Professional Documents
Culture Documents
ทฤษฎีการเรียนรู้
บทนา
ทฤษฎีการเรียนรู้มีอิทธิพลต่อการจัดการเรียนการสอนมาก เพราะจะเป็นแนวทางในการ
กาหนดปรัชญาการศึกษาและการจัดประสบการณ์ เนื่องจากทฤษฎีการเรียนรู้เป็นสิ่ งที่อธิบายถึง
กระบวนการ วิธีการและเงื่อนไขที่จะทาให้เกิดการเรียนรู้และตรวจสอบว่าพฤติกรรมของมนุษย์ มีการ
เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ทฤษฎีการเรียนรู้ที่สาคัญ แบ่งออกได้ 4 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้
กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral Learning Theories) ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิ ปัญญา
(Social Cognitive Learning Theory) ทฤษฎี ก ารเรี ย นรู้ ก ลุ่ ม ปั ญ ญานิ ย ม (Cognitive Theories)
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning Theories)
เกิดการตอบสนองตามความต้องการคือ การเรียนรู้และต้องการรู้ว่าการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคได้ผล
หรือไม่ หมายถึง การตัดสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข (UCS) อย่างเดียวออกให้เหลือแต่สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
(CS) ถ้ายังมีการตอบสนองเหมือนเดิมที่ยังมีสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไขอยู่แสดงว่า การวางเงื่อนไขได้ผล
สาหรับ สิ่งที่เพิ่มเติมในหลั กการเรี ยนรู้ตามแนวคิดของวัตสัน คือ แทนที่จะ ทดลองกับสั ตว์เขาใช้
ทดลองกับคน เมื่อทดลองกับคนก็จะมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง วัตสันกล่าวว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น
อารมณ์กลัวมีผลต่อสิ่งเร้าบางอย่างตามธรรมชาติอยู่แล้ว อาจจะทาให้กลัวสิ่งเร้าอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวได้
จากการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิ ค โดยให้สิ่งเร้าที่มีความกลัวตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่ งเร้าที่ไม่วาง
เงื่อนไข (UCS) กับสิ่งเร้าอื่นที่ต้องการให้เกิดความกลัวซึ่งเป็นสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (CS) มาคู่กันบ่อย ๆ
ในที่สุ ดก็จ ะเกิดความกลั ว ในสิ่ งเร้าที่วางเงื่อนไขได้และเมื่อทาให้ เกิดพฤติกรรมใดได้วัตสันเชื่อว่า
สามารถลบพฤติกรรมนั้นให้หายได้ โดยวัตสันและเรน์เนอร์ (Watson and Rayner. 1920) ได้ทดลอง
วางเงื่อนไขกับเด็กอายุ 11 เดือน โดยการนาเอาหนูตะเภาขาวให้เด็กดูคู่กับการทาเสียงดัง เด็กตกใจ
กลัวจึงร้องไห้ เมื่อนาเอาหนูตะเภาขาวคู่กับเสียงดังเพียงไม่กคี่ รั้งเด็กก็เกิดความกลัวหนูตะเภาขาวและ
กลัวสิ่งอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายหนูตะเภาหรือมีลักษณะ ขาว เช่น กระต่าย สุนัข หรื อเสื้อขนสัตว์ ซึ่ง
เป็นสิ่งเร้าที่มีรูปร่างหรือมีสีคล้ายกับหนูตะเภาขาวทาให้ปฏิกิริยาสะท้อนอยู่ภายใต้การควบคุมของสิ่ง
เร้ามากขึ้น เด็กที่เคยกลัวหมอฟันใส่เสื้อกาวสีขาวก็จะกลัวหมอคนอื่น ๆ ที่ใส่เสื้อกาวสีขาวเช่นกัน
การนาหลักการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิ คไปใช้ในการเรียนการสอน โดยการนา
หลั ก การเรี ย นรู้ ป ระยุ ก ต์ ใ ช้ ด้ ว ยการสร้ า งพฤติ ก รรมที่ พึ ง ประสงค์ ไ ด้ เช่ น การให้ ผู้ เ รี ย นชอบ
ภาษาอังกฤษ ชอบไปโรงเรียน ชอบทางานหรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ เป็นต้น ดังนี้
ขั้นที่ 1 วิชาภาษาอังกฤษ ผู้เรียนไม่ชอบ
การเล่นเกมจับคู่คากับความหมาย ผู้เรียนชอบ
ขั้นที่ 2 วิชาภาษาอังกฤษคู่กับการเล่นเกมจับคู่คากับความหมาย ผู้เรียนชอบ
ขัน้ ที่ 3 วิชาภาษาอังกฤษ ผู้เรียนชอบ
ถ้าไม่ ได้เล่ น เกมในวิ ช าภาษาอั งกฤษ ผู้ เ รียนยั งชอบเรีย นภาษาอัง กฤษอยู่แสดงว่ า
การ วางเงื่อนไขเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ คือ ผู้เรียนชอบวิชาภาษาอังกฤษ
นอกจากนี้แล้วการเรียนรู้นี้นามาใช้ในการปรับพฤติ กรรมได้ เช่น การไม่รับผิดชอบการ
เรียนหรือหนีเรียน ให้พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์เป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์โดยมีหลักการประยุกต์ใช้
ดังนี้
1. การน าหลั ก การลดพฤติ ก รรมหนี เ รี ย นมาใช้ โดยผู้ ส อนต้ อ งตระหนั ก เสมอว่ า
การให้ผู้เรียนเรียนอย่างเดียว ซ้า ๆ กันบ่อย ๆ อาจทาให้เกิดความเบื่ อหน่าย จึงควรแทรกสิ่งที่เขา
ชอบเข้าไปบ้างเพื่อให้เกิดความอยากเรียนเป็นการป้องกันมิให้เกิดการลบพฤติกรรมที่พึงประสงค์ได้
คือ หลังจากการได้รับการเรียนรู้แล้วการให้บทเรียนซึ่งเป็นสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (CS) เพียงอย่างเดียว
จะทาให้เกิดความเบื่อหน่ายซ้าซากต้องแทรกสิ่งที่ผู้เรียนชอบ
2. การนากฎความคล้ ายคลึงไปใช้ ควรพยายามให้คล้า ยกับการเรียนรู้ครั้งแรกมา
อธิบายเปรียบเทียบให้ฟังเพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น เช่น การอธิบาย ความคิดรวบยอดของผู้เรียนแต่ละ
คนให้มีความสัมพันธ์กับสิ่งที่คล้ายคลึงกัน
74
3. การนากฎการจาแนกมาใช้ โดยการสอนให้นักเรียนเข้าใจความหมายของสิ่งที่ได้
เรียนรู้ครั้งแรกให้เข้าใจอย่างชัดเจน แล้วจึงอธิบายความแตกต่างของสิ่ งเร้าอื่นว่าแตกต่างจากสิ่งเร้ า
แรกอย่างไร ซึ่งเป็นการสอนเรื่องความคิดรวบยอดนั่นเอง
2. ทฤษฎี ก ารเรี ย นรู้ ก ารวางเงื่ อ นไขแบบการกระท า (Operant Conditioning
Theory of Learning)
ทฤษฎี แ บบนี้ ไ ด้ รั บ การพั ฒ นาขึ้ น โดยสกิ น เนอร์ (Skinner. 1953) ในปี ค.ศ. 1950
สหรัฐอเมริกาเกิดวิกฤตการณ์การขาดแคลนครูที่มีประสิทธิภาพ เขาจึงได้คิดเครื่องมือ ช่วยสอนขึ้นมา
เพื่อปรับปรุงให้ระบบการศึกษามีประสิทธิภาพ เครื่องมือที่เกิดขึ้นมานั้นเรียกว่า บทเรียนสาเร็จรูป
หรือการสอนแบบโปรแกรม (Program Instruction of Program Learning) และเครื่ องมือช่วยใน
การสอน (Teaching Machine) ซึ่งนิยมใช้กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน สาหรับหลักการเรียนรู้ของทฤษฎี
การวางเงื่อนไขแบบการกระทาของสกินเนอร์ (Operant Conditioning Theory) มี
แนวความคิดพื้นฐานว่าความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับสิ่ งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิด พฤติกรรม
และผลของการกระทาของพฤติกรรมมีอิทธิพลต่อพฤติก รรมนั้น ทฤษฎีนี้เน้นที่การลงมือ กระทาของ
ผู้เรียนมากกว่าสิ่งเร้าที่ผู้สอนกาหนดขึ้น ดังภาพประกอบที่ 3
A S RC +
A คือ สภาพแวดล้อม
S คือ สิ่งเร้า
R คือ การตอบสนอง
C คือ ผลกรรมที่มีผลต่อพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดย
C+ เป็นผลกรรมที่ผู้กระทาพึงพอใจ
C- เป็นผลกรรมที่ผู้กระทาไม่พึงพอใจ
การนาหลักการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบการกระทาไปใช้ในการเรียนการสอน โดยวิธีนา
หลักการเรียนรู้ประยุกต์ใช้ในเรื่องสาคัญ ๆ ดังต่อไปนี้
1. การใช้กฎการเรียนรู้ ประกอบด้วย 2 กฎ คือ
1.1 กฎที่ 1 กฎการเสริมแรงทันที มักใช้ เมื่อต้องการให้ ผู้ เรียนเกิดการเรียนรู้อย่าง
รวดเร็ว เช่นทุกครั้งที่ผู้เรียนตอบคาถามถูกครูต้องรีบเสริมแรงทันที่อาจเป็นคาชมเชย หรือให้รูปดาว
เป็นต้น เป็นการเสริมแรงที่เหมาะกับเด็กเล็กระดับชั้นอนุบาล หรือประถมศึกษา
1.2 กฎที่ 2 กฎการเสริมแรงเป็นครั้งคราว มักใช้เมื่อต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
นาน ๆ และต่อเนื่องขึ้นอยู่กับระดับชั้นของผู้เรียนและโอกาสที่จะใช้ซึ่งเหมาะกับเด็กระดับชั้นสูงขึ้น
2. บทเรียนสาเร็จรู ป (Programmed Learning) บทเรียนสาเร็จรูปเริ่มขึ้น เมื่อปี ค.ศ.
1954 โดยสกินเนอร์ที่มีแนวคิดจากทฤษฎีการวางเงื่ อนไขแบบการกระทาที่เขาได้สังเกตเห็นว่า การ
เรียนในห้องเรียนนั้นผู้เรียนแต่ละคนได้รับการเสริมแรงน้อย และยังเป็นเวลานานเกินไป กว่าจะได้รับ
การเสริมแรงนั้นหลังจากได้แสดงพฤติกรรมที่ถูกต้องแล้วจนขาดประสิทธิภาพ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
สกินเนอร์จึงเสนอบทเรี ยนสาเร็จรูปโดยมีจุดประสงค์ว่าผู้เรียนจะได้รับการเสริมแรงทันทีที่แสดง
พฤติกรรมที่ถูกต้อง นอกจากนี้บทเรียนสาเร็จรูปยังเป็นบทเรียนที่สามารถนาไปเรียนด้วยตนเองโดยไม่
มีครูก็ได้ บทเรียนจะแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยและข้อย่อย ๆ 2 ลักษณะ คือ
2.1 การจัดเรียงบทเรียนเป็นเส้นตรง (Linear Programming) ลาดับขั้นของบทเรียน
จากง่ายไปหายาก เริ่มจากหน่วยแรกไปเรื่อย ๆ ตามลาดับ โดยถือว่าการเรียนขั้นแรกเป็นพื้นฐานของ
ขั้นต่อไปและมีคาถามในลักษณะเติมคาลงในช่ องว่างให้ผู้เรียนตอบ มีคาเฉลยไว้โดยผู้เรียนจะปิดคา
เฉลยไว้ก่อนเมื่อตอบแล้วจึงเปิดดูเหมาะสาหรับ วิชาที่มีเนื้อหาเรียงลาดับง่ายไปหายาก เช่น การบวก
เลข การอ่าน-เขียนภาษา
2.2 บทเรี ย นที่ มี เ นื้ อ หาเป็ น ตอน (Branching Programming) บทเรี ย นที่ ผู้ เ รี ย นมี
โอกาสได้รับคาอธิบายเพิ่มเติมในกรณีที่ตอบคาถามไม่ถูก ส่วนวิธีเรียนก็เรียงเนื้อหาจากง่ายไปยาก แต่
ลักษณะคาถามจะเป็ น แบบเลื อกตอบ (Multiple Choice) เมื่อผู้เรียน ตอบคาถามหมดแล้ ว จึงไป
เปิดดูคาเฉลยได้
เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของบทเรียนสาเร็จรูปกับการสอนของครูตามปกติในชั้น
เรี ย นพบว่ า ผู้ เ รี ย นมี ผ ลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย นเกื อ บไม่ แ ตกต่ า งกั น เนื่ อ งจากบทเรี ย นส าเร็ จ รู ป มี
ประโยชน์ในบางวิชาเท่านั้น เพราะการใช้บทเรียนสาเร็จรูปนั้นทาให้ผู้เรียนไม่มีความสัมพันธ์กับครู
และเพื่อน ๆ จะเหมาะสาหรับผู้เรียนที่มีเวลาเรียนน้อยและไม่มีเวลาเรียนในชั้นเรียน จึงต้องการเรียน
ซ่อมเสริม
3. การปรับพฤติกรรม (Behavior Modification) เป็นการปรับแต่งพฤติกรรมให้เป็นไปใน
ทิศทางที่ต้องการมี 3 ลักษณะ คือ
3.1 การเพิ่มพฤติกรรมหรือคงพฤติกรรมเดิมที่พึงประสงค์ไว้ โดยมีเทคนิคในการใช้เพิ่ม
พฤติกรรมหลายอย่างคือ การเสริมแรงบวกเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่พึงพอใจ การทาสัญญาเงื่อนไขหรือ
การเสริมแรงลบ เป็นต้น
3.2 การเสริมสร้างพฤติกรรมใหม่ เป็นการปลูกฝังพฤติกรรมใหม่ (Shaping Behavior)
โดยใช้วิธีการเสริมแรงพฤติกรรมที่คาดว่าจะนาไปสู่พฤติกรรมที่ต้องการ อาจใช้วิธีการเลียนแบบ
77
1.3.2 การหยั่ ง เห็ น (Insight) เป็ น การค้ น พบหรื อ เกิ ด ความเข้ า ใจในช่ อ งทาง
แก้ ปั ญ หาอย่ า งฉั บ พลั น ทั น ที อั น เนื่ อ งมาจากผลการพิ จ ารณาปั ญ หาโดยส่ ว นรวมและการใช้
กระบวนการทางความคิดและสติปัญญาของบุคคลนั้น
1.4 กฎการจัดระเบียบการรับรู้ของเกสตัลท์ มีดังต่อไปนี้
1.4.1 กฎแห่งความแน่นอนหรือชัดเจน (Law of Pregnan2) ประสบการณ์เดิมมี
อิท ธิพ ลต่ อการรั บ รู้ ข องบุ คคล การรั บรู้ ของบุ คคลต่อ สิ่ ง เร้ าเดีย วกั นอาจแตกต่า งกั นได้เ พราะใช้
ประสบการณ์ เ ดิม ของตนมารั บ รู้ ส่ ว นรวมและส่ ว นย่ อ ยซึ่ ง แตกต่า งกั น เมื่ อ ต้ อ งการให้ บุ ค คลเกิ ด
การรับรู้ในสิ่งเดียวกัน ต้องกาหนดองค์ประกอบขึ้น 2 ส่วน คือภาพหรือข้อมูลที่ต้องการให้สนใจ เพื่อ
เกิดการเรียนรู้ในขณะนั้น (Figure) และส่วนประกอบหรือพื้นฐานของการรับรู้ (Background) ซึ่งเป็น
สิ่งแวดล้อมที่ประกอบอยู่ในการเรียนรู้นั้น ๆ ที่ผู้สอนยังไม่ต้องการให้ผู้เรียนสนใจในขณะนั้น ปรากฏ
ว่าวิธีการแก้ปัญหาโดยกาหนด Figure และ Background ของเกสตัลท์ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะ
สามารถทาให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ด้วยการรับรู้อย่างเดียวกันได้
1.4.2 กฎแห่งความคล้ายคลึง (Law of Similarity) สิ่งเร้าใจที่มีลักษณะเหมือนกัน
หรือคล้ายคลึงกัน บุ คคลมักรับรู้เป็นพวกเดียวกันโดยใช้เป็ นหลักการในการวางรูปกลุ่มของการรับรู้
เช่น กลุ่มของเส้ นหรือสีที่คล้ายคลึงกันที่เป็นสิ่งเร้าใด ๆ ก็ตามที่มีรูปร่าง ขนาด หรือสีที่คล้ ายกัน
คนเรามักจะรับรู้ว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือพวกเดียวกัน
1.4.3 กฎแห่ งความใกล้ เคียง (Law of Proximity) สิ่ งเร้าที่มีความใกล้ เคี ย งกั น
บุ ค คลมั ก รั บ รู้ ว่ า เป็ น พวกเดี ย วกั น สาระส าคั ญ คื อ ถ้ า สิ่ ง ใดหรื อ สถานการณ์ ใ ดที่ เ กิ ด ขึ้ น ในเวลา
ต่อเนื่องกันหรือในเวลาเดียวกันอินทรีย์จะเรียนรู้ว่าเป็นเหตุและผลกันหรือสิ่งเร้าใด ๆ ที่อยู่ใกล้ชิดกัน
บุคคลมีแนวโน้มที่จะรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้ชิดกัน เป็นพวกเดียวกัน เป็นหมวดหมู่เดียวกัน
1.4.4 กฎแห่ ง ความสมบู ร ณ์ (Law of Closure) แม้ สิ่ ง เร้ า ที่ บุ ค คลรั บ รู้ ยั ง ไม่
สมบู ร ณ์ แต่ บุ ค คลสามารถรั บ รู้ ในลั ก ษณะสมบู รณ์ ไ ด้ ถ้ า บุ ค คลมีป ระสบการณ์ เดิ ม ในสิ่ ง เร้ า นั้ น
สาระส าคั ญ คื อถึ ง แม้ว่ า สถานการณ์ ห รื อ ปัญ หายั งไม่ ส มบู ร ณ์ อิ น ทรี ย์ก็ จ ะเกิด การเรี ย นรู้ไ ด้ จ าก
ประสบการณ์เดิมต่อสถานการณ์นั้น สรุปว่า แม้มีสิ่งเร้าบางส่วนขาดหายไปผู้เรียนก็ยังสามารถรับรู้
สิ่งเร้านั้นให้เป็นภาพสมบูรณ์ได้โดยอาศัยประสบการณ์เดิม
1.4.5 กฎแห่งความต่อเนื่อง (Law of Continuity) สิ่งเร้าที่มีความต่อเนื่องกันหรือ
มีทิศทางไปในทางเดียวกัน บุคคลมักรับรู้เป็นพวกเดียวกัน หรือเรื่องเดียวกัน หรือเป็นเหตุผล เดียวกัน
สรุปว่าเมื่อสิ่งเร้ามีทิศทางในแนวทางเดียวกันผู้เรียนก็จะรับรู้ได้ว่าเป็นพวกเดียวกัน
1.4.6 กฎแห่งความคงที่ (Law of Stability) ในความหมายของสิ่งที่รับรู้ตามความ
เป็นจริงคือ เมื่อบุคคลรับรู้สิ่งเร้าในภาพรวมและจะมีความคงที่ ในการรับรู้ในสิ่งนั้นในลักษณะเป็น
ภาพรวมดังกล่าว ถึงแม้ว่าสิ่งเร้านั้นจะเปลี่ยนแปรไปเมื่อรับรู้ในแง่มุมอื่น
1.4.7 การรั บ รู้ ข องบุ ค คลอาจผิ ด พลาดบิ ด เบื อ นไปจากความเป็ น จริ ง ได้
เนื่องมาจากการจัดกลุ่มลักษณะสิ่งเร้าที่ทาให้เกิดภาพลวงตา เช่น การไปอยู่ท่ามกลางคนผอมกว่าทา
ให้เราดูท้วม หรือเมื่อไปอยู่ท่ามกลางคนอ้วนกว่าทาให้เราดูผอม เป็นต้น หรือการคิดว่ายังมีคนอื่น ๆ
อีกมากมายที่ยากจนและลาบากมากกว่าเรา เรายังดีมีบ้านอยู่ มีข้าวปลาอาหารกินทุกมื้อ โดยไม่คิด
เปรียบเทียบกับคนที่มีฐานะหรือตาแหน่งหน้าที่การงานเหนือกว่าตน เป็นต้น
85
การประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ดาเนินการได้ ดังนี้
1. ผู้สอนควรสร้างแรงขับหรือแรงจูงใจให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนโดยมีการกระตุ้นให้ผู้เรียน
พยายามไปให้ถึงจุดหมายที่ต้องการ
2. ผู้สอนควรให้เครื่องหมายสัญลักษณ์หรือ สิ่งอื่น ๆ ที่เป็นเครื่องชี้ทางควบคู่ไปด้วยเพื่อให้
ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายที่กาหนดไว้
3. ผู้ ส อนควรมี ก ารปรั บ เปลี่ ย นสถานการณ์ ก ารเรี ย นรู้ ซึ่ ง จะเป็ น ส่ ว นช่ ว ยใ ห้ ผู้ เ รี ย น
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนได้
4. ผู้สอนควรมีการใช้วิธีการทดสอบหลาย ๆ วิธี มีการทดสอบบ่อย ๆ หรือ ติดตามผลระยะ
ยาวซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แสดงสิ่งที่เรียนรู้ออกมาได้
3. ทฤษฎี พั ฒนาการทางสติปั ญญาของเพี ยเจต์ (Piajet’s Intellectual Development
Theory)
เพียเจต์ (Piaget. 1983) ได้ทาการศึกษาพัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอน
หรือกระบวนการคิดอย่างไร และได้พบว่าการเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่ง
จะมีการพัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ โดยธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่ควรเร่งเด็กให้ข้ามขั้นจากพัฒนาการขั้น
หนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่งเพราะจะทาให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่อย่างไรก็ตามการจัด ประสบการณ์ส่งเสริม
พัฒนาการของเด็กในช่วงที่กาลังพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่าสามารถช่วยให้เด็ก พัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว
ได้เพียเจต์จึงเน้นความสาคัญของการเข้าใจธรรมชาติและพัฒนาการของ เด็กมากกว่าการกระตุ้นเด็ก
จนเป็นการเร่งพัฒนาการเร็วขึ้น สรุปทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา ของเพียเจต์มีหลักการดังต่อไปนี้
3.1 พัฒนาทางการสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัย 4 วัย ดังนี้
3.1.1 ขั้น รั บ รู้ ด้ว ยประสาทสั มผั ส (Sensorimotor Period) เป็นขั้นพัฒ นาการ
ในช่วงอายุ 0-2 ปี เป็นลักษณะของการรับรู้และการกระทาของเด็กที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งยังไม่
สามารถเข้าใจความคิดของบุคคลอื่น ๆ
3.2.2 ขั้นก่อนปฏิบัติการการคิด (Preoperational Period) เป็นขั้นพัฒ นาการ
ในช่วงอายุ 2-7 ปี เป็นลักษณะของความคิดที่ยังขึ้นอยู่กับการรับรู้และการกระทาเป็นส่วนใหญ่ยัง ไม่
สามารถที่จะใช้เหตุผลอย่างลึกซึ้งได้
3.3.3 ขั้นการคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operational Period) เป็นขั้นพัฒนาการ
ในช่วงอายุ 7-11 ปี เป็นลักษณะของการเรียนรู้ที่ต้องอาศัยการสัมผัสแบบรูปธรรม เช่น จากภาพ หรือ
หุ่นจาลอง หรือสถานที่จริง เป็นต้น และเด็กยังสามารถเรียนรู้และใช้สัญลักษณ์ได้ด้วย
3.3.4 ขั้นสุดท้ายเป็นขั้นการคิดแบบนามธรรม (Formal Operational Period)
เป็นขั้นพัฒนาการในช่วงอายุ 11-15 ปี เป็นลักษณะของการคิดเป็นนามธรรม สามารถรู้และเข้าใจ
เรื่องต่าง ๆ ที่ไม่สามารถแสดงให้เห็นด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ ในลักษณะของการคิด จินตนาการและใช้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการเรี ยนรู้ เช่น เข้าใจว่าความดี ความชั่ว ความรับผิดชอบมีลักษณะ
อย่างไร
3.2 ภาษาและกระบวนการคิดของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่ เด็กจะคิดภาษาขึ้นมาเอง
และใช้ในกลุ่มเป็นภาษาง่าย ๆ ภาษาเหล่านี้จะปรากฎมาในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ในที่สุดก็จะหายไป
87
เดิมแล้วก็จะทาการปรับประสบการณ์ใหม่ให้เข้ากับโครงสร้างของความรู้ เดิมที่มีอยู่ในสมองก่อนแล้ว
แต่ถ้าเข้ากันไม่ได้ก็จะทาการสร้างโครงสร้างใหม่ขึ้นมาเพื่อรับประสบการณ์ ใหม่นั้น
7.2 ลาดับขั้นของการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ประกอบด้วย
1) ขั้นแรกเริ่มจากประเด็นปัญหาที่ผู้เรียนมีความสนใจ ซึ่งประเด็นปัญหานั้นต้องเป็น
สิ่งที่เด็กให้ความสาคัญหรือสนใจ เพราะเป็นการสร้างแรงจูงใจเบื้องต้นในการเรียนรู้ หรือครูทาให้เด็ก
เห็นว่าเป็นสิ่งที่สาคัญสาหรับชีวิต เรียกขั้นนี้ว่า Assimilation
2) ขั้นการทบทวนความรู้เดิม เป็นเรื่องธรรมดาที่บุคคลต้องการจะเรียนรู้ในสิ่งใดก็ต้อง
คิดทบทวนว่าเรามีความรู้ในสิ่งนั้นมากน้อยเพียงใด เพื่อจะได้วางกลไกหรือสร้างยุทธศาสตร์การเรียนรู้
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการเกิดการถ่ายโอน (Transfer) ในสถานการณ์นี้อาจทาให้ เกิดภาวะไม่
สมดล (Disequilibrium) ซึ่งทาให้บุคคลจะพยายามปรับสภาวะให้อยู่ในสภาพสมดุล (Eqilibriurn)
โดยใช้กระบวนการปรับโครงสร้างทางปัญญา (Accommodation)
3) ขั้น การแสวงหาหนทางหรือ ทางเลื อ กด้ ว ยกระบวนการรู้ คิ ด (Cognition) ซึ่ง ใน
สถานการณ์นี้ เป็ นสถานการณ์ที่ผู้เรียนใช้ข้อมูล พื้นฐานของตัว เองนามาไตร่ตรองอย่างเป็นระบบ
ด าเนิ น การตรวจสอบ ประเมิ น เพื่ อ คลี่ ค ลายไปสู่ ค วามกระจ่ า งแจ้ งในประเด็ น ปั ญ หา
(Accommodation)
จากลาดับขั้นตอนของการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองนี้ สามารถ
นามาใช้ในการเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดของวีกอทสกี (Vygotsky) โดยการสร้าง
ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ได้แก่ พ่อแม่ ครู และเพื่อนในบริบทของสัง คมและวัฒนธรรม (Sociocultural
Context) จะช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ที่เข้มข้นอย่างสมจริงจากประสบการณ์ หลากหลายจนเกิดองค์
ความรู้ สาหรับลาดับขั้นของการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ Constructivism ทั้งสามขั้นจะ
นาไปสู่ การเกิดโครงสร้างทางปัญญา (Cognitive Structure) และก่อให้ เกิดความเข้าใจในสิ่ งที่ได้
เรียนรู้ที่ลึกซึ้งและตรึงแน่นอยู่ในความทรงจาตลอดไป
7.3 การประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ดาเนินการได้ ดังนี้
1) กฎเกณฑ์ ข องผู้ ที่ จ ะจั ด การเรี ย นการสอนด้ ว ยแนวคิ ด การสร้ า งสรรค์ อ งค์
ความรู้ด้วยปัญญา หรื อ Constructivism นั้น ผู้ที่จะจัดการเรียนการสอนควรออกแบบการเรียนการ
สอนเพื่อที่ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการแก้ปัญหาที่มีความหมายจริง ๆ และเป็นปัญหาในชีวิตจริงของ
ผู้เรียน ซึ่งผู้เรียนแต่ละคนต่างก็มีความต้องการและมี ประสบการณ์ซึ่งสามารถประยุกต์นาไปใช้ในโลก
แห่งความเป็นจริงและต้องการสร้างองค์ความรู้เหล่านั้น ผู้จัดการเรียนการสอนควรจัด เตรียมหากลุ่ม
หรือชุดกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิกิริยาต่อกันและได้ คิดแก้ปัญหาต่าง ๆ
ผู้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนควรช่วยเหลือโดยการแนะแนวทางและสั่งสอน หรือ ฝึก (Coaching)
สาหรับวิธีการจัดการเรียนการสอนเมื่อใช้แนวคิดของ Constructivism จะจัด เป็นรูปแบบการเรียน
การสอนดังนี้ :
1.1) กรณีศึกษา (Case Studies) หรือการแก้ปัญหาเพื่อการเรียนรู้
1.2) การนาเสนอผลงานหรือชิ้นงานให้ปรากฏแก่สายตาหลายด้าน หลายมิติ
หรือการจัดทาสื่อแนะแนวทางให้เสนอแนะ (Presenting Work Production)
1.3) การกากับดูแลหรือการฝึกงาน (Coaching)
94
8.2.3 หลั ก การเรี ย นรู้ จ ากประสบการณ์ แ ละสิ่ ง แวดล้ อ ม หลั ก การนี้ ชี้ ใ ห้ เ ห็ น
ความสาคัญของการเรียนรู้ร่วมกัน (Social Value) ทาให้ผู้เรียนเห็นว่าคนเป็นแหล่งความรู้อีกแหล่ง
หนึ่ ง ที่ ส าคั ญ การสอนตามทฤษฎี ก ารสร้ า งความรู้ ด้ ว ยตนเองโดยการสร้ า งสรรค์ ชิ้ น งาน
(Constructionism) เป็นการจัดประสบการณ์เพื่อเตรียมคนออกไปเผชิญโลกในสังคมกว้างขึ้น ถ้า
ผู้เรียนเห็นว่าคนเป็นแหล่งความรู้ที่สาคัญและสามารถแลกเปลี่ยนความรู้กันได้ ซึ่งเมื่อเขาออกไปก็จะ
ปรับตัวได้ง่ายขึ้นและทางานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดีมีประสิทธิภาพ
8.2.4 หลั กการใช้เทคโนโลยีเ ป็นเครื่อ งมื อ การรู้จักแสวงหาคาตอบจากแหล่ ง
ความรู้ต่าง ๆ ด้วยตนเองเป็นผลให้เกิดพฤติกรรมที่ฝังแน่น เมื่อผู้เรียนสามารถเรียนรู้ว่าจะเรียนรู้ได้
อย่างไร (Learn How to Learn)
8.3 บทบาทของผู้ ส อนและผู้ เ รี ย นตามแนวคิ ด ทฤษฎี ก ารเรี ย นรู้ ด้ ว ยตนเองโดยการ
สร้างสรรค์ชิ้นงานจาแนกอธิบายได้ดังนี้
8.3.1 บทบาทของผู้สอน ครูมีบทบาทสาคัญมากในการที่จะควบคุมกระบวนการเรียนรู้
ของผู้เรียนให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ ซึ่งครูควรจะเข้าใจบทบาทของตนเองและคุณสมบัติที่
ควรจะมี รวมถึงเจตคติที่ดีต่ออาชีพครู สาหรับบทบาทครูในการดาเนินกิจกรรมการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้
1) จัดบรรยากาศการเรี ยนรู้ให้เหมาะสม โดยควบคุมกระบวนการเรียนรู้ ให้บรรลุ
เป้าหมายตามที่กาหนดไว้ และคอยอานวยความสะดวกให้ผู้เรียนดาเนินงานไปได้อย่างราบรื่น
2) แสดงความคิ ด เห็ น และให้ ข้ อ มู ล ที่ เ ป็ น ประโยชน์ แ ก่ ผู้ เ รี ย นตาม โอกาสที่
เหมาะสม
3) สร้ างบรรยากาศการเรียนรู้ที่มีทางเลือกที่ห ลากหลาย เปิดโอกาสให้ ผู้เรียน
สามารถเลือกได้ตามความสนใจ ซึ่งจะทาให้ผู้เรียนมีแรงจูง ใจในการคิด การลงมือทาและ เกิดการ
เรียนรู้
4) เปิ ด โอกาสให้ ผู้ เรีย นได้ เรี ย นรู้ ตามแนวทางของทฤษฎีก ารสร้า งความรู้ ด้ว ย
ตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน โดยเน้นให้ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ด้วยการจุดประกาย
ความคิ ดและกระตุ้น ให้ ผู้ เรี ย นได้มี ส่ ว นร่ ว มในกิ จกรรมการเรียนอย่ างทั่ว ถึ ง ตลอดจนรับ ฟัง และ
สนับสนุนส่งเสริมให้กาลังใจแก่ผู้เรียนจนสร้างสรรค์ผลงานของตนออกมาได้สาเร็จ
5) ช่วยเชื่อมโยงความคิดเห็นของผู้ เรียนและสรุปผลการเรียนรู้ตลอดจนส่งเสริม
และนาทางให้ผู้เรียนได้รู้วิธีวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนจะนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
8.3.2 บทบาทของผู้เรียน การเรียนรู้ตามทฤษฎีนี้ผู้ เรียนจะมีบทบาทในฐานะเป็นผู้
ปฏิบัติและสร้างความรู้ไปพร้อม ๆ กันด้วยตัวของเขาเอง สาหรับบทบาทที่ผู้เรียนควรจะแสดงออกให้
เห็นอย่างชัดเจน ได้แก่
1) มีความยินดีร่วมกิจกรรมการเรียนทุกครั้งด้วยความสมัครใจและเต็มใจ แสดงให้
เห็นได้จากการร่วมมือและมีส่วนร่วมทุกครั้งในการทากิจกรรมต่าง ๆ
2) สามารถเรียนรู้ได้เอง รู้จักแสวงหาความรู้จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่ ด้วย
ตนเอง
3) ตัดสินปัญหาต่าง ๆ ด้วยเหตุและผลด้วยความมั่นใจ
97
4) มีความรู้สึกและความคิดเป็นของตนเอง
5) สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของตนเองและผู้อื่นได้
6) มีความกระตือรือร้นและมีความอยากรู้อยากเห็นสิ่งใหม่ๆ เสมอ
8.4 การประยุ กต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากการสร้างพลัง ความรู้ใน
ตนเองและด้วยตนเองของผู้เรียนหากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและพัฒนาความคิดของตนเองไป
สร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะทาให้เห็นความคิดนั้นเป็น รูปธรรมที่
ชัดเจนและเมื่อผู้เรียนสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาในโลกจึงเป็นการสร้างความรู้ขึ้นในตนเอง โดยจะมี
ความหมายต่อผู้เรียนจะอยู่คงทนทาให้ผู้เรียนไม่ลืมง่ ายสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจ ความคิดของ
ตนได้ดีเป็นฐานให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ใหม่ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
8.4.1 ทฤษฎี "Constructionism" และ "Constructivism" มี ฐ านทฤษฎี เ ดี ย วกั น มี
แนวคิดหลักเหมือนกัน ต่างกันที่รูปแบบการปฏิบัติซึ่ง “Constructionism” จะมีเอกลักษณ์ของตนใน
ด้านการใช้สื่อเทคโนโลยีวัสดุและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมในการให้ผู้เรียนสร้างสาระการเรียนรู้และ
ผลงานต่าง ๆ ด้วยตนเอง สื่อธรรมชาติแ ละวัสดุทางศิลปะส่วนมากสามารถ นามาใช้เป็นวัสดุในการ
สร้างความรู้ได้ดี
8.4.2 สิ่งที่เป็นปัจจัยสาคัญมากอีกประการหนึ่งก็คือบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดี
จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ซึ่งควรมีส่วนประกอบ 3 ประการ
1) เป็นบรรยากาศที่มีทางเลือกหลากหลายเปิดโอกาสให้ผู้ เรียนได้ เลือกตามความ
สนใจจะทาให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการคิดค้นหาวิธีการทาและการเรียนรู้ต่อไป
2) เป็นสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่างกันอันจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความรู้
เช่นมีกลุ่มคนที่มีวัยความถนัดความสามารถและประสบการณ์แตกต่างกันซึ่งจะเอื้อให้มี การช่วยเหลือ
กันและกันการสร้างสรรค์ผลงานและความรู้รวมทั้งการพัฒนาทักษะทางสังคมด้วย
3) เป็ น บรรยากาศที่มีความเป็นมิตรเป็นกันเองบรรยากาศที่ทาให้ ผู้ เรียนรู้สึ ก
อบอุ่นปลอดภัยสบายใจจะเอื้อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความสุข
8.4.3 พัฒนาการของเด็กในการเรียนรู้มีมากกว่าการกระทาหรือกิจกรรม นั่นคือ รวม
ไปถึงปฏิกิริยาระหว่างความรู้ในตัวเด็กเอง ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งก็ หมายความ
ว่าเด็กสามารถเก็บข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมภายนอกและเก็บเข้าไปสร้างเป็นโครงสร้างของความรู้ภายใน
สมองของตัว เอง ขณะเดีย วกัน ก็ส ามารถเอาความรู้ภ ายในที่เด็กมีอยู่แล้ ว แสดงออกมาให้ เข้ากับ
สิ่งแวดล้ อมภายนอกได้ ซึ่งจะเกิดเป็นวงจรต่อไปเรื่อย ๆ คือเด็กจะเรียนรู้เองจากประสบการณ์
สิ่งแวดล้อมภายนอก แล้วนาข้อมูลเหล่านี้กลั บเข้าไปในสมองผสมผสานกับความรู้ ภายในที่มีอยู่แล้ว
แสดงความรู้ออกมาสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก
8.4.4 โอกาสที่เหมาะสมและวัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้ในการเรียนการสอนที่เด็กสามารถ
นาไปสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นภายในตัวเด็กเองได้ หมายถึงครูจึงต้องเข้าใจธรรมชาติของกระบวนการ
เรียนรู้ที่เด็กกาลังเรียนรู้ว่าอยู่ในช่วงเวลาใดที่เหมาะสมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และจะใช้วัสดุ
อุปกรณ์ใดที่ช่วยเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้นั้นให้เป็นไปได้ดีขึ้นตามธรรมชาติของเด็กแต่ละคน
8.4.5 ครูควรคิดค้นพัฒนาสิ่งอื่น ๆ ด้วย เช่น คิดค้นว่าจะให้โอกาสแก่ผู้เรียน อย่างไร
จึงจะให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ขึ้นเองได้ถ้าเราให้ความสนใจเช่นนี้เราก็จะหาทางพั ฒนาและสร้าง
98
บทสรุป
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral Learning Theories) ทฤษฎีพฤติกรรม
นิยมนั้นจะให้ความสาคัญกับพฤติกรรมที่เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมของผู้เรียน ดังนั้นผู้สอน
จะต้ อ งจั ด เตรี ย มประสบการณ์ ใ ห้ กั บ ผู้ เ รีย น ให้ ค าแนะน าหรื อ สิ่ ง เร้า จากสภาพสิ่ ง แวดล้ อ มโดย
การนาเสนอหรือแนะนาให้รู้จั กและผู้เรียนแสดงอาการตอบสนองต่อ สิ่งเร้านั้นด้วยการตอบสนอง
บางสิ่งบางอย่างออกมา การเสริมแรงจึงมีความสาคัญที่ ต้องกาหนด จัดเตรียมไว้เพื่อกากับพฤติกรรม
109