ตัง้ ตามเครือ่ งแต่งกาย เช่น ไทยดํา เพราะเสือ้ และกางเกงทีส่ วมใส่มสี ดี าํ ไทยโซ้ งหรือลาว
โซ้ง เพราะนุ่ งกางเกงผิดจากไทยสาขาอื่นทีน่ ิยมนุ่งผ้า นุ่งตามแบบอินเดีย และเขมร
ตัง้ ตามปริมาณของคนบ้าง เช่น ไทยน้อย ไทยใหญ่ คือ ไทยน้อยมีจาํ นวนน้อยเพียง 12
เจ้าไทยเท่านัน้ ส่วนไทยใหญ่มจี าํ นวนมาก คือ มีถงึ 16 เจ้าฟ้า ซึง่ แสดงถึงจํานวนของเมือง และ
ปริมาณของพลเมือง
ตัง้ ตามท้องถิน่ ทีอ่ ยูอ่ าศัย คือ ตามธรรมดา คนไทยเมือ่ อพยพแยกย้ายกันไปอยูใ่ นทีต่ ่างๆ
นิยมเอาชื่อแม่น้ํา ห้วย หนอง คลอง บึง ภูเขา ต้นไม้ ตลอดถึงลักษณะภูมปิ ระเทศ เป็ นชื่อของบ้าน
ของเมือง เช่น เชียงของ (ชื่อแม่น้ําโขง เชียง เมือง ของ โขง ) เมือ่ มีชอ่ื บ้า นแล้วก็เรียกชือ่ คนตามชือ่
บ้าน เช่น ไทยเชียงของ ไทยเมืองหนอนหาน ฯลฯ
คําว่า พวน ซึง่ เป็ นสมญาของไทยสาขาหนึ่งก็คงทํานองเดียวกัน คือ เรียกชือ่ ตามถิน่ ทีอ่ ยู่
ไทยสาขานี้สว่ นใหญ่อยูท่ แ่ี ขวงเชียงขวาง ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แต่เหตุใด
จึงมิได้นามตามเมืองว่ า “ไทยเชียงขวาง” หรือ ไทยขวางกับได้นามว่า “พวน” สันนิษฐานอีก คือ ใน
แขวงเชียงขวางมีภเู ขาลูกหนึ่งชื่อ “ภูพวน” แรกทีไ่ ทยสาขานี้อพยพมาอยูเ่ ข้าใจว่าคงจะอยูใ่ กล้กบั ภู
พาน ซึง่ เรียกสัน้ ๆ ก็วา่ “บ้านพวน ” หรือ “เมืองพวน ” ต่อมาเมือ่ ย้ายเมืองใหม่จงึ ได้ช่อื ว่า “เชียง
ขวาง” แต่เพราะคําว่าไทยเมืองพวน หรือไทยพวนเรียกกันมาจนชินแล้ว จึงไม่นิยมเรียกตามชื่อใหม่
คงนิยมเรียกชือ่ เก่ามาตลอด (จารุวรรณ ขําเพชร; และรวิญา พนาพฤกษ์ไพร. 2536: 25)
ชาวไทยพวนอพยพเข้ามาอยูบ่ นผืนแผ่นดินไทย มีลกู หลานสืบต่อกันมาตราบจนทุกวันนี้
มีอยูจ่ าํ นวนมาก ยั งปรากฏว่ามีการอพยพกวาดต้อนกันเข้ามาหลายครัง้ หลายพวก และมีอยูก่ นั
หลายภาค หลายจังหวัด บางกลุม่ ก็มผี นู้ ําพามา มีการบันทึกจดจํา คงจะเริม่ อพยพเข้ามาตัง้ แต่สมัย
กรุงธนบุรเี รือ่ ยมา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และตอนกลางจากรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5 (จารุ
วรรณ ขําเพชร และรวิญา พนาพฤกษ์ไพร. 2536: 26)
กลุ่มชาวไทยพวนทีต่ งั ้ หลักแหล่งมันคง ่ มีอาชีพมันคง
่ และมีลกู หลานสืบสายกันมา
มากมาย เท่าทีส่ บื ค้นได้ มีหลักแหล่งทีอ่ ยูต่ ามภาคต่างๆ ดังนี้
4) การเตรียมสียอ้ ม
เมือ่ ได้น้ําด่างในปริมาณทีเ่ พียงพอ คือ ประมาณเกือบเต็มโอ่ง ขัน้ ต่อไปนํา
ภาชนะเช่นถัง หรือโอ่งขนาดเล็ก นําปูนขาว หรือปูนแดง 1 ถ้วย นํ้าด่างประมาณ 5 ถ้วย สีคราม
(หัวนํ้าคราม ) 100 กรัม ผสมให้เข้ากัน พักไว้นานประมาณ 4 ชัวโมง ่ เพื่อให้ส่วนผสมของทัง้ สาม
อย่างทําปฏิกริ ยิ า จากนัน้ จึงเทลงในโอ่งทีม่ นี ้ําด่างเกือบเต็ม ใช้ไม้คนให้เข้ากันจะเกิดฟองสีเหลือง
ปนเขียว ส่วนนํ้าจะเป็ นสีน้ําเงิน แสดงว่าสีครามทีผ่ สมใช้ได้ พักไว้ 1 คืน หรือประมาณ 12 ชัวโมง ่
พร้อมทีจ่ ะย้อมในวันรุง่ ขึน้ ถ้าหากจะแยกหม้อนํ้าห้อมใหม่สามารถกระทําได้ แต่มธี รรมเนียมโบราณ
ปฏิบตั สิ บื มากระทังป ่ จั จุบนั คือ หาหม้อ หรือโอ่งตามต้องการนําหมาก และพลูมาบูชาเพือ่ ขึน้ ครู
ต่อไปจึงนํานํ้าด่างใส่เกือบเต็มโอ่ง แล้วนําหัวเชือ้ หรือต ะกอนทีต่ กอยูก่ น้ โอ่งนํ้าย้อมอยูเ่ ดิม มาใส่ใน
โอ่งทีเ่ ตรียมไว้ โดยมีวสั ดุอุปกรณ์ทใ่ี ช้ในการแยกหม้อนํ้าห้อมใหม่ คือ โอ่ง 1 ใบ ต่อหัวเชือ้ 1 ถังเล็ก
(ประมาณ 5 ลิตร) นํ้าด่าง หรือนํ้าขีเ้ ถ้า 5 ถ้วย ปูนขาว หรือปูนแดง 1 ถ้วย สีคราม 100 กรัม ผสม
ทัง้ 3 อย่างเข้าด้วยกัน พักไว้นาน 4 ชัวโมง ่ นําเทลงในโอ่งคนให้เข้ากันทิง้ ไว้ 1 คืน พร้อมจะนําไป
เป็ นหม้อนํ้าย้อมต่อไป (สีวลา วงศ์ไพบูลย์วฒ ั น์. 2543: 61)
5) กรรมวิธกี ารย้อมผ้าแบบดัง้ เดิม
ผ้าทีจ่ ะนําไปย้อมได้นนั ้ ต้องแช่น้ําทิง้ ไว้ 2 คืน นําผึง่ แดดให้แห้งแล้วนําไปชุบ
นํ้าอีกครัง้ หากไม่ชบุ นํ้าเมือ่ ย้อมเสร็จ ผ้าอาจจะมีสไี ม่สมํ่าเสมอด่างได้ เพราะนํ้าเป็นตัวนําสี ก่อนนํา
ผ้าลงย้อมต้องคนสีทห่ี มักไว้ 1 คืนนัน้ ให้เกิดฟองทิง้ ระยะไว้สกั ครูใ่ ห้ฟองหาย นําตะกร้าสานห่างๆ
ทีม่ ขี นาดเท่ากับปากโอ่งวางตะกร้าลงไปในโอ่งให้ลกึ ประมาณ 2/4 ของโอ่ง ต้องนําผ้าใส่ตะกร้ า เพือ่
มิให้ผา้ ตกถึงก้นโอ่ง เพราะมิฉะนัน้ ขีเ้ ถ้าจากการกรองนํ้าด่างจะปนเปื้อนติดผ้าได้ ขณะทีย่ อ้ มให้ยอ้ ม
ทีละตัวโดยการขยําผ้าให้สกี ระจายทัวทั ่ ง้ ผืน ผ้าทีถ่ กู สีจะมีสเี ขียวขยําต่อไป แล้วบิดให้หมาดนําออก
ผึง่ แดด เมือ่ ผ้าทําปฏิกริ ยิ ากับออกซิเจนทีอ่ ยูใ่ นอากาศสีเขียวจะ กลายเป็นสีฟ้าอ่อน และสีน้ําเงิน
ในทีส่ ุดปล่อยให้แห้งสนิท นําไปย้อมอีก 3 – 4 ครัง้ หรือคาดว่าผ้านัน้ ได้สเี ข้มตามต้องการ (สีวลา
วงศ์ไพบูลย์วฒ ั น์. 2543: 61)
ผ้าทีน่ ําลงย้อมในโอ่งนี้จะย้อมเสือ้ ได้ประมาณ 4 – 5 ตัว หากจะย้อมใหม่ในวันรุง่ ขึน้ ต้อง
เติมนํ้าด่าง ปูนขา ว สีคราม เท่ากับอัตราส่วนครัง้ แรก คือ นํ้าด่าง 5 ถ้วย ปูนขาว 1 ถ้วย สีคราม
100 กรัม ผสมให้เข้ากันพักไว้ 4 ชัวโมง ่ แล้วนําไปเทลงโอ่งนํ้าย้อมทีย่ อ้ มในครัง้ แรกทําอย่างนี้
ติดต่อกันทุกครัง้ ทีจ่ ะมีการย้อม
เมือ่ ย้อมสีแล้วแต่จากการย้อมครัง้ แรกยังมีรอยด่างสีไม่สมํ่าเสม อ ถ้าต้องการให้สเี รียบ
เสมอ และสวยต้องนําไปต้มย้อมทับอีกครัง้ หนึ่งด้วยสีกรมท่า โดยการตัง้ กระทะใส่น้ําประมาณท่วม
ผ้ายกขึน้ ตัง้ ไฟ พอนํ้าเดือดนําสีทล่ี ะลายไว้แล้วเทลงในกระทะคนให้สลี ะลาย (สีทใ่ี ช้เป็ นสีชนิดผง )
นําเปลือกมะขามขนาดเท่าฝา่ มือใส่ลงไป เพราะจะทําให้สไี ม่ตก เ กลือ 1ช้อนโต๊ะ เมือ่ นํ้าเดือดนําผ้า
ทีย่ อ้ มครัง้ แรกใส่ลง และพลิกกลับไปมาบ่อยๆ มิให้ผา้ ด่าง ต้มนานประมาณ30 นาที เมือ่ ครบ 30 นาที
นําขึน้ พาดราวผึง่ แดดให้แห้ง (สีวลา วงศ์ไพบูลย์วฒ ั น์. 2543: 61)
33
6) การลงแป้ง
เพื่อเป็ นการตกแต่งให้ผา้ มีความคงรูป เนื้อเรียบไ ม่มรี อยย่น เวลารีดเป็นมัน
เงางาม นิยมใช้วธิ กี ารลงแป้ง โดยใช้แป้งมันสํามะหลัง หากจะลงแป้งเสือ้ ประมาณ 5 ตัว ใช้แป้งมัน
สําปะหลังประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ผสมในนํ้าเย็นประมาณ 1 ลิตร คนให้เข้ากัน นําขึน้ ตัง้ ไฟหมันคนพอ ่
แป้งสุก มีลกั ษณะใสคล้ายกาว ยกลงผสมนํ้าเย็นประมาณ 10 ลิตร หรือพอท่วมผ้าคนให้ทวอย่ ั ่ าให้ม ี
เม็ดแป้ง นําผ้าทีย่ อ้ มเสร็จลงขยําให้ทวบิ ั ่ ดให้หมาดนําขึน้ ผึง่ แดด(สีวลา วงศ์ไพบูลย์วฒั น์. 2543: 62)
7) การรีดผ้าหม้อห้อม
การรีดผ้าหม้อห้อมทัง้ อดีต และปจั จุบนั นิยมใช้เตารีดถ่าน เพราะความร้อน
สูง และหนักทําให้ผา้ เรียบ ก่อนรี ดพรมนํ้าให้ทวผื ั ่ นผ้าทิง้ ไว้ประมาณ 5 นาที เพือ่ ให้ผา้ ชืน้ จะได้รดี
ง่าย ปจั จุบนั การรีดผ้าเพือ่ การพาณิชย์ให้เรียบง่าย และรวดเร็ว ผูร้ ดี มักจะใช้สบูซ่ ลั ไลละลายนํ้า นํา
เศษผ้าชุบนํ้าสบูเ่ ช็ดเสือ้ ทัง้ ผืน เมือ่ นําไปรีดผ้าจะเรียบ และเป็นมันรีดง่าย แต่วธิ นี ้ไี ม่สามารถเก็บ ไว้
ได้นาน เพราะหากอากาศชืน้ ผ้าจะมีลกั ษณะเป็นสีขาวขุน่ คล้ายขึน้ รา (สีวลา วงศ์ไพบูลย์วฒ ั น์ .
2543: 62)
3. โอ่งดินและโอ่งเคลือบ
โอ่งดินธรรมดาใช้สาํ หรับย้อมผ้าหม้อห้อมเหตุผลทีต่ อ้ งใช้โอ่งดินธรรมดา เนื่องจาก
หากใช้โอ่งเคลือบแล้วสารทีเ่ คลือบในโอ่ง อาจปนเข้าไปในสียอ้ มผ้า ทําให้สเี น่าเสียได้ โอ่งเคลือบ ใช้
สําหรับแช่ผา้ ดิบก่อนการย้อม เนื่องจากผ้าทีจ่ ะนํามาย้อมได้นนั ้ ต้องผ่านการแช่น้ํานานถึง 2 – 3 วัน
เพือ่ ให้ผา้ มีความอ่อนล้า และสามารถดูดซับสีได้งา่ ยขึน้ หลังจากแช่ไว้ 2 – 3 วัน แล้วจึงนํามาซัก
และย้อมได้ เกรงว่าหากใช้โอ่งดินธรรมดาอาจไม่ทนทาน หรือผุกร่อนได้งา่ ย
4. ไม้สาํ หรับคนผ้าและสี เพือ่ ให้ส ี และเนื้อผ้าผสมกันได้งา่ ยขึน้ ไม้น้มี คี วามยาว
ประมาณ 1 เมตร อาจทําจากไม้เนื้อแข็ง หรือไม้ไผ่กไ็ ด้
5. ปี๊บเจาะรู สําหรับเตรียมนํ้าด่าง โดยใส่ขเ้ี ถ้าลงไปเทนํ้าผ่าน ขีเ้ ถ้าจะกลายสภาพ
เป็นนํ้าด่างไหลผ่านลงไป
6. รางสังกะสี เพื่อให้น้ําด่างสามารถไหลลงสู่โอ่งดิน เพื่อเตรียมย้อมผ้าได้สะดวก จึง
ต้องมีรางรองรับนํ้าด่างเพื่อให้ไหลสะดวกขึน้
7. กระทะใบบัวขนาดใหญ่สาํ หรับต้มผ้า ขนาดความกว้างประมาณ 24 – 30 นิ้ว
8. ภาชนะสําหรับผสมสี ต้องมีการผสมสีจากภาชนะทีไ่ ม่ใช่โลหะ หรือเคลือบสี
เนื่องจากเกลือ หรือนํ้าขีเ้ ถ้าอาจกัดภาชนะนัน้ ให้ผกุ ร่อน หรือสีเปลีย่ นสภาพได้ ฉะนัน้ ภาชนะผสมสี
จึงควรทําจากดินเผาธรรมดา หรือโอ่งขนาดเล็กก็ได้
9. ตะกร้าสานปากกว้างก้นแคบ สานด้วยไม่ไผ่เพือ่ นํามารองรับผ้าจากปากโอ่งขณะที่
กําลังย้อมผ้าหม้อห้อม
10. ถุงมือยาง แต่เดิมชาวบ้านจะใช้มอื เปล่าย้อมผ้า มือจึงมีสดี าํ ทัง้ 2 ข้าง แต่ปจั จุบนั
นิยมใช้ถุงมือยาง มีความยาวประมาณ 1 ศอก
11. เตารีด เครื่ องมือทีจ่ ะใช้ประกอบให้ผา้ หม้อห้อมทีย่ อ้ มสําเร็จออกมาแล้วมีความ
สวยงามมากขึน้ ได้คอื เตารีด เพือ่ ให้ผา้ เรียบ สมัยก่อนเตารีดทีใ่ ช้รดี ผ้าหม้อห้อมจะใช้เตาถ่าน
เพราะมีความร้อนสูง และนํ้าหนักมาก
วัสดุท่ีใช้ในการย้อมผ้าหม้อห้อม
วัสดุทใ่ี ช้ในการผลิตผ้าหม้อห้อมมีหล ายชนิด การใช้วสั ดุทถ่ี กู ต้อง และเหมาะสมจะทําให้
ผลงานสําเร็จออกมาอย่างมีคณ ุ ภาพ และลดต้นทุนในการผลิตได้อกี ด้วย ฉะนัน้ ผูผ้ ลิตจึงต้องเลือกใช้
วัสดุให้เหมาะสมกับงานด้วย(กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม. 2526: 35-38)
35
ต้นคราม
ต้นครามหรือต้นห้อม คือ พืชล้มลุกชนิดหนึ่งขึ้ นได้ทุกฤดูกาล ชอบอากาศชืน้ และดินร่วม
ปนทราย (ต้นครามมี 2 ชนิด คือ ต้นครามบ้าน และต้นครามปา่ แต่ครามทีน่ ํามาทํานํ้าย้อมคือ ต้น
ครามบ้าน ลําต้นสูงประมาณ 1 เมตรครึง่ ใบมีลกั ษณะคล้ายใบมะขาม สีเขียวสด ลําต้นมีลกั ษณะ
เป็นพุม่ ใช้เวลาปลูกนานประมาณ 3 เดือน เมือ่ แก่ใบจะมี สเี ขียวแก่คอ่ นข้างดํา หรือเมือ่ ครบ 3 เดือน
จะออกดอกแสดงว่าแก่จดั พร้อมทีจ่ ะขยายพันธุไ์ ด้
ผ้าดิบ หรือผ้าฝ้าย
แต่เดิมผ้าทีน่ ํามาย้อมต้องผลิตเองเริม่ ต้นแต่การปลูกต้นฝ้ายจนกระทังนํ ่ าฝ้ายไปทอ
สีสาํ หรับย้อม
แต่เดิมสีทใ่ี ช้ในการย้อมผ้าจะได้จากธรรมชาติ อาทิเช่น สีแ ดง ได้จากครังตั ่ วเมีย สําหรับ
ย้อมผ้าไหม หรือขนสัตว์จะได้สสี วย และสีไม่ตก สีดาํ ได้จากผลมะเกลือ ใช้ยอ้ มผ้าฝ้าย สีเหลือง ได้
จากไพรหรือขมิน้ ต้นคร้ามหรือต้นห้อมทีแ่ ก่จดั นําส่วนต้น และใบมามัดรวมกัน นําไปหมักนาน
ประมาณ 7 วัน เพือ่ ให้ตน้ ครามเน่ า นํามากรองเอานํ้าย้อมผ้าผสมปูนขาว หรือ ปูนแดง จะได้น้ํา
ย้อมผ้าสีน้ําเงิน นอกจากนัน้ คนสมัยโบราณยังรูจ้ กั เอาเหล็กมาแช่น้ําส้มจนเป็นสนิท แล้วกรองจะได้
สีน้ําตาลแดง เป็ นต้น
สําหรับสีคราม หรือสียอ้ มทีไ่ ด้จากต้นห้อม มี 2 ชนิดได้แก่ สีหอ้ มชนิดผง และสีหอ้ มชนิด
เหลว สีทน่ี ยิ มใช้ยอ้ มผ้าหม้อ ห้อม คือ สีชนิดเหลว เพราะมีความเข้มข้นสูงเวลาย้อมจะยาก
เนื่องจากสีผา้ อาจด่างได้งา่ ย เวลาย้อมต้องไม่ให้ผา้ โผล่พน้ นํ้า มิฉะนัน้ ผ้าทีพ่ นั นํ้าขึน้ มาถูกอากาศ สี
จะเปลีย่ นได้ เช่น ในขณะกําลังย้อมนํ้าย้อมจะเป็นสีน้ําเงิน แต่ผา้ ในขณะกําลังย้อมจะเป็นสีเขียวปน
เหลือง เมือ่ นําขึน้ ผึง่ แดดทีเ่ ห็นเขียวปนเหลืองจะกลายยเป็นสีน้ําเงินทันที
ส่วนประกอบอื่นทีน่ ํามาผสมกับสีครามย้อมผ้า คือ เกลือแกง มีคณ ุ สมบัตชิ ว่ ยให้สตี ดิ ทน
และมีสเี ข้ม ปูนขาว และปูนแดง มีคุณสมบัตชิ ่วยให้สเี ข้ม ขีเ้ ถ้า มีคุณสมบัตชิ ่วยให้สเี ข้ม และติดทน
ขีเ้ ถ้ามีหลายชนิด อาทิ เช่น ขีเ้ ถ้าจากแกลบ ฟืน ถ่าน ใบไม้ แต่ทช่ี ่วยให้สตี ดิ ทนได้ด ี คือ ขีเ้ ถ้าทีไ่ ด้
จากถ่าน เปลือกมะขาม ทีไ่ ด้จากลําต้นมีรสฝาด มีคณ ุ สมบัตชิ ว่ ยไม่ให้สตี ก (กรมส่งเสริม
อุตสาหกรรม. 2526: 35-38)
การกําหนดประชากรและเลือกกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการวิ จยั คือ ประชาชนทีอ่ าศัยอยูใ่ นตําบลทุ่งโฮ่ง อําเภอเมือง จังหวัด
แพร่ ทีม่ อี ายุ ตัง้ แต่ 18 ปีขน้ึ ไป จํานวน 6,293 คน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิ จยั คือ ประชาชนหมูท่ ่ี 6 ตําบลทุ่งโฮ้ง อํา เภอเมือง จังหวัด
แพร่ จํานวน 307 คน โดยมีวธิ กี ารได้มาซึง่ กลุ่มตัวอย่าง ดังนี้
1. เลือกหมูบ่ า้ นทีม่ คี วามโดดเด่น และมีการปฏิบตั ิ ในด้านของการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม ทีด่ ี
ทีส่ ดุ (best practice) โดยพิจารณาจากปริมาณการผลิต ความมีชอ่ ื เสียง และการยอมรับจาก
ประชาชนโดยทัวไป ่ และหมูบ่ า้ นทีผ่ า่ นการพิจารณาคัดเ ลือก คือ หมูท่ ่ี 6 ซึง่ มีประชากรทีอ่ ายุตงั ้ แต่
18 ปี ขึน้ ไป ทัง้ สิน้ 885 คน
2. กําหนดขนาดกลุม่ ตัวอย่างโดยใช้สตู รของ Yamane (1967)
N
สูตรคํานวณ n=
1 + N (e)
2
เมือ่ n = ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง
N = ขนาดของประชากร
e = ความคลาดเคลื่อนของกลุ่มตัวอย่าง
การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
1. เครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการศึกษาค้นคว้า
การศึกษาครัง้ นี้ใช้แบบสอบถาม (questionnaire) และแนวทางการสนทนากลุม่ (focused
group) โดยสร้างขึน้ จากการศึกษาค้นคว้าตํารา แนวคิด ทฤษฎี วิทยานิพนธ์ เอกสารอื่นๆ และ
งานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้อง เป็ นแนวทางในการสร้างแบบสอบถามและแนวทางในการสนทนากลุม่ เพือ่ เป็ น
เครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการศึกษา โดยนําไปเก็บข้อมูลการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
ในพืน้ ทีต่ ําบลทุ่งโฮ้ง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.1 แบบสอบถามการมีมสี ว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม แบ่งออกเป็น
4 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 สอบถามข้อมูลทัวไปของกลุ
่ ่มตัวอย่าง ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา
อาชีพและระยะเวลาของการอาศัยในพืน้ ที่ โดยมีลกั ษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (check list)
และแบบเติมคํา
ตอนที่ 2 สอบถามเกีย่ วกับระดับการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อ
ห้อม มีลกั ษณะเป็ นมาตรประมาณค่า (rating scale) 5 ระดับ โดยแต่ละระดับมีความหมายดังนี้
1 หมายความว่า ชุมชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อมในด้านนัน้ อยูใ่ น
ระดับน้อยทีส่ ดุ
2 หมายความว่า ชุมชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการอนุรกั ษ์ ผ้าหม้อห้อมในด้านนัน้ อยูใ่ น
ระดับน้อย
3 หมายความว่า ชุมชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม ในด้านนัน้ อยูใ่ น
ระดับปานกลาง
4 หมายความว่า ชุมชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อมในด้านนัน้ อยูใ่ น
ระดับมาก
5 หมายความว่า ชุมชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการอนุรกั ษ์ ผ้าหม้อห้อมในด้านนัน้ อยูใ่ น
ระดับมากทีส่ ดุ
40
2. การสร้างเครือ่ งมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
2.1 แบบสอบถาม
การสร้างเครือ่ งมือแบบสอบถามในการศึกษาครัง้ นี้ มีขนั ้ ตอนการสร้างและพัฒนา
แบบสอบถาม ดังนี้
ขัน้ ที ่ 1 การกําหนดวัตถุประสงค์
การสร้างแบบสอบถามมี วัตถุประสงค์เพือ่ เป็นเครือ่ งมือในการรวบรวมข้อมูลใน
การศึกษาการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม สภาพปญั หา และอุปสรรค ตลอดจน
แนวทางในการส่งเสริมให้ชมุ ชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม โดยการวิจยั ครัง้ นี้ศกึ ษา
เก็บข้อมูลทีต่ ําบลทุ่งโฮ้ง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
ขัน้ ที ่ 2 การนิ ยามปฏิ บตั ิ การสําหรับตัวแปรหลัก
1. การมีส่วนร่วมของชุมชน หมายถึง การมีสว่ นร่วมของ ประชาชนในตําบลทุ่งโฮ้ง
อําเภอเมือง จังหวัดแพร่ ในการอนุ รกั ษ์ผา้ หม้อห้อมอันเป็นหัตถศิลป์อนั ทรงคุณค่าให้คงอยูส่ บื ชัวลู
่ ก
ชัวหลานต่
่ อไป โดยศึกษาจากการมีสว่ นร่วมของชุมชนใน 3 ด้าน คือ การมีสว่ นร่วมในการวางแผน
(Planning) การมีสว่ นร่วมในการรักษาธํารงไว้ (Preservative) การมีสว่ นร่วมในการเผยแพร่
(Dissemination)
1.1 การมีส่วนร่วมในการวางแผน (Planning) หมายถึง ชุมชนมีสว่ นร่วมในระดับ
นโยบาย เช่น การเข้าร่วมประชุม หรือวางแผนงานทีเ่ กีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม ตลอดจนการ
มีสว่ นร่วมในการแสดงความคิดเห็นและการตัดสินใจในการมีส่ วนร่วมในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
วัดเป็นคะแนนโดยการให้รายงานระดับการมีสว่ นร่วมของชุมชน มีลกั ษณะเป็นมาตรประมาณค่า
5 ระดับ
42
ขัน้ ที ่ 5 การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ
สร้างข้อคําถามในแต่ละตอน แล้วนําแบบสอบถามทีส่ ร้างขึน้ ไปตรวจสอบเครือ่ งมือ โดย
ผูเ้ ชีย่ วชาญ จํานวน 3 ท่าน โดยทําการตรวจสอบความเทีย่ งตรงเชิงเนื้อหา(content validity) และการ
ใช้ภาษา โดยผูเ้ ชีย่ วชาญประกอบด้วยบุคคลทีม่ คี วามเชีย่ วชาญในด้านต่อไปนี้
44
α =
K
1 −
∑si 2
K − 1 st2
โดยผลการวิเคราะห์คา่ ความเชือ่ มัน่ มีคา่ เท่ากับ 0.811 ซึง่ ถือว่าอยูใ่ นระดับดี สามารถ
นําไปใช้เก็บข้อมูลจริงได้
2.2 แนวทางในการสนทนากลุ่ม
ข้อคําถามในการสนทนากลุม่ นัน้ จะได้จากผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงปริมาณ ซึง่ การศึกษา
ครัง้ นี้ใช้แบบสอบถามเป็ นเครือ่ งมือในการรวบรวม ข้อมูล หลังจากนัน้ ผูว้ จิ ยั จะเป็นผูก้ าํ หนดประเด็น
ต่างๆ ทีค่ น้ พบจากผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลในเบือ้ งต้นมาเป็นแนวทางในการสนทนากลุม่ โดย
การศึกษาครัง้ นี้ได้ทาํ การรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพประกอบข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้เทคนิคการ
สนทนากลุม่ เพือ่ ตอบวัตถุประสงค์การวิจยั ข้อที่ 3 คือ การเสนอแนวทางเกีย่ วกับการมีสว่ นร่วมของ
ชุมชนในการอนุ รกั ษ์ผลิตภัณฑ์ผา้ หม้อห้อม ตําบลทุ่งโฮ้ง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูลสําหรับการวิจยั ครัง้ นี้ แบ่งเป็น 2 ตอน โดยมีรายละเอียดดังนี้
ตอนที่ 1 การเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ (จากแบบสอบถาม)
ผูว้ จิ ยั ได้ทาํ การเก็บรวบรวมขอมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามทีผ่ วู้ จิ ยั ได้สร้างและ
พัฒนาขึน้ ซึง่ ผ่านการตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมือแล้วกับกลุม่ ตัวอย่างในการวิจยั โดย ผูว้ ิจยั เก็บ
รวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ซึง่ มีขนั ้ ตอนในการดําเนินการ ดังนี้
1. ทําหนั งสือขอความร่วมมือ ไปยังองค์การบริหารส่วนตําบลทุ่งโฮ้ง อําเภอเมือง จังหวัด
แพร่เพือ่ ขออนุ ญาตทําการเก็บรวบรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามกับประชากรในหมู่ ที่ 6 ตําบลทุ่ง
โฮ้ง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
2. ผูว้ จิ ยั เก็บรวบรวมแบบสอบถามด้วยตนเองจาก กลุม่ ตัวอย่างทีเ่ ป็นประชาชนใน หมูท่ ่ี 6
ตําบลทุ่งโฮ้ง อายุตงั ้ แต่ 18 ปี ขึน้ ไป
3. ผูว้ จิ ยั ทําการตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลทุกฉบับ เพือ่ เตรียมพร้อมวิเคราะห์
ข้อมูลด้วยโปรแกรม SPSS for Windows ต่อไป
46
ตอนที่ 2 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสนทนากลุ่ม
หลังจากผูว้ จิ ยั เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ และทําการวิเคราะห์ขอ้ มูลแล้ว ซึง่ จะทําให้
ทราบสารสนเทศเกีย่ วกับระดับ การมีสว่ นร่วมของชุมชน และสภาพ ปญั หาและอุปสรรคของการเข้า
มามีสว่ นร่วมของชุมชนใน การอนุ รกั ษ์ผลิตภัณฑ์ผา้ หม้อห้อม ของชุมชนตําบลทุ่งโฮ้ง หลังจากนัน้
ผูว้ จิ ยั ได้เลือกใช้เทคนิคการสนทนากลุม่ (focus group) เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพกับ
ผูท้ รงคุณวุฒทิ างด้านผ้าหม้อห้อม เพือ่ หาแนวทางในการส่งเสริมให้ชมุ ชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการ
อนุรกั ษ์ผลิตภัณฑ์ผา้ หม้อห้อม ซึง่ มีขนั ้ ตอนในการดําเนินการ ดังนี้
1. ทําหนังสือเชิญผูท้ รงวุฒทิ างด้านผ้าหม้อห้อม จํานวน 8 ท่าน เพือ่ ขอความอนุเคราะห์ ใน
การทําสนทนากลุม่ ซึง่ ประกอบด้วย
1.1 ประธานกลุม่ ผลิตผ้าหม้อห้อม (จํานวน 1 ท่าน)
1.2 ผูน้ ําชุมชน ได้แก่ นายก อบต.ตําบลทุ่งโฮ้ง และผูใ้ หญ่บา้ นหมูท่ ่ี 6 (จํานวน 2 ท่าน)
1.3 ประธานกลุม่ อนุ รกั ษ์ผา้ หม้อห้อม (จํานวน 1 ท่าน)
1.4 ข้าราชการระดับสูงทีอ่ าศัยอยูใ่ นชุมชนมากกว่า 30 ปี (จํานวน 1 ท่าน)
1.5 ปราชญ์ชมุ ชนทีม่ คี วามรูแ้ ละเชีย่ วชาญด้านผ้าหม้อห้อม (จํานวน 3 ท่าน)
2. ดําเนินการสนทนากลุม่ ตามวัน เวลา ทีผ่ วู้ จิ ยั กําหนด โดย ผูว้ จิ ยั จะทําหน้าทีเ่ ป็น
ผูด้ าํ เนินการสนทนากลุม่ (moderator) และมีผชู้ ว่ ยผูว้ จิ ยั เพือ่ ทําหน้าทีเ่ ป็นผูจ้ ดบันทึกการสนทนากลุม่
1 คน และผูอ้ าํ นวยความสะดวกในขณะทําการสนทนากลุม่ เช่น บันทึกภาพ และเสียงอี 1 คน
ก
3. ทําการวิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงคุณภาพจากการสนทนากลุม่ โดยการวิเคราะห์เนื้อหา
(content analysis) เพือ่ สรุปให้ได้แนวทางในการส่งเสริมให้ชมุ ชนเข้า มามีสว่ นร่วมในการ อนุรกั ษ์
ผ้าหม้อห้อม
การจัดกระทําและการวิ เคราะห์ข้อมูล
การจัดกระทําข้อมูลในการวิจยั ครัง้ นี้ ผูว้ จิ ยั แบ่งการวิเคราะห์ขอ้ มูลออกเป็น 2 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 การจัดกระทําข้อมูลเชิ งปริ มาณ
ผูว้ จิ ยั ได้นําข้อมูลจากแบบสอบถามทัง้ หมดมาตรวจสอบความถูกต้อง สมบูรณ์ ก่อนลงรหัส
แล้ววิเคราะห์ผลโดยใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมสําเร็จรูป SPSS for windows version 11.5 โดยมี
ขัน้ ตอนการนําเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล ด้งนี้
1. ข้อมูลพืน้ ฐานทัวไปของกลุ
่ ่มตัวอย่าง นํามาแจกแจงความถี่ และหาค่าร้อยละ และค่าเฉลีย่
เลขคณิต ( X )
2. ข้อมูลระดับการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม วิเคราะห์โดยการหา
ค่าเฉลีย่ เลขคณิต ( X ) และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (SD) เมือ่ ได้คา่ เฉลีย่ เลขคณิต แล้ว ผูว้ จิ ยั ได้
กําหนดความหมายของระดับค่าเฉลีย่ ดังนี้
47
การนําเสนอผลการวิ เคราะห์ข้อมูล
ในการนําเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลของการวิจยั ครัง้ นี้ ผูว้ จิ ยั ได้วเิ คราะห์และนําเสนอในรูป
ของตารางประกอบคําอธิบายโดยเรียงตามลําดับ ดังนี้
การวิ เคราะห์ข้อมูลเชิ งปริมาณ
ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ขอ้ มูลพืน้ ฐานทัวไปของผู
่ ต้ อบแบบสอบถาม
ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูลเกีย่ วกับระดับการมีสวนร่
่ วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
ตอนที่ 3 การเปรียบเทียบความแตกต่างของระดับการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้
หม้อห้อม จําแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ ระยะเวลาของการอาศัยในพืน้ ที่
ตอนที่ 4 การวิเคราะห์ขอ้ มูลเกีย่ วกับปญั หาและอุปสรรคในการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการ
อนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
49
ผลการวิ เคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงปริมาณ
ตอนที่ 1 การวิ เคราะห์ข้อมูลพื้นฐานทัวไปของผู
่ ต้ อบแบบสอบถาม
ตาราง 3 (ต่อ)
รายการ Χ SD ระดับการมีส่วนร่วม
1. การมีสว่ นร่วมในการวางแผน 2.43 0.21 น้อย
2. การมีสว่ นร่วมในการรักษาธํารงไว้ 3.11 0.25 ปานกลาง
3. การมีสว่ นร่วมในการเผยแพร่ 3.08 0.26 ปานกลาง
รวม 2.88 0.24 ปานกลาง
การมีส่วนร่วมในการวางแผน Χ SD ระดับการมีส่วนร่วม
1. ท่านมีสว่ นร่วมในการประชุมเกีย่ วกับกิจกรรมต่างๆ
ในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม 2.28 0.64 น้อย
2. ท่านมีสว่ นร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับการ
อนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม 2.18 0.56 น้อย
3. ท่านมีสว่ นร่วมในการเสนอแนวทางในการอนุรกั ษ์ผา้
หม้อห้อมให้กบั กลุม่ อนุรกั ษ์ต่างๆ 2.16 0.58 น้อย
4. ท่านมีสว่ นร่วมในการวางแผน / วางกลยุทธ์ในการ
อนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม 2.10 0.50 น้อย
5. ท่านมีสว่ น ร่วมในการค้นพบปญั หาและสาเหตุของ
ปญั หาเกีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม 2.57 0.60 ปานกลาง
6. ท่านมีสว่ นร่วมในการคิดหาวิธใี นการแก้ไขปญั หา
เกีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม 2.71 0.53 น้อย
52
ตาราง 5 (ต่อ)
การมีส่วนร่วมในการวางแผน Χ SD ระดับการมีส่วนร่วม
7. ท่านมีสว่ นร่วมในการเป็ นคณะกรรมการ หรือสมาชิก
ของกลุม่ ทีเ่ กีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม 1.98 0.42 น้อย
8. ท่านมีสว่ นร่วมในการตัดสินหรือประเมินผลงาน
เกีย่ วกับผ้าหม้อห้อม 2.29 0.56 น้อย
9. ท่านมีสว่ นร่วมในการสร้างเครือข่ายผ้าหม้อห้อม 2.68 0.59 ปานกลาง
10. ท่านมีสว่ นร่วมในการรณรงค์การใช้วตั ถุดบิ แบบ
ดัง้ เดิมในการผลิตงานศิลปะต่างๆ จากผ้าหม้อห้อม 3.35 0.60 ปานกลาง
รวม 2.43 0.21 น้ อย
การมีส่วนร่วมในการรักษาธํารงไว้ Χ SD ระดับการมีส่วนร่วม
11. ท่านมีสว่ นร่วมในการสอดส่องดูแลผูใ้ ช้ผา้ หม้อห้อม
ในทางทีไ่ ม่เหมาะไม่สม 3.18 0.47 ปานกลาง
12. ท่านมีสว่ นร่วมในการออกแบบลวดลายผ้าหม้อ
ห้อมชนิดต่างๆ 3.22 0.56 ปานกลาง
13. ท่านมีสว่ นร่วมในการศึกษาประวัตคิ วามเป็ นมา
ของผ้าหม้อห้อมอย่างลึกซึง้ 2.72 0.56 ปานกลาง
14. ท่านมีสว่ นร่วมในการเป็ นสมาชิกกลุม่ / สมาคม หรือ
ชมรมทีเ่ กีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผลิตภัณฑ์ผา้ หม้อห้อม 3.05 0.46 ปานกลาง
15. ท่านเคยร่วมประกวดเกีย่ วกับผลิตภัณฑ์ผา้ หม้อห้อม 2.51 0.65 ปานกลาง
53
ตาราง 6 (ต่อ)
การมีส่วนร่วมในการรักษาธํารงไว้ Χ SD ระดับการมีส่วนร่วม
16. ท่านมีสว่ นร่วมในการบริจาค เงิน /สถานที่ /วัสดุ
อุปกรณ์ต่างๆ ในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม 3.33 0.58 ปานกลาง
17. ท่านมีสว่ นร่วมในกิจกรรมต่างๆ เกีย่ วกับการ
อนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม 3.34 0.59 ปานกลาง
18. ท่านมีสว่ นร่วมในการเลือกใช้ผา้ หม้อห้อมทีม่ คี วาม
เป็ นเอกลักษณ์ดงั ้ เดิม 3.31 0.63 ปานกลาง
19. ท่านมีสว่ นร่วมในการส่งเสริมให้บคุ คลใกล้ตวั ใช้ผา้
หม้อห้อม 3.43 0.64 ปานกลาง
20. ท่านมีสว่ นร่วมในการปลูกฝงั จิตสํานึกให้กบั ลูกหลาน
หรือญาติพน่ี อ้ งเกีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม 3.44 0.65 ปานกลาง
รวม 3.11 0.25 ปานกลาง
การมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ Χ SD ระดับการมีส่วนร่วม
21. ท่านมีสว่ นร่วมในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผา้
หม้อห้อมให้กบั นักท่องเทีย่ วทัง้ ในและ
ต่างประเทศ 2.86 0.73 ปานกลาง
22. ท่านมีสว่ นร่วมในการให้ความรูเ้ กีย่ วกับผ้าหม้อ
ห้อมแก่บุคคลอื่นๆ 2.97 0.60 ปานกลาง
23. ท่านมีสว่ นร่วมในการแต่งกายด้วยผ้าหม้อห้อมเพือ่
เป็ นแบบอย่าง 3.42 0.63 ปานกลาง
54
ตาราง 7 (ต่อ)
การมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ Χ SD ระดับการมีส่วนร่วม
24. ท่านมีสว่ นร่วมในการใช้ผา้ หม้อห้อมเป็ นของฝาก
หรือของทีร่ ะลึกแก่บคุ คลอืน่ ตามโอกาสต่างๆ 3.46 0.67 ปานกลาง
25. ท่านมีสว่ นร่วมในการถ่ายทอดกรรมวิธใี นการผลิต
สินค้าต่างๆ จากผ้าหม้อห้อม 2.83 0.81 ปานกลาง
26. ท่านมีสว่ นร่วมในการเป็ นวิทยากรทัง้ ในและนอก ปานกลาง
สถานศึกษา 2.80 0.72
27. ท่านมีสว่ นร่วมในการนําผ้าหม้อห้อมออกแสดงโชว์
ในโอกาสต่างๆ 3.43 0.65 ปานกลาง
28. ท่านมีสว่ นร่วมในการเป็ นวิทยากรหรือผูใ้ ห้ความรู้
เกีย่ วกับผ้าหม้อห้อม 2.72 0.67 ปานกลาง
29. ท่านมีสว่ นร่วมในการบริจาคผ้าหม้อห้อมเพือ่ เป็ น
วิทยาทาน 3.37 0.64 ปานกลาง
30. ท่านมีสว่ นร่วมในการเชิญชวนให้คนต่างถิน่ ใช้ผา้
หม้อห้อม 2.94 0.75 ปานกลาง
รวม 3.08 0.26 ปานกลาง
ตอนที่ 3 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนใน
การอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม จําแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และระยะเวลาของ
การอาศัยในพืน้ ที่
ตาราง 8 ผลการเปรียบเทียบระดับการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
ตําบลทุ่งโฮ้ง จําแนกตามเพศ
แหล่งความ df SS MS F p
การมีส่วนร่วมของชุมชน
แปรปรวน
1. การวางแผน ระหว่างกลุ่ม 4 0.526 0.132 3.216 0.063
ภายในกลุม่ 302 12.358 0.041
รวม 306 12.884
2. การรักษาธํารงไว้ ระหว่างกลุ่ม 4 0.745 0.186 2.999 0.059
ภายในกลุม่ 302 18.746 0.062
รวม 306 19.491
3. การเผยแพร่ ระหว่างกลุ่ม 4 0.141 0.035 0.524 0.718
ภายในกลุม่ 302 20.381 0.067
รวม 306 20.523
รวม ระหว่างกลุ่ม 4 0.275 0.069 2.695 0.061
ภายในกลุม่ 302 7.716 0.026
รวม 306 7.991
แหล่งความ Df SS MS F p
การมีส่วนร่วมของชุมชน
แปรปรวน
1. การวางแผน ระหว่างกลุ่ม 4 0.529 0.132 3.234 0.063
ภายในกลุม่ 302 12.355 0.041
รวม 306 12.884
2. การรักษาธํารงไว้ ระหว่างกลุ่ม 4 0.394 0.098 1.557 0.186
ภายในกลุม่ 302 19.097 0.063
รวม 306 19.491
3. การเผยแพร่ ระหว่างกลุ่ม 4 0.357 0.089 1.338 0.256
ภายในกลุม่ 302 20.165 0.067
รวม 306 20.523
รวม ระหว่างกลุ่ม 4 0.224 0.056 2.174 0.072
ภายในกลุม่ 302 7.768 0.026
รวม 306 7.991
แหล่งความ df SS MS F P
การมีส่วนร่วมของชุมชน
แปรปรวน
1. การวางแผน ระหว่างกลุ่ม 3 0.032 0.011 0.249 0.862
ภายในกลุม่ 303 12.853 0.042
รวม 306 12.884
2. การรักษาธํารงไว้ ระหว่างกลุ่ม 3 0.256 0.085 1.343 0.261
ภายในกลุม่ 303 19.235 0.063
รวม 306 19.491
3. การเผยแพร่ ระหว่างกลุ่ม 3 0.168 0.056 0.835 0.476
ภายในกลุม่ 303 20.355 0.067
รวม 306 20.523
รวม ระหว่างกลุ่ม 3 0.047 0.016 0.601 0.615
ภายในกลุม่ 303 7.944 0.026
รวม 306 7.991
ระดับปัญหา
รายการ Χ SD
และอุปสรรค
1. การมีสว่ นร่วมในการวางแผน 3.86 0.48 มาก
2. การมีสว่ นร่วมในการรักษาธํารงไว้ 3.69 0.43 มาก
3. การมีสว่ นร่วมในการเผยแพร่ 3.73 0.39 มาก
รวม 3.76 0.35 มาก
ระดับปัญหา
การมีส่วนร่วมในการวางแผน Χ SD
และอุปสรรค
1. ขาดความรูค้ วามเข้าใจในเชิงอนุรกั ษ์ 3.95 0.78 มาก
2. ขาดความร่วมมือจากประชาชาชนในท้องถิน่ 3.99 0.85 มาก
3. ไม่ได้รบั การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน 3.94 0.74 มาก
4. กลุม่ หรือองค์กรเกีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อมใน
ท้องถิน่ ไม่มคี วามเข้มแข็งพอ 3.83 0.85 มาก
5. ประชาชนในท้องถิน่ ขาดความตระหนักในการอนุรกั ษ์ 4.15 0.86 มาก
6. ขาดเวทีในการแสดงความคิดเห็น หรื อเสนอแนะ
แนวทางทีเ่ ป็ นประโยชน์ต่อการอนุรกั ษ์ 3.53 0.69 มาก
60
ตาราง 14 (ต่อ)
ระดับปัญหา
การมีส่วนร่วมในการวางแผน Χ SD
และอุปสรรค
7. ไม่มเี วลาในการรวมกลุม่ ในการประชุมหรือแสดงความ
คิดเห็นต่างๆ 4.08 0.73 มาก
8. ขาดผูน้ ํากลุ่ มทีม่ ปี ระสิทธิภาพในการโน้มนาวให้เกิด
การรวมกลุม่ 3.93 0.76 มาก
9. ชุมชนคิดว่าเรือ่ งการวางแผนการอนุรกั ษ์เป็ นหน้าที่
ของหน่วยงานระดับภาครัฐและเอกชน 3.50 0.68 มาก
10. ขาดงบประมาณในการดําเนินการจัดประชุมเพือ่
วางแผน 3.51 0.66 มาก
รวม 3.86 0.48 มาก
ระดับปัญหา
การมีส่วนร่วมในการรักษาธํารงไว้ Χ SD
และอุปสรรค
11. ขาดความรูค้ วามเข้าใจในการรักษาให้คงอยูส่ บื ทอดต่อไป 3.92 0.77 มาก
12. ขาดความตะหนักในความสําคัญของผ้าหม้อห้อม 3.58 0.72 มาก
13. ไม่เห็นคุณค่าของมรดกอันลํ้าค่าทีค่ ง ความเป็ น
เอกลักษณ์ 3.83 0.85 มาก
14. ไม่ได้รบั การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน 3.84 0.71 มาก
15. ชุมชนคิดว่าการเก็บรักษาเป็ นการเสียโอกาสในการ
สร้างรายได้ 3.56 0.87 มาก
61
ตาราง 15 (ต่อ)
ระดับปัญหา
การมีส่วนร่วมในการรักษาธํารงไว้ Χ SD
และอุปสรรค
16. ชุมชนเห็นว่าผ้าหม้อห้อมไม่มคี วามทันสมัยและความ
นิยมเท่ากับผ้าอื่นๆ 3.51 0.7 มาก
17. มีการดัดแปลงลวดลายจนไม่เหลือความเป็ นดัง้ เดิม 3.78 0.85 มาก
18. มีการเลียนแบบวัตถุดบิ และกรรมวิธอี น่ื ทีไ่ ม่ใช่แบบดัง้ เดิม 3.88 0.7 มาก
19. ขาดแรงบันดาลใจในการเก็บรักษาผ้าหม้อห้อม 3.55 0.7 มาก
20. ขาดแหล่งเก็บรักษาทีเ่ หมาะสมเพือ่ รักษาสภาพ 3.51 0.85 มาก
รวม 3.69 0.43 มาก
ระดับปัญหา
การมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ Χ SD
และอุปสรรค
21. ขาดความรูค้ วามเข้าใจในกระบวนการเผยแพร่ประชาสัมพ 4.12 0.67 มาก
22. ขาดความรูค้ วามเข้าใจในเนื้อหาหรือความเป็ นมา
เกีย่ วกับผ้าหม้อห้อมอย่างลึกซึง้ 3.54 0.67 มาก
23. ขาดความตระหนักในคุณค่าของผ้าหม้อห้อม 3.86 0.74 มาก
24. ไม่ได้รบั การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน 3.59 0.74 มาก
25. ขาดงบประมาณในการดําเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ 4.17 0.70 มาก
26. ขาดความร่วมมืออย่างจริงจังจากชุมชนในท้องถิน่ 3.54 0.70 มาก
27. ขาดผูน้ ํากลุม่ ทีม่ คี วามสามารถในการรณรงค์ให้เกิด มาก
การเผยแพร่ 3.45 0.66
62
ตาราง 16 (ต่อ)
ระดับปัญหา
การมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ Χ SD
และอุปสรรค
28. ไม่มเี วทีในการจัดแสดงโชว์ผา้ หม้อห้อมให้คนทัวไปได้
่
รูจ้ กั 3.54 0.75 มาก
29. ขาดแรงบันดาลใจใจการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 3.50 0.73 มาก
30. ขาดทักษะและเทคนิคในการสือ่ สาร เช่น ด้านภาษา
ความกล้าแสดงออก เป็ นต้น 3.94 0.82 มาก
รวม 3.73 0.39 มาก
“เนือ่ งจากผ้าหม้อห้อมทําจากธรรมชาติ ให้สธี รรมชาติ ดังนัน้ การรักษาค่อนข้างยาก ต้องขึน้ อยูก่ บั ปจั จัย
หลายๆ อย่าง ดังนัน้ น่าจะให้ผทู้ มี ่ คี วามรูแ้ ละเกีย่ วข้อกับผ้าโดยตรงเข้ามาเป็ นวิทยากรแกนนําจัดอบรมใ
ความรูก้ บั ชาวบ้าน ว่าควรเก็บรักษาอย่างไรให้คงอยูน่ านทีส่ ดุ หรืออาจจะจัดสถานทีท่ มี ่ คี วามพร้อมและ
เหมาะสมในรูปแบบพิพธิ ภัณฑ์ผา้ หม้อห้อม เพือ่ รวบรวมตัวอย่างผ้าหม้อห้อมเก็บไว้เป็ นแหล่งการเรียน ู
ของชุมชนและของประเทศโดยมีผเู้ ชีย่ วชาญหรือนักวิชาการทีเ่ ชีย่ วชาญด้านผ้าดูแลเป็ นพิ”เศษ
(ผูแ้ ทนชุมชน 8)
สรุปผลการวิ จยั
1. ผลการวิ เคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้
หม้อห้อม ตําบลทุ่งโฮ้ง
ระดับการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้ออมตํ ห้ าบลทุ่งโฮ้งโดยภาพรวมอยูใ่ นระดับ
ปานกลาง เมือ่ พิจารณารายด้านพบว่า ชุ มชนมีสว่ นร่วมในการรักษาธํารงไว้ มากทีส่ ดุ รองลงมา คือ
การมีสว่ นร่วมในการเผยแพร่ และการมีสว่ นร่วมในการวางแผน ตามลําดับ
ด้านการวางแผน พบว่า ระดับการมีสวนร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ ผ้าหม้อห้อม
ตําบลทุ่งโฮ้ง ด้านการวางแผนอยูใ่ นระดับน้อย
เมือ่ พิจารณาเป็ นรายข้อ พบว่า ชุมชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการวางแผน อยูใ่ นระดับปาน
กลาง จํานวน 3 ข้อรายการ ได้แก่ มีสว่ นร่วมในการรณรงค์การใช้วตั ถุดบิ แบบดัง้ เดิมในการผลิตงาน
ศิลปะต่างๆ จากผ้าหม้อห้อ มมากทีส่ ุด รองลงมาได้แก่ มีสว่ นร่วมในการสร้างเครือข่ายผ้าหม้อห้อม
และ มีสว่ นร่วมในการค้นพบปญั หาและสาเหตุของปญั หาเกีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
ตามลําดับ
ด้านการรักษาธํารงไว้ พบว่า ชุมชนเข้ามามีสวนร่วมในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อมตําบลทุง่
โฮ้ง ด้านการรักษาธํารงไว้ อยูใ่ นระดับปานกลาง
เมือ่ พิจารณาเป็ นรายข้อ พบว่า ชุมชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการรักษาธํารงไว้ อยูใ่ นระดับปาน
กลางทุกข้อรายการ โดยเรียงลําดับจากมากไปน้อย 3 รายการแรก ได้แก่ มีส่วนร่วมในการปลูกฝงั
จิตสํานึกให้กบั ลูกหลานหรือญาติพน่ี ้องเกีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อมการมีส่วนร่วมในการส่งเสริม
ให้บุคคลใกล้ ตัวใช้ ผา้ หม้อห้อม และมี สว่ นร่วมในกิจกรรมต่างๆ เกีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
ตามลําดับ
ด้านการเผยแพร่ พบว่า ชุมชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อมตําบลทุง่ โฮ้ง
ด้านการมีสว่ นร่วมในการเผยแพร่ อยูใ่ นระดับปานกลาง
74
บรรณานุกรม
ภาคผนวก ก
รายนามผูท้ รงคุณวุฒิ / ผูเ้ ชี่ยวชาญ
88
ภาคผนวก ข
เครือ่ งมือที่ใช้ในการวิ จยั
แบบสอบถามเพื่อการวิจยั
เรื่อง การมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม: กรณี ศึกษา
ตําบลทุ่งโฮ้ง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
ขอขอบพระคุณอย่างสูงยิ ง่ ในความร่วมมือ
ผูว้ จิ ยั : นางสาวภาวินี อินทวิวฒ
ั น์
คําชี้แจง
แบบสอบถามแบ่งข้อคําถามออกเป็ น 4 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 ข้อมูลพืน้ ฐานของผูต้ อบแบบสอบถาม
ตอนที่ 2 ข้อมูลเกีย่ วกับระดับการมีสว่ นร่วมของชุม ชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
ตอนที่ 3 ข้อมูลเกีย่ วกับสภาพปญั หาและอุปสรรคในการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อ
ห้อม
ตอนที่ 4 ข้อมูลเกีย่ วกับแนวทางในการให้ชมุ ชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
91
ระดับการมีส่วนร่วม
ปานกลาง
น้ อยที่สุด
มากที่สุด
น้ อย
ข้อความ
มาก
5 4 3 2 1
การมีส่วนร่วมในการวางแผน (Planning)
1. ท่านมีสว่ นร่วมในการประชุมเกีย่ วกับกิจกรรมต่างๆ ในการ
อนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
2. ท่านมีสว่ นร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับการอนุรกั ษ์
ผ้าหม้อห้อม
3. ท่านมีสว่ นร่วมในการเสนอแนวทางในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
ให้กบั กลุม่ อนุรกั ษ์ต่างๆ
4. ท่านมีสว่ นร่วมในการวางแผน/ วางกลยุทธ์ในการอนุรกั ษ์ผา้
หม้อห้อม
5. ท่านมีสว่ นร่วมในการค้นพบปญั หาและสาเหตุของปญั หา
เกีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
6. ท่านมีสว่ นร่วมในการคิดหาวิธใี นการแก้ไขปญั หาเกีย่ วกับการ
อนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
7. ท่านมีสว่ นร่วมในการเป็ นคณะกรรมการ หรือสมาชิกของกลุม่
ทีเ่ กีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
8. ท่านมีสว่ นร่วมในการตัดสินหรือประเมินผลงานเกีย่ วกับผ้า
หม้อห้อม
9. ท่านมีสว่ นร่วมในการสร้างเครือข่ายผ้าหม้อห้อม
10. ท่านมีสว่ นร่วมในการรณรงค์การใช้วตั ถุดบิ แบบดังเดิ
้ มใน
การผลิตงานศิลปะต่างๆ จากผ้าหม้อห้อม
การมีส่วนร่วมในการรักษาธํารงไว้ (Preservative)
11. ท่านมีสว่ นร่วมในการสอดส่องดูแลผูใ้ ช้ผา้ หม้อห้อมในทางที่
ไม่เหมาะไม่สม
12. ท่านมีสว่ นร่วมในการออกแบบลวดลายผ้าหม้อห้อมชนิดต่างๆ
13. ท่านมีสว่ นร่วมในการศึกษาประวัตคิ วามเป็ นมาของผ้าหม้อ
ห้อมอย่างลึกซึง้
14. ท่านมีสว่ นร่วมในการเป็ นสมาชิกกลุม่ / สมาคม หรือ ชมรมที่
เกีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผลิตภัณฑ์ผา้ หม้อห้อม
15. ท่านเคยร่วมประกวดเกีย่ วกับผลิตภัณฑ์ผา้ หม้อห้อม
16. ท่านมีสว่ นร่วมในการบริจาค เงิน/สถานที/่ วัสดุอปุ กรณ์ต่างๆ
ในการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
93
ระดับการมีส่วนร่วม
ปานกลาง
น้ อยที่สุด
มากที่สุด
น้ อย
ข้อความ
มาก
5 4 3 2 1
17. ท่านมีสว่ นร่วมในกิจกรรมต่างๆ เกีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อ
ห้อม
18. ท่านมีสว่ นร่วมในการเลือกใช้ผา้ หม้อห้อมทีม่ คี วามเป็ น
เอกลักษณ์ดงั ้ เดิม
19. ท่านมีสว่ นร่วมในการส่งเสริมให้บคุ คลใกล้ตวั ใช้ผา้ หม้อห้อม
20. ท่านมีสว่ นร่วมในการปลูกฝงั จิตสํานึกให้กบั ลูกหลาน หรือ
ญาติพน่ี ้องเกีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
การมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ (Dissemination)
21. ท่านมีสว่ นร่วมในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผา้ หม้อห้อม
ให้กบั นักท่องเทีย่ วทัง้ ในและต่างประเทศ
22. ท่านมีสว่ นร่วมในการให้ความรูเ้ กีย่ วกับผ้าหม้อห้อมแก่
บุคคลอื่นๆ
23. ท่านมีสว่ นร่วมในการแต่งกายด้วยผ้าหม้อห้อมเพือ่ เป็ น
แบบอย่าง
24. ท่านมีสว่ นร่วมในการใช้ผา้ หม้อห้อมเป็ นของฝากหรือของที่
ระลึกแก่บคุ คลอืน่ ตามโอกาสต่างๆ
25. ท่านมีสว่ นร่วมในการถ่ายทอดกรรมวิธใี นการผลิตสินค้า
ต่างๆ จากผ้าหม้อห้อม
26. ท่านมีสว่ นร่วมในการเป็ นวิทยากรทัง้ ในและนอกสถานศึกษา
27. ท่านมีสว่ นร่วมในการนําผ้าหม้อห้อมออกแสดงโชว์ในโอกาส
ต่างๆ
28. ท่านมีสว่ นร่วมในการเป็ นวิทยากรหรือผูใ้ ห้ความรูเ้ กีย่ วกับผ้า
หม้อห้อม
29. ท่านมีสว่ นร่วมในการบริจาคผ้าหม้อห้อมเพือ่ เป็ นวิทยาทาน
30. ท่านมีสว่ นร่วมในการเชิญชวนให้คนต่างถิน่ ใช้ผา้ หม้อห้อม
94
ตอนที่ 3 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพปัญหาและอุปสรรคในการมีส่วนร่วมของชุมชนในการ
อนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อม
ระดับของปัญหาและอุปสรรค
ปานกลาง
น้ อยที่สุด
มากที่สุด
น้ อย
ข้อความ มาก
5 4 3 2 1
การมีส่วนร่วมในการวางแผน (Planning)
1. ขาดความรูค้ วามเข้าใจในเชิงอนุรกั ษ์
2. ขาดความร่วมมือจากประชาชาชนในท้องถิน่
3. ไม่ได้รบั การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
4. กลุม่ หรือองค์กรเกีย่ วกับการอนุรกั ษ์ผา้ หม้อห้อมในท้องถิน่ ไม่ม ี
ความเข้มแข็งพอ
5. ประชาชนในท้องถิน่ ขาดความตระหนักในการอนุรกั ษ์
6. ขาดเวทีในการแสดงความคิดเห็น หรือเสนอแนะแนวทางทีเ่ ป็ น
ประโยชน์ต่อการอนุรกั ษ์
7. ไม่มเี วลาในการรวมกลุม่ ในการประชุมหรือแสดงความคิดเห็น
ต่างๆ
8. ขาดผูน้ ํากลุม่ ทีม่ ปี ระสิทธิภาพในการโน้มนาวให้เกิดการ
รวมกลุม่
9. ชุมชนคิดว่าเรือ่ งการวางแผนการอนุรกั ษ์เป็ นหน้าทีข่ อง
หน่วยงานระดับภาครัฐและเอกชน
10. ขาดงบประมาณในการดําเนินการจัดประชุมเพือ่ วางแผน
95
ระดับของปัญหาและอุปสรรค
ปานกลาง
น้ อยที่สุด
มากที่สุด
น้ อย
ข้อความ
มาก
5 4 3 2 1
การมีส่วนร่วมในการรักษาธํารงไว้ (Preservative)
11. ขาดความรูค้ วามเข้าใจในการรักษาให้คงอยูส่ บื ทอดต่อไป
12. ขาดความตะหนักในความสําคัญของผ้าหม้อห้อม
13. ไม่เห็นคุณค่าของมรดกอันลํ้าค่าทีค่ งความเป็ นเอกลักษณ์
14. ไม่ได้รบั การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
15. ชุมชนคิดว่าการเก็บรักษาเป็ นการเสียโอกาสในการสร้าง
รายได้
16. ชุมชนเห็นว่าผ้าหม้อห้อมไม่มคี วามทันสมัยและความนิยม
เท่ากับผ้าอืน่ ๆ
17. มีการดัดแปลงลวดลายจนไม่เหลือความเป็ นดัง้ เดิม
18. มีการเลียนแบบชนิดของวัตถุดบิ และกรรมวิธอี ่นื ทีไ่ ม่ใช่แบบ
ดัง้ เดิม
19. ขาดแรงบันดาลใจในการเก็บรักษาผ้าหม้อห้อม
20. ขาดแหล่งเก็บรักษาทีเ่ หมาะสมเพือ่ รักษาสภาพ
การมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ (Dissemination)
21. ขาดความรูค้ วามเข้าใจในกระบวนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
22. ขาดความรูค้ วามเข้าใจในเนื้อหาหรือความเป็ นมาเกีย่ วกับผ้า
หม้อห้อมอย่างลึกซึง้
23. ขาดความตระหนักในคุณค่าของผ้าหม้อห้อม
24. ไม่ได้รบั การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
25. ขาดงบประมาณในการดําเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
26. ขาดความร่วมมืออย่างจริงจังจากชุมชนในท้องถิน่
27. ขาดผูน้ ํากลุม่ ทีม่ คี วามสามารถในการรณรงค์ให้เกิดการ
เผยแพร่
28. ไม่มเี วทีในการจัดแสดงโชว์ผา้ หม้อห้อมให้คนทัวไปได้
่ รจู้ กั
29. ขาดแรงบันดาลใจใจการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
30. ขาดทักษะและเทคนิคในการสือ่ สาร เช่น ด้านภาษา ความ
กล้าแสดงออก เป็ นต้น
96
การมีส่วนร่วมในการวางแผน (Planning)
1…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………
2…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………
3…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………
การมีส่วนร่วมในการรักษาธํารงไว้ (Preservative)
1…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………
2…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………
3…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………
การมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ (Dissemination)
1…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………
2…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………
3…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………
ขอขอบพระคุณอย่างสูงในความร่วมมือของท่านครัง้ นี้
ั น์ (ผูว้ ิ จยั )
นางสาวภาวิ นี อิ นทวิ วฒ
97
แนวทางการสนทนากลุ่ม
หัวข้อ
แนวทางในการส่งเสริมให้ชมุ ชนเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรกั ษ์ผลิ ตภัณฑ์ผา้ หม้อห้อม
ตําบลทุ่งโฮ้ง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
วัตถุประสงค์
สถานที่จดั สนทนากลุ่ม
แนวทางในการสนทนากลุ่ม
ประวัติย่อผู้วิจยั
99
ประวัติย่อผู้วิจยั