Professional Documents
Culture Documents
เรื่อง
“เทคนิคการปฏิบัติดูแลรักษาภูมิทัศนของสวน”
จัดโดย
ศูนยวิจัยและการจัดการความรูทางพฤกษศาสตร
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ
รวมกับ
บริษัท เอ.พี. เอ็นจิเนียริ่ง แอนด ซับพลาย จํากัด
คณะผูจดั การฝกอบรม
พฤษภาคม 2550
สารบัญ
เรื่อง หนา
การตัดแตงพรรณไมในสวน................................................................................1
การจัดการดูแลสนามหญา.................................................................................16
การใหน้ําและการใสปุยพรรณไมในสวน...............................................................34
การปองกันและกําจัดศัตรูพรรณไม
โรคพืช...............................................................................................43
วัชพืช.................................................................................................57
สัตวศตั รูพืช.........................................................................................69
1
การตัดแตงกิ่งพรรณไมในสวน
ธวัชชัย มูลตลาด
นักวิชาการเกษตร
การปลู ก ไม ป ระดั บ นั้ น เป า หมายของการปลู ก อยู ที่ ค วามงดงามของต น ไม ที่ จั ด ให
เหมาะสมกับสถานที่ ดังนั้นเปาหมายของการดัดและตัดแตงจึงมุงไปที่ความสวยงามเปนหลัก การ
ตัดแตงจึงมักเปนไปตามที่เจาของสถานที่ตองการ เชน เปนรูปทรงตาง ๆ เปนแนวรั้ว เปนรูปทรง
ของไมดัด ดังนั้นกิ่งที่ตองการตัดแตงจึงเปน กิ่งแหง กิ่งกระโดงหรือกิ่งน้ําคาง กิ่งที่เกะกะกีดขวาง
การสัญจร ฯลฯ
วัตถุประสงคของการตัดแตงกิ่งไมผลและไมประดับ
1. เพื่อใหตนไมมีโครงสรางที่แข็งแรง
2. เพื่อตองการใหตนไมออกดอก ติดผลดี
3. เพื่อใหตนไมมีผลกระจายทั่วตนสม่ําเสมอ
4. เพื่อใหไดผลผลิตที่มีคุณภาพดี
5. เพื่อใหตนไมมีโครงสรางเหมาะที่จะปฏิบัติงานในสวน
6. เพื่อปองกันการระบาดของโรคและแมลง
7. เพื่อควบคุมขนาดและรูปทรงของทรงพุมที่ตองการ
หลักการตัดแตงกิ่งที่ถูกตอง มีดังนี้
1) ใชเครื่องมือและอุปกรณใหถูกตอง
2) ทําการตัดแตงกิ่งดวยความระมัดระวัง
3) ศึกษาการตอบสนองของตนไมตอการตัดแตงกิ่ง
4) ตัดแตงกิ่งเพื่อใหไดรูปทรงตามตองการ
5) ทําการตัดแตงใหไดรูปทรงตามตองการ
6) การรักษาบาดแผลของรอยตัด
ในกรณีที่ผูตัดแตงกิ่งยังไมมีประสบการณหรือความชํานาญที่เพียงพอนั้น ใครขอใหโปรด
ระลึกหรือจดจํา สิ่งที่เปนหัวใจของการตัดแตงกิ่งไวในใจ 3 ขอคือ
1. ตัดแตนอย ดีกวาตัดมากจนเกินไป
2. ตนไมยิ่งตัดมาก ยิ่งเพิ่มความแคระมาก
3. ใหคิดกอนตัดอยูตลอดเวลา ถึง ผลดีและผลเสียของการตัดแตงอวัยวะสวนนั้นของพืช
เสมอ
2
ประเภทของตนไมที่ตองมีการตัดแตงกิ่ง
ไมวาจะเปนตนไมยืนตน ขนาดใหญ ไมพุม ไมคลุมดิน หรือหญาสนามลวนตองการการ
ตัดแตงที่ถูกตองเหมาะสมและสม่ําเสมอ เพื่อใหตนไมมีความแข็งแรง สวยงาม โดยตนไมแตละ
ประเภทก็มีวัตถุประสงคในการตัดแตงกิ่งที่ตางกันออกไป ดังนี้
1. ไมยืนตน จัดเปนไมขนาดใหญตามธรรมชาติ มีความสูง ตั้งแต 2.5 เมตรขึ้นไป
เชน ประดู สน ชมพูพันธุทิพย ไผ ปาลมประดับ ไทร มะมวง ขนุน ฯลฯ ซึ่งตองทําการตัดแตงกิ่ง
ไมยืนตน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อใหเปนไปตามรูปทรงที่ตองการ ทรงพุมโปรง ใหออกดอกดก
หรือมีผลผลิตเพิ่มขึ้น ตัดแตงกิ่งที่เกะกะขวางทางออก ยกเวนกรณีพืชตระกูลปาลมที่มีลําตนเดี่ยว
ไมมีกิ่งกานสาขา เราตองทําการตัดแตงใบ เชน ใบแก ใบหัก หรือใบที่ไมสวยงาม ออก
2. ไมพุม เป น ไม ที่ มี ลํ า ต น ตั้ ง เป น อิ ส ระโดยไม อ าศั ย ต น ไม อื่ น มั ก แตกกิ่ ง ก า น
ออกมาระดับต่ําไมสูงจากพื้นดินมากนัก เชน โกสน เข็ม โมก ชาฮกเกี้ยน เล็บครุฑ หูปลาชอน
ฯลฯ ซึ่งตองทําการตัดแตงกิ่งไมพุม โดยมีวัตถุประสงคเพื่อใหเปนไปตามรูปทรงที่ตองการ ให
ทรงพุมหนาแนนขึ้น ใหมีดอกเพิ่มขึ้น
3. ไมเลื้อย เปนไมที่มีการเจริญเติบโตทุกทิศทาง ตองอาศัยตนไมอื่นหรือวัตถุตาง
เพื่อปนปาย มีทั้งไมลมลุกและไมมีเนื้อไม เชน เฟองฟา ตีนตุกแก พวงคราม พวงแสด การเวก
พลูดาง สนเลื้อย ฯลฯ ซึ่งตองทําการตัดแตงกิ่งไมเลื้อย โดยมีวัตถุประสงคเพื่อใหเปนไปตาม
รูปทรงที่ตองการ ใหทรงพุมโปรงขึ้น
4. ไมคลุมดิน เปนพืชที่มีตนเตี้ย อยูเปนกลุมกอนติด ๆ กัน เชน กระดุมทองเลื้อย
ดาดตะกั่ว พรมออสเตรเลีย ฯลฯ ซึ่งตองการตัดแตงไมคลุมดิน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อใหเปนไป
ตามรูปทรงที่ตองการ ใหทรงพุมโปรงขึ้น
วิธีการตัดแตงกิ่งตนไม มีดังนี้
1. การเด็ดยอด (Pinching) เปนการเด็ดยอดออกเพื่อใหแตกแขนงใหม หรือเพื่อควบคุม
การเจริญเติบโตของตนไม
2. การตัดสางโปรง (Thinning) เปนการตัดกิ่งหลัก ๆ ออกจากลําตนใหญทั้งกิ่ง เหมาะ
สําหรับตนไมที่มีทรงพุมแนนจนแสงสวางเขาไมถึง เมื่อตัดแลวจะทําใหทรงพุมโปรงทันที
การตัดแตงกิ่งวิธีนี้ตองระมัดระวัง เพราะกิ่งที่ตัดออกนั้นมักมีขนาดใหญละมีน้ําหนักมาก
ตองมีวิธีการตัดที่ถูกตอง ไมเปนอันตรายตอตนไมและคนตัด
3. การตัดใหเตี้ย (Heading back) เปนการตัดกิ่งใหสั้นเขามาเพื่อใหแตกยอดใหม โดยตอง
ตั ด ให ถึง ส ว นตอ หรื อขอกิ่ง ที่ มี ต าอยู ซึ่งจะทํา ใหเกิ ด กิ่งเล็ก ๆ อีก มาก ทํา ใหทรงพุ ม
หนาแนนขึ้น
4. การตัดเล็ม (Shearing) เปนการตัดแตงที่ไมจําเปนตองคํานึงถึงการตัดที่ตองอยูเหนือตา
หรือขอตา เพราะเปนการตัดแตงผิวของทรงพุมใบใหไดรูปทรงตามตองการ
3
ลักษณะของกิ่งที่สมควรตัดทิ้งเพื่อใหมีพุมใบที่โปรง
1. กิ่งกระโดง หรือกิ่งน้ําคางคือ กิ่งที่เจริญแยกจากสวนของกิ่งใหญตอนลางๆ ที่เจริญชี้
ตั้งตรงอยูภายในรมเงาไมชี้ออกนอกพุมใบ กิ่งเหลานี้ไมมีโอกาสออกดอกออกผลไดเลย
หากปลอยทิ้งไวยอมเปนภาระ แทนที่ลําตนจะสงอาหารเพื่อไปเลี้ยงกิ่งอื่นๆที่สามารถให
ดอกใหผลได แตกลับจะตองแบงอาหารบางสวนมาเลี้ยงกิ่งกระโดงหรือกิ่งน้ําคางซึ้งไมมี
ประโยชนอันใดเลย
2. หนอหรือกิ่งโคนตน คือกิ่งที่แตกออกมาในระดับต่ําๆบริเวณโคนตนก็ควรตัดทิ้งไป
เพื่อใหบริเวณโคนตนโปรง
3. งามกิ่ง ในบริเวณปลายกิ่งแขนงยอยบางกิ่ง อาจมีงามกิ่งแตกออกมามากมายหลาย
งาม ก็ควรเลือกตัดงามกิ่งเหลานั้นออกเสียบาง ใหแตละกิ่งแขนงยอยมีงามกิ่งเพียง 1
หรือ 2 งามก็เพียงพอแลว
4. กิ่งคดงอ หมายถึงกิ่งที่คดโคงอยูภายในพุมใบซึ่งส0วนใหญจะมีลักษณะออนแอ ไม
สมบรูณ เพราะไดรับแสงสวางไมเพียงพอ ถาปลอยทิ้งไวก็จะทําใหสิ้นเปลืองธาตุอาหาร
โดยเปลาประโยชนจึงควรตัดทิ้งไป
5. กิ่งที่ฉีกหักคาตน ก็ควรตัดทิ้งไปดวย ถากิ่งที่ฉีกหักคาตนนี้มีขนาดเสนผาศูนยกลาง
ตั้งแต 1 นิ้วขึ้นไป หลังจากตัดแตงแลวจะทาดวยปูนแดงหรือสีน้ํามันปดรอยแผลใหทั่ว
เพื่อปองกันเชื้อราชนิดตางๆมิใหเขาทําลายได
การตัดแตงตนไม บางครั้งอาจจําเปนตองตัดกิ่งที่มีขนาดใหญ โดยมีวัตถุประสงค
ตางๆกัน เชน ตัดเพื่อใหพุมใบโปรง ตัดเพื่อหยุดการบาใบ ตัดเพื่อสรางความสมดุลของ
ธาตุอาหาร ตัดเพื่อปองกันการฉีกหักของกิ่งและลําตนอันเนื่องมาจากลมพายุ ตัดเพื่อ
ความคุมหรือลดขนาดความกวางและความสูงของพุมใบ
โดยปกติแลวกิ่งที่ทํามุมกับลําตนเปนมุมกวางจะมีโครงสรางของเนื้อไมแข็งแรง
กวากิ่งที่มีมุมแคบ ดังนั้นในการตัดแตง ถามีกิ่งใหเลือกตัดไดหลายกิ่ง ก็ควรเลือกตัดกิ่งที่
ทํามุมกับลําตนเปนมุมแคบออกไปกอน กิ่งที่มีมุมแคบออนแอกวา เพราะเนื้อไมที่เจริญ
เบียดกันขณะที่กิ่งมีการขยายขนาดระหวางการเจริญเติบโต ทําใหเชลลของเนื้อไมที่มีอยู
ดานในตายไปและเนื้อไมบางสวนเริ่มเนา บริเวณดังกลาวนี้จะเปนจุดที่ออนแอฉีกขาดได
งายเมื่อถูกลมพายุพัดแรงๆ
4
เครื่องมือที่ใชในการตัดแตงตนไม
เนื่องจากกิ่งของตนไมมีตั้งแตขนาดใหญจนถึงขนาดเล็ก ดังนั้นจึงมีเครื่องมือที่ใชในการตัดแตง
หลายชนิด การใชเครื่องมือที่ไมเหมาะสมคือใชงานผิดประเภท นอกจากจะทําอันตรายตอตนไม
แลวยังอาจทําใหเครื่องมือเสียหายไดดวย ดังนั้นการเลือกใชเครื่องมือใหเหมาะสมจึงเปนสิ่งสําคัญ
อันดับแรกที่ตองพิจารณา เครื่องมือที่ใชในการตัดแตงมีหลายชนิด ดังนี้
1. กรรไกรตัดแตงมี 2 แบบ คือ
Anvil type ใชตัดแตงกิ่งที่มีขนาดเสนผาศูนยกลางเล็กกวา 0.25 นิ้ว
2. กรรไกรตั ด แต ง กิ่ ง ไม มี ด า มยาว 20-36 นิ้ ว ใช ตั ด แต ง กิ่ ง ที่ อ ยู สู ง ละมี ข นาด
เสนผาศูนยกลาง 1.0 ถึง 1.5 นิ้ว
5
การตัดแตงกิ่งไมพุมวิธีตางๆ
กิ่งยอด
ตายอด
ตาขางที่อาจแตกเปนกิ่งขาง
สวนของกิ่งที่เจริญตอไป
กิ่งขางที่เจริญจากตาขางและเจริญ
ออกไป
รอยแผลจากการเจริญของตายอด
ของปที่แลว
สวนที่เจริญมาแลวในฤดูรอน
8 8 8 9
รูปที่ 10 ลักษณะการกิ่งที่ดีและไมดี หมายเลข 1 ตัดแผลเฉียงยาวเกินไป หมายเลข 2 ตัดหางตา
มากไป หมายเลข 3 ตัดเอียงชิดตาผิดดาน ทําใหตาเนา หรือกระทบกระเทือน หมายเลข 4 ตัด
ถูกตองรอยแผลหางจากตาประมาณ 1 เซนติเมตร
กิ่งที่เปนโรค
12
กิ่งที่ขวางกิ่งอื่นๆและกิ่งกระโดง หรือกิ่งน้ําคาง
กิ่งที่ขึ้นแทรกในมุมกิ่งอื่น
กิ่งที่คดงอ หรือกิ่งที่ชี้เขาในทรงพุม
13
เอกสารอางอิง
การจัดการดูแลสนามหญา
นายพนม สุทธิศักดิ์โสภณ
อาจารยประจํา
โครงการจัดตั้งศูนยวิจัยและการจัดการความรูทางพฤกษศาสตร
ประโยชนของสนามหญา
1. เปนสวนประกอบที่ทําใหบริเวณสถานที่มีความสงางาม รื่นรมย มีความเปนระเบียบ
เรียบรอย ทําใหสวนมีคุณคามากยิ่งขึ้น
2. ใชในการพักผอนหยอนใจ กิจกรรมสันทนาการ เปนที่รับรองแขก จัดงานเลี้ยง หรือทํา
กิจกรรมตาง ๆ
3. ใชเปนสนามกีฬาประเภทตาง ๆ และสถานที่ออกกําลังกาย
4. ชวยลดการสะทอนของแสง และความรอน
5. ชวยลดเสียงรบกวนลง เชน เสียงยวดยานพาหนะ ฯลฯ
6. ชวยรักษาความชื้นในดิน และปองกันการชะลางพังทลายของหนาดิน
7. ชวยใหมีความปลอดภัยแกผูใช
8. ชวยลดมลพิษทางอากาศ เชน ฝุนละออง หมอกควันจากโรงงาน ไอเสียจากรถยนต ฯลฯ
9. ชวยลดความสกปรกของอาคาร
10. ใชเปนสื่อสรางนิสัยรักธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ของคนในครอบครัว และคนในสังคม
โดยใชกิจกรรมดูแลรักษาสนามหญารวมกัน ฯลฯ
หญานั้นถือเปนพืชคลุมดินที่มีราคาถูกที่สุด แตมีประโยชน และมีคุณคามากมายหลาย
ดาน ดังนั้นการที่จะดูแลรักษาสนามหญา ของเราใหสวยงามอยูตลอดเวลานั้น จะตองปฏิบัติตาม
วิธีการบํารุงดูแลรักษาที่ถูกตอง และสม่ําเสมอ เชน ในเรื่องของการตัดแตง การใหน้ํา การใสปุย
การกําจัดวัชพืช การปองกันกําจัดโรคและแมลงศัตรูหญาสนาม การซอมแซมสนามหญาสวนที่
ไดรับความเสียหาย ฯลฯ
17
ชนิดของหญาสนาม
กอนจะทราบถึงวิธีการดูแลรักษาสนามหญา เราควรมาทําความรูจักกับชนิดของหญาที่มี
ใชปลูกกันอยูทั่วไปเสียกอน เพื่อจะไดเลือกวิธีการดูแลรักษาไดอยางเหมาะสม เนื่องจากหญา
แตละชนิดจะมีวิธีการดูแลรักษาที่แตกตางกันไป โดยหญาสนามที่ใชปลูกกันทั่วไปและเปนที่รูจัก
กันดีในประเทศไทย ไดแก
1. หญานวลนอย (Manila grass)
มีชื่อวิทยาศาสตร Zoysia malrella Merr.
หญานวลนอยเปนหญาสนามที่ไดรับความนิยมปลูกมากที่สุดในประเทศไทย เนื่องจาก
สามารถเจริญเติบโตไดดีในดินเกือบทุกชนิด และยังปรับตัวใหเขากับสภาพแวดลอมไดงาย ใช
ปลูกกลางแจง ทนทานตอการเหยียบย่ําไดดี การดูแลรักษาไดงาย ในฤดูแลงตองรดน้ําอยูเสมอ
มิฉะนั้นจะเหลืองแตไมถึงกับตาย สามารถทนเค็มไดเล็กนอย มีความทนทานตอโรคและแมลง
2. หญาญี่ปุน (Japanese lawngrass)
มีชื่อวิทยาศาสตร Zoysia japonica Steud
เปนหญาอีกชนิดที่ไดรับความนิยมมากเชนกัน สามารถปลูกไดทั้งในเขตหนาวและแหง
แลง เจริญเติบโตชา ไมทนตอการปลูกในที่ชื้นแฉะ ทนรมได 50 เปอรเซ็นต ชอบขึ้นในดินเหนียว
โดยหญาญี่ปุน มี 2 ชนิดไดแก
ชนิดใบกวาง จะมีใบกวาง ประมาณ 4 มิลลิเมตร
ชนิดใบกลม ใบจะเล็ก และละเอียดกวา เปนชนิดที่นิยมปลูกในประเทศไทย
การปลูกหญาญี่ปุนนั้น ไมเหมาะสําหรับปลูกเปนหญาสนามเพื่อการนั่งเลน เนื่องจากใบ
แข็งปลายแหลม จะใชปลูกกลางแจง ทนตอการเหยียบย่ําไดพอสมควร ไมคอยยืดหยุนตัวเหมือน
หญานวลนอย หญาชนิดนี้ตองทําการตัดในระยะเวลาที่เหมาะสม ไมเชนนั้นหญาจะขึ้นเปนกระจุก
ทําใหการตัดแตงทําไดยาก
3. หญากํามะหยี่ (Mascarene grass หรือ Korean velvetgrass)
มีชื่อวิทยาศาสตรวา Zoysia tenuifolia Will.
เปนหญาในสกุล Zoysia ชนิดที่มีใบฝอยละเอียดที่สุด ใบสีเขียวออน เจริญเติบโตชา ขึ้น
ราบเรียบติดดิน นิยมปลูกในที่ ๆ ไมตองการทําการตัดแตงบอย ๆ
18
4. หญามาเลเซีย หรือ หญาพรม (Malaysia grass หรือ Carpet grass) มี 2 ชนิด คือ
4.1 Common carpet grass
มีชื่อวิทยาศาสตร วา Axonopus affinis
เปนหญาพันธุดั้งเดิมของทวีปอเมริกาแถบรอน ปลูกทั่วไปในเขตรอนชื้น ทนตออากาศ
หนาวได เ ล็ ก น อ ย แต ไ ม ท นแล ง ป จ จุ บั น ไม เ ป น ที่ นิ ย มปลู ก กั น เนื่ อ งมาจากมี Axonopus
compressus มาแทนที่
4.2 Tropical carpet grass
มีชื่อวิทยาศาสตร วา Axonopus compressus
เปนชนิดที่นิยมปลูกในประเทศไทย โดยมีการปลูกกันมานานแลว ในสวนยางทางภาคใต
มีชื่อเรียกวา “หญาเห็บ” และบางทองที่เรียก “หญาไผ” ไมทนตออากาศหนาวเทาชนิดแรกแต
ทนแลงไดดีกวา ตองการความชื้นสูงแตไมชอบน้ําขังแฉะ ขึ้นไดดีในที่รมรําไรและมีการถายเท
อากาศดี แตถารมมากเกินไปจะออนแอ ไมทนตอการเหยียบย่ําและสภาพแหงแลง
5. หญาแพรก (Bermuda grass)
มีชื่อวิทยาศาสตร วา Cynodon dactylon
เปนหญาที่เรารูจักกันมานานแลว และมีการใชในพิธีไหวครู เปนสัญลักษณแสดงถึง ความ
แตกฉานทางปญญา นอกจากนี้ ยังเปนที่รูจักกันเปนอยางดีของเด็ก ๆ ที่เอาหญาแพรกที่เปนรูป
หัวไกมาตีเลนกัน หญาชนิดนี้มีการเจริญเติบโตเร็ว ไมชอบที่รม ทนทานตอการเหยียบย่ําไดดีมาก
ทนตอความแหงแลงไดดี และชอบดินที่มีการระบายน้ําดี
6. หญานวลจันทร (polytrias)
มีชื่อวิทยาศาสตร วา Polytrias amoura
เปนหญาที่มีถิ่นกําเนิดในประเทศไทย บางคนเรียก “หญาใบบาง” หากปลูกในที่
กลางแจงตนจะเรียบชิดติดดินไดดีกวาหญานวลนอย ดูแลรักษางาย ไมทนตอการเหยียบย่ํา แต
หากถูกเหยียบย่ําก็สามารถฟนตัวไดเร็ว
7. หญาพันธุลูกผสมตางประเทศ
มีมากมายหลายพันธุ สวนใหญเปนหญาใบเล็กละเอียด มีความสวยงามมาก นิยมปลูกใน
สนามกอลฟ ตองการการดูแลรักษามาก การปลูกมักใชเมล็ดพันธุหวานพื้นสนามที่เตรียมไว
โดยตรง หรื อ เพาะในแปลงก อ นแซะไปปลูก ภายหลั ง ตั วอย า งเช น หญ า ทิฟ กรีน (Tifgreen)
หญาทิฟลอน (Tiflawn) ทิฟดวาฟ (Tifdwarf) หญาบาเฮีย พันธุ Agentine, Penscola เปนตน
19
การปลูกหญาสนาม
1. ทําการกําจัดวัชพืชออกจากพื้นที่สนามใหหมด ซึ่งอาจจําเปนตองใชสารเคมีกําจัดวัชพืช
ในกรณีวัชพืชหลายฤดู เชน หญาแหวหมู หญาชันอากาศ เปนตน
2. เก็บเศษหิน อิฐ รวมถึงวัสดุกอสรางตาง ๆ ออกจากพื้นที่มากที่สุดเทาที่จะทําได
3. ปรับพื้นที่สนามใหไดระดับที่ตองการ โดยคํานึงถึงแนวการระบายน้ําออกจากสนามไวดวย
4. ตรวจสภาพความเปนกรด-ดาง ของดิน หากพบวาดินเปนกรด อาจโรยปูนขาว เล็กนอย
เพื่อปรับสภาพความเปนกรด-ดาง ของดินใหดีขึ้น
5. ปรับแตงหนาดินใหเรียบ สวนมากนิยมใชทรายขี้เปดในการปรับแตงพื้นที่ครั้งสุดทายให
เรียบรอย แลวใชปุยหมักหรือปุยคอก โรยหวานหนาดินอีกครั้งหนึ่งกอนทําการปลูกหญา
6. ปลูกหญาตามตองการ
การดูแลรักษาสนามหญา
การดูแลรักษาสนามหญาในสวน มีกิจกรรมที่ตองปฏิบัติอยู 2 ลักษณะ คือ
1. กิจกรรมที่ตองปฏิบัติเปนประจํา เชน การใหน้ํา การตัดหญา การตัดแนวขอบ
สนามหญา
2. กิจกรรมที่ปฏิบัติเปนครั้งคราว แลวแตความจําเปน หรือจะทําเมื่อถึงเวลาอันควร
หรือเมื่อเกิดปญหากับสนามหญาในสวน เชน การใสปุย การปรับแตงผิวหนาสนามหญา การกําจัด
วัชพืช การปองกันโรคและแมลง การแกไขการอัดแนนของดิน การกําจัดชั้นของเศษหญา ฯลฯ
1. กิจกรรมที่ตองปฏิบัติเปนประจํา
1.1 การตัดแตงหญาสนาม
การตัดหญาที่ถูกวิธี ทําใหสนามหญามีการเจริญเติบโตหนาแนน สม่ําเสมอ
เปนระเบียบสวยงาม มีผลใหรากหญาเจริญไปทางดานขางและทางลึกไดมาก แมวาเปนการตัด
หญาที่ถูกวิธี ก็ยังเปนการทําอันตรายแกหญา ดังนั้นจะเกิดอันตรายที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นหากทําการ
ตัดหญาไมถูกวิธี เพราะการตัดหญาเปนการตัดสวนที่เจริญเติบโตและสวนที่สรางอาหารออกไป
ไดแก ลําตนและใบ จึงทําใหหญาชะงักการเจริญเติบโต และขณะเดียวกันรอยแผลที่ตัดทําใหหญา
มีการคายน้ํามากขึ้นในชวงการตัดหญาใหม ๆ หญาจึงออนแอพรอมที่จะถูกโรค แมลง และวัชพืช
เขารบกวน จนกอใหเกิดความเสียหายไดตลอดเวลา ดังนั้นการตัดหญา จึงเปนขั้นตอนที่ตองใช
เวลามากที่สุดในกระบวนการดูแลรักษา และการจัดการเกี่ยวกับสนามหญา ซึ่งตองตัดดวยความ
ระมัดระวังและถูกวิธี จึงจะทําใหสนามหญามีความสวยงามอยางยั่งยืนและประหยัดคาใชจายใน
การดูแลรักษา
20
หลักการตัดหญาสนาม
1. หญาสนามตัดไดครั้งแรกหลังจากปลูก (เต็มแผน) ไปแลวภายใน
2 - 3 สัปดาห เพื่อสรางความสม่ําเสมอใหเกิดขึ้นกับสนามหญา โดยตัดใหสูงจากพื้น ประมาณ
1.5 - 2 นิ้ว เมื่อผานเดือนแรก ก็คอยลดความสูงลงใหเหลือ 1 นิ้ว แลวจึงกําหนดระยะเวลาใน
การตัดที่สม่ําเสมอตอไป
2. เก็บเศษวัสดุตาง ๆ ที่จะเปนอันตรายตอผูปฏิบัติงานและอุปกรณตัดหญา
ในขณะตัดหญา เชน หิน อิฐ ไม เศษพลาสติก ฯลฯ
3. ตรวจเครื่องตัดหญาใหอยูในสภาพดีทุกครั้งกอนตัด ทั้งความคมของใบมีด
และการตั้งระยะความสูง
4. เดินเครื่องตัดหญาดวยความเร็วคงที่สม่ําเสมอ จะเร็วหรือชาขนาดไหน
ใหสังเกตดูจากการขาดของหญา ถาหญาขาดไมสม่ําเสมอ แสดงวาเดินตัดเร็วไปในขณะที่รอบ
เครื่องหมุนชา หรือหยุด ณ ตําแหนงเดิมนานเกินไปซึ่งจะตองปรับใหพอดีกัน หากใชรถตัดหญา
ควรเดินรถใหรอยตัดในแตละแถบเหลื่อมกันเล็กนอย เพื่อใหตัดหญาไดหมดและสม่ําเสมอ
5. ตองตัดหญาในขณะที่พื้นสนามหญาแหงไมเปยกแฉะ หากเปนไปไดควรรดน้ํา
กอนตัดลวงหนา 1 วัน จะทําใหตนหญาจะอวบ ตัดไดงาย
6. หลังตัดหญาเสร็จ ตองคราดเศษหญาออกจากสนามหญาทันที ไมควรปลอย
ทิ้งไว เนื่องจากจะทําใหเกิดปญหาในภายหลัง เชน ทําใหเกิดการสะสมของชั้นหญา เกิดการเนา
กอใหเกิดโรค เปนที่หลบซอนของแมลง ขัดขวางการสังเคราะหแสงของหญาสนาม
7. ตองกําหนดเวลาตัดหญาใหตรงเวลาเสมอ เชน ตัดทุกวันที่ 10 วันที่ 20 และ
วันที่ 30 ของทุกเดือน จะไดไมหลงลืม การตัดหญาที่ตรงเวลาจะทําใหหญาไมออนแอหลังตัด
8. หากปลอยใหหญาสนามยาวมากๆ ก็ไมควรตัดใหสั้นตามความสูงที่กําหนดใน
คราวเดียว ควรคอย ๆ ตัดใหสั้นลงตามสวนไปเรื่อย ๆ จนไดความสูงที่ตองการ โดยทั่วไปถือ
หลักการวาควรตัดหญาออกไมเกิน 1 ใน 3 ของความยาวหญาทั้งหมด
ขอควรพิจารณาในการตัดหญา
- ไมควรปลอยใหหญาออกดอกกอน เพราะการปลอยใหหญาออกดอกจะเปน
การทําใหหญาทรุดโทรม และเมื่อตัดหญาแลวจะเห็นแตสวนของลําตนทําใหดูไมสวยงาม
- ตองไมตัดหญาใหสั้นเกินไปจนถึงระดับลําตนของหญา เพราะจะทําใหสนาม
หญาดาง และมีโอกาสถูกโรค แมลงศัตรู และวัชพืช รุกรานและเขาทําลายไดงาย นอกจากนี้ยังทํา
ใหหญาฟนตัวไดชา ทรุดโทรม และอาจตายได เนื่องจากสูญเสียสวนที่เปนสีเขียวสําหรับสรางและ
สะสมอาหารไปมากนั่นเอง
ความสูงและความถี่ในการตัดหญา
ปกติ แ ล ว จะตั ด หญ า บ อ ยครั้ ง เพี ย งใดนั้ น ไม สํ า คั ญ เท า กั บ ความสู ง ของหญ า
21
1.2 การใหน้ําหญาสนาม
น้ํา เปนสิ่งสําคัญสําหรับหญาสนามมาก เพียงแตมีน้ําหญาก็พออยูไดโดยไมตองใส
ปุย จะเห็นวาหากขาดน้ําเพียง 3-4 วัน หญาจะแสดงอาการเหี่ยวเฉา ใบเหลือง ดูแลวไมสวยงาม
และหญ า บางชนิ ด อาจตายได ห ากขาดน้ํ า นาน ๆ ดั ง นั้ น การให น้ํ า จึ ง ต อ งให อ ย า งเพี ย งพอ
โดยเฉพาะในชวงที่อากาศรอนและแหง มีอุณหภูมิสูง ยิ่งตองใหน้ํามาก
- ปจจัยในการพิจารณาในการใหน้ํา เพื่อใหเกิดการประหยัดน้ําในการดูแลสนาม
หญา ควรพิจารณาดังนี้
1. สภาพฟาอากาศ ไดแก ความชื้นในอากาศ (หนาหนาวความชื้นนอย หนาฝน
ความชื้นมาก) อุณหภูมิ แสงแดด ลม เพราะสิ่งเหลานี้มีผลตอการคายน้ําของหญาสนาม มีผลตอ
การระเหยของน้ําจากผิวดิน เราจึงใหน้ํามากนอยแตกตางกัน ตัวอยางเชน ถาเปนชวงที่มีแสงแดด
จัด อุณหภูมิยอมสูง หรือชวงที่มีลมพัดตลอดเวลา จะทําใหหญาคายน้ํามาก ตองใหน้ําแกสนาม
หญามากตามไปดวย
2. สภาพของดิน ซึ่งมีผลตอความสามารถในการอุมน้ํา (ดูดซับความชื้น)
ของดิน โดยทั่วไปแลวจะมีเนื้อดินอยู 3 ชนิด คือ
ดินเนื้อละเอียด (ดินเหนียว) จะเปนดินที่อุมน้ําไดดีแตระบายน้ําชา มี
ผลใหรากพืชขาดอากาศหายใจได
ดินเนื้อปานกลาง (ดินรวน) มักเปนดินที่ใชปลูกหญา เพราะมีลักษณะที่
เหมาะสมหลายประการ
ดินเนื้อหยาบ (ดินทราย, รวนปนทราย) จะเปนดินที่ดูดซับน้ําไวไดนอย
กวาเนื้อดินประเภทอื่น ๆ
การใหน้ําแกสนามหญาที่มีเนื้อดินตางกันก็ตองใหมากนอยตางกันดวย เพราะ
ความสามารถในการอุมน้ําแตกตางกัน โดยดินที่เราปลูกหญานั้น สวนใหญจะเตรียมใหมีหนาดิน
ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร ทั้งนี้เพราะรากหญาจะอยูในชวงประมาณ 30 เซนติเมตร โดยเฉพาะ
หญานวลนอยและหญาญี่ปุน ถาหากใหน้ํามากเกินกวาที่ดินสามารถอุมน้ําไวได จะกลายเปนน้ํา
ไหลทิ้งไปโดยเปลาประโยชน
3. ชนิดของหญาสนาม หญาสนามที่มีใบใหญ ลําตนอวบอวนอยางหญามาเลเซีย
จะตองการน้ํามากกวาหญาที่มีใบเล็ก มีระบบรากลึก อยางหญานวลนอย
23
- เวลาในการรดน้ํา ที่จริงแลวเราสามารถรดน้ําใหสนามหญาไดทั้งกลางวัน
และกลางคืน หากวาสภาพของสนามหญาสามารถดูดซับและระบายน้ําในสวนที่เหลือทิ้งได
แตเวลาที่เหมาะสมนั้นควรตองพิจารณาดังนี้
1. ควรเปนชวงที่แดดไมรอนจัด แตสําหรับหญาที่ปลูกใหม เราสามารถใหน้ําไดในชวงที่
แดดรอน เพื่อชวยลดอุณหภูมิแกพื้นดินและใบหญาจะชวยใหหญาปรุงอาหารไดดีขึ้น รากแผ
ขยายมากขึ้น
2. ถารดน้ําโดยการใชระบบหัวสปริงเกลอร ไมควรรดตอนลมแรง เพราะน้ําจะปลิวไปใน
ทิศทางที่ไมตองการ
3. ควรรดน้ําสนามหญากอนจะใชสนามเพื่อกิจกรรมตาง ๆ หรือกอนตัดหญา อยางนอย
12 ชั่วโมง
4. ควรรดน้ําสนามหญากอนที่จะฉีดพนสารเคมีเพื่อกําจัดศัตรูพืช ประมาณ 3-4 ชั่วโมง
เพราะถารดน้ําหลังจากฉีดพนสารเคมี น้ําจะชะลางสารเคมีไปดวย
5. เวลาเชาตรู ถือเปนเวลาที่เหมาะสมในการรดน้ํามากที่สุด เพราะในชวงเชาถึงกอนเที่ยง
นั้น เปนชวงที่หญาปรุงอาหารไดดีที่สุด และแสงในชวงของวันจะทําใหผิวสนามหญาแหงกอนค่ํา
ไมทําใหเปนสาเหตุของการเกิดโรค
6. การใหน้ําในตอนเย็นก็เปนชวงที่เหมาะสมอีกชวงหนึ่ง เพราะเปนชวงหลังจากที่ราใช
สนามหญามาทั้งวัน และเมื่อใหน้ําในตอนเย็น หญาจะไมถูกเหยียบย่ําอีกในตอนกลางคืน แตทั้งนี้
เราตองคํานึงวา ถาดินของสนามหญาแนนทึบ ระบายน้ํายาก อับลม ก็อาจทําใหเกิดโรคระบาดใน
สนามหญาเราได โดยทั่วไป เราจะกะวาเมื่อใหน้ําสนามหญาไปแลว สนามหญาควรจะแหงกอนมืด
ดังนั้น ในเวลา 3 โมงเย็นก็เริ่มรดน้ําแกสนามหญาได
- หลักการและขอคิดในการรดน้ําสนามหญา
1. ควรรดน้ําแตละครั้งใหมากพอ อยางนอยตองมั่นใจวา น้ําที่รดซึมลงไปในดินได
ไมต่ํากวา 1-2 นิ้ว อยารดน้ํานอยๆ แตบอยครั้ง แตจะมากขนาดไหนก็ใหพิจารณาปจจัยที่
เกี่ยวของ เชน สภาพฟาอากาศ ลักษณะของดิน ชนิดของหญาสนาม เปนตน การรดน้ําครั้งละ
นอย ๆ ในฤดูรอนจะทําใหวัชพืชเจริญเติบโตไดดีกวาหญาสนาม
2. อยารดน้ําใหบอยเกินไป เพราะนอกจากจะเปนการสิ้นเปลืองแลว ยังเปนการ
ชะลางธาตุอาหารในดิน ทําใหดินแนนเร็วขึ้น และยังเกิดโรคระบาดไดงายอีกดวย
3. ไมควรใหน้ําครั้งละนอย ๆ และซึมเพียงผิวดินตื้น ๆ ติดตอกันเปนเวลานาน ๆ
เพราะจะทําใหรากหญาเจริญอยูในระดับตื้น รากไมชอนไชลงไปในชั้นใตดิน ทําใหรากไมสามารถ
ดูดน้ํามาใชเองได สงผลใหหญาออนแอขาดน้ําไดงาย และมักหาอาหารไดนอย
4. ควรรดน้ําอยางชา ๆ เพื่อใหน้ําซึมลงดินไดอยางสม่ําเสมอ โดยเฉพาะในที่ลาด
ชันและบริเวณขอบสนาม ซึ่งมักพบวาเปนบริเวณที่ขาดน้ําบอย ๆ เนื่องจากน้ําไหลหนีลงขางลาง
หมด ฉะนั้นการรดน้ําในพื้นที่ลาดเอียงจะตองใชเวลานานกวาพื้นราบ
24
5. ควรรดน้ําสนามหญาทันทีเมื่อพบอาการของหญาดังนี้
5.1 เมื่อเหยียบลงบนหญาแลว หญาฟนตัวหรือดีดกลับชา
5.2 เมื่อพบวาพื้นผิวดินและผิวสนามหญาแหงติดตอกันนาน
5.3 เมื่อหญาเริ่มมีสีหมน ไมเขียวสดใส ขอบใบเริ่มมวนเขาหากัน แตเราจะไม
ปลอยใหหญาแสดงอาการขาดน้ําเกิดขึ้นบอย ๆ หญาจะออนแอ
ดังนั้นคําถามที่วาควรจะรดน้ําสนามหญาเมื่อใดนั้น เปนคําถามที่ตอบไมยากเลย หากเรารู
หลักการ หมั่นสังเกตสภาพของสนามหญา ปจจัยตาง ๆ ทีมีผลตอการใหน้ํา และไดพิจารณาใหน้ํา
ตามหลักแลว จะทําใหเราสามารถประหยัดน้ํา และใชน้ําไดอยางมีประสิทธิภาพสูงที่สุด
- วิธีการรดน้ําในสนามหญา
ในสวนหยอมวิธีที่ดีและเปนที่นิยม คือ การรดน้ําแบบพนฝอยโดยใชสายยาง หรือจะตอ
ทอถาวรติดหัวสปริงเกลอรตามจุดที่กําหนด หากเปนสวนหยอมที่มีพื้นที่ไมมากนัก เชน
สวนหยอมภายในบาน ฯลฯ ควรใชสายยางฉีดพนดวยแรงคนจะดีกวา เพราะสามารถรดน้ําไดทุก
จุดที่เราตองการ
แตถาใชสายยางแลวติดหัวสปริงเกลอรควรเลือกใชสายยางที่มีสี เชน สีเขียว สีแดง สีดํา
จะดีกวาสายยางสีใส เพราะสายยางที่ใสนั้นแสงจะผานได ทําใหเกิดตะไครน้ําภายในสายยาง ซึ่งจะ
ทําใหหัวสปริงเกลอรจะอุดตันไดงาย
กอนจะใชสายยางใหน้ําแกหญาสนาม ควรตรวจสอบดูใหดีกอนวามีน้ําคาสายอยูหรือไม
ถาหากมีน้ําที่เหลือในสายยางและเปนน้ํารอนก็ใหถายน้ําทิ้งไปกอน จนน้ําเย็นปกติจึงรดใหแก
สนามหญา สายยางนั้นเมื่อเลิกใชแลวควรเก็บใหดี อยาทิ้งตากแดดไวในสนาม เพราะเมื่อสายยาง
รอนจะทําใหหญาสนามเปนรอยดางไปดวย ในปจจุบันมีผูผลิตสายยางใหน้ําแกสนามหญาที่ติดกับ
ลอเลื่อน ทําใหสะดวกในการใชและการเก็บ
1.3 การตัดเล็มหญาสนาม
การตัดเล็มหญาสนามจะทําในกรณีที่เครื่องตัดหญาไมสามารถจะเขาถึง ซึ่งในอดีต
มักจะใชกรรไกรดามยาวตัดเล็ม แตในปจจุบันนิยมใชเครื่องตัดเล็มที่ใชมอเตอรโดยทั่วไป แลว
หญาสนามที่เปนรูปเหลี่ยมตาง ๆ หรือมีแปลงไมดอก บริเวณทางเดินตาง ๆ รวมถึงใตบริเวณ
ตนไมใหญจะตองทําการตัดเล็ม
การตัดแตงขอบแปลง เมื่อหญาโตขึ้นตองมีการตัดแตงเพื่อใหหญามีการขยายออก
ทางดานขาง และเกิดความหนาแนนสม่ําเสมอที่บริเวณขอบแปลง หรือจุดที่ใชเครื่องตัดหญาตัด
ไมได ก็อาจใชกรรไกร หรืออุปกรณอื่น ๆ ในการตัดแตงขอบแปลงใหเรียบรอย
25
2. กิจกรรมที่ปฏิบัติเปนครั้งคราว
2.1 การใหปุยหญาสนาม
คงมีหลายคนที่คิดไมถึงหรืออาจไมเคยคิดวาหญาจะตองการปุยและมีความจําเปนที่
จะตองใสปุย แตความจริงแลวหญาสนามก็ตองการปุยเชนเดียวกับพืชพรรณอื่นๆ โดยเฉพาะ
สนามหญาที่ไดรับการตัดใหสั้นอยูเสมอ ทั้งนี้เพราะการตัดหญาเปนการทําลายใบของหญา ซึ่งเปน
สวนที่สรางอาหารโดยตรง นอกจากนี้ยังทําลายอาหารที่หญาสรางขึ้นดวยเชนกัน โดยหญาตองการ
ธาตุอาหารครบทั้ง 17 ธาตุเชนเดียวกับพืชตาง ๆ คือ คารบอน (C) ไฮโดรเจน (H) ออกซิเจน
(O) ซึ่ง ไดจากอากาศเพียงพอแลว ส วน ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K)
กํามะถัน (S) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) แมงกานีส (Mn) เหล็ก (Fe) โบรอน (B)
ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn) โมลิบดินั่ม (Mo) คลอรีน (Cl) นิเกิล (Ni) แตธาตุ ไนโตรเจน
ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม นั้นมีความสําคัญอยางมาก เพราะที่มีอยูแลวในธรรมชาติยังไมเพียงพอ
จึงจําเปนตองใสเพิ่มอีก
วิธีการใหปุย
1. วิธี หวา น เปน วิธีที่นิยมปฏิบั ติกันมาก เนื่องจากมีความสะดวกและรวดเร็ว ในการ
ปฏิบัติ โดยหวานปุยลงไปในสนามหญาโดยตรง ปุยที่หวานไดแก ปุยคอก ปุยเคมีที่เปนเม็ด หรือ
ปุยเกล็ด หลังจากหวานปุยทั่วสนามแลวใหรดน้ําตามทันที เพื่อใหปุยสลายตัวและชะลางปุยที่คาง
อยูบนใบหญา
2. วิธีฉีดพน หรือการใหปุยทางใบ โดยใชปุยน้ํา ปุยละลายน้ํา ปุยเกล็ด หรือปุยยูเรีย
ละลายกับน้ํา ฉีดพนลงไปบนใบหญาใหทั่วแปลง หญาก็จะดูดซึมปุยเขาไปในตน โดยผานเขาไป
ทางปากใบ เวลาที่เหมาะแกการใหปุยทางใบ ควรเปนเวลาเชาที่น้ําคางแหงไปบางแลว และไมสาย
เกินไปจนแดดรอน เพราะจะทําใหหญาใบไหมได
3. วิธีการเจาะรู โดยการใชเครื่องเจาะรู ที่มีลักษณะคลายสวาน สําหรับเจาะรูลงไปใน
สนามหญา จากนั้นก็ใสปุยซึ่งผสมกับอินทรียวัตถุ และทรายลงไปใหเต็มรู แลวรดน้ําตาม การใส
ปุยวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพดี เพราะปุยจะมีการสูญเสียนอย และหญาสามารถดูดปุยไดดีกวา มักจะ
ใชกับสนามกอลฟ
ขอควรคํานึงในการใหปุยสนามหญา
1. อยาใชปุยเกินความจําเปน เกินอัตรา หญาจะออนแอ และสิ้นเปลืองเงิน เนื่องจากพืช
นําไปใชไมได ถูกชะลาง และมีผลเสียตอคุณภาพของดิน และกิจกรรมของจุลินทรียที่มีประโยชน
2. กําหนดระยะเวลาในการใหปุยสนามหญา และตนไมในสวนใหพรอมกัน เพื่อความ
สะดวกในการปฏิบัติงาน
3. วิธีหวาน สําหรับพื้นที่สวนในบาน ใหใชมือหวาน จะกําหนดไดทั่วถึงกัน และหากปุย
จับกันเปนกอนก็ใชมือบี้ใหแตกเปนเม็ดเล็ก ๆ กอน
4. หลังหวานปุยทุกครั้งตองรดน้ําตามใหชุมระวังอยาใหเม็ดปุยตกคางบนใบไมใบหญา
ดังนั้นการใหปุยตองสัมพันธกับการใหน้ํา คือ ควรใหปุยในชวงเชา เพื่อจะไดรดน้ําตามในชวงเชา
นั้นดวย
27
5. การใหน้ําไมสอดคลองกับความตองการของหญา การใหน้ํานอยเกินไปทําใหหญาสนาม
แคระแกรน แตกลับเปนประโยชนตอวัชพืชที่ทนทานไดดีกวา
6. การตัดหญาไมถูกตอง การตัดหญาชิดดินมากเกินไปจะทําใหหญาฟนตัวไดชากวาวัชพืช
7. สภาพแวดลอมไมเอื้ออํานวย เชน สภาพแลงจัด หญาที่ทนไมไดก็จะตายไปหรือพักตัว
แตวัชพืชที่ทนทานตอสภาพดังกลาวจะทนทาน และสามารถเจริญเติบโตได
สิ่งสําคัญคือเมื่อพบวามีวัชพืชขึ้นในสนามหญา ก็มีความจําเปนที่จะตองกําจัดออกไป
โดยการใชแรงงานคนหรือใชสารเคมี ซึ่งการกําจัดวัชพืชดวยแรงงานคนนั้นเหมาะสําหรับพื้นที่
สวนที่มีขนาดเล็ก แตสําหรับสวนขนาดใหญแลวการใชแรงงานคน นับวาเปนวิธีสิ้นเปลืองและ
เปนไปไดยากในยุคปจจุบัน เพราะแรงงานหายากและมีราคาแพง ดังนั้นจึงจําเปนที่จะตองใช
สารเคมี แตการใชสารเคมีในการกําจัดวัชพืชนั้นจะตองมีเทคนิคบางประการ เชน จะตองรูจักชนิด
ของวัชพืช ทั้งนี้เพราะวัชพืชแตละชนิดมีความออนแอ หรือตานทานสารกําจัดวัชพืชแตละชนิด
แตกตางกัน อัตราสวนที่ใชตองถูกตอง ถาใชอัตราที่ต่ําวัชพืชไมตาย ถาอัตราสูงจะสิ้นเปลือง
และอาจจะเปนพิษตอหญาสนาม เปนตน เนื่องจากสารเคมีที่กําจัดวัชพืชเปนสารพิษ การใชสาร
จะตองระมัดระวัง อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นแกผูใชผูอื่นหรือสภาพแวดลอมดวย
การบํารุงรักษาสนามหญาที่ดีชวยลดปญหาวัชพืช
หลักการลดปริมาณวัชพืชในสนามหญาโดยวิธีการดูแลบํารุงรักษาที่ถูกวิธี ถูกตองตาม
หลักการจัดการสนามหญานั้นเปนการปองกันวัชพืชชั้นตนที่ดีกวาจะมาปราบใหหมดในภายหลัง
โดยวิธีนี้เปนวิ ธีที่งาย ๆ แตจะตองมีความรูเกี่ยวกับ พันธุหญา และสิ่งแวดลอมดวย โดยตอง
คํานึงถึงสิ่งตาง ดังตอไปนี้
1. ความสูงของการตัดหญา ตองตัดใหเหมาะสมกับชนิดและพันธุหญานั้น ๆ ซึ่งหากตัดสั้น
เกินไปจะทําใหหญาออนแอ
2. ถาหากวัชพืชงอกมาก ยังไมควรเอาชั้นเศษหญาภายในสนามออก เพราะหากเอาชั้นเศษ
หญาออกจะสงเสริมใหวัชพืชงอกมากยิ่งขึ้น
29
การเลือกและขอควรระวังในใชสารเคมีปราบวัชพืช
1. ตรวจสอบดูชนิดของวัชพืช วาเปนวัชพืชพวกใบแคบ หรือใบกวาง เปนวัชพืชขามป หรือ
วัชพืชฤดูเดียว กอนเพื่อจะไดเลือกสารเคมีกําจัดวัชพืชไดอยางถูกตอง
2. ตองรูวาสารเคมีที่จะใชนั้น สําหรับพืชอะไร เนื่องจากสารเคมีบางชนิดก็ใชไดเฉพาะอยาง
เทานั้น เชน 2,4 – D ใชกําจัดวัชพืชใบกวาง เปนตน นอกจากนี้ตองพิจารณากอนวามี
วัชพืชขึ้นมากเกินไปจนตองใชสารเคมีกําจัดแลวหรือไม ถาไมมากก็อาจใชวิธีอื่น เชน การ
ถอน หรือการปายสารเคมีกําจัดวัชพืชเฉพาะจุด เปนตน
3. อานฉลากเพื่อศึกษารายละเอียดตาง ๆ เกี่ยวกับการใชสารเคมีกําจัดวัชพืชทุกครั้ง และใช
ในอัตราที่แนะนําไวขางฉลากอยางเครงครัด
4. เลือกใชสารเคมีกําจัดวัชพืชที่เปนอันตรายตอสิ่งมีชีวิตนอยที่สุด
5. ใชสารจับใบ ที่ไมเปนพิษตอสิ่งมีชีวิตชวยเพิ่มประสิทธิภาพในการกําจัดวัชพืช เชน น้ําสบู
ผงซักฟอก
6. ไมควรใชสารเคมีชนิดเดียวกันซ้ํากันทุกป เนื่องจากจะทําใหเกิดสารเคมีตกคางอยูในดิน
หรืออาจทําใหวัชพืชมีความตานทานตอสารเคมี (การดื้อยา) ได
7. เลือกใชสารเคมีกําจัดวัชพืชหรืออุปกรณ ที่มีความเหมาะสมกับสนามหญา เชน สนาม
หญ า ที่ มี ข นาดเล็ ก ควรใช ถั ง สะพายหลั ง ฉี ด พ น แต ถ า พื้ น ที่ ข นาดใหญ ม าก ๆ อาจ
จําเปนตองใชเครื่องจักรเขามาชวยในการพนสารเคมี เปนตน
30
สารเคมีที่ใชในการกําจัดวัชพืชในสนามหญา
1) ไกลโฟเสต (Glyphosate) เปนสารประเภทไมเลือกทําลาย ใชฉีดพนทางใบ
เคลื่อนยายไดทั่วตนพืช ดังนั้นสารจึงเปนพิษตอหญาสนามตองะมัดระวังเรื่องการปลิวของสาร
เมื่อสารลงสูดินจะถูกดูดยึดไวไดหมด
เวลาที่ใช หลังจากวัชพืชงอก ควรพนกําจัดวัชพืชชวงเตรียมดินกอนทํา
การปูหญา
ชนิดวัชพืช ควบคุมวัชพืชหลายชนิด โดยเฉพาะวัชพืชที่ควบคุมยาก
เชน แหวหมู หญาคา หญาชันกาด
ขอควรระมัดระวัง ควรใชน้ําสะอาดมาผสม ไมควรใชน้ําที่มีตะกอนดิน หรือน้ํา
กระดางมาผสมจะทําใหประสิทธิภาพในการควบคุมวัชพืชลดนอยลง ถาใชปริมาณน้ําที่นํามาผสม
ตอพื้นที่ในปริมาณที่นอยจะเพิ่มประสิทธิภาพของสารและควรฉีดพนเมื่อมีความชื้นในดิน หรือใน
อากาศสูงมีชวงปลอดฝนนาน 6 ชั่วโมง
2) พวกอาทราซีน (Atrazine) เปนสารประเภทเลือกทําลายใชฉีดพนทางดินปองกัน
วัชพืชงอก
เวลาที่ใช กอนวัชพืชงอก หลังจากที่หญาสนามตั้งตัวไดแลว
ชนิดวัชพืช กําจัดทั้งวัชพืชใบแคบและใบกวาง ควบคุมพืชอายุฤดูเดียวที่
งอกจากเมล็ด เชน ผักเบี้ย ผักโขม หญาตีนนก
ขอควรระมัดระวัง หญาสนามและหญานวลนอยหลังฉีดพนควรใหน้ําเพื่อปองกัน
อาการใบไหมของหญาสนาม
3) ออกซาไดอะซอน (Oxadiazon) เปนสารประเภทเลือกทําลายใชแบบกอนงอก
หรือหลังงอกระยะแรก
เวลาที่ใช หลังเมล็ดวัชพืชงอก 3-5 วันและหญาสนามตั้งตัวไดแลว
ชนิดวัชพืช สามารถควบคุมวัชพืชอายุฤดูเดียวที่ยังเปนตนกลาหรือปองกัน
ไมใหวัชพืชโผลพนดินไดแก ผักโขม สมกบ หญาตีนนก หญา
ตีนกา
ขอควรระมัดระวัง ไมควรใชหลังหวานเมล็ดหญาไปแลว 1-2 สัปดาห
4) 2,4–ดี (2,4- D) เปนสารประเภทเลือกทําลาย ใชแบบหลังงอกเคลื่อนยายในตน
วัชพืชไดดี
เวลาที่ใช หลังจากวัชพืชใบเลี้ยงคูงอก
ชนิดวัชพืช ควบคุม ผักยาง ผักเบี้ย ผักโขม ผักโขมหิน และวัชพืชที่มีผิวใบ
เปนมัน เชน กก ตะกรับ แหวหมู
ขอควรระมัดระวัง หากมีการปลิวเกิดขึ้นจะมีผลกระทบตอไมยืนตนอยางรุนแรง
และอาจจะถูกชะลางลงสูดินชั้นลาง
31
2.3 การปองกันกําจัดโรคและแมลง
ผูดูแลสนามหญาจะตองเอาใจใสหมั่นสํารวจอยางสม่ําเสมอ จดบันทึกความ
เปลี่ยนแปลงที่สังเกตไดดวยสายตาเทาที่จะทําได นําความเปลี่ยนแปลงที่เห็นมาวิเคราะหหา
สาเหตุวาเกิดจากการขาดธาตุอาหารหรือวาเกิดจากการเขาทําลายของโรคหรือแมลง การใช
สารเคมีควบคุมและปองกันการเกิดโรคและแมลงไมสมควรที่จะนํามาปฏิบัติ ทั้งนี้เพราะการ
กระทําดังกลาวนอกจากจะเปนการสิ้นเปลืองแลวยังทําใหเกิดผลกระทบตอผูประกอบกิจกรรม
ในสนามและสิ่ งแวดลอมอีกด วย ดังนั้นการเอาใจใสดูแลสนามหญาให ถูกตอง เพื่อใหหญา
แข็งแรงมีภูมิตานทานโรคและแมลงดีกวาปลอยใหหญาเปนโรคหรือแมลงรบกวนแลวคอยรักษา
โดยยึดคําพังเพยที่วา “ปองกันไวดีกวาแก”
2.4 การแตงผิวสนามหญา
เปนการนําดิน ทราย หรืออินทรียวัตถุ มาใสสนามหญา เกลี่ยใหเสมอระดับพื้นแต
เพียงบาง ๆ เพื่อปรับพื้นผิวของสนามหญาใหเรียบขึ้น ซึ่งจะทําเมื่อสนามหญาอยูในสภาพที่เสื่อม
โทรม พื้นสนามไมราบเรียบ หญาบางจุดในสนามตาย มีการสะสมของชั้นเศษหญา โดยดินแตง
ผิวหนาตองมีคุณสมบัติดี รวนซุย น้ําหนักเบา อนุภาคเล็ก และมีความอุดมสมบูรณ เชน ดินรวน
หรือดินรวนปนทราย ทรายขี้เปด อินทรียวัตถุ หรือปุยอินทรีย อาจนํามาผสมกันในอัตราสวน
3:6:1 ใหเขากัน แลวนํามาโรยบนพื้นสนามหญา แลวใชคราดเกลี่ยแตงผิวหนา เพื่อใหดินแทรก
32
เอกสารอางอิง
33
การใหน้ําและการใสปุยพรรณไมในสวน
นายพนม สุทธิศักดิ์โสภณ
อาจารยประจํา
โครงการจัดตั้งศูนยวิจัยและการจัดการความรูทางพฤกษศาสตร
การดูแลรักษาพรรณไมในสวนควรกําหนดเวลาใหพรอมกับการดูแลรักษาสนามหญา
เพื่อใหเกิดความสะดวกในการปฏิบัติงาน ทั้งในเรื่องของเครื่องมือ อุปกรณ แรงงาน และ
ระยะเวลา โดยความยากงายในการดูแลรัก ษาตนไมภายในสวน ขึ้นอยูกับการออกแบบ การ
กําหนดกลุมตนไมลงพื้นที่ ซึ่งหากไดคํานึงถึงการดูแลรักษาไวลวงหนาก็จะทําใหการดูแลรักษาทํา
ไดงายขึ้น
สําหรับตนไมในสวนก็มีหลายประเภทไดแก ไมยืนตน ไมพุม ไมคลุมดิน ไมเลื้อย
ไมน้ํา ฯลฯ จึงทําใหวิธีการในการปฏิบัติดูแลรักษาแตกตางกันอยางมาก แตสิ่งที่สาํ คัญคือ ตองทํา
การดูแลรักษาตนไมทุกตนทุกกลุมในสวนอยางสม่ําเสมอ เพื่อคงความสวยงามและความสมบูรณ
ของรูปแบบสวน เพราะตนไมทุกตนทุกกลุมลวนมีบทบาทสําคัญยิ่งตอรูปแบบสวน หากตนใดตน
หนึ่งเกิดตายไปหรือแคระแกรนกวาตนอื่น ๆ แลว จะทําใหรูปแบบสวนที่สวยงามเปลี่ยนแปลงไป
ทันที
1. การใหน้ํา
น้ํา เปนสิ่งที่สําคัญมากที่สุดตอการเจริญเติบโตของพืช ดังนั้นการดูแลรักษาพรรณไมใน
สวนให มี ชี วิ ต ชี ว า สวยงาม คงทนอยู ไ ด นั้ น ก็ ต อ งมี ก ารให น้ํ า อย า งเพี ย งพอ และสม่ํ า เสมอ
โดยเฉพาะตนพืชที่เพิ่งนํามาปลูกใหม ๆ หรือตนที่มีขนาดเล็ก ซึ่งตามหลักการแลวการใหน้ําตอง
ใหอยางทั่วถึงและเพียงพอแกพืชทุกตนในสวน การใหน้ําไมควรใหมากเกินไป เพราะนอกจากจะ
เปลืองแลว ยังเปนการชะลางธาตุอาหารในดินอีกดวย และไมควรใหน้ําแกตนไมตอนแดดจัด
ควรรดน้ําตอนเชาหรือตอนเย็น และควรรดใหทั่วพุมใบดวย เพื่อชะลางฝุนและสิ่งสกปรกตรงใบ
พืช ไมควรปลอยใหตนไมแสดงอาการเหี่ยวเฉาออกมาแลวจึงคอยรดน้ํา จะทําใหตนไมออนแอ
เปนโรคไดงาย หรือตายได ในฤดูแลงควรทําการคลุมโคนตนไมดวยเศษวัสดุตางๆ เชน หญาแหง
ฟาง เพื่อชวยทําใหตนไมไมขาดน้ํา และประหยัดปริมาณน้ําที่ใหแกตนไมอีกดวย หากในชวงที่
ไมไดพรวนดินใสปุย การใหน้ําแกตนไมในสวนจะใหพรอมกับสนามหญา เนื่องจากตนไมมีระบบ
รากที่ลึก และแผกวางกวาสนามหญาหากวาใหน้ําพรอมกับหญาสนาม 2-4 วัน ตอครั้งตนไมใน
สวนจะไมขาดน้ําเลย
1.1 ระบบการใหน้ํา
โดยปกติแลวสวนที่มีการจัดตกแตงภูมิทัศน จะมีการใหน้ําแกพรรณไมในสวนอยางมี
ระบบ ซึ่งอาจจะเปนระบบงาย ๆ เชน การใชสายยางตอจากกอกน้ําเพื่อรดน้ําโดยตรง ไปจนกระ
35
1. ระบบการใหน้ําแบบธรรมดาหรือการใชสายยางรดน้ํา
คื อ การดึ ง น้ํ า จากแหล ง น้ํ า ดิบ เช น น้ํา ใตดิ น ลํ า คลอง บ อ เก็บ กักน้ํ า ฯลฯ
โดยเครื่องสูบน้ํา หรือการดึงน้ําจากระบบประปาของชุมชนผานมาตรวัดน้ําเขาสูทอลําเลียงน้ําที่ฝง
อยูใตดินในพื้นที่ที่มีการจัดภูมิทัศน ทอลําเลียงน้ําที่นิยมใช มีอยู 3 ชนิดคือ
- ทออาบสังกะสี (Galvanized iron pipe)
- ทอความดันที่ผลิตมาจากโพลีวินิล (Polyvinyl chloride) หรือทอ PVC
- สายยาง
การลําเลียงน้ําจะผานทอดังกลาวแบบใดแบบหนึ่ง และโผลปลายทอขึ้นเหนือดินเปน
จุด ๆ หางกันประมาณจุดละ 15–20 เมตร ตามขอบแปลงชิดกําแพงหรือตําแหนงที่เหมาะสม
เพื่อตอเขากับกอกสนาม (Faucet) ที่ทําหนาที่ควบคุมปดเปดการจายน้ํา
• การดูแลรักษาและซอมบํารุง
-หลังเสร็จสิ้นการใหน้ําแตละครั้ง ปดกอกน้ําที่ควบคุมระบบการจายน้ําเก็บมวนสาย
ยาง เก็บหัวใหน้ําแบบตาง ๆ และตรวจการอุดตันที่เกิดจากสิ่งสกปรก หยอดน้ํามันหลอลื่นที่แกน
หมุนและเก็บไวในสถานที่เก็บใหเรียบรอย
- หมั่นตรวจรอยเชื่อมตอระหวางทอลําเลียงน้ําแตละชวง โดยเฉพาะชวงตอขึ้นมา
เหนือดินที่ติดเขากับกอกสนาม อาจหลุดหรือหักได เนื่องจากการลากสายยางเวลาใหน้ําแกพืช
พรรณ วิธีการซอมบํารุงหรือปองกัน คือ การเทคอนกรีตหุมเสา ปลอยเฉพาะสวนหัวกอกสนามไว
และตกแตงเสาหุมใหสวยงาม
2. ระบบการใหน้ําแบบฉีดฝอยหรือสปริงเกลอร
ระบบการใหน้ําแกพืชพรรณแบบฉีดฝอยนี้ เปนการใหน้ําพืชเปนวง หรือหลาย
วงบนผิวดิน บริเวณเขตรากพืช โดยน้ําจะถูกพนออกจากหัวฉีดดวยแรงดัน ไปบนอากาศแลวให
เม็ดน้ําตกลงมาบนพื้นที่เพาะปลูกหรือสนามหญาอยางสม่ําเสมอ การใหน้ําแบบนี้เปนที่นิยมมาก
36
3. ระบบการใหน้ําแบบหยด
การใหน้ําแบบหยดเปนวิธีการใหน้ําแกพืชแตละตนโดยตรง ในกรณีการปลูก
พืชเปนแถว หรือการใหน้ําแกพืชที่ปลูกเปนกลุม โดยมีการควบคุมปริมาณน้ําที่สงใหกับพืชครั้งละ
นอยอยางสม่ําเสมอ ดวยหัวปลอยน้ําที่เรียกวา Emitter ซึ่งเปนทอจายน้ําขนาดเล็กซึ่งผลิตมาจาก
Low density polyethylene resin ที่ติดไวตามจุดของทอจายน้ํา ตามระยะหางของตนพืชหรือกลุม
พืชน้ําที่ปลอยจากหัวใหน้ําตองมีความเหมาะสมกับความตองการน้ําของพืช
• การดูแลรักษาและซอมบํารุง
- ตรวจสอบสิ่งสกปรกที่เขาสูเครื่องสูบน้ํา
- หมั่นตรวจสอบและลางทําความสะอาดระบบกรองน้ําอยูเสมอ
- ตรวจสอบหัวจายน้ําใหทํางานเปนปกติ เพราะหัวจายน้ํามีโอกาสตันไดถามีสิ่ง
เจือปนตาง ๆ เชน ฝุน ผง ตะกอน ฯลฯ เนื่องจากน้ําสกปรก นอกจากนี้อาจเกิดจากคราบหินปูน
37
1.2 เครื่องมือและอุปกรณที่ใชกับงานใหน้ํา
เปนอุปกรณที่มีความจําเปนในการนําน้ําจากจุดจายน้ําหรือกอกไปใหแกพืช
พรรณโดยใช ค นควบคุ ม ยกเว น ระบบติ ด ตั้ ง โดยสมบู ร ณ ทั่ ว ทั้ ง บริ เ วณที่ ค วบคุ ม เวลาทํ า งาน
โดยเครื่องควบคุมแบบอัตโนมัติ เครื่องมือและอุปกรณการใหน้ําที่จําเปน ไดแก
1) บัวรดน้ํา
การดูแลรักษา หลังใชงานควรถอดฝกบัวลางทําความสะอาด เนื่องจากอาจมีเศษดิน เศษใบไม
หรืออื่นๆ อุดตัน วิธีการเก็บที่ดีที่สุด คือ ใชสวนมือจับแขวนและใหกานบัวหอยลง
2) สายยาง
- สายยางที่ผลิตมาจากยาง
- สายยางที่ผลิตจากไนลอน และไวนิล
- สายยางที่ผลิตจากไวนิล 2 ชั้น
การดูแลรักษา มวนเก็บสายยางเขาที่เก็บทุกครั้งหลังการใชงาน ไมควรปลอยสายยางไวในสนาม
มีน้ําขังภายใน การตากแดดทําใหสายยางกรอบ อายุการใชงานสั้นลง หลีกเลี่ยงลอรถยนตกดทับ
สายยาง จะทําใหสายยางแตก
3) หัวพน ประเภทของหัวพนน้ํา
3.1) พนน้ําเปนฝอยละออง มี 2 แบบ คือ
- หัวพนน้ําทองเหลือง
- หัวใหน้ําแบบพลาสติก
3.2) หัวพนน้ําแบบมีมือจับคลายดามปนมี 2 แบบ คือ หัวทองเหลือง
และหัวพลาสติก
3.3) หัวใหน้ําแบบพัด
3.4) หัวใหน้ําลักษณะพิเศษ
3.5) หัวใหน้ําแบบฝนโปรย มี 4 แบบ คือ
- แบบพนน้ําคงที่
- แบบสายแกวงไปมา
- แบบแขนยืน่ จากแกน 2 ขางเทากัน และหมุนรอบตัว
- หัวใหน้ําแบบอาศัยแรงเหวี่ยง
การดูแลรักษา ถอดหัวใหน้ําทั้งแบบพนน้ํา และแบบใหน้ําแบบฝนโปรย ออกจากสายยางหลัง
เสร็จภารกิจลางทําความสะอาด ตรวจหัวพนน้ําเพื่อขับสิ่งสกปรกออกเช็ดใหแหงหยอด
น้ํามันหลอลื่นในสวนของแกนหมุนแลวเก็บใหเรียบรอย
4) กรองน้ําและหัวกะโหลก
การดูแลรักษา ควรถอดกรองมาทําความสะอาดอยางนอยเดือนละครั้ง เพื่อปองกันการอุดตัน
และตรวจสอบสิ่งสกปรกที่มาติดตามหัวกะโหลกอยูเสมอ ๆ
38
2. การใสปุย
2.1 ปุยที่ใชในงานภูมิทัศน
¾ ปุยคอก ไดแก มูลสัตวตาง ๆ ที่อยูในรูปของเหลวและของแข็ง สวนใหญจะเปนมูล
สัตวเลี้ยง เชน มูลวัว ควาย สุกร เปด และไก เปนตน ปุยคอกนั้นจะมีธาตุอาหารพืชอยูในปริมาณ
ที่นอย แตมีคุณสมบัติเปนสารปรับปรุงดิน ทําใหคุณสมบัติทางกายภาพของดินดีขึ้น
วิธีการใชปุยคอก
ในทางปฏิบัติควรใชปุยคอกรวมกับปุยเคมีจะเปนการดีที่สุด โดยปุยคอกที่ใชควร
จะมีความชื้นนอย หรือพอหมาด ๆ ไมควรใชปุยคอกสดหรือยังใหมอยู เนื่องจากยังสลายตัวไม
สมบูรณ จึงมีการคายความรอนออกมา ซึ่งจะเปนอันตรายตอรากของพืชได
- การใชปุยคอกกับไมกระถาง โดยใชเปนสวนผสมของดินผสมในการปลูกไม
กระถาง หรือใสรองกนหลุมกอนทําการปลูกไมกระถาง
- การใชปุยคอกในแปลงไมดอกหรือแปลงผัก โดยใชปุยคอกหวานผสมลงไป
ในแปลงปลูกในชวงของการเตรียมแปลง หรือในกรณีที่มีตนไมอยูในแปลง
แลวจะใชหวานลงไปบนผิวหนาดิน หรือผสมกับดินกอนนํามาหวานในแปลง
ก็ได
- การใชปุยคอกในการเพาะเมล็ด ควรใชปุยคอกเกาและยอยใหละเอียดกอน
นํามาใช หากใชปุยคอกที่ยังไมสลายตัวสมบูรณ หรือเปนกอนโต จะทําให
เมล็ดไมงอก หรืองอกนอย และอาจกอใหเกิดโรคได
- การใชปุยคอกกับไมยืนตน อาจเทเปนกองไวรอบโคนตนบริเวณรัศมีของตน
หรือใสไปพรอมกับการพรวนดินก็จะเปนการดีมาก ที่สําคัญไมควรเทสุมไวที่
โคนตน เพราะจะทําใหเกิดความรอน หากปุยคอกนั้นยังสลายตัวไมสมบูรณ
และอาจกอใหเกิดโรคแกตนไมได
การเก็บรักษาปุยคอก
- ควรใชวัสดุรองพื้นกอนทําการวางปุยคอก เชน ทอนไม อิฐบล็อก ฯลฯ
- ควรเก็บปุยคอกใสกระสอบและวางเรียงซอนกันใหเรียบรอย หรือหากกองไว
ควรพยายามเก็บมารวบรวมไวใหเปนกองอยูเสมอ
- ควรเก็บปุยคอกไวในที่มีหลังคาปด หรือหากปุยคอกนั้นกองอยูกลางแจงควร
ใชผาใบปดไวใหเรียบรอย เพื่อปองกันการชะลางละลายของธาตุอาหารไปกับ
น้ําฝน
- ไมควรเก็บปุยคอกไวนานเกินไป เพราะจะทําใหธาตุอาหารลดลง ควรใชให
หมดภายใน 3-6 เดือน
39
เอกสารอางอิง
ขรรชัย เบ็ญจสิงห . 2544. การปลูกไมดอกไมประดับ. แหลงทีม่ า:
http://www.geocities.com/chor014/index.html, วันที่สืบคน 30 เมษายน 2550.
นิรนาม. 2550 ก. น้ําสกัดชีวภาพ. แหลงที่มา:
http://www.doae.go.th/library/html/detail/warter/warter1.htm, วันที่สืบคน 10
เมษายน 2550.
นิรนาม. 2550 ข. ปุย-สารประกอบที่จําเปนตอการเจริญเติบโตของพืช. แหลงที่มา:
http://www.ssnm.agr.ku.ac.th/main/Know/Ferti.htm, วันที่สืบคน 10 เมษายน
2550.
บรรจง สมบูรณชัย. 2546. การจัดการและดูแลรักษางานภูมิทัศน. รายวิชา e-learning
มหาวิทยาลัย แมโจ. แหลงที่มา
http://coursewares.mju.ac.th/section2/la445/publication/Publication1_files/page
0001.htm, วันที่สืบคน 10 เมษายน 2550.
มุกดา สุขสวัสดิ์. 2543. ปุยและการใชปุยอยางมีประสิทธิภาพ. โอเดียนสโตร, กรุงเทพฯ.
สํานักงานเกษตรอําเภอดําเนินสะดวก. 2550. ปุยน้ําหมักชีวภาพ. แหลงที่มา:
http://ratchaburi.doae.go.th/damnoensaduak/puy.htm, วันที่สืบคน 10 เมษายน
2550.
สํานักงานสวนสาธารณะ. 2547. คูมือปฏิบัติงานปลูกและดูแลรักษาตนไม. สํานักงาน
สวนสาธารณะ สํานักสวัสดิการสังคม กรุงเทพมหานคร. กรุงเทพ ฯ.
43
การปองกันและกําจัดศัตรูพรรณไมในสวน
วสินี ไขวพันธุ
นักวิชาการศึกษา
ศูนยวิจัยและการจัดการความรูทางพฤกษศาสาตร มศว องครักษ
การปลูกไมดอกไมประดับนอกจากจะปลูกเพื่อความสวยงามประดับตกแตงสถานที่แลว
ยังสามารถขายเพื่อเปนรายไดใหแกเกษตรกรอีกดวย แตการปลูกไมดอกไมประดับก็มีปญหาและ
อุปสรรค โดยเฉพาะปญหาเรื่องศัตรูพืช ซึ่งกอนการปลูกไมดอกไมประดับเกษตรกรหรือผูที่มีใจ
รักในการปลูกตนไมจึงควรมีความรูหรือศึกษาเบื้องตนเกี่ยวกับปญหาศัตรูพืช เพื่อจะไดทําให
ทราบถึงชนิดของศัตรูพืช อาการ แนวทางในการปองกันและกําจัดศัตรูพรรณไมในสวน
ศัตรูพืช หมายถึง สิ่งที่คอยรบกวนพืชที่เราตองการปลูกประดับหรือตองการผลผลิต ทํา
ใหไดผลผลิตลดลงหรือไมมีคุณภาพ ไดแก โรคพืช วัชพืช และ สัตวศัตรูพืช
โรคพืช
การจําแนกชนิดของโรคพืช สามารถจําแนกไดโดยอาศัยสวนที่ของตนพืชที่ถูกเชื้อโรค
พืชทําลายและสาเหตุของโรค
1. การจําแนกโรคพืชโดยอาศัยสวนของตนพืชที่ถูกเชื้อโรคพืชทําลาย
1.1 โรคที่เกิดกับระบบรากหรือสวนที่อยูใตดิน ซึ่งจะรวมถึงหัวและเหงา โรคที่พบ
กับสวนนี้ ไดแก โรครากเนา โรครากปม โรครากเปนแผล โรคหัวเนา โรคเหงาหรือลําตนใตดิน
เนา โรคเหี่ยว ฯลฯ ซึ่งโรคที่เกิดกับระบบรากหรือสวนที่อยูใตดินนัน้ มีสาเหตุตางกัน เชน เชื้อรา
เชื้อแบคทีเรีย ไสเดือนฝอย ตัวอยางโรคที่เกิดกับพืช เชน โรครากเนาของปาลม โรครากปมเยอร
บีรา ฯลฯ
1.2 โรคที่เกิดกับตนออนหรือกลาไม โรคที่เกิดกับเมล็ดพันธุท ําใหเมล็ดเกิดอาการ
เนา หรือทําใหตนออนหรือตนกลาทีไ่ ดจากการเพาะเมล็ดนั้นเกิดอาการเนา โรคอาการเนาบริเวณ
โคนของตนออนหรือตนกลาตรงระดับคอดิน สาเหตุเกิดมาจากเชื้อรา
1.3. โรคที่เกิดกับสวนของลําตน โคนตน กิ่ง กาน มักเกิดอาการโรคโคนเนา เปน
แผลจุดหรือแผลไหมที่โคนตน โรคกิ่งกานไหมหรือแหง โรคเหี่ยว ซึง่ สวนใหญมีสาเหตุมาจากเชือ้
รา และเชื้อแบคทีเรีย ตัวอยางโรคที่เกิดกับพืช เชน โรคโคนเนาแหงของมะลิ โรคลําตนไหมของ
ทานตะวัน โรคเนาดําของกลวยไม ฯลฯ
1.4 โรคที่เกิดกับใบ สวนใหญจะเกิดกับไมใบประดับ ไดแก โรคใบจุด โรคใบไหม
โรคแอนแทรคโนส โรคราน้ําคาง โรคราแปง โรคราสนิม อาการใบหงิกเหลือง อาการดาง อาการ
ซีดเหลือง สาเหตุของโรคเหลานี้ คือ เชือ้ รา เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ตัวอยางโรคทีเ่ กิดกับพืช เชน
โรคใบจุดของบานไมรูโรยและเบญจมาศ โรคราแปงบนใบกุหลาบ โรคใบดางของพิทูเนีย
1.5 โรคที่เกิดกับดอกสวนใหญเกิดกับไมดอกซึง่ จะทําใหเกิดความเสียหาย เพราะ
ไมสามารถนําสวนของดอกไปขายหรือปลูกประดับได โรคที่เกิดกับดอก ไดแก โรคดอกเนา โรค
ดอกดาง โรคดอกสีเขียว สาเหตุเกิดจากเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ไมโครพลาสมา ตัวอยางโรคที่
เกิดกับพืช เชน โรคดอกเนาของเบญจมาศ โรคดอกไหมของดาวเรือง โรคดอกเนาของคารเนชัน่
ฯลฯ
2. การจําแนกโรคพืชโดยอาศัยสาเหตุของโรคพืช
เมื่อพืชมีการแสดงอาการเจริญเติบโตผิดปกติเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนั้น เกิดไดจาก
สาเหตุตา ง ๆ กัน ทั้งที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กมาก ไดแก เชื้อจุลินทรียชนิดตาง ๆ และ
สาเหตุที่เกิดจากสิ่งไมมีชีวิต ไดแก สิ่งแวดลอมที่พืชชนิดดํารงอยูไมเหมาะสม หรือมีความผิดปกติ
ของปจจัยตางๆ เชน ปุย หรือธาตุอาหาร น้าํ สภาพภูมิอากาศ เปนตน โรคพืชที่เกิดจาก
45
โรคพืชที่เกิดจากการสิ่งมีชีวิต
พืชเปนโรค หมายถึง พืชที่มีอาการผิดปกติทางดานรูปราง และ กระบวนการทํางาน
ภายใน พืชที่เปนโรคที่มีการติดเชื้อนัน้ เกิดไดกบั ทุกสวนของพืช สามารถแพรระบาดจาก ดิน เศษ
ซากพืชที่เปนโรค ไปสูตน พืชปกติได โดยมีสาเหตุมาจากเชื้อจุลินทรียชนิดตาง ๆ ไดแก รา,
แบคทีเรีย, ไมโครพลาสมา, ไสเดือนฝอย, ไวรัส
สาเหตุของโรคพืชที่มาจากสิ่งมีชีวิต
1. รา
รา โดยทั่วไปจะเปนเสนใยคลายเสนดายละเอียด เสนใยแตละเสนมีขนาดเล็กมาก
มองดวยตาเปลาไมเห็น จะมีการขยายพันธุโดยสรางสวนที่เรียกวา “สปอร” สปอรของเชื้อรามี
หนาที่คลายเมล็ดพันธุพืช คือพรอมที่จะเจริญและงอก แตเปนการเจริญแพรพันธุแ ละงอกไดบน
ตนพืช โดยทีส่ ปอรจะสามารถระบาดจากพืชในพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพืน้ ที่หนึ่ง โดยมีลม น้ํา หรือ
มนุษยเปนพาหะในการพัดหรือพาไป เมื่อสปอรปลิวไปตกยังบริเวณที่เหมาะสมก็จะเจริญและงอก
เขาไปในพืชได อาจเขาโดยตรงหรือเขาทางแผลที่เกิดขึน้ ตามสวนตาง ๆ ของพืช โดยเชื้อราจะแยง
ดูดน้ําเลี้ยงจากเซลลพืชเพื่อมาใชในการเจริญเติบโตของตัวเอง เชื้อราจัดเปนสาเหตุที่สําคัญที่ทํา
ความเสียหายใหแกพืชผลมากที่สุด มีเชื้อรามากกวา 8,000 ชนิดที่เปนสาเหตุโรคพืช เชื้อรา
สามารถแพรระบาดไปตามทีต่ าง ๆ ไดโดยติดไปกับซากพืชเปนโรค เมล็ดและ/หรือทอนพันธุ ดิน
ปุยคอก หรือวัสดุปลูกตาง ๆ รวมทั้งแพรไปกับน้ําและปลิวไปกับลมไดดี ลักษณะอาการของโรค
พืชที่เกิดจากเชื้อรา เชน โรคเนาคอดิน (damping off), ราสนิม (rust), ราแปง (powdery
mildew), แผลจุด (spot), ใบไหม (blight), แผลแตกตามลําตน (canker) ฯลฯ
2. แบคทีเรีย
แบคทีเรียเปนจุลินทรียเซลลเดียว มีขนาดเล็กมากตองใชกลองจุลทรรศนกําลังขยายสูงจะ
เห็นเซลลชัดเจน แบคทีเรียบางชนิดสามารถเคลื่อนที่ไดเอง บางชนิดสามารถสรางสปอรที่คงทน
ตอสภาพแวดลอมที่ไมเหมาะสมได แบคทีเรียมีการเพิ่มจํานวนขึ้นดวยการแบงเซลล สวนใหญ
แบคทีเรียสาเหตุโรคพืชมีรูปรางเปนทอนสั้นและไมสรางสปอร แตจะมีชั้นเมือกหอหุมผนังดาน
นอกเซลลอีกชั้นหนึ่ง จึงชวยใหมีอายุนานและทนตอสภาพแวดลอมที่ไมเหมาะสมไดดีขึ้น
แบคทีเรียสามารถผลิตสารพิษที่ทําลายพืชใหไดรับความเสียหายได แบคทีเรียบางชนิดสรางสาร
46
2. ลักษณะที่เกี่ยวของกับอาการโรคพืช
2.1 อาการที่ปรากฏกับเนื้อเยื่อสวนตางๆ ของพืชที่เกิดขึ้น เนื่องจาก การเสื่อมสภาพ
หรือการตายของเซลล เชน อาการชุมน้ํา แผลบุม แผลเนา ฯลฯ
2.2 อาการที่พืชมีการพัฒนาและเจริญเติบโตต่าํ กวาปกติ เกิดขึ้นจากอัตราการแบง
เซลลต่ํากวาปกติ เชน อาการแคระแกรน ใบหดบิดเบี้ยว ฯลฯ
2.3 อาการที่พืชมีการพัฒนาและเจริญมากกวาปกติ อาจเกิดกับบางสวนหรือทุกสวน
ก็ไดเกิดขึ้นจากอัตราการแบงเซลลสูงกวาปกติ ทําใหเซลลพืชมีขนาดโตกวาปกติ เชน อาการปุม
ปม อาการแผลสะเก็ดนูน
ตัวอยางอาการโรคพืชที่เกิดกับไมดอกไมประดับ
5. โรคพืชที่เกิดจาก
ไสเดือนฝอย
5.1 รากปม - รากพืชเกิดลักษณะปุมปมทั่วทั้ง
(root knot) ระบบราก
โรคพืชที่เกิดจากสิ่งไมมีชวี ิต
สาเหตุของโรคพืชที่เกิดจากสิ่งไมมีชีวิต เนื่องจากสภาพแวดลอมนั้นไมเหมาะสมตอพืช
อาการผิดปกติเนื่องจากสาเหตุเหลานี้ บางครั้งพืชแสดงอาการคลายกันกับโรคติดเชื้อ อาจทําให
51
เกิดการสับสนได จึงมีความจําเปนตองทําการตรวจวินิจฉัยอยางละเอียดกอนสรุปวาเกิดจาก
สาเหตุใดแน สาเหตุที่ทําใหพืชเกิดโรคอันเนื่องมาจากสิง่ ไมมีชีวิต เชน
1. อุณหภูมิ ตนพืชอาจไดรบั อุณหภูมิสูงหรือไดรับปริมาณแสงที่มากเกินไป ทําใหพืช
ไดรับอาการไหมที่ใบและผล หรืออุณหภูมิบริเวณผิวดินสูงเกินไปใหตนออนนั้นเกิดอาการลวก
หรือไหมทั้งตน แตถาตนพืชไดรับอุณหภูมิต่ําเกินไป เชน อุณหภูมติ ่ํากวา 0 องศาอาจทําใหน้ําใน
เซลลกลายเปนน้ําแข็งอาจทําใหพืชตายได
2. แสง ตนพืชอาจไดรับปริมาณแสงนอยเกินไปทําใหพชื แสดงอาการซีด ลําตนยืดยาว
ผิดปกติ สงผลใหพืชไมออกดอก ผล
3. ความชื้นในดิน ในดินอาจมีความชื้นสูงเกินไปอาจทําใหพืชไมแข็งแรงใบลางเหลืองรวง
รากเนา โคนเนา
4. ความชื้นในอากาศ ในอากาศอาจมีความชื้นมากหรือนอยเกินไป มักทําใหปลายใบหรือ
ขอบใบไหม แหง ใบอาจบิดเบี้ยว ชอดอกแหงรวง ผลเหี่ยว ตนพืชเหีย่ ว
5. อากาศเปนพิษ บริเวณนัน้ อาจมีหมอกควันพิษ หากปกคลุมใบพืชอาจทําใหตน พืชไม
สามารถสังเคราะหแสงไมไดทําใหใบเกิดจุดขาวซีดหรือใบเปลี่ยนสี
6. ธาตุอาหาร เปนสาเหตุทส่ี ําคัญที่สดุ ของโรคพืชที่เกิดจากสิ่งไมมีชีวติ
- การขาดธาตุอาหาร พืชจะแสดงอาการขาดธาตุอาหารเมื่อสภาพดินที่ปลูกขาดแรธาตุ
ชนิดนัน้ ๆ หรืออยูในสภาพที่พืชไมสามารถนําไปใชไดเนื่องจากสภาพความเปนกรดเปนดางไม
เหมาะสม ลักษณะอาการพืชที่ขาดธาตุบางชนิดอาจสรุปไดดังนี้
ขาดธาตุไนโตรเจน พืชเจริญเติบโตชา ใบมีสีซดี เหลืองทั่วทั้งตนเริ่มจากใบลาง
กอน
ขาดธาตุฟอสฟอรัส พืชเจริญเติบโตชา ใบมีสีเขียวเขมหรือมวงบริเวณใบลาง ๆ
ลําตนมียอดสัน้
ขาดธาตุโพแทสเซียม ตนพืชมียอดนอยใบลางซีดเหลือง ขอบใบมวนขึ้นปลายใบ
และขอบใบแหงมีสีน้ําตาล ผลมีขนาดเล็กลง
ขาดธาตุแมกนีเซียม ใบแก แสดงอาการซีดเหลืองหรือแดงบริเวณขอบใบและ
ปลายใบกอน ใบมีสีซดี เหลืองเปนรูปตัววีหัวกลับ ขอบใบมวนขึ้น
ขาดธาตุแคลเซียม ใบออนบิดงอ ชะงักการเจริญเติบโต แสดงอาหารบิดมวน
ขอบใบฉีก ตายอดแหงตายลําตนมีรากนอย ทําใหผลแตกในไมผลหลายชนิด
ขาดธาตุโบรอน ทําใหกา นใบออนแตกและหัก ใบบิดงอ ราก ลําตน และผล
แสดงอาการแผลแตก ลําตนเปนรูกลวง และเมล็ดลีบในผักหลายชนิด
ขาดธาตุกํามะถัน ใบออนมีสีซดี เหลืองทั่วทั้งใบ
52
การปองกันและกําจัดโรคพืช
1. การเลือกที่ปลูก
1.1 เลือกบริเวณที่มีสภาพดินฟาอากาศเหมาะแกพืชที่ปลูก เพื่อใหพืชโดยเฉพาะ
อยางยิ่งระยะกลาและตนออน ซึ่งเปนระยะที่ออนแอตอโรคตางๆ เจริญเติบโตเร็ว เปนการ
หลีกเลี่ยงการเปนโรค เชน โรคเนาระดับคอดิน โรคราน้าํ คาง เปนตน
1.2 เลือกปลูกพืชในบริเวณที่ไมเคยมีโรคระบาดมากอนหรือไมควรปลูกพืชเดิมซ้ํา
แปลงเดิมที่เปนโรค ควรเวนระยะปลูกพืชนั้นใหนานพอประมาณ เพื่อลดปริมาณเชื้อที่เคยระบาด
วิธีนี้จะชวยลดการเกิดโรคไดมาก โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากเชื้อสาเหตุที่อาศัยอยูในดิน
2. การเตรียมดินและการปรับปรุงดิน
53
3. การเลือกพืชปลูกสลับหรือพืชหมุนเวียน
เปนวิธีที่จะชวยปองกัน และลดความเสียหายจากการระบาดของโรคบางชนิดได โดยเฉพาะเชื้อ
โรคที่อาศัยอยูใ นดิน หลักเกณฑในการเลือกพืชมาปลูกสลับหรือหมุนเวียนมีดังนี้
3.1 ความสามารถ ที่จะอยูในบริเวณแปลงเปนโรคนานเทาไร
3.2 ปริมาณเชื้อมีมากนอยแคไหน และความสามารถในการแพรขยายพันธุ
3.3 พยายามลดปริมาณของเชื้อใหนอยลง โดยการปลูกพืชที่ทําลายเชื้อสาเหตุ เชน
ดาวเรือง ซึ่งขับสารทําลายไสเดือนฝอย ทําใหปริมาณไสเดือนฝอยลดลง
3.4 ตองระวังพืชบางชนิดที่เชื้อเขาเจริญขยายพันธุไ ดดี แตพืชไมแสดงอาการโรคให
เห็นเดนชัดเพราะฉะนัน้ จึงกลายเปนแหลงเพาะเชื้อเมื่อปลูกพืชก็อาจจะถูกเชื้อเขาทําลายเสียหาย
รุนแรง พืชที่นํามาปลูกสลับ หรือหมุนเวียนนั้น สวนใหญไมควรใชพชื พวกเดียวกัน
4. การคัดเลือกเมล็ดพันธุแ ละสวนขยายพันธุ
4.1 เมล็ดพันธุแ ละสวนขยายพันธุท ี่ปราศจากโรค เปนสิ่งสําคัญยิ่งที่จะตองมีการ
คัดเลือกเพื่อนํามาปลูก เพราะจะเปนการปองกันการเกิดโรคตั้งแตระยะเริ่มตน ดังนั้นจึงควร
คัดเลือกจากตนพืชปกติหรือซื้อหาจากแหลงที่เชื่อถือได
54
ยังตนปกติใกลเคียงหรือที่ที่แมลงบินไปถึง ฉะนั้นการฉีดยาฆาแมลงเปนครั้งคราวจะชวยลดการ
ระบาดของโรคได การฉีดยารักษาตนพืชที่เปนโรค พืชบางชนิดโดยเฉพาะพวกที่มรี าคาแพง หรือ
หายาก เชน กลวยไมหรือไมยืนตนบางประเภท ถาเปนโรคจะเผาทิง้ ทันทีก็เสียดาย จึงพยายาม
หาทางรักษา เมื่อเกิดโรคระบาดแลวจะตองคัดเลือกหายาที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม ฉีดกําจัด
โรคนั้น เพื่อหยุดยั้งการแพรระบาดหรือลดความเสียหายลง แตโดยหลักปฏิบัตใิ นการปองกันและ
กําจัดโรคนัน้ จะตองยึดถือหลักที่วา ควรทําการปองกันไมใหพืชเปนโรคมากกวาการรักษา
8. การตัดแตงสวนเปนโรคหรือทําลายตนเปนโรค
เมื่อพบโรคระยะเริ่มตนเปนเพียงเล็กนอยที่กิ่งกานหรือใบ ควรตัดสวนที่แสดงอาการออก
ทิ้ง หรือขุดตนที่เปนโรคออกทําลายโดยการเผา หรือฝงลึกๆ ไมควรกองทิ้งไวในบริเวณแปลงปลูก
เพราะเชื้อสาเหตุในชิน้ สวนเปนโรคเหลานัน้ ยังไมตาย และจะแพรระบาดเขาทําลายพืชปกติตอไป
ในบางกรณีจําเปนตองขุดตนออกทิ้ง เนื่องจากเชื้อเขาทําลายจนทําใหตนทรุดโทรม รักษาใหหาย
ไดยาก
ขอควรระวัง
1. ในการตัดแตงกิ่งกาน หรือแตงทรงพุมของไมผล การตัดไมดอกเพื่อจําหนาย เชน
ดอกกลวยไม ดอกหนาวัว หรือแมกระทั่งการตัดแตง สวนที่เปนโรคทําลายทิ้ง ควรทราบวามีโรค
บางชนิดที่ตดิ ไปกับมีด หรืออุปกรณที่ใชเชนโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส สามารถถายทอดโรคไดงาย
โดยเชื้อในน้ําเลี้ยงพืชเปนโรคติดไปกับมีด หรือเครื่องมือที่ใช เมื่อนําไปตัดตนปกติ ก็จะทําใหตน
ปกติเกิดโรค และทําใหเกิดการแพรระบาด เชน โรคไวรัสของกลวยไมซึ่งมีระบาดทั่วไปทุกแหลง
เนื่องจากการขยายพันธุโดยขาดความระมัดระวัง ดังนั้นจึงตองมีการฆาเชื้อที่ตดิ มากับเครื่องมือ
ตาง ๆ เหลานีด้ วย
2. แผลที่เกิดจากการตัดแตงดังกลาว จะตองมีการทายากันราหรือฉีดยาบริเวณที่เปนโรค
ทั้งนี้เพื่อปองกันการเขาทําลายทางบาดแผล และเพื่อลดปริมาณ หรือฆาเชื้อในบริเวณที่พบโรค ซึ่ง
จะเปนทางปองกันการแพรระบาดโรคตอไป
9. การใชพันธุตานทานโรคปลูก
พืชที่จะนํามาปลูกนอกจากจะมีการคัดพันธุทางดานการเจริญเติบโตใหผลผลิตสูงและ
คุณภาพดีแลว ยังจะตองมีการคัดพันธุ หรือพยายามผสมพันธุใ หมใหไดพันธุที่มคี วามตานทาน
โรคมาปลูก ซึ่งจะชวยลดปญหาตนทุนการผลิตสูง คือไมตองเสียคาใชจายในดานการดูแลรักษา
และการใชยาฉีดปองกันโรคหรือแมลง ปจจุบนั ประเทศไทยก็มีพืชพันธุตา นทานโรคที่ใชไดผลและ
แพรหลายอยูในขณะนี้
56
เอกสารอางอิง
วัชพืช
ลักษณะพิเศษของวัชพืช
วัชพืชเปนพืชที่ไมตองการแตกลับมีการเพิ่มจํานวนไดในปริมาณมากและกระจายไปยัง
พื้นที่ตางๆ เนื่องจากวัชพืชมีการปรับตัวใหมีการอยูรอดมากยิ่งขึ้น โดยที่วัชพืชมีลักษณะบางอยาง
ที่ทําใหเจริญเติบโตและแพรพันธุไดรวดเร็ว ดังนี้
1. วัชพืชสามารถติดเมล็ดไดเปนจํานวนมาก ซึ่งเปนการแพรพันธุ ไดงายและรวดเร็ว
2. วัชพืชสามารถผลิตเมล็ดไดหลายสภาวะ ไมวา ที่นนั้ พื้นที่นนั้ จะมีความอุดมสมบูรณ
มากนอยแคไหน วัชพืชก็ยังคงผลิตเมล็ดไดมาก เชน หญานกสีชมพู หญาขจรจบ หญาคา
3. วัชพืชสามารถออกดอกและผลิตเมล็ดไดเปนระยะเวลาอันยาวนาน เชน เทียนนา
4. เมล็ดวัชพืชสามารถมีชีวิตอยูไดนาน เมล็ดพืชบางชนิดสามารถมีอายุไดถึง 30 ป และ
บางชนิดมีการพักตัว ซึ่งเปนการปองกันไมใหวัชพืชงอกในสภาวะที่ไมเหมาะสม
5. วัชพืชเติบโตงายแมแตในดินทีไ่ มอุดมสมบูรณ เชน ดินเปรี้ยว ดินเค็ม และยังสามารถ
เจริญเติบโตไดดีกวาพืชชนิดอื่นที่เปนพืชปลูก
6. วัชพืชบางชนิดถึงแมจะมีปริมาณนอยก็สามารถกอความเสียหายตอพืชปลูกได เชน
หญาคา
7. วัชพืชมีลักษณะที่ไมเหมาะที่จะเปนอาหารสัตว วัชพืชบางชนิดมีกลิ่น รส บางชนิดมี
หนามจึงไมเหมาะที่จะใหสตั วเขาไปแทะเล็ม และยากตอการที่มนุษยจะเขาไปกําจัด
58
ปญหาวัชพืชที่มีตอการปลูกตนไม
1. วัชพืชเปนตัวแกงแยงน้ํา ธาตุอาหาร และแสงกับพืชปลูกซึ่งเปนปจจัยที่สําคัญทีส่ ุดใน
การเจริญเติบโตของพืช และการแขงขันจะมีมากขึ้นเมื่อปจจัยอยางใดอยางหนึ่งมีปริมาณนอย แต
ความตองการของพืชปลูกและวัชพืชมาก
2. วัชพืชแกงแยงกันในทางพื้นที่เพื่อการเจริญเติบโตกับพืชปลูก
3.วัชพืชบางชนิดมีรากหรือสวนที่ของลําตนใตดนิ ขับสารบางอยาง ซึ่งสงผลตอการเจริญ
เติบโตของพืชปลูก
4. วัชพืชเปนพืชอาศัยของศัตรูพืชบางชนิด และเปนแหลงแพรระบาดของแมลงศัตรูพืช
ทําใหยากตอการปองกันกําจัด
5.วัชพืชบางชนิดเปนพืชกาฝาก โดยที่จะดูดน้ําและธาตุอาหารจากพืชปลูกทําใหเกิดความ
เสียหาย
การจําแนกวัชพืช
วัชพืชมีอยูมากมายหลายชนิดอาจมีลักษณะคลายคลึงกัน บางลักษณะแตกตางกัน เพื่อให
งายตอการควบคุมปองกันกําจัดวัชพืชจึงควรมีการจําแนกวัชพืช สามารถแบงออกเปน 3 แบบ
ดังนี้
1. จําแนกตามหลักทางพฤกษศาสตร จําแนกออกเปน 4 ประเภท คือ
1.1 วัชพืชใบแคบ หรือวัชพืชใบเลี้ยงเดีย่ ว แบงออกเปน 2 กลุม
1.1.1 ตระกูลหญา ซึ่งจะมีจดุ เจริญอยูที่ยอดและตาขาง มีกาบใบหุมไว
ยาว มีเสนใบขนานกัน
1.1.2 ตระกูลกก หญากกชนิดตางๆ
1.1.3 สาหราย เปนวัชพืชชั้นต่าํ ที่มีเซลลเดียวหรือหลายเซลล สืบพันธุ
โดยการแบงตัวออกจากกันแลวเจริญเพิ่มขนาดขึ้น
1.1.4 เฟรน เปนวัชพืชที่มีระบบทอลําเลียงมีการสืบพันธุโดยใชสปอร
1.2 วัชพืชใบกวาง
2. จําแนกตามชีพจักร เปนการจําแนกพืชตามอายุการเจริญเติบโตทางดานลําตนจนไปถึง
สวนที่ใชในการสืบพันธุ
2.1 วัชพืชปเดียว หรือวัชพืชลมลุก เปนวัชพืชที่มีอายุการเจริญเติบโตจนกระทั่ง
ครบวงจรชีวิตภายในปเดียว หรือฤดูเดียว สวนใหญขยายพันธุดวยเมล็ด เมื่อออกดอกผลิตเมล็ดก็
จะตายหลังจากนั้นเมล็ดที่รว งหลนก็จะงอกใหมในฤดูกาลตอไป เชน ผักปอด ผักเบี้ยหิน หญา
ตีนกา
59
ตัวอยางวัชพืชที่สําคัญ
1. วัชพืชใบแคบ วัชพืชที่สําคัญที่กอใหเกิดความเสียหายตอพืชปลูกแบงออกเปน 2
ประเภท คือ
1.1 วัชพืชพวกตระกูลหญา
1.1.1 หญาคา (Impereta cylindrical (L.) P.Beauv.)
ลักษณะทั่วไป หญาคาเปนพืชที่มีอายุขามฤดู มีเหงาใหญและแข็งมาก ลําตนตั้งตรง สูง
ประมาณ 50-80 เซนติเมตร ลําตนแข็ง ยาว ใบแข็งสาก ตาขอมีขนเห็นไดชดั ตรงโคนตนกาบใบ
ที่แกจะแตกเปนฝอย สีน้ําตาลออน ดอกเปนชอเดี่ยว กานชอดอกสูงเสมอปลายใบ ดอกเล็กมีขนสี
60
ขาวฟูอยูรอบๆ หญาคานอกจากจะเปนวัชพืชแลวยังเปนที่อาศัยของตั๊กแตนกินใบพืชอีกดวยแต
หญาคาก็มีประโยชน โดยนําใบหญาคาไปใชเปนวัสดุคลุมดินเพื่อปองกันวัชพืชอื่น
กับดินจะงอกรากและแตกยอดใหม กานชอดอกเปนขนออกดอกตลอดทั้งป
2.5 บานไมรูโรยปา (Gomphrena celosioides Mart.)
ลักษณะทั่วไป ตนนอนราบไปกับพื้น ลําตนมีขนยาว คลายสําลี ใบเดี่ยวออกจากลําตน
ตรงกันเปนคู ปลายใบมนใบดานลางมีขนยาว ออกดอกที่ยอด ลักษณะของดอกคลายบานไมรูโรย
แตมีขนาดเล็กกวา เมล็ดสีนา้ํ ตาลออน
2.6 ผักเบี้ยหิน (Trianthema portulacatrum L.)
ลักษณะทั่วไป เปนพืชลมลุกลําตนแผไปตามดิน ลําตนมีขนละเอียด ใบเดี่ยว ปลายใบมน
ใบออกตามขอเปนคู ดอกเดี่ยวไมมีกานดอกและออกดอกตามซอกกานใบ ผลฝงอยูตามขอบกาน
ใบ เมล็ดสีดาํ
โดยการใชสปอร
ปจจัยที่เกี่ยวของกับการแพรกระจายของวัชพืช
โดยทั่วไปแลวการเจริญเติบโตของวัชพืชนั้นขึ้นกับความสามารถในการปรับตัวใหเขากับ
สภาพแวดลอมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยูเสมอ ปจจัยที่มผี ลตอการแพรกระจายของวัชพืชไดแก
1. ปจจัยที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ
1.1 แสง วัชพืชตองการแสงเพื่อใชในการเจริญเติบโต การสืบพันธุ และการ
กระจายพันธุ
1.2 อุณหภูมิ มีความสัมพันธกับการงอกและการพักตัวของเมล็ด และยัง
เกี่ยวกับการแพรกระจายของวัชพืชและถาวัชพืชใดที่ทนตอสภาพอุณหภูมิไดดีก็จะชวยให
แพรกระจายพันธุไดดี
กลไกในการแพรกระจายของวัชพืช
วัชพืชมีคุณสมบัติพิเศษที่จะสรางเมล็ดไดมากและแพรกระจายออกไปในพืน้ ที่ใกลเคียง
ไดอยางรวดเร็ว อาจแพรกระจายออกไปไดมาก โดยวัชพืชแพรกระจายออกไปสูพ ื้นที่ตางๆ ได
หลายทาง ดังนี้
1. มนุษย เปนสวนทําใหวัชพืชแพรกระจายไปไดมาก อาจติดไปกับเสื้อผา ซึ่งเปนวิธีการ
แพรกระจายพันธุทําใหวัชพืชสามารถแพรกระจายไปไดทั่วโลก
2. สัตว เปนพาหะที่นาํ วัชพืชไปยังที่ตางๆ ทั้งทางตรงและทางออม เชน สัตว อาจกิน
วัชพืชชนิดหนึ่งแลวไปถายมูลยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งเมล็ดนั้นไมถูกยอยและสามารถงอกเปนตนใหมได
3. น้ํา อาจพัดพาเมล็ด สปอร และตนวัชพืชไปยังที่ตางๆ และสามารถงอกเปนตนใหมได
โดยเฉพาะวัชพืชที่ลอยไปตามน้ํา เชน ผักตบชวา จอก จอกหูหนู ฯลฯ
64
การแกปญหาวัชพืช
วัชพืชกอใหเกิดปญหาทางดานการเกษตรเปนอยางมาก ดังนั้นจึงไดมีการพยายามหา
วิธีการตางๆ เพื่อมาแกปญหาเหลานั้น โดยมีจุดมุงหมายในการแกปญ หาดังนี้
1. การปองกันวัชพืช หมายถึง วิธีการใดๆ ที่สกัดกั้นเพื่อไมใหเมล็ดหรือสวนที่ใช
ขยายพันธุของวัชพืชกระจายไปยังที่ตา งๆ ได
2. การควบคุมปริมาณวัชพืช เปนการควบคุมปริมาณวัชพืชเพื่อลดปริมาณวัชพืชใหอยูใน
ระดับทีไ่ มเปนอันตรายตอพืชปลูก
3. การกําจัดวัชพืช เปนการกําจัดวัชพืชใหหมดสิ้นไปจากพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ๆเรา
ตองการ
วิธีการแกปญ
หาวัชพืชมีหลายวิธีดวยกัน คือ
1. วิธีกายภาพ
เปนการทําใหตนวัชพืชถูกทําลายทางกายภาพ แบงออกเปน 2 วิธี คือ
1.1 การใชแรงงานคน โดยการถอน ตัด หรือใชจอบขุด ถาก ดายหญา รวมถึง
การจุดไฟเผา ซึ่งจะทําหลังจากวัชพืชนั้นงอกขึ้นมา เหมาะสําหรับพื้นที่ปลูกขนาดเล็ก วิธนี ี้ไม
อันตรายตอพืชใกลเคียงแตไมเหมาะตอพืน้ ที่มากๆเนื่องจากตองใชแรงงาน
1.2 การใชเครื่องมือกล เปนการใชเครื่องมือกลในการกําจัดวัชพืช วิธีนี้เหมาะ
สําหรับการขาดแรงงานหรือแรงงานมีคาแรงสูงอีกทั้งสามารถกําจัดไดในพื้นทีใ่ หญ
2. วิธีเขตกรรม
การแกปญหาวัชพืชโดยวิธีเขตกรรม เปนการดัดแปลงวิธีการเขตกรรมตางๆ เชน
2.1 การเตรียมดิน การกําจัดวัสดุเหลือใช การจัดการระบบปลูกพืช เพื่อให
สภาพแวดลอมไมเหมาะสมตอการเจริญเติบโตของวัชพืช การปองกันกําจัดวัชพืชโดยวิธีเขตกรรม
เชน การไถพรวนในขณะเตรียมดินปลูกพืช ซึ่งอาจใชเครือ่ งจักรกล
2.2 การจัดระบบการปลูกพืช ไดแก การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชแซม
และการปลูกพืชคลุมดิน เปนการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดลอมไมใหเหมาะสมตอการงอกของ
วัชพืช การปลูกพืชหมุนเวียนยังทําใหการใชสารกําจัดวัชพืชแตละชนิดหมุนเวียนกัน
65
เอกสารอางอิง
สัตวศัตรูพืช
แมลงศัตรูพืช
ถาแบงตามการเขาทําลายพืช สามารถแบงออกไดเปน 3 ประเภท คือ
1. แมลงกัดกิน เชน
- หนอนผีเสื้อ ตัวหนอนจะทําลายโดยการกัดกินหรือเจาะสวนตางของพืช
- แมลงปกแข็ง ไดแก ดวงชนิดตางๆ
- จิ้งหรีดและตัก๊ แตน ทั้งตัวออนและตัวเต็มวัยกัดกินยอดออน ใบพืช และรากของพืช
2. แมลงดูดน้าํ เลี้ยง
- เพลี้ย เชน เพลี้ยออน เพลี้ยหอย เพลี้ยแปง เพลี้ยไฟ เปนตน ตัวออนและตัวเต็มวัย
ดูดน้ําเลี้ยงจากพืชทําใหลําตนแคระแกร็น ผลผลิตมีตาํ หนิ เสื่อมคุณภาพ
- มวนชนิดตางๆ ตัวออนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ําเลี้ยงจากพืช ทําใหพชื เกิดอาการ
เชนเดียวกับเพลี้ยเขาทําลาย
3. แมลงที่เจาะไชภายในพืช
- หนอนแมลงวัน ตัวออนเจาะชอนไชอยูในลําตน รากและกิ่งกานของตนพืช ทําให
ลําตนหัก แคระแกรน ไมเจริญเติบโต
- หนอนผีเสื้อบางชนิด เจาะไชอยูในฝก ยอดออน หรือหัวของพืช ทําใหพืชชะงักการ
เจริญเติบโต ผลผลิตไมสมบูรณ
ตัวอยางแมลงศัตรูพืช
1. เพลี้ยแปง (Mealy bugs)
ลักษณะทั่วไป เปนแมลงดูดกินน้ําเลี้ยง มีลกั ษณะลําตัวออนนุม ภายนอกถูกปกคลุมดวย
ผงสีขาวและไขมัน แมลงชนิดนี้ถา ยมูลน้าํ หวานออกมาเพื่อลอใหมดมากินน้าํ หวานและทําหนาที่
เปนพาหนะใหไขและตัวออนระบาดไปยังที่อื่นๆ อีกทั้งมูลน้ําหวานยังเปนอาหารใหแกราดํามาขึ้น
ปกคลุมอีกดวย ตัวอยางพืชที่เพลี้ยแปงเขาทําลาย ไดแก กลวยไม
70
6. ดวงงวง
ชื่อวิทยาศาสตร : Apoderus notatus Fabr.
ลักษณะทั่วไป ตัวเต็มวัยมีสนี ้ําตาลดํา มีงวงยื่นออกมาจากปาก มีหนวด 1 คู โดยตัวดวง
เจาะเขาทําลายบริเวณยอด ทําใหผลรวงหมด หรือเจาะกาบทําใหทางใบแหง หรือเขาทําลายทาง
บาดแผลหลังจากตัดแตงหนอ ตัวแกวางไขภายในกาบและเกิดเปนตัวหนอนกัดกินทําลายครบ
วงจร ตัวอยางพืชที่ดวงงวงเขาทําลายใบ เชน สนามหญา พืชตระกูลปาลม มะพราว
การปองกันกําจัด ใชสารเคมี อโซดริน 56% ฉีดพนใหทวั่ ถึง
7. เพลี้ยจั๊กจั่น
ลักษณะทั่วไป เปนแมลงที่มขี นาดเล็ก ลําตัวยาวเล็กมีสีเขียว สีเหลือง น้ําตาลปนเทา ซึ่ง
จะดูดน้าํ เลี้ยง อีกทั้งเพลี้ยจั๊กจั่นอาจนําโรคไวรัสซึ่งอาจปลอยสารพิษเขาสูตนพืชไดอกี ดวยตัวอยาง
พืชที่เพลี้ยจั๊กจั่นเขาทําลายใบ เชน สนามหญา
การปองกันกําจัด ใชสารเคมี มิพริน 50%
8. เพลี้ยไกฟา
ชื่อวิทยาศาสตร : Allocaridara malayensis
ลักษณะทั่วไป ตัวเต็มวัยของแมลงชนิดนี้วางไขเขาไปในเนื้อเยื่อพืช ทําใหเห็นเปนวงสี
เหลืองหรือน้ําตาลตามใบเปนกลุม ๆ กลุม หนึ่งมีประมาณ 8 - 14 ฟอง หลังจากนั้นไขจะฟก
ออกเปนตัวออนขนาดยาวประมาณ 3 มม. และมีปุยสีขาวติดอยูต ามลําตัว โดยเฉพาะดานทายของ
ลําตนมีปุยสีขาวคลาย ๆ กับหางไก เมื่อแมลงนี้ลอกคราบเปนตัวเต็มวัยสีน้ําตาลปนเขียว ขนาด
ยาวประมาณ 5 มม. ทั้งตัวออนและตัวเต็มวัยจะอาศัยอยูดานหลังใบตลอดเวลา ตัวอยางพืชที่
เพลี้ยไกฟาเขาทําลาย เชน พญาสัตบรรณ
การปองกันกําจัด ใชสารเคมี คาราเต, เดซิส, ไดคาโซล, ทามารอน, ไพริเน็กซ
9. ไรแดง (Red spider mites)
ลักษณะทั่วไป สัตว 8 ขา ขนาดเล็กมาก มีสีแดง สีเหลืองอมเขียว รูปรางกลม มัก
รวมกลุมอยูบริเวณใตใบ จะใชปากดูดกินน้ําเลี้ยง ทําใหใบมีอาการเปนจุดละเอียดสีน้ําตาล
ตัวอยางพืชทีไ่ รแดงเขาทําลาย เชน กลวยไม
การปองกันกําจัด ใชกํามะถันละลายน้าํ ฉีดพน หรือใชมาลาไทออน, เคลเทน, อาราไมล
ผง
10. หนอนบุงกินใบ (Leaf eating caterpillar)
ชื่อวิทยาศาสตร : Cricula trifenestrata
ลักษณะทั่วไป เปนตัวออนหนอนชนิดหนึ่ง ลําตัวเปนขอสีแดงสลับสีดาํ มีขนสีขาว จะกัด
กินใบพืชหมดตั้งเปนเวลารวดเร็ว ตัวอยางพืชที่หนอนบุงกินใบเขาทําลาย ไดแก กามกุงสีทอง
72
ตัวอยางสัตวศัตรูพืชอื่นๆ
1. หอยทาก (Snail)
ลักษณะทั่วไป หอยทากเปนศัตรูพืชที่ระบาดในบริเวณที่มีน้ําทวมขัง มักจะกัดกินใบออน
ยอดออน ทําใหใบขาดเปนรู อาจสังเกตไดโดยพบรองรอยของทางน้ําเมือกที่ขับออกมาแหง
ติดตามกระถางหรือบริเวณที่มันเคลื่อนไป ตัวอยางพืชที่หอยทากเขาทําลาย ไดแก กลวยไม
การปองกันกําจัด ใชวิธีลอดวยเหยื่อพิษโดยผสมสารฆาแมลงกับอาหารลอใหมันมากิน
เหยื่อพิษ ซึ่งมีขายในทองตลาด เชน เหยื่อพิษเมทัลดีไฮด, สารสลักกิต
2. หนู (Rats and Mice)
ลักษณะทั่วไป หนูจะเขาไปกัดกิน ดอก และผล ของพืชที่ปลูกเลี้ยง ตัวอยางพืชที่หนูเขา
ทําลาย ไดแก กลวยไม
การปองกันกําจัด ใชวิธีลอดวยเหยื่อพิษ เชน วอรฟาริน (Warfarin)
3. ไสเดือนฝอย (Nematodes)
ลักษณะทั่วไป เปนสัตวไมมกี ระดูกสันหลัง อาศัยอยูในน้ําและดิน สวนใหญไสเดือนฝอย
เปนศัตรูพืชที่ไมถึงกับทําลายใหพืชตาย เวนแตจะมีเชื้อโรคชนิดอืน่ เขารวมดวย เชน เชื้อ
แบคทีเรียและเชื้อรา ซึ่งจะทําใหเกิดความเสียหายเปนอยางมากแกพืช ตัวอยางพืชที่ไสเดือนฝอย
เขาทําลาย ไดแก กลวยไม
การปองกันกําจัด ถาไสเดือนฝอยเขาทําลายที่สวนไหนก็ใหตดั ทําลายโดยการเผาทิ้ง หรือ
อาจใชสารปองกันกําจัด เชน นีมากอน (Nemagon)
ทั้งนี้เนื่องจากสภาพปาในธรรมชาติปราศจากการใชสารเคมีฆาแมลงศัตรู จึงปราศจาก
มลพิษตางๆ แมลงศัตรูพืชไมเกิดการแพรระบาด เนื่องจากความสมดุลในธรรมชาติ ซึ่ง
เกี่ยวเนื่องจากความหลากหลาย ของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ
2. การปองกันกําจัดโดยวิธีประยุกต ซึ่งเปนวิธตี างๆ ในการปองกันกําจัดแมลงศัตรู
มนุษยเปนผูคดิ คน เพื่อความมีประสิทธิภาพและเหมาะสมในการปองกันกําจัดแมลงศัตรูชนิด
ตางๆ ปริมาณความหนาแนนระดับตางๆ ของแมลงศัตรู ทั้งนี้ก็สบื เนื่องมาจากความสมดุลใน
ธรรมชาติไดเสียไปเนื่องจากฝมือของมนุษยกอใหเกิดการแพรระบาดทําลายพืชผลการเกษตรของ
แมลงศัตรู วิธีการตางๆ ในการปองกันกําจัดแมลงศัตรูมีดังตอไปนี้
2.1 การปองกันกําจัดแมลงศัตรูโดยวิธีเขตกรรม
ไดแกการเปลีย่ นแปลงสภาพแวดลอมเพื่อใหไมเหมาะสมตอแมลงศัตรูพืช เชน
2.1.1 การทําลายแหลงขยายพันธุ วางไขและที่อยูอาศัยของแมลง
2.1.2 การทําความสะอาดแปลงปลูกพืช กําจัดผลิตผลที่เนาเสียและเศษพืช
อาหาร ทําลายวัชพืชและพืชอาศัย
2.1.3 กําหนดชวงระยะเวลาปลูกอยางเหมาะสมเพื่อไมใหระยะออนแอของพืช
ตรงกับระยะการทําลายของแมลง เชน ระยะออกดอกของพืชไมตรงกับระยะที่มีแมลงศัตรูพืช
แข็งแรง และมีปริมาณมาก
2.1.4 การปลูกพืชหมุนเวียน และปลูกพืชตางชนิดสลับกันทั้งนี้เพื่อกําจัดปริมาณ
พืชอาหารของแมลง
2.1.5 การปลูกพืชพันธุออนแอตอแมลงเพื่อลอใหแมลงลงทําลายและวางไขแลว
ทําการควบคุมแมลงศัตรูกอ นการปลูกพืชหลัก
2.1.6 การควบคุมชนิดและปริมาณปุย เพื่อใหพืชแข็งแรงอยูเสมอ
2.1.7 การถอนแยกและตัดแตงกิ่งเพื่อปองกันการหลบซอนของแมลงศัตรู
2.2 การใชพันธุพืชตานทานแมลงศัตรู
การใชพันธุพชื ตานทานแมลงศัตรูระดับปานกลาง แตมีคุณภาพและปริมาณผลผลิตดี
หลายพันธุปลูกสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ซึ่งการใชพนั ธุพืชตานทานสามารถใชผสมผสานกับการ
ใชแมลงศัตรูธรรมชาติ เชื้อจุลินทรีย ตลอดจนสารฆาแมลงไดดี
2.3 การปองกันกําจัดแมลงศัตรูโดยวิธีฟสิกส
เปนการปองกันกําจัดแมลงศัตรูพืชโดยใชความรอน, ความเย็น , คลื่นไฟฟา, คลื่นเสียง,
ความชื้น, ระดับน้ําและกับกักตางๆ เชนการใชกับดักไฟฟาลอแมลงศัตรูที่บนิ ไปมาติดกับดัก การ
ใชกับดักกาวเหนียว การใชรังสีเพื่อทําหมันแมลง การใชถุงพลาสติกบรรจุเมล็ดพืชแลวดูดอากาศ
ออกหมด ก็สามารถปองกันกําจัดแมลงศัตรูของผลผลิตหลังเก็บเกี่ยวได เปนตน
2.4 การปองกันกําจัดแมลงศัตรูโดยวิธีกล
75
ปจจัยที่มีผลตอการออกฤทธิ์ของสารฆาแมลง
1. แมลง แมลงวัยออนจะกําจัดไดงา ยกวาแมลงวัยแก แมลงที่มีนิสัยหลบซอนจะกําจัด
ไดยากกวา เชน หนอนชอนใบ หนอนกอ ถาจําเปนตองใชสารเคมีประเภทดูดซึม
2. สภาพภูมิอากาศ สารประเภทเชื้อจุลินทรียจะเสื่อมฤทธิ์เร็ว เมื่ออากาศรอนจัด หรือ
แสงแดดจา แตจะมีประสิทธิภาพดีถา มีความชื้นสูงในอากาศ ดังนั้นการใชเชื้อจุลินทรียตองฉีดพน
ในชวงเย็นใหทั่วถึง
3. สภาพของพืช พืชที่มีผิวมัน หรือมีขนเปนอุปสรรคในการเกาะติดของสารฆาแมลง
ควรเติมสารจับใบพืชในเวลาฉีดพนสาร
4. เครื่องมือใชฉีดพน ความละเอียดฝอยและความสม่ําเสมอของละออง สารที่พน
ออกมาควรตรวจเช็คถังและกระบอกฉีด ไมใหมีรอยรั่วซึมกอนฉีดพน
เอกสารอางอิง