Professional Documents
Culture Documents
การปรับพฤติกรรมและ
การแก้ปัญหาพฤติกรรมในชั้นเรียน
บทนา
การปรับพฤติกรรมเป็นศาสตร์หนึ่งที่นามาประยุกต์นาไปใช้ในห้องเรียน เพี่อแก้ไขความ
ประพฤติที่ไม่เหมาะสมของเด็กในชั้นเรียนซึ่งพฤติกรรมที่แสดงออกของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน
และมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะพฤติกรรมนั้นดูผิวเผินจะเข้าใจง่าย หากศึกษาให้ละเอียด
แล้วนามาศึกษาวิเคราะห์ จะพบว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ละเอียดอ่อน และจะเห็นความแตกตางได้อ
ยางชัดเจน ซึ่งความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นเอกลักษณ์ที่สาคัญที่สุดของมนุษย์ ดังนั้น จึงต้องศึกษา
เทคนิคทางจิตวิทยาในการแก้ไขพฤติกรรมที่ไมเหมาะสมบางอย่างได้จาก พื้นฐานที่มาของพฤติกรรม
บุคคล ทฤษฎีพื้นฐานในการปรับพฤติกรรม การปรับพฤติกรรมในชั้นเรียน และขั้นตอนในการปรับ
พฤติกรรมในชั้นเรียน การแก้ปัญหาพฤติกรรมในชั้นเรียน
พื้นฐานที่มาของพฤติกรรมบุคคล
นักจิตวิทยาใช้คาว่า “พฤติกรรม" เป็นสื่อระบุถึงการกระทาอันเนื่องมาจากการกระตุ้น หรือ
ถูกจูงใจจากสิ่งเร้าต่าง ๆ ซึ่งเมื่อศึกษาให้ละเอียดแล้ว การกระทาหรือพฤติกรรมที่เราได้เห็นหรือได้
สั มผั ส รั บ รู้ นั้ น ส่ ว นหนึ่ งของการกระท าเป็น การกลั่ นกรอง ตกแต่งและตั้งใจที่จ ะทาให้ เกิด ขึ้น มี
พฤติกรรมอยู่มากทีเดียวที่แม้จะทาด้วยสาเหตุหรือจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่ลักษณะท่าทีกริยาอาจจะ
แตกต่างกันไป เมื่อเปลี่ยนบุคคล เปลี่ยนเวลา หรือเปลี่ยนสถานที่และสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง ความ
แตกต่างที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะการกระทาในแต่ละครั้ง จะต้องผ่านกระบวนการคิดและการตั ดสินใจ
อันประกอบด้วยอารมณ์และความรู้สึกของผู้กระทาพฤติกรรมนั้น ๆ จึงทาให้พฤติกรรมของแต่ละคน
และพฤติกรรม แต่ละคราวเปลี่ยนแปลงหรือปรับเปลี่ยนไปตามเรื่องที่เกี่ยวข้องเสมอ (สุรพล พะยอม
แย้ม, 2545)
กระบวนการเกิดพฤติกรรม
เมื่อบุคคลกระทาสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมา การแสดงออกเช่นนั้นได้ ย่อมต้องอาศัยขั้นตอนของ
การเกิดอยางเป็นกระบวนการมาก่อนทั้งสิ้น และในกระบวนการเกิดพฤติกรรมทั้งหมดนี้ เราอาจแยก
ออกเป็นกระบวนการย่อยได้อีกอย่างน้อย 3 กระบวนการ คือ (สุรางค์ โต้วตระกูล, 2553)
1. กระบวนการรับรู (Perception Process) กระบวนการรับรู้เป็นกระบวนการเบื้องต้นที่
เริ่มจากการที่บุคคลไต้รับสัมผัสหรือรับข่าวสารสัมผัสจากสิ่งเร้าต่างๆ โดยผ่านระบบประสาทสัมผัส
ซึ่งรวมถึงการที่รู้สึก (Sensation) กับสิ่งเร้าที่รับสัมผัสนั้นๆ ด้วย
2. กระบวนการคิ ด และเข้ า ใจ (Cognition Process) กระบวนการนี้ อ าจเรี ย กได้ ว่ า
กระบวนการทางปั ญ ญา ซึ่ ง เป็ น กระบวนการที่ ป ระกอบไปด้ ว ยการเรี ย นรู้ การคิ ด และการจ า
ตลอดจนการนาไปใช้หรือเกิดพัฒนาการจากการเรียนรู้นั้นๆ ด้วยการรับสัมผัส การรู้สึก ที่นามาสู่การ
คิดและเข้าใจ นี้เป็นระบบการทางานที่มีความละเอียดซับช้อนมาก และเป็นกระบวนการภายในทาง
จิตใจ
3. กระบวนการแสดงออก (Spatial behavior process) หลังจากผ่านขั้นตอนของการรับรู้
และการคิดและเข้าใจแล้ว บุคคลจะมีอารมณ์ตอบสนองต่อสิ่งที่ได้รับรู้นั้น ๆ แต่ยังมิได้แสดงออกให้
ผู้อื่นได้รับรู้ ยังคงเป็นพฤติกรรมที่อยู่ภายใน (Covert behavior) แต่เมื่อได้คิดและเลือกที่จะแสดง
การตอบสนองให้ บุ ค คลอื่ น สั ง เกตได้ เราจะเรี ย กว่ า พฤติ ก รรมภายนอก (Overt behavior) ซึ่ ง
พฤติ กรรมภายนอกนี้ เป็ น เพีย งสวนหนึ่ง ของพฤติ กรรมที่มี อ ยู่ทั้ ง หมดภายในตัว บุ ค คลนั้ น เมื่ อ มี
ปฏิ กิ ริ ย าตอบสนองต่อ สิ่ ง เร้ า ใดสิ่ ง เร้ าหนึ่ ง การแสดงออกมาเพีย งบางส่ ว นของที่ มี อยู่ จ ริ งเช่ น นี้
จึงเรียกวา (Spatial behavior) โดยแท้ที่จริงแล้ว กระบวนการย่อยทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ ไม่สามารถแยก
เป็ น ขั้น ตอนต่างหากหรื อเป็ น อิส ระจากกัน เพราะการเกิ ดพฤติกรรมในแต่ล ะครั้งนั้น จะมี ความ
ต่อเนื่องสัมพันธ์กันอย่างมาก
แนวคิดทฤษฎีพื้นฐานในการปรับพฤติกรรม
การปรับพฤติกรรมเป็นวิชาการสาขาหนึ่งของการบาบัดทางจิต (Psychotherapy) ที่เน้น
เฉพาะพฤติกรรมที่สังเกตได้ การปรับพฤติกรรมเป็นวิธีการนาเอาหลักการเรียนรู้และหลักพฤติกรรมที่
ได้จากการทดลองมาใช้เปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข พฤติกรรมที่เป็นปัญหาให้เป็นพฤติกรรมที่พึงปรารถนา
และเสริมสร้างพฤติกรรมที่พึงปรารถนาให้ถาวรขึ้น แนวคิดทฤษฎีที่กล่าวถึงในที่นี้ คือ ทฤษฎีการ
เรี ย นรู้ ทฤษฎี ก ารเรี ย นรู้ ดั ง กล่ า ว เน้ น ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งสิ่ ง เร้ า กั บ ปฏิ กิ ริ ย าตอบสนองหรื อ
ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือความประพฤติของ
บุคคล ทฤษฎีการเรียนรู้ที่นามาปรับพฤติกรรมที่กล่าวถึงในที่นี้มี 3 ประเภท คือ ทฤษฎีการเรียนรู้
แบบคลาสสิก ทฤษฎีการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขการกระทา และทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคม
(สมพร สุทัศนีย.์ 2544)
1. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบคลาสสิก (Classical Conditioning)
เป็นการเรียนรู้ที่เน้นความสัมพันธ์ระหวางสิ่งเร้าและปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งเร้าที่ว่านี้ เป็นสิ่ง
เร้าภายนอกที่มากระตุ้นให้คนแสดงพฤติกรรมที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ เพราะพฤติกรรมของมนุษย์ไม่ได้
เกิ ด ขึ้ น อย่ า งรู้ ตั ว ทั้ ง หมด เช่ น ถ้า คนเอามื อ ไปถู ก เตาร้ อ น ๆ ก็จ ะหดมื อ อย่ า งรวดเร็ ว ปฏิ กิ ริ ย า
163
Sd R S1
เพี่อให้เข้าใจชัดเจนจึงขอแยกกล่าวปฎิสัมพันธ์ที่ละคู่ ดังนี้
1. ระหว่าง P B เป็นปฎิสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคล ได้แก่ ความคิด ความคาดหวัง
ความเชื่อ ความรู้สึก การรับรู้ตนเอง เป้าหมาย ความตั้งใจกับพฤติกรรม ปัจจัยดังกล่ าวกาหนดวาจะ
แสดงพฤติกรรมไปในทิศทางใด ในขณะ เดียวกันพฤติกรรมก็เป็นตัวกาหนดปัจจัยภายในตัวบุคคลด้วย
คือ ตอบสนองความรู้สึก เชน บุคคลคิดวาการดูทิวีรายการเกม โชว์ให้ความบันเทิงแกตน และรู้สึก
อยากดูรายการดังกลาว จึ งเปิดรายการเกมโชว์ การเปิดทีวีจึงเป็นการสนองอารมณ์และ ความรู้สึก
ด้วย
2. ระหว่าง E P เป็นปฎิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมและตัวบุคคล สิ่งแวดล้อมซึ่ง
อาจจะเป็นสื่อข้อความหรือตัวแบบจะกระตุ้นความคิด ความคาดหวัง ความรู้สึก การรับรู้ตนเองและ
ลั ก ษณะอื่ น ๆ ของบุ ค คล โดยผ่ า นตั ว แบบการอบรมสั่ ง สอนหรื อ การชั ก จู ง ทางสั ง คม
ในขณะเดียวกันบุคคลจะมีปฏิกิริยาตอบสนองภายในตอสิ่งแวดล้อมด้ว ย เช่น รายการทีวีจะกระตุ้นให้
บุคคลรับรู้ว่ามีประโยชน์และทาให้เกิดความอยากดู เกิดการวางแผนที่จะดูและเลือกรายการทีวี แม้ว่า
รายการทีวีต่าง ๆ มีให้คนดูเหมือนกันหมด แต่บุคคลก็จะเลือกดูทีวีเมื่อไรโปรแกรมไหนก็ได้ การเลือก
รายการทีวีก็จะจัดสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับความชอบตน
3. ระหวาง B E เป็นปฏิสั มพันธ์ระหว่ างพฤติกรรมและสภาพแวดล้อม นั่นคือ
พฤติกรรมจะเปลี่ยนเงื่อนไขสภาพแวดล้อมและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจะเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย
เช่น จากตัวอย่างข้างต้น บุคคลจะเปลี่ยนรายการทีวี (สิ่งแวดล้อม) ตามความชอบ เมื่อสิ่งแวดล้อม
เปลี่ยนก็จะทาให้พฤติกรรมเปลี่ยนไปด้วย
166
การปรับพฤติกรรมในห้องเรียน
ในสภาพการณ์จัดการเรียนกรสอน ครูมีอิทธิพลในการแก้ไขพฤติกรรมมากโดยเฉพาะการ
ให้แรงเสริมทั้งการให้แรงเสริมบวก และวิธีการอื่นๆ แม้แต่การลงโทษสถานเบา และการให้แรงเสริม
ทางสังคม แฮริ่งและพิลลิปส์ (Haring & Phillips. 1972) กลาวว่า ครูสามารถให้แรงเสริมในห้องเรียน
ได้ด้วยการให้ความสนใจและให้คาชมเชย ซึ่งเป็นแรงเสริมที่มีประสิทธิภาพมาก ประการสาคัญ แรง
เสริมทางสังคมเป็นแรงเสริมที่นามาใช้ได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว
ออลท์แมน และสิน ตัว (Altman and Linton) ได้ให้ เหตุผล 3 ประการว่า ครูเหมาะสม
สาหรับเป็นผู้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเด็กเพราะ (สมพร สุทัศนีย์. 2544)
1. สภาพห้องเรียนเป็นที่ที่เรามองเห็นได้ทั้งพฤติกรรมทางสังคมและพฤติกรรมทางวิชาการ
2. ในสภาพการเรียนเด็กต้องตั้งใจพังครูอยู่แล้ว
3. ในหลักสูตร มีเนื้อหาบางสวนที่เกี่ยวกับการแล้
แนวทางในการปรับพฤติกรรมในชั้นเรียน
สาหรับการแก้ไขพฤติกรรมในห้องเรียนที่เรียกว่า “การปรับพฤติกรรม” สามารถกระทาได้
2 แนวทาง คือ การจัดบรรยากาศในการเรียนการสอน และใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรม (สมพร สุ
ทัศนีย์. 2544)
แนวทางที่ 1 การจัดบรรยากาศในการเรียนการสอน เป็นการเน้นแนวคิดของมนุษยนิยมที่
เน้นอารมณ์ ความรู้สึกและความต้องการโดยเฉพาะความต้องการตามลาดับขั้นของมาสโลว์ซึ่งได้แก่
1) ความต้องการทางด้านร่างกาย 2) ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย 3) ความต้องการความรัก
และความเป็นเจ้าของ 4) ความต้องการเกียรติและการยอมรับ 5) ความต้องการตระหนักในตน
ลักษณะของการปรับพฤติกรรม
1. เน้ น การแก้ ไ ขพฤติ ก รรมหรื อ กิ ริ ย าอาการที่ สั ง เกตเห็ น ได้ ชั ด เจน เช่ น พู ด เสี ย งดั ง
เดิน ตะโกน เป็นต้น พฤติกรรมดังกล่าวสามารถมองเห็นได้ตรงกัน วัดได้เป็นรูปธรรม
2. ไม่ใช้คาที่ประณามหรือตีตรา เช่น คาว่า ซน ก้าวร้าว ดื้อ ชอบขโมย โกหก เป็นต้น
เพราะเป็นพฤติกรรมที่มีลักษณะของการประเมิน มีความหมายกว้างและซับซ้อน มีหลายพฤติกรรม
รวม ๆ กัน ยากแก่การสังเกตหรือสังเกตเห็ นได้แต่ต่างคนต่างก็เข้าใจไม่ตรงกัน ทาให้ยากแก่การจัด
โปรแกรมการปรับหรือแก้ไขพฤติกรรม
170
ขั้นตอนการปรับพฤติกรรมที่นามาใช้ในชั้นเรียน
เมื่อครู เข้าใจลั กษณะของการปรับพฤติกรรม ครูก็ส ามารถปฏิบัติตามขั้นตอนการปรับ
พฤติกรรมดังนี้
1. เลือกพฤติกรรมที่ต้องการแก้ไข หรือเลือกพฤติกรรมเป้าหมายก่อนที่จะจัดรายการการ
ใช้เทคนิคในการแก้ไขพฤติกรรม หรือที่เรียกว่า “การปรับพฤติกรรม” (behavior modification) นั้น
เราต้องสารวจดูว่าพฤติกรรมอะไรบ้างที่ต้องแก้ไขพฤติกรรมที่ต้องการแก้ไขเรียกว่า “พฤติกรรม
เป้าหมาย” (target behavior) พฤติกรรมเป้าหมายดังกล่าวคือ พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์นั่นเอง
2. วิเคราะห์พฤติกรรมที่ต้องการแก้ไข หมายถึง การจาแนกพฤติกรรมออกเป็นพฤติกรรม
ย่อย ที่บ่งบอกพฤติกรรมที่ต้องการแก้ไขเป็นพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้ชัด และมีปริมาณหรือจานวนบ่ง
บอกไว้
3. เลือกตัวแรงเสริมในการแก้ไขพฤติกรรม เมื่อทราบพฤติกรรมเป้าหมาย และสามารถ
วิเคราะห์พฤติกรรมเป้าหมายแล้ว ขั้นต่อไปคือการเลือกตัวแรงเสริม แรงเสริมที่ต้องเลือกคือ “ตัวแรง
เสริมบวก” ซึ่งมีมากมายดังกล่าวแล้วข้างต้น เหตุที่ต้องเลือกเพราะต้องการให้แรงเสริมนั้นเหมาะสม
และสอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน
4. เลือกเทคนิคต่างๆ ในการปรับพฤติกรรม เทคนิคและวิธีการในการแก้ไขพฤติกรรมนั้น
ต้องเลือกให้เหมาะกับพฤติกรรมและทิศทางที่ต้องการ เช่น ต้องการลดพฤติกรรมหรือต้องการเพิ่ม
พฤติกรรม เทคนิคที่นามาใช้ในสถานการณ์จริงของห้องเรียน อาจจะใช้ในรูปของกิจกรรมง่าย ๆ ที่เป็น
เทคนิคการให้แรงเสริมบวก
171
การแก้ปัญหาพฤติกรรมในชั้นเรียน
พฤติกรรมที่เป็นปัญหาทางการเรียน
เป็นพฤติกรรมที่นักเรียนแสดงออกได้หลายรูปแบบ ลักษณะปัญหาเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการ
เรียนโดยเฉพาะ ซึ่งแสดงออกทางพฤติกรรมลักษณะต่างๆ มีดังนี้
1. ผลการเรียนต่า สอบตก บกพร่องในการเรียนรู้บางวิชา
2. ไม่ตั้งใจ ไม่สนใจเรียน เล่น พูดคุยในชั้นเรียน
3. เบื่อหน่าย นั่งหลับ ไม่มีสมาธิ ความสนใจสั้น เหม่อลอย
4. ทางานช้า ไม่ทางานที่ได้รับมอบหมาย
สาเหตุของพฤติกรรม
1. ระดับเชาวน์ปัญญา ต่ากว่าเกณฑ์ปกติ มีความบกพร่องในการเรียนรู้ ไม่ถนัดในบางวิชา
2. ปัญหาสุขภาพ
3. ลั ก ษณะบุ คลิ กภาพ อุ ปนิสั ย มี ลั กษณะเฉื่อยชา ไม่กระตื อรือร้น ขาดความเชื่อมั่ น
ไม่กล้าแสดงออก
4. ปัญหาทางอารมณ์จิตใจ มีความเครียด ความกดดัน ความก้าวร้าว ทาให้ขาดแรงจูงใจ
ไม่สามารถใช้ศักยภาพทางเชาวน์ปัญญาที่มีอยู่ได้เต็มที่ นักเรียนที่มีปัญหาทางอารมณ์อาจเกิดจาก
สาเหตุดังนี้
4.1 ฐานะครอบครัว เช่น ยากจน ขาดการกระตุ้นส่งเสริมทั้งทางด้านวัตถุและแรงจูงใจ
ในการเรียน
4.2 ครอบครัวย้ายที่อยู่บ่อย ต้องย้ายโรงเรียน เกิดปัญหาเรื่องการปรับตัวกับเพื่อน ครู
และ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ
4.3 ครอบครัวแตกแยก บิดา-มารดาหย่าร้าง แยกกันอยู่
4.4 การอบรมเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม ขาดการดูแลเอาใจใส่ ถูกทอดทิ้ง
172
5. ปัญหาทางสังคมสิ่งแวดล้อม ได้แก่
5.1 ปัญหาทางโรงเรียน เช่น กิจกรรมการเรียนการสอนไม่เหมาะสม ไม่ตอบสนอง
ความ ต้องการของนักเรียน กฎระเบียบเข้มงวดหรือปล่อยมากเกินไป
5.2 ปัญหาครู เช่น ครูขาดความพร้อมในการเตรียมจัดการเรียนการสอน วิธีสอนไม่
เหมาะสม บุคลิกภาพของครู ใช้วิธีการลงโทษที่รุนแรง ขาดเหตุผล ขาดการประสานงานกับเพื่อนครู
และผู้ปกครอง
5.3 ปัญหาการปรับตัวกับเพื่อน เช่น ทาตามเพื่อน เพื่อนข่มขู่หรือชักจูงให้มีพฤติกรรม
ที่เป็น ปัญหา หรือชอบลอกเลียนแบบทาตามเพื่อน
5.4 สภาพสิ่งแวดล้อม เช่น อยู่ในชุมชนแออัด แหล่งการพนันและสารเสพติด แหล่ง
มั่วสุมทางเพศ
5.5 สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ จูงใจให้เลียนแบบและประพฤติปฏิบัติตาม
แนวทางการแก้ไขปัญหา
นักเรียน
1. กรณีเรื่องเชาวน์ปัญญา ควรประเมินระดับเชาวน์ปัญญา โดย
1.1 ดูประวัติผลการเรียนที่ผ่านมา
1.2 ทดสอบเชาวน์ปัญญา
2. กรณีมีปัญหาในเรื่องของสุขภาพ ควรส่งพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย รักษา
3. กรณีจากบุคลิกภาพ ครูควรใช้วิธีปรับพฤติกรรมโดยใช้เทคนิคการเสริมแรงทางบวก ซึ่ง
ครู อาจจะใช้การให้แรงเสริมทางสังคม หรือการทาสัญญาพฤติกรรม
ครู
1. สร้างบรรยากาศการเรียนการสอนที่น่าสนใจ
2. ให้นักเรียนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ มีส่วนในการจัดกิจกรรมการดาเนินงานของโรงเรียน
และมี ส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกฎระเบียบ
3. สร้างเสริมมนุษยสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียน
ผู้ปกครอง
1. ศึกษาข้อมูลการเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อมในครอบครัว
2. ชี้ให้เข้าใจปัญหา สาเหตุ ให้มีส่วนร่วมในการแก้ไข
3. ให้คาแนะนาในการปรับบทบาท พฤติกรรม การสร้างสัมพันธภาพ และการสื่อสารความ
เข้าใจ ในครอบครัว
พฤติกรรมปรับตัวเข้ากับเพื่อนไม่ได้
พฤติกรรมปรับตัวเข้ากับเพื่อนไม่ได้ หมายถึง การที่นักเรียนชอบอยู่คนเดียว ไม่สามารถ
เข้ากลุ่ม พูดคุย เล่น ร่วมกิจกรรมกับเพื่อน
สาเหตุของพฤติกรรม
1. บุคลิกภาพ
1.1 อุปนิสัยการแสดงออกที่ก้าวร้าว เอาเปรียบผู้อื่น เห็นแก่ตัว
1.2 อ่อนแอ ไม่เชื่อมั่น ไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ขลาดกลัว
173
สาเหตุของพฤติกรรม
1. ต้องการเรียกร้องความสนใจจากครูและเพื่อน
2. ทาตามแฟชั่น ค่านิยม ตามกลุ่มเพื่อน
3. กฎ ระเบียบ ข้อบังคับของโรงเรียนเข้มงวด บังคับมากเกินไป ทาให้นักเรียนมีปฏิกิริยา
ต่อต้าน ทาในสิ่งที่ห้าม
4. นักเรียนมาจากครอบครัวที่มีการอบรมเลี้ยงดูแบบตามใจ ขาดระเบียบวินัย
แนวทางการแก้ไขปัญหา
1. สร้างพฤติกรรมใหม่ โดยให้นักเรียนดูตัวแบบซึ่งเป็นนักเรียนที่อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน
และ เป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อน เพื่อนักเรียนจะได้เลียนแบบการกระทานั้น
2. ใช้วิธีการเสริมแรง โดยให้แรงเสริมทางสังคม เมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เช่น
ถ้านักเรียนปฏิบัติตนตามกฎ ระเบียบ ครูควรกล่าวคาชมเชยหรือแสดงการยอมรับโดยการพยักหน้า
3. ใช้วิธีเพิ่มพฤติกรรมโดยใช้การชี้แนะ โดยครูชี้แจงสิ่งที่ถูกต้องและควรปฏิบัติให้เด็ก
ทราบเพื่อ ให้เด็กได้ปฏิบัติตาม หรือครูนารูปภาพป้ายนิเทศเกี่ยวกับการปฏิบัติตนให้ถูกต้องมาให้
นักเรียนดู หลังจากนั้น ถ้านักเรียนสามารถปฏิบัติพฤติกรรมเป้าหมายได้ถูกต้องหรือเกือบถูกต้อง ครู
จะให้คาชี้แนะน้อยลง และจะส่งผล ให้นักเรียนมีพฤติกรรมเป้าหมายติดเป็นนิสัย
4. ใช้เทคนิคการปรับสินไหม ควบคู่กับการเสริมแรงทางบวก เช่น ใช้ควบคู่กับเบี้ยอรรถกร
ซึ่ง นักเรียนสามารถเก็บสะสมได้ เพื่อนาไปแลกสิ่งที่ต้องการต่อไป แต่เมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมที่ไม่พึง
ประสงค์ ครูอาจจะใช้การปรับเบี้ยที่นักเรียนได้มาแล้วคืน
5. ส่งเสริมให้ทากิจกรรมที่มีคุณค่าเกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น เช่น ให้เป็นผู้นากลุ่ม
ใน การทากิจกรรม ให้เป็นหัวหน้าห้อง
พฤติกรรมพูดโกหก
พฤติกรรมพูดโกหก หมายถึง ลักษณะที่นักเรียนสื่อสารให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน พูดในสิ่งที่
ตรงข้ามกับความเป็นจริง ปกปิดความจริงบางสิ่งบางอย่าง
สาเหตุของพฤติกรรม
1. บุคลิกภาพ เช่น ต่อต้านสังคม เรียกร้องความสนใจ มีความสุข สนุกสนานในการสร้าง
เรื่อง ให้ผู้อื่นเชื่อ
2. รับรู้ เรียนรู้ เลียนแบบจากบุคคลในครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิดจนติดเป็นนิสัย
3. มีประสบการณ์ที่ถูกลงโทษเมื่อพูดความจริง จึงใช้การพูดโกหกเพื่อจะได้ไม่ถูกลงโทษ
4. มีปมด้อย ขาดความมั่นคงทางจิตใจ ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น
แนวทางการแก้ไขปัญหา
นักเรียน
1. สังเกตพฤติกรรม วิเคราะห์สภาพแวดล้อม เพื่อหาสาเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไข
2. ให้คาปรึกษาเพื่อให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น ความรู้สึกต่อสิ่งที่กระทา ชี้ให้นักเรียน
เห็น ผลที่เกิดขึ้นต่อตนเองและผู้อื่นเมื่อไม่พูดความจริง ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น และ
ยอมรับ เพื่อหาทางแก้ไข
3. ไม่ตาหนิ ไม่ลงโทษ เมื่อนักเรียนยอมรับผิด และชมเชยยกย่อง เมื่อสามารถพูดความจริง
176
ผู้ปกครอง
1. ศึกษาข้อมูลด้านครอบครัว เช่น การอบรมเลี้ยงดู สภาพครอบครัว ความสัมพันธ์ของ
บุคคล ในครอบครัว
2. ชี้แจงให้ผู้ปกครอง เข้าใจ รับรู้ปัญหา สาเหตุ และมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
3. ไม่ควรลงโทษรุนแรง
4. ดูแลเรื่องการใช้จ่ายที่เหมาะสม
5. เป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติ
พฤติกรรมหนีเรียน
พฤติกรรมหนีเรียน หมายถึง การที่นักเรียนแต่งเครื่องแบบนักเรียนแต่ไม่มาโรงเรียน หรือ
มา โรงเรียนแต่ไม่เข้าห้องเรียน ไปทากิจกรรมอย่างอื่น เช่น นอนห้องพยาบาล เข้าห้องน้านานๆ เล่น
การพนัน เล่นวีดีโอเกม
สาเหตุของพฤติกรรม
1. ปัญหาการเรียน เช่น เรียนไม่รู้เรื่อง เนื่องจากเชาวน์ปัญญาต่ํา เรียนช้าไม่ทันเพื่อน
2. เบื่อหน่ายการเรียนการสอน กฎ ระเบียบ ข้อบังคับของโรงเรียน
3. ปรับตัวเข้ากับเพื่อนไม่ได้ ไม่เป็นที่ยอมรับจากกลุ่มเพื่อน
4. ถูกชักจูงจากเพื่อน มีความสนุกสนานมากเมื่ออยู่นอกห้องเรียน อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ยั่วยุ
จูงใจ
5. มีปัญหาครอบครัว ขาดความรัก ความอบอุ่น ความสัมพันธ์กับบิดามารดาไม่ดี
แนวทางการแก้ไขปัญหา
นักเรียน
1. สั งเกตพฤติกรรม วิเคราะห์ ส ภาพแวดล้ อม เช่น สภาพครอบครัว สภาพห้ องเรีย น
สัมภาษณ์ บุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาสาเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไข
178
พฤติกรรมติดสิ่งเสพติด
พฤติกรรมติดสิ่งเสพติด หมายถึง การเสพสิ่งเสพติด ซึ่งได้แก่ กัญชา ยาบ้า สารระเหย เหล้า
บุหรี่เป็นประจา และเพิ่มขนาดของการเสพขึ้นเรื่อยๆ นักเรียนที่มีการใช้สิ่งเสพติดมักจะมีอาการเซื่อง
ซึม ไม่กล้าตัดสินใจ เบื่อหน่ายการเรียน ผลการเรียนต่า หงุดหงิดโมโหง่าย แยกตัวออกจากกลุ่ม
สาเหตุของพฤติกรรม
1. บุคลิกภาพ เช่น ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง หวั่นไหวง่าย รู้สึกไม่มีคุณค่า ไม่มีเป้าหมาย
ชีวิต คล้อยตามคนอื่นง่าย ต้องการที่พึ่ง
2. ต้องการทดลอง ถูกชักจูง ทาตามกลุ่ม ถูกหลอกจากผู้ต้องการผลประโยชน์
3. มีความเครียด ความกดดันจากปัญหาส่วนตัว ปัญหาครอบครัว ไม่สามารถแก้ปัญหาได้
ใช้สารเสพติดเพื่อเป็นการผ่อนคลายหนีจากปัญหา
4. การอบรมเลี้ยงดูไม่เหมาะสม เช่น เข้มงวดเกินไปหรือปล่อยปละละเลย ครอบครัว
แตกแยก ทาให้ขาดความรักความอบอุ่น ต้องหาที่พึ่ง
5. สภาพแวดล้อม เช่น อยู่ในแหล่งชุมชนแออัด อันเป็นที่มั่วสุมอบายมุขและสิ่งเสพติด ผู้ที่
เกี่ยวข้องกับนักเรียนขายหรือเสพสิ่งเสพติดให้เห็นเป็นแบบอย่าง
แนวทางการแก้ไขปัญหา
นักเรียน
1. สังเกตพฤติกรรม วิเคราะห์สภาพแวดล้อม เพื่อหาสาเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไข
2. ให้คาปรึกษาเพื่อให้นักเรียนมีที่พึ่ง เมื่อนักเรียนมีปัญหา
3. หาศักยภาพ ส่งเสริมให้แสดงออก ให้เห็นคุณค่าของตนเอง สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
4. กรณีที่นักเรียนใช้สิ่งเสพติดที่ไม่ร้ายแรง อาจแก้ไขโดยการปรับพฤติกรรม เทคนิคที่
สามารถ นามาใช้ได้ คือ การทาสัญญาพฤติกรรม การให้แรงเสริมทางสังคม เมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมที่
พึงประสงค์
179
5. กรณีที่นักเรียนติดสิ่งเสพติดที่ร้ายแรง ควรนาไปพบแพทย์เพื่อการบาบัดรักษา
6. จัดกิจกรรมเพื่อป้องกันปัญหา เช่น
6.1 จัดนิทรรศการให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งเสพติด
6.2 จัดอภิปรายโทษของสิ่งเสพติดที่มีผลต่อร่างกาย
6.3 จัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เช่น กีฬา ดนตรี การเป็นผู้นา การใช้เวลาว่างให้เป็น
ประโยชน์
ผู้ปกครอง
1. ศึกษาข้อมูลด้านครอบครัว เช่น การอบรมเลี้ยงดู สภาพครอบครัว ความสัมพันธ์ของ
บุคคล ในครอบครัว
2. ชี้แจงให้ผู้ปกครอง เข้าใจ รับรู้ปัญหา สาเหตุ และมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
3. เป็นแบบอย่างที่ดีในการไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติด
พฤติกรรมเล่นการพนัน
พฤติกรรมเล่นการพนัน หมายถึง การเล่นที่มีการแข่งขันเอาเงิน เช่น เล่นไพ่ เล่นสนุกเกอร์
เล่นโยนเหรียญ เล่นฟุตบอล ฯลฯ เป็นต้น
สาเหตุของพฤติกรรม
1. มีปัญหาการเรียน เรียนไม่รู้เรื่อง เบื่อหน่ายการเรียน
2. มีปัญหาการเงิน ขาดแคลน ต้องการเงินใช้จ่ายซื้อสิ่งของ
3. คบเพื่อนที่เล่นการพนันและถูกชักจูงให้เล่นการพนัน
4. นักเรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นแหล่งการพนัน
5. เรียนรู้แบบอย่างจากครอบครัว ผู้ใหญ่ ผู้ใกล้ชิด ชอบเล่นการพนันให้เห็นเป็นประจา
6. ได้รับการอบรมเลี้ยงดูไม่ถูกต้อง เช่น ถูกทอดทิ้ง ปล่อยปละละเลย ให้การสนับสนุนเมื่อ
ลูก ได้เงินมา
แนวทางการแก้ไขปัญหา
นักเรียน
1. สั งเกตพฤติกรรม วิเคราะห์ ส ภาพแวดล้ อม เช่น สภาพครอบครัว สภาพห้ องเรีย น
สัมภาษณ์ บุคคลที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น เพื่อหาสาเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไข
2. ให้คาปรึกษา เพื่อให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น ความรู้สึกต่อสิ่งที่กระทาไปแล้ว และ
ประเมินผลที่เกิดขึ้น ครูชี้แจงให้เข้าใจถึงผลเสียและหาทางเลือกในการทากิจกรรมอื่นที่เป็นประโยชน์
3. หาศักยภาพของนักเรียนในด้านอื่น และส่งเสริมให้สามารถแสดงออกในทางสร้างสรรค์
4. ปรับพฤติกรรม โดยใช้เทคนิคการปรับสินไหม หรือการลงโทษ เพื่อลดพฤติกรรมที่เป็น
ปัญหา และสร้างพฤติกรรมใหม่โดยให้ดูตัวแบบที่เหมาะสม และให้แรงเสริมทางบวกเมื่อนักเรียนมี
พฤติกรรมที่เหมาะสม
ครู
จัดกิจกรรมเพื่อป้องกันปัญหา เช่น
1. จัดนิทรรศการ ภาพยนตร์
2. จัดอภิปรายโทษของการเล่นการพนัน
180
ผู้ปกครอง
1. ศึกษาข้อมูลด้านครอบครัว
2. ชี้แจงให้ผู้ปกครอง เข้าใจ รับรู้ปัญหา สาเหตุ และมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
3. ไม่ใช้วิธีการลงโทษที่รุนแรง ควรสร้างบรรยากาศในครอบครัวให้อบอุ่น
4. เป็นแบบอย่างที่ดีในการแสดงพฤติกรรมทางเพศ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้และปฏิบัติตาม
อย่าง เหมาะสม
พฤติกรรมก้าวร้าวข่มขู่
พฤติกรรมก้าวร้าวข่มขู่ หมายถึง การกระทาที่ทาให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน เช่น ทาร้าย
เพื่อนด้วยวิธีต่างๆ ทาลายของใช้เพื่อน ขว้างปาสิ่งของ พูดคาหยาบ ตะโกน ตวาด
สาเหตุของพฤติกรรม
1. เลียนแบบพฤติกรรมก้าวร้าวจากบิดามารดาที่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ใช้อานาจ บังคับ ดุว่า
2. การอบรมเลี้ยงดูแบบไม่สนใจ หรือตามใจมากเกินไป ทาให้เด็กเอาแต่ใจตนเอง แสดง
พฤติกรรมก้าวร้าวกับบุคคลในครอบครัวและกับบุคคลอื่นจนติดเป็นนิสัย
3. ถูกลงโทษอย่างรุนแรง ได้รับความกดดัน เก็บกด ความโกรธ จึงแสดงพฤติกรรมในทาง
ก้าวร้าวเป็นการระบายชดเชย
4. ครอบครัวขาดความรัก ความอบอุ่น ถูกทอดทิ้ง
5. ถูกบุคคลอื่นใช้อานาจ ข่มขู่ ไม่ได้รับความยุติธรรม จึงแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เพื่อเป็น
การ ตอบโต้ แก้แค้น
6. มีปมด้อยด้านร่างกาย การเรียน จึงพยายามสร้างปมเด่น
7. เลียนแบบอย่างจากสื่อต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ การ์ตูน เกม คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เป็นต้น
แนวทางการแก้ไขปัญหา
นักเรียน
1. สร้างพฤติกรรมใหม่ โดยให้นักเรียนดูตัวแบบ ซึ่งเป็นนักเรียนที่อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน
และ เป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อน เพื่อนักเรียนจะได้เลียนแบบการกระทานั้นๆ
2. ใช้เทคนิคการใช้เวลานอก เมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ โดยให้นักเรียนออก
จาก สภาพแวดล้อมที่ได้รับการเสริมแรงทางบวกระยะหนึ่ง เช่น เมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมก้าวร้าว จะ
ให้นักเรียนไป อยู่มุมใดมุมหนึ่งของห้องเป็นเวลา 5 นาที โดยไม่ให้ร่วมทากิจกรรมกับเพื่อนๆ
3. ใช้เทคนิคการเสริมแรง โดยให้แรงเสริมทางสังคม เมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์
4. ใช้เทคนิคการชี้แนะ โดยครูชี้แนะให้นักเรียนรู้ถึงผลเสียของการมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว
และสิ่งที่ ควรปฏิบัติให้นักเรียนทราบ เพื่อให้นักเรียนได้ปฏิบัติตาม
5. ให้ร่วมกิจกรรมที่ได้แสดงความสามารถและได้รับการยอมรับ
ผู้ปกครอง
1. ศึกษาข้อมูลด้านครอบครัว เช่น การอบรมเลี้ยงดู สภาพครอบครัว ความสัมพันธ์ของ
บุคคล ในครอบครัว
2. ชี้แจงให้ผู้ปกครอง เข้าใจ รับรู้ปัญหา สาเหตุ และมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
182
3. การแสดงความคิดเห็นในกลุ่มขณะที่ครูแบ่งกลุ่มย่อยทางาน
สาเหตุของพฤติกรรม
1. การเลี้ยงดูที่บิดามารดา ไม่เปิดโอกาสให้คิดหรือทาอะไรด้วยตนเอง บิดามารดาเป็น
ผู้ดูแล จัดการให้ทุกอย่าง หรือการอบรมเลี้ยงดูที่เข้มงวด ดุว่า ใช้การลงโทษรุนแรง เด็กมีความกลัว
เก็บกด ไม่กล้า แสดงออก
2. รูปแบบบุคลิกภาพการแสดงออกของบิดามารดา หรือผู้ใกล้ชิดในครอบครัว ขาดทักษะ
ทาง ด้านมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่น
3. ความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัวไม่ดี ไม่ได้รับความรักความสนใจจากบิดามารดา
ทาให้ เด็กรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
4. เมื่อทาผิดพลาดได้รับการลงโทษ ไม่ได้รับการส่งเสริมให้กาลังใจ ทาให้ไม่กล้าแสดงออก
5. มีปมด้อยด้านร่างกาย รูปร่างหน้าตา บุคลิกภาพ ปัญหาการเรียน ไม่ได้รับการยอมรับ
จาก กลุ่มเพื่อน
แนวทางแก้ไขปัญหา
นักเรียน
1. กระตุ้น ส่งเสริมให้นักเรียนหาศักยภาพ ความสามารถ ข้อดีของตนเอง เพื่อสร้างความ
มั่นใจ และเห็นคุณค่าของตนเอง เช่น กิจกรรมพูดหน้าชั้นเรียน กิจกรรมกลุ่มการฝึกทักษะทางสังคม
การเข้าค่าย ชมรมต่างๆ
2. ให้การเสริมแรง เมื่อนักเรียนแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม เพื่อสร้างแรงจูงใจ เช่น คา
ชมเชย สิ่งของ รางวัล คะแนน
ผู้ปกครอง
1. ศึกษาข้อมูล การอบรมเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อมในครอบครัว
2. ชี้ให้เข้าใจสาเหตุของปัญหา มีส่วนร่วมในการกระตุ้นส่งเสริมให้กาลังใจ
3. ให้ผู้ปกครองสร้างความสัมพันธ์ ความรัก ความเข้าใจ ให้เด็กรู้สึกมีความมั่นคง มั่นใจใน
ตนเอง
4. ให้โอกาสเด็กคิดและตัดสินใจในเรื่องที่เห็นว่าตัดสินใจได้ และไม่ตาหนิหรือลงโทษเมื่อ
ตัดสินใจ ผิดพลาด แต่ควรให้การชี้แนะและเสริมกาลังใจ
บทสรุป
การศึกษาการปรับพฤติกรรมในชั้นเรียน จะช่วยให้เข้าใจในธรรมชาติความต้องการ และ
ความซับซ้อนของพฤติกรรมที่แสดงออกของเด็กแต่ละคนที่มีความแตกต่างกัน และมีการเปลี่ยนแปลง
ที่ก่อให้เกิดปัญหาในชั้นเรียนได้ตลอดเวลา หากเข้าใจถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ส่งผล
กระทบกับการอยู่ร่วมกัน ของบุคคลรอบด้าน ซึ่งจะทาให้ประสบความสาเร็จทั้งชีวิตส่วนตัว และการ
ทางานร่วมกับบุคคลอื่นให้เกิดขึ้นได้ในสังคม
การที่ครูจะการจัดการพฤติกรรมของเด็กเป็นรายบุคคล จะต้องคานึงถึงสาเหตุ เบื้ องต้น
จากตั ว ครู และกระบวนการเรี ย นการสอนในชั้น เรี ยน พฤติ ก รรมที่ ร บกวนชั้น เรี ยนจ านวนมาก
จะลดลงได้จากการที่จัดการชั้นเรียนที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ การจัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียนจะช่วย
184
ให้เด็กได้เรียนและทากิจกรรมการเรียนอย่างสะดวกสบาย การจัดเนื้อหาการเรียนที่พอเหมาะกับ
ความสามารถของเด็กไม่ทาให้รู้สึกว่ายาก การจัดกิจกรรมการเรียนที่เด็กสนใจและสนุกสนาน การใช้
กฎและกติกาของห้องให้เด็กเรียนรู้แนวการปฏิบัติที่พึงประสงค์ รวมถึงการใช้วิธีการเสริมแรงและ
ลงโทษเพื่อแก้ไขพฤติกรรมเด็กอย่างเหมาะสม