Professional Documents
Culture Documents
Teacher Script
ฟิสิกส์ ม. 6
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
ตามผลการเรียนรู เล่ม 2
กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผูเรียบเรียงคูมือครู บรรณาธิการคูมือครู
นางสาวปยะดา วังวร นางสาวชุลีพร สุวัฒนาพิบูล
นางสาวศรีภัทรา นาเลิศ นายธนากร เสรีสกุลธร
พิมพครั้งที่ 2
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา 3648016
คํ า แนะนํ า การใช้
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ฟสิกส ม.6
เลม 2 เลมนี้ จัดทําขึน้ สําหรับใหครูผสู อนใชเปนแนวทางวางแผนจัดการเรียน
การสอน เพือ่ พัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรียน และการประกันคุณภาพผูเ รียน
ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
ิ่ม
1. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียนของ
คลืน่ แมเหล็กไฟฟา
5
หน่วยการเรียนรู้ที่
เพ คําอธิบายรายวิชา แสดงขอบขายเนื้อหาสาระของรายวิชา
หนวยการเรียนรูที่ 5 คลื่นแมเหล็กไฟฟา เพื่อ
ตรวจสอบความรู เ ดิ ม ของนั ก เรี ย นเป น ราย
บุคคลกอนเขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน
ซึ่งครอบคลุมผลการเรียนรูตามที่หลักสูตรกําหนด 2. ครู ท บทวนความรู เ ดิ ม ของนั ก เรี ย นเกี่ ย วกั บ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ประกอบด้วยสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา โดย
เรื่อง ทฤษฎีแมเหล็กไฟฟา จากนั้นครูแจงจุด สนามทั้งสองมีทิศตั้งฉากกันและกัน และตั้งฉากกับทิศการแผ่หรือทิศการถ่ายโอนพลังงานของ
ประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าจึงเป็นคลืน่ ตามขวาง การเกิดและการแผ่ออกไปจากแหล่ง
เพ
แม่เหล็กกับสนามไฟฟ้าที่เป็นองค์ประกอบ
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
Check for Understanding ในหนังสือเรียน กลไกการเกิดและการแผ่ออกจากแหล่ง
ประสิทธิภาพ นั ก เรี ย นว า คลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า เกิ ด ขึ้ น ได
อยางไร และคลืน่ แมเหล็กไฟฟาจะมีคณ ุ สมบัติ
ตางกันอยางไร โดยใหนกั เรียนรวมกันอภิปราย
ิ่ม Teacher Guide Overview ชวยใหเห็นภาพรวมของการ แสดงความคิดเห็นอยางอิสระ โดยไมมีการ
เพ เฉลยวาถูกหรือผิด
จั ด การเรี ย นการสอนทั้งหมดของรายวิชากอนที่จะลงมือ
สอนจริง
Che�� fo r U n de r s t a n d i ng
ิ่ม
เพ Chapter Overview ชวยสรางความเขาใจและเห็นภาพรวม
ให้นักเรียนพิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
คลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคลื่นตามขวาง
ความถี่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟามีคาคงตัว
ในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรูแตละหนวย การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแมเหล็กไฟฟาแบงสัญญาณออกเปนสัญญาณแอนะล็อกและสัญญาณดิจิทัล
สิ่งที่คลื่นแมเหล็กไฟฟาสงผาน คือ ความยาวคลื่น
ทฤษฎีของแมกซเวลล กลาววา เมื่อสนามแมเหล็กเปลี่ยนแปลงจะการเหนี่ยวนําทําใหเกิดสนามไฟฟา
แนวตอบ Check for Understanding
ิ่ม Chapter Concept Overview ชวยใหเ ห็นภาพรวม
เพ
1. ถูก 2. ผิด 3. ถูก 4. ผิด 5. ถูก
เพ
เขากับสายอากาศที่วางตัวในแนวดิ่ง ประจุไฟฟาในสายอากาศที่เคลื่อนที่
• เมือ่ มีประจุอสิ ระจะทําใหเกิดสนามไฟฟารอบๆ ประจุอสิ ระ โดยความเขม
กลับไปกลับมาในแนวดิง่ ดวยความเรงจะแผคลืน่ แมเหล็กไฟฟาออกมาโดย
ของสนามไฟฟา ณ ตําแหนงใดๆ จะแปรผกผันกับระยะทางกําลังสอง
รอบ สงผลใหเกิดคลืน่ แมเหล็กไฟฟากระจายออกมาจากสายอากาศในทุก
ความพรอมของผูเรียนสูการสอบในระดับตาง ๆ จากประจุไฟฟานั้น (กฎของคูลอมบ)
• เมือ่ มีประจุไฟฟาเคลือ่ นทีใ่ นตัวนําไฟฟา จะมีสนามแมเหล็กเกิดขึน้ รอบๆ
ทิศทาง ยกเวนทิศทางที่อยูในแนวเสนตรงเดียวกับแนวการเคลื่อนที่ของ
ประจุไฟฟาหรือแนวการวางตัวของสายอากาศ
ตัวนํา โดยทิศของสนามแมเหล็กจะวนรอบตัวนําและตั้งฉากกับทิศของ
กระแส ซึ่งเออรสเตดเปนผูคนพบ
ิ่ม กิจกรรม 21st Century Skills กิจกรรมที่จะชวยพัฒนา • เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสนามแมเหล็กจะมีการเหนี่ยวนําทําใหเกิดกระแส
เพ ไฟฟาขึ้น แสดงวาไดมีการเหนี่ยวนําใหเกิดสนามไฟฟาในตัวนํา ซึ่ง
โซน 3
ผูเรียนใหมีทักษะที่จําเปนสําหรับการเรียนรูและการดํารงชีวิต
ฟาราเดยเปนผูคนพบ
โซน 2
ในโลกแหงศตวรรษที่ 21 T6
ผลการเรียนรู้
1. อธิบายการเกิดและลักษณะเฉพาะของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แสงไม่โพลาไรส์ แสงโพลาไรส์เชิงเส้น และแผ่นโพลารอยด์
รวมทั้งอธิบายการน�ำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความถี่ต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้และหลักการท�ำงานของอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
2. สืบค้นและอธิบายการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งผ่านสารสนเทศและเปรียบเทียบการสื่อสารด้วย
สัญญาณแอนะล็อกกับสัญญาณดิจิทัลได้
3. อธิบายสมมติฐานของพลังค์ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ และการเกิดเส้นสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน รวมทั้งค�ำนวณ
ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
4. อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกและค�ำนวณพลังงานโฟตอน พลังงานจลน์ของโฟโตอิเล็กตรอน และฟังก์ชันงาน
ของโลหะ
5. อธิบายทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค รวมทั้งอธิบายและค�ำนวณความยาวคลื่นเดอบรอยล์
6. อธิบายกัมมันตภาพรังสีและความแตกต่างของรังสีแอลฟา บีตา และแกมมา
7. อธิบายและค�ำนวณกัมมันตภาพของนิวเคลียสกัมมันตรังสี รวมทั้งทดลอง อธิบาย และค�ำนวณจ�ำนวนนิวเคลียส
กัมมันตภาพรังสีที่เหลือจากการสลาย และครึ่งชีวิต
8. อธิบายแรงนิวเคลียร์ เสถียรภาพของนิวเคลียส และพลังงานยึดเหนี่ยว รวมทั้งค�ำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
9. อธิบายปฏิกิริยานิวเคลียร์ ฟิชชัน และฟิวชัน รวมทั้งค�ำนวณพลังงานนิวเคลียร์
10. อธิบายประโยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์และรังสี รวมทั้งอันตรายและการป้องกันรังสีในด้านต่าง ๆ
11. อธิบายการค้นคว้าวิจยั ด้านฟิสกิ ส์อนุภาคแบบจ�ำลองมาตรฐานและการใช้ประโยชน์จากการค้นคว้าวิจยั ด้านฟิสกิ ส์อนุภาค
ในด้านต่าง ๆ
รวม 11 ผลการเรียนรู้
Pedagogy
คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิ
สิก ส์ ม.6 เล่ม 2 รวมถึงสือ่ การเรียนรูร้ ายวิชาเพิม่ เติมวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ม.6 ผู้จัดท�ำได้ออกแบบการสอน (Instructional Design) อันเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้และ
เทคนิคการสอนที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพและมีความหลากหลายให้กับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ตาม
ผลการเรียนรู้ รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนที่หลักสูตรก�ำหนดไว้ โดยครูสามารถน�ำไปใช้
จัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้อย่างเหมาะสม ส�ำหรับ Pedagogy หลักที่น�ำมาใช้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบด้วย
ขั้นการใช้ความรู้เดิมเชื่อมโยงความรู้ใหม่ ขั้นเข้าใจ
ขั้นรู้ ขั้นลงมือท�ำ
เลือกใช้วธิ กี ารสอนทีห่ ลากหลาย เช่น อุปนัย นิรนัย การสาธิต การทดลอง แบบแก้ปญั หา แบบบรรยาย ซึง่ สนับสนุน
การจัดการเรียนการสอนแบบ Concept Based Teaching ที่ทำ� ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการ ท�ำให้ได้ความคิดรวบยอด
ที่ส�ำคัญ อีกทั้งเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเกิดความเข้าใจในเนื้อหาวิทยาศาสตร์อย่างถ่องแท้
เลือกใช้เทคนิคการสอนทีห่ ลากหลายและเหมาะสมกับเรือ่ งทีเ่ รียน เช่น การใช้คำ� ถาม การใช้ตวั อย่างกระตุน้ ความคิด
การใช้สอื่ การเรียนรูท้ นี่ า่ สนใจ เพือ่ ส่งเสริมวิธกี ารสอนและรูปแบบการสอนให้มปี ระสิทธิภาพในการจัดการเรียนรูใ้ ห้มากยิง่ ขึน้
ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุขและสามารถฝึกฝนทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ได้
Teacher Guide Overview
ฟิสิกส์ ม.6 เล่ม 2
หน่วย
ผลการเรียนรู้ ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้
5 1. อธิบายการเกิดและลักษณะเฉพาะของ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แสงไม่โพลาไรส์
- ทักษะการสังเกต
- ทักษะการทดลอง
- ตรวจแบบทดสอบ
ก่อนเรียน
- หนังสือเรียน
รายวิชาเพิ่มเติม
คลื่นแม่เหล็ก แสงโพลาไรส์เชิงเส้น และแผ่นโพลารอยด์ - สังเกตการน�ำเสนอ
- ทักษะการเปรียบเทียบ วิทยาศาสตร์และ
ไฟฟ้า รวมทั้งอธิบายการน�ำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า - ทักษะการส�ำรวจค้นหา ผลงานเกี่ยวกับ เทคโนโลยี ฟิสิกส์
ในช่วงความถี่ต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้และ - ทักษะการจ�ำแนกประเภท คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ม.6 เล่ม 2
หลักการท�ำงานของอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง - ทักษะการลงความเห็น - สังเกตการปฏิบัติการ - แบบฝึกหัด
2. สืบค้นและอธิบายการสื่อสารโดยอาศัย จากข้อมูล จากการท�ำกิจกรรม รายวิชาเพิ่มเติม
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งผ่าน ความสว่างของแสงเมื่อ วิทยาศาสตร์และ
สารสนเทศและเปรียบเทียบการสื่อสาร ผ่านแผ่นโพลารอยด์ เทคโนโลยี ฟิสิกส์
ด้วยสัญญาณแอนะล็อกกับสัญญาณดิจิทัล - ตรวจแบบบันทึกกิจกรรม ม.6 เล่ม 2
ได้ ความสว่างของแสงเมื่อ - แบบทดสอบ
22 ผ่านแผ่นโพลารอยด์
- ตรวจผังมโนทัศน์
ก่อนเรียน
- แบบทดสอบ
ชั่วโมง - ตรวจป้ายนิเทศ หลังเรียน
- ตรวจแผ่นพับน�ำเสนอ - ใบงาน
- ตรวจใบงาน - PowerPoint
- ตรวจแบบฝึกหัด - QR Code
- สังเกตพฤติกรรม - ภาพยนต์สารคดี
การท�ำงานรายบุคคล สั้น Twig
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
- ตรวจแบบทดสอบ
หลังเรียน
6 3. อธิบายสมมติฐานของพลังค์ ทฤษฎีอะตอม
ของโบร์ และการเกิดเส้นสเปกตรัมของ
- ทักษะการสังเกต
- ทักษะการสื่อสาร
- ตรวจแบบทดสอบ
ก่อนเรียน
- หนังสือเรียน
รายวิชาเพิ่มเติม
ฟิสิกส์อะตอม อะตอมไฮโดรเจน รวมทั้งค�ำนวณปริมาณ - สังเกตการน�ำเสนอและ
- ทักษะการทดลอง วิทยาศาสตร์และ
ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง - ทักษะการวิเคราะห์ อภิปรายเกี่ยวกับอะตอม เทคโนโลยี ฟิสิกส์
4. อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกและ - ทักษะการท�ำงานร่วมกัน และการค้นพบอิเล็กตรอน ม.6 เล่ม 2
ค�ำนวณพลังงานโฟตอน พลังงานจลน์ - ทักษะการน�ำความรูไ้ ปใช้ แบบจ�ำลองอะตอม - แบบฝึกหัด
ของโฟโตอิเล็กตรอน และฟังก์ชันงานของ การแผ่คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า รายวิชาเพิ่มเติม
โลหะ ของวัตถุดำ � ทฤษฎีอะตอม วิทยาศาสตร์และ
5. อธิบายทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค ของโบร์ ปรากฏการณ์ เทคโนโลยี ฟิสิกส์
รวมทั้งอธิบายและค�ำนวณความยาวคลื่น โฟโตอิเล็กทริก ปรากฏ ม.6 เล่ม 2
เดอบรอยล์ การณ์คอมป์ตันและ - แบบทดสอบ
28 สมมติฐานเดอบรอยล์ ก่อนเรียน
ชั่วโมง และกลศาสตร์ควอนตัม - แบบทดสอบ
- สังเกตการปฏิบัติการ หลังเรียน
จากการท�ำกิจกรรม - ใบงาน
การเปรียบเทียบลักษณะ - PowerPoint
การกระเจิงของอนุภาค - QR Code
แอลฟา และการศึกษา - ภาพยนต์สารคดี
สเปกตรัมของแก๊สร้อน สั้น Twig
- ตรวจแบบบันทึกกิจกรรม
การเปรียบเทียบลักษณะ
การกระเจิงของอนุภาค
แอลฟา และการศึกษา
สเปกตรัมของแก๊สร้อน
หน่วย
ผลการเรียนรู้ ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้
- ตรวจแผ่นพับความรู้
- ตรวจอินโฟกราฟิก
- ตรวจใบความรู้
- ตรวจใบงาน
- ตรวจแบบฝึกหัด
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
- ตรวจแบบทดสอบ
หลังเรียน
7 6. อธิบายกัมมันตภาพรังสีและความแตกต่าง
ของรังสีแอลฟา บีตา และแกมมา
- ทักษะการสังเกต
- ทักษะการสื่อสาร
- ตรวจแบบทดสอบ
ก่อนเรียน
- หนังสือเรียน
รายวิชาเพิ่มเติม
ฟิสิกส์นิวเคลียร์ 7. อธิบายและค�ำนวณกัมมันตภาพของ - สังเกตการน�ำเสนอและ
- ทักษะการทดลอง วิทยาศาสตร์และ
นิวเคลียสกัมมันตรังสี รวมทั้งทดลอง - ทักษะการวิเคราะห์ อภิปรายเกี่ยวกับการ เทคโนโลยี ฟิสิกส์
อธิบาย และค�ำนวณจ�ำนวนนิวเคลียส - ทักษะการท�ำงานร่วมกัน ค้นพบกัมมันตภาพรังสี ม.6 เล่ม 2
กัมมันตภาพรังสีที่เหลือจากการสลาย - ทักษะการน�ำความรู้ไปใช้ การเปลีย่ นสภาพนิวเคลียส - แบบฝึกหัด
และครึ่งชีวิต การสลายของนิวเคลียส รายวิชาเพิ่มเติม
8. อธิบายแรงนิวเคลียร์ เสถียรภาพของ กัมมันตรังสีไอโซโทป วิทยาศาสตร์และ
นิวเคลียส และพลังงานยึดเหนี่ยว รวมทั้ง เสถียรภาพของนิวเคลียส เทคโนโลยี ฟิสิกส์
ค�ำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ปฏิกิริยานิวเคลียร์ ม.6 เล่ม 2
9. อธิบายปฏิกิริยานิวเคลียร์ ฟิชชัน และ ประโยชน์ของกัมมันตภาพ - แบบทดสอบ
ฟิวชัน รวมทั้งค�ำนวณพลังงานนิวเคลียร์ รังสีและพลังงานนิวเคลียร์ ก่อนเรียน
10. อธิบายประโยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์ และการค้นคว้าวิจัยด้าน - แบบทดสอบ
และรังสี รวมทั้งอันตรายและการป้องกัน ฟิสิกส์อนุภาค หลังเรียน
รังสีในด้านต่าง ๆ - สังเกตการปฏิบัติการ - ใบงาน
11. อธิบายการค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค จากการท�ำกิจกรรม - PowerPoint
แบบจ�ำลองมาตรฐานและการใช้ประโยชน์
จากการค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค 30 สถานการณ์จ�ำลอง
การสลายของธาตุ
- QR Code
- ภาพยนต์สารคดี
ในด้านต่าง ๆ ชั่วโมง กัมมันตรังสี สั้น Twig
- ตรวจแบบบันทึกกิจกรรม
สถานการณ์จ�ำลองการ
สลายของธาตุกมั มันตรังสี
- ตรวจแผ่นพับความรู้
- ตรวจผังมโนทัศน์
- ตรวจอินโฟกราฟิก
- ตรวจใบงาน
- ตรวจแบบฝึกหัด
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
- ตรวจแบบทดสอบ
หลังเรียน
สารบั ญ
Chapter
Chapter Teacher
Chapter Title Overview
Concept
Script
Overview
หน่วยการเรียนรู้ท
ี่ 5 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า T2 -T3 T4 -T5 T6
• ท ฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการทดลอง
ของเฮิรตซ์ T7 -T15
• โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า T16 -T21
• สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า T22 -T33
• อุปกรณ์ที่ทำ� งานโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า T34 -T43
• การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า T44 -T49
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 5 T50 -T59
• อะตอมและการค้นพบอิเล็กตรอน T65 -T75
• แบบจ�ำลองอะตอม T76 -T78
• สเปกตรัมของอะตอม T79 -T88
• ทฤษฎีอะตอมของโบร์ T89 -T103
• ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค T104 -T112
• กลศาสตร์ควอนตัม T113 -T116
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 T117 -T127
หน่วยการเรียนรู้ท
ี่ 7 ฟิสิกส์นิวเคลียร์ T128 -T129 T130 -T131 T132
• การค้นพบกัมมันตภาพรังสี T133 -T138
• การเปลี่ยนสภาพนิวเคลียส T139 -T143
• การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี T144 -T158
• ไอโซโทป T159 -T162
• เสถียรภาพของนิวเคลียส T163 -T169
• ปฏิกิริยานิวเคลียร์ T170 -T175
• ประโยชน์และอันตรายของรังสีและพลังงานนิวเคลียร์ T176 -T180
• การค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค T181-T186
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 7 T187 -T196
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบก่อนเรียน 1. อธิบายหลักการเกิด แบบเน้น - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
ทฤษฎีคลื่น - หนังสือเรียนรายวิชา คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แนวคิด มโนทัศน์ - ตรวจการน�ำเสนอข้อมูล - ทักษะการวิเคราะห์ - ใฝ่เรียนรู้
แม่เหล็กไฟฟ้า เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Concept ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า - ทักษะการท�ำงาน - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
ของแมกซ์เวลล์ และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ของแมกซ์เวลล์ และการแผ่ Based - ตรวจใบงาน เรื่อง ทฤษฎี ร่วมกัน - มีความซื่อสัตย์
และการทดลอง ม.6 เล่ม 2 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (K) Teaching) คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของ
ของเฮิรตซ์ - แบบฝึกหัดรายวิชา 2. สืบค้นข้อมูลและนําเสนอ แมกซ์เวลล์และการทดลอง
เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับทฤษฎีคลื่นแม่เหล็ก ของเฮิรตซ์
4 และเทคโนโลยี ฟิสิกส์
ม.6 เล่ม 2
ไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์
การทดลองของเฮิรตซ์ และ
- ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง
ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ชั่วโมง - ใบงาน การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ของแมกซ์เวลล์และ
- PowerPoint อย่างถูกต้อง (P) การทดลองของเฮิรตซ์
- QR Code 3. ความเป็นคนช่างสังเกต - ตรวจแบบฝึกหัด เรื่อง
ช่างคิด ช่างสงสัย ใฝ่เรียนรู้ ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
และมุง่ มัน่ ในการเสาะแสวงหา ของแมกซ์เวลล์และ
ความรู้ (A) การทดลองของเฮิรตซ์
- ประเมินการน�ำเสนอผลงาน
- สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
รายบุคคล
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายความหมายของโพลา แบบเน้น - ตรวจใบงาน เรื่อง โพลาไร - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
โพลาไรเซชัน เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ไรเซชันของคลื่นแม่เหล็ก มโนทัศน์ เซชันของคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
ของคลืน่ แม่เหล็ก และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ไฟฟ้าได้ (K) (Concept - ตรวจการท�ำแบบฝึกหัดจาก - ทักษะการท�ำงาน - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
ไฟฟ้า ม.6 เล่ม 2 2. บอกความแตกต่างระหว่าง Based Unit Questions 5 ร่วมกัน - มีความซื่อสัตย์
- แบบฝึกหัดรายวิชา แสงไม่โพลาไรส์และ Teaching) - ตรวจแบบฝึกหัด เรื่อง - ทักษะการน�ำความรู้
6 เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์
แสงโพลาไรส์ได้ (K)
3. อธิบายวิธีการท�ำให้แสง
โพลาไรเซชันของคลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้า
ไปใช้
ชั่วโมง ม.6 เล่ม 2 ไม่โพลาไรส์เปลี่ยนเป็น - ประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
- ใบงาน แสงโพลาไรส์ได้ (K) ความสว่างของแสงที่ผ่าน
- PowerPoint 4. แก้ปัญหาโจทย์เกี่ยวกับโพลา แผ่นโพลารอยด์
- QR Code ไรเซชันของแสงโดยใช้กฎ - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน
ของบรูสเตอร์ได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
5. ท�ำการทดลองการใช้แผ่น การท�ำงานรายบุคคล
โพลารอยด์ตรวจสอบแสงไม่ - สังเกตการตอบค�ำถาม
โพลาไรส์และแสงโพลาไรส์ การร่วมกันท�ำผลงาน และ
ได้ (P) การน�ำเสนอผลงาน
6. ความเป็นคนช่างสังเกต
ช่างคิด ช่างสงสัย ใฝ่เรียนรู้
และมุ่งมั่นในการเสาะแสวง
หาความรู้ (A)
T2
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. บอกความหมายของ แบบเน้น - ตรวจใบงาน เรือ่ ง สเปกตรัม - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
สเปกตรัมคลื่น เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ สเปกตรัมคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า มโนทัศน์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
แม่เหล็กไฟฟ้า และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ได้ (K) (Concept - ตรวจการท�ำแบบฝึกหัดจาก - ทักษะการท�ำงาน - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
ม.6 เล่ม 2 2. สืบค้นข้อมูลเกีย่ วกับประโยชน์ Based Unit Questions 5 ร่วมกัน - มีความซื่อสัตย์
4 - แบบฝึกหัดรายวิชา
เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์
และการป้องกันอันตรายจาก
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้อย่าง
Teaching) - ตรวจแบบฝึกหัด เรื่อง
สเปกตรัมคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า
- ทักษะการน�ำความรู้
ไปใช้
ชั่วโมง และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ถูกต้อง (P) - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง
ม.6 เล่ม 2 3. ความเป็นคนช่างสังเกต สเปกตรัมคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า
- ใบงาน ช่างคิด ช่างสงสัย ใฝ่เรียนรู้ - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน
- PowerPoint และมุ่งมั่นในการเสาะแสวง - สังเกตพฤติกรรม
- QR Code หาความรู้ (A) การท�ำงานกลุ่ม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น - สังเกตการตอบค�ำถาม
Twig การร่วมกันท�ำผลงาน
และการน�ำเสนอผลงาน
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายหลักการท�ำงานของ แบบเน้น - ตรวจใบงาน เรือ่ ง หม้อแปลง - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
อุปกรณ์ทที่ ำ� งาน เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ อุปกรณ์ที่ท�ำงานโดยอาศัย มโนทัศน์ - ตรวจการท�ำแบบฝึกหัด เรือ่ ง - ทักษะการวิเคราะห์ - ใฝ่เรียนรู้
โดยอาศัยคลื่น และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ (K) (Concept อุปกรณ์ที่ท�ำงานโดยอาศัย - ทักษะการสื่อสาร - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
แม่เหล็กไฟฟ้า ม.6 เล่ม 2 2. สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับ Based คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า - ทักษะการท�ำงาน - มีความซื่อสัตย์
- แบบฝึกหัดรายวิชา อุปกรณ์ที่ท�ำงานโดยอาศัย Teaching) - ตรวจการท�ำแบบฝึกหัดจาก ร่วมกัน
4 เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้อย่าง
ถูกต้อง (P)
Unit Questions 5
- ประเมินการน�ำเสนอผลงาน
- ทักษะการน�ำความรู้
ไปใช้
ชั่วโมง ม.6 เล่ม 2 3. ความเป็นคนช่างสังเกต - สังเกตพฤติกรรม
- ใบงาน ช่างคิด ช่างสงสัย ใฝ่เรียนรู้ การท�ำงานกลุ่ม
- PowerPoint และมุ่งมั่นในการเสาะแสวง - สังเกตการตอบค�ำถาม
- QR Code หาความรู้ (A) การร่วมกันท�ำผลงาน
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น และการน�ำเสนอผลงาน
Twig
T3
Chapter Concept Overview
ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการทดลองของเฮิรตซ์
• คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ประกอบด้วยสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าที่ก�ำลัง E
เปลีย่ นแปลงอยูใ่ นระนาบทีต่ งั้ ฉากกันและตัง้ ฉากกับทิศการแผ่ไปของคลืน่ แม่เหล็ก y
E
ไฟฟ้า B c
• ทฤษฎีคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์ ท�ำนายว่ามีคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า
ซึง่ เกิดจากการเหนีย่ วน�ำอย่างต่อเนือ่ งกันของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กทีเ่ ป็น z
องค์ประกอบ B
• การทดลองของเฮิรตซ์ เป็นการทดลองเพื่อยืนยันการมีอยู่จริงของ c
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เฮิรตซ์ค้นพบ คือ คลื่นวิทยุ ที่มี x
ความยาวคลื่นสั้น ขนาดและทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
• การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายอากาศ
- สายอากาศที่ต่อกับไฟฟ้ากระแสสลับจะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่ออกมาในทุกทิศทาง ยกเว้นทิศทางที่อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกับ
แนวการวางตัวของสายอากาศ
- ไฟฟ้ากระแสสลับท�ำให้ประจุไฟฟ้าในสายอากาศเคลื่อนที่กลับไปกลับมาด้วยความเร่งในแนวเดียวกับแนวการวางตัวของสาย
อากาศ ประจุไฟฟ้าจึงปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาโดยรอบแนวการเคลื่อนที่
การกระจายออกจากแหล่งก�ำเนิดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
• โพลาไรเซชัน (polarization) เป็นสมบัตขิ องคลืน่ ตามขวาง โดยทัว่ ไปคลืน่ ตามขวางมีระนาบของการสัน่ ตัง้ ฉากกับแนวการแผ่ของ
คลื่น ถ้าคลื่นตามขวางใดมีระนาบการสั่นนี้เพียงระนาบเดียว จะเรียกคลื่นตามขวางนั้นว่า คลื่นโพลาไรส์ (polarized wave)
• วิธีทำ� ให้แสงไม่โพลาไรส์เปลี่ยนเป็นแสงโพลาไรส์ ซึ่งมีหลายวิธี ได้แก่ การสะท้อน การหักเห การดูดกลืน และการกระเจิงของแสง
ดังนี้
- การสะท้อน เมือ่ แสงไม่โพลาไรส์ทตี่ กกระทบผิววัตถุ โดยท�ำมุมตกกระทบทีท่ �ำให้ได้รงั สีสะท้อน ตัง้ ฉากกับรังสีหกั เหแสงทีส่ ะท้อน
จากผิววัตถุจะเป็นแสงโพลาไรส์
- การหักเห เมื่อแสงไม่โพลาไรส์ตกกระทบและหักเหผ่านเข้าไปในแคลไซต์หรือควอตซ์ รังสีหักเหจะแยกออกเป็น 2 รังสี โดยรังสี
หักเหทั้ง 2 รังสี เป็นแสงโพลาไรส์
- การดูดกลืน เมือ่ แสงไม่โพลาไรส์ผา่ นแผ่นโพลารอยด์จะเปลีย่ นเป็นแสงโพลาไรส์ เนือ่ งจากแสงทีส่ นามไฟฟ้ามีทศิ การเปลีย่ นแปลง
ขนานกับแกนส่งผ่าน หรือทิศของโพลาไรส์ของแผ่นโพลารอยด์เท่านั้นที่ผ่านไปได้ ส่วนแสงที่สนามไฟฟ้ามีทิศการเปลี่ยนแปลง
ตั้งฉากกับแกนส่งผ่านจะถูกแผ่นโพลารอยด์ดูดกลืนไว้
- การกระเจิงของแสง เมื่อแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นแสงไม่โพลาไรส์ตกกระทบโมเลกุลอากาศ สนามไฟฟ้าของแสงจะท�ำให้อิเล็กตรอนใน
โมเลกุลของอากาศสั่นในแนวเดียวกับแนวการเปลี่ยนแปลงของสนามไฟฟ้า ซึ่งมี 2 แนวหลัก คือ แนวระดับกับแนวดิ่ง และปลด
ปล่อยแสงออกมา เมื่อมองขึ้นไปในแนวดิ่งจึงเห็นแสงโพลาไรส์ในแนวระดับ และเมื่อมองไปที่ขอบฟ้า (แนวระดับ) จะเห็นแสง
โพลาไรส์ในแนวดิ่ง
T4
หนวยการเรียนรูที่ 5
สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความถี่ต่อเนื่องกันเป็นช่วงกว้างประมาณ 104-1024 เฮิรตซ์ โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกย่านความถี่หรือ
ความยาวคลื่นรวมกัน เรียกว่า สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic spectrum) ซึ่งประกอบด้วยคลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ
รังสีอินฟราเรด แสง รังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ และรังสีแกมมา เมื่อเรียงลําดับจากความถี่ตํ่าไปสูง หรือเรียงลําดับจากความยาวคลื่น
ยาวไปสั้น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในแต่ละช่วงความถี่นั้นจะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามแหล่งกําเนิดและวิธีการตรวจวัดคลื่น
ความถี่
24 22 20 18 16 14 12 10 8 6 4 2
10 10 10 10 10 10 10 10 10 10 10 10 100 ν (Hz)
450
495
570
590
620
750
V B G Y O R
สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
อุปกรณ์ที่ทํางานโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้านําไปใช้ประโยชน์ในการทํางานของอุปกรณ์บางชนิด ได้แก่ อุปกรณ์ควบคุมระยะไกล (รังสีอนิ ฟราเรดและคลืน่ วิทยุ)
เครื่องถ่ายภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (รังสีเอกซ์) และเครื่องถ่ายภาพการสั่นพ้องแม่เหล็ก (คลื่นวิทยุ) และใช้ในการสื่อสารเพื่อส่งผ่าน
สารสนเทศจากทีห่ นึง่ ไปอีกทีห่ นึง่ ผ่านสือ่ กลางแบบใช้สาย (แสงเลเซอร์) และสือ่ กลางแบบไร้สาย (รังสีอนิ ฟราเรด ไมโครเวฟ และคลืน่ วิทยุ)
การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
สัญญาณข้อมูลที่ใช้ในการสื่อสาร มี 2 ชนิด คือ สัญญาณแอนะล็อกและสัญญาณดิจิทัล
• สัญญาณแอนะล็อก เป็นสัญญาณทีม่ ลี กั ษณะเป็นคลืน่ ต่อเนือ่ ง โดยแต่ละคลืน่ อาจมีความถีแ่ ละความเข้มของสัญญาณ (แอมพลิจดู )
ต่างกัน โดยความถีแ่ ละความเข้มของสัญญาณจะเปลีย่ นแปลงตามเวลาอย่างต่อเนือ่ งแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น สัญญาณเสียงในสายโทรศัพท์
• สัญญาณดิจิทัล เป็นสัญญาณที่มีลักษณะเป็นคลื่นไม่ต่อเนื่อง คล้ายขั้นบันได ขนาดของสัญญาณดิจิทัลมีค่าคงที่เป็นช่วง ๆ และการ
เปลี่ยนแปลงขนาดของสัญญาณเป็นแบบทันทีทันใด เช่น สัญญาณที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการทํางานและติดต่อสื่อสารกัน
ระดับสัญญาณ
ระดับสัญญาณ
เวลา เวลา
ลักษณะของสัญญาณแอนะล็อกและสัญญาณดิจิทัล
T5
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
Che�� fo r U n de r s t a n d i ng
ให้นักเรียนพิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
คลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคลื่นตามขวาง
ความถี่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟามีคาคงตัว
การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแมเหล็กไฟฟาแบงสัญญาณออกเปนสัญญาณแอนะล็อกและสัญญาณดิจิทัล
สิ่งที่คลื่นแมเหล็กไฟฟาสงผาน คือ ความยาวคลื่น
ทฤษฎีของแมกซเวลล กลาววา เมื่อสนามแมเหล็กเปลี่ยนแปลงจะการเหนี่ยวนําทําใหเกิดสนามไฟฟา
แนวตอบ Check for Understanding
1. ถูก 2. ผิด 3. ถูก 4. ผิด 5. ถูก
T6
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
Key Question
ทฤษฎีคลืน ่ แมเหล็กไฟฟา 1. ท ฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของ 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน ตามความ
เกี่ยวของกับการทดลอง สมัครใจ จากนั้นใหแตละกลุมรวมกันสืบคน
ของเฮิรตซอยางไร
แมกซ์เวลล์และการทดลองของ เกี่ ย วกั บ การเกิ ด และลั ก ษณะเฉพาะของ
เฮิรตซ์ คลืน่ แมเหล็กไฟฟา จากแหลงการเรียนรูต า งๆ
คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic wave) เป็นคลืน่ ทีเ่ กิดจากการถูกรบกวนทางแม่เหล็ก เชน ใบความรู หนังสือเรียน อินเทอรเน็ต โดย
ไฟฟ้า โดยท�าให้สนามแม่เหล็กหรือสนามไฟฟ้ามีการเปลีย่ นแปลง ซึง่ คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลืน่ ครูกําหนดประเด็นตอไปนี้
ตามขวางที่ประกอบด้วยสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าที่มีการสั่นในแนวตั้งฉากซึ่งกันและกัน • ทฤษฎีคลื่นแมเหล็กไฟฟาของแมกซเวลล
ความส�าเร็จทางฟิสกิ ส์ครัง้ ส�าคัญในคริสต์ศตวรรษที ่ 19 คือ ความส�าเร็จในการพัฒนาทฤษฎี • การทดลองของเฮิรตซ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยใน พ.ศ. 2416 เจมส์ คลาร์ก แมกซ์เวลล์ (James Clerk Maxwell) ได้ • การแผคลื่นแมเหล็กไฟฟา
รวบรวมกฎต่าง ๆ เกีย่ วกับสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก ซึง่ เป็นการค้นพบของคาร์ล ฟรีดริช เกาส์
(Carl Friedrich Gauss) อองเดร-มารี อองแปร์ (André-Marie Ampère) ไมเคิล ฟาราเดย์ 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
(Michael Faraday) และเฮนรี คาเวนดิช (Henry Cavendish) เข้าด้วยกัน และแมกซ์เวลล์ ศึกษา จากนั้นรวมกันสรุปความรูที่ไดจาก
ได้เพิ่มเติมผลบางประการลงไปในสมการของแอมแปร์ แล้วสรุปเป็นทฤษฎี เรียกว่า ทฤษฎี การศึกษาคนควาลงในสมุดบันทึกประจําตัว
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์ โดยน�าเสนอในรูปสมการ 4 สมการ เรียกว่า สมการของ นักเรียน
แมกซ์เวลล์ (Maxwell’s equation) 3. นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลจากการ
ผลส�าคัญประการหนึง่ ของสมการของแมกซ์เวลล์ คือ การท�านายว่าคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าสามารถ ศึกษาหนาชั้นเรียน ในระหวางที่นักเรียนนํา
แผ่ออกไปจากแหล่งก�าเนิดโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง และผลจากการแก้สมการของแมกซ์เวลล์ เสนอ ครูคอยใหขอเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อให
ได้ค�าตอบว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเคลื่อนผ่านสุญญากาศด้วยอัตราเร็ว 3 × 108 เมตรต่อวินาที นักเรียนมีความเขาใจถูกตอง
P hysics
Focus สมการของแมกซ์เวลล์
แมกซ์เวลล์เป็นคนแรกทีเ่ สนอสมการคณิตศาสตร์ทเี่ กีย่ วกับสนาม
แม่เหล็กและสนามไฟฟ้า และได้สรุปเป็นสมการของแมกซ์เวลล์ ดังนี้
กฎของเกาส์ส�าหรับสนามไฟฟ้า E• dA = εq
0
กฎของเกาส์ส�าหรับสนามแม่เหล็ก B• dA = 0
กฎการเหนี่ยวน�าแม่เหล็กไฟฟ้าของฟาราเดย์ LE• dl = - dtB
dφ
ภาพที่ 5.1 เจมส์
กฎของแอมแปร์-แมกซ์เวลล์
dφ
B• dl = μ0(i + ε0 dtE) คลาร์ก แมกซ์เวลล์
L
ที่มา : คลังภาพ อจท.
สมการที่ 1 หมายความว่า ฟลักซ์ไฟฟ้าสุทธิที่ผ่านผิวปิดเท่ากับประจุภายในผิวปิดหารด้วย
ε0 สมการที่ 2 หมายความว่า ฟลักซ์แม่เหล็กสุทธิที่ผ่านผิวปิดเป็นศูนย์ สมการที่ 3 หมายความว่า
ฟลักซ์แม่เหล็กที่เปลี่ยนแปลงท�าให้เกิดสนามไฟฟ้า และสมการที่ 4 หมายความว่า ฟลักซ์ไฟฟ้าที่
เปลี่ยนแปลงท�าให้เกิดสนามแม่เหล็ก แนวตอบ Key Question
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 3
การทดลองของเฮิ ร ตซ ส นั บ สนุ น ทฤษฎี
คลื่นแมเหล็กไฟฟาของแมกซเวลลและยืนยันถึง
การมีอยูจริงของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
T7
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
4. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน 1.1 ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์
โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น อภิ ป ราย ตามกฎการเหนี่ยวน�าของฟาราเดย์ สนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนแปลงตามเวลาจะเหนี่ยวน�าให้
แสดงความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ ดังนี้ เกิดสนามไฟฟ้าที่ก�าลังเปลี่ยนแปลง แมกซ์เวลล์ได้เสนอแนวคิดในทางกลับกัน คือ สนามไฟฟ้า
• คลื่นแมเหล็กไฟฟาเกิดขึ้นไดอยางไร ที่เปลี่ยนแปลงตามเวลาจะเหนี่ยวน�าให้เกิดสนามแม่เหล็กที่ก�าลังเปลี่ยนแปลง
• แมกซ เ วลล ร วบรวมกฎเกี่ ย วกั บ แม เ หล็ ก เมือ่ น�าแนวคิดทัง้ สองมาประกอบกันจะอธิบายเกีย่ วกับการเกิดและการแผ่ออกไปจากแหล่ง
ไฟฟ า จากการค น พบของใครบ า งมาตั้ ง ก�าเนิดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ว่า สนามไฟฟ้าที่ก�าลังเปลี่ยนแปลงตามเวลาจะเหนี่ยวน�าให้เกิด
ทฤษฎีคลื่นแมเหล็กไฟฟาของแมกซเวลล สนามแม่เหล็กทีก่ า� ลังเปลีย่ นแปลงขึน้ ในระนาบทีต่ งั้ ฉากกับระนาบการเปลีย่ นแปลงของสนามไฟฟ้า
• กลไกในการเกิ ด และการแผ อ อกไปจาก บริเวณรอบ ๆ ไม่ว่าบริเวณนั้นจะเป็นบริเวณในตัวน�า ฉนวน หรือที่ว่าง โดยทิศของสนามแม่เหล็ก
แหลงกําเนิดของคลืน่ แมเหล็กไฟฟาคืออะไร ที่เกิดขึ้นหาได้จากกฎมือขวา กล่าวคือ เมื่อให้นิ้วหัวแม่มือขวาชี้ตามทิศของสนามไฟฟ้าที่ก�าลัง
• การทดลองของเฮิ ร ตซ มี ค วามสํ า คั ญ ต อ เปลี่ยนแปลง (ΔE) และถ้าสนามไฟฟ้าก�าลังเพิ่มขึ้นในทิศทางนั้น ทิศของสนามแม่เหล็ก B ที่
ทฤษฎีคลื่นแมเหล็กไฟฟาของแมกซเวลล เกิดขึน้ จะวนไปในทิศเดียวกับทิศการวนของนิว้ ทัง้ สี ่ ดังภาพที ่ 5.2 (ก) แต่ถา้ สนามไฟฟ้าก�าลังลดลง
อยางไร ในทิศทางนั้น ทิศของสนามแม่เหล็ก B ที่เกิดขึ้น จะวนสวนทิศกับทิศการวนของนิ้วทั้งสี่ ดังภาพ
• คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่เฮิรตซคนพบจากการ ที่ 5.2 (ข)
ทดลอง คือ คลื่นแมเหล็กไฟฟารูปแบบใด ΔE E ΔE
E
(E เพิ่มขึ้น) ( E ลดลง)
หรือชนิดใด และการทดลองของเฮิรตซนํา
ไปสูการสรุปวา แสงเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟา
รูปแบบหนึ่งไดอยางไร
B B
(ก) (ข)
ภ าพที่ 5.2 ทิศของสนามแม่เหล็กทีเ่ กิดจากสนามไฟฟ้าทีก่ า� ลังเปลีย่ นแปลง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
กรณีของสนามแม่เหล็กก็เช่นเดียวกัน เมื่อสนามแม่เหล็กในบริเวณหนึ่งเปลี่ยนแปลง (ΔB)
จะเหนี่ยวน�าให้เกิดสนามไฟฟ้า E โดยสนามไฟฟ้าที่ถูกเหนี่ยวน�าจะมีระนาบตั้งฉากกับทิศของ
สนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนแปลง
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตามทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์จะประกอบด้วยสนามแม่
เหล็กและสนามไฟฟ้าทีเ่ ปลีย่ นแปลงตามเวลาในระนาบทีต่ งั้ ฉากกัน โดยการเหนีย่ วน�าอย่างต่อเนือ่ ง
ระหว่างสนามแม่เหล็กกับสนามไฟฟ้าที่เป็นองค์ประกอบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า กล่าวคือ
สนามแม่เหล็กที่ก�าลังเปลี่ยนแปลงตามเวลาจะเหนี่ยวน�าให้เกิดสนามไฟฟ้าใหม่ขึ้นมา และสนาม
ไฟฟ้าที่ก�าลังเปลี่ยนแปลงตามเวลาจะเหนี่ยวน�าให้เกิดสนามแม่เหล็ก ซึ่งการเหนี่ยวน�าลักษณะนี้
จะเกิดสลับกันอย่างต่อเนื่องและเกิดขึ้นได้แม้แต่ในสุญญากาศ
4
T8
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
จากภาพที่ 5.3 ถ้าสนามไฟฟ้า E1 ซึง่ อยูใ่ นระนาบแนวดิง่ ก�าลังเพิม่ ขึน้ จากกฎมือขวา สนาม 5. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นเข า ใจเกี่ ย วกั บ คลื่ น
ไฟฟ้า E1 ที่ก�าลังเปลี่ยนแปลงจะเหนี่ยวน�าให้เกิดสนามแม่เหล็ก B1 ในระนาบแนวระดับ มีทิศ แม เ หล็ ก ไฟฟ า ว า คลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า เกิ ด
วนทวนเข็มนาฬิการอบสนามไฟฟ้า E1 จากการรบกวนทางแมเหล็กไฟฟา โดยการ
ทํ า ให ส นามไฟฟ า หรื อ สนามแม เ หล็ ก มี ก าร
E1 E2 E3
เปลี่ยนแปลง ซึ่งคลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคลื่น
ตามขวางทีป่ ระกอบดวยสนามไฟฟาและสนาม
2 4
1 3 แมเหล็กที่มีการสั่นในแนวตั้งฉากกัน และอยู
B1
E2
B2
E3
B3 บนระนาบตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ของ
ภ
าพที่ 5.3 การแผ่ออกไปจากแหล่งก�าเนิดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแสดงได นอกจากนี้ ยังเปนคลื่นที่ไม
ที่มา : คลังภาพ อจท. ตองอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ จึงทําให
เคลื่อนที่ในสุญญากาศได
ที่ต�าแหน่ง 1 สนามแม่เหล็ก B1 มีทิศพุ่งเข้าระนาบหน้ากระดาษ สนามแม่เหล็ก B1 ที่
ก�าลังเปลี่ยนแปลงจะเหนี่ยวน�าให้เกิดสนามไฟฟ้า E2 ในระนาบแนวดิ่ง มีทิศวนทวนเข็มนาฬิกา เขาใจ (Understanding)
รอบสนามแม่เหล็ก B1 ที่ต�าแหน่ง 1 6. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นเข า ใจเกี่ ย วกั บ ทฤษฎี
ที่ต�าแหน่ง 2 สนามไฟฟ้า E2 มีทิศพุ่งขึ้นตามแนวดิ่ง จากกฎมือขวา สนามไฟฟ้า E2 ที่ คลืน่ แมเหล็กไฟฟาของแมกซเวลล โดยสามารถ
ก�าลังเปลี่ยนแปลงจะเหนี่ยวน�าให้เกิดสนามแม่เหล็ก B2 ในระนาบแนวระดับ มีทิศวนทวนเข็ม สรุปได ดังนี้
นาฬิการอบสนามไฟฟ้า E2 ที่ต�าแหน่ง 2 • บริเวณรอบๆ ประจุไฟฟาจะมีสนามไฟฟา
ที่ต�าแหน่ง 3 และ 4 สามารถอธิบายได้ในท�านองเดียวกันกับผลที่เกิดขึ้นที่ต�าแหน่ง เกิดขึน้ ขนาดและทิศของสนามไฟฟา ณ จุด
1 และต�าแหน่ง 2 โดยการเหนี่ยวน�าในลักษณะดังกล่าวจะเกิดต่อเนื่องกันไป ส่งผลให้เกิด หนึง่ ๆ คือ ขนาดและทิศของแรงทีก่ ระทําตอ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่ออกไปจากแหล่งก�าเนิด 1 หนวยประจุที่จุดนั้น
• บริเวณรอบๆ ตัวนําที่มีกระแสไฟฟาจะมี
1.2 การทดลองของเฮิรตซ์
สนามแมเหล็กเกิดขึ้นและทิศของสนามแม
หลังจากแมกซ์เวลล์ทา� นายเกีย่ วกับการมีอยูข่ องคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าและตัง้ ทฤษฎีขนึ้ มาเพือ่
เหล็กจะตั้งฉากกับทิศของกระแสไฟฟา ซึ่ง
อธิบายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในตอนแรกยังไม่ได้รับการยืนยันว่าค�าท�านายเกี่ยวกับการมีอยู่ของ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นจริงหรือไม่ จนเวลาผ่านไปประมาณ 15 ปี เปนผลจากการคนพบของเออรสเตด
คือ ใน พ.ศ. 2430 ไฮน์ริช รูดอล์ฟ เฮิรตซ์1 (Heinrich Rudolf Hertz) ได้ท�าการทดลองเพื่อ • การเปลี่ยนแปลงของสนามแมเหล็กเหนี่ยว
พิสูจน์ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์ โดยใช้ขดลวด 2 ขด พันรอบแกนเหล็กวงแหวน นําใหเกิดกระแสไฟฟาได ซึ่งฟาราเดยเปน
ดังภาพที่ 5.4 ผูคนพบ
1
เนื่องจากราชบัณฑิตยสภาก�าหนดให้สะกดตัวสะกดชื่อและสกุล ตามเสียงในเชื้อชาติดั้งเดิมตามก�าเนิดของนักวิทยาศาสตร์ผู้นั้น กล่าวคือ ชื่อ
Heinrich Rudolf Hertz ก�าหนดให้ใช้ว่า ไฮน์ริช รูดอล์ฟ แฮทซ์ แต่เพื่อให้ง่ายต่อการการท�าความเข้าใจ ในหนังสือเล่มนี้จะใช้ว่า ไฮน์ริช
รูดอล์ฟ เฮิรตซ์
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 5
T9
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
7. ครูอธิบายตอวา แมกซเวลลไดนําสมการของ ด้านส่ง ด้านรับ
R
แมกซเวลลมาทํานายคุณสมบัติที่เกี่ยวของกับ S
คลื่นแมเหล็กไฟฟาไว ดังนี้
A B G G′
• คลืน่ แมเหล็กไฟฟาเกิดขึน้ จากการเหนีย่ วนํา - +
อยางตอเนือ่ งระหวางสนามไฟฟาและสนาม
แมเหล็ก ทําใหสนามไฟฟาและสนามแมเหล็ก แบตเตอรี่ ขดลวดเหนีย่ วน�า
เคลื่อนที่ออกจากแหลงกําเนิด ภาพที่ 5.4 อุปกรณ์การทดลองของเฮิรตซ์
ที่มา : คลังภาพ อจท.
• คลืน่ แมเหล็กไฟฟาเคลือ่ นทีไ่ ปในสุญญากาศ
ดวยอัตราเร็วเทากับอัตราเร็วแสง จึงกลาว จากภาพที ่ 5.4 อุปกรณ์ดา้ นส่ง จะประกอบด้วยขดลวดเหนีย่ วน�า แบตเตอรี ่ สวิตช์ และโลหะ
ไดวา แสงเปนคลืน่ แมเหล็กไฟฟาทีม่ คี วามถี่ ทรงกลม 2 ลูก ขดลวดเหนี่ยวน�าประกอบด้วยขดลวด A และขดลวด B พันรอบแกนวงแหวน
ชวงหนึ่ง โลหะ R (จ�านวนรอบของขดลวด B มากกว่าจ�านวนรอบของขดลวด A มาก) โดยปลายทั้งสอง
8. ครูถามคําถามนักเรียนวา การทดลองของ ของขดลวด A ต่อกับขั้วทั้งสองของแบตเตอรี่ และมีสวิตช์ S ต่ออยู่ระหว่างปลายข้างหนึ่งของ
เฮิรตซมีความสําคัญตอทฤษฎีคลื่นแมเหล็ก ขดลวด A กับแบตเตอรี่ ส่วนปลายทั้งสองของขดลวด B ต่อกับโลหะทรงกลม โดยระหว่างโลหะ
ไฟฟาของแมกซเวลลอยางไร และการทดลอง ทรงกลมทั้งสองเป็นช่องอากาศแคบ ๆ (G)
ของเฮิ ร ตซ นํ า ไปสู ก ารสรุ ป ว า แสงเป น คลื่ น ส่วนอุปกรณ์ดา้ นรับ จะเป็นลวดตัวน�าทีโ่ ค้งเป็นวงกลมโดยเว้นช่องว่างระหว่างปลายทัง้ สองไว้
แมเหล็กไฟฟารูปแบบหนึ่งไดอยางไร แล้วน�าโลหะทรงกลมมาติดไว้ที่ปลายทั้งสอง ระหว่างโลหะทั้งสองจะเป็นช่องอากาศแคบ ๆ (G′)
สวิตช์ S เป็นสวิตช์แบบสัน่ ปิด-เปิด ท�าหน้าทีป่ ดิ -เปิดวงจรไฟฟ้าของขดลวด A กับแบตเตอรี่
ซึ่งส่งผลให้มีกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ไหลผ่านขดลวด A ตามจังหวะการปิด-เปิดของสวิตช์ S
ส่วนขดลวดเหนี่ยวน�าท�าหน้าที่เป็นหม้อแปลงไฟฟ้า (ขดลวด A เป็นขดลวดปฐมภูมิ ขดลวด B
เป็นขดลวดทุติยภูมิ วงแหวนโลหะ R เป็นแกนของหม้อแปลงไฟฟ้า) โดยจะเพิ่มความต่างศักย์
ไฟฟ้าระหว่างโลหะทรงกลมตรงช่องอากาศ G ให้สงู กว่าค่าแรงเคลือ่ นไฟฟ้าของแบตเตอรี ่ ซึง่ มาก
พอที่จะท�าให้โมเลกุลอากาศบริเวณช่องอากาศ G แตกตัวเป็นไอออนและเคลื่อนผ่านช่องอากาศ
ได้ เมื่อปิด-เปิดสวิตช์ S อย่างรวดเร็ว ก็จะท�าให้เกิดประกายไฟฟ้าบริเวณช่องอากาศ G
จากการทดลองเฮิรตซ์พบว่า ทุกครั้งที่สวิตช์ปิดหรือเปิดจะเกิดประกายไฟฟ้าที่ช่องอากาศ
G และจะเกิดประกายไฟบริเวณช่องอากาศ G′ ของลวดวงกลมที่อยู่ห่างออกไปเสมอ โดยไม่ได้
ต่อเป็นวงจรไฟฟ้าเดียวกัน
เฮิรตซ์อธิบายผลที่เกิดขึ้นว่า ขณะสวิตช์ S สับลง (วงจรปิด) กระแสไฟฟ้าในขดลวด A
จะเพิม่ ขึน้ อย่างรวดเร็วและเหนีย่ วน�าให้เกิดสนามแม่เหล็กในแกนวงแหวน R ซึง่ ตัดผ่านขดลวด B
แต่เมื่อโยกสวิตช์ S ขึ้น (วงจรเปิด) กระแสไฟฟ้าในขดลวด A จะลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิด
T10
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
T11
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
12. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ การแผ ค ลื่ น 1.3 การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายอากาศ
แมเหล็กไฟฟาออกจากสายอากาศตามราย ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการทดลองของเฮิรตซ์ นอกจากท�าให้ทราบ
ละเอียดในหนังสือเรียน ถึงกลไกการเกิดและการแผ่ออกไปจากแหล่งก�าเนิดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแล้ว ยังท�าให้ทราบ
13. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน ว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดจากประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ด้วยความเร่ง ซึ่งน�าไปอธิบายการแผ่ของ
โดยใหนกั เรียนรวมกันอภิปรายแสดงความคิด คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายอากาศ
เห็นเพื่อหาคําตอบ ดังนี้ ในการทดลองของเฮิรตซ์ใช้การเร่งประจุไฟฟ้าด้วยการปิด-เปิดไฟฟ้ากระแสตรงจากแบตเตอรี่
• คลืน่ แมเหล็กไฟฟาเกิดขึน้ และแผออกจาก การเร่งประจุไฟฟ้านอกจากวิธีการแบบเฮิรตซ์แล้ว อาจเร่งประจุไฟฟ้าด้วยไฟฟ้ากระแสสลับซึ่ง
สายอากาศไดอยางไร เป็นวิธีที่ใช้ในสายอากาศ ท�าได้โดยต่อสายอากาศเข้ากับแหล่งก�าเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ ส่งผลให้
• สนามไฟฟาและสนามแมเหล็กของคลื่น ประจุไฟฟ้าในสายอากาศเคลื่อนที่กลับไปกลับมาแบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย (simple harmonic
แมเหล็กไฟฟาที่แผออกจากสายอากาศมี motion) เนื่องจากการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย เป็นการเคลื่อนที่แบบมีความเร่ง
การเปลี่ยนแปลงแบบใด และการเปลี่ยน จึงท�าให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่ออกไปจากสายอากาศ โดยกลไกการเกิดและการแผ่ของ
แปลงของสนามทั้งสองสัมพันธกันอยางไร คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายอากาศพิจารณาได้จากภาพที่ 5.6 เมื่อสายอากาศเป็นแบบครึ่งคลื่น
• คลื่นแมเหล็กไฟฟาจากสายอากาศจะแผ (half-wave dipole antenna) ที่วางตัวในแนวดิ่ง
ออกไปทุกทิศทางยกเวนทิศทางใด
ท่อนโลหะ
L = λ/2 แหล่งก�าเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ
ท่อนโลหะ
ภาพที่5.6 สายอากาศแบบครึ่งคลื่น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ขอสอบเนน การคิด
จากภาพ เปนลวด 2 เสน ซึง่ ตออยูก บั แหลงกําเนิดไฟฟากระแสสลับ
แลวทําใหเกิดการแผคลื่นแมเหล็กไฟฟาออกจากเสนลวด การเกิด
คลื่นแมเหล็กไฟฟาเชนนี้เกิดขึ้นเนื่องมาจากสาเหตุใด
1. การไหลของกระแสไฟฟาระหวางเสนลวด
2. เกิดการเหนี่ยวนําไฟฟาขึ้นภายในเสนลวด
3. การเคลื่อนที่ของประจุดวยความเรงระหวางเสนลวด
4. การเคลื่อนที่ของประจุดวยความเร็วสมํ่าเสมอระหวางเสนลวด
5. การเคลื่อนที่ของประจุดวยความเร็วสูงในทุกสวนของเสนลวด
(วิเคราะหคําตอบ กระแสไฟฟามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แสดงวาประจุเคลื่อนที่ดวยความเรง
หรือความหนวง ทําใหเกิดการแผคลื่นแมเหล็กไฟฟาออกจากเสนลวด ดังนั้น ตอบขอ 3.)
T12
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
t = 0 ที่ เ วลา t = 0 โลหะท่ อ นล่ า งจะได้ รั บ 14. ครู อ ธิ บ ายเพื่ อ เฉลยคํ า ตอบจากคํ า ถามว า
λ ประจุไฟฟ้าบวกมากที่สุด และโลหะท่อน กลไกการเกิดและการแผออกไปจากแหลง
y 4 บนจะได้รับประจุไฟฟ้าลบมากที่สุด ท�าให้ กําเนิดของคลื่นแมเหล็กไฟฟา คือ ประจุ
P - E เกิดสนามไฟฟ้าซึ่งมีค่ามากที่สุดที่จุด P ไฟฟาที่เคลื่อนที่ดวยความเรง ในกรณีของ
(สนามไฟฟ้าทีม่ คี า่ มากทีส่ ดุ จะเคลือ่ นทีจ่ าก
x สายอากาศด้วยอัตราเร็ว c ซึ่งมีค่าเท่ากับ คลื่นแมเหล็กไฟฟาจากสายอากาศ เมื่อตอ
+ อัตราเร็วแสง) เมือ่ เวลาผ่านไปสนามไฟฟ้า แหล ง กํ า เนิ ด ไฟฟ า กระแสสลั บ เข า กั บ สาย
E
จะมีค่าลดลง ท�าให้สนามไฟฟ้าใกล้สาย อากาศที่วางตัวในแนวดิ่ง ประจุไฟฟาในสาย
อากาศมีค่าลดลงด้วย อากาศที่เคลื่อนที่กลับไปกลับมาในแนวดิ่ง
t = 4T ที่เวลา t = T4 เมื่อประจุไฟฟ้าเป็นกลาง ณ ดวยความเรงจะแผคลื่นแมเหล็กไฟฟาออก
y
λ มาโดยรอบ สงผลใหเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟา
E เวลา t = T4 สนามไฟฟ้าจะมีคา่ ลดลงจนเป็น
กระจายออกมาจากสายอากาศในทุกทิศทาง
P x ศูนย์ (T คือ คาบซึ่งเป็นเวลาที่ประจุไฟฟ้า
ในโลหะทั้งสองเคลื่อนที่กลับไปกลับมาครบ ยกเวนทิศทางที่อยูในแนวเสนตรงเดียวกับ
E 1 รอบ) แนวการเคลือ่ นทีข่ องประจุไฟฟาหรือแนวการ
วางตัวของสายอากาศ
y t = 2T ทีเ่ วลา t = T2 โลหะท่อนล่างจะมีประจุไฟฟ้า
+ E ลบมากที่สุด และโลหะท่อนบนจะมีประจุ
x บวกมากที่สุด สนามไฟฟ้าที่จุด P จะมี
ค่ามากที่สุด และจะเคลื่อนที่ออกจากสาย
P-
E อากาศด้วยอัตราเร็วเดียวกับอัตราเร็วแสง
y t = 3T
E 4
ที่เวลา t = 3T
4 ประจุไฟฟ้าในท่อนโลหะ
P x ทั้งสองเป็นกลาง ท�าให้ไฟฟ้าใกล้กับสาย
อากาศมีค่าเป็นศูนย์ที่จุด P
E
y t = T
P- E ที่เวลา t = T เมื่อเวลาของการเคลื่อนที่
กลับไปกลับมาของประจุไฟฟ้าครบรอบ จะ
x
ได้สนามไฟฟ้าที่เกิดขึ้นตามกระบวนการ
+ เช่นเดิมเสมอ
E
T13
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
15. นั ก เรี ย นทุ ก คนทํ า ใบงาน เรื่ อ ง ทฤษฎี การเคลื่อนที่ของคู่ประจุบวกและลบในลักษณะดังกล่าว ท�าให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่
คลื่นแมเหล็กไฟฟาของแมกซเวลลและการ ออกไปจากสายอากาศ ดังภาพที่ 5.8 (สนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นอยู่ในระนาบที่ตั้งฉากกับระนาบ
ทดลองของเฮิรตซ พรอมทั้งสังเกตคําตอบ การเปลี่ยนแปลงของสนามไฟฟ้า) โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะแผ่ออกไปทุกทิศทุกทาง ยกเว้นใน
ของนักเรียน เพื่อประเมินพฤติกรรมนักเรียน แนวเส้นตรงเดียวกับการเคลื่อนที่ของประจุบวกและประจุลบ หรือแนวการวางตัวของสายอากาศ
เปนรายบุคคล พรอมใหคําแนะนําเพิ่มเติม เนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กในแนวการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้า
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
16. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง ทฤษฎี -
คลื่นแมเหล็กไฟฟาของแมกซเวลลและการ
ทดลองของเฮิรตซ จากแบบฝกหัดรายวิชา +
เพิ่มเติมวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ฟสิกส
ม.6 เลม 2 หนวยการเรียนรูท ี่ 5 คลืน่ แมเหล็ก
ไฟฟา เปนการบานสงในชั่วโมงถัดไป ภ
าพที่ 5.8 การกระจายออกจากแหล่งก�าเนิดของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ขัน้ สรุป
ประจุไฟฟ้าที่ก�าลังเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายท�าให้เกิดกระแสไฟฟ้าไม่สม�่าเสมอ
1. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปเกี่ยวกับกลไกการ
(ไม่คงตัว) และมีทิศกลับไปกลับมา เช่นเดียวกับไฟฟ้ากระแสสลับ ดังภาพที่ 5.9
เกิดและการแผของคลืน่ แมเหล็กไฟฟา จากนัน้
นั ก เรี ย นเขี ย นเป น แผนที่ ค วามคิ ด หรื อ ผั ง กระแสไฟฟ้า
มโนทัศน (Concept Mapping) เรื่อง กลไก
T
การเกิดและการแผของคลื่นแมเหล็กไฟฟา 0 2 เวลา
T 3T
2
ภ
าพที่ 5.9 กระแสไฟฟ้าที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของประจุแบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ขอสอบเนน การคิด
ในการติดตั้งเสาตรวจรับสนามแมเหล็กที่มากับคลื่นแมเหล็กไฟฟา ลักษณะของเสาอากาศและการติดตั้งจะมีลักษณะอยางไร
1. ใชแทงโลหะตรง และใหความยาวของโลหะตั้งฉากกับทิศการเปลี่ยนแปลงของสนามแมเหล็ก
2. ใชแทงโลหะตรง และใหความยาวของโลหะขนานกับทิศการเปลี่ยนแปลงของสนามแมเหล็ก
3. ใชโลหะขดเปนวงกลม และใหระนาบของวงกลมตั้งฉากกับทิศการเปลี่ยนแปลงของสนามแมเหล็ก
4. ใชโลหะขดเปนวงกลม และใหระนาบของวงกลมขนานกับทิศการเปลี่ยนแปลงของสนามแมเหล็ก
5. ใชโลหะขดเปนวงกลม และใหระนาบของวงกลมตั้งฉากหรือขนานกับทิศการเปลี่ยนแปลงของสนามแมเหล็ก
(วิเคราะหคําตอบ เพือ่ ตรวจรับสนามแมเหล็กทีม่ ากับคลืน่ แมเหล็กไฟฟาจะใชโลหะขดเปนวงกลม แลววางใหระนาบ
ของวงกลมตั้งฉากกับทิศการเปลี่ยนแปลงของสนามแมเหล็ก เพราะสนามแมเหล็กที่เปลี่ยนแปลงในแนวตั้งฉากกับ B
ขดลวดจึงจะสามารถเหนี่ยวนําใหเกิดกระแสเหนี่ยวนําในขดลวดได
ในขณะที่ถาใชสายอากาศเปนแทงโลหะตรง จะใชสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของสนามไฟฟา จึงตองจัดให
ความยาวแทงโลหะขนานกับทิศการเปลี่ยนแปลงของสนามไฟฟา ซึ่งความยาวของสายอากาศที่เหมาะสมจะทําให
รับสัญญาณไดดี โดยความยาวนั้นจะตองทําใหเกิดเรโซแนนซขึ้นในสายอากาศ เพื่อใหไดกระแสเหนี่ยวนําในสาย
อากาศสูงสุด คือ ความยาวนั้นจะตองเทากับครึ่งหนึ่งของความยาวคลื่น ดังนั้น ตอบขอ 3.)
T14
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได
y E
E ศึกษาผานมาแลววา มีสว นใดทีย่ งั ไมเขาใจ แลว
ใหความรูเ พิม่ เติมในสวนนัน้ โดยทีค่ รูอาจจะใช
z PowerPoint เรื่อง ทฤษฎีคลื่นแมเหล็กไฟฟา
B ของแมกซ เ วลล แ ละการทดลองของเฮิ ร ตซ
c B c มาชวยในการอธิบาย
x
3. ครู ม อบหมายให นั ก เรี ย นฝ ก ทํ า แบบฝ ก หั ด
ภาพที่ 5.10 ขนาดและทิศทางการเคลือ
่ นทีข่ องคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า Topic Questions เรื่อง ทฤษฎีคลื่นแมเหล็ก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ไฟฟ า ของแมกซ เ วลล แ ละการทดลองของ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจึงประกอบด้วยสนามแม่เหล็ก (B) และสนามไฟฟ้า (E) ที่เปลี่ยนแปลง เฮิ ร ตซ จากหนั ง สื อ เรี ย นลงในสมุ ด บั น ทึ ก
ตามเวลาในระนาบทีต่ งั้ ฉากกัน โดยการเหนีย่ วน�ากันอย่างต่อเนือ่ งระหว่างสนามแม่เหล็กกับสนาม ประจําตัว เพื่อนําสงครูทายชั่วโมง
ไฟฟ้าที่เป็นส่วนประกอบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นกลไกในการแผ่ออกไปจากแหล่งก�าเนิดของ
4. ครู ม อบหมายให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก เสริ ม
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เนื่องจากการเหนี่ยวน�าระหว่างสนามแม่เหล็กกับสนามไฟฟ้าเกิดขึ้นได้แม้แต่
ประสบการณจาก Unit Questions 5 เรื่อง
ในสุญญากาศ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจึงเคลื่อนผ่านสุญญากาศได้ด้วยอัตราเร็วเท่ากับอัตราเร็วแสง
คือ 3 × 108 เมตรต่อวินาที และการเคลื่อนที่แบบคลื่นจะมีการถ่ายโอนพลังงานไปพร้อม ๆ กับ ทฤษฎีคลื่นแมเหล็กไฟฟาของแมกซเวลลและ
คลื่นด้วย คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจึงเป็นปรากฏการณ์การถ่ายโอนพลังงานด้วยคลื่นจากแหล่งก�าเนิด การทดลองของเฮิรตซ จากหนังสือเรียนลงใน
เช่นเดียวกับคลื่นกล แต่ต่างจากคลื่นกลที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการถ่าย สมุดบันทึกประจําตัว และศึกษาเนื้อหา เรื่อง
โอนพลังงาน และทิศการเคลื่อนที่หรือทิศการถ่ายโอนพลังงานของคลื่นอยู่ในทิศเดียวกับทิศของ โพลาไรเซชันของคลื่นแมเหล็กไฟฟา ซึ่งจะ
E × B (ผลคูณแบบเวกเตอร์ของ E และ B) ดังภาพที่ 5.10 เรียนในชั่วโมงตอไปมาลวงหนา
จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ที่
ผ่านมานัน้ สามารถสรุปได้วา่ คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า
Core Concept ขัน้ ประเมิน
ให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญ เรื่อง
มีสมบัตเิ หมือนคลืน่ ตามขวาง ได้แก่ การสะท้อน ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์ 1. ประเมินความรูเกี่ยวกับเรื่อง ทฤษฎีคลื่นแม
การหักเห การเลี้ยวเบน และการแทรกสอด และการทดลองของเฮิรตซ์ เหล็กไฟฟาของแมกซเวลลและการทดลองของ
เฮิรตซ โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคําถาม
Topic
Questions การทําแบบฝกหัด ใบงาน และการสรุปสาระ
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ สําคัญ
1. สนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกจากสายอากาศมีการเปลี่ยนแปลง 2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา
สัมพันธ์กันอย่างไร ศาสตร โดยสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายอากาศจะแผ่ออกไปทุกทิศทางยกเว้นทิศทางใด การปฏิบัติกิจกรรม และการนําความรูที่ไดไป
3. การท�าให้ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ด้วยความเร่งในสายอากาศต่างจากวิธีการของเฮิรตซ์อย่างไร ใชประโยชน
และประจุไฟฟ้าในสายอากาศเคลื่อนที่แบบใด
3. ประเมิ น คุ ณ ลั ก ษณะอั น พึ ง ประสงค โดย
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 11 สั ง เกตพฤติ ก รรมจากการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม
การอภิปราย และการทําแบบฝกหัด
ประเด็นที่ประเมิน
เกณฑ์ประเมินผังมโนทัศน์
ระดับคะแนน
ความเรงในสายอากาศ ทําไดโดยตอสายอากาศเขากับแหลงกําเนิด
แบบประเมินผลงานผังมโนทัศน์ 4 3 2 1
1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผังมโนทัศน์ของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
คะแนน 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ระดับคุณภาพ ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ไฟฟากระแสสลับ สงผลใหประจุไฟฟาในสายอากาศเคลื่อนที่กลับไป
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
2 ความถูกต้องของเนื้อหา แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
3 ความคิดสร้างสรรค์ ระบบ
T15
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ทิศของคลื่น ทิศของคลื่น
T16
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
ขอสอบเนน การคิด
แสงสีเขียวตกกระทบแทงแกวดวยมุมบรูสเตอร แลวหักเหใน (แนวตอบ เมื่อพิจารณาภาพโจทย จะไดวา
แทงผลึกดวยมุม 33.7 องศากับแนวกลาง ดังภาพ จงหามุมโพลาไรส 180 ํ = θp + 90 ํ + 33.7 ํ
และคาดรรชนีหักเหของแทงผลึกแคลไซต เมื่อกําหนดให ดรรชนี θp = 180 ํ - 90 ํ - 33.7 ํ
หักเหของแสงในสุญญากาศเทากับ 1 θp = 56.3 ํ
คํานวณหาคาดรรชนีหักเหของแทงแกว
n
จากกฎของบรูสเตอร tan θp = n2
1
θp θp n
สุญญากาศ tan 56.3 ํ = 12
แกว n2 = 1.50
33.7 ํ เนื่ อ งจากมุ ม บรู ส เตอร แ ละมุ ม โพลาไรส เ ป น มุ ม เดี ย วกั น จึ ง ได ว า
มุมโพลาไรสเทากับ 56.3 องศา และคาดรรชนีหักเหของแทงแกวเทากับ
1.50)
T17
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
4. ขณะทีน่ กั เรียนแตละกลุม กําลังนําเสนอ ครูอาจ ตัวอย่างที่ 5.1
เสนอแนะหรือแทรกขอมูลเพิม่ เติมในเรือ่ งนัน้ ๆ แสงไม่โพลาไรส์เดินทางผ่านน�้าไปตกกระทบแผ่นแก้ว ถ้าแสงสะท้อนจากผิวแก้วเป็นแสงโพลาไรส์
เพือ่ ใหนกั เรียนทุกคนไดมคี วามเขาใจทีถ่ กู ตอง มุมตกกระทบผิวแผ่นแก้วมีค่าเท่าใด เมื่อดรรชนีหักเหของน�้าและแก้วมีค่าเป็น 43 และ 32 ตามล�าดับ
มากยิ่งขึ้น
วิธีท�า มุมตกกระทบที่ท�าให้แสงสะท้อนเป็นแสงโพลาไรส์ คือ มุมโพลาไรส์
5. นักเรียนและครูรว มกันอภิปรายสรุปเกีย่ วกับวิธี n
จากสมการ tan θp = n2
การทําใหแสงไมโพลาไรสเปลีย่ นเปนแสงโพลา 1
3
ไรส จะได้ tan θp = 24
6. นักเรียนศึกษาตัวอยางการคํานวณจากโจทย 3
ปญหาในตัวอยางที่ 5.1-5.2 จากหนังสือเรียน θp = tan ( 9 )
-1
8
จากนั้ น จั บ คู กั บ เพื่ อ นในชั้ น เรี ย นตามความ θp = 48.4 �
สมัครใจของนักเรียน รวมกันทําใบงาน เรื่อง ดังนั้น มุมตกกระทบผิวแผ่นแก้วจึงมีค่าเท่ากับ 48.4 องศา
โพลาไรเซชันของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
7. ครูสมุ นักเรียนจํานวน 2 คู ออกมาเฉลยใบงาน ตัวอย่างที่ 5.2
โดยครูใหนกั เรียนรวมกันพิจารณาวาคําตอบใด แสงไม่โพลาไรส์เดินทางผ่านอากาศไปตกกระทบผิวน�า้ ถ้าแสงสะท้อนเป็นแสงโพลาไรส์ จงหามุมตกกระทบ
ถูกตอง จากนั้นครูเฉลยคําตอบที่ถูกตอง และมุมหักเหของแสงในน�้า เมื่อดรรชนีหักเหของน�้ามีค่าเป็น 43
8. นักเรียนแบงกลุมออกเปนกลุม กลุมละ 5 คน อากาศ
ตามความสมัครใจของนักเรียน จากนั้นให θp θp
แตละกลุมรวมกันศึกษากิจกรรม ความสวาง
น�้า
ของแสงเมื่อผานแผนโพลารอยด จากหนังสือ φ
เรียน โดยครูใชรูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือ
มาจั ด กระบวนการเรี ย นรู โดยกํ า หนดให ภาพที่ 5.14 ภาพประกอบตัวอย่างที่ 5.2
สมาชิกแตละคนภายในกลุมมีบทบาทหนาที่ ที่มา : คลังภาพ อจท.
ของตนเอง ดังนี้ วิธีท�า มุมตกกระทบที่ท�าให้แสงสะท้อนเป็นแสงโพลาไรส์ คือ มุมโพลาไรส์
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ จากสมการ tan θp = n
อุปกรณใชในการทํากิจกรรม จะได้ tan θp = 43
θp = tan ( 4 )
-1
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีการทํา จึงได้ 3
กิจกรรม และนํามาอธิบายใหสมาชิกภายใน θp = 53 �
เมื่อแสงสะท้อนเป็นแสงโพลาไรส์ระนาบ θp + φ = 90 �
กลุมฟง
มุมหักเหของแสงในน�้า จึงมีค่าเป็น φ = 90 � - 53 � = 37 �
• สมาชิกคนที่ 5 ทําหนาที่บันทึกผลการทํา ดังนั้น มุมตกกระทบของแสงในน�้าเท่ากับ 53 องศา และมุมหักเหของแสงในน�้าเท่ากับ 37 องศา
กิจกรรม 14
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบประเมินการปฏิบัติการ)
ขอสอบเนน การคิด
แสงในอากาศตกกระทบผิวนํ้าเชื่อมที่มุมบรูสเตอร โดยสวนของ (แนวตอบ พิจารณาที่ผิวอากาศกับนํ้าเชื่อม จะไดวา
n
ลําแสงที่หักเหเขาไปในนํ้าเชื่อมตกกระทบกับแทงแกวที่มีดรรชนีหักเห จากกฎของบรูสเตอร tan θp = n2 tan θp = 1.43
1
1
เทากับ 1.57 ดังภาพ ถาแสงที่สะทอนจากผิวบนของแทงแกวเปนแสงโพ nนํ้าเชื่อม θp = tan-1 (1.43)
ลาไรสอยางสมบูรณ จงหามุมบรูสเตอรและมุมระหวางลําแสงหักเหและ tan θp = n
อากาศ θp = 55.0 ํ
ผิวบนของแทงแกว กําหนดให ดรรชนีหักเหของนํ้าเชื่อมเทากับ 1.43 พิจารณาที่ผิวนํ้าเชื่อมกับแทงแกว จะไดวา
n
จากกฎของบรูสเตอร tan θp = n2 tan θ2 = 1.57
1.43
1
nแกว -1 1.57
θp θp tan θp = n θ 2 = tan ( 1.43 )
อากาศ นํ้าเชื่อม θ2 = 47.7 ํ
นํ้าเชื่อม พิจารณาภาพโจทย จะไดวา θ = 90 ํ - θ2
θ θ2 = 90 ํ - 47.7 ํ
θ = 42.3 ํ
แทงแกว
มุมบรูสเตอรเทากับ 55.0 องศา และมุมระหวางลําแสงหักเหและผิวบนของ
แทงแกวเทากับ 42.3 องศา)
T18
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การวัด 9. นักเรียนแตละกลุม รวมกันแลกเปลีย่ นความรู
ความสว่างของแสงเมื่อผ่านแผ่นโพลารอยด์ • การทดลอง และวิเคราะหผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม แลวรวม
• การจัดกระท�าและสื่อความหมาย
ข้อมูล กันอภิปรายผล
วัสดุอปุ กรณ์ จิตวิทยาศาสตร์
• ความซื่อสัตย์
10. นักเรียนแตละกลุม สงตัวแทนออกมานําเสนอ
1. กล่องแสง
• ความมุ่งมั่นอดทน ผลการทํากิจกรรม ในระหวางที่นักเรียนนํา
2. หม้อแปลงไฟโวลต์ต�่า เสนอครูคอยใหขอเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อให
3. แผ่นโพลารอยด์ 2 แผ่น นักเรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง จากนัน้ รวมกัน
ตอบคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
วิธปี ฏิบตั ิ แต ล ะกลุ ม ร ว มกั น อภิ ป รายเพื่ อ หาคํ า ตอบ
1. ต ่อชุดกล่องแสงโดยปรับค่าความต่างศักย์ที่กล่องแสงประมาณ 8-10 โวลต์ พรอมทั้งสรุปผลจากการทํากิจกรรม
2. สงั เกตหลอดไฟผ่านแผ่นโพลารอยด์ 1 แผ่น และหมุนแผ่นโพลารอยด์ไปรอบ ๆ จนครบหนึ่งรอบ ดังภาพ
ที ่ 5.15 (ก) สังเกตความสว่างของแสงทีผ่ า่ นแผ่น
โพลารอยด์ แล้วบันทึกผล
3. น�าแผ่นโพลารอยด์อีกแผ่นมาประกบแผ่นแรก
แล้วหมุนแผ่นโพลารอยด์แผ่นที่ 2 ไปรอบ ๆ จน
ครบ 1 รอบ ดังภาพที่ 5.15 (ข) สังเกตแสงที่
(ก) (ข)
ผ่านออกมาขณะที่แผ่นโพลารอยด์ทั้งสองท�ามุม
ภาพที่ 5.15 การจัดอุปกรณ์กิจกรรมความสว่าง
ต่างกัน แล้วบันทึกผล
ของแสงเมื่อผ่านแผ่นโพลารอยด์
ที่มา : คลังภาพ อจท.
?
ค�าถามท้ายกิจกรรม
1. แสงที่ผ่านแผ่นโพลารอยด์ 1 แผ่น ขณะที่หมุนแผ่นโพลารอยด์ไปรอบ ๆ ความสว่างของแสงที่มองเห็น
แตกต่างกันหรือไม่
2. ความสว่างของแสงที่ผ่านแผ่นโพลารอยด์ 1 แผ่น แตกต่างกับความสว่างของแสงที่ผ่านแผ่นโพลารอยด์
2 แผ่นหรือไม่ อย่างไร แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
3. เมื่อหมุนแผ่นโพลารอยด์ 2 แผ่น ที่ประกบกัน มุมต่าง ๆ มีผลต่อความสว่างของแสงหรือไม่ อย่างไร
1. แสงผานแผนโพลารอยดจะสวางนอยกวาแสงที่
อภิปรายผลทายกิจกรรม
มองดวยตาเปลา และมีความสวางคงตัว
2. แสงผานแผนโพลารอยด 2 แผน จะมีความสวาง
แสงที่ผ่านแผ่นโพลารอยด์ 1 แผ่น จะสว่างน้อยกว่าการมองด้วยตาเปล่า แต่จะมีค่าความสว่างคงตัวแม้
จะหมุนแผ่นโพลารอยด์ไปรอบ ๆ ครบ 1 รอบ ส่วนแสงที่ผ่านแผ่นโพลารอยด์ 2 แผ่น จะมีความสว่างไม่คงตัว
ไมคงตัว
เมื่อหมุนแผ่นโพลารอยด์ไปรอบ ๆ และแสงจะมีความสว่างน้อยที่สุดเมื่อแกนโพลาไรส์ของแผ่นโพลารอยด์ 3. มีผล เมื่อมุมที่แผนโพลารอยดทั้ง 2 แผน ทํามุม
แต่ละแผ่นตั้งฉากกัน ตางๆ กัน ความสวางของแสงที่สังเกตเห็นก็จะ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 15
มีลักษณะเปลี่ยนไป โดยจะมีลักษณะสวางมาก
มัวลง มืด สวางขึ้น สวางมาก สลับเปลี่ยนไป
ตามมุมที่เปลี่ยนไป
T19
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. นักเรียนและครูรว มกันอภิปรายสรุปเกีย่ วกับวิธี
การทําใหแสงไมโพลาไรสเปลีย่ นเปนแสงโพลา 2.4 การสร้างแสงโพลาไรส์ โดยการหักเห
ไรส ซึ่งไดขอสรุปรวมกัน ดังนี้ การหักเหของแสงในแท่งแก้วหรือน�้าจะเป็นไปตามกฎของสเนลล์ แต่รังสีหักเหของรังสี
• เมือ่ แสงไมโพลาไรสตกกระทบผิววัตถุ ทํามุม ตกกระทบหนึ่งที่ตกกระทบและหักเหผ่านเข้าไปในแคลไซต์หรือควอตซ์จะแยกออกเป็น 2 รังสี
ตกกระทบคาหนึง่ ทีท่ าํ ใหรงั สีสะทอนตัง้ ฉาก ส่งผลให้เห็นภาพของวัตถุในแคลไซต์แยกออกเป็น 2 ภาพ ซึง่ การหักเหในผลึกแคลไซต์หรือควอตซ์
กับรังสีหักเห แสงสะทอนจะเปนแสงโพลา ดังกล่าว เรียกว่า การหักเหสองแนว (double refraction หรือ birefringence) โดยรังสีหักเหจาก
ไรสที่มีสนามไฟฟาตั้งฉากกับระนาบของ การหักเหสองแนวทั้ง 2 รังสี ต่างเป็นแสงโพลาไรส์ที่มีระนาบของการโพลาไรส์หรือทิศของการ
การสะทอน โพลาไรส์ตั้งฉากกันและกัน รังสีหักเหทั้งสองจะแสดงแทนด้วยจุดและลูกศร รังสีที่แทนด้วยจุด
• เมื่อแสงไมโพลาไรสตกกระทบและหักเห เรียกว่า รังสีธรรมดา (ordinary ray) และรังสีที่แทนด้วยลูกศร เรียกว่า รังสีพิเศษ (extraordinary
ผานเขาไปในแคลไซตหรือควอตซ รังสีหกั เห ray) โดยรังสีธรรมดาจะมีอตั ราเร็วเท่ากันในทุกทิศทาง ขณะทีร่ งั สีพเิ ศษมีอตั ราเร็วต่างกันในทิศทาง
จะแยกออกเปน 2 รังสี โดยรังสีหักเหทั้ง 2 ที่ต่างกัน ขณะอยู่ภายในแคลไซต์แนวรังสีทั้งสองจะไม่ขนานกัน แต่เมื่อผ่านพ้นแคลไซต์ออกมา
รังสีเปนแสงโพลาไรส แนวรังสีทั้งสองจะขนานกัน และระนาบของการโพลาไรส์หรือทิศของการโพลาไรส์ของรังสีทั้งสอง
• เมื่อแสงไมโพลาไรสผานแผนโพลารอยดจะ ยังคงตั้งฉากกัน ดังภาพที่ 5.16
เปลี่ยนเปนแสงโพลาไรส เนื่องจากแสงที่ วัสดุที่ท�าให้เกิดการหักเหสองแนว
แสงไม่โพลาไรส์
สนามไฟฟามีทิศการเปลี่ยนแปลงขนานกับ
แกนสงผานของแผนโพลารอยดเทานั้นที่ รังสีพิเศษ
ผานไปได สวนแสงที่สนามไฟฟามีทิศการ รังสีธรรมดา
เปลี่ยนแปลงตั้งฉากกับแกนสงผานจะถูก
แผนโพลารอยดดูดกลืนไว ภาพที่ 5.16 แสงโพลาไรส์โดยการหักเหสองแนว
ที่มา : คลังภาพ อจท.
• เมื่ อ แสงอาทิ ต ย ซึ่ ง เป น แสงไม โ พลาไรส
ตกกระทบโมเลกุ ล อากาศ สนามไฟฟ า 2.5 การสร้างแสงโพลาไรส์ โดยการกระเจิง
ของแสงจะทํ า ให อิ เ ล็ ก ตรอนในโมเลกุ ล แสงอาทิตย์ที่เดินทางผ่านบรรยากาศโลกจะตกกระทบอนุภาคต่าง ๆ ในบรรยากาศโลก เช่น
ของอากาศสั่ น ในแนวเดี ย วกั บ แนวการ โมเลกุลของอากาศและอนุภาคอื่น ๆ อนุภาคเหล่านี้จะดูดกลืนแสงอาทิตย์ไว้ ส่งผลให้อิเล็กตรอน
เปลีย่ นแปลงของสนามไฟฟา ซึง่ มี 2 แนวหลัก ในโมเลกุลของอากาศเคลื่อนที่กลับไปกลับมาด้วยความเร่ง อิเล็กตรอนในโมเลกุลของอากาศจึง
คือ แนวระดับกับแนวดิ่ง และปลดปลอย ปลดปล่อยแสงที่โมเลกุลอากาศดูดกลืนไว้ออกมาในทุกทิศทาง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เรียกว่า
แสงออกมา เมื่อมองขึ้นไปในแนวดิ่งจึงเห็น การกระเจิง (scattering)
แสงโพลาไรสในแนวระดับ และเมื่อมองไป แสงอาทิ ต ย์ ที่ เ ดิ น ทางผ่ า นบรรยากาศโลกเกิ ด การกระเจิ ง โดยโมเลกุ ล ของอากาศใน
ที่ขอบฟา (แนวระดับ) จะเห็นแสงโพลาไรส บรรยากาศโลก ซึ่งระนาบของการโพลาไรส์ของแสงที่กระเจิงโดยโมเลกุลอากาศสัมพันธ์กับทิศ
ในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่กลับไปกลับมาของอิเล็กตรอนในโมเลกุลอากาศ
16 โพลาไรเซชันของแสง
ขัน้ สรุป
2. นักเรียนแตละคนสรุปความรู เรือ่ ง โพลาไรเซชัน
Z ของคลื่นแมเหล็กไฟฟา โดยเขียนเปนแผนที่
แสงโพลาไรส์ในแนวระดับ ความคิดหรือผังมโนทัศน (Concept Map-
ping)
X 3. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหา เรื่อง
แสงไม่โพลาไรส์ โพลาไรเซชันของคลื่นแมเหล็กไฟฟา และให
แสงโพลาไรส์ในแนวดิ่ง
90 �
90 � ความรูเพิ่มเติมจากคําถามของนักเรียน โดย
แสงโพลาไรส์ในแนวดิ่ง แสงไม่โพลาไรส์ ครูใช PowerPoint เรื่อง โพลาไรเซชันของ
คลื่นแมเหล็กไฟฟา ในการอธิบายเพิ่มเติม
ทิศการเคลื่อนที่กลับไปกลับมาของอิเล็กตรอน Y 4. ครู ม อบหมายให นั ก เรี ย นฝ ก ทํ า แบบฝ ก หั ด
ภาพที่ 5.17 การกระเจิงของแสงไม่โพลาไรส์โดยโมเลกุลของอากาศ Topic Questions เรื่อง โพลาไรเซชันของ
ที่มา : คลังภาพ อจท. คลืน่ แมเหล็กไฟฟา จากหนังสือเรียนลงในสมุด
จากภาพที่ 5.17 แสงอาทิตย์ซึ่งเป็นแสงไม่โพลาไรส์เดินทางในแนวแกน Y เมื่อตกกระทบ บันทึกประจําตัว เพื่อนําสงครูทายชั่วโมง
โมเลกุลของอากาศ สนามไฟฟ้าของแสงไม่โพลาไรส์ซ่ึงมีทิศของการโพลาไรส์ต่าง ๆ รอบแนว 5. ครู ม อบหมายให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก เสริ ม
แกน Y จะท�าให้อเิ ล็กตรอนในโมเลกุลของอากาศเคลือ่ นทีก่ ลับไปกลับมาทุกทิศทางในระนาบ XZ ประสบการณจาก Unit Questions 5 เรื่อง
โดยสนามไฟฟ้าของแสงที่มีทิศของการโพลาไรส์ในแนวระดับท�าให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่กลับไป โพลาไรเซชั น ของคลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า จาก
กลับมาในแนวระดับ และสนามไฟฟ้าของแสงที่มีทิศของการโพลาไรส์ในแนวดิ่งท�าให้อิเล็กตรอน หนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว และ
เคลื่อนที่กลับไปกลับมาในแนวดิ่ง อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่กลับไปกลับมาในแนวระดับจะให้แสง ศึกษาเนือ้ หา เรือ่ ง สเปกตรัมคลืน่ แมเหล็กไฟฟา
โพลาไรส์อยู่ในแนวระดับ และอิเล็กตรอนที่ ซึ่งจะเรียนในชั่วโมงตอไปมาลวงหนา
เคลื่ อ นที่ ก ลั บ ไปกลั บ มาในแนวดิ่ ง จะให้ แ สง Core Concept
โพลาไรส์อยู่ในแนวดิ่ง ให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญ เรื่อง
โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ขัน้ ประเมิน
1. ประเมินความรูเ กีย่ วกับเรือ่ ง โพลาไรเซชันของ
Topic คลื่นแมเหล็กไฟฟา โดยสังเกตพฤติกรรมการ
Questions ตอบคําถาม การทําแบบฝกหัด ใบงาน และ
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ การสรุปสาระสําคัญ
1. แสงไม่โพลาไรส์ต่างจากแสงโพลาไรส์อย่างไร 2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา
2. แสงไม่โพลาไรส์ทา� มุม 58 องศากับแผ่นแก้วในแนวระดับ พบว่า แสงทีส่ ะท้อนออกมาเป็นแสงโพลาไรส์
จงหาดรรชนีหักเหของแก้ว และมุมที่แสงหักเหในแก้ว
ศาสตร โดยสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
3. แผ่นโพลารอยด์ 2 แผ่น มีทิศของโพลาไรส์ ท�ามุมกัน 90 องศา ถูกกั้นกลางด้วยสารละลายน�้าตาล การปฏิบัติกิจกรรม ความสวางของแสงเมื่อ
เมื่อน�าแสงที่ไม่โพลาไรส์ผ่านระบบนี้ แสงจะเป็นอย่างไร ผานแผนโพลารอยด และการนําความรูที่ได
ไปใชประโยชน
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 17 3. ประเมิ น คุ ณ ลั ก ษณะอั น พึ ง ประสงค โดย
สั ง เกตพฤติ ก รรมจากการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม
การอภิปราย และการทําแบบฝกหัด
1. การปฏิบัติการ
4
ทาการทดลองตาม
3
ทาการทดลองตาม
ระดับคะแนน
2
ต้องให้ความช่วยเหลือ
1
ต้องให้ความช่วยเหลือ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T21
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
AM radio FM radio
แนวตอบ Key Question 106 107 108 109 1010 1011 1012 1013 1014 1015 1016 1017 1018 1019 1020 1021
ในวงการแพทยและอุตสาหกรรม
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
T23
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
4. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระจายเสียง ระบบเอฟเอ็ม
คลื่นวิทยุระบบเอเอ็มวา นอกจากใชคลื่นวิทยุ
เปนการผสมสัญญาณไฟฟาของขาวสารกับคลืน่ พาหะ โดยคลืน่ ทีผ่ า น
ที่มีความถี่ 530-1,600 กิโลเฮิรตซแลว ยังใช หนวยผสมจะมีความถีเ่ ปลีย่ นแปลงตามสัญญาณขาวสาร แตมแี อมพลิจดู
คลืน่ วิทยุทมี่ คี วามถีต่ าํ่ และสูงกวานี้ ซึง่ เรียกวา เทากับแอมพิจูดของคลื่นพาหะ
คลื่นยาวและคลื่นสั้น ซึ่งเปนการเรียกตามคา
คลื่นพาหะ คลื่นวิทยุ
ความยาวคลืน่ เมือ่ เทียบกับความยาวคลืน่ ของ
คลื่นวิทยุระบบเอเอ็มที่มีความถี่ 530-1,600
กิ โ ลเฮิ ร ตซ การกระจายเสี ย งวิ ท ยุ ค ลื่ น สั้ น
สงกระจายเสียงไปไดไกลเกินระยะที่สวนโคง
ของโลกบังไวได เนือ่ งจากสงไปในลักษณะคลืน่
ฟาได (คลืน่ วิทยุสะทอนกลับไปกลับมาระหวาง สัญญาณเสียง ภาคขยาย
บรรยากาศชั้ น ไอโอโนสเฟ ย ร กั บ พื้ น ผิ ว โลก ภาพที่ 5.20 การสงคลื่นวิทยุระบบเอฟเอ็ม
คลืน่ สัน้ จึงเหมาะสําหรับการสือ่ สารระยะไกล) ที่มา : คลังภาพ อจท.
สําหรับการกระจายเสียงทางวิทยุแบงเปนระบบเอเอ็มและระบบเอฟเอ็มตามลักษณะการ
ผสมคลื่น ระบบเอเอ็มใชคลื่นวิทยุที่มีความถี่ชวง 530-1,600 กิโลเฮิรตซ ขณะที่ระบบเอฟเอ็มใช
คลื่นวิทยุที่มีความถี่ชวง 88-108 เมกะเฮิรตซ เนื่องจากการกระจายเสียงในระบบเอเอ็มมีความถี่
ตํา่ กวาระบบเอฟเอ็มจึงสะทอนไดดกี วาทีบ่ รรยากาศชัน้ ไอโอโนสเฟยร เครือ่ งรับวิทยุจงึ รับคลืน่ วิทยุ
เอเอ็มได 2 ทาง คือ รับไดทั้งคลื่นดิน (ground wave) เปนคลื่นที่สงไปตรง ๆ ในระดับสายตา และ
คลื่นฟา (sky wave) เปนคลื่นที่สงออกจากสายอากาศขึ้นสูบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟยรซึ่งอยูสูง
จากพื้นดิน 50-500 กิโลเมตร แลวสะทอนกลับมายังพื้นผิวโลกเขาสูเครื่องรับ ดังภาพที่ 5.21
บรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟยร
คลื่นฟา
คลื่นดิน
T24
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
1
ขณะที่ระบบเอฟเอ็มใช้ความถี่สูงจึงสามารถทะลุผ่านบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟยร์ไปได้ 5. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา คลื่นวิทยุเมื่อตกกระทบ
ไม่สะท้อนกลับมายังพืน้ ผิวโลก เครือ่ งรับวิทยุรบั ได้เพียงคลืน่ ดิน การส่งกระจายเสียงระบบเอฟเอ็ม สิ่งกีดขวางที่มีขนาดใกลเคียงกับความยาว
จึงส่งไปได้ไม่ไกลเท่าระบบเอเอ็มเนื่องจากผิวโค้งของโลกบังไว้ ในกรณีที่ต้องการให้รับฟังได้ใน คลื่น 188-566 เมตร สําหรับระบบเอเอ็ม และ
ที่ซึ่งอยู่ไกลจากเครื่องส่งมาก ๆ สถานีส่งต้องใช้เสาอากาศสูง ๆ และมีสถานีถ่ายทอดเป็นระยะ ๆ 2.8-3.4 เมตร สําหรับระบบเอฟเอ็ม จะเลี้ยว
ส่วนผู้รับต้องติดตั้งเสาอากาศในที่สูง เบนผานสิ่งกีดขวางไปได แตถาสิ่งกีดขวาง
Physics มีขนาดใหญมาก เชน ภูเขา คลื่นวิทยุโดย
การกระจายเสียงระบบเอเอ็มถูกรบกวนง่ายกว่าระบบ in real life
เอฟเอ็ม เนื่องจากมีความถี่อยู่ในช่วงที่ถูกรบกวนได้ง่ายจาก ขณะฟังวิทยุในรถยนต์ หาก เฉพาะระบบเอฟเอ็มจะออมผานสิ่งกีดขวาง
คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าทีเ่ กิดขึน้ ในชีวติ ประจ�าวัน เช่น คลืน่ วิทยุจาก รถยนต์ขบั เคลือ่ นผ่านใต้สะพาน ไมได ดังนั้น บริเวณดานหลังสิ่งกีดขวางจึง
การเปิด-ปิดสวิตช์ไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากฟ้าแลบ ทีม่ โี ครงสร้างเป็นเหล็ก สัญญาณ เปนจุดปลอดคลื่น
หรือฟ้าผ่า แต่ระบบเอฟเอ็มมีความถีต่ า่ งจากคลืน่ วิทยุเหล่านีม้ าก จะหายไป เนือ่ งจากโลหะมีสมบัติ 6. นักเรียนแตละกลุม (กลุมเดิม) ศึกษา เรื่อง
และไม่อาจผสมรวมกันได้จึงไม่ถูกรบกวน ท�าให้ระบบเอฟเอ็ม ในการสะท้ อ นและดู ด กลื น ระบบการสงสัญญาณโทรทัศนและระบบการ
มีคุณภาพเสียงดีกว่า ประกอบกับสัญญาณคลื่นผสมจากแต่ละ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ดี แพรภาพโทรทัศน จากแหลงการเรียนรูตางๆ
สถานีที่ส่งกระจายเสียงระบบเอเอ็มมีค่าแอมพลิจูดไม่แน่นอน แลวรวมกันวิเคราะหและแสดงความคิดเห็น
เมือ่ เข้าสูเ่ ครือ่ งรับทีร่ บั สัญญาณจากสถานีสง่ ทีส่ ง่ กระจายเสียงด้วยความถีใ่ กล้เคียงกันได้ จึงรบกวน ในกลุมวา ระบบการสงสัญญาณโทรทัศนและ
กันได้ง่ายท�าให้ได้ยินเสียงของแต่ละสถานีนั้นไม่ชัดเจน และหากคลื่นวิทยุลากกระทบสิ่งกีดขวาง ระบบการแพรภาพโทรทัศน (สัญญาณภาพ
ที่มีขนาดใกล้เคียงกับความยาวคลื่นจะสามารถเลี้ยวเบนผ่านสิ่งกีดขวางไปได้ แต่ถ้าสิ่งกีดขวาง และเสียง) มีหลายระบบ ไดแกระบบอะไรบาง
มีขนาดใหญ่มาก เช่น ภูเขา คลื่นวิทยุจะไม่สามารถอ้อมผ่านสิ่งกีดขวางไปได้ บริเวณด้านหลัง
เมื่อไดขอสรุปในกลุมที่ตรงกันแลว ใหเขียน
สิ่งกีดขวางจึงเป็นจุดปลอดคลื่น
อธิบายคําตอบลงในสมุดบันทึกประจําตัวของ
คลืน่ วิทยุในย่านความถีน่ อกเหนือจากการส่งกระจายเสียงตามปกติ อาจน�าไปใช้ในการสือ่ สาร ตนเอง
เฉพาะกรณี เช่น ใช้สื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ต�ารวจ ทหาร หน่วยงานทางราชการ และใช้ในระบบ
วิทยุสมัครเล่น โดยที่ทางราชการยังไม่อนุญาตให้เอกชนมีเครื่องส่งวิทยุไว้ในครอบครอง ยกเว้น
เพื่อกิจการวิทยุสมัครเล่นเพื่อกิจกรรมสาธารณประโยชน์เท่านั้น
P hysics
Focus การตรวจวัดคลื่นวิทยุดวยวงจรจูน
คลื่นวิทยุตรวจรับได้ด้วยวงจรจูน (tuned circuit) ประกอบด้วยตัวเก็บประจุที่ปรับค่าความจุ
ไฟฟ้าได้กับขดลวดเหนี่ยวน�า โดยการปรับค่าความจุไฟฟ้าของตัวเก็บประจุจนได้ค่าความถี่ธรรมชาติ
ของวงจรจูนเท่ากับความถี่ของคลื่นจากสถานีที่ต้องการรับฟัง (หมุนปุ่มหาความถี่บนหน้าปัดวิทยุ)
เครื่องรับจะน�าคลื่นวิทยุที่มีความถี่ค่านั้นไปแปลงเป็นเสียงที่ล�าโพงของเครื่องรับวิทยุ โลหะจะสะท้อน
และดูดกลืนคลื่นวิทยุที่ตกกระทบ คลื่นวิทยุจึงทะลุผ่านเข้าไปในโลหะได้ยาก
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 21
T25
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
7. ครู อ ธิ บ ายเกี่ ย วกั บ ระบบการส ง สั ญ ญาณ 3.2 คลื่นโทรทัศน์
โทรทัศนวา ระบบการสงสัญญาณโทรทัศน คลื่นโทรทัศน์ (television wave) มีความถี่ประมาณ 108 เฮิรตซ์ เนื่องจากมีความถี่สูงจึง
ทั้งภาพและเสียงมีหลายระบบ ไดแก ระบบ ทะลุผา่ นชัน้ บรรยากาศไปนอกโลก ดังนัน้ การส่งคลืน่ โทรทัศน์ระยะไกล ๆ จึงต้องมีสถานีถา่ ยทอด
VHF ระบบ UHF ระบบ MMDS ระบบดาวเทียม คลืน่ เป็นระยะเพือ่ รับคลืน่ โทรทัศน์จากสถานีสง่ ในแนวตรง (คลืน่ ดิน) แล้วขยายสัญญาณให้แรงขึน้
และระบบสงสัญญาณโทรทัศนทางสาย แตละ ก่อนส่งไปยังสถานีถ่ายทอดที่อยู่ถัดไป ดังภาพที่ 5.22 (ก) เนื่องจากสัญญาณเดินทางเป็นเส้นตรง
ระบบมีประโยชนแตกตางกันไป เชน ระบบ แต่ผิวโลกโค้ง สัญญาณจึงไปได้ไกลสุดประมาณ 80 กิโลเมตร บนผิวโลก นอกจากจะใช้คลื่น
VHF เปนระบบแอนะล็อก สงสัญญาณในยาน ไมโครเวฟเป็นสือ่ น�าสัญญาณจากสถานีสง่ ไปยังดาวเทียมค้างฟ้า ดาวเทียมนีจ้ ะส่งคลืน่ โทรทัศน์ตอ่
ความถี่ 30 MHz-300 MHz หรือความถี่สูงมาก ไปยังสถานีรบั ทีอ่ ยูไ่ กล ๆ เกิน 80 กิโลเมตรได้ เพราะไม่ถกู ผิวโค้งของโลกบังไว้ ดังภาพที ่ 5.22 (ข)
(very high frequency) ใชในการกระจายเสียง
วิทยุและการแพรภาพโทรทัศน สงสัญญาณได
ไกลหลายรอยกิโลเมตร รับสัญญาณดวยสาย
อากาศ
8. ครูอธิบายเกี่ยวกับระบบการแพรภาพโทรทัศน
วา มีหลายระบบ ไดแก ระบบ NTSC ระบบ PAL
และระบบ SECAM โดยระบบการแพรภาพ
โทรทัศนที่ใชในประเทศไทยเปนระบบ PAL (ก) การใช้สถานีถ่ายทอดเป็นระยะ (ข) การถ่ายทอดผ่านดาวเทียม
(phase alternation line) ภาพที่ 5.22 การส่งคลื่นโทรทัศน์ในระยะทางไกล
ที่มา : คลังภาพ อจท.
คลื่นโทรทัศน์มีความยาวคลื่นสั้น จึงไม่สามารถเลี้ยวเบนอ้อมผ่านสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่ได้
เมื่อคลื่นโทรทัศน์ตกกระทบรถยนต์หรือเครื่องบินจะสะท้อนกลับไปแทรกสอดกับคลื่นที่ส่งตรงมา
จากสถานีส่งแล้วเข้าสู่เครื่องรับโทรทัศน์ท�าให้เกิดภาพซ้อนบนจอภาพ ซึ่งสามารถแก้ได้โดยใช้
ระบบส่งสัญญาณโทรทัศน์ทางสาย
ปัจจุบันนิยมใช้ระบบส่งสัญญาณโทรทัศน์ตามสายโดยส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่ยังไม่ได้แปลง
เป็ น คลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟ้ า ไปตามสายเคเบิ ล
Con���t Q�e����n
ประกอบด้วยสายโคแอกซ์ (coaxial cable)
ปรากฏการณใดที่ทําใหเกิดคลื่นรบกวน
ซึ่ ง สั ญ ญาณโทรทั ศ น์ ใ นสายโคแอกซ์ เ ป็ น เครื่องรับวิทยุและโทรทัศน
สัญญาณไฟฟ้า และเส้นใยน�าแสง (fiber optic)
แนวตอบ Concept Question ซึ่ ง สั ญ ญาณโทรทั ศ น์ ใ นเส้ น ใยน� า แสงเป็ น
ปรากฏการณฟา แลบหรือฟาผา สามารถทําให สัญญาณแสง
เกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟาได ซึ่งคลื่นใหมที่เกิดขึ้นนี้
22
สามารถรวมกั บ คลื่ น วิ ท ยุ ทํ า ให เ กิ ด คลื่ น รบกวน
เครื่องรับวิทยุและโทรทัศน
T26
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
3.3 คลื่นไมโครเวฟ 9. ครูใหความรูเ พิม่ เติมกับนักเรียนเกีย่ วกับคลืน่
คลื่นไมโครเวฟ (microwave) มีความถี่ประมาณ 108-1012 เฮิรตซ์ หรืออยู่ในช่วงความยาว ไมโครเวฟวา มีความถี่อยูในชวงที่ใชในการ
คลื่น 10-3-0.3 เมตร มีสมบัติและการใช้ประโยชน์หลายประการ ดังนี้ สื่อสาร โดยเฉพาะการสื่อสารทางไกล เชน
1. คลื่นไมโครเวฟมีความถี่อยู่ในช่วงที่ใช้ในการสื่อสารได้ โดยเฉพาะการสื่อสารทางไกล การติ ด ต อ ระหว า งโลกกั บ ยานอวกาศหรื อ
เช่น การติดต่อระหว่างโลกกับยานอวกาศหรือสถานีอวกาศ การสื่อสารผ่านระบบดาวเทียมโดยมี สถานีอวกาศ การสือ่ สารผานระบบดาวเทียม
จานสายอากาศส�าหรับส่งสัญญาณติดต่อกับดาวเทียมและถ่ายทอดสัญญาณ การถายทอดสัญญาณโทรทัศนหรือโทรศัพท
2. คลื่นไมโครเวฟสะท้อนผิวโลหะได้ดี จึงน�าไปใช้ในระบบเรดาร์ที่ใช้น�าทางเครื่องบินหรือ ทางไกล โดยมี จ านสายอากาศสํ า หรั บ ส ง
ตรวจค้นหาต�าแหน่งและทิศทางของวัตถุ โดยส่งคลืน่ ไมโครเวฟเป็นห้วง ๆ ออกจากแหล่งก�าเนิดที่ สั ญ ญาณติ ด ต อ กั บ ดาวเที ย มและถ า ยทอด
อยูท่ โี่ ฟกัสของจานเรดาร์ เมือ่ คลืน่ ไมโครเวฟไปกระทบวัตถุจะสะท้อนกลับสูจ่ านเรดาร์ แล้วสะท้อน สัญญาณ โดยดาวเทียมที่ใชในการรับ-สง
ไปรวมกันที่โฟกัสของจานเรดาร์ซึ่งมีเครื่องรับไมโครเวฟติดตั้งอยู่ ดังภาพที่ 5.23 สัญญาณ คือ ดาวเทียมสื่อสารกลุมจีโอ เชน
ดาวเทียมไทยคม สวนดาวเทียมทีใ่ ชกบั ระบบ
สือ่ สารทางโทรศัพท คือ ดาวเทียมสือ่ สารกลุม
เป้าหมาย ลีโอ
10. ครูถามคําถามเพือ่ ใหนกั เรียนไดรว มกันคิดวา
ความกว้าง คลื่นสะท้อน คล่ื่นส่งผ่าน
คลื่นไมโครเวฟเคลื่อนผานนํ้าไดหรือไม (ทิ้ง
ของล�าเรดาร์ จากเป้าหมาย ช ว งเวลาในการคิ ด ของนั ก เรี ย น) จากนั้ น
จานเรดาร์ อธิบายวา คลืน่ ไมโครเวฟเคลือ่ นผานนํา้ ไมได
ซึ่งนักเรียนสังเกตไดจากการที่ไมสามารถชม
รายการโทรทัศนที่รับสัญญาณผานจานสาย
ภาพที่ 5.23 การตรวจหาต�าแหน่งของวัตถุด้วยเรดาร์ อากาศได (ทีวีดิจิทัล) ขณะฝนตกหนัก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
T27
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
11. ครู อ ธิ บ ายเกี่ ย วกั บ รั ง สี อิ น ฟราเรดว า รั ง สี 3.4 รังสีอินฟราเรด
อินฟราเรดเมื่อตกกระทบวัตถุจะถูกดูดกลืน รังสีอินฟราเรด (infrared ray) เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยู่ในช่วง 1011-1014
และทํ า ให วั ต ถุ มี อุ ณ หภู มิ สู ง ขึ้ น เนื่ อ งจาก เฮิรตซ์ ซึ่งมีความถี่ต�่ากว่าแสงสีแดง จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า รังสีใต้แดง มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง
พลังงานจากรังสีอนิ ฟราเรดทีว่ ตั ถุไดรบั สงผล 1 - 1,000 ไมโครเมตร รังสีอินฟราเรดแบ่งตามช่วงค่าความยาวคลื่นได้ 3 ช่วง ได้แก่
ใหอะตอมหรือโมเลกุลของวัตถุสั่นเร็วและ 1. อินฟราเรดใกล้ มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 0.7 -1.5 ไมโครเมตร
แรงขึ้นหรือเกิดการเคลื่อนที่ 2. อินฟราเรดปานกลาง มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 1.5 - 4.0 ไมโครเมตร
12. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา เมื่อเทียบกับคลื่นวิทยุ 3. อินฟราเรดไกล มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 4.0 -1,000 ไมโครเมตร
แลว รางกายมนุษยจะรับรูรังสีอินฟราเรดได รังสีอินฟราเรดเมื่อตกกระทบวัตถุจะถูกดูดกลืนและท�าให้วัตถุมีอุณหภูมิสูงขึ้น เนื่องจาก
ดี โดยประสาทสัมผัสของผิวหนังจะรูสึกรอน พลังงานจากรังสีอนิ ฟราเรดทีว่ ตั ถุได้รบั ส่งผลให้อะตอมหรือโมเลกุลของวัตถุสนั่ เร็วขึน้ หรือเกิดการ
เมื่อไดรับรังสีอินฟราเรด เชน เมื่อเอามือไป เคลือ่ นที ่ หากเทียบรังสีอนิ ฟราเรดกับคลืน่ วิทยุ ร่างกายของมนุษย์สามารถรับรูร้ งั สีอนิ ฟราเรดได้ดี
อังใกลๆ หลอดไฟที่ติดอยู หรือเตารีดขณะ โดยประสาทสัมผัสของผิวหนังจะรู้สึกร้อนเมื่อได้รับรังสีอินฟราเรด เช่น จะรู้สึกร้อนเมื่อน�ามือไป
กําลังรีดผา หรือหลังจากเลิกใชงานใหมๆ อังใกล้ ๆ หลอดไฟที่ติดอยู่ หรือสัมผัสกับเตารีดขณะก�าลังรีดผ้า รังสีอินฟราเรดน�ามาใช้ประโยชน์
รังสีอินฟราเรดจึงตรวจวัดไดดวยกายสัมผัส ได้หลายประการ ดังนี้
1. รังสีอินฟราเรดจากแสงแดดช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายมนุษย์โดยไม่เกิดอันตราย
2. ใช้ในรีโมตคอนโทรลเพื่อควบคุมการท�างานของเครื่องรับโทรทัศน์หรือเครื่องเสียง เช่น
ใช้ในการเปิด-ปิดเครื่อง การเปลี่ยนช่อง การปรับระดับเสียง
3. รังสีอินฟราเรดความเข้มสูงจากเลเซอร์ไดโอด (infrared laser diode) ใช้ในการอ่าน
ข้อมูลในแผ่นซีดีและการบันทึกข้อมูลลงในแผ่นซีดี
4. อุณหภูมิภายในร่างกายมนุษย์มีค่าประมาณ 37 องศาเซลเซียส จึงแผ่รังสีอินฟราเรด
ออกมาได้ จึงมีผู้ประดิษฐ์เทอร์มอมิเตอร์ส�าหรับวัดอุณหภูมิของร่างกาย เรียกว่า อินฟราเรดเทอร์
มอมิเตอร์ (infrared thermometer) ขึ้นมาใช้งาน ซึ่งเป็นการวัดอุณหภูมิแบบไม่สัมผัส ข้อดีของ
การวัดอุณหภูมิแบบนี้ คือ ปราศจากการปน
เปื้อนของสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรค และนอกจาก
วัดอุณหภูมิของร่างกายแล้ว อินฟราเรดเทอร์
มอมิเตอร์ยงั ใช้วดั อุณหภูมใิ นพืน้ ทีท่ ยี่ ากต่อการ
เข้าถึงหรือพืน้ ทีอ่ นั ตราย เช่น พืน้ ทีอ่ ณุ หภูมสิ งู
พืน้ ทีไ่ ฟฟ้าแรงสูง โดยเลือกใช้อนิ ฟราเรดเทอร์
มอมิเตอร์ที่มีย่านการวัดอุณหภูมิที่เหมาะสม
และครอบคลุมช่วงอุณหภูมิของวัตถุที่ต้องการ
วัด ดังภาพที่ 5.24 ภาพที่ 5.24 การวัดอุณหภูมิแบบไม่สัมผัสโดยใช้
อินฟราเรดเทอร์มอมิเตอร์
24 ทีม่ า : คลังภาพ อจท.
T28
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
5. ในทางการทหารจะน�ารังสีอนิ ฟราเรดมาใช้ควบคุมจรวดน�าวิถใี ห้เคลือ่ นทีไ่ ปยังเป้าหมาย 13. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับแสงวา แสงบาง
ได้อย่างถูกต้อง แม่นย�า โดยจรวดจะติดตามเป้าหมายจากรังสีอินฟราเรดที่แผ่ออกมาจากแหล่ง อยางไมไดเกิดจากการกระตุนใหอิเล็กตรอน
ความร้อนของเป้าหมาย แล้วน�าสัญญาณนั้นไปควบคุมการเคลื่อนที่ของจรวดต่อไป เปลี่ยนระดับพลังงานดวยความรอนโดยตรง
6. ในทางอุตสาหกรรมใช้รังสีอินฟราเรดในการอบสีที่ทับซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น เช่น การอบ ที่พบเห็นกันโดยทั่วไป ไดแก แสงจากหลอด
สีรถยนต์ ฟลูออเรสเซนต แสงจากจอโทรทัศน แสง
7. รังสีอินฟราเรดจะทะลุผ่านเมฆหมอกที่หนาเกินกว่าแสงธรรมดาจะผ่านได้ ประกอบกับ และเลเซอร ซึ่งเปนแสงประดิษฐ และที่เปน
สิ่งต่าง ๆ แผ่รังสีอินฟราเรดได้ไม่เท่ากัน จึงมีการน�าวิธีถ่ายภาพด้วยรังสีอินฟราเรดไปใช้ในการ
แสงธรรมชาติ ไดแก แสงจากหิ่งหอย แสง
ถ่ายภาพพื้นผิวโลกจากที่สูง เช่น เครื่องบิน ดาวเทียม ซึ่งเรียกว่า ภาพถ่ายทางอากาศ (aerial
จากหนอนเรืองแสง และแสงจากเห็ดเรืองแสง
photography) โดยภาพถ่ายทางอากาศจะบอกถึงความแตกต่างของบริเวณที่เป็นพื้นผิวน�้า ภูเขา
ป่าไม้ และแหล่งแร่ได้ จากผลของการแผ่รงั สีอนิ ฟราเรดทีแ่ ตกต่างกัน ภาพถ่ายทางอากาศจึงอาจ 14. ครู อ ธิ บ ายเกี่ ย วกั บ แสงเลเซอร ซึ่ ง นํ า ไป
ใช้ในการศึกษาการแปรสภาพของป่าไม้ การส�ารวจแหล่งแร่หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ การ ประยุกตใชในงานตางๆ ทัง้ ดานอุตสาหกรรม
ตรวจหาไฟป่าหรือพายุ ดานการแพทย ดานการศึกษา และดานการ
สื่ อ สาร ตามรายละเอี ย ดในหนั ง สื อ เรี ย น
3.5 แสงที่มองเห็นได้ จากนัน้ ถามนักเรียนวา นอกเหนือจากทีก่ ลาว
แสงที่มองเห็นได้ (visible light) เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยู่ในช่วง 1014-1015 มาแลว นักเรียนสามารถพบการใชประโยชน
เฮิรตซ์ และมีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 400-700 นาโนเมตร ซึ่งประสาทตาของมนุษย์จะไวต่อ จากแสงเลเซอรในดานไดบาง
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าช่วงนี้มาก โดยวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงมาก ๆ จะเปล่งแสงที่ตามองเห็นได้ เช่น
ดวงอาทิตย์ หลอดไฟ เมือ่ แสงขาวหักเหผ่านปริซมึ หรือสเปกโทรสโคปจะแยกออกเป็นแสงสีตา่ ง ๆ
เรียงชิดติดกันเป็นแถบสี เรียกว่า สเปกตรัมของแสงขาว ประกอบด้วยแสงสีม่วงแสงสีน�้าเงิน
แสงสีเขียว แสงสีเหลือง แสงสีสม้ และแสงสีแดง
ดังภาพที่ 5.25
เมือ่ วัตถุได้รบั ความร้อนจนมีอณ ุ หภูมสิ งู
วัตถุจะแผ่รงั สีทมี่ คี วามยาวคลืน่ ทีต่ ามนุษย์มอง
เห็นได้ โดยแสงทีม่ คี วามยาวคลืน่ ประมาณ 700
นาโนเมตร ประสาทตาจะรับรู้เป็นแสงสีแดง
ส่วนแสงทีม่ คี วามยาวคลืน่ น้อยกว่า ประสาทตา ภาพที่ 5.25 สเปกตรัมของแสงขาวที่ส่องผ่านปริซึม
จะรับรูเ้ ป็นแสงสีสม้ สีเหลือง สีเขียว สีนา�้ เงิน ที่มา : คลังภาพ อจท.
จนถึงแสงสีม่วง ซึ่งมีความยาวคลื่นประมาณ 400 นาโนเมตร โดยแสงสีของวัตถุที่เปล่งออก
มาเนื่องจากความร้อนนั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงอุณหภูมิของวัตถุนั้นได้ อย่างน้อยท�าให้ทราบว่า
วัตถุใดร้อนหรือมีอุณหภูมิสูงกว่า เช่น ดาวฤกษ์สีน�้าเงินจะมีอุณหภูมิผิวสูงกว่าดาวฤกษ์สีแดง
เปลวไฟจากเตาแก๊สมีอุณหภูมิสูงกว่าเปลวไฟจากเตาถ่าน
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 25
T29
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
15. ครูใชเวลาประมาณ 5-10 นาที ใหนักเรียน แสงขาวจากแหล่งก�าเนิด เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ แสงจากหลอดไฟชนิดต่าง ๆ เป็นแสง
ไดพูดคุยกันเพื่อหาคําตอบ ซึ่งครูคอยสังเกต ที่กระจายออกได้ทุกทิศทาง ซึ่งมีความถี่แตกต่างกันไป แต่มีแหล่งก�าเนิดอีกชนิดหนึ่งที่ให้แสง
คําตอบที่จะได และคอยแนะนําหรือคัดคาน ที่มีความถี่เดียวกัน เคลื่อนที่ไปทางเดียวกัน และมีความเข้มสูง เราเรียกแสงนี้ว่า เลเซอร์ (laser)
ตามจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งเป็นแสงที่มีความยาวคลื่นเพียงขนาดเดียว จึงมีสีบริสุทธิ์เพียงสีเดียว เลเซอร์สามารถน�าไป
16. ครูยกตัวอยางการใชงานของแสงเลเซอรที่ ประยุกต์ใช้ในงานต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง ดังนี้
สามารถพบไดในชีวติ ประจําวัน เชน การอาน 1. ด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมผ่านเส้นใยน�าแสง โดยส่งสัญญาณแสงเลเซอร์ที่เป็น
แถบรหัส (barcode) สินคา เพื่อบอกขอมูล สัญญาณดิจทิ ลั ไปตามเส้นใยน�าแสง ซึง่ เส้นใยน�าแสงส่งข้อมูลในระยะไกลโดยไม่ตอ้ งอาศัยอุปกรณ์
ของสิ น ค า การสร า งภาพเคลื่ อ นไหวตาม พักและขยายสัญญาณเป็นระยะ ๆ เพราะการลดทอนของสัญญาณต�่า ท�าให้ไม่มีสัญญาณรบกวน
จังหวะดนตรีในสถานบันเทิง มีความถูกต้องและความปลอดภัยของข้อมูลสูง นิยมใช้ในการสื่อสารด้วยความเร็วสูงและการ
17. ครูใหความรูกับนักเรียนเกี่ยวกับรังสีอัลตรา เชือ่ มต่อระยะไกล เช่น การสือ่ สารผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยข้อมูลทีส่ ง่ มีทงั้ ข้อมูลทีเ่ ป็นตัวอักษร
ไวโอเลตตามรายละเอี ย ดในหนั ง สื อ เรี ย น ข้อความ เสียง ภาพ และภาพเคลื่อนไหว
ซึ่ ง สามารถอธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ รั ง สี 2. ด้านการแพทย์และศัลยกรรม ใช้ในการผ่าตัดแทนมีดผ่าตัด เช่น การผ่าตัดเนื้องอกและ
มะเร็ง การท�าเลสิกโดยใช้เลเซอร์ปรับสภาพกระจกตาเพื่อแก้ไขสายตาสั้นหรือสายตายาว รวมถึง
อั ล ตราไวโอเลตจากดวงอาทิ ต ย ไ ด ว า จะ
การท�าศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งไม่ท�าให้เนื้อเยื่อรอบข้างถูกท�าลายหรือเกิดความเสียหาย ผู้ป่วยจึง
กระตุนใหผิวหนังมนุษยผลิตวิตามินดี แต
เสียเลือดน้อยและฟื้นตัวเร็วหลังการผ่าตัด
ถ า ได รั บ มากเกิ น ไปอาจเป น อั น ตรายต อ 3. ด้านทางอุตสาหกรรม ใช้ในกระบวนการผลิต เช่น การเชื่อม การตัด การเจาะ การวัด
ผิวหนังได การทดสอบ การตรวจสอบ การควบคุมการผลิต
4. ด้านการศึกษา การวิจัยและพัฒนา เช่น ใช้เลเซอร์ในการศึกษาการเลี้ยวเบนและการ
แทรกสอดของแสง ศึกษาอะตอม ปฏิกิริยาทางเคมี การแยกไอโซโทป
P hysics
Focus เลเซอร์
เลเซอร์ หรือ laser เป็นตัวอักษรที่ย่อมาจากข้อความว่า light amplification by stimulated
emission of radiation หมายถึง การขยายแสงด้วยการกระตุน้ ให้แผ่รงั สี เลเซอร์เป็นแสงทีไ่ ม่ได้เกิดจาก
วัตถุรอ้ น แต่เกิดจากการกระตุ้นให้อเิ ล็กตรอนในสถานะพืน้ (ground state) กระโดดขึน้ ไปอยูใ่ นสถานะ
กระตุ้น (excited state) แล้วกระตุ้นอีกครั้งให้กระโดดกลับลงมาสถานะพื้นพร้อมกับคายพลังงานแสง
ออกมา เนื่องจากแสงที่ปลดปล่อยออกมาแต่ละอะตอมมีความถี่เดียว คลื่นแสงจึงมีความเข้มสูงมาก
สถานะถูกกระตุ้น
โฟตอน ภาพที่ 5.26 ขั้นตอนการท�าให้เกิดแสงเลเซอร์
เลเซอร์ ที่มา : คลังภาพ อจท.
สถานะพื้น
26
T30
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
3.6 รังสีอัลตราไวโอเลต 18. ครูใชเวลาประมาณ 10 นาที ถามคําถาม
รังสีอัลตราไวโอเลต (ultraviolet ray) หรือรังสียูวี เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยู่ใน นักเรียนเกี่ยวกับรังสีเอกซและรังสีแกมมา
ช่วง 1015-1018 เฮิรตซ์ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รังสีเหนือม่วง เนื่องจากมีความถี่สูงกว่าแสง ดังนี้
สีม่วงซึ่งเป็นแสงที่มีความถี่สูงที่สุด รังสีอัลตราไวโอเลตมีความยาวคลื่นสั้นเกินกว่านัยน์ตามนุษย์ • นักเรียนทราบไดอยางไรวารังสีเอกซเปน
จะรับรู้ได้ โดยปกติรังสีอัลตราไวโอเลตไม่สามารถเคลื่อนที่ทะลุผ่านสิ่งกีดขวางหนา ๆ ได้ แต่ คลื่นแมเหล็กไฟฟา
สามารถทะลุผ่านแก้วได้เล็กน้อยและทะลุผ่านควอตซ์ได้ดี โดยแหล่งก�าเนิดรังสีอัลตราไวโอเลต (แนวตอบ เนื่องจากรังสีเอกซไมเบี่ยงเบน
ที่ส�าคัญ คือ ดวงอาทิตย์ ในสนามแมเหล็กและสนามไฟฟา และมี
1 Physics
รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ส่วนใหญ่จะถูกโอโซน in real life
อัตราเร็วเทากับแสง)
(ozone; O3) ในบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ (stratosphere) ตาของคนเราไม่อาจมองเห็น • นักเรียนทราบประโยชนของรังสีเอกซตงั้ แต
ดูดกลืนไว้ ชั้นโอโซนจึงเป็นเหมือนเกราะป้องกันรังสีอัลตรา รังสีอัลตราไวโอเลตได้ เพราะ เมื่อใด
ไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ แต่ปัจจุบันชั้นโอโซนบางลงท�าให้รังสี รังสีจะถูกดูดกลืนโดยกระจกตา ( แนวตอบ เริ น ท แ กนพบว า รั ง สี เ อกซ
อัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ผา่ นลงมาถึงพืน้ ผิวโลกได้มากขึน้ (cornea) ก่อนจะตกกระทบ สามารถใชถายภาพของแทงโลหะที่อยูใน
ซึง่ รังสีนจี้ ะกระตุน้ ให้ผวิ หนังมนุษย์ผลิตวิตามินดี หากได้รบั มาก จอตา (retina) ถ้ากระจกตา
กระเปาได และภรรยาของเขาไดรับการ
เกินไปผิวหนังจะมีสีคล�้าขึ้น และอาจท�าให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ได้รับรังสีมาก ๆ อาจท�าให้เกิด
ต้อกระจก (cataract) ได้ จึงไม่ ถายภาพดวยรังสีเอกซ (ภาพกระดูกนิ้ว
นอกจากนี้ รังสีอัลตราไวโอเลตสามารถผลิตขึ้นได้จาก ควรมองดวงอาทิ ต ย์ โ ดยตรง มือ))
การผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในหลอดที่บรรจุไอปรอทไว้ อะตอม หรื อ มองแสงที่ เ กิ ด จากการ • ปจจุบนั เราใชรงั สีแกมมาทําประโยชนอะไร
ปรอทที่ได้รับพลังงานจากอิเล็กตรอนในกระแสไฟฟ้าจะปลด เชื่อมไฟฟ้า ได
ปล่อยรังสีอัลตราไวโอเลตออกมา โดยหลักการนี้น�าไปใช้ในการ (แนวตอบ ใชในวงการแพทยรกั ษาโรคมะเร็ง
ผลิต อัลตราไวโอเลตในหลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดแบล็กไลต์ และหลอดรังสีอัลตราไวโอเลต ใชอาบผลผลิตทางการเกษตร เชน ผลไม
ใหปราศจากแมลง)
ในหลอดฟลูออเรสเซนต์ เมื่อรังสีอัลตราไวโอเลตตกกระทบสารวาวแสงที่ฉาบไว้ที่ผิวในของ
หลอดและถ่ายโอนพลังงานให้สารวาวแสง สารวาวแสงจะแผ่แสงสว่างออกมาเป็นแสงขาว โดย • รังสีเอกซและรังสีแกมมาตางกันอยางไร
แก้วที่ใช้ท�าหลอดจะกั้นรังสีอัลตราไวโอเลตไม่ให้แผ่ออกมานอกหลอด (แนวตอบ รังสีเอกซและรังสีแกมมาตาง
ก็ เ ป น คลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า เหมื อ นกั น มี
ในหลอดแบล็กไลต์ เมื่อรังสีอัลตราไวโอเลตตกกระทบสารเรืองแสงที่ฉาบไว้ที่ผิวในของหลอด ความถี่สูงเหมือนกัน แตมีแหลงกําเนิด
สารเรืองแสงจะดูดกลืนรังสีอัลตราไวโอเลตไว้ แล้วแผ่รังสีออกมาเป็นแสงสีน�้าเงินอ่อน ๆ นิยม ตางกัน รังสีเอกซเกิดจากการเปลีย่ นแปลง
น�าไปใช้ในงานโฆษณาและการแสดงละคร ภายนอกนิวเคลียส สวนรังสีแกมมาเกิด
ในหลอดรังสีอัลตราไวโอเลต ตัวหลอดท�าจากควอตซ์ มีลักษณะเป็นแสงสีม่วงจาง ๆ นิยมน�า จากการเปลี่ยนแปลงภายในนิวเคลียส)
ไปใช้ในงานเฉพาะด้าน เช่น ใช้ฆ่าเชื้อโรคในห้องผ่าตัด ฆ่าเชื้อโรคในการผลิตน�้าดื่ม และรังสี
อัลตราไวโอเลตปริมาณพอเหมาะสามารถใช้รักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 27
T31
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
19. นักเรียนจับคู จากนั้นรวมกันทําใบงาน เรื่อง 3.7 รังสีเอกซ์
สเปกตรัมคลื่นแมเหล็กไฟฟา รังสีเอกซ์ (X-rays) เป็นคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าทีม่ คี วามถีอ่ ยูใ่ นช่วง 1016-1019 เฮิรตซ์ เกิดจาก
20. ครูสมุ นักเรียนจํานวน 2 คู ออกมาเฉลยใบงาน การเปลี่ยนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนของอะตอม หรือเกิดจากอิเล็กตรอนที่มีความเร็วสูงมาก
โดยครูใหนักเรียนรวมกันพิจารณาวาคําตอบ ถูกหน่วงให้ชา้ ลงหรือหยุดลงเมือ่ ชนเป้าโลหะ และจากสมบัตดิ งั กล่าวจึงน�ารังสีเอกซ์ไปใช้ประโยชน์
ใดถูกตอง จากนั้นครูเฉลยคําตอบที่ถูกตอง ในงานด้านต่าง ๆ ดังนี้
ใหนักเรียน 1. ทางการแพทย์ใช้ในการถ่ายภาพรังสีเอกซ์ (radiography) เพื่อตรวจดูอวัยวะภายใน
21. ครูถามคําถามนักเรียนวา “คลืน่ แมเหล็กไฟฟา ร่างกายประกอบกับการวินิจฉัยโรค เช่น การตรวจหามะเร็งปอด นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ การถ่าย
ก อ ให เ กิ ด โทษต อ มนุ ษ ย แ ละสิ่ ง แวดล อ ม ภาพโครงสร้างกระดูกและฟัน รวมทั้งในบางกรณีสามารถใช้ในการถ่ายภาพเนื้อเยื่อบางชนิด เช่น
หรือไม อยางไร” โดยใหนักเรียนแตละคน สมองและกล้ามเนื้อได้
บั น ทึ ก คํ า ตอบของตนเองลงในสมุ ด บั น ทึ ก 2. ทางอุตสาหกรรมใช้ในการตรวจสอบรอยรัว่ หรือรอยร้าวของโลหะ และตรวจสอบภายใน
ประจําตัวนักเรียนเปนการบานสงชัว่ โมงถัดไป ของเครื่องจักรกล
3. ใช้ตรวจหาอาวุธและสิ่งผิดกฎหมายโดยไม่ต้องเปิดกระเป๋าเดินทางหรือหีบห่อสัมภาระ
ขัน้ สรุป 4. ในการศึกษาโครงสร้ 1 างของสารและวัสดุโดยอาศัยการ H. O. T. S.
1. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปเกีย่ วกับสเปกตรัม นอะตอม (X-ray diffraction) เพื่อใช้ คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
เลี้ยวเบนของรังสีเอกซ์ผ่านอะตอม (
คลื่นแมเหล็กไฟฟา โดยนักเรียนเขียนเปน ในการวิเคราะห์โครงสร้างผลึก แนวโน้มการเรียงตัวของผลึก และ รังสีเอกซ์ช่วยให้
ความสมบูรณ์ของผลึก มองเห็ น อวั ย วะ
แผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน (Concept ภายในได้อย่างไร
รังสีเอกซ์เป็นอันตรายต่อเซลล์ของสิ่งมีชีวิตจึงต้องระวัง
Mapping) ลงในกระดาษ A4 พรอมตกแตง
อย่าให้ได้รบั รังสีเอกซ์ในปริมาณมากจนถึงค่าทีท่ า� ให้เกิดอันตราย
ใหสวยงาม
แนวตอบ H. O. T. S. P hysics
Focus การคนพบรังสีเอกซ์
เมื่อรังสีเอกซผานเขาสูรางกาย เนื้อเยื่อตางๆ รังสีเอกซ์ (X-rays) ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2438 โดยนักฟิสิกส์ชาวเยอรมันชื่อ วิลเฮล์ม
รวมทั้ ง กระดู ก จะดู ด ซั บ รั ง สี ไ ว โดยจะดู ด ซั บ ใน คอนราด เรินต์เกน (Wilhelm Konrad Röntgen) รังสีเอกซ์
ปริมาณที่แตกตางกันขึ้นอยูกับความหนาแนนของ เขาพบรังสีนี้โดยบังเอิญ ในขณะที่ท�าการทดลอง
สสาร ธาตุเบาจะยอมใหรังสีผานไปไดมาก ใน เกี่ยวกับรังสีแคโทดในห้องมืด เขาสังเกตว่า แร่
แคโทด แอโนด
ขณะที่ธาตุหนักจะดูดซับรังสีไว ภาพเอกซเรยที่ได แบเรียมแพลทิโนไซยาไนด์เกิดเรืองแสงขึน้ ท�าให้
จึงมีเฉดสีขาวและดําที่แตกตางกัน เชน แคลเซียม คิดว่าจะต้องมีรงั สีบางอย่างเกิดขึน้ จากหลอดรังสี
แคโทดและมีอ�านาจทะลุผ่านสูงจนสามารถผ่าน
ในกระดูกสามารถดูดซับรังสีเอกซไดมากที่สุด จึง ผนังหลอดแคโทดไปยังก้อนแร่ได้ เรินต์เกนจึง
ทําใหมองเห็นภาพเอกซเรยกระดูกเปนสีขาว สวน เรียกรังสีนี้ว่า รังสีเอกซ์ ภาพที่ 5.27 หลอดรังสีเอกซ์
ที่มา : คลังภาพ อจท.
คารบอน ไฮโดรเจน และไนโตรเจนในเนื้อเยื่อและ
อวัยวะภายในดูดซับรังสีไดนอ ยกวาจึงมองเห็นภาพ 28
เปนสีเทา ในขณะทีอ่ อกซิเจนดูดซับรังสีไดนอ ยทีส่ ดุ
จึงมองเห็นปอดเปนสีขาว
T32
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได
3.8 รังสีแกมมา ศึกษาผานมาแลววา มีสวนไหนที่ยังไมเขาใจ
รังสีแกมมา (gamma ray) เป็นคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าทีม่ คี วามถีส่ งู ตัง้ แต่ประมาณ 1019 เฮิรตซ์ แลวใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น โดยที่ครู
ขึ้นไป และมีช่วงคลื่นที่สั้นมาก ท�าให้มีพลังงานสูงที่สุดเมื่อเทียบกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดอื่น ๆ อาจจะใช PowerPoint เรื่ อ ง สเปกตรั ม
รังสีแกมมาอาจปลดปล่อยออกจากปฏิกิริยานิวเคลียร์บางปฏิกิริยา หรือปลดปล่อยมาจากการเร่ง คลื่นแมเหล็กไฟฟา มาชวยในการอธิบาย
อนุภาคที่มีประจุในเครื่องเร่งอนุภาคพลังงานสูง หรือออกมาจากการระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์ 3. นักเรียนทํา Topic Questions เรื่อง สเปกตรัม
นอกจากนี้ ยังมีรังสีแกมมาที่มาจากอวกาศและจากรังสีคอสมิก รังสีแกมมามีอ�านาจทะลุทะลวง คลืน่ แมเหล็กไฟฟา จากหนังสือเรียนลงในสมุด
สูงมาก จึงอันตรายมากกว่ารังสีเอกซ์ บันทึกประจําตัวนักเรียน
ในทางการแพทย์ ไ ด้ น� า รั ง สี แ กมมาจากโคบอลต์ - 60 Physics 4. ครูมอบหมายใหนกั เรียนฝกทําแบบฝกหัด Unit
in real life
(Co-60) และซีเซียม-137 (Se-137) มาใช้ในการรักษาโรค การฉายรังสีลงบนผลิตภัณฑ์ Questions เรือ่ ง สเปกตรัมคลืน่ แมเหล็กไฟฟา
มะเร็ง โดยการฉายรังสีในบริเวณทีเ่ ป็นโรค และใช้สา� หรับฆ่าเชือ้ อาหาร เป็นการแปรรูปอาหาร จากหนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว
แบคทีเรีย ซึง่ แบคทีเรียบางชนิดเป็นเชือ้ โรคทีช่ อบอาศัยอยูใ่ นที่ โดยไม่ใช้ความร้อน เพื่อฆ่า 5. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง สเปกตรัม
อับชื้นหรือในภาชนะปิด จึงใช้รังสีแกมมาฉายทะลุผ่านภาชนะ จุลินทรีย์ที่ท�าให้เกิดโรค ยืด คลื่นแมเหล็กไฟฟา จากแบบฝกหัดรายวิชา
เหล่านั้น เพราะรังสีแกมมามีอ�านาจทะลุทะลวงสูง สามารถ อายุการเก็บรักษา ชะลอการสุก เพิม่ เติมวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ฟสกิ ส ม.6
ท�าลายเซลล์ของเชื้อโรคร้ายนั้นได้ ลดปริ ม าณปรสิ ต ยั บ ยั้ ง การ
เลม 2หนวยการเรียนรูที่ 5 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
งอกระหว่างการเก็บรักษา และ
รังสีแกมมายังใช้ในการศึกษาการดูดซึมแร่ธาตุของราก เปนการบานสงชั่วโมงถัดไป และศึกษาเนื้อหา
ยับยั้งการแพร่พันธุ์ของแมลง
พืชและการสังเคราะห์ด้วยแสง การรักษาโรคพืชบางชนิด การ เรื่อง อุปกรณที่ทํางานโดยอาศัยคลื่นแมเหล็ก
เปลี่ยนแปลงพันธุ์พืช และการฉายลงบนผลผลิตทางการเกษตร ไฟฟา ซึ่งจะเรียนในคาบตอไปมาลวงหนา
บางชนิดเพื่อให้สามารถเก็บรักษาผลผลิต
ขัน้ ประเมิน
Core Concept
ให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญ เรื่อง 1. ประเมิ น ความรู เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ ง สเปกตรั ม
สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นแมเหล็กไฟฟา โดยสังเกตพฤติกรรมการ
Topic ตอบคําถาม การทําแบบฝกหัด ใบงาน และ
Questions การสรุปสาระสําคัญ
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ 2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา
1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารูปแบบใดบ้างที่ใช้ในการสื่อสารได้ ศาสตร โดยสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารูปแบบใดที่ประสาทสัมผัสของผิวหนังรับรู้ได้โดยตรง
3. เตาไมโครเวฟท�าให้อาหารร้อนขึ้นได้อย่างไร
การปฏิบัติกิจกรรม และการนําความรูที่ไดไป
4. การตรวจหาต�าแหน่งของวัตถุด้วยเรดาร์อาศัยสมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารูปแบบใด ใชประโยชน
5. การเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้าท�าให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารูปแบบใด 3. ประเมิ น คุ ณ ลั ก ษณะอั น พึ ง ประสงค โดย
สั ง เกตพฤติ ก รรมจากการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 29 การอภิปราย และการทําแบบฝกหัด
4. คลื่นไมโครเวฟ
เกณฑ์ประเมินผังมโนทัศน์
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
แบบประเมินผลงานผังมโนทัศน์ 4 3 2 1
1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผังมโนทัศน์ของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ
5. การเชื่อมโลหะดวยไฟฟาทําใหเกิดรังสีอัลตราไวโอเลตความเขมสูง
จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
คะแนน 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ระดับคุณภาพ ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
2 ความถูกต้องของเนื้อหา แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
3 ความคิดสร้างสรรค์ ระบบ
4 ความเป็นระเบียบ 4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
รวม ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
T33
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T34
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
T35
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
4. ครูตั้งคําถามใหนักเรียนไดรวมกันแสดงความ เครือ่ งซีทสี แกนแบ่งหน่วยการท�างานเป็น 3 หน่วย คือ หน่วยสแกน หน่วยเก็บและประมวล
คิดเห็น ดังนี้ ผลข้อมูล และหน่วยแสดงผล โดยหน่วยสแกน ประกอบด้วยหลอดรังสีเอกซ์ ตัวบังคับรังสีเอกซ์
• อธิบายกระบวนการผลิตรังสีเอกซในหลอด และหัววัดรังสีเอกซ์ ส�าหรับเครื่องซีทีสแกนที่ใช้งานกันในปัจจุบันเป็นเครื่องซีทีสแกนที่มีลักษณะ
รังสีเอกซที่ใชในทางการแพทย ภายนอก ดังภาพที่ 5.29 (ก)
• การทําซีทสี แกนนิยมใชกบั การตรวจสวนใด การท�าซีทีสแกน หลอดรังสีเอกซ์จะฉายล�ารังสีเอกซ์รูปพัดผ่านตัวผู้รับการตรวจไปยังหัว
ของรางกายและไมนยิ มใชกบั การตรวจสวน วัดรังสีเอกซ์ซ่ึงอยู่ตรงกันข้าม โดยหลอดรังสีเอกซ์และหัววัดรังสีเอกซ์จะหมุนไปรอบตัวผู้รับการ
ใดของรางกาย ตรวจพร้อมกัน ดังภาพที่ 5.29 (ข) หัววัดรังสีเอกซ์จะส่งสัญญาณความเข้มรังสีเอกซ์ในมุมต่าง ๆ
• อธิบายหลักการสรางภาพเนือ้ เยือ่ หรืออวัยวะ ขณะหมุนรอบตัวผู้รับการตรวจที่ผ่านการแปลงเป็นสัญญาณดิจิทัล แล้วให้หน่วยเก็บและประมวล
ของเครื่องเอ็มอารไอ ผลข้อมูลท�าการวิเคราะห์และสร้างภาพภาคตัดขวางของร่างกายหรืออวัยวะที่ต�าแหน่งนั้นแล้วจัด
• เหตุใดแมเหล็กตัวนํายวดยิง่ จึงเหมาะสําหรับ เก็บไว้ จากนั้นมอเตอร์จะท�าให้เตียงขยับไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อท�าการสแกนที่ต�าแหน่งใหม่จน
ใชเปนแมเหล็กในเครื่องเอ็มอารไอ ครบทุกภาคตัดขวางที่ก�าหนด
• จงเปรียบเทียบภาพทีไ่ ดจากเครือ่ งเอ็มอารไอ
กับภาพที่ไดจากการทําซีทีสแกน
5. สุมตัวแทนนักเรียนจากกลุมตางๆ ประมาณ
2-3 กลุม เพื่อตอบคําถาม
T36
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
4.3 เครื่องถ่ายภาพการสั่นพ้องแม่เหล็ก 6. ครูใหตวั แทนแตละกลุม ออกมาอธิบายคําตอบ
เครือ่ งถ่ายภาพการสัน่ พ้องแม่เหล็ก (magnetic resonance scanner) หรือเครือ่ งเอ็มอาร์ไอ จากคําถามใหเพื่อนกลุมอื่นฟง จากนั้นครู
(MRI scanner) เป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพภาคตัดขวางเนื้อเยื่อหรืออวัยวะของร่างกายเช่นเดียวกับ อธิบายเพิม่ เติมเพือ่ ใหนกั เรียนเกิดความเขาใจ
เครือ่ งซีทโี ดยใช้สนามแม่เหล็กและคลืน่ วิทยุรว่ มกับคอมพิวเตอร์สร้างภาพเสมือนจริงของเนือ้ เยือ่ ที่ถูกตอง
หรืออวัยวะ ภาพทีไ่ ด้มรี ายละเอียดเหมือนภาพถ่าย 7. ครูอธิบายเพิ่มเติมจากคําถามวา หลอดรังสี
จริง จึงให้ขอ้ มูลได้มากกว่าเครือ่ งซีท ี ท�าให้สามารถ เอกซผลิตรังสีเอกซโดยใชความตางศักยหรือ
จ�าแนกสมบัตทิ แี่ ตกต่างกันของเนือ้ เยือ่ ได้ดกี ว่าและ แรงดันไฟฟาสูงๆ เรงอิเล็กตรอน ซึ่งปลด
สามารถตรวจได้ทุกทิศทางและทุกระนาบโดยไม่ ปลอยออกมาจากไสหลอดที่ถูกเผาใหรอนให
ต้องเปลีย่ นท่าทางของผูร้ บั การตรวจ และเนือ่ งจาก เคลือ่ นทีเ่ ขาชนเปาซึง่ เปนโลหะทีม่ เี ลขอะตอม
ไม่ใช้รงั สีเอกซ์หรือรังสีใด ๆ ใช้เพียงสนามแม่เหล็ก สูงๆ เชน ทังสเตน โมลิบดีนัม ทําใหเกิดการ
และคลืน่ วิทยุเครือ่ งเอ็มอาร์ไอจึงเป็นอุปกรณ์บนั ทึก เปลี่ยนแปลงระดับชั้นพลังงานในอะตอมของ
ภาพเพื่อการวินิจฉัยที่ปลอดภัยที่สุดของวงการ โลหะทีเ่ ปนเปาและปลดปลอยรังสีเอกซออกมา
แพทย์ เมื่อกลับสูสถานะพื้น
ขดลวดส่งและรับคลื่นวิทยุ ผู้รับการตรวจ
ขดลวดสร้างสนามแม่เหล็ก เตียง
ค่าลดหลั่น
แม่เหล็กก�าลังสูง
เครื่องสแกน
ภาพที่ 5.31 ลักษณะภายนอกและส่วนประกอบภายในของเครื่องเอ็มอาร์ไอ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เครือ่ งเอ็มอาร์ไอมีสว่ นประกอบส�าคัญ 4 ส่วน คือ แม่เหล็กก�าลังสูง ขดลวดแม่เหล็กเกรเดียนต์
(gradient coil) ขดลวดส่งและรับคลื่นวิทยุ (radio frequency coil) และคอมพิวเตอร์ ดังภาพที่
5.31 โดยส่วนประกอบแต่ละส่วนท�าหน้าที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. แม่เหล็กก�าลังสูง เป็นแม่เหล็กตัวน�ายวดยิ่ง (superconductive magnet) อยู่ภายใน
โครงสร้างรูปโดนัท (donut shape) ขณะใช้งานต้องหล่อเย็นด้วยไนโตรเจนเหลวหรือฮีเลียมเหลว
ให้อยู่ที่อุณหภูมิวิกฤต (ประมาณ 10 เคลวิน หรือ -263 องศาเซลเซียส) ในสภาวะดังกล่าว
แม่เหล็กตัวน�ายวดยิ่งท�าให้เกิดสนามแม่เหล็กที่มีค่าสูงถึง 2.0-3.0 เทสลา ในช่องว่างตรงกลาง
ของโครงสร้างรูปโดนัท สนามแม่เหล็กนี้มีค่าคงตัวและเสถียรมาก ปกติการเปลี่ยนแปลงต้อง
น้อยกว่า 10 ส่วนในล้านส่วน (10 ppm) ตลอดบริเวณที่ต้องการถ่ายภาพ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 33
T37
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
8. ครูอธิบายเกี่ยวกับการทําซีทีสแกนวา การทํา 2. ขดลวดแม่เหล็กเกรเดียนต์ อยูภ่ ายในโพรงแม่เหล็กก�าลังสูง โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์
ซีทีสแกนนิยมใชกับการตรวจรางกายบริเวณ ควบคุมการเปิดสวิตช์ให้กระแสไฟฟ้าผ่านเข้าสู่ขดลวดนี้ เพื่อปรับเปลี่ยนค่าสนามแม่เหล็กตาม
ศีรษะและคอ บริเวณชองทอง บริเวณชองอก ต้องการ ขดลวดนีท้ า� หน้าทีส่ ร้างสนามแม่เหล็กให้แก่เนือ้ เยือ่ ทีต่ อ้ งการสร้างภาพ การปรับค่าสนาม
และกระดูกสันหลัง สวนกลามเนื้อและกระดูก แม่เหล็กนี้ท�าให้สามารถสร้างภาพในระนาบใดระนาบหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นภาพตัดขวาง ตัดตามยาว
สวนอื่นๆ ไมนิยมใชการตรวจดวยการทําซีที หรือตัดตามเฉียงที่หนาหรือบางตามต้องการได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนท่าทางของผู้รับการตรวจ
สแกน 3. ขดลวดส่งและรับคลืน่ วิทยุ ท�าหน้าทีส่ ง่ คลืน่ วิทยุเข้าไปยังเนือ้ เยือ่ หรืออวัยวะทีต่ อ้ งการ
9. ครูอธิบายหลักการสรางภาพเนือ้ เยือ่ ของเครือ่ ง ถ่ายภาพและรับคลื่นวิทยุที่ปลดปล่อยออกมาจากเนื้อเยื่อหรืออวัยวะนั้นเพื่อน�าไปสร้างภาพด้วย
เอ็มอารไอวา เปนการใชพัลสของคลื่นวิทยุ ระบบคอมพิวเตอร์ โดยขดลวดส่งและรับคลื่นวิทยุอาจสร้างเป็นขดเดียวกันหรือแยกกันเป็น 2 ขด
จากขดลวดสงคลื่นวิทยุกระตุนนิวเคลียสของ ส่วนความถี่คลื่นวิทยุที่ใช้อยู่ในแถบความถี่สูง (High Frequency; HF) หรือแถบความถี่สูงมาก
ไฮโดรเจนในเนื้อเยื่อที่อยูในสนามแมเหล็ก (Very High Frequency; VHF) บนสเปกตรัมคลื่นวิทยุ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับค่าสนามแม่เหล็กของ
ความเขมสูงใหเปลี่ยนแนวการวางตัวไปจาก แม่เหล็กตัวน�ายวดยิ่ง
แนวการวางตัวเดิม (การวางตัวในลักษณะที่ 4. คอมพิวเตอร์ ท�าหน้าที่น�าข้อมูลของคลื่นวิทยุที่ปลดปล่อยออกมาจากเนื้อเยื่อไป
โมเมนตแมเหล็กชี้ไปในทิศเดียวกับสนามแม สร้างภาพโดยทั่วไปเครื่องเอ็มอาร์ไอจะสร้างภาพจากการตรวจรับข้อมูลของคลื่นวิทยุจากเนื้อเยื่อ
เหล็ก) และเกิดการหมุนสายพรอมกับปลด ประมาณ 256 แห่ง ส่วนความเปรียบต่างของภาพ (image contrast) จากเครื่องเอ็มอาร์ไอจะขึ้น
ปลอยคลื่นวิทยุความถี่เดียวกันออกมาขณะ อยู่กับลักษณะเฉพาะของเนื้อเยื่อแต่ละชนิด
กลับสูแนวการวางตัวเดิม ขดลวดรับคลื่นวิทยุ เครื่องเอ็มอาร์ไอให้ภาพถ่ายที่มีความละเอียดสูงของเนื้อเยื่อในร่างกายของผู้รับการตรวจ
จะตรวจจั บ สั ญ ญาณคลื่ น วิ ท ยุ ที่ ป ลดปล อ ย ซึ่งอาศัยการสั่นพ้องทางแม่เหล็กของนิวเคลียส (nuclear magnetic resonance) โดยให้ผู้รับการ
ออกมาจากนิวเคลียสไฮโดรเจนในเนื้อเยื่อที่ ตรวจไปนอนในอุโมงค์ของแม่เหล็กตัวน�ายวดยิ่ง เมื่ออยู่ในสนามแม่เหล็กความเข้มสูง นิวเคลียส
ถูกกระตุน แลวนําไปสรางภาพและจัดเก็บไวใน ของไฮโดรเจนในเนื้อเยื่อจะวางตัวในลักษณะที่โมเมนต์แม่เหล็กชี้ไปในทิศเดียวกับสนามแม่เหล็ก
ระบบคอมพิวเตอร โดยเนื้อเยื่อที่มีไฮโดรเจน แต่เมือ่ ถูกกระตุน้ ด้วยพัลส์ (pulse) ของคลืน่ วิทยุจาก
ขดลวดส่งคลืน่ วิทยุ นิวเคลียสไฮโดรเจนในเนือ้ เยือ่ จะ
นอย เชน กระดูก จะแสดงภาพเปนสีดํา สวน
เปลีย่ นแนวการวางตัวและเกิดการหมุนส่ายพร้อมกับ
เนื้อเยื่อที่มีไฮโดรเจนมาก เชน เนื้อเยื่อไขมัน
ปลดปล่อยคลืน่ วิทยุความถีเ่ ดียวกันออกมาขณะกลับ
จะแสดงภาพเปนสีขาวกวา สู่แนวการวางตัวเดิม ขดลวดรับคลื่นวิทยุจะตรวจจับ
สัญญาณคลื่นวิทยุท่ีปลดปล่อยออกมาจากนิวเคลียส
ไฮโดรเจนในเนื้อเยื่อที่ถูกกระตุ้นแล้วน�าไปสร้างภาพ
และจัดเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ โดยเนื้อเยื่อที่
มีไฮโดรเจนน้อย เช่น กระดูก จะแสดงภาพเป็นสีด�า
ส่วนเนื้อเยื่อที่มีไฮโดรเจนมาก เช่น เนื้อเยื่อไขมัน
ภาพที่ 5.32 ภาพถ่ายเอ็มอาร์ไอของสมอง
จะแสดงภาพเป็นสีขาวกว่า ดังภาพที่ 5.32 ที่มา : คลังภาพ อจท.
34
T38
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
เครื่องเอ็มอาร์ไอเหมาะส�าหรับการตรวจหารอยโรคในสมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาท 10. ครูอธิบายตอวา การสรางภาพของเครื่องเอ็ม
เช่น ภาวะสมองขาดเลือด ความผิดปกติบริเวณก้านสมอง ซึ่งตรวจหาความผิดปกติได้ดีกว่าการ อารไอตองการสนามแมเหล็กคงตัวที่ความ
ท�าซีทีสแกน โรคเนื้องอกของสมอง และโรคลมชัก เครื่องเอ็มอาร์ไอยังใช้ได้ดีในการตรวจกระดูก เขมสูงและเสถียรมาก แมเหล็กตัวนํายวดยิ่ง
สันหลัง ระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นยึดกระดูก จะทําใหเกิดสนามแมเหล็กที่มีความเขมสูง
ถึง 2-3 เทสลา และปกติมีการเปลี่ยนแปลง
นอยกวา 10 สวนในลานสวน ตลอดบริเวณ
ที่ตองการถายภาพ ดังนั้น แมเหล็กตัวนํา
ยวดยิ่งจึงเหมาะสําหรับใชเปนแมเหล็กใน
เครื่องเอ็มอารไอ
11. ครูตั้งคําถามใหนักเรียนคิดวา แลวภาพที่ได
จากเครื่องเอ็มอารไอกับภาพที่ไดจากการทํา
ซีทีสแกนตางกันหรือไม อยางไร
ภาพที่ 5.33 ภาพถ่ายเอ็มอาร์ไอของข้อเข่าและกล้ามเนื้อ 12. ครูใหนักเรียนตอบคําถามตามความสมัครใจ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
จากนัน้ ครูอธิบายวา เครือ่ งเอ็มอารไอใหภาพ
เครื่องเอ็มอาร์ไอจึงเหมาะที่จะใช้ในการวินิจฉัยรอยโรคต่าง ๆ ในกระดูกสันหลังและระบบ 3 มิติ ของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะ และสามารถ
กล้ามเนือ้ และข้อ เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือการบาดเจ็บต่อเส้นเอ็นบริเวณข้อต่าง ๆ แสดงเปนภาพตัดขวางแผนบางๆ ไดเชน
ภาพถ่ายเอ็มอาร์ไอช่วยให้เห็นความผิดปกติท่ีเกิดขึ้นภายในโพรงกระดูกหรือไขกระดูกได้ เดียวกับการทําซีทีสแกน แตดวยเทคโนโลยี
อย่างชัดเจน เช่น เนื้องอกภายในกระดูก โดยบอกขอบเขตของโรคได้ถูกต้องแม่นย�า ซึ่งเป็น ที่สูงกวา เอ็มอารไอจึงใหไดทั้งภาพแนวแบง
ประโยชน์ในการวางแผนการรักษาโรคของกระดูกบางอย่าง เช่น การขาดเลือดไปเลี้ยงที่กระดูก ซายขวาและแนวแบงหนาหลัง และใหภาพที่
ต้นขา มีความเปรียบตางมากกวาและคมชัดกวาการ
ทําซีทีสแกน
4.4 เครื่องสแกนรังสีเอกซ์
เครื่องสแกนรังสีเอกซ์หรือเครื่องสแกน
กระเป๋า (X-ray baggage scanner) เป็นเครือ่ ง
ตรวจสอบสัมภาระของผู้โดยสารด้วยรังสีเอกซ์
เพื่อความปลอดภัยในสนามบินหรือสถานี ซึ่ง
กระเป๋าเดินทางจะถูกตรวจด้วยรังสีเอกซ์จาก
เครื่องสแกนกระเป๋าว่ามีวัตถุอันตรายชนิดใด
อยู่บ้าง ดังภาพที่ 5.34 ภาพที่ 5.34 เครื่องสแกนรังสีเอกซ์
ที่มา : คลังภาพ อจท.
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 35
T39
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
13. ครู ใ ห ค วามรู กั บ นั ก เรี ย นเกี่ ย วกั บ เครื่ อ ง รังสีเอกซ์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถทะลุผ่านวัตถุต่าง ๆ ได้ พลังงานของรังสีเอกซ์
เอกซเรยวา เครื่องจะตรวจหาวัตถุ 3 ชนิด บางส่วนจะถูกวัตถุดดู กลืนไว้ ซึง่ จะขึน้ อยูก่ บั ชนิดของวัตถุ พลังงานของเครื
1 อ่ งสแกนรังสีเอกซ์ทใี่ ช้
หลักๆ คือ สารอินทรีย สารอนินทรีย และ ( energy x-ray system)
ระบบตรวจจับรังสีเอกซ์ (dual
กันในสนามบินโดยทัว่ ไปเป็นระบบทีเ่ รียกว่า ระบบตรวจจั
โลหะตางๆ ซึง่ สีทใี่ ชแสดงผลบนหนาจอเครือ่ ง
เอกซเรยของวัตถุจะแตกตางกันออกไปตาม แหล่งก�าเนิดรังสีเอกซ์
แตผูผลิตนั้น รังสีเอกซ์พลังงานต�่า
14. ครูถามนักเรียนวา นักเรียนทราบหรือไมวา รังสีเอกซ์พลังงานสูง
วัตถุประเภทใดที่ทุกบริษัทผูผลิตเครื่องจะ กระเป๋าสัมภาระ
ตองใชสีสมแสดงผลเทานั้น
15. ครู ใ ห เ วลานั ก เรี ย นคิ ด จากนั้ น อธิ บ ายว า สายพานล�าเลียง
ทุ ก บริ ษั ท ที่ ผ ลิ ต เครื่ อ งจะกํ า หนดให เ ครื่ อ ง
เอกซเรยใชสีสมแสดงถึงสารอินทรียเทานั้น ภาพที่ 5.35 ระบบตรวจจับรังสีเอกซ์
เพราะวา สารเสพติดและสารระเบิดทั้งหลาย ที่มา : คลังภาพ อจท.
เปนสารอินทรียทั้งสิ้น เมือ่ รังสีเอกซ์สอ่ งผ่านวัตถุตา่ ง ๆ ในกระเป๋าเดินทาง รังสีจะทะลุผา่ นไปยังตัวตรวจจับตัวแรก
(1st detector) และทะลุผ่านไปยังตัวกรอง (filter) ซึ่งส่วนใหญ่ท�าจากทองแดง โดยตัวกรองนี้จะ
กั้นรังสีเอกซ์พลังงานต�่าไว้ และยอมให้รังสีเอกซ์ส่วนที่เหลือซึ่งมีพลังงานสูงผ่านต่อไปยังตัวตรวจ
จับรังสีชุดที่ 2 (2nd detector) ดังภาพที่ 5.35 ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอแสดงผลนั้นจะเห็นเป็น
สีต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุและความสามารถในการดูดกลืนรังสีเอกซ์ของวัตถุนั้น ๆ โดยโลหะ
และธาตุหนักอื่น ๆ จะดูดกลืนรังสีเอกซ์พลังงานต�่า และวัตถุอินทรีย์ (organic materials) จะดูด
กลืนรังสีเอกซ์พลังงานสูงได้ดีกว่า ดังภาพที่ 5.36
สื่อ Digital
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการ
ของเครื่องสแกนรังสีเอกซ ไดจาก
https://www.youtube.com/
watch?v=zlt8wH36bKc
T40
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
เครือ่ งสแกนรังสีเอกซ์จะตรวจหาวัตถุ 3 ประเภท และแบ่ง Physics 16. ครูและนักเรียนรวมกันสนทนาเกี่ยวกับขอดี
เป็นสีเพื่อแสดงบนหน้าจอ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบ in real life และขอเสียของระบบ GPS เชน ขอดี คือ
ได้งา่ ย คือ วัตถุอนิ ทรีย ์ (organic) วัตถุอนินทรีย ์ (inorganic) สิ่ ง ที่ ไ ม่ ส ามารถน� า ติ ด ตั ว ขึ้ น สามารถใชไดทงั้ การคมนาคมทางบก ทางนํา้
และโลหะ (metal) สีทใี่ ช้แสดงผลบนหน้าจอของเครือ่ งของวัตถุ เครือ่ งบินได้ คือ กลุม่ วัตถุระเบิด หรือในอวกาศ และไมมคี า ใชจา ยอืน่ ๆ ในการ
อาวุธต่าง ๆ กระป๋องอัดแก๊สที่
อนินทรีย์และโลหะจะแตกต่างกันตามแต่บริษัทผู้ผลิตเครื่อง ติดไฟได้ สารฟอกขาว ยาพิษ
ใชงาน สวนขอเสียของระบบ GPS คือ อาจ
แต่จะก�าหนดให้เครือ่ งสแกนรังสีเอกซ์ใช้สสี ม้ แสดงถึงวัตถุอนิ ทรีย์ สารหนู สารไซยาไนด์ สาร เกิดปญหาที่เกิดจากดาวเทียม ซึ่งเกิดจากวง
เท่านัน้ ซึง่ มักเป็นส่วนผสมส�าคัญของวัตถุระเบิด หรือวัตถุทอี่ าจ กัดกร่อน เช่น แบตเตอรีร่ ถยนต์ โคจรคลาดเคลื่อนเนื่องจากแรงโนมถวงของ
เป็นส่วนผสมของระเบิด (IED) สีทใี่ ช้แสดงผลของวัตถุชนิดต่าง ๆ กรด ปรอท ดวงจันทรและดวงอาทิตย
เช่น สีฟา้ แสดงถึงวัตถุอนินทรีย ์ สีเขียวแสดงถึงโลหะเบาและของ
ผสมระหว่างสารอินทรียแ์ ละสารอนินทรีย์ ลงมือทํา (Doing)
17. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง อุปกรณ
4.5 เครื่องระบุต�าแหน่งบนพื้นโลก ที่ทํางานโดยอาศัยคลื่นแมเหล็กไฟฟา จาก
เครือ่ งระบุตา� แหน่งบนพืน้ โลก หรือ GPS (Global Positioning System) เป็นระบบการระบุ แบบฝกหัดรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตรและ
ต�าแหน่งและน�าทางด้วยดาวเทียม ซึง่ ถูกพัฒนาเสร็จสมบูรณ์และน�ามาใช้งานตัง้ แต่ พ.ศ. 2533 เทคโนโลยี ฟสิกส ม.6 เลม 2 หนวยการเรียน
ประกอบด้วยดาวเทียมจ�านวน 24 ดวง ที่โคจรรอบโลกวันละ 2 รอบ ท�าให้เครื่องรับสัญญาณ รูที่ 5 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
มองเห็นดาวเทียมไม่นอ้ ยกว่า 4 ดวง บนท้องฟ้า ไม่วา่ จะอยูท่ ใี่ ดบนพืน้ ผิวโลก เป็นผลท�าให้สามารถ 18. ครูสุมนักเรียนจํานวน 2-3 คน ออกมาเฉลย
น�าข้อมูลการรับสัญญาณ GPS ไปค�านวณหาต�าแหน่งได้ตลอดเวลา 24 ชัว่ โมง ในทุกสภาพอากาศ
แบบฝกหัด โดยครูใหนกั เรียนรวมกันพิจารณา
และทุกแห่งบนพืน้ โลก
วาคําตอบใดถูกตอง จากนั้นครูเฉลยคําตอบ
1. ส่วนประกอบของ GPS ที่ถูกตองใหนักเรียน
1) ส่วนอวกาศ (space segment) ประกอบด้วยดาวเทียมจ�านวน 24 ดวง ซึ่งโคจร
รอบโลก วงโคจรของดาวเทียมจะอยู่สูงจากพื้น
โลก 20,162.81 กิโลเมตร (หรือ 12,600 ไมล์)
ท�ามุมกับเส้นศูนย์สูตร (equator) เป็นมุม 55
องศา ในลักษณะสานกันคล้ายลูกตะกร้อ ดังภาพ
ที่ 5.37 มีวงโคจรทั้งหมด 6 เส้นทาง ในแต่ละ
เส้นทางจะมีดาวเทียมโคจรอยู่ 4 ดวง โดย
ดาวเทียม 1 ดวง จะสามารถโคจรรอบโลกได้ 1
รอบ ใน 12 ชัว่ โมง (ประมาณ 1.8 ไมล์ตอ่ วินาที)
ในระหว่างการโคจรรอบโลกนั้น ดาวเทียมจะมี
การส่งสัญญาณสู่พื้นโลกผ่านเสาส่งสัญญาณที่ ภาพที่ 5.37 การโคจรของดาวเทียม GPS รอบโลก
ติดตั้งจากดาวเทียมมายังโลก ที่มา : คลังภาพ อจท.
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 37
T41
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. นักเรียนและครูรว มกันอภิปรายแสดงความเห็น
ซึ่งไดขอสรุปรวมกันวา คลื่นแมเหล็กไฟฟา 2) ส่วนสถานีควบคุม (control station segment) ท�าหน้าที่ติดต่อสื่อสารกับดาวเทียม
นําไปใชประโยชนในการทํางานของอุปกรณ ด้วยสัญญาณเรดาร์ ท�าการค�านวณผลเพื่อให้ดาวเทียมอยู่ในวงโคจร ในความสูง ความเร็ว และ
บางชนิด เชน อุปกรณควบคุมระยะไกล (รังสี ต�าแหน่งที่ถูกต้อง แล้วส่งข้อมูลที่ได้ไปยังดาวเทียมอยู่ตลอดเวลา สถานีควบคุมจะประกอบด้วย
อิ น ฟราเรดและคลื่ น วิ ท ยุ ) เครื่ อ งถ า ยภาพ 5 สถานียอ่ ย ตัง้ อยูท่ หี่ มูเ่ กาะดีเอโกการ์เซีย (Diego Garcia) มหาสมุทรอินเดีย หมูเ่ กาะอัสเซนชัน
เอกซเรยคอมพิวเตอร (รังสีเอกซ) และเครื่อง (Ascension Island) มหาสมุทรแอตแลนติก หมูเ่ กาะควาจาเลียน (Kwajalein) ประเทศฟิลปิ ปินส์
ถายภาพการสั่นพองแมเหล็ก (คลื่นวิทยุ) และหมู่เกาะฮาวาย (Hawaii) ในมหาสมุทรแปซิฟิก และมีสถานีควบคุมหลัก ตั้งอยู่ที่เมือง
2. นักเรียนแตละคนสรุปเกีย่ วกับอุปกรณทที่ าํ งาน โคโลราโดสปริงส์ (Colorado Springs) ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยอาศัยคลื่นแมเหล็กไฟฟา โดยเขียนเปน 3) ส่วนผู้ใช้ (user segment) ประกอบด้วยเครื่องรับสัญญาณ (GPS receiver) แบบ
แผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน (Concept เคลือ่ นทีท่ ใี่ ช้กนั ทัว่ ไป ภายในเครือ่ ง GPS นัน้ จะมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์อยูใ่ นตัวเครือ่ งเพือ่ ท�าการ
Mapping) ลงในกระดาษ A4 พรอมตกแตง ค�านวณ ตรวจสอบ และถอดรหัสสัญญาณทีไ่ ด้จากดาวเทียม แล้วจึงส่งข้อมูลออกมาทางหน้าจอของ
ใหสวยงาม เครื่อง GPS นั้น ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ได้ทราบข้อมูล การแสดงผลอาจแตกต่างกันได้ขึ้นอยู่กับโปรแกรม
3. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได ในเครื่อง GPS แต่ละรุ่นและแต่ละยี่ห้อ
ศึกษาผานมาแลววา มีสวนใดที่ยังไมเขาใจ 2. หลักการท�างานของ GPS การค�านวณระยะทางระหว่างดาวเทียมกับเครื่อง GPS
แลวใหความรูเ พิม่ เติมในสวนนัน้ โดยทีค่ รูอาจ จะต้องใช้ระยะทางจากดาวเทียมอย่างต�่า 3 ดวง เพื่อให้ได้ต�าแหน่งที่แน่นอน เมื่อเครื่อง GPS
จะใช PowerPoint เรื่อง อุปกรณที่ทํางานโดย สามารถรับสัญญาณจากดาวเทียมได้ 3 ดวงขึ้นไปแล้ว จะมีการค�านวณระยะทางที่คลื่นวิทยุใช้
อาศัยคลืน่ แมเหล็กไฟฟา มาชวยในการอธิบาย ในการเดินทางจากดาวเทียมถึงเครื่อง GPS (ความเร็ว × เวลาที่ใช้เดินทาง = ระยะทาง) โดย
4. ครู ม อบหมายให นั ก เรี ย นฝ ก ทํ า แบบฝ ก หั ด ดาวเทียมทั้ง 3 ดวง จะส่งสัญญาณที่เหมือนกันมายังเครื่อง GPS ด้วยความเร็วคงตัว (186,000
Topic Questions เรื่อง อุปกรณที่ทํางานโดย ไมล์ต่อวินาที) แต่ระยะเวลาในการรับสัญญาณจากดาวเทียมแต่ละดวงนั้นจะไม่เท่ากัน เนื่องจาก
อาศัยคลื่นแมเหล็กไฟฟา จากหนังสือเรียนลง ระยะทางไม่เท่ากัน
ในสมุดบันทึกประจําตัวเปนการบานสงชั่วโมง จากภาพที ่ 5.38 จะเห็นได้วา่ จะเหลือ
ดาวเทียม 1 ส่วนที่เป็นอวกาศ ต�าแหน่งอยู่ 2 จุด ที่บริเวณวงกลมทั้งสาม
ถัดไป และศึกษาเนื้อหา เรื่อง การสื่อสารโดย
อาศัยคลื่นแมเหล็กไฟฟา ซึ่งจะเรียนในชั่วโมง ดาวเทียม 2 ตัดกัน คือ ต�าแหน่งที่อยู่ในอวกาศ ซึ่งแน่นอน
ว่าเราไม่สามารถไปอยู่ในอวกาศได้ ต�าแหน่งนี้
ตอไปมาลวงหนา โลก จึงถูกตัดทิ้งโดยอัตโนมัติ โดยเครื่อง GPS อีก
ต�าแหน่งคือ ต�าแหน่งบนพื้นโลก ซึ่งความถูก
ต้องแม่นย�าของต�าแหน่งจะขึ้นอยู่กับจ�านวน
ดาวเทียม 3 ดาวเทียมที่สามารถรับสัญญาณได้ในขณะนั้น
หากมีดาวเทียมมากกว่า 3 ดวง ก็จะมีความ
ภาพที่ 5.38 ระยะสัญญาณของดาวเทียมทั้ง 3 ดวง ละเอียดมากขึ้น และขึ้นอยู่กับความสามารถ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ของเครื่อง GPS
38
T42
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
1. ประเมินความรูเกี่ยวกับเรื่อง อุปกรณที่ทํางาน
3. การประยุกต์ใช้งานเครือ่ ง GPS ปัจจุบนั ได้ผนวกระบบ GPS ลงในโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยอาศั ย คลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า โดยสั ง เกต
เพือ่ ประโยชน์ในการค้นหาต�าแหน่งของสถานทีต่ า่ ง ๆ อีกทัง้ ผนวกระบบ GPS เข้ากับรถยนต์เพือ่ เป็น พฤติกรรมการตอบคําถาม การทําแบบฝกหัด
ระบบน�าทางให้แก่ผู้ขับขี่ โดยเฉพาะระยะทางไกลหรือในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งจะมีระบบน�าทาง ใบงาน และการสรุปสาระสําคัญ
(navigation) ช่วยเตือนผู้ขับขี่ให้ได้ทราบถึงลักษณะของเส้นทางต่าง ๆ ล่วงหน้า เช่น ทางเลี้ยว 2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา
ทางเบี่ยง ทางโค้ง พร้อมกับการบอกเส้นทางด้วยเสียง ศาสตร โดยสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
ประโยชน์การใช้งานของระบบ GPS ไม่ได้มีเพียงแค่ในรถยนต์หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ การปฏิบัติกิจกรรม และการนําความรูที่ไดไป
เท่านั้น แต่ระบบ GPS สามารถประยุกต์ใช้กับระบบทางน�้า ทางบก และทางอากาศได้ ตัวอย่าง ใชประโยชน
เช่น 3. ประเมิ น คุ ณ ลั ก ษณะอั น พึ ง ประสงค โดย
สั ง เกตพฤติ ก รรมจากการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม
การคมนาคมทางน�า้ ระบบติดต่อสือ่ สาร การสร้างแผนที่ การอภิปราย และการทําแบบฝกหัด
ใช้ประกอบในการเดิน (mobile telecommu- (mapping) เช่น บอก
เรื อ เพื่ อ บอกต� า แหน่ ง ของ nication) เช่น บอกต�าแหน่ง ต� า แหน่ ง ของสิ่ ง ปลู ก สร้ า ง
การเดินเรือน่านน�้า รวมทั้ง ของคู ่ ส นทนา หรื อ ค้ น หา ต่าง ๆ สร้างแผนที่จราจร
ระบุต�าแหน่งผู้บุกรุกน่านน�้า สถานที่ ใ กล้ กั บ ต� า แหน่ ง ทั้งทางบก ทางน�้า และทาง
ของแต่ละประเทศ ผู้ใช้งาน อากาศ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 39
เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T43
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
เวลา
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
มีการรบกวนเนือ่ งจากการแผ่รงั สีและฟ้าแลบ ท�าให้สญั ญาณผิดเพีย้ นได้งา่ ย จึงไม่นยิ มใช้สญั ญาณ 1. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นเกี่ ย วกั บ ข อ มู ล หรื อ
แอนะล็อกในการส่งสัญญาณเพื่อการสื่อสารที่ต้องการความแม่นย�าสูง แต่มักใช้ในการสื่อสารทาง สารสนเทศวาไมสามารถสงไปในระยะทางไกล
วิทยุในระยะใกล้ เช่น ใช้ในระบบวิทยุเอเอ็มและเอฟเอ็ม ไดโดยตรง การสงขอมูลในระยะทางไกลตอง
2. สัญญาณดิจิทัล (digital signal) เป็นสัญญาณที่มีลักษณะเป็นคลื่นไม่ต่อเนื่อง คล้าย แปลงขอมูลใหเปนสัญญาณไฟฟาที่เรียกวา
ขั้นบันได ขนาดของสัญญาณดิจิทัลมีค่าคงตัวเป็นช่วง ๆ และการเปลี่ยนแปลงขนาดของสัญญาณ สัญญาณขอมูล กอนสงผานสื่อกลางในการ
เป็นแบบทันทีทนั ใด เช่น สัญญาณทีค่ อมพิวเตอร์ใช้ในการท�างานและติดต่อสือ่ สารกัน ลักษณะของ สงขอมูล ซึง่ นอกจากจะสงขอมูลไปไดในระยะ
สัญญาณดิจิทัลพิจารณาได้จากภาพที่ 5.40 ทางไกลแลว ยังเปนการสงขอมูลดวยความเร็ว
สูงดวย ซึ่งสัญญาณขอมูลที่ใชในการสื่อสาร
ระดับสัญญาณ มี 2 ชนิด คือ สัญญาณแอนะล็อกและสัญญาณ
ดิจิทัล
2. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน ตามความ
เวลา สมัครใจของนักเรียน จากนั้นใหแตละกลุม
รวมกันศึกษาคนควาขอมูล เรือ่ ง องคประกอบ
ภาพที่ 5.40 ลักษณะของสัญญาณดิจิทัล
ที่มา : คลังภาพ อจท. พื้นฐานของระบบการสื่อสารขอมูล กระบวน
การรับ-สงขอมูล และสื่อกลางในการสื่อสาร
เมื่อสัญญาณดิจิทัลถูกรบกวนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้น้อย เนื่องจาก ขอมูล จากหนังสือเรียนหรือแหลงการเรียนรู
สัญญาณรบกวนต้องมีคา่ สูงกว่าค่าทีต่ งั้ ไว้เท่านัน้ จึงจะเกิดการเปลีย่ นแปลง ส่งผลให้การส่งสัญญาณ ตางๆ เชน อินเทอรเน็ต
ดิจิทัลไปในระยะไกลน่าเชื่อถือมากกว่าการส่ง 3. ครูใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่อง
สัญญาณแอนะล็อก เพราะความผิดเพี้ยนที่ Con���t Q�e����n ที่ไดศึกษา จากนั้นใหนักเรียนแตละคนเขียน
เกิดจากการรบกวนโดยสัญญาณรบกวนจาก การส งและรับสัญญาณดิจท
ิ ลั แตกตางจากการ
สงสัญญาณแอนะล็อกอยางไร สรุปความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงใน
สิ่ ง แวดล้ อ มมี น ้ อ ยกว่ า ซึ่ ง เป็ น จุ ด เด่ น ของ สมุดบันทึกประจําตัว เพื่อนําสงครูทายชั่วโมง
สัญญาณดิจิทัลที่เหนือกว่าสัญญาณแอนะล็อก (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
5.2 สื่อกลางในการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลต้องอาศัยสื่อกลางในการส่งผ่านข้อมูลเพื่อน�าข้อมูลไปยังจุดหมาย
ปลายทาง สือ่ กลางในการสือ่ สารข้อมูลมีความส�าคัญเพราะเป็นปัจจัยหนึง่ ทีก่ า� หนดประสิทธิภาพใน
การสื่อสาร เช่น ความเร็วในการส่งข้อมูล ปริมาณของข้อมูลที่สามารถน�าไปได้ในหนึ่งหน่วยเวลา
รวมถึงคุณภาพของการส่งข้อมูล โดยสื่อกลางในการสื่อสารข้อมูลแบ่งได้ 2 ประเภท คือ สื่อกลาง
แบบใช้สายและสื่อกลางแบบไร้สาย
แนวตอบ Concept Question
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 41
สัญญาณดิจทิ ลั สงไดงา ยกวาและมีโอกาสทีจ่ ะ
เกิดความผิดพลาดนอยกวาสัญญาณแอนะล็อก
T45
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
4. ครูสมุ นักเรียนใหออกมานําเสนอผลการศึกษา 1. สื่อกลางแบบใช้สาย มีดังนี้
หนาชั้นเรียน โดยสุมออกมาเพียง 3 กลุม ซึ่ง 1) สายน�าสัญญาณไฟฟ้า ส่งข้อมูลด้วยระดับสัญญาณไฟฟ้าที่แตกต่างกัน อุปกรณ์รับ
ครูเปนคนเลือกวาจะใหกลุมใดนําเสนอเรื่อง สัญญาณทีป่ ลายทางจะตรวจวัดระดับสัญญาณเพือ่ แปลงกลับเป็นข้อมูลหรือสารสนเทศทีใ่ กล้เคียง
อะไร ตามหัวขอเรื่อง ดังตอไปนี้ หรือเหมือนกับทางด้านส่งสัญญาณ สายน�าสัญญาณไฟฟ้าทีส่ า� คัญ ได้แก่ สายบิดเกลียวคู ่ (twisted
• องคประกอบพื้นฐานของระบบการสื่อสาร pair cable) เป็นสายทองแดงจะถูกพันบิดเป็นเกลียว เพื่อลบการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ขอมูล จากคู่สายข้างเคียงภายในสายเดียวกันหรือจากภายนอก ท�าให้สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง
• กระบวนการรับ-สงขอมูล และสายโคแอกซ์ (coaxial cable) เป็นสายน�าสัญญาณที่เรารู้จักกันดี โดยใช้เป็นสายน�าสัญญาณ
• สื่อกลางในการสื่อสารขอมูล ที่ต่อจากเสาอากาศเครื่องรับโทรทัศน์หรือสายเคเบิลทีวี
5. ขณะทีน่ กั เรียนแตละกลุม กําลังนําเสนอ ครูอาจ
เสนอแนะหรือแทรกขอมูลเพิม่ เติมในเรือ่ งนัน้ ๆ
ใหนกั เรียนทุกคนไดมคี วามเขาใจทีถ่ กู ตองมาก
ยิ่งขึ้น
2) สายเส้นใยน�าแสง ประกอบด้วย
เส้นใยน�าแสงหลาย ๆ เส้นอยู่รวมกัน ดังภาพที่
5.42 ข้อดีของสายเส้นใยน�าแสง คือ ขนาดเล็ก
กว่าและน�า้ หนักน้อยกว่าสายน�าสัญญาณไฟฟ้า
มาก มีการลดทอนของสัญญาณต�่า ท�าให้ส่ง
สัญญาณไปได้ในระยะทางไกลโดยไม่ตอ้ งอาศัย
อุปกรณ์พักและขยายระดับสัญญาณเป็นระยะ
และข้อมูลทีส่ ง่ ผ่านเส้นใยน�าแสงมีความถูกต้อง
ภาพที่ 5.42 เส้นใยน�าแสงที่ใช้ และความปลอดภัยสูงเนื่องจากไม่มีสัญญาณ
ในการส่งสัญญาณ รบกวน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
42
T46
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
การส่งข้อมูลผ่านสายเส้นใยน�าแสงสามารถส่งด้วยความเร็วสูงระดับกิกะบิตต่อวินาที 6. นักเรียนรวมกันตอบคําถามเพื่อทบทวนความ
(Gbps) และส่งด้วยอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลสูงมาก ท�าให้สามารถส่งข้อมูลทัง้ ทีเ่ ป็น เขาใจ ดังนี้
ตัวอักษร เสียง ภาพกราฟิก หรือวีดิทัศน์ในเวลาเดียวกันได้ และส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง • เพราะเหตุใดสัญญาณแอนะล็อกจึงถูก
ระดับหลายร้อยเมกะบิต ส่วนข้อเสียของสายเส้นใยน�าแสง คือ การบิดงอของสายจะท�าให้เส้นใย รบกวนไดงายกวาสัญญาณดิจิทัล
น�าแสงหัก จึงไม่สามารถวางสายเส้นใยน�าแสงไปตามมุมตึกได้ เหมาะกับการเชือ่ มต่อแบบจุดต่อจุด (แนวตอบ สั ญ ญาณแอนะล็ อ กถู ก รบกวน
(Point-to-Point) และเหมาะส�าหรับใช้เชือ่ มโยงระหว่างอาคารกับอาคาร หรือระหว่างเมืองกับเมือง ใหเปลี่ยนแปลงไดงาย เนื่องจากสัญญาณ
2. สื่อกลางแบบไร้สาย สื่อกลางแบบไร้สาย คือ การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการสื่อสาร รบกวนจะเติมเขาไปในสัญญาณจริงโดยตรง
ข้อมูล ได้แก่ คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ และรังสีอินฟราเรด แตสัญญาณดิจิทัลจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
1) คลื่นวิทยุ ใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารได้ทั้งระยะไกลและใกล้ โดยเครื่องหรือ ขึ้นเมื่อถูกรบกวนจากสัญญาณรบกวนที่มี
อุปกรณ์ส่งจะส่งข้อมูลในรูปสัญญาณคลื่นวิทยุ (ช่วงความถี่ 3-300 เมกะเฮิรตซ์) ผ่านอากาศไป คาสูงกวาคาที่ตั้งไวเทานั้น)
ยังเครื่องรับหรืออุปกรณ์รับสัญญาณ ตัวอย่างการใช้คลื่นวิทยุเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระยะไกล • สื่อกลางในการสื่อสารขอมูลแบงเปน
ได้แก่ การกระจายเสียงวิทยุระบบเอเอ็มและระบบเอฟเอ็ม ส่วนตัวอย่างการใช้คลื่นวิทยุเป็นสื่อ กี่ประเภท อะไรบาง
กลางในการสื่อสารระยะใกล้ ได้แก่ การสื่อสารข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีไวไฟ (Wi-Fi) และบลูทูท (แนวตอบ สื่อกลางในการสื่อสารขอมูลแบง
(Bluetooth) ดังภาพที่ 5.43 ซึ่งใช้คลื่นวิทยุในแถบความถี่ต่างกันในการส่งข้อมูล เปน 2 ประเภท คือ สือ่ กลางแบบใชสายและ
สือ่ กลางแบบไรสาย ตัวอยางสือ่ กลางแบบใช
สาย ไดแก สายเกลียวคู สายโคแอกซ และ
อุปกรณ์รับ
ข้อมูล เสนใยนําแสง สวนตัวอยางสื่อกลางแบบ
ข้อมูล ไรสาย ไดแก คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ และ
อุปกรณ์รับ
อินฟราเรด)
อุปกรณ์ส่ง
AT&T
อุปกรณ์รับ
เครื่องส่ง เครือ่ งรับ
T47
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
7. ครูถามคําถามนักเรียนวา การใชดาวเทียมเปน จึงต้องอาศัยจานรับหรือส่งสัญญาณไมโครเวฟซึง่ ติดตัง้ อยูใ่ นทีส่ งู เช่น ดาดฟ้า ตึกสูง หรือยอดเขา
สถานีพกั หรือขยายสัญญาณเปนการแกปญ หา โดยติดตั้งในลักษณะหันจานรับ-ส่งสัญญาณเข้าหากัน เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางการเดินทางของ
ในเรื่องใด สัญญาณไมโครเวฟ แต่การสื่อสารระหว่าง 2 ต�าแหน่ง โดยใช้คลื่นไมโครเวฟเป็นสื่อกลางมีรัศมี
8. นักเรียนรวมกันตอบคําถาม โดยอาจตอบเปน ท�าการอยู่ในช่วง 40-50 กิโลเมตร การสื่อสารในระยะไกลจึงต้องมีสถานีพักและขยายสัญญาณ
รายบุคคลหรือตอบเปนกลุมยอย ซึ่งจะไดขอ (relay station) เป็นระยะ ๆ ภายในรัศมีท�าการดังกล่าว ดังภาพที่ 5.44 ซึ่งเป็นข้อจ�ากัดของ
สรุปรวมกันวา การใชดาวเทียมเปนสถานีพัก การส่งสัญญาณไมโครเวฟภาคพื้นดิน (terrestrial microwave transmission)
หรือขยายสัญญาณเปนการแกปญหาขอจํากัด จานรับ - ส่งสัญญาณ
เกี่ ย วกั บ ระยะทํ า การของการส ง สั ญ ญาณ
ไมโครเวฟภาคพื้ น ดิ น ที่ ต อ งมี ส ถานี พั ก และ
ขยายสัญญาณทุกๆ ระยะ 40-50 กิโลเมตร
โดยดาวเทียมจะชวยกระจายสัญญาณไปยัง
สถานีตามจุดตางๆ บนพื้นผิวโลกหรือจาน
รั บ สั ญ ญาณที่ ติ ด ตั้ ง ไว ต ามสถานที่ ต า งๆ สถานีไมโครเวฟ
ครอบคลุมพื้นที่เปนวงกวาง
9. ครู ใ ห ค วามรู เ พิ่ ม เติ ม กั บ นั ก เรี ย นเกี่ ย วกั บ ภาพที่ 5.44 การส่งสัญญาณไมโครเวฟภาคพื้นดิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เทคโนโลยีไวแมกซ (WiMAX) เปนเทคโนโลยี
นอกจากการส่งสัญญาณไมโครเวฟภาคพื้นดินแล้ว ยังมีการส่งสัญญาณไมโครเวฟ
บรอดแบนดไรสายความเร็วสูง มีรัศมีทําการ อีกแบบ คือ การส่งสัญญาณไมโครเวฟผ่านดาวเทียม (satellite microwave transmission)
ประมาณ 50 กิโลเมตร และมีความเร็วในการ ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาที่เป็นข้อจ�ากัดเกี่ยวกับระยะท�าการของการส่งสัญญาณไมโครเวฟ
สงผานขอมูลสูงสุดถึง 75 เมกะบิตตอวินาที ภาคพื้นดิน โดยใช้ดาวเทียมที่โคจรอยู่นอกโลกเป็นสถานีพักหรือขยายสัญญาณและกระจาย
สงสัญญาณในลักษณะจากจุดเดียวไปยังหลาย สัญญาณไปยังสถานีตามจุดต่าง ๆ บนพื้นผิวโลกหรือจานรับสัญญาณที่ติดตั้งไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ
จุด (point-to-multipoint) ไดพรอมๆ กัน และ ครอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้าง ดังภาพที่ 5.45
ทํางานไดเปนอยางดีแมจะมีสิ่งกีดขวาง เชน ดาวเทียมกระจายสัญญาณ
ตนไม อาคาร บังหรือขวางอยูระหวางอุปกรณ
สงสัญญาณบนเสาสัญญาณ โดยสื่อกลางใน
การสงขอมูล คือ คลืน่ ไมโครเวฟทีม่ คี วามถีอ่ ยู
ในชวง 2-11 กิกะเฮิรตซ
T48
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
การสื่อสารโดยใช้คลื่นไมโครเวฟเป็นสื่อกลางจะส่งข้อมูลด้วยอัตราการส่งข้อมูล 10. ครูสุมเรียกนักเรียนเพื่อตอบคําถาม โดยให
สูง แต่มีข้อจ�ากัด คือ สัญญาณจะถูกรบกวนจากพายุและฝน ท�าให้สัญญาณขาดหายไปในระหว่าง นักเรียนระบุสื่อกลางแบบไรสายที่ใชในการ
การส่ง ที่พบบ่อย ๆ คือ การขาดหายไปของสัญญาณโทรทัศน์ที่รับสัญญาณด้วยจานสายอากาศ สื่อสารขอมูลจากสถานการณหรือเงื่อนไขที่
ขณะมีพายุหรือฝนตกหนัก กําหนดตอไปนี้
3) รังสีอินฟราเรด ใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารระยะใกล้โดยไม่มีสิ่งกีดขวางระหว่าง • การสื่อสารระยะใกลโดยไมมีสิ่งกีดขวาง
ผู้สง่ กับผูร้ บั เช่น การรับ-ส่งข้อมูลระหว่างเครือ่ งคอมพิวเตอร์กบั เครือ่ งพิมพ์หรือเมาส์แบบไร้สาย ระหวางผูสงกับผูรับ
การเชือ่ มต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กบั คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายระยะใกล้ (2-4 เมตร) ดังภาพที ่ 5.46 (แนวตอบ รังสีอินฟราเรด)
• การสื่อสารระยะไกลที่ตองอาศัยจานรับ-
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี)
โทรศัพท์เคลื่อนที่ สงสัญญาณ
(แนวตอบ คลื่นไมโครเวฟ)
พอร์ตไออาร์ดีเอ
กล้องดิจิทัล • การสื่อสารขอมูลโดยใชเทคโนโลยีบลูทูท
(แนวตอบ คลื่นวิทยุ)
• การสื่ อ สารข อ มู ล ที่ อ าศั ย ดาวเที ย มเป น
โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์
สถานีพักและขยายสัญญาณ
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) (แนวตอบ คลื่นไมโครเวฟ)
พอร์ตไออาร์ดีเอ พอร์ตไออาร์ดีเอ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 45
T49
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
11. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง การ Physics
in real life แว่นตาโพลารอยด์
สื่อสารโดยอาศัยคลื่นแมเหล็กไฟฟา จาก
แบบฝกหัดรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตรและ ภาพยนตร์ 3 มิติ ถ่ายท�าโดยใช้เครื่องถ่ายภาพยนตร์ 2
เครื่อง ถ่ายภาพเดียวกันในเวลาเดียวกัน แต่ถ่ายคนละมุมกัน
เทคโนโลยี ฟสิกส ม.6 เลม 2 หนวยการ (ขวาและซ้าย) และการฉายต้องใช้เครือ่ งฉายภาพยนตร์ 2 เครือ่ ง
เรียนรูที่ 5 คลื่นแมเหล็กไฟฟา ฉายภาพ 2 ภาพ ลงบนจอภาพพร้อม ๆ กัน ส่วนวิธีการดูภาพยนตร์
12. ครูสุมนักเรียนจํานวน 2-3 คน ออกมาเฉลย 3 มิติ ต้องสวมแว่นตาแล้วดูผ่านแว่นตา โดยแว่นตาส�าหรับดู ภาพที่ 5.47 แว่นตาโพลารอยด์
แบบฝกหัด โดยใหนักเรียนรวมกันพิจารณา ภาพยนตร์ 3 มิติ เช่น แว่นตาโพลารอยด์ (polarized 3D glasses) ที่มา : คลังภาพ อจท.
วาคําตอบใดถูกตอง จากนั้นครูเฉลยคําตอบ แว่นตาโพลารอยด์ทใี่ ช้ดภู าพยนตร์ 3 มิต ิ จะต่างจากแว่นตาโพลารอยด์ทใี่ ช้กนั แดดตรงทีแ่ ผ่น
ที่ถูกตองใหนักเรียน โพลารอยด์ทางด้านซ้ายและขวาของแว่นตาโพลารอยด์ที่ใช้ดูภาพยนตร์ 3 มิติ มีแนวแกนโพลาไรส์
ตั้งฉากกัน ขณะที่แผ่นโพลารอยด์ทางด้านซ้ายและขวาของแว่นตาโพลารอยด์ที่ใช้เป็นแว่นกันแดด
13. นักเรียนทุกคนทําใบงาน เรื่อง การสื่อสาร
จะมีแนวแกนโพลาไรส์ขนานกัน
โดยอาศัยคลื่นแมเหล็กไฟฟา
การฉายภาพยนตร์ 3 มิติ ที่ดูโดยใช้แว่นตาโพลารอยด์ ใช้เครื่องฉายภาพยนตร์ 2 เครื่อง
ฉายภาพลงบนจอ (โลหะ) พร้อมกัน โดยฉายผ่านกระจกโพลารอยด์ที่กั้นอยู่หน้าเลนส์ฉาย ภาพ
จากเครื่องฉายทั้งสองจึงเป็นแสงโพลาไรส์ เนื่องจากกระจกโพลารอยด์หน้าเลนส์ฉายของเครื่อง
ฉากทัง้ สองมีแนวแกนโพลาไรส์ตงั้ ฉากกันและการสะท้อนแสงของโลหะจะไม่เปลีย่ นทิศการโพลาไรส์
ของแสง ท�าให้ทิศของการโพลาไรส์ของแสงโพลาไรส์จากเครื่องฉายทั้งสองอยู่ในแนวตั้งฉากกัน
ภาพที่ปรากฏบนจอจะเหลื่อมซ้อนกันในลักษณะ ดังภาพที่ 5.48
46
2. การใช้ประโยชน์จากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ช่วงคลื่นที่ใช้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บริเวณที่พบ (ภาพประกอบ)
5. ความสำคัญ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
T50
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
Summary 1. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปเกีย่ วกับการสือ่ สาร
โดยอาศัยคลื่นแมเหล็กไฟฟา โดยนักเรียน
คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า เขี ย นเป น แผนที่ ค วามคิ ด หรื อ ผั ง มโนทั ศ น
(Concept Mapping) ลงในกระดาษ A4
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า พรอมตกแตงใหสวยงาม
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ประกอบด้วยสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา โดยสนามทั้งสองมี 2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได
ทิศตั้งฉากกันและกันและตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น จึงจัดให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นตามขวาง
ศึกษาผานมาแลววามีสวนใดที่ยังไมเขาใจ
ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการทดลองของเฮิรตซ์ แลวใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น โดยครูอาจ
ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์ ท�านายว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถแผ่ออกจากแหล่งก�าเนิดได้ ใช PowerPoint เรื่อง การสื่อสารโดยอาศัย
โดยไม่ตอ้ งอาศัยตัวกลาง คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าเคลือ่ นผ่านสุญญากาศด้วยอัตราเร็ว 3 × 108 เมตรต่อวินาที และ คลื่นแมเหล็กไฟฟา มาชวยในการอธิบาย
แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ช่วงหนึ่ง
การทดลองของเฮิรตซ์ เฮิรตซ์ได้ท�าการทดลองซึ่งยืนยันว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีจริง และพิสูจน์ทฤษฎีคลื่น
3. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัด Unit
แม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์ โดยเฮิรตซ์ใช้อุปกรณ์ที่ประกอบด้วยขดลวดเหนี่ยวน�า 2 ขด พันรอบแกนเหล็ก Questions 5 เรื่ อ ง การสื่ อ สารโดยอาศั ย
ด้านส่ง ด้านรับ คลืน่ แมเหล็กไฟฟา จากหนังสือเรียนลงในสมุด
R
S บันทึกประจําตัวเปนการบานสงชั่วโมงถัดไป
A B G G′
- +
แบตเตอรี่
ภาพที่ 5.49 การทดลองของเฮิรตซ์
ที่มา : คลังภาพ อจท.
จากการทดลองเฮิรตซ์ พบว่า ทุกครั้งที่เกิดประกายไฟที่ช่องอากาศ G จะเกิดประกายไฟบริเวณช่องอากาศ
G′ของลวดวงกลมที่อยู่ห่างออกไปและไม่ได้ต่อเป็นวงจรไฟฟ้าเดียวกันเสมอ
การแผ่คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าจากสายอากาศ การเคลือ่ นทีข่ องคูป่ ระจุบวกและลบจะท�าให้เกิดคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า
แผ่ออกไปจากสายอากาศ (สนามแม่เหล็กทีเ่ กิดขึน้ อยูใ่ นระนาบทีต่ งั้ ฉากกับระนาบการเปลีย่ นแปลงของสนาม
ไฟฟ้า) โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะแผ่ออกไปทุกทิศทาง ยกเว้นในแนวเส้นตรงเดียวกับการเคลื่อนที่ของประจุ
บวกและประจุลบ หรือแนวการวางตัวของสายอากาศ เนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กใน
แนวการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้า
ขอสอบเนน การคิด
แผนวัตถุโปรงใสผิวเรียบแผนบางๆ 2 แผน วางซอนกันบนโตะ ถาแสงเดินทางผานอากาศไปตกกระทบแผนวัตถุแผนบนซึ่งมีดรรชนีหักเห
เปน 1.6 ทํามุมตกกระทบเปนมุมโพลาไรส และแสงที่หักเหผานแผนวัตถุแผนบนไปตกกระทบผิวรอยตอระหวางแผนวัตถุทั้งสองแลวหักเห
ผานไปทํามุมหักเหเทากับ 37 องศา ดรรชนีหักเหของแผนวัตถุแผนลางมีคาเทาใด
(แนวตอบ จากโจทย สามารถเขียนภาพได ดังภาพ เมื่อพิจารณาตรงผิวรอยตอระหวางอากาศกับแผนวัตถุแผนบน
n
จาก tan θP = n2 จะได tan θP = 1.6
1
จึงได θP = tan-1(1.6) = 58 ํ
n1 = 1 θP θP
เนื่องจาก θP + φ = 90 ํ จึงได φ = 90 ํ - θP = 90 ํ - 58 ํ = 32 ํ
เมื่อพิจารณาตรงผิวรอยตอระหวางแผนวัตถุทั้งสอง
n2 = 1.6 φ
θ2
จากกฎของสเนลล จะได n2 sin θ2 = n3 sin θ3 เมื่อ θ2 = φ, θ3 = 37 ํ
จึงได 1.6 sin 32 ํ = n3 sin 37 ํ และ n3 = 1.6 ( sin 32 ํ ) = 1.4
sin 37 ํ
n3 37 ํ ดังนั้น ดรรชนีหักเหของแผนวัตถุแผนลางจึงมีคาเปน 1.4)
T51
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
4. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
หนวยการเรียนรูที่ 5 คลื่นแมเหล็กไฟฟา เพื่อ โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ตรวจสอบความเขาใจหลังเรียนของนักเรียน โพลาไรเซชัน (polarization) เป็นสมบัตขิ องคลืน่ ตามขวาง โดยทัว่ ไปคลืน่ ตามขวางมีระนาบของการสัน่ ตัง้ ฉาก
5. ครู ต รวจสอบผลการตรวจสอบความเข า ใจ กับแนวการแผ่ของคลื่น ถ้าคลื่นตามขวางใดมีระนาบการสั่นนี้เพียงระนาบเดียว จะเรียกคลื่นตามขวางนั้นว่า
ของตนเองจากกรอบ Self Check เรื่ อ ง คลื่นโพลาไรส์ (polarized wave)
คลื่นแมเหล็กไฟฟา จากหนังสือเรียน วิธีท�าให้แสงไม่โพลาไรส์เปลี่ยนเป็นแสงโพลาไรส์
6. นั ก เ รี ย น แ ล ะ ค รู ร ว ม กั น ส รุ ป เ กี่ ย ว กั บ • การสะท้อน แสงไม่โพลาไรส์ที่ตกกระทบผิววัตถุ โดยท�ามุมตกกระทบที่ท�าให้ได้รังสีสะท้อนตั้งฉากกับ
รังสีหักเห แสงที่สะท้อนจากผิววัตถุจะเป็นแสงโพลาไรส์
คลื่นแมเหล็กไฟฟาวา คลื่นแมเหล็กไฟฟา • การหักเห แสงไม่โพลาไรส์ทผี่ า่ นเข้าไปในผลึกแคลไซต์หรือควอตซ์จะเกิดการหักเห โดยรังสีหกั เหจะแยก
ประกอบดวยสนามแมเหล็กและสนามไฟฟา ออกเป็น 2 รังสี โดยทั้ง 2 รังสี ต่างเป็นแสงโพลาไรส์
ที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา โดยสนามทั้งสองมี • การกระเจิง แสงอาทิตย์เมื่อตกกระทบโมเลกุลอากาศ สนามไฟฟ้าของแสงจะท�าให้อิเล็กตรอนใน
ทิศตั้งฉากกันและกันและตั้งฉากกับทิศการ โมเลกุลอากาศสัน่ ไปมาในแนวเดียวกับแนวการเปลีย่ นแปลงของสนามไฟฟ้า แล้วปลดปล่อยแสงออกมา
เคลือ่ นทีข่ องคลืน่ จึงจัดใหคลืน่ แมเหล็กไฟฟา (กระเจิงแสง) เป็นแสงโพลาไรส์ในแนวระดับและแสงโพลาไรส์ในแนวดิ่ง
เปนคลืน่ ตามขวาง คลืน่ แมเหล็กไฟฟาแผออก สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ไปจากแหลงกําเนิดโดยไมตองอาศัยตัวกลาง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความถี่ต่อเนื่องกันเป็นช่วงกว้าง (104 - 1023 เฮิรตซ์) คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกย่านความถี่
และเคลื่อนที่ผานสุญญากาศหรืออากาศดวย (หรือความยาวคลื่น) รวมกัน เรียกว่า สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยคลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ
อัตราเร็วเทากับแสง คือ 3 × 108 เมตรตอ รังสีอินฟราเรด แสง รังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ และรังสีแกมมา เมื่อเรียงล�าดับจากความถี่ต�่าไปสูง หรือ
เรียงล�าดับจากความยาวคลื่นยาวไปสั้น
วิ น าที มี ค วามถี่ ต อ เนื่ อ งกั น เป น ช ว งกว า ง
(10 4-10 23 เฮิ ร ตซ ) ทุ ก ย า นความถี่ ร วมกั น อุปกรณ์ที่ท�างานโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ขอสอบเนน การคิด
จงตอบคําถามเกี่ยวกับอุปกรณที่ใชคลื่นแมเหล็กไฟฟา ดังตอไปนี้
ก) ภาพบนแผนฟลมถายภาพรังสีเอกซจะเปนสีดํา เทา หรือขาว ขึ้นอยูกับอะไร และอยางไร
(แนวตอบ ภาพบนแผนฟลมถายภาพรังสีเอกซจะเปนสีดํา เทา หรือขาว ขึ้นอยูกับความหนาแนนของเนื้อเยื่อและชนิดของแรธาตุในเนื้อเยื่อนั้น
โดยเนื้อเยื่อที่มีแคลเซียมสูง เชน กระดูก ภาพอวัยวะบนแผนฟลมจะเปนสีขาว แตถาเนื้อเยื่อที่มีอากาศอยู เชน ปอด ภาพอวัยวะบนแผนฟลม
จะเปนสีดํา สวนเนื้อเยื่ออื่นๆ ที่มีความหนาแนนของแรธาตุผสมระหวางกระดูกกับอากาศตางกัน ภาพบนฟลมจะเปนสีเทาลดหลั่นกัน)
ข) การทําซีทีสแกนนิยมใชกับการตรวจสวนใดของรางกาย และไมนิยมใชกับการตรวจสวนใดของรางกาย
(แนวตอบ การทําซีทีสแกนนิยมใชกับการตรวจรางกายบริเวณศีรษะและคอ บริเวณชองทอง บริเวณชองอก และกระดูกสันหลัง สวนกลามเนื้อและ
กระดูกสวนอื่นๆ ไมนิยมใชการตรวจดวยซีทีสแกน)
ค) การสรางภาพอวัยวะของเครื่องเอ็มอารไออาศัยผลจากปรากฏการณใด
(แนวตอบ การสรางภาพของเครื่องเอ็มอารไออาศัยผลจากปรากฏการณการสั่นพองทางแมเหล็กของนิวเคลียสไฮโดรเจน)
ง) จงเปรียบเทียบภาพที่ไดจากเครื่องเอ็มอารไอกับภาพที่ไดจากการทําซีทีสแกน
(แนวตอบ เครื่องเอ็มอารไอจะใหภาพ 3 มิติ ของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะ และสามารถแสดงเปนภาพตัดขวางแผนบางๆ ไดเชนเดียวกับการทําซีทีสแกน
แตดวยเทคโนโลยีที่สูงกวา เครื่องเอ็มอารไอจึงใหไดทั้งภาพแนวแบงซายขวาและแนวแบงหนาหลัง และใหภาพที่มีความเปรียบตางมากกวาและ
คมชัดกวาการทําซีทีสแกน)
T52
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
1. ประเมินความรูเกี่ยวกับเรื่อง อุปกรณที่ทํางาน
และการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแมเหล็กไฟฟา
Apply Your Knowledge โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคําถาม การทํา
ค�าชี้แจง ให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนร่วมชั้นเรียน แล้วร่วมกันอ่านข้อความและตอบค�าถามที่ก�าหนดให้ แบบฝกหัด ใบงาน และการสรุปสาระสําคัญ
ภาพบนจอของโทรทัศน์ ประกอบด้วยเส้นสแกนตามแนวขวางจ�านวนมาก เส้นเหล่านี้เกิดจาก 2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา
ล�าอิเล็กตรอนทีย่ งิ ออกมาจากปืนอิเล็กตรอนจะให้ภาพจากซ้ายไปขวาและบนลงล่าง ไปกระทบจากภาพ ศาสตร โดยสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
ที่ฉาบสารเรืองแสง ท�าให้เกิดเส้นเรืองแสงขึ้น การปฏิบัติกิจกรรม และการนําความรูที่ไดไป
เมือ่ นักเรียนใช้กล้องถ่ายภาพจากหน้าจอโทรทัศน์ บนภาพถ่ายจะมีแถบสีดา� หรือสีขาวขนาดใหญ่ ใชประโยชน
หรือภาพของโทรทัศน์ที่ปรากฏในภาพยนตร์ จะมีแถบสีด�าเคลื่อนที่ขึ้นลงบนจอโทรทัศน์ เหตุใดแถบ 3. ประเมิ น คุ ณ ลั ก ษณะอั น พึ ง ประสงค โดย
เหล่านี้จึงเกิดขึ้น สั ง เกตพฤติ ก รรมจากการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม
การอภิปราย และการทําแบบฝกหัด
Self Check
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
1. ค ลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นตามขวาง 2.
2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่โดยไม่อาศัยตัวกลาง ความเร็วของ 3.
คลื่นจึงไม่มีการแปรผันแต่อย่างใด
3. แนวคิดที่ส�าคัญของแมกซ์เวลล์เกี่ยวกับทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คือ ทิศ 3.
การเคลือ่ นทีข่ องคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าจะต้องอยูใ่ นทิศเดียวกับสนามแม่เหล็ก
4. จากทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อประจุมีการเคลื่อนที่ด้วยความเร่งหรือ 4.
ความหน่วงจะแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา
ุ ด
5. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ส่งออกมาจากสายอากาศโทรทัศน์เป็นคลื่นโพลาไรส์ 5.
ส ม
น
ง ใ
ออกมาจะโพลาไรส์ในแนวที่ตั้งฉากกับแกนของโพลารอยด์
บ ั น
กลองถายรูปถายภาพจากจอโทรทัศน ควรตั้งความเร็วชัตเตอรเทากับ
ประเด็นที่ประเมิน
แบบประเมินผลงานผังมโนทัศน์ 4 3 2 1
1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผังมโนทัศน์ของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
คะแนน 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
เวลาที่ใชในการสแกนภาพ จึงจะสามารถปองกันการเกิดแถบสีดําหรือ
ระดับคุณภาพ ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
2 ความถูกต้องของเนื้อหา แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
3 ความคิดสร้างสรรค์ ระบบ
แถบสวางได 4 ความเป็นระเบียบ
รวม
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง
ความประณีต
ผลงานส่วนใหญ่มีความ
เป็นระเบียบแต่ยังมี
ข้อบกพร่องเล็กน้อย
ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
T53
นํา สอน สรุป ประเมิน
c E
T54
นํา สอน สรุป ประเมิน
7. การเรงประจุไฟฟาจากการทดลองของเฮิรตซ
ใชการปด-เปดไฟฟากระแสตรงจากแบตเตอรี่
7. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดจากประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ด้วยความเร่ง จงอธิบายว่า การเร่งประจุไฟฟ้า สวนการเรงประจุไฟฟาในสายอากาศเปนการ
จากการทดลองของเฮิรตซ์กับการเร่งประจุไฟฟ้าในสายอากาศต่างกันอย่างไร
เรงดวยไฟฟากระแสสลับ
8. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่จากสายอากาศในทุกทิศทาง ยกเว้นทิศทางใด เพราะเหตุใด
8. ประจุไฟฟาที่กําลังเคลื่อนที่ดวยความเรงจะ
9. จงเรียงล�าดับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในสเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากความยาวคลื่นยาวไป
แผคลื่นแมเหล็กไฟฟาออกมารอบๆ แนวการ
ความยาวคลื่นสั้น
เคลือ่ นทีข่ องประจุไฟฟา ยกเวนในแนวเสนตรง
10. จงระบุแหล่งก�าเนิดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ ต่อไปนี้
เดียวกับแนวการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟา
ก) คลื่นวิทยุ
ข) รังสีอินฟราเรด 9. คลืน่ แมเหล็กไฟฟาในสเปกตรัมแมเหล็กไฟฟา
ค) แสงที่ตามองเห็น เรียงลําดับจากความยาวคลืน่ ยาวไปความยาว
ง) รังสีอัลตราไวโอเลต คลื่นสั้น ไดแก คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ รังสี
จ) รังสีเอกซ์ อิ น ฟราเรด แสงที่ ม องเห็ น ได รั ง สี อั ล ตรา
ฉ) รังสีแกมมา ไวโอเลต รังสีเอกซ และรังสีแกมมา ตามลําดับ
11. ถ้าคลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ และแสงเลเซอร์ มีความถี่อยู่ในช่วง 104 -108 เฮิรตซ์ 109 -1012 เฮิรตซ์
และ 1014 เฮิรตซ์ ตามล�าดับ หากส่งคลื่นเหล่านี้จากโลกไปยังดาวเทียมดวงหนึ่ง คลื่นทั้งสามจะ 10. ก) แหลงกําเนิดของคลื่นวิทยุ คือ วงจรออส
ใช้เวลาเท่ากันหรือไม่ เพราะเหตุใด ซิลเลเตอร
12. จากข้อมูลต่อไปนี้ จงระบุชนิดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ข) แหลงกําเนิดของรังสีอินฟราเรด คือ วัตถุ
ก) คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีพลังงานต�่าสุด รอน และการสั่นของอะตอมหรือโมเลกุล
ข) คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีอ�านาจทะลุผ่านสูงสุด ของวัตถุ
ค) เกิดจากการผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในหลอดบรรจุไอปรอท ทะลุผา่ นแก้วได้นอ้ ย แต่ทะลุผา่ น ค) แหลงกําเนิดของแสง คือ การเปลีย่ นระดับ
ควอตซ์ได้ดี พลั ง งานของอิ เ ล็ ก ตรอนในอะตอมหรื อ
ง) ใช้ในระบบเรดาร์เพื่อน�าทางเครื่องบินหรือตรวจค้นหาต�าแหน่งและทิศทางของวัตถุ โมเลกุลของสารและวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงๆ
จ) ใช้ในการวิเคราะห์โครงสร้างผลึกของของแข็ง ง) แหลงกําเนิดของรังสีอัลตราไวโอเลต คือ
13. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใดบ้างที่ประสาทสัมผัสของมนุษย์สามารถรับรู้ได้โดยตรง เป็นการรับรู้ การเปลี่ยนระดับพลังงานของอิเล็กตรอน
โดยประสาทสัมผัสใด และรับรู้ในลักษณะใด วงนอกในอะตอมและแหล ง กํ า เนิ ด รั ง สี
14. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในย่านความถี่ใดสามารถน�าข่าวสารออกไปนอกโลกได้ ความรอน โดยแหลงกําเนิดรังสีอัลตรา
15. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความถี่ใดบ้างที่ใช้ในการสื่อสาร และมีวิธีการใช้อย่างไร ไวโอเลตที่สําคัญ คือ ดวงอาทิตย
16. เพราะเหตุใดการส่งคลืน่ วิทยุระบบเอเอ็มจึงครอบคลุมพืน้ ทีไ่ ด้มากกว่าการส่งคลืน่ วิทยุระบบเอฟเอ็ม จ) แหลงกําเนิดของรังสีเอกซ คือ การเปลี่ยน
17. รังสีชนิดใดที่นิยมใช้ในการอาบรังสีเพื่อการปรับปรุงพันธุ์พืช ก�าจัดแมลง และถนอมอาหาร ระดับพลังงานของอิเล็กตรอนวงในของ
อะตอม และการหนวงการเคลื่อนที่ของ
18. ระบุความเหมือนและความแตกต่างระหว่างรังสีเอกซ์และรังสีแกมมา
อิเล็กตรอนที่มีความเร็วสูงๆ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 51 ฉ) แหลงกําเนิดของรังสีแกมมา คือ การสลาย
ของนิวเคลียสธาตุกัมมันตรังสี ปฏิกิริยา
นิวเคลียรบางปฏิกิริยา และอนุภาคไฟฟา
ในเครื่องเรงอนุภาคพลังงานสูง
11. คลื่นทั้งสามใชเวลาเทากันในการเดินทางไปถึงดาวเทียม เนื่องจากคลื่นแมเหล็กไฟฟาทุกชนิดเดินทางผานตัวกลางเดียวกันดวยอัตราเร็วเทากัน
12. ก) คลื่นวิทยุ เนื่องจากมีความถี่ตํ่าสุด
ข) รังสีแกมมา เนื่องจากมีความถี่สูงสุด
ค) รังสีอัลตราไวโอเลต เนื่องจากเปนสมบัติเฉพาะของรังสีอัลตราไวโอเลต
ง) คลื่นไมโครเวฟ เนื่องจากไมโครเวฟสะทอนกับผิวโลหะไดดี
จ) รังสีเอกซ เนื่องจากการวิเคราะหโครงสรางของผลึกของของแข็งอาศัยการเลี้ยวเบนของรังสีเอกซผานอะตอมของของแข็ง
13. รังสีอนิ ฟราเรดและแสง โดยรังสีอนิ ฟราเรดเปนการรับรูโ ดยผิวหนังและเปนการรับรูใ นลักษณะของความรูส กึ รอน สวนแสงเปนการรับรูข องตาและเปนการ
รับรูในลักษณะของการมองเห็น
14. ยานความถี่ 108-1010 เฮิรตซ ซึ่งประกอบดวยคลื่นวิทยุระบบเอฟเอ็ม คลื่นโทรทัศน และไมโครเวฟ
15. คลื่นวิทยุ ซึ่งมีความถี่อยูในชวง 106-109 เฮิรตซ คลื่นโทรทัศนและไมโครเวฟ ซึ่งมีความถี่อยูในชวง 108-1010 เฮิรตซ
16. คลื่นวิทยุระบบเอเอ็มมีความถี่ตํ่ากวาคลื่นวิทยุระบบเอฟเอ็ม คลื่นวิทยุระบบเอเอ็มจึงสะทอนที่บรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟยรกลับมายังพื้นผิวโลก
17. รังสีแกมมา
18. เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาในยานความถี่สูงสงผลใหมีพลังงานและมีอํานาจทะลุผานสูง
T55
นํา สอน สรุป ประเมิน
19. ทางการแพทยใชรังสีเอกซถายภาพเอกซเรย
เพื่อตรวจสอบอวัยวะภายในของมนุษย ทาง
ดานอุตสาหกรรมใชรงั สีเอกซในการตรวจสอบ 19. บอกประโยชน์ของรังสีเอกซ์ที่นักเรียนพบเห็น พร้อมทั้งอธิบายมาพอสังเขป
รอยราวของโลหะ ใชตรวจหาอาวุธและสิ่งผิด 20. กาแล็กซีที่อยู่ใกล้กาแล็กซีของเรามากที่สุด คือ กาแล็กซีแอนโดรเมดา โดยอยู่ห่างออกไปเป็น
กฎหมาย ระยะ 2.2 ล้านปแสง จงหาว่ากาแล็กซีแอนโดรเมดาอยู่ห่างจากกาแล็กซีของเรากี่กิโลเมตร
21. ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลก 150 ล้านกิโลเมตร จงหาเวลาที่แสงอาทิตย์เดินทางจากดวงอาทิตย์
20. กาแล็กซีแอนดรอเมดาอยูห า งจากกาแล็กซีของ
มาถึงโลก
เราเทากับ 20.8 × 1018 กิโลเมตร หรือ 20.8
22. สถานีวิทยุ จส.100 ออกอากาศด้วยความถี่ 100 เมกะเฮิรตซ์ จงหาความยาวคลื่นของคลื่น
ลานลานลานกิโลเมตร
แม่เหล็กไฟฟ้าทีส่ ง่ จากสถานีวทิ ยุ จส.100 และความยาวของเสาอากาศทีใ่ ช้ในการส่งกระจายเสียง
21. แสงอาทิตยเดินทางจากดวงอาทิตยมาถึงโลก ถ้าเสาอากาศที่ใช้เป็นแบบไดโพลครึ่งคลื่น
ใชเวลา 500 วินาที 23. จงหาช่วงความถี่ของรังสีอัลตราไวโอเลตต่อไปนี้
22. ความยาวของเสาอากาศทีใ่ ชในการสงกระจาย ก) รังสีอัลตราไวโอเลต A ที่มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 320 นาโนเมตร ถึง 400 นาโนเมตร
เสียงจึงมีคาเปน 1.5 เมตร ข) รังสีอัลตราไวโอเลต B ที่มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 280 นาโนเมตร ถึง 320 นาโนเมตร
24. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นดังข้อต่อไปนี้ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใด
23. ก) รังสีอัลตราไวโอเลต A มีความถี่อยูในชวง ก) 0.1 นาโนเมตร จ) 1 เซนติเมตร
7.50 × 1014 Hz ถึง 9.38 × 1014 Hz ข) 100 นาโนเมตร ฉ) 1 เมตร
ข) รังสีอัลตราไวโอเลต B มีความถี่อยูในชวง ค) 0.5 ไมโครเมตร ช) 1 กิโลเมตร
9.38 × 1014 Hz ถึง 10.7 × 1014 Hz ง) 1 ไมโครเมตร
24. ก) รังสีเอกซ 25. แสงไม่โพลาไรส์เดินทางผ่านอากาศไปตกกระทบผิวของของเหลวใสอย่างหนึง่ โดยท�ามุมตกกระทบ
ข) รังสีอัลตราไวโอเลต 53.7 องศา ปรากฏว่าแสงสะท้อนเป็นแสงโพลาไรส์ จงหาว่าดรรชนีหักเหของของเหลวนี้มีค่า
ค) แสง เท่าใด
ง) รังสีอินฟราเรด 26. ถ้าน�้ามีดรรชนีหักเหเท่ากับ 34 จงหามุมโพลาไรส์ที่เกิดขึ้น เมื่อแสงมีการเดินทางดังต่อไปนี้
จ) คลื่นไมโครเวฟ ก) แสงเดินทางจากอากาศไปตกกระทบและสะท้อนกลับที่ผิวน�้า
ฉ) คลื่นวิทยุระบบเอฟเอ็ม ข) แสงเดินทางจากน�้าไปตกกระทบและสะท้อนกลับที่ผิวน�้า โดยเหนือผิวน�้าเป็นอากาศ
ช) คลื่นวิทยุระบบเอเอ็ม 27. แสงไม่โพลาไรส์เดินทางผ่านอากาศไปตกกระทบแผ่นแก้วใส ถ้าแสงสะท้อนเป็นแสงโพลาไรส์ จงหา
มุมตกกระทบและมุมหักเหของแสงในแผ่นแก้ว เมื่อดรรชนีหักเหของแผ่นแก้วมีค่าเท่ากับ 1.54
25. ดรรชนีหกั เหของของเหลวนีจ้ งึ มีคา เทากับ 1.36
28. แสงไม่โพลาไรส์เดินทางผ่านอากาศไปตกกระทบแผ่นแก้วท�ามุมตกกระทบเป็นมุมโพลาไรส์ ถ้า
26. ก) เมื่อแสงเดินทางจากอากาศไปตกกระทบ มุมหักเหในแผ่นแก้วมีขนาด 32.0 องศา มุมโพลาไรส์และดรรชนีหักเหของแผ่นแก้วมีค่าเท่าใด
และสะทอนกลับที่ผิวนํ้า มุมโพลาไรสมีคา 29. มุมโพลาไรส์ของแท่งแก้วมีขนาด 57 องศา เมื่อวางในอากาศ โดยแสงเดินทางผ่านอากาศไป
เทากับ 53.1 องศา ตกกระทบแท่งแก้ว จงหามุมโพลาไรส์ของแท่งแก้วเมื่อวางใต้น�้า โดยแสงเดินทางผ่านน�้าไปตก
ข) เมื่อแสงเดินทางจากนํ้าไปตกกระทบและ กระทบแท่งแก้ว (ก�าหนดให้น�้ามีดรรชนีหักเหเท่ากับ 1.33)
สะทอนกลับที่ผิวนํ้า โดยเหนือผิวนํ้าเปน
52
อากาศ มุ มโพลาไรส มี ค า เท า กั บ 36.9
องศา
27. มุมตกกระทบและมุมหักเหจึงมีคาเทากับ 57
องศา และ 33 องศา ตามลําดับ
28. ดรรชนีหักเหของแผนแกวมีคาเทากับ 1.60
29. มุมโพลาไรสของแทงแกวเมื่อวางใตนํ้าจึงมีคาเทากับ 49.2 องศา
T56
นํา สอน สรุป ประเมิน
T57
นํา สอน สรุป ประเมิน
36. ก) ความเขมแสงเริ่มตนบนฉากมีคาครึ่งหนึ่ง
ของความเขมแสงกอนผานแผนโพลารอยด
แต ใ นระหว า งการหมุ น แผ น โพลารอยด 36. สองแสงผานแผนโพลารอยดแผนหนึ่งไปตกบนฉาก ขณะที่แกนสงผานของแผนโพลารอยดอยู
ในแนวระดับ จากนั้นใหคนที่ยืนหันหนาเขาหาฉากหมุนแผนโพลารอยดไป 45 องศา ทิศตาม
ความเขมแสงบนฉากยังคงเทาเดิม
เข็มนาฬกา ความเขมแสงเริ่มตนบนฉากมีคาเทาใดเมื่อเทียบกับความเขมแสงกอนผานแผน
ข) โพลารอยด และในระหวางการหมุนแผนโพลารอยด ความเขมของแสงบนฉากจะเพิ่มขึ้น ลดลง
ตําแหนงเริ่มตนของแกนสงผาน หรือเทาเดิม ถาแสงที่สองผานแผนโพลารอยดเปนแสงดังกรณีตอไปนี้
E45 ํ หมุนไป 15 ํ ก) แสงไมโพลาไรส
E30 ํ E15 ํ หมุนไป 30 ํ
หมุนไป 45 ํ ข) แสงโพลาไรสที่สนามไฟฟาของแสงมีทิศของการโพลาไรสอยูในแนวดิ่ง
ค) แสงโพลาไรสที่สนามไฟฟาของแสงมีทิศของการโพลาไรสอยูในแนวระดับ
ง) แสงโพลาไรสทสี่ นามไฟฟาของแสงมีทศิ ของการโพลาไรสเอียงทํามุม 45 องศากับแนวระดับ
ค)
ตําแหนงเริ่มตนของแกนสงผาน
โดยเอียงลงมาทางขวา เมื่อหันหนาเขาหาฉาก
T58
นํา สอน สรุป ประเมิน
1. แอมพลิจูดของแรงเคลื่อนไฟฟาที่ถูกเหนี่ยวนํา
θp θp
สุญญากาศ
ผลึกแคลไซต์
33 �
T59
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบก่อนเรียน 1. บอกความหมายและ แบบเน้น - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
อะตอมและ - หนังสือเรียนรายวิชา ส่วนประกอบของอะตอม มโนทัศน์ - สังเกตการอภิปรายเกี่ยวกับ - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
การค้นพบ เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ของสสารได้ (K) (Concept อะตอมและการค้นพบ - ทักษะการวิเคราะห์ - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
อิเล็กตรอน และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ 2. อธิบายที่มาของอนุภาคที่มี Based อิเล็กตรอน - ทักษะการท�ำงาน
ม.6 เล่ม 2 ประจุไฟฟ้าลบที่เรียกว่า Teaching) - ตรวจแผ่นพับความรู้ ร่วมกัน
- แบบฝึกหัดรายวิชา อิเล็กตรอนได้ (K) - ตรวจใบงาน
4 เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ 3. คำ� นวณหาปริมาณทีเ่ กีย่ วข้อง - ตรวจแบบฝึกหัด
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ กับการทดลองของทอมสัน - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
ชั่วโมง ม.6 เล่ม 2 และการทดลองของมิลลิแกน Topic Questions
- ใบงาน ได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
- PowerPoint 4. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้ การท�ำงานรายบุคคล
- QR Code อยากเห็น และท�ำงานร่วมกับ - สังเกตพฤติกรรม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A) การท�ำงานกลุ่ม
Twig - สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายลักษณะของแบบ แบบเน้น - สังเกตการอภิปรายเกี่ยวกับ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
แบบจ�ำลอง เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ จ�ำลองอะตอมของทอมสัน มโนทัศน์ แบบจ�ำลองอะตอม - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
อะตอม และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ และแบบจ�ำลองอะตอมของ (Concept - สังเกตการปฏิบัติการจาก - ทักษะการทดลอง - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
ม.6 เล่ม 2 รัทเทอร์ฟอร์ดได้ (K) Based การท�ำกิจกรรม ลักษณะการ - ทักษะการวิเคราะห์
- แบบฝึกหัดรายวิชา 2. บอกความแตกต่างของแบบ Teaching) กระเจิงของอนุภาคแอลฟา
2 เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ จ�ำลองอะตอมของทอมสัน - ตรวจแบบบันทึกกิจกรรม
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ และแบบจ�ำลองอะตอมของ ลักษณะการกระเจิงของ
ชั่วโมง
ม.6 เล่ม 2 รัทเทอร์ฟอร์ดได้ (K) อนุภาคแอลฟา
- ใบงาน 3. เขียนแผนภาพแสดง - ตรวจแผ่นพับความรู้
- PowerPoint วิวัฒนาการของแบบจ�ำลอง - ตรวจใบงาน
- QR Code อะตอมได้ (P) - ตรวจแบบฝึกหัด
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น 4. มีความรับผิดชอบต่องาน - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
Twig ที่ได้รับมอบหมาย (A) Topic Questions
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. บอกความแตกต่างของ แบบเน้น - สังเกตการอภิปรายเกี่ยวกับ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
สเปกตรัมของ เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ลักษณะของสเปกตรัมที่เกิด มโนทัศน์ การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
อะตอม และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ จากอะตอมของแก๊สได้ (K) (Concept ของวัตถุดำ� - ทักษะการทดลอง - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
ม.6 เล่ม 2 2. อธิบายหลักการแผ่คลื่น Based - สังเกตการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการวิเคราะห์
- แบบฝึกหัดรายวิชา แม่เหล็กไฟฟ้าของวัตถุดำ� Teaching) เกี่ยวกับสเปกตรัมของ - ทักษะการท�ำงาน
4 เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ตามสมมติฐานของพลังค์ได้ อะตอม ร่วมกัน
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ (K) - สังเกตการปฏิบัติการจาก
ชั่วโมง
ม.6 เล่ม 2 3. ใช้จ�ำนวนในการหาปริมาณ การท�ำกิจกรรม การศึกษา
- ใบงาน ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ สเปกตรัมของแก๊สร้อน
- PowerPoint ดูดกลืนหรือคายพลังงาน - ตรวจแบบบันทึกกิจกรรม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ตามสมมติฐานของพลังค์จาก การศึกษาสเปกตรัมของ
Twig สถานการณ์ต่าง ๆ ได้ (P) แก๊สร้อน
4. ให้ความร่วมมือในการ - ตรวจอินโฟกราฟิก
ปฏิบัติกิจกรรมการศึกษา - ตรวจใบงาน
สเปกตรัมของแก๊สร้อน - ตรวจแบบฝึกหัด
ด้วยความกระตือรือร้น (A) - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
Topic Questions
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T60
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายโครงสร้างและการ แบบเน้น - สังเกตการอภิปรายเกี่ยวกับ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
ทฤษฎีอะตอม เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เกิดสเปกตรัมของอะตอม มโนทัศน์ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
ของโบร์ และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ไฮโดรเจนตามสมมติฐาน (Concept - ตรวจแผ่นพับความรู้ - ทักษะการวิเคราะห์ - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
ม.6 เล่ม 2 ของโบร์ได้ (K) Based - ตรวจใบงาน - ทักษะการท�ำงาน
- แบบฝึกหัดรายวิชา 2. ค�ำนวณหารัศมีวงโคจรของ Teaching) - ตรวจแบบฝึกหัด ร่วมกัน
8 เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ อิเล็กตรอนและพลังงาน - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
ชั่วโมง และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ อะตอมของไฮโดรเจนได้ (P) Topic Questions
ม.6 เล่ม 2 3. มีความรับผิดชอบต่องานที่ - สังเกตพฤติกรรม
- ใบงาน ได้รับมอบหมาย และปฏิบัติ การท�ำงานรายบุคคล
- PowerPoint งานตรงตามเวลาทีค่ รูกำ� หนด - สังเกตพฤติกรรม
- QR Code (A) การท�ำงานกลุ่ม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น - สังเกตคุณลักษณะ
Twig อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 5 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายให้เห็นลักษณะส�ำคัญ แบบเน้น - สังเกตการอภิปรายเกี่ยวกับ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
ปรากฏการณ์ เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ทางฟิสิกส์ของปรากฏการณ์ มโนทัศน์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
โฟโตอิเล็กทริก และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ โฟโตอิเล็กทริกได้ (K) (Concept - ตรวจแผ่นพับความรู้ - ทักษะการวิเคราะห์ - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
ม.6 เล่ม 2 2. คำ� นวณหาพลังงานโฟตอน Based - ตรวจใบงาน - ทักษะการท�ำงาน
- แบบฝึกหัดรายวิชา พลังงานจลน์ของโฟโต Teaching) - ตรวจแบบฝึกหัด ร่วมกัน
4 เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ อิเล็กตรอน และฟังก์ชันงาน - สังเกตพฤติกรรม
ชั่วโมง และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ของโลหะ รวมทั้งปริมาณที่ การท�ำงานรายบุคคล
ม.6 เล่ม 2 เกี่ยวข้องได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
- ใบงาน 3. ความรับผิดชอบต่องานที่ได้ การท�ำงานกลุ่ม
- PowerPoint รับมอบหมาย และปฏิบตั งิ าน - สังเกตคุณลักษณะ
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ตรงตามเวลาทีค่ รูกำ� หนด (A) อันพึงประสงค์
Twig
แผนฯ ที่ 6 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายสมบัติทวิภาวะของ แบบเน้น - สังเกตการอภิปรายเกี่ยวกับ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
ปรากฏการณ์ เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ คลื่นและอนุภาคจาก มโนทัศน์ ปรากฏการณ์คอมป์ตันและ - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
คอมป์ตันและ และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ปรากฏการณ์คอมป์ตันและ (Concept สมมติฐานเดอบรอยล์ - ทักษะการวิเคราะห์ - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
สมมติฐาน ม.6 เล่ม 2 สมมติฐานเดอบรอยล์ได้ (K) Based - ตรวจใบความรู้ - ทักษะการท�ำงาน
เดอบรอยล์ - แบบฝึกหัดรายวิชา 2. ค�ำนวณหาความยาวคลื่น Teaching) - ตรวจใบงาน ร่วมกัน
เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เดอบรอยล์และปริมาณที่ - ตรวจแบบฝึกหัด
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ เกี่ยวข้องได้ (P) - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
2 ม.6 เล่ม 2
- ใบงาน
3. มีความรับผิดชอบต่องาน
ที่ได้รับมอบหมาย และ
Topic Questions
- สังเกตพฤติกรรม
ชั่วโมง - PowerPoint ปฏิบัติงานตรงตามเวลาที่ การท�ำงานรายบุคคล
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ครูกำ� หนด (A) - สังเกตพฤติกรรม
Twig การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 7 - แบบทดสอบหลังเรียน 1. อธิบายหลักความไม่แน่นอน แบบเน้น - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
กลศาสตร์ - หนังสือเรียนรายวิชา ของไฮเซนเบิร์กได้ (K) มโนทัศน์ - สังเกตการอภิปรายเกี่ยวกับ - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
ควอนตัม เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ 2. ค�ำนวณหาปริมาณทีเ่ กีย่ วข้อง (Concept กลศาสตร์ควอนตัม - ทักษะการวิเคราะห์ - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ กับหลักความไม่แน่นอนของ Based - ตรวจแผ่นพับความรู้ - ทักษะการท�ำงาน
ม.6 เล่ม 2 ไฮเซนเบิร์กได้ (P) Teaching) - ตรวจใบงาน ร่วมกัน
4 - แบบฝึกหัดรายวิชา 3. มีความรับผิดชอบต่องาน - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการน�ำความรู้
ชั่วโมง เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ที่ได้รับมอบหมาย และ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก ไปใช้
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ปฏิบัติงานตรงตามเวลาที่ Topic Questions
ม.6 เล่ม 2 ครูกำ� หนด (A) - ตรวจการท�ำแบบฝึกหัด
- ใบงาน จาก Unit Questions
- PowerPoint - สังเกตพฤติกรรม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น การท�ำงานรายบุคคล
Twig - สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T61
Chapter Concept Overview
อะตอมและการค้นพบอิเล็กตรอน
รังสีแคโทด
ล�ำอิเล็กตรอนทีม่ ปี ระจุไฟฟ้าลบเกิดขึน้ เมือ่ ผ่านศักย์ไฟฟ้าแรงสูงเข้าไปในหลอดสุญญากาศ และจะเกิดรังสีจากขัว้ ไฟฟ้าลบหรือแคโทด
ไปยังขั้วไฟฟ้าบวกหรือแอโนด เรียกว่า รังสีแคโทด
การทดลองของทอมสัน
การศึกษารังสีแคโทดในหลอดสุญญากาศของทอมสันได้ขอ้ สังเกตว่า อนุภาครังสีแคโทดซึง่ ต่อมาได้ชอื่ ว่าอิเล็กตรอน (electron) ทีอ่ อก
มาจากขั้วโลหะต่างชนิดกันจะมีอัตราส่วนประจุไฟฟ้าต่อมวล ( mq ) เท่ากันเป็น 1.75 × 1011 คูลอมบ์ต่อกิโลกรัม ทอมสันจึงสรุปว่า “อะตอม
ไม่ใช่สิ่งที่เล็กที่สุด สามารถแบ่งย่อยได้อีก และอิเล็กตรอนก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งของอะตอม”
การทดลองของมิลลิแกน
ประจุไฟฟ้าและมวลของอิเล็กตรอนได้ถูกค้นพบจากท�ำการทดลองวัดประจุไฟฟ้าและมวลของอิเล็กตรอน โดยการวัดประจุไฟฟ้า
บนหยดน�้ำมันของมิลลิแกน ซึ่งพบว่าประจุไฟฟ้าของอิเล็กตรอนมีค่าเป็น 1.602 × 10-19 คูลอมบ์ และมวลของอิเล็กตรอนมีค่าเป็น 9.11
-31
× 10 กิโลกรัม
แบบจ�ำลองอะตอม
แบบจ�ำลองอะตอมของทอมสัน
ทอมสันได้ทำ� การทดลองและเสนอแนวคิดว่า “อะตอมเป็นทรงกลมประกอบไปด้วยเนือ้ อะตอม
ทีเ่ ป็นประจุบวก และมีอเิ ล็กตรอนทีเ่ ป็นประจุลบกระจายตัวอย่างสม�ำ่ เสมอ เพือ่ รักษาสมดุลระหว่าง
ประจุทั้ง 2 ชนิด”
แบบจ�ำลองอะตอมของทอมสัน
แบบจ�ำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด
รัทเทอร์ฟอร์ดได้ทำ� การทดลองและเสนอแนวคิดว่า “อะตอมประกอบไปด้วยประจุบวกรวมตัว
กันที่จุดศูนย์กลาง เรียกว่า นิวเคลียส และจะมีอิเล็กตรอนเคลื่อนที่อยู่รอบ ๆ นิวเคลียส” โดยที่
เส้นผ่านศูนย์กลางของนิวเคลียสประมาณ 10-15-10-14 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลางของอะตอม
ประมาณ 10-10 เมตร
แบบจ�ำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด
สเปกตรัมของอะตอม
สเปกตรัมจากอะตอมของแก๊ส
สเปกตรัมของแก๊สแต่ละชนิดจะประกอบด้วยชุดของแสงสีเฉพาะแตกต่างกัน จึงถือได้ว่าสเปกตรัมเป็นสมบัติเฉพาะตัวของธาตุแต่ละ
ชนิด โดยสเปกตรัมของแสงขาวจะเป็นสเปกตรัมแบบต่อเนื่อง และสเปกตรัมจากหลอดบรรจุแก๊สจะเป็นสเปกตรัมแบบเส้น
การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของวัตถุด�ำ
วัตถุอุดมคติที่สามารถปลดปล่อยและดูดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ดีทุกย่านความถี่ เรียกว่า วัตถุด�ำ จากการศึกษาสเปกตรัม
ของการแผ่รังสีความร้อนจากวัตถุด�ำ โดยการวัดความเข้มของคลื่นกับความยาวคลื่นที่แผ่ออกมา พบว่า อุณหภูมิของวัตถุสัมพันธ์กับ
ความยาวคลื่นที่ให้ค่าความเข้มสูงสุดของสเปกตรัมที่แผ่ออกมา ซึ่งมีสมการเป็น λmaxT = 2.9 × 10-3 m K
สมมติฐานของพลังค์สรุปได้ว่า พลังงานที่วัตถุด�ำดูดกลืนหรือแผ่ออกมามีค่าได้เฉพาะบางค่าเท่านั้น และค่านี้เป็นจ�ำนวนเท่าของ hf
เรียกว่า ควอนตัมของพลังงาน ดังสมการ E = nhf
T62
หน่วยการเรียนรู้ท ี่ 6
ทฤษฎีอะตอมของโบร์
ระดับพลังงานของอะตอม
เนื่องจากแบบจ�ำลองของรัทเทอร์ฟอร์ดไม่สามารถอธิบายได้ว่า ท�ำไมอิเล็กตรอนไม่สูญเสียพลังงาน
ขณะก�ำลังเคลือ่ นทีร่ อบนิวเคลียส โบร์จงึ เสนอแนวคิดว่า “อิเล็กตรอนเคลือ่ นทีร่ อบนิวเคลียสในวงโคจรทีม่ รี ศั มี
จ�ำเพาะเท่านั้น โดยรัศมีของวงโคจรจะมีความยาวเส้นรอบวงสอดคล้องกับความยาวคลื่นของอิเล็กตรอนใน
วงโคจรนั้น”
โมเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอนในระดับชั้นพลังงานต่าง ๆ การทดลองของฟรังก์และเฮิรตซ์
ค�ำนวณได้จากสมการ การทดลองของฟรังก์และเฮิรตซ์ เป็นการทดลองที่สนับสนุน
ทฤษฎีอะตอมของโบร์ทว่ี า่ ระดับชัน้ พลังงานของอิเล็กตรอนเป็นค่า
L = mvnrn = nћ = nh2π ไม่ต่อเนื่อง และมีค่าจ�ำเพาะค่าใดค่าหนึ่งเป็นไปตามทฤษฎีอะตอม
ของโบร์
อิเล็กตรอนสามารถเปลี่ยนวงโคจรโดยการดูดกลืนหรือคาย
รังสีเอกซ์
พลังงานปริมาณ ΔE ค�ำนวณได้จากสมการ
รังสีเอกซ์เกิดจากการยิงอิเล็กตรอนพลังงานจลน์สูงเข้าชน
hf = ∙ΔE∙ = ∙Eni - Enf∙ อะตอมของเป้าโลหะ แล้วอิเล็กตรอนมีความเร็วลดลงและปล่อย
พลังงานในรูปของรังสีเอกซ์ ซึ่งการเกิดรังสีเอกซ์มี 2 กระบวนการ
ส�ำหรับอะตอมไฮโดรเจน พลังงานของอิเล็กตรอนในแต่ละ คือ การเกิดรังสีเอกซ์ต่อเนื่องและการเกิดรังสีเอกซ์เฉพาะตัว
วงโคจร ค�ำนวณได้จากสมการ ความไม่สมบูรณ์ของทฤษฎีอะตอมของโบร์
ทฤษฎีอะตอมของโบร์สามารถอธิบายสเปกตรัมของอะตอม
En = -13.62 eV ของไฮโดรเจนได้ดี และท�ำให้ทราบถึงการจัดเรียงอิเล็กตรอนใน
n
อะตอมของไฮโดรเจน แต่ไม่สามารถค�ำนวณและอธิบายสเปกตรัม
ของอะตอมอื่น ๆ ได้
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
เมื่อแสงความถี่ f ตกกระทบผิวโลหะ ถ้าความถี่ของแสงมากกว่าความถี่ค่าหนึ่ง เรียกว่า ความถี่ขีดเริ่ม ( f0) อิเล็กตรอนจะหลุดออก
จากโลหะนั้นโดยทันที เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก โดยมีสมการที่อธิบายปรากฏการณ์เป็น hf = W + Ekmax
ปรากฏการณ์คอมป์ตัน
แนวคิดโฟตอนของไอน์สไตน์ได้รับการสนับสนุนจากการทดลองของคอมป์ตันโดยฉายรังสีเอกซ์ไปกระทบอิเล็กตรอนในแท่งแกรไฟต์
พบว่า มีอิเล็กตรอนและรังสีเอกซ์ที่ความยาวคลื่นเปลี่ยนไปจากค่าเริ่มต้นกระเจิงออกมาจากแท่งแกรไฟต์ คอมป์ตันจึงยืนยันได้ว่า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าประพฤติตัวเป็นอนุภาคได้
สมมติฐานเดอบรอยล์
การที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสงแสดงคุณสมบัติเป็นอนุภาคได้ เดอบรอยล์จึงเสนอว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสงก็แสดงคุณสมบัติ
เป็นคลื่นได้ สามารถค�ำนวณหาความยาวคลื่นของอนุภาคมวล m ที่มีอัตราเร็ว v ได้ จากสมการ λ = ph = mv h
กลศาสตร์ควอนตัม
กลศาสตร์ควอนตัม เป็นศาสตร์หรือวิชาที่ศึกษาธรรมชาติของสสารในระดับอะตอมได้อย่างกว้างขวาง โดยมีพื้นฐานจากทวิภาวะของ
คลื่นและอนุภาค สามารถอธิบายพฤติกรรมของอิเล็กตรอนในอะตอมได้เป็นอย่างดี โดยแทนอิเล็กตรอนด้วยกลุ่มคลื่น และบอกความ
น่าจะเป็นในการพบอิเล็กตรอนในรูปของกลุ่มหมอก ณ ต�ำแหน่งและเวลาหนึ่ง ๆ โดยหลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก กล่าวว่า “เราไม่
สามารถที่จะรู้ต�ำแหน่งและความเร็วของอนุภาคที่เวลาเดียวกันได้อย่างแม่นย�ำ” หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กที่กล่าวถึงความไม่
แน่นอนของต�ำแหน่งและความไม่แน่นอนของโมเมนตัม สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ได้ ดังสมการ (Δx)(Δp) ≥ ћ
T63
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
Check fo r U n de r s t a n d i ng
ให้นักเรียนพิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
กระแสของอิเล็กตรอนที่สังเกตไดในหลอดสุญญากาศ เรียกวา รังสีแอโนด
อะตอมมีลักษณะเปนทรงกลม ประกอบดวยอนุภาคที่มีประจุไฟฟาบวกและประจุไฟฟาลบในจํานวนที่เทากัน อะตอมจึงมี
สภาพเปนกลางทางไฟฟา เปนไปตามแบบจําลองอะตอมของทอมสัน
อนุกรมความยาวคลื่นของสเปกตรัมเสนสวางในชวงแสงที่ตามองเห็น คือ อนุกรมบัลเมอร
คาคงตัวของพลังค เปนคาคงตัวที่ใชในการคํานวณหาพลังงานของเสนสเปกตรัม
อิเล็กตรอนที่หลุดออกจากผิวโลหะ เมื่อมีแสงความถี่คาหนึ่งไปตกกระทบ เรียกวา โฟโตอิเล็กตรอน
แนวตอบ Check for Understanding
1. ผิด 2. ถูก 3. ถูก 4. ถูก 5. ถูก
T64
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น�า
การใช้ความรูเ้ ดิมฯ (Prior Knowledge)
Key Question
อะตอมมีสว นประกอบ 1. อะตอมและการคนพบอิเล็กตรอน 4. ครูถามคําถาม Key Question จากหนังสือ
อะไรบาง เรี ย นกั บ นั ก เรี ย น โดยนั ก เรี ย นร ว มกั น ตอบ
การศึกษาเกี่ยวกับอะตอมหรือส่วนประกอบของธาตุแต่ละ
คําถามและแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับคําตอบ
ธาตุ มีจุดเริ่มต้นมาจากข้อสงสัยของมนุษย์ว่า สารแต่ละชนิด
เพือ่ เชือ่ มโยงเขาสูเ นือ้ หาทีก่ าํ ลังจะศึกษาเรียนรู
เกิดขึน้ มาจากอะไร สามารถแบ่งแยกต่อไปได้เรือ่ ย ๆ ได้หรือไม่ ซึง่ ในหัวข้อนีจ้ ะศึกษาเพือ่ หาค�าตอบ
มาอธิบายข้อสงสัยเหล่านั้น ตอไป
5. ครูถามคําถามกระตุนความสนใจกับนักเรียน
จุดเริ่มต้นที่ส�าคัญที่ท�าให้มีการเริ่มศึกษาเกี่ยวกับอะตอม เริ่มจากนักวิทยาศาสตร์สังเกต
ว า “เราสามารถมองเห็ น อะตอมของสสาร
ข้อมูลที่ได้จากการทดลองว่า อะตอมของธาตุต่าง ๆ มีสมบัติทางไฟฟ้า สามารถใช้กระแสไฟฟ้า
แยกธาตุที่เป็นองค์ประกอบของสารได้ ท�าให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า น่าจะมีส่วนย่อยที่เล็กกว่า ตางๆ ไดดวยตาเปลาหรือไม” โดยใหนักเรียน
อะตอม และมีสมบัติทางไฟฟ้า จึงได้มีการทดลองเพื่อค้นหาส่วนประกอบของอะตอม รวมกันแสดงความคิดเห็น
( แนวตอบ ไม ส ามารถมองเห็ น ด ว ยตาเปล า
1.1 รังสีแคโทด เนื่องจากอะตอมมีขนาดเล็กมาก)
หลอดรังสีแคโทด (cathode ray tube) เป็น 6. ครูอธิบายคําตอบที่วา อะตอมมีขนาดเล็กซึ่ง
อุปกรณ์ส�าคัญที่ใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับอะตอม ไมสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลาเพิ่มเติม
สร้างจากหลอดแก้วทีส่ บู เอาอากาศจากภายในออก
จนเกือบเป็นสุญญากาศ แล้วบรรจุแก๊สชนิดอื่น ขัน้ สอน
เข้าไป เมือ่ จ่ายความต่างศักย์ไฟฟ้าสูงประมาณ 10- รู้ (Knowing)
20 กิโลโวลต์ ให้กับขั้วที่ปลายทั้ง 2 ข้างของหลอด 1. ครูชักชวนนักเรียนสนทนาโดยใชคําถามวา
จะเกิดการเรืองแสงในหลอด ดังภาพที่ 6.1 ภาพที่ 6.1 การเรืองแสงในหลอดรังสีแคโทด
ที่มา : http://wps.prenhall.com • นักเรียนทราบหรือไมวาจุดเริ่มตนที่สําคัญ
การศึกษาเกี่ยวกับอะตอมโดยใช้หลอดรังสี ของการศึกษาเกี่ยวกับอะตอมคือสิ่งใด
แคโทดมีการศึกษามายาวนานและมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนสนใจท�าการศึกษา จึงมีการค้นพบ
(แนวตอบ เริ่มจากนักวิทยาศาสตรสังเกต
ข้อมูลเกีย่ วกับอะตอมทีน่ า่ สนใจหลายข้อมูล เช่น การค้นพบอิเล็กตรอน การค้นพบอัตราส่วนประจุ
ขอมูลที่ไดจากการทดลองวา อะตอมของ
ต่อมวล การค้นพบรังสีเอกซ์ โดยในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงเพียงการค้นพบรังสีแคโทด ซึ่งสามารถ
ล�าดับข้อมูลได้ ดังนี้ ธาตุตางๆ มีสมบัติทางไฟฟา สามารถใช
กระแสไฟฟาแยกธาตุทเี่ ปนองคประกอบของ
ใน พ.ศ. 2398 ไฮน์ริช ไกสส์เลอร์ (Heinrich Geissler) ช่างเปาแก้วชาวเยอรมันได้พัฒนา
สารได จึงเชื่อวานาจะมีสวนยอยที่เล็กกวา
เครื่องดูดอากาศสุญญากาศ จึงท�าให้เขาประดิษฐ์หลอดแก้วที่บรรจุด้วยแก๊สชนิดต่าง ๆ แทนที่
อะตอมและมีสมบัติทางไฟฟา จึงไดมีการ
อากาศ และสูบออกให้เหลือความดันต่าง ๆ ได้ เมือ่ ผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปก็จะได้หลอดเรืองแสงที่
มีสสี นั ต่างกันตามชนิดของแก๊สทีบ่ รรจุไว้ ซึง่ หลอดแก้วเหล่านีม้ รี ปู ร่างและขนาดหลากหลาย และ ทดลองเพือ่ คนหาสวนประกอบของอะตอม)
ถูกเรียกว่า หลอดไกสส์เลอร์ (Geissler)
แนวตอบ Key Question
ฟิสิกส์อะตอม 57
อะตอมประกอบดวยโปรตอนกับนิวตรอนซึง่ อยู
รวมกัน เรียกวา นิวเคลียส และรอบๆ นิวเคลียสจะ
มีกลุมหมอกของอิเล็กตรอน
T65
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครู ถ ามคํ า ถามกระตุ น กั บ นั ก เรี ย นต อ ว า ใน พ.ศ. 2402 ยูลีอุส พลึคเคอร์ (Julius Plücker) ได้ศึกษาหลอดไกสส์เลอร์ โดย
“อุปกรณใดที่มีสวนสําคัญที่ใชในการศึกษา การสูบอากาศออกจากหลอดไกสส์เลอร์ให้มากที่สุด แล้วผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไป ท�าให้เกิดแสง
เกี่ยวกับอะตอม” ครูทิ้งชวงเวลาใหนักเรียน สีเขียวเรืองแสงปรากฏอยู่ที่ผนังหลอดแก้วบริเวณขั้วแอโนด (ขั้วบวก) ดังภาพที่ 6.2
คิดโดยที่ครูยังไมตองการคําตอบ เพื่อเปนการ 2
ชักนําเขาสูเนื้อหาที่กําลังจะศึกษา 1 (+) ขั้วแอโนด
ขัว้ แคโทด (-)
3. ใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนที่นั่งขางๆ จากนั้น
รวมกันศึกษา เรื่อง อะตอมและการคนพบ
อิเล็กตรอน ในหัวขอที่เกี่ยวกับรังสีแคโทดจาก (-) (+)
หนังสือเรียนในลักษณะของเพื่อนคูคิด โดย แอมมิเตอร์
10,000 V แหล่งก�าเนิดไฟฟ้าความต่างศักย์สูง
นักเรียนทุกคนจะตองจดบันทึกความรูท ไี่ ดจาก
การศึกษาลงในสมุดบันทึกประจําตัว ภาพที่ 6.2 แสงสีเขียวที่ปรากฏบนผนังหลอดแก้วในการทดลองของพลึคเคอร์
ที่มา : คลังภาพ อจท.
4. ครูใหนักเรียนรวมกันตอบคําถาม Concept
Question จากหนังสือเรียน ต่อมาใน พ.ศ. 2408 เซอร์ วิลเลียม ครูกส์ (Sir William Crookes) ได้ท�าการทดลอง
กับหลอดสุญญากาศ (หลอดไกสส์เลอร์) แต่ดัดงอหลอดเป็นมุมฉาก แล้วต่อขั้วไฟฟ้าของหลอด
ที่บรรจุแก๊สความดันต�่านี้เข้ากับแหล่งก�าเนิดไฟฟ้าที่มีความต่างศักย์ไฟฟ้าสูง ดังภาพที่ 6.3
พบว่า การเรืองแสงสีเขียวจะเกิดมากที่สุดตามบริเวณผนังหลอดด้านในที่อยู่ตรงข้ามขั้วแคโทด
ซึ่งเป็นขั้วลบ แสดงว่าการเรืองแสงดังกล่าวเกิดจากรังสีที่ออกมาจากขั้วแคโทด จึงเรียกรังสีนี้ว่า
รังสีแคโทด (cathode ray)
ขั้วแคโทด (-) Conc��t Q�e����n
เพราะเหตุใดขัว้ ทีต่ อ กับศักยไฟฟาลบจึงเรียกวา
ขั้ ว แคโทด และขั้ ว ที่ ต อ กั บ ศั ก ย ไ ฟฟ า บวกจึ ง
เรียกวา ขั้วแอโนด
(+) ขั้วแอโนด
(-) (+)
แนวตอบ Concept Question แอมมิเตอร์ ภ าพที่ 6.3 แสงสีเขียวที่ปรากฏบนผนังหลอดแก้วใน
10,000 V แหล่งก�าเนิดไฟฟ้า การทดลองของครูกส์
ขั้วแคโทด คือ ขั้วที่เกิดการรับอิเล็กตรอนจาก ความต่างศักย์สูง ที่มา : คลังภาพ อจท.
ปฏิกิริยาไฟฟาเคมี โดยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นที่ขั้วนี้จะ
เรียกวา ปฏิกริ ยิ ารีดกั ชัน ขัว้ แอโนด คือ ขัว้ ทีเ่ กิดการ
58
ใหอิเล็กตรอนจากปฏิกิริยาไฟฟาเคมี โดยปฏิกิริยา
ที่เกิดขึ้นที่ขั้วนี้จะเรียกวา ปฏิกิริยาออกซิเดชัน
T66
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1.2 การทดลองของทอมสัน 5. ครูใหนักเรียนแตละคู (คูที่เคยรวมกันศึกษา
เซอร์ โจเซฟ จอห์น ทอมสัน (Sir Joseph John Thomson) ได้ทา� การทดลองเกีย่ วกับการน�า เนือ้ หากอนหนานี)้ รวมกันศึกษาเนือ้ หาเกีย่ วกับ
ไฟฟ้าของแก๊สในหลอดรังสีแคโทด โดยการดัดแปลงลักษณะของหลอดรังสีแคโทดจากเดิมแล้วน�า การทดลองของทอมสันจากหนังสือเรียน ซึ่ง
ไปท�าการทดลอง ซึ่งผลการทดลองที่ได้น�ามาสรุปเป็นแบบจ�าลองอะตอม ซึ่งมีล�าดับการทดลอง ประกอบไปดวยหัวขอหลักๆ ดังนี้
ดังนี้ • การทดลองเพื่อใหเห็นรังสีแคโทด
1. การทดลองเพือ่ ให้เห็นรังสีแคโทด ทอมสันได้ทา� การทดลองโดยเจาะรูเล็ก ๆ ตรงกลาง • การทดลองเพือ่ ทดสอบอนุภาคทีก่ ระทบฉาก
ขั้วแอโนด และเพิ่มฉากเรืองแสงที่ฉาบด้วยซิงค์ซัลไฟด์ (ZnS) ไว้ที่ต�าแหน่งปลายหลอด เรืองแสง
ดังภาพที่ 6.4 • ผลการศึกษาเพิ่มเติมของทอมสัน
ขั้วแคโทด ขั้วแอโนด ฉากเรืองแสงที่ฉาบด้วย ZnS 6. ครูชักชวนนักเรียนสนทนาโดยใชคําถามวา
“ทอมสั น ได ตั้ ง สมมติ ฐ านหลั ง จากที่ เ ขาได
ทําการทดลองและปรากฏวามีจดุ เรืองแสงหรือ
จุดสวางบนฉากเรืองแสงไววาอยางไรบาง”
ครูสุมตัวแทนนักเรียนเพื่อตอบคําถาม
ต่อกับเครื่องสูบอากาศ
(-) (+)
10,000 V แหล่งก�าเนิดไฟฟ้าความต่างศักย์สูง
เมื่อปรับความดันภายในหลอดรังสีแคโทดโดยการสูบอากาศออก ในช่วงแรกความดัน
ในหลอดมีมาก จะยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่ฉากเรืองแสง แม้ว่าจะใช้ศักย์ไฟฟ้าสูง ๆ แต่
เมื่อความดันในหลอดรังสีแคโทดลดต�่าลงมากจนเกือบเป็นสุญญากาศ จะพบว่า มีจุดเรืองแสง
หรือมีจุดสว่างบนฉากเรืองแสง เนื่องจากซิงค์ซัลไฟด์ที่เคลือบบนฉากมีสมบัติพิเศษ ถ้าอนุภาคที่
มีประจุไฟฟ้ามากระทบจะท�าให้เกิดการเรืองแสงขึ้น จึงท�าให้ทอมสันตั้งสมมติฐานได้ว่า
1) จะต้องมีรังสีชนิดหนึ่งซึ่งมีประจุไฟฟ้าพุ่งเป็นเส้นตรงจากขั้วแคโทดมายังฉากเรือง
แสง ซึง่ รังสีนอี้ าจจะเกิดจากแก๊สทีม่ อี ยูใ่ นหลอดแก้วนัน้ หรืออาจจะเกิดจากโลหะทีท่ า� ขัว้ ไฟฟ้าก็ได้
2) รังสีที่พุ่งออกมาจากขั้วแคโทดนั้นมีประจุไฟฟ้า
3) รูปทรงของอะตอมอาจจะไม่ใช่เป็นทรงกลมตัน ตามแบบจ�าลองอะตอมของดอลตัน
แต่จะต้องมีอนุภาคเล็ก ๆ ที่มีประจุไฟฟ้าเป็นองค์ประกอบด้วย
ฟิสิกส์อะตอม 59
T67
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
7. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อธิ บ ายสมมติ ฐ านที่ 2. การทดลองเพื่อทดสอบอนุภาคที่กระทบฉากเรืองแสง เพื่อเป็นการทดสอบว่า
ทอมสันไดตั้งไว ดังนี้ อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่มากระทบฉากเรืองแสงเป็นประจุบวกหรือประจุลบ ทอมสันจึงได้ท�าการ
• จะตองมีรังสีชนิดหนึ่งซึ่งมีประจุไฟฟาพุง ทดลองต่อไปโดยใช้สนามไฟฟ้าเข้าช่วย ตามหลักการที่ว่า อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าจะต้องเกิดการ
เปนเสนตรงจากขั้วแคโทดมายังฉากเรือง เบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้า ถ้าอนุภาคนั้นมีประจุไฟฟ้าเป็นบวกจะเบี่ยงเบนเข้าหาขั้วลบของสนาม
แสง ซึ่งรังสีนี้อาจจะเกิดจากแกสที่มีอยูใน ไฟฟ้า และถ้ามีประจุไฟฟ้าเป็นลบจะเบี่ยงเบนเข้าหาขั้วบวกของสนามไฟฟ้า ซึ่งศึกษาได้จาก
หลอดแกวนั้น หรืออาจจะเกิดจากโลหะที่ การเบี่ยงเบนไปจากฉากเรืองแสง เมื่อเพิ่มขั้วไฟฟ้าเข้าไป 2 ขั้ว โดยให้ขั้วไฟฟ้าทั้งสองมีสนาม
ทําขั้วไฟฟาก็ได ไฟฟ้าตั้งฉากกับทิศทางของรังสี ดังภาพที่ 6.5
ขั้วแคโทด ขั้วแอโนด ฉากเรืองแสง
• รังสีที่พุงออกมาจากขั้วแคโทดนั้นมีประจุ
(+)
ไฟฟา
(-)
• อะตอมนาจะไมใชเปนทรงกลมตันดังแบบ
จํ า ลองของดอลตั น แต จ ะต อ งมี อ นุ ภ าค (-) (+) 10 V
เล็กๆ ที่มีประจุเปนองคประกอบดวย
10,000 V
8. ครู สุ ม ตั ว แทนนั ก เรี ย นออกมาหน า ชั้ น เรี ย น
จากนั้นครูใหอธิบายการทดลองเพื่อทดสอบ แหล่งก�าเนิดไฟฟ้าความต่างศักย์สงู ขั้วไฟฟ้า ต่อกับเครื่องสูบอากาศ
อนุภาคทีก่ ระทบฉากเรืองแสงของทอมสันตาม ภาพที่ 6.5 โครงสร้างหลอดรังสีแคโทดทีท
่ อมสันใช้ในการการทดลองเพือ่ ทดสอบอนุภาคทีก่ ระทบฉากเรืองแสง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ความเขาใจของตนเองหลังจากไดศึกษาจาก
หนังสือเรียนแลว เมือ่ ทอมสันท�าการทดลองแล้ว พบว่า จุดสว่างบนฉากเรืองแสงเบนไปจากต�าแหน่งเดิม
คือ เบี่ยงเบนขึ้นสู่ด้านบน ถ้าลากเส้นตามแนวเส้นรังสีจากขั้วไฟฟ้า จะเห็นได้ว่า รังสีนั้นเบี่ยงเบน
เข้าหาขั้วบวกของสนามไฟฟ้า แสดงว่ารังสีจะต้องประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบ และ
เนื่องจากรังสีนี้เคลื่อนที่ออกมาจากขั้วแคโทดซึ่งเป็นขั้วลบ จึงเรียกรังสีนี้ว่า รังสีแคโทด และเรียก
หลอดแก้วที่ใช้ในการทดลองว่า หลอดรังสีแคโทด ดังนั้น ทอมสันจึงสรุปได้ว่า รังสีแคโทดเป็นล�า
อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบ และสามารถเรียกอนุภาคดังกล่าวว่า อนุภาครังสีแคโทด (cathode ray
particle)
P hysics
Focus เซอร์ โจเซฟ จอห์น ทอมสัน
เซอร์ โจเซฟ จอห์น ทอมสัน หรือ เจ. เจ. ทอมสัน (J. J. Thomson) (พ.ศ. 2399 - 2483)
นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ใน พ.ศ. 2449 จากการค้นพบอิเล็กตรอน
นอกจากนี้ ทอมสันยังได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ค้นพบอิเล็กตรอนและไอโซโทป และเป็นผู้ประดิษฐ์
เครื่องมือแมสสเปกโทรมิเตอร์ (mass spectrometer) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลการวัดอัตราส่วนประจุ
ต่อมวลของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า และผลงานเกี่ยวกับการน�าไฟฟ้าในแก๊ส
60
T68
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ฟิสิกส์อะตอม 61
T69
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
11. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ ผลการศึ ก ษา เมื่อใส่สนามแม่เหล็กเข้าไปและเพิ่มอ�านาจสนามแม่เหล็กทีละน้อย พบว่า จุดสว่างบน
เพิ่มเติมของทอมสันจากหนังสือเรียน โดย ฉากเรืองแสงค่อย ๆ มีการเบี่ยงเบนน้อยลงและแสงค่อย ๆ เลื่อนกลับมาสู่ต�าแหน่งเดิมของช่วงที่
ครูมอบหมายใหนกั เรียนจดบันทึกสรุปความรู ไม่มสี นามไฟฟ้า ซึง่ แสดงว่าความแรงของสนามไฟฟ้าทีก่ ระท�ากับรังสีแคโทดมีคา่ เท่ากับความแรง
ลงในสมุดบันทึกประจําตัวเพื่อนําสงครูหลัง ของสนามแม่เหล็กที่กระท�ากับรังสีแคโทด จุดสว่างบนฉากเรืองแสงจึงไม่มีการเบี่ยงเบน จากผล
จบชั่วโมง การทดลองที่ได้ ท�าให้ทอมสันหาความเร็วในการเคลื่อนที่ของอนุภาครังสีแคโทดได้ โดยพิจารณา
12. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับผล ว่า เมื่อยิงรังสีแคโทดซึ่งมีอิเล็กตรอนอยู่ผ่านเข้าไปในสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า อิเล็กตรอน
การศึกษาเพิ่มเติมของทอมสันจนไดขอสรุป จะถูกแรงกระท�า 2 แรง คือ แรงจากสนามไฟฟ้า (FE) และแรงจากสนามแม่เหล็ก (FB) หากแรง
วา อนุภาคที่มีประจุไฟฟาลบในรังสีแคโทด ทัง้ สองมีคา่ เท่ากันและมีทศิ ทางตรงข้ามกัน จะท�าให้อนุภาครังสีแคโทดเคลือ่ นทีเ่ ป็นเส้นตรงอยูใ่ น
จะตองมีลักษณะเหมือนกัน และอะตอมทุก แนวระดับ สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ของอัตราเร็วของอนุภาครังสีแคโทดได้ ดังนี้
ชนิ ด ย อ มมี อ นุ ภ าคที่ มี ป ระจุ ไ ฟฟ า ลบเป น FE = FB
องค ป ระกอบเหมื อ นกั น เรี ย กอนุ ภ าคที่ มี qE = qvB
ประจุไฟฟาลบนี้วา อิเล็กตรอน และอะตอม v = EB
ไมใชสิ่งที่เล็กที่สุด อะตอมสามารถแบงยอย
ไดอีก และอิเล็กตรอนจะเปนองคประกอบ เนื่องจากสนามไฟฟ้า E และสนามแม่เหล็ก B เป็นปริมาณที่สามารถวัดได้ หากน�าค่า
อัตราเร็ว v แทนลงในสมการที่ 6.1 จะได้ว่า
หนึ่งของทุกอะตอม
q E (6.2)
m = B2R
q คือ ประจุไฟฟ้าของอนุภาครังสีแคโทด มีหน่วยเป็น คูลอมบ์ ((C)
m คือ มวลของอนุภาครังสีแคโทด มีหน่วยเป็น กิโลกรัม ( (kg)
E คือ ขนาดของสนามไฟฟ้า มีหน่วยเป็น นิวตันต่อคูลอมบ์ ((N/C)
B คือ ขนาดของสนามแม่เหล็ก มีหน่วยเป็น เทสลา (
เทสลา (T)
R คือ รัศมีของการเคลื่อนที่ มีหน่วยเป็น เมตร (
เมตร (m)
เมื่อน�าแรงเนื่องจากสนามไฟฟ้าและแรงเนื่องจากสนามแม่เหล็กที่กระท�าต่ออนุภาคที่
มีประจุไฟฟ้าลบ มาค�านวณหาอัตราส่วนของประจุต่อมวลของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบ จะได้ค่า
คงตัวเท่ากันทุกครั้ง คือ mq = 1.76 × 1011 คูลอมบ์ต่อกิโลกรัม ไม่ว่าทอมสันจะใช้แก๊สชนิดใด
หรือไม่วา่ จะใช้โลหะใดเป็นขัว้ แคโทด ทอมสันจึงสรุปได้วา่ อนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้าลบในรังสีแคโทดจะ
ต้องมีลักษณะเหมือนกัน อะตอมทุกชนิดย่อมมีอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบเป็นองค์ประกอบ เรียก
อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบนี้ว่า อิเล็กตรอน (electron) อะตอมไม่ใช่สิ่งที่เล็กที่สุด อะตอมสามารถ
แบ่งย่อยได้อีก โดยอิเล็กตรอนจะเป็นองค์ประกอบหนึ่งของทุกอะตอม
62
T70
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ตัวอย่างที่ 6.1
13. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 6.1-6.2 โดย
อนุภาครังสีแคโทดอนุภาคหนึ่งเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว 4 × 107 เมตรต่อวินาที พุ่งเข้าตั้งฉากกับ จดบันทึกลงในสมุดบันทึกประจําตัว
สนามแม่เหล็กทีม่ คี วามเข้ม 0.001 เทสลา ท�าให้อนุภาครังสีแคโทดเคลือ่ นทีเ่ ป็นส่วนโค้งของวงกลมรัศมี 14. ครูขออาสาสมัครเปนตัวแทนนักเรียน 2 คน
0.23 เมตร อัตราส่วนระหว่างประจุต่อมวลของอนุภาครังสีแคโทดมีค่าเท่าใด ออกมาหนาชัน้ เรียน เพือ่ อธิบายผลการศึกษา
วิธีท�า เมือ่ ไม่มสี นามไฟฟ้ากระท�า แรงเนือ่ งจากสนามแม่เหล็กจะท�าหน้าทีเ่ ป็นแรงสูศ่ นู ย์กลาง สามารถ ตัวอยางที่ 6.1 และ 6.2 ซึ่งถายังไมมีใครออก
ค�านวณหาค่าประจุต่อมวลของอนุภาครังสีแคโทดได้ มา ครูอาจมีเงือ่ นไขในการใหคะแนนจิตพิสยั
จากสมการที่ 6.1 q v เพิ่มสําหรับผูกลาและใหความรวมมือออกมา
m = BR
หนาชั้นเรียน
q 4 × 107 m/s
m = (0.001 T)(0.23 m) 15. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายสรุปผลการ
q 11 ศึกษาตัวอยางที่ 6.1-6.2 อีกครั้ง
m = 1.74 × 10 C/kg
ดังนั้น อัตราส่วนระหว่างประจุต่อมวลของอนุภาครังสีแคโทดมีค่าเท่ากับ 1.74 × 1011 คูลอมบ์ต่อ
กิโลกรัม
ตัวอย่างที่ 6.2
ในการทดลองหนึ่งได้ท�าการยิงอนุภาครังสีแคโทดให้เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว 1.30 × 107 เมตรต่อวินาที
เข้าสู่สนามแม่เหล็ก โดยมีทิศทางการเคลื่อนที่ตั้งฉากกับสนามแม่เหล็ก ปรากฏว่ารังสีแคโทดเคลื
1 ่อนที่
เป็นส่วนโค้งของวงกลมรัศมี 0.2 เมตร สนามแม่เหล็กที่ใช้ในการทดลองนี้มีขนาดกี่เทสลา ก�าหนดให้
อัตราส่วนระหว่างประจุต่อมวลของอิเล็กตรอนเป็น 1.76 × 1011 คูลอมบ์ต่อกิโลกรัม
วิธีท�า ในการทดลองนี้ เมื่อไม่มีสนามไฟฟ้ากระท�า แรงเนื่องจากสนามแม่เหล็กจะท�าหน้าที่เป็น
แรงสู่ศูนย์กลาง สามารถค�านวณหาค่าประจุต่อมวลของอนุภาครังสีแคโทดได้
จากสมการที่ 6.1 q v
m = BR
× 107 m/s
1.76 × 1011 C/kg = 1.30(B)(0.2 m)
B = 1.30 × 107 m/s
(1.76 × 1011 C/kg)(0.2 m)
B = 3.69 × 10-4 T
ดังนั้น สนามแม่เหล็กที่ใช้ในการทดลองนี้มีขนาด 3.69 × 10-4 เทสลา
ฟิสิกส์อะตอม 63
T71
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
16. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง การทดลองของ 1.3 การทดลองของมิลลิแกน
มิลลิแกน จากหนังสือเรียน การทดลองของทอมสันท�าให้ทราบค่าอัตราส่วนระหว่างประจุตอ่ มวลของอนุภาครังสีแคโทด
17. ครูใหนักเรียนใชโทรศัพทมือถือสแกน QR หรืออิเล็กตรอน แต่ยังไม่ทราบค่าประจุไฟฟ้าของอิเล็กตรอน ใน พ.ศ. 2452 รอเบิร์ต แอนดรูส์
Code เรื่ อ ง การทดลองหยดนํ้ า มั น ของ มิลลิแกน (Robert Andrews Millikan) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกนั ได้ทา� การทดลองหาค่าประจุ
มิลลิแกน จากหนังสือเรียน เพือ่ เปนการศึกษา ของอิเล็กตรอน โดยเรียกการทดลองนี้ว่า การทดลองหยดน�้ามัน (oil drop experiment) ซึ่งมี
เพิ่ ม เติ ม จากสื่ อ ดิ จิ ทั ล ซึ่ ง อาจเป น ความรู ส่วนประกอบของอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง ดังภาพที่ 6.7
เพิ่มเติมที่นอกเหนือจากหนังสือเรียน
รูขนาดเล็ก
กระบอกฉีดน�้ามัน (+) แผ่นโลหะ A
แหล่งก�าเนิด
รังสีเอกซ์
กล้องโทรทรรศน์
(-) แผ่นโลหะ B
หยดน�า้ มันทีเ่ ห็นจาก
กล้องโทรทรรศน์
ภาพที่6.7 อุปกรณ์การทดลองหยดน�้ามันของมิลลิแกน
ที่มา : http://wps.prenhall.com
หยดน�้ามันที่ถูกฉีดออกมาจากกระบอกฉีดน�้ามันในตอนแรกจะมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า
แต่เมือ่ หยดน�า้ มันเข้าไปอยูร่ ะหว่างแผ่นโลหะ A และ B จะไม่เป็นกลางทางไฟฟ้า เนือ่ งจากอากาศ
ที่แตกตัวโดยการยิงรังสีเอกซ์ชนกับโมเลกุลของอากาศ จึงท�าให้หยดน�้ามันที่ให้อิเล็กตรอนแก่
อากาศมีประจุไฟฟ้าบวกและหยดน�า้ มันทีร่ บั อิเล็กตรอนจากอากาศมีประจุไฟฟ้าลบ และเนือ่ งจาก
หยดน�้ามันมีความหนาแน่นมากกว่าอากาศ หยดน�้ามันจึงเคลื่อนที่ลงสู่ด้านล่างตามแรงโน้มถ่วง
ของโลก (ในกรณีที่ไม่คิดแรงต้านอากาศ)
เมื่อต่อขั้วไฟฟ้าบวกกับแผ่นโลหะ A และต่อขั้วไฟฟ้าลบกับแผ่นโลหะ B แล้วปรับค่าความ
ต่างศักย์ไฟฟ้า (สนามไฟฟ้า) พบว่า จะมีหยดน�้ามันบางหยดเคลื่อนที่ลงเร็วขึ้นและเคลื่อนที่ลอย
กลับขึ้นไปด้านบน หากปรับค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าให้มีค่าพอเหมาะ พบว่า เริ่มมีหยดน�้ามัน
บางหยดเคลือ่ นทีล่ งด้วยอัตราเร็วคงตัวหรือลอยตัวอยูน่ งิ่ ซึง่ เป็นการแสดงให้เห็นว่า แรงเนือ่ งจาก
สนามไฟฟ้ากับแรงเนื่องจากความเร่งโน้มถ่วงของโลกกระท�ากับหยดน�้ามันสมดุลกันพอดี
64 การทดลองหยดนํ้ามันของมิลลิแกน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
จากภาพที่ 6.8 จะได้ว่า แรงเนื่องจากสนามไฟฟ้า (FE) แผ่นโลหะ A 18. ครูถามคําถามทบทวนความรูของนักเรียนวา
(+)
กับแรงเนื่องจากความเร่งโน้มถ่วงของโลก (Fg) ที่กระท�ากับ qE “อั ต ราส ว นของประจุ ไ ฟฟ า ต อ มวลของ
E
หยดน�้ามันสมดุลกัน จากกฎการเคลื่อนที่ข้อที่หนึ่งของนิวตัน d อิเล็กตรอนที่ไดจากการทดลองของทอมสัน
จะได้ว่า (ΣF = 0) mg มีคาเทาใด” โดยครูอาจสุมนักเรียนจากการ
FE = Fg (-) สังเกตพฤติกรรมรายบุคคล
แผ่นโลหะ B
qE = mg ภ าพที่ 6.8 แรงที่กระท�าต่อ
(แนวตอบ 1.76 × 1011 คูลอมบตอกิโลกรัม)
mg หยดน�้ามันที่ลอยนิ่ง 19. ครูถามคําถามกับนักเรียนตอวา
q = E (6.3) ที่มา : คลังภาพ อจท. • จากคาอัตราสวนของประจุไฟฟาตอมวล
ในการทดลองหามวลของหยดน�้ามัน (m) สามารถท�าได้โดยการวัดขนาดของหยดน�้ามัน ของอิเล็กตรอนสามารถทําใหทราบมวล
แล้วค�านวณหามวลจากปริมาตรและความหนาแน่นของหยดน�า้ มัน ส่วนความเข้มของสนามไฟฟ้า ของอิเล็กตรอนไดอยางไร
สามารถหาได้จากความต่างศักย์ไฟฟ้า (V) และระยะห่างระหว่างแผ่นตัวน�าคู่ขนาน (d) ซึ่งเป็นไป (แนวตอบ เมื่อแทนคาประจุไฟฟาของอิเล็ก
ตามสมการสนามไฟฟ้าระหว่างแผ่นตัวน�าคู่ขนาน ดังสมการที่ 6.4 ตรอนเขาไปในสมการจะทําใหไดมวลของ
E = Vd (6.4) อิเล็กตรอนเทากับ 9.1 × 10-31 กิโลกรัม)
20. ครูใหนักเรียนปดหนังสือเรียน ครูอานโจทย
เมื่อน�าสมการที่ 6.4 แทนลงในสมการที่ 6.3 สามารถหาค่าประจุไฟฟ้าได้ ดังสมการที่ 6.5
ปญหาจากตัวอยางที่ 6.3 จากหนังสือเรียน
q = mgdV (6.5) ใหนกั เรียนจดลงในสมุดบันทึกประจําตัว แลว
จากสมการที่ 6.5 มิลลิแกนได้ทดลองกับหยดน�้ามันหลายชนิด แล้วพบว่า ประจุไฟฟ้าที่ กําหนดเวลาใหนักเรียนใชความรูที่ไดศึกษา
ได้มีค่าเป็นจ�านวนเต็มเท่าของค่าคงตัวค่าหนึ่ง คือ 1.6 × 10-19 คูลอมบ์ มิลลิแกนจึงสรุปได้ว่า มาแลวในการแสดงวิธคี าํ นวณแกโจทยปญ หา
“ประจุไฟฟ้าของอิเล็กตรอน 1 ตัว มีขนาดเท่ากับ 1.6 × 10-19 คูลอมบ์” และใช้สัญลักษณ์ e แทน จากนัน้ ครูทาํ เชนเดิมโดยใชตวั อยางที่ 6.4-6.5
ค่าประจุไฟฟ้าของอิเล็กตรอน
เมื่อน�าสมการความสัมพันธ์ประจุต่อมวลที่ได้จากการทดลองของทอมสันมาแทนค่า
ประจุไฟฟ้าของอิเล็กตรอนที่ได้จากการทดลองของมิลลิแกน จะสามารถค�านวณหามวลของ
อิเล็กตรอน (me) ได้ ดังนี้
จากความสัมพันธ์ q 11
m = 1.76 × 10 C/kg
e 11
me = 1.76 × 10 C/kg
me = e
1.76 × 1011 C/kg
-19
me = 1.6 × 1011 C = 9.1 × 10-31 kg
1.76 × 10 C/kg
จะได้ว่า อิเล็กตรอนจ�านวน 1 อนุภาค มีมวลเท่ากับ 9.1 × 10-31 กิโลกรัม
ฟิสิกส์อะตอม 65
ขอสอบเนน การคิด
จากการทดลองหยดนํ้ามันของมิลลิแกน ถาหยดนํ้ามันมีรัศมี 60 ไมโครเมตร และสามารถลอยนิ่งอยูไดระหวางแผนโลหะที่วางหางกันเปนระยะ
10.0 เซนติเมตร ซึ่งมีความตางศักยไฟฟาเทากับ 120 โวลต อยากทราบวา จะมีอิเล็กตรอนแฝงอยูในหยดนํ้ามันนี้กี่ตัว กําหนดให หยดนํ้ามันนี้มี
ความหนาแนน 0.980 กรัมตอลูกบาศกเซนติเมตร (ไมคํานึงถึงแรงตานอากาศ)
1. 35.25 × 106 ตัว 2. 37.05 × 106 ตัว 3. 41.55 × 106 ตัว 4. 45.25 × 106 ตัว 5. 50.75 × 106 ตัว
(วิเคราะหคําตอบ q = mgd
จากสมการ ρ = m V -10
m/s2)(10.0 × 10-2 m)
V q = (8.867 × 10 kg)(9.8
120 V
m = ρV
10-3
kg 4 3 q = 7.24 × 10-12 C
m = (0.980 × -6 3 )( 3 πr ) เนื่องจากอิเล็กตรอน (e) แตละตัวมีประจุไฟฟาเทากับ 1.6 × 10-19 คูลอมบ
10 m
m = (0.980 × 10-6 kg3 )( 43 π(60 × 10-6 m)3)
-3 สามารถคํานวณหาจํานวนอิเล็กตรอนที่แฝงอยูในหยดนํ้ามันได
10 m จากสมการ n = qe
-10
m = 8.867 × 10 kg 7.24 × 10-12 C = 45.25 × 106
เนื่องจากหยดนํ้ามันลอยนิ่ง แสดงวาแรงเนื่องจากสนามไฟฟา n =
1.6 × 10-19 C
กับแรงเนื่องจากความเรงโนมถวงของโลกที่กระทํากับหยดนํ้ามัน จะไดวา จํานวนอิเล็กตรอนแฝงอยูในหยดนํ้ามันนี้เทากับ 45.25 × 106 ตัว
สมดุลกัน จะไดวา ดังนั้น ตอบขอ 4.)
T73
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
21. ครูใชคําถามใหนักเรียนอธิบายสิ่งที่นักเรียน ตัวอย่างที่ 6.3
ไดเรียนรูเ กีย่ วกับเรือ่ ง อะตอมและการคนพบ นักวิทยาศาสตร์คนหนึง่ ได้ทดลองตามแบบของมิลลิแกน พบว่า หยดน�า้ มันหยดหนึง่ ลอยนิง่ อยูไ่ ด้ระหว่าง
อิเล็กตรอน โดยครูสุมนักเรียนจํานวนหนึ่ง แผ่นโลหะขนาน 2 แผ่น ซึ่งห่างกัน 0.8 เซนติเมตร โดยมีความต่างศักย์ระหว่างแผ่นเท่ากับ 12,000
ออกมาหนาชั้นเรียนเพื่ออธิบายผลการศึกษา โวลต์ ดังภาพที่ 6.9 ถ้าหยดน�้ามันมีประจุไฟฟ้า 8 × 10-19 คูลอมบ์ หยดน�้ามันนี้มีมวลเท่าใด
ในแตละหัวขอ A (+)
qE
22. เมื่อนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความ
12,000 V 0.8 cm E
เขาใจของนักเรียนแลว ครูอาจยกตัวอยาง
mg
หรือปรับเปลีย่ นสถานการณจากตัวอยางทีไ่ ด B (-)
ศึกษา แลวใหนกั เรียนอธิบายสิง่ ทีเ่ หมือนและ ภ
าพที่ 6.9 หยดน�า้ มันลอยนิง่ อยูร่ ะหว่างแผ่นโลหะขนาน 2 แผ่น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
สิ่งที่แตกตาง
23. ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาทําความเขาใจ วิธีท�า เนื่องจากหยดน�้ามันหยุดนิ่ง ตามกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน จะได้ว่า
เกี่ยวกับอะตอมและการคนพบอิเล็กตรอน จากสมการที่ 6.5 q = mgdV
เพิ่ ม เติ ม จากแบบฝ ก หั ด รายวิ ช าเพิ่ ม เติ ม m = qVgd
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ฟสกิ ส ม.6 เลม 2 -19
หนวยการเรียนรูที่ 6 ฟสิกสอะตอม m = (8 × 10 2 C)(12,000 V) = 1.2 × 10-13 kg
(9.8 m/s )(0.8 × 10-2 m)
ลงมือท�า (Doing) ดังนั้น หยดน�้ามันนี้มีมวลเท่ากับ 1.2 × 10-13 กิโลกรัม
24. ครูใหนักเรียนศึกษาแบบฝกหัดจาก Topic
ตัวอย่างที่ 6.4
Questions จากหนังสือเรียน โดยครูมอบ
หมายใหนักเรียนแตละคนเขียนแสดงวิธีการ หากต้องการให้หยดน�้ามันมวล 5.2 × 10-15 กิโลกรัม ลอยนิ่งอยู่ระหว่างแผ่นโลหะ 2 แผ่น ที่วางขนาน
ห่างกัน 1.0 เซนติเมตร ต้องใช้ความต่างศักย์ระหว่างแผ่นโลหะ 500 โวลต์ อยากทราบว่า หยดน�้ามัน
แกโจทยปญหาลงในสมุดบันทึกประจําตัว จะมีอิเล็กตรอนเกาะอยู่กี่ตัว
25. ครู ใ ห นั ก เรี ย นสรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ อะตอม
และการคนพบอิเล็กตรอน โดยสรางสรรค วิธีท�า เนื่องจากหยดน�้ามันหยุดนิ่ง ตามกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน จะได้ว่า
ออกมาในรูปแบบของแผนพับความรูทําลง จากสมการที่ 6.5 q = mgd V
ในกระดาษ A4 พรอมทั้งตกแตงใหสวยงาม ne = V mgd
เสร็จแลวนําสงครูเพื่อตรวจใหคะแนน n = mgdeV
26. ครูมอบหมายใหนักเรียนศึกษาใบงาน เรื่อง -15 2)(1.0 × 10-2 m)
อะตอมและการคนพบอิเล็กตรอน เปนการ n = (5.2 × 10 kg)(9.8 m/s
-19 = 6
(1.6 × 10 C)(500 V)
บาน ดังนั้น หยดน�้ามันจะมีอิเล็กตรอนเกาะอยู่ 6 ตัว
66
ขอสอบเนน การคิด
ในการทดลองหยดนํ้ามันของมิลลิแกน พบวา ถาตองการใหหยดนํ้ามันซึ่งมีมวล m และอิเล็กตรอนเกาะติดอยู N ตัว ลอยนิ่งอยูระหวางแผนโลหะ
2 แผน ซึ่งวางขนานกัน โดยหางกันเปนระยะทาง L และมีความตางศักยไฟฟา V ประจุของอิเล็กตรอนที่คํานวณไดในการทดลองนี้มีคาเทาใด
mg
1. LNV 2. mgLV 3. mgL LV
4. mgN NV
5. mgL
N NV
(วิเคราะหคําตอบ หยดนํ้ามันลอยนิ่งไดเนื่องจากสมดุลของแรงเนื่องจาก นําสมการที่ (2) และ (3) แทนลงในสมการที่ (1)
สนามไฟฟาและแรงเนื่องจากความเรงโนมถวงของโลก จะไดวา Ne VL = mg
จะไดวา qE = mg (1) e = mgL
NV
พิจารณาประจุอิเล็กตรอน จากความสัมพันธ q = ne เมื่อ n คือ
ประจุของอิเล็กตรอนที่คํานวณไดในการทดลองนี้มีคาเทากับ
จํานวนอิเล็กตรอน mgL ดังนั้น ตอบขอ 3.)
จะไดวา q = Ne (2) NV
พิจารณาสนามไฟฟาระหวางแผนตัวนําคูขนาน จากสมการ E = Vd
จะไดวา E = VL (3)
T74
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ลงข อ สรุ ป โดยให
ตัวอย่างที่ 6.5 นักเรียนอธิบายสรุปความรูที่ไดศึกษามาแลว
จากการทดลองของมิลลิแกน พบว่า หยดน�้ามันที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 50 ไมโครเมตร สามารถลอยนิ่ง ทั้งเนื้อหาและตัวอยางจากหนังสือเรียน และ
อยู่ระหว่างแผ่นตัวน�าที่อยู่ห่างกัน 0.1 เซนติเมตร โดยใช้ความต่างศักย์ไฟฟ้า 1.6 × 104 โวลต์ เมื่อไม่ กิจกรรมทีน่ อกเหนือจากหนังสือเรียน พรอมทัง้
ค�านึงถึงผลของแรงต้านอากาศ ประจุไฟฟ้าของหยดน�า้ มันนีม้ คี า่ กีค่ ลู อมบ์ ก�าหนดให้ความหนาแน่นของ ยกตั ว อย า งสถานการณ ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น ที่
น�้ามันที่ใช้เท่ากับ 0.980 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
Trick เกี่ยวของเพื่อทดสอบความเขาใจ
วิธีท�า ค�านวณหามวลของหยดน�้ามัน ประมาณว่าหยดน�้ามันเป็น 2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได
จากสมการความหนาแน่น ρ = V m ทรงกลม ปริ ม าตรของหยด ศึกษาผานมาแลวในสวนที่ยังไมเขาใจหรือ
น�้ามันจึงหาได้จาก V = 43 πr3
m = ρV และรัศมีเท่ากับครึ่งหนึ่งของ สงสัย จากนั้นครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น
4
m = ρ ( 3 πr ) 3
เส้นผ่านศูนย์กลาง จะได้ว่า โดยครูอาจใช PowerPoint เรื่อง อะตอมและ
3
m = ρ ( 43 π)( d2 )3 V = 43 π ( d2 ) การคนพบอิเล็กตรอน มาเปดใหนักเรียนดู
-3 -6 m 3 ประกอบเพื่อชวยในการอธิบายใหเขาใจมาก
m = (0.980 × 10-6 kg3 )( 43 π)(50 × 10 2 ) ยิ่งขึ้น
10 m
m = 6.41 × 10-11 kg
เนือ่ งจากหยดน�า้ มันลอยนิง่ แสดงว่าแรงเนือ่ งจากสนามไฟฟ้ากับแรงเนือ่ งจากความเร่งโน้มถ่วง ขัน้ ประเมิน
ของโลกที่กระท�ากับหยดน�้ามันสมดุลกัน จึงได้ว่า 1. ประเมินความรูเกี่ยวกับเรื่อง อะตอมและการ
จากสมการที่ 6.5 q = mgd
V คนพบอิเล็กตรอน โดยสังเกตพฤติกรรมการ
(6.41 × 10-11 kg)(9.8 m/s2)(0.1 × 10-2 m) ตอบคําถาม การทําแบบฝกหัด และการสรุป
q =
1.6 × 104 V
q = 3.93 × 10 C -17 สาระสําคัญ
ดังนัน้ เมือ่ ไม่คา� นึงถึงผลของแรงต้านอากาศ ประจุไฟฟ้าของหยดน�า้ มันนีม้ คี า่ เป็น 3.93 × 10-17 คูลอมบ์ 2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา
ศาสตรจากการคํานวณเกี่ยวกับการทดลอง
Core Concept ของทอมสันและการทดลองของมิลลิแกนจาก
ให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญ เรื่อง ตัวอยางที่ครูกําหนดให และการนําความรูที่
Topic อะตอมและการคนพบอิเล็กตรอน ไดไปใชประโยชน
Questions 3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ พฤติกรรมความสนใจใฝรหู รืออยากรูอ ยากเห็น
1. ในการทดลองของมิลลิแกน เมื่อท�าให้หยดน�้ามันมวล 1.63 × 10-14 กิโลกรัม ลอยอยู่นิ่งระหว่างแผ่น และการทํางานรวมกับผูอื่นอยางสรางสรรค
โลหะขนานซึ่งวางห่างกัน 1.0 เซนติเมตร โดยแผ่นโลหะที่อยู่ด้านบนมีศักย์ไฟฟ้าสูงกว่าแผ่นโลหะที่อยู่
ด้านล่างอยู่ 400 โวลต์ ประจุไฟฟ้าของหยดน�้ามันมีค่าเท่าใด
2. จากโจทย์ข้อ 1. หยดน�้ามันนี้มีอิเล็กตรอนแฝงอยู่กี่ตัว
ฟิสิกส์อะตอม 67
n = qe
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
แบบประเมินผลงานแผ่นพับความรู้ 4 3 2 1
1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินแผ่นพับความรู้ของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
คะแนน 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ระดับคุณภาพ ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
-18
ลาดับที่ รายการประเมิน
n = 3.99 × 10-19 C
4 3 2 1 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
2 ความถูกต้องของเนื้อหา แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
3 ความคิดสร้างสรรค์ ระบบ
n ≈ 25 14–16
11–13
8–10
ต่ากว่า 8
ดีมาก
ดี
พอใช้
ปรับปรุง
T75
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T76
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2.2 แบบจําลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด 5. ครูแบงนักเรียนออกเปนกลุมเทาๆ กัน กลุม
ใน พ.ศ. 2449 ลอร์ด เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด (Lord Ernest Rutherford) ได้ศึกษาแบบ ละประมาณ 6 คน โดยคละความสามารถของ
จ�าลองอะตอมของทอมสัน และเกิดความสงสัยว่า แบบจ�าลองอะตอมของทอมสันถูกต้องหรือไม่ นักเรียนตามผลสัมฤทธิใ์ หอยูใ นกลุม เดียวกัน
โดยได้ตงั้ สมมติฐานไว้วา่ “ถ้าอะตอมมีโครงสร้างตามแบบจ�าลองอะตอมของทอมสันจริง เมือ่ ยิงอนุภาค เพือ่ รวมกันศึกษากิจกรรม ลักษณะการกระเจิง
แอลฟาซึ่งมีประจุไฟฟ้าบวกเข้าไปในอะตอม อนุภาคแอลฟาทุกอนุภาคจะทะลุผ่านเป็นเส้นตรง ของอนุภาคแอลฟา จากหนังสือเรียน
ทั้งหมด เนื่องจากอะตอมมีความหนาแน่นสม�่าเสมอเหมือนกันหมดทั้งอะตอม” รัทเทอร์ฟอร์ดท�า 6. ครูใหความรูเพิ่มเติมหรือเทคนิคเกี่ยวกับการ
การทดลองเพือ่ พิสจู น์สมมติฐานของตนเอง โดยยิงอนุภาคแอลฟาไปยังแผ่นทองค�าบาง ๆ ซึง่ มีฉาก ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม
ที่เคลือบสารเรืองแสงรองรับ ดังภาพที่ 6.11 (ก) และได้ปรากฏผลการทดลอง ดังภาพที่ 6.11 (ข) ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน
แหล่งก�าเนิดอนุภาคแอลฟา แผ่นทองค�า นิวเคลียส อนุภาคแอลฟา 7. นักเรียนแตละกลุม รวมกันพูดคุยวิเคราะหผล
การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน
พรอมทั้งตอบคําถามทายกิจกรรม
อนุภาคแอลฟา เข้าใจ (Understanding)
ฉากเรืองแสง 8. ครูใชคําถามใหนักเรียนอธิบายสิ่งที่นักเรียน
ไดเรียนรูเกี่ยวกับเรื่อง แบบจําลองอะตอม
อะตอมของทองค�า
(ก) การจัดอุปกรณ์การทดลอง (ข) ผลการทดลอง โดยครูสุมนักเรียนจํานวนหนึ่งออกมาหนา
ภาพที่ 6.11 การทดลองของรัทเทอร์ฟอร์ด ชั้นเรียนเพื่ออธิบายผลการศึกษา
ที่มา : คลังภาพ อจท. 9. ครูยกตัวอยางหรือปรับเปลี่ยนสถานการณ
จากผลการทดลอง ถ้าหากแบบจ�าลองอะตอมของทอมสันถูกต้อง เมื่อยิงอนุภาคแอลฟา จากตั ว อย า งที่ ไ ด ศึ ก ษา แล ว ให นั ก เรี ย น
ไปยังแผ่นทองค�าบาง ๆ อนุภาคแอลฟาควรพุ่งทะลุผ่านเป็นเส้นตรงทั้งหมด หรือเบี่ยงเบนเพียง อธิบายสิ่งที่เหมือนและสิ่งที่แตกตาง
เล็กน้อย และเนื่องจากอนุภาคแอลฟาส่วนมากทะลุผ่านเป็น 10. ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาทําความเขาใจ
เส้นตรง แสดงว่าองค์ประกอบของอะตอมส่วนมากเป็นที่ว่าง เกี่ยวกับแบบจําลองอะตอมเพิ่มเติมจากแบบ
และมีอนุภาคแอลฟาบางส่วนมีการกระเจิง (scattering) กลับ ฝ ก หั ด รายวิ ช าเพิ่ ม เติ ม วิ ท ยาศาสตร แ ละ
แสดงว่าประจุบวกรวมกันอยู่ตรงกลาง โดยมีขนาดเล็กมาก เทคโนโลยี ฟสกิ ส ม.6 เลม 2 หนวยการเรียนรู
แต่มีมวลมาก เรียกกลุ่มประจุบวกที่รวมกันอยู่ตรงกลางว่า ที่ 6 ฟสิกสอะตอม
นิวเคลียส (nucleus) เขาจึงเสนอแนวคิดขึ้นมาและอธิบายไว้ว่า
“อะตอมประกอบด้วยนิวเคลียสที่มีโปรตอนรวมกันอยู่ตรงกลาง ภาพที่ 6.12 แบบจ�าลองอะตอม ลงมือท�า (Doing)
นิวเคลียสมีขนาดเล็ก แต่มีมวลมาก และมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก ของรัทเทอร์ฟอร์ด 11. ครูใหนกั เรียนสรุปความรูเ กีย่ วกับแบบจําลอง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ส่วนอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุไฟฟ้าเป็นลบและมีมวลน้อยมาก อะตอม โดยสรางสรรคออกมาในรูปของแผน
จะเคลื่อนที่อยู่รอบ ๆ นิวเคลียส” ดังภาพที่ 6.12 พับความรูล งในกระดาษ A4 พรอมทัง้ ตกแตง
แบบจําลองอะตอม ฟิสิกส์อะตอม 69 ใหสวยงาม เสร็จแลวรวบรวมสงครู
https://www.aksorn.com/interactive3D/RNC52
12. ครูใหนักเรียนศึกษาใบงาน เรื่อง แบบจําลอง
อะตอม
T77
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ลงข อ สรุ ป โดยให กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
นักเรียนอธิบายสรุปความรูที่ไดศึกษามาแลว • การสังเกต
ทั้งเนื้อหาและตัวอยางจากหนังสือเรียน และ ลักษณะการกระเจิงของอนุภาคแอลฟา • การทดลอง
• การตีความหมายข้อมูลและ
กิจกรรมทีน่ อกเหนือจากหนังสือเรียน พรอมทัง้ ลงข้อสรุป
จิตวิทยาศาสตร์
ยกตั ว อย า งสถานการณ ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น ที่ วัสดุอปุ กรณ์ • ความรอบคอบ
เกี่ยวของเพื่อทดสอบความเขาใจ 1. เม็ดพลาสติกขนาดเล็ก 3. แม่เหล็กแผ่นกลม 6 อัน
• ความมุ่งมั่น อดทน
2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได 2. ถาดลดแรงเสียดทานหรือถาดที่มีผิวเรียบ
ศึกษาผานมาแลวในสวนที่ยังไมเขาใจหรือ
วิธปี ฏิบตั ิ
สงสัย จากนั้นครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น
โดยครูอาจใช PowerPoint เรื่อง อะตอมและ 1. น�าแม่เหล็กแผ่นกลมวางซ้อนกัน 3 อัน บนถาดลดแรงเสียดทาน เรียกแม่เหล็กชุดนี้ว่า แม่เหล็ก A
การคนพบอิเล็กตรอน มาเปดใหนักเรียนดู 2. โรยเม็ดพลาสติกรอบ ๆ แม่เหล็ก A โดยเกลี่ยให้สม�่าเสมอทั่วกันทั้งถาด ดังภาพที่ 6.13 (ก)
3. วางแม่เหล็กแผ่นกลมอีก 3 อัน โดยจัดเรียงให้อยู่ในระนาบเดียวกัน เรียกระนาบนี้ว่า แนว B ดังภาพที่
ประกอบ 6.13 (ข) จากนัน้ ผลักแผ่นแม่เหล็กในแนว B แต่ละอันในแนวตรงให้เคลือ่ นทีเ่ ข้าหาแม่เหล็ก A แล้วบันทึก
เส้นทางการเคลื่อนที่ของแผ่นแม่เหล็กแต่ละอัน
ขัน้ ประเมิน
(ก) ถาดลดแรงเสียดทานที่มี (ข)
1. ประเมิ น ความรู เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ ง แบบจํ า ลอง เม็ดพลาสติกกระจายตัว
แม่เหล็ก A
อะตอม โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคําถาม
การทําแบบฝกหัด และการสรุปสาระสําคัญ
2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา แม่เหล็กแผ่นกลมซ้อนกัน 3 อัน
ศาสตร จ ากการเขี ย นแผนภาพสรุ ป ความรู เรียกว่า แม่เหล็ก A
วิวัฒนาการของแบบจําลองอะตอม ภ
าพที่ 6.13 การจัดอุปกรณ์ลักษณะการกระเจิงของอนุภาคแอลฟา
3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต ที่มา : คลังภาพ อจท.
พฤติกรรมความสนใจใฝรหู รืออยากรูอ ยากเห็น
ค�าถามท้ายกิจกรรม
และการทํางานรวมกับผูอื่นอยางสรางสรรค ?
1. แรงระหว่างแม่เหล็ก A และแม่เหล็กตามแนว B เป็นแรงแบบดูดหรือแรงแบบผลัก และแรงที่แม่เหล็ก
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม ทั้งสองได้รับเท่ากันหรือไม่ อย่างไร
1. แรงระหวางแมเหล็ก A และแมเหล็ก B เปนแรง 2. การเคลื่อนที่ของแม่เหล็กแผ่นกลมในแนว B แต่ละต�าแหน่งเหมือนหรือต่างกัน อย่างไร
ผลัก ซึ่งแรงที่แมเหล็กทั้งสองไดรับหรือกระทํา อภิปรายผลท้ายกิจกรรม
ตอกันมีขนาดเทากัน จากการท�ากิจกรรมแผ่นแม่เหล็กในแนว B กับแม่เหล็ก A จะชนกันแต่ไม่สมั ผัสกัน แสดงว่าแผ่นแม่เหล็ก
2. ตางกัน เมื่อแมเหล็ก B เขาใกลแมเหล็ก A จะมี ในแนว B มีแรงกระท�ากับแม่เหล็ก A และเมื่อพิจารณาเส้นทางการเคลื่อนที่ของแม่เหล็ก B จะคล้ายกับ
แรงกระทําตอกัน สงผลใหแมเหล็ก B เบนแนว เส้นทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคแอลฟาเมื่อผ่านอะตอมของโลหะต่าง ๆ
การเคลือ่ นที่ โดยทีแ่ นวการเคลือ่ นทีข่ องแมเหล็ก 70
B หางจากแมเหล็ก A มาก ก็จะเบนนอยลง แต
ถายิ่งเขาใกลก็จะยิ่งเบนมากขึ้น
ระดับคะแนน
แนวการเคลื่อนที่ของแมเหล็ก B เขาใกลแมเหล็ก A มากขึ้น ก็จะเกิดการ
เบนหรือเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่มากขึ้น และหากมีแนวการเคลื่อนที่
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติการของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
ระดับคะแนน
1. การปฏิบัติการ ทาการทดลองตาม ทาการทดลองตาม ต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องให้ความช่วยเหลือ
ระดับคะแนน ทดลอง ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ บ้างในการทาการ อย่างมากในการทาการ
ลาดับที่ รายการประเมิน ได้ อ ย่ า งถู ก ต้ อ ง แต่ อ าจ ทดลอง และการใช้ ทดลอง และการใช้
4 3 2 1
การเคลื่อนที่เดิมได ดังภาพตัวอยาง
รวม คล่องแคล่ว ในขณะทาการทดลอง ในขณะทาการทดลอง ในขณะทาการทดลอง ทันเวลา และทา
ในขณะ โดยไม่ต้องได้รับคา แต่ต้องได้รับคาแนะนา จึงทาการทดลองเสร็จ อุปกรณ์เสียหาย
ปฏิบัติการ บ้าง และทาการทดลอง ไม่ทันเวลา
ชี้แนะ และทาการ
เสร็จทันเวลา
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ทดลองเสร็จทันเวลา
............../................../................ 3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ
B A
และนาเสนอผล ทดลองได้ถูกต้อง รัดกุม ทดลองได้ถูกต้อง แต่ บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
การทดลอง นาเสนอผลการทดลอง การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทดลอง สรุป และนาเสนอผล
เป็นขั้นตอนชัดเจน ทดลองยังไม่เป็น การทดลอง
ขั้นตอน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน
10-12
ระดับคุณภาพ
ดีมาก
B
B
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T78
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ฟิสิกส์อะตอม 71
วิ ธีก ารหนึ่ ง ที่ จ ะทํ า ให ท ราบถึ ง ธาตุ ที่ เ ป น
องคประกอบของวัตถุใดๆ คือ การนําวัตถุหรือ
สารนั้นไปเผา แลวสังเกตสีของเปลวไฟ
T79
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
3. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายความรูเกี่ยว หลอดไฟบรรจุ ช่องทางเดินแสง
แก๊สไฮโดรเจน สเปกตรัมแบบเส้น
กับสเปกตรัม จนไดขอสรุปเกี่ยวกับพลังงาน
ปริซึม
และความถีข่ องคลืน่ แมเหล็กไฟฟาออกมาเปน
สมการแสดงความสัมพันธ E = hf = hc λ
4. ครูใหนักเรียนแตละคูรวมกันศึกษาคนควา
เกี่ยวกับการศึกษาสเปกตรัมที่เกิดจากการเผา
สารประกอบและธาตุบางชนิด หรือการทดสอบ
สีของเปลวไฟจากสื่อดิจิทัลตางๆ จากนั้นนํา ภาพที่ 6.15 สเปกตรัมแบบเส้นที่เกิดจากการให้ความร้อนแก่แก๊สไฮโดรเจน
ขอมูลที่ไดมาสรุปเปนองคความรูของคูตนเอง ที่มา : คลังภาพ อจท.
E = hf = hc
λ
(6.6)
T80
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
และเส้นสเปกตรัมที่ได้มาเปรียบเทียบกับผลการทดลองที่นักวิทยาศาสตร์ได้สรุปไว้ การวิเคราะห์ 5. ครูสมุ ตัวแทนนักเรียนออกมาหนาชัน้ เรียนเปน
สารวิธีนี้ เรียกว่า การทดสอบสีของเปลวไฟ (flame test) คูๆ เพื่อใหนําเสนอและอธิบายผลการศึกษา
ของตนเอง เปนการแลกเปลี่ยนความรูซึ่งกัน
ตารางที่ 6.1 : ตัวอยางสีของเปลวไฟที่เกิดจากการเผาสารประกอบ และกัน โดยครูคอยเสนอแนะและใหคาํ แนะนํา
สารประกอบ ตัวอย่าง สีของเปลวไฟ 6. ครูใหนักเรียนศึกษาการทดสอบสีของเปลว
ลิเทียม LiCl, LiNO3, Li2CO3 สีแดง ไฟจากหนังสือเรียนอีกครั้ง เพื่อสรุปความรูที่
ตนเองไดศึกษาจากสื่อดิจิทัลตางๆ ใหเปนไป
โซเดียม NaCl, Na2SO4, Na2CO3 สีเหลือง ในแนวทางเดียวกัน
7. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 6.6 รวมกัน
โพแทสเซียม KCl, K2SO4, KNO3 สีม่วง บนกระดานหนาชั้นเรียน
2. เมื่อน�าสารประกอบมาเผา องค์ประกอบส่วนที่เป็นอโลหะจะให้สเปกตรัมในช่วงแสงที่
มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงท�าให้มองไม่เห็นเส้นสเปกตรัม
3. ในการศึกษาสเปกตรัมของธาตุที่เป็นแก๊ส จะน�าแก๊สไปบรรจุหลอดแก้วที่มีความดันต�่า
และผ่านกระแสไฟฟ้าทีม่ คี วามต่างศักย์สงู เข้าไปแทนการเผาด้วยความร้อน เมือ่ แก๊สได้รบั พลังงาน
ไฟฟ้าจะปล่อยแสงเป็นสเปกตรัมลักษณะเฉพาะของธาตุนั้น ๆ และธาตุอโลหะบางชนิดก็ให้แสงที่
มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น ฮีเลียม (He) นีออน (Ne) อาร์กอน (Ar)
ตัวอย่างที่ 6.6
เส้นสเปกตรัมสีน�้าเงินมีความยาวคลื่น 490 นาโนเมตร จะมีความถี่เท่ากับเท่าใด
วิธีท�า จากสมการที่ 6.6 E = hc
λ
hf = hc
λ
f c
= λ
8
f = 3 × 10 -9m/s = 6.12 × 1014 Hz
490 × 10 m
ดังนั้น เส้นสเปกตรัมสีน�้าเงินนี้จะมีความถี่เท่ากับ 6.12 × 1014 เฮิรตซ์
ฟิสิกส์อะตอม 73
T81
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
8. ครูแบงนักเรียนออกเปนกลุมเทาๆ กัน กลุม
กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร
• การสังเกต
ละประมาณ 5-6 คน โดยคละความสามารถ การศึกษาสเปกตรัมของแกสร้อน • การทดลอง
• การจัดกระท�าและสื่อความหมาย
ของนักเรียนตามผลสัมฤทธิ์ ใหอยูในกลุม ข้อมูล
เดียวกัน เพือ่ รวมกันศึกษากิจกรรม การศึกษา วัสดุอปุ กรณ จิตวิทยำศำสตร
• ความรอบคอบ
สเปกตรัมของแกสรอน จากหนังสือเรียน 1. เกรตติง 3. ไม้เมตร
• ความมุ่งมั่น อดทน
9. ครูชี้แจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน 2. ชุดสเปกตรัม 4. หลอดบรรจุแก๊สไฮโดรเจนและนีออน
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกตอง
10. ครูใหความรูเพิ่มเติมหรือเทคนิคเกี่ยวกับการ วิธปี ฏิบตั ิ
ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม 1. มองแสงขาวของหลอดฟลูออเรสเซนต์ผ่านเกรตติง โดยสังเกตแถบสีบริเวณด้านข้าง แล้วบันทึกลักษณะ
ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน ของแถบสีที่เห็น
11. นักเรียนแตละกลุม รวมกันพูดคุยวิเคราะหผล 2. จัดอุปกรณ์การทดลอง ดังภาพที่ 6.16 โดยวางจุดกึ่งกลางของไม้เมตรอยู่ตรงต�าแหน่งกึ่งกลางของหลอด
การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน บรรจุแก๊สไฮโดรเจน และระยะห่างจากเกรตติงถึงไม้เมตร (D) เป็นระยะ 1 เมตร
ชุดสเปกตรัม
หลอดบรรจุแก๊สไฮโดรเจน
ไม้เมตร
D
เกรตติง
ภำพที่ 6.16 ชุดการทดลองการศึกษาสเปกตรัมของแก๊สร้อน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
3. เปดสวิตช์ชุดสเปกตรัม แล้วมองแสงของหลอดบรรจุแก๊สไฮโดรเจนผ่านเกรตติง จากนั้นจัดระนาบให้มอง
เห็นเส้นสเปกตรัมปรากฏชัดที่ทั้ง 2 ข้าง ของไม้เมตร
4. บันทึกภาพและสีท่ีมองเห็น จากนั้นบันทึกต�าแหน่งต่าง ๆ ของเส้นสเปกตรัมที่ปรากฏบนไม้เมตรแต่ละ
ข้าง โดยบันทึกระยะห่างของสเปกตรัมจากขีดกลางไม้เมตรไปทางด้านซ้ายเป็นระยะ x1 และระยะห่างของ
สเปกตรัมจากขีดกลางไม้เมตรไปทางด้านขวาเป็นระยะ x2 ดังภาพที่ 6.17
ชุดสเปกตรัม
ต�าแหน่งเส้นสเปกตรัมด้านซ้าย ต�าแหน่งเส้นสเปกตรัมด้านขวา
x1 x2 ภ
ำพที่ 6.17 ต�าแหน่งของเส้น
สเปกตรัมบนไม้เมตร
D ที่มา : คลังภาพ อจท.
θ
เกรตติง
74
ขอสอบเนน การคิด
ถาอะตอมของไฮโดรเจนเปลีย่ นระดับพลังงานจากสถานะกระตุน ที่ 2 มายังสถานะพืน้ อยากทราบวา อะตอมจะปลดปลอยโฟตอนทีม่ คี วามยาวคลืน่
ประมาณเทาใด
1. 57.68 นาโนเมตร 2. 98.56 นาโนเมตร 3. 102.56 นาโนเมตร 4. 160.02 นาโนเมตร 5. 220.00 นาโนเมตร
-9
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ E = hf λ = 1,240 × Δ10E m eV
E = hc -9
λ
-34 8 = 1,240 E× 10
λ
- E
m eV
E = (6.626 × 10 J s)(3
-19
× 10 m/s) 3 1
λ(1.6 × 10 J/eV) จากอนุกรมเสนสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน
-9
E = 1,240 × 10-9 m eV จะไดวา λ = 1,240 × 10 m eV
λ -1.51 eV - (-13.6 eV)
-9
การเปลี่ยนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนจากวงนอกเขาสูวงใน (n = 3 λ = 1,24012.09
× 10 m eV
eV
ไป n = 1) จะใหโฟตอนที่มีความยาวคลื่นตามผลตางพลังงานของระดับ
= 102.56 × 10-9 m = 102.56 nm
λ
ชั้นทั้งสอง -9 นั่นคือ อะตอมจะปลดปลอยโฟตอนที่มีความยาวชวงคลื่นประมาณ
จะไดวา ΔE = 1,240 × 10 m eV
λ 102.56 นาโนเมตร ดังนั้น ตอบขอ 3.)
T82
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
5. ค�านวณหาระยะห่างจากขีดกลางไม้เมตรของเส้นสเปกตรัมแต่ละสี xav 12. ครูเนนยํา้ ใหนกั เรียนตอบคําถามทายกิจกรรม
ซึ่งหาได้จากค่าเฉลี่ยของค่า x1 และ x2 ซึ่งมีสมการเป็น จากหนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว
x +x เพื่อนําสงครูเปนการตรวจสอบความเขาใจ
xav = 1 2 2
6. ค�านวณหาระยะด้านตรงข้ามมุมฉาก (c) ของสเปกตรัมแต่ละสีซึ่ง จากการปฏิบัติกิจกรรม
D
เป็นระยะด้านตรงข้ามมุมฉากของสามเหลี่ยมมุมฉากที่มี D และ c 13. ครูนําอภิปรายและใหความรูเกี่ยวกับเรื่อง
xav เป็นด้านประกอบมุมฉาก ดังภาพที่ 6.18 จากสมการ สเปกตรัมของแสงที่ไดจากการทํากิจกรรม
c = D2 + (xav)2 จากนั้นชักชวนนักเรียนสนทนาตอวา เมื่อ
7. ค�านวณหาค่า sin θ ของสเปกตรัมแต่ละสี จากสมการ θ วิเคราะหสเปกตรัมของแกสที่ประกอบดวย
xav อะตอมของธาตุไฮโดรเจนจะเห็นเสนสวางที่
sin θ = c
ภ
ำพที่ 6.18 แผนภาพส�าหรับ
8. ค�านวณหาค่าความยาวคลื่นของสเปกตรัมแต่ละสี จากสมการ การค�านวณหาค่ามุม θ
มีความยาวคลื่นเรียงกันเปนกลุมอยางเปน
λ = d sin θ เมื่อ d คือ ระยะระหว่างเส้นของเกรตติงที่ใช้ใน ที่มา : คลังภาพ อจท. ระเบียบ เรียกวา อนุกรม จนกระทั่งบัลเมอร
การทดลอง แล้วบันทึกผล สามารถคิดคนสมการที่ใชในการคํานวณหา
9. ทา� การทดลองข้อ 1.-8. ซ�า้ โดยเปลีย่ นหลอดบรรจุแก๊สเป็นหลอดบรรจุแก๊สนีออนหรือแก๊สชนิดอืน่ ๆ สังเกต ความยาวคลื่นของสเปกตรัมเสนสวางตางๆ
ลักษณะสีและต�าแหน่งของสเปกตรัมต่าง ๆ แล้วน�าข้อมูลมาเปรียบเทียบกับข้อมูลก่อนหน้านี้ ของอะตอมไฮโดรเจนในชวงแสงทีต่ ามองเห็น
ไดดวยตาเปลา ดังสมการ
2
?
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม λ = b ( 2n 2 )
n -2
1. สเปกตรัมของแสงขาวที่ได้จากหลอดฟลูออเรสเซนต์ เมื่อมองผ่านเกรตติงมีลักษณะเหมือนหรือแตกต่าง
จากสเปกตรัมของหลอดบรรจุแก๊สอย่างไร
2. สเปกตรัมของหลอดบรรจุแก๊สแต่ละชนิดที่ได้จากการทดลองมีลักษณะเหมือนหรือต่างกัน อย่างไร
3. สเปกตรัมจากแก๊สแต่ละชนิดประกอบด้วยแสงที่มีความยาวคลื่นใดบ้าง แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
1. สเปกตรัมทีไ่ ดจากหลอดไฟหรือหลอดฟลูออเรส
อภิปรายผลท้ายกิจกรรม
เซนตจะเปนสเปกตรัมตอเนื่อง สวนสเปกตรัมที่
เมื่อสังเกตสเปกตรัมของแสงที่ได้จากหลอดบรรจุแก๊สไฮโดรเจนและหลอดบรรจุแก๊สนีออนจะมีลักษณะ ไดจากหลอดบรรจุแกสจะเปนสเปกตรัมแบบเสน
เหมือนกัน คือ เป็นเส้น ๆ แยกออกจากกัน และไม่เรียงต่อกันอย่างต่อเนื่อง แต่จะประกอบด้วยแสงสีต่างกัน 2. มีลักษณะเหมือนกัน คือ สเปกตรัมมีลักษณะ
เรียกว่า สเปกตรัมแบบเส้น โดยสเปกตรัมของแก๊สแต่ละชนิดจะประกอบด้วยชุดของแสงสีเฉพาะ แตกต่างกัน
เปนเสนๆ แยกออกจากกันอยางชัดเจน โดยที่
อาจกล่าวได้วา่ สเปกตรัมเป็นสมบัตเิ ฉพาะตัวของธาตุแต่ละชนิด และเมือ่ พิจารณาสเปกตรัมทีไ่ ด้จากหลอดบรรจุ
แก๊สทั้ง 2 ชนิด เทียบกับสเปกตรัมจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ จะเห็นได้ว่า มีความแตกต่างกัน โดยสเปกตรัม แตละเสนจะประกอบดวยแสงสีตา งๆ เชน สีแดง
จากหลอดฟลูออเรสเซนต์จะเป็นสเปกตรัมต่อเนื่อง และสเปกตรัมจากหลอดบรรจุแก๊สจะเป็นสเปกตรัมไม่ สีนํ้าเงิน สีมวง สีสม สีเหลือง
ต่อเนื่องหรือเรียกว่า สเปกตรัมแบบเส้น 3. แกสไฮโดรเจนประกอบดวยแสงที่มีความยาว
คลื่น 669 นาโนเมตร 492 นาโนเมตร และ 422
ฟิสิกส์อะตอม 75
นาโนเมตร แก ส นี อ อนประกอบด ว ยแสงที่ มี
ความยาวคลื่น 669 นาโนเมตร 615 นาโนเมตร
และ 575 นาโนเมตร
บันทึก กิจกรรม
หากกําหนดใหระยะระหวางเสนของเกรตติง d = 1.886 × 10-4 เซนติเมตร
เสนสเปกตรัมทางซาย เสนสเปกตรัมทางขวา
สีของ
แหลงกําเนิด เสนสเปกตรั ระยะเฉลี่ย ระยะ c ความยาวคลื่น
ม ตําแหนง ระยะ x1 ตําแหนง ระยะ x2 xav (cm) (cm) sin θ λ (cm)
(cm) (cm) (cm) (cm)
สีแดง 14.0 36.0 90.0 40.0 38.0 106.98 0.355 6.69 × 10-5
แกส
สีนํ้าเงิน 23.0 27.0 77.0 27.0 27.0 103.58 0.261 4.92 × 10-5
ไฮโดรเจน
สีมวง 16.0 24.0 72.0 22.0 23.0 102.61 0.224 4.22 × 10-5
สีแดง 12.5 37.5 88.5 38.5 38.0 106.98 0.355 6.69 × 10-5
แกสนีออน สีสม 14.5 35.5 83.5 33.5 34.5 105.78 0.326 6.15 × 10-5
สีเหลือง 19.0 31.0 83.0 33.0 32.0 104.99 0.305 5.75 × 10-5
(ขอมูลขางตนเปนเพียงตัวอยางของผลการทํากิจกรรม การพิจารณาและตรวจสอบผลการทํากิจกรรมจริงขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
T83
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
14. ครูใหนกั เรียนศึกษา เรือ่ ง การแผคลืน่ แมเหล็ก เมื่อวิเคราะห์สเปกตรัมของแก๊สที่ประกอบด้วยอะตอมของธาตุไฮโดรเจน จะเห็นเส้นสว่าง
ไฟฟาของวัตถุดํา จากหนังสือเรียน ที่มีความยาวคลื่นเรียงกันเป็นกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ เรียกว่า อนุกรม (series) ท�าให้นักฟิสิกส์
15. ครูสุมถามคําถามกับนักเรียนวา พยายามแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความยาวคลื่นของสเปกตรัมเส้นสว่างในรูปแบบของสมการ
• วัตถุดําคืออะไร ทางคณิตศาสตร์ ใน พ.ศ. 2428 โยฮันน์ ยาคอบ บัลเมอร์ (Johann Jacob Balmer) สามารถ
(แนวตอบ วัตถุดาํ คือ วัตถุอดุ มคติทสี่ ามารถ คิดค้นสมการที่ใช้ในการค�านวณหาค่าความยาวคลื่นของสเปกตรัมเส้นสว่างต่าง ๆ ของอะตอม
ดูดกลืนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มาตกกระทบ ไฮโดรเจนในช่วงแสงทีม่ องเห็นได้ดว้ ยตาเปล่า มีทงั้ หมด 4 เส้น สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์
ไดอยางสมบูรณ เมือ่ วัตถุดาํ เกิดสมดุลของ ได้ ดังสมการที่ 6.7 ซึ่งเป็นสมการที่ได้จากการทดลอง แต่ภายหลังสามารถพิสูจน์ได้จากแบบ
อุณหภูมิจะแผรังสีความรอนออกมาเปน จ�าลองของโบร์ (ฺBohr model) และเนื่องจากบัลเมอร์เป็นคนแรกที่ค้นพบความสัมพันธ์นี้ จึงเรียก
สเปกตรัมที่มีลักษณะเฉพาะตัว ตําแหนง อนุกรมความยาวคลื่นของสเปกตรัมเส้นสว่างนี้ว่า อนุกรมบัลเมอร์ (Balmer series)
สูงสุดของสเปกตรัม ณ ความยาวคลื่นคา 2
หนึ่งจะขึ้นอยูกับอุณหภูมิของวัตถุดําและ λ = b( 2 n 2 ) (6.7)
n - 2
คาคงตัวบางตัวเทานั้น) λ คือ ความยาวคลื่นของสเปกตรัมเส้นสว่าง มีหน่วยเป็น เมตร (
เมตร (m)
16. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายความรูเกี่ยว b คือ ค่าคงตัว มีค่าเท่ากับ 364.56 × 10-9 เมตร
กับวัตถุดํา โดยจากการศึกษาสเปกตรัมของ n คือ จ�านวนเต็มที่มีค่ามากกว่า 2 (
2 (n = 3, 4, 5, …)
การแผรังสีความรอนจากวัตถุดํา โดยการ
วัดความเขมของคลื่นกับความยาวคลื่นที่แผ 3.2 การแผคลื่นแมเหล็กไฟฟาของวัตถุดํา
ออกมา พบวา อุณหภูมิของวัตถุสัมพันธกับ วัตถุตา่ ง ๆ เมือ่ มีอณ
ุ หภูมสิ งู ขึน้ จะปลดปล่อยคลื1น่ แม่เหล็กไฟฟ้าออกมาในปริมาณทีส่ มั พันธ์
ความยาวคลื่นที่ใหคาความเขมสูงสุดของ กับอุณหภูมขิ องวัตถุนนั้ เรียกว่า การแผ่รงั สีความร้อน เช่น เมือ่ เผาแท่งเหล็กให้รอ้ น จะเริม่ เห็นเนือ้
สเปกตรัมที่แผออกมา ดังสมการ เหล็กเปลี่ยนเป็นสีแดง (แท่งเหล็กปล่อยคลื่นแสงในช่วงสีแดง)
λmaxT = 2.9 × 10-3 m K Physics
เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นไปอีกจะเป็นสีเหลือง และเปล่งแสงสีขาวเมื่อ in real life
17. ครูใหความรูเพิ่มเติมวา จากแบบจําลองของ ร้อนจัด นักวิทยาศาสตร์พบว่า คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าจากการแผ่รงั สี สีดา� สามารถดูดกลืนแสงในทุก
วัตถุดํา รังสีที่หลุดเล็ดลอดออกมาจากรูเปด ความร้อน ประกอบด้วยความยาวคลื่นในช่วงต่าง ๆ เกิดเป็น ย่านความถี ่ รวมทัง้ ย่านอินฟาเรด
เปนรังสีที่ถูกปลอยจากผนังไมใชรังสีสะทอน สเปกตรัมต่อเนื่อง ซึ่งมีความเข้มแสงในแต่ละความยาวคลื่น วัตถุที่มีสีด�าจึงดูดความร้อนไว้
และวั ต ถุ ทุ ก ชนิ ด ในจั ก รวาลจะแผ รั ง สี ใ น ต่างกัน ทั้งนี้ การศึกษาการแผ่รังสีความร้อนของวัตถุเริ่มต้น กับตัวเองได้มากทีส่ ดุ ซึง่ วัตถุทมี่ ี
ลักษณะเดียวกับวัตถุดํา จากวัตถุทเี่ ป็นตัวแผ่รงั สีแบบอุดมคติ กล่าวคือ การแผ่รังสีของ สีอ่อนและสีฉูดฉาดจะสะท้อน
18. ครูใหนกั เรียนศึกษากราฟแสดงความสัมพันธ วัตถุขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของวัตถุเท่านั้น เนื่องจากวัตถุอุดมคติจะ แสงได้มากและดูดกลืนเฉพาะ
บางย่านความถี่เท่านั้น ดังนั้น
ระหวางอุณหภูมิกับการแผรังสีของวัตถุจาก ปลดปล่อยคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าได้ทกุ ย่านความถี ่ และสามารถดูดกลืน เมือ่ เราใส่เสือ้ ผ้าสีดา� เราจึงรูส้ กึ
หนังสือเรียน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ดีทุกย่านความถี่ (เมื่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ร้อนกว่าเวลาเราใส่เสือ้ ผ้าสีออ่ น
ตกกระทบวัตถุ คลื่นจะไม่สะท้อนออกมา เนื่องจากวัตถุดูดกลืน หรือสีฉูดฉาด
คลื่นไว้หมด) เรียกวัตถุอุดมคตินี้ว่า วัตถุด�า (black body)
76
T84
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
λmax
T = 5,000 K
ความเข้ม
T = 4,000 K
T = 3,000 K
T = 2,000 K
T85
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
21. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายความรูเพื่อ ใน พ.ศ. 2443 มักซ์ พลังค์ (Max Planck) ได้เสนอสมมติฐานเพื่ออธิบายการแผ่รังสีของ
ใหเขาใจไปในแนวทางเดียวกันวา สมมติฐาน วัตถุดา� ทีไ่ ด้จากการทดลอง โดยคิดว่ารังสีทแี่ ผ่ออกมาเกิดจากตัวแผ่รงั สีระดับจุลภาคทีเ่ หมือนประจุ
ของพลังคสรุปไดวา พลังงานทีว่ ตั ถุดาํ ดูดกลืน แกว่งกวัดอยู่ในวัตถุ ซึ่งสั่นด้วยความถี่ที่ขึ้นอยู่กับพลังงานของวัตถุ โดยพลังงานในการสั่นจะเป็น
หรือแผออกมามีคาไดเฉพาะบางคาเทานั้น ค่าไม่ต่อเนื่องและมีค่าเป็นขั้น ๆ ซึ่งการพิจารณานี้เสมือนว่าภายในวัตถุจ1ะมีการสั่นเป็นค่าเฉพาะ
และคานี้จะเปนจํานวนเทาของ hf เรียกวา คล้ายกับคลืน่ นิง่ ในเส้นเชือกทีก่ ารสัน่ จะเป็นจ�านวนเท่าของความถีม่ ลู ฐาน ซึง่ สมมติฐานของพลังค์
ควอนตัมพลังงาน โดยที่คลื่นแมเหล็กไฟฟา (Plank’s hypothesis) สรุปได้ว่า “พลังงานที่วัตถุด�าดูดกลืนหรือแผ่ออกมามีค่าได้เฉพาะบางค่า
หรือแสงความถี่ f จะมีพลังงาน ดังสมการ เท่านั้น” และค่านี้จะเป็นจ�านวนเท่าของ hf เรียกว่า ควอนตัมของพลังงาน (quantum of energy)
E = nhf และคาพลังงานที่วัตถุปลดปลอย โดยที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสงความถี่ f จะมีพลังงาน ดังสมการที่ 6.9
หรื อ ดู ด กลื น ในรู ป ของคลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า
เรียกวา โฟตอน E = nhf (6.9)
22. ครูใหนกั เรียนปดหนังสือเรียน จากนัน้ ครูอา น
Ε คือ พลังงานของการแผ่รังสีของวัตถุ มีหน่วยเป็น จูล (
(J)
ขอคําถามในตัวอยางที่ 6.7-6.8 จากหนังสือ
n คือ จ�านวนเต็มบวกใด ๆ เรียกว่า เลขควอนตัม ( (n = 1, 2, 3, …)
เรียน ใหนักเรียนจดลงกระดาษ A4 h คือ ค่าคงตัวของพลังค์ ((Plank’s constant) มีค่าเท่ากับ 6.626 × 10-34 จูล วินาที (J s)
23. ครูใหเวลานักเรียนในการศึกษาและแสดงวิธี f คือ ความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสง มีหน่วยเป็น เฮิรตซ์ ((Hz)
แกโจทยปญหาเพื่อหาคําตอบจากขอคําถาม
ที่ครูมอบหมายให โดยนักเรียนคนใดทําเสร็จ การตั้งสมมติฐานของพลังงานที่เป็นล�าดับขั้นของพลังงาน ในช่วงแรกเริ่มที่เสนอทฤษฎีน้ ี
แลวใหเขียนชื่อ-สกุล เลขที่ และชั้น ไวที่มุม นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นในทฤษฎีว่าจะเป็นจริง ต่อมาภายหลังเมื่อมีการทดลองต่าง ๆ
ขวาบนของกระดาษ จากนั้นนําสงครูหนาชั้น ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ในระดับอะตอม พบว่า ทฤษฎีที่ตั้งบนพื้นฐานของความเป็นขั้น ๆ ไม่
เรียน ต่อเนื่อง (quantum) อธิบายผลต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น การอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
การเกิดรังสีเอกซ์ การกระเจิงคอมป์ตนั เมือ่ วัตถุปลดปล่อยพลังงานออกมาจะมีการเปลีย่ นขัน้ ของ
24. ครูตรวจคําตอบของนักเรียนในเบื้องตน แลว
สถานะ ท�าให้ระดับพลังงานลดลง และในทางกลับกัน เมือ่ วัตถุดดู กลืนพลังงานเข้าไประดับพลังงาน
สุมตัวแทนนักเรียนออกมาอธิบายและแสดง
จะสูงขึ้น การที่พลังงานมีค่าต่างกันเป็นขั้น ๆ เรียกว่า ควอนไตเซชัน (quantization) และค่า
วิธีแกโจทยปญหาเพื่อหาคําตอบบนกระดาน พลังงานทีว่ ตั ถุปลดปล่อยหรือดูดกลืนในรูปของคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า เรียกว่า โฟตอน (photon) ดังนัน้
หน า ชั้ น เรี ย นคนละ 1 ข อ โดยครู ค อย อาจพิจารณาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใดที่มีความถี่ f เป็นโฟตอนที่มีพลังงาน E = hf
สังเกตการณและใหคําแนะนําเมื่อนักเรียน
เกิดปญหาหรือมีขอสงสัย P hysics
Focus มักซ์ พลังค์
มักซ์ พลังค์ (พ.ศ. 2401-2490) เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวเยอรมันที่บุกเบิกการศึกษาทฤษฎี
ควอนตัม อันเป็นส่วนส�าคัญในการศึกษาฟิสิกส์สมัยใหม่ โดยน�าแนวคิดเกี่ยวกับควอนตัมพลังงานมา
ใช้อธิบายการแผ่รังสีของวัตถุด�า และพลังค์ยังได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ พ.ศ. 2461 จากแนวคิด
เรื่อง ควอนตัมพลังงาน
78
T86
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ตัวอย่างที่ 6.7 25. ครูใชคําถามใหนักเรียนอธิบายสิ่งที่นักเรียน
ที่ความถี่ 3 × 1014 เฮิรตซ์ พลังงานของอนุภาคแสงต่อไปนี้มีค่าเท่าใดในหน่วยจูล ไดเรียนรูเกี่ยวกับเรื่อง สเปกตรัมจากอะตอม
ของแกส และการแผคลื่นแมเหล็กไฟฟาของ
ก อนุภาคแสง 1 ตัว
วัตถุดาํ โดยครูสมุ นักเรียนจํานวนหนึง่ ออกมา
วิธีท�า พลังงานของอนุภาคแสง คือ พลังงานโฟตอน ซึ่งพลังงานโฟตอนแต่ละตัวจะหาได้ หนาชัน้ เรียนเพือ่ อธิบายผลการศึกษาในแตละ
จากสมการที่ 6.9 E = nhf หัวขอ
ค�านวณหาพลังงานโฟตอน 1 ตัว ที่ความถี่ 3 × 1014 เฮิรตซ์ หรือต่อวินาที 26. เมื่อนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความ
จะได้ว่า E1 = (1)(6.626 × 10-34 J s)(3 × 1014 s-1)
เขาใจของนักเรียนแลว ครูอาจยกตัวอยาง
E1 = 1.99 × 10-19 J
หรือปรับเปลีย่ นสถานการณจากตัวอยางทีไ่ ด
ดังนั้น พลังงานของอนุภาคแสง 1 ตัว มีค่าเท่ากับ 1.99 × 10-19 จูล
ศึกษา แลวใหนกั เรียนอธิบายสิง่ ทีเ่ หมือนและ
ข อนุภาคแสง 2 ตัว สิ่งที่แตกตาง
วิธีท�า จากสมการที่ 6.9 E = nhf 27. ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาทําความเขาใจ
ค�านวณหาพลังงานโฟตอน 2 ตัว ที่ความถี่ 3 × 1014 เฮิรตซ์ หรือต่อวินาที เกี่ยวกับสเปกตรัมของอะตอมเพิ่มเติมจาก
จะได้ว่า E2 = (2)(6.626 × 10-34 J s)(3 × 1014 s-1) แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าเพิ่ ม เติ ม วิ ท ยาศาสตร
E2 = 3.98 × 10-19 J และเทคโนโลยี ฟสิกส ม.6 เลม 2 หนวยการ
ดังนั้น พลังงานของอนุภาคแสง 2 ตัว มีค่าเท่ากับ 3.98 × 10-19 จูล เรียนรูที่ 6 ฟสิกสอะตอม
ค อนุภาคแสง 10 ตัว ลงมือท�า (Doing)
วิธีท�า จากสมการที่ 6.9 E = nhf 28. ครูมอบหมายใหนักเรียนสรุปความรูเกี่ยวกับ
ค�านวณหาพลังงานโฟตอน 10 ตัว ที่ความถี่ 3 × 1014 เฮิรตซ์ หรือต่อวินาที
สเปกตรัมจากอะตอมของแกส และการแผ
จะได้ว่า E10 = (10)(6.626 × 10-34 J s)(3 × 1014 s-1)
คลืน่ แมเหล็กไฟฟาของวัตถุดาํ โดยสรางสรรค
E10 = 1.99 × 10-18 J
ออกมาในรู ป แบบของอิ น โฟกราฟ ก ลงใน
ดังนั้น พลังงานของอนุภาคแสง 10 ตัว มีค่าเท่ากับ 1.99 × 10-18 จูล
กระดาษ A4 พรอมทั้งตกแตงใหสวยงาม
ง อนุภาคแสง 100 ตัว เสร็จแลวนําสงครูเพื่อตรวจใหคะแนน
วิธีท�า จากสมการที่ 6.9 E = nhf 29. ครูมอบหมายใหนักเรียนศึกษาใบงาน เรื่อง
ค�านวณหาพลังงานโฟตอน 100 ตัว ที่ความถี่ 3 × 1014 เฮิรตซ์ หรือต่อวินาที สมมติ ฐ านของพลั ง ค เสร็ จ แล ว ตั ว แทน
จะได้ว่า E100 = (100)(6.626 × 10-34 J s)(3 × 1014 s-1) รวบรวมสงครู
E100 = 1.99 × 10-17 J 30. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ น แลวรวมกันศึกษา
ดังนั้น พลังงานของอนุภาคแสง 100 ตัว มีค่าเท่ากับ 1.99 × 10-17 จูล แบบฝกหัด Topic Questions จากหนังสือ
เรียน โดยครูมอบหมายใหนักเรียนแตละคน
79
ฟิสิกส์อะตอม
เขียนแสดงวิธีการแกโจทยปญหาลงในสมุด
บันทึกประจําตัว
ขอสอบเนน การคิด
เมื่อเรงอิเล็กตรอนใหชนกับเปาโลหะของหลอดกําเนิดรังสีเอกซโดยใชความตางศักย พลังงาน
25 กิโลโวลต แลวเขียนกราฟความสัมพันธของพลังงานกับความยาวคลื่นของรังสีเอกซที่
เกิดขึ้นจะไดกราฟความสัมพันธดังภาพ จงหาวา ที่จุด ก. มีคาความยาวคลื่นเทาใด
1. 0.0497 นาโนเมตร 2. 0.0507 นาโนเมตร 3. 0.0717 นาโนเมตร ความยาวคลื่น
4. 0.1925 นาโนเมตร 5. 0.2478 นาโนเมตร ก.
-34 8
(วิเคราะหคําตอบ รั ง สี เ อกซ เ กิ ด จากการเปลี่ ย นระดั บ พลั ง งานของ (1.6 × 10-19 C)(25 × 103 V) = (6.626 × 10 Jλs)(3 × 10 m/s)
อิเล็กตรอนวงใน ซึง่ จะมีคา พลังงานทีต่ อ เนือ่ ง เพราะมีระดับชัน้ พลังงาน 1.9878 × 10-25 J m
λ =
ทีเ่ ปนไปไดหลายคา แตความยาวคลืน่ เริม่ ตนจะขึน้ กับระดับพลังงานมาก (1.6 × 10-19 C)(25 × 103 V)
-25
ที่สุดที่เปนไปได ซึ่งก็คือการถายเทพลังงานทั้งหมดของอิเล็กตรอนที่ยิง λ = 1.9878 × 10 -15
Jm
เขาไปใหกบั อิเล็กตรอนในอะตอมของเปา ดังนัน้ ความยาวคลืน่ ทีจ่ ดุ ก. 4 × 10 J
หาไดจากสมการ λ = 4.9695 × 10-11 m
Ep = Ek λ ≈ 0.0497 × 10-9 m
นั่นคือ ที่จุด ก. มีคาความยาวคลื่น 0.0497 นาโนเมตร ดังนั้น
qV = hc λ ตอบขอ 1.)
T87
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ลงข อ สรุ ป โดยให
นักเรียนอธิบายสรุปความรูที่ไดศึกษามาแลว ตัวอย่างที่ 6.8
ทั้งเนื้อหาและตัวอยางจากหนังสือเรียน และ ดาวบีเทลจุส (Betelgeuse) เป็นดาวยักษ์แดง และดาวไรเจล (Rigel) เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในกลุ่ม
กิจกรรมทีน่ อกเหนือจากหนังสือเรียน พรอมทัง้ ดาวนายพราน ได้แผ่คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าออกมาวัดความยาวคลืน่ ได้ 970 นาโนเมตร และ 145 นาโนเมตร
ยกตั ว อย า งสถานการณ ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น ที่ ตามล�าดับ อยากทราบว่า อุณหภูมิพื้นผิวของดาวทั้งสองเป็นเท่าใด
เกี่ยวของเพื่อทดสอบความเขาใจ วิธีท�า จากกฎการกระจัดของวีนทีส่ ร้างสมการความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมขิ องวัตถุกบั ความยาวคลืน่
2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได มากที่สุดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่วัตถุนั้นแผ่ออกมาได้
ศึกษาผานมาแลวในสวนที่ยังไมเขาใจหรือ จากสมการที่ 6.8 λmaxT = 2.9 × 10-3 m K
สงสัย จากนั้นครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น
-3
T = 2.9 × 10 m K
λ max
โดยครูอาจใช PowerPoint เรื่อง สเปกตรัม
ค�านวณหาอุณหภูมิพื้นผิวของดาวบีเทลจุส ที่มีความยาวคลื่น 970 นาโนเมตร
ของอะตอม มาเปดใหนักเรียนดูประกอบเพื่อ -3
T = 2.9 × 10 -9m K
ชวยในการอธิบายใหเขาใจมากยิ่งขึ้น 970 × 10 m
T = 3 × 103 K ≈ 3,000 K
ขัน้ ประเมิน ค�านวณหาอุณหภูมิพื้นผิวของดาวไรเจล ที่มีความยาวคลื่น 145 นาโนเมตร
-3
1. ประเมินความรูเกี่ยวกับเรื่อง สเปกตรัมของ T = 2.9 × 10 -9m K
145 × 10 m
อะตอม โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคําถาม T = 20 × 103 K = 20,000 K
การทําแบบฝกหัด และการสรุปสาระสําคัญ ดังนั้น อุณหภูมิพื้นผิวของดาวบีเทลจุสมีค่าประมาณ 3,000 เคลวิน และอุณหภูมิพื้นผิวของดาวไรเจล
2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา มีค่าเท่ากับ 20,000 เคลวิน
ศาสตรจากการคํานวณเกี่ยวกับการดูดกลืน
หรือคายพลังงานตามสมมติฐานของพลังค Core Concept
จากสถานการณตางๆ และจากตัวอยางที่ครู ให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญ เรื่อง
Topic สเปกตรัมของอะตอม
กําหนดให Questions
3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
พฤติกรรมความสนใจใฝรหู รืออยากรูอ ยากเห็น 1. แบบจ�าลองอะตอมของทอมสันต่างจากแบบจ�าลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ดอย่างไร
และการทํางานรวมกับผูอื่นอยางสรางสรรค 2. สาเหตุใดทีท่ า� ให้รทั เทอร์ฟอร์ดเสนอแนวคิดว่าทุก ๆ อะตอมจะมีนวิ เคลียสทีม่ โี ปรตอนรวมกันอยูต่ รงกลาง
3. ถ้าพื้นผิวของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิประมาณ 5,800 เคลวิน ช่วงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจาก
ดวงอาทิตย์จะมีความเข้มมากที่สุดที่ความยาวคลื่นเท่าใด
4. พลังงานของโฟตอนที่มีความถี่ 5 × 1014 เฮิรตซ์ มีค่าเท่าใด
5. เส้นสเปกตรัมสีแดงมีความยาวคลื่น 700 นาโนเมตร เส้นสเปกตรัมสีเขียวมีความถี่ 580 × 1012 เฮิรตซ์
เส้นสเปกตรัมทั้งสองจะมีพลังงานต่างกันเท่าใด
80
T88
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1. ครูใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนที่นั่งขางๆ แลว ตัวอย่างที่ 6.9
รวมกันศึกษา เรื่อง ระดับพลังงานของอะตอม โมเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอนในวงโคจรที่ 1 3 และ 5 มีค่าเท่าใด
จากนั้นแตละคูรวมกันอภิปรายผลการศึกษา
เพื่อใหไดขอสรุปรวมกัน วิธีท�า ตามสมมติฐานข้อที่ 1 ของโบร์ สามารถค�านวณหาโมเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอนในวงโคจร
ต่าง ๆ ได้ จากสมการที่ 6.10 L = nℏ
2. ครู สุ ม นั ก เรี ย นเพื่ อ ถามคํ า ถามว า “สถานะ
L = 2nhπ
คงตัวคืออะไร” โดยสุมนักเรียนประมาณ 3-4
พิจารณาอิเล็กตรอนในวงโคจรที่ 1 จะได้ว่า
คน เพื่อดูแนวคําตอบ
L1 = (1)h
(แนวตอบ สถานะที่อิเล็กตรอนเคลื่อนที่เปน 2π
-34
วงกลมรอบนิวเคลียสในวงโคจรบางวงโดยไม L1 = (1)(6.626 2×π 10 J s) = 1.05 × 10-34 J s
แผรังสีคลื่นแมเหล็กไฟฟาออกมา โดยในวง พิจารณาอิเล็กตรอนในวงโคจรที่ 3 จะได้ว่า
โคจรนีโ้ มเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอนจะมีคา L3 = (3)h
2π
-34
คงตัวเปนจํานวนเทาของอนุภาคมูลฐาน) L3 = (3)(6.626 2×π 10 J s) = 3.16 × 10-34 J s
3. ครูเปดวีดิทัศนจากสื่อดิจิทัลที่มีเนื้อหาสาระ พิจารณาอิเล็กตรอนในวงโคจรที่ 5 จะได้ว่า
เกีย่ วกับแบบจําลองอะตอมของโบรใหนกั เรียน L5 = (5)h
2π
ไดศกึ ษาหาองคความรูเ พิม่ เติม จากนัน้ ครูอาจ (5)(6.626 × 10-34 J s)
L5 = 2π = 5.27 × 10-34 J s
สุมถามความรูที่ไดจากการศึกษาสื่อดิจิทัลนี้
ดังนั้น โมเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอนในวงโคจรที่ 1 3 และ 5 เท่ากับ 1.05 × 10-34 จูล วินาที
4. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นทีน่ งั่ ขางๆ จากนัน้ 3.16 × 10-34 จูล วินาที และ 5.27 × 10-34 จูล วินาที ตามล�าดับ
รวมกันศึกษาตัวอยางที่ 6.9-6.10 จากหนังสือ
เรียน โดยครูเนนยํ้ากับนักเรียนวา เมื่อศึกษา
ตัวอย่างที่ 6.10
ตัวอยางนี้เสร็จแลว นักเรียนจะตองสามารถ
โมเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอนในวงโคจรที่ 5 มีค่าเป็นกี่เท่าของอิเล็กตรอนในวงโคจรที่ 2
อธิบายสมมติฐานขอที่ 1 ของโบรได เพื่อเปน
การกระตุน ความสนใจใหนกั เรียนกระตือรือรน วิธีท�า ตามสมมติฐานข้อที่ 1 ของโบร์ สามารถค�านวณหาโมเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอน
ที่ จ ะต อ งพยายามทํ า ความเข า ใจจากโจทย ในวงโคจรต่าง ๆ ได้ จากสมการที่ 6.10 L = nℏ = 2nhπ
ปญหาหรือขอคําถามมากขึ้น ในวงโคจรที่ 5; L5 = (5)h 5h
2π = 2π
5. ครูสุมนักเรียนจากการสังเกตพฤติกรรมความ
ในวงโคจรที่ 2; L2 = (2)h
2π = π
h
สนใจและความตัง้ ใจในการศึกษาตัวอยาง โดย L5 5h π
ใหนักเรียนออกมาอธิบายวิธีการหรือขั้นตอน จะได้ว่า L2 = ( 2π )( h )
การแสดงวิธีแกโจทยปญหาเพื่อหาคําตอบบน L5 5
L2 = 2 = 2.5
กระดานหนาชั้นเรียน
ดังนัน้ โมเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอนในวงโคจรที ่ 5 มีคา่ เป็น 2.5 เท่า ของอิเล็กตรอนในวงโคจรที ่ 2
82
T90
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ฟิสิกส์อะตอม 83
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
9. ครูใหนักเรียนคูเดิมที่เคยรวมกันศึกษาเกี่ยว หากพิจารณาวงโคจรชั้นในสุด (n = 1) โดยแทนค่าคงตัวต่าง ๆ ลงในสมการที่ 6.13
กับสมมติฐานขอที่ 1 ของโบร รวมกันศึกษา จะได้ว่า r1 = 5.28 × 10-11 m กล่าวได้ว่า r1 เป็นรัศมีวงโคจรชั้นในสุดของอิเล็กตรอนส�าหรับ
สมมติฐานขอที่ 2 ของโบร จากหนังสือเรียน อะตอมไฮโดรเจน เรียกว่า รัศมีโบร์ (Bohr radius) สามารถเขียนแทนได้ดว้ ยสัญลักษณ์ a0 ส�าหรับ
10. ครู สั ง เกตพฤติ ก รรมนั ก เรี ย นรายบุ ค คล วงโคจรอื่น ๆ ที่อิเล็กตรอนของไฮโดรเจนสามารถอยู่ได้โดยไม่แผ่รังสี สามารถค�านวณหาค่ารัศมี
โดยครูสุมนักเรียนที่ไมคอยมีสมาธิหรือไม วงโคจรได้ จากสมการที่ 6.14
กระตือรือรน จากนั้นถามคําถามกับนักเรียน rn = a0n2 (6.14)
วา โบร์ตั้งข้อสังเกตว่า ตอนเริ่มต้นนิวเคลียสไม่เคลื่อนที่ จึงท�าให้พลังงานรวมของอะตอม
• สมมติฐานขอที่ 2 ของโบร มุงเนนศึกษา เท่ากับพลังงานรวมของอิเล็กตรอนในวงโคจรที่ n รอบนิวเคลียส (En) หรือเท่ากับผลรวม
และอธิบายเกี่ยวกับสิ่งใด ของพลังงานศักย์ไฟฟ้ากับพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอน สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ได้
(แนวตอบ สมมติฐานขอที่ 2 ของโบร มุง เนน ดังสมการที่ 6.15
ศึกษาเกี่ยวกับการที่อิเล็กตรอนจะดูดกลืน En = Ep + Ek (6.15)
หรือคายพลังงานทุกครั้งเมื่ออิเล็กตรอน
เปลีย่ นวงโคจร โดยพลังงานทีอ่ เิ ล็กตรอนดูด พลังงานศักย์ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในสนามไฟฟ้าของนิวเคลียสในวงโคจรที่ n มีค่าเท่ากับ
กลืนหรือคายจะปรากฏในรูปคลืน่ แมเหล็ก Ep = ke(-e) ke2
r = - r
n n
ไฟฟาที่มีความถี่ f ตามสมมติฐานของ โดยที่เครื่องหมายลบ (-) คือ การที่อิเล็กตรอนถูกยึดไว้กับนิวเคลียสในอะตอม และ
พลังค) ส�าหรับพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนจะมีค่าเท่ากับ
11. ครูสุมถามคําถามกับนักเรียนวา 2
Ek = 12 mv2n = 12 ker
• รัศมีโบรคืออะไร n
(แนวตอบ รัศมีวงโคจรชั้นในสุดของ เมื่อน�าค่าพลังงานศักย์ไฟฟ้ากับพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนแทนลงในสมการที่ 6.15
อิเล็กตรอนสําหรับอะตอมไฮโดรเจน) จะได้ว่า
2
En = - ker + 12 ker
2
n n
2
En = - 12 kern (6.16)
จากสมการที่ 6.13 น�าค่า rn มาแทนลงในสมการที่ 6.16 จะได้ว่า
2 4
En = - 12 mk 2e ( 12 ) (6.17)
n
ℏ
ขอสอบเนน การคิด
จากทฤษฎีอะตอมของโบรที่วา โมเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอนมีไดเฉพาะบางคาเทานั้น อยากทราบวา โมเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอนขอใด
ตอไปนี้ไมสามารถเปนคาโมเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอนในสถานะใดๆ ของอะตอมไฮโดรเจนได
1. 1.05 × 10-34 จูล วินาที 2. 3.15 × 10-34 จูล วินาที 3. 4.20 × 10-34 จูล วินาที
4. 7.35 × 10-34 จูล วินาที 5. 8.20 × 10-34 จูล วินาที
(วิเคราะหคาํ ตอบ จากทฤษฎีอะตอมของโบร สามารถคํานวณหาโมเมนตัม พิจารณาที่ n = 1; L1 = 1(1.05 × 10-34 J s) = 1.05 × 10-34 J s
เชิงมุมของอิเล็กตรอนได พิจารณาที่ n = 2; L2 = 2(1.05 × 10-34 J s) = 2.10 × 10-34 J s
จากสมการ L = nℏ พิจารณาที่ n = 3; L3 = 3(1.05 × 10-34 J s) = 3.15 × 10-34 J s
L = n 2hπ พิจารณาที่ n = 4; L4 = 4(1.05 × 10-34 J s) = 4.20 × 10-34 J s
-34
L = n ( 6.626 ×2π10 J s ) พิจารณาที่ n = 5; L5 = 5(1.05 × 10-34 J s) = 5.25 × 10-34 J s
พิจารณาที่ n = 6; L6 = 6(1.05 × 10-34 J s) = 6.30 × 10-34 J s
L = n(1.05 × 10-34 J s) (1)
พิจารณาที่ n = 7; L7 = 7(1.05 × 10-34 J s) = 7.35 × 10-34 J s
จากสมการที่ (1) สามารถนํามาพิจารณาโมเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอน
พิจารณาที่ n = 8; L8 = 8(1.05 × 10-34 J s) = 8.40 × 10-34 J s
ที่ระดับชั้นพลังงานตางๆ ดังนี้
ดังนั้น ตอบขอ 5.)
T92
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
จากสมการที ่ 6.18 กล่าวได้วา่ พลังงานรวมของอิเล็กตรอนมีคา่ เป็นลบ แสดงว่าพลังงาน 12. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลการศึกษา
ศักย์ไฟฟ้าซึ่งเกิดจากแรงดึงดูดระหว่างประจุไฟฟ้ามีค่าน้อยกว่าพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนมาก รวมกัน โดยครูอาจถามคําถามเพือ่ ใหนกั เรียน
อิเล็กตรอนจึงถูกยึดเหนี่ยวไว้ในวงโคจรรอบนิวเคลียส พลังงานนี้อาจเรียกว่า พลังงานยึดเหนี่ยว ไดเกิดกระบวนการคิดวา “เมือ่ ธาตุแตละชนิด
(binding energy) ของอะตอม สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ของพลังงานรวมของอิเล็กตรอน ไดรับพลังงานกระตุนจะมีการปลอยพลังงาน
ในวงโคจรที่ n รอบนิวเคลียสได้ ดังสมการที่ 6.19 ออกมา เราสามารถอธิบายการเกิดสเปกตรัม
ที่เกิดขึ้นในกรณีนี้ไดวาอยางไร” ครูท้ิงชวง
E1 (6.19)
En = เวลาใหนักเรียนคิดสักครูหนึ่ง
n2
13. ครูนาํ อภิปรายวา เมือ่ อะตอมของธาตุใดๆ ได
En คือ พลังงานรวมของอิเล็กตรอนในวงโคจรที่ n มีหน่วยเป็น จูล (J)
E1 คือ พลังงานรวมของอิเล็กตรอนในวงโคจรที่ 1 มีค่าเท่ากับ -2.176 × 10-18 จูล (J) รับพลังงานจํานวนหนึง่ ทําใหอเิ ล็กตรอนทีอ่ ยู
n คือ วงโคจร ซึ่งเป็นจ�านวนเต็มบวก (
บวก (n = 1, 2, 3, …) ในวงโคจรหนึง่ ๆ มีพลังงานสูงขึน้ อิเล็กตรอน
จึงเคลื่อนที่จากสถานะพื้น (ground state)
เมื่อพิจารณาสมการที่ 6.19 แล้ว พบว่า พลังงานรวมของอิเล็กตรอนจะมีได้เฉพาะ ไปยังสถานะถูกกระตุน (excited state) แต
บางค่า โดยมีค่าเป็นขั้นหรือระดับตามวงโคจร n เรียกได้ว่าเป็น ระดับพลังงาน (energy level) อิเล็กตรอนที่อยูในสถานะถูกกระตุนจะไม
ของอะตอมไฮโดรเจน กล่าวได้ว่า พลังงานรวมของอะตอมไฮโดรเจนที่ระดับพลังงานต่าง ๆ มีค่า เสถียร จึงเคลื่อนที่กลับมายังสถานะพื้นหรือ
แปรผกผันกับ n2 ดังนัน้ พลังงานรวมของอะตอมจะมีคา่ น้อยทีส่ ดุ เมือ่ อิเล็กตรอนโคจรรอบนิวเคลียส สถานะเดิมที่มีพลังงานตํ่ากวา พรอมกับคาย
ที่วงโคจรชั้นในสุด (n = 1) เรียกสภาวะนี้ว่า สถานะพื้น (ground state) ซึ่งเป็นสภาวะที่อะตอมมี พลังงานออกมาในรูปพลังงานแสงสเปกตรัม
เสถียรภาพมากทีส่ ดุ หากอิเล็กตรอนได้รบั พลังงานเพิม่ ขึน้ พลังงานรวมของอิเล็กตรอนก็จะเพิม่ ขึน้
ไปอยูร่ ะดับพลังงานทีส่ งู กว่าสถานะพืน้ (n ≥ 2) สถานะถูกกระตุ้น (n)
ตั้ ง แต่ ที่ ร ะดั บ พลั ง งาน E 2 , E 3 , E 4 , …
เรียกสภาวะเหล่านีว้ า่ สถานะถูกกระตุน้ (excited
state) ดังภาพที่ 6.22 และในทางกลับกัน หาก สถานะพื้น (n = 1)
อิเล็กตรอนอยูใ่ นสถานะถูกกระตุน้ พร้อมจะกลับ
ภาพที่ 6.22 การเปลี่ยนระดับพลังงานของอิเล็กตรอน
สูส่ ถานะพืน้ ตลอดเวลาซึง่ จะปลดปล่อยหรือคาย จากสถานะถูกกระตุ้นกลับสู่สถานะพื้น โดยการแผ่
พลังงานออกมาในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา
ที่มา : คลังภาพ อจท.
P hysics
Focus หน่วยวัดพลังงานของอะตอม
อิเล็กตรอนโวลต์ (eV) เป็นหน่วยวัดพลังงานของอะตอมหน่วยหนึง่ โดยเมือ่ น�าไปเทียบกับหน่วย
จูล ซึ่งเป็นหน่วยวัดพลังงานในระบบเอสไอ กล่าวได้ว่า “พลังงาน 1 อิเล็กตรอนโวลต์ เทียบเท่ากับงาน
ทีใ่ ช้ในการเคลือ่ นทีอ่ นุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้า e ผ่านความต่างศักย์ 1 โวลต์ ได้พอดี” จากสมการ W = qV
จะได้ว่า 1 eV = (1.6 × 10-19 C)(1 V) = 1.6 × 10-19 J
ฟิสิกส์อะตอม 85
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
14. ครูถามนักเรียนวา จากสมมติฐานของโบร์ สามารถน�าไปค�านวณหาความยาวคลืน่ ของแสงในสเปกตรัมเส้น
• นักเรียนรูจักหนวยอิเล็กตรอนโวลตหรือไม สว่างของอะตอมไฮโดรเจน (โฟตอนที่อิเล็กตรอนแผ่ออกมา) ได้ โดยมีความสัมพันธ์ ดังนี้
คือหนวยของปริมาณใด และมีคาเทากับ จากสมการที่ 6.11 hf = Eni - Enf
เทาใดเมื่อเทียบกับหนวยในระบบเอสไอ hc = - 1 mk2e4 1 - - 1 mk2e4 1
(แนวตอบ หนวยของพลังงานของอะตอม จะได้ว่า λ 2 ℏ2 ( n2) ( 2 ℏ2 ( n2))
i f
เมื่อเทียบกับหนวยของพลังงานในระบบ 2 2 4
1 = 2π mk e 1 - 1
h3c ( n2f n2i )
เอสไอจะมีคาเทากับ 1.6 × 10-19 จูล) λ
(6.20)
15. ครูใหนักเรียนศึกษาความสัมพันธของความ 2 2 4
ยาวคลื่ น แสงในสเปกตรั ม เส น สว า งของ เมื่อแทนค่าต่าง ๆ ในเทอม 2π mk 3
e จะได้เท่ากับ 1.0974 × 107 ต่อเมตร ซึ่งเป็น
hc
อะตอมไฮโดรเจน และอนุกรมเสนสเปกตรัม ค่าคงตัว เรียกว่า ค่าคงตัวริดเบิร์ก (Rydberg constant; RH) และเมื่อน�าไปแทนในสมการที่ 6.20
ของอะตอมไฮโดรเจน จากหนังสือเรียน จะสามารถค�านวณหาความยาวคลื่นของแสงในสเปกตรัมเส้นสว่างของอะตอมไฮโดรเจนได้
16. นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สนทนาเกี่ ย วกั บ ดังสมการที่ 6.21
อนุกรมเสนสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน
จนไดขอสรุปตามตารางที่ 6.2 จากหนังสือ 1 = R 1 1 (6.21)
เรียน
λ H ( n2f - n2i )
λ คือ ความยาวคลืน่ ของแสงในสเปกตรัมเส้นสว่างของอะตอมไฮโดรเจน มีหน่วยเป็น เมตร (
เมตร (m)
RH คือ ค่าคงตัวริดเบิร์ก มีค่าเท่ากับ 1.0974 × 107 ต่อเมตร (m-1)
ni คือ ระดับพลังงานเริ่มต้นของอิเล็กตรอน
nf คือ ระดับพลังงานสุดท้ายของอิเล็กตรอน
n E∞ = 0 eV
ความยาวคลื่ น ที่ ไ ด้ จ าก ∞
8
การค�านวณโดยใช้สมการที่ 6.21 7
6
5 E = -0.54 eV
จะสอดคล้องกับระดับพลังงานของ 4
3
อนุกรมฟุนด์ (อินฟราเรด)
อนุกรมแบรกเกต (อินฟราเรด) E54 = -0.85 eV
อนุกรมพาสเชน (อินฟราเรด) E3 = -1.51 eV
เส้นสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน
ที่เกิดจากการที่อิเล็กตรอนเปลี่ยน 2
อนุกรมบัลเมอร์ (แสงที่ตามองเห็น)
E2 = -3.40 eV
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
จากภาพที่ 6.23 สามารถสรุปอนุกรมเส้นสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจนได้จากการที่ 17. ครูใหนักเรียนปดหนังสือเรียน ครูอานโจทย
อิเล็กตรอนเปลี่ยนระดับพลังงาน ดังตารางที่ 6.2 หรือขอคําถามจากตัวอยางที่ 6.11 ใหนกั เรียน
จดลงในสมุดบันทึกประจําตัว จากนัน้ ใหเวลา
ตารางที่ 6.2 : อนุกรมเส้นสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน
นักเรียนสักครูหนึ่งในการแสดงวิธีแกโจทย
ระดับพลังงานของอิเล็กตรอนที่เปลี่ยนไป
อนุกรม ปญหาเพือ่ หาคําตอบ เสร็จแลวครูทาํ เชนเดิม
ระดับพลังงาน ni ระดับพลังงาน nf โดยใชตวั อยางที่ 6.12-6.13 จนนักเรียนแสดง
อนุกรมไลมาน (Lyman series) 2, 3, 4, … 1 วิธีทําจนเสร็จทุกคน
อนุกรมบัลเมอร์ (Balmer series) 3, 4, 5, … 2 18. ครู เ ดิ น ตรวจคํ า ตอบของนั ก เรี ย นทุ ก คน
อนุกรมพาสเชน (Paschen series) 4, 5, 6, … 3 จากนั้นครูสุมตัวแทนนักเรียนออกมาแสดง
อนุกรมแบรกเกต (Brackett series) 5, 6, 7, … 4 วิธีทําและอธิบายขั้นตอนการแกโจทยปญหา
อนุกรมฟุนด์ (Pfund series) 6, 7, 8, … 5 หนาชัน้ เรียนคนละ 1 ขอ โดยครูคอยสอบถาม
นักเรียนคนอื่นๆ วามีใครที่แสดงวิธีทําตาง
แบบจ�าลองอะตอมโบร์สามารถอธิบายได้วา่ เหตุใดอิเล็กตรอนในอะตอมจึงอยูไ่ ด้โดยไม่ถกู
จากบนกระดานบาง ถามี ครูใหนักเรียนคน
ดูดเข้าไปในนิวเคลียส และอธิบายการเกิดสเปกตรัมได้สอดคล้องกับการทดลอง แต่ไม่สามารถน�าไป
นั้นออกมาอธิบายวิธีของตนเองหนาชั้นเรียน
อธิบายอะตอมที่มีอิเล็กตรอนหลายตัวได้ และเส้นสเปกตรัมของไฮโดรเจนเมื่อใช้สเปกโทรมิเตอร์
ที่มีก�าลังขยายสูง พบว่า แต่ละเส้นยังมีเส้นย่อยเล็ก ๆ อยู่ชิดกันมาก ซึ่งแบบจ�าลองอะตอมของ จากนั้นครูชี้แนะและอธิบายวิธีการที่ถูกตอง
โบร์ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด 19. ครูใชคําถามใหนักเรียนอธิบายสิ่งที่นักเรียน
ไดเรียนรูเกี่ยวกับเรื่อง ระดับพลังงานของ
ตัวอย่างที่ 6.11 อะตอมตามสมมติฐานทั้ง 2 ขอของโบร โดย
อิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจน ถูกกระตุ้นจนขึ้นไปอยู่ในระดับพลังงานที่ 3 จากนั้นอิเล็กตรอนจึงกลับ ครู สุ ม นั ก เรี ย นจํ า นวนหนึ่ ง ออกมาหน า ชั้ น
สู่สถานะพื้น แล้วปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ได้มีความยาวคลื่นเท่าใด เรียน เพื่ออธิบายผลการศึกษาในแตละหัวขอ
วิธีท�า ค�านวณหาความยาวคลื่นของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปล่อยออกมาจากการเปลี่ยนระดับพลังงาน
จากระดับพลังงานที่ 3 ไปยังระดับพลังงานที่ 1
จากสมการที่ 6.21 λ1 = RH 12 - 12
( nf ni )
1 = (1.0974 × 107 m-1) 1 - 1 = (1.0974 × 107 m-1)( 8 )
λ ( 12 32 ) 9
λ = 9 = 102.5 × 10-9 m
(1.0974 × 107 m-1)(8)
ดังนั้น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปล่อยออกมาจากการคายพลังงานของอิเล็กตรอนจากระดับพลังงานที่ 3
ลงไปยังระดับพลังงานที่ 1 มีความยาวคลื่นเท่ากับ 102.5 นาโนเมตร
ฟิสิกส์อะตอม 87
ขอสอบเนน การคิด
เมื่ออิเล็กตรอนชนแกสไฮโดรเจน อยากทราบวา อิเล็กตรอนจะตองมีพลังงานอยางนอยกี่จูลจึงจะสามารถใหสเปกตรัมเสนแรกของแสงยานที่
ตาเรามองเห็นได
1. 3.02 × 10-19 จูล 2. 3.44 × 10-19 จูล 3. 4.03 × 10-19 จูล 4. 3.02 × 10-18 จูล 5. 5.20 × 10-18 จูล
(วิเคราะหคําตอบ การเปลี่ยนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนที่ให คํานวณหาพลังงานที่ใชในการเปลี่ยนจากระดับพลังงานชั้นที่ 3
คลื่นแมเหล็กไฟฟาในชวงที่ตามองเห็นได คือ อนุกรมบัลเมอร หรือ มาระดับพลังงานชั้นที่ 2
การเปลี่ยนจากวงนอกใดๆ มาที่ระดับพลังงานชั้นที่ 2 จากสมการ ∙ΔE ∙ = ∙En - En ∙
i f
จากสมการ En = -13.6 eV ∙ΔE ∙ = ∙E3 - E2 ∙
n2 ∙ΔE ∙ = ∙-1.51 eV - (-3.40 eV)∙
ระดับพลังงานที่ 2; E2 = -13.6 eV
∙ΔE ∙ = 1.89 eV
22
E2 = -3.40 eV เนื่องจาก 1 อิเล็กตรอนโวลต มีคาเทากับ 1.6 × 10-19 จูล
-19
ระดับพลังงานที่ 3; E3 = -13.62 eV จะไดวา ΔE = (1.89 eV)(1.6 × 10 J/eV)
3 ΔE = 3.02 × 10 J
-19
E3 = -1.51 eV นั่นคือ อิเล็กตรอนจะตองมีพลังงานอยางนอย 3.02 × 10-19 จูล
ดังนั้น ตอบขอ 1.)
T95
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
20. เมื่อนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความ ตัวอย่างที่ 6.12
เขาใจของนักเรียนแลว ครูอาจยกตัวอยาง อิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจนถูกกระตุ้นจนขึ้นไประดับพลังงานที่ 4 จากนั้นอิเล็กตรอนคายพลังงาน
หรือปรับเปลีย่ นสถานการณจากตัวอยางทีไ่ ด กลับสู่ระดับพลังงานที่ 2 แล้วปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ได้มีความยาวคลื่น
ศึกษา แลวใหนกั เรียนอธิบายสิง่ ทีเ่ หมือนและ เท่าใด และเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในชนิดใด
สิ่งที่แตกตาง วิธีท�า ค�านวณหาความยาวคลื่นของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปล่อยออกมาจากการเปลี่ยนระดับพลังงาน
21. ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาทําความเขาใจ จากระดับพลังงานที่ 4 ไปยังระดับพลังงานที่ 2
เกี่ยวกับระดับพลังงานของอะตอมเพิ่มเติม จากสมการที่ 6.21 λ1 = RH ( 12 - 12)
จากแบบฝกหัดรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร nf ni
และเทคโนโลยี ฟสิกส ม.6 เลม 2 หนวยการ λ1 = (1.0974 × 107 m-1)( 12 - 12 ) = (1.0974 × 107 m-1)(163 )
2 4
เรียนรูที่ 6 ฟสิกสอะตอม λ = 16 = 486 × 10-9 m
(1.0974 × 107 m-1)(3)
ลงมือท�า (Doing) ดังนั้น คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าทีป่ ล่อยออกมามีความยาวคลืน่ เท่ากับ 486 นาโนเมตร ซึง่ เป็นคลืน่ แม่เหล็ก
22. ครู ใ ห นั ก เรี ย นสรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ ทฤษฎี ไฟฟ้าในช่วงแสงที่ตามองเห็น
อะตอมของโบร โดยสรางสรรคผลงานออกมา
ในรูปแบบของผังมโนทัศน ลงในกระดาษ A4 ตัวอย่างที่ 6.13
พรอมทัง้ ตกแตงใหสวยงาม เสร็จแลวนําสงครู พลังงานของอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจนในระดับพลังงานที่ 2 และ 6 มีค่าเท่ากับเท่าใดในหน่วยจูล
เพื่อตรวจใหคะแนน และหน่วยอิเล็กตรอนโวลต์
23. ครูสมุ ตัวแทนนักเรียนออกมานําเสนอผลงาน
วิธีท�า พลังงานของอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจนสามารถหาค่าได้
ของตนเองหนาชั้นเรียน E
จากสมการที่ 6.19 En = 21
n
ระดับพลังงานที่ 2; E2 = -2.176 × 10-18 J = -5.44 × 10-19 J
22
-19 J
E2 = -5.44 × 10
-19 = -3.4 eV
1.6 × 10 J/eV
-18
ระดับพลังงานที่ 6; E6 = -2.176 ×2 10 J = -6.04 × 10-20 J
6
E6 = -6.04 × 10-20 J = -0.38 eV
1.6 × 10-19 J/eV
ดังนั้น พลังงานของอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจนที่ระดับพลังงานที่ 2 มีค่าเท่ากับ -5.44 × 10-19 จูล
หรือ -3.4 อิเล็กตรอนโวลต์ และที่ระดับพลังงานที่ 6 มีค่าเท่ากับ -6.04 × 10-20 จูล หรือ -0.38
อิเล็กตรอนโวลต์
88
ขอสอบเนน การคิด
พิจารณาสเปกตรัมเสนสวางของอะตอมไฮโดรเจน หากเสนสวางลําดับแรกที่สังเกตเห็นไดอยางชัดเจนมีความยาวคลื่นมากที่สุดเทากับ 700
นาโนเมตร จากอนุกรมบัลเมอร อยากทราบวา เสนสวางลําดับที่สองจะมีความยาวคลื่นประมาณเทาใด
1 = R 1 - 1
H( 2
nf ni2 )
(แนวตอบ จากสมการ λ
พิจารณา ni = 4 และ λ = x จะไดวา
1 = R 1 - 1
อนุกรมบัลเมอรระดับพลังงานตํ่าสุด คือ n = 2 x H( 2 2)
2 4
1 = R 1 - 1 1 = R 3
H( 2
2 ni2 )
จะไดวา H ( 16 ) (2)
λ x
พิจารณา ni = 3 และ λ = 700 นาโนเมตร จะไดวา นําสมการที่ (1) หารดวยสมการที่ (2) จะไดวา
1 x = 5 16
700 × 10-9 m
= RH ( 12 - 12 )
2 3 700 × 10-9 m ( 36 )( 3 )
5 16 (700 × 10-9 m)
x = ( 36
1 = RH ( 365 )( 3 )
700 × 10-9 m ) (1)
x = 518.52 × 10-9 m
x = 518 nm
ดังนั้น เสนสวางลําดับที่สองจะมีความยาวคลื่นประมาณ 518 นาโนเมตร)
T96
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
24. ครู ชั ก ชวนนั ก เรี ย นสนทนาเกี่ ย วกั บ นั ก
4.2 การทดลองของฟรังก์และเฮิรตซ์ วิทยาศาสตรที่นักเรียนชื่นชอบและรูจัก โดย
ใน พ.ศ. 2457 เจมส์ ฟรังก์ (James Franck) และกุสตาฟ เฮิรตซ์1 (Gustav Hertz) ได้ ครู สุ ม ถามนั ก เรี ย นเป น รายบุ ค คลเพื่ อ ให
ท�าการทดลองที่สนับสนุนทฤษฎีอะตอมของโบร์ที่ว่า อะตอมมีระดับพลังงานเป็นขั้น ๆ โดยใช้ชุด
นั ก เรี ย นได นํ า เสนอชื่ อ และข อ มู ล ของนั ก
การทดลองที่ปรับพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนให้เคลื่อนที่ไปชนกับอะตอมของปรอท เพื่อที่จะ
ศึกษาการรับพลังงานของอะตอม ดังภาพที่ 6.25 วิทยาศาสตรในใจตนเอง
(-) ตะแกรงส�าหรับเร่งอิเล็กตรอน 25. ครูมอบหมายใหนกั เรียนใชสอื่ ดิจทิ ลั ทัง้ หลาย
ไอปรอท
(+)
(-) ในการสืบคนขอมูลเกีย่ วกับ เจมส ฟรังก และ
e- กุสตาฟ เฮิรตซ โดยกําหนดใหเขียนขอมูล
e- ที่เกี่ยวของกับทั้ง 2 คน ลงในกระดาษ A4
ภ
าพที่ 6.24 ชุดอุปกรณ์การทดลอง
ของฟรังก์และเฮิรตซ์ ใหไดมากที่สุดในเวลาที่ครูกําหนด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
26. ครูถามนักเรียนวา นักเรียนทราบขอมูลอะไร
แคโทด A แผ่นรองรับ ของทั้ง 2 คนบาง และขอมูลอะไรที่มีสวน
จากการทดลอง พบว่า ถ้าพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนน้อยกว่า 4.9 อิเล็กตรอนโวลต์ สํ า คั ญ และเกี่ ย วข อ งกั บ ฟ สิ ก ส อ ะตอมบ า ง
อิเล็กตรอนจะไม่สูญเสียพลังงานจลน์เลย เมื่อเพิ่มพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนไปถึงประมาณ 5 จากนั้นครูสุมนักเรียนใหยืนขึ้นแลวนําเสนอ
อิเล็กตรอนโวลต์ อิเล็กตรอนจะถ่ายโอนพลังงานให้อะตอมของปรอทประมาณ 4.9 อิเล็กตรอน ขอมูลทีไ่ ดศกึ ษามาพรอมทัง้ ตอบคําถามทีค่ รู
โวลต์ และถ้าเพิม่ พลังงานจลน์ขนึ้ ไปอีก การถ่ายโอนพลังงานของอิเล็กตรอนให้อะตอมของปรอทก็ กําหนดให
ยังคงเป็น 4.9 อิเล็กตรอนโวลต์ จึงสรุปได้ว่า พลังงานของอะตอมปรอท มีลักษณะเป็นระดับ 27. ครูใหนกั เรียนศึกษา เรือ่ ง การทดลองของฟรังก
ชั้นที่ไม่ต่อเนื่อง และจากทฤษฎีอะตอมของโบร์ เมื่ออิเล็กตรอนในอะตอมของปรอทลดระดับ และเฮิรตซ จากหนังสือเรียน โดยจดบันทึก
พลังงานมายังสถานะพื้น จะต้องให้โฟตอนที่มีพลังงานเท่ากับ 4.9 อิเล็กตรอนโวลต์ ซึ่งจากการ ขอมูลลงในสมุดบันทึกประจําตัว
ทดลองปรากฏว่า วัดความยาวคลื่นแสงที่เปล่งออกมาจากไอปรอทได้ 253.5 นาโนเมตร ตรงกับ 28. ครูใหนักเรียนรวมกันตอบคําถาม Concept
พลังงานของแสงเท่ากับ 4.9 อิเล็กตรอนโวลต์ พอดี ดังภาพที่ 6.25
Question จากหนังสือเรียน
300 Conc��t Q�e����n
กระแสไฟฟ้า (Arbitrary Unit)
จากการทดลองของฟรังกและเฮิรตซ สามารถ
200 คํานวณเพื่อใหไดคาความยาวคลื่นแสงที่เปลง
ออกมาจากไอปรอทไดอยางไร
100
ภ
าพที่ 6.25 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
ความต่างศักย์กับกระแสไฟฟ้าของปรอท แนวตอบ Concept Question
00 5 10 ที่มา : คลังภาพ อจท.
ความต่างศักย์ (V) สามารถหาไดโดยอาศัยสมมติฐานของพลังค
1
เนื่องจากราชบัณฑิตยสภาก�าหนดให้สะกดตัวสะกดชื่อและสกุล ตามเสียงในเชื้อชาติดั้งเดิมตามก�าเนิดของนักวิทยาศาสตร์ผู้นั้น กล่าวคือ ชื่อ
จากสมการ E = hc λ
โดยเมื่อแทนคาปริมาณตางๆ
Gustav Hertz ก�าหนดให้ใช้ว่า กุสตาฟ แฮทซ์ แต่เพื่อให้ง่ายต่อการการท�าความเข้าใจ ในหนังสือเล่มนี้จะใช้ว่า กุสตาฟ เฮิรตซ์
ฟิสิกส์อะตอม 89
ลงไปในสมการแลวคํานวณออกมา จะไดคาความ
ยาวคลื่ น แสงที่ เ ปล ง ออกมาจากไอปรอทเท า กั บ
253.5 นาโนเมตร
ขอสอบเนน การคิด
พลังงานตํ่าสุดของอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจนเทากับ -13.6 อิเล็กตรอนโวลต หากอิเล็กตรอนเปลี่ยนระดับพลังงานจาก n = 3 ไปยัง n = 2
จะใหแสงที่มีพลังงานควอนตัมเทาใด
1. 1.89 อิเล็กตรอนโวลต 2. 2.09 อิเล็กตรอนโวลต 3. 2.77 อิเล็กตรอนโวลต
4. 3.92 อิเล็กตรอนโวลต 5. 4.35 อิเล็กตรอนโวลต
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ En = -13.62 eV จากสมการ ∙ΔE ∙ = ∙Eni - Enf ∙
n
-13.6 eV ∙ΔE ∙ = ∙(-1.51 eV) - (-3.40 eV)∙
พิจารณาที่ n = 2; E2 =
22 ∙ΔE ∙ = 1.89 eV
E2 = -13.6 eV
4 นั่นคือ หากอิเล็กตรอนเปลี่ยนระดับพลังงานจาก n = 3 ไปยัง n = 2
E2 = -3.40 eV จะใหแสงที่มีพลังงานควอนตัมเทากับ 1.89 อิเล็กตรอนโวลต ดังนั้น
พิจารณาที่ n = 3; E3 = -13.6 eV ตอบขอ 1.)
32
E3 = -13.6 eV
9
E3 = -1.51 eV
T97
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
29. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายจนไดขอสรุป และหลังจากที่ฟรังก์และเฮิรตซ์ได้ท�าการทดลองแล้ว ได้มีนักวิทยาศาสตร์ท�าการทดลอง
เกี่ยวกับการทดลองของฟรังกและเฮิรตซวา เพิ่มเติม พบว่า อะตอมปรอทสามารถดูดกลืนหรือรับพลังงานค่าอื่น ๆ ได้อีก ดังภาพที่ 6.26
นอกจากไอปรอทแลว นักวิทยาศาสตรหลาย n = 4 10.4 eV E = 10.4 eV
n = 3 E = 6.7 eV
คนยังไดทําการทดลองเพิ่มเติมโดยใชธาตุ 6.7 eV
ชนิ ด อื่ น ซึ่ ง ก็ ใ ห ผ ลคล า ยคลึ ง กั บ ไอปรอท n = 2 E = 4.9 eV
คือ ในการชนระหวางอิเล็กตรอนกับอะตอม
อะตอมจะดูดกลืนพลังงานไดบางคาเทานั้น 4.9 eV
T98
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
ขั้วไฟฟ้า A เป้าโลหะ B
V รังสีเอกซ์
แหล่งก�าเนิดไฟฟ้า
มีความต่างศักย์สูง V0
ภ
าพที่ 6.28 หลอดทดลองเพื่อผลิตรังสีเอกซ์จากล�าอิเล็กตรอน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ฟิสิกส์อะตอม 91
T99
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
34. ครูใหนักเรียนคูเดิมที่เคยรวมกันศึกษา เรื่อง การเกิดรังสีเอกซ์ มีกระบวนการเกิด 2 กระบวนการ ดังนี้
รังสีเอกซ รวมกันศึกษาเกี่ยวกับการเกิดรังสี
1. การเกิดรังสีเอกซ์ต่อเนื่อง (continuous X-rays) รังสีเอกซ์ชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อ
เอกซ ซึ่งมีกระบวนการเกิด 2 กระบวนการ อิเล็กตรอนพลังงานสูง เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วสูง อิเล็กตรอนตกกระทบ
คือ การเกิดรังสีเอกซตอ เนือ่ งและการเกิดรังสี เข้าใกล้นิวเคลียสซึ่งมีประจุบวก ท�าให้อิเล็กตรอน
เอกซเฉพาะตัว โดยครูมอบหมายใหแตละคู เปลี่ ย นทิ ศ ทางหรื อ มี ก ารเปลี่ ย นแปลงอั ต ราเร็ ว รังสีเอกซ์
3 2 จากการถูกหน่วง
แบงกันศึกษาคนควาขอมูลจากแหลงขอมูล ในลักษณะที่พลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนลดลง 1
สารสนเทศคนละ 1 กระบวนการ จากนั้นนํา เป็นเหตุให้มีการแผ่พลังงานออกมาในรูปของคลื่น อิเล็กตรอน
ขอมูลที่ไดมาอภิปรายรวมกันใหไดเปนผล แม่เหล็ก1ไฟฟ้าหรือโฟตอนเป็นรังสีเอกซ์จากการ สะท้อนแบบยืดหยุ่น
การศึกษาของคูตนเอง พรอมทั้งจดบันทึก ถูกหน่วง (ง (Bremsstrahlung) ดังภาพที่ 6.29 อิเล็กตรอน
สะท้อนแบบไม่ยดื หยุน่
ขอมูลและองคความรูที่ไดลงในสมุดบันทึก เนื่องจากจ�านวนอิเล็กตรอนที่ชนเป้ามี ภาพที่ 6.29 การเกิดรังสีเอกซ์ต่อเนื่อง
ประจําตัว จ�านวนมาก แต่ละตัวสูญเสียพลังงานค่าต่างกัน รังสี ที่มา : คลังภาพ อจท.
35. ครูสมุ นักเรียนเพือ่ ใหความหมายของการเกิด เอกซ์ที่แผ่ออกมาจึงมีสเปกตรัมต่อเนื่อง ส่วนอะตอมของเป้าที่จะรับพลังงานบางส่วนเข้าไปท�าให้
รังสีเอกซทั้ง 2 กระบวนการ เกิดการสัน่ ส่งผลให้โลหะทีเ่ ป็นเป้าร้อนขึน้ อิเล็กตรอนบางตัวอาจชนกับอะตอมของเป้าโดยตรงและ
36. ครูใหนักเรียนแตละคูรวมกันศึกษาการเกิด หยุดลง ในกรณีนพี้ ลังงานจลน์ทงั้ หมดของอิเล็กตรอนจะเปลีย่ นเป็นพลังงานคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า ซึง่
รังสีเอกซจากหนังสือเรียน อยูใ่ นรูปของรังสีเอกซ์ทมี่ คี วามถีส่ งู สุด จากกฎการอนุรกั ษ์พลังงาน จะเห็นว่า รังสีเอกซ์ทม่ี คี วามถี่
37. ครูใหนกั เรียนแบงกลุม กันอยางอิสระ กลุม ละ สูงสุด จะมีพลังงานสูงสุดเท่ากับพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอน (hfmax = Ek) ซึ่งพลังงานจลน์สูงสุด
3-4 คน ครูมอบหมายใหนักเรียนไปศึกษา ของอิเล็กตรอนนั้นได้จากการเร่งด้วยความต่างศักย์ V จึงได้ว่า
คนควาเกี่ยวกับการวิเคราะหการเลี้ยวเบน hfmax = eV (6.22)
รังสีเอกซจากแหลงขอมูลสารสนเทศตางๆ
เนื่องจาก f = c เมื่อน�าไปแทนค่าในสมการที่ 6.22 จะได้ว่า
max
เชน วารสารงานวิจัยของทั้งในประเทศไทย λmin
92
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. การเกิดรังสีเอกซ์เฉพาะตัว (characteristic X-rays) เกิดจากการที่อิเล็กตรอน 38. นักเรียนรวมกันศึกษาตัวอยางที่ 6.14-6.15
ถูกเร่งจนมีพลังงานสูง เคลื่อนที่เข้าชนเป้า เกิดการชนกับอิเล็กตรอนที่อยู่วงโคจรในของเป้า ถ้า จากหนังสือเรียน โดยครูคอยสังเกตการณและ
พลังงานของอิเล็กตรอนตัวทีเ่ คลือ่ นทีเ่ ข้าชนมีพลังงานมากกว่าพลังงานยึดเหนีย่ วของอิเล็กตรอน ใหคาํ ปรึกษาเมือ่ นักเรียนเกิดปญหาหรือสงสัย
ทีอ่ ยูใ่ นวงโคจรในของเป้า ก็จะท�าให้อเิ ล็กตรอนในวงโคจรนัน้ หลุดออกจากอะตอม อิเล็กตรอนจาก 39. ครูชักชวนนักเรียนสนทนาวา ทฤษฎีอะตอม
วงโคจรทีอ่ ยูห่ า่ งจากนิวเคลียสมากกว่าจะเคลือ่ นทีเ่ ข้าไปแทนที ่ พร้อมทัง้ คายพลังงานออกมาในรูป ของโบรสามารถอธิบายสเปกตรัมของอะตอม
รังสีเอกซ์ทมี่ ลี กั ษณะเฉพาะตัว ดังภาพที ่ 6.30 ซึง่ รังสีเอกซ์ทไี่ ด้จะมีพลังงานเท่ากับผลต่างระหว่าง ไฮโดรเจนและทําใหทราบถึงการจัดเรียงตัว
พลังงานที่อิเล็กตรอนเปลี่ยนวงโคจร ดังสมการที่ 6.11 ของอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจนได แลว
อิเล็กตรอนที่ถูกเร่งเข้าชนเป้า ถาเปนอะตอมของธาตุอื่นๆ ยังจะสามารถ
รังสีเอกซ์เฉพาะตัว
ใชทฤษฎีอะตอมของโบรอธิบายและคํานวณ
หาปริ ม าณต า งๆ ได เ ช น เดี ย วกั บ อะตอม
อิเล็กตรอนที่หลุดออกจากวงโคจร ไฮโดรเจนหรือไม
ภาพที่ 6.30 การเกิดรังสีเอกซ์เฉพาะตัว 40. ครูใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับความไมสมบูรณ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ของทฤษฎีอะตอมของโบรจากหนังสือเรียน
ภาพที่ 6.31 เป็นกราฟแสดง ความเข้มของรังสีเอกซ์
ความสัมพันธ์ระหว่างความยาวคลื่นกับ Kα
ความเข้มของรังสีเอกซ์ ซึ่งเป็นตัวอย่าง Kβ
ในการเปรียบเทียบให้เห็นว่า รังสีเอกซ์ รังสีเอกซ์เฉพาะตัว
แบบต่อเนื่องต่างจากรังสีเอกซ์เฉพาะตัว รังสีเอกซ์ตอ่ เนือ่ ง
มีความต่างกันอย่างไร
พลังงาน
ภาพที่ 6.31 กราฟแสดงความแตกต่างระหว่างรังสีเอกซ์
ต่อเนื่องกับรังสีเอกซ์เฉพาะตัว
ที่มา : https://www.radiologycafe.com
P hysics
Focus การวิเคราะห์การเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์
เครือ่ งวิเคราะห์การเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ (X-ray diffractometer; XRD) เป็นเครือ่ งมือวิเคราะห์
วัสดุขั้นพื้นฐานซึ่งเป็นการวิเคราะห์แบบไม่ท�าลายตัวอย่าง (non-destructive analysis) เพื่อศึกษา
เกีย่ วกับโครงสร้างของผลึก การจัดเรียงตัวของอะตอมในโมเลกุลของสารประกอบต่าง ๆ ทัง้ ในเชิงคุณภาพ
และปริมาณ โดยอาศั1 ยหลักการเลี้ยวเบนและการกระเจิงของรังสีเอกซ์ และความรู้เกี่ยวกับวิชาระบบ
โครงสร้างผลึก เครื่องมือชนิดนี้มีความส�าคัญมากในกระบวนการควบคุมคุณภาพการผลิต ใช้ส�าหรับ
ตรวจสอบสมบัติของวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ในกระบวนการผลิตตามขั้นตอนต่าง ๆ
ฟิสิกส์อะตอม 93
T101
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
41. ครูถามคําถามใหนกั เรียนอธิบายสิง่ ทีน่ กั เรียน ตัวอย่างที่ 6.14
ไดเรียนรูเกี่ยวกับเรื่อง การทดลองของฟรังก หลอดรังสีเอกซ์ที่มีความต่างศักย์ระหว่างขั้วทั้งสองเท่ากับ 16,000 โวลต์ จะผลิตรังสีเอกซ์ที่มีความยาว
และเฮิรตซ รังสีเอกซ และความไมสมบูรณ คลื่นต�่าสุดเท่าใด
ของทฤษฎีอะตอมของโบร โดยครูสมุ นักเรียน
วิธีท�า รังสีเอกซ์ที่มีความยาวคลื่นต�่าสุดจะมีพลังงานเท่ากับพลังงานของอิเล็กตรอนที่ถูกเร่งด้วย
จํานวนหนึ่งออกมาหนาชั้นเรียนเพื่ออธิบาย ความต่างศักย์ระหว่างขั้วเท่ากับ V
ผลการศึกษาในแตละหัวขอ hc
จากสมการที่ 6.23 λmin = eV
42. เมื่อนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความ
-34 8
เขาใจของนักเรียนแลว ครูอาจยกตัวอยาง = (6.626 × 10-19 J s)(3 × 10 m/s)
λmin
(1.6 10 C)(16,000 V)
หรือปรับเปลีย่ นสถานการณจากตัวอยางทีไ่ ด × -6
λmin = 1.24 10 J m/C = 0.0775 × 10 m
-9
ศึกษา แลวใหนกั เรียนอธิบายสิง่ ทีเ่ หมือนและ 16,000 V
สิ่งที่แตกตาง ดังนั้น หลอดรังสีเอกซ์ที่มีความต่างศักย์ระหว่างขั้วทั้งสองเท่ากับ 16,000 โวลต์ จะผลิตรังสีเอกซ์ที่มี
43. ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาทําความเขาใจ ความยาวคลื่นต�่าสุดเท่ากับ 0.0775 นาโนเมตร
เกีย่ วกับการทดลองของฟรังกและเฮิรตซและ
รังสีเอกซ เพิ่มเติมจากแบบฝกหัดรายวิชา
ตัวอย่างที่ 6.15
เพิ่มเติมวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ฟสิกส
เพื่อให้ได้รังสีเอกซ์ที่มีความถี่มากที่สุดเท่ากับ 2 × 1019 เฮิรตซ์ จะต้องจ่ายความต่างศักย์ไฟฟ้าเท่าใด
ม.6 เลม 2 หนวยการเรียนรูท ี่ 6 ฟสกิ สอะตอม
วิธีท�า ค�านวณหาค่าความยาวคลื่นของรังสีเอกซ์ที่มีความถี่ 2 × 1019 เฮิรตซ์
ลงมือทํา (Doing) จากสมการ c = fλ
44. ครูใหนกั เรียนสรุปความรูเ กีย่ วกับการทดลอง λ = c = 3 × 1019 m/s
8
= 1.5 × 10-11 m
f 2 10 s-1
×
ของฟรังกและเฮิรตซ รังสีเอกซ และความ
แสดงว่าความยาวคลื่นต�่าสุดที่จะเกิดขึ้นได้ของรังสีเอกซ์
ไมสมบูรณของทฤษฎีอะตอมของโบร โดย เท่ากับ 1.5 × 10-11 เมตร Trick
การค�านวณโดยใช้สมการที ่
สร า งสรรค อ อกมาในรู ป แบบของแผ น พั บ จากสมการที่ 6.23 λmin = eV hc 6.23 เมือ่ แทนค่าเทอมของ hce
ความรู ลงในกระดาษ A4 พรอมทั้งตกแตง -6 ซึ่งเป็นค่าคงตัว จะเท่ากับ
1.5 × 10-11 m = 1.24 × 10 J m/C
ใหสวยงาม เสร็จแลวนําสงครูเพื่อตรวจให V
1.24 × 10-6 J m/C ซึง่ สามารถ
-6 J m/C
คะแนน V = 1.24 × 10 น� า ค่ า นี้ ไ ปแทนค่ า ในสมการ
1.5 × 10-11 m
45. ครูแจกใบงาน เรื่อง รังสีเอกซ ใหนักเรียน V = 82.7 × 10 J/C 3 ได้เลย
คนละ 1 ชุด จากนัน้ มอบหมายใหนกั เรียนนํา V = 82.7 × 103 V
กลับไปศึกษาเปนการบาน เสร็จแลวตัวแทน ดังนั้น เพือ่ ให้ได้รงั สีเอกซ์ทมี่ คี วามถีม่ ากทีส่ ดุ เท่ากับ 2 × 1019 เฮิรตซ์ จะต้องจ่ายความต่างศักย์ไฟฟ้า
รวบรวมสงครู เท่ากับ 82.7 กิโลโวลต์
46. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ น แลวรวมกันศึกษา
94
แบบฝกหัด Topic Questions จากหนังสือ
เรียน
T102
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ลงข อ สรุ ป โดยให
4.4 ความไมสมบูรณ์ของทฤษฎีอะตอมของโบร์ นักเรียนอภิปรายสรุปความรูท ไี่ ดศกึ ษามาแลว
ทั้งเนื้อหาและตัวอยางจากหนังสือเรียนและ
แม้ ท ฤษฎี อ ะตอมของโบร์ ส ามารถอธิ บ ายสเปกตรั ม สเปกตรัมเมื่อไม่มีสนามแม่เหล็ก
ของอะตอมของไฮโดรเจนได้ดี และท�าให้ทราบถึงการจัดเรียง กิจกรรมทีน่ อกเหนือจากหนังสือเรียน พรอมทัง้
อิเล็กตรอนในอะตอมของไฮโดรเจน แต่ก็ไม่สามารถค�านวณ ยกตัวอยางสถานการณทเี่ กีย่ วของเพือ่ ทดสอบ
และอธิบายสเปกตรัมของอะตอมอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ ยังมีการ ความเขาใจ
ทดลองที่แสดงว่าอะตอมที่อยู่ในสนามแม่เหล็กจะให้สเปกตรัม 2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได
ที่ต่างจากเมื่อไม่อยู่ในสนามแม่เหล็ก คือ สเปกตรัมเส้นหนึ่ง ๆ สเปกตรัมเมื่อมีสนามแม่เหล็ก ศึกษาผานมาแลวในสวนที่ยังไมเขาใจหรือ
อาจแยกออกเป็นหลายเส้น ดังภาพที่ 6.32 ภ
าพที่ 6.32 เส้นสเปกตรัมเมื่อ สงสัย จากนั้นครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น
อะตอมอยู่ในสนามแม่เหล็ก
หากพิจารณาทฤษฎีอะตอมของโบร์ จะพบว่า โบร์ได้น�า ที่มา : คลังภาพ อจท. โดยที่ครูอาจใช PowerPoint เรื่อง ทฤษฎี
แนวความคิดฟิสิกส์แบบดั้งเดิม (classical physics) ของนิวตันและคูลอมบ์ผสมกับฟิสิกส์แผน อะตอมของโบร มาเปดใหนักเรียนดูประกอบ
ใหม่ (modern physics) ที่ว่าด้วยควอนตัมของพลังงานของพลังค์ จะเห็นได้ว่า ตอนแรกของ เพื่อชวยในการอธิบายใหเขาใจมากยิ่งขึ้น
ทฤษฎีอะตอมของโบร์กล่าวถึงการโคจรของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียส ซึ่งถือว่า แรงสู่ศูนย์กลางที่
กระท�ากับอิเล็กตรอนเกิดจากแรงดึงดูดระหว่างประจุไฟฟ้าของอิเล็กตรอนกับนิวเคลียสซึง่ เป็นหลัก ขัน้ ประเมิน
ของฟิสกิ ส์แบบดัง้ เดิม แต่โบร์เสนอว่า อิเล็กตรอนทีเ่ คลือ่ นทีด่ ว้ ยความเร่งในวงโคจรไม่จา� เป็นต้อง 1. ประเมินความรูเกี่ยวกับเรื่อง ทฤษฎีอะตอม
ปลดปล่อยพลังงาน และอิเล็กตรอนถูกจ�ากัดให้โคจรอยู่ในวงโคจรที่เป็นวงกลมบางวงเท่านั้น ของโบร โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคําถาม
จะเห็นได้ว่า ทฤษฎีอะตอมของโบร์มีบางส่วนที่ยอมรับและบางส่วนที่ปฏิเสธทฤษฎีฟิสิกส์ การทําแบบฝกหัด และการสรุปสาระสําคัญ
แบบดั้งเดิม ดังนั้น ทฤษฎีอะตอมของโบร์จึงไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ของอะตอมได้อย่าง 2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา
สมบูรณ์ จึงไม่น่าจะมีทฤษฎีใหม่ที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งน�าไป ศาสตรจากการคํานวณเพื่อหาคาของปริมาณ
สู่การพัฒนาวิชากลศาสตร์ควอนตัม จึงท�าให้ ที่เกี่ยวของกับระดับพลังงานของอะตอมจาก
เกิดการพัฒนาแนวคิดทางกลศาสตร์ควอนตัม Core Concept สถานณการณตางๆ และจากตัวอยางที่ครู
ในเรื่องสมบัติทวิภาพของสสารในรูปของคลื่น ให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญ เรื่อง กําหนดให
ทฤษฎีอะตอมของโบร์
และอนุภาค
3. ประเมิ น คุ ณ ลั ก ษณะอั น พึ ง ประสงค โดย
Topic สังเกตพฤติกรรมความสนใจใฝรูหรืออยากรู
Questions อยากเห็ น การทํ า งานร ว มกั บ ผู อื่ น อย า ง
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ สรางสรรค
1. แบบจ�าลองอะตอมไฮโดรเจนของของโบร์สามารถอธิบายอะไรได้บ้าง
2. แบบจ�าลองอะตอมของโบร์มีข้อบกพร่องอะไรบ้าง
3. เพื่อให้ได้รังสีเอกซ์ที่มีความถี่มากสุดเท่ากับ 15 × 1019 เฮิรตซ์ จะต้องจ่ายความต่างศักย์ไฟฟ้าเท่าใด
ฟิสิกส์อะตอม 95
2. โบรไดสรางแบบจําลองอะตอมของไฮโดรเจนซึ่งใชไดกับอะตอมที่มี แบบประเมินผลงานแผ่นพับความรู้
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินแผ่นพับความรู้ของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ
ประเด็นที่ประเมิน
1. ผลงานตรงกับ
4
ผลงานสอดคล้องกับ
3
ผลงานสอดคล้องกับ
ระดับคะแนน
2
ผลงานสอดคล้องกับ
1
ผลงานไม่สอดคล้อง
อิเล็กตรอนตัวเดียวเทานั้น ไมสามารถนําไปใชในการอธิบายอะตอมที่
จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
คะแนน 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ระดับคุณภาพ ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
ซับซอนหรือมีอิเล็กตรอนหลายๆ ตัวได 2
3
4
ความถูกต้องของเนื้อหา
ความคิดสร้างสรรค์
ความเป็นระเบียบ
รวม
4. ผลงานมีความเป็น
ระเบียบ
แปลกใหม่และเป็น
ระบบ
ผลงานมีความเป็น
ระเบียบแสดงออกถึง
ผลงานส่วนใหญ่มีความ
เป็นระเบียบแต่ยังมี
แปลกใหม่
ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
3. จากสมการ hfmax = eV
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
hf
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............../................./................
V = emax
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
จะไดวา ช่วงคะแนน
14–16
11–13
ระดับคุณภาพ
ดีมาก
ดี
-34 19
V = (6.626 × 10 J s)(15 × 10 Hz)
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
-19
1.6 × 10 C
V = 0.62 × 106 V
ดังนั้น จะตองจายความตางศักยไฟฟา 0.62 เมกะโวลต
T103
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T104
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
เครื่องมือที่ใช้ทดลองปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกจะประกอบด้วยหลอดแก้วสุญญากาศ 3. ครูใหแตละกลุมออกมานําเสนอผลงานของ
เรียกว่า โฟโตเซลล์ (photocell) ภายในมีแผ่นโลหะ E ต่อกับขัว้ ลบของแหล่งก�าเนิดไฟฟ้ากระแสตรง กลุมตนเองตามลําดับ
ที่ปรับความต่างศักย์ได้และท�าหน้าที่ให้อิเล็กตรอน (emitter) ส่วนแผ่นโลหะ C ต่อเข้ากับขั้วบวก 4. ครูมอบหมายใหแตละกลุมรวมกันเขียนแสดง
และท�าหน้าที่รับอิเล็กตรอน (collector) ที่หลุดออกจากแผ่นโลหะ E เมื่อหลอดอยู่ในที่มืด กระแส ความคิ ด เห็ น แนะนํ า หรื อ ติ ช มผลงานและ
ไฟฟ้าในวงจรจะเป็นศูนย์ เมื่อฉายแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าค่าเฉพาะค่าหนึ่งซึ่งขึ้นกับชนิด การนําเสนอผลงานของกลุมอื่นๆ พรอมทั้ง
ของวัสดุที่แผ่นโลหะ E พบว่า มีกระแสไฟฟ้าในวงจร ซึ่งวัดได้โดยใช้แอมมิเตอร์ แสดงให้เห็นว่า รวมกันลงขอสรุปเปนความคิดเห็นของกลุม
มีอิเล็กตรอนเคลื่อนที่จากแผ่นโลหะ E ไปยังแผ่นโลหะ C ดังภาพที่ 6.34 (ก) และเนื่องจาก ในการใหคะแนนแตละกลุม เสร็จแลวตัวแทน
เป็นกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากโฟโตอิเล็กตรอน จึงเรียกกระแสไฟฟ้านี้ว่า กระแสโฟโตอิเล็กตรอน นําสงครูหนาชั้นเรียน
(photoelectron current) หากพิจารณาจ�านวนโฟโตอิเล็กตรอนทีเ่ กิดขึน้ ท�าได้โดยการเพิม่ ความเข้ม 5. ครู สุ ม ถามเพื่ อ ตรวจสอบความเข า ใจของ
แสงที่ตกกระทบแผ่นโลหะ E จะพบว่า กระแสโฟโตอิเล็กตรอนในวงจรจะเพิ่มขึ้น ดังภาพที่ 6.34 นักเรียน เชน
(ข) จึงสรุปได้ว่า โฟโตอิเล็กตรอนจะแปรผันตรงหรือขึ้นอยู่กับความเข้มแสง • พลังงานจลนสูงสุดของอิเล็กตรอนที่หลุด
แสง แสง
ออกจากผิวโลหะมีคาขึ้นอยูกับปริมาณใด
(แนวตอบ ความถี่ของแสง)
6. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง ปรากฏการณโฟโต
E C E C
อิเล็กทริก จากหนังสือเรียน เพื่อสรางความ
μA μA
เขาใจใหเปนแนวทางเดียวกัน
(ก) (ข) 7. ครูสุมถามนักเรียนเพื่อกระตุนใหนักเรียนมี
ภ
าพที่ 6.34 การทดลองปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ความกระตือรือรนและสนใจในเนื้อหาที่กําลัง
ที่มา : คลังภาพ อจท. ศึกษา เชน
เมือ่ ลดความต่างศักย์ V ระหว่างแผ่นโลหะ C กับแผ่นโลหะ E กระแสไฟฟ้าในวงจรจะลดลง • ถาโฟตอนของแสงแตละตัวที่ตกกระทบผิว
จนเมื่อความต่างศักย์เป็นลบหรือกลับขั้วไฟฟ้าที่แผ่นโลหะ C เป็นลบ และแผ่นโลหะ E เป็นบวก โลหะมีพลังงานนอยกวาฟงกชันงาน ผลที่
กระแสไฟฟ้าจะลดลงมาก เนื่องจากโฟโตอิเล็กตรอนถูกผลักโดยแผ่นโลหะ C โฟโตอิเล็กตรอนที่ เกิดขึ้นจะเปนอยางไร
จะไปถึงแผ่นโลหะ C (แล้วท�าให้เกิดกระแสไฟฟ้าในวงจร) ได้นั้น จะต้องมีพลังงานจลน์มากกว่า (แนวตอบ จะไมมีโฟโตอิเล็กตรอนเกิดขึ้น)
ค่า eV เมื่อ e เป็นประจุไฟฟ้าของอิเล็กตรอน และ V เป็นความต่างศักย์ของแหล่งก�าเนิดขณะนั้น
กล่าวได้ว่า ถ้าให้ความต่างศักย์เป็นลบมากขึ้นจนกระแสไฟฟ้าเป็นศูนย์พอดี (โฟโตอิเล็กตรอนไป
หยุดที่แผ่นโลหะ C พอดี) ค่าความต่างศักย์ที่ใช้หยุดอิเล็กตรอนนี้ เรียกว่า ความต่างศักย์หยุดยั้ง
(stopping potential; Vs) ดังนั้น พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมา (Ek )
max
สามารถค�านวณได้ จากสมการที่ 6.24
Ekmax = eVs (6.24)
ฟิสิกส์อะตอม 97
ขอสอบเนน การคิด
หากสมมติใหฟงกชันงานของแทนทาลัมและทองคํามีคาเทากับ 3.5 อิเล็กตรอนโวลต และ 4.2 อิเล็กตรอนโวลต ตามลําดับ อยากทราบวา หาก
ฉายแสงที่มีความยาวคลื่น 320 นาโนเมตร ลงไปบนวัตถุทั้งสอง วัตถุใดจะเกิดปรากฏการณโฟโตอิเล็กทริก
-34 8
(แนวตอบ จากสมการ W = hf0 พิจารณาทองคํา; 4.2 eV = (6.626 × 10 λJ s)(3 × 10 m/s)
W = hc
0
-34 8
λ 0 λ0 = (6.626 × 10 J s)(3 -19
× 10 m/s)
-34 8 (4.2 eV)(1.6 × 10 J/eV)
พิจารณาแทนทาลัม; 3.5 eV = (6.626 × 10 λJ s)(3 × 10 m/s) λ0 = 2.96 × 10-7 m
0
-34 8
λ0 = (6.626 × 10 J s)(3 -19× 10 m/s) λ0 = 296 × 10-9 m
(3.5 eV)(1.6 × 10 J/eV) จะไดวาความยาวคลื่นขีดเริ่มของทองคําเทากับ 296 นาโนเมตร
λ0 = 3.55 × 10-7 m เนื่องจากแสงที่จะทําใหโลหะใดๆ เกิดปรากฏการณโฟโตอิเล็กทริกได
λ0 = 355 × 10-9 m นัน้ จะตองมีความยาวคลืน่ ทีน่ อ ยกวาหรือไมเกินความยาวคลืน่ ขีดเริม่ ของ
จะไดวาความยาวคลื่นขีดเริ่มของแทนทาลัมเทากับ 355 นาโนเมตร โลหะนั้นๆ
ดังนั้น หากฉายแสงที่มีความยาวคลื่น 320 นาโนเมตร ลงไปบนวัตถุ
ทั้งสอง จะมีเพียงทองคําเทานั้นที่เกิดปรากฏการณโฟโตอิเล็กทริก)
T105
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
8. ครู ใ ห นั ก เรี ย นร ว มกั น ตอบคํ า ถามท า ทาย จากการทดลองจะเห็นได้วา่ ผลการทดลองไม่สามารถใช้ทฤษฎีแบบเดิมอธิบายได้ เนือ่ งจาก
การคิดขั้นสูง (H. O. T. S.) จากหนังสือเรียน แสงทีม่ ีความเข้มสูงควรถ่ายโอนพลังงานเพื่อกระตุน้ ให้อิเล็กตรอนหลุดออกมาได้ จนกระทั่ง พ.ศ.
9. ครูใหนักเรียนจับคูกับเพื่อน จากนั้นรวมกัน 2448 แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ได้อาศัยกฎการอนุรักษ์พลังงานและสมมติฐาน
ศึกษาตัวอยางที่ 6.16-6.17 จากหนังสือเรียน ของพลังค์ในการอธิบายผลการทดลอง โดยคิดว่าแสงเป็นอนุภาคที่เรียกว่า โฟตอน (photon) ที่
เสร็จแลวครูสมุ นักเรียนออกมาอธิบายผลการ มีพลังงานเป็น E = hf เมื่อโฟตอนตกกระทบพื้นผิวโลหะจะถ่ายโอนพลังงานให้กับอิเล็กตรอน
ศึกษาหนาชั้นเรียน ทั้งนี้ อิเล็กตรอนที่ผิวโลหะจะถูกยึดให้อยู่ในเนื้อโลหะด้วยพลังงานยึดเหนี่ยวค่าหนึ่ง ถ้าพลังงาน
ของโฟตอนที่มาตกกระทบและถ่ายโอนให้อิเล็กตรอนมากพอจะเอาชนะพลังงานยึดเหนี่ยวนี้ได้
เขาใจ (Understanding)
อิเล็กตรอนก็จะหลุดออกจากผิวโลหะและมีพลังงานจลน์เท่ากับพลังงานที่เหลืออยู่ สามารถเขียน
10. ครูถามคําถามนักเรียน เพือ่ ใหนกั เรียนอธิบาย แสดงความสัมพันธ์ได้ ดังสมการที่ 6.25
สิง่ ทีไ่ ดเรียนรูเ กีย่ วกับเรือ่ ง ปรากฏการณโฟโต
hf = W + Ekmax (6.25)
อิเล็กทริก
11. ครูยกตัวอยางหรือปรับเปลี่ยนสถานการณ โดยที่ W เป็นพลังงานที่อิเล็กตรอนจะต้องเสียไปปริมาณหนึ่งเท่ากับพลังงานที่ใช้ในการยึด
จากตั ว อย า งที่ ไ ด ศึ ก ษา แล ว ให นั ก เรี ย น อิเล็กตรอนไว้ในอะตอม เรียกพลังงานจ�านวนนี้ว่า ฟงก์ชันงาน (work function) ถ้าโฟตอนแต่ละ
อธิบายสิ่งที่เหมือนและสิ่งที่แตกตาง ตัวทีต่ กกระทบผิวโลหะมีพลังงานน้อยกว่า W ก็จะไม่มโี ฟโตอิเล็กตรอนเกิดขึน้ เนือ่ งจากอิเล็กตรอน
12. ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาทําความเขาใจ มีพลังงานไม่เพียงพอที่จะหลุดออกจากผิวโลหะ แต่ถ้าหากโฟตอนตัวใดตัวหนึ่งมีพลังงานเท่ากับ
เกีย่ วกับปรากฏการณโฟโตอิเล็กทริก เพิม่ เติม W ก็จะเริ่มมีโฟโตอิเล็กตรอนหลุดออกจากผิวโลหะ โดยที่อิเล็กตรอนนั้นไม่มีพลังงานจลน์เลย
จากแบบฝกหัดรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร (Ek = 0) กล่าวได้ว่า ค่าฟงก์ชันงานเป็นค่าเฉพาะของโลหะชนิดต่าง ๆ โดยอิเล็กตรอนจะหลุด
max
และเทคโนโลยี ฟสิกส ม.6 เลม 2 หนวยการ ออกมาเมื่อความถี่ของแสงที่ใช้มากกว่าความถี่ขีดเริ่ม (threshold frequency; f0) ซึ่งโฟตอน
เรียนรูที่ 6 ฟสิกสอะตอม ของแสงจะมีพลังงานเท่ากับฟงก์ชันงานพอดี จากสมการที่ 6.25 จะได้ว่า
ลงมือทํา (Doing)
hf0 = W + 0
13. ครู ใ ห นั ก เรี ย นสรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ ปรากฏ W = hf0 (6.26)
การณโฟโตอิเล็กทริก โดยสรางสรรคออกมา โฟตอนพลังงาน hf อิเล็กตรอนพลังงานสูงสุด
ในรูปแบบของใบความรู ลงในกระดาษ A4 เท่ากับ hf - W H. O. T. S.
คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
พรอมทั้งตกแตงใหสวยงาม ถ้ า ใช้ แ สงที่ มี
14. ครูมอบหมายใหนักเรียนศึกษาใบงาน เรื่อง ความถี่ ต�่ า กว่ า
ปรากฏการณโฟโตอิเล็กทริก เสร็จแลวตัวแทน ผิวโลหะมีฟงก์ชันงาน W
ความถี่ ขี ด เริ่ ม
แต่เพิ่มความเข้มแสงจะท�าให้
รวบรวมสงครู เกิ ด โฟโตอิเล็กตรอนหรือไม่
ภาพที่ 6.35 การอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
แนวตอบ H. O. T. S. อย่างไร
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แสงทีม่ คี วามถีต่ าํ่ กวาความถีข่ ดี เริม่ (f0) แสดง 98
ว า โฟตอนที่ ต กกระทบโลหะมี พ ลั ง งานน อ ยกว า
ฟงกชนั งานของโลหะนัน้ จึงไมเกิดโฟโตอิเล็กตรอน
ขอสอบเนน การคิด
ถาใหแสงความถี่ 8 × 1014 เฮิรตซ ตกกระทบผิวโลหะชนิดหนึ่ง โฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมามีความเร็วสูงสุด 7 × 105 เมตรตอวินาที คาความถี่
ขีดเริ่มสําหรับโลหะนี้มีคาเทาใด
(แนวตอบ พลังงานของโฟตอนทีต่ กกระทบผิวโลหะถามากพอทําให จากสมการ hf = W + Ekmax
เกิดโฟโตอิเล็กตรอน และจะมีพลังงานเหลือใหโฟโตอิเล็กตรอนได W = hf - Ekmax
เคลื่อนที่ ในที่นี้พลังงานจลนมากสุดของโฟโตอิเล็กตรอนสามารถหา W = (6.626 × 10-34 J s)(8 × 1014 Hz) - (2.23 × 10-19 J)
จากอัตราเร็วของอิเล็กตรอนได ดังสมการ W = (5.3008 × 10-19 J) - (2.23 × 10-19 J)
Ekmax = 12 mv2 W = 3.07 × 10-19 J
Ekmax = 12 mev2 จากสมการ W = hf0
f0 W=
Ekmax = 12 (9.1 × 10-31 kg)(7 × 105 m/s)2 h -19
Ekmax = 2.23 × 10-19 J f0 = 3.07 × 10-34 J = 4.63 × 10-14 Hz
6.626 × 10 J s
คํานวณหาพลังงานที่ทําใหโฟโตอิเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะได ดังนั้น คาความถี่ขีดเริ่มสําหรับโลหะนี้มีคาเทากับ 4.63 × 10-14 เฮิรตซ)
หรือฟงกชันงานของอิเล็กตรอน
T106
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครูและนักเรียนรวมกันลงขอสรุป โดยครูให
ตัวอย่างที่ 6.16
นั ก เรี ย นอภิ ป รายสรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
โลหะซีเซียมมีพลังงานยึดเหนี่ยวอิเล็กตรอน 2.10 อิเล็กตรอนโวลต์ ถูกฉายด้วยแสงสีฟ้าซึ่งมี ปรากฏการณ โ ฟโตอิ เ ล็ ก ทริ ก พร อ มทั้ ง ยก
ความยาวคลืน่ 410 นาโนเมตร โฟโตอิเล็กตรอนทีห่ ลุดออกมาจะมีพลังงานจลน์มากทีส่ ดุ เท่าใดในหน่วย ตัวอยางสถานการณที่เกี่ยวของเพื่อทดสอบ
อิเล็กตรอนโวลต์ ความเขาใจ
วิธีท�า พลังงานของโฟตอนที่ให้แก่ผิวโลหะนั้นจะแบ่งพลังงานออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ ท�าให้ 2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ยัง
อิเล็กตรอนหลุดออกจากผิว พลังงานที่ใช้จะมีค่าเท่ากับพลังงานยึดเหนี่ยวอิเล็กตรอน ส่วนที่ ไมเขาใจหรือสงสัย จากนั้นครูใหความรูเพิ่ม
เหลือจะกลายเป็นพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอน เติมในสวนนั้น โดยที่ครูอาจใช PowerPoint
จากสมการที่ 6.25 hf = W + Ek เรื่อง ปรากฏการณโฟโตอิเล็กทริก มาเปดให
max
E kmax= hf - W = hc - W λ
นักเรียนดูประกอบเพื่อชวยในการอธิบายให
-34 × 108 m/s) เขาใจมากยิ่งขึ้น
Ek = (6.626 × 10 J s)(3 - 2.10 eV
max -9
(410 × 10 m) 3. ครูใหนกั เรียนสรุปความรูเ กีย่ วกับปรากฏการณ
Ek = (4.85 × 10-19 J) - 2.10 eV โฟโตอิเล็กทริก โดยสรางสรรคออกมาในรูป
max
เนื่องจาก 1 อิเล็กตรอนโวลต์ มีค่าเท่ากับ 1.6 × 10-19 จูล จะได้ว่า แบบของแผนพับความรู ลงในกระดาษ A4
Ek = 4.85 × 10
-19
J - 2.10 eV = 0.93 eV พรอมทั้งตกแตงใหสวยงาม เสร็จแลวนําสงครู
max 1.6 × 10-19 J/eV เพื่อตรวจใหคะแนน
ดังนั้น โฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมาจะมีพลังงานจลน์มากที่สุดเป็น 0.93 อิเล็กตรอนโวลต์
ขัน้ ประเมิน
ตัวอย่างที่ 6.17 1. ประเมินความรูเกี่ยวกับเรื่อง ปรากฏการณ
เมื่อค่าพลังงานยึดเหนี่ยวของแผ่นเงินเท่ากับ 4.26 อิเล็กตรอนโวลต์ จะต้องฉายแสงที่มีความยาวคลื่น โฟโตอิเล็กทริก โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบ
กี่นาโนเมตรจึงจะท�าให้แผ่นเงินเกิดปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
คําถาม การทําแบบฝกหัด และการสรุปสาระ
วิธีท�า พลังงานน้อยสุดทีจ่ ะท�าให้เกิดปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกได้ ต้องมีคา่ อย่างน้อยเท่ากับพลังงาน สําคัญ
ยึดเหนีย่ วของอิเล็กตรอนในโลหะ ซึ่งในที่นี้เท่ากับ 4.26 อิเล็กตรอนโวลต์ นั่นคือ พลังงานของ 2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา
โฟตอนที่ใช้ต้องมีค่าเท่ากับ 4.26 อิเล็กตรอนโวลต์ ศาสตร จ ากการคํ า นวณหาพลั ง งานโฟตอน
จากสมการที่ 6.26 W = hf0
พลังงานจลนของโฟโตอิเล็กตรอน และฟงกชนั
E = hc
photon λ0 งานของโลหะ รวมทัง้ ปริมาณทีเ่ กีย่ วของตางๆ
-34 8
λ0 = (6.626 × 10 J s)(3 ×-19 10 m/s) จากตัวอยางที่ครูกําหนดให
(4.26 eV)(1.6 10 J/eV)
×
3. ประเมิ น คุ ณ ลั ก ษณะอั น พึ ง ประสงค โดย
λ0 = 2.92 × 10-7 m = 292 × 10-9 m
สังเกตพฤติกรรมความรับผิดชอบตองานที่ได
ดังนัน้ แสงทีท่ า� ให้โลหะเงินเกิดปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกได้จะต้องมีความยาวคลืน่ ไม่เกิน 292 นาโนเมตร
รับมอบหมาย และปฏิบัติงานตรงตามเวลาที่
ฟิสิกส์อะตอม 99 ครูกําหนด
ลาดับที่
คะแนน
รายการประเมิน
4 3
ระดับคุณภาพ
2 1
จุดประสงค์ที่กาหนด
2. ผลงานมีความ
ถูกต้องสมบูรณ์
3. ผลงานมีความคิด
จุดประสงค์ทุกประเด็น
เนื้อหาสาระของผลงาน
ถูกต้องครบถ้วน
ผลงานแสดงออกถึง
จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น
เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น
ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ
กับจุดประสงค์
เนื้อหาสาระของผลงาน
ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ผลงานไม่แสดงแนวคิด
W = hf - Ekmax
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
ระบบ
3 ความคิดสร้างสรรค์
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
4 ความเป็นระเบียบ
(1.6 × 10-19 J)
............../................./................
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–16 ดีมาก
W = 1.713 × 10-19 J
ดังนั้น พลังงานยึดเหนี่ยวของโลหะมีคาเทากับ 1.713 × 10-19 จูล)
T107
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
100
T108
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
เมือ่ ทฤษฎีคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์ไม่สามารถอธิบายผลการทดลองทีไ่ ด้ คอมป์ตนั 4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นสื บ ค น ข อ มู ล ที่ ค รู ตั้ ง ประเด็ น
จึงได้น�าแนวคิดควอนตัมของพลังงานของไอน์สไตน์มาอธิบาย โดยพิจารณาให้รังสีเอกซ์ที่มี คําถามไวจากแหลงขอมูลสารสนเทศ เชน
ความถี่ f ประกอบด้วยก้อนพลังงานหรือโฟตอนซึ่งมีพลังงานเท่ากับ1 hf มีโมเมนตัมเท่ากับ hfc อินเทอรเน็ต
และให้การชนระหว่างโฟตอนของรังสีเอกซ์กับอิเล็กตรอนในแกรไฟต์เป็นการชนระหว่างอนุภาค 5. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนไดแสดงความคิดเห็น
กับอนุภาคตามกฎการอนุรักษ์พลังงานและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม ดังนั้น การที่รังสีเอกซ์ จากประเด็นคําถามหลังจากที่สืบคนขอมูลมา
กระเจิงออกมาโดยมีความยาวคลื่นเท่าเดิม แสดงว่าโฟตอนของรังสีเอกซ์กับอิเล็กตรอนในแท่ง แลว
แกรไฟต์ชนกันแบบยืดหยุ่น และถ้าความยาวคลื่นของรังสีเอกซ์ท่ีกระเจิงออกมามากกว่าเดิม 6. ครูใหนักเรียนคูเดิมรวมกันศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง
แสดงว่าโฟตอนกับอิเล็กตรอนชนกันแบบไม่ยืดหยุ่น ซึ่งท�าให้เห็นได้ว่า ผลที่ได้จากการวัดใน สมมติฐานเดอบรอยล จากหนังสือเรียน
การทดลองกับการค�านวณสอดคล้องกัน กล่าวได้ว่า ปรากฏการณ์คอมป์ตันเป็นปรากฏการณ์ที่ 7. ครูสุมนักเรียนเพื่อถามคําถามวา
สนับสนุนแนวคิดของไอน์สไตน์ที่ว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถแสดงสมบัติความเป็นอนุภาคได้
• สมมติฐานเดอบรอยลคืออะไร
5.3 สมมติฐานเดอบรอยล์ (แนวตอบ สมมติฐานเดอบรอยล เปนแนวคิด
ใน พ.ศ. 2467 หลุยส์ วิกเตอร์ เดอ บรอยล์1 (Louis Victor De Broglie) (พ.ศ. 2435- ของหลุยส วิกเตอร เดอ บรอยล ที่วา แสงมี
2530) นักฟิสิกส์ ชาวฝรั่งเศส ได้เสนอแนวความคิดว่า แสงมีสมบัติเป็นได้ทั้งคลื่นแสงและอนุภาค สมบัตเิ ปนไดทงั้ คลืน่ และอนุภาค และถาคลืน่
กล่าวคือ ในกรณีทแี่ สงมีการเลีย้ วเบนและการแทรกสอด แสดงว่าขณะนัน้ แสงประพฤติตวั เป็นคลืน่ แมเหล็กไฟฟาแสดงสมบัติของอนุภาคได
ส�าหรับกรณีแสงในปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกและปรากฏการณ์คอมป์ตัน แสดงให้เห็นว่าแสง สิ่งตางๆ ที่เปนอนุภาค เชน อิเล็กตรอน
เป็นอนุภาค ดังนั้น สสารทั่วไปที่มีสมบัติเป็นอนุภาคก็น่าจะมีสมบัติเป็นคลื่นด้วย เดอบรอยล์จึง โปรตอน นิ ว ตรอน อะตอม โมเลกุ ล
พยายามหาความยาวคลื่นมวลสสารซึ่งเริ่มจากความยาวคลื่นของแสงก่อน โดยได้เสนอสมการ ลูกฟุตบอล ก็สามารถแสดงสมบัติของคลื่น
แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความยาวคลื่นกับโมเมนตัมของโฟตอนซึ่งอาศัยทฤษฎีสัมพัทธภาพ ได)
ของไอน์สไตน์ ดังนี้
8. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลการศึกษา
จากสมการ E = mc2 เรือ่ ง สมมติฐานเดอบรอยล วา “ตามสมมติฐาน
เริ่มจากพิจารณาอนุภาคที่มีมวล m เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว v โมเมนตัมที่เกิดขึ้นเท่ากับ เดอบรอยล ไมวา อนุภาคจะมีมวลหรือไมกต็ าม
p = mv ถ า อนุ ภ าคนั้ น มี ก ารเคลื่ อ นที่ ก็ จ ะสามารถ
น�าค่า m จากทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์มาแทนในสมการโมเมนตัม จะได้ว่า แสดงสมบัติของคลื่นไดทั้งสิ้น สรุปไดวา คลื่น
p = E2 v สามารถแสดงสมบัตขิ องอนุภาคไดและอนุภาค
c แสดงสมบัตขิ องคลืน่ ได เรียกสมบัตดิ งั กลาววา
หากอนุภาคที่พิจารณาในที่นี้ คือ โฟตอน อัตราเร็วของอนุภาคจะเท่ากับอัตราเร็วของแสง ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค”
ในสุญญากาศ 9. ครูใหนกั เรียนศึกษาเกีย่ วกับทฤษฎีสมั พัทธภาพ
จะได้ว่า p = E2 c = Ec ของไอน ส ไตน เ พิ่ ม เติ ม จากแหล ง ข อ มู ล
c
1
เนื่องจากราชบัณฑิตยสภาก�าหนดให้สะกดตัวสะกดชื่อและสกุล ตามเสียงในเชื้อชาติดั้งเดิมตามก�าเนิดของนักวิทยาศาสตร์ผู้นั้น กล่าวคือ ชื่อ สารสนเทศ เพื่อประกอบการศึกษาเกี่ยวกับ
Louis Victor De Broglie ก�าหนดให้ใช้วา่ ลุย วิกตอร์ เดอ เบรย แต่เพือ่ ให้งา่ ยต่อการสือ่ สาร ในหนังสือเล่มนีจ้ ะใช้วา่ หลุยส์ วิกเตอร์ เดอ บรอยล์
ฟิสิกส์อะตอม 101
สมมติฐานเดอบรอยลใหมีความเขาใจมาก
ยิ่งขึ้น
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
10. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นอยางอิสระ จากนัน้ เนื่องจากโฟตอนที่มีความถี่ f จะมีพลังงาน E = hf และอัตราเร็วของแสงในสุญญากาศ
ใหรวมกันศึกษาตัวอยางที่ 6.18-6.21 จาก c = fλ สามารถเขียนโมเมนตัมของโฟตอนในเทอมของความยาวคลื่นได้เป็น
หนังสือเรียน
11. ครู ถ ามคํ า ถามหรื อ โจทย ป ญ หาเพิ่ ม เติ ม ที่
p = fhfλ = λh (6.27)
นอกเหนือจากหนังสือเรียนเพื่อใหนักเรียนได จากแนวความคิดนี้ เดอบรอยล์ จึงได้เสนอแนวคิดขึ้นมาใหม่ว่า ถ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ศึกษาและทําความเขาใจมากขึ้น แสดงสมบัติของอนุภาคได้ สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอนุภาค เช่น อิเล็กตรอน โปรตอน นิวตรอน อะตอม
12. ครูสุมนักเรียนออกมาหนาชั้นเรียน จากนั้น โมเลกุล ลูกฟุตบอล หรือก้อนหิน ก็สามารถแสดงสมบัติของคลื่นได้ เรียกแนวคิดนี้ว่า สมมติฐาน
ครูใหนักเรียนอธิบายขั้นตอนและวิธีการหา ของเดอบรอยล์ (de Broglie’s hypothesis) และจากความสัมพันธ์ของโมเมนตัมของโฟตอน
คําตอบจากตัวอยางและคําถามทีค่ รูใหเพิม่ เติม ดังสมการที ่ 6.27 สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์เพือ่ ค�านวณหาความยาวคลืน่ ของอนุภาคมวล m
บนกระดาน ที่มีอัตราเร็ว v ได้ ดังสมการที่ 6.28
13. เมื่อนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความ
เขาใจของนักเรียนแลว ครูอาจยกตัวอยาง λ = hp = mv
h (6.28)
หรือปรับเปลีย่ นสถานการณจากตัวอยางทีไ่ ด
λ คือ ความยาวคลื่นของอนุภาค มีหน่วยเป็น เมตร (
เมตร (m)
ศึกษา แลวใหนกั เรียนอธิบายสิง่ ทีเ่ หมือนและ h คือ ค่าคงตัวของพลังค์ ((Plank’s constant) มีค่าเท่ากับ 6.626 × 10-34 จูล วินาที (J s)
สิ่งที่แตกตาง p คือ โมเมนตัมของอนุภาค มีหน่วยเป็น กิโลกรัม เมตรต่อวินาที ((kg m/s)
14. ครูใหนักเรียนรวมกันตอบคําถาม Concept m คือ มวลของอนุภาค มีหน่วยเป็น กิโลกรัม ( (kg)
Question จากหนังสือเรียน v คือ อัตราเร็วของอนุภาค มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที ((m/s)
ขอสอบเนน การคิด
โฟตอนของรังสีเอกซวิ่งในแนว +X เขาชนนิวเคลียสของคารบอนมวล 2.0 × 10-26 กิโลกรัม ซึ่งอยูนิ่ง พบวา โฟตอนวิ่งกลับในแนว -X ในขณะที่
นิวเคลียสของคารบอนวิ่งออกไปในแนว +X ดวยความเร็ว 280 เมตรตอวินาที ความยาวคลื่นของโฟตอนของรังสีเอกซที่วิ่งเขามาชนมีคาเทาใด
(แนวตอบ การชนดังกลาวเปนการชนใน 1 มิติ การชนในทุกกรณี จากสมการ Σpกอน = Σpหลัง
จะถือวาโมเมนตัมคงตัว โมเมนตัมเริ่มตนของนิวเคลียสคารบอนเปน pX = pC - pX
ศูนย หลังชนแลวโมเมนตัมของนิวเคลียสคารบอนมีคา ดังสมการ 2pX = pC
p = mv 6.626 × 10-34 J s ) = 5.60 × 10-24 kg m/s
pC = (2.0 × 10-26 kg)(280 m/s)
2 ( λ
pC = 5.60 × 10-24 kg m/s 13.252 × 10-34 J s = 5.60 × 10-24 kg m/s
λ -34
สวนโมเมนตัมของรังสีเอกซหาไดจากความยาวคลื่นเดอบรอยล λ = 13.252 ×-2410 J s
จากสมการ p = λh 5.60 × 10 kg m/s
-34 λ = 2.37 × 10-10 m
pX = 6.626 × 10 J s
λ λ = 0.237 × 10-9 m
รังสีเอกซวิ่งกลับในทางเดิม สามารถหาโมเมนตัมของรังสีเอกซได ดังนั้น ความยาวคลื่นของโฟตอนของรังสีเอกซที่วิ่งเขามาชนมีคา
จากกฎการอนุรักษโมเมนตัม เทากับ 0.237 นาโนเมตร)
T110
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ตัวอย่างที่ 6.18
15. ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาทําความเขาใจ
อนุภาคหนึ่งมีมวล 1.67 × 10-27 กิโลกรัม เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว 90 เมตรต่อวินาที ความยาวคลื่น เกี่ยวกับเรื่อง ปรากฏการณคอมปตันและ
เดอบรอยล์ของอนุภาคนี้เท่ากับเท่าใด สมมติฐานเดอบรอย เพิ่มเติมจากแบบฝกหัด
h รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
วิธีท�า จากสมการที่ 6.28 λ = mv
ฟสกิ ส ม.6 เลม 2 หนวยการเรียนรูท ี่ 6 ฟสกิ ส
λ = 6.626 × 10-34 J s อะตอม
(1.67 × 10-27 kg)(90 m/s)
λ = 4.4 × 10-9 m ลงมือท�า (Doing)
ดังนั้น ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของอนุภาคนี้เท่ากับ 4.4 นาโนเมตร 16. ครู ใ ห นั ก เรี ย นสรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ ปรากฏ
การณ ค อมป ตั น และสมมติ ฐ านเดอบรอย
ตัวอย่างที่ 6.19
โดยสร า งสรรค อ อกมาในรู ป แบบของใบ
รถยนต์คันหนึ่งมวล 2.0 × 103 กิโลกรัม เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากพิจารณา ความรู ลงในกระดาษ A4 พรอมทั้งตกแตง
ว่ารถยนต์คันนี้ประพฤติตัวเป็นคลื่น ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของรถยนต์คันนี้มีค่าเท่าใด ใหสวยงาม เสร็จแลวนําสงครูเพื่อตรวจให
วิธีท�า จากสมการที่ 6.28 λ h
= mv
คะแนน
-34
17. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ น แลวรวมกันศึกษา
λ = 6.626 ×3 10 J s แบบฝกหัด Topic Questions จากหนังสือ
(2.0 × 10 kg)(90 m/s)
เรียน โดยครูมอบหมายใหนักเรียนแตละคน
λ = 3.7 × 10-39 m
เขียนแสดงวิธีการแกโจทยปญหาลงในสมุด
ดังนั้น ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของรถยนต์คันนี้เท่ากับ 3.7 × 10-39 เมตร
บันทึกประจําตัว
18. ครูแจกใบงาน เรื่อง สมมติฐานเดอบรอยล
ตัวอย่างที่ 6.20 ใหนักเรียนคนละ 1 ชุด จากนั้นมอบหมายให
อิเล็กตรอนในหลอดโทรทัศน์มีอัตราเร็ว 4.2 × 107 เมตรต่อวินาที ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของ นักเรียนนํากลับไปศึกษาเปนการบาน เสร็จ
อิเล็กตรอนนี้เท่ากับเท่าใด
แลวตัวแทนรวบรวมสงครู
วิธีท�า จากสมการที่ 6.28 λ h
= mv
λ = 6.626 × 10-34 J s
(9.11 × 10-31 kg)(4.2 × 107 m/s)
λ = 0.017 × 10-9 m
ดังนั้น ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของอิเล็กตรอนนี้เท่ากับ 0.017 นาโนเมตร
ฟิสิกส์อะตอม 103
ขอสอบเนน การคิด
อิเล็กตรอนตัวหนึ่งจะตองเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วเทาใดในหนวยเมตรตอวินาที จึงจะมีโมเมนตัมเปน 1 ใน 10 ของโมเมนตัมของโฟตอนของแสง
ความถี่ 4.5 × 1014 เฮิรตซ
1. 98.67 เมตรตอวินาที 2. 109.22 เมตรตอวินาที 3. 129.22 เมตรตอวินาที
4. 187.42 เมตรตอวินาที 5. 200.54 เมตรตอวินาที
(วิเคราะหคําตอบ พิจารณาโมเมนตัมของโฟตอนของแสงความถี่ คํานวณหาอัตราเร็วของอิเล็กตรอนโดยใชคาโมเมนตัมของโฟตอน
14
4.5 × 10 เฮิรตซ จากสมการ p = mv
จากสมการ λ = h เนื่องจากโมเมนตัมของอิเล็กตรอนเปน 1 ใน 10 ของโมเมนตัมของ
p -28
c = h โฟตอน จะไดวา 9.94 × 1010 kg m/s = (9.1 × 10-31 kg)v
f p
p = hf c
9.94 × 10-29 kg m/s = (9.1 × 10-31 kg)v
-29
-34
p = (6.626 × 10 J s)(4.5
14
× 10 Hz) v = 9.94 × 10 -31kg m/s
8
3 × 10 m/s 9.1 × 10 kg
2.9817 × 10
-19
J v = 109.22 m/s
p = 8 นัน่ คือ อิเล็กตรอนจะตองเคลือ่ นทีด่ ว ยอัตราเร็ว 109.22 เมตรตอวินาที
3 × 10 m/s
p = 9.94 × 10-28 kg m/s ดังนั้น ตอบขอ 2.)
T111
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ลงข อ สรุ ป โดยให
นักเรียนอภิปรายสรุปความรูท ไี่ ดศกึ ษามาแลว ตัวอย่างที่ 6.21
ทัง้ เนือ้ หาและตัวอยางจากหนังสือเรียน พรอม อนุภาคหนึ่งในหลอดสุญญากาศประพฤติตัวเปนคลื่น เคลื่อนที่ดวยอัตราเร็ว 9.8 × 107 เมตรตอวินาที
ทั้ ง ยกตั ว อย า งสถานการณ ที่ เ กี่ ย วข อ งเพื่ อ ถาความยาวคลื่นเดอบรอยลของอนุภาคนี้เทากับ 0.55 นาโนเมตร อนุภาคนี้จะมีมวลกี่กิโลกรัม
ทดสอบความเขาใจ วิธีทํา จากสมการที่ 6.28 = mvλh
2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได
m = λhv
ศึกษาผานมาแลวในสวนที่ยังไมเขาใจหรือ
มีขอสงสัย จากนั้นครูใหความรูเ พิ่มเติมโดยใช m = 6.626 × 10-34 J s
(0.55 × 10-9 kg)(9.8 × 107 m/s)
PowerPoint เรื่อง ปรากฏการณคอมปตัน m = 1.2 × 10-32 kg
และสมมติฐานเดอบรอยล มาเปดใหนักเรียน ดังนั้น อนุภาคนี้จะมีมวลเทากับ 1.2 × 10-32 กิโลกรัม
ดูประกอบ
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค เปนปรากฏการณที่คลื่นแสดงสมบัติของอนุภาคไดและ
ขัน้ ประเมิน อนุภาคแสดงสมบัติของคลื่นไดเชนกัน โดยสิ่งเหลานี้เปนสิ่งที่คนทั่วไปจะรูสึกวาไกลตัวและยาก
1. ประเมินความรูเกี่ยวกับเรื่อง ปรากฏการณ ตอการจินตนาการและทําความเขาใจ แตนกั วิทยาศาสตรหลาย ๆ ทานไดพยายามทําการทดลองและ
คอมปตนั และสมมติฐานเดอบรอยล โดยสังเกต แสดงใหเห็นวา ทวิภาวะของคลืน่ และอนุภาคนัน้ Con���t Q�e����n
พฤติกรรมการตอบคําถาม การทําแบบฝกหัด เปนจริง ซึง่ ไดมกี ารนําความรูต า ง ๆ ไปประยุกตใช ในชีวิตประจําวันคลื่นของอนุภาคมีอิทธิพล
และการสรุปสาระสําคัญ และไดมกี ารสรางกลองจุลทรรศนอเิ ล็กตรอนขึน้ ตอปรากฏการณที่สังเกตไดหรือไม อยางไร
2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา เพือ่ ชวยขยายขอบเขตการรับรูข องมนุษย ทําให
ศาสตรจากการคํานวณหาความยาวคลื่นเดอ เกิดประโยชนทั้งในดานการแพทย การศึกษา
บรอยลและปริมาณที่เกี่ยวของจากตัวอยางที่ และอุตสาหกรรม อีกทั้งยังเปนแนวทางสูวิชา Core Concept
ครูกําหนดให หรือศาสตรใหม อยางเชน กลศาสตรควอนตัม ให นักเรียนสรุปสาระสําคัญ เรื่อง
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต
พฤติ ก รรมความรั บ ผิ ด ชอบต อ งานที่ ไ ด รั บ Topic
Questions
มอบหมาย และปฏิบัติงานตรงตามเวลาที่ครู
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
กําหนด 1. สําหรับผิวโลหะชนิดหนึ่ง พบวา ความถี่ขีดเริ่มของแสงสําหรับผิวโลหะนี้เทากับ 8.75 × 1014 เฮิรตซ
พลังงานจลนสูงสุดของอิเล็กตรอนที่หลุดจากผิวโลหะนี้เทากับเทาใด
แนวตอบ Concept Question
2. ทําการทดลองปรากฏการณโฟโตอิเล็กทริกโดยใชแสงที่มีความยาวคลื่น 400 อังสตรอม พบวา ความ
หนึ่งในอิทธิพลของคลื่นของอนุภาคในชีวิต ตางศักยที่ทําใหกระแสไฟฟาในวงจรเปนศูนยมีคาเปน 0.6 โวลต
ประจําวัน คือ เซลลแสงอาทิตย โดยการเลือกวัสดุ ก) พลังงานจลนสูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนมีคาเทาใด
ข) ฟงกชันงานของโลหะมีคาเทาใดในหนวยอิเล็กตรอนโวลต
ที่มีแถบพลังงานใหเหมาะสมกับชนิดของแสงหรือ
เหมาะสมกับพลังงานของโฟตอนที่มาตกกระทบ 104
และสามารถกระตุนอิเล็กตรอนในวัสดุใหหลุดออก
จากผิวโลหะที่เปนขั้วไฟฟา
ประเด็นที่ประเมิน
เกณฑ์ประเมินใบความรู้
ระดับคะแนน
เทากับ 0.96 × 10-19 จูล
ข) จากสมการ hf = W + Ekmax
แบบประเมินผลงานใบความรู้ 4 3 2 1
1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินอินโฟกราฟิกของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
คะแนน
W = hc
2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ระดับคุณภาพ ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ลาดับที่ รายการประเมิน
- Ekmax
4 3 2 1 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
2 ความถูกต้องของเนื้อหา แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
3 ความคิดสร้างสรรค์
4. ผลงานมีความเป็น
ระบบ
ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น λ
8
4 ความเป็นระเบียบ
-34
W = (6.626 ×10 J s)(3 ×10 m/s)
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
รวม
- 0.96 ×10-19 J
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
-10
400 × 10 m
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............../................./................
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
W = 48.735 × 10-19 J
14–16 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
-19
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
ฟิสิกส์อะตอม 105
แนวตอบ Key Question
เปนวิชาที่ศึกษาธรรมชาติในระดับอะตอม
T113
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
5. ครูใหนกั เรียนสืบคนขอมูลเกีย่ วกับสมการชเรอ 6.1 หลักความไมแนนอน
ดิงเงอรจากอินเทอรเน็ต ใน พ.ศ. 2470 เวอร์เนอร์ คาร์ล ไฮเซนเบิร์ก1 (Werner Karl Heisenberg) (พ.ศ. 2444-
6. ครูสุมนักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับสมการชเรอ 2519) ได้เสนอหลักความไม่แน่นอน (uncertainty principle) ไว้วา่ “เราไม่สามารถทีจ่ ะรูต้ า� แหน่ง
ดิงเงอร รวมทั้งใหขอคิดเห็นเปรียบเทียบกับ และความเร็วของอนุภาคในเวลาเดียวกันได้อย่างแม่นย�า” เช่น ถ้าต้องการรู้ต�าแหน่งของอนุภาค
กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน เราต้องให้อนุภาคหยุด แต่ถ้าต้องการรู้ความเร็วของอนุภาค แสดงว่า อนุภาคต้องมีการเคลื่อนที่
7. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายใหเกิดความ ดังนั้น เราจะไม่สามารถรู้ต�าแหน่งหรือโมเมนตัมของอนุภาคได้แน่ชัดพร้อมกัน
เข า ใจที่ ต รงกั น ว า “สมการของนิ ว ตั น และ จากหลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก จะเห็นได้ว่า ในการวัดปริมาณใด ๆ จะมีความ
สมการของชเรอดิงเงอร เปนเครือ่ งมือทีท่ วั่ โลก ไม่แน่นอนปรากฏอยูเ่ สมอโดยธรรมชาติ นอกเหนือจากความไม่แน่นอนทีเ่ กิดจากผูว้ ดั เครือ่ งมือวัด
ตองใชในการศึกษาสภาพการเคลื่อนที่ของ และวิธีการวัดแล้ว หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กที่กล่าวถึงความไม่แน่นอนของต�าแหน่ง
วัตถุหรืออนุภาคทีม่ แี รงมาเกีย่ วของ โดยสมการ และความไม่แน่นอนของโมเมนตัม สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ได้ ดังสมการที่ 6.29
ทั้ ง สองต า งกั น ตรงที่ ส มการของนิ ว ตั น เป น
สมการทีใ่ ชสาํ หรับศึกษาการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ Δ xΔp ≥ ℏ (6.29)
2
ขนาดใหญและมีความเร็วไมสูง สวนสมการ Δx คือ ความไม่แน่นอนของต�าแหน่ง มีหน่วยเป็น เมตร (
เมตร (m)
ของชเรอดิงเงอรเปนสมการที่ใชสําหรับการ Δp คือ ความไม่แน่นอนของโมเมนตัม มีหน่วยเป็น กิโลกรัม เมตรต่อวินาที ((kg m/s)
แก ป ญ หาเกี่ ย วกั บ การเคลื่ อ นที่ ข องวั ต ถุ ใ น ℏ คือ ค่าคงตัวมูลฐาน มีค่าเท่ากับ อัตราส่วนระหว่างค่าคงตัวของพลังค์กับ 2π (ℏ = 2hπ)
ระดับควอนตัม”
8. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนไดแสดงความคิดเห็น หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก จากสมการที่ 6.29 แสดงขอบเขตจ�ากัดการวัดใน
ธรรมชาติ ถึงแม้ว่าจะท�าการวัดต�าแหน่งและโมเมนตัมของอนุภาคอย่างสมบูรณ์ที่สุด แต่ยังคงมี
จากขอมูลที่ไดรวมกันอภิปราย
ความไม่แน่นอนเสมอ โดยผลคูณของความไม่แน่นอนของต�าแหน่งและโมเมนตัมของอนุภาคจะ
9. ครูใหนกั เรียนศึกษา เรือ่ ง หลักความไมแนนอน
มีค่าอย่างน้อยเท่ากับหรือมากกว่า ℏ2 = 4hπ เสมอ
จากแหลงขอมูลสารสนเทศตางๆ จากนั้นครู
มอบหมายใหนกั เรียนเขียนสรุปความรูเ กีย่ วกับ หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก นอกจากจะมีส่วนส�าคัญในการพัฒนาวิชากลศาสตร์
ควอนตัมแล้ว ยังสามารถท�าให้เราได้เข้าใจธรรมชาติได้มากขึน้ โดยแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ตา่ ง ๆ
เรื่องที่ศึกษาลงในกระดาษ A4 แลวนําสงครู
มีความน่าจะเป็น (probability) หรือโอกาสที่จะเกิดขึ้นในรูปของสถิติทางคณิตศาสตร์ด้วย
P hysics
Focus เวอร์เนอร์ คาร์ล ไฮเซนเบิร์ก
เวอร์เนอร์ คาร์ล ไฮเซนเบิร์ก นักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวเยอรมัน เป็นหนึ่งในผู้วางหลักการพื้นฐาน
ของวิชากลศาสตร์ควอนตัม และเป็นผูท้ มี่ สี ว่ นในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม จนได้รบั การยกย่องว่า
เป็น “บิดาแห่งกลศาสตร์ควอนตัม” ซึ่งเขาได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ใน พ.ศ. 2475
1 เนือ่ งจากราชบัณฑิตยสภาก�าหนดให้สะกดตัวสะกดชือ่ และสกุล ตามเสียงในเชือ้ ชาติดงั้ เดิมตามก�าเนิดของนักวิทยาศาสตร์ผนู้ นั้ กล่าวคือ ชือ่ Werner
Karl Heisenberg ก�าหนดให้ใช้วา่ แวร์เนอร์ คาร์ล ไฮเซนแบร์ก แต่เพือ่ ให้งา่ ยต่อการสือ่ สาร ในหนังสือเล่มนีจ้ ะใช้วา่ เวอร์เนอร์ คาร์ล ไฮเซนเบิรก์
106
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ตัวอย่างที่ 6.22
10. ครูใหนักเรียนเปดหนังสือเรียน เพื่อศึกษา
ลูกกระสุนปืนมวล 0.040 กิโลกรัม เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว 1,000 เมตรต่อวินาที ความไม่แน่นอนใน เกีย่ วกับหลักความไมแนนอน เปนการเนนยํา้
การวัดต�าแหน่งเป็น 2 มิลลิเมตร ความไม่แน่นอนในการวัดโมเมนตัมมีค่าเท่าใด กับผลการศึกษาและขอมูลทีไ่ ดสบื คนมากอน
หนานี้
วิธีท�า จากสมการที่ 6.29 ΔxΔp ≥ ℏ
2 11. ครูสมุ นักเรียนยืนขึน้ แลวอธิบายเกีย่ วกับหลัก
แสดงว่า ต้องค�านวณหาความไม่แน่นอนของต�าแหน่ง จึงประมาณค่าความไม่แน่นอนของ
ความไมแนนอนที่ตนเองไดศึกษามา
โมเมนตัมได้ จะได้ว่า Δp ≥ ℏ
2(Δx)
h เข้าใจ (Understanding)
Δp ≥
4π(Δx)
-34 12. ครูใหนกั เรียนปดหนังสือเรียน จากนัน้ ครูอา น
Δp ≥ 6.626 × 10-3 J s
4π(2 × 10 m) โจทยปญหาของตัวอยางที่ 6.22-6.23 จาก
-32
Δp ≥ 2.64 × 10 kg m/s หนังสือเรียน ใหนักเรียนจดลงในสมุดบันทึก
ดังนั้น ความไม่แน่นอนของโมเมนตัมของลูกกระสุนปืนมีค่าเป็น 2.64 × 10-32 กิโลกรัม เมตรต่อวินาที ประจําตัว แลวแสดงวิธีแกโจทยปญหาเพื่อ
หาคําตอบ
ตัวอย่างที่ 6.23 13. ครู นํ า คํ า ถามหรื อ โจทย ป ญ หาเพิ่ ม เติ ม ซึ่ ง
อิเล็กตรอนตัวหนึง่ เคลือ่ นทีด่ ว้ ยอัตราเร็ว 280 เมตรต่อวินาที วัดด้วยความแม่นย�าร้อยละ 0.02 จงหาความ นอกเหนือจากหนังสือเรียนมาใหนักเรียนได
ไม่แน่นอนในการบอกต�าแหน่งของอิเล็กตรอนตัวนี้ ศึกษาและทําความเขาใจมากขึ้น
วิธีท�า ค�านวณหาโมเมนตัมของอิเล็กตรอน 14. ครูสุมนักเรียนออกมาหนาชั้นเรียน จากนั้น
p = mv = (9.11 × 10-31 kg)(280 m/s) = 2.55 × 10-28 kg m/s ครู ใ ห นั ก เรี ย นอธิ บ ายขั้ น ตอนและวิ ธีก าร
ในการวัดครัง้ นีม้ คี วามคลาดเคลือ่ นร้อยละ 0.02 ดังนัน้ ความไม่แน่นอนของโมเมนตัมจะเท่ากับ หาคําตอบจากตัวอยางและคําถามที่ครูให
Δp = (2.55 × 10 kg m/s)(0.02) = 5.10 × 10 kg m/s
-28 -32 เพิ่มเติมบนกระดาน
100
15. เมื่อนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความ
จากสมการที่ 6.29 ΔxΔp ≥ ℏ
2 เขาใจของนักเรียนแลว ครูอาจยกตัวอยาง
แสดงว่า ต้องค�านวณหาความไม่แน่นอนของโมเมนตัม จึงประมาณค่าความไม่แน่นอนของ หรือปรับเปลีย่ นสถานการณจากตัวอยางทีไ่ ด
ต�าแหน่งได้ จะได้ว่า Δx ≥ ℏ
2(Δp) ศึกษา แลวใหนกั เรียนอธิบายสิง่ ทีเ่ หมือนและ
h
Δx ≥ สิ่งที่แตกตาง
4π(Δp)
Δx ≥ 6.626 × 10-34 J s
4π(5.10 × 10-32 kg m/s)
-2
Δx ≥ 0.1033 × 10 m
Δx ≥ 1.03 mm
ดังนั้น ความไม่แน่นอนในการบอกต�าแหน่งของอิเล็กตรอนตัวนี้เป็น 1.03 มิลลิเมตร
ฟิสิกส์อะตอม 107
ขอสอบเนน การคิด
ภายในปอดมีถุงลมขนาดเล็กจํานวนมาก แตละถุงมีเสนผานศูนยกลางประมาณ 0.250 มิลลิเมตร ถาประมาณวาโมเลกุลของออกซิเจนมีมวล
เทากับ 5.30 × 10-26 กิโลกรัม จงประมาณวาคาความไมแนนอนของความเร็วของแกสออกซิเจนมีขนาดประมาณเทาใด
1. 2.47 × 10-6 เมตรตอวินาที 2. 3.98 × 10-6 เมตรตอวินาที 3. 5.12 × 10-6 เมตรตอวินาที
4. 7.96 × 10-6 เมตรตอวินาที 5. 8.44 × 10-6 เมตรตอวินาที -34
(วิเคราะหคําตอบ จากหลักความไมแนนอนของไฮเซนเบิรก สามารถ Δp ≥ 6.626 × 10 -3J s
4π(0.250 × 10 m)
คํานวณหาคาความไมแนนอนของตําแหนงไดถารูคาความไมแนนอน -34
mΔv ≥ 6.626 × 10 -3J s
ของโมเมนตัม 4π(0.250 × 10 m)
จากสมการ ΔxΔp ≥
ℏ 6.626 × 10-34 J s
2 Δv ≥
h 4πm(0.250 × 10-3 m)
ΔxΔp ≥
4π Δv ≥ 6.626 × 10-34 J s
เนื่องจากแกสที่อยูในถุงลมปอดจะเคลื่อนที่ไปมาไดภายในถุงลม 4π(5.30 × 10-26 kg)(0.250 × 10-3 m)
-34
ดังนั้น ความไมแนนอนของตําแหนงก็จะเปนความกวางของถุงลม จึง Δv ≥ 6.626 × 10 -28
Js
นําคานี้ไปหาความไมแนนอนของความเร็วไดโดยการหาคาความไม 1.665 × 10 kg m
-6
Δv ≥ 3.98 × 10 m/s
แนนอนของโมเมนตัม -34 นั่นคือ คาความไมแนนอนของความเร็วของแกสออกซิเจนมีขนาด
จะไดวา (0.250 × 10-3 m)Δp ≥ 6.626 ×4π10 J s
ประมาณ 3.98 × 10-6 เมตรตอวินาที ดังนั้น ตอบขอ 2.)
T115
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
16. ครูใหนกั เรียนศึกษาเกีย่ วกับโครงสรางอะตอม 6.2 โครงสรางอะตอมตามแนวคิดกลศาสตร์ควอนตัม
ตามแนวคิดกลศาสตรควอนตัมจากหนังสือ ตามหลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก เราไม่สามารถระบุได้ว่าอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่
เรียน รอบนิวเคลียสของอะตอมนัน้ อยูท่ ใี่ ดได้แน่นอนหรือเคลือ่ นทีใ่ นลักษณะใดได้อกี ต่อไป นัน่ หมายถึง
17. ครูสุมนักเรียนอภิปรายผลการศึกษาเกี่ยวกับ เราจะบอกได้เพียงโอกาสที่จะพบอิเล็กตรอน ณ ต�าแหน่งต่าง ๆ
โครงสร า งอะตอมตามแนวคิ ด กลศาสตร ว่าเป็นเท่าใด โดยพฤติกรรมต่าง ๆ ของอิเล็กตรอนในอะตอม
ควอนตัม จะหาได้จากการค�านวณสมการคลื่นของชเรอดิงเงอร์ ซึ่งให้
18. ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาทําความเขาใจ ค� า ตอบที่ ส มบู ร ณ์ ก ว่ า ทฤษฎี อ ะตอมของโบร์ ท� า ให้ มี ก าร
เกี่ยวกับกลศาสตรควอนตัมเพิ่มเติม จาก จินตนาการภาพโอกาสการค้นพบอิเล็กตรอนรอบอะตอมเหมือน
แบบฝกหัดรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตรและ กลุม่ หมอกห่อหุม้ นิวเคลียสอยู ่ หากโอกาสทีจ่ ะพบอิเล็กตรอน ณ n = 2, 𝓁𝓁 = 0
เทคโนโลยี ฟสกิ ส ม.6 เลม 2 หนวยการเรียนรู ที่ใดมากที่นั่นจะมีกลุ่มหมอกหนาแน่น
ที่ 6 ฟสิกสอะตอม ภาพกลุ ่ ม หมอกหรื อ โอกาสที่ จ ะพบอิ เ ล็ ก ตรอนรอบ ๆ
อะตอมเป็นไปได้หลายรูปแบบ อะตอมไฮโดรเจนซึ่งอิเล็กตรอน
มีระดับพลังงานต�่าสุด กลุ่มหมอกอิเล็กตรอนจะหนาแน่นรอบ
นิวเคลียส มีลักษณะเป็นกลุ่มทรงกลม คือ โอกาสหรือความ
น่าจะเป็นในการที่จะพบอิเล็กตรอน ถ้า n = 1 จะมีค่ามากที่สุด n = 2, 𝓁𝓁 = 1
ที่รัศมีเท่ากับรัศมีของโบร์ r0 กรณีที่อิเล็กตรอนมีระดับพลังงาน ภาพที่ 6.38 กลุ่มหมอกของอะตอม
สูงขึ้น ท�าให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ด้วยโมเมนตัมเชิงมุมที่สูงขึ้น ไฮโดรเจนที่ n = 2
กลุ่มหมอกจะจัดตัวแตกต่างจากรูปทรงกลม ซึ่งรูปร่างของ ทีม่ า : https://quantamagazine.org
กลุ่มหมอกจะขึ้นอยู่กับเลขควอนตัมโมเมนตัมเชิงมุม (𝓁𝓁) ที่จะ
เกิดขึ้นได้ในแต่ละระดับพลังงาน ดังภาพที่ 6.38 Core Concept
ให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญ เรื่อง
กลศาสตร์ควอนตัม
Topic
Questions
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. หากอนุภาคแอลฟามีมวลคงตัว 6.7 × 10-27 กิโลกรัม เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว 7.5 × 106 เมตรต่อวินาที
ถ้าความไม่แน่นอนของอัตราเร็วเป็น 0.2 × 106 เมตรต่อวินาที ความไม่แน่นอนของต�าแหน่งของ
อนุภาคแอลฟามีค่าเป็นเท่าใด
2. ถ้าอิเล็กตรอนติดอยู่ในกล่องกว้าง 2 × 10-10 เมตร ความไม่แน่นอนในการวัดความเร็วของอิเล็กตรอน
มีค่าเป็นเท่าใด
108
T116
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือท�า (Doing)
Physics 19. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ น แลวรวมกันศึกษา
in real life เลเซอร์
แบบฝกหัด Topic Questions จากหนังสือ
เลเซอร์ (laser) ย่อมาจาก light amplification by stimulated emission of radiation เรียน โดยครูมอบหมายใหนักเรียนแตละคน
หมายถึง การเพิม่ ปริมาณคลืน่ แสงโดยการกระตุน้ ให้ปล่อยคลืน่ แสงออกมาในทางฟิสกิ ส์ เลเซอร์ คือ
อุปกรณ์ก�าเนิดล�าแสงที่มีลักษณะเฉพาะโดยเป็นเทคโนโลยีที่รวมกันระหว่างกลศาสตร์ควอนตัมกับ เขียนแสดงวิธีการแกโจทยปญหาลงในสมุด
อุณหพลศาสตร์ซึ่งพลังงานของแสงเลเซอร์สามารถมีคุณสมบัติได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ บันทึกประจําตัว โดยที่ครูกําหนดใหใชหลัก
ในการออกแบบเลเซอร์ส่วนมากจะเป็นล�าแสงที่มีขนาดเล็ก มีการเบี่ยงเบนน้อย และสามารถระบุ การแกโจทยปญหา 4 ขั้นตอน ของโพลยา
ความยาวคลื่นได้ง่าย โดยดูจากสีของเลเซอร์ ถ้าอยู่ในสเปกตรัมที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังนี้
(visible spectrum) • ขั้นที่ 1 ทําความเขาใจโจทย
หลักการเกิดเลเซอร์สามารถอธิบายได้โดยใช้แบบจ�าลองการเปลี่ยนระดับพลังงานเริ่มจาก
• ขั้นที่ 2 วางแผนแกปญหา
อิเล็กตรอนในอะตอมจากสถานะพื้นถูกกระตุ้นโดยพลังงานภายนอก ท�าให้มีพลังงานสูงขึ้นและ
เคลื่อนที่ไปยังสถานะถูกกระตุ้นที่ไม่เสถียร เมื่ออิเล็กตรอนไปอยู่ที่สถานะถูกกระตุ้นชั่วขณะจะ • ขั้นที่ 3 ปฏิบัติตามแผน
ปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสงธรรมดา • ขั้นที่ 4 ตรวจสอบ
ที่ไม่ใช่แสงอาพันธ์ แล้วตกลงมาอยู่ที่สถานะ 20. ครูใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง เลเซอร ใน
ถูกกระตุ้นกึ่งเสถียร เมื่ออิเล็กตรอนจากสถานะ กรอบ Physics in real life จากหนังสือเรียน
ถู ก กระตุ ้ น กึ่ ง เสถี ย รกลั บ มาที่ ส ถานะพื้ น จะ โดยครูใหนักเรียนจดบันทึกสรุปความรูลงใน
ปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสง กลไก
เครื่องก�าเนิดเลเซอร์ประกอบด้วยกระจกพิเศษ
สมุดบันทึกประจําตัว
2 บาน ท�าหน้าที่สะท้อนแสงกลับไปกลับมา
ในเครื่องท�าให้อะตอมตัวอื่นที่อยู่ในสถานะถูก
กระตุ้นกึ่งเสถียรปลดปล่อยพลังงานออกมาใน
รูปของแสงเพิ่มมากขึ้น เพือ่ เสริมแสงเดิมท�าให้
ภาพที่ 6.39 แสงสีของเลเซอร์ทมี่ คี วามแตกต่างกัน
ได้แสงทีม่ ที ศิ ทางเดียวกัน มีความเข้มสูงเป็นแสง ขึ้นอยู่กับความยาวคลื่น
อาพันธ์ ซึ่งมีความถี่และเฟสตรงกัน เรียกว่า ที่มา : https://unisci24.com
แสงเลเซอร์
ก่อนปลดปล่อย ขณะปลดปล่อย หลังปลดปล่อย
สถานะถูกกระตุ้น E2
โฟตอน
โฟตอน โฟตอน
โฟตอน
สถานะพื้น E1
ภาพที่ 6.40 หลักการเกิดแสงเลเซอร์
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ฟิสิกส์อะตอม 109
ขอสอบเนน การคิด
อนุภาคมวล m เคลื่อนที่ดวยความเร็ว v ถาความไมแนนอนของการวัดตําแหนงของอนุภาคมีคาเปน 2 เทาของความยาวคลื่นเดอบรอยล
ความไมแนนอนในการวัดความเร็วของอนุภาคมีคาเปนเทาใด
1. 2vπ
2. 4v
π
3. 4vπ 4. 8vπ 5. mv
8π
(วิเคราะหคําตอบ จากหลักความไมแนนอนของไฮเซนเบิรก สามารถ Δp ≥
p
4π(2)
เขียนเปนความสัมพันธระหวางความไมแนนอนในการวัดตําแหนงและ Δp ≥
p (1)
ความไมแนนอนในการวัดโมเมนตัมได ดังนี้ 8 π
จากสมการ ΔxΔp ≥
ℏ เนื่องจากอิเล็กตรอนมีมวลที่แนนอน ดังนั้น ∆Δp จึงเกิดจาก Δ∆ v
2
h จากสมการที่ (1) จะไดวา mΔv ≥ mv 8π
ΔxΔp ≥
4π v
h Δv ≥
8
(2λ)Δp ≥ 4π π
h h นั่นคือ ความไมแนนอนในการวัดความเร็วของอนุภาคมีคาเปน 8vπ
2 ( p )Δp ≥ 4π
ดังนั้น ตอบขอ 4.)
h p
2Δp ≥ 4π ( h )
T117
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือท�า (Doing)
21. ครูใหนักเรียนสรุปความรูเกี่ยวกับกลศาสตร
Summary
ควอนตัม โดยสรางสรรคออกมาในรูปแบบ ฟิสกิ ส์อะตอม
ของใบความรู ลงในกระดาษ A4 พรอมทั้ง
ตกแตงใหสวยงาม เสร็จแลวนําสงครูเพื่อ อะตอมและการค้นพบอิเล็กตรอน
ตรวจใหคะแนน รังสีแคโทด
22. ครูแจกใบงาน เรื่อง หลักความไมแนนอน ล�าอิเล็กตรอนที่มีประจุไฟฟ้าลบ เกิดขึ้นเมื่อผ่านศักย์ไฟฟ้าแรงสูงเข้าไปในหลอดสุญญากาศ และจะเกิดรังสี
ของไฮเซนเบิรก ใหนักเรียนคนละ 1 ชุด จากขั้วไฟฟ้าลบหรือแคโทดไปยังขั้วไฟฟ้าบวกหรือแอโนด เรียกว่า รังสีแคโทด
จากนั้นครูมอบหมายใหนักเรียนศึกษาและ การทดลองของทอมสัน
ลงมือทํา เสร็จแลวตัวแทนรวบรวมสงครู การการศึกษารังสีแคโทดในหลอดสุญญากาศของทอมสันได้ขอ้ สังเกตว่า อนุภาครังสีแคโทด ซึง่ ต่อมาได้ชอื่ ว่า
23. ครูใหนักเรียนศึกษากิจกรรม Apply Your อิเล็กตรอน (electron) ที่ออกมาจากขั้วโลหะต่างชนิดกันจะมีอัตราส่วนประจุไฟฟ้าต่อมวล (mq ) เท่ากันเป็น
Knowledge จากหนังสือเรียน โดยจดบันทึก 1.75 × 1011 คูลอมบ์ต่อกิโลกรัม ทอมสันจึงสรุปว่า “อะตอมไม่ใช่สิ่งที่เล็กที่สุด สามารถแบ่งย่อยได้อีกและ
อิเล็กตรอนก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งของอะตอม”
และตอบคําถามลงในสมุดบันทึกประจําตัว
24. ครู ใ ห นั ก เรี ย นตรวจสอบความเข า ใจของ การทดลองของมิลลิแกน
ตนเอง ดวยกรอบ Self Check เรื่อง ฟสิกส ประจุไฟฟ้าและมวลของอิเล็กตรอน ได้ถกู ค้นพบจากการทดลองวัดประจุไฟฟ้าและมวลของอิเล็กตรอน โดยการ
วัดประจุไฟฟ้าบนหยดน�้ามันของมิลลิแกน ซึ่งได้พบว่า ประจุไฟฟ้าของอิเล็กตรอนมีค่าเป็น 1.602 × 10-19
อะตอม จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึก คูลอมบ์ และมวลของอิเล็กตรอนมีค่าเป็น 9.11 × 10-31 กิโลกรัม
ประจําตัว
แบบจ�าลองอะตอม
แบบจ�าลองอะตอมของทอมสัน
ทอมสันท�าการทดลองและได้เสนอแนวคิดว่า “อะตอม
เป็นทรงกลมประกอบไปด้วยเนื้ออะตอมที่มีประจุ
เป็นบวก และมีอิเล็กตรอนที่มีประจุเป็นลบกระจาย
ภาพที่ 4.41 แบบจ�าลองอะตอมของทอมสัน ตัวอย่างสม�่าเสมอ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างประจุทั้ง
ที่มา : คลังภาพ อจท. 2 ชนิด”
แบบจ�าลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด
รัทเทอร์ฟอร์ดได้เสนอแนวคิดว่า “อะตอมประกอบ
ไปด้วยประจุบวกรวมตัวกันที่จุดศูนย์กลาง เรียกว่า
นิวเคลียส และจะมีอิเล็กตรอนเคลื่อนที่อยู่รอบ ๆ
นิวเคลียส” โดยที่เส้นผ่านศูนย์กลางของนิวเคลียส
ประมาณ 10-15 - 10-14 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง
ภาพที่ 4.42 แบบจ�าลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด ของอะตอมประมาณ 10-10 เมตร
ที่มา : คลังภาพ อจท.
110
T118
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือท�า (Doing)
สเปกตรัมของอะตอม 25. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัดจาก
สเปกตรัมจากอะตอมของแกส Unit Questions หนวยการเรียนรูที่ 6 ฟสิกส
สเปกตรัมของแก๊สแต่ละชนิดจะประกอบด้วยชุดของแสงสีเฉพาะแตกต่างกันจึงถือได้ว่า สเปกตรัมเป็นสมบัติ อะตอม จากหนังสือเรียน โดยทําลงในสมุด
เฉพาะตัวของธาตุแต่ละชนิด โดยสเปกตรัมของแสงขาวจะเป็นจะสเปกตรัมแบบต่อเนื่องและสเปกตรัมจาก บันทึกประจําตัว แลวรวบรวมสงครูเพื่อตรวจ
หลอดบรรจุแก๊สจะเป็นสเปกตรัมแบบเส้น สอบและใหคะแนน
การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของวัตถุด�า 26. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัดจาก
วัตถุอุดมคติปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ดีทุกย่านความถี่ และสามารถดูดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ดี Test for U หนวยการเรียนรูท ี่ 6 ฟสกิ สอะตอม
ทุกย่านความถี่ เรียกตัวแผ่รังสีอุดมคตินี้ว่า วัตถุด�า จากการศึกษาสเปกตรัมของการแผ่รังสีวัตถุด�า โดย
การวัดความเข้มกับความยาวคลื่นของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมา พบว่า อุณหภูมิของวัตถุสัมพันธ์กับ
จากหนังสือเรียน โดยทําลงในสมุดบันทึก
ความยาวคลื่นที่ให้ค่าความเข้มสูงสุดของสเปกตรัมที่แผ่ออกมา ซึ่งมีสมการเป็น ประจําตัวเปนการบาน แลวรวบรวมสงครูเพือ่
λmaxT = 2.9 × 10-3 m K ตรวจสอบและใหคะแนน
27. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อ
สมมติฐานของพลังค์สรุปได้ว่า พลังงานที่วัตถุด�าดูดกลืนหรือแผ่ออกมามีค่าได้เฉพาะบางค่าเท่านั้น และ
ค่านี้เป็นจ�านวนเท่าของ hf เรียกว่า ควอนตัมของพลังงาน ดังสมการ ทดสอบความรูค วามเขาใจหลังจากทีไ่ ดศกึ ษา
E = nhf
แลว
hf = ∙ΔE ∙ = ∙En - En ∙
i f
• ส�าหรับอะตอมไฮโดรเจน พลังงานของอิเล็กตรอนในแต่ละวงโคจร จะเป็นไปตามสมการ
En = -13.6 eV
n2
T119
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได
ศึกษาผานมาแลวในสวนที่ยังไมเขาใจหรือ การทดลองของฟรังก์และเฮิรตซ์
สงสัย จากนั้นครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น การทดลองของฟรังก์และเฮิรตซ์ เป็นการทดลองที่สนับสนุนทฤษฎีอะตอมของโบร์ที่ว่า ระดับชั้นพลังงานของ
โดยครูอาจใช PowerPoint เรื่อง กลศาสตร อิเล็กตรอนเป็นค่าไม่ต่อเนื่อง และมีค่าจ�าเพาะค่าใดค่าหนึ่งเป็นไปตามทฤษฎีอะตอมของโบร์
ควอนตัม มาเปดใหนกั เรียนดูประกอบเพือ่ ชวย รังสีเอกซ์
รังสีเอกซ์เกิดจากการยิงอิเล็กตรอนพลังงานจลน์สูงเข้าชนอะตอมของเป้าโลหะ แล้วอิเล็กตรอนมีความเร็ว
ในการอธิบายใหเขาใจมากยิ่งขึ้น ลดลงและปล่อยพลังงานในรูปรังสีเอกซ์ ซึ่งการเกิดรังสีเอกซ์มี 2 กระบวนการ คือ การเกิดรังสีเอกซ์ต่อเนื่อง
3. ครูใหนักเรียนทําสรุปความรู โดยสรางสรรค และการเกิดรังสีเอกซ์เฉพาะตัว
ออกมาในรูปแบบของแผนพับความรู เรื่อง ความไม่สมบูรณ์ของทฤษฎีอะตอมของโบร์
กลศาสตรควอนตัม ลงในกระดาษ A4 พรอม ทฤษฎีอะตอมของโบร์สามารถอธิบายสเปกตรัมของอะตอมของไฮโดรเจนได้ดี และท�าให้ทราบถึงการจัดเรียง
ทัง้ ตกแตงใหสวยงาม เสร็จแลวตัวแทนนักเรียน อิเล็กตรอนในอะตอมของไฮโดรเจน แต่ก็ไม่สามารถค�านวณและอธิบายสเปกตรัมของอะตอมอื่น ๆ ได้
เก็บรวบรวมสงครู ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
ขัน้ ประเมิน เมื่อแสงความถี่ f ตกกระทบผิวโลหะ ถ้าความถี่ของแสงมากกว่าความถี่ค่าหนึ่ง เรียกว่า ความถี่ขีดเริ่ม (f0)
1. ประเมินความรูเ กีย่ วกับเรือ่ ง กลศาสตรควอนตัม อิเล็กตรอนจะหลุดออกจากโลหะนัน้ โดยทันที ปรากฏการณ์นเี้ รียกว่า ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก โดยมีสมการ
ที่อธิบายปรากฏการณ์เป็น
โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคําถาม การทํา
hf = W + Ek
แบบฝกหัด และการสรุปสาระสําคัญ max
แบบประเมินผลงานแผ่นพับความรู้
ประเด็นที่ประเมิน
4
เกณฑ์ประเมินแผ่นพับความรู้
3
ระดับคะแนน
2 1
จากสมการ ΔxΔp ≥ ℏ2
h
1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินแผ่นพับความรู้ของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
Δx(mΔv) ≥
คะแนน 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
4π
ระดับคุณภาพ ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
h
2 ความถูกต้องของเนื้อหา แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
3 ความคิดสร้างสรรค์ ระบบ
Δv ≥
4 ความเป็นระเบียบ 4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
4π(mΔx)
รวม ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
6.626 × 10-34 J s
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............../................./................
Δv ≥
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–16
11–13
8–10
ต่ากว่า 8
ดีมาก
ดี
พอใช้
ปรับปรุง
4π(9.1 × 10-31 kg)(10-9 m)
4
Δv ≥ 5.79 × 10 m/s
ดังนั้น ความไมแนนอนในการวัดความเร็วมีคาเทากับ
5.79 × 104 เมตรตอวินาที)
T120
นํา สอน สรุป ประเมิน
Self Check
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
หากพิจารณาว่าข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
1. ร งั สีแคโทด คือ อนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้า เนือ่ งจากเบีย่ งเบนได้เมือ่ ผ่านสนามแม่เหล็ก 1.2
และสนามไฟฟ้า
2. หลอดรังสีแคโทดจ�าเป็นต้องเป็นสุญญากาศ เพราะจะช่วยลดความร้อนให้กบั ขัว้ 1.2
ของหลอด
3. การทดลองของมิลลิแกน หยดน�้ามันจะลอยนิ่งได้ก็ต่อเมื่อแรงเนื่องจากสนาม 1.3
ไฟฟ้ามากกว่าแรงเนื่องจากความเร่งโน้มถ่วงของโลก
4. ความยาวคลืน่ ของคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าทีม่ พี ลังงานมากทีส่ ดุ ทีว่ ตั ถุหนึง่ ๆ สามารถ 3.2
ุ ด
ส ม
ปลดปล่อยออกมาได้จะมีค่าแปรผันตรงกับอุณหภูมิของวัตถุนั้น ๆ
น
ง ใ
ก ล
114
T122
นํา สอน สรุป ประเมิน
T123
นํา สอน สรุป ประเมิน
T124
นํา สอน สรุป ประเมิน
T125
นํา สอน สรุป ประเมิน
118
T126
นํา สอน สรุป ประเมิน
5. อัตราสวนระหวางประจุไฟฟาตอมวลในรังสี
แคโทดมีคาเทากับ mV
2
B dR
5. ในการทดลองวัดอัตราส่วนระหว่างประจุต่อมวลของอนุภาคในรังสีแคโทดโดยวิธีการทดลองของ 6. เมื่อเทียบกับฟงกชันงานของโลหะทั้ง 3 ชนิด
ทอมสัน พบว่า เมือ่ ใส่สนามแม่เหล็กซึง่ มีความเข้ม B รังสีแคโทดจะเบีย่ งเบนเป็นวิถโี ค้งส่วนหนึง่ พบว า แคลเซี ย มจะไม เ กิ ด ปรากฏการณ
ของวงกลมที่มีรัศมี R ต่อมาเมื่อใส่สนามไฟฟ้าเข้าไปท�าให้เกิดความต่างศักย์ V ระหว่าง โฟโตอิเล็กทริก
แผ่นโลหะทัง้ 2 แผ่น ซึง่ วางห่างกันเป็นระยะ d รังสีแคโทดจะเดินทางเป็นเส้นตรงโดยไม่เกิดการ 7. อัตราเร็วสูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนเทากับ
เบี่ยงเบน อัตราส่วนระหว่างประจุต่อมวลของอนุภาคในรังสีแคโทดมีค่าเท่าใด 2hf0
6. โลหะ 3 ชนิด ประกอบด้วยซีเซียม (Cs) แบเรียม (Ba) และแคลเซียม (Ca) มีฟงก์ชันงานเป็น m
1.8 อิเล็กตรอนโวลต์ 2.5 อิเล็กตรอนโวลต์ และ 3.2 อิเล็กตรอนโวลต์ ตามล�าดับ หากมีแสงที่ 8. จะมีโฟตอนที่แพรออกมาจากชองดังกลาว
มีความยาวคลื่น 400 นาโนเมตร ตกกระทบบนโลหะทั้งสาม โลหะชนิดใดจะแสดงปรากฏการณ์ 4 × 108 ตัว
โฟโตอิเล็กทริก
9. อะตอมไฮโดรเจนถูกกระตุน ไปทีร่ ะดับพลังงาน
7. ส�าหรับปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ที่ผิวโลหะหนึ่งมีค่าความถี่ขีดเริ่มเท่ากับ f0 ถ้าหากมีการใช้ ที่ n = 2
แสงทีม่ คี วามถีเ่ ป็น 2 เท่า ของความถีข่ ดี เริม่ อัตราเร็วสูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนมีคา่ เป็นเท่าใด
10. จะตองฉายแสงทีม่ ีความยาวคลืน่ 188.2 นาโน
ก�าหนดให้มวลของอิเล็กตรอนเท่ากับ m และค่าคงตัวของพลังค์เท่ากับ h
เมตร
8. แก๊สชนิดหนึ่งบรรจุอยู่ภายในวัตถุทึบแสงมีลักษณะภายในกลวง และวัตถุนี้มีช่องขนาด 1 ตาราง
มิลลิเมตร อยูจ่ า� นวน 1 ช่อง หากสมมติวา่ เมือ่ ให้ความร้อนแก่วตั ถุแล้วท�าให้วตั ถุรอ้ นขึน้ จนกระทัง่
มีอุณหภูมิค่าหนึ่งจะมีแสงที่มีความยาวคลื่น 660 นาโนเมตร เปล่งออกมาจากช่องดังกล่าวด้วย
ความเข้มคงตัว 10-6 วัตต์ต่อตารางเมตร ในเวลา 2 นาที จะมีโฟตอนที่แพร่ออกมาจากช่อง
ดังกล่าวนี้กี่ตัว
9. จากทฤษฎีอะตอมของโบร์ ระดับพลังงานของอะตอมไฮโดรเจนต�่าสุด -13.6 อิเล็กตรอนโวลต์
ถ้าอะตอมไฮโดรเจนถูกกระตุ้นไปอยู่ที่ระดับพลังงานสูงขึ้นและกลับสู่สถานะพื้นโดยที่มีพลังงาน
ต�า่ สุด มีการปล่อยโฟตอนออกมาด้วยพลังงาน 10.20 อิเล็กตรอนโวลต์ แสดงว่าอะตอมไฮโดรเจน
ถูกกระตุ้นไปที่ระดับพลังงานที่ n เท่ากับเท่าใด
10. จะต้องฉายแสงที่มีความยาวคลื่นเท่าใดในหน่วยนาโนเมตร จึงจะท�าให้อิเล็กตรอนหลุดออกจาก
ขั้วแคโทดที่ท�าจากโลหะชนิดหนึ่ง แล้วสามารถเคลื่อนที่ไปถึงขั้วแอโนดได้พอดี เมื่อศักย์ไฟฟ้า
ที่แอโนดและแคโทดต่างกัน 1.80 โวลต์ ก�าหนดให้ฟงก์ชันงานของโลหะชนิดนี้มีค่าเท่ากับ 4.80
อิเล็กตรอนโวลต์
T127
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบก่อนเรียน 1. อธิบายวิธีการทดลองของ แบบเน้น - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การค้นพบ - หนังสือเรียนรายวิชา แบ็กเกอแรลที่นำ� ไปสู่การค้น มโนทัศน์ - สังเกตการอภิปรายเกี่ยวกับ - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
กัมมันตภาพรังสี เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ พบกัมมันตภาพรังสีได้ (K) (Concept การค้นพบกัมมันตภาพรังสี - ทักษะการวิเคราะห์ - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ 2. บอกความหมายของ Based - ตรวจแผ่นพับความรู้ - ทักษะการท�ำงาน - มีความซื่อสัตย์
ม.6 เล่ม 2 กัมมันตภาพรังสีและธาตุ Teaching) - ตรวจใบงาน ร่วมกัน
4 - แบบฝึกหัดรายวิชา กัมมันตรังสีได้ (K) - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการน�ำความรู้
เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ 3. สืบค้นข้อมูลและเขียนสรุป - ตรวจแบบฝึกหัดจาก ไปใช้
ชั่วโมง และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ องค์ความรู้เกี่ยวกับการ Topic Questions
ม.6 เล่ม 2 ค้นพบกัมมันตภาพรังสี - สังเกตพฤติกรรม
- ใบงาน ได้อย่างถูกต้อง (P) การท�ำงานรายบุคคล
- PowerPoint 4. มีความรับผิดชอบต่องาน - สังเกตพฤติกรรม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ที่ได้รับมอบหมายและ การท�ำงานกลุ่ม
Twig ปฏิบัติงานตรงตามเวลาที่ครู - สังเกตคุณลักษณะ
ก�ำหนด (A) อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายการค้นพบนิวตรอน แบบเน้น - สงั เกตและตรวจการน�ำเสนอ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การเปลีย่ นสภาพ เพิม่ เติมวิทยาศาสตร์
ตามสมมติฐานโปรตอน- มโนทัศน์ เกี่ยวกับการเปลี่ยนสภาพ - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
นิวเคลียส และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ นิวตรอนได้ (K) (Concept นิวเคลียส - ทักษะการวิเคราะห์ - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
ม.6 เล่ม 2 2. สืบค้นข้อมูลและเขียน Based - ตรวจผังมโนทัศน์ - ทักษะการท�ำงาน - มีความซื่อสัตย์
- แบบฝึกหัดรายวิชา สรุปองค์ความรู้เกี่ยวกับ Teaching) - ตรวจแบบฝึกหัด ร่วมกัน
3 เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ องค์ประกอบของนิวเคลียส - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ และการค้นพบนิวตรอนได้ Topic Questions
ชั่วโมง ม.6 เล่ม 2 อย่างถูกต้อง (P) - สังเกตพฤติกรรม
- PowerPoint 3. มีความรับผิดชอบต่องาน การท�ำงานรายบุคคล
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ที่ได้รับมอบหมายและ - สังเกตพฤติกรรม
Twig ปฏิบัติงานตรงตามเวลาที่ครู การท�ำงานกลุ่ม
ก�ำหนด (A) - สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. บอกความหมายของการ แบบสืบเสาะ - สังเกตการอภิปรายเกี่ยวกับ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การสลาย เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ สลายให้อนุภาคแอลฟา หาความรู้ การสลายของนิวเคลียส - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
ของนิวเคลียส และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ อนุภาคบีตา และรังสีแกมมา (5Es กัมมันตรังสี - ทักษะการวิเคราะห์ - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
กัมมันตรังสี ม.6 เล่ม 2 ได้ (K) Instructional - สังเกตการปฏิบัติการจาก - ทักษะการท�ำงาน - มีความซื่อสัตย์
- แบบฝึกหัดรายวิชา 2. คำ� นวณหาปริมาณทีเ่ กีย่ วข้อง Model) การท�ำกิจกรรม ร่วมกัน
เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ กับการสลายของนิวเคลียส - ตรวจแบบบันทึกกิจกรรม - ทักษะการน�ำความรู้
6 และเทคโนโลยี ฟิสิกส์
ม.6 เล่ม 2
กัมมันตรังสีได้อย่างถูกต้อง
(P)
- ตรวจอินโฟกราฟิก
- ตรวจใบงาน
ไปใช้
- ทักษะการทดลอง
ชั่วโมง - ใบงาน 3. ปฏิบัติกิจกรรมสถานการณ์ - ตรวจแบบฝึกหัด
- PowerPoint จ�ำลองการสลายของ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
- QR Code นิวเคลียสกัมมันตรังสีได้ Topic Questions
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น อย่างถูกต้องและเป็นล�ำดับ - สังเกตพฤติกรรม
Twig ขั้นตอน (P) การท�ำงานรายบุคคล
4. มีความรับผิดชอบต่องาน - สังเกตพฤติกรรม
ที่ได้รับมอบหมายและ การท�ำงานกลุ่ม
ปฏิบัติงานตรงตามเวลาที่ครู - สังเกตคุณลักษณะ
ก�ำหนด (A) อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. บอกความแตกต่างระหว่าง แบบเน้น - สังเกตการน�ำเสนอเกี่ยวกับ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
ไอโซโทป เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ไอโซโทปกัมมันตรังสีกับ มโนทัศน์ ไอโซโทป - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ไอโซโทปเสถียรได้ (K) (Concept - ตรวจอินโฟกราฟิก - ทักษะการวิเคราะห์ - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
ม.6 เล่ม 2 2. ค�ำนวณหาปริมาณที่ Based - ตรวจแบบฝึกหัด
3 - แบบฝึกหัดรายวิชา เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ Teaching) - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
ชั่วโมง เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ไอโซโทปด้วยแมสสเปกโทร Topic Questions
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ มิเตอร์ได้อย่างถูกต้อง (P) - สังเกตพฤติกรรม
ม.6 เล่ม 2 3. มีความรับผิดชอบต่องาน การท�ำงานรายบุคคล
- PowerPoint ที่ได้รับมอบหมายและ - สังเกตพฤติกรรม
- ภาพยนตร์อธิบาย ปฏิบัติงานตรงตามเวลาที่ครู การท�ำงานกลุ่ม
ค�ำศัพท์วิทยาศาสตร์ ก�ำหนด (A) - สังเกตคุณลักษณะ
Twig อันพึงประสงค์
T128
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 5 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายความหมายของ แบบเน้น - สังเกตการอภิปรายเกี่ยวกับ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
เสถียรภาพของ เพิม่ เติมวิทยาศาสตร์ แรงนิวเคลียร์และพลังงาน มโนทัศน์ แรงนิวเคลียร์ - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
นิวเคลียส และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ยึดเหนี่ยวได้ (K) (Concept - ตรวจอินโฟกราฟิก - ทักษะการวิเคราะห์ - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
ม.6 เล่ม 2 2. ค�ำนวณหาปริมาณทีเ่ กีย่ วข้อง Based - ตรวจใบงาน - ทักษะการท�ำงาน
- แบบฝึกหัดรายวิชา กับเสถียรภาพของนิวเคลียส Teaching) - ตรวจแบบฝึกหัด ร่วมกัน
4 เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ได้อย่างถูกต้อง (P) - ตรวจแบบฝึกหัดจาก - ทักษะการน�ำความรู้
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ 3. มีความรับผิดชอบต่องานทีไ่ ด้ Topic Questions ไปใช้
ชั่วโมง ม.6 เล่ม 2 รับมอบหมายและปฏิบัติงาน - สังเกตพฤติกรรม
- ใบงาน ตรงตามเวลาทีค่ รูกำ� หนด (A) การท�ำงานรายบุคคล
- PowerPoint - สังเกตพฤติกรรม
- ภาพยนตร์อธิบาย การท�ำงานกลุ่ม
ค�ำศัพท์วิทยาศาสตร์ - สังเกตคุณลักษณะ
Twig อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 6 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์จาก แบบเน้น - สังเกตการอภิปรายเกี่ยวกับ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
ปฏิกิริยา เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ สมการปฏิกิริยานิวเคลียร์ได้ มโนทัศน์ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
นิวเคลียร์ และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ (K) (Concept - ตรวจอินโฟกราฟิก - ทักษะการวิเคราะห์ - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
ม.6 เล่ม 2 2. ค�ำนวณหาพลังงานนิวเคลียร์ Based - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการท�ำงาน
- แบบฝึกหัดรายวิชา ได้อย่างถูกต้อง (P) Teaching) - ตรวจแบบฝึกหัดจาก ร่วมกัน
4 เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ 3. มคี วามรับผิดชอบต่องานทีไ่ ด้ Topic Questions - ทักษะการน�ำความรู้
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ รับมอบหมายและปฏิบัติงาน - สังเกตพฤติกรรม ไปใช้
ชั่วโมง ม.6 เล่ม 2 ตรงตามเวลาทีค่ รูกำ� หนด (A) การท�ำงานรายบุคคล
- PowerPoint - สังเกตพฤติกรรม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น การท�ำงานกลุ่ม
Twig - สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 7 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. บอกประโยชน์และอันตราย แบบเน้น - สังเกตและประเมินการน�ำ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
กลศาสตร์ เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ที่เกิดจากรังสีและพลังงาน มโนทัศน์ เสนอผลงานเกี่ยวกับ - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
ควอนตัม และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ นิวเคลียร์ได้ (K) (Concept ประโยชน์ของกัมมันตภาพ - ทักษะการวิเคราะห์ - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
ม.6 เล่ม 2 2. สืบค้นข้อมูลและน�ำเสนอ Based รังสีและพลังงานนิวเคลียร์ - ทักษะการท�ำงาน
- แบบฝึกหัดรายวิชา ผลการศึกษาเกี่ยวกับการใช้ Teaching) - ตรวจแผ่นพับความรู้ ร่วมกัน
2 เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ พลังงานนิวเคลียร์ได้อย่าง - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการน�ำความรู้
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ถูกต้อง (P) - ตรวจแบบฝึกหัดจาก ไปใช้
ชั่วโมง ม.6 เล่ม 2 3. มีความรับผิดชอบต่องาน Topic Questions
- PowerPoint ที่ได้รับมอบหมายและ - สังเกตพฤติกรรม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ปฏิบัติงานตรงตามเวลาที่ครู การท�ำงานรายบุคคล
Twig ก�ำหนด (A) - สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 8 - แบบทดสอบหลังเรียน 1. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง แบบเน้น - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การค้นคว้า - หนังสือเรียนรายวิชา แรงกับอนุภาคมูลฐาน มโนทัศน์ - สังเกตการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
วิจัยด้านฟิสิกส์ เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ในรูปแบบของแบบจ�ำลอง (Concept เกี่ยวกับการค้นคว้าวิจัย - ทักษะการวิเคราะห์ - มุง่ มัน่ ในการท�ำงาน
อนุภาค และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ มาตรฐานได้ (K) Based ด้านฟิสิกส์อนุภาค - ทักษะการท�ำงาน
ม.6 เล่ม 2 2. สืบค้นข้อมูลและน�ำเสนอผล Teaching) - ตรวจอินโฟกราฟิก ร่วมกัน
- แบบฝึกหัดรายวิชา การศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ - ตรวจใบงาน - ทักษะการน�ำความรู้
4 เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ฟิสิกส์
ด้านฟิสิกส์อนุภาคได้ (P)
3. มคี วามรับผิดชอบต่องานทีไ่ ด้
- ตรวจแบบฝึกหัด
- ตรวจแบบฝึกหัดจาก
ไปใช้
ชั่วโมง ม.6 เล่ม 2 รับมอบหมาย และปฏิบตั งิ าน Topic Questions
- ใบงาน ตรงตามเวลาทีค่ รูกำ� หนด (A) - ตรวจการท�ำแบบฝึกหัดจาก
- PowerPoint Unit Questions
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น - ตรวจการท�ำแบบฝึกหัดจาก
Twig Test for U
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T129
Chapter Concept Overview
การค้นพบกัมมันตภาพรังสี
ธาตุที่มีสมบัติสามารถแผ่รังสีได้เองอย่างต่อเนื่อง เรียกว่า ธาตุกัมมันตรังสี (radioactive element) และปรากฏการณ์ที่ธาตุแผ่รังสี
ได้เองอย่างต่อเนื่องนี้ เรียกว่า กัมมันตภาพรังสี (radioactivity)
รังสีที่ธาตุกัมมันตรังสีแผ่ออกมามี 3 ชนิด คือ รังสีแอลฟา รังสีบีตา และรังสีแกมมา โดยเมื่อให้รังสีทั้งสามผ่านเข้าไปในบริเวณที่มี
สนามแม่เหล็ก รังสีแอลฟาจะเบนทิศการเคลื่อนที่เล็กน้อย รังสีบีตาจะเบนทิศการเคลื่อนที่มากกว่ารังสีแอลฟา ส่วนรังสีแกมมาจะมีทิศการ
เคลื่อนที่คงเดิม ความสามารถในการท�ำให้อากาศแตกตัวเป็นไอออนเมื่อเรียงล�ำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ รังสีแอลฟา รังสีบีตา และรังสี
แกมมา ตามล�ำดับ อ�ำนาจทะลุผ่านของรังสีเมื่อเรียงล�ำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ รังสีแกมมา รังสีบีตา และรังสีแอลฟา ตามล�ำดับ
การเปลี่ยนสภาพนิวเคลียส
จากการทดลองยิงอนุภาคแอลฟาเข้าไปยังนิวเคลียสของไนโตรเจน ท�ำให้รวู้ า่ มีอนุภาคบวกอยูภ่ ายในนิวเคลียส และได้ตงั้ ชือ่ ว่า โปรตอน
การทดลองยิงอนุภาคแอลฟาเข้าไปชนกับเบริลเลียมของแชดวิก ท�ำให้คน้ พบนิวตรอน จึงสรุปได้วา่ ทุก ๆ นิวเคลียสจะประกอบด้วยอนุภาค
บวกและเป็นกลาง คือ โปรตอนและนิวตรอน
การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี
อนุกรมกัมมันตรังสี คือ การที่นิวเคลียสของอะตอมของธาตุที่ไม่เสถียรจะมีการสลายตัวไปเป็นนิวเคลียสอื่น และจะมีการสลายตัวไป
เรื่อย ๆ จนกระทั่งได้นิวเคลียสผลิตผลสุดท้าย ซึ่งอนุกรมกัมมันตรังสีสามารถจ�ำแนกได้ 4 อนุกรม คือ อนุกรมทอเรียม อนุกรมเนปทูเนียม
อนุกรมยูเรเนียม และอนุกรมแอกทิเนียม
สมมติฐานของรัทเทอร์ฟอร์ดและซอดดี มีใจความส�ำคัญว่า “หลังจากการสลายของนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีจะได้ธาตุใหม่ที่อาจ
จะเป็นหรือไม่เป็นธาตุกัมมันตรังสีก็ได้ โดยการสลายของธาตุกัมมันตรังสีนี้จะไม่ขึ้นกับสภาพแวดล้อม ทุกนิวเคลียสมีโอกาสสลายได้
เท่า ๆ กัน แต่บอกไม่ได้ว่านิวเคลียสใดจะสลายตัวก่อนหรือหลัง ทั้งนี้ อัตราการสลายตัวจะขึ้นกับจ�ำนวนนิวเคลียสเดิม”
กัมมันตภาพ คือ อัตราการแผ่รังสีขณะหนึ่งหรืออัตราการสลายของนิวเคลียส สามารถหาได้จากสมการ
A = λN
ครึ่งชีวิต คือ ช่วงเวลาที่นิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีลดจ�ำนวนลงเหลือครึ่งหนึ่งของตอนเริ่มต้น สามารถหาได้จากสมการ
T1 = lnλ 2
2
ไอโซโทป
ไอโซโทป คือ นิวเคลียสที่มีจ�ำนวนโปรตอนหรือเลขอะตอมเท่ากัน แต่มีจ�ำนวนนิวตรอนต่างกัน การพิจารณาหรือวิเคราะห์ไอโซโทป
ของธาตุชนิดเดียวกันต้องอาศัยเครือ่ งมือทีม่ คี วามสามารถในการวัดมวลได้ละเอียดมาก คือ แมสสเปกโทรมิเตอร์ โดยอาศัยหลักการเกีย่ วกับ
การเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าในบริเวณที่มีสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า ซึ่งเครื่องมือนี้มีส่วนประกอบหลัก 3 ส่วน ได้แก่ ส่วน
เร่งอนุภาค ส่วนคัดเลือกความเร็ว และส่วนวิเคราะห์
T130
หน่วยการเรียนรู้ท ี่ 7
เสถียรภาพของนิวเคลียส
แรงนิวเคลียร์ คือ แรงที่ยึดเหนี่ยวนิวคลีออนต่าง ๆ ให้อยู่รวมกันเป็นนิวเคลียส โดยเป็นแรงดึงดูดซึ่งมีค่ามากกว่าแรงผลักระหว่าง
ประจุไฟฟ้า และเป็นแรงที่เกิดขึ้นในระยะสั้น ๆ
พลังงานยึดเหนี่ยว คือ พลังงานที่ใช้ในการยึดเหนี่ยวนิวคลีออนทั้งหมดเอาไว้ในนิวเคลียส อาจกล่าวได้ว่า พลังงานยึดเหนี่ยวเป็น
พลังงานของมวลที่หายไปเนื่องจากการรวมกันของนิวคลีออนในนิวเคลียส หรือเรียกว่า มวลพร่อง สามารถหาได้จากสมการ
E = (Δm)(931 MeV/u) โดยที่ Δm = (Zmp + (A - Z)mn) - M
ปฏิกิริยานิวเคลียร์
ปฏิกิริยานิวเคลียร์ คือ กระบวนการหรือปฏิกิริยาที่นิวเคลียสเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ สามารถเขียนได้ ดังสมการ
X + a Y + b หรือ X(a, b)Y
ปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบดูดพลังงาน ผลรวมของมวลหลังเกิดปฏิกิริยาจะมีค่ามากกว่าผลรวมของมวลก่อนเกิดปฏิกิริยา ท�ำให้พลังงาน
ยึดเหนี่ยวมีค่าน้อยลง พลังงานจลน์รวมก็น้อยลงเช่นเดียวกัน
ปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์แบบคายพลังงาน ผลรวมของมวลหลังเกิดปฏิกริ ยิ าจะมีคา่ น้อยกว่าผลรวมของมวลก่อนเกิดปฏิกริ ยิ า ท�ำให้พลังงาน
ยึดเหนี่ยวมีค่ามากขึ้น พลังงานจลน์รวมก็มากขึ้นเช่นเดียวกัน
ฟิชชัน คือ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากนิวเคลียสของธาตุหนักแตกตัวเป็นนิวเคลียสขนาดเล็กลง
ฟิวชัน คือ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากการรวมกันของนิวเคลียสของธาตุเบาได้เป็นนิวเคลียสของธาตุที่หนักกว่า
ประโยชน์และอันตรายของรังสีและพลังงานนิวเคลียร์
ธาตุกัมมันตรังสีสามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น การปรับปรุงพันธุ์พืช การฉายรังสีลงบนอาหาร การวิเคราะห์และ
รักษาโรค การตรวจการไหลเวียนโลหิต การตรวจวัดในบริเวณที่มองไม่เห็น การเปลี่ยนสมบัติของสินค้า การตรวจสอบอายุของสสารต่าง ๆ
การสร้างระเบิดท�ำลายล้าง การผลิตกระแสไฟฟ้า
ในธรรมชาติรอบตัวเรามีรังสีที่มาจากหลายแหล่ง เช่น รังสีจากนอกโลก เรียกว่า รังสีคอสมิก รังสีที่เกิดขึ้นบนโลก และรังสีที่มนุษย์
สร้างขึ้น การเกิดอันตรายจากรังสีต่อมนุษย์แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ คือ การได้รับรังสีจากแหล่งก�ำเนิดรังสีจากภายนอกและการได้รับสาร
กัมมันตรังสีเข้าสู่ร่างกาย โดยหลักการป้องกันอันตรายจากรังสีมี 3 ข้อ ได้แก่ เวลา ระยะทาง และเครื่องก�ำบัง
การค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค
ภายในโปรตอนและนิวตรอนประกอบด้วยอนุภาคอืน่ ทีม่ ขี นาดเล็กลงไปอีก เรียกว่า ควาร์ก ซึง่ เป็นอนุภาคมูลฐานหนึง่ ทีเ่ ป็นหน่วยย่อย
ที่สุดในทางทฤษฎีฟิสิกส์ มีขนาดเล็กกว่าโปรตอนประมาณ 1,000 เท่า ควาร์กมีทั้งหมด 6 ชนิด ได้แก่ อัป (u) ดาวน์ (d) ชาร์ม (c)
สเตรนจ์ (s) ท็อป (t) และบอตทอม (b) โดยควาร์กทุกชนิดจะแอนติควาร์ก ซึ่งจะแตกต่างกันแค่ประจุไฟฟ้า
ในทฤษฎีแบบจ�ำลองมาตรฐาน อันตรกิริยาทั้งหลายในธรรมชาติเกิดจากการแลกเปลี่ยนอนุภาคหรือเป็นสื่อของแรงต่าง ๆ เช่น
อันตรกิริยาไฟฟ้า เกิดจากการแลกเปลี่ยนโฟตอน อันตรกิริยานิวเคลียร์อย่างอ่อนหรือแรงอ่อน เกิดจากการแลกเปลี่ยนอนุภาค W-โบซอน
และ Z-โบซอน ส่วนอันตรกิริยานิวเคลียร์อย่างเข้มหรือแรงเข้ม เกิดจากการแลกเปลี่ยนอนุภาคกลูออน
การค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาคน�ำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่น�ำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น
1. การใช้เครื่องเร่งอนุภาคในการรักษาโรคมะเร็ง อนุภาคโปรตอนมาจากนิวเคลียสของไฮโดรเจนจะถูกเร่งในเครื่องเร่งอนุภาค แล้ว
ถูกปล่อยมาผ่านท่อน�ำโดยบังคับด้วยทิศทางของสนามแม่เหล็กไปยังจุดที่ถูกบังคับทิศทางไปยังเซลล์ที่ต้องการฉายรังสี
2. การใช้เครือ่ งถ่ายภาพรังสีระนาบด้วยการปล่อยโพซิตรอนในการวินจิ ฉัยโรคมะเร็ง คือ การตรวจทางเวชศาสตร์นวิ เคลียร์ทใี่ ช้ศกึ ษา
การท�ำงานของอวัยวะเป้าหมายที่ต้องการ โดยอาศัยการถ่ายภาพการกระจายตัวของสารกัมมันตรังสีที่แตกตัวให้โพซิตรอน
3. การใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ในการตรวจวัตถุอันตรายในสนามบิน เมื่อรังสีเอกซ์ผ่านวัตถุ พลังงานของรังสีเอกซ์บางส่วน
จะถูกวัตถุดูดกลืนไว้ และที่เหลือจะผ่านสิ่งของหรือสัมภาระ แล้วหัววัดจะตรวจวัดปริมาณรังสีเอกซ์ที่ผ่านมา
T131
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T132
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
Key Question
ธาตุทวั่ ไปสามารถ 1. การค้นพบกัมมันตภาพรังสี 1. ครูถามคําถามกระตุน ความสนใจของนักเรียน
เรืองแสงไดเองหรือ โดยใชคาํ ถาม Key Question จากหนังสือเรียน
มีแสงในตอนกลางคืนได
การค้นพบว่าธาตุบางชนิดสามารถแผ่รังสีได้ในการทดลอง 2. ครูใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนตามเลขที่ เชน
หรือไม ของ อองตวน อองรี แบ็กเกอแรล (Antoine Henri Becquerel)
เลขที่ 1 จับคูกับเลขที่ 2 จากนั้นใหนักเรียน
(พ.ศ. 2395-2451) นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส เป็นจุดเริ่มต้นที่ท�าให้
ทุกคนไปนั่งกับคูของตนเอง จากนั้นครูมอบ
นักวิทยาศาสตร์อีกหลายคนท�าการศึกษาการแผ่รังสีของธาตุและน�าไปสู่การสรุปที่ว่า รังสีที่ธาตุ
กัมมันตรังสีสามารถแผ่ออกมาได้จะมี 3 ชนิด หมายใหแตละคูร ว มกันศึกษา เรือ่ ง การคนพบ
กั ม มั น ตภาพรั ง สี ในหั ว ข อ การทดลองของ
1.1 การทดลองของแบ็กเกอแรล แบ็กเกอแรล
ใน พ.ศ. 2439 แบ็กเกอแรลได้ท�าการทดลองและศึกษาว่า เมื่อสารใด ๆ เกิดการเรืองแสง 3. ครูใชคําถามทดสอบความสนใจในการศึกษา
สารนัน้ จะแผ่รงั สีเอกซ์ออกมาพร้อมกับการเรืองแสงได้หรือไม่ ซึง่ เริม่ จากทดลองการเรืองแสงของ หาความรูวา
สารต่าง ๆ ที่เกิดการเรืองแสงได้เมื่อถูกแสงแดด โดยการใส่ฟิล์มถ่ายรูปไว้ในซองกระดาษสีด�าที่ • การทดลองของแบ็กเกอแรลคืออะไร มีวิธี
แสงไม่สามารถทะลุผ่านได้ จากนั้นน�าไปวางไว้ใต้สารที่ท�าการทดลอง เพื่อตรวจสอบว่ามีการแผ่ การอยางไร และผลการทดลองเปนอยางไร
รังสีเอกซ์ออกมาหรือไม่ โดยแบ็กเกอแรลได้ตั้งสมมติฐานว่า ถ้าหากสารนั้นเรืองแสงพร้อมกับแผ่ (แนวตอบ แบ็กเกอแรลไดทาํ การทดลองเพือ่
รังสีเอกซ์ รังสีเอกซ์จะทะลุผ่านซองกระดาษสีด�าไปยังแผ่นฟิล์มด้านใน ส่งผลให้มีรอยด�าปรากฏ ศึกษาวา เมื่อสารใดๆ เกิดการเรืองแสง
ขึ้นบนแผ่นฟิล์ม สารนั้ น จะแผ รั ง สี เ อกซ อ อกมาพร อ มกั บ
เมือ่ แบ็กเกอแรลได้ทดลองการเรืองแสงของสารประกอบยูเรเนียม โดยการน�าแผ่นฟิลม์ ทีใ่ ส่ไว้ การเรื อ งแสงหรื อ ไม โดยเขาได ท ดลอง
ในซองกระดาษสีดา� ทึบไปวางไว้ใต้เกลือยูเรเนียม (โพแทสเซียมยูเรนิลซัลเฟต) แล้วน�าไปตากแดด การเรืองแสงของสารประกอบยูเรเนียม วิธี
ดังภาพที่ 7.1 เพื่อดูว่าเกลือยูเรเนียมมีการแผ่รังสีแล้วทะลุผ่านซองกระดาษสีด�าเข้าไปแล้วท�าให้ การทดลอง คือ นําแผนฟลมที่ใสไวในซอง
แผ่นฟิล์มปรากฏรอยด�าหรือไม่ ซึ่งผลการทดลองที่ได้ก็เป็นไปตามสมมติฐานที่ได้ตั้งไว้ คือ มี กระดาษสีดําทึบไปวางไวใตเกลือยูเรเนียม
รอยด�าปรากฏบนแผ่นฟิล์ม แต่เขาก็ยังไม่สรุปว่า รังสีที่แผ่ออกมานั้นเป็นรังสีเอกซ์ หลังจากนั้น แลวนําไปตากแดด ผลการทดลองของเขา
แบ็กเกอแรลได้ท�าการทดลองซ�้า แต่ช่วงที่แบ็กเกอแรลท�าการทดลองซ�้านั้น ไม่มีแดด เขาจึง เปนไปตามสมมติฐาน คือ มีรอยดําปรากฏ
น� า แผ่ น ฟิ ล ์ ม ที่ ใ ส่ ไ ว้ ใ นซอง แสงแดด บนแผนฟลม)
กระดาษสีด�าทึบไปวางไว้ใต้
เกลื อ ยู เ รเนี ย มเหมื อ นเดิ ม
แต่ ไ ด้ น� า ไปเก็ บ ไว้ ใ นลิ้ น ชั ก
หลายวัน เมื่อแบ็กเกอแรลได้
เกลือยูเรเนียม
น�าแผ่นฟิล์มไปล้างก็พบว่า มี
รอยด�าบนแผ่นฟิล์มเช่นกัน ซองกระดาษสีด�า
ที่ใส่แผ่นฟิล์มไว้ แนวตอบ Key Question
ภ
าพที่ 7.1 การทดลองของแบ็กเกอแรล ธาตุโดยทั่วไปมีทั้งที่สามารถเรืองแสงไดและ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ฟิสิกส์อะตอม 121
เรืองแสงไมได ขึ้นอยูกับความเสถียรของนิวเคลียส
ของธาตุนนั้ ๆ โดยสวนมากธาตุทมี่ มี วลอะตอมมาก
มักจะอยูในสภาวะไมเสถียรจึงมีการแผรังสีออกมา
T133
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
4. ครูใหนักเรียนคูเดิมรวมกันศึกษา เรื่อง การ ผลลัพธ์ทไี่ ด้จากการทดลองทัง้ 2 ครัง้ ท�าให้แบ็กเกอแรลประหลาดใจ จึงได้ทา� การทดลองซ�า้
ศึ ก ษารั ง สี ที่ แ ผ อ อกมาจากธาตุ กั ม มั น ตรั ง สี อีกหลายครัง้ แม้กระทัง่ น�าไปเก็บไว้ในความมืดเป็นเวลาหลายเดือน ผลลัพธ์ทไี่ ด้กย็ งั เป็นเหมือนกัน
ในสวนของหัวขอทีเ่ กีย่ วกับการเบนของรังสีใน ดังนัน้ รอยด�าทีป่ รากฏบนแผ่นฟิลม์ เป็นผลมาจากเกลือยูเรเนียม การน�าเกลือไปวางไว้กลางแดดนัน้
สนามแมเหล็ก จากหนังสือเรียน ไม่ใช่สิ่งจ�าเป็นที่จะท�าให้เกิดผลลัพธ์ดังกล่าว และยังพบอีกว่า ไม่ว่าจะน�าเกลือไปท�าให้ร้อนขึ้น
5. ครูใหนักเรียนแตละคูรวมกันอภิปรายผลการ น�าเกลือไปบด หรือน�าเกลือไปละลายน�1้า ก็ไม่มีผลต่อรังสีที่แผ่ออกมา แบ็กเกอแรลจึงสรุปได้ว่า
ศึกษารวมกันจนไดเปนองคความรู จากนั้นครู ยิง่ ตัวอย่างเกลือยูเรเนียมมีธาตุยเู รเนียมประกอบอยูม่ ากเท่าใด รังสีทแี่ ผ่ออกมาก็ยงิ่ จะรุนแรงมาก
ใหนกั เรียนจดบันทึกองคความรูท ไี่ ดลงในสมุด เท่านั้น จากผลการทดลองท�าให้รู้ว่า รังสีที่เกิดขึ้นมีสมบัติบางประการคล้ายคลึงกับรังสีเอกซ์ เช่น
บันทึกประจําตัว ทะลุผ่านวัตถุต่าง ๆ ได้ ท�าให้อากาศแตกตัวเป็นไอออนได้ แต่รังสีนี้เกิดขึ้นได้เองตลอดเวลาซึ่ง
6. ครู ถ ามคํ า ถามนั ก เรี ย นโดยการสุ ม ตั ว แทน รังสีเอกซ์เกิดขึน้ เองไม่ได้ โดยการตรวจสอบภายหลังก็ได้ยนื ยันผลลัพธ์ของแบ็กเกอแรลและแสดง
นักเรียนใหยืนขึ้นแลวตอบคําถาม ดังนี้ ให้เห็นว่า สารประกอบยูเรเนียมทุกชนิดจะท�าให้เกิดรอยด�าบนฟิล์มได้ แบ็กเกอแรลจึงได้เสนอ
• ธาตุกัมมันตรังสีคืออะไร ความคิดว่า รังสีที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากธาตุยูเรเนียม (Uranium; U)
(แนวตอบ ธาตุที่มีสมบัติสามารถแผรังสี 1.2 การศึกษารังสีที่แผออกมาจากธาตุกัมมันตรังสี
ไดเองอยางตอเนื่อง) การที่แบ็กเกอแรลพบรังสีดังกล่าว ท�าให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนเกิดความสงสัยว่า มี
• สภาวะไมเสถียรของนิวเคลียสคืออะไร ธาตุอื่นที่มีการแผ่รังสีเช่นเดียวกับธาตุยูเรเนียมอีกหรือไม่ โดยปีแอร์ กูรี (Pierre Curie) (พ.ศ.
(แนวตอบ สภาวะที่นิวเคลียสของธาตุมี 2402-2449) นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส และมารี กูรี (Marie Curie) (พ.ศ. 2410-2477) นักฟิสิกส์
สัดสวนของจํานวนโปรตอนตอจํานวน ชาวโปแลนด์ ได้ท�าการทดลองกับธาตุอื่น ๆ บางชนิด เช่น ทอเรียม เรเดียม พอโลเนียม และได้
นิวตรอนไมเหมาะสม) ค้นพบว่า ธาตุเหล่านี้มีการแผ่รังสีเช่นเดียวกันกับธาตุยูเรเนียม โดยธาตุที่มีสมบัติสามารถแผ่รังสี
7. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาเพิ่ ม เติ ม จากสื่ อ ดิ จิ ทั ล ได้เองอย่างต่อเนื่อง เรียกว่า ธาตุกัมมันตรังสี (radioactive element) และปรากฏการณ์ที่ธาตุแผ่
เชน ครูเปดวีดิทัศนเกี่ยวกับการเบี่ยงเบนของ รังสีได้เองอย่างต่อเนื่องนี้ เรียกว่า กัมมันตภาพรังสี (radioactivity)
อนุ ภ าคเมื่ อ เคลื่ อ นที่ ผ า นสนามแม เ หล็ ก ให ปีแอร์และมารี กูรี ได้ศึกษาเกี่ยวกับธาตุกัมมันตรังสีด้วยการหาว่า อะไรเป็นต้นเหตุที่ท�าให้
นักเรียนดู เกิดกัมมันตภาพรังสีขึ้น ซึ่งทั้ง 2 คน ได้ค้นพบว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการค้นพบของ
แบ็กเกอแรล เกิดจากการที่นิวเคลียสของธาตุนั้นอยู่ในสภาวะไม่เสถียร และเพื่อปรับตัวเองให้
เสถียร ธาตุนั้นจึงมีการปล่อยอนุภาคบางชนิดหรือพลังงานในรูปของโฟตอนออกมา ซึ่งเป็น
กระบวนการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
P hysics
Focus สภาวะไม่เสถียรของนิวเคลียส
สภาวะไม่เสถียรของนิวเคลียสเกิดจากส่วนประกอบภายในของนิวเคลียสไม่เหมาะสม ซึ่ง
หมายความว่า ในนิวเคลียสประกอบด้วยโปรตอนซึ่งมีประจุบวกและนิวตรอนซึ่งเป็นกลางทางไฟฟ้า
สัดส่วนของจ�านวนโปรตอนต่อจ�านวนนิวตรอนไม่เหมาะสมจนท�าให้ธาตุนั้นไม่เสถียร
122
T134
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
หลังจากทีแ่ บ็กเกอแรลพบรังสีได้ไม่นาน รัทเทอร์ฟอร์ดได้ศกึ ษาเพิม่ เติมและแสดงให้เห็นว่า 8. ครู สุ ม นั ก เรี ย นออกมาหน า ชั้ น เรี ย น เพื่ อ
รังสีที่ธาตุกัมมันตรังสีแผ่ออกมาจากเกลือยูเรเนียมนั้นมี 2 ชนิด โดยชนิดที่ 1 ไม่สามารถเคลื่อน อภิปรายผลการศึกษาเกี่ยวกับการเบี่ยงเบน
ทะลุผ่านแผ่นอะลูมิเนียมบาง ๆ ได้ เรียกว่า รังสีแอลฟา (alpha ray) และชนิดที่ 2 มีอ�านาจทะลุ ของอนุภาคเมื่อเคลื่อนที่ผานสนามแมเหล็ก
ผ่านสูงกว่าชนิดที่ 1 เรียกว่า รังสีบีตา (beta ray) ในเวลาต่อมา วิลลาร์ด นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ที่ตนเองไดศึกษาจากหนังสือเรียนและจาก
ได้แสดงให้เห็นว่า ยังมีรังสีอีกชนิดหนึ่งที่เกิดจากเกลือยูเรเนียม โดยรังสีชนิดนี้มีอ�านาจทะลุผ่าน วีดิทัศนที่ครูนํามาเปดใหดู
สูงกว่า 2 ชนิดแรก เรียกว่า รังสีแกมมา (gamma ray) โดยรังสีดังกล่าวมีสมบัติ ดังนี้ 9. ครูเนนยํา้ กับนักเรียนเกีย่ วกับสัญลักษณ ประจุ
1. การเบนของรังสีในสนามแม่เหล็ก เมื่อให้รังสีแอลฟา บีตา และแกมมา ผ่านเข้าไป และมวลของอนุภาคที่ปลดปลอยออกมาจาก
ในบริเวณที่มีสนามแม่เหล็กทิศพุ่งเข้าและตั้งฉากกับกระดาษ พบว่า แนวการเคลื่อนที่ของรังสี ธาตุกัมมันตรังสี โดยมอบหมายใหนักเรียน
แยกออกเป็น 3 แนว ดังภาพที่ 7.2 โดยรังสีที่โค้งน้อยและเบนไปทางด้านซ้ายของแนวเดิม คือ ทําความเขาใจ และจดบันทึกตารางที่ 7.1
รังสีแอลฟา (α) รังสีที่โค้งมากและเบนไปในทิศตรงข้ามกับรังสีแอลฟา คือ รังสีบีตา (β) ส่วนรังสี จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึกประจําตัว
ที่ไม่เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ คือ รังสีแกมมา (γ) และจากการที่รังสีทั้ง 3 ชนิด เบนในสนาม 10. ครูสุมถามนักเรียนเกี่ยวกับลัญลักษณ ประจุ
แม่เหล็กจึงท�าให้ทราบว่า รังสีแอลฟาต้องมีประจุไฟฟ้าบวก รังสีบีตาต้องมีประจุไฟฟ้าลบ และมวลของอนุภาคที่ปลดปลอยออกมาจาก
และรังสีแกมมาต้องมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า ธาตุกัมมันตรังสี โดยหามนักเรียนดูคําตอบ
ที่ ถู ก ต อ งจากหนั ง สื อ เรี ย นและสมุ ด บั น ทึ ก
แผ่นฟิล์ม
γ ประจําตัว เพื่อทดสอบความรูและความจํา
γ β
α α β หลังจากที่ไดศึกษามาแลว
11. ครูถามคําถามทบทวนความรูเ ดิมกับนักเรียน
(-) (+) B
เกี่ ย วกั บ สมบั ติ ก ารเบนของรั ง สี ใ นสนาม
แมเหล็ก
แผ่นตะกั่ว แผ่นตะกั่ว
ธาตุกัมมันตรังสี 12. ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมรวมกันศึกษาสมบัตติ อ ไป
ธาตุกัมมันตรังสี
ภาชนะตะกั่ว
ภาชนะตะกั่ว ของรังสีแอลฟา รังสีบตี า และรังสีแกมมา คือ
ความสามารถในการทําใหเกิดการแตกตัว
ภาพที ่ 7.2 แนวการเคลือ่ นทีข
่ องรังสีแอลฟา บีตา และแกมมา ในสนามแม่เหล็ก เปนไอออน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
รังสีบตี าสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ บีตาบวก (β+) ซึง่ มีประจุไฟฟ้าเป็นบวก เรียกว่า
โพซิตรอน (positron) และบีตาลบ (β−) ซึ่งมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ เรียกว่า อิเล็กตรอน (electron)
โดยธาตุกัมมันตรังสีส่วนมากจะปล่อยรังสีบีตาลบออกมา ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงรังสีบีตามักจะ
หมายถึง อิเล็กตรอนเสมอ และนอกจากรังสีทั้ง 3 ชนิด ธาตุกัมมันตรังสียังสามารถปล่อยอนุภาค
อื่น ๆ ออกมาพร้อมกับรังสีดังกล่าวได้อีก เช่น นิวตรอน นิวทริโน แอนตินิวทริโน ซึ่งสัญลักษณ์
ประจุและมวลของอนุภาคทีป่ ลดปล่อยออกมาจากธาตุกมั มันตรังสี สามารถแสดงได้ ดังตารางที ่ 7.1
ฟิสิกส์อะตอม 123
T135
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
13. ครูสุมถามนักเรียนวา
ตารางที่ 7.1 : สัญลักษณ์ ประจุ และมวลของอนุภาคที่ปลดปล่อยออกมาจากธาตุกัมมันตรังสี
• ความสามารถในการเคลือ่ นทีแ่ ละทําใหเกิด
อนุภาคหรือรังสี สัญลักษณ์ ประจุไฟฟ้า มวล
การแตกตัวเปนไอออนของรังสีแอลฟา รังสี
บีตา และรังสีแกมมา มีความเหมือนหรือ แอลฟา α +2e = 3.2 × 10-19 C 6.65 × 10-27 kg
แตกตางกัน อยางไร บีตาลบ (อิเล็กตรอน) -
β หรือ e- -1e = -1.6 × 10-19 C 9.11 × 10-31 kg
(แนวตอบ มีความแตกตางกัน เนื่องจาก แกมมา 0 0
γ
รั ง สี แ ต ล ะชนิ ด มี ม วลต า งกั น โดยที่ รั ง สี
+
แอลฟาสามารถเคลื่อนที่ไปไดระยะทาง บีตาบวก (โพซิตรอน) β หรือ e+ +1e = 1.6 × 10-19 C 9.11 × 10-31 kg
นอยทีส่ ดุ และรังสีแกมมาสามารถเคลือ่ นที่ นิวตรอน n หรือ n0 0 1.67 × 10-27 kg
ไปไดระยะทางมากที่สุด ซึ่งรังสีแอลฟา
โปรตอน p หรือ p+ +1e = 1.6 × 10-19 C 1.67 × 10-31 kg
ทําใหตัวกลางที่เคลื่อนที่ผานแตกตัวเปน
ไอออนไดมากที่สุด เพราะอนุภาคแอลฟา น้อยกว่ามวลของ β
นิวทริโน v 0
มาก ๆ แต่ไม่เป็นศูนย์
1 อนุภาค มีมวลมากกวาอนุภาคบีตา 1
อนุภาค และเนื่องจากรังสีแกมมาไมมีมวล แอนตินิวทริโน v 0
น้อยกว่ามวลของ β
จึงทําใหความสามารถในการทําใหตวั กลาง มาก ๆ แต่ไม่เป็นศูนย์
แตกตัวเปนไอออนไดดีรองลงมา) 2. ความสามารถในการท�าให้เกิดการแตกตัวเป็นไอออน เนื่องจากรังสีแอลฟา บีตา
14. ครูใหนกั เรียนรวมกันศึกษาตอในหัวขออํานาจ และแกมมา เป็นรังสีที่มีสมบัติท�าให้สารหรือตัวกลางที่อนุภาคเคลื่อนที่ผ่านแตกตัวเป็นไอออนได้
ทะลุผานของรังสีจากหนังสือเรียน โดยครูให หากให้รงั สีบตี าซึง่ เป็นอนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้าลบเคลือ่ นทีเ่ ข้าไปในสารชนิดหนึง่ ก็มโี อกาสทีร่ งั สีบตี า
นักเรียนศึกษาหาความรูเพิ่มเติมจากแหลง จะเคลื่อนที่เข้าไปชนอะตอมของสาร เนื่องจากรังสีบีตามีพลังงานสูงมาก สามารถชนอิเล็กตรอน
ขอมูลสารสนเทศ ของอะตอมของสารให้หลุดออกมาเป็นอิเล็กตรอนอิสระ ขณะเดียวกันอะตอมตัวที่ถูกชนซึ่งเสีย
เข้าใจ (Understanding) อิเล็กตรอนไปก็จะแสดงสภาวะประจุบวก เรียกว่า ไอออนบวก กล่าวได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
เป็นกระบวนการที่รังสีท�าให้สารหรือตัวกลางแตกตัวเป็นไอออน ดังภาพที่ 7.3
15. ครูใหนักเรียนแตละคูไปจับกลุมกับเพื่อนคู
e
อื่นๆ อีก 2 คู รวมเปนกลุมละ 6 คน จากนั้น β
ครูแจกกระดาษฟลิปชารตและปากกาเมจิก β
ใหนักเรียนกลุมละ 1 ชุด
16. ครู ม อบหมายให แ ต ล ะกลุ ม เขี ย นสรุ ป องค
ภ
าพที ่ 7.3 กระบวนการแตกตัวเป็น
ความรูเกี่ยวกับสมบัติของรังสีที่แผออกมา ไอออนเนื่องจากรังสีบีตา
จากธาตุกมั มันตรังสีลงในกระดาษฟลิปชารต อะตอมของสาร ไอออนบวก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
โดยใหนักเรียนสรางสรรคผลงานของกลุม
124
ตนเองในรูปแบบตางๆ ตามความสนใจ
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
หากปล่อยให้รังสีแอลฟา บีตา และแกมมา เคลื่อนที่ผ่านไปในสารหนึ่ง ๆ เช่น เคลื่อนที่ 17. เมือ่ นักเรียนสรางสรรคผลงานเสร็จแลว ครูให
ผ่านไปในอากาศ พบว่า รังสีแอลฟาเคลื่อนที่ไปได้ระยะทางน้อยที่สุด และรังสีแกมมาสามารถ นักเรียนนําผลงานของตนเองไปติดตามผนัง
เคลื่อนที่ไปได้ระยะทางมากที่สุด ดังภาพที่ 7.4 โดยรอบชั้นเรียน จากนั้นครูใหนักเรียนแตละ
กลุมเดินชมผลงานของกลุมอื่นๆ โดยวิธีการ
α อากาศ เดินชมและวิเคราะหผลงานแบบหมุนวนกลุม
β ละประมาณ 1-2 นาที
γ 18. ครูใหนักเรียนกลับเขากลุมตนเอง จากนั้น
ภาพที่ 7.4 ระยะทางของรังสีแอลฟา บีตา และแกมมา ที่ท�าให้อากาศเกิดการแตกตัว เขียนชืน่ ชมหรือเสนอแนะพรอมทัง้ ใหคะแนน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ลงในกระดาษโนตของแตละกลุม แลวนําไป
จากภาพที่ 7.4 แสดงให้เห็นว่า รังสีแอลฟาสามารถท�าให้ตัวกลางที่เคลื่อนที่ผ่านไป แปะไวที่ผลงานของกลุมนั้นๆ
แตกตัวเป็นไอออนได้ดที สี่ ดุ หากพิจารณารังสีแอลฟาเป็นอนุภาค นัน่ คือ อนุภาคแอลฟา 1 อนุภาค 19. ครูเดินตรวจนับคะแนนของแตละกลุม แลวให
มีมวลเท่ากับ 6.65 × 10-27 กิโลกรัม จึงสูญเสียพลังงานให้ตัวกลางอย่างรวดเร็ว ท�าให้เคลื่อนที่ กลุมที่ไดคะแนนมากที่สุด 1-2 กลุม ออกมา
ผ่านไปในตัวกลางได้ไม่มากนัก ส่วนอนุภาคบีตา 1 อนุภาค มีมวลเท่ากับ 9.11 × 10-31 กิโลกรัม นําเสนอและอภิปรายผลงานของกลุมตนเอง
และเนือ่ งจากรังสีแกมมาไม่มมี วล จึงท�าให้รงั สีบตี าและแกมมามีความสามารถในการท�าให้ตวั กลาง หนาชั้นเรียน
แตกตัวเป็นไอออนได้ดีรองลงมา ตามล�าดับ 20. ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาทําความเขาใจ
3. อ�านาจทะลุผ่านของรังสี เมื่อทดลองให้รังสีแอลฟา บีตา และแกมมา เคลื่อนที่ผ่าน เกี่ยวกับการคนพบกัมมันตภาพรังสีเพิ่มเติม
ไปในตัวกลางต่าง ๆ เช่น แผ่นกระดาษ แผ่นอะลูมิเนียม แผ่นตะกั่ว จะเห็นได้ว่า รังสีแอลฟาไม่ จากแบบฝกหัดรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร
สามารถเคลื่อนที่ผ่านแผ่นกระดาษได้ ส่วนรังสีบีตาสามารถเคลื่อนที่ผ่านแผ่นกระดาษได้ แต่ไม่ และเทคโนโลยี ฟสิกส ม.6 เลม 2 หนวยการ
สามารถเคลื่อนที่ผ่านแผ่นอะลูมิเนียมได้ และรังสีแกมมาสามารถเคลื่อนที่ผ่านแผ่นกระดาษและ เรียนรูที่ 7 ฟสิกสนิวเคลียร
แผ่นอะลูมิเนียมได้ แต่ไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านแผ่นตะกั่วได้ ดังภาพที่ 7.5 จึงสรุปได้ว่า รังสี
ลงมือทํา (Doing)
แกมมามีอ�านาจทะลุผ่านสูงที่สุด รองลงมา คือ รังสีบีตาและรังสีแอลฟา ตามล�าดับ
21. ครูใหนกั เรียนรวมกันศึกษาแบบฝกหัด Topic
P hysics Questions จากหนังสือเรียน โดยครูมอบ
Focus รังสี (ray)
หมายใหนักเรียนแตละคนเขียนแสดงวิธีการ
รังสี ในทางฟิสิกส์ หมายถึง พลังงานที่ปล่อยออกมาจากแหล่งก�าเนิด เช่น ความร้อนหรือแสง
สว่างจากดวงอาทิตย์ คลื่นไมโครเวฟจากเตาไมโครเวฟ รังสีเอกซ์จากหลอดเอกซเรย์ แต่ในวิชาฟิสิกส์ แกโจทยปญหาลงในสมุดบันทึกประจําตัว
นิวเคลียร์ รังสี นิยมใช้เรียกแทนกลุ่มอนุภาคขนาดเล็กที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องจน 22. ครูแจกใบงาน เรื่อง การคนพบกัมมันตภาพ
เกิดเป็นล�าอนุภาค (beam of particles) รังสีจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ รังสีก่อประจุ (ionizing รังสี ใหนกั เรียนคนละ 1 ชุด จากนัน้ มอบหมาย
radiation) และรังสีไม่กอ่ ประจุ (non-ionizing radiation) และเมือ่ พิจารณารังสีนใี้ นรูปคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า ให นั ก เรี ย นศึ ก ษาและลงมื อ ทํ า เสร็ จ แล ว
อาจเรียกว่า โฟตอน
ตัวแทนรวบรวมสงครู
ฟิสิกส์อะตอม 125
T137
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ลงข อ สรุ ป โดยให
นักเรียนอธิบายสรุปความรูเกี่ยวกับการคนพบ
อนุภาคแอลฟา
กัมมันตภาพรังสีที่ไดศึกษามาแลว พรอมทั้ง
ยกตัวอยางทีเ่ กีย่ วของเพือ่ ทดสอบความเขาใจ อนุภาคบีตา
2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได
ศึกษาผานมาแลวในสวนที่ยังไมเขาใจหรือ รังสีแกมมา
126
1. ผลงานตรงกับ
จุดประสงค์ที่กาหนด
4
ผลงานสอดคล้องกับ
จุดประสงค์ทุกประเด็น
3
ผลงานสอดคล้องกับ
ระดับคะแนน
2
ผลงานสอดคล้องกับ
จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น
1
ผลงานไม่สอดคล้อง
กับจุดประสงค์
กระดาษหรือผิวหนังของรางกายมนุษย แตจะเปนอันตรายเมื่อรังสี
ลาดับที่
1
คะแนน
รายการประเมิน
ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
4 3
ระดับคุณภาพ
2 1
2. ผลงานมีความ
ถูกต้องสมบูรณ์
3. ผลงานมีความคิด
สร้างสรรค์
เนื้อหาสาระของผลงาน
ถูกต้องครบถ้วน
ผลงานแสดงออกถึง
ความคิดสร้างสรรค์
เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น
ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ
ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด
เนื้อหาสาระของผลงาน
ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ผลงานไม่แสดงแนวคิด
ใหม่
แอลฟาสามารถทะลุวัสดุกั้นรังสีเขาสูรางกายโดยการกลืนหรือหายใจ
เขาไป
แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
ระบบ
3 ความคิดสร้างสรรค์
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
4 ความเป็นระเบียบ
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
รวม ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
T138
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T139
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
4. ครูสุมนักเรียนแลวถามคําถามกับนักเรียนวา 2.1 องค์ประกอบของนิวเคลียส
• สมมติฐานโปรตอน-อิเล็กตรอน มีใจความ เนื่องจากการแผ่รังสีของธาตุกัมมันตรังสีจะท�าให้มีธาตุใหม่เกิดขึ้นพร้อมกับการแผ่รังสี
สําคัญวาอยางไร และสมมติฐานนี้สามารถ แอลฟาหรือบีตาเสมอ นักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นจึงได้มีการเสนอแนวคิดเกี่ยวกับองค์ประกอบ
อธิบายการแผรังสีแอลฟาไดอยางไร ของนิวเคลียสว่า นิวเคลียสประกอบด้วยอนุภาค 2 ชนิด คือ อนุภาคแอลฟาและบีตารวมกันอยู่
(แนวตอบ นิวเคลียสประกอบดวยโปรตอน แต่แนวคิดนีต้ อ้ งล้มเลิกไป เนือ่ งจากมวลของนิวเคลียสทัง้ หลายไม่ได้เป็นจ�านวนเท่าของมวลของ
และอิเล็กตรอน โดยสมมติฐานนี้สามารถ อนุภาคแอลฟา นอกจากนี ้ นิวเคลียสของบางธาตุยงั มีมวลน้อยกว่ามวลของอนุภาคแอลฟาอีกด้วย
อธิบายการแผรังสีแอลฟาได ซึ่งรังสีหรือ เช่น นิวเคลียสของธาตุไฮโดรเจน
อนุภาคแอลฟาเกิดจากโปรตอน 4 อนุภาค ต่อมาใน พ.ศ. 2462 รัทเทอร์ฟอร์ดได้ท�าการทดลองยิงอนุภาคแอลฟา (42He) เข้าไปให้พุ่ง
และอิเล็กตรอน 2 อนุภาค ในนิวเคลียส ชนกับนิวเคลียสของไนโตรเจน (147N) ท�าให้เกิดนิวเคลียสของธาตุใหม่ คือ ออกซิเจน (178O) และ1
รวมตั ว กั น เป น นิ ว เคลี ย สของธาตุ ฮี เ ลี ย ม ไฮโดรเจน (11H) ดังภาพที่ 7.6 ซึ่งรัทเทอร์ฟอร์ดเสนอให้เรียกนิวเคลียสของไฮโดรเจนว่า โปรตอน
โปรตอน
แลววิ่งออกมาจากนิวเคลียส) (proton)
5. ครูถามคําถามกับนักเรียนตอวา 7p
1p
• จากสมมติฐานโปรตอน-อิเล็กตรอน นักเรียน 2p 7n
นิวเคลียส 1
2n
สามารถอธิบายเพื่อเชื่อมโยงกับการทดลอง ไฮโดรเจน (1H)
ยิงอนุภาคแอลฟาใหพุงชนแผนทองคําของ 8p
9n
อนุภาคแอลฟา นิวเคลียส
รัทเทอรฟอรดไดหรือไม อยางไร (42He) ไนโตรเจน
(แนวตอบ จากการทดลองยิงอนุภาคแอลฟา โปรตอน (p) (147N)
ใหพุงชนแผนทองคํา รัทเทอรฟอรดทําเพื่อ นิวตรอน (n) นิวเคลียส 17
ออกซิเจน ( 8O)
ยื น ยั น แบบจํ า ลองอะตอมของทอมสั น
ภาพที่ 7.6 การเปลี่ยนสภาพนิวเคลียสของไนโตรเจนเนื่องจากการชนของอนุภาคแอลฟา
ที่วา “โปรตอนและอิเล็กตรอนกระจายทั่ว ที่มา : คลังภาพ อจท.
อะตอม” ซึ่งรัทเทอรฟอรดตั้งสมมติฐานวา
P hysics
“ถาแบบจําลองอะตอมของทอมสันถูกตอง Focus ฮีเลียม
อนุภาคแอลฟาควรมีรอ ยละของการสะทอน ฮีเลียม (Helium; He) เป็นธาตุเคมีที่มีเลขอะตอมเท่ากับ 2 ฮีเลียมเป็นแกส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น
กลับสูงมาก” แตเมือ่ รัทเทอรฟอรดไดทาํ การ ไม่เป็นพิษ มีอะตอมเดี่ยวซึ่งถูกจัดให้อยู่ในหมู่แกสมีตระกูลหรือแกสเฉื่อยบนตารางธาตุ จุดเดือดและ
ทดลอง และผลการทดลองออกมาขัดแยง จุดหลอมเหลวของฮีเลียมมีค่าต�่ากว่าบรรดาธาตุทั้งหมดในตาราง
กับแบบจําลองอะตอมของทอมสัน เขาจึง ธาตุ และจะปรากฏอยู่ในรูปของแกสเท่านั้น โดยจะไม่ท�าปฏิกิริยา
ไดสรางแบบจําลองอะตอมใหม) เคมีกับธาตุอื่น จึงไม่พบฮีเลียมในสารประกอบใด ๆ นอกจากนี้
ฮีเลียมยังมีความหนาแน่นน้อยกว่าอากาศ จึงนิยมน�าแกสฮีเลียม
6. ครูใหนักเรียนศึกษาสมบัติ ประโยชน และ ไปบรรจุในลูกโป่งหรือบอลลูน เพื่อที่จะท�าให้ลูกโป่งนั้น ๆ ลอยขึ้น ภ าพที่ 7.7 สัญลักษณ์ธาตุฮีเลียม
โทษของธาตุฮีเลียม เพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ต ไปบนท้องฟ้าได้ ที่มา : คลังภาพ อจท.
โดยจดลงในสมุดบันทึกประจําตัว 128
T140
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ในขณะนั้น (ช่วง พ.ศ. 2462) สามารถสรุปได้เพียงว่า นิวเคลียสประกอบด้วยอนุภาคที่มี 7. ครูใหนกั เรียนศึกษา เรือ่ ง การคนพบนิวตรอน
ประจุบวก คือ โปรตอนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถอธิบายโครงสร้างของนิวเคลียสได้ จากหนังสือเรียน โดยครูใหนกั เรียนจดบันทึก
อย่างถูกต้อง เนื่องจากการที่ธาตุกัมมันตรังสีบางธาตุมีการปล่อยอนุภาคบีตาหรืออิเล็กตรอนออก สรุปความรูลงในสมุดบันทึกประจําตัว
มาได้ ท�าให้คิดว่า อิเล็กตรอนก็อาจเป็นองค์ประกอบของนิวเคลียสของธาตุต่าง ๆ ได้เช่นกัน จึง 8. ครูใหนักเรียนรวมกันตอบคําถาม Concept
ท�าให้มกี ารตัง้ สมมติฐานโปรตอน-อิเล็กตรอน (proton-electron hypothesis) ซึง่ มีอยูว่ า่ “นิวเคลียส Question จากหนังสือเรียน
ประกอบด้วยโปรตอนและอิเล็กตรอน” สมมติฐานนีส้ ามารถอธิบายการแผ่รงั สีแอลฟาได้ การสลาย 9. ครูใหนกั เรียนสืบคนขอมูลและศึกษาทีม่ าของ
ตัวให้รังสีแอลฟานั้น เกิดจากโปรตอน 4 อนุภาค และอิเล็กตรอน 2 อนุภาค ในนิวเคลียสรวมตัว สมมติฐานโปรตอน-นิวตรอน ทั้งจากแหลง
กันเป็นนิวเคลียสของธาตุฮีเลียม แล้ววิ่งออกมาจากนิวเคลียส แต่เนื่องจากหลักความไม่แน่นอน ขอมูลสารสนเทศและหนังสือเรียน โดยครู
ของไฮเซนเบิร์กได้ชี้ให้เห็นว่า อิเล็กตรอนจะอยู่ภายในนิวเคลียสไม่ได้ ถ้าอิเล็กตรอนอยู่ภายใน มอบหมายใหนักเรียนจดบันทึกสรุปความรู
นิวเคลียสความไม่แน่นอนของต�าแหน่งของอิเล็กตรอนจะมีคา่ น้อยมาก ท�าให้ความไม่แน่นอนของ ลงในสมุดบันทึกประจําตัวทุกคน
โมเมนตัมของอิเล็กตรอนมีค่าสูงมาก นั่นหมายถึง อิเล็กตรอนจะมีอัตราเร็วและพลังงานสูงมาก 10. ครูสุมตัวแทนนักเรียนยืนขึ้นแลวถามคําถาม
อิเล็กตรอนจึงไม่สามารถอยูภ่ ายในนิวเคลียสได้ อีกทัง้ ยังขัดแย้งกับผลการทดลอง เรือ่ ง โมเมนตัม กับนักเรียนวา
เชิงมุมของนิวเคลียส จึงท�าให้ต้องยกเลิกสมมติฐานนี้ไป
• สมมติฐานโปรตอน-นิวตรอน มีใจความ
2.2 การค้นพบนิวตรอน สําคัญวาอยางไร
ใน พ.ศ. 2463 รัทเทอร์ฟอร์ดได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับชนิดของอนุภาคในนิวเคลียสว่า (แนวตอบ ใจความสําคัญของสมมติฐาน
อิเล็กตรอนและโปรตอนในนิวเคลียสอาจรวมกันเป็นอนุภาคที่มีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า ซึ่ง โปรตอน-นิวตรอน คือ นิวเคลียสประกอบ
เรียกว่า นิวตรอน (neutron) จึงท�าให้นกั ฟิสกิ ส์ในสมัยนัน้ ท�าการทดลองเพือ่ ค้นหาอนุภาคนิวตรอน ดวยอนุภาคโปรตอนและอนุภาคนิวตรอน
แต่กไ็ ม่ประสบความส�าเร็จ เพราะยังไม่มแี หล่งก�าเนิดนิวตรอนในธรรมชาติ และวิธกี ารทีน่ า� ไปตรวจ โดยเรียกอนุภาคที่เปนองคประกอบของ
สอบต้องอาศัยสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก ซึง่ วิธกี ารนีไ้ ม่สามารถตรวจสอบอนุภาคนิวตรอนได้ นิวเคลียสวา นิวคลีออน)
จากการที่รัทเทอร์ฟอร์ดได้ท�าการทดลองโดยการยิงอนุภาคแอลฟาเข้าไปในนิวเคลียสของ 11. ครูใหนักเรียนศึกษาสัญลักษณของนิวเคลียส
ไนโตรเจนแล้วท�าให้มโี ปรตอนหลุดออกมา ได้ทา� ให้มนี กั ฟิสกิ ส์สนใจศึกษาเกีย่ วกับการเปลีย่ นแปลง หรือสัญลักษณนิวเคลียร รวมทั้งวิธีการหา
สภาพของนิวเคลียสอย่างแพร่หลาย เช่น การทดลองยิงอนุภาคแอลฟาเข้าไปในนิวเคลียสของธาตุ จํานวนนิวตรอนในนิวเคลียสจากผลตางของ
เบริลเลียม (Beryllium; Be) แล้วมีการปล่อยรังสีที่มีสมบัติคล้ายรังสีแกมมาออกมา ซึ่งในระยะ เลขมวลกับเลขอะตอม
แรกนักฟิสิกส์เข้าใจว่ารังสีนั้นเป็นรังสีแกมมา เพราะมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า และสามารถ
ทะลุผ่านวัตถุได้ และพบว่า รังสีนี้มีพลังงาน 10 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ ซึ่งมากกว่าพลังงานของ
รังสีแกมมาที่พบในธาตุกัมมันตรังสี แต่เมื่อ
ศึกษาการทดลองนี้โดยการใช้กฎการอนุรักษ์ Con���t Q�e����n
ใดอนุภาคนิวตรอนจึงไมสามารถ
โมเมนตั ม และกฎการอนุ รั ก ษ์ พ ลั ง งานกลั บ เพราะเหตุ
ตรวจสอบไดดวยวิธีการที่อาศัยสนามไฟฟา
พบว่า รังสีที่ปล่อยออกมาจากการยิงอนุภ1 าค และสนามแมเหล็ก แนวตอบ Concept Question
แอลฟาให้มุ่งชนนิวเคลียสของเบริลเลียมนั้น นิวตรอนเปนอนุภาคมูลฐานที่ไมมีประจุไฟฟา
ไม่ใช่รังสีแกมมา ฟิสิกส์อะตอม 129
จึงไมเกิดการเลี้ยวเบนทิศทางการเคลื่อนที่เมื่อผาน
เขาไปในบริเวณที่มีสนามไฟฟาและสนามแมเหล็ก
T141
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
12. ครูสุมนักเรียนออกมาอภิปรายผลการศึกษา ใน พ.ศ. 2475 เซอร์ เจมส์ แชดวิก (Sir James Chadwick) นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ
ของตนเองเกี่ยวกับการคนพบนิวตรอน ได้วเิ คราะห์ผลการทดลองของรัทเทอร์ฟอร์ดและได้เสนอความคิดเกีย่ วกับการทดลองทีผ่ า่ นมาว่า
13. เมื่อนักเรียนอภิปรายผลการศึกษาตามความ รังสีที่ปล่อยออกมาน่าจะเป็นอนุภาคนิวตรอน จากนั้นแชดวิกได้ท�าการศึกษาการชนของอนุภาค
เขาใจของนักเรียนแลว ครูอาจยกตัวอยาง ที่เขาคิดว่าเป็นนิวตรอนกับพาราฟิน เพื่อวัดความเร็วของโปรตอนที่กระเด็นหลุดออกมาจาก
หรือปรับเปลีย่ นสถานการณจากตัวอยางทีไ่ ด แผ่นพาราฟิน ดังภาพที่ 7.8 และเขาก็ได้ท�าการทดลองให้อนุภาคที่คิดว่าเป็นนิวตรอนนี้วิ่งพุ่ง
ศึกษา แลวใหนกั เรียนอธิบายสิง่ ทีเ่ หมือนและ ชนนิวเคลียสของไนโตรเจน แล้ววัดความเร็วของนิวเคลียสของไนโตรเจนที่ถูกชน ซึ่งแชดวิกได้
สิ่งที่แตกตาง จากนั้นแสดงวิธีการแกโจทย วิเคราะห์ผลการทดลองโดยสมมติให้การชนดังกล่าวเป็นการชนแบบยืดหยุน่ แล้วใช้กฎการอนุรกั ษ์
ปญหาดังกลาวบนกระดานหนาชั้นเรียน โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์พลังงาน ค�านวณหามวลของอนุภาคดังกล่าว พบว่า มีค่าใกล้เคียง
กับมวลของโปรตอนมาก จึงสรุปได้ว่า อนุภาคที่ได้จากการยิงอนุภาคแอลฟาให้พุ่งชนนิวเคลียส
ลงมือทํา (Doing) ของเบริลเลียม คือ อนุภาคนิวตรอน ซึ่งผลที่ได้เป็นการสนับสนุนความคิดของรัทเทอร์ฟอร์ดที่ว่า
14. ครูใหนกั เรียนรวมกันศึกษาแบบฝกหัด Topic มีอนุภาคนิวตรอนอยู่ในนิวเคลียส
Questions จากหนังสือเรียน โดยครูมอบ
หมายใหนักเรียนแตละคนเขียนแสดงวิธีการ ล�าอนุภาคนิวตรอน
แกโจทยปญหาลงในสมุดบันทึกประจําตัว แหล่งก�าเนิดอนุภาคแอลฟา
15. ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาทําความเขาใจ
เกี่ยวกับการเปลี่ยนสภาพนิวเคลียสเพิ่มเติม
ล�าอนุภาคโปรตอน
จากแบบฝกหัดรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร หัววัดที่ใช้ตรวจจับและ
และเทคโนโลยี ฟสิกส ม.6 เลม 2 หนวยการ เป้าเบริลเลียม แผ่นพาราฟิน นับจ�านวนโปรตอน
เรียนรูที่ 7 ฟสิกสนิวเคลียร ภ
าพที่ 7.8 แผนภาพแสดงการทดลองของแชดวิกเพื่อศึกษาการชนของอนุภาคนิวตรอน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ขัน้ สรุป
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ลงข อ สรุ ป โดยให เมื่อแชดวิกพบอนุภาคนิวตรอนแล้ว จึงได้ตั้งสมมติฐานของโครงสร้างนิวเคลียสใหม่ เรียก
นั ก เรี ย นอธิ บ ายสรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ การ ว่า สมมติฐานโปรตอน-นิวตรอน (proton-neutron hypothesis) ซึ่งกล่าวว่า “นิวเคลียสประกอบ
เปลี่ ย นสภาพนิ ว เคลี ย สที่ ไ ด ศึ ก ษามาแล ว ด้วยอนุภาคโปรตอนและอนุภาคนิวตรอน โดยเรียกอนุภาคที่เป็นองค์ประกอบของนิวเคลียสว่า
พรอมทั้งยกตัวอยางที่เกี่ยวของเพื่อทดสอบ นิวคลีออน (nucleon)”
ความเขาใจ ผลรวมของจ�านวนโปรตอนกับจ�านวนนิวตรอนที่อยู่ในนิวเคลียส เรียกว่า เลขมวล (mass
number) และจ�านวนโปรตอนในนิวเคลียส เรียกว่า เลขอะตอม (atomic number) เลขมวลของ
ธาตุเป็นเลขจ�านวนเต็มที่มีค่าใกล้เคียงกับมวลอะตอมของธาตุนั้น ส่วนเลขอะตอมเป็นตัวเลขที่
แสดงจ�านวนโปรตอนที่อยู่ในนิวเคลียส และเป็นตัวเลขที่บอกค่าประจุไฟฟ้าของนิวเคลียสด้วย
130
T142
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
2. ครูใหนักเรียนรวมกันตอบคําถาม Concept
นักฟิสิกส์จึงมีการก�าหนดให้เขียนสัญลักษณ์ที่แสดงจ�านวนอนุภาคในนิวเคลียสของธาตุ Question จากหนังสือเรียน
ด้วยเลขมวลและเลขอะตอม เรียกว่า สัญลักษณ์ของนิวเคลียสหรือสัญลักษณ์นิวเคลียร์ (nuclear 3. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ยัง
symbol) ดังภาพที่ 7.9 ไมเขาใจหรือสงสัย จากนัน้ ครูใหความรูเ พิม่ เติม
โดยใช PowerPoint เรื่อง การเปลี่ยนสภาพ
A
X
เลขมวล นิวเคลียส มาเปดใหนกั เรียนดูประกอบเพือ่ ชวย
ตัวเลขแสดงผลรวมของจ�านวน ในการอธิบายใหเขาใจมากยิ่งขึ้น
โปรตอนและนิวตรอน สัญลักษณ์ของธาตุ
4. ครูใหนักเรียนสรุปความรูเกี่ยวกับการเปลี่ยน
เลขอะตอม
ตัวเลขแสดงจ�านวนโปรตอน
Z สภาพนิวเคลียส โดยสรางสรรคออกมาในรูป
ภาพที่ 7.9 สัญลักษณ์ของนิวเคลียส แบบของผังมโนทัศน ลงในกระดาษ A4 พรอม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ทั้งตกแตงใหสวยงาม เสร็จแลวนําสงครูเพื่อ
ตรวจใหคะแนน
จากภาพที่ 7.9 สัญลักษณ์ของนิวเคลียสสามารถบอกจ�านวนอนุภาคที่รวมกันอยู่ภายในได้
เช่น เรเดียม เขียนสัญลักษณ์ได้วา่ 22688Ra เมือ่ พิจารณาสัญลักษณ์แล้วสามารถกล่าวได้วา่ เรเดียมนี้
มีโปรตอน 88 ตัว หรือมีประจุไฟฟ้า +88e ผลรวมของจ�านวนโปรตอนและนิวตรอนเป็น 226 ขัน้ ประเมิน
นัน่ คือ มีจา� นวนนิวตรอนเท่ากับ 226 - 88 = 138 1. ประเมินความรูเ กีย่ วกับเรือ่ ง การเปลีย่ นสภาพ
ตัว ดังนั้น สามารถหาจ�านวนนิวตรอน (N) Con���t Q�e����n นิ ว เคลี ย ส โดยสั ง เกตพฤติ ก รรมการตอบ
ได้จากผลต่างระหว่างเลขมวลกับเลขอะตอม การศึ กษาการเปลี่ยนสภาพของนิวเคลียส คําถาม การทําแบบฝกหัด และการสรุปสาระ
นําไปสูการคนพบสิ่งใด
ดังสมการที่ 7.1 สําคัญ
2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา
N = A - Z (7.1)
ศาสตร จ ากการสื บ ค น ข อ มู ล และเขี ย นสรุ ป
องคความรูเ กีย่ วกับการเปลีย่ นสภาพนิวเคลียส
Core Concept ไดอยางถูกตอง
ให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญ เรื่อง 3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต
การเปลี่ยนสภาพของนิวเคลียส
พฤติ ก รรมความรั บ ผิ ด ชอบต อ งานที่ ไ ด รั บ
Topic มอบหมายและปฏิบัติงานตรงตามเวลาที่ครู
Questions กําหนด
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. ธาตุไฮโดรเจน ฮีเลียม และยูเรเนียม เขียนสัญลักษณ์ของนิวเคลียสได้เป็น 11H 42He และ 23892U
ตามล�าดับ จงหาจ�านวนโปรตอนและนิวตรอนของธาตุทั้งสาม
2. จากข้อ 1. จ�านวนนิวคลีออนและประจุไฟฟ้าของธาตุทั้งสามมีค่าเท่ากับเท่าใด
แนวตอบ Concept Question
ฟิสิกส์อะตอม 131
อนุภาคนิวตรอนทีอ่ ยูร วมกับอนุภาคโปรตอนใน
นิวเคลียส
แบบประเมินผลงานผังมโนทัศน์
ประเด็นที่ประเมิน
4
เกณฑ์ประเมินผังมโนทัศน์
3
ระดับคะแนน
2 1
ประจุไฟฟาเทากับ +1e
1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผังมโนทัศน์ของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
คะแนน 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ระดับคุณภาพ ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ลาดับที่ รายการประเมิน
T143
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ยังไมเฉลยวาถูกหรือผิด โปรตอน
นิวตรอน
4. ครูและนักเรียนสนทนาทบทวนความรูเ กีย่ วกับ 234
90Th
การคนพบกัมมันตภาพรังสีและการเปลี่ยน
สภาพนิวเคลียส 238
92U
A A - 4
ZX Z - 2Y + 42He (7.2)
A
Z X คือ นิวเคลียสตั้งต้น
Y คือ นิวเคลียสลูก
A - 4
Z - 2
แนวตอบ Key Question 4
2He คือ อนุภาคแอลฟา
อนุภาคแอลฟา อนุภาคบีตาบวก (โพซิตรอน) 132
อนุ ภ าคบี ต าลบ (อิ เ ล็ ก ตรอน) อนุ ภ าคนิ ว ทริ โ น
อนุภาคแอนตินิวทริโน และรังสีแกมมา
T144
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา (Explore)
เมือ่ เกิดการเปลีย่ นนิวเคลียสจากธาตุหนึง่ ไปเป็นนิวเคลียสอีกธาตุหนึง่ ด้วยกระบวนการ 1. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นทีน่ งั่ ขางๆ จากนัน้
สลายให้อนุภาคแอลฟา กระบวนการนี้อาจเรียกว่า การสลายแบบเกิดขึ้นเอง (spontaneous รวมกันสืบเสาะหาความรู เรื่อง การสลายให
decay) ซึง่ ในกระบวนการการสลายแบบเกิดขึน้ เองใด ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานและโมเมนตัม อนุภาคแอลฟา จากหนังสือเรียน และสืบคน
ของนิวเคลียสตั้งต้นจะเป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงานและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัมเสมอ ขอมูลเพิม่ เติมจากแหลงขอมูลสารสนเทศ โดย
2. การสลายให้อนุภาคบีตา (beta decay) เป็นรูปแบบหนึ่งของการสลายของธาตุ ใหนกั เรียนจดบันทึกเปนองคความรูล งในสมุด
กัมมันตรังสี ซึง่ นิวเคลียสของอะตอมจะปลดปล่อยอนุภาคบีตาออกมา โดยทีน่ วิ เคลียสของธาตุนนั้ บันทึกประจําตัว
จะมีเลขมวลคงเดิม และเลขอะตอมจะเปลี่ยนไป 1 เมื่อเลขอะตอมเปลี่ยนไป จึงหมายถึงจ�านวน 2. ครู ข ออาสาสมั ค รออกมาหน า ชั้ น เรี ย นเพื่ อ
โปรตอนที่เปลี่ยนไป โดยสามารถเขียนสมการแสดงการสลายให้อนุภาคบีตาได้ ดังนี้ อธิบายการสลายใหอนุภาคแอลฟาที่ตนเอง
การสลายให้อนุภาคบีตาลบ และคูของตนเองไดรวมกันศึกษาและคนควา
A A
ขอมูลมาแลว
ZX Z + 1Y + -10 e (7.3) 3. ครูใหนักเรียนเขียนสมการแสดงความสัมพันธ
การสลายให้อนุภาคบีตาบวก ของการสลายใหอนุภาคแอลฟา พรอมทั้งยก
A A ตัวอยางธาตุและเขียนสมการการสลายของ
ZX Z - 1Y + +10 e (7.4)
ธาตุที่ตนเองยกตัวอยาง โดยหามซํ้ากับเพื่อน
โดยสมการที่ 7.3-7.4 เป็นสมการที่อธิบายการสลายให้อนุภาคบีตาได้ไม่สมบูรณ์นัก ที่เปนคูของตนเอง
ใน พ.ศ. 2473 โวลฟกัง เพาลี (Wolfgang Pauli) ได้เสนอความคิดว่า จะต้องมีอนุภาค 4. ครู สุ ม นั ก เรี ย นออกมานํ า เสนอและเขี ย น
ทีส่ ามอยูใ่ นผลลัพธ์จากการสลายให้อนุภาคบีตา โดยในเวลาต่อมาเพาลี1 และเอนริโก แฟร์มี (Enrico สมการแสดงการสลายใหอนุภาคแอลฟาของ
Fermi) ได้เสนออนุภาคใหม่ ซึ่งแฟร์มีได้ตั้งชื่ออนุภาคนี้ว่า นินิวทริโน ((neutrino) เป็นอนุภาคที่มี นิวเคลียสของธาตุที่ตนเองเลือกบนกระดาน
ขนาดเล็ก ไม่มีมวล และมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า โดยจากการศึกษาและค้นพบ ดังกล่าวท�าให้ หนาชั้นเรียนประมาณ 5-10 คน แบบไมซํ้ากัน
สามารถเขียนสมการแสดงการสลายให้อนุภาคบีตารูปทั่วไปในรูปแบบที่ถูกต้องและสมบูรณ์ได้ 5. นักเรียนและครูรวมกันตรวจสอบคําตอบที่อยู
ดังนี้ บนกระดาน จากนั้นอภิปรายรวมกันเกี่ยวกับ
การสลายให้อนุภาคบีตาลบ จะมีอนุภาคแอนตินิวทริโนปล่อยออกมาด้วย การสลายใหอนุภาคแอลฟา โดยครูเนนยํ้าวา
ธาตุที่จะเกิดการสลายใหอนุภาคแอลฟา เลข
A A + -10 e + ν อะตอมของธาตุนั้นจะตองมากกวา 82
ZX Z + 1Y
(7.5)
A
6. นั ก เรี ย นแต ล ะคู ร ว มกั น สื บ เสาะหาความรู
Z X คือ นิวเคลียสตั้งต้น เรื่อง การสลายใหอนุภาคบีตา จากหนังสือ
Y คือ นิวเคลียสลูก
A
Z + 1
เรียน และสืบคนขอมูลเพิม่ เติมจากแหลงขอมูล
e คือ อนุภาคบีตาลบ (อิเล็กตรอน)
0
-1
ν คือ อนุภาคแอนตินิวทริโน
สารสนเทศ โดยให นั ก เรี ย นจดบั น ทึ ก เป น
องคความรูลงในสมุดบันทึกประจําตัว
ฟิสิกส์อะตอม 133
T145
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา (Explore)
7. ครูถามคําถามเพือ่ ตรวจสอบความเขาใจของ การสลายให้อนุภาคบีตาบวก จะมีอนุภาคนิวทริโนปล่อยออกมาด้วย
นักเรียนวา
• นิวทริโนคืออะไร AX A + +10 e + ν
Z - 1Y
Z
(7.6)
(แนวตอบ นิวทริโนเปนอนุภาคทีม่ ขี นาดเล็ก A
ไมมีมวล และมีสภาพเปนกลางทางไฟฟา) Z X คือ นิวเคลียสตั้งต้น
YA
Z - 1 คือ นิวเคลียสลูก 1
8. ครูใหนกั เรียนเขียนสมการแสดงความสัมพันธ 0
e
+1 คือ อนุภาคบีตาบวก (โพซิตรอน)
ของการสลายใหอนุภาคบีตา (ทัง้ อนุภาคบีตา ν คือ อนุภาคนิวทริโน
ลบและอนุภาคบีตาบวก) พรอมทัง้ ยกตัวอยาง
ธาตุ แ ละเขี ย นสมการการสลายของธาตุ ที่ ตัวอย่างการเปลี่ยนสภาพนิวเคลียสโดยการสลายให้
2 อนุภาคบีตา เช่น
ตนเองยกตัวอยาง โดยหามซํ้ากับเพื่อนที่เปน 1) คาร์บอน-14 สลายกลายเป็นไนโตรเจน-14 พร้อมกับปล่อยอนุภาคบีตาลบและอนุภาค
คูของตนเอง แอนตินิวทริโนออกมา ดังภาพที่ 7.11
9. ครู สุ ม นั ก เรี ย นออกมานํ า เสนอและเขี ย น 0
-1e
สมการแสดงการสลายใหอนุภาคบีตาลบและ
การสลายใหอนุภาคบีตาบวกของนิวเคลียส โปรตอน
นิวตรอน ν
ของธาตุที่ตนเองเลือกบนกระดานหนาชั้น
เรียนประมาณ 5-10 คน แบบไมซํ้ากัน 14
6C
โปรตอน ν
นิวตรอน
12
7N
12C
6
ภ
าพที ่ 7.12 แผนภาพแสดงการเปลีย่ นสภาพนิวเคลียสโดยการสลายให้อนุภาคบีตาบวก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
134
T146
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา (Explore)
3. การสลายให้รังสีแกมมา (gamma decay) โดยทั่วไปธาตุกัมมันตรังสีเมื่อเกิดการ 11. นั ก เรี ย นแต ล ะคู ร ว มกั น สื บ เสาะหาความรู
เปลี่ยนนิวเคลียสจากธาตุหนึ่งไปเป็นอีกธาตุหนึ่งโดยการสลายให้อนุภาคแอลฟา บีตาลบ และ เรื่อง การสลายใหรังสีแกมมา จากหนังสือ
บีตาบวก มักจะปล่อยรังสีแกมมาออกมาด้วย เนื่องจากบ่อยครั้งที่นิวเคลียสซึ่งเกิดจากการ เรียน และสืบคนขอมูลเพิ่มเติมจากแหลง
สลายของธาตุกัมมันตรังสีนั้น อาจค้างอยู่ในระดับพลังงานของสถานะกระตุ้น ซึ่งการเปลี่ยน ขอมูลสารสนเทศ โดยใหนักเรียนจดบันทึก
ระดับพลังงานเพื่อลงไปสู่ระดับพลังงานที่ต�่ากว่าที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ นิวเคลียสของธาตุ เปนองคความรูลงในสมุดบันทึกประจําตัว
กัมมันตรังสีจะเกิดการสลายครั้งที่สอง มีความเป็นไปได้ว่า ในบางครั้งอาจสลายลงไปสู่สถานะพื้น 12. ครูใหนกั เรียนเขียนสมการแสดงความสัมพันธ
โดยการปล่อยโฟตอนพลังงานสูงออกมา ซึง่ นิวเคลียสทีเ่ กิดจากการเปลีย่ นแปลงนีจ้ ะมีเลขมวลและ ของการสลายใหรังสีแกมมา พรอมทั้งยก
เลขอะตอมคงเดิม เช่น โบรอน-12 สลายกลายเป็นคาร์บอน-12 ดังภาพที่ 7.13 ตัวอยางธาตุและเขียนสมการการสลายของ
0
โปรตอน -1e ธาตุทตี่ นเองยกตัวอยาง โดยหามซํา้ กับเพือ่ น
นิวตรอน
γ ที่เปนคูของตนเอง
ν 12
6C
13. ครู สุ ม นั ก เรี ย นออกมานํ า เสนอและเขี ย น
12C*
สมการแสดงการสลายให รั ง สี แ กมมาของ
12B
5 6
นิวเคลียสของธาตุที่ตนเองเลือกบนกระดาน
หนาชั้นเรียน ประมาณ 5-10 คน แบบไมซํ้า
ภาพที่ 7.13 แผนภาพแสดงการเปลี่ยนสภาพนิวเคลียสโดยการสลายให้รังสีแกมมา กัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
14. นักเรียนและครูรว มกันตรวจสอบคําตอบทีอ่ ยู
การสลายครัง้ แรกจะได้นวิ เคลียสของคาร์บอน-12 ทีอ่ ยูใ่ นสถานะกระตุน้ พร้อมกับปล่อย บนกระดาน จากนั้นอภิปรายรวมกันเกี่ยวกับ
อนุภาคบีตาลบและอนุภาคแอนตินิวทริโนออกมา ดังสมการที่ 7.7 การสลายใหรังสีแกมมา
12 12
5B 6C* + -10 e + ν (7.7)
การสลายครั้งที่สองจะได้นิวเคลียสของคาร์บอน-12 ที่อยู่ในสถานะพื้น พร้อมกับปล่อย
รังสีแกมมาออกมา ดังสมการที่ 7.8
12 12
6C* 6C +γ (7.8)
สามารถเขียนสมการแสดงการสลายให้รังสีแกมมารูปทั่วไปได้ ดังสมการที่ 7.9
A A (7.9)
Z X* ZX +γ
A
Z X* คือ นิวเคลียสที่อยู่ในสถานะกระตุ้น
A
Z X คือ นิวเคลียสที่อยู่ในสถานะพื้น
γ คือ รังสีแกมมา
ฟิสิกส์อะตอม 135
T147
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้ (Explain)
15. ครูใหนักเรียนแบงกลุมกันอยางอิสระกลุมละ หากศึกษาการสลายของนิวเคลียสของยูเรเนียม-238 จะพบว่า นอกจากจะมีการสลาย
4-5 คน จากนั้นครูมอบหมายใหแตละกลุม กลายเป็นทอเรียม-234 พร้อมกับปล่อยอนุภาคแอลฟาออกมาแล้วนั้น ทอเรียมยังคงสลายต่อ
รวมกันพูดคุยอภิปรายผลการศึกษาเกี่ยวกับ ไปได้อีก โดยสามารถเขียนแผนภาพแสดงล�าดับการสลายของยูเรเนียม-238 ได้เป็นอนุกรม
การสลายใหอนุภาคแอลฟา อนุภาคบีตา และ ดังภาพที่ 7.14 โดยเวลาที่แสดงในภาพนั้นเป็นค่าครึ่งชีวิต (half life) หมายถึง ช่วงเวลาที่อะตอม
รังสีแกมมา แลวสรุปเปนความคิดเห็นและ ของธาตุกัมมันตรังสีลดจ�านวนลงเหลือครึ่งหนึ่งของจ�านวนเริ่มต้น
องคความรูของกลุมตนเอง
4.51 × 109 ปี
16. ครูแจกกระดาษฟลิปชารตพรอมปากกาเมจิก ยูเรเนียม-238
24.1 วัน
ใหนักเรียนกลุมละ 1 ชุด แลวมอบหมายให α
ทอเรียม-234
แตละกลุมรวมกันเขียนสรุปความรูเกี่ยวกับ β, γ
1 1.18 นาที
โพรแทกทิเนียม-234
การสลายให อ นุ ภ าคแอลฟา อนุ ภ าคบี ต า β, γ 2.48 × 105 ปี
ยูเรเนียม-234
และรังสีแกมมา ตามความคิดเห็นของกลุม α 8.0 × 104 ปี
พรอมทั้งตกแตงใหสวยงาม ทอเรียม-230
α, γ
17. เมื่อนักเรียนสรางสรรคผลงานเสร็จแลว ครู α, γ เรเดียม-226
ใหตัวแทนเก็บรวบรวมสงครู 2
α เรดอน-222
18. ครูใหนักเรียนศึกษาการสลายของนิวเคลียส 3 1,620 ปี
α พอโลเนียม-218 3.82 วัน
ของยูเรเนียม-238 จากหนังสือเรียน เพื่อเปน
ความรู เ พิ่ ม เติ ม ให เ ข า ใจหลั ก การของการ β, γ ตะกั่ว-214
3.05 นาที
สลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีมากขึ้น β, γ บิสมัท-214 26.8 นาที
20.7 นาที
พอโลเนียม-214 1.64 × 10-4 วินาที
α 20.4 ปี
ตะกั่ว-210
β, γ 5.0 วัน
บิสมัท-210
β พอโลเนียม-210 138.4 วัน
α, γ
ตะกั่ว-206
136
T148
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา (Explore)
จากการสลายของธาตุกัมมันตรังสีในอนุกรมยูเรเนียม-238 พบว่า ตะกั่ว-206 ซึ่งเป็นธาตุ 19. นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น ศึ ก ษาและอธิ บ าย
สุดท้ายในอนุกรมนี้เป็น ธาตุเสถียร (stable element) จึงไม่มีการสลายต่อไป และอะตอมของ เกี่ ย วกั บ การสลายของธาตุ กั ม มั น ตรั ง สี ใ น
พอโลเนียม-218 จะลดจ�านวนลงครึ่งหนึ่งในเวลาเพียง 3.05 นาที ในขณะที่อะตอมเรเดียม-226 อนุ ก รมยู เ รเนี ย ม โดยนั ก เรี ย นจะทราบว า
ต้องใช้เวลาถึง 1,620 ปี จึงจะลดจ�านวนลงครึ่งหนึ่ง จึงกล่าวได้ว่า ธาตุกัมมันตรังสีแต่ละชนิดจะ ธาตุ สุ ด ท า ยของอนุ ก รมจะเป น ธาตุ เ สถี ย ร
มีอัตราการสลายต่างกัน นอกจากอนุกรมการสลายของยูเรเนียม-238 แล้ว ยังมีอนุกรมของธาตุ นั่นหมายถึง ธาตุนั้นจะไมมีการสลายของ
กัมมันตรังสีในธรรมชาติอกี 3 อนุกรม ซึง่ มีธาตุเริม่ ต้น ธาตุสดุ ท้าย และเลขมวลของธาตุในอนุกรม นิวเคลียสตอไป โดยที่ธาตุกัมมันตรังสีแตละ
สามารถแสดงได้ ดังตารางที่ 7.3 ชนิดจะมีอัตราการสลายตางกัน ซึ่งนอกจาก
อนุกรมยูเรเนียมแลว ยังมีอนุกรมของธาตุ
ตารางที่ 7.3 : ขอมูลอนุกรมการสลายของธาตุกัมมันตรังสีในธรรมชาติ
กัมมันตรังสีในธรรมชาติอีก 3 อนุกรม ดังนั้น
อนุกรมการสลาย ธาตุเริ่มต้น ธาตุสุดท้าย
1 ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตารางที่ 7.3 ข อ มู ล
ม (Thorium series)
อนุกรมทอเรียม ( ทอเรียม-232 (232Th) ตะกั่ว-208 (208Pb) อนุ ก รมการสลายของธาตุ กั ม มั น ตรั ง สี ใ น
2
ม (Neptunium series)
อนุกรมเนปทูเนียม ( เนปทูเนียม-237 (237Np) บิสมัท-209 (209Bi) ธรรมชาติ จากหนังสือเรียน
3 20. ครูถามคําถามกับนักเรียนวา
ม (Actinium series)
อนุกรมแอกทิเนียม ( ยูเรเนียม-235 (235U) ตะกั่ว-207 (207Pb)
• อุณหภูมิและความดันในสภาพแวดลอม
ใน พ.ศ. 2445 รัทเทอร์ฟอร์ด และเฟรเดอริก ซอดดี (Frederick Soddy) ได้กล่าวถึงการ ทั่วๆ ไป สงผลตอการสลายของนิวเคลียส
สลายของนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีว่า “หลังจากการสลายด้วยการปล่อยอนุภาคแอลฟาหรือ กัมมันตรังสีหรือไม
บีตาจะได้ธาตุใหม่ทอี่ าจจะเป็นหรือไม่เป็นธาตุกมั มันตรังสีกไ็ ด้ และการสลายของธาตุกมั มันตรังสีนี้ (แนวตอบ ไมมีผล)
จะไม่ขนึ้ กับสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูม ิ ความดัน โดยทุก ๆ นิวเคลียสมีโอกาสสลายได้เท่า ๆ กัน 21. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาสมการแสดงความ
ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่บอกไม่ได้ว่านิวเคลียสใดจะสลายก่อนหรือหลัง ทั้งนี้อัตราการสลายจะขึ้นกับ สัมพันธและความหมายของอัตราการสลาย
จ�านวนนิวเคลียสเดิม” นอกจากนี้ อัตราการสลายของนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีขณะหนึ่งจะ
ของนิวเคลียสกัมมันตรังสี จากหนังสือเรียน
มีค่าแปรผันตรงกับจ�านวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีที่มีอยู่ในขณะนั้น สามารถเขียนแสดง
โดยครูใหนักเรียนจดบันทึกความรู หลักการ
ความสัมพันธ์ได้ ดังนี้
ΔN ∝ N และที่มาของสมการความสัมพันธเกี่ยวกับ
Δt อัตราการสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี
Δ N = - λN (7.10)
Δt
T149
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา (Explore)
22. ครูถามคําถามกับนักเรียนวา การที่ค่าคงตัวการสลาย (λ) ในสมการที่ 7.10 มีเครื่องหมายเป็นลบ หมายถึง การลดลง
• อัตราการลดลงของจํานวนนิวเคลียสของ ของจ�านวนนิวเคลียส ถ้าช่วงเวลา Δt มีค่าน้อยมาก (Δt 0) ซึ่งเมื่อใช้หลักการทางคณิตศาสตร์
ธาตุกัมมันตรังสีหรืออัตราการแผรังสีใน เขียนเป็นสมการได้ ดังนี้
ขณะหนึ่งเรียกวาอะไร lim ΔN = -λN
Δt → 0 Δt
(แนวตอบ กัมมันตภาพของธาตุกมั มันตรังสี) dN = -λN
23. ครูสุมนักเรียนใหยืนขึ้นแลวถามคําถามวา dt
• กัมมันตภาพของธาตุกัมมันตรังสีสามารถ - dN
เขียนแทนดวยสัญลักษณอะไร และสามารถ dt = λN (7.11)
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา (Explore)
N -λt 25. ครูใหนักเรียนศึกษาเครื่องมือวัดกัมมันตรังสี
N0 = e
แบบฟลมแบดจและไกเกอรเคาเตอร จาก
หนังสือเรียน จากนัน้ ครูมอบหมายใหนกั เรียน
N = N0e-λt (7.13)
ใชโทรศัพทมอื ถือในการสืบคนขอมูลเกีย่ วกับ
N คือ จ�านวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีที่ยังไม่สลายหรือที่มีอยู่ในขณะเวลาหนึ่ง
เครื่ อ งมื อ วั ด กั ม มั น ตภาพรั ง สี เ พิ่ ม เติ ม จาก
N0 คือ จ�านวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีที่เมื่อเริ่มสลายหรือเริ่มพิจารณา (
ารณา (t = 0) อินเทอรเน็ต แลวจดบันทึกและสรุปขอมูลที่
e คือ ค่าคงตัวทางคณิตศาสตร์ เป็นฐานของลอการิทมึ ธรรมชาติ มีคา่ ประมาณ 2.7182818 ไดลงในสมุดบันทึกประจําตัว
การสลาย (decay constant) มีหน่วยเป็น ต่อวินาที (s-1)
λ คือ ค่าคงตัวการสลาย ( 26. ครูสุมตัวแทนนักเรียน 2 คน ออกมาอธิบาย
t คือ เวลาของการสลายของนิวเคลียส มีหน่วยเป็น วินาที ((s) ลักษณะและหลักการทํางานของเครื่องมือ
วั ด กั ม มั น ตภาพรั ง สี แ บบฟ ล ม แบดจ แ ละ
การวัดกัมมันตภาพของธาตุกัมมันตรังสี สามารถวัดได้หลายรูปแบบ ตามลักษณะของ ไกเกอรเคาเตอรหนาชั้นเรียน
เครื่องมือวัด เช่น
1) ฟิลม์ แบดจ์ (film badge) เป็นเครือ่ งมือวัดชนิดหนึง่ ทีน่ ยิ ม
ใช้มาก มีราคาไม่แพง ดังภาพที่ 7.15 (ก) มีวิธีการวัดโดยใช้ฟิล์มที่
ไวต่อรังสีและท�าให้แผ่นฟิล์มมีสีเข้มขึ้น นิยมใช้กับนักวิทยาศาสตร์
หรือช่างเทคนิคที่ท�างานเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี มีหลักการ คือ
กัมมันตภาพรังสีจะไปกระตุน้ เงินเฮไลด์ (silver
halide) ท�าให้เกิดปฏิกริ ยิ ารีดกั ชันเป็นเงิน (Ag)
แล้วปรากฏเป็นสีด�าบนฟิล์มซึ่งสามารถเทียบ
ปริมาณกัมมันตภาพได้จากความเข้มของสีด�า
(ก)
2) ไกเกอร์เคาเตอร์ (geiger counter)
เป็นเครื่องวัดรังสีชนิดหนึ่ง ดังภาพที่ 7.15 (ข)
ซึ่ ง ใช้ ห ลั ก การตรวจวั ด ไอออนที่ เ กิ ด จาก
การแตกตัวของแกสเฉื่อยหรือแกสอาร์กอน
เนือ่ งจากมีอนุภาคของการสลายของนิวเคลียส
ของธาตุกมั มันตรังสีเคลือ่ นทีผ่ า่ น จากนัน้ แปลง
ปริมาณไอออนให้เป็นปริมาณทางไฟฟ้า โดย
อัตราการแตกตัวเป็นไอออนทีว่ ดั ได้ขณะหนึง่ จะ
แปรผันตรงกับกัมมันตภาพของธาตุในขณะนัน้ (ข)
ภาพที่ 7.15 เครื่องมือวัดกัมมันตภาพ (ก) ฟิล์มแบดจ์
(ข) ไกเกอร์เคาเตอร์
ที่มา : คลังภาพ อจท. ฟิสิกส์อะตอม 139
T151
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา (Explore)
27. ครูใหนกั เรียนปดหนังสือเรียน จากนัน้ ครูอา น ตัวอย่างที่ 7.1
คําถามจากตัวอยางที่ 7.1 จากหนังสือเรียนให ธาตุทอเรียม-232 มีคา่ คงตัวการสลายเท่ากับ 1.6 × 10-18 ต่อวินาที หากธาตุทอเรียมมีจา� นวน 464 กรัม
นักเรียนจดบันทึกลงในสมุดบันทึกประจําตัว กัมมันตภาพของธาตุทอเรียม-232 เท่ากับเท่าใด
เสร็จแลวครูใหเวลานักเรียนแสดงวิธีการแก
วิธีท�า ค�านวณหาจ�านวนนิวเคลียสของธาตุทอเรียม-232 จ�านวน 464 กรัม
โจทยปญหาเพื่อหาคําตอบ มวล (g) × N
จากสมการ จ�านวนอะตอม (N) = มวลอะตอม (M)
28. ครูสุมตัวแทนนักเรียนออกมานําเสนอและ A
N0
2
N0
N = N0e-λt
4
N0
8
0 เวลา (t)
T1 2T 1 3T 1
2 2 2
ภ
าพที่ 7.16 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างจ�านวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีที่เหลืออยู่ ณ เวลาใด ๆ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
140
ขอสอบเนน การคิด
ถาธาตุ X มีจํานวนนิวเคลียสเปน 5 เทาของธาตุ Y และมีกัมมันตภาพเปน 2 เทาของธาตุ Y อยากทราบวา ครึ่งชีวิตของธาตุ X จะเปนกี่เทาของธาตุ Y
1. 1.5 เทา 2. 2 เทา 3. 2.5 เทา 4. 3 เทา 5. 3.5 เทา
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ A = λN นําสมการที่ (2) ไปแทนลงในสมการที่ (1)
AX λXNX 2 = 5TY
จะไดวา AY = λYNY จะไดวา 1 TX
2AY λX(5NY) 5T
AY = λYNY TX = 2Y
2 = 5λX (1) Tx = 2.5TY
1 λY
นั่นคือ ครึ่งชีวิตของธาตุ X จะเปน 2.5 เทาของธาตุ Y ดังนั้น
กําหนดให ครึ่งชีวิตของธาตุ X เปน TX และครึ่งชีวิตของธาตุ Y เปน TY
ตอบขอ 3.)
โดยที่ T 1 = ln 2 = 0.693
2 λ λ
λX T
จะไดวา λY
= TY (2)
X
T152
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา (Explore)
หากพิจารณากราฟแสดงความสัมพันธ์ ดังภาพที่ 7.16 จะได้ว่า ตอนเริ่มต้นมีจ�านวน 30. ครูใหนกั เรียนศึกษากราฟแสดงความสัมพันธ
นิวเคลียสกัมมันตรังสีอยู่ N0 เมื่อเวลาผ่านไปเท่ากับครึ่งชีวิต (T1) จ�านวนนิวเคลียสกัมมันตรังสี ของจํานวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีที่
N 2
ยังเหลืออยู ณ เวลาใดๆ จากหนังสือเรียน
จะลดลงเหลือเพียง 20 และถ้าให้เวลาผ่านไปอีกครึง่ ชีวติ นัน่ คือ เวลาผ่านไป 2T1 จากตอนเริม่ ต้น
N 2 31. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจดบั น ทึ ก การแก ส มการจน
จ�านวนนิวเคลียสกัมมันตรังสีก็จะลดลงไปอีกครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะเหลือ 40 และจ�านวนนิวเคลียส ไดเปนสมการแสดงความสัมพันธครึ่งชีวิต
กัมมันตรังสีจะลดลงเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป ตามล�าดับ กล่าวได้ว่า ถ้าเวลาผ่านไป nT1 ของธาตุกัมมันตรังสี ตลอดไปจนถึงสมการ
2
จากตอนเริ่มต้น จ�านวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสี (N) จะเหลืออยู่เท่ากับ แสดงความสัมพันธของกัมมันตภาพของธาตุ
N กัมมันตรังสีขณะหนึง่ ทีเ่ วลาใดๆ จากหนังสือ
N = n0 (7.14)
2 เรียน
จากสมการที่ 7.14 หากพิจารณาการสลายของธาตุกัมมันตรังสีที่เวลา t = T1 และขณะนั้น
N 2
มีจ�านวนนิวเคลียสกัมมันตรังสีอยู่ 20 เมื่อน�าไปแทนลงในสมการที่ 7.13 จะได้ว่า
N0 -λT
2 = N0e 12
N0 1 -λT
2 (N ) = e 12
0
eλT 1
2 = 2
ln(eλT 12 ) = ln 2
จากสมบัติของลอการิทึมธรรมชาติ (natural logarithm) ln (e A) = A จะได้ว่า
λT 1 = ln 2
2
T1 = lnλ2 (7.15)
2
T 12 คือ ครึ่งชีวิตของธาตุกัมมันตรังสี
ln 2 คือ ลอการิทึม 2 ฐาน
2 ฐาน e มีค่าเท่ากับ 0.693
λ การสลาย (decay constant) มีหน่วยเป็น ต่อวินาที (s-1)
คือ ค่าคงตัวการสลาย (
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา (Explore)
32. ครูใหนักเรียนรวมกันตอบคําถาม Concept อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบตั กิ ารหาจ�านวนนิวเคลียสโดยตรงจะท�าได้ยาก จึงท�าให้การค�านวณ
Question จากหนังสือเรียน โดยมอบหมาย โดยใช้สมการที่ 7.13 (N = N0e-λt) โดยตรงท�าได้ยากเช่นกัน ดังนั้น หากน�าสมการที่ 7.13 แทน
ใหแตละคนเขียนคําตอบหรือความคิดเห็น ลงในสมการที่ 7.12 สามารถเขียนความสัมพันธ์ใหม่ได้ ดังสมการที่ 7.16
ของตนเองลงในสมุดบันทึกประจําตัว A = λN0e-λt (7.16)
33. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 7.2 จาก
หนั ง สื อ เรี ย น โดยครู ใ ห นั ก เรี ย นจดบั น ทึ ก เมือ่ ก�าหนดให้ A0 เป็นกัมมันตภาพของธาตุกมั มันตรังสีขณะเริม่ ต้นของการสลายตัว จะได้วา่
ลงในสมุดบันทึกประจําตัว A0 = λN0 ดังนั้น สามารถเขียนสมการความสัมพันธ์ของกัมมันตภาพได้ ดังนี้
A = A0e-λt (7.17)
A คือ กัมมันตภาพของธาตุกัมมันตรังสีขณะหนึ่งที่เวลา
วลา t ใด ๆ นับจากเริ่มต้น
A0 คือ กัมมันตภาพของธาตุกัมมันตรังสีขณะเริ่มต้นสลายตัว
การสลาย (decay constant) มีหน่วยเป็น ต่อวินาที (s-1)
λ คือ ค่าคงตัวการสลาย (
t คือ เวลาของการสลายของนิวเคลียส มีหน่วยเป็น วินาที ((s)
m = m0e-λt (7.18)
แนวตอบ Concept Question
ในการคํานวณและอธิบายการสลายของ
m คือ มวลของธาตุกัมมันตรังสีขณะหนึ่งที่เวลา
วลา t ใด ๆ นับจากเริ่มต้น
m0 คือ มวลของธาตุกมั มันตรังสีขณะเริม่ ต้นสลายตัว ซึง่ ขณะนัน้ จ�านวนนิวเคลียสเท่ากับ N0
นิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสี สมการที่ใชจะ การสลาย (decay constant) มีหน่วยเป็น ต่อวินาที (s-1)
λ คือ ค่าคงตัวการสลาย (
เกี่ยวของกับปริมาณ ดังตอไปนี้ t คือ เวลาของการสลายของนิวเคลียส มีหน่วยเป็น วินาที ((s)
- ทราบจํานวนนิวเคลียส N = N0e-λt 142
- ทราบกัมมันตภาพ A = A0e-λt
- ทราบมวล m = m0e-λt
ขอสอบเนน การคิด
สารกัมมันตรังสี A ในตอนเริ่มตนกอนการสลายมีกัมมันตภาพ 1.92 คูรี ขณะที่สารกัมมันตรังสี
B มีกัมมันตภาพ 240 มิลลิคูรี เมื่อเวลาผานไป 36 ชั่วโมง สารกัมมันตรังสีทั้งสองจะเหลือคา
กัมมันตภาพเทากันจํานวน 30 มิลลิคูรี จงหาอัตราสวนของคาคงตัวการสลายของสาร A ตอสาร B
(แนวตอบ จากสมการ A = A0e-λt
จะไดวา A -λt
A = e 0
ln ( AA ) = -λt
0
1 A
λ = - ln ( )
t A0
-3
พิจารณาสาร A; λA = - 361 h ln (30 1.92 × 10 Ci
Ci ) = 0.116 h
-1
-3
พิจารณาสาร B; λB = - 361 h ln ( 30 × 10 -3 Ci ) = 0.0578 h-1
240 × 10 Ci
= 2
-1
จะไดวา
λA
= 0.116 h
λB 0.0578 h-1 1
ดังนั้น อัตราสวนของคาคงตัวการสลายของสาร A ตอสาร B เทากับ 2 ตอ 1)
T154
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา (Explore)
ตัวอย่างที่ 7.2 34. ครูแบงนักเรียนออกเปนกลุม เทาๆ กัน กลุม ละ
ไอโซโทปไอโอดีน-131 เป็นสารกัมมันตรังสี มีครึง่ ชีวติ 8.0252 วัน ถ้าค่ากัมมันตภาพเริม่ ต้นของตัวอย่าง ประมาณ 6 คน โดยคละความสามารถของ
หนึ่งเป็น 64.5 มิลลิคูรี มวลของไอโอดีน-131 เท่ากับเท่าใด นักเรียนตามผลสัมฤทธิใ์ หอยูใ นกลุม เดียวกัน
เพื่ อ ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม สถานการณ
วิธีท�า จากโจทย์ ครึ่งชีวิตของไอโซโทปไอโอดีน-131 เท่ากับ
T 1 = (8.0252 d)(24 h/d)(60 min/h)(60 s/min) จําลองการสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี
2
T 1 = 6.93 × 105 s จากหนังสือเรียน โดยใหนักเรียนแตละกลุม
ค�านวณหาค่าคงตัวการสลาย
2
กําหนดใหสมาชิกแตละคนมีบทบาทหนาที่
จากสมการที่ 7.15 T 1 = ln 2 ของตนเอง เชน
2 λ
λ = ln 2 • สมาชิกคนที่ 1 : เตรียมวัสดุอุปกรณ
T1
2 • สมาชิกคนที่ 2 : อานและศึกษาวิธีปฏิบัติ
= 0.693 = 1.0 × 10-6 s-1
λ
6.93 × 105 s กิจกรรม แลวนํามาอธิบายสมาชิกในกลุม
ค�านวณหาจ�านวนนิวเคลียสที่สลายไป • สมาชิกคนที่ 3 : บันทึกผลการปฏิบัติ
จากสมการที่ 7.12 A = λN
A กิจกรรม
จะได้ว่า N0 = λ0
-3 10 Bq/Ci)
• สมาชิกคนที่ 4-5 : คนควาเพิ่มเติมและหา
N0 = (64.5 × 10 Ci)(3.7 -6× 10 -1 แหลงขอมูลอางอิงเพือ่ สนับสนุนการปฏิบตั ิ
1.0 × 10 s
N0 = 2.386 × 1015 atoms กิจกรรม
ค�านวณหามวลอะตอม (g) ของไอโอดีน-131 • สมาชิกคนที่ 6 : นําเสนอผลการปฏิบัติ
N g
จากสมการ NA = M กิจกรรม
จะได้ว่า
N0 g 35. ครูชี้แจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน
NA = M
g
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกตอง
2.386 × 1015 atoms =
6.02 × 1023 atoms/mol 131 g/mol 36. ครูใหความรูเพิ่มเติมหรือเทคนิคเกี่ยวกับการ
15 atoms
g = ( 2.386 × 10 ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม
6.02 × 1023 atoms/mol)
(131 g/mol)
ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน
g = 5.19 × 10-7 g
ดังนั้น มวลของไอโอดีน-131 ของตัวอย่างนี้เท่ากับ 5.19 × 10-7 กรัม 37. นักเรียนแตละกลุม รวมกันพูดคุยวิเคราะหผล
การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน
ตามปกติการสลายของธาตุกมั มันตรังสีนนั้ การหาโอกาสทีน่ วิ เคลียสจะสลายเป็นไปตามหลัก
การทางสถิต ิ โดยถ้าพิจารณาการทอดลูกบาศก์หรือลูกเต๋า โอกาสทีล่ กู บาศก์หรือลูกเต๋าจะหงายหน้าใด
หน้าหนึ่งขึ้นก็เป็นไปตามหลักการทางสถิติเช่นกัน สามารถศึกษาได้จากกิจกรรม สถานการณ์
จ�าลองการสลายของธาตุกัมมันตรังสี
ฟิสิกส์อะตอม 143
ขอสอบเนน การคิด
ไอโซโทปกัมมันตรังสีชนิดหนึ่งมีคาครึ่งชีวิต 20 นาที อยากทราบวา จะตองใชเวลากี่นาที จํานวนนิวเคลียสของไอโซโทปชนิดนี้จะมีจํานวนลดลง
เหลือเพียง 1 ใน 10 ของจํานวนเริ่มตน
1. 66.45 นาที 2. 68.20 นาที 3. 70.66 นาที 4. 72.55 นาที 5. 74.88 นาที
(วิเคราะหคําตอบ คํานวณหาคาคงตัวการสลาย 1 -λt
10 = e
จากสมการ T 1 = ln 2 ln (101 ) = -λt
2 λ
จะไดวา λ = lnT 2 ln (101 ) = -(34.65 × 10-3 min-1)t
1
2
-2.3026 = -(34.65 × 10-3 min-1)t
λ = 200.693
min
t = -2.3026
λ = 34.65 × 10-3 min-1 -34.65 × 10-3 min-1
คํานวณหาเวลาการสลาย t = 66.45 min
จากสมการ N = N0e-λt นั่นคือ จะตองใชเวลา 66.45 นาที จํานวนนิวเคลียสของไอโซโทปชนิดนี้
N0 -λt จะมีจํานวนลดลงเหลือเพียง 1 ใน 10 ของจํานวนเริ่มตน ดังนั้น ตอบขอ 1.)
จะไดวา 10 = N0e
T155
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา (Explore)
38. ครูเนนยํา้ ใหนกั เรียนตอบคําถามทายกิจกรรม
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การสังเกต
สถานการณ์จําลองการสลายของ
จากหนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว นิวเคลียสกัมมันตรังสี
• การใช้จ�านวน
• การตีความหมายข้อมูลและ
เพื่อนําสงครูเปนการตรวจสอบความเขาใจ ลงข้อสรุป
จากการปฏิบัติกิจกรรม วัสดุอปุ กรณ์ จิตวิทยาศาสตร์
• ความซื่อสัตย์
39. ในระหว า งที่ นั ก เรี ย นปฏิ บั ติ กิ จ กรรม ครู 1. กล่องพลาสติก
• ความมีเหตุผล
เดินสังเกตการณและคอยใหคําปรึกษาเมื่อ 2. ลูกบาศก์ 6 หน้า ที่แต้มสีไว้เพียงหน้าเดียวจ�านวน 40 ลูก
นักเรียนเกิดปญหาหรือมีขอสงสัยเกี่ยวกับ
กิจกรรม วิธปี ฏิบตั ิ
อธิบายความรู (Explain) ตอนที่ 1
40. ครูชกั ชวนนักเรียนสนทนาเกีย่ วกับการปฏิบตั ิ 1. นา� ลูกบาศก์ทงั้ หมดใส่กล่องพลาสติก แล้วทอดลงพืน้ ราบพร้อม ๆ กัน
กิจกรรมวา เกิดปญหาหรือมีอุปสรรคอะไร 2. คัดลูกบาศก์โดยหยิบลูกบาศก์ที่หงายหน้าที่แต้มสีขึ้นออก ดังภาพที่
7.17 จากนั้นนับจ�านวนลูกบาศก์ที่เหลือ แล้วบันทึกจ�านวนลูกเตาที่
บางในระหวางปฏิบัติตามขั้นตอนการปฏิบัติ นับได้
โดยเป น การแลกเปลี่ ย นและมี ป ฏิ สั ม พั น ธ 3. น�าลูกบาศก์ที่เหลือมาท�าการทดลองซ�้าต่อไปเรื่อย ๆ โดยการหยิบ ภาพที่ 7.17 หยิบลูกบาศก์ที่
ซึ่งกันและกัน ลูกบาศก์ทหี่ งายหน้าทีแ่ ต้มสีขนึ้ ออกทุกครัง้ พร้อมกับบันทึกจ�านวน หงายหน้าที่แต้มสีขึ้นออก
41. ครูใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมาหนาชั้น ลูกบาศก์ทเี่ หลือในแต่ละครัง้ จนกระทัง่ เหลือลูกบาศก์ทจี่ ะทอดเพียง ที่มา : คลังภาพ อจท.
เรียน เพื่อนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม 2-3 ลูก หรือไม่เหลือเลย
42. ครู สุ ม นั ก เรี ย นเพื่ อ ถามคํ า ถามที่ เ กี่ ย วข อ ง 4. น�าข้อมูลที่ได้มาเขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างจ�านวนครั้งที่ทอดกับจ�านวนลูกบาศก์ที่เหลือ โดย
ให้จ�านวนครั้งที่ทอดเป็นตัวแปรต้น (แกน X) และให้จ�านวนลูกบาศก์ที่เหลือเป็นตัวแปรตาม (แกน Y)
กับกิจกรรม เพื่อตรวจสอบความเขาใจหลัง
ปฏิบัติกิจกรรม ตอนที่ 2
43. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายผลท า ย 1. น�าลูกบาศก์ทั้งหมด 40 ลูก มาแต้มสีเพิ่มอีกลูกละ 1 หน้า โดยแต้มหน้าที่อยู่ฝงตรงข้ามกับหน้าเดิมที่แต้ม
กิจกรรมและสรุปความรูรวมกัน ไว้แล้ว ท�าให้ลูกบาศก์แต่ละลูกจะมีหน้าที่แต้มสี 2 หน้า
44. ครูใหนักเรียนศึกษาหาความรูเพิ่มเติมจาก 2. น�าลูกบาศก์ทั้งหมดใส่กล่องพลาสติก แล้วท�าการทดลองซ�้า เช่นเดียวกับตอนที่ 1
3. น�าข้อมูลที่ได้มาเขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างจ�านวนครั้งที่ทอดกับจ�านวนลูกบาศก์ที่เหลือ เช่น
การสแกน QR Code เรื่อง สถานการณ
เดียวกับตอนที่ 1
จําลองการสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี
จากหนังสือเรียน คําถามทายกิจกรรม
?
1. กราฟที่ได้จากตอนที่ 1 และ 2 มีลักษณะคล้ายกับกราฟแสดงการลดจ�านวนของนิวเคลียสกัมมันตรังสี
เมื่อเวลาผ่านไปหรือไม่ อย่างไร
2. จ�านวนครั้งที่ทอดลูกบาศก์เหลืออยู่ 20 ลูก 10 ลูก และ 5 ลูก ในกิจกรรมทั้ง 2 ตอน มีค่าเท่าใดบ้าง
3. ค่าคงตัวการสลายจากกิจกรรมทั้ง 2 ตอน มีค่าเท่าใด
144
T156
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้ (Explain)
ภ
าพที ่ 7.18 แผนภาพแสดงการเปรียบเทียบระหว่างการทอดลูกบาศก์กบ
ั การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี
ที่มา : คลังภาพ อจท.
บันทึก กิจกรรม
ตัวอยาง ตารางบันทึกกิจกรรม ตอนที่ 2 จากขอมูลที่ไดจากตอนที่ 1 และตอนที่ 2 สามารถ
จํานวน จํานวนลูกบาศกที่เหลือ จํานวน จํานวนลูกบาศกที่เหลือ เขียนกราฟแสดงความสัมพันธระหวางจํานวนครั้งที่ทอดกับ
ครั้งที่ ของการทอดครั้งที่ คาเฉลี่ย ครั้งที่ ของการทอดครั้งที่ คาเฉลี่ย จํานวนลูกบาศกที่เหลือได ดังนี้
ทอด 1 2 3 ทอด 1 2 3 จํานวนลูกบาศกที่เหลือ
0 40 40 40 40.00 8 3 2 3 2.66 40
1 29 31 28 29.33 9 2 2 3 2.33 35
ลูกบาศกแตมสี 1 หนา
2 20 22 18 20.00 10 1 1 2 1.33 30
3 14 16 16 15.33 11 1 1 1 1.00 25
4 9 11 10 10.00 20 ลูกบาศกแตมสี 2 หนา
5 9 8 8 8.33 15
10
6 5 4 6 5.00
5
7 4 4 5 4.33
0 จํานวนครั้งที่ทอด
2 4 6 8 10 12 14 16
T157
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ลงข อ สรุ ป โดยให
นักเรียนอธิบายสรุปความรูเกี่ยวกับการสลาย ตัวอย่างที่ 7.3
ของนิวเคลียสกัมมันตรังสีที่ไดศึกษามาแลว ลูกเตาจ�านวน 100 ลูก น�ามาใส่กล่องรวมกัน จากนัน้ ทอดลูกเตาลงบนพืน้ พร้อม ๆ กัน โดยคิดลูกทีห่ งาย
ทั้งเนื้อหาและตัวอยางจากหนังสือเรียน และ หน้าที่มีแต้มเท่ากับ 1 ออก อยากทราบว่า ต้องท�าซ�้ากี่ครั้งจึงจะเหลือลูกเตาจ�านวน 25 ลูก
กิจกรรมทีน่ อกเหนือจากหนังสือเรียน พรอมทัง้ วิธีท�า ค�านวณหาโอกาสที่ลูกเต๋าจะหงายหน้าที่มีแต้มเท่ากับ 1 ขึ้น
ยกตั ว อย า งสถานการณ ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น ที่ จากสมการความน่าจะเป็น P(E) = n(E) n(S)
เกี่ยวของเพื่อทดสอบความเขาใจ
λ = จ�านวนหน้ามีแต้มเท่ากับ 1 = 1
2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได จ�านวนหน้าทั้งหมด 6
ศึกษาผานมาแลวในสวนที่ยังไมเขาใจหรือ ค�านวณหาครึ่งชีวิตของการทอดลูกเต๋า
จากสมการที่ 7.15 T 1 = ln 2
สงสัย จากนั้นครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 2 λ
โดยทีค่ รูอาจจะใช PowerPoint เรือ่ ง การสลาย T 1 = 0.693 1
2
ของนิวเคลียสกัมมันตรังสี มาเปดใหนักเรียน 6
T 1 = (0.693) ( 61 ) = 4 ครั้ง
ดูประกอบเพื่อชวยในการอธิบายใหเขาใจมาก 2
N
ยิ่งขึ้น จากสมการที่ 7.14 N = n0
2
n N0 100
2 = N = 25
ขัน้ ประเมิน 2n = 4 = 22
ตรวจสอบผล (Evaluate) n = 2
1. ประเมินความรูเกี่ยวกับเรื่อง การสลายของ จากสมการ t = nT 1
2
นิวเคลียสกัมมันตรังสี โดยสังเกตพฤติกรรม t = (2)(4 ครั้ง) = 8 ครั้ง
การตอบคําถาม การทําแบบฝกหัด และการ ดังนั้น ต้องทอดลูกเต๋าและคัดออกซ�้า 8 ครั้ง จึงจะท�าให้ลูกเต๋าลดลงจาก 100 ลูก เหลือเพียง 25 ลูก
สรุปสาระสําคัญ
2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา Core Concept
ศาสตรจากการคํานวณหาปริมาณที่เกี่ยวของ ให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญ เรื่อง
การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี
กับการสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี และ Topic
Questions
จากการปฏิ บั ติ กิ จ กรรมสถานการณ จํ า ลอง
การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีไดอยาง ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. นักวิทยาศาสตร์ท�าการทดลองในห้องปฏิบัติการหนึ่ง โดยใช้ฟิล์มแบดจ์วัดปริมาณของรังสีเรดอน-222
ถูกตองและตามลําดับขั้นตอน ได้ 15 หน่วย หากนักวิทยาศาสตร์ทา� การเปลีย่ นเครือ่ งมือวัดไปใช้หลอดไกเกอร์ชนิดหุม้ ด้วยอะลูมเิ นียม
3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต จะสามารถวัดปริมาณรังสีที่แผ่ออกมาจากเรดอน-222 ได้เท่ากับเท่าใด
พฤติ ก รรมความรั บ ผิ ด ชอบต อ งานที่ ไ ด รั บ 2. ถ้าปัจจุบันโลกมีอายุ 4.5 × 109 ปี ปริมาณของทอเรียม-232 ที่เหลืออยู่บนโลก ณ ปัจจุบันมีค่าเท่าใด
มอบหมาย และปฏิบัติงานตรงตามเวลาที่ครู โดยที่ทอเรียม-232 มีครึ่งชีวิตเท่ากับ 1.41 × 1010 ปี
กําหนด 146
n = 0.32
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
ระบบ
3 ความคิดสร้างสรรค์
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
4 ความเป็นระเบียบ
2
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–16 ดีมาก
11–13 ดี
100%
N = (0.32) = 100%
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
2 1.25 = 80%
ดังนัน้ ปริมาณของทอเรียม-232 ทีเ่ หลืออยูบ นโลก ณ ปจจุบนั จะเหลือ
T158 รอยละ 80 ของปริมาณเริ่มตนกอนการสลาย
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T159
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครูถามคําถามกระตุน ความคิดของนักเรียนใน แมสสเปกโทรมิเตอร์มีส่วนประกอบที่ส�าคัญซึ่งสามารถอธิบายได้ ดังภาพที่ 7.20
ขณะที่กําลังศึกษาหาความรูวา
• เพราะเหตุใดจึงตองใชแมสสเปกโทรมิเตอร (ก)
ในการวิเคราะหไอโซโทปของธาตุ m, q
(แนวตอบ ไอโซโทปมีเลขอะตอมเทากันแต V
v
มีเลขมวลตางกัน ซึ่งตางกันนอยมากๆ จึง 1
จําเปนตองใชเครื่องมือที่สามารถวัดมวลได
ละเอียดมาก)
2
3. ครูใหนักเรียนแบงกลุมกันอยางอิสระ กลุมละ (ข)
ประมาณ 5-6 คน จากนั้นครูแจกกระดาษ
ฟลิปชารตใหนักเรียนกลุมละ 1 แผน แลว FE = qE FE FB FB = qvB
3
มอบหมายให แ ต ล ะกลุ ม สร า งสรรค ผ ลงาน
สรุปความรูเกี่ยวกับไอโซโทปและแมสสเปก
โทรมิเตอร พรอมทัง้ ตกแตงใหสวยงาม เสร็จแลว ภาพที่ 7.20 ส่วนประกอบที่ส�าคัญของ
แมสสเปกโทรมิเตอร์
แต ล ะกลุ ม นํ า ผลงานไปติ ด ที่ ผ นั ง โดยรอบ ความเร็ว ความเร็ว ที่มา : คลังภาพ อจท.
บริเวณหองเรียน น้อยเกินไป มากเกินไป
ความเร็วพอเหมาะ
4. ครูใหแตละกลุมสงตัวแทนไปนําเสนอผลงาน
ของตนเองตามตําแหนงที่ติดผลงานไว
5. นักเรียนและครูอภิปรายรวมกันเกี่ยวกับหลัก
1 ส่วนเร่งอนุภาค มีหน้าที่ท�าให้ไอโซโทปที่อยู่ในสภาพแกสกลายสภาพเป็นอนุภาคที่มี
ประจุไฟฟ้า จากนั้นอนุภาคจะถูกเร่งให้มีความเร็วสูงขึ้นโดยใช้สนามไฟฟ้าให้วิ่งผ่านช่องเข้าไปยัง
การทํางานของแมสสเปกโทรมิเตอรแตละสวน
ส่วนคัดเลือกความเร็ว กล่าวได้ว่า พลังงานศักย์ของประจุหรืองานที่ท�าให้ประจุเคลื่อนที่จะมีค่า
เท่ากับพลังงานจลน์ของประจุ ดังภาพที่ 7.20 (ก) จะได้ว่า
Ep = Ek
qV = 12 mv2
v = 2qV
m (7.18)
T160
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ถ้าอนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้าทีว่ งิ่ ผ่านเข้ามาในสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กด้วยความเร็ว 6. ครูใชคําถามใหนักเรียนอธิบายสิ่งที่นักเรียน
ที่พอเหมาะ ขนาดของแรงเนื่องจากสนามทั้งสองจะมีค่าเท่ากันและมีทิศตรงข้ามกัน จึงท�าให้ ไดเรียนรูเกี่ยวกับเรื่อง ไอโซโทป โดยครูสุม
เกิดสมดุลของแรง 2 แรง ท�าให้อนุภาคนั้นเคลื่อนที่ต่อไปได้โดยไม่มีการเปลี่ยนแนวการเคลื่อนที่ นักเรียนจํานวนหนึ่งออกมาหนาชั้นเรียนเพื่อ
และสามารถวิง่ ตรงผ่านไปยังช่องเปิดอีกช่องหนึง่ เพือ่ ทีจ่ ะผ่านไปยังส่วนต่อไปได้ ส�าหรับอนุภาคทีม่ ี อธิบายผลการศึกษา
ประจุไฟฟ้าที่มีความเร็วต่างไปจากความเร็วที่พอเหมาะ แรงเนื่องจากสนามทั้งสองจะท�าให้แนว 7. เมื่อนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความ
การเคลื่อนที่เปลี่ยนไป จึงไม่สามารถผ่านไปยังช่องเปิดเพื่อไปยังส่วนถัดไปได้ เขาใจของนักเรียนแลว ครูอาจยกตัวอยาง
ถ้าก�าหนดให้อนุภาคมีประจุไฟฟ้า +q เคลื่อนที่ผ่านช่องเปิดที่หนึ่งผ่านเข้าไปยังบริเวณ หรือปรับเปลี่ยนสถานการณจากตัวอยางที่
ที่มีสนามไฟฟ้าที่มีขนาด E และสนามแม่เหล็กที่มีขนาด B มีอัตราเร็วเท่ากับ v จะได้ว่า ไดศึกษา แลวใหนักเรียนอธิบายสิ่งที่เหมือน
FB = FE และสิ่งที่แตกตาง
qvB = qE ลงมือทํา (Doing)
เมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเบนแนวการเคลื่อนที่เป็นส่วนโค้งวงกลมแล้วไปกระทบ
แผ่นฟิล์ม จะท�าให้แผ่นฟิล์มปรากฏรอยด�า ถ้าก�าหนดให้ R เป็นรัศมีความโค้งของวงกลม m เป็น
มวลของอนุภาค และ B′ เป็นขนาดของสนามแม่เหล็กบริเวณส่วนวิเคราะห์นี้ จะได้ว่า
ฟิสิกส์อะตอม 149
T161
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ลงข อ สรุ ป โดยให
นักเรียนอธิบายสรุปความรูเกี่ยวกับไอโซโทป FC = FB
ที่ ไ ด ศึ ก ษามาแล ว พร อ มทั้ ง ยกตั ว อย า ง mv2 = qvB′
สถานการณในชีวิตประจําวันที่เกี่ยวของเพื่อ R
ทดสอบความเขาใจ m = qBv′R
2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ยัง และจากสมการที่ 7.19 เมื่อ v = EB จะได้ว่า
ไมเขาใจหรือสงสัย จากนั้นครูใช PowerPoint
m = qBE′R
เรื่อง ไอโซโทป มาเปดใหนักเรียนดูประกอบ
B
เพื่อชวยในการอธิบายใหเขาใจมากยิ่งขึ้น
3. ครูใหนักเรียนสรุปความรูเกี่ยวกับไอโซโทป m = qBBE R
′
(7.20)
โดยสร า งสรรค อ อกมาในรู ป แบบของอิ น โฟ
กราฟก ลงในกระดาษ A4 พรอมทั้งตกแตงให เมื่อพิจารณาสมการที่ 7.20 จะได้ว่า มวลของอนุภาคแปรผันตรงกับรัศมีความโค้ง
สวยงาม เสร็จแลวนําสงครูเพือ่ ตรวจใหคะแนน และเนือ่ งจากมวลของแต่ละไอโซโทปต่างกัน ดังนัน้ รัศมีความโค้งของแต่ละไอโซโทปจะไม่เท่ากัน
จึงสามารถใช้เครื่องวัดมวลหรือแมสสเปกโทรมิเตอร์วิเคราะห์ไอโซโทปของธาตุกัมมันตรังสีได้
ขัน้ ประเมิน ในการวิเคราะห์ผลนั้น E B B′ และ
Con���t Q�e����n
1. ประเมินความรูเกี่ยวกับเรื่อง ไอโซโทป โดย R เป็นปริมาณทีท่ ราบค่าได้หรือเป็นค่าทีไ่ ด้จาก
การวิเคราะหไอโซโทปของธาตุกัมมันตรังสี
สังเกตพฤติกรรมการตอบคําถาม การทําแบบ การทดลอง และ q คือ ประจุไฟฟ้าของอนุภาค สามารถทําไดอยางไร
ฝกหัด และการสรุปสาระสําคัญ ดังนั้น เราจึงสามารถค�านวณหามวล m ได้
2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา ซึ่ ง วิ ธี ก ารนี้ ท� า ให้ ส ามารถค� า นวณหามวล
ศาสตรจากการคํานวณหาปริมาณที่เกี่ยวของ อะตอมของธาตุต่าง ๆ ได้
Core Concept
กั บ การวิ เ คราะห ไ อโซโทปด ว ยแมสสเปก
ให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญ เรื่อง
โทรมิเตอรจากตัวอยางที่ครูกําหนดให และ ไอโซโทป
การนําความรูที่ไดไปใชประโยชน
Topic
3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต Questions
พฤติกรรมความสนใจใฝรหู รืออยากรูอ ยากเห็น
คําชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
การทํางานรวมกับผูอื่นอยางสรางสรรค 1. ธาตุชนิดเดียวกันทีเ่ ป็นไอโซโทปกัน ภายในนิวเคลียสของธาตุจะมีอนุภาคชนิดใดทีม่ จี า� นวนแตกต่างกัน
และอนุภาคใดที่มีจ�านวนเท่ากัน
แนวตอบ Concept Question
2. ดิวเทอเรียม (21H) ถูกเร่งด้วยความต่างศักย์ที่มีขนาดเท่ากับการเร่งโปรตอนให้เคลื่อนที่ผ่านเข้าไปใน
วิธีการหนึ่งที่นิยมใชในการวิเคราะหไอโซโทป สนามแม่เหล็ก โดยสนามแม่เหล็กมีทิศตั้งฉากกับแนวการเคลื่อนที่ ถ้าโปรตอนมีรัศมีความโค้งเท่ากับ
ของธาตุกัมมันตรังสี คือ แมสสเปกโทรมิเตอร ซึ่ง R ดิวเทอเรียมจะมีรัศมีความโค้งเท่าใด
เปนเครื่องมือที่ใชวิเคราะหมวลอะตอมของธาตุ
ตางๆ โดยอาศัยหลักการเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของ 150
อนุภาคที่มีประจุไฟฟาในบริเวณที่มีสนามแมเหล็ก
และสนามไฟฟา
1. ผลงานตรงกับ
จุดประสงค์ที่กาหนด
4
ผลงานสอดคล้องกับ
จุดประสงค์ทุกประเด็น
3
ผลงานสอดคล้องกับ
ระดับคะแนน
2
ผลงานสอดคล้องกับ
จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น
1
ผลงานไม่สอดคล้อง
กับจุดประสงค์
ดิวเทอเรียมจะมีรัศมีความโคงเทากับ 2R โดยประมาณ
คะแนน 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ระดับคุณภาพ ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ลาดับที่ รายการประเมิน 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
ระบบ
3 ความคิดสร้างสรรค์
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
4 ความเป็นระเบียบ
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
รวม ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
T162
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T163
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครูถามคําถามกระตุน ความคิดของนักเรียนใน
ขณะที่กําลังศึกษาหาความรูวา R = r0 3 A (7.21)
• จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร ทําให
R คือ รัศมีของนิวเคลียสที่มีเลขมวล
ลขมวล A มีหน่วยเป็น เมตร (m)
ทราบลักษณะของนิวเคลียสไดวามีลักษณะ r0 คือ ค่าคงตัวการแปรผันหรือค่านิวคลีออน มีค่าประมาณ 1.2 × 10-15 เมตร
อยางไร A คือ เลขมวลหรือจ�านวนนิวคลีออนของนิวเคลียส
(แนวตอบ นิวเคลียสมีลักษณะเปนทรงกลม
ขนาดของนิ ว เคลี ย สจะขึ้ น อยู กั บ จํ า นวน ส�าหรับไฮโดรเจนซึง่ มีเลขมวลเป็น 1 เมือ่ น�าไปแทนค่าลงในสมการที ่ 7.21 จะได้วา่ รัศมี
นิวคลีออนในนิวเคลียส มวลของนิวเคลียส ของนิวเคลียสเท่ากับ 1.2 × 10-15 เมตร และส�าหรับเรเดียมซึ่งมีเลขมวลเป็น 226 จะได้รัศมีของ
ขึ้ น อยู กั บ จํ า นวนนิ ว คลี อ อนหรื อ เลขมวล นิวเคลียสประมาณ 7.3 × 10-15 เมตร จะได้ว่า รัศมีของนิวเคลียสส่วนใหญ่จะมีค่าประมาณ 10-15
ของธาตุ รั ศ มี ข องนิ ว เคลี ย สแปรผั น ตรง เมตร เมื่อเทียบกับรัศมีของอะตอมโดยทั่วไปมีค่าประมาณ 10-10 เมตร นิวเคลียสจึงมีขนาดเล็ก
กับรากที่สามของเลขมวล ความหนาแนน กว่าอะตอมประมาณแสนเท่า
ของนิวเคลียสโดยทั่วไปมีคาประมาณ 1018 4. ความหนาแน่นของนิวเคลียส สามารถพิจารณาได้จากสมการความหนาแน่น ρ = mV
และสมการที่ 7.21 จะได้ว่า
กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร) m
ρ =
3. ครูใหนกั เรียนสืบคนขอมูลเพิม่ เติมเกีย่ วกับธาตุ 4 πR3
3
ที่มีความหนาแนนมากที่สุด (ออสเมียม) จาก ρ = m
แหลงขอมูลสารสนเทศ โดยจดบันทึกลงใน 4 π (r 3 A)3
3 0
สมุดบันทึกประจําตัว จากนั้นนําผลการศึกษา m
ρ =
มาอภิ ป รายแลกเปลี่ ย นความรู ร ว มกั น ใน 4 πr3A
3 0
ชั้นเรียน
เนื่องจาก m = Amp จะได้ว่า
4. ครูใหนกั เรียนเขียนสรุปองคความรูเ กีย่ วกับแรง
นิวเคลียรที่ไดศึกษามาแลวลงในสมุดบันทึก 3mp
ρ = (7.22)
ประจําตัว 4πr03
ซึ่ง ρ จากสมการที่ 7.22 เป็นค่าคงตัวส�าหรับทุก ๆ นิวเคลียส
จากสมการที ่ 7.22 เนือ่ งจากนิวเคลียสมีรศั มีประมาณ 10-15 เมตร มีปริมาตรประมาณ 10-45
ลูกบาศก์เมตร และมีมวลประมาณ 10-27 กิโลกรัม ความหนาแน่นของนิวเคลียสโดยทั่วไปจึงมีค่า
ประมาณ 1018 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เมื่อเทียบกับความหนาแน่นนี้กับออสเมียม (Osmium;
Os) ซึ่งเป็นธาตุที่มีความหนาแน่นมากที่สุด ซึ่งมีค่าประมาณ 2 × 104 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
จะได้ว่า ความหนาแน่นของนิวเคลียสมีค่าสูงกว่ามาก แสดงให้เห็นว่า นิวคลีออนในนิวเคลียสจะ
ต้องอัดตัวรวมกันอยูอ่ ย่างหนาแน่นมาก ดังนัน้ แรงนิวเคลียร์ภายในนิวเคลียสจะต้องมีคา่ มหาศาล
152
T164
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ตัวอย่างที่ 7.4 5. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นทีน่ งั่ ขางๆ จากนัน้
นิวเคลียสของไอโซโทปโซเดียม-28 จะมีรัศมีเป็นกี่เท่าของนิวเคลียสของไอโซโทปเรเดียม-224 รวมกันศึกษาตัวอยางที่ 7.4-7.5 จากหนังสือ
เรียน โดยจดบันทึกลงในสมุดบันทึกประจําตัว
วิธีท�า จากสมการที่ 7.21 R = r0 3 A
6. ครูนําโจทยปญหาเกี่ยวกับการคํานวณหารัศมี
พิจารณาโซเดียม-28; RNa = r0 3 ANa (1)
ของนิวเคลียส ความหนาแนนของนิวเคลียส
พิจารณาเรเดียม-224; RRa = r0 3 ARa (2) และปริมาณทีเ่ กีย่ วของทีน่ อกเหนือจากหนังสือ
น�าสมการ (1) หารสมการ (2) จะได้ว่า
เรียนมาใหนักเรียนไดศึกษาเพิ่มเติม โดยการ
RNa r0 3 ANa
RRa =
r0 3 ARa ลงมื อ แสดงวิ ธีก ารแก โ จทย ป ญ หาเพื่ อ หา
คําตอบ
RNa ANa
RRa = 3 ARa 7. ครู สุ ม ตั ว แทนนั ก เรี ย นออกมาหน า ชั้ น เรี ย น
RNa 28 จากนั้นมอบหมายใหแตละคนแสดงวิธีการ
RRa = 3 224 = 0.5 แกโจทยปญหาคนละ 1 ขอ จากโจทยปญหา
RNa = 0.5RRa ในตัวอยางที่ 7.4-7.5 และที่ครูใหเพิ่มเติม
ดังนั้น นิวเคลียสของไอโซโทปโซเดียม-28 จะมีรศั มีเป็น 0.5 เท่าของนิวเคลียสของไอโซโทปเรเดียม-224 เสร็จแลวครูใหนักเรียนอธิบายขั้นตอนการทํา
ทีละ 1 คน ซึง่ ครูจะสังเกตการณและคอยชีแ้ นะ
ตัวอย่างที่ 7.5 เมื่อนักเรียนสงสัยหรือเกิดปญหา
นิวเคลียสของฮีเลียม-4 จะมีรัศมีเป็นกี่เท่าของนิวเคลียสของไอโซโทปยูเรเนียม-238 8. ครูนํานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับโจทยปญหา
วิธีท�า จากสมการที่ 7.21 R = r0 3 A ที่นักเรียนไดศึกษามาแลว เพื่อใหเกิดความ
พิจารณาฮีเลียม-4; RHe = r0 3 AHe (1) เขาใจที่ตรงกัน
พิจารณายูเรเนียม-238; RU = r0 3 AU (2)
น�าสมการ (1) หารด้วยสมการ (2) จะได้ว่า
RHe r0 3 AHe
RU = r0 3 AU
RHe AHe
RU = 3 AU
RHe 4
RU = 3 238 = 0.26
RHe = 0.26RU
ดังนั้น นิวเคลียสของฮีเลียม-4 จะมีรัศมีเป็น 0.26 เท่าของนิวเคลียสของไอโซโทปยูเรเนียม-238
ฟิสิกส์อะตอม 153
ขอสอบเนน การคิด
นิวเคลียสของทองคํา-197 (197 -15
79Au) มีรัศมีของนิวเคลียสเทากับ 1.3 × 10 เมตร อยากทราบวา ความหนาแนนของนิวเคลียสของทองคํา-197 นี้
จะมีคาเทาใด กําหนดให มวล 1 u ของนิวเคลียสของทองคํา-197 เทากับ 1.75 × 10-27 กิโลกรัม
1. 0.89 × 1017 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร 2. 1.32 × 1017 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร 3. 1.65 × 1017 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร
4. 1.90 × 1017 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร 5. 2.11 × 1017 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร
3m1 uA
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ V = 43 πR3 ρ = 3
4πr0
V = 43 π(r0 3 A)3 3(1.75 × 10-27 kg)
ρ =
V = 43 πAr30 4π(1.3 × 10-15 m)3
คํานวณหาความหนาแนนของนิวเคลียสของทองคํา ρ =
5.25 × 10-27 kg
2.76 × 10-44 m3
จากสมการ ρ = m
V ρ = 1.90 × 1017 kg/m3
m A
ρ = 4 1u 3 นั่นคือ ความหนาแนนของนิวเคลียสของทองคํา-197 นี้จะมีคาเทากับ
3 πAr0 1.90 × 1017 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร ดังนั้น ตอบขอ 4.)
T165
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
9. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นทีน่ งั่ ขางๆ จากนัน้ 5.2 พลังงานยึดเหนี่ยว
รวมกันศึกษา เรื่อง พลังงานยึดเหนี่ยว จาก พลังงานยึดเหนีย่ ว (binding energy) คือ พลังงานทีใ่ ช้ในการยึดเหนีย่ วนิวคลีออนทัง้ หมด
หนังสือเรียน เอาไว้ด้วยกันในนิวเคลียส โดยจากการศึกษาโครงสร้างของอะตอม ท�าให้เข้าใจธรรมชาติของ
10. ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อะตอมและนิวเคลียส ซึ่งการที่อิเล็กตรอนไม่สามารถหลุดออกจากวงโคจรได้ เพราะมีแรงดึงดูด
ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอนสไตน จากแหลง ระหว่างประจุบวกของนิวเคลียสกับประจุลบของอิเล็กตรอน ส�าหรับอะตอมของไฮโดรเจน ถ้าให้
ขอมูลสารสนเทศ โดยมุงเนนถึงสมการแสดง พลังงาน 13.6 อิเล็กตรอนโวลต์ แก่อิเล็กตรอน อิเล็กตรอนก็จะสามารถหลุดออกจากอะตอมได้
ความสัมพันธระหวางมวลกับพลังงาน ซึ่งนั่น ดังนัน้ การศึกษาเกีย่ วกับธรรมชาติของแรงนิวเคลียร์ ท�าได้โดยการให้พลังงานแก่นวิ เคลียส
เปนพื้นฐานของการนํามาประยุกตใชในเรื่อง เพื่อท�าให้นิวคลีออนแยกออกจากกัน โดยพลังงานที่ให้แก่นิวเคลียสจะเป็นพลังงานที่มีปริมาณ
พลังงานยึดเหนี่ยว พอเหมาะที่จะท�าให้นิวคลีออนแยกออกจากกัน มีค่าอย่างน้อยเท่ากับพลังงานยึดเหนี่ยว ซึ่งเป็น
11. ครู สุ ม นั ก เรี ย นจากการสั ง เกตพฤติ ก รรม พลังงานที่ยึดโปรตอนกับนิวตรอนไว้ให้อยู่ในอะตอม เมื่ออนุภาคต่าง ๆ มารวมกันเป็นนิวเคลียส
รายบุ ค คลในการให ค วามร ว มมื อ และ ของอะตอม มวลของนิวเคลียสที่เกิดขึ้นใหม่มีค่าน้อยกว่าผลรวมของมวลของแต่ละอนุภาคที่มา
กระตือรือรนในระหวางการศึกษาหาความรู ประกอบกันเป็นนิวเคลียส แสดงว่ามวลทีห่ ายไปนีไ้ ด้กลายเป็นพลังงานทีใ่ ช้ในการยึดเหนีย่ วอนุภาค
ใหออกมาหนาชัน้ เรียน จากนัน้ ครูใหนกั เรียน โปรตอนกับนิวตรอนให้อัดกันอยู่ในนิวเคลียส ซึ่งมีค่าเท่ากับพลังงานที่ให้แก่นิวเคลียสเพื่อท�าให้1
ใช ส มการความสั ม พั น ธ ร ะหว า งมวลกั บ นิวคลีออนแยกออกจากกัน และเนือ่ งจากนิวเคลียสมีขนาดเล็กมาก ในการวัดมวลจึงวัดในหน่วย u
พลังงานของไอนสไตนในการหาคาพลังงาน (atomic mass unit) เช่นเดียวกับมวลอะตอม โดยมวล 1 u มีค่าเท่ากับ 1.660540 × 10-27
ของมวล 1 u ในหนวยเมกะอิเล็กตรอนโวลต กิโลกรัม สามารถค�านวณหาพลังงานที่เทียบเท่ามวล 1 u ได้ โดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างมวล
หรือหนวยอื่นๆ กับพลังงานของไอน์สไตน์ ดังนี้
12. ครู ถ ามคํ า ถามตรวจสอบความเข า ใจของ จากสมการ E = mc2
นักเรียนวา E = (1.660540 × 10-27 kg)(2.997925 × 108 m/s)2
• มวลที่หายไปเนื่องจากการรวมกันของ E = 1.492419 × 10-10 J
นิวคลีออนในนิวเคลียสเรียกวาอะไร เนื่องจากพลังงาน 1.602177 × 10-19 จูล มีค่าเท่ากับพลังงาน 1 อิเล็กตรอนโวลต์
(แนวตอบ มวลพรอง) จึงได้ว่า
-10
1.492419 × 10-10 J = 1.492419 × 10-19 J
1.602177 × 10 J/eV
1.492419 × 10 J = 931.49446 × 106 eV
-10
T166
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ฟิสิกส์อะตอม 155
T167
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
18. ครู นํ า นั ก เรี ย นอภิ ป รายเกี่ ย วกั บ พลั ง งาน ตัวอย่างที่ 7.6
ยึดเหนี่ยว โดยการใชคําถามถามกับนักเรียน ก�าหนดให้มวลของโปรตอน 1 ตัว เท่ากับ 1.007276 u มวลของนิวตรอน 1 ตัว เท่ากับ 1.008665 u
เพื่อตรวจสอบความเขาใจในเนื้อหา เมื่อโปรตอน 2 ตัว และนิวตรอน 2 ตัว รวมกันในนิวเคลียสจะมีมวลรวมเท่ากับ 4.002602 u พลังงาน
19. ครูใชคําถามใหนักเรียนอธิบายสิ่งที่นักเรียน ยึดเหนี่ยวทั้งหมดของนิวเคลียสนี้มีค่าเท่าใด
ได เ รี ย นรู เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ ง เสถี ย รภาพของ วิธีท�า ค�านวณหามวลรวมของโปรตอนกับนิวตรอน
นิ ว เคลี ย ส โดยครู สุ ม นั ก เรี ย นจํ า นวนหนึ่ ง Zmp + (A - Z)mn = (2)(1.007276 u) + (2)(1.008665 u)
ออกมาหนาชั้นเรียนเพื่ออธิบายผลการศึกษา Zmp + (A - Z)mn = 4.031882 u
ลงมือทํา (Doing)
จากโจทย์ จะเห็นได้วา่ มวลรวมของนิวเคลียสทีไ่ ด้จากการรวมกันของ 4 นิวคลีออน มีคา่ น้อยกว่า
มวลที่ได้จากการรวมมวลของโปรตอน 2 ตัว และนิวตรอน 2 ตัว เข้าด้วยกัน ดังนั้น มวลที่
20. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นขางๆ แลวรวมกัน ลดลงหรือมวลพร่องสามารถค�านวณหาได้
ศึกษาแบบฝกหัด Topic Questions จาก จากสมการที่ 7.24 Δm = (Zmp + (A - Z)mn) - M
หนังสือเรียน โดยครูมอบหมายใหนักเรียน Δm = 4.031882 u - 4.002602 u = 0.02928 u
แตละคนเขียนแสดงวิธีการแกโจทยปญหา ค�านวณหาพลังงานยึดเหนี่ยว
จากสมการที่ 7.25 E = (Δm)(931 MeV/u)
ลงในสมุดบันทึกประจําตัว
E = (0.02928 u)(931 MeV/u) = 27.26 MeV
21. ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาทําความเขาใจ
ดังนั้น พลังงานยึดเหนี่ยวทั้งหมดของนิวเคลียสนี้มีค่าเท่ากับ 27.26 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์
เกี่ยวกับเสถียรภาพของนิวเคลียสเพิ่มเติม
จากแบบฝกหัดรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร
ตัวอย่างที่ 7.7
และเทคโนโลยี ฟสิกส ม.6 เลม 2 หนวยการ
พลังงานยึดเหนี่ยวของ 73Li มีค่ากี่เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ ก�าหนดให้มวลนิวเคลียสของ 73Li เท่ากับ
เรียนรูที่ 7 ฟสิกสนิวเคลียร 7.016005 u
22. ครูแจกใบงาน เรื่อง พลังงานยึดเหนี่ยว ให
นักเรียนคนละ 1 ชุด จากนัน้ มอบหมายใหนาํ วิธีท�า จากสมการ 7.25 E = (Δm)(931 MeV/u)
กลับไปศึกษาเปนการบาน เสร็จแลวตัวแทน E = [(Zmp + (A - Z)mn) - M](931 MeV/u)
รวบรวมสงครูเพื่อตรวจและใหคะแนนกอนที่ E = [(3(1.007276 u) + 4(1.008665 u)) - 7.016005 u](931 MeV/u)
E = 37.7 MeV
จะเจอกันในชั่วโมงถัดไป ดังนั้น พลังงานยึดเหนี่ยวของ 73Li มีค่า 37.7 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์
ขอสอบเนน การคิด
พลังงานยึดเหนี่ยวของธาตุไนโตรเจนที่มีเลขอะตอมเทากับ 7 เลขมวลเทากับ 14 และมีมวลอะตอมเทากับ 14.0067 u จะมีคาเทาใดในหนวย
เมกะอิเล็กตรอนโวลต และหากพิจารณาพลังงานยึดเหนี่ยวตอนิวคลีออนของธาตุดังกลาวจะมีคาเทากับเทาใด กําหนดให มวลของโปรตอนเทากับ
1.007276 u มวลของนิวตรอนเทากับ 1.008665 u
1. 97.65 เมกะอิเล็กตรอนโวลต และ 2.582 เมกะอิเล็กตรอนโวลต 2. 97.65 เมกะอิเล็กตรอนโวลต และ 6.975 เมกะอิเล็กตรอนโวลต
3. 104.28 เมกะอิเล็กตรอนโวลต และ 6.975 เมกะอิเล็กตรอนโวลต 4. 104.28 เมกะอิเล็กตรอนโวลต และ 7.448 เมกะอิเล็กตรอนโวลต
5. 105.85 เมกะอิเล็กตรอนโวลต และ 2.582 เมกะอิเล็กตรอนโวลต
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ Δm = (Zmp + (A - Z)mn) - M คํานวณหาพลังงานยึดเหนี่ยวตอนิวคลีออน
Δm = ((7)(1.007276 u) + (14 - 7)(1.008665 u)) - 14.0067 u จากสมการ AE = 97.6514MeV
Δm = (7.050932 u + 7.060655 u) - 14.0067 u E
Δm = 14.111587 u - 14.0067 u A = 6.975 MeV
Δm = 0.104887 u นั่นคือ พลังงานยึดเหนี่ยวของธาตุไนโตรเจนเทากับ 97.65 เมกะ
คํานวณหาพลังงานยึดเหนี่ยว อิเล็กตรอนโวลต และมีพลังงานยึดเหนี่ยวตอนิวคลีออนเทากับ 6.975
จากสมการ E = (Δm)(931 MeV/u) เมกะอิเล็กตรอนโวลต ดังนั้น ตอบขอ 2.)
E = (0.104887 u)(931 MeV/u)
E = 97.65 MeV
T168
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ลงข อ สรุ ป โดยให
แต่ถา้ คิดว่าแรงนิวเคลียร์เป็นแรงกระท�าระหว่างนิวคลีออนทีอ่ ยูต่ ดิ กันแล้ว ผลจากการค�านวณ นักเรียนอธิบายสรุปความรูเ กีย่ วกับเสถียรภาพ
จะตรงกับกราฟแสดงความสัมพันธ์ ดังภาพที ่ 7.24 ดังนัน้ สามารถสรุปได้วา่ แรงนิวเคลียร์ เป็นแรง ของนิวเคลียสที่ไดศึกษามาแลว พรอมทั้งยก
ทีก่ ระท�าในช่วงสัน้ ๆ และกระท�าระหว่างนิวคลีออนทีอ่ ยูต่ ดิ กันเท่านัน้ ดังภาพที ่ 7.25 ตั ว อย า งสถานการณ ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น ที่
พลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียส (MeV) เกี่ยวของเพื่อทดสอบความเขาใจ
2000
2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ยัง
นิวคลีออน
1500 ไมเขาใจหรือสงสัย จากนั้นครูใช PowerPoint
1000 เรื่อง เสถียรภาพของนิวเคลียส มาเปดให
500 นักเรียนดูประกอบเพื่อชวยในการอธิบายให
นิวคลีออน แทนแรงนิวเคลียร์ เขาใจมากยิ่งขึ้น
0 50 100 150 200 250 3. ครูใหนักเรียนสรุปความรูเกี่ยวกับเสถียรภาพ
ภาพที ่ 7.23 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานยึดเหนีย่ ว ภาพที่ 7.24 แรงกระท�าระหว่างนิวคลีออน
ของนิวเคลียสกับจ�านวนนิวคลีออนภายในนิวเคลียส ที่อยู่ติดกันคือแรงนิวเคลียร์ ของนิวเคลียส โดยสรางสรรคออกมาในรูปแบบ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท. ของอินโฟกราฟก ลงในกระดาษ A4 พรอมทั้ง
เนือ่ งจากธาตุแต่ละธาตุจะมีจา� นวนนิวคลีออนภายในนิวเคลียสไม่เท่ากัน จะไม่สามารถน�ามา ตกแตงใหสวยงาม เสร็จแลวนําสงครูเพือ่ ตรวจ
ใช้ในการเปรียบเทียบว่า นิวเคลียสของธาตุใดมีเสถียรภาพอย่างไร มีโอกาสแตกตัวหรือเปลีย่ นสภาพ ใหคะแนน
ไปเป็นนิวเคลียสของธาตุอื่นได้มากน้อยเพียงใด ด้วยเหตุนี้ จึงต้องพิจารณาพลังงานยึดเหนี่ยว
ต่อนิวคลีออน สามารถเขียนสมการแสดงความสัมพันธ์ได้ ดังสมการที่ 7.26 ขัน้ ประเมิน
E = E = (Δm)c2 = (Δm)(931 MeV/u) (7.26) 1. ประเมินความรูเกี่ยวกับเรื่อง เสถียรภาพของ
nucleon A A A
นิ ว เคลี ย ส โดยสั ง เกตพฤติ ก รรมการตอบ
โดยที ่ A คือ เลขมวล และจากสมการที ่ 7.26 สามารถกล่าวได้วา่ ธาตุทมี่ พี ลังงานยึดเหนีย่ ว คําถาม การทําแบบฝกหัด และการสรุปสาระ
ต่อนิวคลีออนสูงกว่าจะมีเสถียรภาพมากกว่าธาตุที่มีพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนต�่ากว่า โดย สําคัญ
ธาตุ ที่ มี เ สถี ย รภาพมากกว่ า จะแตกตั ว เป็ น 2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา
นิวเคลียสอื่นได้ยากกว่า Core Concept
ให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญ เรื่อง ศาสตรจากการคํานวณหาปริมาณที่เกี่ยวของ
การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี กับเสถียรภาพของนิวเคลียสจากตัวอยางที่
Topic ครูกําหนดให และการนําความรูที่ไดไปใช
Questions ประโยชน
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ 3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต
1. ทริเทียม (31H) มีมวลอะตอม 3.016049 u จะมีพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนเท่าใด
พฤติกรรมความสนใจใฝรหู รืออยากรูอ ยากเห็น
2. ถ้าพลังงานต่อนิวคลีออนของ 12C และ 13C เท่ากับ 7.7 และ 7.5 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ต่อนิวคลีออน
ตามล�าดับ พลังงานที่น้อยที่สุดที่ต้องใช้ในการดึงนิวตรอน 1 ตัว ออกจาก 13C มีค่าเท่าใด การทํางานรวมกับผูอื่นอยางสรางสรรค
ฟิสิกส์อะตอม 157
A
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
แบบประเมินผลงานอินโฟกราฟิก 1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินอินโฟกราฟิกของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
โวลต
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
ระบบ
3 ความคิดสร้างสรรค์
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
4 ความเป็นระเบียบ
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
รวม ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
E
14–16 ดีมาก
13 = 7.5 MeV
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
E = 97.5 MeV
ดังนั้น พลังงานที่นอยที่สุดเทากับ 97.5 เมกะอิเล็กตรอนโวลต
T169
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T170
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
การวิเคราะห์พลังงานในปฏิกิริยานิวเคลียร์ พบว่า บางปฏิกิริยาต้องใช้พลังงานเพื่อท�าให้ 1. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นทีน่ งั่ ขางๆ จากนัน้
เกิดปฏิกิริยา เช่น ปฏิกิริยาที่เกิดจากการยิงอนุภาคแอลฟา (42He) เข้าชนกับนิวเคลียสของ รวมกันศึกษา เรื่อง ปฏิกิริยานิวเคลียร จาก
ไนโตรเจน-14 (147N) ท�าให้เกิดออกซิเจน-17 (178O) ซึ่งเป็นนิวเคลียสที่เกิดใหม่ และโปรตอน (11H) หนังสือเรียน และสืบคนขอมูลเพิ่มเติมจาก
ซึ่งเป็นอนุภาคที่เกิดขึ้นภายหลังการชน สามารถเขียนสมการของปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นได้ ดังนี้ แหล ง ข อ มู ล สารสนเทศ โดยให นั ก เรี ย น
14
+ 42He 17
+ 11H จดบั น ทึ ก เป น องค ค วามรู ล งในสมุ ด บั น ทึ ก
7N 8O
ประจําตัว
มวลรวมหลังเกิดปฏิกริ ยิ ามีคา่ มากกว่ามวลรวมก่อนเกิดปฏิกริ ยิ าเท่ากับ 0.001281 u ซึง่ มวล 2. ครูขออาสาสมัครนักเรียนออกมาหนาชั้นเรียน
ดังกล่าวสามารถเทียบได้กับพลังงาน (0.001281 u)(931 MeV/u) = 1.19 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ จากนั้ น อธิ บ ายสรุ ป เนื้ อ หา เรื่ อ ง ปฏิ กิ ริ ย า
กล่าวได้ว่า ปฏิกิริยานี้ต้องให้พลังงาน แสดงว่าอนุภาคแอลฟาที่เข้าชนไนโตรเจน-17 มีพลังงาน นิวเคลียร ที่ไดศึกษาจากหนังสือเรียน เพื่อ
อย่างน้อย 1.19 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ จึงสามารถเขียนสมการปฏิกิริยาใหม่ได้ ดังนี้ เปนการศึกษารวมกันกับเพื่อนในชั้นเรียน
14
7N + 42He + 1.19 MeV 17
8O + 11H 3. ครูนํานักเรียนอภิปรายวา ในทุกๆ สมการ
ปฏิกริ ยิ านิวเคลียร ผลรวมของเลขอะตอมกอน
เมื่อค�านวณพลังงานยึดเหนี่ยวของ 147N 42He และ 178O จะได้เท่ากับ 104.66 28.29 และ เกิดปฏิกิริยากับเลขอะตอมหลังเกิดปฏิกิริยา
131.76 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ ตามล�าดับ ดังนั้น ผลรวมของพลังงานยึดเหนี่ยวก่อนเกิดปฏิกิริยา จะตองเทากัน แสดงวาประจุไฟฟามีคาคงตัว
จึงมีค่ามากกว่าผลรวมของพลังงานหลังเกิดปฏิกิริยาเท่ากับ (104.66 + 28.29) - 131.76 = 1.19 และผลรวมของเลขมวลกอนเกิดปฏิกิริยากับ
เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ ซึ่งปริมาณนี้เท่ากับพลังงานที่ใช้ในการท�าให้เกิดปฏิกิริยา เลขมวลหลังเกิดปฏิกิริยาจะตองเทากันดวย
ในท�านองเดียวกัน หากพิจารณาปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่มีการปล่อยพลังงานออกมา กรณีนี้ แสดงวาผลรวมของจํานวนนิวคลีออนกอนเกิด
ผลรวมของมวลหลังเกิดปฏิกิริยาจะมีค่าน้อยกว่าผลรวมของมวลก่อนเกิดปฏิกิริยา เช่น การยิง ปฏิกิริยากับหลังเกิดปฏิกิริยาจะมีคาคงตัว
อนุภาคโปรตอนให้พงุ่ ชนนิวเคลียสของลิเทียม-7 ท�าให้ได้อนุภาคแอลฟา 2 อนุภาค จะได้วา่ ผลรวม
ของมวลก่อนเกิดปฏิกิริยามีค่ามากกว่าผลรวมของมวลหลังเกิดปฏิกิริยาเท่ากับ 0.018622 u ซึ่ง
เทียบได้กบั พลังงาน 17.34 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ และเนือ่ งจากอนุภาคโปรตอนและอนุภาคแอลฟา
ต่างก็มีพลังงานจลน์ ดังนั้น ผลต่างระหว่างพลังงานจลน์ของอนุภาคแอลฟาทั้งสองกับอนุภาค
โปรตอนเท่ากับ 17.34 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ จึงสามารถเขียนสมการปฏิกิริยาได้ ดังนี้
7
3Li + 11H 4
2He + 42He + 17.34 MeV
พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ เรียกว่า พลังงานนิวเคลียร์ (nuclear energy) ซึ่งมีค่า
เป็นไปตามความสัมพันธ์ระหว่างมวลกับพลังงาน ดังสมการที่ 7.23 โดยพลังงานนิวเคลียร์นี้อาจ
อยูใ่ นรูปของคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าหรือพลังงานจลน์ของอนุภาคก็ได้ สรุปได้วา่ ปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์ทมี่ ี
การปล่อยพลังงาน ผลรวมของพลังงานยึดเหนี่ยวหลังเกิดปฏิกิริยาจะมีค่ามากกว่าผลรวมของ
พลังงานยึดเหนี่ยวก่อนเกิดปฏิกิริยา
ฟิสิกส์อะตอม 159
T171
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
4. ครูถามคําถามกับนักเรียนวา 6.1 ฟิชชัน
• พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียรเรียก ปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์ทนี่ วิ เคลียสของธาตุหนักแตกตัวเป็นนิวเคลียสใหม่ 2 นิวเคลียส ทีม่ เี ลขมวล
วาอะไร และสามารถสรุปเกี่ยวกับปฏิกิริยา ใกล้เคียงกัน เรียกว่า ฟิชชัน (fission) ซึง่ การศึกษาฟิชชันเริม่ ต้นโดยเอนริโก แฟร์มี (Enrico Fermi)
นิวเคลียรที่เกี่ยวของกับพลังงานไดอยางไร นักฟิสิกส์ชาวอิตาลี ได้พยายามผลิตธาตุที่หนักกว่ายูเรเนียม โดยใช้นิวตรอนยิงไปยังนิวเคลียส
(แนวตอบ พลั ง งานที่ เ กิ ด จากปฏิ กิ ริ ย า ของยูเรเนียม และหวังว่านิวตรอนซึง่ มีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้าจะพุง่ เข้าชนนิวเคลียสได้งา่ ยกว่า
นิ ว เคลี ย ร เรี ย กว า พลั ง งานนิ ว เคลี ย ร อนุภาคอื่น ๆ แล้วรวมกับนิวเคลียสเดิมกลายเป็นนิวเคลียสใหม่ และนิวเคลียสใหม่อาจสลายให้
สามารถสรุปเกีย่ วกับปฏิกริ ยิ านิวเคลียรไดวา รังสีบีตาออกมาพร้อมกับเปลี่ยนสภาพเป็นนิวเคลียสของธาตุใหม่ที่มีเลขมวลและเลขอะตอม
ปฏิกิริยานิวเคลียรที่มีการปลอยพลังงาน น้อยกว่ายูเรเนียม และใน พ.ศ. 2447 แฟร์มี พบว่า การยิงนิวตรอนไปยังยูเรเนียมท�าให้ได้ธาตุ
ผลรวมของพลั ง งานยึ ด เหนี่ ย วหลั ง เกิ ด กัมมันตรังสีขึ้นมาหลายธาตุ แต่ในขณะนั้นยังท�าการตรวจสอบไม่ได้ว่าเป็นธาตุใด
ปฏิ กิ ริ ย าจะมี ค า มากกว า ผลรวมของ ใน พ.ศ. 2483 ออทโท ฮาน (Otto Hahn) และฟริทซ์ ชตราสส์มันน์ (Fritz Strassmann)
พลังงานยึดเหนี่ยวกอนเกิดปฏิกิริยา) ได้ท�าการตรวจสอบและพบว่า ธาตุที่เกิดใหม่ตัวหนึ่ง คือ แบเรียม-139 ซึ่งมีครึ่งชีวิต 86 นาที
5. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง ฟชชันและฟวชัน เมือ่ ฮานและชตราสส์มนั น์ทา� การศึกษาต่อไป พบว่า เมือ่ นิวตรอนพุง่ เข้าชนนิวเคลียสของยูเรเนียม
จากหนังสือเรียน โดยจดบันทึกสรุปองคความรู จะท�าให้ยเู รเนียมแตกตัวออกเป็น 2 นิวเคลียส ซึง่ มีขนาดใกล้เคียงกัน แล้วได้พลังงานออกมาด้วย
ลงในสมุดบันทึกประจําตัว ในการศึกษาฟิชชันของยูเรเนียมในเวลาต่อมา พบว่า นิวเคลียสทีไ่ ด้จากการแตกตัวเป็นไปได้
6. ครูแบงนักเรียนออกเปนกลุม เทาๆ กัน กลุม ละ มากกว่า 40 คู ่ นิวเคลียสเหล่านีม้ เี ลขอะตอมอยูร่ ะหว่าง 30-63 มีเลขมวลอยูร่ ะหว่าง 72-158 และ
ประมาณ 4 คน โดยคละความสามารถของ มีนิวตรอนที่มีพลังงานสูงเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการแตกตัว โดยเฉลี่ยประมาณ 2-3 ตัว เช่น ฟิชชัน
นักเรียนตามผลสัมฤทธิ์ (เกง ปานกลาง ออน) ของยูเรเนียม-235 ดังภาพที่ 7.25 และสามารถเขียนสรุปเป็นสมการได้ ดังสมการที่ 7.28
ใหอยูใ นกลุม เดียวกัน จากนัน้ ครูมอบหมายให 91
36Kr
นักเรียนศึกษาขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟชชัน 235
92U 1
และฟวชันจากแหลงขอมูลสารสนเทศ แลว 0n
นําขอมูลเหลานั้นมาจัดทําเปนบอรดความรู
พลังงาน 1n
เรื่อง ฟชชันและฟวชัน นําเสนอในรูปแบบที่ 1n
0
0
นาสนใจ โดยใหนักเรียนแตละกลุมกําหนดให 1n
สมาชิกแตละคนมีบทบาทหนาที่ของตนเอง 0
อยางชัดเจน 141 Ba
56
ภ
าพที่ 7.25 การเกิดฟิชชันของยูเรเนียม-235
ที่มา : คลังภาพ อจท.
235
92U + 10n 141
56Ba + 9236Kr + 3 10n + พลังงาน (7.28)
160
T172
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
เมือ่ นิวตรอนทีป่ ล่อยออกมาจากฟิชชันแรกพุง่ เข้าไปชนนิวเคลียสของอะตอมยูเรเนียมทีอ่ ยู่ 7. ขณะนักเรียนแตละกลุมกําลังรวมกันศึกษา
ข้างเคียงจะท�าให้เกิดฟิชชันที่สอง นิวตรอนจากฟิชชันที่สองไปท�าให้เกิดฟิชชันที่สาม และต่อไป และสรางสรรคและจัดทําบอรดความรู ครูเดิน
เรือ่ ย ๆ ท�าให้นวิ เคลียสของยูเรเนียมข้างเคียงแตกตัวอย่างต่อเนือ่ ง เรียกว่า ปฏิกริ ยิ าลูกโซ่ (chain สั ง เกตการณ แ ละให คํ า ปรึ ก ษาเมื่ อ นั ก เรี ย น
reaction) และมีพลังงานนิวเคลียร์ทถี่ กู ปล่อยออกมาโดยเฉลีย่ ประมาณ 200 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ สงสัยหรือเกิดปญหา
ต่อฟิชชัน ในช่วงเวลาสั้น ๆ ดังภาพที่ 7.26 91
Kr
8. ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแบง
36
1
0n
ประเภทของธาตุตามเลขมวล ทั้งจากหนังสือ
1n
0 เรี ย นและจากแหล ง ข อ มู ล สารสนเทศ เพื่ อ
1
0n เปนการสรางความเขาใจเกี่ยวกับปฏิกิริยา
91
235
92U พลังงาน 141 Ba นิวเคลียรมากขึ้น
36Kr 56
91
36Kr
235 U
92 1
0n 1n
235 U 0
1n 92
1
พลังงาน 0 1n
0n
พลังงาน 0
1n
0 1n
0
235 U
141
56Ba
141 Ba 92
56 91
พลังงาน 36Kr
1n
0
1n
0
ภาพที่ 7.26 การเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ 1n
ที่มา : คลังภาพ อจท. 0
141
56Ba
ฟิสิกส์อะตอม 161
T173
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
9. เมื่ อ นั ก เรี ย นสร า งสรรค ผ ลงานและจั ด ทํ า 6.2 ฟิวชัน
บอรดความรูเสร็จแลว ครูถามคําถามทาทาย ปฏิกิริยาที่เกิดจากการรวมนิวเคลียสของธาตุเบา 2 นิวเคลียส แล้วเกิดเป็นนิวเคลียสของ
การคิดขั้นสูงจากหนังสือเรียนกับนักเรียน ธาตุหนัก เรียกว่า ฟิวชัน (fusion) ซึ่งจะมีการปล่อยพลังงานนิวเคลียร์ออกมา การที่นิวเคลียสจะ
10. ครูใหนกั เรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอบอรด รวมกันได้นั้นจะต้องท�าให้มีอุณหภูมิสูงมาก ๆ จึงอาจเรียกปฏิกิริยานี้ว่า เทอร์โมนิวเคลียร์ฟิวชัน
ความรู ข องกลุ ม ตนเอง พร อ มทั้ ง อธิ บ าย (thermonuclear fusion)
องค ค วามรู เ กี่ ย วกั บ ฟ ช ชั น และฟ ว ชั น จาก
ปฏิกิริยาฟิวชันของธาตุที่เบาที่สุดอย่างไฮโดรเจน คือ แหล่งก�าเนิดพลังงานบนดวงอาทิตย์
ที่ไดศึกษาทั้งหนังสือเรียนและแหลงขอมูล
กล่าวคือ นิวเคลียสของไฮโดรเจน 4 ตัว จะหลอมรวมตัวกันได้เป็นนิวเคลียสของฮีเลียม พร้อมทั้ง
สารสนเทศ
ปล่อยอนุภาคโพซิตรอนออกมา อีกทั้งยังให้พลังงานออกมา 26 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ ซึ่งการเกิด
11. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 7.8 จาก
ปฏิกิริยานี้มีหลายขั้นตอน ดังภาพที่ 7.27 สามารถเขียนสมการสรุปได้ ดังนี้
หนั ง สื อ เรี ย น ซึ่ ง เป น ตั ว อย า งการคํ า นวณ ν
2H
เกีย่ วกับพลังงานนิวเคลียร โดยครูใหนกั เรียน 1H
1 1 γ
1H
จดบันทึกลงในสมุดบันทึกประจําตัว 1 1
1H
0 3
+1e 2He
ลงมือทํา (Doing) 1H
1 4He
2
12. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นขางๆ แลวรวมกัน ν
1
1H
3
ศึกษาแบบฝกหัด Topic Questions จาก 1H 2He
1
หนังสือเรียน โดยครูมอบหมายใหนักเรียน 1H
1
1H 2
แตละคนเขียนแสดงวิธีการแกโจทยปญหา 1 0 1H γ
+1e
ลงในสมุดบันทึกประจําตัว ภาพที่ 7.27 ฟิวชันของไฮโดรเจนบนดวงอาทิตย์
13. ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาทําความเขาใจ ที่มา : คลังภาพ อจท.
เกี่ยวกับปฏิกิริยานิวเคลียรเพิ่มเติมจากแบบ 1
1H + 11H 2H + 0e + ν
1 +1 (7.29)
ฝ ก หั ด รายวิ ช าเพิ่ ม เติ ม วิ ท ยาศาสตร แ ละ 2H + 11H 3He + ν (7.30)
เทคโนโลยี ฟสกิ ส ม.6 เลม 2 หนวยการเรียนรู 1 2
3
ที่ 7 ฟสิกสนิวเคลียร 2He + 32He 4 1
2He + 2 1H (7.31)
แนวตอบ H. O. T. S. พลังงาน 26 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ สามารถค�านวณได้ H. O. T. S.
คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
ปฏิกริ ยิ าลูกโซในระเบิดปรมาณูจะเกิดขึน้ อยาง จากมวลทีห่ ายไปในปฏิกริ ยิ า ซึง่ ข้อมูลนีต้ รงกับทีน่ กั วิทยาศาสตร์
ปฏิ กิ ริ ย าลู ก โซ่
รวดเร็ว โดยไมมกี ารควบคุมปฏิกริ ยิ า ทําใหเกิดการ พบว่า มวลของดวงอาทิตย์นั้นมีการลดลงอย่างช้า ๆ ส�าหรับ
ในระเบิดปรมาณู
ปลดปลอยพลังงานออกมาอยางมหาศาล มีความ บนโลกฟิวชันของไฮโดรเจนสามารถเกิดขึน้ ได้ในห้องทดลองหรือ มีความแตกต่าง
สามารถในการทําลายลางสิง่ ตางๆ ได สวนปฏิกริ ยิ า เครื่องโทคาแมก (Tokamak) เท่านั้น ซึ่งจะเกิดจากการหลอม จากปฏิ กิ ริ ย าลู ก โซ่ ใ นเครื่ อ ง
ลูกโซในเครื่องปฏิกรณนิวเคลียรสามารถทําการ รวมกันของดิวเทอรอนไปในนิวเคลียสของฮีเลียม ปฏิกรณ์นิวเคลียร์อย่างไร
ควบคุมปฏิกิริยาลูกโซใหเกิดอยางพอเหมาะได จึง 162
สามารถนําพลังงานที่เกิดขึ้นไปใชในทางสันติเพื่อ
สรางประโยชนใหแกมนุษยชาติ
T174
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ลงข อ สรุ ป โดยให
ตัวอย่างที่ 7.8 นักเรียนอธิบายสรุปความรูเกี่ยวกับปฏิกิริยา
ในโรงงานผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินโรงงานหนึ่ง พบว่า การเผาถ่านหินจ�านวน 1 กิโลกรัม ให้ความร้อน นิ ว เคลี ย ร ที่ ไ ด ศึ ก ษามาแล ว พร อ มทั้ ง ยก
4,000 กิโลแคลอรี ต้องใช้ปริมาณถ่านหินจ�านวนเท่าใดเพื่อให้ความร้อนที่เกิดขึ้นมีปริมาณเท่ากับ ตั ว อย า งสถานการณ ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น ที่
ความร้อนทีเ่ กิดจากมวลทีห่ ายไปของยูเรเนียม-235 ในปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์ฟชิ ชันจ�านวน 1.4 กรัม ก�าหนดให้ เกี่ยวของเพื่อทดสอบความเขาใจ
1 กิโลแคลอรี เท่ากับ 4.2 กิโลจูล 2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ยัง
วิธีท�า ค�านวณหาพลังงานความร้อนที่ได้จากยูเรเนียม 1.4 กรัม ไมเขาใจหรือสงสัย จากนั้นครูใช PowerPoint
จากสมการที่ 7.23 E = (Δm)c2 เรื่อง ปฏิกิริยานิวเคลียร มาเปดใหนักเรียนดู
E = (1.4 × 10-3 kg)(3 × 108 m/s)2 ประกอบเพื่อชวยในการอธิบายใหเขาใจมาก
E = 1.26 × 10-14 J ยิ่งขึ้น
เนื่องจาก 1 กิโลแคลอรี เท่ากับ 4.2 กิโลจูล 3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นสรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ ปฏิ กิ ริ ย า
-14 J
จะได้ว่า E = 1.26 × 10 3 นิวเคลียร โดยสรางสรรคออกมาในรูปแบบของ
4.2 × 10 J/kcal
E = 3 × 1010 kcal อินโฟกราฟก ลงในกระดาษ A4 พรอมทั้ง
ค�านวณหาปริมาณถ่านหินที่ต้องใช้ ตกแตงใหสวยงาม เสร็จแลวนําสงครูเพือ่ ตรวจ
เนื่องจากการเผาถ่านหินจ�านวน 1 กิโลกรัม ให้ความร้อน 4,000 กิโลแคลอรี ใหคะแนน
จะได้ว่า ปริมาณถ่านหิน = 3 × 1010 kcal
4,000 kcal/kg
ปริมาณถ่านหิน = 7.5 × 106 kg ขัน้ ประเมิน
ดังนั้น ต้องใช้ปริมาณถ่านหินจ�านวน 7.5 × 106 กิโลกรัม เพื่อให้ความร้อนที่เกิดขึ้นมีปริมาณเท่ากับ 1. ประเมินความรูเ กีย่ วกับเรือ่ ง ปฏิกริ ยิ านิวเคลียร
ความร้อนทีเ่ กิดจากมวลทีห่ ายไปของยูเรเนียม-235 ในปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์ฟชิ ชันจ�านวน 1.4 กรัม โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคําถาม การทํา
แบบฝกหัด และการสรุปสาระสําคัญ
Core Concept 2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา
ให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญ เรื่อง ศาสตรจากการคํานวณหาพลังงานนิวเคลียร
ปฏิกิริยานิวเคลียร์
Topic จากตัวอยางทีค่ รูกาํ หนดให และการนําความรู
Questions ที่ไดไปใชประโยชน
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ 3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต
1. การเกิดปฏิกริ ยิ าฟิชชันของธาตุหนึง่ ท�าให้ผลรวมของมวลหลังเกิดปฏิกริ ยิ าลดลง 0.075 u อยากทราบว่า พฤติกรรมความสนใจใฝรหู รืออยากรูอ ยากเห็น
ปฏิกิริยาฟิชชันของธาตุนี้คายพลังงานออกมาเท่าใด และจะต้องเกิดฟิชชันกี่ครั้งต่อวินาที จึงจะท�าให้ได้ การทํางานรวมกับผูอื่นอยางสรางสรรค
ก�าลังของงาน 931 วัตต์
2. เหตุใดปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์ฟวิ ชันบนดวงอาทิตย์จงึ ไม่สามารถท�าให้เกิดขึน้ ได้บนโลก และจะต้องท�าอย่างไร
หากต้องการให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันบนโลก
ฟิสิกส์อะตอม 163
จนกระทั่งนิวเคลียสทั้งสองอยูใกลกันมากและสามารถเอาชนะแรง แบบประเมินผลงานอินโฟกราฟิก
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินอินโฟกราฟิกของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ
ประเด็นที่ประเมิน
1. ผลงานตรงกับ
4
ผลงานสอดคล้องกับ
3
ผลงานสอดคล้องกับ
ระดับคะแนน
2
ผลงานสอดคล้องกับ
1
ผลงานไม่สอดคล้อง
ตองการทําใหเกิดฟวชันบนโลกจะตองใชหองปฏิบัติการและเครื่องมือ
............../................./................
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–16 ดีมาก
11–13 ดี
ที่มีประสิทธิภาพอยางเครื่องโทคาแมกเทานั้น 8–10
ต่ากว่า 8
พอใช้
ปรับปรุง
T175
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T176
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
3) ศึ 2. ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลเพิ่มเติมจากแหลง
1 กษาและวิจยั โดยใช้โคบอลต์-51 ในการศึกษาปริมาณของเม็ดเลือดแดงและปริ 2 มาณ
ของน�า้ เลือด (
ด (plasma) ในผู
) ในผูท้ ปี่ ว่ ยด้วยโรคต่าง ๆ หรือใช้ทริเทียมในการศึกษาโฟเลตทีจ่ บั กับโปรตีน ข อ มู ล สารสนเทศเกี่ ย วกั บ ประโยชน ข อง
(folate binding protein) ในเซรุ่มของสตรีมีครรภ์และผู้ที่ใช้ยาคุมก�าเนิด กัมมันตภาพรังสีในดานตางๆ โดยใหนักเรียน
3. การใช้กัมมันตภาพรังสีในด้านอุตสาหกรรม แบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ จดบั น ทึ ก เป น องค ค วามรู ล งในสมุ ด บั น ทึ ก
1) การถ่ายภาพด้วยรังสี (radiography) เมือ่ กัมมันตภาพรังสีผา่ นเข้าไปในส่วนทีต่ อ้ งการ ประจําตัว
ตรวจสอบ จะท�าให้เกิดภาพบนแผ่นฟิล์มที่มีความไวต่อรังสี วิธีการนี้ใช้ในการตรวจสอบรอยร้าว 3. ครู ข ออาสาสมั ค รนั ก เรี ย นออกมาหน า ชั้ น
ของวัตถุหนา ๆ เช่น ในการต่อเรือหรือต่อท่อต่าง ๆ เมื่อมีรอยรั่วหรือรอยร้าวเกิดขึ้น จะท�าให้การ เรียน จากนั้นอภิปรายผลการศึกษาเกี่ยวกับ
ดูดกลืนของรังสีในบริเวณนั้นแตกต่างออกไป จึงท�าให้เกิดภาพขึ้นบนแผ่นฟิล์ม ท�าให้สามารถหา ประโยชนของกัมมันตภาพรังสีที่ไดศึกษาจาก
ต�าแหน่งของรอยร้าวหรือรอยรั่วนั้นได้ หนังสือเรียนและแหลงขอมูลสารสนเทศ เพื่อ
2) ใช้เป็นหัววัด (gauge) การวัดความหนาของวัตถุเพื่อให้ผลผลิตทางอุตสาหกรรม เปนการศึกษารวมกันกับเพื่อนในชั้นเรียน
มีความรวดเร็วขึ้น โดยให้วัตถุที่ต้องการวัดนี้เคลื่อนที่ผ่านหัววัดอย่างสม�่าเสมอตามเกณฑ์ของ 4. ครูสุมนักเรียนแลวถามคําถามวา นอกเหนือ
หัววัดที่ตั้งไว้ แล้วต่อไปยังเครื่องมือบอกสัญญาณ เมื่อวัตถุมีขนาดผิดปกติก็จะมีสัญญาณเตือน จากหนั ง สื อ เรี ย นแล ว กั ม มั น ตภาพรั ง สี ยั ง
4. การใช้กัมมันตภาพรังสีหาอายุของวัตถุโบราณ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทาง สามารถนําไปใชประโยชนในดานใดไดอกี บาง
ฟิสกิ ส์หรือทางเคมีไม่ทา� ให้การสลายของธาตุกมั มันตรังสีเปลีย่ นแปลงกระบวนการ และการสลาย ในชีวิตประจําวัน
ของธาตุกัมมันตรังสีสามารถบอกเวลาได้แน่นอนจากค่าครึ่งชีวิต เช่น ถ้าต้องการทราบอายุของ
ซากดึกด�าบรรพ์หรือหินแร่ต่าง ๆ เราก็วัดกัมมันตภาพรังสีที่อยู่ในซากดึกด�าบรรพ์หรือหินแร่ที่
เราต้องการหาอายุ แล้วน�าไปค�านวณหาครึ่งชีวิตหรืออายุของสิ่งนั้น ซึ่งธาตุกัมมันตรังสีที่นิยม
ใช้ค�านวณหาครึ่งชีวิตของซากดึกด�าบรรพ์ เช่น คาร์บอน-14
Physics
โพแทสเซียม-40 และยูเรเนียม-238 in real life
5. การใช้กมั มันตภาพรังสีในการถนอมอาหาร โดยที่
กัมมันตภาพรังสีจะไปท�าลายหรือท�าให้จุลินทรีย์ที่ท�าให้อาหาร
เสียไม่ให้เจริญเติบโต ในปัจจุบันการใช้กัมมันตภาพรังสีในการ
ถนอมอาหารมี 2 วิธี ที่นิยมใช้กัน ดังนี้ ภาพที่ 7.28 สัญลักษณ์ที่ติด
1) ใช้กัมมันตภาพรังสีที่มีปริมาณสูงฉายลงไปบน บนบรรจุภัณฑ์อาหารที่ผ่าน
อาหาร เพื่อเป็นการถนอมอาหารให้เก็บรักษาได้นานขึ้น โดย การฉายรังสี
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ไม่ต้องเก็บไว้ในเครื่องท�าความเย็น
อาหารที่ ผ ่ า นการฉายรั ง สี จ ะ
2) ใช้กัมมันตภาพรังสีที่มีปริมาณต�่าฉายลงไปบน มีลัญลักษณ์ ดังภาพที่ 7.28
อาหาร เพื่อที่จะฆ่าเชื้อโรคในอาหารและสามารถถนอมอาหาร ปรากฏอยู่บนบรรจุภัณฑ์
ให้อยู่ในระยะเวลาอันสมควร
ฟิสิกส์อะตอม 165
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
5. ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลจากอินเทอรเน็ต 7.2 การใช้พลังงานนิวเคลียร์
เกีย่ วกับอาหารทีผ่ า นการฉายรังสี โดยสรุปองค
ความรูลงในกระดาษ A4 พรอมทั้งตกแตงให
สวยงาม เสร็จแลวตัวแทนเก็บรวบรวมสงครู
6. นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
ประโยชนของกัมมันตภาพรังสีจากทีไ่ ดรว มกัน
ศึกษาในดานตางๆ เชน การใชกมั มันตภาพรังสี
ในด า นเกษตรกรรม ด า นการแพทย ด า น โรงไฟฟานิวเคลียร์
อุตสาหกรรม ดานธรณีวิทยา ดานอาหาร โ รงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้ความร้อนจากปฏิกิริยาแตกตัวทางนิวเคลียร์หรือฟิชชัน (fission reaction) ท�าให้น�้ากลายเป็น
7. ครูใหนักเรียนคูเดิมที่ไดแบงไวแลวรวมกัน ไอน�้าที่มีแรงดันสูง แล้วส่งไอน�้าไปหมุนกังหันซึ่งต่อกับเครื่องก�าเนิดไฟฟ้า
ศึกษาเกี่ยวกับการใชพลังงานนิวเคลียรและ ประเภท
รั ง สี ใ นธรรมชาติ จากหนั ง สื อ เรี ย น โดย โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์ความดันสูง (Pressurized Water Reactor; PWR)
จดบั น ทึ ก สรุ ป องค ค วามรู ล งในสมุ ด บั น ทึ ก 2. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์น�้าเดือด (Boiling Water Reactor; BWR)
ประจําตัว 3. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์น�้ามวลหนัก (Pressurized Heavy Water Reactor; PHWR)
8. ครู เ ป ด วี ดิ ทั ศ น เ กี่ ย วกั บ การทํ า งานของโรง ปฏิกิริยา
ไฟฟานิวเคลียรใหนักเรียนไดศึกษาเพิ่มเติม ปฏิกิริยาฟิชชันเกิดจากการที่อนุภาคนิวตรอนพลังงานต�่าพุ่งชนนิวเคลียสของ
เพือ่ ใหเกิดความเขาใจเกีย่ วกับการทํางานและ ยูเรเนียม-235 นิวเคลียสจึงแตกตัวแล้วปลดปล่อยพลังงานออกมา และมีนิวตรอน
หลุดออกมา 2-3 ตัว ซึ่งนิวตรอนนี้จะพุ่งชนนิวเคลียสของยูเรเนียม-235 ตัวอื่น ๆ
สวนประกอบตางๆ ของโรงไฟฟานิวเคลียร ท�าให้เกิดปฏิกิริยาต่อเนื่อง เรียกว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่
มากยิ่งขึ้น
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์น�้าเดือด
9. ครูสุมนักเรียนอภิปรายผลการศึกษาเกี่ยวกับ อาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์ : กังหันไอน�้า : ต่อกับเครื่องก�าเนิดไฟฟ้า ระบบการท�างาน
การใชพลังงานนิวเคลียร ป้องกันไม่ให้รังสีออกสู่
1 ความร้อนจากปฏิกริ ยิ าฟิชชันถ่ายโอนให้แก่นา�้
สิ่งแวดล้อม
เครื่องก�าเนิดไฟฟ้า : ผลิตกระแสไฟฟ้า ที่อยู่ภายในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
2 นา�้ ทีไ่ ด้รบั ความร้อนจะมีอณุ หภูมสิ งู ขึน้ กลาย
3 เป็นไอน�า้ ความดันสูงซึง่ ไปหมุนกังหันไอน�า้
2
3 เมื่อกังหันไอน�้าหมุนจะท�าให้เครื่องก�าเนิด
5 ไฟฟ้าหมุน ส่งผลให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น
1 4 4 ไอน�้าถูกควบแน่นโดยเครื่องควบแน่นไอน�้า
แล้วส่งไปยังหอระบายความร้อน
5 นา�้ ถูกท�าให้เย็นลงแล้วถูกส่งกลับไปยังเครือ่ ง
เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ : ภายใน หอระบายความร้อน : ท�าให้นา้� เย็นลงเพือ่
บรรจุเชือ้ เพลิง แท่งควบคุม และน�า้ ส่งกลับไปใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ปฏิกรณ์นิวเคลียร์
T178
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
7.3 รัง สีในธรรมชาติ 10. ครูใหนกั เรียนแตละคูอ อกแบบและสรางสรรค
รอบตัวเรามีรงั สีทมี่ าจากแหล่งก�าเนิดหลายแหล่ง เช่น รังสีจากนอกโลก เรียกว่า รังสีคอสมิก ผลงานในการนําเสนอเกี่ยวกับอันตรายจาก
(cosmic rays) โดยแหล่งก�าเนิดใหญ่ที่สุด คือ ดวงอาทิตย์ รังสีที่เกิดขึ้นบนโลก เป็นรังสีจาก รังสีลงในกระดาษ A4 พรอมทั้งตกแตงให
ไอโซโทปของธาตุกัมมันตรังสีที่มาจากดิน หิน น�้า และแกส เช่น โพแทสเซียม-40 รูบิเดียม-87 สวยงาม
ยูเรเนียม-238 เรดอน-220 นอกจากนี้ ยังมีรังสีที่มนุษย์ พืช และสัตว์ สร้างขึ้นตามธรรมชาติ 11. ครู สุ ม นั ก เรี ย นออกมานํ า เสนอผลงานของ
ด้วย เช่น ทริเทียม คาร์บอน-14 โพแทสเซียม-40 ทอเรียม-232 โดยปริมาณรังสีที่มนุษย์สร้างขึ้น ตนเองหนาชั้นเรียน โดยครูคอยสังเกตการณ
จะแตกต่างกันไปตามสภาพที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม และยาชนิดต่าง ๆ และให คํ า แนะนํ า เมื่ อ นั ก เรี ย นสงสั ย หรื อ
1. อันตรายจากรังสี อันตรายที่เกิดต่อร่างกายเมื่อได้รับกัมมันตภาพรังสีจะขึ้นอยู่กับ ตองการความชวยเหลือ
ปริมาณของกัมมันตภาพรังสีในช่วงเวลาทีร่ า่ งกายได้รบั และส่วนของร่างกายทีร่ บั กัมมันตภาพรังสี ลงมือทํา (Doing)
นั้น หากได้รับปริมาณรังสีเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ ดังภาพที่ 7.30
12. ครูใหนักเรียนคูเดิมรวมกันศึกษาแบบฝกหัด
เปรียบเทียบปริมาณการได้รับรังสี Topic Questions จากหนังสือเรียน โดยครู
10 Sv เสียชีวิตภายใน 2-3 สัปดาห์ มอบหมายใหนักเรียนแตละคนเขียนแสดงวิธี
การแกโจทยปญ หาลงในสมุดบันทึกประจําตัว
6 Sv ระดั บปริมาณรังสีที่ท�าให้ผู้ปฏิบัติงานในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล
เสียชีวิตภายในเวลา 1 เดือน 13. ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาทําความเขาใจ
5 Sv ปริ มาณรังสีที่ได้รับในครั้งเดียวที่ท�าให้ผู้ได้รับรังสีเสียชีวิตร้อยละ 50
ภายในเวลา 1 เดือน เกี่ ย วกั บ ปฏิ กิ ริ ย านิ ว เคลี ย ร เ พิ่ ม เติ ม จาก
1 Sv ปริ มาณรังสีที่ได้รับในครั้งเดียวที่สามารถท�าให้เกิดอาการเจ็บป่วยทางรังสี
และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าเพิ่ ม เติ ม วิ ท ยาศาสตร
0.4 Sv ปริ มาณรังสีที่ตรวจวัดได้ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ต่อมไทรอยด์ : มีความเสีย่ ง และเทคโนโลยี ฟสิกส ม.6 เลม 2 หนวยการ
(ของประเทศญี่ปุ่นหลังเกิดอุบัติเหตุ) ที่จะท�าให้เกิดโรคมะเร็งสูง
เรียนรูที่ 7 ฟสิกสนิวเคลียร
0.35 Sv การได้ รับรังสีของผู้ที่พักอาศัยในเขตพื้นที่เชอร์โนบิล
ซึ่งย้ายทีอ่ ยู่ออกมา
เนื่องจากไทรอยด์ได้รับสาร
กัมมันตรังสี ไอโอดีน-131
0.10 Sv ขีในช่
ดจ�ากัดการได้รับรังสีส�าหรับผู้ปฏิบัติงานรังสีตลอด
วง 5 ปี ติดต่อกัน ปอด : เกิดการอักเสบ ติดเชือ้
และเกิดแผลในปอด
การตรวจทั้งร่างกายด้วยเครื่องถ่ายภาพรังสีส่วน
0.01 Sv ตัดอาศัยคอมพิวเตอร์ต่อครั้ง เซลล์เม็ดเลือดแดง : เกล็ด
เลือดต�่ามีภาวะเลือดออก
0.002 Sv รังสีในธรรมชาติโดยทั่วไปต่อปี
กระเพาะอาหาร : คลื่นไส้
0.0004 เอกซเรย์เต้านมต่อครั้ง อาเจียน มีเลือดออกภายใน
Sv
0.0001 เอกซเรย์ทรวงอกต่อครั้ง ล�าไส้เล็ก/ล�าไส้ใหญ่ : ท้องร่วง
Sv มีเลือดออก เยื่อบุล�าไส้ถูก
ท�าลาย
0.00001 เอกซเรย์ฟนั ต่อครั้ง
Sv ไขกระดูก : เม็ดเลือดขาว
*ซีเวิร์ต (Sv) เป็นหน่วยของปริมาณรังสีสมมูล ลดลง (ถึง 50% ภายใน 48
ชั่วโมง) น�าไปสู่ภาวะความ
ภาพที่ 7.30 ปริมาณการได้รับรังสีและ เสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ
ผลกระทบของรังสีต่อร่างกายมนุษย์
ที่มา : สํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ
ฟิสิกส์อะตอม 167
T179
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ลงข อ สรุ ป โดยให
นักเรียนอธิบายสรุปความรูเกี่ยวกับประโยชน 2. การป้องกันอันตรายจากรังสี อันตรายจากกัมมันตภาพรังสีขนึ้ อยูก่ บั หลายปัจจัย เช่น
และอันตรายของรังสีและพลังงานนิวเคลียร ปริมาณพลังงานของกัมมันตภาพรังสีต่อมวลที่ถูกรังสี และความส�าคัญของอวัยวะส่วนที่ได้รับ
ที่ ไ ด ศึ ก ษามาแล ว พร อ มทั้ ง ยกตั ว อย า ง กัมมันตภาพรังสี แต่ถ้าน�ากัมมันตภาพรังสีไปใช้อย่างถูกวิธีก็จะมีประโยชน์ในหลายด้าน ดังนั้น
สถานการณในชีวิตประจําวันที่เกี่ยวของเพื่อ ผู้ที่จะน�ากัมมันตภาพรังสีไปใช้ประโยชน์ต้องมีความรู้เรื่องกัมมันตภาพรังสีเป็นอย่างดี รู้จักวิธีใช้
ทดสอบความเขาใจ อย่างปลอดภัย และทราบถึงวิธปี อ้ งกันอันตรายจากกัมมันตภาพรังสีเหล่านัน้ โดยหลักการป้องกัน
2. ครู เ ป ด โอกาสให นั ก เรี ย นสอบถามเนื้ อ หาที่ อันตรายจากรังสีตามหลักของ ALARA (As Low As Reasonably Achievable) มี 3 ข้อ ดังนี้
ยังไมเขาใจหรือสงสัย จากนั้นครูอาจจะใช 1) เวลา (time) การปฏิบตั งิ านทางด้านรังสีตอ้ งใช้เวลาน้อยทีส่ ดุ เพือ่ ป้องกันไม่ให้รา่ งกาย
PowerPoint เรื่อง ประโยชนและอันตรายของ ได้รับรังสีเกินมาตรฐานที่ก�าหนดไว้ส�าหรับบุคคล
รังสีและพลังงานนิวเคลียร มาเปดใหนักเรียน 2) ระยะทาง (distance) ความเข้มของรังสีจะเปลีย่ นแปลงลดลงไปตามระยะทางจากสาร
ดูประกอบเพื่อชวยในการอธิบายใหเขาใจมาก ต้นก�าเนิดรังสี ส�าหรับต้นก�าเนิดรังสีที่เป็นจุดเล็ก ๆ ค่าความเข้มที่ลดลงจะแปรผกผันกับระยะทาง
ยกก�าลังสอง
ยิ่งขึ้น
3) เครือ่ งก�าบัง (shield) ความเข้มของรังสีเมือ่ ผ่านเครือ่ งก�าบังจะลดลง แต่จะมากหรือ
3. ครูใหนักเรียนสรุปความรูเกี่ยวกับประโยชน
น้อยขึ้นอยู่กับพลังงานของรังสี สมบัติ ความหนาแน่น และความหนาของวัตถุที่ใช้เป็นก�าบัง
และอันตรายของรังสีและพลังงานนิวเคลียร
โดยสรางสรรคออกมาในรูปแบบของแผนพับ ในการท�างานทีเ่ กีย่ วกับรังสีนนั้ ตามปกติมกั ใช้หนุ่ ยนต์หรือแขนกลสัมผัสธาตุกมั มันตรังสี
ความรู ลงในกระดาษ A4 พรอมทั้งตกแตงให แทนการใช้มนุษย์ โดยผู้ควบคุมหุ่นยนต์จะอยู่ห่างออกไปแล้วใช้ระบบรีโมตหรืออิเล็กทรอนิกส์
สวยงาม เสร็จแลวนําสงครูเพือ่ ตรวจใหคะแนน ควบคุมการท�างานของแขนกล ปัจจุบนั ได้มกี ารน�ารังสีจากธาตุกมั มันตรังสีมาใช้กนั อย่างแพร่หลาย
และมีแนวโน้มทีจ่ ะใช้มากยิง่ ขึน้ ในอนาคต จึงจ�าเป็นทีจ่ ะต้องหาทางป้องกันและศึกษาอันตรายทีเ่ กิด
ขัน้ ประเมิน จากรังสีเหล่านั้น ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้รังสีจากสารกัมมันตรังสีเป็นประโยชน์และปลอดภัยต่อบุคคล
ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
1. ประเมินความรูเกี่ยวกับเรื่อง ประโยชนและ
Core Concept
อันตรายของรังสีและพลังงานนิวเคลียร โดย
ให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญ เรื่อง
สั ง เกตพฤติ ก รรมการตอบคํ า ถาม การทํ า ประโยชน์และอันตรายของรังสีและพลังงาน
แบบฝกหัด และการสรุปสาระสําคัญ นิวเคลียร์
2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา Topic
Questions
ศาสตร จ ากการสื บ ค น ข อ มู ล และนํ า เสนอ
ผลการศึกษาเกีย่ วกับการใชพลังงานนิวเคลียร ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. รังสีในธรรมชาติมีรังสีใดบ้าง และสามารถป้องกันอันตรายจากรังสีเหล่านั้นได้อย่างไร
และการนําความรูที่ไดไปใชประโยชน 2. หากได้รบั การบ�าบัดโรคด้วยสารกัมมันตรังสีหรือมีถนิ่ ฐานอยูใ่ กล้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะท�าให้รา่ งกายของ
3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต เราได้รับผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสีต่าง ๆ หรือไม่ อย่างไร
พฤติกรรมความสนใจใฝรหู รืออยากรูอ ยากเห็น 3. กัมมันตภาพรังสีเกี่ยวข้องกับการกลายพันธุ์ของมนุษย์และสัตว์อย่างไร
การทํางานรวมกับผูอื่นอยางสรางสรรค
168
1. ผลงานตรงกับ
4
ผลงานสอดคล้องกับ
จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น
3
ผลงานสอดคล้องกับ
ระดับคะแนน
2
ผลงานสอดคล้องกับ
จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น
1
ผลงานไม่สอดคล้อง
กับจุดประสงค์
2. การที่รางกายไดรับรังสีเขาไปในปริมาณเล็กนอย อาจไมสงผลกระทบ
ตอชีวติ โดยทันที แตหากมีการสะสมหรือไดรบั รังสีเขาสูร า งกายอยูเ สมอ
คะแนน 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ระดับคุณภาพ ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ลาดับที่ รายการประเมิน 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
ซึ่งจะทําใหปริมาณของรังสีในรางกายสูงขึ้นและสงผลเสียตอรางกาย
แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
ระบบ
3 ความคิดสร้างสรรค์
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
4 ความเป็นระเบียบ
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
รวม
ของเราอยางแนนอน ถึงขั้นเสียชีวิตได
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
3. การแผรังสีอาจทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอในเซลลใดๆ ได
............../................./................
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–16 ดีมาก
11–13 ดี
8–10
ต่ากว่า 8
พอใช้
ปรับปรุง ความเสียหายและการตายของเซลล อันเปนผลมาจากการกลายพันธุ
ในเซลลรางกาย เกิดขึ้นเฉพาะในสิ่งมีชีวิตที่เกิดการกลายพันธุ โดยจะ
เกิดขึ้นในเซลลสืบพันธุ (อสุจิและไข) ซึ่งสามารถถายทอดสงตอไปยัง
T180 คนรุนตอไป อาจไมปรากฏทันทีแตจะเห็นผลไดในหลายๆ รุนตอไป
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T181
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
3. ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลเพิ่มเติมจากแหลง ควาร์กมีทั้งหมด 6 ชนิด และควาร์กแต่ละชนิดจะมีแอนติควาร์ก (antiquark) ซึ่งมีมวลเท่า
ขอมูลสารสนเทศเกี่ยวกับอนุภาคมูลฐาน โดย กับควาร์ก แต่จะมีประจุไฟฟ้าและสมบัติบางประการตรงกันข้ามกับประจุไฟฟ้าและสมบัตินั้น ๆ
ใหนกั เรียนจดบันทึกเปนองคความรูล งในสมุด ของควาร์ก เช่นเดียวกับอนุภาคอื่น ๆ เช่น อิเล็กตรอนก็จะมีแอนติอิเล็กตรอน คือ โพซิตรอน
บันทึกประจําตัว ดังนั้น อนุภาคกลุ่มควาร์กจะมีทั้งหมด 12 ชนิด สามารถสรุปได้ ดังตารางที่ 7.4
4. ครูใหนักเรียนนําโทรศัพทมือถือขึ้นมาสแกน ตารางที่ 7.4 : ชนิดและขอมูลเบื้องตนของอนุภาคกลุ่มควาร์ก
QR Code เรื่อง ควารก จากหนังสือเรียน เพื่อ ควาร์ก แอนติควาร์ก
ศึกษาขอมูลเพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัล ชนิด มวล
สัญลักษณ์ ประจุไฟฟ้า สัญลักษณ์ ประจุไฟฟ้า
5. ครูสุมนักเรียนออกมาหนาชั้นเรียน จากนั้น
ครูใหนักเรียนเขียนแผนผังแสดงการจําแนก อัป (Up) u + 23 e u - 23 e 1.5-3.3 MeV/c2
อนุภาคมูลฐานแตละประเภทวามีอะไรบางบน ดาวน์ (Down) d - 13 e d + 13 e 3.5-6.0 MeV/c2
กระดานหนาชั้นเรียน
6. ครูสมุ ตัวแทนนักเรียนในชัน้ เรียน แลวใหยนื ขึน้ ชาร์ม (Charm) c + 23 e c - 23 e 1.16-1.34 GeV/c2
อภิปรายสิ่งที่เพื่อนเขียนบนกระดาน แลวตอบ สเตรนจ์ (Strange) s - 13 e s + 13 e 70-130 MeV/c2
ครูวา สิ่งที่เพื่อนเขียนนั้นถูกทั้งหมดหรือมีจุด
ไหนผิดบาง และจุดทีผ่ ดิ ควรจะแกไขเปนอะไร ท็อป (Top) t + 23 e t - 23 e 169.0-173.6 GeV/c2
7. ครูใหนักเรียนจดบันทึกตารางแสดงชนิดและ บอตทอม (Bottom) b - 13 e b + 13 e 4.13-4.37 GeV/c2
ขอมูลเบื้องตนของอนุภาคกลุมควารก จาก
หนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว เมื่อควาร์ก 3 อนุภาค มารวมกัน โดยยึดเหนี่ยวกันไว้ด้วยอันตรกิริยาอย่างเข้มหรือแรงเข้ม
8. ครูสมุ นักเรียนใหออกมาเขียนแสดงการรวมกัน (strong force) จะก่อให้เกิดอนุภาคใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่า เป็นอนุภาคที่อยู่ในกลุ่มแบริออน เช่น
ของควารกแตละชนิดเปนอนุภาคหนึ่งๆ ตาม โปรตอน นิวตรอน และเมื่อควาร์ก 1 อนุภาค รวมกับแอนติควาร์ก 1 อนุภาค จะก่อให้เกิดอนุภาค
ที่ครูกําหนดให พรอมทั้งแสดงวิธีการคํานวณ ในกลุ่มมีซอน เช่น ไพออน (pion) เคออน (kaon) ดังภาพที่ 7.31
เพื่อตรวจสอบประจุไฟฟาของอนุภาคนั้นๆ q = 23 e + 23 e + (- 13 e) u u u d q = 23 e + (- 13 e) + (- 13 e)
q = +1e d d q = 0
p (ก) n
q = 23 e + 13 e u u s q = (- 23 e) + (- 13 e)
d
q = +1e q = -1e
π+ (ข) K-
ภาพที ่ 7.31 ควาร์กองค์ประกอบของอนุภาคกลุม
่ แบริออน (ก) และกลุม่ มีซอน (ข)
ที่มา : คลังภาพ อจท.
170 ควารก
T182
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
แรงเข้มเกิดจากการแลกเปลี่ยนอนุภาคส่งถ่ายแรงหรืออนุภาคที่เป็นสื่อของแรงระหว่าง 9. ครู สุ ม ตั ว แทนนั ก เรี ย นแล ว ถามคํ า ถามกั บ
ควาร์กในนิวตรอนและควาร์กในโปรตอน เรียกว่า กลูออน (gluon) กระบวนการนี้ท�าให้นิวเคลียส นักเรียนวา
ตรึงอยู่ด้วยกันได้ คล้ายกับที่อะตอมจับตัวกันกลายเป็นโมเลกุล • กลูออนคืออะไร และมีประโยชนอยางไร
นักฟิสกิ ส์ได้ศกึ ษาและค้นพบอีกว่า ควาร์กยังสามารถเกิดการสลายได้ เช่น กรณีการสลายให้ (แนวตอบ กลูออน คือ อนุภาคสงถายแรง
อนุภาคบีตาลบของนิวเคลียสกัมมันตรังสี เป็นผลท�าให้นวิ ตรอนกลายเป็นโปรตอนภายในนิวเคลียส หรื อ อนุ ภ าคที่ เ ป น สื่ อ ของแรงเข ม มี
เนื่องจากนิวตรอนเกิดจากการรวมตัวของอัปควาร์ก 1 อนุภาค กับดาวน์ควาร์ก 2 อนุภาค ประโยชน ใ นการยึ ด ควาร ก ในอนุ ภ าค
และโปรตอนเกิดจากการรวมตัวของอัปควาร์ก 2 อนุภาค กับดาวน์ควาร์ก 1 อนุภาค เมือ่ พิจารณา โปรตอนและควาร ก ในอนุ ภ าคนิ ว ตรอน
การเปลี่ยนแปลงในระดับอนุภาคมูลฐานของนิวตรอน พบว่า ดาวน์ควาร์ก 1 อนุภาค กลายเป็น ให อ ยู ร วมกั น ได คล า ยกั บ อะตอมที่ จั บ
อัปควาร์ก 1 อนุภาค พร้อมกับมีการปล่อยอนุภาค W-โบซอน เวลา p ตัวกันกลายเปนโมเลกุล)
udu ν
(W -) ออกมา จากนั้นอนุภาค W - นี้จะสลายตัวกลายเป็น e- 10. ครูสุมนักเรียนอภิปรายผลการศึกษาเกี่ยวกับ
อิเล็กตรอนและแอนตินิวทริโน ดังภาพที่ 7.32 และสามารถ ประโยชนของกัมมันตภาพรังสีทไี่ ดศกึ ษาจาก
เขียนเป็นสมการความสัมพันธ์ได้ ดังนี้ W- หนังสือเรียนและแหลงขอมูลสารสนเทศ เพื่อ
d u + W- u dnd เปนการศึกษารวมกันกับเพื่อนในชั้นเรียน
ต�าแหน่ง
W - -10e + ν ภ
าพที่ 7.32 การสลายตัวของ 11. ครูใหนกั เรียนศึกษาทบทวนเกีย่ วกับการสลาย
นิวตรอนกลายเป็นโปรตอน ใหอนุภาคบีตาอีกครัง้ เพือ่ นํามาอธิบายอันตร-
กล่าวได้ว่า การสลายให้อนุภาคบีตาลบของนิวเคลียส ที่มา : คลังภาพ อจท.
กิรยิ าอยางออนทีเ่ กิดจากการแลกเปลีย่ นของ
กัมมันตรังสี เป็นผลของอันตรกิริยาอย่างอ่อนหรือแรงอ่อน (weak force) โดยแรงอ่อนเป็นแรง
อนุภาค W-โบซอน และ Z-โบซอน
กระท�าภายในแต่ละนิวคลีออน จึงเป็นแรงกระท�าในระยะใกล้กว่าแรงเข้ม ส่งผลให้ทกุ สิง่ อยูร่ วมกัน
12. ครูใหนกั เรียนจดบันทึกแบบจําลองมาตรฐาน
ได้ในนิวเคลียส แรงอ่อนเกิดจากการแลกเปลี่ยนของอนุภาค W-โบซอน และ Z-โบซอน
จากหนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว
แรงพื้นฐานในธรรมชาติ (fundamental forces) มี 4 รูปแบบ ดังตารางที่ 7.5 จากนัน้ ครูสมุ ตัวเลขซึง่ แทนเลขทีข่ องนักเรียน
ตารางที่ 7.5 : แรงพื้นฐานในธรรมชาติทั้ง 4 รูปแบบ
โดยใครมีเลขที่ตรงกับตัวเลขที่ครูสุมไดให
สื่อของแรง
ออกไปหนาชัน้ เรียน แลวอธิบายความสัมพันธ
แรง ส่งผลต่ออนุภาค ระหวางแรงกับอนุภาคมูลฐานในรูปแบบของ
อนุภาคแลกเปลี่ยน มวล (GeV/c2)
แบบจําลองมาตรฐาน
แรงเข้ม ควาร์ก กลูออน (g) 0
+ - 13. ครูใหนักเรียนกลับไปศึกษาคนควาเพิ่มเติม
W-โบซอน (W , W ) 80.4, 80.4
แรงอ่อน ควาร์กและเลปตอน 0 เกี่ยวกับอนุภาคฮิกส (Higgs particle) จาก
Z-โบซอน (Z ) 91.2
แหลงขอมูลสารสนเทศตางๆ แลวนําขอมูลที่
แรงแม่เหล็กไฟฟ้า อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า โฟตอน (γ) 0
ไดมาเขียนสรุปลงในสมุดบันทึกประจําตัว
แรงโน้มถ่วง สสารทั้งหมด กราวิตอน (G) 0
ฟิสิกส์อะตอม 171
T183
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
14. ครูใหนักเรียนนับเลข 1-6 วนไปเรื่อยๆ จน แบบจ�ำลองมำตรฐำนนอกจำกใช้อธิบำยพฤติกรรมของอนุภำคมูลฐำนแล้ว ยังสำมำรถใช้
ครบทุกคน จากนั้นใหนักเรียนแยกเขากลุม อธิบำยอันตรกิริยำหรือแรงพื้นฐำนในธรรมชำติทั้ง 3 รูปแบบ ที่เกิดขึ้นระหว่ำงอนุภำคมูลฐำน
ตามหมายเลขที่ตนเองนับ ได้ด้วย นั่นคือ แรงแม่เหล็กไฟฟ้ำ แรงอ่อน และแรงเข้ม โดยสำมำรถแสดงควำมสัมพันธ์ของแรง
15. ครู ม อบหมายให แ ต ล ะกลุ ม ร ว มกั น สื บ ค น ที่เกี่ยวข้องกับอนุภำคมูลฐำนในรูปแบบของแบบจ�ำลองมำตรฐำนได้ ดังภำพที่ 7.33
ขอมูลและศึกษาตามหัวขอที่ครูกําหนดให
Physics
ตอไปนี้ ทั้งจากหนังสือเรียนและอินเทอรเน็ต
• กลุม หมายเลข 1 กับ 4 ศึกษาหัวขอ การใช
u c t
2.3 M
up
2/3
1/2
1.27 G
charm
2/3
1/2
173.1 G
top
2/3
1/2
Mass: eV/c2
Charge
Spin
Name
Hhiggs
126 G
0
0 in real life
ปัจจุบันยังมีอนุภำคมูลฐำนที่
ควำร์ก
d s b g
แรงเข้ม
4.8 M 95 M 4.2 G 0
แรงแม่เหล็กไฟฟ้ำ
เครื่องเรงอนุภาคในการรักษาโรคมะเร็ง down
-1/3
1/2
strange
-1/3
1/2
bottom
-1/3
1/2
gluon
0
1 ค้นพบใหม่ คือ อนุภำคฮิกส์
• กลุม หมายเลข 2 กับ 5 ศึกษาหัวขอ การใช (Higgs particle) หรืออนุภำค
เครื่องถายภาพรังสีระนาบดวยการปลอย e μ τ
0.511 M
electron
-1
1/2
105.7 M
muon
-1
1/2
1.78 M
tan
-1
1/2 γphoton
0
0
1 พระเจ้ำ (God particle) ที่พบ
เลปตอน
w w ในสนำมฮิกส์และมีอำยุเพียง
แรงอ่อน
โพซิตรอนในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง νe ν μ ν τ
< 2.2
0
0.17 M
0
< 15.5 M
0
80.4 G
± 1
91.2 G
0
e neutrino
1/2 1/2
μ neutrino τ neutrino
1/2
W boson Z boson
1 1
หนึ่งส่วนล้ำนล้ำนวินำที สร้ำง
• กลุม หมายเลข 3 กับ 6 ศึกษาหัวขอ การใช ได้จำกกำรชนกันของอนุภำค
เครื่องเอกซเรยคอมพิวเตอรในการตรวจ เฟร์มิออน โบซอน โปรตอนในเครื่องเร่งอนุภำค
วัตถุอันตรายในสนามบิน ภ
าพที่ 7.33 แบบจ�ำลองมำตรฐำนของอนุภำคมูลฐำน LHC ของศูนย์วิจัย CERN
ที่มา : https://physik.uzh.ch
16. ครูใหนกั เรียนตัวแทนกลุม ออกมารับกระดาษ
ฟลิปชารตและอุปกรณหนาชั้นเรียน จากนั้น 8.2 ประโยชน์ด้านฟิสิกส์อนุภาค
ครู ม อบหมายให แ ต ล ะกลุ ม เขี ย นสรุ ป กำรค้นคว้ำวิจัยด้ำนฟิสิกส์อนุภำคน�ำไปสู่กำรพัฒนำเทคโนโลยีที่น�ำมำใช้ประโยชน์ในด้ำน
องคความรูหรือหลักการทํางานตางๆ ของ ต่ำง ๆ เช่น ด้ำนกำรแพทย์ ด้ำนกำรรักษำควำมปลอดภัย
เครือ่ งมือทีก่ ลุม ตนเองศึกษา พรอมทัง้ ตกแตง 1. การใช้เครื่องเร่งอนุภาคในการรักษาโรคมะเร็ง หรือกำรรักษำมะเร็งโดยใช้โปรตอน
ใหสวยงาม (proton therapy) หลักกำรท�ำงำน คือ อนุภำคโปรตอนมำจำกนิวเคลียสของไฮโดรเจนจะถูกเร่ง
ในเครือ่ งเร่งอนุภำค (ไซโคลตรอนหรือซินโครตรอน) โดยจะเร่งควำมเร็วของโปรตอนให้มคี วำมเร็ว
ประมำณ 2 ใน 3 ของควำมเร็วแสง จึงจะถูกปล่อยผ่ำนท่อน�ำซึ่งบังคับด้วยทิศทำงของสนำม
แม่เหล็กไปยังจุดทีถ่ กู บังคับทิศทำงไปยังเซลล์ทตี่ อ้ งกำรฉำยรังสี รังสีแพทย์จะต้องค�ำนวณ Bragg
Peak ของรังสีให้อนุภำคโปรตอนนั้นถ่ำยเทพลังงำนแก่เซลล์มะเร็งให้ได้มำกที่สุด จุดเด่นของ
อนุภำคโปรตอน คือ เมือ่ ผ่ำนตัวกลำงหรือผิวผูป้ ว่ ยเข้ำไป ตัวกลำงจะดูดกลืนปริมำณรังสีนอ้ ยมำก
ท�ำให้ตวั กลำงหรือเนือ้ เยือ่ ทีเ่ ป็นทำงผ่ำนและอยูต่ ดิ กับก้อนมะเร็งได้รบั ปริมำณรังสีนอ้ ย จนกระทัง่
ถึงปลำยพิสัย หรือจุดที่อนุภำคโปรตอนหยุดเคลื่อนที่ในตัวกลำงจะเป็นต�ำแหน่งที่ตัวกลำงดูดกลืน
ปริมำณรังสีสูงมำก โดยทั่วไปจะก�ำหนดให้จุดปลำยพิสัยนี้ตรงกับต�ำแหน่งของก้อนมะเร็ง เพื่อให้
รังสีพงุ่ เข้ำไปยังก้อนมะเร็งเท่ำนัน้ ท�ำให้ตวั กลำงหรือเนือ้ เยือ่ ทีอ่ ยูห่ ลังต่อจำกก้อนมะเร็งแทบจะไม่
ได้รับรังสีเลย ซึ่งเป็นข้อดีเหนือกำรรักษำด้วยรังสีเอกซ์ทั่วไป ดังภำพที่ 7.34
172
T184
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
17. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมานําเสนอผล
รังสีที่ฉายเข้า รังสีที่ฉายเข้า
การศึกษาของกลุมตนเองหนาชั้นเรียน โดย
ในขณะที่แตละกลุมนําเสนอผลงาน ครูคอย
เนื้องอก เนื้องอก
สังเกตการณและใหคําแนะนําเมื่อนักเรียน
รังสีที่ออกมา สงสัยหรือมีความเขาใจที่คลาดเคลื่อน
(ก) (ข) 18. ครูใหนักเรียนทุกคนลงคะแนนโหวตผลงาน
การศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ ประโยชน ด า นฟ สิ ก ส
ภาพที่ 7.34 การเปรียบเทียบการฉายรังสีด้วยโฟตอน (ก) และอนุภาคโปรตอน (ข)
ที่มา : https://www.chulacancer.net อนุภาคของแตละกลุม โดยกลุมที่มีคะแนน
โหวตมากที่สุด 3 ลําดับแรก ครูจะมีรางวัล
2. การใช้เครื่องถ่ายภาพรังสีระนาบด้วยการปล่อยโพซิตรอนในการวินิจฉัยโรค พิเศษให
มะเร็ง (Positron Emission Tomography; PET) เป็นเทคนิคที่ช่วยสร้างภาพทางการแพทย์
19. ครู นํ า นั ก เรี ย นอภิ ป รายความรู เ กี่ ย วกั บ
ซึ่งแสดงผลเป็นภาพ 3 มิติ เพื่อใช้วิเคราะห์ความผิดปกติต่าง ๆ ของร่างกาย ภาพที่ได้จาก PET
จะแสดงให้เห็นถึงอัตราที่เซลล์ของร่างกายถูกท�าลายและการใช้ปริมาณน�้าตาล หรือเรียกว่า ประโยชน ด า นฟ สิ ก ส อ นุ ภ าคอี ก ครั้ ง เพื่ อ
การเผาผลาญอาหาร (metabolism) ซึ่งเซลล์มะเร็งจะมีอัตราการเผาผลาญน�้าตาลที่สูงกว่าเซลล์ เปนการขมวดความรู
ปกติมาก การสร้างภาพด้วย PET จะแสดงให้เห็นถึงการเผาผลาญอาหารของเซลล์ที่ผิดปกตินี้
ส�าหรับวิธีการสร้างภาพด้วย PET ผู้ป่วยจะถูกฉีดสารละลายกลูโคสที่มีสารกัมมันตรังสี
(ที่มีการสลายให้อนุภาคโพซิตรอน) ในปริมาณเล็กน้อยเข้าไปในกระแสเลือด เรียกสารนี้ว่า
ไอโซโทปรังสี PET สารกัมมันตรังสีจะกระจายไปสูอ่ วัยวะหรือส่วนของร่างกายของผูป้ ว่ ย โพซิตรอน
ที่ปลดปล่อยออกมาระหว่างการสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีในสารละลายกลูโคสหนึ่งจะถูก
ท�าลายหรือหักล้างด้วยอิเล็กตรอน (แอนติโพซิตรอน) ที่อยู่ในเนื้อเยื่อรอบข้าง ส่งผลให้เกิดรังสี
แกมมา 2 โฟตอน ที่แผ่ออกมาในทิศทาง
ตรงกันข้าม (+10e + -10e 2γ) แล้วเครื่อง หัววัด
ตรวจจับรังสีแกมมาที่ล้อมรอบผู้ป่วยอยู่จะ
ได้ รั บ สั ญ ญาณโฟตอนของรั ง สี แ กมมานั้ น
ส่งไปที่คอมพิวเตอร์ จากนั้นคอมพิวเตอร์จะ
ประมวลผล แล้วแสดงเป็นภาพ 3 มิติ ของ หัววัด
แหล่งที่น�้าตาลกลูโคสสะสมอยู่ โดยที่การ
เผาผลาญกลูโคสอย่างรวดเร็วในเซลล์มะเร็ง
และสะสมอยู ่ บ ริ เ วณนั้ น จะเป็ น สั ญ ญาณ
ที่เข้มมากส�าหรับระบบตรวจวัดด้วย PET ภาพที ่ 7.35 หัววัดทีอ่ ยูต่ รงข้ามกันจะตรวจวัดรังสีแกมมา
ดังภาพที่ 7.35 ที่แผ่ออกมาจากผู้ป่วย
ที่มา : คลังภาพ อจท. ฟิสิกส์อะตอม 173
T185
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
20. ครูใชคําถามใหนักเรียนอธิบายสิ่งที่นักเรียน 3. การใช้เครือ่ งเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ในการตรวจวัตถุอนั ตรายในสนามบิน การตรวจ
ไดเรียนรูเกี่ยวกับเรื่อง การคนควาวิจัยดาน คัดกรองความปลอดภัยที่สนามบินมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันสินค้าหรือวัตถุอันตรายเข้าสู่
ฟสิกสอนุภาค โดยครูสุมนักเรียนจํานวนหนึ่ง เครือ่ งบินและเพือ่ ให้แน่ใจว่า ทุกเทีย่ วบินจะไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย ดังนัน้ ผูโ้ ดยสาร
ออกมาหนาชั้นเรียนเพื่ออธิบายผลการศึกษา ทุกคนจะต้องเดินผ่านเครื่องตรวจจับโลหะก่อนที่จะเข้าสู่บริเวณประตูและสแกนกระเปาถือหรือ
ในแตละหัวขอ กระเปาสัมภาระที่เช็กอินด้วยเครื่องเอกซเรย์
21. เมื่อนักเรียนอธิบายผลการศึกษาตามความ หลักการท�างาน คือ เครื่องจะผลิตรังสีเอกซ์ด้วยหลอดชนิดพิเศษ ซึ่งภายในหลอด
เขาใจของนักเรียนแลว ครูอาจยกตัวอยาง เรียงรายไปด้วยตะกั่ว ภายในตะกั่วมีช่องว่างแคบ ๆ ประมาณ 1 เซนติเมตร ซึ่งเป็นช่องที่
หรือปรับเปลีย่ นสถานการณจากตัวอยางทีไ่ ด รังสีเอกซ์จะพุง่ เข้ามาในอุโมงค์สายพานล�าเลียง
ศึกษา แลวใหนักเรียนอธิบายสิ่งที่เหมือน จากนั้นสายพานจะบรรจุสัมภาระแต่ละชิ้นแล้ว
และสิ่งที่แตกตาง เคลื่อนที่ผ่านล�าของรังสีเอกซ์ที่พุ่งออกมาจาก
22. ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาทําความเขาใจ แหล่งก�าเนิดและที่ด้านตรงข้ามของอุโมงค์
เกี่ยวกับพลังงานภายในระบบเพิ่มเติมจาก เครือ่ งตรวจจับจะวัดปริมาณรังสีทผ่ี า่ นเข้าไปใน
แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าเพิ่ ม เติ ม วิ ท ยาศาสตร สิง่ ของหรือสัมภาระทีส่ แกน สารทีม่ คี วามหนาแน่น
และเทคโนโลยี ฟสิกส ม.6 เลม 2 หนวยการ เช่น ตะกั่ว จะดูดซับรังสีมากที่สุด ปิดกั้นการ
เรียนรูที่ 7 ฟสิกสนิวเคลียร ทะลุผ่านของรังสีเอกซ์ โดยหัววัดจะตรวจวัด
23. ครูใหนักเรียนคูเดิมรวมกันศึกษาแบบฝกหัด ปริมาณรังสีเอกซ์ที่ผ่านสิ่งของหรือสัมภาระไป
Topic Questions จากหนังสือเรียน โดยครู จากนั้นจะส่งสัญญาณไปยังคอมพิวเตอร์เพื่อ
มอบหมายใหนักเรียนแตละคนเขียนคําตอบ
สร้างภาพเสมือนของสิ่งของหรือสัมภาระ ณ ภทีาพที ่ 7.36 ตัวอย่างเครื่องเอกซเรย์กระเปาในสนามบิน
่มา : คลังภาพ อจท.
ขณะนั้น ดังภาพที่ 7.36
ลงในสมุดบันทึกประจําตัว
Core Concept
ให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญ เรื่อง
การค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค
Topic
Questions
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. แบริออนเป็นอนุภาคทีอ่ ยูใ่ นกลุม่ เฟร์มอิ อน ซึง่ เป็นกลุม่ อนุภาคทีแ่ ต่ละอนุภาคจะเกิดจากการรวมตัวกัน
ของควาร์ก 1 อนุภาค กับแอนติควาร์กอีก 1 อนุภาค ข้อความที่กล่าวมาข้างต้นถูกต้องหรือไม่ อย่างไร
2. มีซอน ซึ่งมีประจุไฟฟ้า +1e ประกอบด้วยอนุภาคมูลฐานใดบ้าง ระหว่างอัปควาร์ก สเตรนจ์ควาร์ก
แอนติอัปควาร์ก และหรือแอนติเสตรนจ์ควาร์ก
174
T186
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
Physics 24. ครูแจกใบงาน เรื่อง ประโยชนดานฟสิกส
in real life ต้นกําเนิดเวิลด์ไวด์เว็บ
อนุภาค ใหนักเรียนคนละ 1 ชุด จากนั้น
เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web; WWW) หรือเว็บ เป็นบริการหนึ่งในอินเทอร์เน็ตที่ได้รบั มอบหมายใหนํากลับไปศึกษาเปนการบาน
ความนิยมเป็นอย่างมาก เป็นระบบทีพ่ ฒ ั นาขึน้ เพือ่ เชือ่ มโยงข้อมูลทีอ่ ยูบ่ นเครือ่ งคอมพิวเตอร์ตา่ ง ๆ
เสร็จแลวตัวแทนรวบรวมสงครูเพื่อตรวจและ
ระบบเวิลด์ไวด์เว็บเป็นผลมาจากงานวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาคที่ได้จากการประดิษฐ์คิดค้นเมื่อ
พ.ศ. 2533 โดยทิม เบอร์เนิรส์ -ลี (Tim Berners-Lee) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษขององค์การวิจยั ใหคะแนนกอนที่จะเจอกันในชั่วโมงถัดไป
นิวเคลียร์ยโุ รปหรือเซิรน์ (CERN) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทิมเป็นผูส้ ร้างรูปแบบข้อมูลใหม่ เรียกว่า 25. ครูใหนกั เรียนศึกษากรอบ Physics in real life
HTTP (Hypertext Transfer Protocol) โดยรูปแบบข้อมูลใหม่นี้ท�าให้นักฟิสิกส์อนุภาคทั่วโลก เรือ่ ง ตนกําเนิดเวิลดไวดเว็บ จากหนังสือเรียน
สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลต่าง ๆ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของแต่ละคนได้อย่างรวดเร็วโดยผ่านระบบ 26. ครูใหนักเรียนศึกษากิจกรรม Apply Your
อินเทอร์เน็ต และทิมก็ได้เสนอ URL (Uniform Resource Locator) ซึ่งเป็นวิธีการชี้บอกแหล่ง Knowledge จากหนังสือเรียน โดยจดบันทึก
ทีอ่ ยูข่ องเอกสารเพือ่ ใช้เป็นสากล หลังจากทีท่ างเซิรน์ ได้พฒ ั นาโพรโทคอลพืน้ ฐานของ WWW แล้ว
และตอบคําถามลงในสมุดบันทึกประจําตัว
NCSA (National Center for Supercomputing Applications) มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ประเทศ
สหรัฐอเมริกา ได้พัฒนาโปรแกรม Mosaic ซึ่งเป็นโปรแกรมส�าหรับเรียกดูข้อมูลในเว็บ หลังจากนั้น 27. ครู ใ ห นั ก เรี ย นตรวจสอบความเข า ใจของ
ได้มผี พู้ ฒ
ั นาโปรแกรมในการเรียกดูเว็บมากขึน้ โดยแต่ละโปรแกรมผูใ้ ช้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก ตนเอง ดวยกรอบ Self Check เรื่อง ฟสิกส
เว็บจึงเป็นบริการทางอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ก็เป็นบริการที่ต้องใช้ทรัพยากร นิวเคลียร จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึก
(Resources) ของเครื่องมากที่สุดเช่นกัน ประจําตัว
เอกสารเว็บที่พัฒนาแล้วสามารถเรี1 ยกดูได้ด้วยโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) โดย
HTML หรือภาษาอืน่ ๆ ทีน่ า� มาสร้างเอกสารเว็บ แล้วแสดงผลด้วย
โปรแกรมจะท�าหน้าทีแ่ ปลภาษา HTML หรื
ข้อก�าหนดบนจอภาพ ในปัจจุบนั มีผผู้ ลิตโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ออกมาเผยแพร่มากมาย ตัวอย่าง
เว็บเบราว์เซอร์ที่มีการใช้กันในปัจจุบัน ได้แก่
Internet Explorer Mozilla Firefox Google Chrome
Opera Safari
ฟิสิกส์อะตอม 175
T187
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
28. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัดจาก
Summary
Unit Questions หนวยการเรียนรูที่ 7 ฟสิกส ฟิสกิ ส์นวิ เคลียร์
นิวเคลียร จากหนังสือเรียน โดยทําลงในสมุด
บันทึกประจําตัวเปนการบาน แลวรวบรวม การเปลี่ยนสภาพนิวเคลียส
สงครูเพื่อตรวจสอบและใหคะแนน จากการทดลองยิงอนุภาคแอลฟาเข้าไปยังนิวเคลียสของไนโตรเจน ท�าให้รวู้ า่ มีอนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้าเป็นบวก
อยู่ภายในนิวเคลียสและได้ตั้งชื่อว่า โปรตอน
29. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัดจาก
การทดลองยิงอนุภาคแอลฟาเข้าไปชนกับเบริลเลียมของเจมส์ แชดวิก ท�าให้ค้นพบนิวตรอน จึงสรุปได้ว่า
Test for U หนวยการเรียนรูที่ 7 ฟสิกส ทุก ๆ นิวเคลียสประกอบด้วยอนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้าเป็นบวกและเป็นกลางทางไฟฟ้า คือ โปรตอนและนิวตรอน
นิวเคลียร จากหนังสือเรียน โดยทําลงในสมุด สัญลักษณ์ของนิวเคลียส คือ AZ X โดยที่ X แทนสัญลักษณ์ของธาตุ A แทนเลขมวล และ Z แทนเลขอะตอม
บันทึกประจําตัวเปนการบาน แลวรวบรวม
การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี
สงครูเพื่อตรวจสอบและใหคะแนน
ธาตุกัมมันตรังสี คือ อะตอมของธาตุที่นิวเคลียสไม่เสถียรสามารถเกิดการสลายกลายเป็นธาตุอื่นได้ ธาตุ
30. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อ กัมมันตรังสีจะมีการสลายเกิดธาตุใหม่เรื่อย ๆ จนกว่าจะเกิดธาตุใหม่ที่มีนิวเคลียสที่เสถียร
ทดสอบความรูค วามเขาใจหลังจากทีไ่ ดศกึ ษา กัมมันตภาพ คือ อัตราการแผ่รังสีขณะหนึ่งหรืออัตราการสลายของนิวเคลียส ซึ่งสามารถเขียนสมการได้เป็น
แลว A = λN
อนุกรมกัมมันตรังสี คือ การทีน่ วิ เคลียสของอะตอมของธาตุทไี่ ม่เสถียรจะมีการสลายไปเป็นนิวเคลียสอืน่ และจะ
มีการสลายไปเรือ่ ย ๆ เป็นล�าดับ จนกระทัง่ ได้นวิ เคลียสสุดท้ายทีเ่ สถียร ซึง่ อนุกรมกัมมันตรังสีสามารถจ�าแนก
ได้ 4 อนุกรม คือ อนุกรมทอเรียม อนุกรมเนปทูเนียม อนุกรมยูเรเนียม และอนุกรมแอกทิเนียม
สมมติฐานของรัทเทอร์ฟอร์ดและซอดดี ได้กล่าวถึงการสลายของนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีว่า “หลังจาก
การสลายจะได้ธาตุใหม่ที่อาจจะเป็นหรือไม่เป็นธาตุกัมมันตรังสีก็ได้ โดยการสลายของธาตุกัมมันตรังสีนี้จะไม่
ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความดัน ทุกนิวเคลียสมีโอกาสสลายได้เท่า ๆ กัน แต่ไม่สามารถบอก
ได้ว่านิวเคลียสใดจะสลายก่อนหรือหลัง ทั้งนี้ อัตราการสลายจะขึ้นอยู่กับจ�านวนนิวเคลียสเดิม”
ครึง่ ชีวติ (T 1 ) คือ ช่วงเวลาทีน่ วิ เคลียสของธาตุกมั มันตรังสีสลายเหลือครึง่ หนึง่ จากตอนเริม่ สลายหรือครึง่ หนึง่
2
ของจ�านวนเดิ ม สามารถหาได้จากสมการ
T 1 = ln 2
λ
= 0.693
λ
2
สมการที่ใช้ในการค�านวณ สามารถสรุปได้ ดังนี้
แรง กรณีทราบค่าคงตัวการสลาย (λ) กรณีทราบช่วงเวลาครึ่งชีวิต (T 1 )
2
จ�านวนนิวเคลียส N = N0e-λt N
N = t/T10
2 2
มวลของธาตุกมั มันตรังสี m = m0e-λt m = mt/T01
2 2
A
ปริมาณกัมมันตภาพ A = A0e-λt A = t/T01
2 2
176
ตอบขอ 4.)
T188
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ลงข อ สรุ ป โดยให
ปฏิกิริยานิวเคลียร์ นักเรียนอธิบายสรุปความรูเ กีย่ วกับการคนควา
ปฏิกิริยานิวเคลียร์ สามารถเขียนได้ ดังสมการ วิจัยดานฟสิกสอนุภาคที่ไดศึกษามาแลวทั้ง
X + a Y + b หรือ X (a, b) Y เนื้ อ หาและตั ว อย า งจากหนั ง สื อ เรี ย น และ
การหาพลังงานทีไ่ ด้จากปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์ หาได้จากผลต่างของมวลทีเ่ กีย่ วข้องกับปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์ทพี่ จิ ารณา กิจกรรมทีน่ อกเหนือจากหนังสือเรียน พรอมทัง้
ดังสมการ
E = (Δm)c2 ยกตั ว อย า งสถานการณ ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น ที่
E = (Δm)(931 MeV/u) เกี่ยวของเพื่อทดสอบความเขาใจ
มวลพร่อง (Δm) คือ มวลของธาตุหรืออนุภาคที่ใช้หรือเกิดขึ้นในปฏิกิริยานิวเคลียร์ หาได้จากผลต่างระหว่าง 2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได
มวลก่อนเกิดปฏิกิริยากับมวลหลังเกิดปฏิกิริยา ดังสมการ ศึกษาผานมาแลวในสวนที่ยังไมเขาใจหรือ
Δm = mf - mi
สงสัย จากนั้นครูใหความรูเพิ่มเติมในสวน
หรือ Δm = (Zmp + (A - Z)mn) - M
นั้น โดยที่ครูอาจจะใช PowerPoint เรื่อง
ปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบดูดพลังงาน ผลรวมของมวลหลังเกิดปฏิกิริยาจะมีค่ามากกว่าผลรวมของมวลก่อนเกิด
ปฏิกิริยา ท�าให้พลังงานยึดเหนี่ยวมีค่าน้อยลง พลังงานจลน์รวมก็น้อยลงเช่นเดียวกัน การคนควาวิจัยดานฟสิกสอนุภาค มาเปดให
ปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์แบบคายพลังงาน ผลรวมของมวลหลังเกิดปฏิกริ ยิ าจะมีคา่ น้อยกว่าผลรวมของมวลก่อนเกิด นักเรียนดูประกอบเพื่อชวยในการอธิบายให
ปฏิกิริยา ท�าให้พลังงานยึดเหนี่ยวมีค่ามากขึ้น พลังงานจลน์รวมก็มากขึ้นเช่นเดียวกัน เขาใจมากยิ่งขึ้น
ฟิชชัน คือ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากนิวเคลียสของธาตุหนักแตกตัวเป็นนิวเคลียสขนาดเล็กลง 3. ครูใหนักเรียนสรุปความรูเกี่ยวกับการคนควา
ฟิวชัน คือ ปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์ทเ่ี กิดจากการรวมกันของนิวเคลียสของธาตุเบาได้เป็นนิวเคลียสของธาตุทหี่ นักกว่า วิจัยดานฟสิกสอนุภาค โดยสรางสรรคออกมา
ในรูปแบบของอินโฟกราฟก ลงในกระดาษ A4
ประโยชน์และอันตรายของรังสีและพลังงานนิวเคลียร์
พรอมทั้งตกแตงใหสวยงาม เสร็จแลวนําสงครู
ธาตุกัมมันตรังสีสามารถน�าไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น เพื่อตรวจใหคะแนน
1. ด้านเกษตรกรรม : การปรับปรุงพันธุ์พืช วิจัยโคนม การอาบรังสีเพื่อเก็บผลผลิตได้นาน ๆ
2. ด้านการแพทย์ : การวิเคราะห์และรักษาโรค ตรวจการไหลเวียนโลหิต
3. ด้านอุตสาหกรรม 1 : การตรวจวัดในบริเวณที่มองไม่เห็น เปลี่ยนคุณสมบัติของสินค้า
4. ด้านธรณีวิทยา : ตรวจสอบอายุของสสารต่าง ๆ
5. ด้านพลังงาน : สร้างระเบิดท�าลายล้าง ผลิตกระแสไฟฟ้า
ในธรรมชาติรอบตัวเรามีรังสีที่มาจากหลายแหล่ง เช่น รังสีจากนอกโลกซึ่งเรียกว่า รังสีคอสมิก รังสีจากโลก
และรังสีที่มนุษย์สร้างขึ้น
การเกิดอันตรายจากรังสีต่อมนุษย์ แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ คือ การได้รับรังสีจากแหล่งก�าเนิดรังสีจากภายนอก
และการได้รับสารกัมมันตรังสีเข้าสู่ร่างกาย
หลักการป้องกันอันตรายจากรังสี มี 3 ข้อ ดังนี้
1. เวลา : การปฏิบัติงานทางด้านรังสีต้องใช้เวลาน้อยที่สุด
2. ระยะทาง : ความเข้มของรังสีจะเปลี่ยนแปลงลดลงไปตามระยะทางจากสารต้นก�าเนิดรังสี
3. เครื่องก�าบัง : ความเข้มของรังสีเมื่อผ่านเครื่องก�าบังจะลดลง
ฟิสิกส์อะตอม 177
T189
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
1. ประเมินความรูเกี่ยวกับเรื่อง การคนควาวิจัย
ดานฟสิกสอนุภาค โดยสังเกตพฤติกรรมการ การค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค
ตอบคําถาม การทําแบบฝกหัด และการสรุป เมอร์เรย์ เกลล์-แมนน์ และจอร์จ ซไวก์ ได้เสนอว่า ในโปรตอนและนิวตรอนแต่ละอนุภาคประกอบด้วย
สาระสําคัญ องค์ประกอบที่เล็กกว่ามารวมตัวกันอยู่ พบว่า ภายในโปรตอนและนิวตรอนประกอบด้วยอนุภาคอื่นที่มีขนาด
2. ประเมิ น ทั ก ษะและกระบวนการทางวิ ท ยา เล็กลงไปอีก เรียกว่า ควาร์ก โดยควาร์กเป็นอนุภาคมูลฐานหนึ่งซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดในทางทฤษฎีฟิสิกส์
มีขนาดเล็กกว่าโปรตอนประมาณ 1,000 เท่า
ศาสตร จ ากการสื บ ค น ข อ มู ล และนํ า เสนอ
ควาร์กมีทั้งหมด 6 ชนิด ได้แก่ อัป (u) ดาวน์ (d) ชาร์ม (c) สเตรนจ์ (s) ท็อป (t) และบอตทอม (b) โดย
ผลการศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ ประโยชน ด า นฟ สิ ก ส ควาร์กทุกชนิดจะมีแอนติควาร์ก ซึง่ จะแตกต่างกันแค่ประจุไฟฟ้า เมือ่ ควาร์กตัง้ แต่ 2 อนุภาคขึน้ ไป มารวมกัน
อนุภาค และการนําความรูท ไี่ ดไปใชประโยชน โดยยึดเหนี่ยวกันไว้ด้วยแรงเข้ม จะก่อให้เกิดอนุภาคใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าควาร์ก เรียกว่า แฮดรอน
3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต ซึ่งแฮดรอนที่เสถียรที่สุด ได้แก่ โปรตอนและนิวตรอน
พฤติกรรมความสนใจใฝรหู รืออยากรูอ ยากเห็น ในทฤษฎีแบบจ�าลองมาตรฐาน (standard model) อันตรกิริยาทั้งหลายในธรรมชาติเกิดจากการแลกเปลี่ยน
การทํางานรวมกับผูอื่นอยางสรางสรรค อนุภาคหรือเป็นสือ่ ของแรงต่าง ๆ เช่น อันตรกิรยิ าไฟฟ้า เกิดจากการแลกเปลีย่ นโฟตอน อันตรกิรยิ านิวเคลียร์
อย่างอ่อนหรือแรงอ่อน เกิดจากการแลกเปลี่ยนอนุภาค W-โบซอน และ Z-โบซอน ส่วนอันตรกิริยานิวเคลียร์
อย่างเข้มหรือแรงเข้ม เกิดจากการแลกเปลี่ยนอนุภาคกลูออน
อนุภาคทั้งหมด
อนุภาคมูลฐาน อนุภาคประกอบ (แฮดรอน)
เฟร์มิออน โบซอน แบริออน มีซอน
เลปตอน (ประกอบด้วย (ควาร์ก +
ควาร์ก อนุภาคที่เป็นสื่อ ควาร์ก 3 ตัว เช่น แอนติควาร์ก เช่น
อิเล็กตรอน
มิวออน ทาว และ ของแรง (กลูออน โปรตอน นิวตรอน) ไพออน เคออน)
นิวทริโน W Z โฟตอน)
3
ระดับคะแนน
2 1
ไฟลงานการนําเสนอดวยโปรแกรม PowerPoint โดยไฟลงานนี้
จะตองมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งหนวยการเรียนรู พรอมทั้งตกแตง
แบบประเมินผลงานอินโฟกราฟิก 1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินอินโฟกราฟิกของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
คะแนน 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ระดับคุณภาพ ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ครูทางจดหมายอิเล็กทรอนิกสเพื่อตรวจใหคะแนน
4 ความเป็นระเบียบ
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
รวม ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
4. ครูใหแตละกลุมออกมานําเสนอผลงานของกลุมตนเองหนาชั้น
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............../................./................
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–16 ดีมาก
11–13
8–10
ต่ากว่า 8
ดี
พอใช้
ปรับปรุง
เรียน จากนั้นครูสุมตัวแทนของกลุมอื่นๆ แสดงความคิดเห็น
เกี่ยวกับผลงานของเพื่อน
T190
นํา สอน สรุป ประเมิน
Self Check
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
หากพิจารณาว่าข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
1. ร งั สีแอลฟาสามารถท�าให้ตวั กลางทีเ่ คลือ่ นทีผ่ า่ นไปแตกตัวเป็นไอออนได้นอ้ ยกว่า 1.2
รังสีบีตาและรังสีแกมมา
2. ผลรวมของจ�านวนโปรตอนกับนิวตรอน เรียกว่า เลขมวล 2.2
3. เมื่อนิวเคลียสของธาตุหนึ่งมีเลขมวลลดลง 4 และเลขอะตอมลดลง 2 แสดงถึง 3.
การสลายให้อนุภาคแอลฟาของนิวเคลียส
4. อัตราการลดลงของจ�านวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสี เรียกว่า กัมมันตภาพ 3.
5. ความน่าจะเป็นในการทอดลูกเต๋าแล้วขึน้ หน้าทีต่ อ้ งการเปรียบได้กบั ค่าคงตัวการ 3.
ุ ด
ส ม
สลายของนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสี
น
ง ใ
ก ล
6. เครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์มวลอะตอมของธาตุต่าง ๆ โดยอาศัยหลักการเกี่ยวกับ 4.
ท ึ
บ ั น
T191
นํา สอน สรุป ประเมิน
T192
นํา สอน สรุป ประเมิน
11. นกั รังสีวทิ ยาได้นา� เศษไม้โบราณไปวัดกัมมันตภาพของคาร์บอน-14 ได้คา่ กัมมันตภาพ 9 ต่อนาที 12. นักวิทยาศาสตรไดเก็บสารเคมีไวในหอง
แต่เมื่อวัดกัมมันตภาพของคาร์บอน-14 ในไม้ชนิดเดียวกันกับเศษไม้โบราณแต่มีชีวิตและ ทดลองเปนเวลานาน 25 วัน
อบแห้งแล้วในปริมาณที่เท่ากันวัดค่ากัมมันตภาพได้ 72 ต่อนาที อยากทราบว่า เศษไม้โบราณ 13. ครึ่งชีวิตของธาตุ x เปน 2 เทาของธาตุ y
ได้ตายมากี่ปีแล้ว ก�าหนดให้ครึ่งชีวิตของคาร์บอน-14 เท่ากับ 5,650 ปี
14. จํานวนนิวเคลียสกัมมันตรังสีขณะนั้นเปน
12. นักวิทยาศาสตร์ได้วัดกัมมันตภาพสารเคมีชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีที่ได้เก็บไว้ในห้อง 5.34 × 1010 อนุภาค
ทดลองเป็นเวลานานได้ 1,500 ต่อวินาที แต่สารเคมีชนิดนีท้ เี่ ป็นของใหม่จะมีคา่ กัมมันตรังสีเป็น
7,500 ต่อวินาที เมื่อค่าคงตัวการสลายของสารกัมมันตรังสีในสารเคมีมีค่าเป็น 0.1386 ต่อวัน 15. จะเหลืออะตอมของธาตุ A เทากับ 5 × 1020
อยากทราบว่า นักวิทยาศาสตร์ได้เก็บสารเคมีไว้ในห้องทดลองเป็นเวลานานเท่าใด อะตอม
13. ถ้าธาตุ x มีจ�านวนอะตอมเป็น 4 เท่าของธาตุ y และมีกัมมันตภาพเป็น 2 เท่าของธาตุ y 16. สารนี้มีเวลาครึ่งชีวิต 0.9 ชั่วโมง
จงหาว่าครึ่งชีวิตของธาตุ x จะเป็นกี่เท่าของธาตุ y 17. หลังจากการทอดลูกเตาครั้งที่ 4 เมื่อหยิบลูกที่
14. ธาตุกมั มันตรังสีจา� นวนหนึง่ มีกมั มันตภาพ 1 มิลลิครู ี และมีครึง่ ชีวติ เท่ากับ 1,000 วินาที จ�านวน ขึ้นหนาสีออกแลวจะเหลือลูกเตาอยูประมาณ
นิวเคลียสกัมมันตรังสีขณะนั้นเป็นเท่าใด 112-113 ลูก จากจํานวน 300 ลูก
15. ธาตุ A เป็นธาตุกัมมันตรังสีชนิดหนึ่งที่มีเวลาครึ่งชีวิต 15 วัน ถ้าเก็บธาตุ A จ�านวน 20 × 1020 18. ระยะเวลาหรือจํานวนครั้งที่ทอดลูกเตาแลว
อะตอม ไว้เป็นเวลา 30 วัน จะเหลือธาตุ A กี่อะตอม ทําใหจํานวนลดลงเหลือครึ่งหนึ่งของจํานวน
16. สารกัมมันตรังสีชิ้นหนึ่งมีกัมมันตภาพ 16 × 1011 เบ็กเคอเรล อีก 2 ชั่วโมงต่อมา กัมมันตภาพ เริ่มตน คือ 2 หรือ 3 ครั้งของการทอด
ลดลงเหลือ 1.2 × 1011 เบ็กเคอเรล สารนี้มีเวลาครึ่งชีวิตกี่ชั่วโมง 19. เพื่อใหเหลือลูกเตา 16 หนา ที่มีการแตมสีไว
17. ในการทดลองทอดลูกเต๋าเพื่อเปรียบเทียบกับการสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี นักเรียนคน เพียงหนาเดียวจํานวน 200 ลูก จากทั้งหมด
หนึ่งใช้ลูกเต๋า 6 หน้า จ�านวน 300 ลูก โดยแต้มสีไว้ 1 หน้า ทุกลูก และหยิบลูกที่ขึ้นหน้าสีออก 800 ลูก จะตองผานไปแลว 6 ครึ่งชีวิต หรือ
ทุกครั้งที่ทอด จงประมาณว่าหลังจากการทอดลูกเต๋าครั้งที่ 4 เมื่อหยิบลูกที่ขึ้นหน้าสีออกแล้วจะ ตองทอดลูกเตาทั้งหมด 6 ครั้ง
เหลือลูกเต๋ากี่ลูก
20. รัศมีของนิวเคลียส 6430 Zn มีขนาดเทากับ
18. ลูกเต๋า 6 หน้า แต่ละหน้ามีหมายเลข 1-6 เขียนไว้ เริ่มต้นทอดลูกเต๋านี้จ�านวน 100 ลูก พร้อม 4.8 × 10-15 เมตร
กัน และคัดลูกทีอ่ อกเลข 1 และ 2 ออกไป แล้วน�าลูกเต๋าทีเ่ หลือทอดใหม่และคัดออกโดยใช้เกณฑ์
เดิม ค่าครึ่งชีวิตของลูกเต๋ามีค่าเท่าใด 21. รัศมีนวิ เคลียสของไอโซโทป 22488Ra เทากับ 2.11
เทาของรัศมีนิวเคลียสของไอโซโทป 2412 Mg
19. ลูกเต๋า 16 หน้า แต้มสีไว้ที่หน้าหนึ่งจ�านวน 800 ลูก น�ามาทอดและคัดลูกที่หงายหน้าแต้มสีออก
ต้องทอดกี่ครั้งจึงจะเหลือลูกเต๋า 200 ลูก
20. รัศมีของนิวเคลียส 6430Zn มีขนาดเท่ากับกี่เมตร
21. ธาตุไอโซโทปของ 22488Ra จะมีรัศมีเป็นกี่เท่าของธาตุไอโซโทปของ 2412Mg
ฟิสิกส์อะตอม 181
T193
นํา สอน สรุป ประเมิน
182
T194
นํา สอน สรุป ประเมิน
1. คาของมวลตอประจุไฟฟาสามารถเขียนในรูป
Test for U 2 2
ของตัวแปรไดวา B2VR
2. ไอออนมีมวลเชิงอะตอมเทากับ 125.9036 u
คําชี้แจง : ให้ นั ก เรี ย นตอบค� า ถามต่ อ ไปนี้
3. โมเมนตัมเทากับ qBR และพลังงานจลนเทากับ
1. เ ครื่องวัดมวลเครื่องหนึ่งประกอบด้วยส่วนเร่งอนุภาคและส่วนที่ใช้วิเคราะห์มวล ส่วนเร่ง (qBR)2
อนุภาคจะจ่ายความต่างศักย์ไฟฟ้า V ให้แก่ไอออนที่มีประจุไฟฟ้า q มวล m เคลื่อนที่จากหยุด 2M
นิ่งให้มีอัตราเร็ว u โดยส่วนวิเคราะห์หามวลของอนุภาคมีสนามแม่เหล็ก B ในทิศทางตั้งฉากกับ 4. ปริมาณรังสีแกมมาที่ออกมาไดพอดีจะคิดเปน
อัตราเร็ว u ถ้าอนุภาคเข้ามาในส่วนวิเคราะห์หามวลของอนุภาค และเคลื่อนที่เข้าไปในส่วนโค้ง รอยละ 0.16 ของปริมาณเดิม
ครึ่งวงกลมรัศมี R ระยะทางแนวตรงจากจุดที่เข้ามาถึงจุดที่วัดได้ให้เป็นระยะ x จงหาว่าค่ามวล
ต่อประจุไฟฟ้าสามารถเขียนในรูปของตัวแปรที่ให้มาได้อย่างไร 5. จะมีปริมาณของ 10250Sn ทั้งหมด 3.28 โมล
2. จ ากข้อ 1. เมื่อเครื่องเร่งอนุภาคใช้ความต่างศักย์ไฟฟ้า 1,200 โวลต์ เพื่อเร่งให้ไอออนที่มีประจุ
q มวล m เคลื่อนที่จากหยุดนิ่งให้มีอัตราเร็ว v โดยส่วนวิเคราะห์หามวลของอนุภาคมีสนาม
แม่เหล็กในทิศตั้งฉากกับความเร็วขนาด 70 มิลลิเทสลา ถ้าไอออนมีประจุ 1.6022 × 10-19
คูลอมบ์ เข้ามาในส่วนวิเคราะห์หามวลของอนุภาค และเคลื่อนที่เป็นส่วนโค้งของรูปครึ่งวงกลม
วัดรัศมีการเคลื่อนที่ของไอออนดังกล่าวได้เท่ากับ 80 เซนติเมตร จงหามวลเชิงอะตอมของ
ไอออนดังกล่าว ก�าหนดให้ 1 หน่วยมวลเชิงอะตอมเท่ากับ 1.6605 × 10-27 กิโลกรัม
3. อ นุภาคชนิดหนึ่งมีประจุไฟฟ้า q และมีมวล M เคลื่อนที่เป็นวงกลมรัศมี R เมื่อเคลื่อนเข้าไปใน
สนามแม่เหล็ก B ทีต่ งั้ ฉากกับความเร็ว จงหาขนาดของโมเมนตัมและพลังงานจลน์ของอนุภาคนี้
โดยตอบเป็นสมการในรูปของ B q M และ R
4. ค นไข้คนหนึ่งต้องการได้รับรังสีแกมมาจากโคบอลต์ -60 แต่ปริมาณรังสีแกมมาที่ใช้มีมาก
เกินไป จึงน�าแผ่นตะกั่วมากั้นซึ่งต้องใช้แผ่นตะกั่ว 4 แผ่น จึงจะได้ปริมาณรังสีแกมมาที่พอดี
ถ้าตะกั่ว 1 แผ่น สามารถกั้นรังสีแกมมาไม่ให้ผ่านมาได้ร้อยละ 80 อยากทราบว่า ปริมาณรังสี
แกมมาที่ออกมาได้พอดีจะคิดเป็นร้อยละเท่าใดของปริมาณเดิม
5. ส ารกัมมันตรังสี 10652Te สลายตัวให้สาร 10250Sn และอนุภาคแอลฟา ซึ่งสาร 10250Sn ก็เป็นสาร
กัมมันตรังสีมีค่าครึ่งชีวิตเป็น 4.5 วินาที ที่เวลาเริ่มต้น สารตัวอย่างจะมีสาร 10652Te จ�านวน
4.00 โมล และสาร 10250Sn จ�านวน 1.50 โมล หลังจากเวลาผ่านไป 25 ไมโครวินาที สารตัวอย่าง
จะมีสาร 10652Te จ�านวน 3.00 โมล และสาร 10250Sn จ�านวน 2.50 โมล อยากทราบว่า จะมีปริมาณ
ของ 10250Sn เท่าใด เมื่อเวลาผ่านไปอีก 25 ไมโครวินาที
ฟิสิกส์อะตอม 183
T195
นํา สอน สรุป ประเมิน
6. ถาหินตัวอยางตอนเริ่มแรกไมมีสาร 14360Nd
หินตัวอยางนี้จะมีอายุ 7.664 × 109 ป
7. จะตองใชนวิ ตรอนซึง่ มีพลังงานจลนอยางนอย 6. ห ินตัวอย่างจากดวงจันทร์ประกอบไปด้วยสาร 14762Sm จ�านวน 3.00 กรัม และสาร 14360Nd
1.84 เมกะอิเล็กตรอนโวลต จ�านวน 0.15 กรัม ถ้าสาร 14762Sm สลายให้อนุภาคแอลฟา และสาร 14360Nd โดยสาร 14762Sm
8. พลังงานที่ไดจากไฮโดรเจน 1.2 กิโลกรัม มีค่าครึ่งชีวิตเป็น 1.06 × 1011 ปี ถ้าหินตัวอย่างตอนเริ่มแรกไม่มีสาร 14360Nd หินตัวอย่างนี้จะ
ที่เกิดปฏิกิริยานี้ มีคาเทากับ 4.637 × 1027 มีอายุเท่าใด ก�าหนดให้มวลอะตอมของ 14762Sm และ 14360Nd มีค่าเป็น 146.9148933 u และ
เมกะอิเล็กตรอนโวลต 142.9098103 u ตามล�าดับ
9. จะตองใชยูเรเนียม-235 จํานวน 5.4 × 1024 7. ใ นการยิงนิวตรอนเข้าชนอะลูมิเนียม 2713Al เพื่อให้เกิดปฏิกิริยา 2713Al (n, p) 2712Mg เราจะต้องใช้
อะตอมต อ วั น และมวลของยู เ รเนี ย ม-235 นิวตรอนซึ่งมีพลังงานจลน์อย่างน้อยกี่เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ ก�าหนดให้มวลอะตอมของ 2713Al
ที่ใชไปทั้งหมดเทากับ 2,107.97 กิโลกรัม เท่ากับ 26.981535 u มวลอะตอมของ 2712Mg เท่ากับ 26.984346 u มวลอะตอมของไฮโดรเจน
เท่ากับ 1.007825 u และมวลอะตอมของนิวตรอนเท่ากับ 1.008665 u
10. หลังการระเบิดจะมีมวลที่หายไปทั้งสิ้น
124.9 × 10-3 กิโลกรัม 8. ปฏิกิริยาฟิวชันที่เกิดขึ้นในดวงอาทิตย์จะได้พลังงานออกมาจ�านวนมาก ดังสมการ
4 11H 42He + 2 +10e + พลังงาน
จงค�านวณหาค่าพลังงานทีไ่ ด้จากไฮโดรเจน 1.2 กิโลกรัม ทีเ่ กิดปฏิกริ ยิ านี ้ ก�าหนดให้มวลอะตอม
ของไฮโดรเจนเท่ากับ 1.00782 u หรือเท่ากับ 1 กรัมต่อโมล มวลอะตอมของฮีเลียมเท่ากับ
4.00260 u มวลของอิเล็กตรอนและโพซิตรอนเท่ากับ 0.00055 u และเลขอาโวกาโดรเท่ากับ
6.02 × 1023 ต่อโมล
9. เ ตาปฏิกรณ์ปรมาณูหนึ่งสามารถท�าให้อะตอมของยูเรเนียม-235 แยกออกกลายเป็นอะตอม
ของธาตุที่มีขนาดเล็กกว่าพร้อมกับปลดปล่อยพลังงานออกมา 200 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ ถ้า
น�ายูเรเนียม-235 จ�านวนหนึ่งมาเป็นเชื้อเพลิงให้เตาปฏิกรณ์ปรมาณูนี้ จะท�าให้ได้พลังงาน
ออกมา 600 เมกะวัตต์ อยากทราบว่า เมื่อเปิดเตาปฏิกรณ์ปรมาณูนี้เป็นเวลา 1 วัน จะต้องใช้
ยูเรเนียม-235 กีอ่ ะตอมหรือกีก่ โิ ลกรัม ก�าหนดให้เตาปฏิกรณ์ปรมาณูนมี้ ปี ระสิทธิภาพร้อยละ 30
10. ใ นการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ลูกหนึ่งใช้ 23592U ท�าให้เกิดฟิชชันได้พลังงานทั้งสิ้น 9.0 × 1012 จูล
จงหาว่าหลังการระเบิดจะมีมวลทีห่ ายไปทัง้ สิน้ กีก่ โิ ลกรัม ก�าหนดให้มวลอะตอมของ 23592U เท่ากับ
235.043930 u มวลอะตอมของ 14156Ba เท่ากับ 140.914411 u มวลอะตอมของ 9236Kr เท่ากับ
91.926156 u และมวลอะตอมของ 10n เท่ากับ 1.008665 u
T196
นํา สอน สรุป ประเมิน
แนวทางการจัดทํากิจกรรม
Fun Science Activity
ขั้นตอนการท�ากิจกรรมมองหาสัญญาณอินฟราเรด
ที่มา : https://www.exploratorium.edu/snacks/infrared-remote
หลักการทางวิทยาศาสตร์
รังสีอนิ ฟราเรดเป็นคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าทีม่ คี วามยาวคลืน่ อยูใ่ นช่วง 700 นาโนเมตร-1 มิลลิเมตร ซึง่ ตาของ
เราสามารถมองเห็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 400-700 นาโนเมตร เท่านั้น เซลล์รับภาพ
ในตาจึงไม่ตอบสนองแสงในย่านนี้ แต่ในกล้องทุกกล้องจะต้องมีเซ็นเซอร์รับภาพ ซึ่งมีหน้าที่รับแสงที่เข้า
มาแล้วแปลงค่าแสงนั้น ๆ ในปัจจุบันมีเซ็นเซอร์รับภาพอยู่ 2 แบบ คือ ซีซีดี (CCD) และซีมอส (CMOS)
ที่สามารถตอบสนองแสงในย่านรังสีอินฟราเรดได้
185
T197
บรรณานุ ก รม
กุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช และคณะ. (2550). สุดยอดวิธีสอนวิทยาศาสตร์ น�ำไปสู่การจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่. กรุงเทพมหานคร :
อักษรเจริญทัศน์.
ชุติมา วัฒนะคีรี. (2549). กิจกรรมวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน. กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาส์น.
ณรงค์ สังวาระนที. (2561). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ เล่ม 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร :
อักษรเจริญทัศน์.
ณรงค์ สังวาระนที และสุชาติ แซ่เฮง. (2561). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ เล่ม 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6. พิมพ์ครั้งที่
4. กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์.
ทิศนา แขมมณี. (2556). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 17.
กรุงเทพมหานคร : ด่านสุทธาการพิมพ์.
พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ส�ำนักงาน. (2549). หนังสือชุดกิจกรรมส่งเสริมการ
เรียนรู้ “การสืบค้นทางวิทยาศาสตร์” ระดับมัธยมศึกษา. ปทุมธานี : ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ.
วันเฉลิม กลิน่ ศรีสขุ . (2558). การใช้กจิ กรรมค่ายวิทยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขนั้ พืน้ ฐาน. วิทยานิพนธ์
ครุศาสตรมหาบัณฑิต (หลักสูตรและการสอน), มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา.
วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพมหานคร : ตถาตา พับลิเคชั่น.
ศึกษาธิการ, กระทรวง. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร
แห่งประเทศไทย.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. (2556). หนังสือเรียนรายวิชาเพิม่ เติมวิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ เล่ม 4 ชัน้ มัธยมศึกษา
ปีที่ 4-6 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
. (2556). หนังสือเรียนรายวิชาเพิม่ เติมวิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ เล่ม 5 ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 4-6 กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์.
พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
ส�ำนักบริหารวิชาการ วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์, แผนกบริหารหลักสูตร. (2557). เอกสารเผยแพร่ความรู้วิชาการศึกษา :
วิธีการสอน (Teaching Methodology). กรุงเทพมหานคร : วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์.
สุธิษา เละเซ็น และปวีณา ธารรักษ์. (2561). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ เล่ม 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6. พิมพ์ครั้งที่ 4.
กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์.
Halliday, D., Resnick, R. and Walker, J. (2014). Fundamental of physics. 10th edition. New Jersey: John Wiley & Sons.
Serway, R. A. and Jewett, J. W. Jr. (2014). Physics for Scientists and Engineers with Modern Physics. 9th edition.
Massachusetts: Brooks/Cole.
Young, H. D. and Freedman, R. A. (2012). University Physics with Modern Physics. 13th edition. San Francisco:
Addison-Wesley.
T198
Note
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
T199
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
T200
สร้างอนาคตเด็กไทย
ด้วยนวัตกรรมการเรียนรูร
้ ะดับโลก ĔïðøąÖĆîÙčèõćóÿČęĂÖćøđøĊ÷îøĎšøć÷üĉßćđóĉęöđêĉö
ĀîĆÜÿČĂđøĊ÷îøć÷üĉßćđóĉęöđêĉöüĉì÷ćýćÿêøŤĒúąđìÙēîēú÷Ċǰ ôŗÿĉÖÿŤǰ ßĆĚîöĆí÷öýċÖþćðŘìĊęǰ đúŠöǰ
êćöñúÖćøđøĊ÷îøĎšǰ ÖúŠčöÿćøąÖćøđøĊ÷îøĎšüĉì÷ćýćÿêøŤĒúąđìÙēîēú÷Ċǰ ÞïĆïðøĆïðøčÜǰóýǰ
ǰêćöĀúĆÖÿĎêø
ĒÖîÖúćÜÖćøýċÖþć×ĆĚîóČĚîåćîǰóčìíýĆÖøćßǰǰđúŠöîĊĚǰ ïøĉþĆìǰĂĆÖþøđÝøĉâìĆýîŤǰ ĂÝìǰÝĞćÖĆéǰđðŨîñĎšÝĆéóĉöóŤ
đñ÷ĒóøŠǰ ĒúąÝĞćĀîŠć÷ǰ ēé÷ĕéšÝĆéìĞćÙĞćĂíĉïć÷øć÷üĉßćđóĉęöđêĉöìĊęöĊìĆĚÜñúÖćøđøĊ÷îøĎšǰ ÿćøąÖćøđøĊ÷îøĎšđóĉęöđêĉö
ĒúąĂÜÙŤðøąÖĂïÿĞćÙĆâĂČęîìĊęÿĞćîĆÖóĉöóŤÝĆéìĞć×ċĚîǰđóČęĂĔĀšÿëćîýċÖþćĕéšđìĊ÷ïđÙĊ÷ÜÖĆïĀúĆÖÿĎêø×ĂÜÿëćîýċÖþćǰ
ĒúąóĉÝćøèćđúČĂÖĔßšĀîĆÜÿČĂîĊĚðøąÖĂïÖćøÝĆéÖćøđøĊ÷îøĎšǰ ĔĀšÿĂéÙúšĂÜÖĆïĀúĆÖÿĎêøÿëćîýċÖþć×ĂÜêîĕéšêćö
ÙüćöđĀöćąÿö
ǰ ǰ ñĎšđøĊ÷ïđøĊ÷Üǰ ǰ éøÿčíĉþćǰǰđúąđàĘî
ǰ ǰ ǰ ǰ øý éøèøÜÙŤǰǰÿĆÜüćøąîìĊ
ǰ ǰ ǰ ǰ îìĀâĉÜ ðüĊèćǰǰíćøøĆÖþŤ
ǰ ǰ ñĎšêøüÝǰ ǰ ñý éøĂćøĊ÷ćǰǰđĂĊę÷öïĎŠ
ǰ ǰ ǰ ǰ éøÝćöøĊǰǰĂöøēÖýúóĆîíŤ
ǰ ǰ ǰ ǰ éøđךöǰǰóčŠöÿąĂćé
ǰ ǰ ǰ ǰ éøĂčéöđéßǰǰõĆÖéĊ
ǰ ǰ ïøøèćíĉÖćø ǰ ñý éøÿčēÖÿĉîìøŤǰǰìĂÜøĆêîćýĉøĉ
ǰ ǰ ǰ ǰ îćÜÿćüßčúĊóøǰǰÿčüĆçîćóĉïĎú
ïøĉ þĆ ì ǰ ĂĆ Ö þøđÝøĉ â ìĆ ý îŤ ǰ ĂÝìǰ ÝĞ ć ÖĆ é ǰ ×ĂøĆ ï øĂÜüŠ ć ǰ ñĎš đøĊ ÷ ïđøĊ ÷ Üǰ ñĎš ê øüÝǰ Ēúąïøøèćíĉ Ö ćøǰ
éĆÜÖúŠćüǰđðŨîñĎìš öĊę ÙĊ üćöøĎÙš üćöÿćöćøëĔîÖćøÝĆéìĞćĀîĆÜÿČĂîĊĔĚ ĀšöÙĊ üćöëĎÖêšĂÜǰĒúąöĊÙè č õćóĔîÖćøÝĆéÖćøđøĊ÷îøĎš
êćöüĆêëčðøąÿÜÙŤ×ĂÜøć÷üĉßćđóĉęöđêĉöìĊęÖĞćĀîé
ĀćÖñĎšĔßšĀîĆÜÿČĂĀøČĂÿĞćîĆÖÜćîÙèąÖøøöÖćøÖćøýċÖþć×ĆĚîóČĚîåćîóïüŠćǰĀîĆÜÿČĂđúŠöîĊĚöĊךĂïÖóøŠĂÜǰ
đîČĚĂĀćĕöŠëĎÖêšĂÜǰ đÖĉéñúđÿĊ÷Āć÷êŠĂÖćøđøĊ÷îøĎšǰ ÿŠÜñúÖøąìïìĆĚÜéšćîÙčèíøøöǰ Ýøĉ÷íøøöǰ ĒúąÙüćööĆęîÙÜ
×ĂÜßćêĉǰ đöČęĂïøĉþĆìĄǰĕéšìøćïĒúšüǰïøĉþĆìĄǰ÷ĉîéĊÜéÖćøÝĞćĀîŠć÷ìĆîìĊǰ ĒúąđøĊ÷ÖđÖĘïĀîĆÜÿČĂìĊęÝĞćĀîŠć÷ìĆĚÜĀöé
đóČęĂĒÖšĕ×ĔĀšëĎÖêšĂÜǰêúĂéÝîßéĔßšÙŠćđÿĊ÷Āć÷ìĊęđÖĉé×ċĚîÝøĉÜĔĀšÖĆïñĎšìĊęĕéšøĆïÙüćöđÿĊ÷Āć÷îĆĚîǰìĆĚÜîĊĚǰĔĀšđðŨîĕðêćö
óøąøćßïĆââĆêĉÙčšöÙøĂÜñĎšïøĉēõÙǰóýǰǰóøąøćßïĆââĆêĉÙčšöÙøĂÜñĎšïøĉēõÙǰ ÞïĆïìĊęǰ
ǰóýǰǰĒúą
óøąøćßïĆââĆêĉÙčšöÙøĂÜñĎšïøĉēõÙǰ ÞïĆïìĊęǰ
ǰóýǰǰøüöìĆĚÜ÷ĉî÷ĂöĔĀšÿĞćîĆÖÜćîÙèąÖøøöÖćøÖćøýċÖþć
×ĆĚîóČĚîåćîëĂéëĂîøć÷ßČęĂĀîĆÜÿČĂîĊĚĂĂÖÝćÖïĆâßĊÖĞćĀîéÿČęĂÖćøđøĊ÷îøĎšÿĞćĀøĆïđúČĂÖĔßšĔîÿëćîýċÖþćĕðÖŠĂî
ÝîÖüŠćÝąĕéšøĆïĒÝšÜüŠćöĊÖćøĒÖšĕ×ĒúšüǰóøšĂöìĆĚÜÖćøĒÝšÜðøąßćÿĆöóĆîíŤĔĀšÿëćîýċÖþćìøćï
ǰ ǰ
ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ îć÷ßĆ÷èøÜÙŤ úĉöðşÖĉêêĉÿĉî
ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ÖøøöÖćøñĎšÝĆéÖćøǰïøĉþĆìǰĂĆÖþøđÝøĉâìĆýîŤǰĂÝìǰÝĞćÖĆé
>> ราคาเล่มนักเรียนโปรดดูจากใบสัง
่ ซือ
้ ของ อจท.
คู่มือครู นร.ฟิสิกส์ ม.6 เล่ม 2
บริษท
ั อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด
142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 8 858649 147677
โทร. 0 2622 2999 (อัตโนมัติ 20 คูส
่ าย) 350.-
ID Line : @aksornkrumattayom www.aksorn.com อักษรเจริญทัศน์ อจท.
ราคานีเ้ ป็นของฉบับคูม
่ อ
ื ครูเท่านัน
้