You are on page 1of 162

คู่มือครู

Teacher Script

วิทยาศาสตร์ ม. 2
และเทคโนโลยี
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2
เล่ม 2
ตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด
กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

ผูเรียบเรียงหนังสือเรียน ผูตรวจหนังสือเรียน บรรณาธิการหนังสือเรียน


นางสาวสุธารี คําจีนศรี รศ. ดร.ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ ดร.เขม พุมสะอาด
นางภคพร จิตตรีขันธ ผศ. ดร.สุโกสินทร ทองรัตนาศิริ นางสาววราภรณ ทวมดี
ดร.วิชุดา บุญยรัตกลิน ดร.ยุทธพันธุ พงศบุญชู

ผูเรียบเรียงคูมือครู บรรณาธิการคูมือครู
นางสาวปณณณัท พึ่งพิง นางสาววราภรณ ทวมดี
นายณรงคชัย พงษธะนะ

พิมพครั้งที่ 4
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา 2248031
คํ า แนะนํ า การใช้
คูมือครู รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.2 เลม 2
เลมนี้ จัดทําขึ้นสําหรับใหครูผูสอนใชเปนแนวทางวางแผนการจัดการ
เรียนการสอน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการประกัน
คุณภาพผูเรียนตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)

ิ่ม คําแนะนําการใช ชวยสรางความเขาใจ เพื่อใชคูมือครูได


เพ นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
โซน 1
อยางถูกตองและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ หน่วยการเรียนรู้ที่

เพิ่ม คําอธิบายรายวิชา แสดงขอบขายเนื้อหาสาระของรายวิชา


ซึง่ ครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั ตามทีห่ ลักสูตร
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบทดสอบก อ นเรี ย น
หนวยการเรียนรูที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่
เพื่ อ วั ด ความรู  เ ดิ ม ของนั ก เรี ย นก อ นเข า สู 
กิจกรรม
4 แรงและการเคลือ่ นที่
2. ครู เ ตรี ย มอุ ป กรณ ส าธิ ต การทดลอง เช น
แรงมีผลตอการ
กําหนด ลูกบอลยาง จากนั้นครูขออาสาสมัครนักเรียน
1 คน ออกมาหนาชั้นเรียน โดยใหตัวแทน ความเร็ว à¤Å×è͹·Õè¢Í§Çѵ¶Ø
นั ก เรี ย นโยนลู ก บอลยางขึ้ น ไปเหนื อ ศี ร ษะ อัตราสวนระหวางการกระจัดกับ
เวลา เปนปริมาณเวกเตอร มีทิศ
Í‹ҧäÃ
ิ่ม Pedagogy ชวยสรางความเขาใจในกระบวนการออกแบบ
แลวใหนักเรียนแตละคนสังเกตการเคลื่อนที่ ไปทางเดียวกับการกระจัด

เพ
ของลูกบอลยาง
3. ครูถามคําถามกระตุน ความสนใจของนักเรียน
การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไดอยางมี โดยใชคาํ ถาม Big Question จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ประสิทธิภาพ แรงเสียดทาน
แรงที่เกิดขึ้นระหวางผิวสัมผัสของ
วัตถุสองชิ้น มีทิศทางตรงขามกับ

ิ่ม Teacher Guide Overview ชวยใหเห็นภาพรวมของการ


ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ

เพ
จั ด การเรี ย นการสอนทั้ ง หมดของรายวิ ช าก อ นที่ จ ะลงมื อ ตัวชี้วัด
ว 2.2 ม.2/1 พยากรณการเคลื่อนที่ของวัตถุที่เปนผลของแรงลัพธที่เกิดจากแรงหลายแรงที่กระทําตอวัตถุในแนวเดียวกันจากหลักฐานเชิงประจักษ

สอนจริง ว 2.2 ม.2/2


ว 2.2 ม.2/3
ว 2.2 ม.2/4
ว 2.2 ม.2/5
เขียนแผนภาพแสดงแรงและแรงลัพธที่เกิดจากแรงหลายแรงที่กระทําตอวัตถุในแนวเดียวกัน
ออกแบบการทดลองและทดลองดวยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปจจัยที่มีผลตอความดันของของเหลว
วิเคราะหแรงพยุงและการจม การลอยของวัตถุในของเหลวจากหลักฐานเชิงประจักษ
เขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระทําตอวัตถุในของเหลว
ว 2.2 ม.2/6 อธิบายแรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทานจลนจากหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2.2 ม.2/7 ออกแบบการทดลองและทดลองดวยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปจจัยที่มีผลตอขนาดของแรงเสียดทาน
ว 2.2 ม.2/8 เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงอื่น ๆ ที่กระทําตอวัตถุ
ว 2.2 ม.2/9 ตระหนักถึงประโยชนของความรูเ รือ่ งแรงเสียดทาน โดยวิเคราะหสถานการณปญ หาและเสนอแนะวิธกี ารลดหรือเพิม่ แรงเสียดทานทีเ่ ปนประโยชน

ิ่ม Chapter Overview ชวยสรางความเขาใจและเห็นภาพรวม


ตอการทํากิจกรรมในชีวิตประจําวัน

เพ
แนวตอบ Big Question ว 2.2 ม.2/10 ออกแบบการทดลองและทดลองดวยวิธที เี่ หมาะสมในการอธิบายโมเมนตของแรง เมือ่ วัตถุอยูใ นสภาพสมดุลตอการหมุน และคํานวณโดยใชสมการ
M = Fl
แรงมี ผ ลทํ า ให วั ต ถุ เ ปลี่ ย นแปลงสภาพการ ว 2.2 ม.2/11
ว 2.2 ม.2/12
เปรียบเทียบแหลงของสนามแมเหล็ก สนามไฟฟา และสนามโนมถวง และทิศทางของแรงทีก่ ระทําตอวัตถุทอี่ ยูใ นแตละสนามจากขอมูลทีร่ วบรวมได
เขียนแผนภาพแสดงแรงแมเหล็ก แรงไฟฟา และแรงโนมถวงที่กระทําตอวัตถุ

ในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรูแตละหนวยการเรียนรู
ว 2.2 ม.2/13 วิเคราะหความสัมพันธระหวางขนาดของแรงแมเหล็ก แรงไฟฟา และแรงโนมถวงที่กระทําตอวัตถุที่อยูในสนามนั้น ๆ กับระยะหางจากแหลงของ
เคลื่ อ นที่ ความเร็ ว ทิ ศ ทาง รวมทั้ ง ทํ า ให วั ต ถุ สนามถึงวัตถุจากขอมูลที่รวบรวมได
ว 2.2 ม.2/14 อธิบายและคํานวณอัตราเร็วและความเร็วของการเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยใชสมการ v = st และ v = st จากหลักฐานเชิงประจักษ
เปลี่ยนแปลงรูปรางและขนาด เชน รถยนตที่พุงชน ว 2.2 ม.2/15 เขียนแผนภาพแสดงการกระจัดและความเร็ว
ตนไมดว ยความเร็วหนึง่ แรงทีพ่ งุ ชนตนไมจะสงผล
ใหรถเกิดการชํารุด
ิ่ม Chapter Concept Overview ช ว ยให เ ห็ น ภาพรวม
เพ
Concept และเนื้อหาสําคัญของหนวยการเรียนรู เกร็ดแนะครู
กอนเขาสูการเรียนการสอน เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ ครูอาจใหนักเรียน
ยกตัวอยางแรงที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวันของนักเรียน และผลที่เกิดขึ้นจาก

ิ่ม ขอสอบเนนการคิด/ขอสอบแนว O-NET เพื่อเตรียม การกระทําของแรง เพื่อนําไปสูการทํากิจกรรมเกี่ยวกับการหาผลรวมของแรง

เพ หลายแรงที่กระทําตอวัตถุในระนาบเดียวกัน ตัวอยางเชน นักเรียนออกแรงปน


จักรยาน ทําใหจักรยานเคลื่อนที่ไปขางหนา หากออกแรงปนจักรยานใหเร็วขึ้น
ความพรอมของผูเรียนสูการสอบในระดับตาง ๆ จักรยานจะเคลื่อนที่ไปขางหนาไดเร็วขึ้น หรือออกแรงผลักกลองในทิศทางตรง
ขามกัน กลองจะเคลื่อนไปในทิศทางที่มีแรงมากระทํามากกวา
โซน 3
ิ่ม กิจกรรม 21st Century Skills กิจกรรมที่จะชวยพัฒนา
เพ โซน 2
ผูเรียนใหมีทักษะที่จําเปนสําหรับการเรียนรูและการดํารงชีวิต
ในโลกแหงศตวรรษที่ 21 T6

โซน 1 ช่วยครูจัด โซน 2 ช่วยครูเตรียมสอน


การเรียนการสอน
แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนใหครูผูสอน ประกอบดวยองคประกอบตาง ๆ ที่เปนประโยชนสําหรับครู
โดยแนะนําขั้นตอนการสอน และการจัดกิจกรรมอยางละเอียด เพื่อนําไปประยุกตใชจัดกิจกรรมการเรียนรูในชั้นเรียน
เพื่อใหนักเรียนบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามตัวชี้วัด เกร็ดแนะครู
ความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอสังเกต แนวทางการจัด
นํา สอน สรุป ประเมิน
กิจกรรม และอื่น ๆ เพื่อประโยชนในการจัดการเรียนการสอน
นักเรียนควรรู
ความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา สําหรับอธิบายเพิ่มเติมใหกับนักเรียน
โดยใชหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.2 เลม 2 และแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ม.2 เลม 2 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสื่อหลัก (Core Materials) ประกอบการสอน
และการจัดกิจกรรมการเรียนรู เพื่อใหสอดคลองตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดของกลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งคูมือครู
มีองคประกอบที่งายตอการใชงาน ดังนี้

โซน 1
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
โซน 3 ช่วยครูเตรียมนักเรียน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Understanding Check 4. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอน
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
ประกอบด ว ยแนวทางสํ า หรั บ การจั ด กิ จ กรรมและ
พิจารณาขอความตามความเขาใจของนักเรียนวาถูกหรือผิด แลวบันทึกลงในสมุดบันทึก

1. วัตถุไมหลุดลอยออกไปจากโลกเพราะมีแรงดึงดูดของโลกหรือแรงโนมถวงกระทําตอวัตถุ
ถูก/ผิด Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุด
เสนอแนะแนวขอสอบ เพือ่ อํานวยความสะดวกใหแกครูผสู อน
2. แรงมีหนวยเปนเมตรตอวินาที ประจําตัวนักเรียน
มุ ด

5. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ


กิจกรรม 21st Century Skills
3. แรงลัพธ คือ ผลรวมของแรงทั้งหมดที่มากระทําตอวัตถุ
นส
งใ ล

เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 เพื่อเปนการ


ทึ ก

4. ความเร็วเฉลี่ยของวัตถุเปนอัตราสวนของระยะทางทั้งหมดที่วัตถุเคลื่อนที่ตอเวลาทั้งหมดที่ใช
บั น

ในการเคลื่อนที่ นํ า เข า สู  บ ทเรี ย นและตรวจสอบความรู  เ ดิ ม


5. อัตราเร็วเฉลี่ยของวัตถุเปนอัตราสวนของระยะทางทั้งหมดที่วัตถุเคลื่อนที่ตอเวลาทั้งหมดที่ใช
ในการเคลื่อนที่
เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง แรงและการเคลื่ อ นที่ ของ
นักเรียน กิจกรรมที่ใหนักเรียนไดประยุกตใชความรูสรางชิ้นงาน หรือ
Prior
Knowledge
1 แรง
แรงมีสวนเกี่ยวของกับกิจกรรมตาง ๆ ในชีวิตประจําวันของ
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ทํากิจกรรมรวบยอดเพือ่ ใหเกิดทักษะทีจ่ าํ เปนในศตวรรษที่ 21
วัตถุทอ่ี ยูน
 งิ่ ถูกทําให
เคลือ่ นทีไ่ ดอยางไร
มนุษย โดยแรงที่มากระทํากับวัตถุ เชน แรงผลัก แรงโนมถวง 1. นั ก เรี ย นจั บ คู  กั บ เพื่ อ นในชั้ น เรี ย น จากนั้ น
แรงดึง แรงแมเหล็ก มีผลทําใหวัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปรางหรือ
สภาพการเคลื่อนที่
แรง (force) คือ ปริมาณทีก่ ระทําตอวัตถุแลวทําใหวตั ถุเกิดการเปลีย่ นแปลงสภาพการเคลือ่ นทีห่ รือเปลีย่ นแปลง
ร ว มกั น ศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
ความหมายของแรง จากหนั ง สื อ เรี ย น ขอสอบเนนการคิด
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หรือแหลงการเรียนรู
รูปราง เชน การออกแรงเข็นรถเข็นทําใหรถเข็นที่อยูนิ่งเกิดการเคลื่อนที่ การออกแรงปนดินนํ้ามันทําใหดินนํ้ามัน
เปลี่ยนแปลงรูปราง แรงมีหนวยเปนนิวตัน (N)
แรงเปนปริมาณเวกเตอร (vector quantity) จึงตองระบุทั้งขนาดและ
ตางๆ เชน อินเตอรเน็ต
2. นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ดศกึ ษา
ตัวอยางขอสอบที่มุงเนนการคิด มีทั้งปรนัย-อัตนัย พรอม
ทิศทาง ซึ่งสัญลักษณที่ใชแทนปริมาณเวกเตอรมีหลายรูปแบบ ดังนี้
1. แทนดวยลูกศร โดยที่ขนาดของความยาวลูกศรแทนขนาดของ
แรงคืออะไร และมีผลต่อ
วัตถุอย่างไร
จากนั้นรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการศึกษา
ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
เฉลยอยางละเอียด
เวกเตอร และหัวลูกศรแทนทิศทางของเวกเตอร เชน
2. แทนดวยตัวอักษรและมีลูกศรกํากับ เชน F หรือ F
3. แทนดวยตัวอักษรตัวหนา เชน F
4. แทนดวยสัญลักษณ AB คือ เวกเตอรที่มี A เปนจุดเริ่มตน และ B เปนจุดสุดทาย
ถาพิจารณาเพียงแคขนาดของแรงสามารถเขียนสัญลักษณ F แทนขนาดของแรง โดยในหนวยการเรียนรูแ รง
แนวตอบ
1. ถูก
Understanding Check
2. ผิด 3. ถูก 4. ผิด 5. ถูก
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET
และการเคลือ่ นทีน่ จี้ ะใชสญั ลักษณ F แทนขนาดของแรงทีก่ ระทําตอวัตถุในแนวเดียวกัน และใชการเขียนเครือ่ งหมาย
บวก (+) และเครื่องหมายลบ (-) หนาขนาดของแรงเพื่อเปนการบอกทิศทางของแรงที่กระทําตอวัตถุ กลาวคือ
ถากําหนดใหแรงทีก่ ระทําตอวัตถุมที ศิ ไปทางขวามือเปนบวก ดังนัน้ แรงทีก่ ระทําตอวัตถุมที ศิ ไปทางซายมือจะเปนลบ
แนวตอบ Prior Knowledge ตัวอยางขอสอบที่มุงเนนการคิดวิเคราะห และสอดคลองกับ
วัตถุทอี่ ยูน งิ่ สามารถเคลือ่ นทีไ่ ดเนือ่ งจากมีแรง
สามารถเขียนเครื่องหมายหนาขนาดของแรง เชน แรงขนาด 1 นิวตัน กระทําตอวัตถุในทิศทางขวามือจะเขียนเปน
F = 1 N และแรงขนาด 1 นิวตัน กระทําตอวัตถุในทิศทางซายมือจะเขียนเปน F = -1 N มากระทํา โดยแรงที่มากระทําตอวัตถุอาจสัมผัส แนวขอสอบ O-NET มีทั้งปรนัย-อัตนัย พรอมเฉลยอยาง
หรือไมสัมผัสกับวัตถุโดยตรง เชน แรงดึง แรงผลัก
แรงและการเคลื่อนที่ 3
แรงดัน แรงโนมถวง แรงไฟฟา แรงแมเหล็ก ละเอียด
ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital
แรงเปนปริมาณที่มีลักษณะตามขอใด ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของแรงที่มีตอวัตถุ จาก
กิจกรรมทาทาย
1. มีแตขนาด
2. มีแตทิศทาง
ภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง การชนของวัตถุ (https://www.twig-aksorn.
com/film/body-crash-7883/) เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรม เพือ่ ตอยอดสําหรับนักเรียน
3. มีขนาดในบางทิศทาง
4. มีทั้งขนาดและทิศทาง ทีเ่ รียนรูไ ดอยางรวดเร็ว และตองการทาทายความสามารถใน
(วิเคราะหคําตอบ แรงเปนปริมาณเวกเตอรที่มีทั้งขนาดและ
โซน 3
ทิศทาง เมื่อมากระทําตอวัตถุมีผลทําใหวัตถุเปลี่ยนแปลงสภาพ
การเคลื่อนที่ ดังนั้น ตอบขอ 4.)
ระดับที่สูงขึ้น
โซน 2
กิจกรรมสรางเสริม
เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมซอมเสริมสําหรับนักเรียนที่
T7 ควรไดรับการพัฒนาการเรียนรู

หองปฏิบัติการ (วิทยาศาสตร) แนวทางการวัดและประเมินผล


คําอธิบายหรือขอเสนอแนะสิ่งที่ควรระมัดระวัง หรือขอควรปฏิบัติ เสนอแนะแนวทางการบรรลุ ผ ลสั มฤทธิ์ ทางการเรี ย นของ
ตามเนื้อหาในบทเรียน นักเรียนตามมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั ทีห่ ลักสูตรกําหนด
สื่อ Digital
แนะนําแหลงเรียนรูและแหลงคนควาจากสื่อ Digital ตาง ๆ
ค� ำ อธิ บ ายรายวิ ช า
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เวลาเรียน 120 ชั่วโมง / ปี

ศึกษาเกีย่ วกับระบบร่างกายมนุษย์ ระบบหายใจ โครงสร้างและหน้าทีข่ องอวัยวะในระบบหายใจ การหายใจ การดูแล


รักษาอวัยวะในระบบหายใจ ระบบขับถ่าย โครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะในระบบขับถ่าย กลไกการก�ำจัดของเสีย การดูแล
รักษาอวัยวะในระบบขับถ่าย ระบบหมุนเวียนเลือด โครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะในระบบหมุนเวียนเลือด การท�ำงานของ
ระบบหมุนเวียนเลือด การดูแลรักษาอวัยวะในระบบหมุนเวียนเลือด ระบบประสาท โครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะในระบบ
ประสาท การท�ำงานของระบบประสาท การดูแลรักษาอวัยวะในระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ โครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะ
ในระบบสืบพันธุ์ ฮอร์โมนเพศ การปฏิสนธิและการตั้งครรภ์ การคุมก�ำเนิด ศึกษาเกี่ยวกับการแยกสารผสม การระเหยแห้ง
การตกผลึก การกลั่น โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ การสกัดด้วยตัวท�ำละลาย การน�ำวิธีการแยกสารไปใช้แก้ปัญหาในชีวิต
ประจ�ำวัน ศึกษาเกี่ยวกับสารละลาย สภาพละลายได้ของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย การใช้สารละลายในชีวิตประจ�ำวัน
ศึกษาเกี่ยวกับแรงและการเคลื่อนที่ แรง แรงดันในของเหลว แรงพยุง แรงเสียดทาน โมเมนต์ของแรง แรงในธรรมชาติ
การเคลื่อนที่ ระยะทางและการกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว ศึกษาเกี่ยวกับงานและพลังงาน งาน ก�ำลัง เครื่องกลอย่างง่าย
พลังงาน ประเภทของพลังงานกล กฎการอนุรกั ษ์พลังงาน ศึกษาเกีย่ วกับโลกและการเปลีย่ นแปลง เชือ้ เพลิงซากดึกด�ำบรรพ์
ถ่านหิน หินน�้ำมัน ปิโตรเลียม พลังงานทดแทน โครงสร้างของโลก การเปลี่ยนแปลงของโลก ทรัพยากรดิน กระบวนการ
เกิดดิน หน้าตัดข้างของดิน ปัจจัยในการเกิดดิน สมบัติของดิน การปรับปรุงคุณภาพของดิน แหล่งน�้ำ น�้ำบนดิน น�้ำใต้ดิน
การใช้ประโยชน์จากแหล่งน�้ำ ภัยพิบัติที่เกิดจากน�้ำ
โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกต การวิเคราะห์
การทดลอง การอภิปราย การอธิบาย และการสรุป เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และน�ำความรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยม
ตัวชี้วัด
ว 1.2 ม.2/1 ร ะบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะที่เกี่ยวข้องในระบบหายใจ
ว 1.2 ม.2/2 อธิบายกลไกการหายใจเข้าและออก โดยใช้แบบจ�ำลอง รวมทั้งอธิบายกระบวนการแลกเปลี่ยนแก๊ส
ว 1.2 ม.2/3 ตระหนักถึงความส�ำคัญของระบบหายใจ โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบหายใจให้ทำ� งานเป็นปกติ
ว 1.2 ม.2/4 ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบขับถ่ายในการก�ำจัดของเสียทางไต
ว 1.2 ม.2/5 ตระหนักถึงความส�ำคัญของระบบขับถ่ายในการก�ำจัดของเสียทางไต โดยการบอกแนวทางในการปฏิบัติตนที่ช่วยให้ระบบขับถ่าย
ท�ำหน้าที่ได้อย่างปกติ
ว 1.2 ม.2/6 บรรยายโครงสร้างและหน้าที่ของหัวใจ หลอดเลือด และเลือด
ว 1.2 ม.2/7 อธิบายการท�ำงานของระบบหมุนเวียนเลือด โดยใช้แบบจ�ำลอง
ว 1.2 ม.2/8 ออกแบบการทดลองและทดลอง ในการเปรียบเทียบอัตราการเต้นของหัวใจ ขณะปกติและหลังท�ำกิจกรรม
ว 1.2 ม.2/9 ตระหนักถึงความส�ำคัญของระบบหมุนเวียนเลือด โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบหมุนเวียนเลือดให้ทำ� งาน
เป็นปกติ
ว 1.2 ม.2/10 ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบประสาทส่วนกลางในการควบคุมการท�ำงานต่าง ๆ ของร่างกาย
ว 1.2 ม.2/11 ตระหนักถึงความส�ำคัญของระบบประสาท โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษา รวมถึงการป้องกันการกระทบกระเทือนและอันตราย
ต่อสมองและไขสันหลัง
ว 1.2 ม.2/12 ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ของเพศชายและเพศหญิง โดยใช้แบบจ�ำลอง
ว 1.2 ม.2/13 อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิงที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว
ว 1.2 ม.2/14 ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว โดยการดูแลรักษาร่างกายและจิตใจของตนเองในช่วงที่มี
การเปลี่ยนแปลง
ว 1.2 ม.2/15 อธิบายการตกไข่ การมีประจ�ำเดือน การปฏิสนธิ และการพัฒนาของไซโกตจนคลอดเป็นทารก
ว 1.2 ม.2/16 เลือกวิธีการคุมก�ำเนิดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่กำ� หนด
ว 1.2 ม.2/17 ตระหนักถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร โดยการประพฤติตนให้เหมาะสม
ว 2.1 ม.2/1 อธิบายการแยกสารผสมโดยการระเหยแห้ง การตกผลึก การกลั่นอย่างง่าย โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ การสกัดด้วยตัวท�ำละลาย
โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
ว 2.1 ม.2/2 แยกสารโดยการระเหยแห้ง การตกผลึก การกลั่นอย่างง่าย โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ การสกัดด้วยตัวท�ำละลาย
ว 2.1 ม.2/3 น�ำวิธีการแยกสารไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจ�ำวัน โดยบูรณาการวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์
ว 2.1 ม.2/4 อ อกแบบการทดลองและทดลองในการอธิบายผลของชนิดตัวละลาย ชนิดตัวท�ำละลาย อุณหภูมิที่มีต่อสภาพละลายได้ของสาร
รวมทั้งอธิบายผลของความดันที่มีต่อสภาพละลายได้ของสาร โดยใช้สารสนเทศ
ว 2.1 ม.2/5 ระบุปริมาณตัวละลายในสารละลาย ในหน่วยความเข้มข้นเป็นร้อยละ ปริมาตรต่อปริมาตร มวลต่อมวล และมวลต่อปริมาตร
ว 2.1 ม.2/6 ตระหนักถึงความส�ำคัญของการน�ำความรู้เรื่องความเข้มข้นของสารไปใช้ โดยยกตัวอย่างการใช้สารละลายในชีวิตประจ�ำวัน
อย่างถูกต้องและปลอดภัย
ว 2.2 ม.2/1 พยากรณ์การเคลื่อนที่ของวัตถุที่เป็นผลของแรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงหลายแรงที่กระท�ำต่อวัตถุในแนวเดียวกันจากหลักฐาน
เชิงประจักษ์
ว 2.2 ม.2/2 เขียนแผนภาพแสดงแรงและแรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงหลายแรงที่กระท�ำต่อวัตถุในแนวเดียวกัน
ว 2.2 ม.2/3 ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่ในการอธิบายปัจจัยที่มีผลต่อความดันของของเหลว
ว 2.2 ม.2/4 วิเคราะห์แรงพยุงและการจม การลอยของวัตถุในของเหลวจากหลักฐานเชิงประจักษ์
ว 2.2 ม.2/5 เขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระท�ำต่อวัตถุในของเหลว
ว 2.2 ม.2/6 อธิบายแรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทานจลน์จากหลักฐานเชิงประจักษ์
ว 2.2 ม.2/7 ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน
ว 2.2 ม.2/8 เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงอื่น ๆ ที่กระท�ำต่อวัตถุ
ว 2.2 ม.2/9 ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เรื่องแรงเสียดทาน โดยวิเคราะห์สถานการณ์ ปัญหา และเสนอแนะวิธีการลดหรือเพิ่มแรงเสียดทาน
ที่เป็นประโยชน์ต่อการท�ำกิจกรรมในชีวิตประจ�ำวัน
ว 2.2 ม.2/10 ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธที เี่ หมาะสมในการอธิบายโมเมนต์ของแรง เมือ่ วัตถุอยูใ่ นสภาพสมดุลต่อการหมุน และค�ำนวณ
โดยใช้สมการ M = Fl
ว 2.2 ม.2/11 เปรียบเทียบแหล่งของสนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถ่วง และทิศทางของแรงที่กระท�ำต่อวัตถุที่อยู่ในแต่ละสนาม
จากข้อมูลที่รวบรวมได้
ว 2.2 ม.2/12 เขียนแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงที่กระท�ำต่อวัตถุ
ว 2.2 ม.2/13 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงที่กระท�ำต่อวัตถุที่อยู่ในสนามนั้น ๆ กับ
ระยะห่างจากแหล่งของสนามถึงวัตถุจากข้อมูลที่รวบรวมได้
ว 2.2 ม.2/14 อธิบายและค�ำนวณอัตราเร็วและความเร็วของการเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยใช้สมการ v = st และ v = st จากหลักฐาน
เชิงประจักษ์
ว 2.2 ม.2/15 เขียนแผนภาพแสดงการกระจัดและความเร็ว
ว 2.3 ม.2/1 วเิ คราะห์สถานการณ์และค�ำนวณเกีย่ วกับงานและก�ำลังทีเ่ กิดจากแรงทีก่ ระท�ำต่อวัตถุโดยใช้สมการ W = Fs และ P = Wt จากข้อมูล
ที่รวบรวมได้
ว 2.3 ม.2/2 วิเคราะห์หลักการท�ำงานของเครื่องกลอย่างง่ายจากข้อมูลที่รวบรวมได้
ว 2.3 ม.2/3 ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของเครื่องกลอย่างง่าย โดยบอกประโยชน์และการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน
ว 2.3 ม.2/4 ออกแบบและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่มีผลต่อพลังงานจลน์และพลังงานศักย์โน้มถ่วง
ว 2.3 ม.2/5 แปลความหมายข้อมูลและอธิบายการเปลีย่ นพลังงานระหว่างพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ของวัตถุโดยพลังงานกลของวัตถุ
มีค่าคงตัวจากข้อมูลที่รวบรวมได้
ว 2.3 ม.2/6 วิเคราะห์สถานการณ์และอธิบายการเปลี่ยนและการถ่ายโอนพลังงานโดยใช้กฎการอนุรักษ์พลังงาน
ว 3.2 ม.2/1 เปรียบเทียบกระบวนการเกิด สมบัติ และการใช้ประโยชน์ รวมทั้งอธิบายผลกระทบจากการใช้เชื้อเพลิงซากดึกด�ำบรรพ์จากข้อมูลที่
รวบรวมได้
ว 3.2 ม.2/2 แสดงความตระหนักถึงผลจากการใช้เชื้อเพลิงซากดึกด�ำบรรพ์ โดยน�ำเสนอแนวทางการใช้เชื้อเพลิงซากดึกด�ำบรรพ์
ว 3.2 ม.2/3 เปรียบเทียบข้อดีและข้อจ�ำกัดของพลังงานทดแทนแต่ละประเภทจากการรวบรวมข้อมูล และน�ำเสนอแนวทางการใช้พลังงานทดแทน
ที่เหมาะสมในท้องถิ่น
ว 3.2 ม.2/4 สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายโครงสร้างภายในโลก ตามองค์ประกอบทางเคมีจากข้อมูลที่รวบรวมได้
ว 3.2 ม.2/5 อธิบายกระบวนการผุพังอยู่กับที่ การกร่อน และการสะสมตัวของตะกอนจากแบบจ�ำลอง รวมทั้งยกตัวอย่างผลของกระบวนการ
ดังกล่าวที่ท�ำให้ผิวโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง
ว 3.2 ม.2/6 อธิบายลักษณะของชัน้ หน้าตัดดินและกระบวนการเกิดดิน จากแบบจ�ำลอง รวมทัง้ ระบุปจั จัยทีท่ ำ� ให้ดนิ มีลกั ษณะและสมบัตแิ ตกต่างกัน
ว 3.2 ม.2/7 ตรวจวัดสมบัติบางประการของดิน โดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสมและน�ำเสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ดินจากข้อมูลสมบัติของดิน
ว 3.2 ม.2/8 อธิบายปัจจัยและกระบวนการเกิดแหล่งน�ำ้ ผิวดินและแหล่งน�้ำใต้ดิน จากแบบจ�ำลอง
ว 3.2 ม.2/9 สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายการใช้นำ �้ และน�ำเสนอแนวทางการใช้นำ�้ อย่างยั่งยืนในท้องถิ่นของตนเอง
ว 3.2 ม.2/10 สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายกระบวนการเกิดและผลกระทบของน�ำ้ ท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม หลุมยุบ แผ่นดินทรุด
รวม 54 ตัวชี้วัด
Pedagogy
คู่มือครู รายวิชาพื้นฐาน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.2 เล่ม 2 รวมถึงสื่อการเรียนรูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและ
เทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 2 ผูจ ดั ทําไดออกแบบการสอน (Instructional Design) อันเปนวิธกี ารจัดการเรียนรูแ ละเทคนิค
การสอนทีเ่ ปย มดวยประสิทธิภาพและมีความหลากหลายใหกบั ผูเ รียน เพือ่ ใหผเู รียนสามารถบรรลุผลสัมฤทธิต์ ามมาตรฐาน
การเรียนรูและตัวชี้วัด รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงคของผูเรียนที่หลักสูตรกําหนดไว โดยครูสามารถ
นําไปใชจัดการเรียนรูในชั้นเรียนไดอยางมีประสิทธิภาพ ซึ่งในรายวิชานี้ ไดนํารูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู
(5Es Instructional Model) มาใชในการออกแบบการสอน ดังนี้

รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)

ดวยจุดประสงคของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร เพื่อชวย
ุนความสนใจ
ใหผูเรียนไดพัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค กระต
คิดวิเคราะห วิจารณ มีทักษะสําคัญในการคนควาหาความรู และมี Eennggagement
1

สาํ xploration
eEvvaluatio ล
ความสามารถในการแกปญหาอยางเปนระบบ ผูจัดทําจึงไดเลือกใช

รวจ

eE
ตรวจสอบ
n

และคนหา
รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es Instructional Model) 2
5
ซึ่งเปนขั้นตอนการเรียนรูที่มุงเนนใหผูเรียนไดมีโอกาสสราง
องคความรูด ว ยตนเองผานกระบวนการคิดและการลงมือทํา โดยใช
5Es
กระบวนการทางวิทยาศาสตรเปนเครื่องมือสําคัญเพื่อการพัฒนา
bo 4 3

n
El a

tio
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร และทักษะการเรียนรูแหง ratio ana
ขย

รู
คว pl

าม
n E x ว
าย

ศตวรรษที่ 21 ามเ ายค


ขาใจ อ ธิบ

วิธีสอน (Teaching Method)

ผูจัดทําเลือกใชวิธีสอนที่หลากหลาย เชน การทดลอง การสาธิต การอภิปรายกลุมยอย เพื่อสงเสริมการเรียนรู


รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es Instructional Model) ใหเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะเนนใชวิธีสอน
โดยใชการทดลองมากเปนพิเศษ เนื่องจากเปนวิธีสอนที่มุงพัฒนาใหผูเรียนเกิดองคความรูจากประสบการณตรงโดย
การคิดและการลงมือทําดวยตนเอง อันจะชวยใหผูเรียนมีความรูและเกิดทักษะทางกระบวนการวิทยาศาสตรที่คงทน

เทคนิคการสอน (Teaching Technique)

ผูจ ดั ทําเลือกใชเทคนิคการสอนทีห่ ลากหลายและเหมาะสมกับเรือ่ งทีเ่ รียน เพือ่ สงเสริมวิธสี อนใหมปี ระสิทธิภาพมากขึน้


เชน การใชคําถาม การเลนเกม การยกตัวอยาง ซึ่งเทคนิคการสอนตาง ๆ จะชวยใหผูเรียนเกิดการเรียนรูอยางมีความสุข
ในขณะที่เรียนและสามารถปฏิบัติกิจกรรมไดอยางมีประสิทธิภาพ รวมทั้งไดพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 อีกดวย
Teacher Guide Overview
วิ ท ยาศาสตร์ แ ละเทคโนโลยี ม.2 เล่ ม 2
หน่วย
ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้

1. พยากรณ์การเคลื่อนที่ของวัตถุที่เป็น - ทักษะการวัด - ตรวจแบบทดสอบ - หนังสือเรียน


ผลของแรงลัพธ์ทเี่ กิดจากแรงหลายแรง - ทักษะการสังเกต ก่อนเรียน วิทยาศาสตร์
ที่กระท�ำต่อวัตถุในแนวเดียวกันจาก - ทักษะการทดลอง - ตรวจแบบฝึกหัด ม.2 เล่ม 2
หลักฐานเชิงประจักษ์ (ว 2.2 ม.2/1) - ทักษะการตั้งสมมติฐาน - ตรวจใบงาน - แบบฝึกหัด
2. เขียนแผนภาพแสดงแรงและแรงลัพธ์ - ทักษะการค�ำนวณ - ตรวจผังมโนทัศน์ วิทยาศาสตร์
ทีเ่ กิดจากแรงหลายแรงทีก่ ระท�ำต่อวัตถุ - ทักษะการควบคุมตัวแปร - ประเมินการปฏิบตั กิ าร ม.2 เล่ม 2
ในแนวเดียวกัน (ว 2.2 ม.2/2) - ทักษะการพยากรณ์ - ประเมินพฤติกรรม - ใบงาน
3. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธี - ทักษะการลงความเห็น การท�ำงานรายบุคคล - อุปกรณ์การทดลอง
ที่เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่มีผล จากข้อมูล - ประเมินพฤติกรรม - อุปกรณ์สาธิต
ต่อความดันของของเหลว (ว 2.2 ม.2/3) - ทักษะการตีความหมาย การท�ำงานกลุ่ม การทดลอง
4. วิเคราะห์แรงพยุงและการจม การลอย ข้อมูลและการลงข้อสรุป - ประเมินคุณลักษณะ - QR Code
ของวัตถุในของเหลว จากหลักฐานเชิง อันพึงประสงค์ - บัตรภาพ
ประจักษ์ (ว 2.2 ม.2/4) - ตรวจแบบทดสอบ - วีดิทัศน์
5. เขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระท�ำต่อ หลังเรียน - PowerPoint
วัตถุในของเหลว (ว 2.2 ม.2/5) - แบบทดสอบก่อนเรียน
6. อธิบายแรงเสียดทานสถิตและ - แบบทดสอบหลังเรียน
4 แรงเสียดทานจลน์จากหลักฐานเชิง
20
แรงและ ประจักษ์ (ว 2.2 ม.2/6)
ชั่วโมง
การเคลื่อนที่ 7. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วย
วิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่มี
ผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน
(ว 2.2 ม.2/7)
8. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและ
แรงอืน่ ๆ ทีก่ ระท�ำต่อวัตถุ (ว 2.2 ม.2/8)
9. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เรื่อง
แรงเสียดทาน โดยวิเคราะห์สถานการณ์
ปัญหาและเสนอแนะวิธีการลดหรือ
เพิ่มแรงเสียดทานที่เป็นประโยชน์ต่อ
การท�ำกิจกรรมในชีวิตประจ�ำวัน
(ว 2.2 ม.2/9)
10. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วย
วิธีที่เหมาะสมในการอธิบายโมเมนต์
ของแรง เมื่อวัตถุอยู่ในสภาพสมดุล
ต่อการหมุน และค�ำนวณโดยใช้สมการ
M = Fl (ว 2.2 ม.2/10)
หน่วย
ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้

11. เปรียบเทียบแหล่งของสนามแม่เหล็ก
สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถ่วง และ
ทิศทางของแรงที่กระท�ำต่อวัตถุที่อยู่ใน
แต่ละสนามจากข้อมูลที่รวบรวมได้
(ว 2.2 ม.2/11)
12. เขียนแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก
แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงที่กระท�ำ
ต่อวัตถุ (ว 2.2 ม.2/12)
13. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างขนาด
4 ของแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และ
20
แรงและ แรงโน้มถ่วงที่กระท�ำต่อวัตถุที่อยู่ใน
ชั่วโมง
การเคลื่อนที่ สนามนั้น ๆ กับระยะห่างจากแหล่งของ
(ต่อ) สนามถึงวัตถุจากข้อมูลที่รวบรวมได้
(ว 2.2 ม.2/13)
14. อธิบายและค�ำนวณอัตราเร็วและ
ความเร็วของการเคลื่อนที่ของวัตถุ
โดยใช้สมการ v = st และ v = st
จากหลักฐานเชิงประจักษ์
(ว 2.2 ม.2/14)
15. เขียนแผนภาพแสดงการกระจัด
และความเร็ว (ว 2.2 ม.2/15)
หน่วย
ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้

1. วิเคราะห์สถานการณ์และค�ำนวณ - ทักษะการสังเกต - ตรวจแบบทดสอบ - หนังสือเรียน


เกี่ยวกับงานและก�ำลังที่เกิดจากแรงที่ - ทักษะการระบุ ก่อนเรียน วิทยาศาสตร์
กระท�ำต่อวัตถุ โดยใช้สมการ W = Fs - ทักษะการทดลอง - ตรวจแบบฝึกหัด ม.2 เล่ม 2
และ P = Wt จากข้อมูลที่รวบรวมได้ - ทักษะการตั้งสมมติฐาน - ตรวจชิ้นงาน - แบบฝึกหัด
(ว 2.3 ม.2/1) - ทักษะการสื่อสาร สิ่งประดิษฐ์ วิทยาศาสตร์
2. วิเคราะห์หลักการท�ำงานของเครื่องกล - ทักษะการค�ำนวณ ด้านพลังงาน ม.2 เล่ม 2
อย่างง่ายจากข้อมูลที่รวบรวมได้ - ทักษะการท�ำงานร่วมกัน - ประเมินการปฏิบตั กิ าร - ใบงาน
(ว 2.3 ม.2/2) - ทักษะการรวบรวมข้อมูล - ประเมินพฤติกรรม - อุปกรณ์การทดลอง
3. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของ - ทักษะการน�ำความรู้ไปใช้ การท�ำงานรายบุคคล - QR Code
เครื่องกลอย่างง่าย โดยบอกประโยชน์ - ทักษะการเชื่อมโยง - ประเมินพฤติกรรม - บัตรภาพ
5 และการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน การท�ำงานกลุ่ม - PowerPoint
งานและ (ว 2.3 ม.2/3) 11 - ประเมินคุณลักษณะ - แบบทดสอบก่อนเรียน
4. ออกแบบและทดลองด้วยวิธที เี่ หมาะสม ชั่วโมง อันพึงประสงค์ - แบบทดสอบหลังเรียน
พลังงาน
ในการอธิบายปัจจัยทีม่ ผี ลต่อพลังงานจลน์ - ตรวจแบบทดสอบ
และพลังงานศักย์โน้มถ่วง (ว 2.3 ม.2/4) หลังเรียน
5. แปลความหมายข้อมูลและอธิบายการ
เปลี่ยนพลังงานระหว่างพลังงานศักย์
โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ของวัตถุ
โดยพลังงานกลของวัตถุมีค่าคงตัวจาก
ข้อมูลที่รวบรวมได้ (ว 2.3 ม.2/5)
6. วิเคราะห์สถานการณ์และอธิบายการ
เปลี่ยนและการถ่ายโอนพลังงานโดยใช้
กฎการอนุรักษ์พลังงาน (ว 2.3 ม.2/6)
หน่วย
ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้
1. เปรียบเทียบกระบวนการเกิด สมบัติ - ทักษะการวัด - ตรวจแบบทดสอบ - หนังสือเรียน
และการใช้ประโยชน์ รวมทั้งอธิบาย - ทักษะการระบุ ก่อนเรียน วิทยาศาสตร์
ผลกระทบจากการใช้เชื้อเพลิงซาก - ทักษะการสังเกต - ตรวจแบบฝึกหัด ม.2 เล่ม 2
ดึกด�ำบรรพ์จากข้อมูลที่รวบรวมได้ - ทักษะการทดลอง - ตรวจผังมโนทัศน์ - แบบฝึกหัด
(ว 3.2 ม.2/1) - ทักษะการตั้งสมมติฐาน - ตรวจแบบจ�ำลอง วิทยาศาสตร์
2. แสดงความตระหนักถึงผลจากการใช้ - ทักษะการส�ำรวจค้นหา - ประเมินการปฏิบตั กิ าร ม.2 เล่ม 2
เชื้อเพลิงซากดึกด�ำบรรพ์ โดยน�ำเสนอ - ทักษะการเชื่อมโยง - ประเมินพฤติกรรม - ใบงาน
แนวทางการใช้เชื้อเพลิงซาก - ทักษะการเปรียบเทียบ การท�ำงานรายบุคคล - ใบความรู้
ดึกด�ำบรรพ์ (ว 3.2 ม.2/2) - ทักษะการรวบรวมข้อมูล - ประเมินพฤติกรรม - อุปกรณ์การทดลอง
3. เปรียบเทียบข้อดีและข้อจ�ำกัดของ - ทักษะการท�ำงานร่วมกัน การท�ำงานกลุ่ม - บัตรภาพ
พลังงานทดแทนแต่ละประเภทจากการ - ทกั ษะการจ�ำแนกประเภท - ประเมินคุณลักษณะ - สลากอักษร
รวบรวมข้อมูลและน�ำเสนอแนวทาง - ทักษะการน�ำความรู้ไปใช้ อันพึงประสงค์ - วีดิทัศน์
การใช้พลังงานทดแทนที่เหมาะสม - ตรวจแบบทดสอบ - QR Code
ในท้องถิ่น (ว 3.2 ม.2/3) หลังเรียน - PowerPoint
4. สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายโครงสร้าง - แบบทดสอบก่อนเรียน
ภายในโลกตามองค์ประกอบทางเคมี - แบบทดสอบหลังเรียน
จากข้อมูลที่รวบรวมได้ (ว 3.2 ม.2/4)
5. อธิบายกระบวนการผุพังอยู่กับที่
การกร่อนและการสะสมตัวของตะกอน
6
โลกและการ
จากแบบจ�ำลอง รวมทั้งยกตัวอย่าง
ผลของกระบวนการดังกล่าวที่ท�ำให้
29
ผิวโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง ชั่วโมง
เปลี่ยนแปลง
(ว 3.2 ม.2/5)
6. อธิบายลักษณะของชั้นหน้าตัดดินและ
กระบวนการเกิดดินจากแบบจ�ำลอง
รวมทั้งระบุปัจจัยที่ทำ� ให้ดินมีลักษณะ
และสมบัติแตกต่างกัน (ว 3.2 ม.2/6)
7. ตรวจวัดสมบัติบางประการของดิน โดย
ใช้เครื่องมือที่เหมาะสมและน�ำเสนอ
แนวทางการใช้ประโยชน์ดินจากข้อมูล
สมบัติของดิน (ว 3.2 ม.2/7)
8. อธิบายปัจจัยและกระบวนการเกิด
แหล่งน�้ำผิวดินและแหล่งน�้ำใต้ดิน
จากแบบจ�ำลอง (ว 3.2 ม.2/8)
9. สร้างแบบจ�ำลองทีอ่ ธิบายการใช้นำ �้ และ
น�ำเสนอแนวทางการใช้น�้ำอย่างยั่งยืน
ในท้องถิ่นของตนเอง (ว 3.2 ม.2/9)
10. สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายกระบวนการ
เกิดและผลกระทบของน�้ำท่วม
การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม หลุมยุบ
แผ่นดินทรุด (ว 3.2 ม.2/10)
สำรบั ญ

Chapter
Chapter Teacher
Chapter Title Overview
Concept
Script
Overview
หน่วยการเรียนรูที่ 4 แรงและกำรเคลื่อนที่ T2-T3 T4-T5 T6

• แรง T7 -T35
• การเคลื่อนที่ T36 -T43
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 T44 -T49

หน่วยการเรียนรูที่ 5 งำนและพลังงำน T50-T51 T52-T53 T54

• งานและกําลัง T55 -T65


• พลังงาน T66 -T74
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 5 T75 -T81

หน่วยการเรียนรูที่ 6 โลกและกำรเปลี่ยนแปลง T82-T85 T86-T87 T88

• โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงของโลก T89 -T100


• ดิน T101 -T109
• นํ้า T110 -T121
• เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ์ T122 -T137
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 T138 -T146

STEM Activity T147 -T148


บรรณำนุกรม T149
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบ 1. อธิบายความหมายของแรงได้ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการวัด - มีวินัย
การหาแรงลัพธ์ ก่อนเรียน (K) หาความรู้ ก่อนเรียน - ทักษะการสังเกต - ใฝ่เรียนรู้
ของวัตถุ - หนังสือเรียน 2. เขียนแผนภาพแสดงแรงและ (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการทดลอง - มุ่งมั่นใน
วิทยาศาสตร์ ค�ำนวณหาแรงลัพธ์ทเี่ กิดจาก Instructional - ตรวจใบงาน เรื่อง แรง - ทักษะการค�ำนวณ การท�ำงาน
4 ม.2 เล่ม 2 แรงหลายแรงที่กระท�ำต่อวัตถุ Model) และแรงลัพธ์ - ทกั ษะการพยากรณ์
- แบบฝึกหัด ในแนวเดียวกันได้ (P) - ประเมินการน�ำเสนอ - ทักษะการลง
ชั่วโมง
วิทยาศาสตร์ 3. มีความใฝ่เรียนรู้และมีความ ผลงาน ความเห็นจาก
ม.2 เล่ม 2 มุ่งมั่นในการท�ำงาน (A) - สังเกตพฤติกรรม ข้อมูล
- ใบงาน การท�ำงานรายบุคคล
- อุปกรณ์สาธิต - สังเกตพฤติกรรม
การทดลอง การท�ำงานกลุ่ม
- PowerPoint - สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน

แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียน 1. อธิบายแรงเสียดทานสถิตและ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการวัด - มีวินัย


แรงเสียดทาน วิทยาศาสตร์ แรงเสียดทานจลน์ได้ (K) หาความรู้ - ตรวจใบงาน เรื่อง - ทักษะการสังเกต - ใฝ่เรียนรู้
ม.2 เล่ม 2 2. อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อขนาด (5Es แรงเสียดทาน - ทักษะการทดลอง - มุ่งมั่นใน
4 - แบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์
ของแรงเสียดทาน (K)
3. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียด
Instructional
Model)
- ประเมินการน�ำเสนอ
ผลงาน
- ทักษะการ
ตั้งสมมติฐาน
การท�ำงาน
ชั่วโมง
ม.2 เล่ม 2 ทานและแรงอื่น ๆ ที่กระท�ำต่อ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการควบคุม
- ใบงาน วัตถุ (P) การท�ำงานรายบุคคล ตัวแปร
- อุปกรณ์สาธิต 4. ปฏิบัติกิจกรรมการหาขนาดของ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการค�ำนวณ
การทดลอง แรงเสียดทานและปัจจัยทีม่ ผี ลต่อ การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการ
- PowerPoint ขนาดของแรงเสียดทานได้อย่าง - สังเกตความมีวินัย ตีความหมาย
ถูกต้องและเป็นล�ำดับขัน้ ตอน (P) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น ข้อมูลและการ
5. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ ในการท�ำงาน ลงข้อสรุป
เรื่ อ งแรงเสี ย ดทานต่ อ การท� ำ
กิจกรรมในชีวิตประจ�ำวันได้ (A)

แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียน 1. อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อความดัน แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย


แรงดัน วิทยาศาสตร์ ของของเหลวได้ (K) หาความรู้ - ประเมินการน�ำเสนอ - ทักษะการทดลอง - ใฝ่เรียนรู้
ในของเหลว ม.2 เล่ม 2 2. อธิบายลักษณะการจมและลอย (5Es ผลงาน - ทักษะการค�ำนวณ - มุ่งมั่นใน
และแรงพยุง - แบบฝึกหัด ของวัตถุในของเหลวได้ (K) Instructional - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการลง การท�ำงาน
วิทยาศาสตร์ 3. เขียนแผนภาพแสดงแรงทีก่ ระท�ำ Model) การท�ำงานรายบุคคล ความเห็นจาก
4 ม.2 เล่ม 2 ต่อวัตถุในของเหลวได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม ข้อมูล
ชั่วโมง
- อุปกรณ์การ 4. ปฏิบตั กิ จิ กรรมความดันของของ การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการ
ทดลอง เหลวและแรงที่กระท�ำต่อวัตถุใน - สังเกตความมีวินัย ตีความหมาย
- วีดิทัศน์เกี่ยวกับ ของเหลวได้อย่างถูกต้องและเป็น ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น ข้อมูลและการ
ความดันของ ล�ำดับขั้นตอน (P) ในการท�ำงาน ลงข้อสรุป
ของเหลว 5. มีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้และ
- PowerPoint ท�ำงานที่ได้รับมอบหมายตลอด
เวลา (A)

T2
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียน 1. อธิบายโมเมนต์ของแรงได้ (K) แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
โมเมนต์ของแรง วิทยาศาสตร์ 2. ค�ำนวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่ หาความรู้ - ป ระเมินการน�ำเสนอ - ทักษะการทดลอง - ใฝ่เรียนรู้
ม.2 เล่ม 2 เกี่ยวข้องกับโมเมนต์ของแรงได้ (5Es ผลงาน - ทักษะการค�ำนวณ - มุ่งมั่นใน
2 - แบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์
(P)
3. ปฏิบตั กิ จิ กรรมสมดุลต่อการหมุน
Instructional - สงั เกตพฤติกรรม
Model) การท�ำงานรายบุคคล
- ทักษะการลง
ความเห็นจาก
การท�ำงาน
ชั่วโมง ม.2 เล่ม 2 และโมเมนต์ ข องแรงได้ อ ย่ า ง - สังเกตพฤติกรรม ข้อมูล
- อุปกรณ์สาธิต ถูกต้องและเป็นล�ำดับขัน้ ตอน (P) การท�ำงานกลุ่ม
การทดลอง 4. มีความใฝ่เรียนรู้และมีความ - สังเกตความมีวินัย
- PowerPoint มุ่งมั่นในการท�ำงาน (A) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน
แผนฯ ที่ 5 - หนังสือเรียน 1. อธิบายความหมายและลักษณะ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
สนามของแรง วิทยาศาสตร์ สนามของแรงได้ (K) หาความรู้ - ต รวจใบงาน เรื่อง - ทักษะการทดลอง - ใฝ่เรียนรู้
ม.2 เล่ม 2 2. เปรี ย บเที ย บแหล่ ง ของสนาม (5Es สนามของแรง - ทักษะการลง - มุ่งมั่นใน
2 - แบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์
แม่เหล็ก สนามไฟฟ้า และสนาม
โน้มถ่วง และทิศทางของแรงที่
Instructional - ประเมินการน�ำเสนอ
Model) ผลงาน
ความเห็นจาก
ข้อมูล
การท�ำงาน
ชั่วโมง ม.2 เล่ม 2 กระท�ำต่อวัตถุทอี่ ยูใ่ นแต่ละสนาม - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการ
- ใบงาน ได้ (K) การท�ำงานรายบุคคล ตีความหมาย
- อุปกรณ์สาธิต 3. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง - สังเกตพฤติกรรม ข้อมูลและการ
การทดลอง ขนาดของแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า การท�ำงานกลุ่ม ลงข้อสรุป
- QR Code เรื่อง และแรงโน้มถ่วงที่กระท�ำต่อวัตถุ - สังเกตความมีวินัย
แรงจากสนาม ที่อยู่ในสนามนั้น ๆ กับระยะห่าง ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ไฟฟ้า จากแหล่งของสนามถึงวัตถุได้ ในการท�ำงาน
- วีดิทัศน์เกี่ยวกับ (K)
การทดลอง 4. เขียนแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก
แรงดึงดูดของ แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงที่
กาลิเลโอ กระท�ำต่อวัตถุได้ (P)
- PowerPoint 5. มีความใฝ่เรียนรู้และมีความ
มุ่งมั่นในการท�ำงาน (A)
แผนฯ ที่ 6 - แบบทดสอบ 1. อธิบายความหมายของอัตราเร็ว แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การเคลื่อนที่ หลังเรียน และความเร็วของการเคลื่อนที่ หาความรู้ หลังเรียน - ทักษะการค�ำนวณ - ใฝ่เรียนรู้
ของวัตถุ - หนังสือเรียน ของวัตถุได้ (K) (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการลง - มุ่งมั่นใน
วิทยาศาสตร์ 2. เขียนแผนภาพแสดงการ Instructional - ตรวจ Topic Question ความเห็นจาก การท�ำงาน
4 ม.2 เล่ม 2
- แบบฝึกหัด
กระจัดและความเร็วได้ (P)
3. ค�ำนวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่
Model) - ตรวจ Unit Question
- ตรวจใบงาน เรื่อง
ข้อมูล
- ทักษะการ
ชั่วโมง วิทยาศาสตร์ เกี่ยวข้องกับอัตราเร็วและ อัตราเร็วและความเร็ว ตีความหมาย
ม.2 เล่ม 2 ความเร็วของการเคลื่อนที่ของ - ประเมินชิ้นงาน ข้อมูลและการ
- ใบความรู้ วัตถุได้ (P) ผังมโนทัศน์ เรื่อง แรง ลงข้อสรุป
- ใบงาน 4. มีความสนใจใฝ่เรียนรู้หรืออยาก และการเคลื่อนที่
- อุปกรณ์สาธิต รู้อยากเห็น และท�ำงานร่วมกับ - ประเมินการน�ำเสนอ
การทดลอง ผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A) ผลงาน
- PowerPoint - สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน

T3
Chapter Concept Overview
แรง
แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ที่มีขนาดและทิศทาง มีหน่วยเป็น นิวตัน (N)
แรงยอยกระทําตอวัตถุไปในทิศทางเดียวกัน แรงยอยกระทําตอวัตถุไปในทิศทางตรงกันขาม
F1 F1 F2
Fลัพธ์ = F1 + F2 Fลัพธ์ = F1 + (-F2)
F2
• ถ้า Fลัพธ์ ≠ 0 วัตถุจะเคลื่อนที่ไปตามแนวแรง
• ถ้า Fลัพธ์ = 0 วัตถุจะไม่เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่

แรงเสียดทาน
แรงเสียดทาน คือ แรงทีเ่ กิดขึน้ ระหว่างทีผ่ วิ สัมผัสของวัตถุ เพือ่ ต้านการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุนนั้ มีทศิ ทางตรงข้ามกับการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ
แรงเสียดทานมี 2 ประเภท คือ ทิศทางการเคลื่อนที่ของกล่องไม้
1. แรงเสียดทานสถิต เกิดขึ้นในขณะที่วัตถุยังไม่เคลื่อนที่
N ผิวสัมผัส
2. แรงเสียดทานจลน์ เกิดขึ้นในขณะที่วัตถุก�าลังเคลื่อนที่
กล่อง f
fs,max = μsN
F พื้น
f k = μ kN
f
ขนาดของแรงเสียดทานจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
W
1. ขนาดของแรงปฏิกิริยาตั้งฉากระหว่างผิวสัมผัส
2. ลักษณะผิวสัมผัส

แรงดันในของเหลว
แรงดันในของเหลว คือ แรงทีข่ องเหลวกระท�าตัง้ ฉากกับผิวของวัตถุตอ่ หนึง่ หน่วยพืน้ ที่
ซึ่งเรียกว่า ความดันของของเหลว h
P = AF

แรงพยุง
แรงพยุง คือ แรงเนื่องจากของเหลวกระท�าต่อวัตถุที่อยู่ในของเหลวซึ่งมีทิศขึ้นในแนวดิ่ง ขนาดของแรงพยุงมีค่าเท่ากับขนาดของ
น�้าหนักของของเหลวที่ถูกวัตถุแทนที่
FB = ρVg 20 N 15 N

อาร์คมิ ดี สี ศึกษาเกีย่ วกับขนาดของแรงทีก่ ระท�าต่อวัตถุ ซึง่ จมอยูใ่ นของเหลว สามารถ


สรุปหลักการได้ว่า “น�้าหนักของวัตถุที่หายไปเมื่อชั่งในของเหลวจะเท่ากับน�้าหนักของ
ของเหลวที่มีปริมาตรเท่ากับปริมาตรวัตถุส่วนที่จมในของเหลว”

ขนาดของแรงพยุง = น�้าหนักของของเหลวที่ถูกวัตถุแทนที่

T4
หนวยการเรียนรูที่ 4
โมเมนต์ของแรง
โมเมนตของแรง คือ แรงที่กระท�าต่อวัตถุโดยไม่ผ่านศูนย์กลางมวลของวัตถุ ซึ่งท�าให้วัตถุหมุนรอบศูนย์กลางมวลของวัตถุ
M = FL
สมดุลตอการหมุน คือ เมือ่ วัตถุอยูใ่ นสมดุลต่อการหมุน ผลรวมของโมเมนต์ทวนเข็มนาฬกาเท่ากับผลรวมของโมเมนต์ตามเข็มนาฬกา
เขียนความสัมพันธ์ได้ ดังนี้
ΣMทวน = ΣMตาม

จุดหมุน
M1 M2
F1 F2
l1 l2

สนามของแรง
• สนามโนมถวง
เมื่อมีแรงโน้มถ่วงกระท�าต่อวัตถุในทิศทางพุ่งเข้าหาวัตถุที่เป็นแหล่งของสนามโน้มถ่วง ส่งผลให้วัตถุตกจากที่สูงลงมาสู่ที่ต�่า
• สนามไฟฟา
เป็นแรงที่เกิดขึ้นบนจุดประจุ เมื่อน�าวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าไปวางไว้ ณ ที่ใด ๆ

+ ++ - + -- - + - + -
• สนามแมเหล็ก
เป็นวัตถุทสี่ ามารถดูดสารแม่เหล็กบางชนิดได้ สนามแม่เหล็กเป็นปริมาณเวกเตอร์ โดยสนามแม่เหล็กโดยรอบแท่งแม่เหล็กจะมีทศิ พุง่
ออกจากขั้วแม่เหล็กเหนือเข้าหาขั้วแม่เหล็กใต้ ส่วนสนามแม่เหล็กภายในแท่งแม่เหล็กจะมีทิศพุ่งจากขั้วแม่เหล็กใต้ไปหาขั้วแม่เหล็กเหนือ

S N N S S N S N

การเคลือ่ นที่
ระยะทาง (s) เป็นปริมาณสเกลาร์ที่มีแต่ขนาด มีหน่วยเป็น เมตร
โดยอัตราส่วนระหว่างระยะทางกับเวลา คือ อัตราเร็ว (v) มีหน่วยเป็น
เมตรต่อวินาที (m/s)

การกระจัด ( s ) เป็นปริมาณเวกเตอร์ที่มีทั้งขนาดและทิศทาง มีหน่วย


เป็น เมตร โดยอัตราส่วนระหว่างการกระจัดกับเวลา คือ ความเร็ว ( v )
มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที (m/s)

T5
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ หน่วยการเรียนรู้ที่

1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบทดสอบก อ นเรี ย น


หนวยการเรียนรูที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่
เพื่ อ วั ด ความรู  เ ดิ ม ของนั ก เรี ย นก อ นเข า สู 
กิจกรรม
4 แรงและการเคลือ่ นที่
2. ครู เ ตรี ย มอุ ป กรณ ส าธิ ต การทดลอง เช น
ลูกบอลยาง จากนั้นครูขออาสาสมัครนักเรียน แรงมีผลตอการ
1 คน ออกมาหนาชั้นเรียน โดยใหตัวแทน ความเร็ว à¤Å×è͹·Õè¢Í§Çѵ¶Ø
นั ก เรี ย นโยนลู ก บอลยางขึ้ น ไปเหนื อ ศี ร ษะ อัตราสวนระหวางการกระจัดกับ
เวลา เปนปริมาณเวกเตอร มีทิศ
Í‹ҧäÃ
แลวใหนักเรียนแตละคนสังเกตการเคลื่อนที่ ไปทางเดียวกับการกระจัด
ของลูกบอลยาง
3. ครูถามคําถามกระตุน ความสนใจของนักเรียน
โดยใชคาํ ถาม Big Question จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
แรงเสียดทาน
แรงที่เกิดขึ้นระหวางผิวสัมผัสของ
วัตถุสองชิ้น มีทิศทางตรงขามกับ
ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ

ตัวชี้วัด
ว 2.2 ม.2/1 พยากรณการเคลื่อนที่ของวัตถุที่เปนผลของแรงลัพธที่เกิดจากแรงหลายแรงที่กระทําตอวัตถุในแนวเดียวกันจากหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2.2 ม.2/2 เขียนแผนภาพแสดงแรงและแรงลัพธที่เกิดจากแรงหลายแรงที่กระทําตอวัตถุในแนวเดียวกัน
ว 2.2 ม.2/3 ออกแบบการทดลองและทดลองดวยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปจจัยที่มีผลตอความดันของของเหลว
ว 2.2 ม.2/4 วิเคราะหแรงพยุงและการจม การลอยของวัตถุในของเหลวจากหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2.2 ม.2/5 เขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระทําตอวัตถุในของเหลว
ว 2.2 ม.2/6 อธิบายแรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทานจลนจากหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2.2 ม.2/7 ออกแบบการทดลองและทดลองดวยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปจจัยที่มีผลตอขนาดของแรงเสียดทาน
ว 2.2 ม.2/8 เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงอื่น ๆ ที่กระทําตอวัตถุ
ว 2.2 ม.2/9 ตระหนักถึงประโยชนของความรูเ รือ่ งแรงเสียดทาน โดยวิเคราะหสถานการณปญ หาและเสนอแนะวิธกี ารลดหรือเพิม่ แรงเสียดทานทีเ่ ปนประโยชน
ตอการทํากิจกรรมในชีวิตประจําวัน
ว 2.2 ม.2/10 ออกแบบการทดลองและทดลองดวยวิธที เี่ หมาะสมในการอธิบายโมเมนตของแรง เมือ่ วัตถุอยูใ นสภาพสมดุลตอการหมุน และคํานวณโดยใชสมการ
M = Fl
แนวตอบ Big Question ว 2.2 ม.2/11 เปรียบเทียบแหลงของสนามแมเหล็ก สนามไฟฟา และสนามโนมถวง และทิศทางของแรงทีก่ ระทําตอวัตถุทอี่ ยูใ นแตละสนามจากขอมูลทีร่ วบรวมได
ว 2.2 ม.2/12 เขียนแผนภาพแสดงแรงแมเหล็ก แรงไฟฟา และแรงโนมถวงที่กระทําตอวัตถุ
แรงมี ผ ลทํ า ให วั ต ถุ เ ปลี่ ย นแปลงสภาพการ ว 2.2 ม.2/13 วิเคราะหความสัมพันธระหวางขนาดของแรงแมเหล็ก แรงไฟฟา และแรงโนมถวงที่กระทําตอวัตถุที่อยูในสนามนั้น ๆ กับระยะหางจากแหลงของ
สนามถึงวัตถุจากขอมูลที่รวบรวมได
เคลื่ อ นที่ ความเร็ ว ทิ ศ ทาง รวมทั้ ง ทํ า ให วั ต ถุ ว 2.2 ม.2/14 อธิบายและคํานวณอัตราเร็วและความเร็วของการเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยใชสมการ v = st และ v = st จากหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2.2 ม.2/15 เขียนแผนภาพแสดงการกระจัดและความเร็ว
เปลี่ยนแปลงรูปรางและขนาด เชน รถยนตที่พุงชน
ตนไมดว ยความเร็วหนึง่ แรงทีพ่ งุ ชนตนไมจะสงผล
ใหรถเกิดการชํารุด

เกร็ดแนะครู
กอนเขาสูการเรียนการสอน เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ ครูอาจใหนักเรียน
ยกตัวอยางแรงที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวันของนักเรียน และผลที่เกิดขึ้นจาก
การกระทําของแรง เพื่อนําไปสูการทํากิจกรรมเกี่ยวกับการหาผลรวมของแรง
หลายแรงที่กระทําตอวัตถุในระนาบเดียวกัน ตัวอยางเชน นักเรียนออกแรงปน
จักรยาน ทําใหจักรยานเคลื่อนที่ไปขางหนา หากออกแรงปนจักรยานใหเร็วขึ้น
จักรยานจะเคลื่อนที่ไปขางหนาไดเร็วขึ้น หรือออกแรงผลักกลองในทิศทางตรง
ขามกัน กลองจะเคลื่อนไปในทิศทางที่มีแรงมากระทํามากกวา

T6
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Understanding Check 4. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอน
พิจารณาขอความตามความเขาใจของนักเรียนวาถูกหรือผิด แลวบันทึกลงในสมุดบันทึก เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
ถูก/ผิด Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น
1. วัตถุไมหลุดลอยออกไปจากโลกเพราะมีแรงดึงดูดของโลกหรือแรงโนมถวงกระทําตอวัตถุ วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุด
2. แรงมีหนวยเปนเมตรตอวินาที ประจําตัวนักเรียน

มุ ด
3. แรงลัพธ คือ ผลรวมของแรงทั้งหมดที่มากระทําตอวัตถุ 5. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ

นส
งใ

เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 เพื่อเปนการ

ทึ ก
4. ความเร็วเฉลี่ยของวัตถุเปนอัตราสวนของระยะทางทั้งหมดที่วัตถุเคลื่อนที่ตอเวลาทั้งหมดที่ใช

บั น
ในการเคลื่อนที่ นํ า เข า สู  บ ทเรี ย นและตรวจสอบความรู  เ ดิ ม
5. อัตราเร็วเฉลี่ยของวัตถุเปนอัตราสวนของระยะทางทั้งหมดที่วัตถุเคลื่อนที่ตอเวลาทั้งหมดที่ใช เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง แรงและการเคลื่ อ นที่ ของ
ในการเคลื่อนที่ นักเรียน
Prior
Knowledge
1 แรง ขัน้ สอน
แรงมีสวนเกี่ยวของกับกิจกรรมตาง ๆ ในชีวิตประจําวันของ สํารวจค้นหา
วัตถุทอ่ี ยูน
 งิ่ ถูกทําให
เคลือ่ นทีไ่ ดอยางไร
มนุษย โดยแรงที่มากระทํากับวัตถุ เชน แรงผลัก แรงโนมถวง 1. นั ก เรี ย นจั บ คู  กั บ เพื่ อ นในชั้ น เรี ย น จากนั้ น
แรงดึง แรงแมเหล็ก มีผลทําใหวัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปรางหรือ
ร ว มกั น ศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
สภาพการเคลื่อนที่
ความหมายของแรง จากหนั ง สื อ เรี ย น
แรง (force) คือ ปริมาณทีก่ ระทําตอวัตถุแลวทําใหวตั ถุเกิดการเปลีย่ นแปลงสภาพการเคลือ่ นทีห่ รือเปลีย่ นแปลง วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หรือแหลงการเรียนรู
รูปราง เชน การออกแรงเข็นรถเข็นทําใหรถเข็นที่อยูนิ่งเกิดการเคลื่อนที่ การออกแรงปนดินนํ้ามันทําใหดินนํ้ามัน
ตางๆ เชน อินเทอรเน็ต
เปลี่ยนแปลงรูปราง แรงมีหนวยเปนนิวตัน (N)
แรงเปนปริมาณเวกเตอร (vector quantity) จึงตองระบุทั้งขนาดและ 2. นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ดศกึ ษา
ทิศทาง ซึ่งสัญลักษณที่ใชแทนปริมาณเวกเตอรมีหลายรูปแบบ ดังนี้ แรงคืออะไร และมีผลต่อ จากนั้นรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการศึกษา
1. แทนดวยลูกศร โดยที่ขนาดของความยาวลูกศรแทนขนาดของ วัตถุอย่างไร
ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
เวกเตอร และหัวลูกศรแทนทิศทางของเวกเตอร เชน
2. แทนดวยตัวอักษรและมีลูกศรกํากับ เชน F หรือ F
3. แทนดวยตัวอักษรตัวหนา เชน F
4. แทนดวยสัญลักษณ AB คือ เวกเตอรที่มี A เปนจุดเริ่มตน และ B เปนจุดสุดทาย
ถาพิจารณาเพียงแคขนาดของแรงสามารถเขียนสัญลักษณ F แทนขนาดของแรง โดยในหนวยการเรียนรูแ รง แนวตอบ Understanding Check
และการเคลือ่ นทีน่ จี้ ะใชสญั ลักษณ F แทนขนาดของแรงทีก่ ระทําตอวัตถุในแนวเดียวกัน และใชการเขียนเครือ่ งหมาย 1. ถูก 2. ผิด 3. ถูก 4. ผิด 5. ถูก
บวก (+) และเครื่องหมายลบ (-) หนาขนาดของแรงเพื่อเปนการบอกทิศทางของแรงที่กระทําตอวัตถุ กลาวคือ
ถากําหนดใหแรงทีก่ ระทําตอวัตถุมที ศิ ไปทางขวามือเปนบวก ดังนัน้ แรงทีก่ ระทําตอวัตถุมที ศิ ไปทางซายมือจะเปนลบ แนวตอบ Prior Knowledge
สามารถเขียนเครื่องหมายหนาขนาดของแรง เชน แรงขนาด 1 นิวตัน กระทําตอวัตถุในทิศทางขวามือจะเขียนเปน
F = 1 N และแรงขนาด 1 นิวตัน กระทําตอวัตถุในทิศทางซายมือจะเขียนเปน F = -1 N วัตถุทอี่ ยูน งิ่ สามารถเคลือ่ นทีไ่ ดเนือ่ งจากมีแรง
มากระทํา โดยแรงที่มากระทําตอวัตถุอาจสัมผัส
แรงและการเคลื่อนที่ 3 หรือไมสัมผัสกับวัตถุโดยตรง เชน แรงดึง แรงผลัก
แรงดัน แรงโนมถวง แรงไฟฟา แรงแมเหล็ก

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


แรงเปนปริมาณที่มีลักษณะตามขอใด ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของแรงที่มีตอวัตถุ จาก
1. มีแตขนาด ภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง การชนของวัตถุ (https://www.twig-aksorn.
2. มีแตทิศทาง com/film/body-crash-7883/)
3. มีขนาดในบางทิศทาง
4. มีทั้งขนาดและทิศทาง
(วิเคราะหคําตอบ แรงเปนปริมาณเวกเตอรที่มีทั้งขนาดและ
ทิศทาง เมื่อมากระทําตอวัตถุมีผลทําใหวัตถุเปลี่ยนแปลงสภาพ
การเคลื่อนที่ ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T7
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสุมนักเรียน 3 คู ออกมานําเสนอผลการ การเขียนภาพเวกเตอรแทนแรงสามารถเขียนได โดยเขียนลูกศรแทนแรงทีม่ ากระทําและหัวลูกศรแทนทิศทาง
ของแรงที่มากระทําตอวัตถุ ดังภาพที่ 4.1
ศึ ก ษาหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ นั ก เรี ย น บอกขนาดของแรง เชน F = 5 N
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม F
คือ แรงที่กระทําตอวัตถุมีขนาด 5 นิวตัน
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง ลูกศรบอกทิศทางของแรงทีก่ ระทํากับวัตถุ
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา “แรง
ภาพที่ 4.1 การเขียนภาพเวกเตอรแทนแรงที่ใชในการดึงกลองไม
เปนปริมาณเวกเตอรที่ทั้งขนาดและทิศทาง ที่มา : คลังภาพ อจท.
สามารถเขียนแทนดวยเสนตรง โดยความยาว
เนื่องจากแรงเปนปริมาณเวกเตอร สามารถนํามาเขียนโดยใชแผนภาพได ดังนี้
ของเสนแทนขนาดของแรง และตองสอดคลอง 1. เขียนเวกเตอรดวยเสนตรงแทนแรง โดยความยาวของเสนตรงแทนขนาดของแรงและตองสอดคลองกับ
กับมาตราสวนทีก่ าํ หนด โดยหัวของลูกศรจะชี้ มาตราสวนที่กําหนด เชน ตองการเขียนเวกเตอรแทนแรง 300 นิวตัน โดยใชมาตราสวน 1 เซนติเมตร
ไปในทิศทางที่แรงกระทํา” ตอ 100 นิวตัน (1 cm : 100 N) ดังนั้น ตองเขียนเสนตรงที่มีความยาว 3 เซนติเมตร
3. นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 4.1-4.3 จากหนังสือ 2. กําหนดหัวลูกศรไปในทิศทางที่แรงกระทํา
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนั้นครูเขียน ตัวอย่างที่ 4.1 จงเขียนแรงที่มีขนาด 400 นิวตัน และมีทิศทางไปทางทิศตะวันออก
โจทย เ พิ่ ม เติ ม บนกระดาน โดยให นั ก เรี ย น N
วิธีเขียน กําหนดให 1 เซนติเมตร เทากับ 40 นิวตัน
แตละคนเขียนแผนภาพ ลงในสมุดประจําตัว W E
F = 400 N S
นักเรียน ตัวอยางโจทย เชน จงเขียนแรงที่
มีขนาด 500 นิวตัน ที่มีทิศไปทางตะวันตก มาตราสวน 1 cm : 40 N
เฉียงเหนือ
4. ครู สุ  ม เลขที่ นั ก เรี ย น 4 คน ออกมาเขี ย น ตัวอย่างที่ 4.2 จงเขียนแรงที่มีขนาด 250 นิวตัน และมีทิศทางไปทางทิศตะวันตก
คําตอบของตนเองหนาชั้นเรียน โดยใหเพื่อน N
วิธีเขียน กําหนดให 1 เซนติเมตร เทากับ 50 นิวตัน
W E
ในชั้นเรียนรวมกันพิจารณาวาคําตอบถูกตอง S
F = 250 N
หรือไม จากนั้นครูเฉลยคําตอบที่ถูกตองให มาตราสวน 1 cm : 50 N
นักเรียน
5. นักเรียนจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียนตามความ ตัวอย่างที่ 4.3 จงเขียนแรงที่มีขนาด 2,100 นิวตัน และมีทิศทางไปทางทิศเหนือ
สมัครใจ จากนั้นใหนักเรียนแตละคูรวมกันทํา
วิธีเขียน กําหนดให 1 เซนติเมตร เทากับ 700 นิวตัน
ใบงาน เรื่อง แรง N
W E
F = 2,100 N S

มาตราสวน 1 cm : 700 N

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูอาจใหนักเรียนฝกเขียนแผนภาพเวกเตอร และฝกคํานวณมาตราสวนที่ จากภาพ แรง F1 F2 F3 และ F4 กระทําตอวัตถุ แลวทําใหวัตถุ
ใชกาํ หนดการเขียนแผนภาพเวกเตอร เพือ่ ใหนกั เรียนเห็นถึงความสําคัญของการ หยุดนิ่ง
เขียนแผนภาพเวกเตอร เพื่อนําไปใชในการหาแรงลัพธเนื่องจากมีแรงหลายแรง F1 F3
มากระทํากับวัตถุ โดยครูอาจยกตัวอยางการหาผลรวมของแรงหลายแรง โดยการ F2
เขียนแผนภาพแบบหางเวกเตอรตอ หัวเวกเตอร เพือ่ ใหนกั เรียนเกิดความชํานาญ F4
ในการเขียนแผนภาพเวกเตอร

ขอใดกลาวถูกตอง
1. F1 = F2 = F3 = F4 2. F1 = F2 และ F3 = F4
3. F1 = F3 และ F2 = F4 4. F1 = F4 และ F2 = F3
( วิเคราะหคําตอบ F 1 = F 3 และ F 2 = F 4 จึ ง จะทํ า ให วั ต ถุ
หยุดนิ่ง ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T8
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
เมื่อมีแรงย่อยตั้งแต่ 2 แรงขึ้นไปมากระท�าต่อวัตถุ จะส่งผลให้ว1ัตถุเปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนที่ โดยขึ้น 1. นักเรียนแบงกลุมออกเปน 6 กลุม กลุมละ
อยู่กับผลรวมของแรงที่มากระท�าต่อวัตถุ เรียกแรงดังกล่าวว่า แรงลัพธ์ (resultant force) ซึ่งวัตถุจะเคลื่อนที่ไปใน เทาๆ กัน จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมสง
ทิศทางเดียวกับแรงลัพธ์ ตัวแทนออกมาจับสลากหัวขอที่ศึกษา โดยให
การหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์สามารถใช้วิธีเดียวกับการหาเวกเตอร์ลัพธ์ โดยพิจารณาทิศทางของ
นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล
แรงย่อยทุกแรงทีม่ ากระท�าต่อวัตถุ ในกรณีทตี่ อ้ งการหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์เมือ่ แรงย่อยอยูใ่ นแนวเดียวกัน
เราจะก�าหนดให้แรงทีม่ ที ศิ ทางตรงข้ามกันมีเครือ่ งหมายต่างกัน เช่น ก�าหนดให้แรงทีก่ ระท�าต่อวัตถุทมี่ ที ศิ ทางไปทาง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ขวามือมีเครื่องหมายบวก และให้แรงที่กระท�าต่อวัตถุที่มีทิศทางไปทางซ้ายมือมีเครื่องหมายลบ หรือแหลงการเรียนรูตางๆ เชน อินเทอรเน็ต
เมื่อแรงย่อยอยู่ในแนวเดียวกัน แรงลัพธ์ที่มากระท�าต่อวัตถุสามารถหาได้ ดังนี้ หองสมุด ซึ่งหัวขอประกอบดวย
1. แรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงย่อยที่อยู่ในแนวเดียวกันมากระท�ากับวัตถุในทิศทางเดียวกัน • กลุม ที่ 1-2 ศึกษาเกีย่ วกับแรงลัพธทเี่ กิดจาก
แรงยอยที่อยูในแนวเดียวกันมากระทํากับ
F1 = 4 N
วัตถุในทิศทางเดียวกัน
F2 = 4 N • กลุม ที่ 3-4 ศึกษาเกีย่ วกับแรงลัพธทเี่ กิดจาก
ภาพที่ 4.2 แรง F1 และ F2 กระท�ากับวัตถุในทิศทางเดียวกัน แรงยอยที่อยูในแนวเดียวกันมากระทํากับ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
วัตถุในทิศทางตรงขามกัน
จากภาพที่ 4.2 สามารถเขียนแผนภาพของแรง F1 และ F2 แล้วหาแรงลัพธ์ที่กระท�าต่อวัตถุ โดยใช้วิธี • กลุม ที่ 5-6 ศึกษาเกีย่ วกับกฎของความเฉือ่ ย
หางต่อหัวได้ ดังนี้
ก�าหนดให้ 1 เซนติเมตร เท่ากับ 1 นิวตัน จึงเขียนแรง F1 และ F2 ได้เป็น 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
F1 = 4 N ศึกษา จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมรวมกัน
สรุปความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงใน
F2 = 4 N สมุดประจําตัวนักเรียน
หาแรงลัพธ์ที่เกิดจาก F1 + F2 โดยการน�าหางของแรง F2 มาต่อกับหัวลูกศรของแรง F1
F1 = 4 N F2 = 4 N

แรงลัพธ์ที่เกิดจาก F1 + F2 หาได้ โดยการลากเส้นตรงจากหางลูกศรของแรง F1 ไปยังหัวลูกศรของแรง F2


Fลัพธ์ = 8 N

F1 = 4 N F2 = 4 N
ดังนั้น แรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงย่อยที่อยู่ในแนวเดียวกันมากระท�ากับวัตถุในทิศทางเดียวกันจะมีขนาดเท่ากับ
ผลรวมขนาดของแรงย่อยที่มากระท�าต่อวัตถุ และมีทิศทางไปในทิศทางเดียวกับทิศทางของแรงย่อย โดยขนาดของ
แรงลัพธ์เขียนแทนด้วย Fลัพธ์ หาได้ ดังสมการ
Fลัพธ์ = F1 + F2

แรงและการเคลื่อนที่ 5

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


ขอใดคือความหมายของปริมาณเวกเตอร 1 แรงลัพธ คือ ผลรวมของแรงหลายแรงทีก่ ระทําตอวัตถุ ทําใหวตั ถุเคลือ่ นที่
1. ปริมาณที่มีขนาดใหญ ไปตามทิศทางของแรงลัพธ ถาผลรวมของแรงลัพธมีขนาดเทากับศูนย จะทําให
2. ปริมาณที่มีขนาดเทากัน วัตถุหยุดนิ่งอยูกับที่
3. ปริมาณที่มีทิศทางแนนอน
4. ปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง
(วิเคราะหคําตอบ ปริมาณเวกเตอร คือ ปริมาณที่มีทั้งขนาดและ
ทิศทาง แรงจึงสามารถเขียนแทนไดดวยเวกเตอรเสนตรง ดังนั้น
ตอบขอ 4.)

T9
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ 2. แรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงย่อยที่อยู่ในแนวเดียวกันมากระท�ากับวัตถุในทิศทางตรงข้ามกัน
ศึ ก ษาหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ นั ก เรี ย น
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม F2 = 3 N F1 = 7 N
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
2. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม ให นั ก เรี ย นเข า ใจว า
“แรงลัพธ คือ ผลรวมของแรงทั้งหมดที่กระทํา ภาพที่ 4.3 แรง F1 และ F2 กระท�าต่อวัตถุในทิศทางตรงข้ามกัน โดยแรง F1 และ F2 มีขนาดไม่เท่ากัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ตอวัตถุ สามารถหาแรงลัพธของแรงที่กระทํา
ตอวัตถุที่อยูนิ่งในแนวเดียวกัน ซึ่งสามารถ จากภาพที่ 4.3 สามารถเขียนแผนภาพของแรง F1 และ F2 แล้วหาแรงลัพธ์ที่มากระท�าต่อวัตถุ โดยใช้วิธี
พิจารณาได คือ การหาแรงลัพธที่เกิดจาก หางต่อหัวได้ ดังนี้
ก�าหนดให้ 1 เซนติเมตร เท่ากับ 1 นิวตัน จึงเขียนแรง F1 และ F2 ได้เป็น
แรงยอยที่อยูในแนวเดียวกันมากระทํากับวัตถุ F2 = 3 N
ในทิศทางเดียวกัน แรงลัพธที่เกิดจากแรงยอย
ที่ อ ยู  ใ นแนวเดี ย วกั น มากระทํ า กั บ วั ต ถุ ใ น F1 = 7 N
ทิศทางตรงขามกัน และการหาแรงลัพธของ
แรงที่กระทําตอวัตถุในทิศทางตั้งฉากกัน” หาแรงลัพธ์ที่เกิดจาก F1 + F2 โดยการน�าหางของแรง F2 มาต่อกับหัวลูกศรของแรง F1
F2 = 3 N
F1 = 7 N

แรงลัพธ์ที่ได้เกิดจากการลากเส้นตรงจากหางลูกศรของแรง F1 ไปยังหัวลูกศรของแรง F2
Fลัพธ์ = 4 N
F2 = 3 N
F1 = 7 N

แรงลัพธ์ท่ีเกิดจากแรงย่อยที่อยู่ในแนวเดียวกันมากระท�ากับวัตถุในทิศทางตรงข้ามกันจะมีขนาดเท่ากับ
ผลรวมของแรงย่อยทีม่ ากระท�าต่อวัตถุ ซึง่ ก�าหนดให้แรงทีก่ ระท�าต่อวัตถุทมี่ ที ศิ ไปทางขวามือเป็นแรง F1 มีคา่ เป็นบวก
ดังนั้น แรงที่มากระท�าต่อวัตถุที่มีทิศไปทางซ้ายมือเป็นแรง F2 มีค่าเป็นลบ และมีทิศทางไปในทิศทางเดียวกับแรง
ย่อยที่มีขนาดมากกว่า โดยขนาดของแรงลัพธ์เขียนแทนด้วย Fลัพธ์ หาได้จากผลรวมของแรงย่อย แต่เนื่องจากแรง
ย่อยที่มากระท�าต่อวัตถุที่ทิศทางตรงข้ามกัน ขนาดของแรงลัพธ์จึงหาได้ ดังสมการ
Fลัพธ์ = F1 + (-F2)

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


เมื่อมีแรงขนาด 10 นิวตัน จํานวน 2 แรง มากระทําตอกลองที่ไมเคลื่อนที่ ดังรูป กลองจะเคลื่อนที่ไปทิศทางใด
1. ไมเคลื่อนที่
F1 = 10 N F2 = 10 N 2. ไปทางซายมือ
3. ไปทางขวามือ
4. ไปทางซายมือหรือขวามือก็ได
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ Fลัพธ = F1 + F2
กําหนดให แรงที่มากระทํากับวัตถุที่มีทิศทางไปทางขวามือ (F1) มีคาเปนบวก และแรงที่มากระทําตอวัตถุ
ที่มีทิศทางไปทางซายมือ (F2 ) มีคาเปนลบ
Fลัพธ = F1 + (-F2)
Fลัพธ = 10 + (-10)
Fลัพธ = 0
แรงลัพธมีคาเทากับศูนย กลองจึงไมเคลื่อนที่ ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T10
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
แต่ถ้าแรง F1 และ F2 ที่มากระท�าต่อวัตถุมีขนาดเท่ากัน ดังภาพที่ 4.4 3. นักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษาตัวอยางที่
F2 = 4 N F1 = 4 N 4.4-4.7 จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2 จากนั้นรวมกันทําใบงาน เรื่อง แรงลัพธ
4. ครูสุมนักเรียน 3 กลุม ออกมาเขียนคําตอบ
ภาพที่ 4.4 แรง F1 และ F2 กระท�าต่อวัตถุในทิศทางตรงข้ามกัน โดยแรง F1 และ F2 มีขนาดเท่ากัน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ของตนเองหน า ชั้ น เรี ย น โดยให เ พื่ อ นใน
จากภาพที่ 4.4 สามารถเขียนแผนภาพของแรง F1 และ F2 แล้วหาแรงลัพธ์ที่มากระท�าต่อวัตถุ โดยใช้วิธีหาง ชั้ น เรี ย นร ว มกั น พิ จ ารณาว า คํ า ตอบถู ก ต อ ง
ต่อหัวได้ ดังนี้ หรื อ ไม จากนั้ น ครู เ ฉลยคํ า ตอบที่ ถู ก ต อ ง
ก�าหนดให้ 1 เซนติเมตร เท่ากับ 1 นิวตัน จึงเขียนแรง F1 และ F2 ได้เป็น ใหนักเรียน
F2 = 4 N

F1 = 4 N

หาแรงลัพธ์ที่เกิดจาก F1 + F2 โดยการน�าหางของแรง F2 มาต่อกับหัวลูกศรของแรง F1

F2 = 4 N
F1 = 4 N

เนือ่ งจากหางลูกศรของแรง F1 อยูใ่ นต�าแหน่งเดียวกับหัวลูกศรของแรง F2 ดังนัน้ แรงลัพธ์จงึ มีคา่ เท่ากับศูนย์

Fลัพธ์ = 0

เมือ่ แรงลัพธ์ทกี่ ระท�าต่อวัตถุเป็นศูนย์ วัตถุจะรักษาสภาพการเคลือ่ นทีเ่ ดิมเอาไว้ ซึง่ เป็นไปตามกฎข้อที่ 1 ของ


นิวตัน (Newton’s first law) เรียกว่า กฎของความเฉื่อย โดยแบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
1. วั ต ถุ ที่ ห ยุ ด นิ่ ง จะพยายามหยุ ด นิ่ ง อยู ่ กั บ ที่
ตราบที่ไม่มีแรงลัพธ์ภายนอกมากระท�า
2. วัตถุที่เคลื่อนที่จะเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงด้วย
ความเร็วคงตัว ตราบทีไ่ ม่มแี รงลัพธ์ภายนอก
มากระท�า

ภาพที่ 4.5 เมื่อแรงลัพธ์ที่กระท�าต่อลูกฟุตบอลเป็นศูนย์ ลูกฟุตบอลที่


หยุดนิ่งจะยังคงหยุดนิ่งอยู่กับที่
ที่มา : คลังภาพ อจท.

แรงและการเคลื่อนที่ 7

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


ถาแรง F1 มีขนาด 6 นิวตัน และแรง F2 มีขนาด 4 นิวตัน ครูอาจอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน ซึ่งมี 3 ขอ ดังนี้
แรงลัพธของแรงทั้งสองที่กระทําตอวัตถุมีขนาดเทากับ 10 นิวตัน • กฎการเคลือ่ นทีข่ อ 1 ของนิวตัน หรือกฎของความเฉือ่ ย กลาววา “วัตถุจะ
แสดงวา ทิศทางของแรง F1 และ F2 ที่กระทําตอวัตถุเปนอยางไร รักษาสภาวะอยูน งิ่ หรือสภาวะเคลือ่ นทีอ่ ยางสมํา่ เสมอในแนวเสนตรง นอกจาก
1. มีทิศทางเดียวกัน จะมีแรงลัพธซึ่งมีคาไมเทากับศูนยมากระทํา”
2. มีทิศทางตั้งฉากกัน • กฎการเคลื่อนที่ขอ 2 ของนิวตัน หรือกฎความเรง กลาววา “ความเรง
3. มีทิศทางตรงขามกัน ของอนุภาคแปรผันตรงกับแรงลัพธทกี่ ระทําตออนุภาค แตจะแปรผกผันกับมวล
4. มีทิศทางทํามุมกันมากกวา 30 องศา ของอนุภาค”
(วิเคราะหคําตอบ เมื่อแรงยอยที่มากระทําตอวัตถุในทิศทาง • กฎการเคลื่อนที่ขอ 3 ของนิวตัน หรือกฎของกิริยาและปฏิกิริยา กลาว
เดียวกัน ขนาดของแรงลัพธจะมีคาเทากับผลรวมของแรงยอย วา “ทุกแรงกิริยายอมมีแรงปฏิกิริยา ซึ่งมีขนาดเทากัน แตมีทิศทางตรงขามกัน
ดังนั้น ตอบขอ 1.) เสมอ” กฎขอนี้เรียกวา กฎของกิริยาและปฏิกิริยา

T11
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู
5. ครู เ ขี ย นโจทย เ พิ่ ม เติ ม บนกระดาน โดยให ตัวอย่างที่ 4.4 นักเรียนสองคนออกแรงผลักโตะที่ตั้งอยูบนพื้นลื่นไมมีความฝดใหเคลื่อนที่ไปทางขวามือ
นักเรียนลอกโจทยและแสดงวิธีทําลงในสมุด ดวยขนาด 20 และ 40 นิวตัน จงคํานวณหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ
ประจําตัวนักเรียน วิธีทํา กําหนดให นักเรียนคนที่ 1 ออกแรงผลัก F1 ขนาด 20 นิวตัน และนักเรียนคนที่ 2 ออกแรงผลัก F2
ตัวอยางโจทย ขนาด 40 นิวตัน โดยมีทิศทางที่กระทําตอโตะ ดังภาพที่ 4.6
กําหนดให แรง F1 = 10 N F2 = 20 N และ
F3 = 10 N มากระทําตอกลอง ดังภาพ จงหา
F1 = 20 N
ขนาดและทิศทางของแรงลัพธ
F2 = 40 N
1) F1
F2
ภาพที่ 4.6 ขนาดและทิศทางของแรง F1 และ F2 ที่กระทําตอโตะ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
2) F1 F2
กําหนดให 1 เซนติเมตร เทากับ 10 นิวตัน จึงเขียนแรง F1 และ F2 ไดเปน
F1 = 20 N
3) F1 F1
F3

F2 = 40 N
4) F1 F3 เขียนแผนภาพของแรง F1 และ F2 และหาแรงลัพธที่มากระทําตอโตะ โดยใชวิธีหางตอหัวได ดังนี้
F2
นําหางของแรง F2 มาตอกับหัวลูกศรของแรง F1 แลวลากเสนตรงจากหางลูกศรของแรง F1 ไปยังหัวลูกศร
ของแรง F2 จะไดเปน Fลัพธ

Fลัพธ = 60 N

F1 = 20 N F2 = 40 N

ขนาดของแรงลัพธหาไดจากสมการ Fลัพธ = F1 + F2
Fลัพธ = 20 N + 40 N
Fลัพธ = 60 N
ดังนั้น แรงลัพธที่มากระทําตอโตะมีขนาด 60 นิวตัน

สื่อ Digital ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแรงลัพธ จาก YouTube เรื่อง การหา แรงขนาด 40 20 และ 25 นิวตัน กระทําตอกลอง ดังภาพ
แรงลัพธโดยวิธหี างตอหัวและโดยวิธกี ารคํานวณ (https://www.youtube.com/ จงหาขนาดของแรงลัพธ
watch?v=mfiSGD1fsWs) F3 = 25 N 1. 5 นิวตัน
F1 = 40 N 2. 15 นิวตัน
F2 = 20 N
3. 25 นิวตัน
4. 35 นิวตัน
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ Fลัพธ = F1 + F2 + F3
กําหนดให F1 มีคาเปนลบ F2 และ F3 มีคาเปนบวก
Fลัพธ = (-F1 ) + F2 + F3
Fลัพธ = (-40) + 20 + 25
= 5 นิวตัน
แรงลัพธมีคาเทากับ 5 นิวตัน ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T12
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ตัวอย่างที่ 4.5 ชายสองคนออกแรงผลักตูไมที่หยุดนิ่งบนพื้นเรียบลื่น โดยชายคนที่ 1 ออกแรง F1 ผลักตูไม 6. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม ให นั ก เรี ย นเข า ใจว า
ดวยแรงขนาด 50 นิวตัน ชายคนที่สองออกแรง F2 ผลักตูไมดวยแรงขนาด 30 นิวตัน ดังภาพ “แรงลั พ ธ ที่ เ กิ ด จากแรงย อ ยที่ อ ยู  ใ นแนว
ที่ 4.7 จงคํานวณหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ
เดี ย วกั น ถ า หากแรงย อ ยที่ ม ากระทํ า มี ทิ ศ
ไปทางเดียวกัน ขนาดของแรงลัพธจะมีคา
เทากับผลบวกของแรงยอย ถาหากแรงยอย
ที่ ม ากระทํ า มี ทิ ศ ตรงข า มกั น ขนาดของ
F1 = 50 N F2 = 30 N แรงลัพธจะมีคาเทากับผลตางของแรงยอย
โดยอาจกําหนดใหแรงที่มากระทําตอวัตถุที่
มีทิศทางไปทางขวามีคาเปนบวก และแรง
ที่มากระทําตอวัตถุที่มีทิศทางไปทางซายมีคา
ภาพที่ 4.7 ขนาดของแรงที่ชายทั้งสองกระทําตอตูไม เปนลบ แตถาแรงที่มากระทําตอวัตถุมีขนาด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เท า กั น และมี ทิ ศ ทางตรงข า มกั น แรงลั พ ธ
วิธีทํา กําหนดให 1 เซนติเมตร เทากับ 10 นิวตัน จึงเขียนแรง F1 และ F2 ไดเปน จะมีคาเทากับศูนย วัตถุจะรักษาสภาพการ
F1 = 50 N เคลื่อนที่เดิม”

F2 = 30 N

เขียนแผนภาพของแรง F1 และ F2 แลวหาแรงลัพธที่มากระทําตอตูไม โดยใชวิธีหางตอหัวได ดังนี้


นําหางของแรง F2 มาตอกับหัวลูกศรของแรง F1 แลวลากเสนตรงจากหางลูกศรของแรง F1 ไปยังหัวลูกศร
ของแรง F2 จะไดเปน Fลัพธ
F1 = 50 N
F2 = 30 N
Fลัพธ = 20 N

กําหนดให แรงทีก่ ระทําตอวัตถุทม่ี ที ศิ ทางไปทางขวามือมีคา เปนบวก และแรงทีก่ ระทําตอวัตถุทมี่ ที ศิ ทาง


ไปทางซายมือมีคาเปนลบ
ขนาดของแรงลัพธหาไดจากสมการ Fลัพธ = F1 + F2
Fลัพธ = F1 + (-F2)
Fลัพธ = 50 N + (-30 N)
Fลัพธ = 20 N
ดังนั้น แรงลัพธทกี่ ระทําตอตูไ มมขี นาด 20 นิวตัน

แรงและการเคลื่อนที่ 9

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


จากรูป แรงลัพธที่กระทําตอรถยนตมีคาเทากับเทาใด และมีทิศทางการเคลื่อนที่อยางไร
1. แรงลัพธเปนศูนย
F2 = 20 N F1 = 40 N 2. แรงลัพธมีขนาด 20 นิวตัน และมีทิศทางไปทางขวามือ
3. แรงลัพธมีขนาด 20 นิวตัน และมีทิศทางไปทางซายมือ
4. แรงลัพธมีขนาด 60 นิวตัน และมีทิศทางไปทางซายมือ
(วิเคราะหคําตอบ กําหนดให แรงที่กระทําตอรถยนตที่มีทิศทางไปทางขวามือมีคาเปนบวก และ
แรงที่กระทําตอรถยนตที่มีทิศทางไปทางซายมือมีคาเปนลบ ขนาดของแรงลัพธหาไดจาก
Fลัพธ = F1 + (-F2 )
= 40 N + (-20 N)
= 20 N
แรงลัพธทกี่ ระทําตอรถยนตมคี า เทากับ 20 นิวตัน และมีทศิ ทางการเคลือ่ นทีไ่ ปทางขวามือ ดังนัน้
ตอบ ขอ 2.)

T13
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ ตัวอย่างที่ 4.6 แรง 2 แรงกระทําตอวัตถุที่หยุดนิ่ง โดยมีแรงดึงวัตถุไปทางขวามือ 60 นิวตัน และมีแรงดึง
เรื่อง การหาแรงลัพธของวัตถุ และใหความรู วัตถุไปทางซายมือ 40 นิวตัน จงหาแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุและวัตถุนี้มีทิศทางการเคลื่อนที่
เพิ่มเติมจากคําถามของนักเรียน โดยครูใช อยางไร (สมมติวาพื้นลื่นไมมีความฝด)
PowerPoint เรื่อง การหาแรงลัพธของวัตถุ วิธีทํา สามารถเขียนแผนภาพแรงที่กระทําตอวัตถุได ดังภาพที่ 4.8
ในการอธิบายเพิ่มเติม
2. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง การหา F2 = 40 N F1 = 60 N
แรงลัพธของวัตถุ จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
ม.2 เลม 2
ภาพที่ 4.8 ขนาดและทิศทางของแรง F1 และ F2 ที่กระทําตอวัตถุ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล กําหนดให 1 เซนติเมตร เทากับ 10 นิวตัน จึงเขียนแรง F1 และ F2 ไดเปน
นั ก เรี ย นและครู ร  ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ การหา F1 = 60 N
แรงลัพธของวัตถุ ซึง่ ควรไดขอ สรุปรวมกันวา “แรง
คื อ ปริ ม าณที่ ก ระทํ า ต อ วั ต ถุ แล ว ทํ า ให วั ต ถุ
F2 = 40 N
เกิ ด การเปลี่ ย นแปลงสภาพการเคลื่ อ นที่ หรื อ
เปลี่ยนแปลงรูปราง แรงเปนปริมาณเวกเตอร เขียนแผนภาพของแรง F1 และ F2 แลวหาแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุ โดยใชวิธีหางตอหัวได ดังนี้
ต อ งระบุ ทั้ ง ขนาดและทิ ศ ทาง แรงลั พ ธ คื อ
F1 = 60 N
ผลรวมของแรงทั้งหมดที่กระทําตอวัตถุ การหา
แรงลั พ ธ ทํ า ได โ ดยการเขี ย นแผนภาพของแรง F2 = 40 N
แลวหาแรงลัพธโดยใชวิธีหางตอหัว”
Fลัพธ = 20 N

กําหนดใหแรงทีก่ ระทําตอวัตถุทมี่ ที ศิ ทางไปทางขวามือมีคา เปนบวก และแรงทีก่ ระทําตอวัตถุทมี่ ที ศิ ทาง


ไปทางซายมือมีคาเปนลบ ขนาดของแรงลัพธจึงหาไดจาก
Fลัพธ = F1 + F2
Fลัพธ = F1 + (-F2)
Fลัพธ = 60 N + (-40 N)
Fลัพธ = 60 N - 40 N
Fลัพธ = 20 N
ดังนั้น แรงลัพธที่กระทําตอวัตถุมีคาเทากับ 20 นิวตัน และวัตถุเคลื่อนที่ไปทางขวามือ

10

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


วัตถุกําลังเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัวไปทางซายมือบนพื้นราบ เมื่อถูกกระทําดวยแรง 3 แรง พรอมกัน ดังภาพ
ทิศทางการเคลื่อนที่
ถาวัตถุยงั เคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็วคงตัวไปทางซายมือ แรง F1
F1
F3 = 40 N จะตองมีขนาดเทาใด
F2 = 30 N 1. 5 นิวตัน 2. 10 นิวตัน
3. 15 นิวตัน 4. 20 นิวตัน
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ Fลัพธ = F1 + F2 + F3
กําหนดให แรงที่มากระทํากับวัตถุที่มีทิศทางไปทางซายมือ (F3 ) มีคาเปนลบ และแรงที่มากระทําตอวัตถุ
ที่มีทิศทางไปทางขวามือ (F1 และ F2 ) มีคาเปนบวก
Fลัพธ ≠ 0 และ Fลัพธ < 0
40 + (-30 - F1) ≠ 0 และ 40 + (-30 - F1) < 0
10 - F1 ≠ 0 และ 10 - F1 < 0
จะไดวา F1 ≠ 10 และ F1 < 10 ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T14
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
ตัวอยางที่ 4.7 ครอบครัวหนึ่งออกแรงผลักกล่องไม้ที่หยุดนิ่ง โดยพ่อและแม่ออกแรงผลักไปทางขวาคนละ 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน
20 นิวตัน น้องสาวที่อยู่ฝังตรงข้ามออกแรงดึงกล่องไม้ 10 นิวตัน พี่ชายที่อยู่ฝังเดียวกับ หนวยการเรียนรูท ี่ 4 แรงและการเคลือ่ นที่ เพือ่
น้องสาวออกแรงผลักกล่องไม้ไปทางซ้าย 50 นิวตัน จงค�านวณหาขนาดของแรงลัพธ์ที่กระท�า ตรวจสอบความเขาใจกอนเรียนของนักเรียน
ต่อกล่องไม้
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
วิธีท�า ก�าหนดให้ พ่อออกแรงผลัก F1 ขนาด 20 นิวตัน แม่ออกแรงผลัก F2 ขนาด 20 นิวตัน น้องสาวออก ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
แรงดึง F3 ขนาด 10 นิวตัน และพีช่ ายออกแรงผลัก F4 ขนาด 50 นิวตัน โดยมีทศิ ทางกระท�าต่อกล่องไม้ พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ
ดังภาพที่ 4.9
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
F1 = 20 N F3 = 10 N
3. ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนกอนเขาสู
F2 = 20 N F4 = 50 N กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Under-
standing Check ในสมุดประจําตัวนักเรียน
ภาพที่ 4.9 ขนาดและทิศทางของแรง F1 F2 F3 และ F4 ที่กระท�ากับกล่องไม้
ที่มา : คลังภาพ อจท. 4. ครูตรวจสอบผลการทําใบงาน เรื่อง แรง
ก�าหนดให้ 1 เซนติเมตร เท่ากับ 10 นิวตัน จึงเขียนแรง F1 F2 F3 และ F4 ได้เป็น 5. ครูตรวจสอบผลการทําใบงาน เรื่อง แรงลัพธ
F1 = 20 N 6. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง การหาแรงลัพธของ
F2 = 20 N วัตถุ จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
F3 = 10 N
F4 = 50 N

เขียนแผนภาพของแรง F1 F2 F3 และ F4 แล้วหาแรงลัพธ์ที่กระท�าต่อกล่องไม้ โดยใช้วิธีหางต่อหัวได้


ดังนี้
น�าหางของแรง F2 มาต่อกับหัวลูกศรของแรง F1 จะได้เป็นแรง F1 + F2 แล้วน�าหางของแรง F3
มาต่อกับแรง F1 + F2 จะได้เป็นแรง F1 + F2 + F3 และน�าหางของแรง F4 มาต่อกับแรง F1 + F2 + F3
จะได้เป็น Fลัพธ์ ซึ่งสังเกตได้ว่าแรง F4 จะซ้อนทับแรง F1 + F2+ F3 ได้พอดี
F1 = 20 N F2 = 20 N F3 = 10 N

F4 = 50 N
ก�าหนดให้แรงทีก่ ระท�าต่อวัตถุทมี่ ที ศิ ทางไปทางขวามือมีคา่ เป็นบวก และแรงทีก่ ระท�าต่อวัตถุทมี่ ที ศิ ทาง
ไปทางซ้ายมือมีค่าเป็นลบ ขนาดของแรงลัพธ์จึงหาได้จาก
Fลัพธ์ = F1 + F2 + F3 + (-F4)
Fลัพธ์ = 20 N + 20 N + 10 N + (-50 N)
Fลัพธ์ = 0 N
ดังนั้น แรงลัพธ์ที่กระท�าต่อกล่องไม้มีค่าเท่ากับศูนย์ กล่องไม้จึงไม่เคลื่อนที่
แรงและการเคลื่อนที่ 11

กิจกรรม ทาทาย แนวทางการวัดและประเมินผล


ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน เตรียมอุปกรณ ดังนี้ ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง การหาแรงลัพธของวัตถุ
เชือก 3 เสน วงแหวน 1 วง และเครื่องชั่งสปริง 3 เครื่อง จากนั้น ไดจากการสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม และการนําเสนอผลงาน โดยศึกษา
ผูกเชือก 3 เสน เขากับวงแหวน 1 วง แลวนําปลายเชือกทั้งสาม เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม และ
ผูกกับขอเกี่ยวเครื่องชั่งสปริงทั้ง 3 เครื่อง ดังภาพ แลวใหนักเรียน การนําเสนอผลงาน ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 4
แตละกลุม เขียนแผนภาพของแรงเพือ่ หาแรงลัพธดว ยวิธหี วั ตอหาง
เพื่ออธิบายแรงลัพธที่ทําใหวงแหวนอยูนิ่ง จากนั้นสงตัวแทนกลุม แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน


แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

ออกมานําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม ลาดับที่
ชื่อ–สกุล
ของนักเรียน
การแสดง
ความคิดเห็น
การยอมรับฟัง
คนอื่น
การทางาน
ตามที่ได้รับ
มอบหมาย
ความมีน้าใจ
การมี
ส่วนร่วมใน
การปรับปรุง
ผลงานกลุ่ม
รวม
15
คะแนน
ลาดับที่

1
2
รายการประเมิน

ความถูกต้องของเนื้อหา
ความคิดสร้างสรรค์
3


ระดับคะแนน



2 1


3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
3 วิธีการนาเสนอผลงาน   
4 การนาไปใช้ประโยชน์

F1
  

F2
5 การตรงต่อเวลา   

รวม

ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


............/................./...................

เกณฑ์การให้คะแนน

วัตถุ
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
............./.................../...............
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ 8–10 พอใช้

F3
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T15
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับแรงเสียดทาน ในชีวิตประจําวันของเราจะพบเห็นแรงตาง ๆ ที่มากระทําตอวัตถุมากมาย เชน แรงเสียดทาน แรงดันใน
ของเหลว แรงพยุง
จากนัน้ ครูถามคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
วา “ในชีวิตประจําวันกิจกรรมใดบางที่ทําให 1.1 แรงเสียดทาน
แรงเสียดทาน (frictional force; f) เปนแรงที่เกิดขึ้นระหวางผิวสัมผัสของวัตถุ เพื่อตานความพยายามใน
เกิดแรงเสียดทาน” โดยใหนักเรียนแตละคน การเคลื่อนที่ของวัตถุ จากภาพที่ 4.10 เมื่อออกแรงผลักกลองไมใหเคลื่อนที่ไปขางหนา จะมีแรงเสียดทานเกิดขึ้น
รวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นอยางอิสระ ที่ผิวสัมผัสระหวางกลองไมและพื้นในทิศตรงขามกับทิศทางการเคลื่อนที่ของกลองไม หากวัตถุมีนํ้าหนัก (W) มาก
โดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด แรงที่วัตถุกระทําหรือกดพื้นจะมีคามาก สงผลใหพื้นออกแรงดันวัตถุกลับ (N) มากตามไปดวย จึงกลาวไดวาแรงที่
(แนวตอบ เชน การเข็นรถ การปนจักรยาน วัตถุกระทําตอพื้นเปนแรงคูกิริยา-ปฏิกิริยากับแรงที่พื้นดันวัตถุ
การเดิน) ทิศทางการเคลือ่ นทีข่ องกลองไม
N ผิวสัมผัส
2. ครู เ ตรี ย มอุ ป กรณ ส าธิ ต การทดลอง เช น กลอง f
ผาขนหนู 2 ผืน จากนัน้ ขออาสาสมัครนักเรียน F พื้น
2-3 คน แลวใหตัวแทนนักเรียนนําผาขนหนู f
2 ผืน พับเขาหากัน แลวดึงผาขนหนูออกคนละ W
รถยนต์ที่ไถลลงจากเขา
จนกระทั่งหยุดนิ่ง
ขาง โดยครูหนีบผาขนหนูไวตรงกลางประมาณ ภาพที่ 4.10 กลองไมเคลื่อนที่ดวยแรง F จะมีแรงเสียดทาน f เกิดขึ้น
ในทิศทางตรงขามกับการเคลื่อนที่
มีแรงใดมากระทําบ้าง

2 นิ้ว แลวใหนักเรียนแตละคนสังเกต ที่มา : คลังภาพ อจท.


3. ครูถามคําถามกระตุนความคิดนักเรียน ดังนี้ แรงเสียดทานมี 2 ประเภท ดังนี้
• ขณะที่เพื่อนทั้ง 2 คน ดึงผาขนหนูออก 1. แรงเสียดทานสถิต (static frictional force; fs) คือ แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นในขณะที่วัตถุอยูนิ่งหรือกําลัง
จะเริม่ เคลือ่ นที่ ขนาดของแรงเสียดทานสถิตจะเพิม่ ขึน้ ตามขนาดของแรงทีก่ ระทําตอวัตถุจนมีคา มากทีส่ ดุ ขณะทีว่ ตั ถุ
ซึ่งดึงออกยากมากเปนเพราะเหตุใด เริ่มจะเคลื่อนที่ เรียกวา แรงเสียดทานสถิตสูงสุด เขียนแทนดวยสัญลักษณ fs, max
(แนวตอบ แรงเสียดทาน) 2. แรงเสียดทานจลน (kinetic frictional force; fk) คือ แรงเสียดทานที่พยายามตานการเคลื่อนที่ ธรรมชาติ
• นักเรียนสังเกตเห็นความยากลําบากของ ของแรงเสียดทานจลน จะมีทศิ ทางตรงขามกับทิศทางการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ ซึง่ แรงเสียดทานจะเกิดขึน้ ในขณะทีว่ ตั ถุ
การออกแรงกระทําตอวัตถุอื่นๆ ในชีวิต กําลังเคลื่อนที่ไปบนผิวของอีกวัตถุหนึ่ง ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
ประจําวันใดอีกบาง
F F
(แนวตอบ เชน การเปดฝาขวดนํ้า การเปด
fs fk
ฝากระปอง)
ภาพที่ 4.11 แรงเสียดทานสถิตของวัตถุในสภาวะที่วัตถุไมเคลื่อนที่ ภาพที่ 4.12 แรงเสียดทานจลนเกิดขึ้นระหวางผิวสัมผัสของวัตถุที่
ที่มา : คลังภาพ อจท. กําลังเคลื่อนที่
ขัน้ สอน ที่มา : คลังภาพ อจท.
สํารวจค้นหา ขนาดของแรงเสียดทานจะมากหรือนอยขึ้นอยูกับปจจัยตาง ๆ ดังนี้
1. ขนาดของแรงปฏิกริ ยิ าตัง้ ฉากระหวางผิวสัมผัส ซึง่ เปนแรงทีพ่ นื้ กระทําตอวัตถุ หากมีแรงทีว่ ตั ถุกระทําตอพืน้
1. นักเรียนแตละคนศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับ มาก แรงปฏิกิริยาตั้งฉากระหวางผิวสัมผัสจะมีคามาก สงผลใหแรงเสียดทานมีขนาดมากขึ้น
เรือ่ ง ความหมายของแรงเสียดทานและประเภท 2. ลักษณะผิวสัมผัส ขึ้นอยูกับชนิดของพื้นผิววัตถุ ถาวัตถุมีผิวสัมผัสที่เรียบจะเกิดแรงเสียดทานนอยกวา
ของแรงเสียดทาน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร วัตถุที่มีผิวสัมผัสขรุขระหรือหยาบ
ม.2 เลม 2 จากนั้นเขียนสรุปความรูที่ไดจาก
12
การศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


วัตถุกาํ ลังเคลือ่ นทีบ่ นพืน้ โดยการลากดวยแรง F ขณะวัตถุเคลือ่ นทีเ่ กิดแรงเสียดทาน f กระทําตอวัตถุตลอดเวลา
ดังภาพ
แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นเปนแรงเสียดทานประเภทใด และการกระทําใด
ทิศทางการเคลื่อนที่ ที่ทําใหแรงเสียดทานมีคาเพิ่มขึ้น ตามลําดับ
1. แรงเสียดทานสถิต เพิ่มมวลของวัตถุ
F วัตถุ 2. แรงเสียดทานจลน เพิ่มมวลของวัตถุ
f 3. แรงเสียดทานสถิต เพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสของวัตถุ
4. แรงเสียดทานจลน เพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสของวัตถุ

(วิเคราะหคําตอบ แรงเสียดทานจลนเกิดขึ้นขณะวัตถุเคลื่อนที่กําลังเคลื่อนที่ ซึ่งการเพิ่มมวลของวัตถุทําให


แรงเสียดทานมีคาเพิ่มขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T16
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
2. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 6 คน จากนั้น
การหาขนาดของแรงเสียดทาน
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษากิจกรรม
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร การหาขนาดของแรงเสียดทาน จากหนังสือ
จุดประสงค - การสังเกต เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
- การวัด
1. หาขนาดของแรงเสียดทานได
2. ระบุประเภทของแรงเสียดทานได
- การทดลอง 3. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมารับวัสดุ
จิตวิทยาศาสตร
3. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานที่มากระทํากับวัตถุ - ความรอบคอบ อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม จากนั้น
วัสดุอปุ กรณ
- ความรับผิดชอบ
- การทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันปฏิบัติกิจกรรม
1. เครื่องชั่งสปริง
สรางสรรค
ตามขั้นตอน
2. ถุงทรายมวล 500 กรัม จํานวน 1 ถุง
อธิบายความรู้
วิธปี ฏิบตั ิ 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ
วางถุงทรายมวล 500 กรัม 1 ถุง บนพื้นโตะ ใชเครื่องชั่งสปริงเกี่ยวหูถุงทรายแลวออกแรงดึง โดยใหเครื่องชั่งสปริงอยูในแนว ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่
ขนานกับพื้นโตะ บันทึกคาแรงที่อานไดตั้งแตเริ่มออกแรงจนกระทั่งถุงทรายเริ่มเคลื่อนที่ และเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัว
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะ
0ก
รมั เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
50
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
ภาพที่ 4.13 กิจกรรมการหาขนาดของแรงเสียดทาน เพื่อหาคําตอบ
ที่มา : คลังภาพ อจท.

คําถามทายกิจกรรม
1. ถุงทรายที่วางนิ่งอยูบนพื้นโตะ มีแรงใดมากระทําตอถุงทรายบาง อธิบายพรอมเขียนแผนภาพประกอบ
2. ขณะทีอ่ อกแรงดึงถุงทราย แตถงุ ทรายไมเคลือ่ นที่ มีแรงใดมากระทําตอถุงทรายบาง อธิบายพรอมเขียนแผนภาพประกอบ และ
แรงลัพธที่กระทําตอถุงทรายมีคาเทาใด
3. เมือ่ ออกแรงดึงถุงทรายใหเคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็วคงตัว มีแรงใดมากระทําตอถุงทรายบาง อธิบายพรอมเขียนแผนภาพประกอบ แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
และแรงลัพธที่กระทําตอถุงทรายมีคาเทาใด
1. มีเพียงแรงโนมถวงของโลกที่มากระทําตอวัตถุ
อภิปรายผลกิจกรรม 2. แรงเสียดทานสถิต ซึ่งมีทิศทางตรงขามกับวัตถุ
แรงเสียดทานเปนแรงที่เกิดขึ้นระหวางผิวสัมผัสของวัตถุ โดยมีทิศทางตรงขามกับทิศทางที่วัตถุพยายามเคลื่อนที่ เมื่อแรงดึง ที่กําลังจะเริ่มเคลื่อนที่ โดยแรงลัพธที่กระทําตอ
เทากับแรงเสียดทานสถิตทีม่ ากทีส่ ดุ วัตถุจะเริม่ เคลือ่ นที่ เมือ่ แรงดึงมากกวาแรงเสียดทานสถิต ณ ขณะนีแ้ รงเสียดทานสถิตมากสุด ถุงทรายมีคา เทากับคาแรงทีอ่ า นไดจากเครือ่ งชัง่
มีคานอยกวาแรงดึง ทําใหวัตถุเกิดการเคลื่อนที่และแรงเสียดทานจะเปลี่ยนไปเปนแรงเสียดทานจลน สปริงขณะที่ถุงทรายเริ่มเคลื่อนที่
3. แรงเสียดทานจลน ซึ่งมีทิศทางตรงขามกับการ
เคลื่อนที่ของวัตถุ โดยแรงลัพธที่กระทําตอถุง
แรงและการเคลื่อนที่ 13 ทรายมีคาเทากับคาแรงที่อานไดจากเครื่องชั่ง
สปริงขณะที่ถุงทรายเคลื่อนที่

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET บันทึกผล กิจกรรม


บันทึกคาแรงที่อานไดตามผลการทดลองจริง โดยคาแรงที่อานไดจะมีคา
พื้นผิวประเภทใดที่ทําใหเกิดแรงเสียดทานมากที่สุด
เพิม่ ขึน้ เรือ่ ยๆ จนกระทัง่ ถุงทรายเริม่ เคลือ่ นทีค่ า ของแรงทีอ่ า นไดจะมีคา สูงทีส่ ดุ
1. พื้นหญา
จากนั้นคาแรงที่อานไดจะคงที่
2. พื้นคอนกรีต
3. พื้นยางกันลื่น
4. พื้นถนนลาดยาง
(วิเคราะหคําตอบ ลักษณะพื้นผิวสัมผัสสงผลตอขนาดของแรง
เสียดทานขณะวัตถุเคลื่อนที่ โดยพื้นผิวสัมผัสที่หยาบและขรุขระ
จะทําใหเกิดแรงเสียดทานมาก แตพื้นผิวสัมผัสที่เรียบ จะทําให
เกิดแรงเสียดทานมีคานอย ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T17
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
1. นักเรียนแบงกลุม (กลุมเดิม) จากนั้นครูแจง
ปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน
จุดประสงคของกิจกรรม ปจจัยทีม่ ผี ลตอขนาด
ของแรงเสียดทาน ใหนักเรียนทราบเพื่อเปน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
แนวทางการปฏิบัติกิจกรรมที่ถูกตอง จุดประสงค์ - การสังเกต
- การทดลอง
2. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม 1. ระบุปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทานได้ - การตั้งสมมติฐาน
2. ออกแบบการทดลองให้สอดคล้องกับปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทานได้ - การควบคุมตัวแปร
ป จ จั ย ที่ มี ผ ลต อ ขนาดของแรงเสี ย ดทาน จิตวิทยาศาสตร์
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 - ความรอบคอบ
- ความรับผิดชอบ
วัสดุอปุ กรณ์
โดยครูใชรูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือมาจัด - การท�างานร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง
สร้างสรรค์
1. เชือก
กระบวนการเรี ย นรู  โดยกํ า หนดให ส มาชิ ก 2. กรรไกร
แต ล ะคนภายในกลุ  ม มี บ ทบาทหน า ที่ ข อง 3. กระดาษ A4
ตนเอง ดังนี้ 4. เครื่องชั่งสปริง
5. กระดาษทรายขนาด 50 × 50 เซนติเมตร
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ 6. ถุงทรายมวล 100 กรัม จ�านวน 3 ถุง
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม 7. แผ่นฟิวเจอร์บอร์ดขนาด 50 × 50 เซนติเมตร
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ
กิ จ กรรมและนํ า มาอธิ บ ายให ส มาชิ ก ใน วิธปี ฏิบตั ิ
กลุมฟง 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน สืบค้นข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน
• สมาชิกคนที่ 5-6 ทําหนาที่บันทึกผลการ 2. ให้แต่ละกลุ่มออกแบบการทดลองเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน จ�านวน 2 การทดลอง ได้แก่ มวลของวัตถุ
และลักษณะพื้นผิวสัมผัส ซึ่งแต่ละการทดลองต้องมีความเหมาะสมและอธิบายได้ว่า ปัจจัยดังกล่าวนั้นมีผลต่อขนาดของแรง
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจําตัวนักเรียน เสียดทานอย่างไร โดยเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ครูก�าหนดให้
3. นักเรียนแตละกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม 3. ให้แต่ละกลุ่มออกมาน�าเสนอวิธีออกแบบและปฏิบัติการทดลองจริงหน้าชั้นเรียน
ขั้นตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2 ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันแลกเปลี่ยนความรู 1. มวลของวัตถุมีผลต่อขนาดของแรงเสียดทานอย่างไร
และวิ เ คราะห ผ ลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แล ว 2. พื้นผิวสัมผัสมีผลต่อขนาดของแรงเสียดทานอย่างไร
อภิปรายผลรวมกัน
อภิปรำยผลกิจกรรม
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม จากกิจกรรม พบว่า เมื่อเพิ่มมวลของถุงทราย ท�าให้แรงที่ถุงทรายกดบนพื้นมีมากขึ้น แรงปฏิกิริยาตั้งฉากระหว่างผิวสัมผัส
จึงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้แรงเสียดทานมีขนาดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ พื้นผิวสัมผัสก็ส่งผลต่อขนาดของแรงเสียดทานขณะวัตถุเคลื่อนที่
1. มวลของวัตถุมีผลตอแรงกดบนพื้น ถามวลของ โดยผิวสัมผัสที่หยาบหรือขรุขระจะมีแรงเสียดทานมากกว่าผิวสัมผัสที่เกลี้ยงหรือลื่น
วัตถุมากจะทําใหแรงกดบนพืน้ มาก สงผลใหแรง
เสียดทานมีคาเพิ่มขึ้น
2. ผิวสัมผัสที่เรียบจะมีแรงเสียดทานนอยกวาผิว 14
สัมผัสที่หยาบ

บันทึกผล กิจกรรม ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ผลกิจกรรมขึ้นอยูกับการทดลองที่ออกแบบ โดยตองไดขอสรุปวา แรง
ปจจัยในขอใดไมสงผลตอขนาดของแรงเสียดทาน
เสียดทานจะมีคา มากขึน้ เมือ่ วัตถุมมี วลเพิม่ ขึน้ หรือพืน้ ผิวทีว่ ตั ถุสมั ผัสมีลกั ษณะ
1. ชนิดวัตถุ
หยาบหรือขรุขระ ในทางกลับกันแรงเสียดทานจะมีคานอย เมื่อวัตถุมีมวลนอย
2. ที่อยูของวัตถุ
หรือพื้นผิวที่วัตถุสัมผัสมีลักษณะเรียบ
3. มวลของวัตถุ
4. ลักษณะผิวสัมผัส
(วิเคราะหคําตอบ ขนาดของแรงเสียดทานจะมากหรือนอยขึ้น
อยูกับมวลของวัตถุ ชนิดของวัตถุ และลักษณะผิวสัมผัส ดังนั้น
ตอบขอ 2.)

T18
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู
การหาแรงเสียดทาน สามารถคํานวณไดจากผลคูณระหวางสัมประสิทธิ์ของแรงเสียดทานกับแรงปฏิกิริยา 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ
ตั้งฉาก (แรงที่พื้นกระทําตอวัตถุ (N)) ในกรณีที่วัตถุเคลื่อนที่บนพื้นในแนวระดับ แรงปฏิกิริยาตั้งฉากที่พื้นกระทําตอ
วัตถุมีคาเทากับนํ้าหนักของวัตถุที่กดทับลงบนพื้น เขียนสมการได ดังนี้
ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะ
fs,max = μsN
fk = μkN เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
เมื่อ fs,max คือ แรงเสียดทานสถิตสูงสุด มีหนวยเปน นิวตัน (N)
fk คือ แรงเสียดทานจลน มีหนวยเปน นิวตัน (N) แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
μ คือ สัมประสิทธิ์ความเสียดทาน ซึ่งเปนปริมาณที่บอกถึงธรรมชาติของผิวสัมผัส เพื่อหาคําตอบ
โดย μs คือ สัมประสิทธิ์ความเสียดทานสถิต 3. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม
μk คือ สัมประสิทธิ์ความเสียดทานจลน ป จ จั ย ที่ มี ผ ลต อ ขนาดของแรงเสี ย ดทานว า
N คือ แรงปฏิกิริยาตั้งฉาก มีหนวยเปน นิวตัน (N) “มวลของวั ต ถุ ห รื อ นํ้ า หนั ก ของวั ต ถุ มี ผ ลต อ
ตัวอย่างที่ 4.8 ชายคนหนึง่ ออกแรงลากกลองไมหนัก 550 นิวตัน ไปบนพืน ้ ในแนวระดับ โดยสัมประสิทธิค์ วาม แรงกดของวัตถุที่กดลงบนพื้น ถานํ้าหนักหรือ
เสียดทานจลนระหวางกลองไมกับพื้นมีคาเปน 0.5 จงคํานวณหาขนาดแรงเสียดทานที่เกิดขึ้น
แรงกดของวัตถุมาก จะเกิดแรงเสียดทานมาก
วิธีทํา จากสมการ fk = μkN ถานํ้าหนักหรือแรงกดของวัตถุนอยจะเกิดแรง
fk = 0.5 × 550 N เสียดทานนอย นอกจากนี้ ลักษณะผิวสัมผัส
fk = 275 N
ยังสงผลตอขนาดของแรงเสียดทาน โดยวัตถุ
ดังนั้น ขนาดของแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นระหวางกลองไมกับพื้นมีคาเทากับ 275 นิวตัน
ที่มีผิวเรียบยอมทําใหเกิดแรงเสียดทานนอย
ตัวอย่างที่ 4.9 กลองบรรจุของหนัก 2,000 นิวตัน ถูกผลักใหเคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็วคงตัวไปบนพืน้ ถนน ซึง่ เกิด กวาวัตถุที่มีผิวสัมผัสหยาบ เนื่องจากวัตถุที่
แรงเสียดทานจลน 1,500 นิวตัน จงหาสัมประสิทธิค์ วามเสียดทานจลนระหวางกลองบรรจุของ มีผิวสัมผัสเรียบมีการเสียดสีที่นอยกวา”
กับพื้นถนน 4. นั ก เรี ย นจั บ คู  กั บ เพื่ อ นในชั้ น เรี ย น จากนั้ น
วิธีทํา จากสมการ fk = μkN รวมกันศึกษาวิธีการคํานวณหาแรงเสียดทาน
= Nfk
μk และตั ว อย า งที่ 4.8-4.9 จากหนั ง สื อ เรี ย น
μk =
1,500 N วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
2,000 N
μk = 0.75 5. นั ก เรี ย นตอบคํ า ถามท า ทายการคิ ด ขั้ น สู ง
ดังนั้น สัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหวางกลองบรรจุของกับพื้นถนนมีคาเทากับ 0.75 ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
HOTS
(คําถามทาทายการคิดขั้นสูง)

เพราะเหตุใด การเข็นตูหนังสือที่มีหนังสือเรียงอยูเต็มตูใหเคลื่อนที่ยากกวา
การเข็นตูหนังสือที่มีหนังสือเรียงอยูเพียงครึ่งตู
แนวตอบ H.O.T.S.
เพราะนํ้าหนักของหนังสือในตูเพิ่มขึ้น ทําให
แรงและการเคลื่อนที่ 15 แรงปฏิ กิ ริ ย าที่ พื้ น กระทํ า ต อ พื้ น ตู  ด  า นล า งมี ค  า
มากขึ้น แรงเสียดทานจะมีคาเพิ่มขึ้นตามดวย

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


รถบรรทุกดินหนัก 7,500 นิวตัน จอดติดไฟแดงแยกคอกวัว ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยาวา เมื่อมีแรงกระทํา
โดยมีคา สัมประสิทธิค์ วามเสียดทานสถิตระหวางลอกับถนนเทากับ ตอวัตถุหนึ่ง วัตถุนั้นจะออกแรงโตตอบในทิศทางตรงขามกับแรงที่มากระทํา
0.4 อยากทราบวา แรงเสียดทานสถิตสูงสุดทีเ่ กิดขึน้ เมือ่ รถบรรทุก ซึ่งแรงทั้ง 2 แรงนี้จะเกิดขึ้นพรอมกันเสมอ เรียกแรงที่มากระทําตอวัตถุวา
ดินจะเริ่มเคลื่อนที่มีคาเทาใด แรงกิ ริ ย า และเรี ย กแรงที่ วั ต ถุ โ ต ต อบต อ แรงที่ ม ากระทํ า ว า แรงปฏิ กิ ริ ย า
1. 2,000 นิวตัน 2. 2,500 นิวตัน โดยลักษณะสําคัญของแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา คือ เกิดขึ้นพรอมๆ กันเสมอ
3. 3,000 นิวตัน 4. 3,500 นิวตัน มีขนาดเทากัน มีทิศทางตรงขามกัน และกระทําตอวัตถุคนละกอน
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ
fs, max = μsN
= (0.4)(7,500)
= 3,000 N
จะไดวา แรงเสียดทานสถิตสูงสุดที่เกิดขึ้นเมื่อรถบรรทุกดิน
จะเริ่มเคลื่อนที่มีคาเทากับ 3,000 นิวตัน ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T19
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
6. ครูสมุ นักเรียน 2 คู ออกมาแสดงวิธกี ารคํานวณ ในชีวติ ประจ�าวันจะเห็นว่า การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุบนพืน้ ผิวใด ๆ จะมีแรงเสียดทานเข้ามาเกีย่ วข้องเสมอ ความรู้
เกี่ยวกับแรงเสียดทานสามารถน�ามาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจ�าวันด้วยการเพิ่มหรือลดแรงเสียดทาน ตัวอย่างเช่น
หาผลลัพธทไี่ ดรว มกันศึกษา ครูอาจเสนอแนะ
หรืออธิบายเพิ่มเติมในตัวอยางนั้นๆ

ขยายความเข้าใจ
1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
เรือ่ ง แรงเสียดทาน และใหความรูเ พิม่ เติมจาก
คําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint
เรื่อง แรงเสียดทาน ในการอธิบายเพิ่มเติม ลวดลายของยางล้อรถยนต์ เรียกว่า ดอกยาง
ภาพที่ 4.14 ดอกยางช่วยเพิ่มแรงเสียดทาน
2. นักเรียนแตละคูรวมกันทําใบงาน เรื่อง แรง ที่มา : คลังภาพ อจท. ช่วยเพิ่มแรงเสียดทานระหว่างผิวถนนกับยาง และช่วย
ให้รถยนต์เกาะถนนได้ดี ไม่ลื่นไถล
เสียดทาน
3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง แรง
เสียดทาน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2 เปนการบาน

พื้นรองเท้ากีฬาผลิตโดยใช้วัสดุพิเศษที่ช่วยเพิ่ม
แรงเสียดทานระหว่างพื้นกับรองเท้าเพื่อกันลื่น ช่วยให้ ภาพที่ 4.15 พื้นรองเท้ากีฬาช่วยเพิ่มแรงเสียดทาน
ทรงตัวและเคลื่อนไหวได้สะดวก ที่มา : คลังภาพ อจท.

การเปิดฝาเกลียวขวดน�้า บริเวณฝาขวด
ที่มีผิวขรุขระจะช่วยเพิ่มแรงเสียดทานท�าให้เปิด
ฝาขวดน�้าได้สะดวกมากขึ้น

ภาพที่ 4.16 การใช้แรงเสียดทานเปิดขวดน�้า


ที่มา : คลังภาพ อจท.

16

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรอธิบายเพิม่ เติมเกีย่ วกับการเพิม่ หรือลดแรงเสียดทานวา การเพิม่ แรง ครูใหนกั เรียนแตละคนยกตัวอยางเพิม่ เติมเกีย่ วกับประโยชน
เสียดทาน สามารถทําไดโดยการเพิ่มสัมประสิทธิ์ของแรงเสียดทาน เชน การทํา ของการเพิ่ ม และลดแรงเสี ย ดทานที่ พ บเห็ น ในชี วิ ต ประจํ า วั น
ลวดลาย เพือ่ ใหผวิ ขรุขระ การออกแบบหนายางรถยนตใหมหี นากวางพอเหมาะ นอกเหนือจากที่ยกตัวอยางในหนังสือเรียน โดยเขียนลงในสมุด
และการลดแรงเสียดทาน สามารถทําไดโดยการลดคาสัมประสิทธิข์ องแรงเสียด ประจําตัวนักเรียน
ทาน ซึง่ เปนการลดแรงปฏิกริ ยิ าตัง้ ฉากทีก่ ระทําตอวัตถุลง เชน การขัดถูผวิ วัตถุ
ใหเรียบและลื่น การใชสารหลอลื่น การลดแรงกดระหวางผิวสัมผัส

T20
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
บางกิจกรรมในชีวิตประจ�าวันจ�าเป็นต้องลดแรงเสียดทานเพื่อให้วัตถุเคลื่อนที่ได้สะดวกมากขึ้น หรือ นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับเรื่อง แรง
เคลื่อนย้ายวัตถุได้ง่ายขึ้น เช่น การใช้น�้ามันหล่อลื่นในเครื่องยนต์ การหยดจาระบีที่บานพับประตู
เสียดทาน ซึ่งควรไดขอสรุปรวมกันวา “แรงเสียด
ทาน เปนแรงที่เกิดขึ้นระหวางผิวสัมผัสของวัตถุ
เพื่อตานการเคลื่อนที่ แรงเสียดทาน มี 2 ประเภท
คือ แรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทานจลน”

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
ภาพที่ 4.17 เครื่องเล่นสไลเดอร์ที่มีพื้นผิวเรียบ สไลเดอร์เป็นเครื่องเล่นที่ถูกท�าให้มีพื้นผิวเรียบ 1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ในขณะทีเ่ ล่นจะมีการเติมน�า้ ลงไปบริเวณเครือ่ งเล่น เพือ่ ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ช่วยลดแรงเสียดทาน ท�าให้ผู้เล่นลื่นไถลได้อย่างรวดเร็ว
สร้างความสนุกสนานในการเล่น
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม การหา
ขนาดของแรงเสียดทาน และปจจัยที่มีผลตอ
ขนาดของแรงเสียดทาน ในสมุดประจําตัว
นั ก เรี ย นหรื อ แบบฝ ก หั ด วิ ท ยาศาสตร ม.2
เลม 2
การเล่นสเกตน�า้ แข็ง ฮอกกีน้ า�้ แข็ง ต้องเล่นบนพืน้ 3. ครู ต รวจสอบผลการทํ า ใบงาน เรื่ อ ง แรง
ที่มีลักษณะเรียบและลื่น เพื่อลดแรงเสียดทาน ท�าให้ ภาพที่ 4.18 การเล่นสเกตน�้าแข็งต้องเล่นบนพื้นเรียบลื่น
ผู้เล่นเคลื่อนที่ได้คล่องตัว ที่มา : คลังภาพ อจท. เสียดทาน
4. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง แรงเสียดทาน
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2

ภาพที่ 4.19 ใช้น�้ามันหล่อลื่น เพื่อลดแรงเสียดทานของกระบอกสูบ การใช้น้�ามันหล่อลื่น เพื่อลดแรงเสียดทานของ


เครื่องยนต์ กระบอกสูบเครื่องยนต์ ลดการสึกหรอของเครื่องยนต์
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ท�าให้เครื่องยนต์ใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น
แรงและการเคลื่อนที่ 17

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET แนวทางการวัดและประเมินผล


ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับประโยชนของแรงเสียดทาน ครูวดั และประเมินผลความเขาใจในเนือ้ หา เรือ่ ง แรงเสียดทาน ไดจากการ
1. บริเวณที่มีพื้นผิวเรียบและลื่นจะเดินไดปลอดภัยกวา สังเกตพฤติกรรมการปฏิบตั กิ จิ กรรม การหาขนาดของแรงเสียดทาน และปจจัยที่
2. การผลิตลอรถยนตควรมีดอกยางเพื่อใหลอยึดเกาะถนน มีผลตอขนาดของแรงเสียดทาน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจาก
ไดดี แบบประเมินการปฏิบตั กิ จิ กรรม ทีอ่ ยูใ นแผนการจัดการเรียนรูห นวยการเรียนรูท ี่ 4
3. การสวมรองเทาที่มีพื้นรองเทาเรียบจะเกิดความปลอดภัย แบบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม

มากที่สุด คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

ลาดับที่ รายการประเมิน
4
ระดับคะแนน
3 2 1

4. ถาตองเดินลุยนํา้ ควรใสรองเทาทีพ่ นื้ ผิวเรียบ เพราะจะทําให


1 การปฏิบัติการทากิจกรรม
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม
รวม

เดินงาย
ลงชื่อ ….................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1

(วิเคราะหคําตอบ ดอกยางหรื อ ลวดลายของยางล อ รถยนต 1. การปฏิบัติ


กิจกรรม
ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน
และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง
ได้รับคาแนะนาบ้าง
ต้องให้ความช่วยเหลือ
บ้างในการทากิจกรรม
และการใช้อุปกรณ์
ต้องให้ความช่วยเหลือ
อย่างมากในการทา
กิจกรรม และการใช้
อุปกรณ์

ชวยเพิ่มแรงเสียดทานระหวางผิวถนนกับยาง และชวยใหลอ
2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา

รถยนตยึดเกาะถนนไดดี ดังนั้น ตอบขอ 2.) 3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ


และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง
การปฏิบัติ
กิจกรรม
รัดกุม นาเสนอผลการ
ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน
บันทึกและสรุปผลการ
ทากิจกรรมได้ถูกต้อง
แต่การนาเสนอผลการ
ทากิจกรรมยังไม่เป็น
ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ
บันทึก สรุป และ
นาเสนอผลการทา
กิจกรรม
อย่างมากในการบันทึก
สรุป และนาเสนอผล
การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง

T21
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ 1
1. นักเรียนดูวีดิทัศนเกี่ยวกับเรื่อง ความดันของ 1.2 แรงดันในของเหลว
ของเหลว จาก (https://www.youtube. เมื่ อ วั ต ถุ อ ยู  ใ นของเหลวจะมี แ รงที่ เ กิ ด จาก
com/watch?v=CSdM7B71BEM) จากนั้น ของเหลวกระทําตอวัตถุในทุกทิศทาง โดยแรงทีข่ องเหลว
กระทําตั้งฉากกับผิวของวัตถุตอหนึ่งหนวยพื้นที่ เรียกวา
ครู ตั้ ง ประเด็ น คํ า ถามกระตุ  น ความสนใจ
ความดันของของเหลว (fluid pressure)
นั ก เรี ยนว า “เมื่ อ นํ านํ้ าใส ในลู ก โป ง ทํา ไม ความดันของของเหลวสามารถหาไดจากสมการ
ลูกโปงจึงมีขนาดใหญขึ้น” โดยใหนักเรียน h P = AF
แตละคนรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
อยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด โดย P คือ ความดัน มีหนวยเปน นิวตันตอตารางเมตร
(แนวตอบ เพราะแรงดันของนํ้าทําใหลูกโปง (N/m2) หรือพาสคัล (Pa)
F คือ ขนาดของแรงทีก่ ระทําตัง้ ฉากกับผิวของวัตถุ
ขยายตัว) ภาพที่ 4.20 แรงดันที่ของเหลวกระทําตอวัตถุ มีหนวยเปน นิวตัน (N)
ที่มา : คลังภาพ อจท.
A คือ พื้นที่ผิวของวัตถุ มีหนวยเปน ตารางเมตร
ขัน้ สอน (m2)
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้น ความดันของของเหลวจะสั
2 มพันธกับความลึก 0 m; 0 N/m2
และความหนาแนนของของเหลว โดยบริเวณที่ลึกลงไป
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษาคนควา จากระดับผิวหนาของของเหลว ความดันของของเหลว
ขอมูลเกี่ยวกับเรื่อง ความดันของของเหลว จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากของเหลวที่อยูลึกกวา จะมีนํ้าหนัก
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หรือ ของของเหลวดานบนมากระทํามากกวา และในระดับ 20 m; 200,704 N/m2
แหลงการเรียนรูตางๆ เชน อินเทอรเน็ต ความลึกเดียวกันของเหลวที่มีความหนาแนนมากจะมี
2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได ความดันมากกวาของของเหลวที่มีความหนาแนนนอย
เชน นํ้าทะเลมีความหนาแนนมากกวานํ้าจืด ที่ระดับ
ศึกษา จากนั้นใหนักเรียนแตละคนเขียนสรุป ความลึกเทากันความดันของนํ้าทะเลที่กระทําตอวัตถุจะ
40 m; 401,408 N/m2
ความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุด มีคามากกวาความดันของนํ้าจืดที่กระทําตอวัตถุดวย ภาพที่ 4.21 ความดันของนํ้าที่ความลึกตาง ๆ
ประจําตัวนักเรียน เพื่อนําสงครูทายชั่วโมง ที่มา : คลังภาพ อจท.
นอกจากนี้ ความดันของของเหลวที่ระดับความลึกตาง ๆ สามารถหาไดจากสมการ
P = ρgh
โดย P คือ ความดันของของเหลว มีหนวยเปน นิวตันตอตารางเมตร (N/m2) หรือพาสคัล (Pa)
ρ คือ ความหนาแนนของของเหลว มีหนวยเปน กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร (kg/m3)
g คือ คาความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก มีหนวยเปน เมตรตอวินาที2 (m/s2)
h คือ ความลึกของของเหลว มีหนวยเปน เมตร (m)

18

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 แรงดัน คือ แรงทีก่ ระทําตัง้ ฉากกับผิวของวัตถุซงึ่ ทําโดยของแข็ง ของเหลว จงพิจารณาขอความตอไปนี้
หรื อ แก ส ต อ หนึ่ ง หน ว ยพื้ น ที่ ข องสารใดๆ ความดั น เป น ปริ ม าณสเกลาร ก. ความลึกของของเหลว
จึงมีแตขนาด ไมมีทิศทาง เขียนแทนดวยสัญลักษณ P ข. ความหนาแนนของของเหลว
2 ความหนาแนน คือ มวลตอหนวยปริมาตร ความหนาแนนเปนปริมาณ ค. ปริมาตรของภาชนะที่บรรจุของเหลว
สเกลาร เขียนแทนดวยสัญลักษณ ρ มีหนวยเปน กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร ง. พื้นที่ฐานของภาชนะที่บรรจุของเหลว
จากขอความขางตน ความดันของของเหลวขึน้ อยูก บั ปจจัยใดบาง
1. ขอ ก. และ ข.
2. ขอ ข. และ ค.
3. ขอ ค. และ ง.
4. ขอ ก. และ ง.
(วิเคราะหคําตอบ ความดันของของเหลวขึ้นอยูกับความลึกและ
ความหนาแนนของของเหลว ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T22
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสมุ นักเรียน 4 กลุม ออกมาเสนอผลจากการ
จากภาพที่ 4.22 ศึกษาขอมูลหนาขัน้ เรียน ในระหวางทีน่ กั เรียน
นักเรียนคิดว่าปลาทั้ง
2 ตัว จะได้รับความดัน
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
ของของเหลวเท่ากัน เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
หรือไม่ อย่างไร
2. นักเรียนแตละคนพิจารณาภาพปลาที่อยูใน
ภาพที่ 4.22 ปลาที่อยูในภาชนะที่มีรูปทรงแตกตางกัน ภาชนะทีม่ รี ปู ทรงแตกตางกัน จากหนังสือเรียน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนัน้ ครูตงั้ ประเด็น
ตัวอย่างที่ 4.10 บีกเกอรใบหนึง่ บรรจุนา้ํ และนํา้ มัน โดยนํา้ มันอยูด า นบนสูง 5 เซนติเมตร สวนนํา้ อยูด า นลางสูง คําถามกระตุนความคิดนักเรียนวา “ปลาทั้ง
10 เซนติเมตร จงหาความดันทีก่ น บีกเกอรเนือ่ งจากของเหลวทัง้ 2 ชนิด เมือ่ ความหนาแนน 2 ตัว จะไดรับความดันของของเหลวเทากัน
ของนํ้าเทากับ 1 × 103 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร และความหนาแนนของนํ้ามันเทากับ หรือไม อยางไร” โดยใหนักเรียนแตละคนรวม
0.8 × 103 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร (กําหนดใหคา ความเรงเนือ่ งจากแรงโนมถวงของโลก (g) กันอภิปรายแสดงความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ
มีคาเทากับ 10 เมตรตอวินาที 2)
(แนวตอบ เทากัน เนื่องจากปลาทั้ง 2 ตัวอยู
ในระดั บ ความลึ ก ที่ เ ท า กั น ซึ่ ง รู ป ร า งของ
ภาชนะไมมีผลตอความดันของของเหลว)
3. นักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางที่ 4.10 จาก
5 cm
นํ้ามัน หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนั้น
10 cm ครูสุมนักเรียน 2 คน ออกมาแสดงวิธีการ
นํ้า
คํานวณหาผลลัพธทไี่ ดศกึ ษา ครูอาจเสนอแนะ
หรืออธิบายเพิ่มเติมในตัวอยางนั้นๆ
ภาพที่ 4.23 บีกเกอรที่บรรจุของเหลว 2 ชนิด คือ นํ้าและนํ้ามัน 4. ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา “ขนาด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ของแรงทีม่ ากระทําตอวัตถุจะสัมพันธกบั พืน้ ที่
ผิวของวัตถุ ความหนาแนนของของเหลว และ
วิธีทํา ความดันที่กนบีกเกอรเกิดจากนํ้าหนักของของเหลวทั้ง 2 ชนิดมากระทํา สามารถหาไดจากสมการ
P = ρนํ้ามัน ghนํ้ามัน + ρนํ้า ghนํ้า
ความลึกของของเหลว โดยรูปรางของภาชนะ
P = (0.8 × 103 kg/m3 × 10 m/s2 × 0.05 m) + (1 × 103 kg/m3 × 10 m/s2 × 0.10 m) ไมมีผลตอความดันของของเหลว”
P = 400 N/m2+ 1,000 N/m2
P = 1,400 N/m2
ดังนั้น ความดันที่กนบีกเกอรเนื่องจากของเหลวทั้ง 2 ชนิด มีคาเทากับ 1.4 × 103 นิวตันตอตารางเมตร

แรงและการเคลื่อนที่ 19

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


ครูเตรียมของเหลวชนิดหนึง่ มวล 3 กิโลกรัม ปริมาตร 3 ลูกบาศก ครูอาจแนะนําวา การดํานํา้ ลึก ความดันของนํา้ จะกระทําตอนักดํานํา้ ทุกทิศ
เมตร เทลงในบีกเกอร พบวา ของเหลวสูงขึ้นจากกนบีกเกอร ทาง ซึ่งอาจทําใหเกิดอันตรายได ดังนั้น นักดํานํ้าจึงจําเปนตองสวมชุดดํานํ้า
3 เซนติเมตร ความดันที่กนบีกเกอรเนื่องจากของเหลวมีคาเทาใด ที่มีความแข็งแรง สามารถทนความดันสูงในนํ้าลึกได และปองกันไมใหอุณหภูมิ
ในหนวยนิวตัน เมตร2 (กําหนดให g มีคาเทากับ 10 เมตรตอ ในรางกายตํา่ ลง นอกจากนี้ การดํานํา้ มักทําใหนกั ดํานํา้ มีอาการปวดหู สวนใหญ
วินาที2) มักจะเกิดในชวงการดําลงไปใตนาํ้ ในระยะแรกๆ เพราะความดันอากาศภายนอก
1. 0.1 นิวตัน เมตร2 2. 0.3 นิวตัน เมตร2 เปลี่ยนแปลงคอนขางเร็ว เนื่องจากทุกๆ 33 ฟุต หรือ 10 เมตร ที่ดําลงไปนั้น
3. 0.5 นิวตัน เมตร2 4. 1.0 นิวตัน เมตร2 ความดันอากาศภายนอกจะเพิ่มขึ้นเทากับ 1 บรรยากาศ
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ P = ρgh
= mv gh
= 33 × 10 × 0.03
= 0.3 นิวตัน เมตร2
ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T23
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 6 คน จากนั้น
ความดันของของเหลว
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษากิจกรรม
ความดั น ของของเหลว จากหนั ง สื อ เรี ย น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จุดประสงค - การสังเกต
- การลงความเห็นจากขอมูล
อธิบายปจจัยที่มีผลตอความดันของของเหลวได
2. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมารับวัสดุ - การทดลอง

อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม จากนั้น วัสดุอปุ กรณ จิตวิทยาศาสตร


- ความรอบคอบ
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันปฏิบัติกิจกรรม 1. คัตเตอร 4. ของเหลว 2 ชนิด เชน นํ้า นํ้ามันพืช - ความสนใจใฝรู
2. ไมบรรทัด 5. ขวดพลาสติกขนาด 1.5 ลิตร 2 ขวด
ตามขั้นตอน 3. เทปใส
อธิบายความรู้ วิธปี ฏิบตั ิ
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ 1. นําขวดพลาสติกขนาด 1.5 ลิตร มาเจาะรู โดยนักเรียนจะตองเริ่มเจาะรูตั้งแตกลางขวดขึ้นไปเปนจํานวน 2 รู แลวใชเทปใส
ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ ปดรูทั้ง 2 รู ดังภาพที่ 4.24
2. นําของเหลวชนิดที่ 1 (นํา้ ) หรือของเหลวทีน่ กั เรียนเลือกมาทดลอง เติมลงไปใหเต็มขวดทีเ่ ตรียมไวในขอ 1. นําขวดพลาสติกไป
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะ วางไวบริเวณขอบโตะแลวเปดเทปใสออกพรอมกัน วัดระยะทางของของเหลวทีพ่ งุ ออกจากรูทงั้ สองจากกนขวด พรอมบันทึกผล
เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง 3. นําขวดพลาสติก 1.5 ลิตร อีกขวดหนึ่ง มาเจาะรูเชนเดียวกับขอ 1. โดยรูที่เจาะจะตองอยูในระดับความสูงเดียวกัน
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน 4. นําของเหลวชนิดที่ 2 (นํา้ มันพืช) หรือของเหลวทีน่ กั เรียนเลือกมาทดลอง เติมลงไปใหเต็มขวดทีเ่ ตรียมไวในขอ 3. แลวเปดเทปใส
ออกพรอมกัน วัดระยะทางของของเหลวที่พุงออกจากรูทั้งสองจากกนขวด
แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
เพื่อหาคําตอบ เทปใส 1 เทปใส 1
ขวดนํ้าพลาสติก 2 ขวดนํ้าพลาสติก 2

ของเหลวชนิดที่ 1 (นํ้า) ของเหลวชนิดที่ 2 (นํ้ามันพืช)


ภาพที่ 4.24 กิจกรรมความดันของของเหลว
ที่มา : คลังภาพ อจท.
คําถามทายกิจกรรม
1. จากกิจกรรม ของเหลวพุงออกจากขวดที่รูใดไดระยะทางไกลกวา
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม 2. จากกิจกรรม ที่ระดับความสูงเดียวกัน ของเหลวชนิดใดที่พุงออกจากขวดไปไดระยะทางไกลกวา
1. ของเหลวที่พุงออกจากรูหมายเลข 2 จะพุงไป อภิปรายผลกิจกรรม
ไดไกลกวา เนื่องจากรูหมายเลข 2 อยูลึกกวา จากกิจกรรม พบวา เมื่อวัดระยะทางของของเหลวที่พุงออกจากรู ระยะทางของของเหลวที่พุงออกจากรูที่ 2 จะมีคามากกวา
รูหมายเลข 1 โดยความดันของของเหลวแปรผัน ระยะทางของของเหลวที่พุงออกจากรูที่ 1 และที่ระดับความสูงเดียวกันของเหลวชนิดที่ 1 และของเหลวชนิดที่ 2 มีระยะทางที่
ตรงกับความลึกของของเหลว พุงออกจากรูที่แตกตางกัน เนื่องจากเปนของเหลวตางชนิดกัน ดังนั้น ที่ระดับความสูงและความหนาแนนของของเหลวตางกัน
2. ของเหลวที่ มี ค วามหนาแน น มากกว า ย อ มมี ความดันของของเหลวจะแตกตางกันดวย
ความดันมากกวาของเหลวที่มีความหนาแนน 20
นอยกวา

ตารางบันทึก กิจกรรม ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ระยะทางของของเหลวที่พุงออกจากรู ถังนํ้ามีมวล 1.5 กิโลกรัม ภายในบรรจุนํ้ามวล 2.0 กิโลกรัม
ชนิดของของเหลว เมื่อเทียบกับระยะจากขวดพลาสติก วางอยูบนเกาอี้ ถาถังนํ้านี้สูง 75 เซนติเมตร และมีพื้นที่หนาตัด
รูหมายเลข 1 รูหมายเลข 2 ที่กนถัง 35 ตารางเซนติเมตร ความดันที่ถังนํ้ากระทําตอเกาอี้
ชนิดที่ 1 มีคาเทาใด (กําหนดให g มีคาเทากับ 10 เมตรตอวินาที2)
ับกิจกรรม
ชนิดที่ 2 ขึ้นอยูก 1. 500 นิวตันตอตารางเมตร
2. 1,000 นิวตันตอตารางเมตร
หมายเหตุ : จากกิจกรรม ของเหลวชนิดเดียวกันจะพุงออกจากรูหมายเลข 2 3. 1,500 นิวตันตอตารางเมตร
ไปไดไกลกวารูหมายเลข 1 เพราะรูหมายเลข 2 อยูล กึ กวารูหมายเลข 4. 2,000 นิวตันตอตารางเมตร
1 เนือ่ งจากความดันของของเหลวสัมพันธกบั ความลึกของของเหลว (วิเคราะหคําตอบ จากสมการ P = AF = mg A
= (1.5 + 2.0)(10)
35 × 10-3
= 1,000 N/m2
ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T24
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1.3 แรงพยุง 1. ครู เ ตรี ย มอุ ป กรณ ส าธิ ต การทดลอง เช น
วัตถุทอี่ ยูใ นของเหลวจะมีแรงดันของของเหลวทีม่ ากระทําตอวัตถุทกุ ทิศทาง แตเมือ่ พิจารณาเฉพาะดานบนและ
บีกเกอร จุกไมคอรก กอนหิน จากนั้นครู
ดานลางของวัตถุจะมีแรงดันแตกตางกัน ซึง่ แรงดันลัพธของของเหลวจะทําหนาทีเ่ ปนแรงพยุงวัตถุ ถานํา้ หนักของวัตถุ
และแรงพยุงของของเหลวมีคา เทากัน วัตถุจะลอยนิง่ อยูใ นของเหลว แตถา นํา้ หนักของวัตถุมคี า มากกวาแรงพยุงของ เติมนํ้าลงในบีกเกอร แลวนําจุกไมคอรกและ
ของเหลว วัตถุจะจม ดังภาพที่ 4.25 กอนหินใสลงในบีกเกอรที่บรรจุนํ้า โดยให
นักเรียนแตละคนสังเกตการจมและการลอย
ของจุกไมคอรกและกอนหิน
2. ครู ถ ามคํ า ถามกระตุ  น ความคิ ด นั ก เรี ย น
แรงพยุง = นํ้าหนักของวัตถุ โดยครูใหนักเรียนแตละคนรวมกันอภิปราย
นํ้าหนักของวัตถุ จากภาพที่ 4.25 แสดงความคิ ด เห็ น อย า งอิ ส ระโดยไม มี ก าร
แรงพยุง
แรงพยุง < นํ้าหนักของวัตถุ
เพราะเหตุใดก้อนหินจึง เฉลยวาถูกหรือผิด ดังนี้
จมนํ้า แต่จุกไม้คอร์ก
ลอยนํ้าได้ • มีแรงชนิดใดบางทีก่ ระทําตอจุกไมคอรกและ
แรงพยุง
กอนหิน
นํ้าหนักของวัตถุ
ภาพที่ 4.25 การลอยและการจมของวัตถุในของเหลว
(แนวตอบ แรงดันในของเหลว)
ที่มา : คลังภาพ อจท. • เพราะเหตุใดกอนหินจึงจมนํา้ แตจกุ ไมคอรก
จากภาพที่ 4.26 เมื่อวัตถุจมอยูในของเหลวจะมีแรงดันในของเหลวที่กระทําตอวัตถุ โดยแรงดันในของเหลว ลอยนํ้าได
ที่กระทําตอวัตถุในแนวระดับเดียวกันมีขนาดเทากัน ทําใหแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุในแนวระดับมีคาเปนศูนย แต (แนวตอบ เพราะแรงลัพธในแนวดิ่ง หรือ
แรงดันในของเหลวที่กระทําตอวัตถุดานบนและดานลางมีขนาดไมเทากัน เนื่องจากแรงดันของของเหลวที่กระทํา แรงพยุงมีคาไมเทากับศูนย)
ตอวัตถุขึ้นอยูกับระดับความลึก โดยบริเวณที่ลึกลงไปจากระดับผิวของของเหลว แรงดันของของเหลวจะมีคาเพิ่ม
3. นักเรียนจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียนตามความ
ขึ้น ซึ่งแรงดันของของเหลวที่กระทําตอวัตถุดานลางมีคามากกวาแรงดันของของเหลวที่กระทําตอวัตถุดานบน
หากพิจารณาแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุจะไดวา แรงลัพธที่กระทําตอวัตถุมีทิศทางขึ้น ซึ่งเรียกแรงลัพธนี้วา แรงพยุง สมัครใจ โดยศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับเรื่อง
(buoyant force) ซึ่งแทนดวยสัญลักษณ FB ดังภาพที่ 4.27 แรงพยุง ลักษณะการจมและการลอยของวัตถุ
เนือ่ งจากแรงพยุง และยกตัวอยางปจจัยทีส่ ง ผล
ตอขนาดของแรงพยุงมา 1 ตัวอยาง จาก
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หรือแหลง
การเรียนรูตางๆ เชน อินเทอรเน็ต หองสมุด
แรงพยุง นํ้าหนักของวัตถุ 4. นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ดศกึ ษา
(FB) (W) จากนั้นใหแตละกลุมนําขอมูลที่ไดจากการ
คนความาจัดทําในรูปแบบตางๆ เชน แผนภาพ
ภาพที่ 4.26 แรงดันในของเหลวที่กระทําตอวัตถุ ภาพที่ 4.27 วัตถุลอยนิ่งในของเหลวไดเนื่องจากแรงพยุงมีคา มโนทัศน ลงในกระดาษ A4 พรอมตกแตง
ที่มา : คลังภาพ อจท. เทากับนํ้าหนักของวัตถุ ใหสวยงาม
ที่มา : คลังภาพ อจท.

แรงและการเคลื่อนที่ 21

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


ถาหากนําวัตถุที่มีความหนาแนนมากกวานํ้าไปวางลงในนํ้า กอนเขาสูการเรียนการสอน เรื่อง แรงพยุง ครูอาจแนะนําใหนักเรียน
ผลจะเปนไปอยางไร ทําความเขาใจ เรื่อง แรงพยุง ดวยการทํากิจกรรมสาธิตชั่งวัตถุในนํ้า และชั่ง
1. วัตถุจะจมในนํ้า วัตถุในอากาศ โดยนํ้าหนักของวัตถุที่ชั่งในนํ้ายอมมีคานอยกวาที่ชั่งในอากาศ
2. วัตถุจะลอยในนํ้า เนื่องจากมีแรงพยุงมากระทํากับวัตถุที่อยูในของเหลว หรือครูอาจยกตัวอยาง
3. วัตถุจะลอยแลวคอยๆ จมลงในนํ้า ผลของแรงพยุงที่อยูใกลตัว เชน การยกวัตถุในนํ้าจะใหความรูสึกเบากวาการ
4. วัตถุจะคอยๆ จมลงในนํ้า แลวลอยกลับขึ้นมาบนผิวนํ้า ยกวัตถุในอากาศ
(วิเคราะหคําตอบ วัตถุใดที่มีความหนาแนนมากกวาของเหลว
ถานํามาวางลงในของเหลว วัตถุนั้นจะจม แตหากวัตถุนั้นมีความ
หนาแนนนอยกวาของเหลว วัตถุจะลอยอยูเหนือของเหลว ดังนั้น
ตอบขอ 1.)

T25
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. นักเรียนแตละคูออกมานําเสนอผลการศึกษา ขนาดของแรงพยุงไมขนึ้ อยูก บั ความลึกของวัตถุทจี่ ม แตขนึ้ อยูก บั ปริมาตรของวัตถุสว นทีจ่ มลงไปในของเหลว
และความหนาแนนของของเหลว ซึ่งมีผลตอการจมและการลอยของวัตถุ ดังนี้
ข อ มู ล หน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ นั ก เรี ย น
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
2. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลจากการ
ศึกษา ซึง่ ควรไดขอ สรุปรวมกันวา “การจมและ
การลอยของวัตถุเกิดขึน้ จากแรงดันในของเหลว
ทีอ่ ยูใ นแนวระดับเดียวกันมีขนาดเทากัน ทําให
แรงลัพธในแนวระดับมีคา เปนศูนย แตแรงลัพธ
ทีอ่ ยูใ นแนวดิง่ มีคา ไมเทากับศูนย เรียกแรงลัพธ
นีว้ า แรงพยุง หากแรงพยุงมีคา มากกวานํา้ หนัก
ของวัตถุจะทําใหวตั ถุลอยในของเหลวได แตถา
แรงพยุงมีคา นอยกวานํา้ หนักของวัตถุจะทําให ภาพที่ 4.28 ลักษณะการจมและการลอยตัวของสสารตางชนิดที่มีนํ้าหนักตางกันในปริมาตรที่เทากัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
วัตถุจม”
3. ครูถามคําถามทาทายการคิดขั้นสูง โดยให
นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายแสดงความคิด
เห็นเพื่อหาคําตอบ
4. จากนั้นครูถามคําถามเพิ่มเติมวา “นักเรียน
คิดวา ปจจัยใดที่สงผลตอขนาดของแรงพยุง”
(แนวตอบ ปริมาตรของวัตถุและความหนาแนน วัตถุทลี่ อยอยูบ นผิวของของเหลว วัตถุที่ลอยนิ่งอยูในของเหลว วัตถุที่จมอยูในของเหลว
วัตถุทลี่ อยบนผิวของของเหลวได วัตถุที่ลอยนิ่งอยูในของเหลวได วัตถุทจี่ มอยูใ นของเหลว แสดงวา
ของของเหลว)
แสดงวา วัตถุมีความหนาแนน แสดงวา วัตถุมีความหนาแนน วัตถุมีความหนาแนนมากกวา
นอยกวาความหนาแนนของ เทากับความหนาแนนของ ความหนาแนนของของเหลว
ของเหลว ของเหลว

แนวตอบ H.O.T.S.
HOTS
วัตถุที่จมและลอยในของเหลวลวนมีแรงดัน (คําถามทาทายการคิดขั้นสูง)
ในของเหลวมากระทําตอวัตถุในแนวระดับขนาด วัตถุที่ลอยนิ่งอยูในของเหลวกับวัตถุที่จมอยูในของเหลว
เทากัน ทําใหแรงลัพธในแนวระดับมีคาเทากับศูนย มีขนาดของแรงที่มากระทําตอวัตถุเหมือนหรือแตกตางกัน อยางไร
เหมือนกัน แตวัตถุที่จมอยูในของเหลวจะมีแรง
ที่ ก ระทํ า ต อ วั ต ถุ ท างด า นบนมากกว า ด า นล า ง
สวนวัตถุที่ลอยนิ่งอยูในของเหลวจะมีแรงที่กระทํา 22
ตอวัตถุทางดานลางมากกวาดานบน

สื่อ Digital ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูใหนกั เรียนศึกษาเพิม่ เติมเกีย่ วกับแรงพยุง จากภาพยนตรสารคดีสนั้ Twig ขอใดเปนสาเหตุซึ่งทําใหวัตถุลอยนํ้าได
เรื่อง การลอยตัว (https://www.twig-aksorn.com/film/buoyancy-8305/) 1. นํ้าหนักของวัตถุมีคานอยกวาแรงพยุง
2. นํ้าหนักของวัตถุมีคานอยกวานํ้าหนักของนํ้า
3. นํ้าหนักของวัตถุมีคามากกวาปริมาตรของนํ้า
4. นํ้าหนักของวัตถุมีคามากกวาความหนาแนนของนํ้า
(วิเคราะหคําตอบ แรงพยุงหรือแรงดันลัพธของของเหลวมีคา
มากกวานํ้าหนักของวัตถุ จะทําใหวัตถุลอยในของเหลวได ดังนั้น
ตอบขอ 1.)

T26
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
จากภาพที่ 4.29 จะเห็นไดวา วัตถุทอี่ ยูใ นของเหลว 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้น
จะมีแรงพยุงมากระทําตอวัตถุ ซึ่งมีผลตอคาที่อานได 20 N 15 N ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษากิจกรรม
บนเครือ่ งชัง่ สปริง เนือ่ งจากแรงดันจากของเหลวกระทํา
กับวัตถุสวนที่จม จึงทําใหเมื่อชั่งวัตถุในของเหลวจะมี แรงที่กระทําตอวัตถุในของเหลว จากหนังสือ
นํ้าหนักนอยกวาเมื่อชั่งวัตถุในอากาศ ตัวอยางเชน เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ชั่งวัตถุในอากาศได 20 นิวตัน เมื่อนําวัตถุไปชั่งในนํ้า 2. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมารับวัสดุ
ปริมาตร 1 ลิตร วัตถุจะมีนํ้าหนักลดลงเปน 15 นิวตัน อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม จากนั้น
และปริมาตรนํา้ ในบีกเกอรเพิม่ ขึน้ และลนออกมา 0.5 ลิตร ใหสมาชิกภายในกลุมรวมกันอภิปรายแสดง
และหากพิจารณาวัตถุที่อยูนิ่งในนํ้า โดยพิจารณาตาม ภาพที่ 4.29 คาที่อานไดจากเครื่องชั่งสปริงของวัตถุที่ชั่ง ความคิดเห็น แลวเขียนภาพแสดงแรงทีก่ ระทํา
กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุจะมี ในอากาศ (ภาพซาย) และชั่งในนํ้า (ภาพขวา)
ที่มา : คลังภาพ อจท. ตอวัตถุในของเหลว ลงในกระดาษ A4
คาเทากับศูนย จึงสรุปไดวา
แรงพยุง = นํ้าหนักของวัตถุที่ชั่งในอากาศ - นํ้าหนักของวัตถุที่ชั่งในของเหลว อธิบายความรู้

อารคมิ ดี สี นักปราชญชาวกรีก ศึกษาเกีย่ วกับขนาดของแรงทีก่ ระทําตอวัตถุ ซึง่ จมอยูใ นของเหลว แลวสามารถ 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ
สรุปเปนหลักการได ดังนี้ ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่
“นํ้าหนักของวัตถุที่หายไปเมื่อชั่งในของเหลวจะเทากับนํ้าหนักของของเหลวที่มีปริมาตรเทากับปริมาตรวัตถุ นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะ
สวนที่จมในของเหลว” ซึ่งแสดงใหเห็นวา เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
ขนาดของแรงพยุง = นํ้าหนักของของเหลวที่ถูกวัตถุแทนที่ 2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
เพื่อหาคําตอบ
จากหลักการของอารคิมีดีส สรุปออกมาเปนสูตรไดวา ขยายความเข้าใจ
FB = ρVg
FB คือ ขนาดของแรงพยุง มีหนวยเปน นิวตัน (N)
1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
ρ คือ ความหนาแนนของของเหลว มีหนวยเปน
เรื่อง แรงดันในของเหลวและแรงพยุง และให
กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร (kg/m3) ความรูเ พิม่ เติมจากคําถามของนักเรียน โดยครู
V คือ ปริมาตรของของเหลวทีถ่ กู แทนที่ มีหนวยเปน ใช PowerPoint เรื่อง แรงดันในของเหลวและ
ลูกบาศกเมตร (m3) แรงพยุง ในการอธิบายเพิ่มเติม
g คือ ความเรงเนือ่ งจากแรงโนมถวงของโลก มีหนวย 2. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง แรงดัน
เปน เมตรตอวินาที2 (m/s2)
ในของเหลวและแรงพยุ ง จากแบบฝ ก หั ด
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ภาพที่ 4.30 นํ้าหนักของนํ้าที่ลนออกมา คือ ขนาดของแรงพยุง
ที่มา : คลังภาพ อจท.

23

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


แรงพยุงจะมีคามากหรือนอยขึ้นอยูกับสิ่งใด ครู อ าจอธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ การใช ป ระโยชน จ ากแรงพยุ ง ในชี วิ ต
1. ปริมาตรของของเหลว ประจําวันของมนุษย เชน เรือขนสินคาที่ทําจากเหล็ก ซึ่งมีความหนาแนน
2. ความหนาแนนของของเหลว มากกวานํ้า เรือนาจะจมนํ้า แตเหตุที่ทําใหเรือขนสินคาลอยนํ้าได เนื่องจาก
3. ความหนาแนนของวัตถุที่จมในของเหลว มนุษยนําเหล็กมาตีแผเปนแผนบาง ทําเปนรูปทรงของเรือ ปริมาตรจะเพิ่มขึ้น
4. ความหนาแนนของวัตถุที่ลอยในของเหลว แมวามวลจะเทาเดิม สงผลใหเรือขนสินคามีความหนาแนนนอยกวานํ้า และ
(วิเคราะหคําตอบ แรงพยุ ง จะมี ค  า มากหรื อ น อ ยขึ้ น อยู  กั บ ในนํ้ามีแรงพยุง เรือขนสินคาจึงลอยนํ้าได
ความหนาแนนของของเหลว ปริมาตรของของเหลวที่ถูกแทนที่
และความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T27
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
กิจกรรม
นักเรียนและครูรว มกันสรุปเกีย่ วกับเรือ่ ง แรงดัน
แรงที่กระท�าต่อวัตถุในของเหลว
ในของเหลวและแรงพยุง
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ขัน้ ประเมิน จุดประสงค์ - การสังเกต
- การลงความเห็นจากข้อมูล
ตรวจสอบผล เขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระท�าต่อวัตถุในของเหลว
จิตวิทยาศาสตร์
- ความรอบคอบ
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ วัสดุอปุ กรณ์ - การท�างานร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง
สร้างสรรค์
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ตัวอย่างชุดภาพวัตถุที่มีลักษณะการจมและลอยต่างกัน ดังนี้
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม ความดัน
ของของเหลว และแรงที่ ก ระทํ า ต อ วั ต ถุ
ในของเหลว ในสมุดประจําตัวนักเรียนหรือ
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
3. ครู ต รวจสอบแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง แรงดั น ใน ภาพที่ 4.31 ตัวอย่างชุดภาพที่ใช้ในกิจกรรมแรงที่กระท�าต่อวัตถุในของเหลว
ของเหลวและแรงพยุ ง จากแบบฝ ก หั ด ที่มา : คลังภาพ อจท.
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
วิธปี ฏิบตั ิ
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน ส่งตัวแทนออกมารับภาพที่ครูจัดเตรียมให้ กลุ่มละ 1 ชุด (ชุดละ 4 ภาพ)
2. ให้สมาชิกภายในกลุ่มร่วมกันเขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระท�าต่อวัตถุในของเหลวลงในกระดาษ A4 และน�าเสนอในรูปแบบ
ที่น่าสนใจ
3. ให้นักเรียนภายในกลุ่มร่วมกันสรุปทิศทางของแรงที่กระท�าต่อวัตถุในของเหลว
4. ครูสุ่มตัวแทนกลุ่ม กลุ่มละ 1 คน ออกมาร่วมกันสรุป เรื่อง ทิศทางของแรงที่กระท�าต่อวัตถุในของเหลว

แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม


1. แรงและขนาดของแรงที่มากระท�าต่อวัตถุในแต่ละภาพมีขนาดเท่าใด และมีแรงชนิดใดบ้าง
1. แรงดันในของเหลวและแรงพยุง 2. เพราะเหตุใดลักษณะการจมและการลอยของวัตถุในแต่ละภาพจึงแตกต่างกัน
2. แรงลัพธในแนวดิ่งมีคาไมเทากับศูนย
บันทึกผล กิจกรรม อภิปรำยผลกิจกรรม

ขึน้ อยูก บั ภาพทีค่ รูนาํ มาใชทาํ กิจกรรม โดยภาพ จากภาพในกิจกรรม จะเห็นได้ว่า วัตถุที่อยู่ในของเหลวมีลักษณะการจมและการลอยที่แตกต่างกัน ถ้าแรงพยุงมีขนาดเท่ากับ
น�้าหนักของวัตถุ จะส่งผลให้วัตถุลอยน�้า แต่ถ้าแรงพยุงมีขนาดน้อยกว่าน�้าหนักของวัตถุ จะส่งผลให้วัตถุจมน�้า
วัตถุลอยนํา้ ได แสดงใหเห็นวา แรงพยุงมีคา มากกวา
หรือเทากับนํา้ หนักของวัตถุทอี่ ยูใ นของเหลว แตถา
เปนภาพวัตถุจมนํ้า แสดงใหเห็นวา แรงพยุงมีคา 24
นอยกวาวัตถุที่อยูในของเหลว

แนวทางการวัดและประเมินผล ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง แรงดันในของเหลวและ เมื่อนํากอนหินไปชั่งในอากาศอานคานํ้าหนักได 9.35 นิวตัน
แรงพยุง ไดจากการสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติกิจกรรม ความดันของของเหลว แตเมือ่ นําไปชัง่ ในนํา้ อานคานํา้ หนักได 7.82 นิวตัน อยากทราบวา
และแรงทีก่ ระทําตอวัตถุในของเหลว โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจาก แรงพยุงที่นํ้ากระทําตอกอนหินมีคาเทาไร
แบบประเมินการปฏิบตั กิ จิ กรรม ทีอ่ ยูใ นแผนการจัดการเรียนรูห นวยการเรียนรูท ี่ 4 1. 1.53 นิวตัน 2. 3.53 นิวตัน
3. 5.53 นิวตัน 4. 7.53 นิวตัน
แบบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

ลาดับที่ รายการประเมิน
4
ระดับคะแนน
3 2 1
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม

แรงพยุงของนํ้า = นํ้าหนักของกอนหินที่ชั่งในอากาศ - นํ้าหนัก


2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม
รวม

ลงชื่อ ….................................................... ผู้ประเมิน

ประเด็นที่ประเมิน
4 3
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
ระดับคะแนน
2 1
ของกอนหินที่ชั่งในของเหลว
= 9.35 N - 7.82 N
1. การปฏิบัติ ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องให้ความช่วยเหลือ
กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา

= 1.53 N
ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก

แรงพยุ ง ที่ นํ้ า กระทํ า ต อ ก อ นหิ น มี ค  า 1.53 นิ ว ตั น ดั ง นั้ น


การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล
กิจกรรม ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน ทากิจกรรมยังไม่เป็น กิจกรรม การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ

ตอบขอ 1.)
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง

T28
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1.4 โมเมนตของแรง 1. ครู เ ตรี ย มอุ ป กรณ ส าธิ ต การทดลอง เช น
เมื่อออกแรงกระทําตอวัตถุในแนวที่ผานจุดศูนยกลางมวลของวัตถุ
เครื่ อ งชั่ ง สองแขน เหรี ย ญเงิ น จากนั้ น
พบวา วัตถุจะเกิดการเคลือ่ นทีต่ ามแนวแรงทีก่ ระทํา แตถา แนวแรงทีก่ ระทําไม
ผานศูนยกลางมวลของวัตถุ พบวา วัตถุจะเกิดการหมุนรอบศูนยกลางมวล และ ครู ข ออาสาสมั ค รนั ก เรี ย น 2 คน โดยให
ปริมาณทีบ่ อกถึงความสามารถของแรงทีก่ ระทําตอวัตถุ แลวทําใหวตั ถุหมุน ตัวแทนนักเรียนนําเหรียญเงินมาวางบนแขน
รอบจุดหมุนหรือแกนใด ๆ เรียกวา โมเมนตของแรง (moment of force; M) ภาพที่ 4.32 เครื่องเลนในสนามเด็กเลน ทัง้ สองขางของเครือ่ งชัง่ เพือ่ ใหแขนทัง้ สองขาง
จากภาพที่ 4.32 เด็กคนหนึ่งออกแรงผลักเครื่องเลนในแนวตั้งฉาก ที่มา : คลังภาพ อจท. ของเครื่องชั่งสมดุลกัน หากแขนทั้งสองขาง
จากแนวแรงถึงจุดหมุน จะเกิดโมเมนตของแรง ซึง่ สรุปความสัมพันธได ดังนี้ ของเครื่องชั่งยังไมสมดุล ครูอาจสุมนักเรียน
M คือ โมเมนตของแรง มีหนวยเปน นิวตัน เมตร (N m) ออกมาอีก 1 คน มาใสเหรียญเงินเพื่อใหแขน
M = Fl F คือ แรงที่มากระทํากับวัตถุในแนวตั้งฉาก มีหนวยเปน นิวตัน (N) ทั้งสองขางของเครื่องชั่งสมดุล
l คือ ระยะทางจากจุดหมุนไปตั้งฉากกับแนวแรง มีหนวยเปน เมตร (m) 2. นักเรียนแตละคนสังเกตกิจกรรมการทดลอง
จากนั้นครูตั้งประเด็นคําถามกระตุนความคิด
F
โมเมนตของแรงสามารถแบงตามทิศของการหมุนไดเปน นั ก เรี ย น โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะคนร ว มกั น
โมเมนตทวนเข็มนาฬกา (counter-clockwise moment; Mทวน) อภิปรายแสดงความคิดเห็นอยางอิสระโดย
คือ ผลของแรงที่กระทําตอวัตถุ โดยไมผานจุดหมุน แลวทําให ภาพที่ 4.33 แรง F กระทําตอแทงไม ทําให
แทงไมหมุนทวนเข็มนาฬกา ไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด ดังนี้
วัตถุหมุนทวนเข็มนาฬกา ดังภาพที่ 4.33 และโมเมนตตาม ที่มา : คลังภาพ อจท.
เข็มนาฬกา (clockwise moment; Mตาม) คือ ผลของแรงทีก่ ระทํา • หลั ก การของแรงเรื่ อ งใดที่ ส ามารถนํ า มา
F
ตอวัตถุ โดยไมผานจุดหมุน แลวทําใหวัตถุหมุนตามเข็มนาฬกา ประยุกตใชกับเครื่องชั่งสองแขน
ดังภาพที่ 4.34 (แนวตอบ โมเมนตของแรง)
ภาพที่ 4.34 แรง F กระทําตอแทงไม ทําให
แทงไมหมุนตามเข็มนาฬกา • นักเรียนคิดวา วัตถุที่ใสในแขนเครื่องชั่ง
ที่มา : คลังภาพ อจท. ดานขวาของเครื่องชั่งเปนโมเมนตของแรง
ตัวอย่างที่ 4.11 จากภาพที่ 4.35 โมเมนตของแรงที่เด็กชายนั่งบนไมกระดานหกมีคาเทาใด และเปนโมเมนต ประเภทใด
ทวนเข็มนาฬกาหรือตามเข็มนาฬกา (แนวตอบ โมเมนตตามเข็มนาฬกา)
1.5 m • นักเรียนคิดวา วัตถุที่ใสในแขนเครื่องชั่ง
ดานซายของเครื่องชั่งเปนโมเมนตของแรง
300 N
ภาพที่ 4.35 ไมกระดานหกที่มีเด็กชายนั่งอยู ประเภทใด
ที่มา : คลังภาพ อจท. (แนวตอบ โมเมนตทวนเข็มนาฬกา)
วิธีทํา จากสมการ M = Fl
M = 300 N × 1.5 m
M = 450 N m
ดังนั้น โมเมนตของแรงที่เด็กชายนั่งบนไมกระดานหกมีคาเทากับ 450 นิวตัน เมตร และเปนโมเมนตตามเข็ม
นาฬกา

แรงและการเคลื่อนที่ 25

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


ขอใดคือความหมายของคําวา โมเมนตของแรง กอนเขาสูการเรียนการสอน เรื่อง โมเมนตของแรง ครูอาจยกตัวอยาง
1. ผลคูณของแรงกับระยะทาง เครื่องเลนเด็กที่ใชประโยชนจากโมเมนตของแรงใหนักเรียนเขาใจ ตัวอยางเชน
2. ผลบวกของแรงกับระยะทาง กระดานหกซึ่งเปนเครื่องเลนที่มีไมกระดานแคบยาว 1 แผน วางขวางบนคาน
3. ผลคูณของแรงกับระยะทางตามแนวแรง ทําใหปลายสองดานโยกขึ้นและลงได ซึ่งบริเวณปลายไมมักทําเปนที่สําหรับนั่ง
4. ผลคูณของแรงกับระยะตั้งฉากจากจุดหมุนไปยังแนวแรง เพื่อใหเด็กโลขึ้นลงสลับกัน โดยแรงที่เด็กโลจะตั้งฉากกับระยะทางจากจุดหมุน
(วิเคราะหคําตอบ โมเมนต ข องแรง คื อ ผลคู ณ ของแรงที่ ม า หรือจุดกึ่งกลางของคาน
กระทํากับวัตถุในแนวตัง้ ฉากกับระยะทางจากจุดหมุนไปตัง้ ฉากกับ
แนวแรง ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T29
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน ตามความ เมื่อมีแรงหลายแรงมากระท�าต่อวัตถุ แล้ววัตถุเกิดสมดุลต่อการหมุน จะได้ว่า ผลรวมโมเมนต์ของแรงมีค่า
เท่ากับศูนย์ (ΣM = 0) หรือผลรวมของโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา (ΣMทวน) มีค่าเท่ากับผลรวมของโมเมนต์ตามเข็ม
สมัครใจ แลวรวมกันศึกษา เรื่อง โมเมนตของ
นาฬิกา (ΣMตาม) ซึ่งเขียนความสัมพันธ์ได้ ดังนี้
แรง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
หรือแหลงการเรียนรูตางๆ เชน อินเทอรเน็ต ΣMทวน = ΣMตาม
โดยสมาชิก ภายในกลุมแบงหนาที่กันศึกษา
หัวขอเรื่อง ดังนี้ จุดหมุน
• คนที่ 1 ศึกษาความหมายของโมเมนตของ M1 M2
แรง
• คนที่ 2 ศึกษาประเภทของโมเมนตของแรง F1 F2
• คนที่ 3 ศึกษาสมการโมเมนตของแรง l1 l2
2. สมาชิ ก ภายในกลุ  ม นํ า เรื่ อ งที่ ต นเองศึ ก ษา ภาพที่ 4.36 โมเมนต์ของแรงที่กระท�าต่อคาน
มาอธิบายใหเพื่อนในกลุมฟง แลวรวมกันสรุป ที่มา : คลังภาพ อจท.
ขอมูลที่ไดลงในสมุดประจําตัวนักเรียน 1
จากภาพที่ 4.36 เมือ่ คานอยูใ่ นสภาพสมดุลต่อการหมุน ซึง่ ก็คอื คานไม่เคลือ่ นทีแ่ ละไม่หมุนจะสามารถเขียน
อธิบายความรู สมการแสดงความสัมพันธ์ได้ ดังนี้
F1 l1 = F2 l2
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ
ศึ ก ษาหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ นั ก เรี ย น ตัวอยางที่ 4.12 ไม้เมตรมวลเบามากแขวนน�้าหนัก 40 นิวตัน ไว้ทางด้านซ้าย ห่างจากจุดหมุนเป็นระยะ
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม 20 เซนติเมตร และแขวนน�า้ หนัก 20 นิวตัน ไว้ทางด้านขวา ถ้าไม้เมตรอยูใ่ นสภาพสมดุลต่อการ
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง หมุนระยะที่แขวนน�้าหนัก 20 นิวตัน จะอยู่ห่างจากจุดหมุนกี่เซนติเมตร
2. นักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางการคํานวณ l1 = 20 cm l2
โจทยปญหาจากตัวอยางที่ 4.11-4.13 จาก
F1 = 40 N F2 = 20 N
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนั้น
ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมาแสดงวิธีการ ภาพที่ 4.37 ไม้เมตร
ที่มา : คลังภาพ อจท.
คํานวณหาผลลัพธทไี่ ดศกึ ษา ครูอาจเสนอแนะ
วิธีท�า จากสมการ ΣMทวน
= ΣMตาม
หรืออธิบายเพิ่มเติมในตัวอยางนั้นๆ F1l1 = F2l2
40 N × 0.2 m = 20 N × l2
l2 = 40 N20× N0.2 m
l2 = 0.4 m หรือ 40 cm
ดังนั้น ระยะที่แขวนน�้าหนัก 20 นิวตัน จะอยู่ห่างจากจุดหมุน 40 เซนติเมตร

26

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูอาจแนะนําใหนักเรียนเขียนแรงเพื่อแสดงถึงแรงชนิดตางๆ ที่กระทํา ถาออกแรงพยายาม 20 นิวตัน กระทําตอคานงัดหางจาก
ตอวัตถุ และเขียนทิศทางของโมเมนตทวนเข็มนาฬกาและตามเข็มนาฬกา จุดหมุน 5 เมตร เพื่อยกวัตถุซึ่งวางอยูหางจากจุดหมุนออกไป
เพื่อความสะดวกในการพิจารณาโมเมนต และงายตอการคํานวณหาผลลัพธ อีกขางหนึ่ง 0.2 เมตร จะยกวัตถุไดหนักที่สุดเทาใด (เมื่อไมคิด
นํ้าหนักของคาน)
1. 200 นิวตัน 2. 250 นิวตัน
นักเรียนควรรู 3. 500 นิวตัน 4. 1,000 นิวตัน
1 สมดุลตอการหมุน คือ สภาวะการไมหมุนของวัตถุ ณ สภาวะนี้โมเมนต (วิเคราะหคําตอบ จากสมการ ΣMทวน = ΣMตาม
ของวัตถุจะตองมีคา เทากับศูนย หรือโมเมนตทวนเข็มนาฬกามีคา เทากับโมเมนต F1l1 = F2l2
ตามเข็มนาฬกา 20 × 5 = F2 × 0.2
F2 = 200.2× 5
= 500 N
จะยกวัตถุไดหนักที่สุด 500 นิวตัน ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T30
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ตัวอย่างที่ 4.13 คานหนัก 40 นิวตัน ยาว 20 เมตร มีมวลน�้าหนักต่างกันแขวนอยู่ ดังภาพ จะต้องแขวนคาน 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 6 คน จากนั้น
ให้มีจุดหมุนห่างจากน�้าหนัก 370 นิวตัน เปนระยะเท่าใด คานจึงอยู่ในสภาพสมดุล
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษากิจกรรม
สมดุ ล ต อ การหมุ น และโมเมนต ข องแรง
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
x 20 - x 2. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมารับวัสดุ
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม จากนั้น
40 N
370 N 10 - x 240 N ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันปฏิบัติกิจกรรม
ตามขั้นตอน
ภาพที่ 4.38 คานที่มีมวลน�้าหนักต่างกันแขวนอยู่
ที่มา : คลังภาพ อจท. อธิบายความรู
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอคานที่
วิธีทํา จากสมการ ΣMทวน = ΣMตาม
ประดิษฐขึ้น โดยอธิบายระยะของจุดหมุนไป
F1l1 = F2l2 + F3l3
ยังแนวแรงทีม่ ากระทํา และรูปแบบทีท่ าํ ใหคาน
370 N × x = 40 N × (10 - x) + 240 N × (20 - x)
370x = 400 - 40x + 4,800 - 240x
อยูในสภาพสมดุลตอการหมุน หนาชั้นเรียน
370x + 40x + 240x =
400 + 4,800 2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
650x =
5,200 แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
x 5,200
= เพื่อหาคําตอบ
650
x = 8m ขยายความเขาใจ
ดังนั้น ต้องแขวนคานให้มีจุดหมุนห่างจากน�้าหนัก 370 นิวตัน เปนระยะทาง 8 เมตร คานจึงอยู่ในสภาพสมดุล
1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
เรื่อง โมเมนตของแรง และใหความรูเพิ่มเติม
ความรูเ้ กีย่ วกับโมเมนต์นา� มาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ มากมาย โดย
จากคําถามของนักเรียน โดยครูใช Power-
เฉพาะการประดิษฐ์เครื่องผ่อนแรงชนิดต่าง ๆ เช่น คาน คีมตัดลวด ไขควง Point เรื่อง โมเมนตของแรง ในการอธิบาย
ล้อกับเพลา ค้อนถอนตะปู รถเข็น ที่เปดขวด หรือการวางคานยื่นออกมา เพิ่มเติม
จากก�าแพงจะต้องยึดด้วยเชือกหรือสลิง ต้องค�านวณหาแรงดึงในเส้นเชือก 2. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง โมเมนต
ให้พอเหมาะกับน�้าหนักของคาน โดยอาศัยความรู้เรื่องโมเมนต์ของแรง ของแรง จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2
นอกจากนี้ ของเล่นหลายชนิดที่ประกอบด้วยอุปกรณ์หลายส่วนที่ใช้
เลม 2
หลักโมเมนต์มาเกี่ยวข้อง เช่น โมไบล์ของเล่น ไม้กระดานหก
ภาพที่ 4.39 โมไบล์ของเล่น
ที่มา : คลังภาพ อจท.

แรงและการเคลื่อนที่ 27

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


คานอันหนึง่ เบามากมีวตั ถุนาํ้ หนัก 30 นิวตัน แขวนทีป่ ลายคาน ครูอาจใหนักเรียนแตละคนนําเสนอตัวอยางเพิ่มเติมจากหนังสือเรียน
ขางหนึง่ และอยูห า งจุดหมุน 5 เมตร จงหาวาจะตองแขวนนํา้ หนัก เกีย่ วกับการนําหลักการของโมเมนตมาใชประโยชนในดานตางๆ แลวใหนกั เรียน
15 นิวตัน ไวอีกดานหนึ่งของคานหางจากจุดหมุนกี่เมตร คานจึง สืบคนขอมูลเพิม่ เติมเกีย่ วกับประโยชนของโมเมนตของแรง จากนัน้ นําขอมูลทีไ่ ด
จะสมดุล มาอธิบายใหเพื่อนๆ ในชั้นเรียนฟง
1. 5 เมตร 2. 10 เมตร 3. 15 เมตร 4. 20 เมตร
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ ΣMทวน = ΣMตาม
F1l1 = F2l2
30 × 5 = 15 × l2
l2 = 3015× 5
= 10 m
ตองแขวนนํ้าหนัก 15 นิวตัน หางจากจุดหมุน 10 เมตร ดังนั้น
ตอบขอ 2.)

T31
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
กิจกรรม
นั ก เรี ย นและครู ร  ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
สมดุลต่อการหมุนและโมเมนต์ของแรง
โมเมนตของแรง
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ขัน้ ประเมิน จุดประสงค์ - การสังเกต
- การทดลอง
ตรวจสอบผล 1. ออกแบบคานจากวัสดุที่ก�าหนดให้
จิตวิทยาศาสตร์
2. ทดลองและท�าให้วัตถุอยู่ในสมดุลด้วยหลักการโมเมนต์ของแรงได้ - การท�างานร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ สร้างสรรค์
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล วัสดุอปุ กรณ์
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ 1. เชือก 5. เหรียญ 1 บาท 5 เหรียญ
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน 2. ไม้แขวนเสื้อ 6. เหรียญ 5 บาท 5 เหรียญ
3. ถุงพลาสติกขนาดเล็ก 7. เหรียญ 10 บาท 5 เหรียญ
2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม สมดุลตอ 4. ที่หนีบกระดาษขนาดเล็ก
การหมุนและโมเมนตของแรง ในสมุดประจํา
ตัวนักเรียนหรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 วิธปี ฏิบตั ิ
เลม 2 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ศึกษาค้นคว้าเรื่องโมเมนต์ของแรง
3. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรือ่ ง โมเมนตของแรง 2 สมาชิกภายในกลุ่มร่วมกันออกแบบและประดิษฐ์คานจากวัสดุที่ครูจัดเตรียมให้อย่างสร้างสรรค์ โดยระยะทางของแนวแรงที่มา
กระท�าต้องมีค่าไม่เท่ากัน
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 3. สมาชิกภายในกลุ่มร่วมกันทดลอง โดยให้เหรียญแทนวัตถุที่ท�าให้คานอยู่ในสภาพสมดุล โดยครูก�าหนดให้เหรียญ 1 5 และ 10
บาท มีมวลเท่ากับ 1 5 และ 10 กิโลกรัม ตามล�าดับ บันทึกมวลของวัตถุและระยะทางจากจุดหมุนไปตั้งฉากกับแนวแรงลงใน
สมุดบันทึก แล้วค�านวณโดยใช้สมการ M = Fl
4. น�าเสนอคานทีแ่ ต่ละกลุม่ ประดิษฐ์ขนึ้ โดยอธิบายระยะของจุดหมุนไปยังแนวแรงทีม่ ากระท�า และน�าเสนอรูปแบบทีท่ า� ให้คานอยู่
ในสภาพสมดุลต่อการหมุน พร้อมแสดงวิธีการค�านวณหน้าชั้นเรียน
5. ประเมินสิ่งประดิษฐ์และการน�าเสนอ รวมทั้งวิธีการค�านวณของกลุ่มอื่นว่าถูกต้องหรือไม่
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
1. ปริมาณทีบ่ อกถึงความสามารถของแรงทีก่ ระทํา ค�าถามท้ายกิจกรรม
ตอวัตถุ แลวทําใหวัตถุหมุนรอบจุดหมุนหรือ 1. โมเมนต์ของแรงคืออะไร
2. คานจะอยูใ่ นสภาพสมดุลได้อย่างไร
จุดศูนยกลางมวล
2. ผลรวมของโมเมนตทวนเข็มนาฬกามีคาเทากับ
อภิปรายผลกิจกรรม
ผลรวมของโมเมนตตามเข็มนาฬกา
โมเมนต์ของแรง คือ ผลของแรงทีก่ ระท�าต่อวัตถุเพือ่ ให้วตั ถุหมุนรอบจุดหมุน โดยแนวแรงไม่ผา่ นจุดหมุนของวัตถุ ซึง่ โมเมนต์ของ
บันทึกผล กิจกรรม แรงจะเท่ากับผลคูณของแรงทีม่ ากระท�าต่อวัตถุกบั ระยะทางในแนวตัง้ ฉากจากจุดหมุนไปถึงแนวแรง เมือ่ วัตถุถกู กระท�าด้วยโมเมนต์
หลายโมเมนต์จนท�าให้คานอยูใ่ นสภาพสมดุล จะเรียกได้วา่ วัตถุอยูใ่ นสภาพสมดุลต่อการหมุน ดังนัน้ วัตถุจะสมดุลต่อการหมุนเมือ่
คานที่ ป ระดิ ษ ฐ ขึ้ น จะอยู  ใ นสภาพสมดุ ล ก็ ผลรวมของโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกาเท่ากับผลรวมของโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา
ตอเมือ่ ผลรวมโมเมนตของแรงมีคา เทากับศูนย หรือ
โมเมนตตามเข็มนาฬกาเทากับโมเมนตทวนเข็ม
28
นาฬกา จะทําใหวัตถุอยูในสมดุลตอการหมุน

แนวทางการวัดและประเมินผล ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง โมเมนตของแรง ไดจาก ภาวะสมดุลของโมเมนตคือขอใด
การสังเกตพฤติกรรมการปฏิบตั กิ จิ กรรม สมดุลตอการหมุนและโมเมนตของแรง 1. คานอยูนิ่งในแนวระนาบ
โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการปฏิบัติกิจกรรม 2. จุดหมุนของคานอยูที่กึ่งกลางคาน
ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 4 3. คานมีลักษณะตรงและโตสมํ่าเสมอ
4. เมื่อเปนโมเมนตที่หมุนตามเข็มนาฬกา
แบบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

ลาดับที่ รายการประเมิน
4
ระดับคะแนน
3 2 1
(วิเคราะหคําตอบ ที่สภาวะที่คานอยูในแนวสมดุลหรือแนวราบ
กับพื้น เรียกวา ภาวะคานสมดุล และเมื่อคานอยูในสภาวะสมดุล
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม
รวม

ผลรวมของโมเมนตทวนเข็มนาฬกา จะเทากับผลรวมของโมเมนต
ลงชื่อ ….................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
ระดับคะแนน

ตามเข็มนาฬกา ดังนั้น ตอบขอ 1.)


ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. การปฏิบัติ ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องให้ความช่วยเหลือ
กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล
กิจกรรม ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน ทากิจกรรมยังไม่เป็น กิจกรรม การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง

T32
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1.5 สนามของแรง นักเรียนดูวีดิทัศนเกี่ยวกับเรื่อง การทดลอง
ในชีวิตประจําวัน การที่กอนหินตกจากหนาผา ใบไมรวงลงสูพื้นดิน ผลไมรวงหลนจากตน แสดงวา มีแรง แรงดึงดูดของกาลิเลโอ จาก (https://www.
กระทําตอกอนหิน ใบไม และผลไม ทํานองเดียวกันกับการนําแมเหล็กเขาใกลเหล็ก เหล็กจะถูกดูดดวยแรงชนิดหนึ่ง
เขาหาแมเหล็ก นั่นก็คือ ถาบริเวณใดที่มีแรงกระทําตอวัตถุ บริเวณนั้นจะมีสนามของแรง ซึ่งไมสามารถรับรูไดดวย
youtube.com/watch?v=faSugW_Xefc)
ประสาทสัมผัส แตสามารถรับรูไดจากผลของแรงที่กระทําตอวัตถุ จากนั้น ครูตั้งประเด็นคําถามกระตุนความคิด
สนามของแรง สามารถแบงไดเปน 3 ประเภท ดังนี้ นั ก เรี ย นว า “จากวี ดิ ทั ศ น ถ า ปล อ ยขนนก
1. สนามโนมถวง (gravitational field) เมื่อปลอยวัตถุที่ความสูงใด ๆ จากผิวโลก วัตถุจะตกลงสูผิวโลก กับลูกบอลใหตกลงในทอที่สูบอากาศออกหมด
เสมอ เนือ่ งจากโลกมีสนามโนมถวงอยูร อบโลก สนามโนมถวงนีท้ าํ ใหเกิดแรงดึงดูดของโลกกระทําตอวัตถุและตัวเรา เพราะเหตุใดวัตถุท้ังสองจึงตกถึงพื้นพรอมกัน”
ซึง่ มีทศิ พุง เขาสูศ นู ยกลางของโลก แรงดึงดูดนีเ้ รียกวา แรงโนมถวง (gravitational force) สนามโนมถวง ณ ตําแหนง
โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะคนร ว มกั น อภิ ป ราย
ตาง ๆ บนผิวโลก มีคาประมาณ 9.8 นิวตันตอกิโลกรัม
แสดงความคิดเห็นอยางอิสระโดยไมมีการเฉลย
วาถูกหรือผิด
(แนวตอบ เพราะวัตถุทั้งสองเปนการตกใน
แนวดิ่ง เนื่องจากแรงโนมถวงของโลกมากระทํา
ต อ วั ต ถุ ทั้ ง สองเพี ย งแรงเดี ย ว โดยไม มี แ รง
ตานอากาศ)
ภาพที่ 4.40 สนามโนมถวงของโลก มีทิศพุงสูศูนยกลางโลก
ที่มา : คลังภาพ อจท. ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
สนามโนมถวงของโลกทีต่ าํ แหนงตาง ๆ กันจากผิวโลก มีคา เปลีย่ นแปลงไปตามระดับความสูง ณ ตําแหนงตาง ๆ
ดังตารางที่ 4.1 1. นักเรียนแบงกลุมออกเปน 3 กลุม กลุมละ
ตารางที่ 4.1 สนามโนมถวงของโลกที่ความสูงตาง ๆ จากผิวโลก เท า ๆ กั น ตามความสมั ค รใจ จากนั้ น ครู
ระยะทางจาก
สนามโนมถวง (N/kg) ตําแหนง แจงจุดประสงคของแตละกิจกรรม ใหนกั เรียน
พื้นผิวโลก (km)
0 9.80 ที่ผิวโลก ทราบเพื่ อ เป น แนวทางการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม
10 9.77 เพดานบินของเครื่องบินโดยสาร ที่ถูกตอง
400 8.65 ระดับความสูงของสถานีอวกาศนานาชาติ ยานขนสงอวกาศ 2. นักเรียนแตละกลุมปฏิบัติกิจกรรม ดังนี้
35,700 0.225 ระดับความสูงของดาวเทียมสื่อสารคมนาคม • กลุมที่ 1 ปฏิบัติกิจกรรมที่ 1
384,000 0.0028 ระยะทางเฉลี่ยระหวางโลกและดวงจันทร เรื่อง สนามโนมถวง
• กลุมที่ 2 ปฏิบัติกิจกรรมที่ 2
พิจารณาตารางที่ 4.1 พบวา สนามโนมถวงของโลกที่ระดับความสูงตาง ๆ จากผิวโลก มีคาแตกตางกัน ยิ่งสูง
เรื่อง สนามไฟฟา
จากผิวโลกมากขึ้น สนามโนมถวงก็มีคานอยลง ซึ่งสามารถนําไปอธิบายเกี่ยวกับแรงที่กระทําตอวัตถุที่อยูบนผิวโลก
เนื่องจากแรงที่กระทําตอวัตถุบนผิวโลก เปนแรงดึงดูดระหวางมวลของวัตถุนั้นกับโลก จึงทําใหแรงที่กระทําตอมวล • กลุมที่ 3 ปฏิบัติกิจกรรมที่ 3
ที่ระดับความสูงจากผิวโลกตางกันจะมีคาไมเทากัน ถาวัตถุอยูสูงจากผิวโลกมากขึ้น แรงที่กระทําตอวัตถุจะนอยลง เรื่อง สนามแมเหล็ก
แรงและการเคลื่อนที่ 29

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับสนามโนมถวง กอนเขาสูการเรียนการสอน เรื่อง สนามของแรง ครูอาจใหนักเรียน
1. สนามโนมถวงมีคานอยที่สุดเมื่ออยูบนพื้นผิวโลก ทํ า กิ จ กรรมเพื่ อ ให นั ก เรี ย นเข า ใจสนามของแรงมากขึ้ น เช น ครู อ าจให
2. สนามโนมถวงมีคาเพิ่มขึ้นเมื่อหางจากพื้นผิวโลก นักเรียนปลอยวัตถุจากที่สูง เพื่ออธิบายสนามโนมถวงของโลกมีทิศพุงเขาสู
3. สนามโนมถวงสัมพันธกับมวลของวัตถุที่อยูบนโลก ศูนยกลางของโลก ทําใหเกิดแรงดึงดูดใหวัตถุไมลอยหลุดออกนอกโลก เรียกวา
4. สนามโนมถวงที่อยูบนพื้นผิวโลก ณ จุดใดๆ มีคาคงที่ แรงโนมถวง หรือใหนักเรียนหวีผม แลวนําหวีไปใกลกับเศษกระดาษขนาดเล็ก
(วิเคราะหคําตอบ สนามโน ม ถ ว งแปรผกผั น กั บ ระยะทางจาก เพื่ออธิบายสนามไฟฟาวา หลังจากหวีผม หวีจะมีประจุซึ่งแตกตางกับเศษ
พื้นผิวโลก โดยสนามโนมถวงจะมีคาลดลงเมื่อหางจากพื้นผิวโลก กระดาษ โดยวัตถุทั้งสองจะสงอํานาจรอบวัตถุ เรียกวา สนามไฟฟา ซึ่งสนาม
ซึ่งสนามโนมถวงที่ผิวโลก ณ บริเวณใดๆ จะมีคาประมาณ 9.8 ไฟฟาที่เกิดจากประจุตางชนิดกันจะทําใหเกิดแรงดึงดูด หวีจึงดูดเศษกระดาษ
นิวตันตอกิโลกรัม ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขนาดเล็กได

T33
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3. ครู อ ธิ บ ายขั้ น ตอนการปฏิ บั ติ กิ จ กรรมของ 2. สนามไฟฟา (electric field) การนําวัตถุ 2 ชนิด มาขัดถูกัน เชน
นําไมบรรทัดพลาสติกมาถูกับผา พบวา ไมบรรทัดพลาสติกจะสามารถดูด
แตละกิจกรรม ดังนี้
กระดาษชิ้นเล็ก ๆ ได จึงกลาวไดวา ไมบรรทัดพลาสติกที่ถูกับผาแลว จะมี
• กิจกรรมที่ 1 เรื่อง สนามโนมถวง ครูแจก อํานาจทางไฟฟา คือ ประจุไฟฟา (electric charge)
ถุงทรายทีม่ ขี นาดเทากันและตางกัน จากนัน้ ประจุไฟฟามี 2 ชนิด คือ ประจุไฟฟาบวก (positive charge) และ
ให นั ก เรี ย นทดสอบปล อ ยวั ต ถุ ที่ ค วามสู ง ประจุไฟฟาลบ (negative charge) เมื่อประจุไฟฟาอยูใกลกันประจุไฟฟาจะ
ระดับเดียวกัน แตมวลตางกันและที่ระดับ ออกแรงกระทําซึง่ กันและกัน โดยประจุไฟฟาชนิดเดียวกันจะทําใหแรงไฟฟา
ความสูงไมเทากัน แตมวลเทากัน จากนั้น เปนแรงผลัก เชน ประจุบวกกับประจุบวก หรือประจุลบกับประจุลบ สวน
ประจุไฟฟาตางชนิดกันจะทําใหแรงไฟฟาเปนแรงดูด เชน ประจุลบกับประจุ
บันทึกผลวา ถุงทรายใดตกถึงพื้นกอน บวก โดยแรงกระทําระหวางประจุไฟฟา เรียกวา แรงไฟฟา (electric force) ภาพที่ 4.41 ไมบรรทัดที่นํามาถูกับผาแลว
สามารถดูดเศษกระดาษได
• กิจกรรมที่ 2 เรื่อง สนามไฟฟา ครูแจกหวี ที่มา : คลังภาพ อจท.
ใหนักเรียน 1 อัน จากนั้นใหนักเรียนหวีผม
ของตนเอง แลวนําไปไวใกลกบั เศษกระดาษ
• กิจกรรมที่ 3 เรื่อง สนามแมเหล็ก ครูแจก
ถาดที่มีผงตะไบเหล็ก และแทงแมเหล็ก
2 แทง นําแมเหล็กทัง้ 2 แทงมาวางใตถาดที่ + + - - + -
มีผงตะไบเหล็กใหหางกันระยะหนึ่ง สังเกต ประจุเหมือนกัน จะผลักกัน ประจุตางชนิดกัน จะดึงดูดกัน
แนวการเคลื่อนที่ของผงตะไบ ภาพที่ 4.42 แรงระหวางประจุไฟฟา
ที่มา : คลังภาพ อจท.
อธิบายความรู เมื่อนําวัตถุที่มีประจุไฟฟาไปวางไว ณ ที่ใด ๆ ประจุไฟฟาที่มีอยูในวัตถุนั้นจะสงอํานาจไปโดยรอบ เรียก
นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลจากการ อํานาจทางไฟฟาที่เกิดขึ้นรอบบริเวณที่ประจุไฟฟาวางตัวอยูวา สนามไฟฟา โดยสนามไฟฟาที่เกิดจากประจุบวก
ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมว า “เมื่ อ ปล อ ยวั ต ถุ ใ ห ต กพื้ น จะมีทิศทางของสนามไฟฟาพุงออกจากประจุบวก สวนสนามไฟฟาที่เกิดจากประจุลบจะมีทิศทางของสนามไฟฟา
พุงเขาสูประจุลบ ดังภาพที่ 4.43
แบบเสรี วั ต ถุ จ ะตกลงสู  ผิ ว โลกเพราะมี
แรงดึงดูดมากระทําตอวัตถุ เนื่องจากมีสนาม
โนมถวงที่มีทิศพุงเขาสูศูนยกลางของโลก เมื่อนํา + + - -
วัตถุ 2 ชนิดมาถูกนั ทําใหเกิดประจุไฟฟาซึง่ จะสง
อํานาจโดยรอบ เรียกวา สนามไฟฟา สวนผงตะไบ
ภาพที่ 4.43 สนามไฟฟาที่เกิดจากประจุบวกและประจุลบ
เปนวัตถุที่มีสารแมเหล็ก เมื่ออยูใกลกับแหลงของ ที่มา : คลังภาพ อจท.
สนามแมเหล็ก ทําใหผงตะไบเคลือ่ นทีไ่ ปตามเสน เมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาอยูในสนามไฟฟา จะถูกแรงกระทําเนื่องจากสนามไฟฟานั้น โดยอนุภาคที่มี
แรงแมเหล็ก” ประจุบวก จะถูกแรงไฟฟากระทําในทิศทางเดียวกับสนามไฟฟา สวนอนุภาคที่มีประจุลบนั้น จะถูกแรงไฟฟากระทํา
ในทิศตรงขามกับสนามไฟฟา

30 แรงจากสนามไฟฟา

สื่อ Digital ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสนามไฟฟา จาก QR Code เรื่อง ขอใดคือทิศทางของสนามไฟฟาที่เกิดจากวัตถุที่มีประจุไฟฟา
แรงจากสนามไฟฟา บวกและลบ ตามลําดับ
1. พุงออกและพุงเขา
2. พุงเขาและพุงออก
3. มีทิศทางเดียวกัน คือ พุงเขาหาวัตถุ
4. มีทิศทางเดียวกัน คือ พุงออกจากวัตถุ
(วิเคราะหคําตอบ สนามไฟฟาที่เกิดจากประจุบวกมีทิศพุงออก
จากประจุ และสนามไฟฟาทีเ่ กิดจากประจุลบมีทศิ พุง เขาหาประจุ
สื่อ Digital ดังนั้น ตอบขอ 1.)
ศึกษาเพิม่ เติมจาก QR Code เรื่อง สนามไฟฟา

สนามไฟฟา
T34 www.aksorn.com/interactive3D/RK841
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
3. สนามแม่เหล็ก (magnetic field) แม่เหล็ก (magnet) เป็นวัตถุที่สามารถดูดสารแม่เหล็กบางชนิดได้ และ 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
เมือ่ น�าแม่เหล็กมาวางไว้ดว้ ยกันจะสามารถดูดหรือผลักกันได้ สารทีถ่ กู แม่เหล็กดูดได้ เรียกว่า สารแม่เหล็ก (magnetic
เรือ่ ง สนามของแรง และใหความรูเ พิม่ เติมจาก
substance) เช่น เหล็ก นิกเกิล โคบอลต์ พลวง บิสมัท
คําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint
เมื่ อ น� า วั ต ถุ ที่ มี ส มบั ติ เ ป็ น แม่ เ หล็ ก หรื อ สาร
แม่เหล็กมาวางในสนามแม่เหล็ก จะเกิดแรงแม่เหล็ก
เรื่อง สนามของแรง ในการอธิบายเพิ่มเติม
(magnetic force) ถ้ามีขั้วเหมือนกันจะเกิดแรงผลัก แต่ 2. นักเรียนแตละคนทําใบงาน เรื่อง สนามของ
S N
ถ้ามีขั้วต่างกันจะเกิดแรงดึงดูด แรงแม่เหล็กที่กระท�า แรง
ต่อวัตถุที่มีสมบัติเป็นแม่เหล็ก จะมีทิศพุ่งเข้าหรือพุ่ง 3. นักเรียนทํา Topic Question เรื่อง สนามของ
ออกจากวัตถุที่เป็นแม่เหล็ก ซึ่งเป็นแหล่งของสนาม แรง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ภาพที่ 4.44 ลักษณะเส้นแรงแม่เหล็กรอบ ๆ แท่งแม่เหล็ก แม่เหล็ก ดังภาพที่ 4.45 และ 4.46
ที่มา : คลังภาพ อจท. ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
4. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง สนาม
ของแรง จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2
S N N S S N S N
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ภาพที่ 4.45 แรงผลักที่เกิดจากแม่เหล็ก 2 แท่ง หันขั้วชนิดเดียวกัน ภาพที่ 4.46 แรงดึงดูดที่เกิดแท่งแม่เหล็ก 2 แท่ง หันขั้วชนิดต่างกัน
เข้าหากัน เข้าหากัน นักเรียนและครูรว มกันสรุปเกีย่ วกับเรือ่ ง สนาม
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
ของแรง
สนามแม่เหล็กเป็นปริมาณเวกเตอร์ โดยสนามแม่เหล็กโดยรอบแท่งแม่เหล็กจะมีทศิ พุง่ ออกจากขัว้ แม่เหล็กเหนือ
เข้าหาขั้วแม่เหล็กใต้ ส่วนสนามแม่เหล็กภายในแท่งแม่เหล็กจะมีทิศพุ่งจากขั้วแม่เหล็กใต้ไปหาขั้วแม่เหล็กเหนือ
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
Topic Question 1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
1. แรงที่กระท�าต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าอันเนื่องจากสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ
2. หากโยนลูกบอลลงในน�้า เวลาต่อมาลูกบอลลอยเหนือผิวน�้า มีแรงใดบ้างที่มากระท�ากับลูกบอล อธิบายพร้อม นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
เขียนแผนภาพประกอบ 2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรมสนามโนม
3. คนทีถ่ อื เข็มทิศไว้ในมือมีแรงใดมากระท�าต่อเข็มทิศบ้าง จงอธิบายพร้อมระบุทศิ ทางของแรงทีม่ ากระท�าต่อเข็มทิศ ถวง สนามไฟฟา และสนามแมเหล็ก
4. จงบอกกิจกรรมหรือสิ่งที่พบในชีวิตประจ�าวันที่เกี่ยวข้องกับแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วง มาอย่างละ
2 กิจกรรม 3. ครูตรวจสอบผลการทําใบงาน เรือ่ ง สนามของ
แรง
4. ครูตรวจ Topic Question เรื่อง สนามของแรง
ในสมุดประจําตัวนักเรียน
แรงและการเคลื่อนที่ 31
5. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง สนามของแรง
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2

แนวตอบ Topic Question แนวทางการวัดและประเมินผล


1. ไมแตกตางกัน คือ มีแรงดึงดูด ซึง่ เกิดจากสนามไฟฟาทีเ่ กิดจากประจุ
ครูวดั และประเมินผลความเขาใจในเนือ้ หา เรือ่ ง สนามของแรง ไดจากการ
ตางชนิด หรือสนามแมเหล็กทีเ่ กิดจากแมเหล็กขัว้ ตางกัน และแรงผลัก
สังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติกิจกรรม สนามโนมถวง สนามไฟฟา และสนาม
ซึ่งเกิดจากสนามไฟฟาที่เกิดจากประจุชนิดเดียวกัน หรือเกิดจาก
แมเหล็ก โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการปฏิบัติ
แมเหล็กขั้วเหมือนกัน
กิจกรรม ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 4
2. มีแรงพยุง (FB ) ในทิศขึ้น และนํ้าหนักของลูกบอลในทิศลง
3. มีแรงโนมถวงและแรงแมเหล็ก โดยแรงโนมถวงจะมีทิศพุงเขาสู แบบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

ศูนยกลางของโลก และแรงแมเหล็กของเข็มทิศจะมีทิศพุงออกจาก
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม

ทิศเหนือของเข็มทิศเขาสูขั้วใตของโลก
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม
รวม

ลงชื่อ ….................................................... ผู้ประเมิน


................./................../..................

4. แรงแมเหล็ก เชน เข็มทิศ รถไฟฟาเคลื่อนที่บนรางที่มีสนามแมเหล็ก ประเด็นที่ประเมิน

1. การปฏิบัติ
4
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม

3
ระดับคะแนน

ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน
2
ต้องให้ความช่วยเหลือ
1
ต้องให้ความช่วยเหลือ

ไฟฟา
กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา

แรงไฟฟา เชน เตารีดไฟฟา หมอหุงขาว


ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ

แรงโนมถวง เชน การหลนของผลไมจากตน กอนหินตกจากอากาศ


และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล
กิจกรรม ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน ทากิจกรรมยังไม่เป็น กิจกรรม การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง

T35
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครู เ ตรี ย มอุ ป กรณ ส าธิ ต การทดลอง เช น Understanding Check
รถทดลอง ลูกเทนนิส จากนั้นครูสุมนักเรียน พิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึก
1 คน โดยครูใหนักเรียนสาธิตผลักรถทดลอง ถูก/ผิด

ให เ คลื่ อ นที่ ใ นแนวตรงบนโต ะ และปล อ ย 1. ระยะทาง คือ ระยะที่วัตถุเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง


ลู ก เทนนิ ส ให ต กลงสู  พื้ น จากนั้ น นั ก เรี ย น 2. การกระจัดเป็นปริมาณสเกลาร์มีทั้งขนาดและทิศทาง

มุ ด
แต ล ะคนสั ง เกตลั ก ษณะการเคลื่ อ นที่ ข อง 3. ก้อนหินที่ตกจากหน้าผามีแรงโน้มถ่วงมากระท�า ท�าให้ก้อนหินเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงตัว

นส
งใ
รถทดลองและลูกเทนนิส


ทึ ก
4. อัตราเร็วและความเร็วของวัตถุเกิดขึ้นเนื่องจากมีแรงมากระท�ากับวัตถุเสมอ

บั น
2. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
5. ปริมาณเวกเตอร์บอกเพียงขนาด แต่ไม่บอกทิศทาง
ดังนี้
• รถทดลองและลูกเทนนิสมีแนวการเคลือ่ นที่ Prior
Knowledge 2 การเคลื่อนที่
อยางไร
(แนวตอบ เคลื่อนที่เปนเสนตรง) ควำมเร็วเกีย่ วข้องกับชีวติ ในชีวิตประจ�าวัน ถ้าเรามองไปรอบ ๆ ตัวจะพบเห็นสิ่งต่าง ๆ
ประจ�ำวันของเรำอยำงไร มีการเปลี่ยนต�าแหน่งอยู่มากมาย เราเรียกสิ่งที่ก�าลังเปลี่ยนต�าแหน่ง
• รถทดลองและลู ก เทนนิ ส มี ลั ก ษณะการ
นั้นว่า การเคลื่อนที่ เช่น คนเดิน รถแล่น ซึ่งการเปลี่ยนต�าแหน่งหรือ
เคลื่อนที่เหมือนหรือแตกตางกัน อยางไร การเคลื่อนที่ของวัตถุจะเกี่ยวข้องกับปริมาณต่าง ๆ เช่น ระยะทาง
(แนวตอบ รถทดลองและลูกเทนนิสเคลื่อนที่ การกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว โดยถ้าปริมาณใดปริมาณหนึ่งมีการ
เปนเสนตรงเหมือนกัน แตตางกันตรงที่รถ เปลี่ยนแปลงก็จะมีผลให้ปริมาณอื่นเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ทดลองจะเคลือ่ นทีเ่ ปนเสนตรงในแนวระดับ
การเคลือ่ นที่ เป็นการเปลีย่ นต�าแหน่งของวัตถุในช่วงเวลาหนึง่ เทียบกับต�าแหน่งอ้างอิง โดยมีทงั้ ปริมาณสเกลาร์
สวนลูกเทนนิสจะเคลื่อนที่เปนเสนตรงใน และปริมาณเวกเตอร์มาเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่
แนวดิ่ง) ปริมาณสเกลาร์ (scalar quantity) คือ ปริมาณทางกายภาพที่มีขนาดเพียงอย่างเดียว ไม่มีทิศทาง เช่น เวลา
3. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอน ระยะทาง อัตราเร็ว ในการหาผลลัพธ์ของปริมาณสเกลาร์ท�าได้โดยอาศัยหลักทางพีชคณิต ได้แก่ การบวก ลบ คูณ
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ และหาร
Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น ปริมาณเวกเตอร์ (vector quantity) คือ ปริมาณ
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุด ทางกายภาพที่มีทั้งขนาดและทิศทาง เช่น การกระจัด
ความเร็ว แรง โมเมนตัม ในการหาผลลัพธ์ของปริมาณ
ประจําตัวนักเรียน เวกเตอร์ต้องอาศัยวิธีการทางเวกเตอร์ โดยต้องหา
ผลลัพธ์ทั้งขนาดและทิศทาง
แนวตอบ Understanding Check
1. ถูก 2. ผิด 3. ถูก 4. ถูก 5. ผิด ปริมาณสเกลาร์
แตกต่างกับปริมาณ
เวกเตอร์อย่างไร
แนวตอบ Prior Knowledge ภาพที่ 4.47 อัตราเร็วในการวิ่งของรถจักรยานยนต์เป็นปริมาณสเกลาร์
ที่มา : คลังภาพ อจท.
อัตราเร็วหรือความเร็วในการวิ่ง การกําหนด
ความเร็วรถยนต การกําหนดอัตราเร็วในการทํางาน 32
ของเครื่องจักรในอุตสาหกรรม

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


กอนเขาสูบทเรียน เรื่อง การเคลื่อนที่ ครูอาจใหนักเรียนยกตัวอยางการ ขอใดตอไปนี้เปนปริมาณเวกเตอรทั้งหมด
เคลื่อนที่แบบตางๆ ในชีวิตประจําวัน จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันอภิปราย 1. เวลา แรง
รูปแบบการเคลื่อนที่ในชีวิตประจําวัน ดังนี้ 2. ความเร็ว อัตราเร็ว
1. การเคลื่อนที่แบบวงกลม เปนการเคลื่อนที่ของวัตถุเปนวงกลมรอบ 3. ความเร็ว โมเมนตัม
ศู น ย ก ลาง เกิ ด ขึ้ น เนื่ อ งจากวั ต ถุ ที่ กํ า ลั ง เคลื่ อ นที่ จ ะเดิ น ทางเป น 4. การกระจัด ระยะทาง
เสนตรงเสมอ แตขณะนั้นมีแรงดึงวัตถุเขาสูศูนยกลางของวงกลม (วิเคราะหคําตอบ ปริมาณเวกเตอร เปนปริมาณทางกายภาพ
เรี ย กว า แรงเข า สู  ศู น ย ก ลางการเคลื่ อ นที่ จึ ง ทํ า ให วั ต ถุ เ คลื่ อ นที่ ที่มีทั้งขนาดและทิศทาง เชน การกระจัด ความเร็ว แรง โมเมนตัม
เปนวงกลมรอบศูนยกลาง เชน การโคจรของดวงจันทรรอบโลก ดังนั้น ตอบขอ 3.)
2. การเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวราบ เปนการเคลื่อนที่ของวัตถุขนานกับ
พื้นโลก เชน รถยนตที่กําลังแลนอยูบนถนน
3. การเคลื่อนที่แนววิถีโคง เปนการเคลื่อนที่ผสมระหวางการเคลื่อนที่
ในแนวดิ่งและในแนวราบ

T36
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
การศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุจําเปนตองรูตําแหนงของวัตถุ ณ เวลาตาง ๆ ซึ่งการบอกตําแหนงของวัตถุ 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
ตองอางอิงจุดใดจุดหนึ่ง เรียกจุดนี้วา จุดอางอิง (reference point) ดังตัวอยาง
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ใหจุด 0 ที่เสาธงชาติเปนจุดอางอิง เมื่อเวลา 8.15 น. นองจินยืนอยูหางจากจุด 0 ไปทางทิศตะวันออก
เปนระยะทาง 15 เมตร ตอมาเมื่อเวลา 9.30 น. นองจินยืนอยูที่ตําแหนงหางจากจุด 0 ไปทางทิศตะวันออกเปน
2. นักเรียนแตละคนศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับ
ระยะทาง 45 เมตร ดังภาพที่ 4.48 เรื่อง ปริมาณทางฟสิกส จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนั้นเขียนสรุป
ทิศเหนือ
ความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุด
ทิศตะวันตก ทิศตะวันออก
ประจําตัวนักเรียน
3. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
ทิศใต โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง
(8.15 น.) (9.30 น.) ความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ ดังนี้
0 10 20 30 40 50 60
ระยะทาง (เมตร) • ปริมาณทางฟสิกสแบงออกเปนกี่ประเภท
ภาพที่ 4.48 การบอกตําแหนงของวัตถุเทียบกับจุดอางอิงในแนวระดับ อะไรบาง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
(แนวตอบ 2 ประเภท คือ ปริมาณสเกลาร
และปริมาณเวกเตอร)
จากตัวอยางเปนการบอกตําแหนงของวัตถุเทียบกับจุดอางอิงในแนวระดับ หรือเรียกวา แกน X ซึ่งนอกจาก
การบอกตําแหนงของวัตถุเทียบกับจุดอางอิงเปนเลขจํานวนบวกแลว ยังสามารถบอกเปนเลขจํานวนลบในทิศทาง • ปริมาณสเกลารแตกตางกับปริมาณเวกเตอร
ตรงขาม และในทํานองเดียวกันสามารถบอกตําแหนงของวัตถุเทียบกับจุดอางอิงในแนวดิ่งได ซึ่งเรียกวา แกน Y อยางไร
ดังตัวอยาง (แนวตอบ ปริมาณเวกเตอรมีทั้งขนาดและ
ในชุมชนแหงหนึ่งประกอบดวยสถานที่ตาง ๆ โดยใหจุด 0 ที่โรงพยาบาลเปนจุดอางอิง มีสถานีตํารวจอยูหาง ทิศทาง แตปริมาณสเกลารมีเพียงขนาด
จากโรงพยาบาลไปทางทิศเหนือ 4 กิโลเมตร สถานีดับเพลิงอยูหางจากสถานีตํารวจไปทางทิศตะวันตก 2 กิโลเมตร แตไมมีทิศทาง)
และโรงเรียนอยูหางจากโรงพยาบาลไปทางทิศใต 4 กิโลเมตร
อธิบายความรู้
กําหนดให
จุด 0 แทน โรงพยาบาล แกน Y ระยะทาง (กิโลเมตร) ทิศเหนือ ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจเกี่ยวกับ
จุด A แทน สถานีตํารวจ จุดอางอิง หรือตําแหนงอางอิงวา “การเคลื่อนที่
จุด B แทน สถานีดับเพลิง B 4 A
จุด C แทน โรงเรียน 2
ทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ของวัตถุจําเปนตองบอกตําแหนงของวัตถุเพื่อ
0 แกน X ระยะทาง ระบุ ทิ ศ ทางการเคลื่ อ นที่ ข องวั ต ถุ ซึ่ ง การระบุ
-4 -2 2 4 (กิโลเมตร) ทิศใต
-2 การเคลื่ อ นที่ ข องวั ต ถุ นั้ น จํ า เป น ต อ งเที ย บกั บ
-4 C
จุดอางอิงในแนวระดับ (แกน X) และแนวดิ่ง
(แกน Y) โดยการบอกตํ า แหน ง อาจบอกเป น
ภาพที่ 4.49 การบอกตําแหนงของวัตถุเทียบกับจุดอางอิงในแนวระดับ
ที่มา : คลังภาพ อจท. เลขจํานวนบวก หรือบอกเปนจํานวนลบเมื่อวัตถุ
เคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงขาม”
แรงและการเคลื่อนที่ 33

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


ขอใดเปนปริมาณสเกลาร ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ จากภาพยนตรสารคดี
1. แรง สั้น Twig เรื่อง การเคลื่อนที่ (https://www.twig-aksorn.com/film/glossary/
2. ความเรง motion-7067/)
3. ระยะทาง
4. การกระจัด
(วิเคราะหคําตอบ ปริมาณสเกลาร เปนปริมาณทางกายภาพที่
มีเพียงขนาดอยางเดียว เชน เวลา ระยะทาง อัตราเร็ว ปริมาณ
เวกเตอร เปนปริมาณทางกายภาพที่มีทั้งขนาดและทิศทาง เชน
แรง ความเรง การกระจัด โมเมนตัม ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T37
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียนตามความ 2.1 ระยะทางและการกระจัด
สมัครใจ จากนั้นใหนักเรียนแตละคูรวมกัน จากภาพที
1 ่ 4.50 ความยาวตามเส้นทาง เรียกว่า
ระยะทาง (distance) เป็นปริมาณสเกลาร์
2 เขียนแทน
ศึกษาคนควาขอมูลเกีย่ วกับเรือ่ ง ระยะทางและ ด้วยสัญลักษณ์ s ส่วนการกระจัด (displacement) เป็น
การกระจั ด จากหนั ง สื อ เรี ย นวิ ท ยาศาสตร ปริมาณเวกเตอร์ เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ s โดยการ
ม.2 เลม 2 หรือแหลงการเรียนรูตางๆ เชน กระจัดมีทิศชี้จากต�าแหน่งเริ่มต้นไปยังต�าแหน่งสุดท้าย การกระจัด

อินเทอรเน็ต และมีขนาดเท่ากับระยะในแนวเส้นตรงทีส่ นั้ ทีส่ ดุ ระหว่าง


2. นั ก เรี ย นแต ล ะคนวาดรู ป เส น ทางจากบ า น ต�าแหน่งเริ่มต้นและต�าแหน่งสุดท้าย ระยะทาง
มาโรงเรี ย น โดยระบุ ตํ า แหน ง เริ่ ม ต น และ
ตําแหนงสุดทาย รวมทั้งระยะทางของการ ระยะทางกับการกระจัด
เดินทางจากบานมาโรงเรียนทัง้ หมดลงในสมุด เหมือนหรือแตกต่างกัน
อย่างไร
ประจําตัวนักเรียน
ภาพที่ 4.50 ระยะทางและการกระจัดจากกรุงเทพฯ ไประนอง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
อธิบายความรู้
1. ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมานําเสนอรูป ตัวอยางที่ 4.14 รถยนต์คันหนึ่งเคลื่อนที่จากต�าแหน่ง A ไปยัง B และ C ตามล�าดับ ดังภาพที่ 4.51 จงหา
เสนทางจากบานมาโรงเรียนของตนเอง แลว ระยะทางและการกระจัดของรถยนต์ที่เคลื่อนที่จากต�าแหน่ง A ไปยัง B ต�าแหน่ง B ไปยัง C
อธิ บ ายตํ า แหน ง เริ่ ม ต น ตํ า แหน ง สุ ด ท า ย และต�าแหน่ง A ไปยัง C ตามล�าดับ
และระยะทางของการเดิ น ทางจากบ า น C
มาโรงเรียนหนาชั้นเรียน ในระหวางที่นักเรียน 100 เมตร
90 เมตร 100 เมตร
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม A
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง 60 เมตร B
2. นักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางการคํานวณ
โจทยปญหาจากตัวอยางที่ 4.14 จากหนังสือ
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนั้นให 150 เมตร
นั ก เรี ย นแต ล ะคนคํ า นวณหาระยะทางและ
ภาพที่ 4.51 เส้นทางที่รถยนต์เคลื่อนที่จากต�าแหน่ง A ไปยัง C
การกระจัด โดยครูเขียนโจทยเพิ่มใหนักเรียน ที่มา : คลังภาพ อจท.
ดูบนกระดาน ดังนี้
• ณดาเดินทางออกจากบานไปทางทิศตะวัน ดังนั้น รถยนต์เคลื่อนที่จากต�าแหน่ง A ไปยัง B เป็นระยะทางเท่ากับ 150 เมตร และจากต�าแหน่ง B ไปยัง C
เป็นระยะทางเท่ากับ 100 เมตร ดังนั้น วัตถุจะเคลื่อนที่จากต�าแหน่ง A ไปยัง C เป็นระยะทางเท่ากับ
ออก 3 เมตร และเดินไปทางทิศใต 4 เมตร 250 เมตร และการกระจัดของรถยนต์จากต�าแหน่ง A ไปยัง B มีขนาดเท่ากับ 60 เมตร และจาก
จึงจะถึงโรงพยาบาล จงหาระยะทางและ ต�าแหน่ง B ไปยัง C มีขนาดเท่ากับ 90 เมตร และจากต�าแหน่ง A ไปยัง C มีขนาดเท่ากับ 100 เมตร
การกระจัดที่ณดาเดินทางออกจากบานไป
ยังโรงเรียน 34
(แนวตอบ ระยะทาง คือ 7 เมตร และการ
กระจัด คือ 5 เมตร)

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 ระยะทาง คื อ ความยาวตามเส น ทางที่ วั ต ถุ เ คลื่ อ นที่ ไ ปได ทั้ ง หมด นิดหนอยเดินไปทางซาย 2 เมตร และเดินวนกลับไปทางขวา
เปนปริมาณสเกลารที่มีเพียงขนาด ไมมีทิศทาง มีหนวยเปนเมตร 5 เมตร ระยะทางและการกระจัดในการเดินของนิดหนอยมีขนาด
2 การกระจัด คือ เสนตรงที่เชื่อมโยงระหวางตําแหนงเริ่มตนและตําแหนง เทาใด ตามลําดับ
สุดทายของการเคลื่อนที่ เปนปริมาณเวกเตอรที่มีทั้งขนาดและทิศทาง 1. 3 และ 2 เมตร
2. 3 และ 7 เมตร
3. 7 และ 3 เมตร
4. 7 และ 2 เมตร
(วิเคราะหคําตอบ ระยะทางมีคาเทากับ 5 + 2 = 7 และการ
กระจัดมีคาเทากับ 5 - 2 = 3 เมตร นิดหนอยเดินเปนระยะทาง
7 เมตร และการกระจัด 3 เมตร ไปทางขวา ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T38
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2.2 อัตราเร็ว 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน ตามความ
อัตราเร็ว (speed) คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดในหนึ่งหนวยเวลา หรืออัตราการเปลี่ยนแปลงระยะทางโดย สมั ค รใจ จากนั้ น ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม
ไมกําหนดทิศทาง เปนปริมาณสเกลาร เขียนแทนดวยสัญลักษณ v มีหนวยเปน เมตรตอวินาที (m/s)
ร ว มกั น ศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
v คือ อัตราเร็ว มีหนวยเปน เมตรตอวินาที (m/s) อัตราเร็ว อัตราเร็วเฉลี่ย อัตราเร็วขณะหนึ่ง
v = st s คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได มีหนวยเปน เมตร (m) และวิธีการคํานวณหาอัตราเร็ว จากตัวอยาง
t คือ เวลา มีหนวยเปน วินาที (s) ที่ 4.15-4.17 จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร
ม.2 เลม 2 หรือจากใบความรู เรื่อง อัตราเร็ว
กรณีที่วัตถุมีการเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วที่ไมเปลี่ยนแปลง แสดงวาวัตถุนั้นมีอัตราเร็วคงตัว แตในบางกรณี และความเร็ว
วัตถุอาจเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วที่ไมคงตัวเสมอไป เชน เมื่อพิจารณาการเคลื่อนที่ของรถโดยสารประจําทาง จะเห็น 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
ไดวา รถโดยสารเคลื่อนที่ไปดวยอัตราเร็วที่ไมเทากันตลอดระยะทาง โดยที่บางชวงอาจมีการเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็ว
ศึกษา จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมเขียนสรุป
ที่มากขึ้น และบางชวงอาจเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วที่ลดลงเพื่อจอดรับผูโดยสารระหวางทาง เมื่อคิดอัตราเร็วโดยรวม
ตลอดระยะทางจะคิดเปน อัตราเร็วเฉลี่ย (average speed) ซึ่งเทากับอัตราสวนระหวางระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได ความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุด
กับชวงเวลาที่ใชในการเคลื่อนที่ ดังความสัมพันธ ประจําตัวนักเรียน
3. ครู ถ ามคํ า ถามท า ทายการคิ ด ขั้ น สู ง จาก
อัตราเร็วเฉลี่ย = ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ชวงเวลาที่ใช

ในชีวิตประจําวันแมวาอัตราเร็วเฉลี่ยจะมีประโยชนในการใชเปรียบเทียบวาสิ่งใดเคลื่อนที่ไดเร็วหรือชากวา
กัน เชน อัตราเร็วเฉลี่ยของรถยนตสีแดงและสีขาวที่วิ่งในระยะทาง 1,000 เมตร เทากับ 20 และ 25 เมตรตอวินาที
ตามลําดับ เราจะไมสามารถบอกไดวา รถยนตสีขาววิ่งเร็วกวาสีแดงทุกขณะตลอดเสนทางทั้งหมด ในบางขณะ
รถยนตสีแดงอาจวิ่งเร็วกวารถยนตสีขาวก็ได เพียงแตเมื่อพิจารณาตลอดเสนทาง 1,000 เมตร รถยนตสีขาว
ใชเวลานอยกวา จึงมีอัตราเร็วเฉลี่ยมากกวารถยนตสีแดง ในทางฟสิกสจึงมีปริมาณที่บอกถึงอัตราเร็วของวัตถุใน
แตละขณะหรือ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง คือ อัตราเร็วขณะหนึ่ง (instantaneous speed)
อัตราเร็วขณะหนึง่ เปนปริมาณทีพ่ จิ ารณาอัตราเร็วเฉลีย่ ในชวงเวลาทีส่ นั้ มาก ๆ จนเกือบเปนศูนย เมือ่ ตองการ
กลาวถึงอัตราเร็วขณะหนึง่ สามารถกลาวเพียงแคอตั ราเร็ว โดยไมมคี าํ วา ขณะหนึง่ ก็เขาใจไดวา เปนอัตราเร็วขณะหนึง่
แตหากตองการกลาวถึงอัตราเร็วเฉลี่ย เพื่อใหเกิดความชัดเจนควรจะตองระบุหรือบอกใหครบถวน การวัดอัตราเร็ว
ขณะหนึ่งที่พบเห็นไดในชีวิตประจําวัน คือ มาตรวัดอัตราเร็วของยานพาหนะตาง ๆ

HOTS
(คําถามทาทายการคิดขั้นสูง)
เมื่อเวลา 09.00 น. แมนออกเดินดวยอัตราเร็ว 3 กิโลเมตรตอชั่วโมง และอีก 2 ชั่วโมงตอมา ใหมเดิน
ตามมาดวยอัตราเร็ว 5 กิโลเมตรตอชั่วโมง ที่เวลาเทาใด แมนและใหมจึงจะเดินทันกันพอดี

แรงและการเคลื่อนที่ 35 แนวตอบ H.O.T.S.


แมนและใหมจะเดินทันกันที่เวลา 14.00 น.

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


นักเรียนคนหนึ่งเดินจากจุด A ไป D ใชเวลา 2 วินาที อัตราเร็ว ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราเร็ว จากภาพยนตรสารคดีสั้น
เฉลี่ยในการเดินของนักเรียนคนนี้มีคาเทาใด Twig เรื่อง อัตราเร็ว ความเร็ว ความเรง (https://www.twig-aksorn.com/
A B C D film/speed-velocity-acceleration-8287/)
4m 2m 5m

1. 2.5 เมตรตอวินาที 2. 3.5 เมตรตอวินาที


3. 4.5 เมตรตอวินาที 4. 5.5 เมตรตอวินาที
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ v = st
= 4 + 22 +s 5 m
= 5.5 m/s
ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T39
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอผลการศึกษา 10.30 น. 120 km/h 11.30 น. 140 km/h
หนาชั้นเรียน โดยสุมออกมาเพียง 4 กลุม
ซึ่งครูเปนคนเลือกวา จะใหกลุมไหนนําเสนอ
เรื่องอะไร ตามหัวขอเรื่องดังตอไปนี้
• อัตราเร็ว (speed)
• อัตราเร็วเฉลี่ย (average speed)
• อัตราเร็วขณะหนึง่ (instantaneous speed)
• วิธีการคํานวณหาอัตราเร็วจากตัวอยางที่ A B
4.15-4.17
2. ขณะที่ นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม นํ า เสนอ ครู อ าจ
เสนอแนะหรือแทรกขอมูลเพิม่ เติมในเรือ่ งนัน้ ๆ ภาพที่ 4.52 อัตราเร็วของรถยนต์ที่เคลื่อนที่จากจุด A ไปยังจุด B ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ใหนักเรียนทุกคนไดมีความเขาใจที่ถูกตอง
มากยิ่งขึ้น พิจารณาภาพที่ 4.52 ที่ต�าแหน่ง A รถยนต์สีแดงก�าลังเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วเท่ากับ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
และเมือ่ เวลาผ่านไปรถยนต์สแี ดงคันนีเ้ คลือ่ นทีไ่ ปถึงต�าแหน่ง B โดยทีต่ า� แหน่ง B มาตรวัดอัตราเร็วบนหน้าปัดแสดง
อัตราเร็วเท่ากับ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กล่าวได้ว่า อัตราเร็วของรถยนต์สีแดง ณ ต�าแหน่งต่าง ๆ เป็นอัตราเร็ว
ขณะหนึ่ง ซึ่งเป็นอัตราเร็วที่ปรากฏบนมาตรวัดอัตราเร็วในขณะนั้น และเมื่อก�าหนดให้ระยะทางจากต�าแหน่ง A ไป
ยังต�าแหน่ง B ที่รถยนต์สีแดงเคลื่อนที่ได้ในช่วงเวลา 10.30-11.30 น. (1 ชั่วโมง) เท่ากับ 90 กิโลเมตร แสดงว่า
รถยนต์สีแดงนี้เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วที่ไม่สม�่าเสมอตลอดระยะทางทั้งหมด ดังนั้น สามารถบอกได้ว่าอัตราเร็วเฉลี่ย
ของการเคลื่อนที่ของรถยนต์คันนี้เท่ากับ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ตัวอยางที่ 4.15 เด็กชายสุรพลวิ่งเป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเป็นระยะ 100 เมตร ใช้เวลา 30 วินาที
จากนั้นวิ่งกลับมาทางทิศตะวันตกในเส้นทางเดิมอีก 40 เมตร ใช้เวลา 10 วินาที จงหา
อัตราเร็วเฉลี่ยของเด็กชายสุรพล
วิธีท�า ระยะทางทั้งหมดที่เด็กชายสุรพลวิ่งได้เท่ากับ 100 m + 40 m = 140 m
ช่วงเวลาทั้งหมดที่ใช้เท่ากับ 30 s + 10 s = 40 s
หาอัตราเร็วเฉลี่ยได้จากสมการ
อัตราเร็วเฉลี่ย = ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้
ช่วงเวลาที่ใช้
อัตราเร็วเฉลี่ย = 140 m
40 s
อัตราเร็วเฉลี่ย = 3.5 m/s
ดังนั้น อัตราเร็วเฉลี่ยของเด็กชายสุรพลเท่ากับ 3.5 เมตรต่อวินาที

36

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูอาจใหนักเรียนทํากิจกรรมประกอบการเรียนการสอน โดยใหนักเรียน ประเสริฐเดินไปทางทิศเหนือ 0.5 เมตร และเดินตอไปทางทิศ
สังเกตการเคลื่อนที่ของวัตถุ วัดระยะทาง และเวลาที่ใชในการเคลื่อนที่ของ ตะวันออก 1 เมตร ใชเวลาทั้งหมด 3 วินาที อัตราเร็วเฉลี่ยในการ
วัตถุ บันทึกผล และคํานวณอัตราสวนระหวางระยะทางกับเวลา จากนั้นครูและ เดินของประเสริฐมีคาเทาใด
นักเรียนจึงรวมกันอภิปรายกิจกรรมเพือ่ ใหไดขอ สรุปวา อัตราสวนของระยะทาง 1. 0.1 เมตรตอวินาที
(s) ตอเวลา (t) เรียกวา อัตราเร็ว (v) ซึง่ เปนปริมาณสเกลาร และมีความสัมพันธ 2. 0.5 เมตรตอวินาที
ตามสมการ v = st มีหนวยเปนเมตรตอวินาที 3. 0.7 เมตรตอวินาที
4. 0.9 เมตรตอวินาที
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ v = st
= 0.5 3+ s1 m
= 0.5 m/s
อัตราเร็วเฉลีย่ ในการเดินของประเสริฐมีคา เทากับ 0.5 เมตรตอ
วินาที ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T40
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ตัวอย่างที่ 4.16 ในการแขงขันปนจักรยานระยะทาง 20 กิโลเมตร เมื่อเวลาผานไปครึ่งชั่วโมง นักปนจักรยาน 3. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
ปนจักรยานไปไดระยะทางที่แตกตางกัน ดังภาพที่ 4.53 นักปนจักรยานหมายเลข 1 - 4 โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ร ว มกั น อภิ ป ราย
ปนจักรยานดวยอัตราเร็วเฉลี่ยเทาใด ตามลําดับ
แสดงความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบวา
5 กิโลเมตร 5.5 กิโลเมตร 6.5 กิโลเมตร
“เปนไปไดหรือไมวา รถยนตคนั หนึง่ ทีเ่ คลือ่ นที่
1 2 5.8 กิโลเมตร 4
ดวยอัตราเร็วเฉลี่ยเทากับ 10 เมตรตอวินาที
3
จะมีอัตราเร็วขณะหนึ่งเทากับ 10 เมตรตอ
วินาที และคาทั้งสองแตกตางกันอยางไร”
ภาพที่ 4.53 การแขงขันปนจักรยานระยะทาง 20 กิโลเมตร (แนวตอบ เปนไปได เนื่องจากอัตราเร็วเฉลี่ย
ที่มา : คลังภาพ อจท.
คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดทั้งหมดตอชวง
วิธีทํา หมายเลข 1 : = 305,000
v = st m = 2.78 m/s
× 60 s เวลาทั้งหมด สวนอัตราเร็วขณะใดขณะหนึ่ง
หมายเลข 2 : = 305,500
v = st m = 3.06 m/s คือ ระยะทางทีว่ ตั ถุเคลือ่ นทีไ่ ด ณ ชวงเวลานัน้
× 60 s
m = 3.22 m/s ดังนั้น อัตราเร็ว ณ ชวงเวลาหนึ่งอาจเทากับ
หมายเลข 3 : = 305,800
v = st × 60 s อัตราเร็วเฉลี่ยที่วัตถุเคลื่อนที่)
หมายเลข 4 : = 306,500
v = st m = 3.61 m/s
× 60 s
ดังนั้น นักปน จักรยานหมายเลข 1 2 3 และ 4 มีอตั ราเร็วเฉลีย่ เทากับ 2.78 เมตรตอวินาที 3.06 เมตรตอวินาที
3.22 เมตรตอวินาที และ 3.61 เมตรตอวินาที ตามลําดับ

ตัวอย่างที่ 4.17 รถไฟฟาขบวนหนึ่งออกจากสถานีตนทางเมื่อเวลา 11.00 น. เขาเทียบทาสถานีถัดไป ณ เวลา


11.05 น. ซึ่งรถไฟฟาขบวนนี้วิ่งดวยอัตราเร็วเฉลี่ย 50 เมตรตอวินาที ระยะทางระหวางสถานี
ตนทางกับสถานีถัดไปเปนเทาใด

สถานีตนทาง 11.00 น. สถานีถัดไป 11.05 น.


ภาพที่ 4.54 รถไฟฟาเคลื่อนที่ออกจากสถานีตนทางไปยังสถานีถัดไป
ที่มา : คลังภาพ อจท.
วิธีทํา จากสมการ v = st
50 m/s = 5 × s60 s
s = 50 m/s × 5 × 60 s
s = 15,000 m
ดังนั้น สถานีถัดไปอยูหางจากสถานีตนทาง 15,000 เมตร หรือ 15 กิโลเมตร
แรงและการเคลื่อนที่ 37

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


ยีนขับรถยนตจากบริษทั แหงหนึง่ ไปเทีย่ วสวนสัตว ดวยอัตราเร็ว ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเร็ว จากภาพยนตรสารคดีสั้น
เฉลี่ย 80 กิโลเมตรตอชั่วโมง เมื่อขับรถไปได 2 ชั่วโมง ยีนจอดรถ Twig เรื่อง อัตราเร็ว ความเร็ว ความเรง (https://www.twig-aksorn.com/
ที่ปมนํ้ามันแหงหนึ่ง อยากทราบวา ปมนํ้ามันแหงนี้อยูหางจาก film/speed-velocity-acceleration-8287/)
บริษัทกี่กิโลเมตร
1. 120 กิโลเมตร 2. 140 กิโลเมตร
3. 160 กิโลเมตร 4. 180 กิโลเมตร
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ v = st
s = vt
= 80 × 2
= 160 km
ปมนํ้ามันแหงนี้อยูหางจากบริษัท 160 กิโลเมตร ดังนั้น
ตอบขอ 3.)

T41
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน ตามความ 2.3 ความเร็ว
สมัครใจ จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมรวมกัน ความเร็ว (velocity) คือ การกระจัดที่เปลี่ยนแปลงในหนึ่งหน่วยเวลา เป็นปริมาณเวกเตอร์ เขียนแทนด้วย
สัญลักษณ์ v ซึง่ ความเร็วมีทศิ ทางเดียวกับทิศของการกระจัด มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที (m/s) ซึง่ เขียนสมการได้ ดังนี้
ศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับเรื่อง ความเร็ว
ความเร็ ว เฉลี่ ย และวิ ธีก ารคํ า นวณหา v คือ ความเร็ว มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที (m/s)
v = st s คือ การกระจัด มีหน่วยเป็น เมตร (m)
ความเร็ว จากตัวอยางที่ 4.18 จากหนังสือเรียน
t คือ เวลา มีหน่วยเป็น วินาที (s)
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หรือจากใบความรู 4 km 10.30 น.
เรื่อง อัตราเร็วและความเร็ว ทิศเหนือ B A
2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
ศึกษา จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมเขียนสรุป ทิศตะวันตก ทิศตะวันออก
ความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุด B A
ประจําตัวนักเรียน ทิศใต้
6 km s
6 km
อธิบายความรู้
1. ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอผลการศึกษา 11.30 น.
D C D C
หนาชั้นเรียน โดยสุมออกมาเพียง 3 กลุม 8 km
ซึ่งครูเปนคนเลือกวา จะใหกลุมไหนนําเสนอ s2 = a2 + b2
4 km s = a2 + b2
เรื่องอะไร ตามหัวขอเรื่องดังตอไปนี้
• ความเร็ว (velocity) s = 62 + 82
ภาพที่ 4.55 ความเร็วของรถบรรทุกที่เคลื่อนที่จากจุด A ไปยังจุด D
s = 36 + 64
• ความเร็วเฉลี่ย (average velocity) ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ที่มา : คลังภาพ อจท. s = 100
• วิธีการคํานวณหาความเร็วจากตัวอยางที่
s = 10 กิโลเมตร
4.18
2. ขณะที่ นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม นํ า เสนอ ครู อ าจ จากภาพที่ 4.55 รถบรรทุกคันหนึ่งแล่นไปทางทิศตะวันตกจากจุด
เสนอแนะหรือแทรกขอมูลเพิม่ เติมในเรือ่ งนัน้ ๆ A ไปจุด B เป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร และแล่นไปทางทิศใต้จากจุด B ไป
ใหนักเรียนทุกคนไดมีความเขาใจที่ถูกตอง จุด C เป็นระยะทาง 6 กิโลเมตร จากนั้นแล่นไปทางทิศตะวันตกจากจุด
C ไปจุด D เป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร ได้การกระจัดเท่ากับ 10 กิโลเมตร
มากยิ่งขึ้น ความเร็วกับอัตราเร็ว
โดยปกติแล้วความเร็วในการเคลื่อนที่วัตถุอาจมีการเปลี่ยนแปลงตลอด จะมีขนาดเท่ากันได้
เวลา จึงนิยมบอกความเร็วของวัตถุเป็น ความเร็วเฉลี่ย (average velocity) หรือไม่ เพราะเหตุใด
ซึ่งหาได้จากอัตราส่วนระหว่างการกระจัดกับช่วงเวลาที่ใช้ ดังนั้น รถบรรทุก
คันนีม้ คี วามเร็วเฉลีย่ เท่ากับ 10 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง หรือ 2.78 เมตรต่อวินาที
ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

38

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


นํ้าผึ้งเดินเร็วจากตําแหนง A B C D ใชเวลา 6 นาที ความเร็วในการเดินของนํ้าผึ้งมีคาเทาใด
ในหนวยเมตรตอวินาที
A 50 B 1. 12 เมตรตอวินาที
2. 13 เมตรตอวินาที
30
3. 23 เมตรตอวินาที
120
C 4. 32 เมตรตอวินาที
80 (วิเคราะหคําตอบ จากสมการ v = st
= 6120 m
× 60 s
D
= 13 m/s
ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T42
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู
ตัวอย่างที่ 4.18 ก�าหนดให้การเดินทางจากบ้านไปสนามฟุตบอลมี 2 เส้นทาง ดังภาพที่ 4.56 โดยทัง้ 2 เส้นทาง 3. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
ใช้เวลาเท่ากัน คือ 300 วินาที จงหาอัตราเร็วในการเดินทางด้วยรถยนต์ และความเร็วในการ โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ร ว มกั น อภิ ป ราย
เดินทางจากบ้านไปสนามฟุตบอล
แสดงความคิดเห็นเพือ่ หาคําตอบวา “ความเร็ว
เส้นทาง A 2,400 เมตร
N
กั บ อั ต ราเร็ ว จะมี ข นาดเท า กั น ได ห รื อ ไม
W E เพราะเหตุใด”
เส้นทาง B 600 เมตร
S (แนวตอบ เทากันได หากในหนึ่งหนวยเวลา
ระยะทางกับการกระจัดมีขนาดเทากัน)
ภาพที่ 4.56 เส้นทางจากบ้านไปสนามฟุตบอล
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ขยายความเขาใจ
วิธีทํา อัตราเร็วในการเดินทางด้วยรถยนต์ = ระยะทางทั้งหมด
เวลาทั้งหมด 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
= 300 sm
2,400
เรื่อง การเคลื่อนที่ของวัตถุ และใหความรู
= 8 m/s เพิ่ ม เติ ม จากคํ า ถามของนั ก เรี ย น โดยครู
ความเร็วในการเดินทางจากบ้านไปยังสนามฟุตบอล = การกระจัด ใช PowerPoint เรื่อง การเคลื่อนที่ของวัตถุ
เวลาทั้งหมด
= 600 m ในการอธิบายเพิ่มเติม
300 s
= 2 m/s 2. นักเรียนแตละคนทําใบงาน เรือ่ ง อัตราเร็วและ
ดังนั้น อัตราเร็วในการเดินทางด้วยรถยนต์มีค่าเท่ากับ 8 เมตรต่อวินาที และความเร็วในการเดินทางจากบ้าน ความเร็ว จากนั้นครูสุมนักเรียน 4 คน ออกมา
ไปยังสนามฟุตบอลมีค่าเท่ากับ 2 เมตรต่อวินาที ในทิศทางตะวันออก เฉลยใบงานหน า ชั้ น เรี ย น โดยให เ พื่ อ น
ในชั้นเรียนรวมกันพิจารณาวาคําตอบถูกตอง
Topic Question หรื อ ไม จากนั้ น ครู เ ฉลยคํ า ตอบที่ ถู ก ต อ ง
คําชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ ใหนักเรียน
1. อัตราเร็วกับความเร็วแตกต่างกันอย่างไร 3. นักเรียนทํา Topic Question เรือ่ ง การเคลือ่ นที่
2. ครูดาวเดินทางจากโรงเรียนไปโรงพยาบาลโดยผ่านตลาด ดังภาพที่ 4.57
โรงพยาบาล ตลาด ของวัตถุ จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2
จงหาระยะทางและการกระจัดของครูดาว เลม 2 ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
400 m
4. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง การ
lettuce

3. เด็กหญิง A วิง่ กลับบ้านจากโรงเรียนไปทางทิศตะวันออก 50 เมตร


20p lettuce
20p

และวิ่งวนกลับไปทางทิศตะวันตก 20 เมตร เพื่อแวะร้านไอศกรีม 300 m เคลือ่ นทีข่ องวัตถุ จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร


จากนัน้ วิง่ กลับไปทางทิศตะวันออกอีก 30 เมตร เด็กหญิง A ใช้ระยะ ม.2 เลม 2
เวลาเดินทางจากโรงเรียนถึงบ้าน 2 นาที จงหาความเร็วเฉลี่ย lettuce
20p

โรงเรียน
ในการวิ่งของเด็กหญิง A
ภาพที่ 4.57 เส้นทางจากโรงเรียนไปโรงพยาบาล
ที่มา : คลังภาพ อจท.

แรงและการเคลื่อนที่ 39

แนวตอบ Topic Question เกร็ดแนะครู


1. ความเร็วเปนอัตราสวนระหวางการกระจัดตอเวลา เปนปริมาณ
ครู อ าจอธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม ดั ง นี้ ความเร ง คื อ ความเร็ ว ที่ เ ปลี่ ย นไปใน
เวกเตอรที่มีทั้งขนาดและทิศทาง สวนอัตราเร็วเปนอัตราสวนระหวาง
หนึ่งหนวยเวลา เปนปริมาณเวกเตอร เขียนแทนดวยสัญลักษณ a มีหนวย
ระยะทางตอเวลา เปนปริมาณสเกลารที่มีเพียงขนาด
เปน m/s2 เมื่อวัตถุมีความเรงในชวงเวลาหนึ่ง ความเร็วจะเปลี่ยนแปลงไป
2. ระยะทางมีขนาด 700 เมตร และการกระจัดมีขนาด 500 เมตร
โดยความเรงอาจมีคาเปนบวกหรือเปนลบก็ได มักเรียกความเรงที่เปนบวกวา
3. 0.5 เมตรตอวินาที
ความเรง (+a) และเรียกความเรงที่เปนลบวา ความหนวง (-a)

T43
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
F u n
1. นักเรียนแบงกลุม โดยครูเตรียมสลากหมายเลข
กลุม 1-5 จากนั้นใหนักเรียนแตละคนออกมา Science Activity ร่มชูชีพพยุงตุ๊กตา
หยิบสลาก ซึ่งนักเรียนที่ไดหมายเลขเดียวกัน วัสดุอปุ กรณ์
จะอยูกลุมเดียวกัน แตละกลุมจะมีสมาชิก 1. ตุ๊กตาพลาสติกขนาดเล็ก
ภายในกลุม 5 คน 2. ปากกา
2. ครูแจงจุดประสงคของกิจกรรม Fun Science 3. กรรไกร
4. หนังยาง
Activity เรื่อง รมชูชีพพยุงตุกตา ใหนักเรียน 5. เทปใส
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติกิจกรรมที่ 6. ถุงพลาสติก
ถูกตอง จากนั้นใหสมาชิกภายกลุมจัดเตรียม 7. เครื่องเจาะกระดาษ
8. เชือกหรือไหมญี่ปุ่น
วัสดุอุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม Fun
Science Activity เรื่อง รมชูชีพพยุงตุกตา ภาพที่ 4.58 ร่มชูชีพพยุงตุ๊กตา
ที่มา : https://jmcrempsblog.com
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
3. สมาชิกภายในกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรม Fun
วิธที ำ�
Science Activity เรื่อง รมชูชีพพยุงตุกตา
1. ใช้จานวางทาบถุงพลาสติก และใช้ปากกาขีดเส้นขอบเป็นวงกลม แล้วใช้กรรไกรตัดถุงพลาสติกตามเส้นที่ก�ากับไว้
ตามขั้นตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร 2. ใช้ปากกาก�าหนดจุด 4 จุด แล้วน�าเทปใสมาติดจุดที่ก�าหนด ก่อนน�าเครื่องเจาะกระดาษมาเจาะรูตรงบริเวณที่ก�ากับไว้
ม.2 เลม 2 3. น�าเชือกหรือไหมญี่ปุ่นมาตัดแบ่งให้มีความยาวที่พอเหมาะ จ�านวนเท่ากัน 4 เส้น
4. น�าเชือกหรือไหมญี่ปุ่นมาผูกกับรูที่เจาะทั้ง 4 รู แล้วผูกรวมกันตรงกลางร่มชูชีพ
5. น�าตุ๊กตามาผูกกับเชือกหรือไหมญี่ปุ่น และน�าไปปล่อยจากที่สูง แล้วสังเกตการเคลื่อนที่ของร่มชูชีพ

ภาพที่ 4.59 ใช้จานวางทาบถุงพลาสติก ภาพที่ 4.60 เจาะรูบริเวณที่ก�ากับไว้ ภาพที่ 4.61 ใช้เชือกผูกบริเวณที่เจาะรู


ที่มา : https://jmcrempsblog.com ที่มา : https://jmcrempsblog.com ที่มา : https://jmcrempsblog.com

หลักกำรทำงวิทยำศำสตร์
ตุ๊กตาที่ตกจากที่สูงจะมีแรงโน้มถ่วงฉุดให้ตกลงมาด้วยความเร็วเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากร่มชูชีพที่กางออกท�าให้อากาศต้าน
การเคลื่อนที่ ซึ่งมีทิศทางตรงข้ามกับแรงโน้มถ่วงและทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ ส่งผลให้การเคลื่อนที่ของตุ๊กตาช้าลง

40

สื่อ Digital ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประดิษฐรมชูชีพ จาก YouTube เด็กชายเฟรสถีบจักรยานวนรอบเปนวงกลม ดังภาพ
เรือ่ ง รมชูชพี ประดิษฐ (https://www.youtube.com/watch?v=_EwlClpYMhU)
A

ถาเด็กชายเฟรสถีบจักรยานวนรอบตําแหนง A ครบ 5 รอบ


ใชเวลา 3 นาที ความเร็วของการถีบจักรยานของเด็กชายเฟรส มีคา
กี่เมตรตอวินาที
1. 0 เมตรตอวินาที 2. 1 เมตรตอวินาที
3. 2 เมตรตอวินาที 4. 3 เมตรตอวินาที
(วิเคราะหคําตอบ การกระจัดมีคาเทากับ 0 เนื่องจากตําแหนง
เริม่ ตนกับตําแหนงสุดทายเปนตําแหนงเดียวกัน ความเร็วของการ
ถีบจักรยานของเด็กชายเฟรสจึงมีคาเทากับ 0 ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T44
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู
Science in Real Life 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ
รถไฟแมกเลฟ (Maglev) ปฏิบัติกิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง
รมชูชีพพยุงตุกตา หนาชั้นเรียน ในระหวาง
รถไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจ�าวันของเรา ที่นักเรียนนําเสนอ ครูคอยใหขอเสนอแนะ
ซึ่งช่วยให้การคมนาคมสะดวกและรวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
รถไฟฟ้ายังช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัด และช่วยลด 2. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลการปฏิบัติ
ปัญหามลพิษทางอากาศได้ด้วย ในหลายประเทศจึงมี
กิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง รมชูชีพ
การสร้างและพัฒนาระบบของรถไฟฟ้าให้มปี ระสิทธิภาพ
ดีขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในประเทศ พยุงตุกตาวา “แรงโนมถวงดึงดูดใหตุกตา
ภาพที่ 4.62 รถไฟฟ้า BTS ใช้แรงดันไฟฟ้า ให้ล้อเคลื่อนที่ไปตามราง
รถไฟ
ตกจากที่สูงดวยความเร็วเพิ่มขึ้น แตเมื่อรม
ที่มา : คลังภาพ อจท. ชูชีพกางจะตานอากาศในทิศตรงขามกับการ
รถไฟฟ้าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่น�าเอาแรงดันไฟฟ้ามาขับเคลื่อนยาน เคลื่อนที่ของตุกตา ทําใหการเคลื่อนที่ของ
พาหนะให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง แต่เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีทาง ตุกตาชาลง”
ระบบการขนส่งเจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก บางประเทศจึงเริม่ ใช้รถไฟแมกเลฟ
(magnetic levitation train) คือ มีการใช้ไฟฟ้าเหนีย่ วน�าให้เกิดสนามแม่เหล็ก 3. นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล
ภาพที่ 4.63 รถไฟแมกเลฟใช้แรงยกตัวของ มายกตัวรถไฟให้ลอยอยู่บนราง โดยอาศัยหลักการของการดึงดูดกันของ เกี่ยวกับแรงแมเหล็ก จาก Science in Real
แม่เหล็กไฟฟ้าให้ตัวรถไฟลอยและเคลื่อนที่ แม่เหล็กต่างขั้ว และการผลักกันของแม่เหล็กขั้วเดียวกันจากชุดแผงขดลวด Life เรื่อง รถไฟแมกเลฟ จากหนังสือเรียน
ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง
ที่มา : https://commons.wikimedia.org เล็ก ๆ ทีอ่ ยูบ่ ริเวณรางทัง้ สองข้าง และใช้กระแสไฟฟ้าสลับเพือ่ เปลีย่ นขัว้ สนาม วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนั้นครูอธิบาย
แม่เหล็กให้ผลักและดึงรถไฟไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา เพิ่ ม เติ ม ให นั ก เรี ย นเข า ใจว า “ในป จ จุ บั น
S N S N S N S N S N
เทคโนโลยีมีความกาวหนามากขึ้น จึงมีการ
S N S N แผงรางมีขวั้ แม่เหล็กตรงข้ามกับ ประยุ ก ต นํ า เอาแรงแม เ หล็ ก ไฟฟ า มาใช กั บ
N S N S แผงที่ติดตั้งบนรถ รถไฟฟา ทําใหรถไฟฟาในบางประเทศเคลือ่ นที่
N S N S N S N S N S
โดยไมใชราง”

S N S N S N S N S N
S N S N
N S ่อยูN่ด้านล่
แผงรางที S างจะมีขั้ว
N S N S N แม่เหล็กเดียวกับแผงที
S N S N S ่ติดกับ
ตัวรถ เพื่อท�าให้เกิดแรงผลักเสริม
ภาพที่ 4.64 โครงสร้างของรถไฟแมกเลฟ
ที่มา : https://commons.wikimedia.org

แรงและการเคลื่อนที่ 41

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


ขอใดเปนแรงกระทําที่เกิดจากแทงแมเหล็ก ครูอาจแนะนํานักเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเหนี่ยวนํายิ่งยวดวา เปนวัสดุที่มี
1. แรงดูดและแรงดึง ประสิทธิภาพในการนํากระแสไฟฟาตรงได เนื่องจากไมมีการสูญเสียพลังงาน
2. แรงดูดและแรงตาน ความรอนที่เกิดจากการตานทาน ในปจจุบันมีการนําตัวนํายิ่งยวดมาใชในงาน
3. แรงดูดและแรงผลัก หลายๆ ดาน รถไฟแมกเลฟ ในประเทศญี่ปุน ทําใหรถไฟลอยขึ้นจากราง
4. แรงดันและแรงตาน เปนการลดแรงเสียดทาน ทําใหรถไฟวิ่งไดเร็วมาก นอกจากนี้ ในทางการแพทย
(วิเคราะหคําตอบ แรงแมเหล็กที่เกิดจากแมเหล็กขั้วตางกัน คือ มีการนําตัวนํายิง่ ยวดมาใชในเครือ่ งมือ MRI เพือ่ ศึกษาสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ ภายในรางกาย
แรงดึงดูด สวนแรงแมเหล็กที่เกิดจากขั้วแมเหล็กเดียวกัน คือ มนุษย
แรงผลัก ดังนั้น ตอบขอ 3.)
สื่อ Digital
ศึกษาเพิม่ เติมจาก QR Code เรื่อง สนามแมเหล็ก

สนามแมเหล็ก
www.aksorn.com/interactive3D/RK842 T45
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. นั ก เรี ย นตรวจสอบความเข า ใจของตนเอง
Summary
จากกรอบ Self Check เรือ่ ง แรงและการเคลือ่ นที่
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
แรงและการเคลื่อนที่
4
โดยบันทึกลงในสมุดประจําตัวนักเรียน แรงเปนปริมาณเวกเตอรที่มีขนาดและทิศทาง มีหนวยเปน นิวตัน (N) การหาแรงลัพธ ทําไดโดยวิธีหางตอหัว
2. ครูมอบหมายใหนักเรียนทํา Unit Question แรงยอยกระทําตอวัตถุไปในทิศทางเดียวกัน แรงยอยกระทําตอวัตถุในทิศทางตรงขามกัน
เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ จากหนังสือเรียน F1
F1 F2 F = F + (-F )
Fลัพธ = F1 + F2
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยทําลงในสมุด F2
ลัพธ 1 2

ประจําตัวนักเรียน ทิศทางการเคลือ่ นทีข่ องกลองไม


3. นักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนของหนวย แรงเสียดทาน N ผิวสัมผัส
แรงที่เกิดขึ้นระหวางผิวสัมผัสของวัตถุ เพื่อตานความพยายามในการเคลื่อนที่ของวัตถุ กลอง f
การเรียนรูที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ เพื่อเปน
แรงเสียดทานมี 2 ประเภท คือ F พื้น
การวัดความรูหลังเรียนของนักเรียน 1. แรงเสียดทานสถิต เกิดขึ้นในขณะที่วัตถุอยูนิ่งหรือกําลังจะเริ่มเคลื่อนที่ f
4. นักเรียนแตละคนนําความรูที่ไดจากการเรียน 2. แรงเสียดทานจลน เกิดขึ้นในขณะที่วัตถุกําลังเคลื่อนที่
fs,max = μsN W
ของหนวยการเรียนรูที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ ภาพที่ 4.65 แรงเสียดทานระหวางกลองไม
มาเขียนสรุปเปนผังมโนทัศนลงในกระดาษ A4 fk = μkN กับพื้น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
พรอมตกแตงใหสวยงาม แรงดันในของเหลว
เมื่อวัตถุอยูในของเหลวจะมีแรงที่ของเหลวกระทําตอวัตถุในทุกทิศทางโดยแรงที่
ขัน้ สรุป ของเหลวกระทําตั้งฉากกับผิวของวัตถุตอหนึ่งหนวยพื้นที่ เรียกวา ความดันของ
ของเหลว
ตรวจสอบผล
P = AF
นั ก เรี ย นและครู ร  ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ การ h
แรงพยุง
เคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งควรไดขอสรุปรวมกันวา แรงเนือ่ งจากของเหลวกระทําตอวัตถุทอี่ ยูใ นของเหลวซึง่ มีทศิ ขึน้ ในแนวดิง่ ขนาดของ
“การเคลื่อนที่เปนการเปลี่ยนตําแหนงของวัตถุใน แรงพยุงมีคาเทากับขนาดของนํ้าหนักของของเหลวที่ถูกวัตถุแทนที่
ภาพที่ 4.66 แรงที่ของเหลวกระทําตอวัตถุ
ชวงเวลาหนึ่งเทียบกับตําแหนงอางอิง โดยมีทั้ง FB = ρVg ที่มา : คลังภาพ อจท.
ปริมาณสเกลารและปริมาณเวกเตอรมาเกี่ยวของ
โดยปริ ม าณสเกลาร เป น ปริ ม าณที่ บ อกขนาด โมเมนตของแรง โมเมนตของแรง คือ ปริมาณที่บอกถึงความสามารถของแรงที่
จุดหมุน ทําใหวัตถุหมุนรอบจุดหมุนหรือแกนใด ๆ โดยคาของโมเมนต
เพียงอยางเดียว ตัวอยางเชน เวลา ระยะทาง หาไดจาก
M1 M2
สวนปริมาณเวกเตอร เปนปริมาณที่บอกทั้งขนาด M = Fl
และทิศทาง ตัวอยางเชน การกระจัด ความเร็ว F1 F2 เมื่อวัตถุอยูในสมดุลตอการหมุน ผลรวมของโมเมนตทวนเข็ม
นาฬกาเทากับผลรวมของโมเมนตตามเข็มนาฬกา เขียนแทน
แรง” ภาพที่ 4.67 โมเมนตของแรง
ดวยสมการ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ΣMทวน = ΣMตาม

42

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


คานเบาสมํ่าเสมอ AB มีจุดหมุน และแขวนนํ้าหนักที่ B 150 นิวตัน ดังภาพ จะตองแขวนนํ้าหนัก F
ที่ A กี่นิวตันคานจึงจะสมดุล
50 cm
A B
30 cm 20 cm

F 150 N (วิเคราะหคําตอบ คานจะสมดุลก็ตอเมื่อคานอยูในสภาพสมดุล


จากสมการ ΣMทวน = ΣMตาม
1. 50 นิวตัน F1l1 = F2l2
2. 100 นิวตัน F1 × 0.3 = 150 × 0.2
3. 150 นิวตัน F1 = 1500.3× 0.2

4. 200 นิวตัน = 100 N


ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T46
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
สนามของแรง 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
• สนามโนมถวง เมื่อมีแรงโนมถวงกระทําตอวัตถุในทิศทางพุงเขาหาวัตถุที่เปนแหลงของสนามโนมถวง สงผลใหวัตถุตกจาก
ที่สูงลงมาสูที่ตํ่า หนวยการเรียนรูท ี่ 4 แรงและการเคลือ่ นที่ เพือ่
• สนามไฟฟา ตรวจสอบความเขาใจหลังเรียนของนักเรียน
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
+ + +- +- - -
+ -ภาพที่ 4.69 ประจุ+ตางชนิ-ดกันเกิดแรงดึงดูด พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ
ภาพที่ 4.68 ประจุชนิดเดียวกันเกิดแรงผลัก นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
3. ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนกอน
• สนามแมเหล็ก
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
S N N S S N S N
Understanding Check ในสมุดประจําตัว
นักเรียน
ภาพที่ 4.70 แมเหล็กขั้วเดียวกันจะเกิดแรงผลัก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ภาพที่ 4.71 แมเหล็กขั้วตางกันจะเกิดแรงดึงดูด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
4. ครูตรวจสอบผลการทําใบงาน เรื่อง อัตราเร็ว
และความเร็ว
การเคลือ่ นที่ ระยะทาง (s) เปนปริมาณสเกลารทม่ี แี ตขนาด มีหนวยเปน เมตร
5. ครูตรวจ Topic Question เรื่อง การเคลื่อนที่
โดยอัตราสวนระหวางระยะทางกับเวลา คือ อัตราเร็ว (v) มีหนวย
เปน เมตรตอวินาที (m/s) ของวัตถุ ในสมุดประจําตัวนักเรียน
6. ครูตรวจสอบผลการตรวจสอบความเขาใจของ
การกระจัด ( s ) เปนปริมาณเวกเตอรที่มีทั้งขนาดและทิศทาง
ตนเองจากกรอบ Self Check เรื่อง แรงและ
มีหนวยเปน เมตร โดยอัตราสวนระหวางการกระจัดกับเวลา คือ การเคลื่อนที่ ในสมุดประจําตัวนักเรียน
ภาพที่ 4.72 ระยะทางกับการกระจัด
ที่มา : คลังภาพ อจท. ความเร็ว ( v ) มีหนวยเปน เมตรตอวินาที (m/s) 7. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง การเคลื่อนที่
ของวัตถุ จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2
Self Check
เลม 2
ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจ โดยพิจารณาขอความวาถูกหรือผิด แลวบันทึกลงในสมุด หากพิจารณาวาขอความ
8. ครูประเมินผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม Fun Science
ไมถูกตอง ใหกลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวขอที่กําหนดให
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
Activity เรื่อง รมชูชีพพยุงตุกตา
1. แรงมีเพียงขนาด แตไมมที ศิ ทาง 1. 9. ครูตรวจแบบฝกหัด Unit Question เรื่อง แรง
และการเคลื่อนที่ ในสมุดประจําตัวนักเรียน
2. แรงพยุงเกิดขึ้นตรงขามกับแรงโนมถวงเสมอ 1.2
10. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งาน/ผลงาน
มุด
ในส

3. สนามโนมถวงมีคาลดลงตามระดับความสูงที่วัดขึ้นไปจากผิวโลก 1.5 ผังมโนทัศน เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่


ึกลง

บัน

4. ขนาดของการกระจัดเทากับระยะทางของการเคลื่อนที่เสมอ 2.
5. ขนาดของความเร็วเฉลี่ยมีคามากกวาหรือเทากับอัตราเร็วเฉลี่ยเสมอ 2.2
แนวตอบ Self Check
แรงและการเคลื่อนที่ 43 1. ผิด 2. ถูก 3. ถูก
4. ผิด 5. ถูก

กิจกรรม 21st Century Skills แนวทางการวัดและประเมินผล


ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน ตามความสมัครใจ ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่
รวมกันออกแบบของเลน 1 ชิ้น โดยใชความรูและหลักการทาง ได จ ากการสั ง เกตพฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และชิ้ น งานผั ง มโนทั ศ น
วิทยาศาสตร เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ โดยวัสดุที่นํามาใชควร เรื่ อ ง แรงและการเคลื่ อ นที่ โดยศึ ก ษาเกณฑ ก ารวั ด และประเมิ น ผลจาก
มีความเหมาะสมและใชงานได จากนั้นสงตัวแทนกลุมออกมา แบบประเมินการสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม และแบบประเมินชิ้นงาน/
นําเสนอชิน้ งานและอธิบายหลักการทํางานของของเลนทีส่ อดคลอง ภาระงาน (รวบยอด) ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 4
กับหลักการ เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด)
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน แบบประเมินผลงานแผนผังมโนทัศน์
การมี คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน
การทางาน
การแสดง การยอมรับฟัง ส่วนร่วมใน รวม ระดับคุณภาพ
ชื่อ–สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ ลาดับที่ รายการประเมิน
ลาดับที่ ความคิดเห็น คนอื่น การปรับปรุง 15 4 3 2 1
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน 1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่กาหนด
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ความคิดสร้างสรรค์
4 ความเป็นระเบียบ
รวม

ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


............../................./................
เกณฑ์ประเมินแผนผังมโนทัศน์
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้ อ งกั บ ผลงานสอดคล้ อ งกั บ ผลงานสอดคล้ อ งกั บ ผลงานไม่ สอดคล้ อ ง
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
............./.................../............... 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ถูกต้องของเนื้อหา ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
3. ผลงานมีความคิด ผลงานแส ดงออกถึ ง ผลงานมี แ นวคิ ด แปลก ผลงานมี ค วามน่ า สนใจ ผลงานไม่ แสดงแนวคิ ด
เกณฑ์การให้คะแนน
สร้างสรรค์ คว า ม คิ ด ส ร้ า งส ร ร ค์ ใหม่ แ ต่ ยั ง ไม่ เ ป็ น ระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก ใหม่
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
แ ป ล ก ใ ห ม่ แ ล ะ เ ป็ น ใหม่
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ระบบ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน 4. ผลงานมีความเป็น ผ ล ง า น มี ค ว า ม เ ป็ น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผ ล ง า น มี ค ว า ม เ ป็ น ผลงานส่ ว นใหญ่ ไม่ เ ป็ น
ระเบียบ ระเบี ย บแสดงออกถึ ง เป็ นร ะ เบี ยบ แ ต่ ยั งมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ร ะ เ บี ย บ แ ล ะ มี ข้ อ
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน บกพร่องมาก
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
14–15 ดีมาก
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11–13 ดี
14-16 ดีมาก
8–10 พอใช้
11-13 ดี
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
8-10 พอใช้

T47
ต่ากว่า 7 ปรับปรุง
นํา สอน สรุป ประเมิน

แนวตอบ Unit Question


1. แรงเป น ปริ ม าณเวกเตอร ที่ มี ทั้ ง ขนาดและ
Unit Question
ทิศทาง
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
2. ทํ า ให วั ต ถุ เ กิ ด การเปลี่ ย นแปลงสภาพการ
1. แรงเปนปริมาณประเภทใด
เคลื่อนที่หรือรูปรางได ดังนี้
1) ทําใหวัตถุที่อยูนิ่งเคลื่อนที่ 2. แรงมีผลทําใหวัตถุเปลี่ยนสภาพไปอยางไร
2) ทํ า ให วั ต ถุ ที่ กํ า ลั ง เคลื่ อ นที่ เ ปลี่ ย นแปลง 3. แรงลัพธคืออะไร และมีผลตอการเคลื่อนที่ของวัตถุอยางไร
ความเร็ว 4. จงเขียนแผนภาพแสดงการหาทิศทาง และคํานวณขนาดของแรงลัพธที่กําหนดให
3) ทําใหวัตถุเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ 4.1 กลองใบหนึ่งถูกผลักดวยแรง F1 = 3 N และ F2 = 4 N ในทิศทางขวา
4.2 กลองใบหนึ่งถูกดึงดวยแรง F1 = 2 N และ F2 = 4 N ในทิศทางซาย
4) ทําใหวัตถุเปลี่ยนแปลงรูปรางและขนาด
4.3 กลองใบหนึ่งถูกดันดวยแรง F1 = 7 N ไปทางขวา และถูกดันดวยแรง F2 = 4 N ไปทางซาย
3. แรงลัพธ คือ ผลรวมของแรงที่มากระทําตอ 4.4 กลองใบหนึ่งถูกผลักดวยแรง F1 = 3 N และ F2 = 4 N ไปทางซายมือ และถูกผลักดวยแรง F3 = 5 N
วัตถุ ทําใหวัตถุเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับ ไปทางขวามือ
แรงลัพธ 4.5 กลองใบหนึ่งถูกดึงดวยแรง F1 = 2 N และ F2 = 4 N ไปทางซายมือ และถูกดึงดวยแรง F3 = 3 N และ
F4 = 3 N ไปทางขวามือ
4. 4.1 F1 = 3 N
F2 = 4 N 5. แรงเสียดทานคืออะไร และเกิดขึ้นไดอยางไร
6. จงยกตัวอยางแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวันมาอยางนอย 3 ตัวอยาง พรอมเขียนแผนภาพแสดง
แรงลัพธมีขนาดเทากับ 7 นิวตัน ทิศทางของแรงเสียดทานที่เกิดขึ้น
มีทิศทางไปทางขวามือ 7. ปจจัยใดบางที่มีผลตอแรงเสียดทาน
4.2 F1 = 2 N 8. แรงดันและแรงพยุงในของเหลวแตกตางกันอยางไร
F2 = 4 N
9. จงยกตัวอยางเหตุการณทเี่ กีย่ วของกับแรงดันและแรงพยุงทีเ่ กิดขึน้ ในชีวติ ประจําวัน พรอมวาดภาพและแสดง
ทิศทางของแรง
แรงลัพธมีขนาดเทากับ 6 นิวตัน
มีทิศทางไปทางซายมือ 10. จงเขียนทิศทางของแรงที่มากระทําตอวัตถุในภาพ A และ B พรอมอธิบายความหนาแนนของวัตถุที่มีผลตอ
ลักษณะการจมและการลอยของวัตถุในของเหลว
4.3
F1 = 7 N F2 = 4 N

แรงลัพธมีขนาดเทากับ 3 นิวตัน
มีทิศทางไปทางขวามือ A B
4.4 ภาพที่ 4.73 วัตถุที่จมและลอยอยูในของเหลว
F3 = 5 N F1 = 3 N ที่มา : คลังภาพ อจท.

F2 = 4 N
44
แรงลัพธมีขนาดเทากับ 2 นิวตัน
มีทิศทางไปทางซายมือ
4.5 F1 = 2 N F4 = 3 N
F2 = 4 N F3 = 3 N 3) ใชเครื่องชั่งสปริงลากถุงทราย
ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
แรงลัพธมีขนาดเทากับ 0 นิวตัน
5. แรงเสียดทาน คือ แรงตานการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งเกิดขึ้นระหวาง
f
ผิวสัมผัสของวัตถุ โดยมีทิศทางตรงขามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ
6. 1) ลอยางรถยนตกับถนน 7. ขนาดของแรงเสี ย ดทานจะมากหรื อ น อ ยขึ้ น อยู  กั บ ขนาดของแรง
ปฏิกิริยาตั้งฉากระหวางผิวสัมผัสและลักษณะผิวสัมผัส
ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
8. วั ต ถุ ที่ อ ยู  ใ นของเหลวจะมี แ รงดั น ในของเหลวจะกระทํ า ต อ วั ต ถุ
f ทุกทิศทาง ซึง่ แรงดันทีก่ ระทําตอวัตถุในของเหลวในแนวระนาบทีร่ ะดับ
เดียวกันมีขนาดเทากัน แรงลัพธในแนวระดับมีคาเทากับศูนย แตถา
2) ถีบจักรยาน
ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงดันทีก่ ระทําตอวัตถุดา นลางมีคา มากกวาดานบน แรงลัพธในแนวดิง่
จะมีคาไมเทากับศูนย เรียกแรงลัพธในแนวดิ่งนี้วา แรงพยุง

f
T48
นํา สอน สรุป ประเมิน

9. ตัวอยางเชน เรือดํานํา้ จะมีแรงดันนํา้ มากระทํา


ทุกทิศทาง แตเนื่องจากมีแรงลัพธในแนวดิ่ง
11. เตและแอมนั่งเลนไมกระดกกัน เตมีนํ้าหนัก 600 นิวตัน นั่งบนไมกระดกหางจากจุดหมุน 2 เมตร หากแอม หรื อ แรงพยุ ง มากระทํ า กั บ เรื อ ดํ า นํ้ า ทํ า ให
มีนํ้าหนัก 500 นิวตัน แอมตองนั่งหางจากจุดหมุนเทาใด จึงจะทําใหไมกระดกอยูในสภาพสมดุล เรือดํานํ้าสามารถลอยอยูในทะเลได
12. พิจารณาโมเมนตของแรงที่วัตถุ A B และ C กระทําตอคาน ดังภาพที่ 4.74
10 cm 40 cm 50 cm

12.1 โมเมนตที่วัตถุ B กระทําตอคานมีคาเทาใด


12.2 โมเมนตท่วี ัตถุ C กระทําตอคานมีคาเทาใด FB W
A 12.3 จากภาพที่ 4.74 ถาคานอยูในสภาพไมสมดุล
40 N จะตองแขวนวัตถุ A ใหมรี ะยะหางจากจุดหมุน 10. วัตถุ A มีความหนาแนนเทากับความหนาแนน
B C ไปทางซายมือเปนระยะเทาใด จึงจะทําใหคาน
80 N
ของของเหลว
80 N อยูในสภาพสมดุล วั ต ถุ B มี ค วามหนาแน น มากกว า ความ
ภาพที่ 4.74 วัตถุที่กระทําตอคานสมํ่าเสมอ
ที่มา : คลังภาพ อจท. หนาแนนของของเหลว
13. สนามโนมถวงและสนามไฟฟาแตกตางกันอยางไร A B
14. จินเดินไปบานเฟรส โดยออกจากบานที่จุด A แลวตองผานโรงเรียนที่จุด B หลังจากนั้นเดินไปอีกระยะหนึ่ง
จึงจะถึงบานเฟรสที่จุด C จงหา
W
A 400 m B 14.1 ระยะทางในการเดินทางเปนเทาใด FB
14.2 การกระจัดในการเดินทางเปนเทาใด W
FB
300 m
11. จากสมการ ΣMทวน = ΣMตาม
C
F1l1 = F2l2
ภาพที่ 4.75 เสนทางจากบานจินไปบานเฟรส
ที่มา : คลังภาพ อจท. 600 × 2 = 500 × l2
15. ชายคนหนึ่งเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วคงตัว ในชวงที่ 1 ไดระยะทาง 200 เมตร ในเวลา 50 วินาที เมื่อเขาสูชวง l2 = 600500× 2
ที่ 2 จึงเปลี่ยนอัตราเร็วจากชวงที่ 1 ทําใหเคลื่อนที่ไดระยะทาง 800 เมตร ในเวลา 50 วินาที จงตอบคําถาม l2 = 2.4 m
ตอไปนี้ ดังนั้น แอมตองนั่งหางจากจุดหมุน 2.4 เมตร
15.1 อัตราเร็วในชวงที่ 1 และ 2 เปนเทาใด
จึงจะทําใหไมกระดกอยูในสภาพสมดุล
15.2 อัตราเร็วเฉลี่ยของชายคนนี้เปนเทาใด
12. 12.1 จากสมการ M = Fl
M = 80 × 0.40
M = 32 N m
ดังนั้น โมเมนตที่วัตถุ B กระทําตอคาน
แรงและการเคลื่อนที่ 45
มีคาเทากับ 32 นิวตัน เมตร

12.2 จากสมการ M = Fl 13. สนามโนมถวงทําใหเกิดแรงโนมถวงกระทําตอวัตถุที่มีมวล แรงโนมถวง


M = 80 × 0.50 เปนแรงดึงดูด สวนสนามไฟฟาทําใหเกิดแรงไฟฟากระทําตอวัตถุที่มี
M = 40 N m ประจุไฟฟา แรงไฟฟามีทั้งแรงดึงดูดและแรงผลัก
ดังนั้น โมเมนตที่วัตถุ C กระทําตอคานมีคาเทากับ 40 14. 14.1 ระยะทางจากจุด A ไป C มีคาเทากับ 400 + 300 = 700 เมตร
นิวตัน เมตร 14.2 การกระจัดจากจุด A ไป C มีคาเทากับ (400)2 + (300)2
12.3 จากสมการ ΣMทวน = ΣMตาม
= 500 เมตร
F1l1 + F2l2 = F3l3
(40 × l1) + (80 × 0.40) = 80 × 0.50 15. 15.1 อัตราเร็วในชวงที่ 1; v1 = st = 200
50 = 4 เมตรตอวินาที
40l1 + 32 = 40 อัตราเร็วในชวงที่ 2; v2 = st = 800
50 = 16 เมตรตอวินาที
40l1 = 40 - 32
8 15.2 อัตราเร็วเฉลี่ย; v = ΣΣst = 200 + 800
50 + 50 = 100
1000
l1 = 40
l1 = 0.20 m = 10 เมตรตอวินาที
ดังนั้น ตองแขวนวัตถุ A หางจากจุดหมุน 0.20 เมตร
หรือ 20 เซนติเมตร จึงจะทําใหคานอยูในสภาพสมดุล

T49
Chap
p ter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบ 1. อธิบายความหมายของงานและ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
งานและก�ำลัง ก่อนเรียน ก�ำลังในทางวิทยาศาสตร์ได้ (K) หาความรู้ ก่อนเรียน - ทักษะการค�ำนวณ - ใฝ่เรียนรู้
- หนังสือเรียน 2. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการท�ำงาน - มุ่งมั่นใน
2 วิทยาศาสตร์
ม.2 เล่ม 2
งานกับก�ำลังได้ (K)
3. วิเคราะห์สถานการณ์เกี่ยวกับ
Instructional
Model)
- ตรวจใบงาน เรื่อง งาน
- ตรวจใบงาน เรื่อง ก�ำลัง
ร่วมกัน
- ทักษะการน�ำ
การท�ำงาน
ชั่วโมง
- แบบฝึกหัด งานและก�ำลังได้ (P) - ประเมินการน�ำเสนอ ความรู้ไปใช้
วิทยาศาสตร์ 4. ค�ำนวณหาปริมาณต่างๆ ที่ ผลงาน - ทกั ษะการเชือ่ มโยง
ม.2 เล่ม 2 เกี่ยวข้องกับงานและก�ำลังได้ - สังเกตพฤติกรรม
- ใบงาน (P) การท�ำงานรายบุคคล
- QR Code 5. มีความใฝ่เรียนรู้และมีความ - สังเกตพฤติกรรม
- บัตรภาพ มุ่งมั่นในการท�ำงาน (A) การท�ำงานกลุ่ม
- PowerPoint - สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน

แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียน 1. อธิบายหลักการท�ำงานของ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย


เครื่องกล วิทยาศาสตร์ เครื่องกลอย่างง่ายได้ (K) หาความรู้ - ตรวจ Topic Question - ทักษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
อย่างง่าย ม.2 เล่ม 2 2. บอกประโยชน์ของเครื่องกล (5Es - ตรวจใบงาน เรื่อง - ทักษะการค�ำนวณ - มุ่งมั่นใน
- แบบฝึกหัด อย่างง่ายและประยุกต์ใช้ใน Instructional เครื่องกลอย่างง่าย - ทักษะการท�ำงาน การท�ำงาน
3 วิทยาศาสตร์ ชีวิตประจ�ำวันได้ (P) Model) - ประเมินการน�ำเสนอ ร่วมกัน
ม.2 เล่ม 2 3. วิเคราะห์หลักการท�ำงานของ ผลงาน - ทักษะการน�ำ
ชั่วโมง
- ใบงาน เครื่องกลอย่างง่ายจากข้อมูล - สังเกตพฤติกรรม ความรู้ไปใช้
- บัตรภาพ ที่รวบรวมได้ (P) การท�ำงานรายบุคคล
- PowerPoint 4. ตระหนัั กถึึ งประโยชน์์ แ ละนำำ� - สังเกตพฤติกรรม
หลัักการของเครื่่�องกลอย่่างง่่าย การท�ำงานกลุ่ม
มาประยุุกต์์ใช้้ในชีีวิิตประจำำ�วััน - สังเกตความมีวินัย
ได้้ (A ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน

แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียน 1. อธิบายความหมายของ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย


พลังงาน วิทยาศาสตร์ พลังงานจลน์และพลังงานศักย์ หาความรู้ - ประเมินการปฏิบัติ - ทักษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
ม.2 เล่ม 2 โน้มถ่วงได้ (K) (5Es กิจกรรมปัจจัยที่มีผล - ทักษะการทดลอง - มุ่งมั่นใน
3 - แบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์
2. อธิบายปัจจัยทีม่ ผี ลต่อพลังงาน
จลน์ และพลังงานศักย์โน้มถ่วง
Instructional ต่อพลังงานจลน์และ
Model) พลังงานศักย์โน้มถ่วง
- ทักษะการ
ตั้งสมมติฐาน
การท�ำงาน
ชั่วโมง
ม.2 เล่ม 2 ได้ (K) - ประเมินการน�ำเสนอ - ทักษะการท�ำงาน
- อุปกรณ์การ 3. เปรียบเทียบพลังงานสะสม ผลงาน ร่วมกัน
ทดลอง ในวัตถุที่มีมวลและความสูง - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการน�ำ
- บัตรภาพ แตกต่างกันได้ (P) การท�ำงานรายบุคคล ความรู้ไปใช้
- PowerPoint 4. ปฏิบัติกิจกรรมปัจจัยที่มีผลต่อ - สังเกตพฤติกรรม
พลังงานจลน์ และพลังงานศักย์ การท�ำงานกลุ่ม
โน้มถ่วงได้อย่างถูกต้อง (P) - สังเกตความมีวินัย
5. มีความสนใจใฝ่ รู ้ ห รื อ อยากรู ้ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
อยากเห็น และท�ำงานร่วมกับ ในการท�ำงาน
ผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์ (A)

T50
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - แบบทดสอบ 1. อธิบายการเปลี่ยนพลังงาน แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การอนุรักษ์ หลังเรียน ระหว่างพลังงานศักย์โน้มถ่วง หาความรู้ หลังเรียน - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
พลังงาน - หนังสือเรียน และพลังงานจลน์ของวัตถุได้ (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการท�ำงาน - มุ่งมั่นใน
วิทยาศาสตร์ (K) Instructional - ตรวจ Topic Question ร่วมกัน การท�ำงาน
3 ม.2 เล่ม 2 2. อธิบายการเปลี่ยนและการ Model) - ตรวจ Unit Question - ทกั ษะการเชือ่ มโยง
- แบบฝึกหัด ถ่ายโอนพลังงานโดยใช้กฎ - ประเมินการน�ำเสนอ - ทักษะการน�ำ
ชั่วโมง
วิทยาศาสตร์ การอนุรักษ์พลังงานได้ (K) ผลงาน ความรู้ไปใช้
ม.2 เล่ม 2 3. วิเคราะห์สถานการณ์ - ตรวจและประเมินชิน้ งาน/ - ทักษะการรวบรวม
- QR Code การเปลี่ยนและการถ่ายโอน ผลงาน สิ่งประดิษฐ์ด้าน ข้อมูล
- อุปกรณ์การ พลังงานโดยใช้กฎการ พลังงาน
ทดลอง อนุรักษ์พลังงานได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
- บัตรภาพ 4. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้ การท�ำงานรายบุคคล
- PowerPoint อยากเห็น และท�ำงานร่วมกัน - สังเกตพฤติกรรม
กับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A) การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน

T51
Chapter Concept Overview
งานและกําลัง
งาน คือ ผลคูณของแรงกับระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ตามแนว
แรงหรือการกระจัดตามแนวแรง สามารถค�านวณได้จากสมการ ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
W = Fs
กําลัง คือ ปริมาณที่ใช้บอกความสามารถในการท�างานได้ต่อ F
หนึ่งหน่วยเวลา สามารถค�านวณได้จากสมการ P = Wt
เครื่องกลอยางงาย เปนเครื่องกลที่ช่วยในการผ่อนแรงหรือ s
อ�านวยความสะดวกในการท�างาน มี 6 ประเภท ดังนี้
1. คาน

ระยะที่ ระยะที่ หลักการท�างานของคาน


แรงพยายาม (E)
คานยกวัตถุ (h) m กดคาน (s) งานที่ให้กับคาน = งานที่คานกระท�าต่อวัตถุ
Es = Wh
แรงต้านทาน (W) จุดหมุน Es = mgh

2. รอก

รอกเดี่ยวตายตัว s รอกเดี่ยวเคลื่อนที่
E หลักการท�างานของรอกเดี่ยวตายตัว หลักการท�างานของรอกเดี่ยวเคลื่อนที่
งานที่ให้กับรอก = งานที่ได้จากรอก E งานที่ให้กับรอก = งานที่ได้จากรอก
s Es = mgh Es = mgh
E = mg E = mg
2

m
h=s h = 2s W

3. ลิม่ E
4. พื้นเอียง
L
m
E
H W
W W h L

หลักการท�างานของพื้นเอียง
หลักการท�างานของลิ่ม งานที่ให้กับพื้นเอียง = งานที่ได้จากพื้นเอียง
งานที่ให้กับลิ่ม = งานที่ได้จากลิ่ม EL = Wh
EH = WL EL = mgh

T52
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
5. สกรู m E 6. ลอและเพลา
R
E R E
h r

มองจากดานบน m m E
W W
หลักการทํางานของสกรู หลักการทํางานของลอและเพลา
งานที่ใหกับสกรู = งานทีไ่ ดจากสกรู งานที่ใหกับลอ = งานที่ไดจากเพลา
E × 2πR = Wh ER = Wr
E × 2πR = mgh ER = mgr
พลังงานกล
พลังงานกลแบงเปน 2 ประเภท คือ พลังงานจลนและพลังงานศักย
1. พลังงานจลน (Ek) เปนพลังงานที่สะสมอยูในวัตถุที่เคลื่อนที่ ปจจัยที่มีผลตอพลังงานจลน คือ
• มวล ถาวัตถุมีอัตราเร็วเทากัน วัตถุที่มีมวลมากกวาจะมีพลังงานจลนมากกวา
• อัตราเร็วของวัตถุ ถาวัตถุมีมวลเทากัน วัตถุที่มีอัตราเร็วสูงกวาจะมีพลังงานจลนมากกวา
2. พลังงานศักย (Ep) เปนพลังงานที่สะสมอยูในวัตถุ แบงออกเปน 2 ประเภท คือ พลังงานศักยโนมถวงและพลังงานศักยยืดหยุน
• พลังงานศักยโนมถวง เปนพลังงานที่สะสมอยูในวัตถุที่เกี่ยวของกับตําแหนงของวัตถุ เมื่อเทียบกับตําแหนงอางอิงในสนามโนมถวง
โดยปจจัยที่มีผลตอพลังงานศักยโนมถวง คือ
- มวล ถามวลของวัตถุเทากัน วัตถุที่อยูสูงกวาจะมีพลังงานศักยโนมถวงมากกวา
- ตําแหนงของวัตถุที่ตําแหนงความสูงเทากัน วัตถุที่มีมวลมากกวาจะมีพลังงานศักยโนมถวงมากกวา
กฎการอนุรกั ษพลังงาน
• พลังงานไมสามารถทําใหสูญหายหรือทําลายได แตจะเกิดการเปลี่ยนรูปพลังงานจากรูปหนึ่งไปเปนอีกรูปหนึ่งได
Ep มีคาสูงสุด, Ek มีคาเทากับศูนย
Ep มีคาลดลง, Ek มีคาเพิ่มขึ้น

Ep มีคาเทากับศูนย, Ek มีคาสูงสุด
• พลังงานสามารถถายโอนได ตัวอยางเชน
การถายโอนความรอนระหวางสสาร เกิดขึน้ ได 3 รูปแบบ ดังนี้ การถายโอนพลังงานเสียง
1 การนําความรอน (conduction) 2 การพาความรอน (convection)
โมเลกุลของอากาศ

3 การแผรังสีความรอน (radiation)

1. การนําความรอน เปนการถายโอนความรอนผานตัวกลาง
ที่เปนของแข็ง
2. การพาความรอน เปนการถายโอนความรอนผานตัวกลาง เสียงเกิดจากการสั่นของวัตถุที่เปนแหลงกําเนิดเสียง พลังงาน
ที่เปนของเหลวหรือแกส การสัน่ ของแหลงกําเนิดจะถูกถายโอนใหแกโมเลกุลของตัวกลาง คือ
3. การแผรังสีความรอน เปนการถายโอนความรอน โดย อากาศทีอ่ ยูต ดิ กับแหลงกําเนิด และพลังงานจะถูกสงตอกันไปเรือ่ ย ๆ
ไมจําเปนตองอาศัยตัวกลาง จนถึงหูผูฟง

T53
น�ำ น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ หนวยการเรียนรูที่

1. ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นท� า แบบทดสอบก่ อ นเรี ย น


หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 งานและพลังงาน เพื่อ
วัดความรู้เดิมของนักเรียนก่อนเข้าสู่กิจกรรม
2. ครูถามค�าถามกระตุน้ ความสนใจของนักเรียน
5 งานและพลังงาน
โดยใช้คา� ถาม Big Question จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 และร่วมกันอภิปราย §Ò¹áÅоÅѧ§Ò¹
แสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ระโดยไม่ มี ก าร มีความเกี่ยวข้องกับ
เฉลยว่าถูกหรือผิด กิจวัตรประจ�าวัน
ของเราอย่างไร
งาน
แรงที่ทําใหวัตถุเคลื่อนที่
ในทิ ศ ทางเดี ย วกั บ แรง
ทีม่ ากระทํา ถือวาแรงนัน้
ทําใหเกิดงาน

เครื่องกลอย่างง่าย
เครื่องกลที่ชวยผอนแรงและชวย
อํานวยความสะดวกในการทํางาน
เชน ลิ่ม
รอก คาน

ตัวชี้วัด
ว 2.3 ม.2/1 วิเครำะห์สถำนกำรณ์และค�ำนวณเกี่ยวกับงำนและก�ำลังที่เกิดจำกแรงที่กระท�ำต่อวัตถุ
โดยใช้สมกำร W = Fs และ P = Wt จำกข้อมูลที่รวบรวมได้
แนวตอบ Big Question ว 2.3 ม.2/2 วิเครำะห์หลักกำรท�ำงำนของเครื่องกลอย่ำงง่ำยจำกข้อมูลที่รวบรวมได้
การทํากิจกรรมตางๆ ในชีวิตประจําวันบาง ว 2.3 ม.2/3 ตระหนักถึงประโยชน์ของควำมรู้ของเครื่องกลอย่ำงง่ำย โดยบอกประโยชน์และกำรประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน
ว 2.3 ม.2/4 ออกแบบและทดลองด้วยวิธีที่เหมำะสมในกำรอธิบำยปัจจัยที่มีผลต่อพลังงำนจลน์และพลังงำนศักย์โน้มถ่วง
กิจกรรมจะกอใหเกิดงานในทางฟสิกส กลาวคือ ว 2.3 ม.2/5 แปลควำมหมำยข้อมูลและอธิบำยกำรเปลี่ยนพลังงำนระหว่ำงพลังงำนศักย์โน้มถ่วงและพลังงำนจลน์ของวัตถุ
เมื่อออกแรงกระทํากับวัตถุใหเคลื่อนที่ไปตามแนว โดยพลังงำนกลของวัตถุมีค่ำคงตัวจำกข้อมูลที่รวบรวมได้
แรง สวนพลังงานเปนสิ่งที่ไมสามารถมองเห็นหรือ ว 2.3 ม.2/6 วิเครำะห์สถำนกำรณ์และอธิบำยกำรเปลี่ยนและกำรถ่ำยโอนพลังงำนโดยใช้กฎกำรอนุรักษ์พลังงำน
จับตองได แตสามารถรับรูได เชน พลังงานความ
รอนจากดวงอาทิตย พลังงานไฟฟาทําใหหลอดไฟ
สวาง พลังงานลมชวยในการแลนเรือสําเภา

เกร็ดแนะครู
ก่ อ นเข้ า สู ่ ก ารเรี ย นการสอน เรื่ อ ง งานและพลั ง งาน ครู ใ ห้ นั ก เรี ย น
ร่วมกันยกตัวอย่าง ค�าว่า “งาน” ตามความเข้าใจของนักเรียน ก่อนทีค่ รูจะอธิบาย
ความหมายของงานในทางฟสิกส์ว่า งาน คือ ผลของแรงที่กระท�าต่อวัตถุ
แล้วท�าให้วัตถุเคลื่อนที่ไปตามแนวแรงที่มากระท�า จึงจะถือว่าแรงนั้นท�าให้
เกิดงาน ตัวอย่างงานในทางฟสิกส์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจ�าวัน เช่น ออกแรงผลัก
รถยนต์ให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ออกแรงกระโดดลอยขึ้นไปที่สูง นอกจากนี้ แรง
ที่กระท�าอาจเกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต เช่น การท�างานของเครื่องจักรและเครื่องมือ
บางชนิด

T54
น�ำ น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Understanding Check 3. นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจของตนเองก่อน
พิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึก เข้าสู่กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
ถูก/ผิด Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น
1. วัตถุที่อยู่นิ่งจะไม่เกิดงำน แต่วัตถุที่เคลื่อนที่ในทิศทำงเดียวกับแรงที่มำกระท�ำจะเกิดงำน วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 โดยบันทึกลงในสมุด
2. ก�ำลังเกี่ยวข้องกับแรงและกำรเปลี่ยนแปลงรูปร่ำงของวัตถุ ประจ�าตัวนักเรียน

มุ ด
3. แรงม้ำเป็นหน่วยที่เปรียบเทียบกำรท�ำงำนของเครื่องยนต์กับกำรท�ำงำนของม้ำ 4. ครูถามค�าถาม Prior Knowledge จากหนังสือ

นส
งใ

เรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 เพื่อเป็นการ

ทึ ก
4. เครื่องกลเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนแรง

บั น
5. รอกเป็นหนึ่งในเครื่องกลอย่ำงง่ำย น�าเข้าสู่บทเรียน

ขัน้ สอน
Prior
Knowledge
1 งานและก�าลัง สํารวจค้นหา
แรงชนิดใดบ้างทีส่ ง่ ผลให้ ในชีวิตประจ�ำวันของเรำมีกิจกรรมที่จะมีแรงเข้ำมำเกี่ยวข้อง 1. ครูน�าบัตรภาพกิจกรรมต่างๆ เช่น นักกีฬา
วัตถุเคลือ่ นทีไ่ ปตามแนว โดยอำจต้องใช้แรงหรือพลังงำนในกำรท�ำกิจกรรม เช่น กำรยกของ ยกน�้ า หนั ก คนเข็ น รถยนต์ เด็ ก ผู ้ ห ญิ ง
แรงทีม่ ากระท�า กำรล้ำงรถ โดยทั่วไปกำรท�ำกิจกรรมต่ำง ๆ จะถือว่ำเป็นกำรท�ำงำน นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ มาให้นักเรียนดู จากนั้น
ทั้งสิ้น แต่ในทำงฟิสิกส์จะนิยำมกำรท�ำงำนแตกต่ำงออกไป โดยจะ ครูตง้ั ประเด็นค�าถามกระตุน้ ความคิดนักเรียน
พิจำรณำจำกแรงทีก่ ระท�ำต่อวัตถุและทิศทำงกำรเคลือ่ นทีข่ องวัตถุดว้ ย
ว่า “กิจกรรมใดบ้างที่เกิดงานในทางฟสิกส์”
1.1 งาน
( แนวตอบ กิ จ กรรมที่ เ กิ ด งานในทางฟ สิ ก ส
งาน (work) ในทำงฟิสิกส์ คือ ผลคูณของแรงกับระยะทำงที่วัตถุเคลื่อนที่ตำมแนวแรงหรือกำรกระจัด
ตำมแนวแรง งำนจะมีค่ำมำกหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนำดของแรงและขนำดของกำรกระจัดในแนวเดียวกับแรง ซึ่งงำน
คื อ คนเข็ น รถยนต แ ละเด็ ก ผู  ห ญิ ง นั่ ง เล น
เป็นปริมำณทำงกำยภำพที่มีเพียงขนำดไม่มีทิศทำง งำนจึงเป็นปริมำณสเกลำร์ คอมพิวเตอร)
ทิศทำงกำรเคลื่อนที่ของวัตถุ 2. นั ก เรี ย นจั บ คู ่ กั บ เพื่ อ นในชั้ น เรี ย น จากนั้ น
F ร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง งาน
s เพือ่ หาค�านิยามค�าว่า งาน ในทางวิทยาศาสตร์
ภาพที่ 5.1 แรงคงตัว F กระท�ำต่อวัตถุท�ำให้วัตถุเคลื่อนที่ได้ขนำดของกำรกระจัด s ตำมแนวแรง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
ที่มา : คลังภาพ อจท.
3. นักเรียนแต่ละคูร่ ว่ มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ด้ศกึ ษา
จำกภำพที่ 5.1 งำนที่เกิดขึ้นมีค่ำเท่ำกับผลคูณของขนำดของแรงคงตัว F กับขนำดของกำรกระจัด s ตำม จากนั้นให้นักเรียนแต่ละคนเขียนสรุปความรู้
แนวแรง สำมำรถแสดงควำมสัมพันธ์ ดังนี้ ทีไ่ ด้จากการศึกษาค้นคว้าลงในสมุดประจ�าตัว
1
W คือ งำน มีหน่วยเป็น นิวตัน เมตร (N m) หรือ จูล (J) นักเรียน
W = Fs F คือ ขนำดของแรงที่กระท�ำต่อวัตถุ มีหน่วยเป็น นิวตัน (N)
แนวตอบ Understanding Check
s คือ ขนำดของกำรกระจัดตำมแนวแรง มีหน่วยเป็น เมตร (m)
1. ถูก 2. ผิด 3. ถูก 4. ถูก 5. ถูก
งานและพลังงาน 47
แนวตอบ Prior Knowledge
แรงโนมถวง แรงดึง แรงผลัก

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


งานสามารถหาไดจากความสัมพันธในขอใด 1 จูล เป็นหน่วยที่ใช้บอกปริมาณงานที่ท�า หรือพลังงานที่ต้องการออกแรง
1. มวล × ระยะทาง ขนาด 1 นิวตัน เป็นระยะทาง 1 เมตร หรืออาจเรียกปริมาณงานอีกอย่างหนึ่ง
2. แรง × ระยะทางตามแนวแรง ว่า นิวตัน เมตร เขียนแทนสัญลักษณ์เป็น N·.m หรือ N m
3. มวล × ระยะทางตามแนวแรง
4. แรง × ระยะทางตามแนวแรงที่มุมใดๆ
(วิเคราะหคําตอบ งานคํ า นวณได จ ากผลคู ณ ระหว า งแรงกั บ
ระยะทางตามแนวแรง ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T55
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. นั ก เรี ย นแต่ ล ะกลุ ่ ม ออกมาน� า เสนอผลการ
ไมเกิดงาน เกิดงาน
ศึ ก ษาหน้ า ชั้ น เรี ย น ในระหว่ า งที่ นั ก เรี ย น
น� า เสนอ ครู ค อยให้ ข ้ อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
2. ครูตงั้ ประเด็นค�าถามกระตุน้ ความคิดนักเรียน
โดยให้นกั เรียนแต่ละคนร่วมกันอภิปรายแสดง
ความคิดเห็นเพื่อหาค�าตอบ ดังนี้ (ก) (ข)
• งานในความหมายทั่วไปในชีวิตประจําวัน ภาพที่ 5.2 การยกนํ้าหนักทําใหเกิดงานในเชิงฟสิกส
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ตางกับงานในทางวิทยาศาสตรอยางไร
(แนวตอบ งานในความหมายทั่วไป หมายถึง จากภาพที่ 5.2 (ก) จะเห็นวา นักกีฬายกนํา้ หนักออกแรงแบกตุม นํา้ หนัก
การประกอบอาชีพ ซึง่ แตกตางไปจากความ ไวบริเวณบา โดยตุมนํ้าหนักไมมีการเคลื่อนที่ จึงถือวาไมเกิดงานในทาง กิจกรรมในชีวิต
หมายของงานในทางวิทยาศาสตร หมายถึง ฟสิกส สวนภาพที่ 5.2 (ข) จะเห็นวา นักกีฬายกนํ้าหนักออกแรงกระทําตอ ประจําวันใดบ้าง
ที่เกิดงานในทางฟิสิกส์
ผลของแรงและระยะทางที่ วั ต ถุ เ คลื่ อ นที่ ตุม นํา้ หนักมากขึน้ ทําใหตมุ นํา้ หนักเคลือ่ นทีข่ นึ้ ไปเหนือศีรษะในทิศทางเดียว
ในแนวเดียวกับแรง ดังนัน้ งานจึงเปนปริมาณ กับแรงที่มากระทํา จึงถือวาเกิดงานในทางฟสิกส
สเกลาร)
• จากนิยาม นักเรียนสามารถคํานวณปริมาณ ตัวอย่างที่ 5.1 ชายคนหนึง่ ออกแรงขนาด 300 นิวตัน ผลักโตะใหเคลือ่ นทีไ่ ปยังมุมหองไดขนาดของการกระจัด
20 เมตร จงหางานที่เกิดขึ้นจากการออกแรงกระทําของชายคนนี้
งานไดอยางไร
(แนวตอบ ผลคูณระหวางแรงกับระยะทางที่ วิธีทํา จากสมการ W = Fs
W = 300 N × 20 m
วัตถุเคลื่อนที่ตามแนวแรง)
W = 6,000 N m หรือ 6,000 J
ดังนั้น งานที่เกิดจากการออกแรงกระทําของชายคนนี้เทากับ 6,000 จูล

ตัวอย่างที่ 5.2 เด็กหญิงแพรออกแรงขนาด 200 นิวตัน ถือกระเปานักเรียนเดินไปโรงเรียนไดขนาดของการกระจัด


200 เมตร จงหางานในการถือกระเปาของเด็กหญิงแพร
วิธีทํา จากสมการ W = Fs
W = 200 N × 0 m
W =0 F ทิศทางการเคลื่อนที่
ดังนั้น เนื่องจากแรงที่เด็กหญิงแพรกระทําตอกระเปามีทิศตั้งฉากกับ
ทิศทางการเคลื่อนที่ของกระเปา งานที่เกิดขึ้นจึงเปนศูนย ซึ่ง ภาพที่ 5.3 แรงที่เด็กหญิงแพรใชในการถือกระเปา
ถือวาไมเกิดงานในทางฟสิกส ที่มา : คลังภาพ อจท.

48

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครู อ าจแนะน� า นั ก เรี ย นเพิ่ ม เติ ม ว่ า ทิ ศ ทางของแรงที่ ก ระท� า ต่ อ วั ต ถุ ขอใดเปนการกระทําที่ไมเกิดงานในทางฟสิกส
ไม่จ�าเป็นต้องเป็นทิศทางเดียวกับวัตถุเคลื่อนที่ เช่น ดึงเชือกท�ามุมกับกล่องไม้ 1. พายเรือทวนน�้า
เพื่อลากกล่องไม้ไปข้างหน้า ทิศทางของแรงในลักษณะนี้จะไม่ท�าให้เกิดงาน 2. เข็นครกขึ้นภูเขา
ในเชิงฟสิกส์ เมื่อพิจารณาแรงที่กระท�าต่อกล่องไม้ในแนวระนาบซึ่งมีทิศทาง 3. ถือของหนักขึ้นบันได
เดียวกับระยะที่วัตถุเคลื่อนที่ แรงในลักษณะนี้จะท�าให้เกิดงานในเชิงฟสิกส์ 4. แบกของเดินไปในแนวราบ
(วิเคราะหคําตอบ การแบกของเดินไปในแนวราบเปนการออกแรง
กระทํ า ต อ วั ต ถุ แล ว วั ต ถุ ไ ม เ คลื่ อ นที่ ไ ปตามแนวแรง ดั ง นั้ น
ตอบขอ 4.)

T56
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
นอกจำกจะหำงำนที่เกิดขึ้นในแนวระดับได้แล้ว ยังสำมำรถหำงำนที่ 3. นักเรียนศึกษาตัวอย่างการค�านวณโจทย์ปญ  หา
เกิดขึ้นในแนวดิ่งได้อีกด้วย เนื่องจำกกำรเคลื่อนที่ของวัตถุลงในแนวดิ่งหรือ mg ทิศทำงกำรเคลื่อนที่ จากตั ว อย่ า งที่ 5.1-5.4 จากหนั ง สื อ เรี ย น
กำรตกแบบอิสระจะมีแรงโน้มถ่วงของโลกมำกระท�ำต่อวัตถุที่มีมวล ท�ำให้ ของวัตถุ
เกิดเป็นงำนเนื่องจำกแรงโน้มถ่วงของโลก งำนที่เกิดขึ้นในกรณีนี้จึงเท่ำกับ h วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
ผลคูณระหว่ำงแรงเนือ่ งจำกแรงโน้มถ่วงของโลกทีก่ ระท�ำต่อวัตถุกบั ควำมสูง 4. นักเรียนท�าใบงาน เรื่อง งาน จากนั้นครูสุ่ม
ทีว่ ตั ถุเคลือ่ นทีล่ งมำในแนวดิง่ เมือ่ วัดจำกต�ำแหน่งอ้ำงอิง สำมำรถค�ำนวณได้ ต�ำแหน่งอ้ำงอิง เลขที่นักเรียน 4 คน ออกมาเขียนค�าตอบของ
จำกสมกำร ภาพที่ 5.4 กำรตกแบบอิสระของวัตถุ ตนเองหน้าชั้นเรียน โดยให้เพื่อนในชั้นเรียน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ร่ ว มกั น พิ จ ารณาว่ า ค� า ตอบถู ก ต้ อ งหรื อ ไม่
W คือ งำนเนื่องจำกแรงโน้มถ่วง มีหน่วยเป็น นิวตัน เมตร (N m) หรือ จูล (J) จากนั้นครูเฉลยค�าตอบที่ถูกต้องให้นักเรียน
W = mgh m คือ มวลของวัตถุ มีหน่วยเป็น กิโลกรัม (kg)
g คือ ควำมเร่งเนื่องจำกแรงโน้มถ่วง มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินำที2 (m/s2)
h คือ ควำมสูงที่วัดจำกต�ำแหน่งอ้ำงอิง มีหน่วยเป็น เมตร (m)

ตัวอยางที่ 5.3 ลูกมะพร้ำว 2 ลูก มีมวลลูกละ 2 และ 3 กิโลกรัม ตำมล�ำดับ ตกแบบอิสระลงมำจำกต้น


ทีร่ ะดับควำมสูงเดียวกันซึง่ สูงจำกพืน้ 15 เมตร อยำกทรำบว่ำงำนเนือ่ งจำกแรงโน้มถ่วงทีเ่ กิดขึน้
มีขนำดเท่ำกับกี่จูล (ก�ำหนดให้ g = 10 m/s2)
วิธีท�า จำกสมกำร W
= mgh
มะพร้ำวลูกที่ 1; = 2 kg × 10 m/s2 × 15 m
W
W
= 300 J
มะพร้ำวลูกที่ 2; = 3 kg × 10 m/s2 × 15 m
W
W
= 450 J
ดังนั้น งำนเนื่องจำกแรงโน้มถ่วงที่เกิดขึ้นกับมะพร้ำวลูกที่ 1 และ 2 เท่ำกับ 300 และ 450 จูล ตำมล�ำดับ

ตัวอยางที่ 5.4 จงหำงำนที่เกิดขึ้นกับวัตถุที่มีมวล 5 กิโลกรัม เท่ำกันสองชิ้น ซึ่งตกลงแบบอิสระมำจำกที่สูง


เมื่อวัดจำกพื้น 5 เมตร และ 10 เมตร ตำมล�ำดับ (ก�ำหนดให้ g = 10 m/s2)
วิธีท�า จำกสมกำร W = mgh
วัตถุชิ้นที่ 1; W = 5 kg × 10 m/s2 × 5 m
W = 250 J
วัตถุชิ้นที่ 2; W = 5 kg × 10 m/s2 × 10 m
W = 500 J
ดังนั้น งำนทีเ่ กิดขึน้ กับวัตถุมวล 5 กิโลกรัม ทัง้ สองชิน้ ทีต่ กลงมำจำกทีส่ งู 5 และ 10 เมตร เท่ำกับ 250 และ 500 จูล
ตำมล�ำดับ

งานและพลังงาน 49

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


เด็กชายคนหนึ่งออกแรง 100 นิวตัน ผลักวัตถุใหเคลื่อนที่ได ครูอาจแนะน�านักเรียนเกี่ยวกับการตกแบบอิสระว่า เป็นการเคลื่อนที่
ระยะทาง ดังภาพ ในแนวดิง่ ภายใต้ความโน้มถ่วงของโลก หรือเป็นการเคลือ่ นทีอ่ ย่างอิสระของวัตถุ
F = 100 N โดยมีความเร่งคงที่ ซึ่งเท่ากับความเร่ง เนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก (g)
วัตถุ วัตถุ
มีทศิ ทางพุง่ ลงสูจ่ ดุ ศูนย์กลางของโลก มีคา่ ประมาณ 9.8 หรือ 10 เมตรต่อวินาที2
3m
งานที่เด็กชายคนนี้ทําไดเทากับกี่นิวตัน เมตร
1. 50 นิวตัน เมตร 2. 300 นิวตัน เมตร
3. 350 นิวตัน เมตร 4. 400 นิวตัน เมตร
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ W = Fs
W = 100 × 3
W = 300 N m
งานที่เด็กชายคนนี้ทําไดเทากับ 300 นิวตัน เมตร ดังนั้น
ตอบขอ 2.)

T57
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูทบทวนความรูเดิมของนักเรียน จากนั้นครู 1.2 กําลัง
กําลัง (power) เปนปริมาณที่ใชบอกอัตราการทํางานหรืองานที่ทําไดในหนึ่งหนวยเวลา กําลังเปนปริมาณ
ถามนั ก เรี ย นว า “กํ า ลั ง เกี่ ย วข อ งกั บ งาน
สเกลารเชนเดียวกับงาน โดยปริมาณที่เกี่ยวของกับกําลังประกอบดวย งาน และเวลา
อย า งไร” โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะคนร ว มกั น หากพิจารณาการทํางานของคน 2 คน นาย ก ทํางานได 100 จูล ในขณะที่นาย ข ทํางานได 500 จูล
อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ จะไมสามารถบอกไดวาระหวางนาย ก หรือนาย ข ใครมีความสามารถในการทํางานไดมากกวากันหรือใครทํางาน
(แนวตอบ งานที่ทําในหนึ่งหนวยเวลา เรียกวา ไดอยางมีประสิทธิภาพดีกวากัน เนื่องจากไมทราบวาทั้งสองคนใชเวลาในการทํางานเทาไร แตถาพิจารณางานที่
กําลัง ซึง่ กําลังเปนปริมาณสเกลารเชนเดียวกับ นาย ก และนาย ข ทําในเวลาที่เทากันจะสามารถบอกไดวาใครสามารถทํางานไดมากกวากัน กลาวคือ สามารถ
งาน) บอกไดวาใครมีกําลังในการทํางานมากกวากัน โดยสามารถคํานวณหากําลังเฉลี่ยได จากสมการ
2. ครู ตั้ ง ประเด็ น คํ า ถามให นั ก เรี ย นร ว มกั น
อภิปรายแสดงความคิดเห็นวา “คน 2 คน P คือ กําลังเฉลี่ย มีหนวยเปน จูลตอวินาที (J/s) หรือ วัตต (W)
P = Wt W คือ งาน มีหนวยเปน นิวตัน เมตร (N m) หรือ จูล (J)
ทํางานไดเทากัน แตใชเวลาในการทํางาน
t คือ เวลา มีหนวยเปน วินาที (s)
ต า งกั น ความสามารถในการทํ า งานของ
คน 2 คนเหมือนหรือตางกัน อยางไร” โดย
ไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด จากนั้นนักเรียน ตัวอย่างที่ 5.5 เด็กชายคนหนึ่งออกแรงขนาด 450 นิวตัน ลากกลองใหเคลื่อนที่เปนระยะทาง 15 เมตร
แต ล ะคนศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง ในเวลา 50 วินาที จงหากําลังเฉลี่ยในการลากกลองของเด็กชายคนนี้
กําลัง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 วิธีทํา จากสมการ P = Wt
3. นักเรียนแตละคนเขียนสรุปความรูท ไี่ ดจากการ P = Fst
ศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน P = 450 N50×s15 m = 135 W
4. นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 5.5-5.9 จากหนังสือ ดังนั้น กําลังเฉลี่ยของเด็กชายคนนี้ที่ใชในการลากกลองเทากับ 135 วัตต
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
อธิบายความรู ตัวอย่างที่ 5.6 เด็กคนหนึ่งดึงถังนํ้าหนัก 150 นิวตัน ขึ้นจากบอนํ้าลึกลงไป 5 เมตร ดวยอัตราเร็วคงตัว
เปนเวลา 6 วินาที จงหากําลังเฉลี่ยในการดึงถังนํ้าของเด็กคนนี้
1. ครูสมุ เลขทีน่ กั เรียน 3 คน ออกมาเขียนคําตอบ
วิธีทํา เด็กคนนีต้ อ งออกแรงทีม่ ขี นาดนอยทีส่ ดุ เทากับนํา้ หนักของถังนํา้ แตมที ศิ ทางตรงขาม ถังนํา้ จึงจะเคลือ่ นที่
ของตนเองหน า ชั้ น เรี ย น โดยให เ พื่ อ นใน ดวยอัตราเร็วคงตัว
ชั้ น เรี ย นร ว มกั น พิ จ ารณาว า คํ า ตอบถู ก ต อ ง จากสมการ P = Wt
หรื อ ไม จากนั้ น ครู เ ฉลยคํ า ตอบที่ ถู ก ต อ ง P = Fst
ใหนักเรียน
P = 150 N6 ×s 5 m = 125 W
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจเกี่ยวกับ
ดังนั้น เด็กคนนี้ดึงถังนํ้าขึ้นจากบอนํ้าดวยกําลังเฉลี่ย 125 วัตต
กําลังมา

50 กําลัง

สื่อ Digital ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกําลัง จากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig มิกออกแรงขนาด 1,500 นิวตัน เข็นรถยนตใหเคลื่อนที่ไป
เรื่อง กําลังมา (https://www.twig-aksorn.com/film/factpack-horsepower 20 เมตร ในเวลา 300 วินาที กําลังเฉลี่ยที่มิกออกแรงเข็นรถยนต
-8316/) มีคาเทาใด
1. 50 วัตต 2. 100 วัตต
3. 150 วัตต 4. 200 วัตต
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ P = Wt
P = Fst
P = 1,500300× 20
P = 100 วัตต
ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T58
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
ตัวอยางที่ 5.7 จงหำก�ำลังเฉลี่ยในกำรออกแรงขนำด 120 นิวตัน ยกกล่องขึ้นบันไดสูงขั้นละ 0.2 เมตร 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
จ�ำนวน 20 ขั้น ในเวลำ 10 วินำที เรือ่ ง งานและกําลัง และใหความรูเ พิม่ เติมจาก
วิธีท�ำ จำกสมกำร P = Wt = Fst คําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint
P = 120 N × 10 (0.2 m × 20)
s
เรื่อง งานและกําลัง ในการอธิบายเพิ่มเติม
P = 120 10 N×4m 2. นักเรียนจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียนตามความ
s
P = 48 W สมัครใจ จากนั้นใหนักเรียนแตละคูรวมกัน
ดังนั้น ก�ำลังเฉลี่ยที่ใช้ในกำรยกกล่องขึ้นบันไดเท่ำกับ 48 วัตต์ ทําใบงาน เรื่อง กําลัง
ตัวอยางที่ 5.8 ชำยคนหนึ่งออกแรงขนำด 180 นิวตัน ผลักกล่องให้เคลื่อนที่ ถ้ำก�ำลังเฉลี่ยที่ใช้ในกำรผลัก 3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง งานและ
กล่องเท่ำกับ 360 วัตต์ อยำกทรำบว่ำในเวลำ 20 วินำที ชำยคนนี้จะผลักกล่องให้เคลื่อนที่ได้ กําลัง จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ขนำดของกำรกระจัดเท่ำใด
วิธีท�า จำกสมกำร P = Wt = Fst ขัน้ สรุป
360 W = 18020N s× s ตรวจสอบผล
W × 20 s
s = 360 180 นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับเรื่อง งาน
N
s = 40 m และกําลัง
ดังนั้น ชำยคนนี้จะผลักกล่องให้เคลื่อนที่ได้ขนำดของกำรกระจัดเท่ำกับ 40 เมตร
ตัวอยางที่ 5.9 ผู้ชำยสำมคนออกแรงร่วมกันขนำด 150 นิวตัน เข็นรถยนต์คันหนึ่งให้เคลื่อนที่ด้วยควำมเร็ว
ขัน้ ประเมิน
คงตัว 4 เมตรต่อวินำที จงหำก�ำลังเฉลี่ยที่ผู้ชำยทั้งสำมคนใช้ในกำรเข็นรถยนต์ ตรวจสอบผล

วิธีท�า จำกสมกำร P = Wt
1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน
หนวยการเรียนรูที่ 5 งานและพลังงาน เพื่อ
P = Fst
ตรวจสอบความเขาใจกอนเรียนของนักเรียน
P = Fv
P = 150 N × 4 m/s 2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
P = 600 W ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ดังนั้น ก�ำลังเฉลี่ยที่ผู้ชำยทั้งสำมคนใช้ในกำรเข็นรถยนต์เท่ำกับ 600 วัตต์ พฤติกรรมการทํางานกลุม และจากการนําเสนอ
ผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
Science
Focus กําลังมา 3. ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนกอนเขาสู
ในอดีตมนุษย์นิยมใช้แรงงำนจำกสัตว์ เช่น ม้ำ แทนกำรใช้แรงงำนจำกมนุษย์ กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Under-
หรือเครื่องจักร ในปัจจุบันจึงมีกำรเปรียบเทียบกำรท�ำงำนของเครื่องยนต์ในหน่วย standing Check ในสมุดประจําตัวนักเรียน
ก�ำลังม้ำ (horsepower; hp) หรือที่นิยมเรียกกันว่ำ แรงม้ำ และเมื่อเทียบแรงม้ำกับ
ระบบเอสไอ (SI unit) จะได้ว่ำ 1 แรงม้ำ เท่ำกับ 746 วัตต์
4. ครูตรวจสอบผลการทําใบงาน เรื่อง งาน
ภาพที่ 5.5 ม้ำถูกน�ำมำใช้ลำกรถ 5. ครูตรวจสอบผลการทําใบงาน เรื่อง กําลัง
ที่มา : คลังภาพ อจท. 6. ครู ต รวจแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง งานและกํ า ลั ง
งานและพลังงาน 51
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2

กิจกรรม สรางเสริม แนวทางการวัดและประเมินผล


ให นั ก เรี ย นสื บ ค น ข อ มู ล เพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง กํ า ลั ง ม า ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง งานและกําลัง ไดจาก
จากสือ่ หรือแหลงการเรียนรูต า งๆ เชน อินเทอรเน็ต แลวใหนกั เรียน การนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและ
ฝกคํานวณโจทยปญหา เรื่อง กําลัง แลวตอบในหนวยกําลังมา ประเมินผลจากแบบประเมินการนําเสนอผลงาน ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรู
หรือใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางโจทย จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร หนวยการเรียนรูที่ 5
ม.2 เลม 2 เรื่อง กําลัง แลวใหนักเรียนฝกเปลี่ยนหนวยวัตต แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

ใหเปนกําลังมา คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

ลาดับที่ รายการประเมิน
3
ระดับคะแนน
2 1
1 ความถูกต้องของเนื้อหา   
2 ความคิดสร้างสรรค์   
3 วิธีการนาเสนอผลงาน   
4 การนาไปใช้ประโยชน์   
5 การตรงต่อเวลา   

รวม

ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


............/................./...................

เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T59
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
ครูสนทนากับนักเรียนวา “ในชีวิตประจําวัน 1.3 เครื่องกลอยางงาย
เครื่องกล (machine) เปนอุปกรณที่สรางขึ้นเพื่อชวยผอนแรง หรืออํานวยความสะดวกในการทํางาน
นักเรียนรูจักและเคยเห็นเครื่องกลชนิดใดบาง”
โดยเมื่อมีแรงพยายาม (effort force) หรือแรงที่ใหกับเครื่องกลเพียงเล็กนอย ก็จะสามารถเอาชนะแรงตานทานที่ได
โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันแสดงความคิดเห็น รับจากเครือ่ งกล หรือแรงเนือ่ งจากนํา้ หนักของวัตถุ (weight) ทีก่ ระทําตอเครือ่ งกลได โดยเครือ่ งกลอยางงาย (simple
อยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด machine) เปนเครื่องกลที่ไมซับซอน มี 6 ประเภท ไดแก
(แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวา คาน พื้นเอียง 1. คาน (lever) เปนเครื่องกลที่มีลักษณะเปนทอนยาว มีจุดหมุน (fulcrum) เพื่อทวีคูณแรงเชิงกล เชน
เปนตน) คอนงัดตะปู กรรไกร ตะเกียบ โดยสวนประกอบหลักของเครื่องกลประเภทคาน แสดงดังภาพที่ 5.6
แรงพยายาม
ขัน้ สอน แรงตานทาน
สํารวจคนหา
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน ตามความ
สมั ค รใจ จากนั้ น ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม จุดหมุน
ร ว มกั น ศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง ภาพที่ 5.6 สวนประกอบหลักของเครื่องกลประเภทคาน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เครื่องกลอยางงายและคาน จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หรือแหลงการเรียนรู
ประเภทของคาน
ตางๆ เชน อินเทอรเน็ต หองสมุด
2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
คานประเภทที่ 1 คานประเภทที่ 2 คานประเภทที่ 3
ศึกษา จากนั้นใหนักเรียนแตละคนเขียนสรุป
ความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุด แรงพยายาม แรงตานทาน แรงตานทาน
แรงตานทาน
แรงพยายาม
ประจําตัวนักเรียน แรงพยายาม

เปนคานที่มีจุดหมุนอยูระหวาง เปนคานที่มีแรงตานทาน (W) เป นคานที่ มี แรงพยายาม ( E)


แรงพยายาม (E) กับแรงตานทาน อยูระหวางจุดหมุนกับแรงพยายาม อยูระหวางจุดหมุนกับแรงตานทาน
(W) ซึ่งระยะระหวางแรงพยายาม (E) ซึ่งระยะระหวางแรงพยายาม (W) ซึ�งระยะระหวางแรงตานทาน
กับจุดหมุนจะมากกวาระยะระหวาง กับจุดหมุนจะมากกวาระยะระหวาง กับจุดหมุนจะมากกวาระยะระหวาง
แรงตานทานกับจุดหมุน ดังนั้น คาน แรงตานทานกับจุดหมุนเชนเดียว แรงพยายามกั บ จุ ด หมุ น ดั ง นั้ น
ประเภทนี้จึงชวยผอนแรง กับคานประเภทที่ 1 ดังนั้น คาน คานประเภทนี้จึงไมชวยผอนแรง
ประเภทนี้จึงชวยผอนแรง แตชวยอํานวยความสะดวกในการ
ทํางาน
ภาพที่ 5.7 ประเภทของคาน
ที่มา : คลังภาพ อจท.

52

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


คาน MN เปนคานตรงเบาสมํ่าเสมอ มีวัตถุวางที่ปลายคานดานหนึ่ง อีกดานหนึ่งมีแรงกด a หรือ b หรือ c
โดยกดทีละครั้งที่ตําแหนงตางๆ ดังภาพ
a b c

M N

ขอใดสรุปถูกตอง
1. แรงกด a มีคามากกวา แรงกด b 2. แรงกด b มีคามากกวา แรงกด a
3. แรงกด c มีคามากกวา แรงกด a 4. แรงกด c มีคามากกวา แรงกด b
(วิเคราะหคําตอบ แรงกดมีคาผกผันกับระยะทางจากจุดหมุนไปตั้งฉากกับแนวแรง แรงกด a b และ c จึงมี
คามากไปนอย ตามลําดับ ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T60
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
หลักการของงานสามารถนํามาอธิบายหลักการทํางานของคานได ดังนี้ 1. นั ก เรี ย นแต่ ล ะกลุ ่ ม ออกมาน� า เสนอผลการ
งานที่ใหกับคาน = งานที่คานกระทําตอวัตถุ
ศึ ก ษาหน้ า ชั้ น เรี ย น ในระหว่ า งที่ นั ก เรี ย น
Es = Wh
น� า เสนอ ครู ค อยให้ ข ้ อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
Es = mgh
เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
2. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลจากการ
ระยะที่คานยกวัตถุ
ศึกษา ซึ่งควรได้ข้อสรุปร่วมกันว่า “เครื่องกล
ระยะที่กดคาน
(h)
แรงพยายาม (E) (s) อย่างง่าย เป็นอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยผ่อน
m
แรง หรืออ�านวยความสะดวกในการท�างาน
แรงตานทาน (W)
จุดหมุน ให้เป็นไปอย่างสะดวกขึ้น เครื่องกลอย่างง่าย
ภาพที่ 5.8 กลไกการทํางานของคาน
แบ่งออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่ คาน รอก ลิ่ม
ที่มา : คลังภาพ อจท. พืน้ เอียง สกรู และล้อและเพลา โดยแต่ละประเภท
ถาตําแหนงของจุดหมุนอยูใ กลกบั วัตถุ จะสงผลใหระยะทีค่ านยกวัตถุ (h) นอยกวาระยะทีอ่ อกแรงกดคาน (s) เสมอ มีหลักการท�างานทีแ่ ตกต่างกันเพือ่ ช่วยในการ
และเนื่องจากงานที่ใหกับคานเทากับงานที่คานกระทําตอวัตถุ ดังนั้น แรงพยายาม (E) จะนอยกวาแรงตานทาน (W) ผ่อนแรงในการท�างาน และแต่ละประเภทมี
กลาวคือ แรงที่ใหกบั คานจะมีขนาดนอยกวาแรงทีค่ านกระทําตอวัตถุ ดังนัน้ คานจึงเปนเครือ่ งกลประเภทหนึง่ ทีช่ ว ย วัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกันด้วย”
ผอนแรง ซึ่งนํามาประยุกตใชในชีวิตประจําวัน เชน กรรไกร คอน ชะแลง คีมตัดลวด รถเข็นทราย ที่เปดฝาขวด 3. ครูอธิบายให้นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับคานว่า
ที่ตัดกระดาษ “คาน เป็นเครื่องกลอย่างง่ายที่มีลักษณะเป็น
แรงพยายาม
แรงตานทาน ท่อยาวและแข็ง มีสว่ นประกอบทีส่ า� คัญ 3 ส่วน
จุดหมุน
ได้แก่ จุดหมุน (F) แรงพยายาม (E) และแรง
แรงพยายาม
ต้านทาน (W)”
4. ครูเตรียมบัตรภาพอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กรรไกร
แรงตานทาน
ค้ อ น คี ม ตั ด ลวด รถเข็ น ไม้ ก วาด พลั่ ว
แรงตานทาน
แรงพยายาม มาให้ นั ก เรี ย นดู จากนั้ น นั ก เรี ย นวาดภาพ
อุปกรณ์ตา่ งๆ จากบัตรภาพ แล้วเติมต�าแหน่ง
แรงตานทาน ของจุดหมุน (F) แรงพยายาม (E) และแรง
ต้านทาน (W) ลงในสมุดประจ�าตัวนักเรียน

จุดหมุน จุดหมุน
ภาพที่ 5.9 ตัวอยางอุปกรณที่ใชหลักการของคาน
ที่มา : คลังภาพ อจท.

งานและพลังงาน 53

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


ชายคนหนึ่งใชคานงัดยกวัตถุหนัก 2.5 กิโลกรัม ใหสูงขึ้น 1.5 ครูอาจสรุปประเภทของคานและยกตัวอย่างอุปกรณ์ของคานแต่ละประเภท
เมตร ชายคนนี้ตองออกแรงพยายามขนาดกี่นิวตัน เพื่อกดคานลง ดังนี้
0.5 เมตร (กําหนดให g = 10 m/s2) • คานอันดับที่ 1 คือ คานที่มีจุดหมุน (F) อยู่ระหว่างแรงพยายาม (E)
1. 25 นิวตัน 2. 50 นิวตัน และแรงต้านทาน (W) เครือ่ งใช้ทใี่ ช้หลักของคานอันดับที่ 1 เช่น ชะแลง กรรไกร
3. 75 นิวตัน 4. 100 นิวตัน ตัดผ้า คีมตัดลวด กรรไกรตัดเล็บ
(วิเคราะหคําตอบ • คานอันดับที่ 2 คือ คานที่มีแรงต้านทาน (W) อยู่ระหว่างแรงพยายาม
งานที่คานกระทําตอวัตถุ = งานที่ใหกับคาน (E) และจุดหมุน (F) เครื่องใช้ที่ใช้หลักของคานอันดับที่ 2 เช่น รถเข็นดิน
Wh = Es ที่เปดขวด ที่ตัดกระดาษ
mgh = Es
• คานอันดับที่ 3 คือ คานที่มีแรงพยายาม (E) อยู่ระหว่างแรงต้านทาน
2.5 × 10 × 1.5 = E × 0.5
(W) และจุดหมุน (F) เครื่องใช้ที่ใช้หลักของคานอันดับที่ 3 เช่น แหนบ ตะเกียบ
E = 2.5 × 0.5
10 × 1.5
พลั่ว คีมคีบถ่าน ปากกา ไม้กวาดด้ามยาว
E = 75 นิวตัน
ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T61
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนแบ่งกลุม่ ออกเป็น 5 กลุม่ กลุม่ ละเท่าๆ 2. ลิ่ม (wedge) เป็นเครื่องกลที่มีรูปร่ำงสำมเหลี่ยม นิยมใช้ตอกลงในเนื้อวัตถุเพื่อแยกวัตถุให้ออกจำกกัน
ซึ่งน�ำมำประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน เช่น ขวำน มีด ส้อม
กัน จากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทน
ออกมาจับสลากหัวข้อที่ศึกษา โดยให้นักเรียน E จำกภำพที่ 5.10 เมื่อออกแรงพยำยำม (E)
แต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ L กระท�ำต่อลิ่มให้เคลื่อนที่เข้ำไปในเนื้อวัตถุเป็นระยะ
เรื่อง เครื่องกลอย่างง่าย กลุ่มละ 1 ประเภท H ท�ำให้วัตถุแยกออกจำกกันเป็นระยะ L ซึ่งภำยใน
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 เนื้อวัตถุจะมีแรงต้ำนทำน (W) โดยหลักกำรของงำน
H สำมำรถน�ำมำอธิบำยหลักกำรท�ำงำนของลิ่มได้ ดังนี้
หรือแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต W W
ห้องสมุด ซึ่งหัวข้อประกอบด้วย งำนที่ให้กับลิ่ม = งำนที่ได้จำกลิ่ม
• กลุ่มที่ 1 ศึกษาเรื่อง ลิ่ม EH = WL
• กลุ่มที่ 2 ศึกษาเรื่อง รอก ภาพที่ 5.10 ลิ่ม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
• กลุ่มที่ 3 ศึกษาเรื่อง พื้นเอียง
• กลุ่มที่ 4 ศึกษาเรื่อง สกรู Science in Real Life
• กลุ่มที่ 5 ศึกษาเรื่อง ล้อและเพลา ในปัจจุบันตะปูเป็นเครื่องมือที่มี
2. นั ก เรี ย นแต่ ล ะกลุ ่ ม ร่ ว มกั น อภิ ป รายเรื่ อ งที่ อยูท่ วั่ ไปตำมบ้ำนเรือน ใช้สำ� หรับกำรยึด
ตรึง หรือเพื่อท�ำให้วัตถุหนึ่งยึดติดกับอีก
ได้ศึกษา จากนั้นร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้จาก วัตถุหนึ่ง ตะปูส่วนมำกท�ำมำจำกเหล็ก
การศึกษาค้นคว้าลงในสมุดประจ�าตัวนักเรียน มีควำมแข็งแรง มีลักษณะปลำยแหลม
รูปร่ำงคล้ำยเข็ม หลักกำรในกำรท�ำงำน
อธิบายความรู้ คล้ำยกับลิ่ม เนื่องจำกหัวตะปูมีควำม
กว้ำงและสัน้ กว่ำควำมยำวของล�ำตัวตะปู
1. ครู ตั้ ง ประเด็ น ค� า ถาม โดยใช้ ค� า ถามจาก เมื่อออกแรงตอกที่หัวตะปู จะท�ำให้ตะปู
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 ว่า ภาพที่ 5.11 ขวำนเป็นเครื่องมือที่ใช้หลักกำรของลิ่ม เจำะเข้ำไปในเนื้อวัตถุ โดยทั่วไปตะปูมี
“ถ้าสันของลิ่มมีความกว้างมากกว่าความยาว ที่มา : คลังภาพ อจท. ลักษณะและรูปร่ำงที่แตกต่ำงกัน ขึ้นอยู่
กับประเภทของใช้งำน เช่น
ของลิ่มจะส่งผลอย่างไร” จำกภำพจะเห็นว่ำ ตัวขวำนมีลักษณะคล้ำยกับลิ่ม ถ้ำควำมยำว
1. ตะปูตอกคอนกรีต จะมีช่วงล�ำตัว
(แนวตอบ เมื่อออกแรงกระทํา จะทําใหขวาน ของตัวขวำน (H) มำกกว่ำควำมกว้ำงของสันขวำน (L) มำก เมื่อออกแรง
เป็นร่องลึก
เพียงเล็กน้อยจะช่วยท�ำให้ขวำนเจำะเข้ำไปในเนือ้ วัตถุ หรือแยกวัตถุให้ออก
เจาะเขาไปในเนื้อวัตถุตื้น สงผลใหแยกวัตถุ จำกกันได้ง่ำยมำกขึ้น
2. ตะปูตอกไม้ จะมีหัวตะปูขนำดเล็ก
ออกจากกันไดยาก) 3. ตะปูตอกสังกะสี จะมีหัวตะปูที่มี
ขนำดใหญ่ และกลมโค้งเล็กน้อย เพื่อ
ถาสันของลิ่ม ช่วยยึดสังกะสีให้ติดกับโครง
มีความกวางมากกวา
ความยาวของลิ่ม
จะสงผลอยางไร

54

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


นายตนออกแรงขนาด 500 นิวตัน ตอกลิ่มกวาง 5 เซนติเมตร ยาว 12 เซนติเมตร ดังภาพ แรงที่ลิ่มกระทําตอผนังไม
มีขนาดกี่นิวตัน

1. 500 นิวตัน 2. 1,000 นิวตัน


W 3. 1,200 นิวตัน 4. 1,500 นิวตัน
(วิเคราะหคําตอบ งานที่ใหกับลิ่ม = งานที่ไดจากลิ่ม
EH = WL
E = 500 N 5 cm 500 × 0.12 = W × 0.05
W = 5000.05 × 0.12
12 cm
W = 1,200 นิวตัน
ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T62
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
3. รอก (pulley) เป็นเครือ่ งกลทีม่ ลี กั ษณะเป็นล้อ และมีเชือกหรือเคเบิลพำดรอบล้อ ช่วยอ�ำนวยควำมสะดวก 2. นั ก เรี ย นแต่ ล ะกลุ ่ ม ออกมาน� า เสนอผลการ
ในกำรเคลื่อนย้ำยสิ่งของ ซึ่งรอกเดี่ยวเป็นเครื่องกลอย่ำงง่ำยสำมำรถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
ศึ ก ษาหน้ า ชั้ น เรี ย น ในระหว่ า งที่ นั ก เรี ย น
1) รอกเดี่ยวตายตัว (fixed pulley) เป็นรอกเดี่ยวที่ตรึงติดอยู่
กับที่ ใช้เชือกหนึง่ เส้นพำดรอบล้อ โดยปลำยข้ำงหนึง่ ผูกติดกับวัตถุ และปลำย
น� า เสนอ ครู ค อยให้ ข ้ อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
อีกข้ำงหนึง่ ใช้สำ� หรับดึง โดยหลักกำรของงำนสำมำรถน�ำมำอธิบำยหลักกำร เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
E
ท�ำงำนของรอกเดี่ยวตำยตัวได้ ดังนี้ 3. ครูเตรียมบัตรภาพอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กรรไกร
s งำนที่ให้กับรอก = งำนที่ได้จำกรอก ขวาน รอกเดี่ยว ลูกบิดประตู บันได ปากกา
Es = Wh จับชิ้นงาน มาให้นักเรียนดู จากนั้นให้นักเรียน
m เมือ่ ออกแรงพยำยำมดึงเชือกเป็นระยะ s วัตถุจะถูกรอกดึงขึน้ แต่ละกลุ่มร่วมกันท�าใบงาน เรื่อง เครื่องกล
เป็นระยะ h ซึ่งเท่ำกับ s เช่นกัน ท�ำให้แรงที่ใช้ดึงวัตถุมีขนำดเท่ำกับน�้ำหนัก อย่างง่าย โดยเติมชือ่ อุปกรณ์ ประเภทเครือ่ งกล
h=s W ของวัตถุที่รอกดึงขึ้น
อย่างง่าย และหลักการท�างาน
E = mg
ภาพที่ 5.12 รอกเดี่ยวตำยตัว
ที่มา : คลังภาพ อจท. ดังนั้น รอกเดี่ยวตำยตัวจึงไม่ช่วยผ่อนแรง แต่ช่วยอ�ำนวย
ควำมสะดวกในกำรท�ำงำน
2) รอกเดีย่ วเคลือ่ นที่ (moveable pulley) เป็นรอกเดีย่ วทีส่ ำมำรถ
s เคลื่อนที่ได้ขณะใช้งำน ซึ่งมีวัตถุผูกติดอยู่กับตัวรอก และใช้เชือกเส้นหนึ่ง
พำดรอบล้อของตัวรอก ปลำยเชือกข้ำงหนึ่งยึดติดไว้กับเพดำน ส่วนปลำย
E
เชือกอีกข้ำงหนึง่ ใช้สำ� หรับออกแรงพยำยำมดึงรอกขึน้ โดยหลักกำรของงำน
สำมำรถน�ำมำอธิบำยหลักกำรท�ำงำนของรอกเดี่ยวเคลื่อนที่ได้ ดังนี้
งำนที่ให้กับรอก = งำนที่ได้จำกรอก
m Es = Wh
h = 2s W เมือ่ ออกแรงพยำยำมดึงเชือกเป็นระยะ s วัตถุจะถูกรอกดึงขึน้
เป็นระยะ h ซึ่งมีระยะเป็นครึ่งหนึ่งของระยะ s นั่นคือ h = 2s ท�ำให้แรงที่ใช้
ภาพที่ 5.13 รอกเดี่ยวเคลื่อนที่ ดึงวัตถุมีขนำดเท่ำกับครึ่งหนึ่งของน�้ำหนักของวัตถุที่รอกดึงขึ้น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
E = mg2
ดังนั้น รอกเดี่ยวเคลื่อนที่จึงช่วยผ่อนแรงและช่วยอ�ำนวย
ควำมสะดวกในกำรท�ำงำน
Science
Focus รอกพวง
รอกพวง คือ รอกเดี่ยวหลำย ๆ ตัว ที่ถูกน�ำมำประกอบกันเพื่อช่วยผ่อนแรงในกำรท�ำงำน โดยทั่วไปรอกพวงมี 3 ระบบ ได้แก่
• รอกพวงระบบที่ 1 ประกอบด้วย รอกเดี่ยวตำยตัวและรอกเดี่ยวเคลื่อนที่
• รอกพวงระบบที่ 2 ประกอบด้วย รอกตับบนเป็นรอกเดี่ยวตำยตัว และรอกตับล่ำงเป็นรอกเดี่ยวเคลื่อนที่
• รอกพวงระบบที่ 3 ประกอบด้วย รอกเดี่ยวตำยตัวหลำยตัว

งานและพลังงาน 55

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


รอกชนิดใดไมชวยผอนแรงในการทํางาน แตมีวัตถุประสงค ครูอาจแนะน�าเพิ่มเติมเกี่ยวกับรอกว่า ในปจจุบันนี้ รอกมีหลากหลาย
เพื่อขนยายสิ่งของ รูปแบบ คือ มีทั้งรอกโซ่และรอกไฟฟ้า การน�ารอกไปใช้งานควรพิจารณา
1. รอกพวง ความเหมาะสมกับงาน จึงจะท�าให้เกิดประสิทธิภาพในการท�างานของรอก
2. รอกไฟฟ้า ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งรอกไฟฟ้าเป็นเครื่องทุ่นแรงที่อาศัยพลังงานไฟฟ้ากับเครื่อง
3. รอกเดี่ยวตายตัว จักรกลขนาดเล็กท�างานคู่กับรถ เพื่อที่จะยกหรือขนสิ่งของต่างๆ สามารถยกได้
4. รอกเดี่ยวเคลื่อนที่ ทั้งในแนวตรงและทางโค้ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
(วิเคราะหคําตอบ การทํ า งานของรอกเดี่ ย วตายตั ว คื อ วั ต ถุ 1. รอกสลิงไฟฟา เหมาะกับงานยกหรือย้ายวัตถุทมี่ ีขนาดใหญ่ มีทั้งแบบ 2
จะถู ก รอกดึ ง ขึ้ น สู ง เป น ระยะทางเท า กั บ ระยะที่ ค นดึ ง เชื อ ก ทิศทาง แค่ขึ้นลง หรือ 4 ทิศทาง คือ เพิ่มซ้ายและขวา
รอกเดี่ยวตายตัวจึงไมชวยผอนแรง แตชวยอํานวยความสะดวก 2. รอกโซไฟฟา เหมาะกับการยกวัตถุทมี่ ขี นาดเบา ดัดแปลงมาจากรอกโซ่
ในการทํางาน ดังนั้น ตอบขอ 3.) ดั้งเดิมที่เคยใช้มือหรือแรงคน

T63
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. ครู เ ป ด โอกาสให้ นั ก เรี ย นซั ก ถามเนื้ อ หา 4. พื้นเอียง (inclined plane) เป็นเครื่องกลที่มีลักษณะเป็นทำงลำด หรือเป็นไม้กระดำนยำว พื้นผิวเรียบ ใช้
พำดบนที่สูงเพื่อลำกหรือผลักวัตถุที่มีน�้ำหนักมำกขึ้นสู่ที่สูง หรือย้ำยวัตถุจำกที่สูงลงมำให้สะดวกขึ้น เช่น ทำงลำด
เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง เครื่ อ งกลอย่ า งง่ า ย และให้ ส�ำหรับผู้พิกำร พื้นเอียงที่พำดกับยำนพำหนะ
ความรู้เพิ่มเติมจากค�าถามของนักเรียน โดย
ครูใช้ PowerPoint เรื่อง เครื่องกลอย่างง่าย
m E
ในการอธิบายเพิ่มเติม
2. นักเรียนท�า Topic Question จากหนังสือเรียน W
วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 ลงในสมุดประจ�าตัว h L
นักเรียน
ภาพที่ 5.14 พื้นเอียง
3. นักเรียนแต่ละคนท�าแบบฝกหัด เรือ่ ง เครือ่ งกล ที่มา : คลังภาพ อจท.
อย่างง่าย จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร์ ม.2
เล่ม 2 เมือ่ ออกแรงพยำยำม (E) ผลักกล่องมวล m ให้
เคลือ่ นทีไ่ ปบนพืน้ เอียงยำว L ในขณะเดียวกันแรงโน้มถ่วง
ขัน้ สรุป ของโลก (g) จะดึงวัตถุให้ลงมำจำกควำมสูง h โดยหลัก
กำรของงำนสำมำรถน�ำมำอธิบำยหลักกำรท�ำงำนของ
ตรวจสอบผล พื้นเอียงได้ ดังนี้
นั ก เรี ย นและครู ร ่ ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง งำนที่ให้กับพื้นเอียง = งำนที่ได้จำกพื้นเอียง
เครื่องกลอย่างง่าย ซึ่งควรได้ข้อสรุปร่วมกันว่า EL = Wh
“เครื่องกลอย่างง่ายเป็นเครื่องมือที่ช่วยผ่อนแรง EL = mgh ภาพที่ 5.15 ตัวอย่ำงเครื่องมือที่ใช้หลักกำรของพื้นเอียง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
และช่วยอ�านวยความสะดวกในการท�างาน โดย
เครื่องกลอย่างง่าย มี 6 ประเภท ได้แก่ คาน รอก 5. สกรู (screw) หรือนอต เป็นเครื่องกลที่มีหลักกำรท�ำงำนคล้ำยกับพื้นเอียง แตกต่ำงกันที่สกรูจะเป็นตัว
พื้นเอียง สกรู ลิ่ม และล้อและเพลา” เคลื่อนที่แทนวัตถุ น�ำมำใช้ส�ำหรับยกวัตถุที่มีน�้ำหนักมำกขึ้นสู่ที่สูงได้

m E เมื่อออกแรงพยำยำม (E) หมุนสกรูให้เคลื่อนที่เป็นวงกลมด้วย


R รัศมี R ครบ 1 รอบ ท�ำให้ยกวัตถุมวล m สูงขึ้น เป็นระยะ h โดยหลักกำร
E ของงำนสำมำรถน�ำมำอธิบำยหลักกำรท�ำงำนของสกรูได้ ดังนี้
h
งำนที่ให้กับสกรู = งำนที่ได้จำกสกรู
E × 2πR = Wh
มองจำกด้ำนบน E × 2πR = mgh
นอกจำกนี้ สกรูยงั ถูกน�ำมำใช้กบั โรงงำนอุตสำหกรรมและอุปกรณ์
ภาพที่ 5.16 สกรู
ที่มา : คลังภาพ อจท. ทัว่ ไป เช่น นอตยึดวัสดุตำ่ ง ๆ เข้ำด้วยกัน ปำกกำจับชิน้ งำนส�ำหรับงำนตะไบ

56

สื่อ Digital กิจกรรม ทาทาย


ครูให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการท�างานของลิ่ม พื้นเอียง และสกรู ให้นักเรียนส�ารวจอุปกรณ์ภายในบ้านของตนเองอย่างน้อย
จากภาพยนตร์สารคดีสั้น Twig เรื่อง พื้นเอียง ลิ่ม และสกรู (https://www. 10 ชนิด แล้วระบุชอื่ อุปกรณ์และอธิบายหลักการท�างานว่า มีความ
twig-aksorn.com/film/planes-wedges-screws-8301/) เกีย่ วข้องกับการประยุกต์เครือ่ งกลอย่างง่ายอย่างไร ลงในกระดาษ
A4 ตกแต่งให้สวยงาม และพร้อมน�าเสนอหน้าชั้นเรียน

T64
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
6. ล้อกับเพลา (wheel and axle) เป็นเครื่องกลที่ประกอบด้วยทรงกระบอก 2 อันติดกัน อันใหญ่เรียกว่า 1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ล้อ อันเล็กเรียกว่า เพลา โดยเชือกทีพ่ นั รอบล้อและเพลามีทศิ ทางสวนทางกัน และปลายข้างหนึง่ ของเชือกทีพ่ นั รอบ
ตอบค�าถาม พฤติกรรมการท�างานรายบุคคล
เพลาใช้ผูกติดกับวัตถุ ส่วนปลายข้างหนึ่งของเชือกที่พันรอบล้อใช้ส�าหรับออกแรงดึง ดังภาพที่ 5.17
พฤติ ก รรมการท� า งานกลุ ่ ม และจากการ
R
E น�าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน
2. ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนก่อนเข้าสู่
r
กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Under-
E standing Check ในสมุดประจ�าตัวนักเรียน
m
3. ครูตรวจสอบผลการท�าใบงาน เรื่อง เครื่องกล
m W
อย่างง่าย
ภาพที่ 5.17 ล้อและเพลา
W ที่มา : คลังภาพ อจท. 4. ครูตรวจ Topic Question ในสมุดประจ�าตัว
เมื่อออกแรงพยายาม (E) ดึงเชือกให้ล้อหมุน 1 รอบ ด้วยรัศมี Science in Real Life นักเรียน
R ในขณะเดียวกันเพลาจะหมุนด้วยรัศมี r ซึ่งมีขนาดน้อยกว่ารัศมีของล้อ ในปัจจุบนั มีการน�าหลักการของล้อ 5. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง เครื่องกลอย่างง่าย
และเพลามาประยุกต์ใช้กับยานพาหนะ
จะท�าให้เกิดแรงหมุนทีเ่ พลาดึงวัตถุหนัก W ขึน้ โดยหลักการของงานสามารถ
และอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น รถจักรยาน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
น�ามาอธิบายหลักการท�างานของล้อและเพลาได้ ดังนี้ โดยรถจักรยานจะมีโซ่เหล็กที่พันรอบ
งานที่ให้กับล้อ = งานที่ได้จากเพลา เพลาหรื อ จานหมุ น และล้ อ หลั ง ของ
ER = Wr รถจั ก รยาน เมื่ อ ปั ่ น จานหมุ น ของรถ
ER = mgr จักรยานครบ 1 รอบ ด้วยรัศมี r จะ
ท�าให้ล้อรถจักรยานหมุนไปด้วยรัศมี R
เนื่องจากรัศมีของล้อ (R) มากกว่ารัศมีของเพลา (r) เสมอ ซึ่งมากกว่า r ท�าให้รถจักรยานเคลื่อนที่
เมือ่ ออกแรงหมุนล้อเพียงเล็กน้อย แรงทีไ่ ด้จากเพลาจะมีขนาดมากกว่า ดังนัน้ ไปข้างหน้าได้ นอกจากนี้ ลูกบิดประตู
ล้อและเพลาจึงเป็นเครื่องกลที่ช่วยผ่อนแรง แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ก็น�าหลักการของล้อและเพลามาใช้เช่น
รัศมีของล้อและเพลา ซึ่งถ้าต้องการผ่อนแรงมากรัศมีของล้อและเพลาต้อง เดียวกัน โดยมีลูกบิดเป็นล้อและแกน
แตกต่างกันมาก ลูกบิดเป็นเพลา

Topic Question
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. คุณพ่อถือตุ้มน�้าหนักมวล 5 กิโลกรัม ไว้ในมือเป็นเวลา 5 นาที จากนั้นคุณพ่อยกตุ้มน�้าหนักขึ้นและลงเป็นเวลา
30 นาที จงหาว่าเมื่อใดบ้างที่เกิดงานในทางฟิสิกส์
2. ชายคนหนึ่งแบกวัตถุมวล 10 กิโลกรัม ไว้บนบ่า เดินขึ้นสะพานลอยข้ามถนนซึ่งสูง 5 เมตร จากพื้นถนน ยาว
30 เมตร เป็นเวลา 2 นาที จงหางานและก�าลังที่เกิดขึ้นจากการแบกวัตถุของชายคนนี้
3. ค้อนงัดตะปูมีหลักการท�างานเหมือนกับเครื่องกลชนิดใดบ้าง และช่วยผ่อนแรงได้อย่างไร

งานและพลังงาน 57

แนวตอบ Topic Question แนวทางการวัดและประเมินผล


1. เมื่อคุณพอยกตุมนํ้าหนักขึ้นเหนือศีรษะ
ครูวัดและประเมินผลความเข้าใจในเนื้อหา เรื่อง เครื่องกลอย่างง่าย
2. งานที่ชายคนนี้กระทํามีคาเทากับ 500 นิวตัน เมตร และกําลังที่
ได้จากการน�าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑ์การวัด
เกิดขึ้นจากการแบกวัตถุของชายคนนี้เทากับ 4.17 วัตต
และประเมินผลจากแบบประเมินการน�าเสนอผลงาน ที่อยู่ในแผนการจัดการ
3. คาน เนื่องจากคอนงัดตะปูมีจุดหมุน (F) อยูระหวางแรงพยายาม (E)
เรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
และแรงตานทาน (W) เนื่องจากหลักการโมเมนตของแรง แรงจะแปร
ผกผันกับระยะทางจากจุดหมุนไปตัง้ ฉากกับแนวแรง ซึง่ ระยะหางของ แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

แรงพยายามทีม่ อื กระทําตอดามคอนมายังจุดหมุนมีมากกวาระยะหาง ลาดับที่

1
2
รายการประเมิน

ความถูกต้องของเนื้อหา
ความคิดสร้างสรรค์
3


ระดับคะแนน



2 1

ของแรงตานทานทีค่ อ นกระทําตอตะปู ดังนัน้ เราจึงออกแรงพยายาม


3 วิธีการนาเสนอผลงาน   
4 การนาไปใช้ประโยชน์   
5 การตรงต่อเวลา   

รวม

นอยกวาแรงตานทานที่คอนกระทําตอตะปู ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


............/................./...................

เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T65
น�ำ น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครู เ ตรี ย มบั ต รภาพน�้ า ตกมาให้ นั ก เรี ย นดู Understanding Check
จากนั้ น ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นว่ า “น�้ า ตกมี พิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึก
พลังงานใดสะสมอยูบ่ า้ ง จึงท�าให้นา�้ ตกไหลลง ถูก/ผิด

จากทีส่ งู ด้วยความเร็วและแรง” โดยให้นกั เรียน 1. วัตถุที่วำงนิ่งอยู่กับพื้นมีพลังงำนศักย์และพลังงำนจลน์สะสมอยู่ภำยในวัตถุ


ร่วมกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นอย่าง 2. พลังงำนศักย์โน้มถ่วงมีค่ำสูงสุดเมื่อวัตถุตกลงสู่พื้น

มุ ด
อิสระโดยไม่มีการเฉลยว่าถูกหรือผิด

นส
3. พลังงำนจลน์ของวัตถุจะสะสมอยู่ในวัตถุที่เคลื่อนที่

งใ
2. นั ก เรี ย นตรวจสอบความเข้ า ใจของตนเอง


ทึ ก
4. พลังงำนไม่มีวันสูญหำย และพลังงำนสำมำรถเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงำนอื่นได้

บั น
ก่ อ นเข้ า สู ่ กิ จ กรรมการเรี ย นการสอน จาก
5. แผงเซลล์สุริยะสำมำรถเปลี่ยนพลังงำนแสงให้เป็นพลังงำนไฟฟ้ำได้
กรอบ Understanding Check ในหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 โดยบันทึกลงในสมุด
ประจ�าตัวนักเรียน Prior
Knowledge
2 พลังงาน
3. ครูถามค�าถาม Prior Knowledge จากหนังสือ หลักการของงาน พลังงำนไม่สำมำรถมองเห็นได้ดว้ ยตำเปล่ำ แต่สำมำรถรับรูไ้ ด้
เรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 เพื่อเป็นการ สัมพันธ์กบั พลังงาน เช่น พลังงำนเสียงทีม่ มี ำกเกินไปจะท�ำให้เรำรูส้ กึ ปวดหู พลังงำนควำม
น�าเข้าสู่บทเรียน อย่างไร ร้อนที่ได้รับจำกดวงอำทิตย์ พลังงำนไฟฟ้ำที่ท�ำให้เครื่องใช้ไฟฟ้ำ
ท�ำงำนได้
พลังงาน (energy) ในทำงฟิสิกส์ เป็นควำมสำมำรถที่อยู่ในตัวของวัตถุ ส่งผลให้วัตถุมีกำรเปลี่ยนแปลง
เกิดขึ้น เช่น เปลี่ยนสถำนะ หรือเปลี่ยนสภำพกำรเคลื่อนที่ พลังงำนไม่สำมำรถสร้ำงขึ้นใหม่ได้ แต่สำมำรถเปลี่ยน
รูปแบบเป็นแบบอื่นได้ ส�ำหรับพลังงำนที่จะศึกษำในระดับชั้นนี้เป็นพลังงำนที่อยู่ในวัตถุทุกชนิด ซึ่งก็คือ พลังงำนกล
(mechanical enengy)
2.1 ประเภทของพลังงานกล
พลังงำนกลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. พลังงานจลน์ (kinetic energy; Ek) เป็น
พลั ง งำนที่ ถู ก ครอบครองโดยวั ต ถุ ที่ เ คลื่ อ นที่ เช่ น
กำรไหลของกระแสน�้ำ รถก�ำลังแล่น ก้อนหินที่ตกจำก
แนวตอบ Understanding Check ทีส่ งู พลังงำนจลน์จะมีคำ่ มำกหรือน้อยขึน้ อยูก่ บั มวลและ
อัตรำเร็วของวัตถุ กล่ำวคือ ในกรณีที่วัตถุมีมวลเท่ำกัน
1. ผิด 2. ผิด 3. ถูก วัตถุทเี่ คลือ่ นทีด่ ว้ ยอัตรำเร็วสูง จะมีพลังงำนจลน์มำกกว่ำ
4. ถูก 5. ถูก วัตถุทเี่ คลือ่ นทีด่ ว้ ยอัตรำเร็วต�ำ่ แต่ในกรณีทวี่ ตั ถุเคลือ่ นที่
ภาพที่ 5.18 รถแข่งที่แล่นด้วยอัตรำเร็วสูงที่สุด จะมีพลังงำนจลน์
ด้วยอัตรำเร็วเท่ำกัน วัตถุที่มีมวลมำกจะมีพลังงำนจลน์ มำกกว่ำรถแข่งคันอื่น ๆ (ในกรณีที่มีมวลเท่ำกัน)
แนวตอบ Prior Knowledge มำกกว่ำวัตถุที่มีมวลน้อย ที่มา : คลังภาพ อจท.
พลั ง งานเป น สิ่ ง ที่ บ  ง บอกถึ ง ความสามารถ
ในการทํางานไดของวัตถุ สงผลใหวตั ถุเปลีย่ นแปลง 58
สภาพการเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนสถานะ

สื่อ Digital ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูให้นกั เรียนศึกษาเพิม่ เติมเกีย่ วกับพลังงาน จากภาพยนตร์สารคดีสนั้ Twig พลั ง งานจลน ที่ ส ะสมอยู  ใ นก อ นหิ น ซึ่ ง ตกจากหน า ผาสู ง
เรือ่ ง พลังงาน (https://www.twig-aksorn.com/film/glossary/energy-6850/) พรอมกัน จะมีคามากหรือนอยขึ้นอยูกับสิ่งใด
1. ความเร่ง
2. ความดันอากาศ
3. มวลของก้อนหิน
4. ความสูงของหน้าผา
(วิเคราะหคําตอบ พลังงานจลนที่สะสมอยูในกอนหิน 2 กอน
ซึ่ ง ตกจากหน า ผาสู ง จะมี ค  า มากหรื อ น อ ยขึ้ น อยู  กั บ มวลและ
อัตราเร็วของกอนหิน ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T66
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2. พลังงานศักย์ (potential energy; Ep) เป็นพลังงำนที่สะสมอยู่ในวัตถุ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. นักเรียนแต่ละคนเปรียบเทียบพลังงานทีส่ ะสม
1) พลั ง งานศั ก ย์ โ น้ ม ถ่ ว ง ( gravitational อยูใ่ นวัตถุ โดยครูเขียนบนกระดานให้นกั เรียน
potential energy) เป็นพลังงำนทีส่ ะสมอยูใ่ นวัตถุทเี่ กีย่ วข้อง
ดู จากนัน้ ให้นกั เรียนบันทึกลงในสมุดประจ�าตัว
กับต�ำแหน่งของวัตถุเมื่อเปรียบเทียบกับต�ำแหน่งอ้ำงอิง
ในสนำมโน้มถ่วง เช่น นกบินอยู่บนท้องฟ้ำ หรือก้อนหิน นักเรียน ดังนี้
บนภูเขำ ซึ่งพลังงำนศักย์โน้มถ่วงจะมีค่ำมำกหรือน้อย • มวล A และมวล B มีขนาดเท่ากัน มวล A
ขึ้นอยู่กับมวลและต�ำแหน่งของวัตถุจำกระดับอ้ำงอิง เคลื่ อ นที่ เ ร็ ว กว่ า มวล B จงเปรี ย บเที ย บ
กล่ำวคือ ถ้ำวัตถุทมี่ มี วลต่ำงกันอยูใ่ นระดับควำมสูงเหนือ พลังงานจลน์ในวัตถุมวล A และมวล B
ต�ำแหน่งอ้ำงอิงเท่ำกัน วัตถุทมี่ มี วลมำกกว่ำจะมีพลังงำน ภาพที่ 5.19 ที่ระดับควำมสูงเหนือพื้นดินเท่ำกัน นักกระโดดร่มที่มี • มวล A มีขนาดใหญ่กว่ามวล B เคลื่อนที่
ศั ก ย์ โ น้ ม ถ่ ว งสะสมอยู ่ ม ำกกว่ ำ วั ต ถุ ที่ มี ม วลน้ อ ยกว่ ำ มวลมำกที่สุด จะมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วงสะสมอยู่มำกที่สุด
ดังภำพที่ 5.19 แต่ถ้ำวัตถุมีมวลเท่ำกันอยู่ในระดับ ที่มา : คลังภาพ อจท. เร็วเท่ากัน จงเปรียบเทียบพลังงานงานจลน์
ควำมสูงต่ำงกัน วัตถุทอี่ ยูส่ งู กว่ำจะมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วง ในวัตถุมวล A และมวล B
มำกกว่ำวัตถุที่อยู่ต�่ำกว่ำ ดังภำพที่ 5.21 • มวล A และมวล B มีขนาดเท่ากัน แต่มวล A
2) พลังงานศักย์ยืดหยุ่น (elastic potential อยู่สูงกว่ามวล B จงเปรียบเทียบพลังงาน
energy) เป็นพลังงำนศักย์รปู แบบหนึง่ ทีส่ ะสมอยูใ่ นวัตถุที่ ศักย์โน้มถ่วง
ยืดหยุ่นได้ เมื่อมีแรงมำกระท�ำต่อวัตถุ ท�ำให้วัตถุยืดออก • มวล A มีขนาดใหญ่กว่ามวล B ซึ่งมวล A
หรือหดสั้นไปจำกสภำพเดิม จำกนั้นวัตถุจะกลับสู่สภำพ
เดิมได้ เช่น สปริง หนังยำง สำยธนู และมวล B อยู่สูงในระดับเท่ากัน จงเปรียบ
ภาพที่ 5.20 สำยธนูมีพลังงำนศักย์ยืดหยุ่นใช้ง้ำงคันธนู เพื่อส่งแรง เทียบพลังงานศักย์โน้มถ่วง
ให้กับลูกธนูพุ่งออกไปข้ำงหน้ำ หลังจำกยิงธนูแล้ว สำยธนูจะกลับสู่
สภำพเดิม 2. ครูสุ่มนักเรียน 2 คน ออกมาน�าเสนอค�าตอบ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ของตนเองหน้ า ชั้ น เรี ย น จากนั้ น ครู เ ฉลย
ค�าตอบที่ถูกต้องให้นักเรียน
3. ครูสุ่มนักเรียน 6 คน ให้ยกตัวอย่างประเภท
ของพลังงานต่างๆ ที่พบเห็นในชีวิตประจ�าวัน
ดังนี้
• คนที่ 1-2 ยกตัวอย่างพลังงานจลน์
• คนที่ 3-4 ยกตัวอย่างพลังงานศักย์โน้มถ่วง
• คนที่ 5-6 ยกตัวอย่างพลังงานศักย์ยืดหยุ่น

ภาพที่ 5.21 ถ้ำบอลลูนมีมวลเท่ำกัน บอลลูนที่ลอยสูงกว่ำ


จะมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วงมำกกว่ำบอลลูนที่ลอยต�่ำกว่ำ
ที่มา : คลังภาพ อจท.

งานและพลังงาน 59

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


พิจารณาลูกบอลหมายเลข 1 2 และ 3 ที่มีขนาดเทากันทั้ง 3 ลูก ถูกปลอยตกกระทบพื้น ดังภาพ ขอใดสรุปถูกตอง

1
1. ลูกบอลหมายเลข 1 2 และ 3 มีพลังงานศักย์โน้มถ่วงเท่ากัน
3 2. ลูกบอลหมายเลข 1 มีพลังงานศักย์โน้มถ่วงมากกว่าลูกบอลหมายเลข 2
3. ลูกบอลหมายเลข 2 มีพลังงานศักย์โน้มถ่วงมากกว่าลูกบอลหมายเลข 3
2 4. ลูกบอลหมายเลข 3 มีพลังงานศักย์โน้มถ่วงมากกว่าลูกบอลหมายเลข 1
(วิเคราะหคาํ ตอบ วัตถุมวลเทากัน วัตถุใดทีอ่ ยูส งู จากพืน้ โลกมากกวาจะมีพลังงานศักย
โนมถวงมากกวา ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T67
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
4. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 6 คน จากนั้นครู 2.2 กฎการอนุรักษพลังงาน
แจ้งจุดประสงค์ของกิจกรรม ปจจัยที่มีผลต่อ กฎกำรอนุรกั ษ์พลังงำน (law of conservation of energy) กล่ำวว่ำ “พลังงำนเป็นสิง่ ทีไ่ ม่สำมำรถสร้ำงขึน้ ใหม่
และไม่สำมำรถท�ำให้สูญหำยหรือท�ำลำยได้ แต่จะเกิดกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนจำกรูปหนึ่งไปเป็นอีกรูปหนึ่ง”
พลั ง งานจลน์ แ ละพลั ง งานศั ก ย์ โ น้ ม ถ่ ว ง
ให้นักเรียนทราบเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติ 1 เมื่อวัตถุอยู่นิ่งและอยู่ในต�ำแหน่งที่
กิจกรรมที่ถูกต้อง สูงสุด พลังงำนจลน์มีค่ำเป็นศูนย์
ส่วนพลังงำนศักย์โน้มถ่วง จะมีค่ำ
5. นักเรียนแต่ละกลุม่ ร่วมกันศึกษากิจกรรม ปจจัย มำกที่สุด
ที่ มี ผ ลต่ อ พลั ง งานจลน์ แ ละพลั ง งานศั ก ย์ 2 เมือ่ วัตถุเริม่ เคลือ่ นที่ พลังงำนศักย์
โน้มถ่วงจะมีค่ำลดลง เนื่องจำก
โน้มถ่วง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 พลังงำนศักย์โน้มถ่วงเปลีย่ นแปลง
เล่ม 2 โดยครูใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไปเป็นพลังงำนจลน์
มาจั ด กระบวนการเรี ย นรู ้ โดยก� า หนดให้ 3 ขณะทีว่ ตั ถุเคลือ่ นทีม่ ำอยูใ่ นต�ำแหน่ง
ต�่ ำ ที่ สุ ด เมื่ อ เที ย บกั บ ต� ำ แหน่ ง
สมาชิกแต่ละคนภายในกลุ่มมีบทบาทหน้าที่ อ้ำงอิง จะเป็นจุดที่พลังงำนจลน์มี
ของตนเอง ดังนี้ ค่ำสูงที่สุด ส่วนพลังงำนศักย์โน้ม
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ท� า หน้ า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ ถ่วงจะมีคำ่ น้อยทีส่ ดุ และจะเป็นศูนย์
เมือ่ วัตถุอยูท่ รี่ ะดับเดียวกับต�ำแหน่ง
อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติกิจกรรม อ้ำงอิง
• สมาชิกคนที่ 3-4 ท�าหน้าที่อ่านวิธีปฏิบัติ
กิ จ กรรมและน� า มาอธิ บ ายให้ ส มาชิ ก ใน
กลุ่มฟง
• สมาชิกคนที่ 5-6 ท�าหน้าที่บันทึกผลการ
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจ�าตัวนักเรียน
6. นักเรียนแต่ละกลุม่ ร่วมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม HOTS
(ค�าถามท้าทายการคิดขั้นสูง)
ขั้นตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2
เล่ม 2 ภาพที่ 5.22 กำรเปลี่ยนรูประหว่ำงพลังงำนจลน์และพลังงำนศักย์
โน้มถ่วงที่สะสมอยู่ในนักเล่นสกี
แนวตอบ H.O.T.S. ที่มา : คลังภาพ อจท.
เริ่มตนที่จุดสตารต นักกระโดดคํ้าถอจะวิ่ง จำกภำพแสดงให้เห็นว่ำ พลังงำนไม่ได้สูญหำย
โดยถือไมคาํ้ ดวยความเร็วสูง พลังงานจลนจะเพิม่ ขึน้ แต่มีกำรเปลี่ยนรูปของพลังงำนไป คือ เปลี่ยนแปลง
ภาพที่ 5.23 นักกระโดดค�้ำถ่อ
เรื่อยๆ เมื่อนักกระโดดปกไมลงกับพื้น ตัวของ จำกพลังงำนศักย์ไปเป็นพลังงำนจลน์ ซึ่งเป็นไปตำม ที่มา : คลังภาพ อจท.
นักกีฬาจะลอยสูงขึน้ ณ จุดนี้ พลังงานศักยโนมถวง กฎกำรอนุรักษ์พลังงำน
จำกภำพ นักกีฬำกระโดดค�้ำถ่อมีกำรเปลี่ยน
จะมี ค  า เพิ่ ม ขึ้ น แต พ ลั ง งานจลน จ ะลดลง เมื่ อ รูปพลังงานอย่างไร
นักกีฬาลอยขึ้นไปจุดสูงสุด พลังงานศักยโนมถวง
จะมีคาสูงสุด และพลังงานจลนมีคาเปนศูนย ซึ่ง 60 กฎการอนุรักษพลังงาน
เมื่ อ นั ก กี ฬ าตกลงมาสู  พื้ น พลั ง งานจลน จ ะมี ค  า
เพิ่มขึ้นแตพลังงานศักยจะลดลง

สื่อ Digital ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนรูปแบบพลังงาน จาก QR ลูกฟุตบอลกลิ้งไปตามพื้นที่มีความลาดชันจากสูงไปตํ่า
Code เรื่อง กฎการอนุรักษ์พลังงาน ลูกฟุตบอลมีการเปลี่ยนรูปพลังงานอยางไร
1. พลังงานศักย์เปลี่ยนเป็นพลังงานกล
2. พลังงานจลน์เปลี่ยนเป็นพลังงานกล
3. พลังงานศักย์เปลี่ยนเป็นพลังงานจลน์
4. พลังงานจลน์เปลี่ยนเป็นพลังงานศักย์
(วิเคราะหคําตอบ ลูกฟุตบอลที่อยูบนพื้นสูงจะมีพลังงานศักย
เมื่อลูกฟุตบอลกลิ้งลงไปตามพื้นที่มีความลาดชัน พลังงานศักย
ในลูกฟุตบอลจะเปลี่ยนเปนพลังงานจลน ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T68
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
กิจกรรม
1. นั ก เรี ย นแต่ ล ะกลุ ่ ม ออกมาน� า เสนอผลการ
ปจจัยที่มีผลต่อพลังงานจลนและพลังงานศักยโนมถ่วง
ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน้ า ชั้ น เรี ย น ในระหว่ า งที่
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ นั ก เรี ย นน� า เสนอ ครู ค อยให้ ข ้ อ เสนอแนะ
จุดประสงค์ - กำรตั้งสมมติฐำน เพิม่ เติม เพือ่ ให้นกั เรียนมีความเข้าใจทีถ่ กู ต้อง
- กำรทดลอง
ทดลองและอธิบำยปัจจัยที่มีผลต่อพลังงำนจลน์และพลังงำนศักย์โน้มถ่วงได้ 2. ครูถามค�าถามท้ายกิจกรรม โดยให้นักเรียน
จิตวิทยาศาสตร์

วัสดุอปุ กรณ์
- ควำมรับผิดชอบ
- ควำมสนใจใฝรู้ แต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
1. ลูกแก้วหรือลูกเหล็กขนำดเท่ำกัน 2 ลูก 4. ไม้บรรทัดและไม้เมตร
เพื่อหาค�าตอบ
2. ลูกแก้วหรือลูกเหล็กขนำดใหญ่กว่ำ 1 ลูก 5. ชุดขำตั้ง ขยายความเข้าใจ
3. ดินน�้ำมัน 6. เชือกหรือเส้นด้ำย
1. ครู เ ป ด โอกาสให้ นั ก เรี ย นซั ก ถามเนื้ อ หา
วิธปี ฏิบตั ิ เกี่ยวกับเรื่อง พลังงาน และให้ความรู้เพิ่มเติม
ตอนที่ 1 ปจจัยที่มีผลต่อพลังงานจลน์ จากค�าถามของนักเรียน โดยครูใช้ Power-
1. ท�ำชุดลูกตุ้มโดยน�ำลูกแก้วมำติดกับปลำยเชือกด้ำนหนึ่ง แล้วน�ำปลำยเชือกอีกด้ำนหนึ่งไปผูกกับชุดขำตั้ง โดยให้ลูกแก้วที่น�ำ Point เรื่อง พลังงาน ในการอธิบายเพิ่มเติม
มำท�ำเป็นลูกตุ้มชิดกับพื้นโตะทดลองโดยเชือกที่ผูกไม่ตึงหรือหย่อน
2. น�ำลูกแก้ววำงบนพื้นโตะทดลอง แล้วปล่อยลูกตุ้มจำกควำมสูง 4 เซนติเมตร จำกพื้นโตะทดลองให้มำชนกับลูกแก้วที่วำงบน 2. นักเรียนแต่ละคนท�าแบบฝกหัด เรือ่ ง พลังงาน
พื้นโตะทดลอง สังเกตกำรเคลื่อนที่ของลูกแก้วและวัดระยะทำงที่ลูกแก้วเคลื่อนที่ได้ แล้วบันทึกผล จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
3. ท�ำกำรทดลองข้อ 2. ซ�้ำ แต่เปลี่ยนลูกแก้วที่น�ำมำวำงบนพื้นโตะทดลองให้มีขนำดใหญ่กว่ำลูกแก้วที่น�ำมำท�ำกำรทดลองใน
ข้อ 2.
4. ท�ำกำรทดลองข้อ 2. ซ�้ำ แต่เปลี่ยนควำมสูงเป็น 6 เซนติเมตร
ตอนที่ 2 ปจจัยที่มีผลต่อพลังงานศักย์โน้มถ่วง
1. ปั้นดินน�้ำมันเป็นแท่นสี่เหลี่ยมที่มีควำมหนำ 2 เซนติเมตร โดยมีควำมกว้ำงและควำมยำวขนำดใกล้เคียงกัน จ�ำนวน 3 อัน
แล้วใช้ไม้บรรทัดตีผิวหน้ำแท่นดินน�้ำมันทั้ง 3 อัน ให้เรียบ
2. ปล่อยลูกแก้ว 2 ลูก ที่มีขนำดเท่ำกันจำกระดับควำมสูง 25 เซนติเมตร พร้อมกัน ลงบนแท่นดินน�้ำมันอันที่ 1 สังเกตกำร
เปลี่ยนแปลงของผิวดินน�้ำมันและควำมลึกที่ลูกแก้วจมลงไป แล้วบันทึกผล
3. ปล่อยลูกแก้ว 2 ลูก ที่มีขนำดต่ำงกันจำกระดับควำมสูง 25 เซนติเมตร พร้อมกัน ลงบนแท่นดินน�้ำมันอันที่ 2 สังเกตกำร
เปลีย่ นแปลงของผิวดินน�ำ้ มันและควำมลึกทีล่ กู แก้วจมลงไป
แล้วบันทึกผล
4. ปล่อยลูกแก้ว 2 ลูก ที่มีขนำดเท่ำกันแต่ระดับควำมสูงต่ำง
กันพร้อมกัน โดยลูกแก้วลูกที่ 1 ถูกปล่อยจำกระดับควำมสูง
25 เซนติเมตร แต่ลูกแก้วลูกที่ 2 ถูกปล่อยจำกระดับควำม
สูง 50 เซนติเมตร ลงบนแท่นดินน�้ำมันอันที่ 3 สังเกตกำร แท่นดินน�้ำมัน
เปลีย่ นแปลงของผิวดินน�ำ้ มันและควำมลึกทีล่ กู แก้วจมลงไป ภาพที่ 5.24 ชุดอุปกรณ์ตอนที่ 2
แล้วบันทึกผล ที่มา : คลังภาพ อจท.

งานและพลังงาน 61

ตารางบันทึก กิจกรรม
ตอนที่ 1
ระดับความสูงของลูกตุม ขนาดของลูกแกวหรือลูกเหล็ก เปรียบเทียบระยะทางของลูกแกวหรือลูกเหล็ก
ลูกแก้วหรือลูกเหล็กที่มีมวลเล็กกว่าจะเคลื่อนที่ไปได้
เท่าเดิม ไม่เท่าเดิม
ระยะทางที่ไกลกว่า
ลูกตุ้มระดับสูงกว่าจะชนลูกแก้วหรือลูกเหล็กไปได้
ไม่เท่าเดิม เท่าเดิม
ระยะทางที่ไกลกว่า
ตอนที่ 2
ระดับความสูงที่ปลอยลูกแกว ขนาดของลูกแกว เปรียบเทียบความลึกของลูกแกวหรือลูกเหล็ก
หรือลูกเหล็ก หรือลูกเหล็ก ที่จมลงไปในดินนํ้ามัน
ลูกแก้วหรือลูกเหล็กที่มีมวลใหญ่กว่าจะจมลงไปใน
เท่าเดิม ไม่เท่าเดิม
ดินน�้ามันได้ลึกกว่า
ลูกแก้วหรือลูกเหล็กที่อยู่สูงกว่าจะจมลงไปในดินน�้ามัน
ไม่เท่าเดิม เท่าเดิม
ได้ลึกกว่า
T69
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นั ก เรี ย นและครู ร ่ ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
พลังงาน ค�าถามท้ายกิจกรรม
1. จำกกิจกรรมตอนที่ 1 ปัจจัยใดบ้ำงที่มีผลต่อระยะทำงที่ลูกแก้วเคลื่อนที่ได้
ขัน้ ประเมิน 2. จำกกิจกรรมตอนที่ 2 ปัจจัยใดบ้ำงที่มีผลต่อควำมลึกที่ลูกแก้วจมลงไปในดินน�้ำมัน
ตรวจสอบผล
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ อภิปรายผลกิจกรรม
ตอบค�าถาม พฤติกรรมการท�างานรายบุคคล จำกกิจกรรมตอนที่ 1 เมื่อปล่อยลูกตุ้มจำกระดับควำมสูงเดียวกันมำชนลูกแก้ว ลูกแก้วที่มีขนำดใหญ่กว่ำจะเคลื่อนที่ได้
ระยะทำงทีน่ อ้ ยกว่ำลูกแก้วทีม่ ขี นำดเล็ก แต่เมือ่ ปล่อยลูกตุม้ จำกระดับควำมสูงต่ำงกันมำชนลูกแก้วทีม่ ขี นำดเท่ำกัน ลูกแก้วทีถ่ กู ชน
พฤติ ก รรมการท� า งานกลุ ่ ม และจากการ ด้วยลูกตุ้มที่ถูกปล่อยจำกระดับควำมสูงมำกกว่ำจะเคลื่อนที่ได้ระยะทำงมำกกว่ำลูกแก้วที่ถูกชนด้วยลูกตุ้มที่ถูกปล่อยจำกระดับ
น�าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน ควำมสูงที่น้อยกว่ำ และจำกกิจกรรมตอนที่ 2 จะได้ว่ำ เมื่อปล่อยลูกแก้วที่มีขนำดต่ำงกันจำกควำมสูงที่เท่ำกันลงบนดินน�้ำมัน
2. ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนก่อนเข้าสู่ ลูกแก้วทีม่ ขี นำดใหญ่กว่ำจะจมลงไปในดินน�ำ้ มันได้ลกึ กว่ำลูกแก้วทีม่ ขี นำดเล็ก และเมือ่ ปล่อยลูกแก้วทีม่ ขี นำดเท่ำกันจำกควำมสูง
ที่ต่ำงกัน ลูกแก้วที่ถูกปล่อยจำกควำมสูงมำกกว่ำจะจมลงไปในดินน�้ำมันได้ลึกกว่ำ
กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Under-
standing Check ในสมุดประจ�าตัวนักเรียน
3. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม ปจจัยที่
มีผลต่อพลังงานจลน์และพลังงานศักย์โน้มถ่วง
ในสมุ ด ประจ� า ตั ว นั ก เรี ย นหรื อ แบบฝ ก หั ด
วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
4. ครู ต รวจแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง พลั ง งาน จาก
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2

ภาพที่ 5.25 กำรกักเก็บน�้ำไว้ในเขื่อน ควำมสูงของระดับน�้ำจะส่งผลให้น�้ำมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วงมำกขึ้น


ที่มา : คลังภาพ อจท.
จำกภำพจะเห็นว่ำ มนุษย์นำ� กฎกำรอนุรกั ษ์พลังงำนมำประยุกต์ใช้ใน
กำรผลิตกระแสไฟฟ้ำจำกเขื่อน โดยมนุษย์สร้ำงเขื่อนเพื่อกักเก็บน�้ำไว้ใน
ระดับสูงเมื่อเทียบกับฐำนของเขื่อน ส่งผลให้น�้ำมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วงมำก
เมื่อปล่อยน�้ำให้ไหลลงมำ พลังงำนศักย์โน้มถ่วงของน�้ำจะมีค่ำลดลง แต่
การผลิตกระแสไฟฟา
ในทำงกลับกันน�้ำจะมีพลังงำนจลน์สูงขึ้น เมื่อน�้ำเคลื่อนที่ผ่ำนกังหันน�้ำที่ จากเขื่อนมีการเปลี่ยน
ต่อเข้ำกับเครื่องก�ำเนิดไฟฟ้ำหรือไดนำโม ซึ่งจะอำศัยพลังงำนจลน์ของน�้ำ รูปของพลังงานใดบาง
ผลักดันใบพัดให้กังหันน�้ำหมุน แล้วเหนี่ยวน�ำให้เครื่องก�ำเนิดไฟฟ้ำผลิต
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม พลังงำนไฟฟ้ำ แล้วส่งมำยังบ้ำนเรือน
1. ขนาดของลูกแกวและระดับความสูง 62
2. ขนาดของลูกแกวและระดับความสูง

แนวทางการวัดและประเมินผล ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูวดั และประเมินผลความเข้าใจในเนือ้ หา เรือ่ ง พลังงาน ได้จากการสังเกต ขอใดคือนิยามของกฎการอนุรักษพลังงาน
พฤติกรรมการท�างานกลุ่มและการน�าเสนอผลงาน โดยศึกษาเกณฑ์การวัดและ 1. พลังงานสูญหายได้และเกิดขึ้นใหม่ได้
ประเมินผลจากแบบสังเกตพฤติกรรมการท�างานกลุ่ม และการน�าเสนอผลงาน 2. พลังงานที่ต�าแหน่งใดๆ มีค่าไม่เท่ากัน
ที่อยู่ในแผนการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 3. พลังงาน คือ ผลคูณระหว่างแรงกับระยะทาง
4. พลังงานไม่สามารถสูญหายได้ แต่สามารถเปลี่ยนรูปได้
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

ลาดับที่
ชื่อ–สกุล
การแสดง
ความคิดเห็น
การยอมรับฟัง
คนอื่น
การทางาน
ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
การมี
ส่วนร่วมใน
การปรับปรุง
รวม
15
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

ลาดับที่

1
รายการประเมิน

ความถูกต้องของเนื้อหา
3
ระดับคะแนน
2 1
(วิเคราะหคําตอบ กฎการอนุรักษพลังงาน กลาววา พลังงาน
เปนสิง่ ทีไ่ มสญ
ู หาย ไมสามารถสรางขึน้ ใหมได แตสามารถเปลีย่ น
มอบหมาย   
ของนักเรียน
ผลงานกลุ่ม คะแนน 2 ความคิดสร้างสรรค์   
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 วิธีการนาเสนอผลงาน   
4 การนาไปใช้ประโยชน์   
5 การตรงต่อเวลา   

รวม

ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


............/................./...................
รูปพลังงานได ดังนั้น ตอบขอ 4.)
เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
............./.................../............... ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T70
น�ำ น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
แสงอำทิตย์เป็นต้นก�ำเนิดของแหล่งพลังงำน ครูตงั้ ประเด็นค�าถามว่า “พลังงานมีวนั สูญหาย
ภำยในโลก โดยพืชเป็นสิง่ มีชวี ติ ทีม่ กี ระบวนกำรสังเครำะห์
ด้วยแสง สำมำรถดึงพลังงำนแสงจำกดวงอำทิตย์มำ
หรือไม่ อย่างไร” โดยให้นักเรียนแต่ละคนร่วมกัน
เปลี่ยนเป็นพลังงำนเคมีได้โดยตรง ท�ำให้พืชด�ำรงชีวิต อภิปรายแสดงความคิดเห็นโดยไม่มีการเฉลยว่า
เป็นผู้ผลิต หรือเป็นแหล่งอำหำรให้กับสิ่งมีชีวิตอื่น ถูกหรือผิด
เมื่อสิ่งมีชีวิตอื่นกินพืชเสมือนเป็นกำรถ่ำยทอดพลังงำน
ไปยังผู้บริโภคต่อกันเป็นทอด ๆ เมื่อผู้บริโภคตำยจะถูก ขัน้ สอน
สิ่งมีชีวิตอื่นย่อยสลำยและทับถมอยู่ในรูปของเชื้อเพลิง ภาพที่ 5.26 พลังงำนเคมีท่ีอยู่ในถ่ำนหินสำมำรถเปลี่ยนรูปเป็น สํารวจค้นหา
ซำกดึ ก ด� ำ บรรพ์ ซึ่ ง เป็ น แหล่ ง กั ก เก็ บ พลั ง งำนเคมี พลังงำนควำมร้อนและพลังงำนแสงได้
เช่น ถ่ำนหิน น�้ำมัน แกสธรรมชำติ เมื่อน�ำเชื้อเพลิง
ที่มา : คลังภาพ อจท. 1. นักเรียนจับคู่กับเพื่อนในชั้นเรียน จากนั้นให้
ซำกดึกด�ำบรรพ์เหล่ำนี้ไปเผำไหม้ พลังงำนเคมีจะถูก นักเรียนแต่ละคู่ร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูล
เปลี่ยนให้เป็นพลังงำนควำมร้อนและพลังงำนแสง เกี่ยวกับเรื่อง กฎการอนุรักษ์พลังงาน จาก
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
2. นักเรียนแต่ละคูร่ ว่ มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ด้ศกึ ษา
จากนัน้ ให้นกั เรียนแต่ละคนเขียนสรุปความรูท้ ี่
ได้จากการศึกษาค้นคว้าลงในสมุดประจ�าตัว
ภาพที่ 5.27 พลังงำนเคมีในน�ำ้ มันจะถูกเครือ่ งยนต์เผำไหม้เปลีย่ นให้
เป็นพลังงำนกลขับเคลื่อนรถยนต์ นักเรียน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
อธิบายความรู้
นั ก เรี ย นและครู ร ่ ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
เรือ่ ง กฎการอนุรกั ษ์พลังงาน ซึง่ ควรได้ขอ้ สรุปร่วม
กันว่า “พลังงานไม่มีวันสูญหาย สามารถเปลี่ยน
รูปพลังงานจากรูปหนึ่งไปเป็นอีกรูปหนึ่งได้ และ
ไม่สามารถท�าให้สูญหายหรือท�าลายได้ เรียกว่า
กฎการอนุรักษ์พลังงาน”

ภาพที่ 5.28 ดวงอำทิตย์เป็นต้นก�ำเนิด


แหล่งพลังงำนของโลกและสิ่งมีชีวิต
ที่มา : คลังภาพ อจท.

งานและพลังงาน 63

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


การใชถังนํ้าขนาดใหญใสนํ้าเต็มถัง ตั้งไวในที่สูง แลวตอทอใหไหลไปหมุนกังหันซึ่งมีแกนตอเขากับขดลวดที่อยู
ระหวางแทงแมเหล็ก และตอวงจรเขากับหลอดไฟจนสวาง การเปลี่ยนรูปพลังงานเปนแบบใด ตามลําดับ
1. พลังงานศักย์ พลังงานจลน์ พลังงานกล พลังงานไฟฟ้า
2. พลังงานศักย์ พลังงานกล พลังงานจลน์ พลังงานไฟฟ้า
3. พลังงานจลน์ พลังงานศักย์ พลังงานกล พลังงานไฟฟ้า
4. พลังงานจลน์ พลังงานกล พลังงานศักย์ พลังงานไฟฟ้า
(วิเคราะหคําตอบ นํ้าที่บรรจุอยูในถังซึ่งวางไวในที่สูงจะมีพลังงานศักยสะสมอยูในนํ้า เมื่อตอทอพลังงานศักย
จะลดตํ่าลง เปลี่ยนเปนพลังงานจลนไหลไปตามทอ และพลังงานจลนจะเปลี่ยนเปนพลังงานกล เพื่อไปหมุนกังหันให
ผลิตกระแสไฟฟาหรือพลังงานไฟฟา ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T71
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูสนทนากับนักเรียนว่า “การผลิตกระแส พลังงำนเคมีนอกจำกจะอยู่ในรูปของเชื้อเพลิง
ซำกดึกด�ำบรรพ์แล้ว ยังอยู่ในรูปของสำรอำหำร เช่น
ไฟฟ้าจากเขือ่ นมีการเปลีย่ นรูปของพลังงานใด
โปรตีน คำร์โบไฮเดรต ไขมัน เมื่อเรำรับประทำนอำหำร
บ้าง” โดยให้นกั เรียนแต่ละคนร่วมกันอภิปราย เข้ำไป น�้ำย่อยที่อยู่ภำยในปำก กระเพำะอำหำร และ
แสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ระโดยไม่ มี ก าร ล�ำไส้เล็กจะท�ำหน้ำทีย่ อ่ ยสลำยให้อำหำรมีขนำดโมเลกุล
เฉลยว่าถูกหรือผิด เล็กลง เพื่อให้
1 ร่ำยกำยดูดซึมน�ำไปใช้ในกระบวนกำร
(แนวตอบ มีการเปลี่ยนพลังงานศักยโนมถวง เมแทบอลิซึม (metabolism) เพื่อเปลี่ยนพลังงำนเคมี
เปนพลังงานจลน ซึ่งนํ้าที่เก็บไวในเขื่อนจะ ในอำหำรให้เป็นพลังงำนที่ใช้รักษำอุณหภูมิของร่ำงกำย
และเป็นพลังงำนที่น�ำไปใช้ในกิจกรรมต่ำง ๆ
มีพลังงานศักยโนมถวงสะสมอยู เมื่อปลอย ภาพที่ 5.29 อำหำรที่รับประทำนเข้ำไปจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงำนที่
ใช้ในกำรท�ำกิจกรรมต่ำง ๆ ในชีวิตประจ�ำวัน
ให นํ้ า ไหลจากเขื่ อ นไปหมุ น กั ง หั น จะมี ก าร ที่มา : คลังภาพ อจท.
เปลีย่ นแปลงพลังงานศักยไปเปนพลังงานจลน
รถไฟที่ วิ่ ง ไปตำมรำงด้ ว ยควำมเร็ ว สู ง เมื่ อ
เพื่อนําไปผลิตกระแสไฟฟา)
รถไฟเบรกกะทันหันพลังงำนจลน์ที่ล้อจะถูกเปลี่ยนเป็น
2. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ร่วมกัน พลังงำนควำมร้อน พลังงำนเสียง และพลังงำนแสง
ศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง การใช้กฎ เนื่องจำกแรงเสียดทำนที่เกิดขึ้นระหว่ำงล้อรถไฟกับรำง
การอนุ รั ก ษ์ พ ลั ง งานมาประยุ ก ต์ ใ ช้ ใ นชี วิ ต รถไฟท�ำให้เกิดพลังงำนควำมร้อน และล้อเหล็กทีเ่ สียดสี
ประจ�าวัน และการถ่ายโอนความร้อนระหว่าง กับรำงเหล็กท�ำให้เกิดประกำยไฟและเสียงขึ้น
สสาร จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 นอกจำกนี้ รถยนต์ ที่ แ ล่ น ไปบนถนนเป็ น อี ก
ตัวอย่ำงหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่ำพลังงำนจลน์ที่ล้อรถยนต์
หรือแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต บำงส่วนจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงำนควำมร้อน เนื่องจำก
แล้ ว เขี ย นสรุ ป ความรู ้ ที่ ไ ด้ จ ากการศึ ก ษา แรงเสียดทำนที่เกิดขึ้นระหว่ำงยำงล้อรถยนต์กับถนน
ค้นคว้าลงในสมุดประจ�าตัวนักเรียน ท�ำให้พลังงำนจลน์ของรถยนต์ลดลง ส่งผลให้รถยนต์ไม่
ภาพที่ 5.30 พลังงำนจลน์ของเครื่องเจียรไฟฟ้ำถูกเปลี่ยนให้เป็น ลื่นไถลไปกับถนน อีกทั้งยังพบกำรเปลี่ยนแปลงรูปแบบ
พลังงำนควำมร้อน พลังงำนแสง และพลังงำนเสียง พลังงำนนี้ในกระบวนกำรท�ำงำนของเครื่องมือไฟฟ้ำ
ที่มา : คลังภาพ อจท. เครื่องจักรกลในโรงงำนอุตสำหกรรมต่ำง ๆ อีกด้วย

ภาพที่ 5.31 พลังงำนจลน์ในล้อรถไฟเปลีย่ น


รูปเป็นพลังงำนควำมร้อน พลังงำนแสง และ
พลังงำนเสียง
ที่มา : คลังภาพ อจท.

64

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 เมแทบอลิ ซึ ม เป็ น กระบวนการเปลี่ ย นแปลงสารอาหารที่ มี ป ฏิ กิ ริ ย า กระบวนการเมแทบอลิซึมที่เกิดขึ้นในรางมนุษยเปนกระบวน
ทางชีวเคมีเกิดขึ้นหลายขั้นตอนให้เป็นพลังงานภายในเซลล์ และมีเมแทบอไลต์ การเปลี่ยนแปลงพลังงานจากรูปใดไปเปนรูปใด
เกิดขึ้น ซึ่งเป็นผลของปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่มีทั้งกระบวนการสลายสารโมเลกุล 1. พลังงานเคมีเป็นพลังงานจลน์
ใหญ่ให้เป็นโมเลกุลเล็ก เรียกว่า แคแทบอลิซึม (catabolism) และกระบวนการ 2. พลังงานเคมีเป็นพลังงานไฟฟ้า
สร้างสารโมเลกุลเล็กให้เป็นสารโมเลกุลใหญ่ เรียกว่า แอนาบอลิซมึ (anabolism) 3. พลังงานความร้อนเป็นพลังงานจลน์
โดยมีเอนไซม์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ 4. พลังงานความร้อนเป็นพลังงานไฟฟ้า
(วิเคราะหคําตอบ กระบวนการเมแทบอลิซึมเปนกระบวนการ
เปลี่ยนแปลงพลังงานเคมีที่อยูในอาหารใหเปนพลังงานที่ใชทํา
กิจกรรมในชีวิตประจําวันของมนุษย เชน พลังงานจลน ดังนั้น
ตอบขอ 1.)

T72
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู
นอกจำกกำรเปลี่ยนรูปของพลังงำนแล้ว พลังงำนสำมำรถถูกถ่ำยโอนจำกระบบหนึ่งไปยังอีกระบบหนึ่งได้ 1. ครูสุมนักเรียน 4 กลุม ออกมานําเสนอผล
ตัวอย่ำงเช่น
การศึกษาหนาชั้นเรียน ซึ่งครูเปนคนเลือก
1. กำรถ่ำยโอนควำมร้อนระหว่ำงสสำร เกิดขึ้นได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
ว า จะให นั ก เรี ย นกลุ  ม ใดนํ า เสนอเรื่ อ งอะไร
1 การน�าความร้อน (conduction) 2 การพาความร้อน (convection) 3 การแผ่รังสีความร้อน (radiation) ตามหัวขอเรื่องตอไปนี้
• กลุมที่ 1 การใชกฎการอนุรักษพลังงานมา
ประยุกตใชในชีวิตประจําวัน
• กลุมที่ 2 การนําความรอน (conduction)
เป็นกำรถ่ำยโอนพลังงำนควำม เป็ น กำรถ่ ำ ยโอนพลั ง งำน เป็ น กำรถ่ ำ ยโอนพลั ง งำน • กลุมที่ 3 การพาความรอน (convection)
ร้อนผ่ำนตัวกลำง เมื่อตัวกลำงได้รับ ควำมร้อนผ่ำนตัวกลำง เมือ่ ตัวกลำง ควำมร้อนโดยไม่ต้องอำศัยตัวกลำง
• กลุมที่ 4 การแผรังสีความรอน (radiation)
ควำมร้อน อะตอมหรือโมเลกุลของ ได้รับควำมร้อน จะท�ำให้อะตอม ซึง่ วัตถุทเี่ ป็นแหล่งก�ำเนิดควำมร้อน
ตัวกลำงจะสัน่ เนือ่ งจำกมีพลังงำนจลน์ หรือโมเลกุลของตัวกลำงเคลื่อนที่ สำมำรถแผ่รงั สีควำมร้อนออกมำใน 2. ขณะที่นักเรียนกําลังนําเสนอ ครูอาจเสนอ
สู ง ขึ้ น และถู ก ถ่ ำ ยเทไปยั ง โมเลกุ ล และพำควำมร้อนไป ตัวอย่ำงเช่น รูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำได้ เช่น แนะหรื อ แทรกข อ มู ล เพิ่ ม เติ ม ในเรื่ อ งนั้ น ๆ
ข้ำงเคียง จำกบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง น�้ำในหม้อต้มเดือดหลังจำกได้รับ รังสีควำมร้อนจำกเตำผิง รังสีควำม ใหนักเรียนทุกคนไดมีความเขาใจที่ถูกตอง
ไปยังบริเวณทีม่ อี ณุ หภูมติ ำ�่ กว่ำ ส่งผล ควำมร้อน ร้อนจำกดวงอำทิตย์ มากยิ่งขึ้น
ให้โมเลกุลข้ำงเคียงสั่นตำมไปด้วยจน
กระทัง่ ไปถึงปลำยอีกด้ำนของตัวกลำง

1 คนใช้มอื จับทีค่ บี อำหำรจะรูส้ กึ ร้อน


เนื่องจำกที่คีบอำหำรเป็นตัวกลำง
ในกำรน�ำควำมร้อนมำสู่มือ
2 คนรู้สึกร้อนเมื่อสัมผัสกับควันที่
ลอยขึ้นมำจำกอำหำร เนื่องจำก
มี อำกำศเป็ น ตั ว กลำงในกำรพำ
ควำมร้อนมำสู่คน

3 คนรูส้ กึ ร้อนแม้อยูห่ ำ่ งจำกเตำถ่ำน


เนื่องจำกพลังงำนควำมร้อนจำก
เตำถ่ำนแผ่รงั สีควำมร้อนมำยังคน

ภาพที่ 5.32 กำรถ่ำยโอนควำมร้อน


ที่มา : คลังภาพ อจท.

งานและพลังงาน 65

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


นิ ด ออกแบบบ า นให มี ช  อ งลมและติ ด พั ด ลมระบายอากาศ ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการถายโอนพลังงาน จากภาพยนตร
เมื่ออากาศรอนลอยตัวสูงขึ้นออกไปตามชองลม อากาศเย็นก็จะ สารคดีสนั้ Twig เรือ่ ง การถายโอนความรอน (https://www.twig-aksorn.com/
พัดเขามาแทนที่ การออกแบบบานใหมีการระบายอากาศเชนนี้ film/heat-transport-8317/)
ใชหลักการถายโอนความรอนในขอใด
1. การแผรังสี
2. การพาความรอน
3. การแผรังสีและการนําความรอน
4. การนําความรอนและการพาความรอน
(วิเคราะหคําตอบ การพาความร อ นเป น การถ า ยโอนพลั ง งาน
ความร อ นผ า นตั ว กลางที่ ส ามารถเคลื่ อ นที่ ไ ด โดยตั ว กลางที่
สามารถพาความร อ นได ดี จึ ง เป น แก ส และของเหลว ดั ง นั้ น
ตอบขอ 2.)

T73
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
1. ครูเปดโอกาสให้นกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ 2. กำรถ่ำยโอนพลังงำนของกำรสัน่ ของแหล่งก�ำเนิดเสียงไปยังผูฟ้ งั เสียงเกิดจำกกำรสัน่ ของวัตถุทเี่ ป็นแหล่ง
ก�ำเนิดเสียง พลังงำนกำรสั่นของแหล่งก�ำเนิดถูกถ่ำยโอนให้แก่โมเลกุลของตัวกลำงที่อยู่ติดกับแหล่งก�ำเนิด และ
เรื่อง กฎการอนุรักษพลังงาน และให้ความรู้ พลังงำนจะถูกส่งต่อกันไปเรือ่ ย ๆ จนถึงหูผฟู้ งั โดยมีโมเลกุลของอำกำศท�ำหน้ำทีเ่ ป็นตัวกลำงในกำรถ่ำยโอนพลังงำน
เพิ่มเติมจากค�าถามของนักเรียน โดยครูใช้ เสียง ซึ่งเป็นไปตำมกฎกำรอนุรักษ์พลังงำน
PowerPoint เรื่อง กฎการอนุรักษพลังงาน
ในการอธิบายเพิ่มเติม โมเลกุลของอำกำศ
2. นักเรียนท�า Topic Question เรื่อง พลังงาน
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เล่ม 2
ลงในสมุดประจ�าตัวนักเรียน
3. นักเรียนแต่ละคนท�าแบบฝกหัด เรื่อง กฎการ
อนุรักษพลังงาน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
ม.2 เล่ม 2

ภาพที่ 5.33 กำรถ่ำยโอนพลังงำนเสียงจำกแหล่งก�ำเนิดไปยังอวัยวะรับเสียง


ที่มา : คลังภาพ อจท.

Topic Question
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�ำถำมต่อไปนี้
1. พลังงำนกลมีกี่ประเภท อะไรบ้ำง
2. ปัจจัยใดที่มีผลต่อพลังงำนจลน์และพลังงำนศักย์โน้มถ่วง
3. กฎกำรอนุรักษ์พลังงำนคืออะไร
4. นักกระโดดร่มดิ่งพสุธำจะมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วงสูงที่สุดเมื่อใด
5. กำรขว้ำงลูกบอลขึน้ ไปในแนวดิง่ เมือ่ ลูกบอลเคลือ่ นทีไ่ ปจนถึงจุดสูงสุดและตกลงสูพ่ นื้ ดินจะมีพลังงำนจลน์และ
พลังงำนศักย์โน้มถ่วงเป็นอย่ำงไร
6. จงเขียนขั้นตอนกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนของกำรผลิตกระแสไฟฟ้ำโดยใช้พลังงำนน�้ำ
7. เมื่อรถไฟเคลื่อนที่มำด้วยอัตรำเร็วค่ำหนึ่งหยุดกะทันหัน จะมีกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนใดบ้ำงระหว่ำงล้อรถกับ
รำงรถไฟ
8. เซลล์สุริยะมีกลไกกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนอย่ำงไร
9. กำรถ่ำยโอนควำมร้อนมีกี่รูปแบบ อะไรบ้ำง
10. ตัวกลำงที่ท�ำหน้ำที่ถ่ำยโอนพลังงำนเสียงจำกแหล่งก�ำเนิดมำยังหูผู้ฟังคืออะไร

66

เกร็ดแนะครู แนวตอบ Topic Question


1. 2 ประเภท ไดแก พลังงานจลนและพลังงานศักย
ครูอาจอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเสียงว่า เสียงเปนคลื่นกล ซึ่งเกิดจากการ 2. ปจจัยที่มีผลตอพลังงานจลนที่สะสมอยูในวัตถุ คือ มวลและอัตราเร็ว
สัน่ สะเทือนของแหล่งก�าเนิดเสียง เมือ่ แหล่งก�าเนิดเสียงสัน่ สะเทือน ท�าให้อากาศ ของวัตถุ และปจจัยทีม่ ผี ลตอพลังงานศักยทสี่ ะสมอยูใ นวัตถุ คือ มวล
บริเวณนั้นเกิดการอัดและขยายตัวของคลื่นเสียง และถูกส่งผ่านไปยังตัวกลาง และความสูงของวัตถุเมื่อเทียบกับพื้นผิวโลก
เช่น อากาศ ไปยังอวัยวะที่ใช้รับเสียง คือ หู นอกจากแกสแล้ว เสียงสามารถ 3. พลังงานไมสามารถทําใหสูญหายและสรางขึ้นใหมได แตสามารถ
เดินทางผ่านของเหลวและของแข็งได้ แต่ไม่สามารถเดินทางผ่านสุญญากาศได้ เปลี่ยนรูปพลังงานจากรูปหนึ่งไปเปนอีกรูปหนึ่งได
4. เมื่ออยูบนเครื่องบิน
5. พลังงานศักยโนมถวงมีคาสูงสุดเมื่อวัตถุอยูสูงที่สุด และจะลดลง
จนกระทั่งมีคาเทากับศูนยเมื่อวัตถุตกกระทบและหยุดนิ่งอยูกับพื้น
6. พลังงานศักย พลังงานจลน พลังงานกล พลังงานไฟฟา
7. พลังงานจลน พลังงานแสงและพลังงานเสียง
8. พลังงานแสง พลังงานไฟฟา
9. 3 รูปแบบ คือ การนําความรอน การพาความรอน และการแผรังสี
ความรอน
T74 10. อากาศ
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
F u n
1. นักเรียนแบงกลุม โดยครูเตรียมสลากหมายเลข
Science Activity รถพลังงานลม
กลุม 1-6 จากนั้นใหนักเรียนแตละคนออกมา
หยิบสลาก ซึ่งนักเรียนที่ไดหมายเลขเดียวกัน
วัสดุอปุ กรณ์ จะอยูกลุมเดียวกัน แตละกลุมจะมีสมาชิก
1. เทปใส ภายในกลุม 6 คน
2. ลูกโปง
3. กรรไกร
2. ครูแจงจุดประสงคของกิจกรรม Fun Science
4. กล่องนม Activity เรื่อง รถพลังงานลม ใหนักเรียน
5. ดินน�้ำมัน ทราบเพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติกิจกรรมที่
6. ฝำขวดน�้ำ
7. ไม้เสียบลูกชิ้น
ถูกตอง จากนั้นใหสมาชิกภายกลุมจัดเตรียม
8. กระดำษห่อของขวัญ วัสดุอุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม Fun
9 หลอดดูดน�้ำแบบโค้งงอ Science Activity เรื่อง รถพลังงานลม จาก
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ภาพที่ 5.34 รถพลังงำนลม
ที่มา : http://maymekkhala.blogspot.com 3. สมาชิกภายในกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรม Fun
Science Activity เรื่อง รถพลังงานลม ตาม
วิธที า�
ขั้ น ตอน จากหนั ง สื อ เรี ย นวิ ท ยาศาสตร
1. น�ำกล่องนมมำห่อด้วยกระดำษห่อของขวัญ
ม.2 เลม 2
2. ติดดินน�้ำมันที่ฝำขวดน�้ำ จ�ำนวน 4 ฝำ แล้วน�ำไปเสียบกับไม้ลูกชิ้นทั้งสองด้ำน
เพื่อท�ำเป็นล้อรถ 4 ล้อ จำกนั้นน�ำล้อที่ได้ไปติดที่กล่องนมด้วยเทปใส
3. เสียบลูกโปงไว้ที่ปลำยหลอดดูดน�้ำแบบโค้งงอ จำกนั้นผูกให้แน่น และติดหลอด ภาพที่ 5.35 ติดดินน�้ำมันที่ฝำขวดน�้ำ
พร้อมลูกโปงที่ด้ำนบนของรถ ที่มา : http://maymekkhala.blogspot.com
4. ใช้ปำกเปำหลอดเพื่อให้ลูกโปงมีขนำดใหญ่ขึ้น แล้วเอำมือปิดปำกลูกโปงให้แน่น
5. ปล่อยรถวำงบนพืน้ และปล่อยมือออกจำกปำกลูกโปง รถจะเคลือ่ นทีด่ ว้ ยแรงของ
ลูกโปงไปทำงด้ำนหน้ำ

ภาพที่ 5.36 ติดเทปใส


ที่มา : http://maymekkhala.blogspot.com
หลักการทางวิทยาศาสตร์
รถพลังงำนลมจะเคลือ่ นทีด่ ว้ ยอัตรำเร็วไปทำงทิศตรงข้ำมกับลมทีป่ ล่อยออกมำจำกภำยในลูกโปง แสดงให้เห็นว่ำ พลังงำนลม
ทีใ่ ห้กบั ลูกโปงถูกเปลีย่ นให้เป็นพลังงำนจลน์ซงึ่ เป็นไปตำมกฎกำรอนุรกั ษ์พลังงำน กล่ำวคือ พลังงำนไม่มวี นั สูญหำย แต่พลังงำน
สำมำรถเปลีย่ นรูปแบบจำกพลังงำนหนึง่ ไปเป็นอีกพลังงำนหนึง่ ได้ โดยพลังงำนรวมทัง้ หมดของกำรเปลีย่ นพลังงำนจะมีคำ่ เท่ำเดิม

งานและพลังงาน 67

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


ขอใดเปนการเคลื่อนที่ของวัตถุที่เปนไปตามกฎการเคลื่อนที่ ครูอาจสรุปเพิ่มเติมหลังจากปฏิบัติกิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง
ขอที่ 3 ของนิวตัน ยกเวนขอใด รถพลังงานลมวา นอกจากการเปลี่ยนรูปพลังงานลมใหเปนพลังงานจลนแลว
1. จรวดพุงขึ้นสูทองฟา การเคลื่อนที่ของรถเปนไปตามกฎการเคลื่อนที่ขอที่ 3 ของนิวตัน ที่กลาววา
2. แมคาพายเรือขายผลไม “ทุกแรงกิรยิ ายอมมีแรงปฏิกริ ยิ าซึง่ มีขนาดเทากัน แตมที ศิ ทางตรงขาม” กลาวคือ
3. ลูกแอปเปลตกจากตนไม แรงกิริยา คือ แรงที่กระทําตอวัตถุทําใหวัตถุเปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนที่ไป
4. นองตนฝกเลนสเกตบอรด ตามทิศทางของแรงที่มากระทํา สวนแรงปฏิกิริยา คือ แรงที่วัตถุกระทําโตตอบ
(วิเคราะหคําตอบ ทุกตัวเลือก เปนการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุทเี่ ปนไป ตอแรงกิรยิ าในทิศตรงกันขาม สังเกตไดจากการทํากิจกรรม จะเห็นวา พลังงาน
ตามกฎการเคลื่อนที่ขอที่ 3 ของนิวตัน ยกเวน ลูกแอปเปลตกจาก คือ ลมทีป่ ลอยออกมา (แรงกิรยิ า) สงผลใหรถมีพลังงานจลนเคลือ่ นทีไ่ ปขางหนา
ตนไม ซึ่งเปนการเคลื่อนที่ของวัตถุดวยความเรงโนมถวง ที่มีคา (แรงปฏิกิริยา)
คงตัวเทากับ 9.8 m/s2 ในทิศทางลง เรียกการเคลื่อนที่แบบนี้วา
การตกแบบเสรี ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T75
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. นั ก เรี ย นแต่ ล ะกลุ ่ ม ออกมาน� า เสนอผลการ Science in Real Life
ปฏิบัติกิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง เซลล์สุริยะ
รถพลั ง งานลม หน้ า ชั้ น เรี ย น ในระหว่ า ง
ที่ นั ก เรี ย นน� า เสนอครู ค อยให้ ข ้ อ เสนอแนะ เซลล์สุริยะ (solar cell) เป็นเทคโนโลยีที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรกในป
เพิม่ เติม เพือ่ ให้นกั เรียนมีความเข้าใจทีถ่ กู ต้อง พ.ศ. 2497 โดยแชปปิน (Chapin) ฟูลเลอร์ (Fuller) และเพียร์สัน (Pearson)
2. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลการปฏิบัติ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเปลี่ยนพลังงำนแสงจำกดวงอำทิตย์ให้เป็นพลังงำน
ไฟฟ้ ำ โดยหลั ก กำรท� ำ งำนของเซลล์ สุ ริ ย ะ คื อ เมื่ อ แสงซึ่ ง เป็ น คลื่ น
กิ จ กรรม Fun Science Activity เรื่ อ ง
แม่เหล็กไฟฟ้ำมำกระทบกับสำรกึ่งตัวน�ำที่อยู่บนแผ่นเซลล์สุริยะจะเกิดกำร
รถพลังงานลมว่า “พลังงานลมสามารถเปลีย่ น ถ่ำยเทพลังงำนระหว่ำงกัน ท�ำให้เรำสำมำรถน�ำพลังงำนจำกธรรมชำติมำ
รูปเป็นพลังงานจลน์ ท�าให้รถเคลื่อนที่ไปทาง สร้ำงพลังงำนในชีวิตประจ�ำวันได้ ภาพที่ 5.37 เครื่องคิดเลข
ทิศตรงข้ามกับลมที่ออกมาจากลูกโปง” ที่มา : คลังภาพ อจท.
3. นั ก เรี ย นแต่ ล ะกลุ ่ ม ร่ ว มกั น ศึ ก ษาค้ น คว้ า โดยทั่วไปแผ่นเซลล์สุริยะนิยมน�ำมำใช้กับเครื่องคิดเลข เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงำนสลับกับกำรใช้แบตเตอรี่
ข้อมูลเพิม่ เติมเกีย่ วกับกฎการอนุรกั ษ์พลังงาน หรือนิยมน�ำมำติดตั้งบนหลังคำบ้ำนหรือพื้นที่ที่แสงแดดส่องถึงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ำ แล้วน�ำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้ำ
จาก Science in Real Life เรื่อง เซลล์สุริยะ ภำยในบ้ำน ซึง่ เป็นกำรประหยัดค่ำใช้จำ่ ย นอกจำกนี้ ยังใช้เป็นระบบแสงสว่ำงให้กบั โรงงำนอุตสำหกรรม ป้ำยประกำศ
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 ตู้โทรศัพท์ หรือใช้ในระบบกำรคมนำคม เช่น ไฟน�ำร่องเพื่อน�ำเครื่องบินขึ้นหรือลง ไฟประภำคำร ไฟน�ำร่องของเรือ
อีกทั้งใช้ในระบบกำรเกษตร เช่น ระบบสูบน�้ำ เครื่องนวดข้ำว
จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
ว่า “เซลล์สุริยะ เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่สามารถ ส่วนประกอบหลักของเซลล์สุริยะ
เปลี่ยนพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์ให้อยู่ใน
กระจกใส
รูปของพลังงานไฟฟ้าได้ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้ 1
เทคโนโลยีนี้ คือ เครื่องคิดเลข” สารกึ่งตัวน�าชนิดเอ็น ((N-type)
คือ แผ่นซิลิคอนที่มีสมบัติเป็นตัวส่งอิเล็กตรอน
2
สารกึ่งตัวน�าชนิดพี ((P-type)
คือ แผ่นซิลคิ อนทีผ่ ำ่ นกระบวนกำรทีท่ ำ� ให้โครงสร้ำงของอะตอม
สูญเสียอิเล็กตรอน เมื่อได้รับพลังงำนแสงจำกดวงอำทิตย์ จะมี
สมบัติเป็นตัวรับอิเล็กตรอน

ภาพที่ 5.38 ส่วนประกอบของแผ่นเซลล์สุริยะ


ที่มา : คลังภาพ อจท.

68

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 สารกึ่งตัวนําชนิดเอ็น เป็นสารกึ่งตัวน�าที่เกิดจากการจับตัวของอะตอม เครื่องคิดเลขอิเล็กทรอนิกสติดแผงเซลลสุริยะ เพื่อเปลี่ยน
ซิลิคอนกับอะตอมของสารหนู ท�าให้มีอิเล็กตรอนเกินขึ้นมา 1 ตัว เรียกว่า พลังงานจากรูปใดไปเปนรูปใด
อิเล็กตรอนอิสระ ซึ่งสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระในก้อนผลึกนั้น จึงยอมให้ 1. พลังงานเคมีเป็นพลังงานจลน์
กระแสไฟฟ้าไหลได้เช่นเดียวกับตัวน�าทั่วไป 2. พลังงานแสงเป็นพลังงานจลน์
2 สารกึ่งตัวนําชนิดพี เป็นสารกึ่งตัวน�าที่เกิดจากการจับตัวของอะตอม 3. พลังงานเคมีเป็นพลังงานไฟฟ้า
ซิลคิ อนกับอะตอมของอะลูมเิ นียม ท�าให้เกิดทีว่ า่ งซึง่ เรียกว่า โฮล ขึน้ ในแขนร่วม 4. พลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้า
ของอิเล็กตรอน อิเล็กตรอนข้างโฮลจะเคลือ่ นทีไ่ ปอยูใ่ นโฮล ท�าให้ดคู ล้ายกับโฮล (วิเคราะหคําตอบ เซลลสุริยะจะเปลี่ยนพลังงานแสงจาก
เคลื่อนที่ได้ จึงท�าให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ ดวงอาทิตยเปนพลังงานไฟฟา ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T76
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
Summary 1. นั ก เรี ย นตรวจสอบความเข้ า ใจของตนเอง
งานและพลังงาน
5 จากกรอบ Self Check เรื่อง งานและพลังงาน
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
โดยบันทึกลงในสมุดประจ�าตัวนักเรียน
งาน 2. ครูมอบหมายให้นักเรียนท�า Unit Question
งาน ในทางฟสกิ ส คือ ผลคูณของแรงกับระยะทางทีว่ ตั ถุเคลือ่ นทีต่ ามแนวแรงหรือการกระจัดตามแนวแรง งานจะมีคา มากหรือนอย เรื่ อ ง งานและพลั ง งาน จากหนั ง สื อ เรี ย น
ขึ้นอยูกับขนาดของแรงและขนาดของการกระจัดในแนวเดียวกับแรง ซึ่งงานเปนปริมาณทางกายภาพที่มีเพียงขนาดไมมีทิศทาง วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 โดยท�าลงในสมุด
งานจึงเปนปริมาณสเกลาร สามารถคํานวณหางานที่เกิดขึ้นได จากสมการ
ประจ�าตัวนักเรียน
W = Fs 3. นักเรียนท�าแบบทดสอบหลังเรียนของหน่วย
การเรียนรู้ที่ 5 งานและพลังงาน เพื่อเป็นการ
กําลัง วัดความรู้หลังเรียนของนักเรียน
กําลัง หมายถึง ปริมาณทีใ่ ชบอกอัตราการทํางาน หรืองานทีท่ าํ ไดในหนึง่ หนวยเวลา โดยกําลังเปนปริมาณสเกลาร สามารถคํานวณ 4. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 6 คน ตามความ
หากําลังเฉลี่ยได จากสมการ สมัครใจ จากนั้นให้แต่ละกลุ่มน�าความรู้ เรื่อง
P = Wt งานและพลังงาน มาออกแบบและประดิษฐ์
ชิ้นงานเกี่ยวกับด้านพลังงาน
เครือ่ งกลอยางงาย
เครือ่ งกลอยางงายเปนเครือ่ งกลทีช่ ว ยผอนแรงและชวยอํานวยความสะดวกในการทํางาน โดยเครือ่ งกลอยางงายมี 6 ประเภท ไดแก
คาน รอก พื้นเอียง สกรู ลิ่ม ลอ และเพลา

แรงพยายาม (E) L

H
W W

แรงตานทาน (W)
ภาพที่ 5.40 ลิ่มเปนเครื่องกลที่ใชแยกวัตถุ
ภาพที่ 5.39 คานเปนเครื่องกลที่ชวยงัดวัตถุใหสูงขึ้น ใหออกจากกัน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.

งานและพลังงาน 69

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


เครื่องกลอยางงายประเภทใดไมชวยผอนแรง ครูให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับรอก จาก YouTube เรื่อง What is a
1. คาน Pulley?-Simple Machines (https://www.youtube.com/watch?time_
2. พื้นเอียง continue=91&v=LiBcur1aqcg)
3. รอกเดี่ยวตายตัว
4. รอกเดี่ยวเคลื่อนที่
(วิเคราะหคําตอบ รอกเดีย่ วตายตัวไมชว ยผอนแรง แตชว ยอํานวย
ความสะดวก ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T77
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเกี่ยวกับเรื่อง กฎ
การอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งควรได้ข้อสรุปร่วมกันว่า s m E
E
“พลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ และ E
R
ไม่สามารถท�าให้สูญหายหรือท�าลายได้ แต่จะ s
E
h
เกิดการเปลี่ยนรูปพลังงานจากรูปหนึ่งไปเป็นอีก
รู ป หนึ่ ง ตั ว อย่ า งเช่ น พลั ง งานศั ก ย์ โ น้ ม ถ่ ว ง m
เปลี่ยนเป็นพลังงานจลน์ เช่น น�้าไหลมาจาก m มองจำกด้ำนบน
h=s W h = 2s
ภูเขาสูง” W
ภาพที่ 5.41 รอกช่วยผ่อนแรงและเคลื่อนย้ำยวัตถุ ภาพที่ 5.43 สกรูช่วยยกวัตถุให้สูงขึ้น
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.

R E
r
m E
W E
h L m m
W W
ภาพที่ 5.42 พื้นเอียงช่วยย้ำยวัตถุที่อยู่สูงลงมำได้สะดวกขึ้น ภาพที่ 5.44 ล้อและเพลำช่วยผ่อนแรงในกำรท�ำงำน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.

พลังงานกล
พลังงำนกลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. พลังงานจลน์ เป็นพลังงำนที่ถูกครอบครองโดยวัตถุ
ที่เคลื่อนที่ โดยปัจจัยที่มีผลต่อพลังงำนจลน์ คือ
• มวล ถ้ำอัตรำเร็วของวัตถุทั้งสองเท่ำกัน วัตถุที่มีมวล
มำกกว่ำจะมีพลังงำนจลน์มำกกว่ำ
• อัตราเร็ว ถ้ำมวลของวัตถุทงั้ สองเท่ำกัน วัตถุทเี่ คลือ่ นที่
ด้วยอัตรำเร็วที่มำกกว่ำจะมีพลังงำนจลน์มำกกว่ำ
ภาพที่ 5.45 รถแข่งที่วิ่งเร็วที่สุดจะมีพลังงำนจลน์สะสมสูงที่สุด
เมื่อเทียบกับวัตถุที่มีมวลเท่ำกัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.

70

สื่อ Digital ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูอาจให้นกั เรียนศึกษาเพิม่ เติมเกีย่ วกับพลังงาน จากภาพยนตร์สารคดีสนั้ ถังใบหนึ่งบรรจุนํ้าและถูกตั้งไวบนที่สูง พลังงานที่สะสมในนํ้า
Twig เรื่อง พลังงานรูปแบบต่างๆ (https://www.youtube.com/watch? คือพลังงานชนิดใด
v=HZUZK_i-iQA) 1. พลังงานจลน์
2. พลังงานไฟฟ้า
3. พลังงานศักย์โน้มถ่วง
4. พลังงานศักย์และพลังงานจลน์
(วิเคราะหคําตอบ นํา้ ทีบ่ รรจุอยูใ นถังทีต่ งั้ อยูบ นทีส่ งู จะมีพลังงาน
ศักยโนมถวงสะสมอยูในนํ้า ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T78
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
2. พลังงานศักย์ เป็นพลังงำนที่สะสมในวัตถุซึ่งขึ้นอยู่กับต�ำแหน่งของวัตถุ แบ่งออกเป็น 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
• พลังงานศักย์โน้มถ่วง เป็นพลังงำนที่สะสมอยู่ในวัตถุ
ที่เกี่ยวข้องกับต�ำแหน่งของวัตถุเมื่อเทียบกับต�ำแหน่งอ้ำงอิงใน หนวยการเรียนรูที่ 5 งานและพลังงาน เพื่อ
สนำมโน้มถ่วง โดยปัจจัยที่มีผลต่อพลังงำนศักย์โน้มถ่วง คือ ตรวจสอบความเขาใจหลังเรียนของนักเรียน
- มวล ถ้ำวัตถุทั้งสองอยู่ในระดับควำมสูงที่เท่ำกัน 2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
วัตถุที่มีมวลมำกกว่ำจะมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วงมำกกว่ำ
- ต�าแหน่งของวัตถุ ถ้ำมวลของวัตถุทั้งสองเท่ำกัน
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
วัตถุที่อยู่ในต�ำแหน่งที่สูงกว่ำจะมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วงที่มำก พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ
กว่ำ ภาพที่ 5.46 พลังงำนศักย์โน้มถ่วงที่สะสมอยู่ในเครื่องบิน นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
• พลังงานศักย์ยดื หยุน่ เป็นพลังงำนทีส่ ะสมอยูใ่ นวัตถุที่ ที่มา : คลังภาพ อจท. 3. ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนกอนเขาสู
ยืดหยุ่นได้
กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Under-
กฎการอนุรกั ษพลังงาน standing Check ในสมุดประจําตัวนักเรียน
พลังงำนเป็นสิ่งที่ไม่สำมำรถสร้ำงขึ้นใหม่ และไม่สำมำรถท�ำให้สูญหำยหรือท�ำลำยได้ แต่จะเกิดกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนจำกรูปหนึ่ง 4. ครูตรวจ Topic Question ในสมุดประจําตัว
ไปเป็นอีกรูปหนึ่ง เช่น นักเรียน
- พลังงำนศักย์โน้มถ่วงเปลี่ยนเป็นพลังงำนจลน์ เช่น น�้ำไหลลงมำจำกภูเขำสูง
- พลังงำนจลน์เปลี่ยนเป็นพลังงำนควำมร้อน เช่น กำรท�ำงำนของเครื่องจักรในอุตสำหกรรม 5. ครูตรวจสอบผลการตรวจสอบความเขาใจของ
- พลังงำนจลน์เปลี่ยนเป็นพลังงำนไฟฟ้ำ เช่น กำรผลิตกระแสไฟฟ้ำจำกพลังน�้ำ ตนเองจากกรอบ Self Check เรื่อง งานและ
- พลังงำนแสงเปลี่ยนเป็นพลังงำนเคมี เช่น กำรสังเครำะห์ด้วยแสงของพืช พลังงาน ในสมุดประจําตัวนักเรียน
- พลังงำนเคมีเปลี่ยนเป็นพลังงำนควำมร้อนและแสง เช่น กำรเผำซำกเชื้อเพลิงดึกด�ำบรรพ์
- พลังงำนเคมีเปลี่ยนเป็นพลังงำนที่ใช้ท�ำกิจกรรมต่ำง ๆ เช่น กระบวนกำรเผำผลำญอำหำรในร่ำงกำยมนุษย์และสัตว์
6. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง กฎการอนุรักษ
นอกจำกนี้ พลังงำนสำมำรถถ่ำยโอนได้ เช่น กำรถ่ำยโอนควำมร้อนระหว่ำงสสำร กำรถ่ำยโอนพลังงำนเสียงจำกแหล่งก�ำเนิด พลังงาน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2
Self Check 7. ครูประเมินผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม Fun Science
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด หากพิจารณาข้อความ Activity เรื่อง รถพลังงานลม
ไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้ 8. ครูตรวจแบบฝกหัด Unit Question เรื่อง งาน
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวข้อ และพลังงาน ในสมุดประจําตัวนักเรียน
1. นิดถือกล่องหนัก 150 นิวตัน วิง่ ข้ำมถนน 5 เมตร จะเกิดงำน 750 จูล 1.1 9. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งาน/ผลงาน
2. คุณอำเดินถือเอกสำรหนัก 60 นิวตัน วิ่งขึ้นบันไดสูง 2 เมตร ยำว 50 เมตร 1.2
สิ่ ง ประดิ ษ ฐ ด  า นพลั ง งานของนั ก เรี ย น
เป็นเวลำ 30 วินำที จะเกิดงำน 120 จูล และมีก�ำลังเฉลี่ย 40 วัตต์ แตละกลุม
มุด
ในส

3. รอกเดี่ยวตำยตัวเป็นเครื่องกลอย่ำงง่ำยที่ช่วยผ่อนแรง 1.3
ึกลง

บัน

4. เครือ่ งบินทีบ่ นิ อยู่ในชัน้ สตรำโตสเฟยร์มที งั้ พลังงำนจลน์และพลังงำนศักย์โน้มถ่วงสะสม


อยู่ในเครื่องบิน 2.1

5. พลังงำนสำมำรถเปลี่ยนรูปได้ แต่ไม่สำมำรถถ่ำยโอนให้กับสสำรอื่นได้ 2.2 แนวตอบ Self Check


งานและพลังงาน 71 1. ผิด 2. ผิด 3. ผิด
4. ถูก 5. ผิด

กิจกรรม 21st Century Skills แนวทางการวัดและประเมินผล


ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน สืบคนและศึกษาขอมูล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง งานและพลังงาน ไดจาก
เพิม่ เติม เพือ่ พิจารณาประเภทของหลอดไฟตางๆ กับหลอดไฟปกติ ชิ้นงานสิ่งประดิษฐดานพลังงาน ที่สรางขึ้นในขั้นขยายความรู โดยศึกษา
จากตารางที่ครูเตรียมมาให ดังภาพ โดยใหนักเรียนวิเคราะหวา เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด)
หลอดไฟประเภทใด ชวยประหยัดคาไฟไดมากทีส่ ดุ โดยใหนกั เรียน ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 5
แปลความหมายตัวเลขในตารางในรูปของกําลังไฟหรือหนวยจูล
เกณฑ์การประเมินผลงานสิ่งประดิษฐ์ด้านพลังงาน

ตอวินาที ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน พรอมสงตัวแทนออกมา


แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
แบบประเมินผลงานสิ่งประดิษฐ์ด้านพลังงาน
1. การออกแบบชิ้นงาน ชิ้นงานมีความถูกต้องที่ ชิ้นงานมีความถูกต้องที่ ชิ้นงานมีความถูกต้องที่ ชิ้ น ง า น ไ ม่ ถู ก ต้ อ ง ที่
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ออกแบบไว้ มี ข นาด ออกแบบไว้ มี ข นาด ออกแบบไว้ มี ข นาด ออกแบบไว้ มี ข นาดไม่

นําเสนอขอมูลหนาชั้นเรียน
ระดับคุณภาพ เ ห ม า ะ ส ม รู ป แ บ บ เ ห ม า ะ ส ม รู ป แ บ บ เ ห ม า ะ ส ม รู ป แ บ บ เหมาะสม รู ป แบบไม่
ลาดับที่ รายการประเมิน น่าสนใจ แปลกตา และ น่าสนใจ และสร้างสรรค์ น่าสนใจ น่าสนใจ
4 3 2 1
สร้างสรรค์ดี
1 การออกแบบชิ้นงาน 2. การเลือกใช้วัสดุเพื่อ เลื อ กใช้ วั ส ดุ ม าสร้ า ง เลื อ กใช้ วั ส ดุ ม าสร้ า ง เลื อ กใช้ วั ส ดุ ม าสร้ า ง
เลื อ กใช้ วั ส ดุ ม าสร้ า ง
2 การเลือกใช้วัสดุเพื่อสร้างชิ้นงาน สร้างชิ้นงาน ชิ้นงานตามที่กาหนดได้ ชิ้นงานตามที่กาหนดได้ ชิ้ น งานตามที่ ก าหนด ชิ้ น งา นไ ม่ ต รง ตา ม ที่
3 ความสมบูรณ์ของชิ้นงาน ถูกต้อง และวัสดุมีความ ถูกต้อง และวัสดุมีความ แต่วัสดุมีความเหมาะสม ก าหนด และวั ส ดุ ไ ม่ มี
4 การสร้างสรรค์ชิ้นงาน เหมาะสมกั บ การสร้ า ง เหมาะสมกั บ การสร้ า ง กั บ การสร้ า งชิ้ น งานที่
ความเหมาะสมกั บ การ
5 กาหนดเวลาส่งงาน ชิ้นงานดีมาก ชิ้นงานดี ออกแบบไว้ สร้างชิ้นงานที่ออกแบบ
ไว้
รวม
3. ความสมบูรณ์ของ ชิ้ น งานมี ค วามแข็ ง แรง ชิ้ น งานมี ค วามแข็ ง แรง ชิ้ น ง า น ไ ม่ มี ค ว า ม ชิ้ น ง า น ไ ม่ มี ค ว า ม
ชิ้นงาน ทนทาน สามารถ ท น ท า น ส า ม า ร ถ แข็ ง แรง แต่ ส ามารถ แ ข็ ง แ ร ง แ ล ะ ไ ม่
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน นาไปใช้ งานได้ จ ริง และ นาไปใช้ งานได้ จ ริง และ นาไปใช้งานได้บ้าง สามารถนาไปใช้งานได้
............../................./................ ใช้ได้ดีมาก ใช้ได้ดี
4. การสร้างสรรค์ ต ก แ ต่ ง ชิ้ น ง า น ไ ด้ ต ก แ ต่ ง ชิ้ น ง า น ไ ด้ ต ก แ ต่ ง ชิ้ น ง า น ไ ด้ ชิ้ น ง า น ไ ม่ มี ค ว า ม
ชิ้นงาน สวยงามดีมาก สวยงามดี สวยงามน้อย สวยงาม
5. กาหนดเวลาส่งงาน ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด
กาหนด 1-2 วัน เกิน 3 วัน ขึ้นไป เกิน 5 วัน ขึ้นไป

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18-20 ดีมาก
14-17 ดี
10-13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง

T79
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

แนวตอบ Unit Question


1. 1.1 เกิดงาน 1.2 ไม่เกิดงาน Unit Question
1.3 ไม่เกิดงาน 1.4 เกิดงาน
1.5 ไม่เกิดงาน ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�ำถำมต่อไปนี้
1. จงระบุว่ำเหตุกำรณ์ที่ก�ำหนดให้ต่อไปนี้ เกิดงำนในทำงฟิสิกส์หรือไม่
2. จากสมการ W = Fs 1.1 ออกแรงผลักตู้เย็นให้เคลื่อนที่ไปข้ำงหน้ำ
= 80 × 5 1.2 ออกแรงยกทีวีแล้วเดินถอยหลัง
= 400 N m 1.3 ยืนถือกล่องไม้เป็นเวลำ 10 นำที
1.4 ออกแรงดึงเชือกให้เคลื่อนที่ไปทำงซ้ำย
3. จากสมการ W = Fs 1.5 ออกแรงผลักรถยนต์ที่ดึงเบรกมือ
= 40 × 100
2. คนงำนออกแรงขนำด 80 นิวตัน ผลักวัตถุให้เคลื่อนที่ขนำนกับพื้นได้ขนำดของกำรกระจัด 5 เมตร จงหำงำน
= 4,000 N m ที่คนงำนคนนี้ท�ำได้
4. ย กหินก้อนหนึ่งหนัก 150 นิวตัน ให้สูงขึ้น 3. ชำยคนหนึ่งหนัก 120 นิวตัน แบกกล่องหนัก 40 นิวตัน เดินขึ้นเนินสูง 100 เมตร และเดินบนพื้นระดับ
15 เมตร จะเกิดงาน โดยคิดได้ ดังนี้ ต่อไปอีก 25 เมตร จงหำว่ำงำนที่เกิดขึ้นจำกกำรเดินทำงของชำยคนนี้เท่ำกับเท่ำใด
จากสมการ W = Fs 4. เมื่อยกหินก้อนหนึ่งหนัก 150 นิวตัน ให้สูงขึ้นไป 15 เมตร จะเกิดงำนมำกกว่ำหรือน้อยกว่ำเมื่อผลักหิน
= mgh ให้เคลื่อนที่ไปได้ขนำดของกำรกระจัด 25 เมตร
= 150 × 15
5. ปั้นจั่นเครื่องหนึ่งท�ำงำนได้ 50,000 จูล ในกำรยกเสำเข็มหนักครึ่งตัน จงหำว่ำเสำเข็มต้นนี้ถูกยกขึ้นไปสูง
= 2,250 N m กี่เมตร
ผลักก้อนหินหนัก 150 นิวตัน ให้เคลื่อนที่ไปได้
6. แมนและใหม่ออกแรงลำกวัตถุไปคนละทำง โดยออกแรงพร้อมกัน แมนออกแรง 50 นิวตัน และใหม่ออกแรง
ระยะทาง 25 เมตร จะเกิดงาน โดยคิดได้ ดังนี้ 30 นิวตัน ท�ำให้วัตถุเคลื่อนที่ไปทำงแมน 2 เมตร จงหำงำนรวมที่เกิดขึ้น
จากสมการ W = Fs
7. จงเปรียบเทียบงำนที่นำย ก และนำย ข ท�ำได้จำกกำรออกแรงผลักวัตถุ A ให้วัตถุเคลื่อนที่ไปได้ระยะทำง 20
= 150 × 25 เมตร โดย
= 3,750 N m 7.1 นำย ก ออกแรงขนำด 20 นิวตัน และนำย ข ออกแรงขนำด 30 นิวตัน
ดงั นัน้ ผลักก้อนหินหนัก 150 นิวตัน ให้เคลือ่ นที่ 7.2 ทั้งนำย ก และนำย ข ออกแรงขนำด 20 นิวตัน แต่นำย ก ใช้เวลำ 5 นำที ส่วนนำย ข ใช้เวลำ 10
ไปได้ระยะทาง 25 เมตร จะเกิดงานมากกว่า นำที
ยกก้อนหินหนักเท่าเดิมให้สูง 15 เมตร 8. จงเปรียบเทียบงำนที่เกิดขึ้นกับลูกมะม่วง 2 ลูก (ก�ำหนดให้ g = 10 m/s2)
8.1 ต้นมะม่วงสูง 3 เมตร เท่ำกัน แต่มะม่วงลูกที่ 1 และ 2 มีมวล 600 และ 700 กรัม ตำมล�ำดับ
5. จากสมการ W = Fs 8.2 มะม่วงทั้งสองผลมีมวล 750 กรัม เท่ำกัน แต่ต้นมะม่วงต้นที่ 1 และ 2 มีควำมสูง 3 และ 4 เมตร
W = (mg)h ตำมล�ำดับ
50,000 = 500 × 10 × h
50,000 9. กรรมกรออกแรงขนำด 200 นิวตัน ดึงปลำยเชือกข้ำงหนึ่งที่คล้องผ่ำนรอกเดี่ยวเคลื่อนที่ตัวหนึ่งเป็นระยะ
h = 5,000 20 เมตร ท�ำให้รอกตัวนี้สำมำรถยกวัตถุขึ้นไปได้สูง 10 เมตร อยำกทรำบว่ำวัตถุที่ผูกติดอยู่กับรอกตัวนี้มีมวล
h = 10 m เท่ำกับเท่ำใด
6. พิจารณางานที่แมนท�ำ 72
จากสมการ W = Fs
W = F1s
W = 50 × 2 7.2 พิจารณางานที่นาย ก ท�ำ จากสมการ W = Fs
W = 100 J = 20 × 20
พิจารณางานที่ใหม่ท�ำ จากสมการ W = Fs = 400 J
W = -F2 s พิจารณางานที่นาย ข ท�ำ จากสมการ W = Fs
W = -(30) × 2 = 20 × 20
W = -60 J = 400 J
งานรวมที่ให้แก่วัตถุ W = 100 - 60 ดังนั้น งานของนาย ก และ ข เท่ากัน
= 40 J 8. 8.1 พิจารณางานที่เกิดขึ้นกับมะม่วงลูกที่ 1 จากสมการ W = Fs
7. 7.1 พิจารณางานที่นาย ก ท�ำ จากสมการ W = Fs W = (mg)h
= 20 × 20 W = 0.6 × 10 × 3
= 400 J W = 18 J
พิจารณางานที่นาย ข ท�ำ จากสมการ W = Fs พิจารณางานที่เกิดขึ้นกับมะม่วงลูกที่ 2 จากสมการ W = Fs
= 30 × 20 W = (mg)h
= 600 J W = 0.7 × 10 × 3
ดังนั้น งานของนาย ก น้อยกว่านาย ข W = 21 J
ดังนั้น งานที่เกิดขึ้นกับมะม่วงลูกที่ 1 น้อยกว่ามะม่วงลูกที่ 2
T80
น�ำ สอน สรุป ประเมิน

8.2 พิจารณางานที่เกิดขึ้นกับมะม่วงลูกที่ 1
จากสมการ W = Fs
10. นำยวศินออกแรงขนำด 150 นิวตัน ผลักวัตถุมวล 10 กิโลกรัม จำกหยุดนิง่ ให้เคลือ่ นทีไ่ ปตำมแนวแรงได้ขนำด W = (mg)h
ของกำรกระจัด 5 เมตร ภำยใน 2 วินำที จงหำก�ำลังเฉลี่ยที่นำยวศินใช้ในกำรผลักวัตถุ W = 0.75 × 10 × 3
11. เด็กชำยคนหนึ่งมีมวล 50 กิโลกรัม วิ่งขึ้นบันได 50 ขั้น แต่ละขั้นสูง 0.2 เมตร ถ้ำเขำใช้เวลำ 20 วินำที W = 22.5 J
เด็กคนนี้ใช้ก�ำลังในกำรวิ่งขึ้นบันไดเท่ำใด (ก�ำหนดให้ g = 10 m/s2) พิจารณางานที่เกิดขึ้นกับมะม่วงลูกที่ 2
12. เครื่องกลอย่ำงง่ำยมีกี่ชนิด อะไรบ้ำง และมีแรงชนิดใดมำเกี่ยวข้องบ้ำง จากสมการ W = Fs
W = (mg)h
13. เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ก�ำหนดให้ต่อไปนี้มีหลักกำรตรงกับเครื่องกลอย่ำงง่ำยชนิดใด และมีประโยชน์อย่ำงไร
W = 0.75 × 10 × 4
W = 30 J
ขวาน นอต กรรไกร ดั งนั้ น งานที่ เ กิ ด ขึ้น กับ มะม่ ว งลู กที่ 1
น้อยกว่ามะม่วงลูกที่ 2
9. พิจารณารอกเดี่ยวเคลื่อนที่
จากสมการ Es = Wh
200 × 20 = W × 10
W = 20010× 20
ตะปู จักรยาน เครนยกของ W = 400 N หรือ 40 kg
ดังนั้น วัตถุที่ผูกติดอยู่กับรอกตัวนี้มีมวล 40
กิโลกรัม
10. จากสมการ P = wt
P = Fst
P = (150)(5) 2
ภาพที่ 5.47 เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน
ที่มา : คลังภาพ อจท. P = 375 W

14. พลังงำนกลคืออะไร มีกี่ประเภท


11. จากสมการ P = wt

15. จงระบุกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนจำกสถำนกำรณ์ที่ก�ำหนดให้ P = mgh t


15.1 กำรสร้ำงเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ำ P = (50)(10)(50 × 0.2)
15.2 กำรเผำถ่ำนหินในโรงงำนอุตสำหกรรม
20
P = 250 W

งานและพลังงาน 73

12. เครื่องกลอย่างง่าย มี 6 ประเภท ได้แก่ คาน รอก ลิ่ม พื้นเอียง สกรู ล้อและเพลา ซึ่งมีแรงที่มาเกี่ยวข้องกับเครื่องกลบางชนิด เช่น คานใช้โมเมนต์ของ
แรง สกรู ล้อและเพลาใช้แรงหมุน รอกใช้แรงดึง
13. ขวาน : ใช้หลักการของลิ่ม เพื่อแยกวัตถุให้ออกจากกัน ถ้าความยาวขวานมากกว่าความกว้างของสันขวานจะช่วยผ่อนแรง
นอต : ใช้หลักการของสกรู เพื่อยึดวัสดุเข้าด้วยกัน
กรรไกร : ใช้หลักการของคาน ช่วยผ่อนแรงในการท�ำงาน
ตะปู : ใช้หลักการของลิ่ม เพื่อเจาะหรือยึดวัตถุ
จักรยาน : ใช้หลักการของล้อและเพลา เมื่อถีบจักรยานหรือหมุนเพลา 1 รอบ ด้วยรัศมีที่มีค่าน้อยกว่ารัศมีของล้อ ล้อจักรยานจะหมุนไป 1 รอบ ท�ำให้
จักรยานเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้
เครนยกของ : ใช้หลักการของรอก เพื่อเคลื่อนย้ายวัตถุให้สะดวกขึ้น
14. พ ลังงานที่อยู่ในวัตถุ ส่งผลให้วัตถุมีการเปลี่ยนแปลงสถานะและเปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ พลังงานจลน์และพลังงานศักย์
15. 15.1 พลังงานศักย์โน้มถ่วง พลังงานจลน์ พลังงานไฟฟ้า
15.2 พลังงานเคมี พลังงานความร้อนและพลังงานแสง

T81
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์

แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบ 1. อ ธิบายโครงสร้างภายในโลก แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน - ทักษะการสังเกต - มีวินัย


โครงสร้างโลก ก่อนเรียน ได้ (K) หาความรู้ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการทดลอง - ใฝ่เรียนรู้
- หนังสือเรียน 2. ส ร้า งแบบจ� ำลองโครงสร้ า ง (5Es - ประเมินการปฏิบัติกิจกรรม - ทักษะการจ�ำแนก - มุ่งมั่นใน
2 วิทยาศาสตร์ โลกตามองค์ประกอบทางเคมี Instructional แบบจ�ำลองโครงสร้างของโลก ประเภท การท�ำงาน
ชั่วโมง
ม.2 เล่ม 2 ได้ (P) Model) - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการท�ำงาน
- แบบฝึกหัด 3. มีความใฝ่เรียนรู้และมีความ - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน ร่วมกัน
วิทยาศาสตร์ มุ่งมั่นในการท�ำงาน (A) รายบุคคล
ม.2 เล่ม 2 - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
- อุปกรณ์การ กลุ่ม
ทดลอง - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้
- PowerPoint และมุ่งมั่นในการท�ำงาน

แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียน 1. อ ธิบายกระบวนการผุพัง แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการวัด - มีวินัย


การเปลี่ยนแปลง วิทยาศาสตร์ การกร่อน และการสะสมตัว หาความรู้ - ตรวจ Topic Question - ทักษะการสังเกต - ใฝ่เรียนรู้
ของโลก ม.2 เล่ม 2 ของตะกอนได้ (K) (5Es - ประเมินการปฏิบัติกิจกรรม - ทักษะการทดลอง - มุ่งมั่นใน
- แบบฝึกหัด 2. ยกตัวอย่างผลของกระบวน Instructional จ�ำลองการผุพังอยู่กับที่ของหิน - ทักษะการ การท�ำงาน
5 วิทยาศาสตร์ การผุพัง การกร่อน และการ Model) เนื่องจากน�้ำเป็นปัจจัย ตั้งสมมติฐาน
ม.2 เล่ม 2 สะสมตัวของตะกอนได้ (K) - ประเมินการปฏิบัติกิจกรรม - ทักษะการท�ำงาน
ชั่วโมง
- อุปกรณ์การ 3. ปฏิบัติกิจกรรมจ�ำลองการ จ�ำลองการกร่อน การพัดพา ร่วมกัน
ทดลอง ผุพังอยู่กับที่ของหินเนื่องจาก และการสะสมตัวของตะกอน - ทักษะการน�ำ
- บัตรภาพ น�้ำเป็นปัจจัยได้อย่างถูกต้อง - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน ความรู้ไปใช้
- PowerPoint และเป็นล�ำดับขั้นตอน (P) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
4. ปฏิบัติกิจกรรมจ�ำลองการ รายบุคคล
กร่อน การพัดพา และการ - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
สะสมตัวของตะกอนได้อย่าง กลุ่ม
ถูกต้องและเป็นล�ำดับขั้นตอน - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้
(P) และมุ่งมั่นในการท�ำงาน
5. มีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้
และการท�ำงานที่ได้รับ
มอบหมายตลอดเวลา (A)

แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียน 1. อ ธิบายกระบวนการเกิดดินได้ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการระบุ - มีวินัย


กระบวนการ วิทยาศาสตร์ (K) หาความรู้ - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการสังเกต - ใฝ่เรียนรู้
เกิดดิน ม.2 เล่ม 2 2. ระบุปจั จัยทีท่ ำ� ให้ดนิ มีลกั ษณะ (5Es - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - ทักษะการ - มุ่งมั่นใน
- แบบฝึกหัด และสมบัติแตกต่างกันได้ (P) Instructional รายบุคคล เปรียบเทียบ การท�ำงาน
2 วิทยาศาสตร์ 3. ตระหนักถึงการใช้ประโยชน์ Model) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
ชั่วโมง ม.2 เล่ม 2 ของดิน (A) กลุ่ม
- PowerPoint 4. มีความใฝ่เรียนรู้และมีความ - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้
มุ่งมั่นในการท�ำงาน (A) และมุ่งมั่นในการท�ำงาน

T82
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียน 1. อธิบายสมบัติของดินได้ (K) แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
สมบัติของดิน วิทยาศาสตร์ 2. ตรวจวัดสมบัติบางประการ หาความรู้ - ประเมินการปฏิบัติกิจกรรม - ทักษะการทดลอง - ใฝ่เรียนรู้
ม.2 เล่ม 2 ของดิน โดยใช้เครื่องมือที่ (5Es ตรวจวัดสมบัติของดิน - ทักษะการรวบรวม - มุ่งมั่นใน
2 - แบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์
เหมาะสมได้ (P)
3. ตระหนักถึงการใช้ประโยชน์
Instructional
Model)
- ประเมินการน�ำเสนอผลงาน
- สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
ข้อมูล
- ทักษะการน�ำ
การท�ำงาน
ชั่วโมง
ม.2 เล่ม 2 ของดินจากข้อมูลสมบัติของ รายบุคคล ความรู้ไปใช้
- อุปกรณ์การ ดินได้ (A) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
ทดลอง 4. มีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ กลุ่ม
- วีดิทัศน์เกี่ยวกับ และการท�ำงานที่ได้รับ - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้
สมบัติของดิน มอบหมายตลอดเวลา (A) และมุ่งมั่นในการท�ำงาน
- PowerPoint

แผนฯ ที่ 5 - หนังสือเรียน 1. อ ธิบายลักษณะของชัน้ หน้าตัด แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย


ชั้นหน้าตัดดิน วิทยาศาสตร์ ดินและการปรับปรุงคุณภาพ หาความรู้ - ตรวจ Topic Question - ทักษะการทดลอง - ใฝ่เรียนรู้
และการปรับปรุง ม.2 เล่ม 2 ของดินได้ (K) (5Es - ประเมินการปฏิบัติกิจกรรม - ทักษะการท�ำงาน - มุ่งมั่นใน
คุณภาพของดิน - แบบฝึกหัด 2. เปรียบเทียบลักษณะของดิน Instructional แบบจ�ำลองชั้นหน้าตัดดิน ร่วมกัน การท�ำงาน
วิทยาศาสตร์ ในแต่ละชั้นได้ (P) Model) - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการรวบรวม
ม.2 เล่ม 2 3. ปฏิบัติกิจกรรมแบบจ�ำลอง - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน ข้อมูล
2 - อุปกรณ์การ ชั้นหน้าตัดดินได้อย่างถูกต้อง รายบุคคล
ชั่วโมง ทดลอง และเป็นล�ำดับขั้นตอน (P) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
- ใบความรู้ 4. มีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ กลุ่ม
- สลากอักษร และการท�ำงานที่ได้รับ - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้
- วีดิทัศน์เกี่ยวกับ มอบหมายตลอดเวลา (A) และมุ่งมั่นในการท�ำงาน
การส�ำรวจหน้า
ตัดข้างของดิน
- PowerPoint

แผนฯ ที่ 6 - หนังสือเรียน 1. อ ธิบายการเกิดน�้ำผิวดินได้ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย


แหล่งน�้ำ วิทยาศาสตร์ (K) หาความรู้ - ประเมินการปฏิบัติกิจกรรม - ทักษะการทดลอง - ใฝ่เรียนรู้
ม.2 เล่ม 2 2. อธิบายการเกิดน�้ำใต้ดินและ (5Es จ�ำลองการเกิดและปัจจัยใน - ทักษะการตั้ง - มุ่งมั่นใน
4 - แบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์
การกักเก็บของน�ำ้ บาดาลได้
(K)
Instructional
Model)
การเกิดน�้ำผิวดินและการ
เกิดน�้ำใต้ดิน
สมมติฐาน
- ทักษะการท�ำงาน
การท�ำงาน
ชั่วโมง
ม.2 เล่ม 2 3. อธิบายปัจจัยและกระบวนการ - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน ร่วมกัน
- อุปกรณ์การ เกิดแหล่งน�ำ้ ผิวดินได้ (K) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - ทักษะการรวบรวม
ทดลอง 4. ปฏิบตั กิ จิ กรรมจ�ำลองการเกิด รายบุคคล ข้อมูล
- ใบความรู้ และปัจจัยในการเกิดน�ำ้ ผิวดิน - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
- บัตรภาพ และการเกิดน�้ำใต้ดินได้อย่าง กลุ่ม
- PowerPoint ถูกต้องและเป็นล�ำดับขั้นตอน - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้
(P) และมุ่งมั่นในการท�ำงาน
5. มีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้
และการท�ำงานที่ได้รับ
มอบหมายตลอดเวลา (A)

T83
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 7 - หนังสือเรียน 1. อ ธิบายการใช้ประโยชน์จาก แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการส�ำรวจ - มีวินัย
การใช้ประโยชน์ วิทยาศาสตร์ น�้ำได้ (K) หาความรู้ - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน ค้นหา - ใฝ่เรียนรู้
และการอนุรักษ์ ม.2 เล่ม 2 2. สืบค้นข้อมูลและเสนอ (5Es - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - ทักษะการเชื่อมโยง - มุ่งมั่นใน
แหล่งน�้ำ - แบบฝึกหัด แนะแนวทางการใช้น�้ำอย่าง Instructional รายบุคคล - ทักษะการรวบรวม การท�ำงาน
วิทยาศาสตร์ ยั่งยืนในท้องถิ่นได้ (P) Model) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน ข้อมูล
1 ม.2 เล่ม 2
- PowerPoint
3. มีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้
และการท�ำงานที่ได้รับ
กลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้
- ทักษะการน�ำ
ความรู้ไปใช้
ชั่วโมง
มอบหมายตลอดเวลา (A) และมุ่งมั่นในการท�ำงาน

แผนฯ ที่ 8 - หนังสือเรียน 1. อ ธิบายกระบวนการเกิด แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย


ภัยพิบัติจากน�้ำ วิทยาศาสตร์ และผลกระทบของน�ำ้ ท่วม หาความรู้ - ตรวจ Topic Question - ทักษะการทดลอง - ใฝ่เรียนรู้
ม.2 เล่ม 2 การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม (5Es - ประเมินการปฏิบัติกิจกรรม - ทักษะการเชื่อมโยง - มุ่งมั่นใน
2 - แบบฝึกหัด หลุมยุบ และแผ่นดินทรุดได้ Instructional จ�ำลองการกัดเซาะชายฝั่ง - ทักษะการรวบรวม การท�ำงาน
ชั่วโมง
วิทยาศาสตร์ (K) Model) - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน ข้อมูล
ม.2 เล่ม 2 2. ปฏิบัติกิจกรรมจ�ำลองการ - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - ทักษะการน�ำ
- ภาพประกอบ กดั เซาะชายฝัง่ ได้อย่างถูกต้อง รายบุคคล ความรู้ไปใช้
การสอน และเป็นล�ำดับขั้นตอน (P) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
- PowerPoint 3. มีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ กลุ่ม
และการท�ำงานที่ได้รับ - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้
มอบหมายตลอดเวลา (A) และมุ่งมั่นในการท�ำงาน

แผนฯ ที่ 9 - หนังสือเรียน 1. อ ธิบายกระบวนการเกิดสมบัติ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการระบุ - มีวินัย


ถ่านหิน วิทยาศาสตร์ และการใช้ประโยชน์ของ หาความรู้ - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
ม.2 เล่ม 2 ถ่านหินได้ (K) (5Es - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน ค้นหา - มุ่งมั่นใน
2 - แบบฝึกหัด 2. เปรียบเทียบสมบัติของ Instructional รายบุคคล - ทักษะการ การท�ำงาน
ชั่วโมง วิทยาศาสตร์ ถ่านหินแต่ละประเภทได้ (K) Model) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน เปรียบเทียบ
ม.2 เล่ม 2 3. สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับประเภท กลุ่ม - ทักษะการรวบรวม
- อุปกรณ์การ ของถ่านหินได้ (P) - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ ข้อมูล
ทดลอง 4. มีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ และมุ่งมั่นในการท�ำงาน - ทักษะการน�ำ
- ภาพประกอบ และการท�ำงานที่ได้รับ ความรู้ไปใช้
การสอน มอบหมายตลอดเวลา (A) - ทักษะการจ�ำแนก
- PowerPoint ประเภท

T84
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 10 - หนังสือเรียน 1. อ ธิบายกระบวนการเกิดสมบัติ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการระบุ - มีวินัย
หินน�้ำมันและ วิทยาศาสตร์ และการใช้ประโยชน์ของ หาความรู้ - ตรวจภาพวาดกระบวนการ - ทักษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
ปิโตรเลียม ม.2 เล่ม 2 หินน�ำ้ มันและปิโตรเลียมได้ (5Es กลั่นน�ำ้ มันดิบ ค้นหา - มุ่งมั่นใน
- แบบฝึกหัด (K) Instructional - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการเชื่อมโยง การท�ำงาน
3 วิทยาศาสตร์ 2. เปรียบเทียบกระบวนการเกิด Model) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - ทักษะการรวบรวม
ม.2 เล่ม 2 สมบัติและการใช้ประโยชน์ รายบุคคล ข้อมูล
ชั่วโมง
- QR Code ของหินน�้ำมันได้ (K) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - ทักษะการน�ำ
- PowerPoint 3. วิเคราะห์กระบวนการกลั่น กลุ่ม ความรู้ไปใช้
น�ำ้ มันก่อนน�ำไปใช้ประโยชน์ - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้
ได้ (K) และมุ่งมั่นในการท�ำงาน
4. สบื ค้นข้อมูลเกีย่ วกับหินน�ำ้ มัน
และปิโตรเลียมได้ (P)
5. มีความใฝ่เรียนรู้และมีความ
มุ่งมั่นในการท�ำงาน (A)

แผนฯ ที่ 11 - หนังสือเรียน 1. อ ธิบายผลกระทบจากการใช้ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการส�ำรวจ - มีวินัย


ผลกระทบจาก วิทยาศาสตร์ เชื้อเพลิงซากดึกด�ำบรรพ์ได้ หาความรู้ - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน ค้นหา - ใฝ่เรียนรู้
การใช้เชื้อเพลิง ม.2 เล่ม 2 (K) (5Es - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - ทักษะการเชื่อมโยง - มุ่งมั่นใน
ซากดึกด�ำบรรพ์ - แ
 บบฝึกหัด 2. นำ� เสนอแนวทางการใช้ Instructional รายบุคคล - ทักษะการรวบรวม การท�ำงาน
วิทยาศาสตร์ เชื้อเพลิงซากดึกด�ำบรรพ์ได้ Model) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน ข้อมูล
ม.2 เล่ม 2 (P) กลุ่ม - ทักษะการน�ำ
1 - ใบความรู้ 3. ตระหนักถึงผลจากการใช้ - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ ความรู้ไปใช้
ชั่วโมง - PowerPoint เชื้อเพลิงซากดึกด�ำบรรพ์ และมุ่งมั่นในการท�ำงาน
(A)

แผนฯ ที่ 12 - หนังสือเรียน 1. อ ธิบายพลังงานทดแทนของ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน - ทักษะการเชื่อมโยง - มีวินัย


พลังงานทดแทน วิทยาศาสตร์ แต่ละประเภทได้ (K) หาความรู้ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการ - ใฝ่เรียนรู้
ม.2 เล่ม 2 2. เปรียบเทียบข้อดีและข้อ (5Es - ตรวจ Topic Question เปรียบเทียบ - มุ่งมั่นใน
3 - แบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์
จ�ำกัดของพลังงานทดแทน
แต่ละประเภทได้ (P)
Instructional
Model)
- ตรวจ Unit Question
- ประเมินการน�ำเสนอผลงาน
- ทักษะการท�ำงาน
ร่วมกัน
การท�ำงาน
ชั่วโมง
ม.2 เล่ม 2 3. นำ� เสนอแนวทางการใช้ - ตรวจและประเมินผังมโนทัศน์ - ทักษะการรวบรวม
- ใบความรู้ พลังงานทดแทนที่เหมาะสม เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลง ข้อมูล
- PowerPoint ในท้องถิ่นได้ (P) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - ทักษะการน�ำ
4. ตระหนักถึงผลจากการใช้ รายบุคคล ความรู้ไปใช้
เชื้อเพลิงซากดึกด�ำบรรพ์ (A) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - ทักษะการจ�ำแนก
5. มีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ กลุ่ม ประเภท
และการท�ำงานที่ได้รับ - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้
มอบหมายตลอดเวลา (A) และมุ่งมั่นในการท�ำงาน

T85
Chapter Concept Overview
โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงของโลก
• โครงสร้างโลก
โครงสร้างของโลกตามองค์ประกอบทางเคมี โครงสร้างของโลกตามองค์ประกอบทางกายภาพ
เปลือกโลก (crust) ธรณีภาค (lithosphere)
ประกอบด้วยสารประกอบของ
ซิลิคอนและอะลูมิเนียมเป็นหลัก
ฐานธรณีภาค (asthenosphere)

เนื้อโลก (mantle)
ประกอบด้วยสารประกอบของซิลิคอน เมโซสเฟยร์ (mesosphere)
และแมกนีเซียมเป็นหลัก
แก่นโลกชั้นนอก (outer core)
แก่นโลก (core)
ประกอบด้วยสารประกอบ
ของเหล็กและนิกเกิล แก่นโลกชั้นใน (inner core)
เป็นหลัก 0 km
100 km 2,900 km 5,100 km 2,900 km 100 km
350 km

• การเปลี่ยนแปลงของโลก
กระบวนการเปลีย่ นแปลงทางธรณีวทิ ยาท�าให้โลกมีธรณีสณ ั ฐานหรือภูมลิ กั ษณ์แตกต่างกัน และท�าให้โลกเกิดการเปลีย่ นแปลงอยูต่ ลอด
เวลา กระบวนการเปลี่ยนแปลงธรณีวิทยา มีดังนี้
1. การผุพังอยู่กับที่ คือ การผุพังทลายลงของหิน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- การผุพงั ทางกายภาพ เช่น การเพิม่ และลดของอุณหภูมทิ า� ให้เกิดรอยร้าวบนหิน น�า้ มีสว่ นท�าให้รอยแตกร้าวของหินกว้างมากขึน้
- การผุพังทางเคมี เช่น การเกิดสนิมเหล็กขึ้นบนหินที่มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ
2. การกร่อน คือ กระบวนการที่ท�าให้หินละลายหรือกร่อนโดยมีตัวน�าพาธรรมชาติ เช่น น�้า ธารน�้าแข็ง
3. การสะสมตัวของตะกอน คือ การสะสมตัวของวัตถุจากการน�าพาของน�้า ลม หรือธารน�้าแข็ง

ดิน
• กระบวนการเกิดดิน มี 3 ขั้นตอน คือ การผุพังอยู่กับที่ การทับถมของซากพืชและ O horizon
ซากสัตว์ และการคลุกเคล้าระหว่างเศษหินกับฮิวมัส
A horizon
• ปจจัยที่ทําให้ดินแต่ละท้องถิ่นมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน ได้แก่ วัตถุต้นก�าเนิดดิน
ลักษณะภูมิประเทศ เวลา ภูมิอากาศ และสิ่งมีชีวิต E horizon
• สมบัติของดิน มีดังนี้
- เนื้อดิน แบ่งออกได้เป็น 3 อนุภาค ได้แก่ อนุภาคขนาดเม็ดทราย เม็ดทรายแปง และ B horizon
ดินเหนียว
- ความชื้นของดิน คือ น�้าที่ผสมอยู่ในดิน
- สีของดิน ขึ้นอยู่กับแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบ C horizon
- ความเป็นกรด-เบสของดิน สามารถตรวจสอบได้ด้วยกระดาษลิตมัส
• ชั้นหน้าตัดดิน แบ่งออกได้เป็น 6 ชั้น ได้แก่ ชั้น O A E B C และ R R horizon
• การปรับปรุงคุณภาพของดิน เช่น การปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อปรับปรุงดินจืด การใส่ปูนขาว
เพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยว การเติมเกลือโซเดียมซัลเฟตเพื่อแก้ไขปัญหาดินเค็ม การเติม
ผงก�ามะถันเพื่อแก้ไขปัญหาดินด่าง

T86
หนวยการเรียนรูที่ 6
นํ้า
• แหล่งนํา้ ภายในโลก ประกอบด้วยน�า้ บนดิน
และน�้าใต้ดิน
- น�า้ บนดิน แบ่งออกเป็นน�า้ จืดและน�า้ เค็ม
- น�้าใต้ดิน แบ่งออกเป็นน�้าในดินและ น�้าในดิน
น�า้ บาดาล (น�า้ ทีซ่ มึ อยูใ่ นช่องว่างระหว่าง
หิน) ระดับน�้าใต้ดิน
• การใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์นํ้า เช่น ชั้นหินอุ้มน�้า
ใช้อุปโภคบริโภค ใช้เป็นเส้นทางคมนาคม ชั้นหินกั้นน�้า
ใช้ในกระบวนการผลิต น�้าบาดาล
• ภัยพิบตั จิ ากนํา้ ได้แก่ น�า้ ท่วม การกัดเซาะ ชั้นหินอุ้มน�้า
ชายฝั่ง ดินถล่ม หลุมยุบ และแผ่นดินทรุด

เชือ้ เพลิงซากดึกดําบรรพ์
• ถ่านหิน เกิดจากการสะสมของซากพืชในยุคดึกด�าบรรพ์และทับถมเป็นจ�านวนมากบริเวณหนองบึง แอ่งน�้า เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง
ทางธรณีของโลก ส่งผลให้ซากพืชได้รับความร้อนและแรงกดดัน ท�าให้ซากพืชแปรสภาพเป็นถ่านหินพีต ลิกไนต์ ซับบิทูมินัส บิทูมินัส
และแอนทราไซต์ ตามล�าดับ

ปริมาณคาร์บอน ต�่า สูง


ปริมาณความชื้น สูง ต�่า

พีต ลิกไนต์ ซับบิทูมินัส บิทูมินัส แอนทราไซต์

• หินนํ้ามัน เกิดจากการสะสมของซากพืชและซากสัตว์ทับถมเป็นจ�านวนมากภายใต้
แหล่งน�้าเป็นเวลาหลายล้านป เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีของโลก ส่งผลให้ซากพืช
ได้รบั ความร้อนและแรงกดดัน ท�าให้สารอินทรียท์ อี่ ยูใ่ นซากพืชและซากสัตว์แปรสภาพเป็น
สารประกอบเคอโรเจนเมื่อผสมกับตะกอนดินและถูกอัดแน่น จะกลายเป็นหินน�้ามัน
• ปโตรเลียม เกิดจากซากสัตว์ทะเลที่ตายเมื่อหลายร้อยป ทับถมอยู่ใต้มหาสมุทรเป็นจ�านวนมากจนแปรเปลี่ยนเป็นหินต้นก�าเนิด เมื่อเวลา
ผ่านไปความร้อนและแรงกดดันท�าให้ไขมันในซากสัตว์สลายตัวเป็นปิโตรเลียม โดยปิโตรเลียมมี 2 สถานะ คือ ของเหลว เรียกว่า น�้ามัน
ดิบ และแก๊ส เรียกว่า แก๊สธรรมชาติ ซึ่งก่อนน�าน�้ามันดิบและแก๊สธรรมชาติมาใช้ประโยชน์จ�าเป็นต้องผ่านกระบวนการกลั่นก่อน
• ผลกระทบทีเ่ กิดจากการใช้ประโยชน์เชือ้ เพลิงซากดึกดําบรรพ์ เช่น ปรากฏการณ์เรือนกระจก ภาวะโลกร้อน ฝนกรด มลพิษทางอากาศ ซึง่
ผลกระทบทีเ่ กิดขึน้ ล้วนส่งผลต่อสิง่ มีชวี ติ และสิง่ แวดล้อม ก่อนน�ามาใช้จงึ ต้องนึกถึงผลกระทบทีต่ ามมา และการใช้เชือ้ เพลิงซากดึกด�าบรรพ์
นั้นต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้แล้วหมดไป จึงอาจเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์
พลังงานน�้า พลังงานลม เนื่องจากเป็นพลังงานที่ใช้แล้วไม่หมดไป

T87
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ หนวยการเรียนรูที่

1. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน หนวย
การเรียนรูที่ 6 โลกและการเปลี่ยนแปลง เพื่อ
วัดความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูกิจกรรม
2. ครูถามคําถามกระตุน ความสนใจของนักเรียน
6 โลกและการเปลีย่ นแปลง
โดยใชคาํ ถาม Big Question จากหนังสือเรียน กระบวนการ
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 และรวมกันอภิปราย เปลี่ยนแปลงของโลก
แสดงความคิ ด เห็ น อย า งอิ ส ระโดยไม มี ก าร ÁÕ¤ÇÒÁÊÓ¤ÑÞ
ดิน
เฉลยวาถูกหรือผิด ดินเกิดจากหินทีผ่ พุ งั ตามธรรมชาติ Í‹ҧäÃ
3. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอน ผสมกับอินทรียวัตถุจากซากพืชและ
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ ซากสัตวทับถมกัน
Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุด
ประจําตัวนักเรียน
4. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 เพื่อเปนการนํา
เขาสูบทเรียน
ล�าธาร
กระบวนการกัดเซาะ
ของนํ้า สงผลใหเกิด
รองนํา้ เรียกวา ลําธาร

ตัวชี้วัด
ว 3.2 ม.2/1 เปรียบเทียบกระบวนการเกิด สมบัติ และการใช้ประโยชน์ รวมทั้งอธิบายผลกระทบจากการใช้เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์
จากข้อมูลที่รวบรวมได้
ว 3.2 ม.2/2 แสดงความตระหนักถึงผลจากการใช้เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์ โดยน�าเสนอแนวทางการใช้เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์
ว 3.2 ม.2/3 เปรียบเทียบข้อดีและข้อจ�ากัดของพลังงานทดแทนแต่ละประเภทจากการรวบรวมข้อมูล และน�าเสนอแนวทางการใช้พลังงาน
ทดแทนที่เหมาะสมในท้องถิ่น
ว 3.2 ม.2/4 สร้างแบบจ�าลองที่อธิบายโครงสร้างภายในโลกตามองค์ประกอบทางเคมีจากข้อมูลที่รวบรวมได้
ว 3.2 ม.2/5 อธิบายกระบวนการผุพงั อยูก่ บั ที่ การกร่อน และการสะสมตัวของตะกอนจากแบบจ�าลอง รวมทัง้ ยกตัวอย่างผลของกระบวนการ
ดังกล่าวที่ท�าให้ผิวโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง
ว 3.2 ม.2/6 อธิบายลักษณะของชั้นหน้าตัดดินและกระบวนการเกิดดินจากแบบจ�าลอง รวมทั้งระบุปัจจัยที่ท�าให้ดินมีลักษณะและสมบัติ
แตกต่างกัน
แนวตอบ Big Question ว 3.2 ม.2/7 ตรวจวัดสมบัตบิ างประการของดิน โดยใช้เครือ่ งมือทีเ่ หมาะสมและน�าเสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ดนิ จากข้อมูลสมบัตขิ องดิน
ว 3.2 ม.2/8 อธิบายปัจจัยและกระบวนการเกิดแหล่งน�้าผิวดินและแหล่งน�้าใต้ดินจากแบบจ�าลอง
กระบวนการเปลีย่ นแปลงของโลกทําใหเปลือก ว 3.2 ม.2/9 สร้างแบบจ�าลองที่อธิบายการใช้น�้า และน�าเสนอแนวทางการใช้น�้าอย่างยั่งยืนในท้องถิ่นของตนเอง
ว 3.2 ม.2/10 สร้างแบบจ�าลองที่อธิบายกระบวนการเกิดและผลกระทบของน�้าท่วม การกัดเซาะชายฝัง ดินถล่ม หลุมยุบ และแผ่นดินทรุด
โลกมีภูมิลักษณหรือภูมิประเทศที่แตกตางกัน เชน
บางบริเวณเปนภูเขา แมนํ้า หรือทะเล

เกร็ดแนะครู
ก อ นเข า สู  ก ารเรี ย นการสอน ครู อ าจยกตั ว อย า งเหตุ ก ารณ ใ นป จ จุ บั น
ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ การเปลี่ ย นแปลงของโลก เช น เมื่ อ ปลายป ค.ศ. 2018
ทีมนักวิทยาศาสตรจากหนวยงานหนึ่งในองคการนาซาพยายามเขาไปสํารวจ
เกาะที่เพิ่งปรากฏในมหาสมุทรแปซิฟกในเขตของประเทศตองกา ซึ่งเกาะที่
เกิดขึ้นใหมนี้มีสาเหตุมาจากการระเบิดของหลุมภูเขาไฟใตนํ้า เมื่อป ค.ศ. 2015
นับตั้งแตนั้นมาจนกระทั่งถึงปจจุบันทีมนักวิทยาศาสตรยังคงพยายามติดตาม
และศึกษาเพื่อตั้งขอสันนิษฐานวา เกาะแหงใหมกอตัวและปรากฏขึ้นบนโลกได
อยางไร

T88
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Understanding Check 1. ครูเตรียมไขไกมาใหนักเรียนดู จากนั้นครูตั้ง
พิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึก ประเด็นคําถามกระตุน ความสนใจของนักเรียน
ถูก/ผิด โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง
1. เปลือกโลกมีธาตุออกซิเจนเป็นองค์ประกอบส�าคัญ ความคิดเห็นอยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวา
2. หินเป็นส่วนประกอบของเปลือกโลก ถูกหรือผิด ดังนี้

มุ ด
3. น�้ามีส่วนท�าให้ภูมิประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลง • ไขไกประกอบดวยอะไรบาง

นส
งใ
(แนวตอบ เปลือกไข ไขขาว และไขแดง)


ทึ ก
4. อุณหภูมิอากาศไม่ส่งผลกระทบต่อการผุพังของหิน

บั น
5. การกร่อนเป็นกระบวนการหนึ่งที่ท�าให้เนื้อโลกหลุดสลาย
• ถาเปรียบเทียบโลกกับไขไก นักเรียนอาศัย
อยูสวนใดของไขไก
(แนวตอบ เปลือกไข)
Prior
Knowledge
1 โครงสร้างและการเปลีย่ นแปลงของโลก • เปลือกไข ไขขาว และไขแดง เทียบไดกับ
โลกเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต ประกอบด้วย พื้นดิน สวนประกอบใดของโลกบาง
เหตุการณ์ใดที่
บ่งบอกว่าโลกเกิดการ พื้นน�้า และชั้นบรรยากาศห่อหุ้มผิวโลก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของ (แนวตอบ เปลือกไขเทียบไดกับเปลือกโลก
เปลีย่ นแปลงตลอดเวลา โลกเกิดขึ้นตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นทั้งแบบ ไข ข าวเที ย บได กั บ เนื้ อ โลก และไข แ ดง
ฉับพลันและแบบช้า ๆ เช่น ภูเขาไฟปะทุ แผ่นดินไหว เทียบไดกับแกนโลก)
1.1 โครงสร้างของโลก 2. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้นให
นักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาโครงสร้างภายใน นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล
โลกโดยใช้ทฤษฎี และหลักการทางวิทยาศาสตร์ ประกอบ เกี่ยวกับเรื่อง โครงสรางของโลก จากหนังสือ
กับการน�าเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยในการส�ารวจ และ เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ใช้เครื่องมือขนาดใหญ่ขุดเจาะหลุมให้ลึกลงไปประมาณ
12 กิโลเมตร เพื่อเก็บตัวอย่างหิน และศึกษาโครงสร้าง 3. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
ภายในโลก จนได้ข้อสรุปว่า เมื่อแบ่งโครงสร้างของโลก ศึกษา จากนั้นรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการ
ตามองค์ประกอบทางเคมีจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
ชั้น ได้แก่ เปลือกโลก เนื้อโลก และแก่
1 นโลก นอกจากนี้
ผลจากการตรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน ยังสามารถท�าให้
แบ่งโครงสร้างของโลกตามลักษณะทางกายภาพออกได้
เป็น 5 ชั้น ได้แก่ ธรณีภาค ฐานธรณีภาค เมโซสเฟียร์ ภาพที่ 6.1 หลุมที่ลึกที่สุดในโลก ถูกขุดขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ. 1983
แนวตอบ Understanding Check
แก่นโลกชั้นนอก และแก่นโลกชั้นใน ในสหพันธรัฐรัสเซีย
ที่มา : https://www.amusingplanet.com 1. ผิด 2. ถูก 3. ถูก
4. ผิด 5. ถูก

แนวตอบ Prior Knowledge


โลกและการเปลี่ยนแปลง 75 การเกิดแผนดินไหว การเกิดภูเขาไฟระเบิด
และการเกิดสึนามิ

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


โครงสรางของโลก เมือ่ แบงตามองคประกอบทางเคมีจะประกอบ 1 คลืน่ ไหวสะเทือน เปนคลืน่ ทีถ่ า ยทอดพลังงานผานภายในโลก ซึง่ เกิดจาก
ดวยชั้นใดบาง แผนดินไหว การระเบิด หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่กอใหเกิดคลื่นความถี่ตํ่า ตัวอยาง
1. ชั้นเปลือกโลก ชั้นผิวโลก และชั้นเนื้อโลก อุปกรณที่ตรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน เชน ไซสโมกราฟ
2. ชั้นเปลือกโลก ชั้นเนื้อโลก และชั้นแกนโลก
3. ชั้นเปลือกโลก แกนโลกชั้นใน และชั้นแกนโลก
4. ชั้นเปลือกโลก แกนโลกชั้นนอก และแกนโลกชั้นใน สื่อ Digital
(วิเคราะหคําตอบ โครงสรางของโลก เมื่อแบงตามองคประกอบ
ศึกษาเพิม่ เติมจาก QR Code เรื่อง โครงสรางของโลก
เคมี จะแบงออกเปน 3 ชัน้ ประกอบไปดวยชัน้ นอกสุด คือ เปลือกโลก
ถัดเขามา คือ ชั้นเนื้อโลก และชั้นในสุด คือ แกนโลก ดังนั้น ตอบ
ขอ 2.)
โครงสรางของโลก
www.aksorn.com/interactive3D/RK861

T89
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
4. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน จากนัน้ ครูแจง
แบบจ�าลองโครงสร้างของโลก
จุดประสงคของกิจกรรมแบบจําลองโครงสราง
ของโลก ใหนกั เรียนทราบเพือ่ เปนแนวทางการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ปฏิบัติกิจกรรมที่ถูกตอง จุดประสงค์ - จ�าแนกประเภท

5. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม สร้างแบบจ�าลองและอธิบายโครงสร้างของโลกตามองค์ประกอบทางเคมีได้ จิตวิทยาศาสตร์


- ความรับผิดชอบ
แบบจําลองโครงสรางของโลก จากหนังสือเรียน วัสดุอปุ กรณ์
- ความสนใจใฝ่รู้

วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 1. ส�าลี


6. นักเรียนแตละกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม 2. สีไม้
ขั้นตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 3. กรรไกร
4. สกอตเทป
เลม 2 5. กระดาษสี
7. นักเรียนแตละกลุมรวมกันแลกเปลี่ยนความรู 6. ลูกปัดหลายสี
และวิ เ คราะห ผ ลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แล ว 7. อุปกรณ์เครื่องเขียน เช่น ดินสอ ปากกา ไม้บรรทัด
อภิปรายผลรวมกัน วิธปี ฏิบตั ิ
อธิบายความรู้ 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-5 คน สืบค้นข้อมูล เรื่อง โครงสร้างของโลกตามองค์ประกอบทางเคมี จากนั้นให้นักเรียน
สร้างแบบจ�าลองโครงสร้างของโลก โดยใช้อุปกรณ์ที่มีความเหมาะสมกับการสร้างแบบจ�าลอง
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ 2. ให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาน�าเสนอแบบจ�าลองหน้าชั้นเรียน
ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ 3. ประเมินการน�าเสนอและความถูกต้องของเพื่อนกลุ่มอื่น ๆ
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะ
ค�าถามท้ายกิจกรรม
เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
1. โครงสร้างของโลกตามองค์ประกอบทางเคมีแบ่งเป็นกี่ชั้น อะไรบ้าง
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน 2. โครงสร้างของโลกแต่ละชั้นมีองค์ประกอบทางเคมีแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น 3. ประเมินแบบจ�าลองโครงสร้างของโลกของกลุ่มอื่นว่ามีความถูกต้องหรือไม่ อย่างไร
เพื่อหาคําตอบ

แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม อภิปรายผลกิจกรรม


1. 3 ชั้น ไดแก เปลือกโลก เนื้อโลก และแกนโลก โครงสร้างของโลกแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ตามองค์ประกอบทางเคมี ได้แก่ เปลือกโลก เนื้อโลก และแก่นโลก โดยแต่ละชั้น
มีองค์ประกอบทางเคมีที่แตกต่างกัน ดังนี้
2. แตกต า งกั น เปลื อ กโลกมี ธ าตุ ซิ ลิ ค อนและ 1. เปลือกโลก ประกอบด้วยสารประกอบของซิลิคอนและอะลูมิเนียมเป็นหลัก
อะลูมเิ นียมเปนองคประกอบหลัก เนือ้ โลกมีธาตุ 2. เนื้อโลก ประกอบด้วยสารประกอบของซิลิคอน แมกนีเซียม และเหล็กเป็นหลัก
ซิลคิ อน แมกนีเซียม และเหล็กเปนองคประกอบ 3. แก่นโลก ประกอบด้วยเหล็กและนิกเกิลเป็นหลัก
หลัก สวนแกนโลกมีธาตุเหล็กและนิกเกิลเปน
องคประกอบหลัก 76
3. ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูและนักเรียน

บันทึกผล กิจกรรม ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


แบบจําลองโครงสรางของโลก เมื่อแบงตามองคประกอบทางเคมี ประกอบ โครงสรางชั้นใดของโลกมีเหล็กและนิกเกิลเปนองคประกอบหลัก
ดวย 3 ชั้น ไดแก เปลือกโลกซึ่งเปนสวนนอกสุด ถัดเขามา คือ เนื้อโลก และ 1. เนื้อโลก
ชั้นในสุด คือ แกนโลก 2. แกนโลก
3. เปลือกโลกทวีป
4. เปลือกโลกมหาสมุทร
(วิเคราะหคําตอบ แก น โลกมี อ งค ป ระกอบหลั ก เป น เหล็ ก และ
นิกเกิล ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T90
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
โครงสรางของโลกตามองคประกอบทางเคมี 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
เรือ่ ง โครงสรางของโลก และใหความรูเ พิม่ เติม
เปลือกโลก (crust) จากคําถามของนักเรียน โดยครูใช Power-
เปนชัน้ นอกสุด มีองคประกอบหลักเปนสารประกอบของซิลคิ อน (Si) และ Point เรื่อง โครงสรางของโลก ในการอธิบาย
อะลูมเิ นียม (Al) สวนทีเ่ ปนพืน้ ดิน เรียกวา เปลือกโลกทวีป และสวนทีเ่ ปน เพิ่มเติม
พื้นนํ้า เรียกวา เปลือกโลกมหาสมุทร
2. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน จากนั้นให
เนื้อโลก (mantle) นักเรียนแตละกลุมรวมกันสรางแบบจําลอง
เปนสวนที่อยูใตเปลือกโลกลงไป มีองคประกอบหลักเปนสารประกอบของ โครงสรางของโลกทีแ่ บงตามองคประกอบทาง
ซิลิคอน (Si) แมกนีเซียม (Mg) และเหล็ก (Fe) เคมี
แกนโลก (core) 3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง โครงสราง
ภาพที่ 6.2 โครงสรางของโลกตามองคประกอบทางเคมี เปนสวนที่อยูใจกลางของโลก มีองคประกอบหลักเปนเหล็ก (Fe) และ ของโลก จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ที่มา : คลังภาพ อจท. นิกเกิล (Ni)
ขัน้ สรุป
โครงสรางของโลกตามลักษณะทางกายภาพ ตรวจสอบผล
ธรณีภาค (lithosphere) นั ก เรี ย นและครู ร  ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
มีระดับความลึกประมาณ 100 กิโลเมตร ประกอบดวย โครงสรางของโลก
เปลือกโลกทวีปและเปลือกโลกมหาสมุทร
ฐานธรณีภาค (asthenosphere)
ขัน้ ประเมิน
มีระดับความลึก 100-700 กิโลเมตร เปนชั้นที่มี ตรวจสอบผล
แมกมาซึ่งเปนหินหนืดหรือหินหลอมละลายรอน
หมุนวนอยูภายในโลกอยางชา ๆ 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน
หนวยการเรียนรูท ี่ 6 โลกและการเปลีย่ นแปลง
เมโซสเฟยร (mesosphere) เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจกอนเรียนของนักเรียน
มีระดับความลึก 700-2,900 กิโลเมตร 2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
มีสถานะเปนของแข็ง
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
แกนโลกชั้นนอก (outer core) พฤติกรรมการทํางานกลุม และจากการนํา
มีระดับความลึก 2,900-5,140 กิโลเมตร เสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
มีสถานะเปนของเหลว มีความรอนสูงมาก 3. ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนกอนเขาสู
แกนโลกชั้นใน (inner core) กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Under-
มีระดับความลึก 5,140-6,371 กิโลเมตร standing Check ในสมุดประจําตัวนักเรียน
มี ส ถานะเป น ของแข็ ง มี ความดั น และ 4. ครู ต รวจสอบผลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แบบ
อุณหภูมิสูงมาก อาจสูงถึง 6,000 องศา จําลองโครงสรางของโลก
เซลเซียส
ภาพที่ 6.3 โครงสรางของโลกตามลักษณะทางกายภาพ 5. ครูประเมินชิ้นงาน แบบจําลองโครงสรางของ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
77
โลกตามองคประกอบทางเคมี
โลกและการเปลี่ยนแปลง
6. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง โครงสรางของโลก
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET แนวทางการวัดและประเมินผล


โครงสรางชั้นใดของโลกมีเหล็กและซิลิคอนเปนองคประกอบหลัก ครูวดั และประเมินผลความเขาใจในเนือ้ หา เรือ่ ง โครงสรางของโลก ไดจาก
1. เนื้อโลก การสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติกิจกรรม แบบจําลองโครงสรางของโลก และ
2. แกนโลก การนําเสนอผลงาน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการ
3. เปลือกโลกทวีป ปฏิบตั กิ จิ กรรม และการนําเสนอผลงาน ทีอ่ ยูใ นแผนการจัดการเรียนรูห นวยการ
4. เปลือกโลกมหาสมุทร เรียนรูที่ 6
(วิเคราะหคําตอบ เนื้อโลกมีเหล็กและซิลิคอนเปนองคประกอบ แบบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน
แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

หลัก ดังนั้น ตอบขอ 1.)


ระดับคะแนน ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 3 2 1
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม 1 ความถูกต้องของเนื้อหา   
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม 2 ความคิดสร้างสรรค์   
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม 3 วิธีการนาเสนอผลงาน   
รวม 4 การนาไปใช้ประโยชน์   
5 การตรงต่อเวลา   
ลงชื่อ ….................................................... ผู้ประเมิน
................./................../.................. รวม
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
ระดับคะแนน ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1 ............/................./...................
1. การปฏิบัติ ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องให้ความช่วยเหลือ
กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา เกณฑ์การให้คะแนน
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
คล่องแคล่ว ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก 14–15 ดีมาก
การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล
11–13 ดี
กิจกรรม ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน ทากิจกรรมยังไม่เป็น กิจกรรม การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน 8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง

T91
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูเตรียมบัตรภาพสถานที่ตามธรรมชาติ เชน 1.2 การเปลี่ยนแปลงของโลก
นํ้ า ตก ทะเล ภู เ ขา ถํ้ า มาให นั ก เรี ย นดู โลกมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากผิวโลกมีการเปลี่ยนแปลงทาง
ธรณีต่าง ๆ ท�าให้ผิวโลกมีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกัน ดังภาพที่ 6.4
จากนัน้ ครูสนทนากับนักเรียนวา “สถานทีต่ า งๆ
บนโลกจะมีลักษณะที่แตกตางกัน เชน บาง
บริเวณเปนแมนํ้า บางบริเวณเปนภูเขา บาง
บริเวณมีหินที่มีรูปรางประหลาด บางบริเวณ
เปนเกาะ”
2. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
ว า “เพราะเหตุ ใ ดเปลื อ กโลกจึ ง มี ลั ก ษณะ
ภูมิประเทศที่แตกตางกัน” โดยใหนักเรียน
รวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นอยางอิสระ
โดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียน จากนั้นให
นักเรียนแตละคูรวมกันศึกษาคนควาขอมูล ภาพที่ 6.4 ภูมิลักษณ์ต่าง ๆ บนเปลือกโลก
เกี่ยวกับเรื่อง ภูมิลักษณตางๆ บนเปลือกโลก ที่มา : คลังภาพ อจท.
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หรือ 1
จากภาพจะเห็นว่า ลักษณะผิวโลกมีรูปพรรณสัณฐานที่แตกต่างกัน เรียกว่า ภูมิลักษณ์หรื หรือธรณีสัณฐาน
แหลงการเรียนรูตางๆ เชน อินเทอรเน็ต (landform) ซึง่ เกิดจากกระบวนการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ อย่างช้า ๆ ใช้เวลาหลายพันปีจงึ จะเห็นการเปลีย่ นแปลง เช่น
2. นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ดศกึ ษา การผุพงั อยูก่ บั ที่ (weathering) การกร่อน (erosion) การพัดพา (transportation) การสะสมตัวของตะกอน (deposition)
จากนัน้ ใหนกั เรียนแตละคนเขียนสรุปความรูท ี่ โดยมีปจั จัยส�าคัญทีท่ า� ให้เกิดกระบวนการเปลีย่ นแปลงทางธรณีวทิ ยา ได้แก่ น�า้ ลม ธารน�า้ แข็ง แรงโน้มถ่วงของโลก
ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัว สิ่งมีชีวิต สภาพอากาศ และปฏิกิริยาเคมี
นักเรียน Science
Focus นแปลงของโลกอกโลก
กำรเปลี่ยนแปลงของเปลื
3. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ การเปลี่ยนแปลงของโลกเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก 2ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
ศึ ก ษาหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ นั ก เรี ย น 1. การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน เช่น การเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เปลือกโลกบางส่วนแยกตัวออก ท�าให้
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม ผิวโลกบางส่วนถล่มทลาย หรือยุบตัว หรือภูเขาไฟระเบิดซึ่งมีผลต่ออาคาร บ้านเรือน ต้นไม้ และสิ่งก่อสร้าง นอกจากนี้ ยังท�าให้
มนุษย์และสิ่งมีชีวิตได้รับอันตราย เช่น แผ่นดินไหวที่ภาคเหนือของประเทศไทย
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
2. การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ เช่น การเคลื่อนที่ของเปลือกโลก การกร่อน การผุพังของหิน ท�าให้พื้นที่บางส่วน
หายไป

78

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 ธรณีสัณฐาน คือ แบบรูปหรือลักษณะของเปลือกโลกที่มีรูปพรรณสัณฐาน ขอใดไมใชกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา
ตางๆ กัน เชน เปนภูเขา ที่ราบสูง ที่ราบ การศึกษาเกี่ยวกับลักษณะภูมิประเทศ 1. การกรอน
เรียกวา ธรณีสัณฐานวิทยา สวนผูที่ทําหนาที่ในการศึกษาธรณีสัณฐาน รวมถึง 2. การพัดพา
ผูเชี่ยวชาญทางดานนี้ เรียกวา นักธรณีวิทยา 3. การละลาย
2 แผนดินไหว เปนปรากฏการณทางธรรมชาติที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของ 4. การสะสมตัวของตะกอน
แผนเปลือกโลก ทําใหชั้นหินขนาดใหญเลื่อน เคลื่อนที่ หรือแตกหัก และเกิด (วิเคราะหคําตอบ กระบวนการเปลีย่ นแปลงทางธรณีวทิ ยา ไดแก
การถายโอนพลังงานศักย ซึง่ อยูใ นรูปคลืน่ ไหวสะเทือนผานในชัน้ หินทีอ่ ยูต ดิ กัน การผุพังอยูกับที่ การกรอน การพัดพา และการสะสมตัวของ
โดยจุดศูนยกลางการเกิดแผนดินไหว มักเกิดตามรอยเลือ่ นทีอ่ ยูใ นระดับความลึก ตะกอน ดังนั้น ตอบขอ 3.)
ตางๆ ของผิวโลก

T92
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. การผุพังอยู่กับที่ (weathering) คือ การที่หินซึ่งเป็นส่วนประกอบของโลกผุพังทลายลงด้วยการกระท�า 4. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
ของน�้า ลม ธารน�้าแข็ง แรงโน้มถ่วงของโลก สิ่งมีชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอากาศ ตลอดจนการแตกตัว
ทางกลศาสตร์ การผุพังอยู่กับที่ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ การผุพังทางกายภาพและการผุพังทางเคมี
วา “สาเหตุที่ทําใหโลกมีลักษณะภูมิประเทศที่
แตกตางกันคืออะไร” โดยใหนกั เรียนแตละคน
1) การผุพังทางกายภาพ เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ดังนี้ ร ว มกั น อภิ ป รายแสดงความคิ ด เห็ น เพื่ อ หา
คําตอบ
ในเวลากลางวันความร้อนจากดวงอาทิตย์ (แนวตอบ สาเหตุทที่ าํ ใหผวิ โลกหรือภูมปิ ระเทศ
จะท�าให้หินเกิดการขยายตัว เมื่อถึงเวลากลางคืน หรือ
มีรูปรางแตกตางกัน เนื่องมาจากกระบวนการ
เมื่อมีฝนตกลงมา ท�าให้อุณหภูมิในบรรยากาศลดต�่าลง
ส่งผลให้อุณหภูมิภายในหินลดลงด้วย หินจึงเกิดการ เปลี่ ย นแปลงทางธรณี วิ ท ยา ซึ่ ง เกิ ด จาก
หดตัว ซึ่งการเพิ่มและลดอุณหภูมิของอากาศสลับกัน กระบวนการผุพังอยูกับที่ กระบวนการกรอน
อย่างรวดเร็วซ�้ากันต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลให้หิน กระบวนการพัดพา และกระบวนการสะสมตัว
เกิดรอยแตกร้าวและผุพังได้ ของตะกอน สงผลใหบางบริเวณของผิวโลกเปน
ทะเล เกาะ นํ้าตก และภูเขา)
ภาพที่ 6.5 รอยแตกบนหินเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ 5. นักเรียนแตละคนศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับ
ภายในหินสลับกันอย่างรวดเร็ว
ที่มา : คลังภาพ อจท. เรื่อง กระบวนการผุพังอยูกับที่ และปจจัยที่
ทําใหเกิดกระบวนการผุพงั อยูก บั ที่ จากหนังสือ
น�้าที่แทรกซึมเข้าไปในรอยแตกของหิน เมื่อ เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
อุณหภูมิของอากาศลดต�่าลงจนกระทั่งถึงจุดเยือกแข็ง 6. นักเรียนแตละคนเขียนสรุปความรูท ไี่ ดจากการ
น�้าจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งและมีปริมาตรเพิ่มขึ้น น�้า ศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
ไปดันรอยแตกของหินให้กว้างมากขึ้น น�า้ แข็ง
น�้า
น�า้ แข็ง
ภาพที่ 6.6 น�้าเป็นปัจจัยที่ท�าให้รอยแตกของหินกว้างมากขึ้น
ที่มา : คลังภาพ อจท.

การเจริญเติบโตของต้นไม้ขนาดใหญ่บนหิน
เป็นสาเหตุให้เกิดการผุพงั ทางกายภาพของหิน เนือ่ งจาก
รากไม้ทชี่ อนไชลงไปในรอยแตกของหิน เมือ่ เวลาผ่านไป
รากจะขยายขนาดและเพิ่มจ�านวนมากขึ้น ส่งผลให้
รอยแตกของหินเพิม่ มากขึน้ และกว้างมากขึน้ หินจึงแตก
ออกจากกันได้ ดังภาพที่ 6.7

ภาพที่ 6.7 การชอนไชของรากไม้ท�าให้เกิดรอยแตกบนหิน


ที่มา : คลังภาพ อจท.

โลกและการเปลี่ยนแปลง 79

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


ขอใดเปนผลจากการผุพังทางกายภาพของหิน ครูใหนกั เรียนศึกษาเพิม่ เติมเกีย่ วกับกระบวนการเปลีย่ นแปลงทางธรณีวทิ ยา
1. หินมีพื้นที่ผิวลดลง จากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง การผุพังอยูกับที่ทางกายภาพ (https://
2. หินมีปริมาตรลดลง www.twig-aksorn.com/fififilm/weathering-7971/)
3. หินมีพื้นที่ผิวเพิ่มขึ้น
4. หินมีปริมาตรเพิ่มขึ้น
(วิเคราะหคําตอบ การผุพงั ทางกายภาพของหิน ซึง่ มีหลายสาเหตุ
เชน การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอยางรวดเร็ว การกระทําของนํ้า
การกระทําของคน พืช และสัตว ทําใหหินเกิดรอยแตกราวบนหิน
จนกระทั่งหินแตกออกจากกัน (มีพื้นที่ผิวเพิ่มขึ้น) ดังนั้น ตอบ
ขอ 3.)

T93
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสุมนักเรียน 4 คน ออกมานําเสนอผลการ นอกจากการกระท� า ของน�้ า และพื ช แล้ ว มนุ ษ ย์ แ ละสั ต ว์ ก็ เ ป็ น สาเหตุ ที่ ท� า ให้ หิ น เกิ ด การผุ พั ง ทาง
ศึ ก ษาหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ นั ก เรี ย น กายภาพ เช่น การระเบิดภูเขาเพื่อสร้างถนน การสร้างเขื่อน การสร้างอุโมงค์ใต้ดิน การท�าเหมืองหินและแร่ต่าง ๆ
การเจาะของสัตว์ที่ขุดรูอยู่ในพื้นดิน เช่น หนู ตัวตุ่น แมลงบางชนิด
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
2. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
โดยใหนักเรียนรวมกันอภิปรายแสดงความคิด
เห็นเพื่อหาคําตอบ ดังนี้
• การผุพังอยูกับที่คืออะไร
(แนวตอบ การทีห่ นิ ผุพงั ทลายลงดวยการกระทํา
ของนํา้ สิง่ มีชวี ติ รวมทัง้ การเพิม่ หรือลดของ
ภาพที่ 6.8 การท�าเหมืองแร่ ภาพที่ 6.9 เขาสัตว์กระแทกกับหิน ท�าให้ ภาพที่ 6.10 การกระท�าของน�้า ท�าให้
อุณหภูมิ) ที่มา : คลังภาพ อจท. เกิดรอยบนหิน รูปร่างของหินเปลี่ยนแปลงไป
• ปจจัยทีม่ ผี ลทําใหเกิดการผุพงั ทางกายภาพ ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
ของหินมีอะไรบาง จงยกตัวอยาง Science
(แนวตอบ การเพิม่ หรือลดของอุณหภูมิ สงผล Focus วัฏจักรหิน
1 2 3
ใหหินยืดและหดตัว ทําใหเกิดรอยแตกราว นักธรณีวิทยาแบ่งหินออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ หินอัคนี หินตะกอน และหินแปร เมื่อหินหนืดร้อนภายในโลก ((magma)
และหินหนืดร้อนบนพื้นผิวโลก (lava) เย็นตัวลงกลายเป็นหินอัคนี ลมฟ้าอากาศ น�้า และแสงอาทิตย์ ท�าให้หินผุพังทลายลงเป็น
ตัวอยางเชน การเจริญของรากตนไมทชี่ อนไช ตะกอน และทับถมกันเป็นเวลานานหลายล้านปี แรงดันและปฏิกริ ยิ าเคมีทา� ให้เกิดการรวมตัวเป็นหินตะกอน หรือเรียกอีกอย่างหนึง่ ว่า
เขาไปตามรอยแตกของหิน) หินชั้น การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกและความร้อน ท�าให้หินต่าง ๆ แปรสภาพไปเป็นหินแปร กระบวนการเหล่านี้จะเกิดขึ้น
• ปจจัยที่มีผลทําใหเกิดการผุพังทางเคมีของ เป็นวัฏจักรเรียกว่า วัฏจักรหิน (rock cycle)
หินมีอะไรบาง จงยกตัวอยาง
ภาพที่ 6.11 การเปลี่ยนแปลงของหินเนื่องจากแรงโน้มถ่วง
(แนวตอบ การเกิดสนิมเหล็กเนื่องจากนํ้าซึ่ง ที่มา : คลังภาพ อจท.
มีแกสออกซิเจนทําปฏิกิริยากับธาตุเหล็ก
ที่เปนองคประกอบของหินบางชนิด เชน
หินแกรนิต หินบะซอลต สนิมเหล็กที่เกิด
ขึ้นจะทําใหหินผุพัง นอกจากนี้ ฝนกรดที่
เกิดขึ้นจากนํ้าฝนที่ตกลงมาละลายกับแกส
คารบอนไดออกไซดที่ไดจากการเผาไหม
เชือ้ เพลิงทําปฏิกริ ยิ ากับหินปูน เกิดการผุพงั
กลายเปนโพรงได)
• ภูมิประเทศแบบคาสตเปนอยางไร เพราะ
เหตุใดจึงเปนเชนนั้น
(แนวตอบ เปนภูมิประเทศที่มีเขาลักษณะ
เวาแหวง มักเกิดขึ้นกับภูเขาหินปูนเมื่อทํา
ปฏิกริ ยิ ากับฝนกรดจะทําใหเกิดโพรงถํา้ หรือ 80
ถํา้ ใตดนิ และกลายเปนหลุมยุบในเวลาตอมา)

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 หินอัคนี เปนหินที่เกิดจากการแข็งตัวของแมกมาจากใตเปลือกโลกที่ ปจจัยในขอใดที่ทําใหเกิดกระบวนการผุพังทางกายภาพของหิน
แทรกตัว แบงออกไดเปน 2 ประเภท คือ หินอัคนีแทรกซอน เกิดจากหินหนืดที่ 1. ฝนกรด
เย็นตัวลงภายในเปลือกโลกอยางชาๆ ทําใหผลึกแรมขี นาดใหญและมีเนือ้ หยาบ 2. แกสในอากาศ
และหินอัคนีพุหรือหินภูเขาไฟ เปนหินหนืดที่เกิดจากลาวาบนพื้นผิวโลกเย็นตัว 3. ไอนํ้าในอากาศ
อยางรวดเร็ว ทําใหผลึกมีขนาดเล็กและเนื้อละเอียด 4. คน สัตว และพืช
2 หินตะกอน เปนหินที่เกิดจากการตกตะกอนของเม็ดแรที่ไดจากการผุพัง (วิเคราะหคําตอบ คน สัตว และพืชเปนสาเหตุทําใหเกิดการผุพัง
ของหินชนิดใดก็ไดที่ผิวโลก และถูกพัดพาไปโดยนํ้า ลม หรือธารนํ้าแข็ง แลว ทางกายภาพ เชน คนระเบิดภูเขาเพื่อสรางถนน การเจาะหรือ
จับตัวกันแข็งเปนหิน การกระแทกของเขาสัตวทําใหเกิดรอยบนหิน การชอนไชของ
3 หินแปร เปนหินที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสวนประกอบของเนื้อหินจาก รากพืชทําใหหินผุพังทลายลง ดังนั้น ตอบขอ 4.)
เดิมไปเปนหินชนิดใหม ซึง่ มีสาเหตุมาจากการเปลีย่ นแปลงความดันและอุณหภูมิ
ภายใตผิวโลก

T94
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2) การผุพงั ทางเคมี ในบรรยากาศประกอบด้วยแก๊สต่าง ๆ ทีล่ อยปะปนอยูใ่ นอากาศ ได้แก่ แก๊สออกซิเจน 3. ครูอธิบายเพิม่ เติมใหนกั เรียนเขาใจวา “สาเหตุ
และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสามารถท�าให้หินเกิดการผุพังทางเคมีได้ ดังนี้
ที่ ทํ า ให ภู มิ ป ระเทศมี รู ป ร า งที่ แ ตกต า งกั น
หินบางชนิดที่มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ เนื่ อ งจากกระบวนการเปลี่ ย นแปลงทาง
เช่ น หิ น แกรนิ ต หิ น บะซอลต์ จะท� า ปฏิ กิ ริ ย ากั บ ธรณีวิทยา ซึ่งมีกระบวนการผุพังอยูกับที่เปน
แก๊สออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน�้า เกิดสนิมเหล็กซึ่งมี สาเหตุหนึ่ง”
สีน�้าตาล ส่งผลให้หินอ่อนตัวลงและผุพังในเวลาต่อมา
ดังภาพที่ 6.12

ปจจัยใดบาง
ที่สงผลให
หินเกิดการผุพัง
ภาพที่ 6.12 การเกิดสนิมเหล็กขึ้นบนหิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.

แก๊ ส คาร์ บ อนไดออกไซด์ ( CO 2) ที่ ล อย


ปะปนอยู่ในอากาศจะท�าปฏิกิริยากับน�้าฝน กลายเป็น
กรดคาร์ บ อนิ ก ( H 2CO 3) ที่ มี ส มบั ติ เ ป็ น กรด ซึ่ ง
กรดคาร์ บ อนิ ก สามารถท� า ปฏิ กิ ริ ย ากั บ สารประกอบ
แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้น
จะกร่อนหินจนกระทั่งกลายเป็นโพรงหรือถ�้าใต้ดิน เมื่อ
พื้นที่ด้านบนของโพรงหรือถ�้าใต้ดินยุบตัวและพังทลาย
ลงจะกลายเป็นหลุมยุบ ท�าให้เกิดลักษณะภูมิประเทศที่
เรียกว่า คาสต์ (karst)
ภาพที่ 6.13 ถ�้าหลวง-ขุนน�้านางนอน จังหวัดเชียงราย
ที่มา : คลังภาพ อจท.

ภาพที่ 6.14 โพรงถ�้าดอยหลวงเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ภาพที่ 6.15 ถ�้าพระยานคร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์


ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.

โลกและการเปลี่ยนแปลง 81

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


ขอใดเปนสาเหตุที่ทําใหเกิดลักษณะภูมิประเทศแบบคาสต ครูใหนกั เรียนศึกษาเพิม่ เติมเกีย่ วกับการผุพงั ทางเคมี จากภาพยนตรสารคดี
1. สึนามิ สั้น Twig เรื่อง ถํ้าเกิดขึ้นไดอยางไร (https://www.twig-aksorn.com/film/
2. ฝนกรด how-do-caves-form-7993/)
3. ดินถลม
4. แผนดินไหว
(วิเคราะหคําตอบ ภูมปิ ระเทศแบบคาสตสว นใหญเกิดขึน้ กับภูเขา
หินปูน ซึง่ มีสาเหตุมาจากการทําปฏิกริ ยิ าระหวางฝนกรดกับหินปูน
ทําใหเกิดโพรงหรือถํ้าใตดิน นอกจากนี้ ยังทําใหภูเขาหินปูนมี
ลักษณะเวาแหวง ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T95
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 6 คน จากนั้นครู
จําลองการผุพังอยูกับที่ของหินเนื่องจากนํ้าเปนปจจัย
แจ ง จุ ด ประสงค ข องกิ จ กรรม จํ า ลองการ
ผุ พั ง อยู  กั บ ที่ ข องหิ น เนื่ อ งจากนํ้ า เป น ป จ จั ย ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
ใหนักเรียนทราบเพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติ จุดประสงค - การวัด
- การสังเกต
กิจกรรมที่ถูกตอง อธิบายกระบวนการที่ทําใหเกิดการผุพังอยูกับที่ทางกายภาพและทางเคมีจากแบบจําลองได - การตั้งสมมติฐาน
จิตวิทยาศาสตร
2. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม วัสดุอปุ กรณ - ความรับผิดชอบ
จํ า ลองการผุ พั ง อยู  กั บ ที่ ข องหิ น เนื่ อ งจาก 1. นํ้า 4. ไมบรรทัด
- ความสนใจใฝรู

นํ้าเปนปจจัย จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร 2. แกวนํ้า 5. ปากกาเมจิก


3. แผนเหล็ก 6. บีกเกอร 250 mL
ม.2 เลม 2 โดยครูใชรูปแบบการเรียนรูแบบ
รวมมือมาจัดกระบวนการเรียนรู โดยกําหนด วิธปี ฏิบตั ิ
ใหสมาชิกแตละคนภายในกลุม มีบทบาทหนาที่ ตอนที่ 1 จําลองการผุพังทางกายภาพของหิน
ของตนเอง ดังนี้ 1. เทนํ้าปริมาตร 100 mL ลงในบีกเกอร แลวใชปากกาเมจิกทํารอยแสดงระดับผิวนํ้า
2. ใชไมบรรทัดวัดระดับนํ้าในขอ 1. แลวบันทึกลงในสมุด
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ 3. นําบีกเกอรในขอ 1. ไปแชเย็นในตูเย็น จนกระทั่งนํ้าในแกวเปลี่ยนเปนนํ้าแข็ง สังเกตระดับสูงสุดของนํ้าแข็งในบีกเกอร
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม 4. ใชไมบรรทัดวัดระดับสูงสุดของนํ้าแข็งในขอ 3. แลวบันทึกลงในสมุด
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ 5. ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอแบบจําลองหนาชั้นเรียน
กิ จ กรรมและนํ า มาอธิ บ ายให ส มาชิ ก ใน
กลุมฟง
• สมาชิกคนที่ 5-6 ทําหนาที่บันทึกผลการ
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
3. นักเรียนแตละกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม
ขั้นตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2
4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันแลกเปลี่ยนความรู
และวิ เ คราะห ผ ลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แล ว
อภิปรายผลรวมกัน รอยแสดงระดับผิวนํ้า
นํ้า
นํ้าแข็ง

ภาพที่ 6.16 การสรางแบบจําลองการผุพังทางกายภาพของหิน


ที่มา : คลังภาพ อจท.

82

บันทึกผล กิจกรรม ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ตอนที่ 1 ขอใดเปนผลกระทบที่เกิดจากฝนกรดกัดกรอนหินปูน
ระดับผิวนํ้าจากกนบีกเกอร 1. ดินถลม
การทดลอง 2. นํ้าทวมขัง
(เซนติเมตร)
3. โพรงถํ้าใตดิน
กอนนําบีกเกอรไปแชเย็น 4. ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมนํ้า
การทํา กิจกรรม (วิเคราะหคําตอบ ฝนกรดเปนสาเหตุใหเกิดโพรงถํา้ ใตดนิ ดังนัน้
ับผล ที่ไดจาก ตอบขอ 3.)
หลังจากนําบีกเกอรไปแชเย็น ขึ้นอยูก

หมายเหตุ : ระดับนํา้ กอนนําบีกเกอรไปแชเย็นจะสูงกวาระดับนํา้ หลังนําบีกเกอร


ไปแชเย็น

T96
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลการปฏิบตั ิ
ตอนที่ 2 จําลองการผุพังทางเคมีของหิน กิจกรรมหนาชั้นเรียน ในระหวางที่นักเรียน
1. จุมแผนเหล็กลงในบีกเกอรที่บรรจุนํ้าเปนเวลา 1 สัปดาห นํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
2. สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับแผนเหล็ก แลวบันทึกลงในสมุด
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
แผนเหล็ก แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
เพื่อหาคําตอบ
3. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม
จําลองการผุพังอยูกับที่ของหินเนื่องจากนํ้า
เปนปจจัยวา “การผุพังอยูกับที่ของหินเกิดขึ้น
ไดจาก 2 ปจจัย คือ ปจจัยทางกายภาพ ซึ่งมี
นํ้าและอุณหภูมิภายนอกเปนตัวกระทํา และ
ปจจัยทางเคมีที่เกิดขึ้นจากการทําปฏิกิริยา
กันระหวางฝนกรดกับหินปูนจนทําใหเกิดโพรง
ภาพที่ 6.17 การสรางแบบจําลองการผุพังทางเคมีของหิน และพังทลายลง”
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
1. นํ้ า จะซึ ม เข า ไปในรอยแตกของหิ น อุ ณ หภู มิ
คําถามทายกิจกรรม ภายนอกที่ตํ่าลง จะทําใหนํ้าในหินกลายเปน
1. นํ้าทําใหหินเกิดกระบวนการผุพังทางกายภาพไดอยางไร นํ้าแข็ง รอยแตกของหินจึงขยายมากขึ้น เมื่อ
2. ปจจัยใดบางที่ทําใหหินเกิดกระบวนการผุพังทางกายภาพ อุณหภูมิสูงขึ้นนํ้าภายนอกจะไหลเขามาตาม
3. นํ้าทําใหหินเกิดกระบวนการผุพังทางเคมีไดอยางไร
4. ปจจัยใดบางที่ทําใหหินเกิดกระบวนการผุพังทางเคมี รอยแตกของหินอีกครั้ง เปนแบบนี้ไปจนกระทั่ง
5. นํ้าทําใหหินทุกชนิดเกิดสนิมหรือไม อยางไร หินแตกออก นอกจากนี้ นํ้าหรือนํ้าฝนที่ละลาย
รวมกับแกสคารบอนไดออกไซดจะทําปฏิกิริยา
อภิปรายผลกิจกรรม กับหินปูนทําใหเกิดโพรงและผุพังลงได
จากกิจกรรมตอนที่ 1 พบวา นํ้ามีสถานะเปนของเหลว เมื่ออุณหภูมิลดตํ่าลงจนกระทั่งถึงจุดเยือกแข็ง นํ้าจะเปลี่ยนสถานะเปน 2. การเพิม่ หรือลดของอุณหภูมภิ ายนอก นํา้ สิง่ มีชวี ติ
ของแข็งและมีปริมาตรเพิ่มขึ้น เนื่องจากนํ้าที่แทรกซึมอยูในรอยราวของหินเมื่อไดรับอุณหภูมิที่ตํ่ากวาจุดเยือกแข็ง นํ้าจะเปลี่ยน
สถานะกลายเปนของแข็งจึงมีปริมาตรเพิ่มขึ้น และดันใหหินเกิดรอยราวและแตกออก 3. เนือ่ งจากนํา้ มีแกสออกซิเจนละลายอยู เมือ่ หินซึง่
จากกิจกรรมตอนที่ 2 แกสออกซิเจนที่ละลายอยูในนํ้าทําปฏิกิริยาเคมีกับแผนเหล็กเกิดสนิมเหล็ก ซึ่งมีสีนํ้าตาล เมื่อเวลา มีเหล็กเปนองคประกอบทําปฏิกริ ยิ ากับนํา้ ทําให
ผานไปบริเวณที่เกิดสนิมจะผุพังกลายเปนรูโหว ซึ่งเปนสาเหตุที่ทําใหหินที่มีเหล็กเปนองคประกอบเกิดการผุพัง เกิดสนิมเหล็ก ซึง่ สนิมเหล็กทีเ่ กิดขึน้ จะทําใหหนิ
ผุพังทลายลงได
โลกและการเปลี่ยนแปลง 83 4. ฝนกรด
5. ไม สนิมเหล็กจะเกิดขึ้นกับหินที่มีธาตุเหล็กเปน
องคประกอบ

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET บันทึกผล กิจกรรม

ขอใดเปนลักษณะของหินที่เกิดจากกระบวนการผุพังทางเคมี ตอนที่ 2
1. การขยายและหดตัวของหินตามอุณหภูมิ มีสนิมเหล็กเกิดขึ้น เนื่องจากแผนเหล็กสัมผัสกับนํ้าและอากาศ
2. การแข็งตัวของนํ้าที่แทรกอยูตามรอยแตก
3. รากไมที่เจริญเติบโตเต็มที่ชอนไชไปตามแนวหิน
4. การหลุดรอนของหินที่มีแรเหล็กเปนองคประกอบ
(วิเคราะหคําตอบ แรเหล็กทีอ่ ยูภ ายในหินบางชนิดจะทําปฏิกริ ยิ า
เคมีกบั นํา้ และอากาศไดสนิมเหล็กทําใหหนิ ผุพงั ดังนัน้ ตอบขอ 4.)

T97
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนแตละคนศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับ 2. การกรอน (erosion) คือ กระบวนการทีท่ าํ ให
หินกรอนไปโดยมี 1 ตัวนําพาทางธรรมชาติ คือ ลํานํ้าหรือ
เรื่อง การกรอนและการสะสมตัวของตะกอน ธารนํ้าแข็ง รวมกับปจจัยอื่น ๆ ไดแก ลมฟาอากาศ
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 สารละลาย การครูดถู และแรงโนมถวงของโลก เชน
จากนั้นเขียนสรุปความรูที่ไดจากการศึกษา ภาพที่ 6.18 จะเห็นวา กระบวนการกัดเซาะของนํา้ ทําให
คนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน บริเวณริมตลิ่งถูกกรอนเปนรอยคดโคง
2. นักเรียนแบงกลุม (กลุมเดิม) จากนั้นครูแจง การเคลื่ อ นที่ ข องธารนํ้ า แข็ ง ( glacier ) ภาพที่ 6.18 ผลจากการกัดเซาะของนํ้าบริเวณริมตลิ่ง
ที่เกิดขึ้นในบริเวณลาดชันหรือตามไหลเขาเนื่องจาก ที่มา : คลังภาพ อจท.
จุดประสงคของกิจกรรม จําลองการกรอน
แรงโนมถวงของโลก จะทําใหมวลนํ้าแข็งขนาดใหญ
การพั ด พา และการสะสมตั ว ของตะกอน ทีม่ นี าํ้ หนักมากเคลือ่ นทีล่ งสูท ตี่ าํ่ ทําใหเกิดการสึกกรอน
ใหนักเรียนทราบเพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติ ของหิน เพราะเกิดการบด กระแทก และครูดถูระหวาง
กิจกรรมที่ถูกตอง ธารนํ้าแข็งกับหินที่อยูบริเวณไหลเขา
3. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม เมื่อนํ้าฝนทําปฏิกิริยากับแกสคารบอนได-
จําลองการกรอน การพัดพา และการสะสม ออกไซด (CO2) กลายเปนกรดคารบอนิก (H2CO3) แลว
ตัวของตะกอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ไหลซึมไปตามกอนหิน หรือภูเขาหินปูนซึ่งมีแคลเซียม ภาพที่ 6.19 ธารนํ้าแข็ง
คารบอเนต (CaCO3) เปนองคประกอบ กรดคารบอนิก ที่มา : คลังภาพ อจท.
ม.2 เลม 2 โดยครูใชรูปแบบการเรียนรูแบบ จะเกิดปฏิกิริยาเคมีกับหินปูนไดสารละลายแคลเซียม
รวมมือมาจัดกระบวนการเรียนรู โดยกําหนด ไฮโดรเจนคารบอเนต (Ca(HCO3)2) ซึ่งมีสมบัติละลาย
ใหสมาชิกแตละคนภายในกลุม มีบทบาทหนาที่ นํ้าได สามารถไหลซึมลงมาตามเพดานถํ้าและหยดลงสู
ของตนเอง ดังนี้ พื้นถํ้า เมื่อเวลาผานไปจนทําใหนํ้าในสารละลายระเหย
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ ไปหมด จะเกิดเปนหินปูนเกาะอยูที่เพดานถํ้า เรียกวา
หินยอย (stalactite) และหินปูนที่อยูบนพื้นถํ้าเรียกวา
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม
หินงอก (stalagmite) ซึ่งสามารถสรุปเปนสมการเคมีได
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ ดังนี้
ภาพที่ 6.20 หินงอก หินยอยภายในถํ้า
ที่มา : คลังภาพ อจท.
กิ จ กรรมและนํ า มาอธิ บ ายให ส มาชิ ก ใน
การเกิดกรดคารบอนิก : CO2 + H2O H2CO3
กลุมฟง ปฏิกิริยาเคมีระหวางหินปูนกับกรดคารบอนิก : H2CO3 + CaCO3 Ca(HCO3)2
• สมาชิกคนที่ 5-6 ทําหนาที่บันทึกผลการ เมื่อเวลาผานไป : Ca(HCO3)2 CaCO3 + CO2 + H2O
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจําตัวนักเรียน ลมเปนปจจัยที่มีผลตอการกรอนนอยที่สุด
4. นักเรียนแตละกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม แตถาบริเวณที่เปนเขตแหงแลง ผิวดินขาดพืชคลุมดิน
ขั้นตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เชน เขตทะเลทราย บริเวณทีป่ า ไมถกู ทําลาย ภูเขาทีโ่ ลง
เลม 2 เตียน กระแสลมจะมีผลทําใหเปลือกโลกเกิดการกรอนได
5. นักเรียนแตละกลุมรวมกันแลกเปลี่ยนความรู มากขึน้ เนือ่ งจากกระแสลมพัดพาตะกอนมาเสียดสี ครูด
ถูกบั หินทีโ่ ผลขนึ้ มา ทําใหเกิดภูมลิ กั ษณทมี่ รี ปู รางตาง ๆ
และวิ เ คราะห ผ ลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แล ว ภาพที่ 6.21 ตัวอยางแปนหิน เชน เสาเฉลียง จังหวัดอุบลราชธานี
เชน แองพัดกราด แปนหิน เนินยอดปาน สันทราย ที่มา : june20072538.wordpress.com/สถานที่ทองเที่ยว/เสาเฉลียง/
อภิปรายผลรวมกัน
84

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูอาจอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับฝนกรดวา ละอองนํ้าในอากาศที่รวมกับ ขอใดไมใชสาเหตุทําใหเกิดกระบวนการกรอน
แกสคารบอนไดออกไซดกลายเปนสารละลาย H2CO3 ไมจัดวาเปนฝนกรด 1. กระแสนํ้า
เพราะฝนกรดจะมีคา pH ที่ต่ํากวา ตัวอยางเชน ละอองนํ้าในอากาศรวมกับ 2. กระแสลม
แกสซัลเฟอรไดออกไซดหรือไนโตรเจนไดออกไซด กลายเปนกรดซัลฟวริกหรือ 3. แรงโนมถวง
กรดไนตริก ตามลําดับ จึงจะจัดวา เปนฝนกรด 4. ความรอนจากดวงอาทิตย
(วิเคราะหคําตอบ ป จ จั ย ที่ ทํ า ให เ กิ ด กระบวนการกร อ น เช น
กระแสนํ้า กระแสลม แรงโนมถวง ดังนั้น ตอบขอ 4.)
นักเรียนควรรู
1 ธารนํ้าแข็ง เปนมวลนํ้าแข็งที่เกิดจากการสะสมตัว การรวมตัวกัน และ
การตกผลึกใหมจากหิมะทีไ่ หลอยูภ ายใตอทิ ธิพลของแรงโนมถวง ถาภูมอิ ากาศ
เหมาะสม หิมะซึ่งสะสมตัวอยูตามยอดเขาสามารถคงอยูไดโดยไมละลาย
เมือ่ เวลาผานไปหิมะจะสะสมตัวเพิม่ ขึน้ จนกระทัง่ กลายเปนธารนํา้ แข็ง

T98
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กิจกรรม
1. นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลการปฏิบตั ิ
จําลองการกรอน การพัดพา และการสะสมตัวของตะกอน
กิจกรรมหนาชั้นเรียน ในระหวางที่นักเรียน
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
จุดประสงค - การสังเกต เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
อธิบายกระบวนการกรอน การพัดพา และการสะสมตัวของตะกอนจากแบบจําลองได จิตวิทยาศาสตร
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
- ความสนใจใฝรู
วัสดุอปุ กรณ - การทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง
สรางสรรค แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
1. กรวด 4. ทรายละเอียด เพื่อหาคําตอบ
2. บัวรดนํา้ 5. กลองพลาสติก
3. ทรายหยาบ 6. ดินเหนียวหรือดินนํ้ามัน ขยายความเขาใจ
วิธปี ฏิบตั ิ 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
1. นําดินเหนียวหรือดินนํ้ามันมาปนเปนภูมิประเทศจําลองในกลองพลาสติกรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผาที่เจาะรูระบายนํ้าออกได เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของโลก และใหความรู
โดยดานสูงใหอยูตรงขามกับรูที่เจาะ
2. ผสมตะกอนซึ่งประกอบดวยกรวด ทรายหยาบ และทรายละเอียด อยางละประมาณ 30 กรัม แลวเทลงบริเวณภูมิประเทศ เพิ่มเติมจากคําถามของนักเรียน โดยครูใช
จําลองที่มีระดับสูง PowerPoint เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของโลก
3. ใชบัวรดนํ้าขนาดเล็กเทนํ้าลงบนตะกอน แลวสังเกตการเปลี่ยนแปลงของตะกอนที่เกิดขึ้น และบันทึกผลการเปลี่ยนแปลงลงใน ในการอธิบายเพิ่มเติม
สมุดบันทึก
กลองพลาสติก ตะกอน (กรวด + ทรายหยาบ + บัวรดนํ้า 2. นักเรียนทํา Topic Question เรื่อง โครงสราง
ทรายละเอียด)
และการเปลีย่ นแปลงของโลก จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ลงในสมุดประจําตัว
รูระบายนํา้
นักเรียน
ดินนํ้ามัน 3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง การ
ภาพที่ 6.22 การสรางแบบจําลองการกรอน การพัดพา และการสะสมตัวของตะกอน เปลี่ ย นแปลงของโลก จากแบบฝ ก หั ด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
คําถามทายกิจกรรม
1. จงเรียงลําดับขนาดตะกอนที่ถูกพัดพา
2. ภูมิประเทศจําลองที่มีระดับสูงจะมีการสะสมตัวของตะกอนขนาดใด
3. ภูมิประเทศจําลองที่มีระดับตํ่าจะมีการสะสมตัวของตะกอนขนาดใด
4. จงเรียงลําดับเหตุการณการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศจําลอง
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
อภิปรายผลกิจกรรม
จากกิจกรรม พบวา เมื่อเทนํ้าลงไปในภูมิประเทศจําลอง นํ้าจะกัดเซาะตะกอนและพัดพาตะกอนที่มีขนาดเล็กไปยังที่ตํ่า 1. ทรายละเอียด ทรายหยาบ และกรวด
สวนตะกอนขนาดใหญจะสะสมตัวอยูบริเวณที่สูง โดยรูปรางการสะสมตัวของตะกอนจะขึ้นอยูกับภูมิประเทศ เชน บริเวณหุบเขา 2. ตะกอนขนาดใหญ
ตะกอนจะมีลักษณะเปนเนินรูปรางคลายพัด 3. ตะกอนขนาดเล็ก
4. เกิดกระบวนกัดเซาะหรือการกรอน เนื่องจาก
โลกและการเปลี่ยนแปลง 85 การกระทําของนํ้า กระบวนการพัดพา และ
กระบวนการสะสมตะกอน ตามลําดับ

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET บันทึกผล กิจกรรม

ขอใดคือความแตกตางระหวางตะกอนรูปพัดกับดินดอน ทรายละเอียดเปนตะกอนที่มีขนาดเล็กจะถูกพัดพาไปไดไกลกวาตะกอน
สามเหลี่ยมปากแมนํ้า ทรายหยาบและตะกอนกรวด ตามลําดับ
1. บริเวณที่เกิด
2. ตัวพัดพาตะกอน
3. กระบวนการพัดพา
4. วัตถุตนกําเนิดตะกอน
(วิเคราะหคําตอบ ตะกอนรูปพัดมักเกิดขึ้นบริเวณหุบเขาชันลง
สูพื้นราบ สวนดินดอนสามเหลี่ยมปากแมนํ้ามักเกิดขึ้นบริเวณที่
แมนํ้าไหลออกสูทะเล หรือเรียกวา ปากแมนํ้า ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T99
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับเรื่อง การ 3. การสะสมตัวของตะกอน (deposition) คือ การสะสมตัวของวัตถุจากการนําพาของนํ้า ลม หรือ
ธารนํ้าแข็ง ในธรรมชาติเมื่อหินซึ่งเปนสวนประกอบของเปลือกโลกเกิดการผุพังกลายเปนตะกอนขนาดเล็กทับถม
เปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งควรไดขอสรุปรวมกันวา อยูร มิ ฝง ตะกอนจะถูกนํา้ กัดเซาะและถูกพัดพาไปตามลํานํา้ โดยตะกอนทีม่ ขี นาดเล็กจะถูกพัดพาไปไดไกลกวาตะกอน
“การเปลีย่ นแปลงของโลก ไดแก การผุพงั อยูก บั ที่ ทีม่ ขี นาดใหญ ในระหวางทีต่ ะกอนถูกพัดพาไปกับนํา้ ตะกอนจะเกิดการขัดสีกนั เอง ทําใหตะกอนมีขนาดเล็กลงเรือ่ ย ๆ
การกรอน และการสะสมตัวของตะกอน เปน มีลักษณะมนมากขึ้นตามระยะทางที่ถูกนํ้าพัดพา บางบริเวณนํ้าจะพัดพาตะกอนมาสะสมเปนจํานวนมาก ทําใหเกิด
กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่ทําให ภูมิลักษณที่มีรูปรางตาง ๆ เชน ตะกอนรูปพัด ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมนํ้า ดังภาพที่ 6.23 และ 6.24
โลกเกิดการเปลีย่ นแปลงเปนภูมลิ กั ษณแบบตางๆ
เชน นํ้า ลม ธารนํ้าแข็ง แรงโนมถวง สิ่งมีชีวิต
สภาพอากาศ ปฏิกิริยาเคมี”

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน ภาพที่ 6.23 ตะกอนรูปพัดสะสมบริเวณใกลเนินเขา ภาพที่ 6.24 ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมนํ้า เปนตะกอนที่ทับถม
2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม จําลอง ที่มา : คลังภาพ อจท. บริเวณปากแมนํ้ากอนออกสูทะเล
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การผุพงั อยูก บั ทีข่ องหินเนือ่ งจากนํา้ เปนปจจัย
ในสมุ ด ประจํ า ตั ว นั ก เรี ย นหรื อ แบบฝ ก หั ด
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 Topic Question
3. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม จําลอง คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
การกร อ น การพั ด พา และการสะสมตั ว 1. โครงสรางของโลกแบงตามองคประกอบทางเคมีไดกี่ชั้น อะไรบาง
ของตะกอน ในสมุดประจําตัวนักเรียนหรือ 2. โครงสรางของโลกแตละชั้นมีองคประกอบทางเคมีเหมือนหรือแตกตางกัน อยางไร
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 3. กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีไดแกอะไรบาง
4. การผุพังอยูกับที่คืออะไร
4. ครูตรวจ Topic Question เรือ่ ง โครงสรางและ
5. การกรอนคืออะไร
การเปลี่ยนแปลงของโลก ในสมุดประจําตัว 6. ปจจัยใดที่มีผลตอกระบวนการกรอนนอยที่สุด
นักเรียน 7. จงยกตัวอยางผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการกรอน
5. ครูตรวจแบบฝกหัด เรือ่ ง การเปลีย่ นแปลงของ 8. หินงอกและหินยอยเหมือนหรือแตกตางกันหรือไม อยางไร
โลก จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 9. ภูมิประเทศแบบคาสต (karst) คืออะไร และเกิดขึ้นไดอยางไร
10. ปจจัยใดที่สงผลใหตะกอนสะสมตัวเปนรูปรางที่ตางกัน

86

แนวทางการวัดและประเมินผล แนวตอบ Topic Question


1. 3 ชั้น ไดแก ชั้นเปลือกโลก เนื้อโลก และแกนโลก
ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของโลก 2. เปลือกโลกประกอบดวยสารประกอบของซิลิคอนและอะลูมิเนียม
ไดจากการสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติกิจกรรม จําลองการผุพังอยูกับที่ของหิน เปนหลัก เนื้อโลกประกอบดวยสารประกอบของซิลิคอน แมกนีเซียม
เนื่องจากนํ้าเปนปจจัย และจําลองการกรอน การพัดพา และการสะสมตัวของ และเหล็กเปนหลัก สวนแกนโลกประกอบดวยเหล็กและนิกเกิลเปนหลัก
ตะกอน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการปฏิบัติ 3. การผุพังอยูกับที่ การกรอน การพัดพา และการสะสมตัวของตะกอน
กิจกรรม ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 6 4. การที่ หิ น ผุ พั ง ทลายลงด ว ยการกระทํ า ของพื ช มนุ ษ ย และสั ต ว
รวมทั้งการกระทําของสิ่งไมมีชีวิต
5. กระบวนการที่ทําใหหินละลายหรือกรอน โดยมีตัวพาทางธรรมชาติ
แบบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน

เชน นํ้า ธารนํ้าแข็ง


4 3 2 1
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม

6. ลม
รวม

ลงชื่อ ….................................................... ผู้ประเมิน


................./................../..................

7. การกัดเซาะบริเวณชายฝงและการเกิดหินงอกหินยอย
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. การปฏิบัติ ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องให้ความช่วยเหลือ
กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา

8. เหมื อ นกั น คื อ เกิ ด จากนํ้ า ในสารละลายแคลเซี ย มไฮโดรเจน-


ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา

คารบอเนตระเหยออกไป โดยสวนที่อยูบนเพดานถํ้า เรียก หินยอย


ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ

สวนที่อยูบนพื้นถํ้า เรียกวา หินงอก


และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล
กิจกรรม ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน ทากิจกรรมยังไม่เป็น กิจกรรม การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน

9. ภูมปิ ระเทศทีม่ ลี กั ษณะเปนโพรงหรือโพรงถํา้ ใตดนิ เกิดจากปฏิกริ ยิ า


เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี

เคมีระหวางนํ้าฝนกับหินปูน
4-6 พอใช้

T100
0-3 ปรับปรุง

10. ลักษณะภูมิประเทศและความเร็วของกระแสนํ้า
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Understanding Check 1. ครูมอบหมายใหนักเรียนแตละคนนําตัวอยาง
ดินจากแหลงตางๆ มาคนละ 1 ตัวอยาง จากนัน้
พิจารณาขอความตามความเขาใจของนักเรียนวาถูกหรือผิด แลวบันทึกลงในสมุดบันทึก
ถูก/ผิด
ใหนักเรียนแตละคนสังเกตและศึกษาลักษณะ
1. การกรอนเปนกระบวนการทางธรรมชาติที่ทําใหเกิดดิน ของดิน
1 2. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
2. ฮิวมัสที่อยูในดินสงผลใหดินมีสีดําคลํ้า
โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง

มุ ด
3. ดินรวนมีเนื้อละเอียดมากที่สุด จึงนิยมนํามาใชในการเพาะปลูก ความคิดเห็นอยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวา

นส
งใ

ทึ ก
4. ดินที่มีอายุนอยจะมีความอุดมสมบูรณมาก ถูกหรือผิด ดังนี้

บั น
5. ดินเปรี้ยว คือ ดินที่มีคา pH เทากับ 1.1 • ดินสวนใหญมีสีอะไร
(แนวตอบ ขึน้ อยูก บั ดินตัวอยางทีน่ กั เรียนนํามา)
• ดินตัวอยางมีลักษณะอยางไร
Prior
Knowledge
2 ดิน (แนวตอบ ขึ้นอยูกับดินตัวอยางที่นักเรียน
ดินเปนทรัพยากรธรรมชาติทมี่ ปี ระโยชนและมีความสําคัญตอ นํามา แตสวนใหญดินทั่วไปมักมีลักษณะ
เรานําดินมาใชประโยชน รวนซุย มีเศษรากไมผสมปนอยู เมื่อสัมผัส
สิง่ มีชวี ติ อยางมาก มนุษยอาศัยดินในการสรางทีอ่ ยูอ าศัย เพาะปลูกพืช
ในดานใดบาง มีลักษณะออนนุม)
ทางเกษตรกรรม นอกจากนี้ ดินยังเปนแหลงในการดํารงชีวิตของ
3. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอน
สัตวบางชนิด
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น
2.1 กระบวนการเกิดดิน
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุด
ดินเกิดจากหินที่ผุพังตามธรรมชาติผสมคลุกเคลากับอินทรียวัตถุที่ไดจากการเนาเปอยของซากพืชซากสัตว
ประจําตัวนักเรียน
ทับถมเปนชั้น ๆ บนผิวโลก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงและสลายตัวของสสารตนกําเนิดดินมีลําดับขั้นตอน ดังนี้
4. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
หินที่ผุพังโดยนํ้า เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 เพื่อเปนการนํา
ขั้นที่ 1 การผุพังอยูกับที่เปนสาเหตุใหหินแตกออกมีขนาดตาง ๆ
และแสงแดด
เมื่อถูกแสงแดดและฝน หินก็จะแตกหักและผุพังทลายลงมากขึ้น เขาสูบทเรียน
หินชั้นลางสุด กลายเปนหินที่มีขนาดเล็กลง
แนวตอบ Understanding Check
ฮิวมัส
ขั้นที่ 2 พืชจะเจริญงอกงามตามบริเวณรอยแตกของหิน แมลง 1. ถูก 2. ถูก 3. ผิด
หินที่ผุพังและตอไป และสัตวอนื่ จะเขามาอาศัยตามบริเวณรอยแตก เมือ่ พืชและสัตวตายลง 4. ผิด 5. ถูก
จะเปนดินชั้นบน จะสลายตัวกลายเปน ฮิวมัส (humus)
หินชั้นลางสุด แนวตอบ Prior Knowledge
ฮิวมัส ดินเปนแหลงผลิตปจจัยทีจ่ าํ เปนตอการดํารงชีวติ
ดินชั้นบน
หินที่ผุพังและกลาย
ขั้นที่ 3 สัตวที่อยูภายในดินจะชวยทําใหฮิวมัสผสมกับเศษหินและ นอกจากนี้ ยั ง เป น แหล ง แร ธ าตุ อ าหารของพื ช
เปนดินชั้นลาง แรกลายเปนดินที่อุดมสมบูรณ เรียกวา ดินชั้นบน เป น ที่ ยึ ด เกาะและกั ก เก็ บ นํ้ า อากาศสํ า หรั บ พื ช
หินชั้นลางสุด
ภาพที่ 6.25 กระบวนการเกิดดิน เปนวัตถุดิบที่ใชในการทําภาชนะ เชน เครื่องปน
ที่มา : คลังภาพ อจท. โลกและการเปลี่ยนแปลง 87 ดิ น เผา รวมทั้ ง เป น แหล ง ที่ มี ค วามสั ม พั น ธ กั บ
ทรัพยากรอื่นๆ เชน ปาไม แหลงนํ้า

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


ขอใดไมใชขั้นตอนการเกิดดิน 1 ฮิวมัส เปนอินทรียวัตถุที่เกิดจากการยอยสลายของซากพืชและซากสัตว
1. ฮิวมัสผสมกับเศษหินและแรธาตุ ผลที่ได คือ สารประกอบตางๆ เชน นํ้า คารบอนไดออกไซด แอมโมเนีย
2. ซากพืชและซากสัตวตายและทับถม สารประกอบอะโรมาติก ปะปนอยูใ นดินรวมตัว (Condensation) กับกรดอะมิโน
3. นํ้าพัดพาเศษหินมาทับและสะสมตัว ที่จุลินทรียที่อยูในดินสังเคราะหขึ้น กลายเปนสารที่เรียกวา ฮิวมัส
4. การผุพังและสลายตัวของหินตนกําเนิด
(วิเคราะหคําตอบ การกําเนิดดินแบงออกเปน 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 การผุพังอยูกับที่และหินตนกําเนิดสลายตัว เปนหินที่มี
สื่อ Digital
ขนาดเล็กลง ครูใหนกั เรียนศึกษาเพิม่ เติมเกีย่ วกับกระบวนการเกิดดิน จาก YouTube เรือ่ ง
ขั้นที่ 2 กระบวนการสรางดิน ซึ่งเกิดจากการทับถมของซากพืช ดินและปจจัยการเกิด (https://www.youtube.com/watch?v=USNepPvQxfM)
และซากสัตวกลายเปนฮิวมัส
ขั้นที่ 3 สัตวเล็กๆ ในดินจะเคลื่อนที่ไปมา ทําใหฮิวมัสผสมกับ
เศษหินและแรกลายเปนดินที่อุดมสมบูรณ
ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T101
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน จากนั้น ดินแต่ละท้องถิ่นจะมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล 1. วัตถุตน้ ก�าเนิดดิน ส่วนใหญ่ดนิ มีตน้ ก�าเนิดหลักมาจากการผุพงั Science in Real Life
อยู่กับที่ของหิน ซึ่งมีกระบวนการผุพังที่แตกต่างกัน ท�าให้ดินแต่ละบริเวณ ดินเหนียวเกิดจากการผุพงั ทางเคมี
เกีย่ วกับเรือ่ ง กระบวนการเกิดดิน จากหนังสือ ของหิ น ต้นก�าเนิด แล้วทับถมจนกระทั่ง
มีปริมาณแร่ธาตุ สีดิน เนื้อดิน โครงสร้างของดิน และสมบัติทางเคมีของดิน
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 แตกต่างกัน กลายเป็ นดินเหนียวที่มีเนื้อละเอียด ใน
2. นั ก เรี ย นร ว มกั น เปรี ย บเที ย บลั ก ษณะและสี ปัจจุบนั จึงนิยมน�าดินเหนียวมาท�าภาชนะ
ดินเผาหรือตุ๊กตาดินเผา
ของดิ น ตั ว อย า งที่ นั ก เรี ย นนํ า มากั บ เพื่ อ น
โดยสรุปเปนขอเปรียบเทียบลงในสมุดประจําตัว
นักเรียน
อธิบายความรู้
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ
ศึกษาคนควาขอมูลเกีย่ วกับเรือ่ ง กระบวนการ
เกิดดินและขอเปรียบเทียบดินตัวอยางกับเพือ่ น
2. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน ภาพที่ 6.26 หินอัคนีมีแร่เฟลด์สปาร์เป็นองค์ประกอบ ภาพที่ 6.27 หินแปรมีแร่ซิลิคอนไดออกไซด์เป็นองค์-
โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะคนร ว มกั น อภิ ป ราย เมื่อผุพังทลายลงจะกลายเป็นอนุภาคดินเหนียว
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ประกอบ เมื่อผุพังทลายลงจะกลายเป็นอนุภาคทราย
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แสดงความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ ดังนี้
• ดินประกอบดวยกี่สวน อะไรบาง
( แนวตอบ ดิ น ประกอบด ว ย 4 ส ว น คื อ 2. ลักษณะภูมิประเทศ มีผลต่อการชะล้าง
อนินทรียวัตถุ อินทรียวัตถุ นํ้า และอากาศ) พังทลายของหน้าดิน ตัวอย่างเช่น ดินที่เกิดบริเวณที่มี
ความลาดชันสูง ชัน้ ของดินจะบางเนือ่ งจากการไหลของ
• ฮิวมัสคืออะไร
น�า้ อย่างรวดเร็ว ท�าให้เกิดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน
(แนวตอบ ฮิวมัส คือ อินทรียวัตถุที่สลายตัว ส่วนดินทีเ่ กิดในบริเวณทีร่ าบ ชัน้ ของดินจะหนาเนือ่ งจาก
ปะปนอยูในดิน ซึ่งเกิดจากการยอยสลาย น�้าจะไหลได้ค่อนข้างช้า ท�าให้เกิดการชะล้างพังทลาย
ของซากพืชและซากสัตว) ของดินน้อย นอกจากนี้ ในบริเวณทีเ่ ป็นแอ่งหรือทีล่ มุ่ ต�า่
ชั้ น ดิ น จะหนาเนื่ อ งจากน�้ า จะพั ด พาเอาตะกอนจาก
บริเวณที่สูงหรือบริเวณใกล้เคียงมาทับถมในที่ลุ่มต�่า ภาพที่ 6.28 การปลูกพืชแบบขั้นบันไดช่วยชะลอการพังทลายของ
เช่น ดินในป่าพรุ หน้าดินบริเวณลาดชัน
ที่มา : การทองเที่ยวแหงประเทศไทย

3. เวลา ดินที่มีอายุยาวนานกว่าจะมีหน้าตัดดินสมบูรณ์กว่าดินที่มีอายุน้อยกว่า ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัย


ทางสภาพอากาศร่วมด้วย เช่น หน้าดินที่อยู่ในเขตร้อนชื้นจะค่อนข้างสมบูรณ์ได้ในระยะเวลาที่น้อยกว่าปกติ

88

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูอาจแนะนํานักเรียนเกี่ยวกับดินวา ดินในแตละพื้นที่อาจมีสี ลักษณะ ดินชั้นบนกับดินชั้นลางมีลักษณะแตกตางกันอยางไร
และสมบัติที่แตกตางกัน เนื่องจากดินในแตละพื้นที่มีวัตถุตนกําเนิดดิน สภาพ 1. ดินชั้นบนมีฮิวมัสมากกวา
ภูมอิ ากาศ สภาพภูมปิ ระเทศ กาลเวลา และสวนผสมฮิวมัสเนือ่ งจากซากพืชและ 2. ดินชั้นบนมีความพรุนนอยกวา
ซากสัตวที่ตายทับถมในแตละพื้นที่แตกตางกัน อยางไรก็ตาม การเกิดดิน 3. สีของดินชั้นบนจางกวาดินชั้นลาง
มีขั้นตอนหลักอยู 2 ขั้นตอน คือ 4. ดินชั้นบนมีขนาดของเม็ดดินเล็กกวา
1. กระบวนการสลายตัว คือ กระบวนการสลายตัวผุพังของหิน แร ซากพืช (วิเคราะหคําตอบ ดินชัน้ บนมีการทับถมของซากพืชและซากสัตว
และซากสัตว ไดวัตถุตนกําเนิดดินและฮิวมัส ตามลําดับ ผสมกับเศษหิน กลายเปนฮิวมัส ดินชัน้ บนจึงมีสเี ขมและมีความพรุน
2. กระบวนการสรางดิน คือ กระบวนการผสมคลุกเคลาระหวางวัตถุ มากกวาดินชั้นลาง ดังนั้น ตอบขอ 1.)
ตนกําเนิดดินกับฮิวมัส โดยมีพชื และสัตวตา งๆ ชวย รวมทัง้ ลมและฝนมีสว นชวย
ทําใหเกิดดิน

T102
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
4. ภูมิอากาศ ลักษณะภูมิอากาศมีความส�าคัญต่อการก�าเนิดและพัฒนาของดินมากที่สุด โดยองค์ประกอบ 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
ทางภูมิอากาศที่เกี่ยวข้องกับการเกิดดิน มีดังนี้
เรือ่ ง กระบวนการเกิดดิน และใหความรูเ พิม่ เติม
1) ปริมาณฝน ความชื้นที่ได้รับจากน�้าฝน ท�าให้เกิดกระบวนการทางเคมี ส่งผลให้หินและแร่ธาตุสลาย
ตัวกลายเป็นดินได้ง่าย จากคําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint
2) อุณหภูมิ หินที่อยู่ในเขตภูมิอากาศร้อนจะมีอัตราการสลายตัวเนื่องจากปฏิกิริยาเคมีได้รวดเร็วกว่า เรือ่ ง กระบวนการเกิดดิน ในการอธิบายเพิม่ เติม
หินที่อยู่ในเขตภูมิอากาศอบอุ่นหรือเย็น นอกจากนี้ อุณหภูมิยังมีผลต่อปฏิกิริยาการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในดิน 2. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง กระบวนการ
ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับชนิดของจุลินทรีย์ เกิดดิน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
3) ลม มีส่วนช่วยท�าให้หินซึ่งเป็นวัตถุต้นก�าเนิดแตกออก และพัฒนากลายเป็นดินในเวลาต่อมา
5. สิ่งมีชีวิต พืชที่ขึ้นปกคลุมดินเมื่อตายไปจะช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ในบริเวณที่มีความชื้น พืชจะ ขัน้ สรุป
เจริญได้ดี และจุลินทรีย์ที่อยู่ในดินท�างานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ดินที่เกิดจะลึกและมีชั้นของดินชัดเจน ส่วนในบริเวณ ตรวจสอบผล
แห้งแล้ง พืชจะเจริญไม่ดีและมีจ�านวนน้อย ส่งผลให้ดินบริเวณนั้นไม่สมบูรณ์ เนื่องจากอินทรียวัตถุที่อยู่ภายในดิน นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับเรื่อง
มีน้อย
การเปรียบเทียบดินจากแหลงตางๆ เพื่อใหได
ข อ สรุ ป ร ว มกั น ว า “ดิ น เกิ ด จากหิ น ที่ ผุ พั ง ผสม
คลุกเคลากับอินทรียวัตถุที่ไดจากการเนาเปอย
ของซากพืชและซากสัตวทับถมกันเปนชั้น โดย
ดินแตละบริเวณ ตางมีสีและลักษณะของเนื้อดิน
ที่แตกตางกัน บางบริเวณมีสีแดงสม บางบริเวณ
มี สี ดํ า และบางบริ เ วณมี สี น้ํ า ตาล ขึ้ น อยู  กั บ
สภาพแวดลอมและปจจัยตางๆ”

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ภาพที่ 6.29 ลักษณะของดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ (ภาพซ้าย) ดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ (ภาพขวา) ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ที่มา : คลังภาพ อจท.
พฤติกรรมการทํางานกลุม และจากการนํา
Science เสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
Focus สิ่งมีชีวิตในดิน 2. ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนกอนเขาสู
สิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในดิน ได้แก่ แบคทีเรีย รา โพรโทซัว และไวรัส โดยแบคทีเรียจัดเป็นจุลินทรีย์กลุ่มใหญ่ที่พบมากที่สุด กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Under-
ในดิน ซึ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีบทบาทส�าคัญเป็นผู้ย่อยสลายอินทรียวัตถุในดินให้อยู่ในรูปที่พืชสามารถน�าไปใช้ประโยชน์ได้
และท�าให้เกิดกระบวนการตรึงไนโตรเจนในดิน เช่น Pseudomonas spp. Rhizobium spp. ส่งผลให้ดินบริเวณนั้นมีความ standing Check ในสมุดประจําตัวนักเรียน
อุดมสมบูรณ์ 3. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง กระบวนการเกิดดิน
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
โลกและการเปลี่ยนแปลง 89

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET แนวทางการวัดและประเมินผล


ปจจัยใดมีอิทธิพลตออัตราการไหลบาของนํ้าที่ทําใหเกิดการ ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง กระบวนการเกิดดิน
ชะลางพังทลายของดินและการทับถมของอินทรียวัตถุในดิน ได จ ากการสั ง เกตพฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และการนํ า เสนอผลงาน โดย
1. เวลา ศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม
2. สิ่งมีชีวิต และการนําเสนอผลงาน ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 6
3. ภูมิอากาศ
4. ภูมิประเทศ แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน


การมี
แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน


ระดับคะแนน
การทางาน ลาดับที่ รายการประเมิน

(วิเคราะหคําตอบ ดิ น ที่ เ กิ ด บริ เ วณที่ มี ค วามลาดชั น สู ง อั ต รา


การแสดง การยอมรับฟัง ส่วนร่วมใน รวม 3 2 1
ชื่อ–สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น คนอื่น การปรับปรุง 15 1 ความถูกต้องของเนื้อหา
ของนักเรียน มอบหมาย   
ผลงานกลุ่ม คะแนน
2 ความคิดสร้างสรรค์   
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
3 วิธีการนาเสนอผลงาน   
4 การนาไปใช้ประโยชน์   

การไหลของนํ้าจะคอนขางเร็ว ทําใหชั้นดินบาง สงผลใหเกิด


5 การตรงต่อเวลา   

รวม

การชะลางพังทลายของหนาดินมากกวาดินที่เกิดบริเวณที่ราบ
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............/................./...................

เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน

ดังนั้น ตอบขอ 4.)


ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
............./.................../...............
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ 8–10 พอใช้
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T103
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูเปดวีดทิ ศั นเกีย่ วกับเรือ่ ง สมบัตขิ องดิน (จาก 2.2 สมบัติของดิน
https://www.youtube.com/watch?v= สมบัติของดินมีหลายประการ เชน เนื้อดิน ความเปนกรดและเบสของดิน ธาตุอาหารภายในดิน ความชื้น
E8ZDQoDDkeo) ใหนกั เรียนดู ของดิน ซึ่งสมบัติเหลานี้สามารถนําไปพิจารณารวมกับการเลือกใชประโยชนจากดินใหมีความเหมาะสมตอ
2. จากนัน้ ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความสนใจ การเพาะปลูกหรือการนําไปใชประโยชนอื่น ๆ
นักเรียนวา “ถานักเรียนจะเพาะปลูกพืชชนิด 1. เนื้อดิน เปนสมบัติทางกายภาพของดินที่สามารถตรวจสอบไดจากการมองเห็นหรือสัมผัส เชน
หนึง่ นักเรียนคิดวา ดินควรมีลกั ษณะอยางไร” ดินบางกอนมีเนื้อหยาบ ดินบางกอนมีเนื้อละเอียด ที่เปนเชนนี้เนื่องจากเนื้อดินประกอบไปดวยอนุภาคของดินที่มี
ขนาดแตกตางกัน โดยแบงออกเปน 3 ขนาด ไดแก
โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง
1) ขนาดเม็ดทราย มีขนาดอยูระหวาง 0.075 มิลลิเมตร ถึง 2 มิลลิเมตร
ความคิดเห็นอยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวา 2) ขนาดเม็ดทรายแปง มีขนาดอยูระหวาง 0.002 มิลลิเมตร ถึง 0.075 มิลลิเมตร
ถูกหรือผิด 3) ขนาดดินเหนียว มีขนาดตํ่ากวา 0.002 มิลลิเมตร
(แนวตอบ ขึน้ อยูก บั คําตอบของนักเรียน นักเรียน เมื่ออนุภาคเหลานี้มารวมตัวกันในสัดสวนที่แตกตางกัน สงผลใหเนื้อดินมีลักษณะและสมบัติแตกตางกัน
อาจตอบวา ดินจะตองมีลกั ษณะเปนเนือ้ หยาบ ดังตารางที่ 6.1
มีความพรุนมาก และมีสเี ขม)
ตารางที่ 6.1 ปริมาณอนุภาคหลักขององคประกอบของดินที่ใชเปนเกณฑในการจําแนกประเภทของเนื้อดิน และสมบัติของ
เนื้อดินแตละประเภท
ขัน้ สอน ปริมาณของอนุภาคของดิน (% โดยนํ้าหนัก)
สํารวจค้นหา ประเภทดิน ลักษณะของเนือ้ ดิน สมบัติของดิน
เม็ดทราย เม็ดทรายแปง ดินเหนียว
1. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 4 คน จากนัน้ นักเรียน ทราย 85-100 0-15 9.8 ดินทรายไมอุมนํ้า ระบายนํ้า
แตละกลุมรวมกันศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับ ดินทราย ทรายรวน 70-90 0-15 0-15
และอากาศไดดีมีธาตุอาหาร
เรือ่ ง สมบัตขิ องดิน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ตํ่า และถูกชะลางพังทลาย
ม.2 เลม 2 รวนปนทราย 45-85 0-50 0-20 ไดงาย
2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได รวน 20-52 28-50 7-30
ศึกษา จากนั้นใหนักเรียนแตละคนเขียนสรุป รวนปนทรายแปง 0-50 50-88 0-30 ดินรวนอุมนํ้าไดดี ระบาย
ความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุด นํ้าไดดี และมีฮิวมัสอยูเปน
ทรายแปง 0-20 80-100 0-12
ประจําตัวนักเรียน ดินรวน จํานวนมาก จัดเปนเนื้อดิน
รวนเหนียวปนทราย 45-80 0-28 20-35 ที่ มี ค วามเหมาะสมต อ การ
อธิบายความรู้ เพาะปลูก
รวนเหนียว 20-45 15-50 30-40
ครูสมุ นักเรียนใหออกมานําเสนอผลการศึกษา รวนเหนียวปนทรายแปง 0-20 40-70 30-40
หน า ชั้ น เรี ย น โดยสุ  ม ออกมาเพี ย ง 4 กลุ  ม
ซึ่ ง ครู เ ป น คนเลื อ กว า จะให ก ลุ  ม ไหนนํ า เสนอ เหนียวปนทราย 45-65 0-20 35-55
ดิ น เหนี ย วอุ  ม นํ้ า ได ดี ม าก
เรื่องอะไร ตามหัวขอเรื่อง ดังตอไปนี้ ดินเหนียว เหนียวปนทรายแปง 0-20 40-60 40-60 ระบายนํา้ และอากาศไดไมดี
• เนื้อดิน มีธาตุอาหารภายในดิน
เหนียว 0-45 0-40 40-100
• ความชื้นของดิน
• สีของดิน
• ความเปนกรด-เบสของดิน 90

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูอาจแนะนํานักเรียนเกี่ยวกับองคประกอบของดินวา ดินประกอบดวย ดินที่มีเนื้อดินหยาบ นํ้าซึมผานไดดี ไมอุมนํ้า เปนสมบัติของ
ดินเหนียว ทรายแปง ทราย เศษหิน สารอินทรีย นํา้ และแกสตางๆ ในอัตราสวน ดินชนิดใด
ที่ตางกัน ดังนี้ 1. ดินรวน
1. แรธาตุ ไดจากการสลายตัวของหินและแรธาตุ มีประมาณรอยละ 45 2. ดินทราย
2. นํ้า อยูในชองวางระหวางดิน มีประมาณรอยละ 25 3. ดินโคลน
3. อากาศ แกสที่อยูในชองวางระหวางดิน มีประมาณรอยละ 25 4. ดินเหนียว
4. อิ น ทรี ย วั ต ถุ เกิ ด จากการเน า เป  อ ยผุ พั ง ของซากพื ช และซากสั ต ว (วิเคราะหคําตอบ ดินเหนียว ดินโคลน และดินรวนอุมนํ้าไดดี
มีประมาณรอยละ 5 แตดินทรายไมอุมนํ้าและระบายนํ้าไดดี ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T104
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2. ความชื้นของดิน คือ นํ้าที่ผสมอยูในดินซึ่งมีความสําคัญตอพืชและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูภายในดิน 1. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน จากนัน้ ครูแจง
เนือ่ งจากนํา้ ทีอ่ ยูร ะหวางชองวางของดิน จะถูกพืชและจุลนิ ทรียบ างชนิดทีอ่ ยูใ นดินนําไปใชในกระบวนการสังเคราะห
จุดประสงคของกิจกรรม ตรวจวัดสมบัตขิ องดิน
ดวยแสงนอกจากนี้ นํา้ ยังชวยละลายธาตุอาหารทีอ่ ยูใ นดินใหอยูใ นรูปของสารละลาย เพือ่ ใหพชื ดูดซึมและนําไปใชใน
การเจริญเติบโตได ใหนักเรียนทราบเพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติ
กิจกรรมที่ถูกตอง
3. สีของดิน เปนสมบัติเฉพาะตัวของดินที่สามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา ซึ่งสีของดินมีความแตกตางกัน 2. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม
อยางชัดเจนเนื่องจากวัตถุตนกําเนิดและแรธาตุในดิน เชน ถาดินมีแรเหล็กออกไซด ดินจะมีสีแดง ถาดินมีอินทรีย- ตรวจวั ด สมบั ติ ข องดิ น จากหนั ง สื อ เรี ย น
สารเปนองคประกอบมาก ดินจะมีสีคลํ้าหรือสีดํา นอกจากนี้ ถาดินมีความชื้นสูงจะทําใหดินมีสีเขม วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยครูใชรูปแบบ
การเรี ย นรู  แ บบร ว มมื อ มาจั ด กระบวนการ
เรียนรู โดยกําหนดใหสมาชิกแตละคนภายใน
กลุมมีบทบาทหนาที่ของตนเอง ดังนี้
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ
กิ จ กรรมและนํ า มาอธิ บ ายให ส มาชิ ก ใน
ภาพที่ 6.30 ดินมีสีเทา เทาปนนํ้าเงิน หรือนํ้าเงิน บงชี้วาดินอยูใน
สภาวะที่มีนํ้าแชขังเปนเวลานาน เชน ดินนาในพื้นที่ลุม ดินในพื้นที่
ภาพที่ 6.31 ดินที่มีแรเหล็กออกไซดเปนองคประกอบ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
กลุมฟง
ปาชายเลน • สมาชิกคนที่ 5-6 ทําหนาที่บันทึกผลการ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
3. นักเรียนแตละกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม
4. ความเปนกรด-เบสของดิน เปนสมบัติของดินอยางหนึ่ง นิยมบอกคาความเปนกรด-เบสของดิน
เปนคา pH ถาดินมีคา pH เทากับ 7 แสดงวา ดินมีความเปนกลาง ถามีคา pH นอยกวา 7 แสดงวา ดินมีความ ขั้นตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2
เปนกรด และถาดินมีคา pH มากกวา 7 แสดงวา ดินมีความเปนเบส โดยทั่วไปดินจะมีคา pH อยูระหวาง 3-9 เลม 2
ซึ่งถาดินมีความเปนกรดรุนแรง จะสงผลใหธาตุบางชนิด ไดแก อะลูมิเนียม เหล็ก และแมงกานีส ละลายออกมา 4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันแลกเปลี่ยนความรู
สะสมอยูในดินจํานวนมาก ซึ่งเปนอันตรายตอพืช และวิ เ คราะห ผ ลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แล ว
อภิปรายผลรวมกัน
Science
Focus การตรวจวัดสีของดิน อธิบายความรู้
ในการเทียบสีของดินนั้นยึดตามหลักการของ Munsell ซึ่งรหัส Munsell เปนรหัสสากลที่ใชในการบรรยายสีของดิน ซึ่ง
สีของดินแตละสีในสมุดเทียบสีของดินของ GLOBE ประกอบดวย ตัวอักษรแทนชนิดของสีและตัวเลขกํากับ 3 ตัว โดยไล 1. นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลการปฏิบตั ิ
ตามลําดับ ดังนี้ กิจกรรมหนาชั้นเรียน ในระหวางที่นักเรียน
1. คา Hue แสดงถึง ตําแหนงของสีบนวงลอ นํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
2. คา Value แสดงถึง คาความสวางของสี
3. คา Chroma แสดงถึง ความเขมของสี เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
โลกและการเปลี่ยนแปลง 91 แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
เพื่อหาคําตอบ

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


ขอใดทําใหทราบวาดินมีแรเหล็กออกไซดเปนองคประกอบ ครูอาจอธิบายเพิ่มเติมวา กระดาษลิตมัสมี 2 สี คือ สีแดงกับสีนํ้าเงิน
1. สีของดิน ถานํากระดาษลิตมัสสีนํ้าเงินจุมลงในสารละลายกรด กระดาษลิตมัสจะเปลี่ยน
2. แรธาตุในดิน จากสีนํ้าเงินเปนสีแดง และเมื่อจุมกระดาษลิตมัสสีแดงลงในสารละลายเบส
3. ขนาดของเม็ดดิน กระดาษลิตมัสจะเปลีย่ นจากสีแดงเปนสีนาํ้ เงิน อินดิเคเตอรแบบกระดาษลิตมัส
4. สีของดินและแรธาตุในดิน จะบอกได เ พี ย งว า สารละลายใดเป น กรด-เบสหรื อ เป น กลางเท า นั้ น
(วิเคราะหคําตอบ สีของดินเปนสมบัติเฉพาะตัวที่ทําใหทราบวา แตไมสามารถบอกไดวาสารชนิดใดมีความเปนกรด-เบสมากกวากัน
ดินมีสารใดเปนองคประกอบ เชน ดินที่มีสีแดง คือ ดินที่มีแรเหล็ก
ออกไซดปะปนอยูในดิน ดังนั้น ตอบขอ 1.) สื่อ Digital
ศึกษาเพิม่ เติมจาก QR Code เรื่อง ชั้นของดิน

ชั้นของดิน
www.aksorn.com/interactive3D/RK862
T105
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
กิจกรรม
1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
ตรวจวัดสมบัติของดิน
เรือ่ ง สมบัตขิ องดิน และใหความรูเ พิม่ เติมจาก
คําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เรื่อง สมบัติของดิน ในการอธิบายเพิ่มเติม จุดประสงค์ - การสังเกต
- การทดลอง
ตรวจวัดและระบุสมบัติของดินโดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสมได้
2. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง สมบัติ จิตวิทยาศาสตร์
ของดิน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 - ความรับผิดชอบ
- ความสนใจใฝ่รู้
วัสดุอปุ กรณ์
ขัน้ สรุป 1. สมุดบันทึก
2. กระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์
ตรวจสอบผล
3. อุปกรณ์เครื่องเขียน เช่น ปากกา ไม้บรรทัด
นักเรียนและครูรว มกันสรุปเกีย่ วกับเรือ่ ง สมบัติ
ของดิน วิธปี ฏิบตั ิ
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ส�ารวจดินภายในบริเวณโรงเรียน ดังนี้
1.1 สังเกตสีของดิน
ขัน้ ประเมิน 1.2 ทดสอบความเป็นกรด-เบสของดิน โดยใช้กระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์
ตรวจสอบผล 1.3 ตรวจสอบลักษณะเนื้อดิน โดยการปั้นหรือสัมผัสกับเนื้อดิน
2. บันทึกสมบัติของดินที่ส�ารวจได้ลงในสมุด
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ 3. ให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาน�าเสนอผลการส�ารวจของกลุ่มตนเองหน้าชั้นเรียน
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ ภาพที่ 6.53 ตัวอย่างแบบจ�าลองหน้าตัดข้างของดิน
ค�าถามท้ายกิ
ที่มจ
า กรรม
: คลังภาพ อจท.
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
1. เนื้อของดินแบ่งออกเป็นกี่ประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะอย่างไร
2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม ตรวจวัด 2. ดินที่มีความเป็นกรดและเบสจะมีค่า pH เท่าใด ตามล�าดับ
สมบัติของดิน ในสมุดประจําตัวนักเรียนหรือ 3. จงยกตัวอย่างสมบัติของดินและการน�าไปใช้ประโยชน์
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
3. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง สมบัติของดิน จาก
อภิปรายผลกิจกรรม
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
จากกิจกรรม พบว่า ดินแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ดินเหนียว ดินร่วน และดินทราย โดยดินเหนียวเป็นดินที่มี
เนือ้ ละเอียด เมือ่ เปียกน�า้ แล้วจะมีความยืดหยุน่ สามารถปัน้ เป็นก้อนหรือปัน้ ให้เป็นเส้นได้ ดินร่วนเป็นดินทีเ่ นือ้ ดินค่อนข้างละเอียด
เมือ่ สัมผัสจะรูส้ กึ นุม่ และสากเล็กน้อย ส่วนดินทรายเป็นดินทีม่ เี นือ้ หยาบ เมือ่ สัมผัสจะรูส้ กึ สากมือ และค่า pH เป็นค่าทีบ่ ง่ บอกความ
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม เป็นกรดและเบสของดิน โดยดินที่เป็นกลางจะมีค่า pH เท่ากับ 7 ถ้าดินที่เป็นกรดจะมีค่า pH น้อยกว่า 7 ส่วนดินที่เป็นเบสจะมีค่า
pH มากกว่า 7 ซึ่งสมบัติของดินเหล่านี้สามารถน�ามาพิจารณาเพื่อเลือกใช้ดินให้มีความเหมาะสมต่อการปลูกพืชแต่ละชนิด เช่น
1. 3 ประเภท ไดแก ดินเหนียว ดินรวน และดินทราย ดินเหนียวใช้ปลูกข้าว ดินร่วนใช้ปลูกพืชทั่วไป นอกจากนี้ เนื้อของดินเหนียวมีความละเอียด จึงนิยมน�ามาปั้นเป็นภาชนะดินเผา
2. ดินทีเ่ ปนกรดจะมีคา pH ตํา่ กวา 7 สวนดินทีเ่ ปน
เบสจะมีคา pH สูงกวา 7
3. ดินเหนียวนิยมนําไปปนภาชนะดินเผา ดินรวน 92
นิยมนํามาใชเพาะปลูก

แนวทางการวัดและประเมินผล บันทึกผล กิจกรรม

ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง สมบัติของดิน ไดจาก ขึน้ อยูก บั ผลกิจกรรมของนักเรียน โดยดินในแตละพืน้ ทีต่ า งมีสมบัตทิ ี่
การสังเกตพฤติกรรมการปฏิบตั กิ จิ กรรม ตรวจวัดสมบัตขิ องดิน โดยศึกษาเกณฑ ตางกัน มีวิธีตรวจสอบเบื้องตน ดังนี้
การวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการปฏิบัติกิจกรรม ที่อยูในแผนการ พิจารณาจากเนื้อดินโดยการสัมผัส
จัดการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 6 - เมื่อสัมผัสกับดินแลวรูสึกดินมีเนื้อละเอียด สามารถปนเปนกอนได
จัดเปนดินเหนียว
ลาดับที่
แบบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

รายการประเมิน
ระดับคะแนน
- เมื่อสัมผัสกับดินแลวรูสึกนุมและสากเล็กนอย จัดเปนดินรวน
- เมื่อสัมผัสกับดินแลวรูสึกดินมีเนื้อหยาบ จัดเปนดินทราย
4 3 2 1
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม
รวม

พิจารณาความเปนกรด-เบสโดยใชกระดาษลิตมัส
ลงชื่อ ….................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. การปฏิบัติ
กิจกรรม

2. ความ
ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน
และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง
ถูกต้อง

มีความคล่องแคล่ว
ถูกต้อง แต่อาจต้อง
ได้รับคาแนะนาบ้าง
มีความคล่องแคล่ว
ต้องให้ความช่วยเหลือ
บ้างในการทากิจกรรม
และการใช้อุปกรณ์

ขาดความคล่องแคล่ว
ต้องให้ความช่วยเหลือ
อย่างมากในการทา
กิจกรรม และการใช้
อุปกรณ์
ทากิจกรรมเสร็จไม่
- ดินที่เปนกลางจะไมเปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัส
- ดินที่เปนกรดจะเปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัสจากสีนํ้าเงินเปนสีแดง
คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา

- ดินที่เปนเบสหรือดางจะเปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัสจากสีแดงเปน
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล
กิจกรรม ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน ทากิจกรรมยังไม่เป็น กิจกรรม การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน
10-12
7-9
ระดับคุณภาพ
ดีมาก
ดี
สีนํ้าเงิน
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง

T106
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
2.3 ชั้นหน้าตัดดิน ครู เ ป ด วี ดิ ทั ศ น เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ ง การสํ า รวจ
โดยทั่วไปเรามองเห็นดินเป็นแผ่นดินในพื้นที่ท่ีมีความกว้างและความยาว แต่ถ้าหากพิจารณาดินใน 3 มิติ หนาตัดขางของดิน (จาก https://www.youtube.
จะเห็นว่า ดินมีความลึกหรือความหนาไปตามแนวดิ่งทับถมเป็นชั้นต่าง ๆ เรียกว่า ชั้นหน้าตัดดิน (soil profile)
com/watch?v=mpRtgGkkftk) ใหนักเรียนดู
กิจกรรม เพื่อกระตุนความสนใจของนักเรียน
แบบจ�าลองชั้นหน้าตัดดิน
ขัน้ สอน
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สํารวจค้นหา
จุดประสงค์ - การสังเกต
อธิบายลักษณะชั้นหน้าตัดดินจากแบบจ�าลองได้ - การทดลอง 1. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน รวมกันปฏิบตั ิ
จิตวิทยาศาสตร์
- ความรับผิดชอบ
กิ จ กรรม แบบจํ า ลองชั้ น หน า ตั ด ดิ น จาก
วัสดุอปุ กรณ์ - ความสนใจใฝ่รู้ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
1. สีไม้ 4. สมุดบันทึก 2. นักเรียนแตละกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม
2. เทปกาว 5. กระดาษแข็งสีขาว
3. กรรไกร 6. อุปกรณ์เครื่องเขียน เช่น ดินสอ ปากกา ไม้บรรทัด ขั้นตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2
วิธปี ฏิบตั ิ
อธิบายความรู้
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-5 คน ส�ารวจดินบริเวณภายในชุมชน โดยให้
นักเรียนสังเกตลักษณะของเนือ้ ดิน สีของดิน การจับตัวของดิน และสิง่ ทีป่ นอยูใ่ นดิน 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ
หรือครูอาจน�าภาพชั้นหน้าตัดดินมาให้นักเรียนศึกษา แล้วบันทึกข้อมูลลงในสมุด ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่
บันทึก
2. ให้นกั เรียนรวบรวมข้อมูลทีไ่ ด้จากการส�ารวจ หรือสืบค้นข้อมูลมาสร้างแบบจ�าลอง
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะ
ชัน้ หน้าตัดดิน โดยใช้วสั ดุทคี่ รูกา� หนดให้ เช่น กระดาษแข็งสีขาว สีไม้ กาว กรรไกร เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
เทปกาว 2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
3. ส่งตัวแทนกลุม่ ออกมาน�าเสนอแบบจ�าลอง และอธิบายลักษณะของดินในแต่ละชัน้ แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
ภาพที่ 6.53 ตัวอย่างแบบจ�าลองหน้าตัดข้างของดิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ค�าถามท้ายกิจกรรม
เพื่อหาคําตอบ
1. ชั้นหน้าตัดดินแบ่งออกเป็นกี่ชั้น แต่ละชั้นมีลักษณะอย่างไร
ภาพที่ 6.32 ตัวอย่างภาพชั้นหน้าตัดดิน
2. ประเมินแบบจ�าลองชั้นหน้าตัดดินของกลุ่มอื่นว่ามีความถูกต้องหรือไม่ อย่างไร ที่มา : คลังภาพ อจท.
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
อภิปรายผลกิจกรรม 1. ในทฤษฎี มี 6 ชั้ น ซึ่ ง แต ล ะชั้ น มี ลั ก ษณะที่
จากกิจกรรม พบว่า ดินมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงในแนวลึกทุกระดับของชั้นหน้าตัดดิน ซึ่งดินชั้นบนสุดเกิดจากการผุพัง แตกตางกัน โดยดินชั้นบนสุดจะมีการสะสม
อยู่กับที่ของหินและเป็นชั้นที่มีพืชปกคลุม มีเศษใบไม้ กิ่งไม้ทับถมอยู่ ท�าให้ดินบริเวณนี้มีความชุ่มชื้น จึงพบรากพืชกระจาย สารอินทรียซึ่งเกิดจากซากพืชและซากสัตว
โดยทั่วไป ส่วนดินในชั้นถัดมาจะมีสีจาง เนื้อดินหยาบ และมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เป็นจ�านวนมาก
ทําใหดินมีสีเขม ดังนั้น ดินในชั้นบนอาจพบ
เศษซากใบไม กิ่งไม หรือรากไมอยูในชั้นนี้
โลกและการเปลี่ยนแปลง 93 ทางทฤษฎีเรียกชั้นนี้วา ชั้น O
2. ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของนักเรียนและครูผูสอน

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET บันทึกผล กิจกรรม

ดินชั้นใดมีการสะสมของตะกอนและแรธาตุ ดินชั้นบนสวนใหญยังคงเห็นซากพืช เชน เศษใบไม กิ่งไม ทับถมอยู


1. ชั้น B นอกจากนี้ อาจพบเห็นรากพืชกระจายทัว่ ไป รวมทัง้ มีสงิ่ มีชวี ติ ขนาดเล็กอาศัยอยู
2. ชั้น E
3. ชั้น A
4. ชั้น R
(วิเคราะหคําตอบ ชั้นดินลางหรือชั้น B เปนชั้นที่มีการสะสมของ
ตะกอนและแรธาตุ เชน เหล็ก อะลูมเิ นียม ซิลกิ า ดังนัน้ ตอบขอ 1.)

T107
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูเตรียมสลากอักษรภาษาอังกฤษ ดังนี้ O จากกิจกรรมศึกษาดินในแนวลึก จะสังเกตได้ว่า ดินมีลักษณะเป็นชั้น ๆ โดยข้อมูลที่ได้จากการส�ารวจตั้งแต่
ผิวหน้าดินลึกลงไป 2 เมตร พบว่า ชั้นหน้าตัดดิน แบ่งออกเป็น 6 ชั้น และเรียกชื่อชั้นดินหลักแต่ละชั้นด้วยการใช้
A E B C และ R จากนั้นนักเรียนแตละคน ตัวอักษรภาษาอังกฤษพิมพ์ใหญ่ ได้แก่ O A E B C และ R ซึ่งแต่ละชั้นมีลักษณะแตกต่างกัน เนื่องจากมีสมบัติ
ออกมาหยิบสลากหนาชั้นเรียน ทางกายภาพ ทางเคมี ทางชีวภาพ และลักษณะอื่น ๆ เช่น สี เนื้อดิน โครงสร้าง การยึดตัว ความเป็นกรด-เบส
2. นักเรียนแตละคนศึกษาลักษณะดินในแตละ ชนิดของวัสดุหรือสิ่งที่ปะปนอยู่ในดินแตกต่างกัน
ชั้นที่นักเรียนหยิบสลากได โดยศึกษาคนควา
ขอมูลจากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ชั้นหน้าตัดดิน
แลวสรุปความรูท ไี่ ดจากการศึกษาคนควาลงใน
สมุดประจําตัวนักเรียน ชั้น O หรือชั้นอินทรียวัตถุ
3. นั ก เรี ย นแต ล ะคนวาดภาพชั้ น หน า ตั ด ดิ น ที่ เป็นชั้นที่มีการสะสมของสารอินทรีย์ที่ได้จากพืชและซากสัตว์
ตนเองศึกษาลงในกระดาษ A4 พรอมตกแตง O ส่วนใหญ่มาจากพืช เช่น ใบไม้ กิ่งไม้ หญ้า เมื่อสารอินทรีย์
ถูกย่อยสลายจะกลายเป็นฮิวมัส ดินในชั้นนี้เหมาะสมต่อการ
ใหสวยงาม เจริญของพืช
4. นั ก เรี ย นจั บ กลุ  ม สร า งชิ้ น งานเกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง A ชั้น A หรือชั้นดินแร่
ชั้นหนาตัดดิน ซึ่งแตละกลุมจะประกอบดวย ประกอบด้วยอินทรียวัตถุที่สลายตัวแล้วคลุกเคล้ากับแร่ธาตุที่
ชั้น O ชั้น A ชั้น E ชั้น B ชั้น C และชั้น R อยู่ภายในดิน มักมีสีคล�้า
จากนัน้ นํากระดาษของแตละคนมาเรียงตอกัน ชั้น E หรือชั้นชะล้าง
E
แลวติดเทปใส เป็นชัน้ ดินทีม่ สี ซี ดี จาง มีปริมาณอินทรียวัตถุนอ้ ยกว่าชัน้ A และ
มีเนื้อดินหยาบกว่าชั้น B ที่อยู่ตอนล่าง
อธิบายความรู้
B ชั้น B หรือชั้นดินล่าง
1. ครูสุมนักเรียน 4 กลุม ออกมานําเสนอชิ้นงาน เป็ น ชั้ น ที่ มี ก ารสะสมของตะกอนและแร่ ธ าตุ เช่ น เหล็ ก
เรื่อง ชั้นหนาตัดดิน หนาชั้นเรียน ในระหวาง อะลูมิเนียม คาร์บอเนต ซิลิกา สารเหล่านี้จะถูกชะล้างมาจาก
ดินชั้นบน ดินชั้นนี้จึงมีเนื้อแน่น มีความชื้นสูง และส่วนมาก
ที่นักเรียนนําเสนอ ครูคอยใหขอเสนอแนะ เป็นดินเหนียว
เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง C
ชั้น C หรือชั้นการผุพังของหิน
2. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายชั้นหนาตัดดิน เป็นชั้นที่หินต้นก�าเนิดหรือหินดินดานเกิดการผุพังสลายตัว
ว า “ชั้ น หน า ตั ด ดิ น มี 6 ชั้ น ซึ่ ง แต ล ะชั้ น กลายเป็นเศษหินที่มีลักษณะเป็นก้อน เป็นผืน
มีลักษณะและสมบัติที่แตกตางกัน” R
ชั้น R หรือชั้นหินพื้นฐาน
เป็นชั้นของหินแข็งชนิดต่าง ๆ ที่ยังไม่ผุพังสลายตัว

ภาพที่ 6.33 ชั้นหน้าตัดดิน


ที่มา : คลังภาพ อจท.

94

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูอาจแนะนํานักเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบการยึดและการเรียงตัวของ ดินชั้นใดมีความเหมาะสมตอการเจริญเติบโตของพืช
อนุภาคดินกลายเปนเม็ดดินในชั้นหนาตัดดินวา มีขนาดและรูปรางที่ตางกัน 1. ชั้น B
แบงออกไดเปน 7 แบบ ดังนี้ 2. ชั้น O
1. แบบกอนกลม : มักพบในดินชัน้ A เนือ้ ดินมีความพรุนมาก จึงระบายนํา้ 3. ชั้น R
และอากาศไดดี 4. ชั้น E
2. แบบกอนเหลี่ยม : มักพบในดินชั้น B นํ้าและอากาศซึมผานได
3. แบบแผน : มักเปนดินชั้น A ที่ถูกบีบอัดจากการบดไถของเครื่องจักรกล (วิเคราะหคําตอบ ชั้นอินทรียวัตถุ หรือชั้น O เปนชั้นที่มีการ
4. แบบแทงหัวเหลีย่ ม : มักพบในดินชัน้ B นํา้ และอากาศซึมผานไดปานกลาง สะสมของสารอินทรียที่ไดจากซากพืชและซากสัตว ซึ่งดินในชั้นนี้
5. แบบแทงหัวมน : มักพบในดินชั้น B ในเขตแหงแลง นํ้าและอากาศซึม เหมาะแกการเจริญเติบโตของพืช ดังนั้น ตอบขอ 2.)
ผานไดนอย
6. แบบกอนทึบ : เปนดินเนื้อละเอียดยึดตัวติดกันเปนกอนใหญ นํ้าและ
อากาศซึมผานไดยาก
7. แบบอนุภาคเดี่ยว : ไมมีการยึดตัวติดกันเปนกอน มักพบในดินทราย
ซึ่งนํ้าและอากาศซึมผานไดดี

T108
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
2.4 การปรับปรุงคุณภาพของดิน 1. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 3 คน รวมกันศึกษา
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับดินมีสาเหตุมาจากธรรมชาติ เช่น ดินถล่ม น�้ากัดเซาะผิวดิน และจากการใช้ประโยชน์ คนควาขอมูลเกี่ยวกับเรื่อง มลพิษในดิน จาก
ของมนุษย์ เช่น การเพาะปลูกและใช้สารเคมีที่ท�าให้สภาพดินเสื่อม ปัญหาเหล่านี้มีวิธีแก้ไขที่แตกต่างกัน ดังนี้ ใบความรู เรื่อง มลพิษในดิน จากนั้นนักเรียน
1. ดิ น ที่ ข าดความอุ ด มสมบู ร ณ์ คื อ เนื้ อ ดิ น มี ลั ก ษณะหยาบ ดู ด ซั บ น�้ า และธาตุ อ าหารได้ น ้ อ ย แตละกลุมรวมกันเสนอแนวทางการแกปญหา
ไม่เหมาะสมต่อการเจริญของพืช บางกรณีเนื้อดินละเอียดแน่นเกินไป ท�าให้รากพืชชอนไชได้ยาก เมื่อดินสูญเสีย หรื อ แนวทางการปรั บ ปรุ ง คุ ณ ภาพของดิ น
ความอุดมสมบูรณ์ท�าให้เราใช้ประโยชน์จากดินได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ การแก้ไขปัญหาเนื้อดิน 2 ลักษณะนี้ ท�าได้ ลงในกระดาษ A4
โดยการใส่อินทรียวัตถุลงในดินอย่างสม�่าเสมอ เพราะอินทรียวัตถุช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ เพิ่มการดูดซับน�้า
2. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
ช่วยให้อนุภาคดินเกาะยึดกันจนทนต่อการกัดเซาะของน�้าฝนหรือน�้าไหลบ่าได้ นอกจากนี้ อินทรียวัตถุจะช่วยให้ดิน
มีรูพรุนและร่วนซุยมากขึ้น และยังช่วยให้ดินมีช่องว่าง สามารถแลกเปลี่ยนแก๊สและระบายน�้าได้ดีขึ้นด้วย เรื่อง ชั้นหนาตัดดินและการปรับปรุงคุณภาพ
ของดิน และใหความรูเพิ่มเติมจากคําถาม
2. ดินจืด คือ ดินทีม่ ธี าตุอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช เช่น เมือ่ ปลูกมันส�าปะหลังไประยะหนึง่
ดินบริเวณนั้นจะไม่สามารถปลูกพืชชนิดอื่นได้อีก แนวทางการแก้ไขปัญหาดินจืด คือ ปลูกพืชตระกูลถั่ว หรือใส่ปุ๋ย ของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint เรื่อง
อินทรีย์ในอัตราส่วนที่เหมาะสม ชัน้ หนาตัดดินและการปรับปรุงคุณภาพของดิน
3. ดินเปรี�ยว คือ ดินที่ค่า pH ต�่ากว่า 5.5 เน่�องจากมีกรดก�ามะถันอยู่ในชั้นหน้าตัดดิน ซึ�งเป็นผลมา ในการอธิบายเพิ่มเติม
จากกระบวนการเกิดดิน หรือการใช้ปุ๋ยเคมีเป็นเวลานาน การแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวท�าได้โดยการใส่สารที่มีฤทธิ์ 3. นักเรียนทํา Topic Question เรื่อง ดิน จาก
เป็นด่าง เช่น ใส่ปูนขาวลงไปในดินให้มีปริมาณเท่ากับความเป็นกรดทั้งหมดของดิน หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ลงใน
4. ดินเค็ม คือ ดินที่มีความเข้มข้นของเกลือที่อยู่ภายในดินสูง ท�าให้พืชไม่สามารถดูดน�้าจากดินมาเลี้ยง สมุดประจําตัวนักเรียน
ล�าต้นได้ ท�าให้พืชเหี่ยวและใบไหม้ การแก้ไขปัญหาดินเค็มท�าได้ด้วยการใช้น�้าจืดชะล้าง แล้วท�าทางระบาย 4. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง ชั้นหนา
น�้าเกลือทิ้ง หรือใส่สารแคลเซียมซัลเฟต หรือผงก�ามะถันลงในดิน เพื่อให้ดินปรับสภาพเป็นเกลือโซเดียมซัลเฟตที่มี ตัดดิน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
สมบัติละลายน�้าได้ จึงใช้น�้าชะล้างออกได้ง่าย
5. ดินด่าง คือ ดินที่มีค่า pH มากกว่า 7 เนื่องจากมีเกลือโซเดียมคลอไรด์ หรือเกลือโซเดียมคาร์บอเนต ขัน้ สรุป
ปนอยู่ในดิน ซึ่งไม่เหมาะสมต่อการเจริญของพืช มักพบบริเวณพื้นที่แถบภูเขาหินปูน หรือดินที่มีการใส่ปุ๋ยเคมีเป็น ตรวจสอบผล
เวลานาน การแก้ไขปัญหาดินด่างท�าได้ด้วยการเติมก�ามะถันผงลงไป เพื่อให้ดินปรับสภาพ นั ก เรี ย นและครู ร  ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
ชั้นหนาตัดดินและการปรับปรุงคุณภาพของดิน
ขัน้ ประเมิน
Topic Question ตรวจสอบผล
ค�าชี�แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ 1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
1. จงอธิบายกระบวนการเกิดดิน ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
2. หน้าตัดดินแบ่งออกเป็นกี่ชั้น ได้แก่ชั้นอะไรบ้าง พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ
3. หน้าตัดดินในแต่ละชั้นมีโครงสร้างที่เหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
4. ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลให้ดินแต่ละท้องถิ่นมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน 2. ครู ต รวจสอบผลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แบบ
5. อนุภาคของดินแบ่งออกเป็นกี่ขนาด ได้แก่อะไรบ้าง จําลองชัน้ หนาตัดดิน ในสมุดประจําตัวนักเรียน
หรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
3. ครูตรวจ Topic Question เรื่อง ดิน ในสมุด
โลกและการเปลี่ยนแปลง 95 ประจําตัวนักเรียน
4. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง ชั้นหนาตัดดิน จาก
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
แนวตอบ Topic Question แนวทางการวัดและประเมินผล
1. กระบวนการเกิดดินแบงออกไดเปน 3 ขั้นตอน ดังนี้
ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง ชั้นหนาตัดดินและการ
ขั้นที่ 1 การผุพังอยูกับที่และหินตนกําเนิดสลายตัว เปนหินที่มีขนาด
ปรั บ ปรุ ง คุ ณ ภาพของดิ น ได จ ากการสั ง เกตพฤติ ก รรมการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม
เล็กลง
แบบจําลองชั้นหนาตัดดิน และการนําเสนอผลงาน โดยศึกษาเกณฑการวัดและ
ขั้นที่ 2 การทับถมของซากพืชและซากสัตวกลายเปนฮิวมัส
ประเมิ น ผลจากแบบประเมิ น การปฏิ บั ติ กิ จ กรรม และการนํ า เสนอผลงาน
ขั้นที่ 3 ฮิ ว มั ส ผสมกั บ เศษหิ น และแร ธ าตุ ก ลายเป น ดิ น ชั้ น บนที่
ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 6
อุดมสมบูรณ
2. 6 ชั้น ไดแก ชั้นอินทรียวัตถุ (O) ชั้นดินแร (A) ชั้นชะลาง (E) แบบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน
ระดับคะแนน
แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

ชั้นดินลาง (B) ชั้นการผุพังของหิน (C) และชั้นหินพื้นฐาน (R)


ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 3 2 1
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม 1 ความถูกต้องของเนื้อหา   
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม 2 ความคิดสร้างสรรค์   
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม 3 วิธีการนาเสนอผลงาน   

3. แตกตางกัน คือ ดินชั้นบนสวนใหญมีสารอินทรียที่ไดจากซากพืชและ


รวม 4 การนาไปใช้ประโยชน์   
5 การตรงต่อเวลา   
ลงชื่อ ….................................................... ผู้ประเมิน
................./................../.................. รวม
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม

ซากสัตว (ฮิวมัส) ดินที่อยูลึกลงไปจะมีเนื้อแนนและมีการสะสมของ ประเด็นที่ประเมิน

1. การปฏิบัติ
กิจกรรม
4 3
ระดับคะแนน

ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน
และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง
2
ต้องให้ความช่วยเหลือ
บ้างในการทากิจกรรม
1
ต้องให้ความช่วยเหลือ
อย่างมากในการทา เกณฑ์การให้คะแนน
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............/................./...................

แรธาตุตางๆ ประกอบกับเศษกอนหิน เกิดจากการผุพังของหิน


ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
คล่องแคล่ว ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย

ตนกําเนิด และดินที่อยูลึกสุดจะยังคงพบหินที่เปนกอนขนาดใหญ
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก 14–15 ดีมาก
การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล

4. วัตถุตนกําเนิด ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ เวลา อินทรียวัตถุในดิน


11–13 ดี
กิจกรรม ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน ทากิจกรรมยังไม่เป็น กิจกรรม การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน 8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ

เนื่องจากสิ่งมีชีวิตที่อยูในดิน
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้

T109
0-3 ปรับปรุง

5. 3 ขนาด ไดแก ขนาดเม็ดทราย ขนาดเม็ดทรายแปง และขนาดดินเหนียว


นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูเตรียมบัตรภาพแหลงนํ้าตางๆ เชน นํ้าตก Understanding Check
ทะเล แม น้ํ า มาให นั ก เรี ย นดู จากนั้ น ครู พิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึก
ตั้งประเด็นคําถามกระตุนความคิดนักเรียน ถูก/ผิด

โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง 1. บนพื้นผิวโลกมีน�้าเป็นองค์ประกอบมากที่สุด


ความคิดเห็นอยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวา 2. แหล่งน�้าผิวดินประกอบไปด้วยน�้าจืดและน�้าเค็ม

มุ ด
ถูกหรือผิด ดังนี้ 3. น�้าบาดาล คือ น�้าที่อยู่ใต้ดิน

นส
งใ
• จากบัตรภาพเปนแหลงนํ้าประเภทใด


ทึ ก
4. น�า้ เสียจากโรงงานอุตสาหกรรมมีส่วนท�าให้น�้าบาดาลปนเปื้อน

บั น
(แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวา นํ้าตก ทะเล
5. ดินถล่มเป็นภัยพิบัติที่เกิดจากน�้าผิวดิน
แมนํ้า ลําธาร)
• แหล ง นํ้ า ในบั ต รภาพแต ล ะใบมี ลั ก ษณะ
แตกตางกันอยางไร Prior
Knowledge
3 น�้า
(แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวา เปนแหลงนํา้ จืด โลกประกอบด้วยน�้า 3 ใน 4 ส่วนของพื้นที่ทั้งหมด โดย
แหล่งน�า้ ทีม่ นุษย์
และแหลงนํ้าเค็ม) น�ามาใช้ประโยชน์ ส่ ว นใหญ่ เ ป็ น น�้ า เค็ ม แต่ น�้ า ที่ ม นุ ษ ย์ น� า มาอุ ป โภคและบริ โ ภคใน
2. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอน ได้แก่อะไรบ้าง ชีวติ ประจ�าวันเป็นน�า้ จืด ในธรรมชาตินา�้ จืดพบอยูใ่ นแม่นา�้ ทะเลสาบ
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ ธารน�้าแข็ง ความชื้นในดิน บรรยากาศ และน�้าใต้ดิน
Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุด น�้าจืดบนโลกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ น�้าในบรรยากาศ (meteoric water) น�้าผิวดิน (surface water) และ
ประจําตัวนักเรียน น�้าใต้ดิน (underground water)
3. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ 3.1 แหล่งน�้า
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 เพื่อเปนการนํา 1. น�้าผิวดิน เป็นที่อยู่อาศัยและเป็นแหล่งอาหารของมนุษย์และสิ่งมีชีวิต รวมถึงใช้เป็นเส้นทางคมนาคม
เขาสูบทเรียน และเป็นแหล่งพักผ่อนหรือสถานที่ท่องเที่ยว ตัวอย่างแหล่งน�้าผิวดินในประเทศไทย ดังภาพที่ 6.34 และ 6.35

แนวตอบ Understanding Check


1. ถูก 2. ถูก 3. ถูก
4. ถูก 5. ถูก
ภาพที่ 6.34 น�้าตกเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นสถานที่พักผ่อน ภาพที่ 6.35 ทะเลอันดามันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางตอนใต้ของ
และเป็นแหล่งศึกษาทางธรรมชาติ ประเทศไทย
แนวตอบ Prior Knowledge ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.

แหลงนํ้าจืด เชน นํ้าบาดาล แมนํ้า นํ้าตก และ 96


แหลงนํ้าเค็ม เชน ทะเล มหาสมุทร

สื่อ Digital ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแมนํ้า จากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับแหลงนํ้าภายในโลก
เรื่อง แมนํ้าเกิดขึ้นไดอยางไร (https://www.twig-aksorn.com/fifilm/how- 1. นํ้าใตดินมีทั้งนํ้าเค็มและนํ้าจืด
are-rivers-formed-7994/) 2. นํ้าผิวดินมีทั้งนํ้าจืดและนํ้าเค็ม
3. นํ้าจืดเปนแหลงนํ้าใหญในธรรมชาติ
4. โลกประกอบดวยนํ้า 1 ใน 4 สวนของพื้นที่ทั้งหมด
(วิเคราะหคําตอบ
ขอ 1 ไม ถู ก ต อ ง เพราะนํ้ า ใต ดิ น เป น แหล ง นํ้ า จื ด ที่ มี ป ริ ม าณ
มากที่สุด
ขอ 2 ถูกตอง เพราะนํ้าผิวดินมีทั้งนํ้าจืดและนํ้าเค็ม
ขอ 3 ไมถกู ตอง เพราะนํา้ เค็มเปนแหลงนํา้ ธรรมชาติทมี่ ขี นาดใหญ
ขอ 4 ไมถกู ตอง เพราะโลกประกอบดวยนํา้ 3 ใน 4 สวนของพืน้ ที่
ทั้งหมด
ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T110
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
น�้าผิวดินแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ น�้าจืดและน�้าเค็ม 1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียน จากนั้นครู
1) น�้าจืด แหล่งน�้าที่เกิดจากไอน�้าในบรรยากาศควบแน่นเป็นเมฆตกลงมาเป็นฝนแล้วสะสมอยู่บริเวณ เตรียมลูกโลกจําลองมาใหนักเรียนดู แลวให
ผิวดิน และไหลลงมาขังในบริเวณที่ต�่ากลายเป็นแอ่งน�้า ดังนี้ นักเรียนแตละคูชวยกันเปรียบเทียบสวนที่เปน
- อ่างเก็บน�้าหรือเขื่อน เป็นแหล่งน�้า พื้นนํ้า พื้นดิน และระบุแหลงนํ้าที่ตนเองรูจัก
ผิวดินทีร่ องรับน�า้ จากน�า้ ฝนทีไ่ หลจากพืน้ ทีท่ สี่ งู กว่าลงมา
มาใหมากที่สุด แลวชวยกันจําแนกประเภท
รวมกันในอ่างเก็บน�้า ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นจากคอนกรีต
ดิน หิน หรือที่เรียกว่า ที่เก็บน�้าขนาดใหญ่
ของแหลงนํา้ เหลานัน้ โดยอาจตัง้ เกณฑในการ
- ทะเลสาบ เป็นแหล่งน�้าที่เกิดขึ้นเอง
จําแนก เชน นํ้าจืดและนํ้าเค็ม นํ้าผิวดินและ
ตามธรรมชาติมคี วามกว้างและลึก โดยทะเลสาบมีนา�้ อยู่ นํ้าใตดิน แหลงนํ้าธรรมชาติ แหลงนํ้าที่มนุษย
ตลอดปี เนื่องจากเป็นที่รองรับน�้าที่ไหลมาจากแม่น�้า สรางขึ้น
- แม่น�้า เป็นธารน�้าที่มีน�้าไหลตลอดปี ภาพที่ 6.36 ทะเลสาบสงขลาครอบคลุมพื้นที่จังหวัดสงขลา 2. ครูขออาสาสมัครนักเรียน 2 คู ออกมานําเสนอ
มีจุดเริ่มต้นจากต้นน�้าและไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต�่าไปยัง จังหวัดพัทลุง และจังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการจํ า แนกประเภทของแหล ง นํ้ า โดยใช
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แหล่งน�้าขังต่าง ๆ หรือไหลออกสู่ทะเล เกณฑที่ตนเองกําหนดขึ้นหนาชั้นเรียน คูละ
- คลอง เป็นแหล่งน�้าที่มนุษย์สร้างขึ้น 1 เกณฑ แลวเพื่อนในหองชวยกันตรวจสอบ
เพื่อกระจายน�้าไปสู่แหล่งต่าง ๆ วาสามารถจําแนกประเภทของแหลงนํ้าตาม
1
- น�
า ้ ผิ
ว ดิ
น อื
น ่ ๆ ได้
แ ก่ มาบ ทีล่ มุ่ ชืน้ แฉะ เกณฑนั้นๆ ไดหรือไม
2
พรุ ซึ่งเป็นแหล่งน�้าที่เกิดจากน�้าที่แช่ขัง ไม่มีที่ระบาย 3. นักเรียนแตละคูรวมกันศึกษาคนควาขอมูล
ออกไปสู่บริเวณอื่น ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง แหลงนํ้า จากหนังสือ
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ภาพที่ 6.37 เขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อธิบายความรู้
ที่มา : คลังภาพ อจท.
2) น�า้ เค็ม แหล่งน�า้ ธรรมชาติทมี่ ขี นาดใหญ่ ได้แก่ ทะเลและมหาสมุทร โดยน�า้ ทะเลจะมี
3 ความเค็มมากกว่า ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
ร้อยละ 30 เนื่องจากเกลือและแร่ธาตุที่เกิดการผุพังทลายลงของหิน เช่น เกลือหิน ยิปซัม ถูกพัดพา และไหล โดยใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดง
รวมกันกลายเป็นทะเล ความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ ดังนี้
• แหล ง นํ้ า บนโลกมี ป ริ ม าณนํ้ า จื ด มากกว า
ปริมาณนํ้าเค็มหรือไม อยางไร
(แนวตอบ มีปริมาณนํ้าเค็มมากกวาปริมาณ
นํ้าจืด สวนใหญนํ้าบนผิวโลกเปนทะเลและ
มหาสมุทร)
• นํ้ามีความจําเปนตอการดํารงชีวิตของสิ่งมี
ชีวิตในดานใดบาง
(แนวตอบ ดานอุปโภคและบริโภค)
ภาพที่ 6.38 ทะเลเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตจ�านวนมาก
ที่มา : คลังภาพ อจท. • นํ้าบนโลกปกคลุมพื้นที่เทาไรของพื้นที่ผิว
โลกทั้งหมด
โลกและการเปลี่ยนแปลง 97 (แนวตอบ พื้นที่ 3 ใน 4 สวนของพื้นที่ผิวโลก
ทั้งหมด)

กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนควรรู


ครู ใ ห นั ก เรี ย นสื บ ค น ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ แหล ง นํ้ า ผิ ว ดิ น ใน 1 มาบ หรือพรุนํ้าเค็ม เปนพื้นที่ลุมตํ่าหรือพื้นที่ชุมนํ้า บริเวณชายฝงทะเลที่
ประเทศไทย และยกตัวอยางการใชประโยชนจากแหลงนํา้ 1 ชนิด อยูติดกับแผนดิน มีลักษณะเปนแองนํ้าขัง เนื่องจากกระแสนํ้าขึ้นและกระแสนํ้า
จากแหลงการเรียนรูต า งๆ เชน อินเทอรเน็ต หองสมุด วารสารทาง ลงพัดพาเอาตะกอนแขวนลอยที่อยูในนํ้าเค็มและนํ้าจืดมารวมกันเปนตะกอน
วิชาการ โดยจัดทํารายงาน เรื่อง แหลงนํ้าผิวดิน พรอมนําเสนอ ซึ่งมีอินทรียวัตถุปะปนอยู
ขอมูลหนาชั้นเรียน 2 พรุ เปนพื้นที่ชุมนํ้าประเภทหนึ่ง ซึ่งเปนบริเวณที่มีการสะสมของซากพืชที่
ครูสุมนักเรียน 4 คน ใหยกตัวอยางแหลงนํ้าบนโลก ดังนี้ ตายแลวทับถมกัน สวนใหญมักจะเปนมอสส (moss) หรือไลเคน (lichen) ใน
• คนที่ 1 ยกตัวอยางแหลงนํ้าผิวดิน 2 ตัวอยาง บริเวณอากาศอารกติก
• คนที่ 2 ยกตัวอยางแหลงนํ้าใตดิน 2 ตัวอยาง
3 ยิปซัม หรือเกลือจืด ไมมีสีหรือมีสีขาว เทา หรือมีสีเหลือง แดง นํ้าตาล
• คนที่ 3 ยกตัวอยางแหลงนํ้าจืด 2 ตัวอยาง
ปนหนอยๆ เนือ่ งจากมีมลทินปะปน มีเนือ้ โปรงใสไปจนกระทัง่ โปรงแสง เกิดจาก
• คนที่ 4 ยกตัวอยางแหลงนํ้าเค็ม 2 ตัวอยาง
การตกตะกอนของนํ้าทะเลเนื่องจากนํ้าทะเลระเหยตัวออกไป จึงสะสมตัวเปน
ชั้นๆ เหมือนเกลือหิน

T111
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
1. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน จากนัน้ ครูแจง
จุดประสงคของกิจกรรม จําลองการเกิดและ จําลองการเกิดและปจจัยในการเกิดนํ้าผิวดิน
ปจจัยในการเกิดนํ้าผิวดิน ใหนักเรียนทราบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติกิจกรรมที่ถูกตอง จุดประสงค - การสังเกต
- การทดลอง
2. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม 1. อธิบายการเกิดนํ้าผิวดินได
จิตวิทยาศาสตร
2. อธิบายปจจัยที่สงผลตอลักษณะของนํ้าผิวดินได
จําลองการเกิดและปจจัยในการเกิดนํ้าผิวดิน - ความรับผิดชอบ

จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 วัสดุอปุ กรณ - ความสนใจใฝรู

1. นํ้า 3. กลองไม 5. กระบะพลาสติก


โดยครู ใ ช รู ป แบบการเรี ย นรู  แ บบร ว มมื อ มา 2. สายยาง 4. ถังนํา้ 2 ใบ 6. ตะกอน เชน กรวด ทราย
จัดกระบวนการเรียนรู โดยกําหนดใหสมาชิก
วิธปี ฏิบตั ิ
แต ล ะคนภายในกลุ  ม มี บ ทบาทหน า ที่ ข อง 1. นํากรวดและทรายมากองแยกกัน โดยใหทั้งสองกองมีความสูงเทากัน เทนํ้าดวยความเร็วและปริมาณเทากันลงบนกองตะกอน
ตนเอง ดังนี้ ทั้งสอง สังเกตลักษณะรอง และบันทึกลงในสมุดบันทึก
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ 2. นําทรายมากองแยกกัน 2 กอง ใหมีความสูงตางกัน เทนํ้าดวยความเร็วและปริมาณเทากันลงบนกองตะกอนทั้งสอง สังเกต
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม ลักษณะรอง และบันทึกลงในสมุดบันทึก
3. นําทรายและกรวดมาเกลี่ยลงในกระบะพลาสติกที่เจาะรูดานหนึ่ง จากนั้นนํากลองไมมาวางใตกระบะพลาสติกใหเอียงลาดลง
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ แลวใชสายยางที่ตอจากกอกนํ้า หรือตักนํ้าจากในถังนํ้า เทลงบนทรายอยางตอเนื่อง สังเกตและวาดรูปลักษณะธารนํ้าจําลองที่
กิจกรรมและนํามาอธิบายใหสมาชิกในกลุม ฟง เกิดขึ้นตั้งแตตนนํ้าจนถึงปลายนํ้า สายยาง
• สมาชิกคนที่ 5-6 ทําหนาที่บันทึกผลการ
รูระบายนํา้
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
3. นักเรียนแตละกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม
ขัน้ ตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 กองกรวด + ทราย
ภาพที่ 6.53 ตัวกองกรวด
อยางแบบจําลองหนาตัดขางของดิ น ถังรองนํ้า
4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันแลกเปลี่ยนความรู กองทราย
ที่มา : คลังภาพ อจท.
กองทราย กองทราย
ภาพที่ 6.39 กิจกรรมจําลองการเกิดและปจจัยในการเกิดนํ้าผิวดิน
และวิ เ คราะห ผ ลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แล ว ที่มา : คลังภาพ อจท.
อภิปรายผลรวมกัน
คําถามทายกิจกรรม
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม 1. รองนํ้าที่เกิดจากกองกรวดและทรายที่มีความสูงเทากัน มีลักษณะแตกตางกันหรือไม อยางไร
1. แตกตางกัน รองนํ้าที่เกิดจากกองทรายจะถูก 2. รองนํ้าที่เกิดจากกองทรายที่มีความสูงตางกัน มีลักษณะแตกตางกันหรือไม อยางไร
3. ธารนํา้ จําลองที่เกิดขึ้นมีลักษณะอยางไร
กัดเซาะออกมามากกวารองนํา้ ทีเ่ กิดจากกองกรวด
2. รองนํา้ ทีเ่ กิดจากกองทรายทีส่ งู กวาจะถูกกัดเซาะ อภิปรายผลกิจกรรม
ลงไปลึกกวา จากกิจกรรม พบวา การเทนํา้ ลงบนกองกรวดและทรายจะทําใหเกิดรองนํา้ โดยรองนํา้ ทีเ่ กิดจากกองทรายจะถูกกัดเซาะมากกวา
3. ธารนํ้าที่เกิดขึ้นจากกระบวนการกัดเซาะจะมี กรวด สวนรองนํา้ ทีเ่ กิดจากตะกอนชนิดเดียวกัน ตะกอนทีม่ คี วามสูงมากกวาจะถูกกัดเซาะเปนรองลึกมากกวา นอกจากนี้ กระแสนํา้
ขนาดใหญขึ้นและเปลี่ยนแปลงทั้งขนาดและ จะพัดพาตะกอนทรายไปไดไกลกวาตะกอนกรวด สังเกตไดจากธารนํา้ จําลองทีบ่ ริเวณตนนํา้ จะมีตะกอนกรวดขนาดใหญ สวนบริเวณ
ปลายนํ้าจะมีตะกอนทรายสะสมอยู
รูปราง รวมทั้งทิศทางการไหลไปจากเดิม โดย
นํ้าจะเปนตัวพาตะกอนไปสะสมที่บริเวณตางๆ
โดยตะกอนที่มีขนาดเล็กจะถูกพัดพาไปไดไกล 98
กวาตะกอนที่มีขนาดใหญ

บันทึกผล กิจกรรม ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ขอเปรียบเทียบ บันทึกผล ขอใดไมใชนํ้าผิวดิน
1. แมนํ้า
รองนํ้าที่เกิดจากกองกรวดกับ รองนํ้าที่เกิดจากกองกรวดจะถูกกัดเซาะ 2. ลําธาร
กองทราย มากกวากองทราย 3. นํ้าบาดาล
4. มหาสมุทร
รองนํ้าที่เกิดจากกองทรายที่มี กองทรายที่สูงกวาจะเกิดรองนํ้าที่มีความ (วิเคราะหคําตอบ นํ้าผิวดินแบงออกเปน 2 ประเภท คือ นํ้าจืด
ความสูงตางกัน ลึกกวา เชน ลําธาร แมนํ้า และนํ้าเค็ม เชน ทะเล มหาสมุทร สวนนํ้า
บาดาลเปนนํ้าใตดิน ดังนั้น ตอบขอ 3.)
ชนิ ด และตํ า แหน ง การพั ด พา บริเวณตนนํา้ จะพบตะกอนกรวดและบริเวณ
ตะกอนของธารนํ้าจําลอง ปลายลําธารจะพบตะกอนทราย

T112
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
จากกิจกรรมจ�าลองการเกิดและปัจจัยในการเกิดแหล่งน�้าผิวดิน แสดงให้เห็นว่า ร่องน�้าในธรรมชาติ มีขนาด 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ
และรูปร่างแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปริมาณน�้าฝน ระยะเวลาในการกัดเซาะ ชนิดของตะกอน และลักษณะภูมิประเทศ
ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่
เช่น ความลาดชัน ความสูงและต�่าของพื้นที่ เมื่อน�้าไหลไปยังที่เป็นแอ่ง จึงเกิดการสะสมตัวเป็นแหล่งน�้าผิวดิน
เมื่อเวลาผ่านไปกระบวนการกัดเซาะของน�้าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องท�าให้ร่องน�้าเปลี่ยนแปลงขนาด รูปร่าง และ
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะ
ทิศทางการไหลไปจากเดิม เกิดร่องน�า้ ขนาดเล็กจ�านวนมาก เมือ่ ไหลมารวมกันจะกลายเป็น ธารน�า้ (stream) ตะกอน เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
ต่าง ๆ จะถูกพัดพาไปกับกระแสน�้า และขัดสีกับตะกอนที่อยู่บริเวณริมฝัง ส่งผลให้ธารน�้าถูกกัดเซาะอย่างต่อเนื่อง 2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
จนกระทั่งกลายเป็นแม่น�้า (river) ดังภาพที่ 6.40 แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
เพื่อหาคําตอบ
3. นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล
เพิม่ เติมเกีย่ วกับเรือ่ ง ประวัตคิ วามเปนมาของ
แมนํ้าเจาพระยา จากใบความรู เรื่อง แมนํ้า
เจาพระยา จากนั้นสมาชิกภายในกลุมแตละ
ภาพที่ 6.40 กระบวนการกัดเซาะ การพัดพา และการสะสมตัวของตะกอน กลุมรวมกันวิเคราะหกระบวนการเกิดแมนํ้า
ส่งผลให้ร่องน�้าเปลี่ยนแปลงขนาด รูปร่าง และทิศทางการไหล
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เจาพระยา แลวเขียนสรุปความรูที่ไดจากการ
วิเคราะหลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
ตะกอนสะสม น�้ากัดเซาะ 4. นั ก เรี ย นและครู ร  ว มกั น อภิ ป รายและสรุ ป
เกีย่ วกับเรือ่ ง กระบวนการเกิดแมนาํ้ เจาพระยา
ซึ่ ง ได ข  อ สรุ ป ร ว มกั น ว า “แม นํ้ า เจ า พระยา
มี ต  น กํ า เนิ ด จากนํ้ า ที่ ไ หลผ า นภู เ ขาทาง
ตอนเหนื อ ซึ่ ง การกระทํ า ของนํ้ า ทํ า ให เ กิ ด
กระบวนการกัดเซาะ ทําใหเกิดลํานํา้ ขนาดเล็ก
เมื่อเวลาผานไปกระบวนการกัดเซาะ การพัด
และการสะสมตั ว ของตะกอน ทํ า ให ลํ า นํ้ า
ภาพที่ 6.41 แม่น�้าเจ้าพระยาที่ไหลคดเคี้ยวผ่านที่ราบลุ่มภาคกลาง ภาพที่ 6.42 การพัดพาและการสะสมตัวของตะกอน มีขนาดกวางและใหญขึ้น”
ตอนล่างของประเทศไทย ที่มา : คลังภาพ อจท.
ที่มา : คลังภาพ อจท.

นอกจากการกัดเซาะของน�า้ จะท�าให้แม่นา�้ มีขนาดกว้างและลึกขึน้ แล้ว สาเหตุใด


ความเร็วและกระแสน�้าที่พัดพาตะกอนมาสะสม จะส่งผลให้แม่น�้ามีรูปร่าง ที่ทําใหแมนํ้ามีรูปราง
คดเคี้ยว
คดเคี้ยว ดังภาพที่ 6.42

โลกและการเปลี่ยนแปลง 99

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


จากการสํารวจการใชประโยชนพนื้ ทีบ่ ริเวณแมนาํ้ สายหนึง่ จากตนนํา้ ไปยังปลายนํา้ พบวา โรงงานอุตสาหกรรมและ
พืน้ ทีก่ ารเกษตรมีการปลอยนํา้ เสียลงสูแ มนาํ้ ตลอดเวลา และหมูบ า นทัง้ 4 แหง ไดรบั ผลกระทบ ดังภาพ หมูบ า นใด
ไดรับผลกระทบทั้งจากการกัดเซาะตลิงและมลพิ  ษทางนํ้าจากโรงงานอุตสาหกรรมและพื้นที่เกษตรกรรมมากที่สุด
C
A
1. หมูบาน A
โรงงานอุตสาหกรรม
พื้นที่เกษตรกรรม
D
2 หมูบาน B
B 3. หมูบาน C
4. หมูบาน D
แทนทิศทางของกระแสนํ้า

(วิเคราะหคําตอบ หมูบาน C และ D จะไดรับทั้งมลพิษทางนํ้าจากโรงงานอุตสาหกรรมและพื้นที่เกษตรกรรม


แตหมูบาน C จะไดรับความเสียหายจากการกัดเซาะตลิ่งดวย ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T113
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูเตรียมอุปกรณสาธิตการทดลอง เชน ทราย 2. น�้าใต้ดิน เป็นแหล่งน�้าจืดที่มีปริมาณมากที่สุดบนโลก เกิดจากการซึมของน�้าผิวดินลงไปสะสมตัวอยู่
หิ น ดิ น บี ก เกอร บั ว รดนํ้ า จากนั้ น ครู ใต้พนื้ ดิน โดยน�า้ ทีซ่ มึ ลงไปใต้ดนิ ส่วนหนึง่ จะซึมอยูต่ ามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน เรียกว่า น�า้ ในดิน (soil water) เมือ่ น�า้
ขออาสาสมัครนักเรียน 2-3 คน ออกมาหนา ในดินมีปริมาณมาก น�้าจะซึมผ่านรูพรุนระหว่างชั้นหินลงไปขังอยู่ในช่องว่างระหว่างหิน เรียกว่า น�้าบาดาล (ground
water)
ชั้นเรียน โดยใหตัวแทนนักเรียนเติมทรายและ
หิน ตามลําดับ ลงในบีกเกอรปริมาณ 1/3 ของ
บีกเกอร จากนั้นนําดินใสลงในบีกเกอรใหถึง
ปากบีกเกอร แลวใชบัวรดนํ้าเทลงในบีกเกอร
2. นักเรียนแตละคนสังเกตการไหลของนํ้าและ
ระดับนํา้ แลวรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
อยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด
3. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม จากกิ จ กรรมสาธิ ต การ น�้าในดิน
ทดลองวา “นํา้ ทีร่ ดลงไปหนาดินจะไหลซึมผาน
ลงไปสะสมตัวอยูใตพื้นดิน เรียกวา นํ้าใตดิน
ซึ่งนํ้าจะซึมลงไปสะสมตัวอยูในดินและหิน” ระดับน�้าใต้ดิน
4. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน จากนัน้ ครูแจง ชั้นหินอุ้มน�้า
จุดประสงคของกิจกรรม จําลองการเกิดและ
ชั้นหินกั้นน�้า
ปจจัยในการเกิดนํา้ ใตดนิ ใหนกั เรียนทราบเพือ่ น�้าบาดาล
เปนแนวทางการปฏิบัติกิจกรรมที่ถูกตอง
5. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม ชั้นหินอุ้มน�้า
จําลองการเกิดและปจจัยในการเกิดนํ้าใตดิน
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
โดยครูใชรูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือมาจัด
ภาพที่ 6.43 น�้าใต้ดิน
กระบวนการเรียนรู โดยกําหนดใหสมาชิกแตละ ที่มา : http://rdnwaterbudget.ca
คนภายในกลุม มีบทบาทหนาทีข่ องตนเอง ดังนี้
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ Science
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม Focus เขตอิ่มอำกำศและเขตอิ่มน�้ำ
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ เขตอิ่มอากาศ (zone of aeration) คือ ส่วนบนตั้งแต่ผิวดินลงไปจนถึงระดับน�้าใต้ดิน ช่องว่างในดิน หรือช่องว่างในหิน
กิจกรรมและนํามาอธิบายใหสมาชิกในกลุม ฟง หรือชั้นหินในเขตนี้บางส่วนจะมีน�้ากักเก็บอยู่ และบางส่วนจะมีฟองอากาศแทรกอยู่ น�้าในเขตนี้จะถูกยึดอยู่ในช่องว่างด้วยแรงดึง
• สมาชิกคนที่ 5-6 ทําหนาที่บันทึกผลการ คะปิลลารี
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจําตัวนักเรียน เขตอิ่มน�้า (zone of saturation) เป็นเขตที่อยู่ต่อจากเขตอิ่มอากาศลงไป หรืออยู่ใต้ระดับน�้าใต้ดินลงไป ช่องว่างในหิน
หรือชั้นหินในเขตนี้จะมีน�้าอยู่เต็มทุกช่องว่าง หรืออิ่มตัวด้วยน�้า ดังนั้น น�้าที่ถูกกักเก็บอยู่ในเขตนี้จะเป็นน�้าบาดาล
6. นักเรียนแตละกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม
ขัน้ ตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
7. นักเรียนแตละกลุมรวมกันแลกเปลี่ยนความรู
และวิ เ คราะห ผ ลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แล ว 100 การเกิดนํ้าบาดาล
อภิปรายผลรวมกัน

สื่อ Digital ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับนํ้าใตดิน จากภาพยนตรสารคดีสั้น ขอใดหมายถึงนํ้าบาดาล
Twig เรื่อง นํ้าใตดิน (https://www.twig-aksorn.com/fifilm/glossary/ 1. นํ้าที่อยูในเขตอิ่มอากาศ
groundwater-6926/) 2. นํ้าผิวดินที่ซึมลงไปอยูใตดิน
3. นํ้าที่ซึมอยูในชองวางระหวางดิน
4. นํ้าที่ซึมอยูในชองวางระหวางหิน
(วิเคราะหคําตอบ นํ้าบาดาล เกิดจากนํ้าผิวดินซึมลงไปใตดิน
ผานรูพรุนระหวางชัน้ หินลงไปขังตัวอยูใ นชองวางระหวางหิน เรียกวา
นํ้าบาดาล ซึ่งอยูในเขตอิ่มนํ้า ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T114
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
กิจกรรม 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ
จ�าลองการเกิดและปัจจัยในการเกิดน�้าใต้ดิน ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
จุดประสงค์ - การตั้งสมมติฐาน เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
1. อธิบายการเกิดน�้าใต้ดินได้ จิตวิทยาศาสตร์ 2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
2. อธิบายการกักเก็บของน�้าบาดาลได้ - ความรับผิดชอบ
- ความสนใจใฝ่รู้
แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
เพื่อหาคําตอบ
วัสดุอปุ กรณ์
3. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม
1. ทราย 3. ดินเหนียว 5. สีผสมอาหาร
2. บัวรดน�า้ 4. หลอดกาแฟ 6. ตูป้ ลาขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้า จําลองการเกิดและปจจัยในการเกิดนํ้าใตดิน
วา “นํ้าผิวดินจะไหลซึมลงไปชั้นใตดินและจะ
วิธปี ฏิบตั ิ ถูกกักเก็บไวในชัน้ ตะกอนทีม่ ลี กั ษณะเนือ้ แนน
1. น�าดินเหนียวและทรายมาสร้างแบบจ�าลองพื้นผิวใต้ดินในตู้ปลาที่ครูเตรียมให้ ดังภาพที่ 6.44 โดยขนาดของตู้ปลาควรมี ละเอียด มีชองวางระหวางอนุภาคนอย ทําให
รูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีความสูงประมาณ 10 เซนติเมตร นํ้าไหลซึมผานไปไดยาก จึงกลายเปนชั้นหิน
2. น�าหลอดกาแฟเสียบลงบริเวณเนินดินด้านต�่า ผ่านชั้นดินเหนียวลงไปให้อยู่บริเวณกึ่งกลางทราย ชั้นที่ 2 โดยใช้ดินสอเสียบ
น�าร่องก่อน เพื่อป้องกันดินเหนียวอุดตันหลอดกาแฟ อุมนํ้าอยูใตดิน”
3. น�าน�้าผสมกับสีผสมอาหารแล้วพรมให้ทั่ว โดยใช้บัวรดน�้าเทลงไปในแบบจ�าลองจากข้อ 1.
ขยายความเข้าใจ
4. สังเกตระดับน�้าที่ไหลซึมลงไปในชั้นทรายและในหลอดกาแฟ จากนั้นพรมน�้าไปจนกระทั่งมีน�้าล้นขึ้นมาจากหลอดกาแฟ
1. นักเรียนแตละคนศึกษาคนควาขอมูลเพิ่มเติม
บัวรดน�้า
เกี่ยวกับเรื่อง กระบวนการเกิดนํ้าพุรอน จาก
ใบความรู เรื่อง บอนํ้ารอนรักษะวาริน จากนั้น
ทรายชั้นที่ 1
นักเรียนแตละคนวิเคราะหกระบวนการเกิด
ทรายชั้นที่ 2 นํ้าพุรอน แลวเขียนสรุปความรูที่ไดจากการ
ระดับต�่าสุดของหลอดกาแฟที่เสียบลงไป วิ เ คราะห ก ระบวนการเกิ ด นํ้ า พุ ร  อ นลงใน
กระดาษ A4 พรอมตกแตงใหสวยงาม
ภาพที่ 6.44 กิจกรรมจ�าลองการเกิดและปัจจัยในการเกิดน�้าใต้ดิน
ที่มา : คลังภาพ อจท. 2. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
เรื่อง นํ้าผิวดินและนํ้าใตดิน และใหความรู
ค�าถามท้ายกิจกรรม
เพิ่มเติมจากคําถามของนักเรียน โดยครูใช
1. หลังจากพรมน�้าไปที่ตู้ปลา ระดับน�้าในชั้นทรายและในหลอดกาแฟมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร PowerPoint เรื่อง แหลงนํ้า ในการอธิบาย
2. น�้าทีเ่ ทลงไปถูกกักเก็บอยู่ในชั้นตะกอนชนิดใด จ�านวนกี่ชั้น
3. ชั้นตะกอนที่กักเก็บน�้ามีลักษณะอย่างไร เพิ่มเติม
3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง แหลงนํา้
อภิปรายผลกิจกรรม จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
จากกิจกรรม พบว่า น�้าไหลซึมและสะสมอยู่ในชั้นทรายจ�านวน 2 ชั้น และน�้าจะถูกกักเก็บไว้ในชั้นตะกอนที่มีลักษณะเนื้อแน่น
ละเอียด และมีช่องว่างระหว่างอนุภาคน้อย จึงท�าให้นา�้ ซึมผ่านไปได้ เมือ่ พรมน�้าลงไปมากขึน้ ระดับน�า้ ในหลอดกาแฟจะเพิม่ สูงขึน้ แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
1. ระดับนํ้าจะคอยๆ เพิ่มสูงขึ้น
โลกและการเปลี่ยนแปลง 101 2. นํ้าจะไหลไปสะสมที่ชั้นทรายจํานวน 2 ชั้น
3. ตะกอนทรายมีลักษณะรวนและเม็ดตะกอนมี
ขนาดเทากัน

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET บันทึกผล กิจกรรม

ขอใดคือผลกระทบจากการสูบนํ้าบาดาลไปใชเปนจํานวนมาก ระดับนํา้ ในหลอดกาแฟจะสูงขึน้ เนือ่ งจากนํา้ สามารถไหลซึมไปสะสมอยูใ น


1. สึนามิ ชัน้ ทรายจํานวน 2 ชัน้ ได แตไมสามารถซึมผานชัน้ ดินเหนียวซึง่ มีสมบัตอิ มุ นํา้ ได
2. ดินถลม
3. แผนดินทรุด
4. แผนดินไหว
(วิเคราะหคําตอบ การสูบนํ้าบาดาลมาใชมากกวาการที่นํ้าไหล
เขามาแทนที่ สงผลใหระดับนํา้ ใตดนิ ลดลงอยางรวดเร็ว เปนสาเหตุ
ใหเกิดแผนดินทรุด ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T115
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นั ก เรี ย นและครู ร  ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง จากกิจกรรม แสดงให้เห็นว่า น�า้ บาดาลถูกกักเก็บตามช่องว่างระหว่างตะกอน จนกระทัง่ แหล่งกักเก็บน�า้ อิม่ ตัว
ระดับน�้าบาดาลจึงสูงขึ้น ในธรรมชาติแหล่งกักเก็บน�้าบาดาล คือ ชั้นหิน หรือชั้นตะกอนที่มีสมบัติยอมให้น�้าซึมผ่าน
นํ้าผิวดินและนํ้าใตดิน ได้งา่ ย เนือ่ งจากมีชอ่ งว่างระหว่างอนุภาคกว้าง เรียกว่า ชัน้ หินอุม้ น�า้ (aquifer) จึงท�าให้กกั เก็บน�า้ ได้ปริมาณมาก เช่น
ชั้นหินทราย ชั้นตะกอนทราย กรวด ถัดจากชั้นหินอุ้มน�้าจะมีชั้นหิน หรือชั้นตะกอนที่มีขนาดเล็ก เนื้อละเอียดแน่น
ขัน้ ประเมิน มีสมบัติไม่ยอมให้น�้าซึมผ่านได้ โดยต�าแหน่งที่รองรับอาจอยู่ต�่ากว่า หรือขนาบชั้นบนและล่าง เช่น หินดินดาน
ตรวจสอบผล ชัน้ หินทรายแป้ง ถ้าชัน้ หินอุม้ น�า้ ถูกขนาบด้วยชัน้ หินทีม่ เี นือ้ ละเอียดแน่นมาก จะท�าให้มแี รงดันของน�า้ สูงขึน้ จนกระทัง่
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ น�้าไหลพุ่งออกมาตามรอยแตก หรือรอยแยกของผิวโลก เรียกว่า น�้าพุ (spring)
ระดับบนสุดของน�า้ บาดาลจะเป็นระดับน�า้ ใต้ดนิ (water table) โดยระดับน�า้ ใต้ดนิ จะมีแรงดันน�า้ ในชัน้ หินเท่ากับ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
แรงดันของบรรยากาศ ซึ่งต�าแหน่งที่อยู่ลึกลงไปจากระดับน�้าใต้ดิน แรงดันของน�้าจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากน�้าหนัก
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ ของน�้าที่กดทับอยู่ นอกจากนี้ ระดับน�้าใต้ดินจะเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เช่น ในฤดูแล้งระดับน�้าใต้ดินจะอยู่ลึกกว่า
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน ระดับปกติ
2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม จําลอง
การเกิดและปจจัยในการเกิดนํา้ ผิวดิน ในสมุด พื้นที่รับน�้า
ประจําตัวนักเรียน
3. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม จําลอง
ระดับน�้าใต้ดิน ระดับน�้ามีแรงดัน
การเกิดและปจจัยในการเกิดนํา้ ใตดนิ ในสมุด บ่อน�้าใต้ดิน บ่อน�้าใต้ดิน
ประจําตัวนักเรียน บ่อน�้าพุมีแรงดัน บ่อน�้าใต้ดินเขตตื้น ไร้แรงดัน มีแรงดัน
4. ครู ต รวจแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง แหล ง นํ้ า จาก พื้นดิน
ระดับน�้าใต้ดินเขตตื้น
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ระดับน�้า
ชั้นหินอุ้มน�้าไร้แรงดัน ใต้ดิน
ชั้นหินกั้นน�้า

ชั้นหินอุ้มน�้ามีแรงดัน

ชั้นหินกั้นน�้า

ภาพที่ 6.45 ระดับน�้าใต้ดินและการขุดเจาะน�้าบาดาล


ที่มา : https://ienergyguru.com
Science
Focus ชั้นหินอุ้มน�้ำ
ในธรรมชาติหินอุ้มน�้าประกอบด้วยตะกอนที่มีลักษณะกลมมนและมีขนาดเท่ากัน หรือมีโพรง หรือรอยแตกต่อเนื่องกัน
สามารถกักเก็บน�า้ ได้มากกว่าตะกอนทีม่ ลี กั ษณะเป็นเหลีย่ มมุม และมีขนาดต่างกัน เนือ่ งจากช่องว่างทีเ่ กิดขึน้ ระหว่างตะกอนมีขนาด
ความกว้างและจ�านวนช่องมากกว่า จึงท�าให้ชั้นหินอุ้มน�้ากักเก็บน�้าปริมาณมากได้

102

แนวทางการวัดและประเมินผล ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูวดั และประเมินผลความเขาใจในเนือ้ หา เรือ่ ง แหลงนํา้ ไดจากการสังเกต ขอใดเปนสาเหตุทําใหระดับนํ้าใตดินลดตํ่าลง
การปฏิบตั กิ จิ กรรม จําลองการเกิดและปจจัยในการเกิดนํา้ ผิวดิน และจําลองการ 1. บริเวณนั้นมีฝนตกมากขึ้น
เกิดและปจจัยในการเกิดนํ้าใตดิน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจาก 2. บริเวณนั้นเกิดความแหงแลง
แบบประเมินการปฏิบัติกิจกรรม ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวยการเรียนรู 3. บริเวณนั้นมีการเพาะปลูกมากขึ้น
ที่ 6 4. บริเวณนั้นมีการสูบนํ้าบาดาลมากขึ้น
แบบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

ลาดับที่ รายการประเมิน
4
ระดับคะแนน
3 2 1
(วิเคราะหคําตอบ ฤดูกาลมีผลตอระดับนํา้ ใตดนิ ชวงฤดูฝนระดับ
นํ้าใตดินจะมีระดับสูง ชวงฤดูแลงระดับนํ้าใตดินจะลดลง ดังนั้น
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม
รวม

ตอบขอ 2.)
ลงชื่อ ….................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. การปฏิบัติ ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องให้ความช่วยเหลือ
กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล
กิจกรรม ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน ทากิจกรรมยังไม่เป็น กิจกรรม การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง

T116
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
3.2 การใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์แหล่งน�้า นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 7 คน จากนั้นครู
แหล่งน�้าผิวดินและแหล่งน�้าใต้ดินถูกน�ามาใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของ แจกกระดาษ A4 กลุมละ 1 แผน โดยใหนักเรียน
มนุษย์ เช่น ใช้ส�าหรับการอุปโภคและบริโภค ใช้เพาะปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และ
เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น�้าอื่น ๆ ใช้ในด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ
นํ้ามีประโยชน แตละกลุม เขียนประโยชนของนํา้ ในชีวติ ประจําวัน
อยางไร
เช่น ใช้ในกระบวนการผลิต ล้างของเสีย หล่อเครื่องจักร นอกจากนี้ ใช้เป็น ที่นักเรียนคิดได คนละ 1 ตัวอยาง แลวสงตอ
แหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าและใช้เป็นเส้นทางคมนาคม ใหกับเพื่อนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสมาชิกคน
น�้าเปนแหล่งเจริญเติบโตของพืช น�้าช่วยรักษาสมดุลให้กับร่างกาย
สุดทาย แลวจึงวนกลับมาที่สมาชิกคนที่หนึ่งใหม
โดยแตละตัวอยางตองไมซํ้ากัน ระหวางนี้ครูจับ
เวลา 30 วินาที

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนจับคูก บั เพือ่ นในชัน้ เรียน จากนัน้ รวมกัน
ศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง การใช
พลังงานน�้าน�ามาใช้ผลิตกระแสไฟฟา แหล่งน�้าใช้เปนเส้นทางคมนาคมขนส่ง ประโยชนของนํ้าและแนวทางการใชนํ้าอยาง
ยัง่ ยืน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
2. นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ดศกึ ษา
จากนัน้ ใหนกั เรียนแตละคนเขียนสรุปความรูท ี่
ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัว
นักเรียน
อธิบายความรู้
1. ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอผลการศึกษา
น�้าใช้ประกอบอาหาร น�้าใช้ช�าระล้างสิ่งสกปรก หนาชั้นเรียน ในระหวางที่นักเรียนนําเสนอ
ครูคอยใหขอ เสนอแนะเพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียน
มีความเขาใจที่ถูกตอง
2. ครูสุมนักเรียน 5 คน ใหยกตัวอยางแนวทาง
การใชนํ้าอยางยั่งยืน มาคนละ 1 ตัวอยาง
(แนวตอบ ตัวอยางเชน ใชนํ้าดีไลนํ้าเสีย ใชนํ้า
อยางประหยัด การพัฒนาแหลงนํ้า)
ภาพที่ 6.46 ประโยชน์จากแหล่งน�้าผิวดินและน�้าใต้ดิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
โลกและการเปลี่ยนแปลง 103

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


การปลูกปาเปนการอนุรักษนํ้าอยางไร ครูใหนกั เรียนศึกษาเพิม่ เติมเกีย่ วกับการใชประโยชนของนํา้ และผลกระทบ
1. ตนไมชวยทําใหฝนตก ที่เกิดจากการใชประโยชน จากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง มลพิษ : นํ้า
2. ตนไมชวยเก็บนํ้าสะสมไวในลําตน (https://www.twig-aksorn.com/fifilm/pollution-water-8118/)
3. ตนไมชวยคายนํ้าใหบรรยากาศมากขึ้น
4. ตนไมชวยชะลอการระเหยและไหลซึมของนํ้า
(วิเคราะหคําตอบ การปลูกปาบริเวณพืน้ ทีต่ น นํา้ หรือบริเวณพืน้ ที่
ภูเขา เพื่อใหตนไมเปนตัวกักเก็บนํ้าตามธรรมชาติทั้งบนดินและ
ใตดิน ทําใหมีนํ้าไวใชตอเนื่องตลอดป ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T117
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ ปัจจุบนั มีการน�าน�า้ มาใช้ประโยชน์มากมายหลาย
ด้าน ส่งผลให้คุณภาพของแหล่งน�้าเสื่อมลง ส่วนใหญ่มี
เรือ่ ง การใชประโยชนและการอนุรกั ษแหลงนํา้ สาเหตุมาจากการกระท�าของมนุษย์ มีผลท�าให้น�้าผิวดิน
และใหความรูเ พิม่ เติมจากคําถามของนักเรียน และน�า้ บาดาลปนเปือ้ น ตัวอย่างเช่น น�า้ ทิง้ จากบ้านเรือน
โดยครูใช PowerPoint เรื่อง การใชประโยชน ประกอบไปด้วยสารอินทรีย์ เช่น เศษอาหาร สิง่ ปฏิกลู อืน่ ๆ
และการอนุรกั ษแหลงนํา้ ในการอธิบายเพิม่ เติม หรือน�า้ เสียจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือน�า้ ทีใ่ ช้ทางการ
2. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง การ เกษตรซึ่งประกอบไปด้วยสารอนินทรีย์ เช่น ไนเตรต
ภาพที่ 6.47 น�้ามันรั่วไหล ท�าให้น�้าในทะเลปนเปื้อน ฟอสเฟต ซึ่ ง สารเจื อ ปนเหล่ า นี้ มี ส ่ ว นท� า ให้ พื ช น�้ า
ใชประโยชนและการอนุรักษแหลงนํ้า จาก ที่มา : คลังภาพ อจท. เจริญเติบโตได้ดี เมื่อพืชน�้าตายลง จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ในแหล่งน�้าตามธรรมชาติจะน�าออกซิเจนที่ละลายอยู่
ในน�้ามาใช้ในกระบวนการย่อยสลายซากพืชเหล่านั้น
ขัน้ สรุป ปริมาณออกซิเจนในแหล่งน�้าจึงลดลงจนกระทั่งต�่ากว่า
ตรวจสอบผล 3 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเป็นลักษณะของน�้าเน่าเสีย
นั ก เรี ย นและครู ร  ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
การใชประโยชนและการอนุรักษแหลงนํ้า
ภาพที่ 6.48 การทิ้งขยะลงแหล่งน�้า ท�าให้น�้าเน่าเสีย
ขัน้ ประเมิน ที่มา : คลังภาพ อจท.
ตรวจสอบผล
ของเสียและน�้าเสียที่ถูกปล่อยลงสู่แหล่งน�้าจะ
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ ไหลซึมลงสูช่ นั้ หินอุม้ น�า้ ท�าให้นา�้ บาดาลปนเปือ้ น เมือ่ สูบ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ขึน้ มาใช้จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และหากได้รบั ปริมาณ
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ มากจะเป็นอันตรายถึงแก่ชวี ติ ได้ ดังนัน้ เราจึงควรรักษา
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน และดูแลแหล่งน�้าเพื่อให้สามารถใช้น�้าได้อย่างยั่งยืน
โดยการใช้น�้าอย่างประหยัด เช่น ไม่ควรเปิดน�้าทิ้งไว้
2. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง การใชประโยชน ขณะที่ไม่ใช้น�้า ไม่ทิ้งของเสียและน�้าเสียลงสู่พื้นดิน
และการอนุ รั ก ษ แ หล ง นํ้ า จากแบบฝ ก หั ด และแหล่งน�้า บ�าบัดน�้าเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ภาพที่ 6.49 ปิดน�้าให้สนิทหลังใช้งานทุกครั้ง
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน�้า ที่มา : https://www.elitecme.com/
แนวทางการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาน�้าเน่าเสียมีหลายวิธี โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้น�้ามีคุณภาพดีขึ้น ตัวอย่าง
วิธีการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาน�้าเน่าเสีย มีดังนี้
1. ใช้น�้าดีไล่น�้าเสีย เนื่องจากน�้าที่มีคุณภาพดีจะช่วยผลักดันน�้าเน่าเสียออกไป และช่วยให้น�้าเน่าเสีย
เจือจางลง
2. ใช้ผักตบชวา เป็นวัชพืชที่ช่วยดูดซับความสกปรก รวมทั้งสารพิษจากน�้าเน่าเสียหรือใช้สาหร่ายช่วยเติม
อากาศเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับน�้า
3. ใช้เครือ่ งจักรกล เช่น กังหันน�า้ ชัยพัฒนา ช่วยให้แก๊สออกซิเจนทีอ่ ยูใ่ นบรรยากาศละลายน�า้ ได้อย่างรวดเร็ว
104

แนวทางการวัดและประเมินผล กิจกรรม สรางเสริม


ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง การใชประโยชนและการ ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับแนวทางการอนุรักษฟนฟู
อนุรักษแหลงนํ้า ไดจากการสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุมและการนําเสนอ และแกไขปญหานํ้าเนาเสีย จากแหลงการเรียนรูตางๆ เชน
ผลงาน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินพฤติกรรม อินเทอรเน็ต หองสมุด วารสารทางวิชาการ โดยใหนักเรียน
การทํางานกลุม และการนําเสนอผลงาน ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวย เขียนสรุปลงในกระดาษ A4 ตกแตงใหสวยงาม พรอมนําเสนอ
การเรียนรูที่ 6 ขอมูลหนาชั้นเรียน
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน


การมี ระดับคะแนน
การทางาน ลาดับที่ รายการประเมิน
การแสดง การยอมรับฟัง ส่วนร่วมใน รวม 3 2 1
ชื่อ–สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น คนอื่น การปรับปรุง 15 1 ความถูกต้องของเนื้อหา   
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน 2 ความคิดสร้างสรรค์   
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 วิธีการนาเสนอผลงาน   
4 การนาไปใช้ประโยชน์   
5 การตรงต่อเวลา   

รวม

ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


............/................./...................

เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
............./.................../............... ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T118
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
3.3 ภัยพิบัติจากนํ้า นักเรียนดูวดี ทิ ศั นเกีย่ วกับภัยพิบตั จิ ากนํา้ เรือ่ ง
ภัยพิบัติที่เกิดจากนํ้าผิวดิน ไดแก นํ้าทวม การกัดเซาะชายฝง ดินถลม หลุมยุบ และแผนดินทรุด มหาอุทกภัยไทยในรอบ 25 ป จากนัน้ ครูตงั้ ประเด็น
ซึ่งมีกระบวนการเกิด และผลกระทบที่แตกตางกัน ดังนี้
คํ า ถามกระตุ  น ความคิ ด นั ก เรี ย นว า “ภั ย พิ บั ติ
1. นํ้าทวม เกิดจากพื้นที่หนึ่งไดรับปริมาณนํ้ามาก จนกระทั่งเกิดสภาวะที่น้ําไหลลนฝงแมนํ้าลําธาร
เขาทวมพื้นที่ หรือเกิดจากการสะสมของนํ้าบนพื้นที่ ซึ่งระบายออกไมทันทําใหพื้นที่นั้นปกคลุมไปดวยนํ้าทวม
จากนํ้าไดแกอะไรบาง” โดยใหนักเรียนรวมกัน
แบงออกไดเปน 2 ประเภท ดังนี้ อภิปรายและแสดงความคิดเห็นอยางอิสระโดย
ไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด
นํ้าทวมขัง
(แนวตอบ ภัยพิบตั จิ ากนํา้ เชน นํา้ ทวม การกัด
สวนใหญเกิดขึน้ ในบริเวณทีร่ าบลุม แมนาํ้ และบริเวณ
ชุมชนเมืองใหญ ๆ ซึ่งมีสาเหตุมาจากฝนที่ตกหนัก เซาะชายฝง ดินถลม หลุมยุบ แผนดินทรุด)
เปนเวลาหลายวัน สงผลใหเกิดความเสียหายกับพืช
ผลทางการเกษตรและอสังหาริมทรัพย ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ภาพที่ 6.50 นํ้าทวมขัง
ที่มา : คลังภาพ อจท. 1. นักเรียนนับจํานวน 1-5 วนไปเรือ่ ยๆ จนครบ
ทุกคน เพือ่ แบงกลุม นักเรียนออกเปน 5 กลุม
นํ้าทวมฉับพลัน โดยคนทีน่ บั จํานวนเดียวกันใหอยูก ลุม เดียวกัน
เปนภาวะนํ้าทวมที่เกิดขึ้นอยางฉับพลันในพื้นที่ที่มี จากนั้นนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมา
ความชันมาก เชน นํ้าปาไหลหลาก เนื่องจากผืนปา
ถูกทําลาย ทําใหการกักเก็บนํ้า หรือการตานนํ้าลดลง จับสลากหัวขอทีศ่ กึ ษา โดยใหนกั เรียนแตละกลุม
หรือเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เชน เขื่อนหรืออางเก็บนํ้า รวมกันศึกษาคนควาขอมูลเกีย่ วกับเรือ่ ง ภัยพิบตั ิ
พังทลาย ดังนั้น ความเสียหายจากนํ้าทวมฉับพลัน จากนํา้ จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
อาจเปนอันตรายตอชีวิตและทรัพยสิน
ซึง่ หัวขอประกอบดวย
ภาพที่ 6.51 นํ้าปาไหลหลาก
ที่มา : www.bruggttv.co.th
• กลุมที่ 1 ศึกษาเรื่อง นํ้าทวม
• กลุมที่ 2 ศึกษาเรื่อง การกัดเซาะชายฝง
2. การกัดเซาะชายฝง เปนกระบวนการเปลีย่ นแปลงของชายฝง ทะเลทีเ่ กิดขึน้ ตลอดเวลาจากการกัดเซาะ
ของคลืน่ หรือลม ทําใหตะกอนจากบริเวณหนึง่ ไปตกทับถมในอีกบริเวณหนึง่ สงผลใหแนวชายฝง เดิมเปลีย่ นแปลง • กลุมที่ 3 ศึกษาเรื่อง ดินถลม
ไป โดยตะกอนของบริเวณนั้นจะเคลื่อนที่ออกไปมากกวาตะกอนเคลื่อนที่มาทับถม • กลุมที่ 4 ศึกษาเรื่อง หลุมยุบ
• กลุมที่ 5 ศึกษาเรื่อง แผนดินทรุด
ภาพที่ 6.52 ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชายฝงที่ถูกนํ้าทะเลกัดเซาะ 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
ที่มา : https://coreymondello.com/
ศึกษา จากนัน้ รวมกันสรุปความรูท ไี่ ดจากการ
ศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน

โลกและการเปลี่ยนแปลง 105

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


ขอใดไมใชสาเหตุของอุทกภัย ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแกปญหาการกัดเซาะชายฝง
1. แรงระเบิด จากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง ชายฝง : ลหุวิศวกรรม (https://www.
2. หิมะละลาย twig-aksorn.com/fifilm/coasts-soft-engineering-8562/)
3. ฝนตกหนัก
4. แผนดินไหว
(วิเคราะหคําตอบ หิมะละลายทําใหระดับนํา้ ทะเลสูงขึน้ สงผลให
บางประเทศเกิดอุทกภัย รวมทั้งฝนตกหนักและแผนดินไหว เปน
ปรากฏการณทางธรรมชาติที่สงผลใหเกิดนํ้าทวมขังและนํ้าทวม
ฉับพลันในบางพื้นที่ ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T119
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน จากนัน้ ครูแจง 3. ดินถล่ม เป็นการเคลื่อนที่ของมวลดิน หรือ
หินจ�านวนมากลงมาตามแนวลาดเขา เนื่องจากแรง
จุดประสงคของกิจกรรม จําลองการกัดเซาะ
โน้มถ่วงของโลก โดยปัจจัยที่ท�าให้เกิดดินถล่ม ได้แก่
ชายฝง ใหนักเรียนทราบเพื่อเปนแนวทางการ ความลาดชันของพื้นที่ ปริมาณน�้าฝน พืชปกคลุมดิน
ปฏิบัติกิจกรรมที่ถูกตอง สภาพธรณี และการใช้ประโยชน์พื้นที่ ซึ่งความเสียหาย
4. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม ทีเ่ กิดขึน้ จากดินถล่มจะท�าให้โครงสร้างของชัน้ ดินบริเวณ
จําลองการกัดเซาะชายฝง จากหนังสือเรียน นัน้ เสียสมดุล ท�าลายระบบนิเวศ และเป็นอันตรายต่อชีวติ
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยครูใชรูปแบบการ และทรัพย์สิน
ภาพที่ 6.53 ดินถล่ม
เรียนรูแบบรวมมือมาจัดกระบวนการเรียนรู ที่มา : คลังภาพ อจท.
โดยกําหนดใหสมาชิกแตละคนภายในกลุมมี 4. หลุมยุบ เป็นแอ่งหรือหลุมบนแผ่นดินขนาด
บทบาทหนาที่ของตนเอง ดังนี้ ต่าง ๆ อาจมีสาเหตุมาจากการถล่มของโพรงถ�้าหินปูน
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ เกลือหินใต้ดิน หรือเกิดจากน�้าพัดพาตะกอนลงไปใน
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม โพรงถ�้าหรือธารน�้าใต้ดิน นอกจากนี้ ยังอาจมีสาเหตุ
มาจากการกระท�าของมนุษย์ เช่น การสูบน�า้ บาดาลไปใช้
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ ซึ่งความเสียหายที่เกิดจากหลุมยุบเป็นอันตรายต่อชีวิต
กิจกรรมและนํามาอธิบายใหสมาชิกในกลุม ฟง และทรัพย์สิน
• สมาชิกคนที่ 5-6 ทําหนาที่บันทึกผลการ ภาพที่ 6.54 หลุมยุบที่เกิดขึ้นในประเทศกัวเตมาลา
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจําตัวนักเรียน ที่มา : คลังภาพ อจท.

5. นักเรียนแตละกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม 5. แผ่นดินทรุด เกิดจากการยุบตัวของชั้นดินหรือดินร่วน เมื่อมวลของของแข็งหรือมวลของของเหลว


ปริมาณมากที่รองรับใต้ดินบริเวณนั้นถูกเคลื่อนย้ายออกไปโดยธรรมชาติ หรือเกิดจากการกระท�าของมนุษย์ เช่น
ขัน้ ตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 การสูบน�า้ บาดาลขึน้ มาใช้ปริมาณมากกว่าน�า้ ทีไ่ หลเข้ามาแทนที่ ส่งผลให้ระดับน�า้ ใต้ดนิ ลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุ
6. นักเรียนแตละกลุมรวมกันแลกเปลี่ยนความรู ให้เกิดแผ่นดินทรุด โดยการทรุดตัวของพื้นที่จะเกิดมากที่สุดบริเวณศูนย์กลางที่มีการสูบน�้าบาดาลขึ้นมา และความ
และวิ เ คราะห ผ ลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แล ว รุนแรงของการทรุดตัวของพื้นที่ขึ้นอยู่กับอัตราการลดระดับลงของระดับน�้าใต้ดิน หรืออัตราการใช้น�้าบาดาล ซึ่ง
อภิปรายผลรวมกัน ความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินทรุดตัว จะท�าให้สิ่งก่อสร้างเกิดการทรุดตัวและเกิดการแตกร้าว
อธิบายความรู้ Topic Question
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ 1. จงอธิบายกระบวนการเกิดแหล่งน�้าผิวดิน
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะ 2. จงอธิบายกระบวนการเกิดแหล่งน�้าใต้ดิน
เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง 3. จงยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์ และปัญหาที่เกิดจากการใช้ประโยชน์ของแหล่งน�้า
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน 4. จงยกตัวอย่างภัยพิบัติที่เกิดจากน�้ามาอย่างน้อย 2 ตัวอย่าง พร้อมอธิบายสาเหตุของภัยพิบัติที่เกิดขึ้น
แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น 5. จงอธิบายผลกระทบที่เกิดจากดินถล่ม
เพื่อหาคําตอบ
106

เกร็ดแนะครู แนวตอบ Topic Question


1. เกิดจากไอนํ้าในบรรยากาศควบแนนเปนเมฆ แลวตกลงมาเปนฝน
ครู อ าจยกตั ว อย า งภั ย พิ บั ติ จ ากนํ้ า นอกเหนื อ จากตั ว อย า งในหนั ง สื อ สะสมอยูบ ริเวณผิวดิน และไหลลงมาขังในบริเวณทีต่ าํ่ กวา กลายเปน
เรียน เชน สึนามิหรือคลื่นสึนามิ มีจุดกําเนิดจากศูนยกลางแผนดินไหวบริเวณ แองนํ้า
เขตมุดตัว ซึ่งอยูบริเวณรอยตอของแผนธรณี เมื่อแผนธรณีมหาสมุทรเคลื่อน 2. เกิดจากการซึมของนํ้าผิวดินลงไปสะสมตัวอยูใตดิน นํ้าบางสวนซึม
ปะทะกันหรือชนเขากับแผนธรณีทวีป จะทําใหเกิดแผนดินไหวอยางรุนแรงและ อยูตามชองวางระหวางดิน เรียกวา นํ้าในดิน และนํ้าบางสวนซึมลง
เกิดคลื่นขนาดยักษพัดเขาสูฝง ไปอยูระหวางหิน เรียกวา นํ้าบาดาล
3. ประโยชนของแหลงนํา้ คือ ใชอปุ โภค บริโภค ใชเปนเสนทางคมนาคม
และใชในกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรม สวนปญหาที่เกิดจาก
การใชประโยชนของแหลงนํ้า คือ การทิ้งขยะลงแหลงนํ้าและทิ้ง
นํ้าเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมลงสูแหลงนํ้า ทําใหนํ้าเนาเสีย
4. การกัดเซาะชายฝง ซึง่ มีสาเหตุมาจากการกระทําของนํา้ ทําใหแนวชายฝง
เปลีย่ นรูปรางไปจากเดิม แผนดินทรุด ซึง่ มีสาเหตุเกิดจากธรรมชาติ
หรือการกระทําของมนุษย เชน การสูบนํา้ บาดาลไปใชในปริมาณมาก
5. ทําใหโครงสรางดินบริเวณนั้นเสียสมดุล เปนการทําลายระบบนิเวศ
และเปนอันตรายตอชีวิตและทรัพยสิน
T120
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
กิจกรรม
1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
จ�าลองการกัดเซาะชายฝัง เรื่อง ภัยพิบัติจากนํ้า และใหความรูเพิ่มเติม
จากคําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
จุดประสงค์ - การสังเกต เรื่อง ภัยพิบัติจากนํ้า ในการอธิบายเพิ่มเติม
อธิบายกระบวนการเกิดและผลกระทบจากแบบจ�าลองการกัดเซาะชายฝังได้ - การทดลอง
2. นักเรียนทํา Topic Question เรื่อง นํ้า จาก
จิตวิทยาศาสตร์
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ลงใน
วัสดุอปุ กรณ์ - ความรับผิดชอบ
- ความสนใจใฝ่รู้ สมุดประจําตัวนักเรียน
1. น�้า 2. ทราย 3. ไม้บรรทัด 4. ตู้ปลา
3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง ภัยพิบัติ
วิธปี ฏิบตั ิ จากนํา้ จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
1. ให้นกั เรียนแบ่งกลุม่ กลุม่ ละ 5-6 คน สร้างแบบจ�าลองชายฝัง ทะเลโดยวางตูป้ ลารูปทรงสีเ่ หลีย่ มผืนผ้า สูงประมาณ 10 เซนติเมตร
ที่ครูจัดเตรียมไว้ให้บนพื้นโต๊ะในแนวระนาบ ขัน้ สรุป
2. น�าทรายละเอียดมาเทลงในตู้ปลา เกลี่ยทรายเป็นทางลาดเอียงเพื่อสร้างชายฝังจ�าลอง
3. ใส่น�้าลงไป โดยให้ระดับน�้าอยู่สูงกว่าระดับของผิวหน้าทราย ประมาณ 1 เซนติเมตร
ตรวจสอบผล
4. จ�าลองการเกิดคลืน่ ทะเลโดยใช้ไม้บรรทัดดันน�า้ เข้ามาตรงบริเวณชายฝัง จ�าลองอย่างต่อเนือ่ ง สังเกตและบันทึกการเปลีย่ นแปลง นั ก เรี ย นและครู ร  ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
ที่เกิดขึ้นบริเวณชายฝังลงในสมุดบันทึก ภัยพิบัติจากนํ้า
5. ตัวแทนกลุ่มออกมาน�าเสนอแบบจ�าลองชายฝัง แล้วน�าเสนอวิธีป้องกันและการแก้ไขปัญหาจากน�้าทะเลกัดเซาะชายฝัง
ตู้ปลา ขัน้ ประเมิน
ทราย
ไม้บรรทัด ตรวจสอบผล
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
น�้า ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
พฤติกรรมการทํางานกลุม และจากการนําเสนอ
ผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
ภาพที่ 6.55 กิจกรรมจ�าลองการกัดเซาะชายฝัง 2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม จําลองการ
ที่มา : คลังภาพ อจท. กัดเซาะชายฝง ในสมุดประจําตัวนักเรียน
ค�าถามท้ายกิจกรรม 3. ครูตรวจ Topic Question เรื่อง นํ้า ในสมุด
1. บริเวณชายฝังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ประจําตัวนักเรียน
2. ประเมินวิธีป้องกันและการแก้ไขปัญหาน�้าทะเลกัดเซาะชายฝังจากกลุ่มอื่นว่ามีความเหมาะสม และส่งผลกระทบต่อบริเวณ 4. ครู ต รวจแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง ภั ย พิ บั ติ จ ากนํ้ า
ข้างเคียงหรือไม่ อย่างไร จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2

อภิปรายผลกิจกรรม แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม


จากกิจกรรม พบว่า เมื่อน�้ากระทบกับชายฝัง เม็ดทรายจะหลุดออกตามแรงน�้า ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝัง 1. เมือ่ นํา้ กระทบฝง เม็ดทรายจะหลุดออกตามแรงนํา้
ท�าได้ด้วยการสร้างสิ่งกีดขวางเพื่อป้องกันแนวชายฝังจากความแรงของคลื่นที่มากระทบชายฝัง
ที่มากระทบ ทําใหชายฝงมีลักษณะเวาแหวง
2. แนวทางการแกไขปญหานํา้ ทะเลกัดเซาะชายฝง
โลกและการเปลี่ยนแปลง 107 ทําไดดวยการสรางสิ่งกีดขวางเพื่อปองกันแนว
ชายฝง

บันทึกผล กิจกรรม แนวทางการวัดและประเมินผล


เมือ่ นํา้ กระทบบริเวณชายฝง จําลอง ความแรงของนํา้ จะทําใหเม็ดทราย ครูวดั และประเมินผลความเขาใจในเนือ้ หา เรือ่ ง ภัยพิบตั จิ ากนํา้ ไดจากการ
หลุดออกเรื่อยๆ สงผลใหแนวชายฝงจําลองเปลี่ยนรูปรางไปจากเดิม สังเกตพฤติกรรมการปฏิบตั กิ จิ กรรม จําลองการกัดเซาะชายฝง และการนําเสนอ
ผลงาน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการปฏิบัติ
กิจกรรม และการนําเสนอผลงาน ทีอ่ ยูใ นแผนการจัดการเรียนรูห นวยการเรียนรู
ที่ 6
แบบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน


ระดับคะแนน ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 3 2 1
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม 1 ความถูกต้องของเนื้อหา   
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม 2 ความคิดสร้างสรรค์   
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม 3 วิธีการนาเสนอผลงาน   
รวม 4 การนาไปใช้ประโยชน์   
5 การตรงต่อเวลา   
ลงชื่อ ….................................................... ผู้ประเมิน
................./................../.................. รวม
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
ระดับคะแนน ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1 ............/................./...................
1. การปฏิบัติ ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องให้ความช่วยเหลือ
กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา เกณฑ์การให้คะแนน
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
คล่องแคล่ว ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก 14–15 ดีมาก
การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล
11–13 ดี
กิจกรรม ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน ทากิจกรรมยังไม่เป็น กิจกรรม การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน 8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง

T121
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. นักเรียนดูวดี ทิ ศั นเกีย่ วกับเรือ่ ง กําเนิดถานหิน Understanding Check
(จาก https://www.youtube.com/watch? พิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึก
reload=9&timecontinue=1&v=UFrge ถูก/ผิด

OgimOc) จากนั้ น ครู ตั้ ง ประเด็ น คํ า ถาม 1. เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์เกิดจากการทับถมของซากพืชและซากสัตว์เป็นเวลานาน


กระตุน ความคิดนักเรียนวา “มนุษยนาํ ถานหิน 2. ถ่านหิน คือ หินตะกอนที่เกิดจากการสะสมของซากพืชในยุคดึกด�าบรรพ์

มุ ด
มาใชประโยชนอยางไร” โดยใหนกั เรียนรวมกัน 3. แฮโลเจนเป็นสารประกอบที่อยู่ในหินน�้ามัน

นส
งใ
อภิปรายและแสดงความคิดเห็นอยางอิสระ


ทึ ก
4. น�้ามันดิบจะต้องผ่านกระบวนการกลั่นก่อนน�าไปใช้ประโยชน์

บั น
โดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด
5. ภาวะโลกร้อนเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์
(แนวตอบ นํามาใชเปนแหลงพลังงานซึ่งมีสวน
สําคัญตอการดําเนินกิจกรรมในชีวติ ประจําวัน)
2. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอน Prior
Knowledge
4 เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ เชื้ อ เพลิ ง เป็ น ทรั พ ยากรธรรมชาติ ที่ มี อ ยู ่ ใ ต้ ดิ น มี ส มบั ติ
วัตถุชนิดใดบ้าง
Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น ทีม่ นุษย์นา� มาใช้เป็น เฉพาะตัว เมื่อน�ามาเผาไหม้จะให้พลังงานความร้อนได้ดี มนุษย์จึง
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุด แหล่งพลังงาน น�ามาใช้เป็นแหล่งพลังงาน และมีส่วนส�าคัญต่อการด�าเนินกิจกรรม
ประจําตัวนักเรียน ในชีวิตประจ�าวัน
3. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์ (fossil fuel) เป็นแหล่งพลังงานสิ้นเปลือง หรือพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 เพื่อเปนการนํา (non-renewable energy) ซึ่งเกิดจากวัตถุต้นก�าเนิดและสภาพแวดล้อมการเกิดที่แตกต่างกัน ท�าให้เชื้อเพลิง
เขาสูบทเรียน ซากดึกด�าบรรพ์มลี กั ษณะ สมบัติ และการน�าไปใช้ประโยชน์ทแี่ ตกต่างกัน โดยเชือ้ เพลิงซากดึกด�าบรรพ์ทมี่ นุษย์นยิ ม
น�ามาใช้ประโยชน์ มีดังนี้
4.1 ถ่านหิน
ถ่านหิน (coal) เป็นเชื้อเพลิงธรรมชาติ หรือหินตะกอนชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการสะสมของซากพืชในยุค
ดึกด�าบรรพ์เป็นเวลานานจนเปลี่ยนสภาพเป็นถ่านหิน
1. การเกิดถ่านหิน ถ่านหินเกิดขึ้นบริเวณหนอง บึง แอ่งน�้า หรือ Science in Real Life
ที่ชื้นแฉะ ริมแม่น�้า ริมทะเล ซึ่งเป็นบริเวณที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ประเทศไทยมี ป ริ ม าณส� า รอง
ต่อการเจริญเติบโตของพืช เกิดวงชีวิตวนต่อเนื่องกันจนเกิดการสะสมของ ถ่านหินมากกว่า 2,000 ล้านตัน โดย
ซากพืช และทับถมเป็นจ�านวนมาก เมื่อบริเวณนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง แหล่ ง ถ่ า นหิ น ส่ ว นใหญ่ จ ะอยู ่ บ ริ เ วณ
แนวตอบ Understanding Check ธรณี แผ่นดินจะทรุดตัวลง ท�าให้สภาพแวดล้อมเปลีย่ นแปลงไป เช่น น�า้ ท่วม ตอนเหนือของประเทศ เช่น จังหวัดเลยใน
1. ถูก 2. ถูก 3. ผิด การเคลื่อนไหวของเปลือกโลก ส่งผลให้ซากพืชต่าง ๆ ได้รับความร้อนและ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะพบลิกไนต์
4. ถูก 5. ถูก แรงกดดันจากภายในโลกและเกิดการเปลีย่ นแปลงทางเคมีและฟิสกิ ส์ ซากพืช ซับบิทูมินัส และบิทูมินัส นอกจากนี้
ยังพบแอนทราไซต์ในปริมาณเล็กน้อย
เหล่านี้จึงแปรสภาพไปเป็นถ่านพีต ต่อมามีชั้นดินและหินมาทับถมคลุมชั้น
แนวตอบ Prior Knowledge ถ่านหินจนอยู่ในสภาพปัจจุบัน ดังภาพที่ 6.56

ถ า นหิ น หิ น นํ้ า มั น นํ้ า มั น ดิ บ ถ า นไฟฉาย 108


แกสหุงตม

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูอาจแนะนํานักเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับถานหินวา ประเทศไทยพบถานหิน ประเทศไทยพบถานหินประเภทใดมากที่สุด
ทุกชนิด แตสว นใหญพบถานหินประเภทลิกไนตและซับบิทมู นิ สั มากทีส่ ดุ ปจจุบนั 1. พีตและลิกไนต
ประเทศไทยมีโรงไฟฟาถานหินอยางนอย 10 แหง ตั้งอยูที่จังหวัดระยองจํานวน 2. ลิกไนตและซับบิทูมินัส
6 โรง ปราจีนบุรี 2 โรง อยุธยา 1 โรง และมีเพียง 1 โรง ที่เปนของการไฟฟา 3. บิทูมินัสและซับบิทูมินัส
ฝายผลิตแหงประเทศไทย คือ โรงไฟฟาแมเมาะ จังหวัดลําปาง 4. บิทูมินัสและแอนทราไซต
(วิเคราะหคําตอบ ประเทศไทยสวนใหญพบถานหินประเภท
ลิกไนตและซับบิทูมินัสมากที่สุด ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T122
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนแบงกลุม ออกเปน 10 กลุม กลุม ละเทาๆ
กัน จากนั้นนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษา
พีต
ค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง ประเภทของ
ลิกไนต์ ถานหิน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2 ซึ่งหัวขอประกอบดวย
1 บริเวณแอ่งน�า้ เหมาะต่อการ • กลุมที่ 1-2 ศึกษาเรื่อง พีต
เจริ ญ เติ บ โตของพื ช และ
ซากพืชที่ตายจะถูกทับถม • กลุมที่ 3-4 ศึกษาเรื่อง ลิกไนต
2 หลังจากเกิดการเปลีย่ นแปลง บิทูมินัส
กลายเป็นพีต
ทางธรณี พีตจะถูกกดและดัน แอนทราไซต์ • กลุมที่ 5-6 ศึกษาเรื่อง ซับบิทูมินัส
ลงสู่ชั้นดินที่ลึกมากขึ้น • กลุมที่ 7-8 ศึกษาเรื่อง บิทูมินัส
• กลุมที่ 9-10 ศึกษาเรื่อง แอนทราไซต
3 ความร้อนและแรงกดดันท�าให้ 4 ความร้อนทีส่ งู ขึน้ เร่งให้ถา่ นหิน
ถ่านหินแปรสภาพไปจากเดิม แปรสภาพอย่างรวดเร็ว 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
ศึกษา จากนั้นรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการ
ภาพที่ 6.56 กระบวนการเกิดถ่านหิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
2. ประเภทของถ่านหิน เมือ่ แบ่งประเภทของถ่านหินตามปริมาณคาร์บอน ค่าความร้อนเมือ่ ผ่านการเผาไหม้
และล�าดับการแปรเปลี่ยนสภาพ จะสามารถแบ่งถ่านหินออกเป็น 5 ชนิด ดังนี้
1) พีต (peat) มีลักษณะ ดังนี้

ภาพที่ 6.57 พีต


ที่มา : คลังภาพ อจท.

พี ต เป็ น ขั้ น แรกเริ่ ม ของการเกิ ด ถ่ า นหิ น


เกิ ด จากการทั บ ถมของซากพื ช ในระยะเวลาไม่ น าน
ซากพืชบางส่วนยังสลายตัวไม่หมด ท�าให้ยังคงมอง
เห็นซากพืชเป็นล�าต้น กิ่ง และใบ พีตมีสีน�้าตาลถึงสีด�า
มี ป ริ ม าณคาร์ บ อนต�่ า กว่ า ร้ อ ยละ 60 โดยมวล มี
ปริมาณออกซิเจนและความชื้นสูง จึงต้องน�าพีตมาผ่าน
กระบวนการไล่ความชื้นก่อนน�าไปใช้

การเกิดถานหิน 109

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


แหลงถานหินที่มีปริมาณสํารองมากที่สุดในประเทศไทยคือที่ใด ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติม จาก QR Code เรื่อง การเกิดถานหิน
1. เหมืองลี้ จังหวัดลําพูน
2. เหมืองแมทาน จังหวัดลําปาง
3. เหมืองแมเมาะ จังหวัดลําปาง
4. เหมืองเชียงมวน จังหวัดพะเยา
(วิเคราะหคําตอบ แหลงถานหินในประเทศไทยมีมากที่เหมือง
แมเมาะ จังหวัดลําปาง คิดเปนรอยละ 97 ของปริมาณสํารองทีม่ อี ยู
ในประเทศไทย รองลงมา คือ เหมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ดังนั้น
ตอบขอ 3.)

T123
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ 2) ลิกไนต (lignite) มีลักษณะ ดังนี้
ศึกษาคนควาหนาชัน้ เรียน ในระหวางทีน่ กั เรียน
นําเสนอ ครูคอยใหขอ เสนอแนะเพิม่ เติม เพือ่ ให
นักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
2. นักเรียนและครูรว มกันอภิปรายและสรุปเกีย่ วกับ
ถานหินแตละประเภท ซึ่งไดขอสรุปรวมกันวา ภาพที่ 6.58 ลิกไนต
“ซากพื ช ที่ ถู ก ทั บ ถมลงไปใต ดิ น ในระดั บ ที่มา : คลังภาพ อจท.

ความลึกตางๆ แปรสภาพเปนถานหินประเภท ลิกไนตเปนถานหินทีม่ อี ายุการถูกทับถม


ตางๆ ดังนี้ มากกวาพีต มีผิวดาน สีนํ้าตาล และมีซากพืชที่ยังยอย
1) พีต : เปนขัน้ แรกเริม่ การเกิดถานหิน ทําให สลายไมหมดเหลืออยูเ ล็กนอย มีปริมาณคารบอนรอยละ
ยังคงมองเห็นซากพืชเปนลําตน กิง่ และใบ 55-60 มีปริมาณออกซิเจนคอนขางสูง มีความชื้นสูงถึง
2) ลิกไนต : เปนถานหินที่ถูกทับถมนานกวา รอยละ 30-70 เมือ่ ติดไฟจะมีควันและเถาถานมาก นํามา
ใชเปนเชือ้ เพลิงสําหรับผลิตกระแสไฟฟาและบมใบยาสูบ
พีต มีผิวดาน สีนํ้าตาล และยังคงมีซากพืช
ที่ยังยอยไมหมด
3) ซับบิทูมินัส : เปนถานหินที่ถูกทับถมนาน 3) ซับบิทูมินัส (subbituminous) มีลักษณะ ดังนี้
กวาลิกไนต มีผิวดานเปนมันสีน้ําตาลถึง
สีดํา มีทั้งเนื้อออนและเนื้อแข็ง
4) บิทมู นิ สั : เปนถานหินทีม่ อี ายุการถูกทับถม
นานกวาซับบิทูมินัส มีเนื้อแนนสีดํา เมื่อ
เผาไหมจะใหความรอนสูง
5) แอนทราไซต : เปนถานหินทีม่ อี ายุการทับถม ภาพที่ 6.59 ซับบิทูมินัส
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ยาวนานทีส่ ดุ มีสดี าํ มีเนือ้ แนน เปนมันวาว
นํา้ และแกสทีอ่ ยูใ นถานหินระเหยไปจนหมด
มีความชื้นตํ่ามาก เมื่อเผาไหมจะใหความ ซับบิทูมินัสเปนถานหินที่มีอายุการถูก
ทับถมนานกวาลิกไนต มีผิวดานและเปนมันสีนํ้าตาล
รอนสูงมาก ไมมีควัน”
ถึงสีดํา มีทั้งเนื้อออนและเนื้อแข็ง มีความชื้นประมาณ
รอยละ 25-30 มีปริมาณคารบอนประมาณรอยละ 71-77
และมีปริมาณกํามะถันตํ่า สวนใหญใชเปนเชื้อเพลิง
สําหรับผลิตกระแสไฟฟาและอุตสาหกรรมตาง ๆ เชน
นํามาใชเปนแหลงพลังงานความรอนใหกับหมอนํ้า

110

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูอาจแนะนํานักเรียนวา ถานหินถูกนํามาใชเปนแหลงพลังงานมากกวา ขอใดเรียงลําดับปริมาณคารบอนในถานหินจากมากไปนอย
3,000 ปมาแลว ประเทศจีนเปนประเทศแรกที่นําถานหินมาใชเปนเชื้อเพลิงใน ไดถูกตอง
การถลุงทองแดง ปจจุบันการใชประโยชนจากถานหินสวนใหญใชเปนเชื้อเพลิง 1. พีต > แอนทราไซต > ลิกไนต > ซับบิทูมินัส > บิทูมินัส
ในการผลิตกระแสไฟฟา การถลุงโลหะ การผลิตปูนซีเมนต และอุตสาหกรรมที่ 2. ซับบิทูมินัส > บิทูมินัส > แอนทราไซต > พีต > ลิกไนต
ใชเครือ่ งจักรไอนํา้ การผลิตกระแสไฟฟาทัว่ โลกใชพลังงานจากถานหินประมาณ 3. พีต > ลิกไนต > ซับบิทูมินัส > บิทูมินัส > แอนทราไซต
รอยละ 39 4. แอนทราไซต > บิทูมินัส > ซับบิทูมินัส > ลิกไนต > พีต
(วิเคราะหคําตอบ ปริมาณคารบอนในถานหินแตละประเภทเรียง
จากมากไปนอยได ดังนี้
แอนทราไซต > บิทูมินัส > ซับบิทูมินัส > ลิกไนต > พีต
ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T124
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
4) บิทูมินัส (bituminous) มีลักษณะ ดังนี้ 3. ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ยกตัวอยางการใช
ประโยชนจากถานหินทีพ่ บเห็นในชีวติ ประจําวัน
มาคนละ 1 ตัวอยาง
(แนวตอบ ตัวอยางการใชประโยชนจากถานหิน
เชน ผลิตถานโคกเทียม ถานกัมมันต ปุยยูเรีย
นํ้ามันดิบ)
ภาพที่ 6.60 บิทูมินัส 4. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง
ความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ ดังนี้
บิ ทู มิ นั ส เป น ถ า นหิ น ที่ มี อ ายุ ก ารถู ก • แหลงถานหินสวนใหญที่พบในประเทศไทย
ทับถมนานกวาซับบิทูมินัส และไดรับความกดดันสูง จะอยูในบริเวณใด
จนอัดตัวกันแนน มีเนื้อแนน สีดํา มีปริมาณคารบอน (แนวตอบ ภาคเหนือ)
รอยละ 80-90 และมีความชื้นรอยละ 2-7 มีคุณภาพ
ดีกวาลิกไนต เมือ่ เผาไหมแลวจะใหความรอนสูง นํามาใช • ถานหินที่พบในประเทศไทยสวนมากเปน
เปนเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมและโรงงานไฟฟา ประเภทใด
(แนวตอบ ลิกไนต ซับบิทูมินัส และบิทูมินัส)
5) แอนทราไซต (antracite) มีลักษณะ ดังนี้
ขยายความเข้าใจ
1. นั ก เรี ย นพิ จ ารณาตารางสมบั ติ ข องถ า นหิ น
ชนิดตางๆ จากนั้นครูทดสอบความเขาใจของ
นั ก เรี ย น โดยครู เ ขี ย นตารางประเภทของ
ภาพที่ 6.61 แอนทราไซต
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ถานหินบนกระดาน แลวสุมนักเรียน 1-2 คน
ออกมาเขี ย นลู ก ศรแสดงปริ ม าณความชื้ น
กับปริมาณคารบอน ดังนี้
ปริมาณ ปริมาณ
แอนทราไซตเปนถานหินที่มีอายุการ ประเภทของถานหิน
ทับยาวนานที่สุด มีสีดํา มีลักษณะเนื้อแนน เปนมันวาว คารบอน ความชืน้
นํ้าและแกสตาง ๆ ที่อยูภายในถานหินระเหยไปจนหมด พีต ตํ่า สูง
เหลือเพียงคารบอนเปนองคประกอบมากกวารอยละ 90 ลิกไนต
มีความชืน้ นอย ติดไฟยาก เมือ่ นํามาเผาไหมจะใหความ ซับบิทูมินัส
รอนสูง ไมมีควัน นํามาใชเปนเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรม
ตาง ๆ บิทูมินัส
โลกและการเปลี่ยนแปลง 111 แอนทราไซต สูง ตํ่า

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


ถานหินประเภทใดมีซากพืชที่ยังยอยสลายไมหมด เมื่อติดไฟ ครูอาจแนะนํานักเรียนวา ถานหินยังสามารถนํามาทําเปนถานกัมมันต เพือ่
จะมีควันมาก ใชเปนสารดูดซับกลิ่นในเครื่องกรองนํ้า เครื่องกรองอากาศ หรือในเครื่องใช
1. พีต ตางๆ ทําคารบอนไฟเบอร ซึ่งเปนวัสดุที่มีความแข็ง แตนํ้าหนักเบา สําหรับใช
2. ลิกไนต ทําอุปกรณกีฬา เชน ดามไมกอลฟ ไมเทนนิส และในปจจุบันนักวิทยาศาสตร
3. บิทูมินัส พยายามเปลี่ยนถานหินใหเปนแกส และแปรสภาพถานหินใหเปนของเหลว
4. แอนทราไซต เพื่อเพิ่มคุณคาทางดานพลังงานและความสะดวกในการขนสงดวยระบบทอสง
(วิเคราะหคําตอบ พีตเปนขัน้ แรกเริม่ ของการเกิดถานหิน เกิดจาก เชื้อเพลิง
การทับถมของซากพืชในเวลาไมนาน ทําใหยังคงมองเห็นซากพืช
อยูในถานหิน ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T125
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
2. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ จะเห็นว่า ถ่านหินแต่ละประเภทมีสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังตารางที่ 6.2
เรื่ อ ง ถ า นหิ น และให ค วามรู  เ พิ่ ม เติ ม จาก ตารางที่ 6.2 สมบัติของถ่านหินชนิดต่าง ๆ
คําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint ปริมาณความร้อนที่ได้จาก
ประเภทถ่านหิน ปริมาณคาร์บอน (%) ปริมาณความชื้น (%)
การเผาไหม้ (kcal/kg)
เรื่อง ถานหิน ในการอธิบายเพิ่มเติม
พีต 50-60 75-80 ต�่ากว่า 3,000
3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง ถานหิน
ลิกไนต์ 60-75 50-70 3,000-4,000
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ซับบิทูมินัส 75-80 25-30 4,500-5,500

ขัน้ สรุป บิทูมินัส 80-90 5-10 5,500-6,500


แอนทราไซต์ 90-98 2-5 6,500-8,000
ตรวจสอบผล
นักเรียนและครูรว มกันสรุปเกีย่ วกับเรือ่ ง ถานหิน 3. การใช้ประโยชน์จากถ่านหิน หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษ เริ่มมีการท�าเหมือง
ถ่านหินเพือ่ ขุดถ่านหินทีอ่ ยูใ่ ต้พนื้ ผิวโลกขึน้ มาใช้เป็นเชือ้ เพลิงทดแทนน�า้ มันมากขึน้ ซึง่ การใช้ประโยชน์จากถ่านหิน
ขัน้ ประเมิน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
ตรวจสอบผล 1) การใช้ถา่ นหินเป็นเชือ้ เพลิงโดยตรง คือ ใช้ถา่ นหินเป็นเชือ้ เพลิง
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ ให้กับหม้อไอน�้า เมื่อถ่านหินถูกเผาไหม้จะให้พลังความร้อนซึ่งพลังงาน
ความร้อนจะถูกน�าไปผลิตกระแสไฟฟ้า หรือผลิตไอน�า้ ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
เช่น อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ โรงบ่มใบยาสูบ อุตสาหกรรมสิ่งทอ เคมีภัณฑ์
พฤติกรรมการทํางานกลุม และจากการนําเสนอ 2) การใช้ถ่านหินเพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น การน�าถ่านหินมา
ผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน ผลิตถ่านโค้กเทียม ถ่านกัมมันต์ ปุ๋ยยูเรีย น�้ามันดิบ
2. ครู ต รวจสอบความเข า ใจของนั ก เรี ย นก อ น ภาพที่ 6.62 พลังงานความร้อนที่ได้จาก
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ การเผาไหม้ถ่านหิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
Understanding Check ในสมุดประจําตัว
นักเรียน Science
3. ครู ต รวจแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง ถ า นหิ น จาก Focus เหมืองถ่ำนหิน

แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 การท�าเหมืองถ่านหิน คือ การขุดเจาะหรือเปิดหน้าดินเพื่อน�าแร่ธาตุที่อยู่ภายในดินมาใช้ โดยทั่วไปแล้วแบ่งออกเป็น


2 แบบ ดังนี้
- การท�าเหมืองเปิด เป็นการเปิดหน้าดินที่ปิดทับชั้นถ่านหินอยู่ออกไป แล้วตักถ่านหินขึ้นมาใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้
ต้นทุนต�่า มักใช้กับแหล่งถ่านหินที่อยู่บริเวณตื้น ๆ หรืออยู่ไม่ลึกจากระดับผิวดินจนถึงระดับลึก 500 เมตร จากผิวดิน มี 3 แบบ คือ
แบบเปิดปากหลุม แบบบ่อ และแบบอุโมงค์
- การท�าเหมืองใต้ดิน เป็นการท�าเหมืองในบริเวณที่ชั้นถ่านหินอยู่ในระดับลึกมาก โดยการขุดอุโมงค์ลงไปใต้ดินเพื่อใช้
เครื่องมือชนิดพิเศษขุดตักและล�าเลียงถ่านหินขึ้นมาใช้ประโยชน์ การท�าเหมืองถ่านหินวิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้การลงทุนสูง และต้องมีการ
วางแผนการท�าเหมืองอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันอันตรายจากการระเบิดในเหมือง เนื่องจากการสะสมตัวของแก๊สในชั้นถ่านหินเอง
และการถล่มของชั้นหิน

112

แนวทางการวัดและประเมินผล ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูวดั และประเมินผลความเขาใจในเนือ้ หา เรือ่ ง ถานหิน ไดจากการสังเกต ขอใดเรียงลําดับปริมาณความชื้นในถานหินจากมากไปนอย
พฤติกรรมการทํางานกลุมและการนําเสนอผลงาน โดยศึกษาเกณฑการวัดและ ไดถูกตอง
ประเมินผลจากแบบประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม และการนําเสนอผลงาน 1. พีต > แอนทราไซต > ลิกไนต > ซับบิทูมินัส > บิทูมินัส
ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 6 2. ซับบิทูมินัส > บิทูมินัส > แอนทราไซต > พีต > ลิกไนต
3. พีต > ลิกไนต > ซับบิทูมินัส > บิทูมินัส > แอนทราไซต
4. แอนทราไซต > บิทูมินัส > ซับบิทูมินัส > ลิกไนต > พีต
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน


การมี ระดับคะแนน
การทางาน ลาดับที่ รายการประเมิน
การแสดง การยอมรับฟัง ส่วนร่วมใน รวม 3 2 1
ชื่อ–สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ

(วิเคราะหคําตอบ ปริมาณความชืน้ ในถานหินแตละประเภทเรียง


ลาดับที่ ความคิดเห็น คนอื่น การปรับปรุง 15 1 ความถูกต้องของเนื้อหา   
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน 2 ความคิดสร้างสรรค์   
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 วิธีการนาเสนอผลงาน   
4 การนาไปใช้ประโยชน์   
5 การตรงต่อเวลา   

รวม

ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


............/................./...................
จากมากไปนอยได ดังนี้
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่
ให้
ให้
3 คะแนน
2 คะแนน
พีต > ลิกไนต > ซับบิทูมินัส > บิทูมินัส > แอนทราไซต
ดังนั้น ตอบขอ 3.)
............./.................../............... ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T126
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
4.2 หินน�้ามัน 1. ครูเตรียมบัตรภาพหินนํ้ามันมาใหนักเรียนดู
หินน�้ามัน (oil shale) เป็นเชื้อเพลิงธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการทับถมของซากพืชและซากสัตว์ภายใต้แหล่งน�้า จากนัน้ ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความสนใจ
เป็นเวลานาน มีสมบัติติดไฟได้
นั ก เรี ย น โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะคนร ว มกั น
1. การเกิดหินน�้ามัน มีกระบวนการเกิด ดังนี้ 1 อภิปรายแสดงความคิดเห็นอยางอิสระโดยไมมี
1) ซากพืชจ�าพวกสาหร่ายและสัตว์เล็ก ๆ เช่น แพลงก์ตอน ปลา จะจมลงสู่ใต้แหล่งน�้าและสะสม
พอกตัวเป็นชั้นอยู่ในแหล่งน�้าซึ่งมีปริมาณออกซิเจนน้อย การเฉลยวาถูกหรือผิด ดังนี้
2) เมื่อเวลาผ่านไปหลายล้านปี เปลือกโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงทรุดตัวลง ซากพืชและซากสัตว์รวมไป • หินในบัตรภาพมีลักษณะอยางไร
ถึงแร่ธาตุที่ผุพังมาจากชั้นหินซึ่งเป็นสารอนินทรีย์จะถูกทับถมลงไปลึกมากขึ้น (แนวตอบ เปนหินตะกอนทีม่ เี นือ้ ละเอียด มีสี
3) เมื่อเวลาผ่านไปภายใต้ความร้อน และความกดดันที่สูงขึ้น น�้าที่อยู่ภายในซากพืชและซากสัตว์ นํ้าตาลหรือสีนํ้าตาลไหม มีสารสีดําเปนชั้น
จะระเหยออกไปจนหมด สารอินทรีย์ที่อยู่ในซากพืชและซากสัตว์จะเปลี่ยนไปอยู่ในรูปของสารประกอบเคอโรเจน บางๆ แทรกอยูระหวางชั้นหินตะกอน)
4) สารประกอบเคอโรเจนเมื่อผสมกับตะกอนดินที่ถูกอัดแน่นจะกลายเป็นหินน�้ามัน ดังนั้น หินน�้ามัน
จึงเป็นหินตะกอนที่มีเนื้อละเอียด มีสีน�้าตาลหรือสีน�้าตาลไหม้ มีสารประกอบเคอโรเจน • หินในบัตรภาพมีความแตกตางจากถานหิน
(kerogen) สีด�าเป็นชั้นบาง ๆ แทรกอยู่ระหว่างชั้นหินตะกอนคล้ายกับหินที่เป็น อยางไร
แหล่งก�าเนิดปิโตรเลียม แต่หินน�้ามันมีปริมาณเคอโรเจนมากกว่า ดังภาพ (แนวตอบ ถานหินจะมีสคี ลํา้ แตหนิ นํา้ มันจะมี
ที่ 6.63 สารประกอบเคอโรเจนแทรกอยูเปนชั้นๆ)
2. นั ก เรี ย นดู วี ดิ ทั ศ น เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ ง หิ น นํ้ า มั น
แพลงก์ตอน ภาพที่ 6.63 ลักษณะของหินน�้ามันที่มี (จาก https://www.youtube.com/watch?v
เคอโรเจนเป็นองค์ประกอบ
ที่มา : cdn.shopify.com
=sjlhe1qt89Q)
ดินเหนียว
1 2 3 4
5°C
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นั ก เรี ย นจั บ คู  กั บ เพื่ อ นในชั้ น เรี ย น จากนั้ น
ร ว มกั น ศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
กระบวนการเกิดหินนํา้ มัน และการใชประโยชน
15°C จากหินนํ้ามัน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร
80°C ม.2 เลม 2 หรือใบความรู เรื่อง หินนํ้ามัน
2. นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ดศกึ ษา
120°C จากนั้นรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการศึกษา
ระยะเวลา คนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
3-600 ล้านป ปจจุบัน
ภาพที่ 6.64 กระบวนการเกิดหินน�้ามัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.

โลกและการเปลี่ยนแปลง 113

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


ขอใดคือสารประกอบที่อยูในหินนํ้ามัน 1 แพลงกตอน เปนสิง่ มีชวี ติ ขนาดเล็กทีล่ อ งลอยไปตามกระแสนํา้ ไมสามารถ
1. แฮโลเจน เคลื่อนที่ไปยังทิศทางที่ตองการได แบงออกไดเปน 2 ประเภท คือ แพลงกตอน
2. ออกซิเจน พืชและแพลงกตอนสัตว ซึ่งทั้ง 2 กลุม มีสวนสําคัญ คือ เปนแหลงอาหาร
3. เคอโรเจน ของสัตวนาํ้ ชนิดอืน่ ๆ โดยทีแ่ พลงกตอนพืชเปนผูผ ลิตเบือ้ งตนของหวงโซอาหาร
4. ไฮโดรเจน และเปนอาหารของแพลงกตอนสัตว
(วิเคราะหคําตอบ หิ น นํ้ า มั น เป น หิ น ตะกอนที่ มี ส ารประกอบ
เคอโรเจน สีดําเปนชั้นบางๆ แทรกอยูระหวางชั้นหินตะกอน
ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T127
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3. ครูเตรียมบัตรภาพการคมนาคมรูปแบบตางๆ 2. การใช้ประโยชน์จากหินน�้ามัน ส่วนใหญ่นิยมน�าหินน�้ามัน Science in Real Life
ไปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังน�าไปเผาไหม้ด้วย ในปัจจุบันประเทศไทยสามารถ
มาใหนักเรียนดู จากนั้นครูตั้งประเด็นคําถาม ความร้อนทีม่ อี ณุ หภูมปิ ระมาณ 500 องศาเซลเซียส เพือ่ สกัดน�า้ มันและแก๊ส พบแหล่งหินน�้ามันได้ทางตอนบนของ
กระตุนความสนใจนักเรียน โดยใหนักเรียน ไฮโดรคาร์บอนออกจากหินน�้ามันเพื่อน�าไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ โดยหินน�้ามัน ประเทศ โดยเฉพาะที่แหล่งแม่ปะใต้
แตละคนรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น 1,000 กิโลกรัม สามารถสกัดน�้ามันได้ประมาณ 100 ลิตร และผลิตภัณฑ์ที่ อ�าเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึง่ เป็นแหล่ง
สะสมหินน�้ามันขนาดใหญ่ มีปริมาณ
อยางอิสระโดยไมมกี ารเฉลยวาถูกหรือผิด ดังนี้ ได้จากหินน�้ามัน ได้แก่ น�้ามันก๊าด น�้ามันตะเกียง พาราฟิน น�้ามันเชื้อเพลิง ส�ารอง 390 ล้านตัน จากทั้งแอ่งที่มี
• จากบัตรภาพ นักเรียนคิดวาการคมนาคม น�้ามันหล่อลื่น ไข แนฟทา และผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้อื่น ๆ เช่น ปริมาณหินน�้ามันสะสม 620 ล้านตัน
แอมโมเนียมซัลเฟต ส่วนขีเ้ ถ้าและกากทีเ่ หลือสามารถน�าไปใช้ในอุตสาหกรรม
ทางบก ทางนํา้ และทางอากาศ ใชเชือ้ เพลิง
ก่อสร้าง น�าไปผสมกับปูนซีเมนต์หรืออิฐเพือ่ ท�าให้วสั ดุกอ่ สร้างมีคณุ ภาพดีขนึ้
ชนิดเดียวกันหรือไม อยางไร
(แนวตอบ แตกตางกัน บางชนิดใชเปนนํา้ มัน 4.3 ปโตรเลียม
ซึ่ ง นํ้ า มั น แต ล ะชนิ ด มี อ งค ป ระกอบที่ ปิโตรเลียม (petroleum) เป็นเชือ้ เพลิงชนิดหนึง่ ทีเ่ กิดขึน้ เองตามธรรมชาติ ซึง่ เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
แตกตางกัน ขึ้นอยูกับประเภทของรถยนต ที่มีธาตุคาร์บอน (C) และไฮโดรเจน (H) เป็นองค์ประกอบหลัก และมีธาตุอื่น ๆ เช่น ก�ามะถัน (S) ออกซิเจน (O)
บางชนิด บางชนิดใชเปนแกส) ไนโตรเจน (N) อยู่ร่วมด้วย
• กิจกรรมใดในชีวิตประจําวันของนักเรียน 1. การเกิดปิโตรเลียม เกิดจากสัตว์ทะเลที่ตายเมื่อหลายร้อยล้านปีที่แล้วทับถมอยู่ใต้มหาสมุทรเป็น
ที่ใชเชื้อเพลิงจากปโตรเลียม จ�านวนมากจนกลายเป็นหินต้นก�าเนิด (source rock) เมื่อเวลาผ่านไปภายใต้ความร้อนและความดันสูง ท�าให้ไขมัน
จากซากพืชและซากสัตว์ที่อยู่ภายในหินต้นก�าเนิดสลายตัวเป็นน�้ามันปิโตรเลียม ประกอบกับมีแรงกดทับจาก
(แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียน เชน
ชั้นหินต่าง ๆ บีบให้ปิโตรเลียมขึ้นไปสะสมอยู่ในหินอุ้มปิโตรเลียม (reservoir rock) และมีหินปิดทับ (cap rock)
การขั บ เคลื่ อ นรถยนต การหุ ง ต ม อาหาร มาปิดกั้นไว้กลายเป็นแหล่งกักเก็บปิโตรเลียม (petroleum trap)
การจุดไฟตะเกียง)
4. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน จากนั้น
นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล 300-400 ล้านปที่แล้ว 50-100 ล้านปที่แล้ว ปจจุบัน
เกี่ยวกับเรื่อง การเกิดปโตรเลียมและประเภท
ของปโตรเลียม จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร
ม.2 เลม 2
5. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
ศึกษา จากนั้นรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการ
ศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน

ภาพที่ 6.65 กระบวนการเกิดปิโตรเลียม


ที่มา : คลังภาพ อจท.

114

สื่อ Digital ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเกิดปโตรเลียม จากภาพยนตร ขอใดคือความแตกตางระหวางถานหินและหินนํ้ามัน
สารคดีสั้น Twig เรื่อง เชื้อเพลิง : การใช (https://www.twig-aksorn.com/ 1. วัตถุตนกําเนิด
fifilfim/fossil-fuels-use-8134/) 2. ระยะเวลาในการเกิด
3. การนําไปใชประโยชน
4. ความรอนและแรงกดดันที่ไดรับ
(วิเคราะหคําตอบ ถานหินมีตนกําเนิดจากซากพืชทับถมกันที่
แอ ง นํ้ า ส ว นหิ น นํ้ า มั น มี ต  น กํ า เนิ ด จากซากพื ช และซากสั ต ว
ขนาดเล็กทับถมอยูใตแหลงนํ้า ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T128
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
แหล่งกักเก็บปิโตรเลียมเกิดจากการเปลีย่ นรูปของชัน้ หินอุม้ ปิโตรเลียมและชัน้ หินปิดกัน้ เป็นรูปโครงสร้าง 1. ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอผลการศึกษา
ลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
คนควาหนาชัน้ เรียน โดยสุม ออกมาเพียง 4 กลุม
ซึ่งครูเปนคนเลือกวาจะใหกลุมไหนนําเสนอ
โครงสร้างแบบประทุนคว�่า
เกิดจากการหักงอของชั้นหิน ท�าให้มีรูปร่างโค้งคล้ายกระทะ เรื่องอะไร ตามหัวขอเรื่อง ดังนี้
คว�่าหรือหลังเต่า ปิโตรเลียมจะถูกกักเก็บอยู่บริเวณจุดสูงสุด • การเกิดปโตรเลียม
โครงสร้างแบบนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพในการกักเก็บน�้ามันได้ดี • ประเภทของปโตรเลียม
ที่สุด
2. ในระหวางทีน่ กั เรียนนําเสนอ ครูอาจเสนอแนะ
ภาพที่ 6.66 โครงสร้างแบบประทุนคว�่า หรือแทรกขอมูลเพิ่มเติมในเรื่องนั้นๆ เพื่อให
ที่มา : คลังภาพ อจท.
นักเรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตองมากยิง่ ขึน้
3. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม ให นั ก เรี ย นเข า ใจว า
โครงสร้างแบบรอยเลื่อน “ป โ ตรเลี ย มเป น เชื้ อ เพลิ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น เองตาม
เกิดจากการหักงอของชั้นหิน ส่งผลให้แนวการเคลื่อนที่ของ
ชั้นหินมีทิศทางที่แตกต่างกัน ท�าให้ปิโตรเลียมถูกกักเก็บอยู่ใน
ธรรมชาติ ซึ่งปโตรเลียมเกิดจากซากสัตวใน
ช่องที่ปิดกั้น ทะเลตายและจมลงสูพ นื้ ใตทะเล ทับถมนานกวา
หลายรอยป จนกลายเปนหินตนกําเนิด เมือ่ เวลา
ภาพที่ 6.67 โครงสร้างแบบรอยเลื่อน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ผานไปเนือ่ งจากความรอนและแรงกดดัน ทําให
ไขมันจากซากพืชและซากสัตวเหลานีส้ ลายตัว
เปนนํา้ มันปโตรเลียม”
โครงสร้างแบบรูปโดม
เกิดจากชัน้ หินถูกดันให้โก่งตัวด้วยแร่เกลือจนเกิดลักษณะคล้าย
กับโครงสร้างกระทะคว�า่ อันใหญ่ ท�าให้ปโิ ตรเลียมถูกกักเก็บอยู่
บริเวณด้านข้างของโดม

ภาพที่ 6.68 โครงสร้างแบบรูปโดม


ที่มา : คลังภาพ อจท.

โครงสร้างแบบล�าดับชั้น
เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของผิวโลก
ในอดีต ชั้นหินกักเก็บน�้ามันจะถูกล้อมเป็นกระเปาะอยู่ระหว่าง
ชั้นหินเนื้อแน่น น�้ามันและแก๊สจะเคลื่อนเข้าไปรวมตัวกันอยู่ใน
ส่วนโค้งก้นกระทะ โดยมีชั้นหินเนื้อแน่นปิดทับอยู่

ภาพที่ 6.69 โครงสร้างแบบล�าดับชั้น


ที่มา : คลังภาพ อจท.

โลกและการเปลี่ยนแปลง 115

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


ขอใดคือแหลงกักเก็บปโตรเลียมทีม่ ปี ระสิทธิภาพในการกักเก็บนํา้ มัน ครูใหนกั เรียนศึกษาเพิม่ เติมเกีย่ วกับการเกิดถานหิน จากภาพยนตรสารคดี
1. แบบรูปโดม สั้น Twig เรื่อง เชื้อเพลิง : การเกิด (https://www.twig-aksorn.com/fifilm/
2. แบบลําดับชั้น fossil-fuels-formation-8133/)
3. แบบรอยเลื่อน
4. แบบประทุนควํ่า
(วิเคราะหคําตอบ โครงสรางแบบประทุนควํ่ามีประสิทธิภาพใน
การกักเก็บนํ้ามันไดดีที่สุด ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T129
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
4. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน 2. ประเภทของปิโตรเลียม เมื่อใช้สถานะเป็นเกณฑ์ จะสามารถแบ่งปิโตรเลียมออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง 1) น�้ามันดิบ เป็นปิโตรเลียมที่มีสถานะเป็นของเหลว มีสารไฮโดรคาร์บอนเป็นองค์ประกอบอยู่
จ�านวนมาก ส่งผลให้ภายหลังการเผาไหม้จะได้พลังงานสูง มีกลิ่นคล้ายน�้ามันเชื้อเพลิงส�าเร็จรูป แต่บางชนิดจะมี
ความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ ดังนี้ กลิ่นของสารที่เจือปนด้วย เช่น กลิ่นก�ามะถัน กลิ่นไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือแก๊สไข่เน่า
• ปโตรเลียมเกิดขึ้นไดอยางไร โดยทั่วไปน�า้ มันดิบที่สบู ขึ้นมาจะเข้าสูโ่ รงกลั่นน�า้ มันทีม่ ีหอกลัน่ น�้ามัน เนือ่ งจากน�า้ มันดิบไม่สามารถ
(แนวตอบ ปโตรเลียมเกิดจากการทับถมของ น�ามาใช้ประโยชน์ได้ทันที จ�าเป็นต้องผ่านกระบวนการกลั่นล�าดับส่วนก่อนน�าไปใช้งาน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่
ซากพื ช และซากสั ต ว ท ะเลในอดี ต ที่ ต าย เหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์ ดังภาพที่ 6.70
เมื่ อ หลายป ที่ แ ล ว เกิ ด การทั บ ถมอยู  ใ ต
กระบวนการกลั่นน�้ามันดิบ
มหาสมุทรเปนจํานวนมาก และจมลงใตผิว
C1-4
โลกตามการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก) แกสปโตรเลียม
• การสํารวจปโตรเลียมทําไดอยางไร แก๊สบรรจุในกระป๋อง
( แนวตอบ การสํ า รวจป โ ตรเลี ย มต อ งใช 20°C C5-9
แนฟทาเบา
เทคโนโลยีและตนทุนสูง ซึ่งประกอบดวย 3 C5-10 70°C ตัวท�าละลาย
แนฟทาหนัก
ขัน้ ตอน ไดแก การสํารวจทางธรณีวทิ ยา การ เชื้อเพลิงในรถยนต์
สํารวจทางธรณีฟส กิ ส และการเจาะสํารวจ) 120°C C10-16
น�า้ มันกาด
• ปโตรเลียมแบงออกเปนกีป่ ระเภท อะไรบาง C14-20 170°C น�้ามันเครื่องบิน
(แนวตอบ แบงเปน 2 ประเภท ไดแก นํา้ มันดิบ น�า้ มันดีเซล น�้ามันพาราฟิน
น�้ามันดีเซล ส�าหรับ
และแกสธรรมชาติ) เครื่องยนต์ 270°C C20-50
น�า้ มันหล่อลืน

C20-70 350°C จาระบีและน�้ามันเครื่อง
ไขน�า้ มันเตา
เทียนไข เชื้อเพลิงในเรือ
และโรงงานอุตสาหกรรม 600°C >C70
บิทเู มน
ยางมะตอย
น�้ามันดิบ

ภาพที่ 6.70 กระบวนการกลั่นน�้ามันดิบ


ที่มา : คลังภาพ อจท.
Science
Focus หอกลั่นน�้ำมันดิบ
ภายในหอกลั่นน�้ามันดิบมีชั้นกลั่นน�้ามันอยู่หลายชั้น ในแต่ละชั้นจะมีอุณหภูมิแตกต่างกัน โดยชั้นบนจะมีอุณหภูมิต�่า
ส่วนชัน้ ล่างมีอณุ หภูมสิ งู ดังนัน้ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนทีม่ มี วลโมเลกุลและจุดเดือดต�า่ จะระเหยขึน้ ไปและควบแน่นเป็นของเหลว
ในชั้นสูงสุด ส่วนสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีมวลโมเลกุลและจุดเดือดสูงกว่าจะควบแน่นเป็นของเหลวอยู่ในชั้นที่ต�่าลงมา
ตามช่วงอุณหภูมิของจุดเดือดของสารนั้น สารประกอบไฮโดรคาร์บอนบางชนิดที่มีจุดเดือดใกล้เคียงกันจะควบแน่นเป็นของเหลว
ในชั้นเดียวกัน เรียกกระบวนการนี้ว่า การกลั่น (refining)
116

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกลั่น (distillation) เปนการแยกสารละลาย ขอใดเรียงลําดับจุดเดือดของผลิตภัณฑทไี่ ดจากการกลัน่ นํา้ มันดิบ
ที่ประกอบดวยของเหลว 2 ชนิด หรือมากกวา 2 ชนิด ที่มีจุดเดือดแตกตางกัน จากตํ่าไปสูงไดถูกตอง
ออกจากกันโดยใชความรอน การกลัน่ สามารถใชแยกสารผสมทีม่ ขี องแข็งละลาย 1. จาระบี ยางมะตอย แกสมีเทน
อยูในของเหลว โดยการแยกของเหลวที่มีจุดเดือดตํ่ากวาใหระเหยกลายเปนไอ 2. ยางมะตอย นํ้ามันเบนซิน นํ้ามันดีเซล
ออกมากอน สวนของแข็งที่มีจุดเดือดสูงกวาจะเหลืออยูในขวดกลั่น การกลั่น 3. นํ้ามันเบนซิน ไขนํ้ามันเตา นํ้ามันดีเซล
มีหลายประเภท เชน การกลัน่ แบบธรรมดา การกลัน่ แบบไอนํา้ การกลัน่ ลําดับสวน 4. นํ้ามันดีเซล นํ้ามันหลอลื่น ไขนํ้ามันเตา
ซึ่งแตละประเภทจะมีลักษณะแตกตางกัน (วิเคราะหคําตอบ ผลิตภัณฑทไี่ ดจากการกลัน่ นํา้ มันดิบ สามารถ
เรียงลําดับจุดเดือดจากตํ่าไปสูงได ดังนี้ แกสหุงตม แนฟทาเบา
แนฟทาหนัก นํ้ามันกาด นํ้ามันดีเซล นํ้ามันหลอลื่น ไขนํ้ามันเตา
บิทูเมน ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T130
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
2) แกสธรรมชาติ เปนปโตรเลียมที่มีสถานะเปนแกส โดยแกสธรรมชาติที่ขุดเจาะขึ้นมาจากใตพื้นดิน 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
มี 2 ชนิด ดังนี้
- แกสธรรมชาติเหลว (wet gas) ไดแก โพรเพน บิวเทน เพนเทน และเฮกเซน โดยแกสเหลานี้
เรื่อง หินนํ้ามันและปโตรเลียม และใหความรู
จะกลายเปนของเหลวไดงายที่อุณหภูมิตํ่าและความดันสูง ซึ่งสงผลใหกระบวนการขนสงทําไดลําบาก เพิ่มเติมจากคําถามของนักเรียน โดยครูใช
- แกสธรรมชาติ (dry gas) สวนใหญเปนแกสมีเทนเกือบรอยเปอรเซ็นต ทําใหมีราคาสูงกวาแกส PowerPoint เรื่อง หินนํ้ามันและปโตรเลียม
ธรรมชาติชนิดอื่น ในการอธิบายเพิ่มเติม
ดังนั้น กอนการนําแกสธรรมชาติไปใชจําเปนตองผานกระบวนการแยกแกสธรรมชาติที่โรงแยก 2. นักเรียนแตละคนวาดภาพกระบวนการกลั่น
แกสกอน ซึ่งเปนการแยกสารประกอบไฮโดรคารบอนที่ปะปนอยูตามธรรมชาติออกเปนแกสชนิดตาง ๆ เพื่อนําไป นํ้ า มั น ดิ บ และเขี ย นผลิ ต ภั ณ ฑ ที่ ไ ด จ ากการ
ใชประโยชน ดังภาพ
กลัน่ นํา้ มันดิบลงในกระดาษ A4 พรอมตกแตง
เชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟา ใหสวยงาม
C1 3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง หินนํา้ มัน
เชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม และปโตรเลียม จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
ม.2 เลม 2
แกสธรรมชาติสาํ หรับรถยนต (CNG)

C2, C3 ขัน้ สรุป


วัตถุดิบสําหรับอุตสาหกรรมปโตรเคมี
ตรวจสอบผล

C3, C4
นั ก เรี ย นและครู ร  ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
แกสปโตรเลียมเหลวใชเปนเชื้อเพลิงในครัวเรือน หินนํ้ามันและปโตรเลียม
และยานพาหนะ
C5
แกสโซลีนธรรมชาตินําไปผสมเปนนํ้ามันเบนซิน ขัน้ ประเมิน
CO2 ตรวจสอบผล
แกสคารบอนไดออกไซดใชในอุตสาหกรรมผลิตนํ้าอัดลม
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
โรงแยกแกสธรรมชาติ
ภาพที่ 6.71 กระบวนการแยกแกสธรรมชาติ ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ที่มา : https://sites.google.com
Science พฤติกรรมการทํางานกลุม และจากการนําเสนอ
Focus กระบวนการแยกแกสธรรมชาติ ผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
กระบวนการแยกแกสธรรมชาติมีขั้นตอน ดังนี้ 2. ครูตรวจภาพวาดกระบวนการกลั่นนํ้ามันดิบ
1. กําจัดสารปรอท เพื่อปองกันการผุกรอนของทอจากการรวมตัวกับปรอท
2. กําจัดแกส H2S และ CO2 เพื่อปองกันการผุกรอนและอุดตันทอสงแกส 3. ครู ต รวจแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง หิ น นํ้ า มั น และ
3. กําจัดความชื้น เนื่องจากเมื่ออุณหภูมิตํ่าลง ความชื้นหรือไอนํ้าจะกลายเปนนํ้าแข็งอุดตันทอสงแกส ปโตรเลียม จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2
4. แกสธรรมชาติที่ผานขั้นตอนแยกสารประกอบใหมีเพียงสารประกอบไฮโดรคารบอนเทานั้น จะถูกสงไปลดอุณหภูมิ เลม 2
และทําใหขยายตัวอยางรวดเร็ว แกสจะเปลี่ยนสถานะเปนของเหลว จากนั้นสงตอไปยังหอกลั่นเพื่อแยกแกสมีเทน
ออกจากแกสธรรมชาติ
โลกและการเปลี่ยนแปลง 117

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET แนวทางการวัดและประเมินผล


ขอใดคือขั้นตอนกอนนําแกสธรรมชาติไปใชประโยชน ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง หินนํ้ามันและปโตรเลียม
1. การสกัด ไดจากการสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุมและการนําเสนอผลงาน โดยศึกษา
2. การกรอง เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม และ
3. การแยกแกส การนําเสนอผลงาน ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 6
4. การควบแนน
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

(วิเคราะหคําตอบ กอนนําแกสธรรมชาติที่ขุดไดจากใตพ้ืนดินไป คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

ชื่อ–สกุล
การแสดง การยอมรับฟัง
การทางาน
ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
การมี
ส่วนร่วมใน รวม
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

ลาดับที่

1
รายการประเมิน

ความถูกต้องของเนื้อหา
3
ระดับคะแนน
2 1

ใชประโยชนจําเปนตองผานกระบวนการแยกแกส เพื่อกําจัดสาร
ลาดับที่ ความคิดเห็น คนอื่น การปรับปรุง 15   
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน 2 ความคิดสร้างสรรค์   
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 วิธีการนาเสนอผลงาน   
4 การนาไปใช้ประโยชน์   
5 การตรงต่อเวลา   

เจือปน เชน สารปรอท แกสไฮโดรเจนซัลไฟด ความชืน้ แกสมีเทน รวม

ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


............/................./...................

ดังนั้น ตอบขอ 3.) ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่
ให้
ให้
3 คะแนน
2 คะแนน
............./.................../............... ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T131
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. นักเรียนดูวีดิทัศนเกี่ยวกับเรื่อง ปรากฏการณ 4.4 ผลกระทบที่เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์
เรือนกระจก (จาก https://www.youtube. การเผาไหม้เชือ้ เพลิงซากดึกด�าบรรพ์ เช่น ถ่านหิน แก๊สธรรมชาติ น�า้ มัน เพือ่ น�ามาใช้ประโยชน์กอ่ ให้เกิดมลพิษ
ทางอากาศซึง่ เป็นสาเหตุให้เกิดปรากฏการณ์ทมี่ ผี ลต่อการเปลีย่ นแปลงภูมอิ ากาศของโลกและทรัพยากรธรรมชาติทม่ี ี
com/watch?v=jUkWypOxKbM) จากนั้นครู อยูเ่ ดิม เนือ่ งจากการเผาไหม้เชือ้ เพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมล้วนก่อให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นหลัก
สนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับสาเหตุท่ีทําใหเกิด รวมทั้งการเผาไหม้สารไฮโดรคาร์บอนต่าง ๆ ที่มีอยู่ในน�้ามันจะก่อให้เกิดแก๊สมีเทน (CH4) ซึ่งแก๊สเหล่านี้มีสมบัติ
ปรากฏการณเรือนกระจกและปญหาหมอกควัน เป็นแก๊สเรือนกระจก เมื่อลอยขึ้นไปสะสมในชั้นบรรยากาศเป็นจ�านวนมาก จะกักเก็บพลังงานความร้ 1 อนที่ได้รับจาก
2. ครูถามคําถาม จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร แสงอาทิตย์ไม่ให้สะท้อนออกไปยังนอกโลก เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (green house effect)
ม.2 เลม 2 วา “ผลกระทบที่เกิดจากการนํา ส่งผลให้อุณหภูมิภายในโลกเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ เป็นสาเหตุท�าให้เกิดภาวะโลกร้อน (2global warming)
เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพมาใชมีอะไรบาง” ภาวะโลกร้อนท�าให้ภูเขาน�้าแข็งและธารน�้าแข็ง
โดยใหนักเรียนรวมกันอภิปรายแสดงความคิด แถบขัว้ โลกละลาย ระดับน�า้ ทะเลจึงเพิม่ สูงขึน้ เป็นสาเหตุ
เห็นอยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด ให้เกิดอุทกภัยในหลายประเทศ และสัตว์บางชนิดไม่มที อี่ ยู่
(แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียนและ อาศัยและเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ นอกจากนี้ ภาวะโลกร้อน
ดุลยพินจิ ของครูผสู อน ตัวอยางเชน เกิดควันพิษ ยังส่งผลให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนและรุนแรงมากขึน้
เช่น คลื่นความร้อน ความแห้งแล้ง พายุหมุนซึ่งมีความ
CO2 เกิดแกส CO สงผลใหเกิดภาวะโลกรอน) รุนแรงและเกิดขึ้นบ่อย

ขัน้ สอน นอกจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงแล้ว ยังพบว่า ภาพที่ 6.72 วิกฤตการณ์น�้าท่วมกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2554
สํารวจค้นหา ปัจจุบนั มนุษย์ใช้ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม เช่น กล่องโฟม ที่มา : คลังภาพ อจท.
พลาสติกต่าง ๆ จ�านวนมากขึ้นซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจาก
1. นักเรียนแตละคนสํารวจผลกระทบทีเ่ กิดขึน้ จาก ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ย่อยสลายได้ยาก และไม่สามารถท�าลายได้ด้วยการเผา ผลกระทบที ่เกิดจาก
การนําเชื้อเพลิง
การใชเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพภายในชุมชน เนื่องจากการเผาจะส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง และก่อให้เกิดแก๊สพิษต่าง ๆ ซากดึกดําบรรพมาใช
หรือบริเวณใกลตัวของนักเรียน โดยบันทึก เช่น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ที่ มีอะไรบาง

ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน ยากต่อการก�าจัด
2. นักเรียนจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียน จากนั้นให
นักเรียนแตละคูรวมกันศึกษาคนควาขอมูล
เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง ผลกระทบที่ เ กิ ด จากการใช
เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
3. นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ดศกึ ษา
จากนั้นรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการศึกษา
คนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
ภาพที่ 6.73 ปริมาณขยะที่มีแนวโน้มมากขึ้นตามจ�านวนประชากรที่เพิ่มขึ้น
ที่มา : คลังภาพ อจท.

118

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 ปรากฏการณเรือนกระจก คือ ปรากฏการณทโี่ ลกมีอณ ุ หภูมสิ งู ขึน้ เนือ่ งจาก ขอใดไมใชแกสที่เกิดขึ้นหลังจากใชเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ
พลังงานแสงอาทิตยในชวงความยาวคลื่นอินฟราเรดที่สะทอนออกนอกโลก 1. แกสไฮโดรเจน
ถูกดูดกลืนโดยสารทีม่ สี มบัตเิ ปนแกสเรือนกระจก เชน แกสคารบอนไดออกไซด 2. แกสซัลเฟอรไดออกไซด
(CO2) แกสมีเทน (CH4) แกสไนตรัสออกไซด (N2O) และสาร CFCs 3. แกสคารบอนไดออกไซด
2 ภาวะโลกรอน คือ ภาวะทีโ่ ลกมีการเปลีย่ นแปลงภูมอิ ากาศ ทําใหอณ ุ หภูมิ 4. แกสคารบอนมอนอกไซด
เฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้น มีสาเหตุมาจากการกระทําของมนุษย ซึ่งมีผลทําให (วิเคราะหคําตอบ แกสที่เกิดขึ้นหลังจากการเผาไหมเชื้อเพลิง
ปริมาณแกสเรือนกระจกในบรรยากาศเพิ่มมากขึ้นทั้งทางตรงและทางออม ซากดึกดําบรรพ เชน แกสคารบอนไดออกไซด คารบอนมอนอกไซด
ซัลเฟอรไดออกไซด ออกไซดของไนโตรเจน ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T132
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
การเผาไหม้เชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรมทั่วไปของมนุษย์ยังก่อให้เกิดแก๊สซัลเฟอร์- 1. ครูสมุ นักเรียน 5 คน ออกมานําเสนอผลจากการ
ไดออกไซด์ (SO2) และออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) เมือ่ แก๊สท�าปฏิกริ ยิ ากับน�า้ ในชัน้ บรรยากาศจะเกิดเป็นกรดซัลฟิวริก
สํารวจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใชเชื้อเพลิง
(H2SO4) และกรดไนตริก (HNO3) ตามล�าดับ แล้วตกกลับลงมาสู่พื้นผิวโลกในรูปของฝน เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า
ฝนกรด (acid rain) ซึง่ เป็นสาเหตุทา� ให้เกิดการสะสมของสารพิษในทรัพยากรธรรมชาติ ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร ซากดึ ก ดํ า บรรพ ภ ายในชุ ม ชนหน า ชั้ น เรี ย น
ในระบบนิเวศ และสร้างความเสียหายให้กับพืชผลทางการเกษตร และสิ่งก่อสร้างอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ในระหวางทีน่ กั เรียนนําเสนอ ครูอาจเสนอแนะ
กระบวนการเตรียมถ่านหินในโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
ยังก่อให้เกิดฝุน่ ละอองซึง่ ประกอบด้วยสารปรอท เรเดียม 2. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายและสรุปผล
ยูเรเนียม รวมทัง้ โลหะหนัก เช่น ตะกัว่ สารหนู แคดเมียม จากการสํารวจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช
โครเมียม เมื่อสัมผัสหรือสูดดมกับฝุ่นละอองเหล่านี้
เชื้ อ เพลิ ง ซากดึ ก ดํ า บรรพ ภ ายในชุ ม ชน
เข้าไปจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ ก่อให้เกิด
การระคายเคืองต่อผิวหนัง ตา จมูก และคอ ท�าลายระบบ ซึ่ ง ควรได ข  อ สรุ ป ร ว มกั น ว า “การเผาไหม
ประสาทและสมอง ท�าลายตับ ท�าลายระบบภูมิคุ้มกัน เชื้อเพลิงสวนใหญจะกอใหเกิดแกสคารบอน
เป็นสารก่อมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ท�าให้เกิดโรคผิวหนัง ไดออกไซด ซึ่งเปนแกสที่มีสมบัติเปนแกส
โรคโลหิตจาง โรคไต และท�าให้มือ แขน และขาอ่อนแรง เรือนกระจกกอใหเกิดปรากฏการณเรือนกระจก
ภาพที่ 6.74 การเตรียมและการล้างถ่านหิน รวมทั้งส่งผลกระทบต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ ทําใหโลกเกิดภาวะโลกรอนตามมา นอกจากนี้
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แก ส คาร บ อนไดออกไซด เ มื่ อ รวมกั บ นํ้ า ใน
บรรยากาศหรือนํ้าฝนจะตกลงมาเปนฝนกรด
ทํ า ลายพื ช ผลทางการเกษตรและทํ า ลาย
สิ่งกอสรางอาคารบานเรือน”
3. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
วา “แนวทางการใชเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ
มีอะไรบาง”
(แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียนและ
ดุลยพินิจของครูผูสอน ตัวอยางเชน การใช
แผงเซลลสุริยะมาใชผลิตกระแสไฟฟาแทน
การใช พ ลั ง งานจากการเผาไหม เ ชื้ อ เพลิ ง
ซากดึกดําบรรพ)

ภาพที่ 6.75 โรงไฟฟ้าถ่านหิน


ที่มา : คลังภาพ อจท.

โลกและการเปลี่ยนแปลง 119

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ทรัพยากรธรรมชาติ

ลม ถานหิน เชื้อเพลิง
แสงอาทิตย ซากดึกดําบรรพ

การจัดกลุมทรัพยากรธรรมชาติ ดังแผนภาพ ใชอะไรเปนเกณฑ


1. ทรัพยากรหมุนเวียน
2. ทรัพยากรสิ้นเปลือง
3. การใชประโยชนของทรัพยากรทั้ง 2 ชนิด
4. ทรัพยากรหมุนเวียนหรือทรัพยากรสิ้นเปลือง
(วิเคราะหคําตอบ ลมและแสงอาทิตยจัดเปนทรัพยากรหมุนเวียน สวนถานหินและเชื้อเพลิง
ซากดึกดําบรรพจัดเปนทรัพยากรสิ้นเปลือง ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T133
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 4 คน จากนัน้ รวมกัน ในปัจจุบนั จึงมีการน�าเอาเทคโนโลยีทช่ี ว่ ยลดการใช้เชือ้ เพลิงเข้ามาควบคุมกระบวนการผลิต เพือ่ ช่วยลดมลพิษ
ทางอากาศ เช่น เทคโนโลยีถา่ นหินสะอาด (clean coal technology) ซึง่ เป็นกระบวนการดูแลสิง่ แวดล้อมทีค่ รอบคลุม
ศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ กรณี ศึ ก ษา
ขั้นตอนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
ผลกระทบทีเ่ กิดขึน้ จากโรงไฟฟาถานหินแมเมาะ 1. ขัน้ ตอนก่อนการเผาไหม้ เลือกใช้ถา่ นหินทีค่ ณุ ภาพดี เช่น ซับบิท-ู
จากแหลงการเรียนรูตางๆ เชน อินเทอรเน็ต มินัส บิทูมินัส ที่ให้ความร้อนสูง แต่มีปริมาณก�ามะถันต�่า และใช้เทคโนโลยี
แลววิเคราะหเหตุการณและบรรยายผลกระทบ ท�าความสะอาดถ่านหิน เพื่อลดปริมาณแก๊ส SO2
ที่ เ กิ ด ขึ้ น พร อ มนํ า เสนอแนวทางการใช 2. ขั้นตอนระหว่างการเผาไหม้ ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและปรับปรุง
เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพลงในกระดาษ A4 ระบบเตาเผาและหม้อน�า้ ให้มปี ระสิทธิภาพมากขึน้ เพือ่ ลดมลภาวะทีเ่ กิดจาก
2. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ การเผาไหม้
เรื่ อ ง ผลกระทบจากการใช เ ชื้ อ เพลิ ง ซาก 3. ขัน้ ตอนหลังการเผาไหม้ ควบคุมมลภาวะทีป่ ล่อยออกจากโรงงาน
ด้วยการใช้เทคโนโลยี เช่น เครื่องดักจับฝุ่นละออง เครื่องก�าจัดแก๊สพิษ เพื่อ
ดึกดําบรรพ และใหความรูเ พิม่ เติมจากคําถาม ควบคุมให้ควันที่ออกจากโรงงานมีฝุ่นละอองไม่เกิน 80 mg/m3 SO2 ไม่เกิน ภาพที่ 6.76 โรงไฟฟ้ากระบี่ใช้เชื้อเพลิงที่มี
ของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint เรื่อง 180 mg/m3 และ NO2 ไม่เกิน 220 mg/m3 ก�ามะถันต�่า และมีระบบก�าจัดแก๊ส SO2
ที่มา : www.egat.co.th
ผลกระทบจากการใชเชือ้ เพลิงซากดึกดําบรรพ จะเห็นว่า การน�าเชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์มาใช้ประโยชน์ควรค�านึง
ในการอธิบายเพิ่มเติม ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เชื้อเพลิง
3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง ผลกระทบ ซากดึกด�าบรรพ์ยังเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไปเนื่องจากต้องใช้เวลานาน
จากการใช เ ชื้ อ เพลิ ง ซากดึ ก ดํ า บรรพ จาก หลายปีจึงจะเกิดขึ้นใหม่ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ ดังนั้น
เราจึงควรช่วยกันรณรงค์และอนุรกั ษ์พลังงานโดยการสร้างค่านิยมและปลูกจิต
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ส�านึกในการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า ต้องมีการวางแผนก่อนการใช้ และ แนวทางการใชเชื้อเพลิง
ซากดึกดําบรรพ
ควบคุมการใช้พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ขัน้ สรุป รวมทั้งมีการน�าเอาวัสดุที่ช�ารุดมาซ่อมแซม เพื่อหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่
มีอะไรบาง

ตรวจสอบผล หรือหันมาใช้พลังงานทดแทนที่ได้จากธรรมชาติ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์


นั ก เรี ย นและครู ร  ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง พลังงานลม พลังงานน�้า
ผลกระทบจากการใชเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
2. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง ผลกระทบจากการ ภาพที่ 6.77 ทุ่งกังหันลมผลิตไฟฟ้า ณ โครงการชั่งหัวมัน ภาพที่ 6.78 การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติกเพื่อช่วยลดปริมาณขยะ
ที่มา : http://changhuaman9.blogspot.com ที่มา : mypost.com
ใชเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ จากแบบฝกหัด
120
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2

แนวทางการวัดและประเมินผล ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง ผลกระทบจากการใช ขอใดไมใชผลกระทบทีเ่ กิดขึน้ จากการใชเชือ้ เพลิงซากดึกดําบรรพ
เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ ไดจากการนําเสนอผลงาน โดยศึกษาเกณฑการวัด 1. ขาดแคลนอาหาร
และประเมินผลจากแบบประเมินการนําเสนอผลงาน ที่อยูในแผนการจัดการ 2. คุณภาพชีวิตประชากร
เรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 6 3. เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ
4. ทําลายทรัพยากรธรรมชาติ
แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน

ลาดับที่ รายการประเมิน
3
ระดับคะแนน
2 1
(วิเคราะหคําตอบ ผลกระทบที่ เ กิ ด ขึ้ น จากการใช เ ชื้ อ เพลิ ง
ซากดึกดําบรรพมีมากมาย เชน เกิดมลพิษตอสุขภาพและทําลาย
1 ความถูกต้องของเนื้อหา   
2 ความคิดสร้างสรรค์   
3 วิธีการนาเสนอผลงาน   
4 การนาไปใช้ประโยชน์   
5 การตรงต่อเวลา   

รวม

ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


............/................./...................
สภาพแวดลอม นอกจากนี้ ยังทําใหเกิดภัยพิบตั ทิ างธรรมชาติ เชน
เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่
ให้
ให้
3 คะแนน
2 คะแนน
อุทกภัยเนื่องจากภาวะโลกรอน ดังนั้น ตอบขอ 1.)
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T134
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
พลังงานทดแทน เป็นพลังงานทางเลือกใหม่ที่ใช้แทนพลังงานที่ได้จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์ 1. ครูพูดคุยสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับเครื่องใช
ในปัจจุบนั พลังงานทดแทนได้รบั ความนิยมเป็นอย่างมาก เนือ่ งจากเป็นพลังงานทีม่ อี ยูต่ ามธรรมชาติ ซึง่ เป็นพลังงาน
สะอาดที่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ จึงน�าพลังงานกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างไม่จ�ากัด เรียกว่า พลังงาน
ไฟฟาภายในบานที่อํานวยความสะดวกสบาย
หมุนเวียน (renewable energy) สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงานและช่วยลดปัญหาทางมลพิษได้ จากนั้นครูใหนักเรียนยกตัวอยาง มาคนละ
พลังงานทดแทนมีหลายประเภท ดังนี้ 1 ตัวอยาง
1. พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานทดแทน (แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบนักเรียน ตัวอยาง
ประเภทหมุนเวียนที่ใช้แล้วเกิดขึ้นใหม่ได้ตามธรรมชาติ เชน พัดลม เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผา)
เป็นพลังงานทีส่ ะอาด ปราศจากมลพิษ มนุษย์ใช้ประโยชน์ 2. นักเรียนดูวีดิทัศนเกี่ยวกับพลังงาน เรื่อง ถา
จากการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า
ด้วยเทคโนโลยีแสงอาทิตย์ เรียกว่า เซลล์สุริยะหรือ
ไมมีไฟฟาใช (จาก https://www.youtube.
เซลล์แสงอาทิตย์ (solar cell) com/watch?v=OXqN_b4sqLI) จากนั้นครู
ข้อจ�ากัด ความเข้มของพลังงานแสงไม่เพียงพอต่อการ ตั้งประเด็นคําถามกระตุนความสนใจนักเรียน
ผลิตกระแสไฟฟ้า จึงต้องใช้เซลล์แสงอาทิตย์จ�านวน โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง
มาก และพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ความคิดเห็นอยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวา
ภาพที่ 6.79 แผงเซลล์สุริยะผลิตกระแสไฟฟ้าไว้ใช้ภายในบ้าน ดังนั้น พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จะแปรผันตามสภาพ ถูกหรือผิด ดังนี้
ที่มา : คลังภาพ อจท. อากาศ • ถาหากพลังไฟฟาหมดไป นักเรียนจะใชชวี ติ
2. พลังงานลม เป็นพลังงานธรรมชาติซึ่งเกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ ความกดอากาศ และแรง อยางไร
จากการหมุนของโลก ส่งผลให้เกิดความเร็วลมและก�าลังลม พลังงานลมเป็นพลังงานสะอาดที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ (แนวตอบ ขึน้ อยูก บั ความคิดเห็นของนักเรียน)
ต่อสิ่งแวดล้อม มนุษย์จึงคิดค้นเทคโนโลยีที่ใช้แปลงพลังงานลมให้เป็นพลังงานกลหรือกังหันลม เพื่อใช้ในการสูบน�้า
ผลิตกระแสไฟฟ้า และระบายอากาศ • ถาหากพลังไฟฟาหมดไป นักเรียนจะมีวิธี
ข้อจ�ากัด พลังงานลมทีเ่ พียงพอต่อการผลิตกระแสไฟฟ้าต้องใช้ความเร็วลม 21 กิโลเมตรต่อชัว่ โมงขึน้ ไป ซึง่ มีเฉพาะ การแกไขปญหาอยางไร
ในบางพื้นที่ และเกิดขึ้นในบางช่วงเวลาหรือบางฤดูกาลเท่านั้น (แนวตอบ ใชพลังงานธรรมชาติหรือพลังงาน
ทดแทน)

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
นักเรียนแตละคนศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับ
เรื่อง พลังงานทดแทน และขอจํากัดของพลังงาน
ทดแทนแตละประเภท จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร
ม.2 เลม 2 จากนัน้ ใหนกั เรียนเลือกพลังงานทดแทน
มาคนละ 1 ประเภท แลวสรุปขอมูลที่ไดลงใน
ภาพที่ 6.80 กังหันลมผลิตไฟฟ้า
ที่มา : คลังภาพ อจท. กระดาษ A4 พรอมตกแตงใหสวยงาม
โลกและการเปลี่ยนแปลง 121

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


ขอใดเปนแหลงพลังงานทดแทนทีใ่ หญทสี่ ดุ และมีปริมาณมากทีส่ ดุ ครูอาจแนะนําวา ในประเทศไทยสวนใหญใชพลังงานลมกับการวิดนํา้ เขาสู
1. นํ้า พื้นที่เกษตรกรรม เชน นาขาว นาเกลือ สวนการใชพลังงานลมเพื่อผลิตกระแส
2. นิวเคลียร ไฟฟายังคงอยูในขั้นการทดสอบและพัฒนา โดยอุปสรรค คือ กระแสลมมี
3. ไฮโดรเจน ความเร็วตํ่าและไมตอเนื่อง รวมทั้งขาดการสนับสนุนทางดานการลงทุนและ
4. แสงอาทิตย พัฒนาศักยภาพของเทคโนโลยีภายในประเทศ ทําใหมตี น ทุนสูงและมีราคาแพง
(วิเคราะหคําตอบ พลังงานแสงอาทิตยเปนพลังงานทดแทนทีใ่ หญ ซึ่งตนทุนในการผลิตไฟฟาจากพลังงานลมเทากับ 0.2 ดอลลารสหรัฐ (ประมาณ
ที่สุดและมีปริมาณมากที่สุด ดังนั้น ตอบขอ 4.) 9 บาท) ตอกิโลวัตตตอชั่วโมง ดังนั้น การผลิตกระแสไฟฟาจากพลังงานลมใน
ประเทศไทยจึงมีความเปนไปไดทางเศรษฐกิจนอย

T135
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสุมนักเรียน 7 คน ออกมานําเสนอขอมูล 3. พลังงานน�า้ เป็นพลังงานรูปแบบหนึง่ ทีอ่ าศัย
การเคลื่อนที่ของน�้าไปขับเคลื่อนเครื่องจักรในโรงงาน
เกีย่ วกับเรือ่ ง พลังงานทดแทน ซึง่ มีหวั ขอ ดังนี้ สีข้าว โรงงานทอผ้า โรงงานเลื่อยไม้ และโรงงาน
• พลังงานแสงอาทิตย อุตสาหกรรมต่าง ๆ ในปัจจุบันนิยมน�ามาใช้ในการผลิต
• พลังงานลม กระแสไฟฟ้า ซึ่งเรียกว่า ไฟฟ้าพลังน�้า โดยน�้าที่ใช้จะ
• พลังงานนํ้า ถูกปล่อยกลับคืนสูแ่ หล่งน�า้ หรือทะเล ดังนัน้ พลังงานน�า้
• พลังงานชีวมวล จึงสามารถหมุนเวียนน�ากลับมาใช้ใหม่ได้
• พลังงานคลื่น ข้อจ�ากัด ต้องใช้พื้นที่มากในการสร้างเขื่อนซึ่งเป็นการ
ท�าลายสิ่งแวดล้อม และต้องใช้เงินลงทุนสูง นอกจากนี้
• พลังงานความรอนใตพิภพ ภาพที่ 6.81 พลังงานน�้าผลิตกระแสไฟฟ้า
ถ้าเขื่อนพังทลายอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรง
• พลังงานไฮโดรเจน ที่มา : คลังภาพ อจท.
4. พลังงานชีวมวล เป็นพลังงานทีม่ าจากการเผาไหม้สารอินทรียซ์ งึ่ เป็นแหล่งกักเก็บพลังงานจากธรรมชาติ
2. ขณะทีน่ กั เรียนกําลังนําเสนอ ครูอาจเสนอแนะ เพือ่ เป็นแหล่งพลังงานความร้อนให้กบั กระบวนการผลิ ตไฟฟ้าทดแทนพลังงานเชื
หรือแทรกขอมูลเพิ่มเติมในเรื่องนั้นๆ เพื่อให 1 2 อ้ เพลิง นอกจากนี้ ยังสามารถแปรรูป
พลังงานชีวมวลให้อยู่ในรูปของแก๊สชีวภาพ (biogas) และเชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuel) เพื่อน�ามาใช้ขับเคลื่อนรถยนต์
นักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตองมากยิ่งขึ้น ข้อจ�ากัด ชีวมวลเป็นวัสดุที่เหลือใช้จากการแปรรูปทางการเกษตรจึงมีปริมาณที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้า
3. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับเรื่อง อากาศ และการเก็บรักษาชีวมวลค่อนข้างท�าได้ยาก หากจัดเก็บชีวมวลไม่ดีจะส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นรบกวนได้ และ
พลังงานทดแทน และขอจํากัดของพลังงาน มีความเสี่ยงสูงในการจัดหา เนื่องจากราคาชีวมวลมีแนวโน้มสูงขึ้น
ทดแทน ซึ่งควรไดขอสรุปรวมกันวา “พลังงาน 5. พลังงานคลื่น เป็นพลังงานจากคลื่นน�้าใน
ทดแทน เปนพลังงานหมุนเวียนที่สามารถนํา มหาสมุทรซึง่ เป็นแหล่งพลังงานศักย์ขนาดใหญ่สามารถ
น�ามาผลิตกระแสไฟฟ้าได้
กลับมาใชใหมได ซึ่งเปนพลังงานที่สามารถ
ข้อจ�ากัด อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าจาก
สรางขึน้ ใหมไดในระยะเวลาสัน้ ๆ เชน พลังงาน พลังงานคลื่นอาจได้รับความเสียหายจากน�้าทะเล ซึ่ง
แสง พลังงานนํ้า พลังงานลม พลังงานแตละ มีสมบัติกัดกร่อนโลหะ สิ่งมีชีวิตในน�้าทะเลมาเกาะบน
ประเภทล ว นมี ข  อ ดี ที่ เ หมื อ นกั น คื อ เป น อุปกรณ์และขัดขวางการท�างานของอุปกรณ์ ซึ่งเป็น
พลังงานสะอาดและเปนพลังงานที่มีอยูตาม ปัญหาแก่ระบบการผลิตได้ นอกจากนี้ ปัญหาลมพายุ
ธรรมชาติ สามารถสรางขึน้ ใหมไดในระยะเวลา และคลื่นที่แรงมากเกินไปจะท�าให้เกิดความเสียหายกับ ภาพที่ 6.82 อุปกรณ์ผลิตพลัังงานจากคลื่น
อุปกรณ์ และพื้นที่ที่ใช้ติดตั้งอุปกรณ์ต้องมีคลื่นเกิดขึ้น
สัน้ ๆ แตพลังงานแตละประเภทลวนมีขอ จํากัด ที่มา : คลังภาพ อจท.
อย่างสม�่าเสมอ และมีความแรงระดับหนึ่งจึงจะสามารถ
ที่แตกตางกัน” ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้
HOTS พลังงานทดแทนที่นํา
(ค�าถามท้าทายการคิดขั้นสูง)
มาใชผลิตกระแสไฟฟา
เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์กับ ไดแกอะไรบาง
พลังงานทดแทน มีความเหมือน
แนวตอบ H.O.T.S. หรือแตกต่างกัน อย่างไร
เหมือนกัน คือ เปนแหลงพลังงาน แตตางกันที่
เชือ้ เพลิงซากดึกดําบรรพเปนพลังงานทีใ่ ชแลวหมด 122
ไป แตพลังงานทดแทนสามารถนํากลับมาใชใหมได

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 แกสชีวภาพ หรือไบโอแกส คือ แกสที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดจาก ขอใดไมใชแหลงพลังงานหมุนเวียน
การยอยสลายสารอินทรียโดยจุลินทรียภายใตสภาวะที่ปราศจากออกซิเจน 1. ลม
แก ส ชี ว ภาพประกอบด ว ยแก ส หลายชนิ ด ส ว นใหญ เ ป น แก ส มี เ ทน (CH 4) 2. แสงอาทิตย
ประมาณ 50-70% และแกสคารบอนไดออกไซด (CO2) ประมาณ 30-50% 3. แกสชีวภาพ
สวนที่เหลือเปนแกสชนิดอื่นๆ เชน แกสไฮโดรเจน (H2) แกสออกซิเจน (O2) 4. แกสธรรมชาติ
แกสไฮโดรเจนซัลไฟด (H2S) แกสไนโตรเจน (N2) ไอนํ้า (วิเคราะหคําตอบ แกสธรรมชาติ เปนปโตรเลียมที่มีสถานะเปน
2 เชื้อเพลิงชีวภาพ คือ เชื้อเพลิงที่ไดจากชีวมวลหรือสสารที่ไดจากพืชและ แกส ขุดเจาะขึ้นมาจากใตพื้นดิน เปนทรัพยากรที่ใชแลวหมดไป
สัตวดวยกระบวนการสังเคราะหดวยแสง ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T136
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
6. พลังงานความร้อนใต้พิภพ เกิดจากการ 1 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
เคลื่อนตัวของเปลือกโลกท�าให้เกิดแนวรอยเลื่อน น�้าที่
เรื่อง พลังงานทดแทน และใหความรูเพิ่มเติม
อยูบ่ นดินจะไหลผ่านตามแนวรอยแยกลงไปสูช่ นั้ ใต้พภิ พ
ภายใต้ความร้อนและความดันสูง ส่งผลให้น�้ามีอุณหภูมิ จากคําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint
สูงขึ้นกลายเป็นน�้าร้อนหรือไอน�้าแทรกขึ้นมาบนผิวดิน เรื่อง พลังงานทดแทน ในการอธิบายเพิ่มเติม
ตามรอยเลื่อนที่แตกสามารถน�ามาผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 2. นักเรียนทํา Topic Question เรื่อง เชื้อเพลิง
ข้อจ�ากัด พลังงานความร้อนใต้พภิ พเกิดขึน้ เฉพาะท้องถิน่ ซากดึกดําบรรพ จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร
ทีม่ แี หล่งความร้อนใต้พภิ พอยูเ่ ท่านัน้ เช่น ภาคเหนือของ ม.2 เลม 2 ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
ประเทศไทย ซึ่งบริเวณที่มีพลังงานนี้อาจมีกลิ่นเหม็น ภาพที่ 6.83 ไอน�้าร้อนที่พุ่งขึ้นมาบนผิวดินตามรอยเลื่อนของ
3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง พลังงาน
เนื่องมาจากแก๊สเหล่านี้มีส่วนประกอบที่เป็นแก๊สพิษ เปลือกโลก
และแก๊สกัดกร่อน เช่น แก๊สไข่เน่า แก๊สแอมโมเนีย
ที่มา : คลังภาพ อจท. ทดแทน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
แก๊สเรดอน
7. พลังงานไฮโดรเจน ไฮโดรเจนเป็นธาตุทเี่ บาทีส่ ดุ และเป็นองค์ประกอบของน�า้ ทีม่ มี ากทีส่ ดุ บนโลก นอกจากนี้
ยังเป็นธาตุที่รวมอยู่ในโมเลกุลของสารประกอบจ�าพวกไฮโดรคาร์บอนไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ติดไฟง่าย มีความสะอาดสูง
ไม่เป็นพิษ และไม่ท�าลายสิ่งแวดล้อม สามารถน�าแก๊สไฮโดรเจนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้และให้ความร้อน
เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าและขับเคลื่อนรถยนต์ได้
ข้อจ�ากัด มีต้นทุนในการผลิตสูง

ภาพที่ 6.84 โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานความร้อน


ใต้พิภพเป็นเชื้อเพลิงในการผลิต
Topic Question ที่มา : คลังภาพ อจท.

ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
2. ถ่านหินมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
3. หินน�้ามันแตกต่างจากหินอุ้มน�้ามันอย่างไร
4. แหล่งปิโตรเลียมที่มนุษย์น�ามาใช้ประโยชน์คือบริเวณใด
5. ผลกระทบที่เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์มีอะไรบ้าง

โลกและการเปลี่ยนแปลง 123

แนวตอบ Topic Question นักเรียนควรรู


1. 3 ประเภท ไดแก ถานหิน หินนํา้ มัน และปโตรเลียม
2. 5 ประเภท ไดแก พีต ลิกไนต ซับบิทมู นิ สั บิทมู นิ สั และแอนทราไซต 1 รอยเลื่อน คือ รอยแตกในหินที่แสดงการเลื่อน สามารถพบไดทุกภูมิภาค
3. หินนํา้ มันมีปริมาณเคอโรเจนมากกวาหินทีเ่ ปนแหลงกําเนิดปโตรเลียม ในประเทศไทย ขนาดของรอยเลื่อนมีตั้งแตระดับเซนติเมตรไปจนถึงหลายรอย
4. ใตมหาสมุทรซึง่ อยูใ นชัน้ หินอุม ปโตรเลียมและชัน้ หินปดกัน้ กิโลเมตร รอยเลื่อนขนาดใหญสามารถสังเกตไดงายจากลักษณะภูมิประเทศ
5. สงผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม ทําใหเกิดภัยพิบัติทาง อยางไรก็ตาม ในบางพื้นที่รอยเลื่อนอาจถูกฝงอยูใตดิน ทําใหไมสามารถสังเกต
ธรรมชาติ เชน อุทกภัย ภาวะโลกรอน ฝนกรด ไดจากบนพื้นผิวดิน ตองอาศัยการสํารวจทางธรณีฟสิกส รอยเลื่อน แบงออกได
เปน 3 ประเภท ไดแก รอยเลือ่ นปกติ รอยเลือ่ นยอน และรอยเลือ่ นตามแนวระดับ

T137
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
F u n
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน จากนั้นครู
แจงจุดประสงคของกิจกรรม Fun Science Science Activity หินงอก หินยอย
Activity เรือ่ ง หินงอก หินยอย ใหนกั เรียนทราบ
วัสดุอปุ กรณ์
เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติกิจกรรมที่ถูกตอง
1. บีกเกอร์ขนาด 600 มิลลิลิตร
2. สมาชิกภายในกลุมจัดเตรียมวัสดุอุปกรณที่ใช หรือแก้วน�้า 2 ใบ
ในการปฏิบัติกิจกรรม Fun Science Activity 2. สารส้ม 50 กรัม
เรื่ อ ง หิ น งอก หิ น ย อ ย จากหนั ง สื อ เรี ย น 3. เชือกยาว 30 เซนติเมตร
4. น�้า 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนั้นรวมกัน 5. ตะเกียงแอลกอฮอล์ ตะแกรง
ปฏิบัติกิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง พร้อมที่กั้นลม
หินงอก หินยอย ตามขัน้ ตอน จากหนังสือเรียน 6. กระดาษแข็งสี
7. แท่งแก้วคนสาร
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 8. ไม้ขีดไฟ
9. เครื่องชั่งสาร
ภาพที่ 6.85 หินงอก หินย้อย
ที่มา : คลังภาพ อจท. 10. ช้อนตักสาร

วิธที า�
1. เทน�้าลงในบีกเกอร์ปริมาตร 100 ลูกบาศก์ 1 เซนติเมตร แล้วเติมสารส้มลงไป
คนสารละลายจนกระทั่งได้สารละลายอิ่มตัว
2. แบ่งสารละลายสารส้มอิ่มตัวของออกเป็น 2 บีกเกอร์ ให้มีปริมาตรเท่ากัน
3. วางบีกเกอร์ทั้งสองใบให้ห่างกันพอประมาณ และน�ากระดาษแข็งวางระหว่าง
บีกเกอร์ทั้งสองใบ ภาพที่ 6.86 เตรียมสารละลายสารส้ม
4. ตัดเชือกให้มีความยาวพอประมาณ น�าปลายเชือกทั้งสองด้านจุ่มลงในบีกเกอร์ ที่มา : คลังภาพ อจท.
แต่ละใบ และจัดเชือกให้อยู่ต�าแหน่งกึ่งกลางของเชือกห้อยลงไปเหนือแผ่น
กระดาษ
5. ตัง้ สารละลายในข้อ 2. ไว้นาน 20-30 นาที สังเกตการเปลีย่ นแปลงเป็นระยะ แล้ว
ตั้งสารละลายค้างไว้อีก 20-30 นาที สังเกตการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

ภาพที่ 6.87 จัดวางชุดอุปกรณ์


ที่มา : คลังภาพ อจท.

หลักการทางวิทยาศาสตร์
น�้าที่ระเหยออกจากสารส้มเหลือเพียงผลึกสารส้มสะสมตัวมีทิศทางพุ่งลงมาจากเชือก เรียกว่า หินย้อย ส่วนผลึกสารส้ม
ที่สะสมพอกพูนขึ้นบนกระดาษแข็ง เรียกว่า หินงอก

124

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูอาจแนะนํานักเรียนขณะทํากิจกรรม Fun Science Activity เรือ่ ง หินงอก ขอใดไมใชสมการที่เกี่ยวของกับการเกิดหินงอก หินยอย
หินยอย วา ในการเตรียมสารละลายสารสมอิม่ ตัว ไมควรเทสารสมลงไปทัง้ หมด 1. H2O + CO2 H2CO3
แลวคนสารละลายทีหลัง แตใหนักเรียนคอยๆ เติมสารสม แลวคนสารละลาย 2. H2O + 2CO HCO3 + CO2
จนกระทั่งตะกอนหายไปกอนเติมสารสมลงไปอีกแลวคนสารละลาย ทําแบบนี้ 3. H2CO3 + CaCO3 Ca(HCO3)2
ไปจนกระทั่งสังเกตเห็นตะกอนเล็กนอยจึงหยุดเติม 4. Ca(HCO3)2 CaCO3 + H2O + CO2
(วิเคราะหคําตอบ กระบวนการเกิดหินงอก หินยอย มีขั้นตอน
ดังนี้
นักเรียนควรรู ขั้นที่ 1 เกิดฝนกรด : H2O + CO2 H2CO3
1 สารละลายอิ่มตัว คือ สารละลายที่ตัวละลายไมสามารถละลายในตัวทํา ขั้นที่ 2 ปฏิกิริยาเคมีระหวางหินปูนกับฝนกรด :
ละลายไดเพิม่ ขึน้ อีกเมือ่ ตัวทําละลายและอุณหภูมคิ งที่ ซึง่ อาจเปนสารละลายอิม่ ตัว H2CO3 + CaCO3 Ca(HCO3 )2
พอดี หรือสามารถละลายไดอกี เมือ่ เพิม่ ความรอนใหสารละลายอิม่ ตัวกลายเปน ขั้นที่ 3 นํ า้ ระเหยออกจากสารละลาย :
สารละลายอิม่ ตัวยิง่ ยวด Ca(HCO3 )2 CaCO3 + H2O + CO2
ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T138
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู
Science in Real Life 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอผลการ
วิศวกรขุดเจาะบ่อน�้ามัน ปฏิบัติกิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง
หินงอก หินยอย หนาชั้นเรียน ในระหวางที่
ปิโตรเลียม เป็นแหล่งพลังงานส�าคัญที่อยู่ภายใต้เปลือกโลกมหาสมุทร ซึ่งอยู่ในแหล่งกักเก็บใต้ชั้นหิน นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข  อ เสนอแนะ
อุ้มปิโตรเลียม หรือชั้นหินกักเก็บที่อยู่ลึกลงจากพื้นผิวโลกหลายกิโลเมตร จึงจ�าเป็นต้องใช้เครื่องมือในการขุดเจาะ เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
เรียกว่า แท่นขุดเจาะน�้ามัน (oil pumping station) โดยอาศัยหลักการท�างานของความดันเพื่อดันให้ของไหลที่อยู่ 2. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลการปฏิบัติ
ใต้พิภพไหลขึ้นมาบนผิวโลก ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการขุดเจาะน�้ามันมี 2 ประเภท คือ น�้ามันดิบและแก๊สธรรมชาติ กิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง หินงอก
เนือ่ งจากทัง้ สองผลิตภัณฑ์นมี้ สี ถานะแตกต่างกัน จึงถูกน�ามาแยกโดยเครือ่ งแยกสถานะ เข้าสูร่ ะบบรักษาสภาพก่อน
น�าเข้าสู่กระบวนการขนส่ง หินยอยวา “นํ้าที่ระเหยออกจากสารสมเหลือ
เพียงผลึกสารสมสะสมตัว มีทิศทางพุงลงมา
ในกระบวนการขุดเจาะน�า้ มันจึงจ�าเป็นต้องอาศัยผูม้ คี วามรูแ้ ละความ
ช�านาญทางธรณีวทิ ยา และวิศวกรออกแบบการขุดเจาะน�า้ มัน เพือ่ ท�าการ จากเชือก เรียกวา หินยอย สวนผลึกสารสม
ส�ารวจพื้นที่และชี้เป้าซึ่งเป็นต�าแหน่งใต้พื้นดิน หรือพื้นทะเลที่คาดว่าจะ ที่สะสมพอกพูนขึ้นบนกระดาษแข็ง เรียกวา
มีน�้ามัน หรือแก๊สธรรมชาติ จากนั้นจะท�าการประเมินสภาพแวดล้อม หินงอก”
ของเป้า เช่น ระดับความลึกเพื่อใช้ในการพิจารณาเลือกใช้แท่นขุดเจาะ 3. นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล
ให้มีความเหมาะสม จาก Science in Real Life เรื่อง วิศวกร
ภาพที่ 6.88 วิศวกรขุดเจาะน�้ามัน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ขุดเจาะบอนํา้ มัน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร
ม.2 เลม 2

ภาพที่ 6.89 แท่นขุดเจาะน�้ามันกลางทะเล


ที่มา : คลังภาพ อจท.

โลกและการเปลี่ยนแปลง 125

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


เชื้อเพลิงขอใดที่มักพบอยูรวมกับนํ้ามันดิบ ครูใหนกั เรียนศึกษาเพิม่ เติมเกีย่ วกับปโตรเลียม จาก YouTube เรือ่ ง วิธกี าร
1. ถานหิน ขุดเจาะปโตรเลียมในพื้นที่ตางๆ ทําอยางไร? (https://www.youtube.com/
2. นํ้ามันกาด watch?v=_ZKOI2pT3No)
3. แกสโซลีน
4. แกสธรรมชาติ
(วิเคราะหคําตอบ แกสธรรมชาติมักพบอยูรวมกันกับนํ้ามันดิบ
ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T139
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. นั ก เรี ย นตรวจสอบความเข า ใจของตนเอง
Summary
จากกรอบ Self Check เรื่อง โลกและการ
เปลี่ยนแปลง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร
โลกและการเปลี่ยนแปลง
6
ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุดประจําตัว
โครงสร้างและการเปลีย่ นแปลงของโลก
นักเรียน
• โครงสร้างของโลกแบ่งตามองค์ประกอบทางเคมีได้ ดังนี้
2. ครูมอบหมายใหนักเรียนทํา Unit Question
เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลง จากหนังสือ
เปลือกโลก (crust) : มีองค์ประกอบหลักเป็นสารประกอบซิลิคอน (Si)
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยทําลงใน และอะลูมิเนียม (Al)
สมุดประจําตัวนักเรียน เนื้อโลก (mantle) : มีองค์ประกอบหลักเป็นสารประกอบซิลิคอน (Si)
3. นักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนของหนวย แมกนีเซียม (Mg) และเหล็ก (Fe)
การเรียนรูที่ 6 โลกและการเปลี่ยนแปลง เพื่อ แก่นโลก (core) : มีองค์ประกอบหลักเป็นสารประกอบเหล็ก (Fe) และ
เปนการวัดความรูหลังเรียนของนักเรียน นิกเกิล (Ni)
4. นั ก เรี ย นแต ล ะคนนํ า ความรู  ที่ ไ ด จ ากการ ภาพที่ 6.90 โครงสร้างของโลกตามองค์ประกอบทางเคมี
เรียนของหนวยการเรียนรูที่ 6 โลกและการ ที่มา : คลังภาพ อจท.

เปลี่ยนแปลง มาเขียนสรุปเปนผังมโนทัศน • โครงสร้างของโลกแบ่งตามลักษณะทางกายภาพได้ ดังนี้


ลงในกระดาษ A4 พรอมตกแตงใหสวยงาม lithosphere)
ธรณีภาค (lithosphere) 1 2
เป็นชั้นที่ประกอบด้วยเปลือกโลกทวีปและเปลือกโลกมหาสมุทร
ฐานธรณีภาค (asthenosphere)
เป็นชั้นที่มีแมกมา ซึ่งเป็นหินหนืดหรือหินหลอมละลายร้อน
หมุนวนอยู่ภายในโลกอย่างช้า ๆ
เมโซสเฟยร์ (mesosphere)
เป็นชั้นที่มีสถานะเป็นของแข็ง
แก่นโลกชั้นนอก (outer core)
เป็นชั้นที่มีสถานะเป็นของเหลว มีความร้อนสูง
แก่นโลกชั้นใน (inner core)
เป็นชั้นที่มีสถานะเป็นของแข็ง มีความดันและอุณหภูมิสูงมาก
ภาพที่ 6.91 โครงสร้างของโลกตามลักษณะทางกายภาพ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
• การเปลี่ยนแปลงของโลก ได้แก่ การผุพังอยู่กับที่ การกร่อน และการสะสมตัวของตะกอน เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทาง
ธรณีวิทยาที่ท�าให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นภูมิลักษณ์แบบต่าง ๆ เช่น น�้า ลม ธารน�้าแข็ง แรงโน้มถ่วงของโลก สิ่งมีชีวิต
สภาพอากาศ ปฏิกิริยาเคมี

126

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 เปลือกโลกทวีป สวนใหญเปนหินแกรนิต มีองคประกอบสวนใหญเปน ขอใดคือแหลงกําเนิดปโตรเลียม
ซิลคิ อน อะลูมเิ นียม และออกซิเจน มีความหนาเฉลีย่ 35 กิโลเมตร ความหนาแนน 1. บริเวณที่เปลือกโลกเกิดการหดตัวและขยายตัวไมเทากัน
2.7 กรัมตอลูกบาศกเซนติเมตร 2. บริเวณที่ซอนทับกันของพืชบนที่สูงๆ แลวเกิดการหดตัว
2 เปลือกโลกมหาสมุทร สวนใหญเปนหินบะซอลต มีองคประกอบสวนใหญ 3. บริเวณทีม่ กี ารทับถมของซากสิง่ มีชวี ติ อยูใ ตดนิ ใตทะเล เปน
เปนเหล็ก แมกนีเซียม ซิลิคอน และออกซิเจน มีความหนาเฉลี่ย 5 กิโลเมตร ระยะเวลานานๆ
ความหนาแนน 3 กรัมตอลูกบาศกเซนติเมตร เมือ่ เปลือกโลกทวีปและเปลือกโลก 4. บริเวณทีเ่ กิดจากปฏิกริ ยิ าการรวมตัวของสารไฮโดรคารบอน
มหาสมุทรชนกัน เปลือกโลกทวีปจะยกตัวขึน้ สวนเปลือกโลกมหาสมุทรจะจมลง ตางๆ ในสิ่งมีชีวิต
แลวหลอมละลายเปนแมกมาอีกครั้ง (วิเคราะหคําตอบ ปโตรเลียมเกิดจากการทับถมของซากพืชและ
ซากสัตวทที่ บั ถมรวมกับตะกอนทัง้ บนบกและในทะเล เปนระยะเวลา
ยาวนาน ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T140
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ดิน นั ก เรี ย นและครู ร  ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
• กระบวนการเกิดดิน มีล�าดับขั้นตอน ดังนี้ หิ น นํ้ า มั น และป โ ตรเลี ย ม ซึ่ ง ควรได ข  อ สรุ ป
ร ว มกั น ว า “หิ น นํ้ า มั น เป น เชื้ อ เพลิ ง ธรรมชาติ
ซึ่งเกิดจากการทับถมของซากพืชและซากสัตว
ภายใต แหลงนํ้าเปนเวลานาน และปโตรเลียม
เปนเชือ้ เพลิงชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
หินผุพังกลายเป็นหินขนาดเล็ก ซากพืชและสัตว์ถูกทับถมอยู่ในดินกลายเป็น สัตว์ที่อยู่ภายในดินจะช่วยท�าให้ฮิวมัสผสมกับ
ฮิวมัส เศษหินและแร่กลายเป็นดินอุดมสมบูรณ์
ซึ่งเปนสารประกอบไฮโดรคารบอน มี 2 ประเภท
ภาพที่ 6.92 ขั้นตอนการเกิดดิน คือ นํ้ามันดิบและแกสธรรมชาติ ซึ่งกอนนําไป
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ใชจําเปนตองผานกระบวนการกลั่น เพื่อใหได
• ปัจจัยทีท่ า� ให้ดนิ แต่ละท้องถิน่ มีลกั ษณะและสมบัตแิ ตกต่างกัน ได้แก่ วัตถุตน้ ก�าเนิด ภูมอิ ากาศ สิง่ มีชวี ติ ในดิน สภาพภูมปิ ระเทศ
และระยะเวลาในการเกิดดิน ผลิตภัณฑที่เหมาะสมตอการใชประโยชน”
• ชั้นหน้าตัดดิน แบ่งออกเป็น 6 ชั้น โดยเรียกชื่อชั้นดินหลักแต่ละชั้นด้วยการใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษพิมพ์ใหญ่ ได้แก่
O A E B C และ R ซึ่งแต่ละชั้นมีลักษณะแตกต่างกัน
• การปรับปรุงคุณภาพของดิน เช่น การปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อแก้ปัญหาดินจืด การเติมปูนขาวเพื่อแก้ปัญหาดินเปรี้ยว การเติม
ผงก�ามะถันเพื่อแก้ปัญหาดินด่าง

น�า้
• แหล่งน�้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ น�้าผิวดินและน�้าใต้ดิน
น�้าผิวดิน เกิดจากน�้าในบรรยากาศกลั่นตัวเป็นน�้าฝนตกลงมาไหล
จากที่สูงลงสู่ที่ต�่า ซึ่งการไหลของน�้าท�าให้เกิดการกัดเซาะเป็นร่องน�้า
เช่น ล�าธาร คลอง แม่น�้า มหาสมุทร

น�้าในดิน
ระดับน�้าใต้ดิน
น�้าใต้ดิน เกิดจากน�้าผิวดินซึมลงไปสะสมตัวอยู่ใต้พื้นโลก แบ่งออกเป็น
ชั้นหินอุ้มน�้า น�้าในดิน (สะสมในช่องว่างระหว่างเม็ดดิน) และน�้าบาดาล (สะสมอยู่ใน
น�้าบาดาล ชั้นหินกั้นน�้า ช่องว่างระหว่างหิน)
ชั้นหินอุ้มน�้า

ภาพที่ 6.93 แหล่งน�้าบนโลก • ภัยพิบัติจากน�้า


ที่มา : คลังภาพ อจท. น�้าท่วม : เกิดจากพื้นที่หนึ่งได้รับปริมาณน�้ามากเกินกว่าจะ
• การใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์แหล่งน�้า กักเก็บได้
- ใช้ส�าหรับการอุปโภคและบริโภค การกัดเซาะชายฝง : เกิดจากความแรงของน�า้ กัดเซาะชายฝัง
- ใช้เพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ดินถล่ม : เกิดจากการเคลื่อนที่ของมวลดินเนื่องจากแรง
- ใช้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น�้าอื่น ๆ โน้มถ่วงของโลก
- ใช้ในด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วไปของมนุษย์ หลุมยุบ : เกิดจากการถล่มของโพรงถ�้าหินปูน
แผ่นดินทรุด : เกิดจากการยุบตัวของชั้นดิน
โลกและการเปลี่ยนแปลง 127

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


ชั้นหินอุมนํ้าแตกตางกับชั้นหินกั้นนํ้าอยางไร ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับนํ้าใตดิน จากภาพยนตรสารคดีสั้น
1. ชั้นหินกั้นนํ้ามีเนื้อแนน นํ้าซึมผานไดบางบริเวณ Twig เรื่อง ชั้นหินอุมนํ้า (https://www.twig-aksorn.com/fifilm/glossary/
2. ชั้นหินกั้นนํ้ามีเนื้อแนน และยอมใหนํ้าซึมผานได aquifer-6909/)
3. ชั้นหินอุมนํ้ามีชองวางระหวางตะกอนมาก นํ้าจึงซึมผานได
4. ชั้นหินอุมนํ้ามีชองวางระหวางตะกอนมาก แตไมยอมให
นํ้าซึมผาน
(วิเคราะหคําตอบ หิ น ที่ เ ป น แหล ง กั ก เก็ บ นํ้ า บาดาล เรี ย กว า
หินอุม นํา้ และชัน้ หินทีร่ องรับแหลงนํา้ บาดาล เรียกวา ชัน้ หินกัน้ นํา้
ซึ่งเปนชั้นหินหรือชั้นตะกอนที่มีเนื้อแนนจําพวกหินเนื้อตัน เชน
หินทรายแปง หินดินดาน มีสมบัตไิ มยอมใหนาํ้ ซึมผานหรือซึมผานได
แตนอยมาก ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T141
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน เชือ้ เพลิงซากดึกด�าบรรพ์
หนวยการเรียนรูท ี่ 6 โลกและการเปลีย่ นแปลง • ถ่านหิน เป็นเชื้อเพลิงธรรมชาติ หรือหินตะกอนชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการสะสมของซากพืชเป็นเวลานานจนเปลี่ยนสภาพ
เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจหลังเรียนของนักเรียน เป็นถ่านหินประเภทต่าง ๆ
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล พีต เป็นขั้นแรกเริ่มของการเกิดถ่านหิน เกิดจากการทับถมของซากพืชในระยะเวลา
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ ไม่นาน ซากพืชบางส่วนยังสลายตัวไม่หมด ท�าให้ยังคงมองเห็นซากพืช
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
3. ครูตรวจ Topic Question เรื่อง เชื้อเพลิง
ซากดึกดําบรรพ ในสมุดประจําตัวนักเรียน ลิกไนต์ เป็นถ่านหินทีม่ อี ายุการถูกทับถมมากกว่าพีต มีผวิ ด้านสีนา�้ ตาล และมีซากพืช
ที่ยังย่อยสลายไม่หมดเหลืออยู่เล็กน้อย
4. ครูประเมินผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม Fun Science
Activity เรื่อง หินงอก หินยอย
5. ครูตรวจสอบผลการตรวจสอบความเขาใจของ ซับบิทูมินัส เป็นถ่านหินที่มีอายุการถูกทับถมนานกว่าลิกไนต์ มีผิวด้านและเป็นมัน
ตนเองจากกรอบ Self Check เรื่อง โลกและ สีน�้าตาลถึงสีด�า มีทั้งเนื้ออ่อนและเนื้อแข็ง
การเปลี่ยนแปลง ในสมุดประจําตัวนักเรียน
6. ครูตรวจแบบฝกหัด Unit Question เรือ่ ง โลก
และการเปลีย่ นแปลง ในสมุดประจําตัวนักเรียน
บิทูมินัส เป็นถ่านหินที่มีอายุการถูกทับถมนานกว่าซับบิทูมินัส มีเนื้อแน่นสีด�า
7. ครูตรวจแบบฝกหัด เรือ่ ง หินนํา้ มันและปโตรเลียม และมันวาว
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
8. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งาน/ผลงาน
ผังมโนทัศน เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลง แอนทราไซต์ เป็นถ่านหินที่มีอายุการถูกทับถมนานที่สุด มีลักษณะเนื้อแน่น สีด�า
เป็นมันวาว เมื่อน�ามาเผาไหม้จะให้ความร้อนสูง ไม่มีควัน ใช้เป็นแหล่งเชื้อเพลิง
ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ภาพที่ 6.94 ประเภทของถ่านหิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.

• หินน�้ามัน เป็นเชื้อเพลิงธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการทับถมของซากพืชและซากสัตว์ภายใต้แหล่งน�้าเป็นเวลานาน มีสมบัติติด


ไฟได้
• ปิโตรเลียม เป็นเชื้อเพลิงชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนมี 2 ประเภท คือ น�้ามันดิบและ
แก๊สธรรมชาติ ซึ่งก่อนน�าไปใช้ประโยชน์จ�าเป็นต้องผ่านกระบวนกลั่น เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์
• ผลกระทบทีเ่ กิดจากการใช้เชือ้ เพลิงซากดึกด�าบรรพ์ เช่น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ไนตรัสออกไซด์ ก่อให้เกิดฝนกรด ภาวะโลกร้อน
และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก

128

แนวทางการวัดและประเมินผล กิจกรรม ทาทาย


ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลง ใหนักเรียนสํารวจแหลงนํ้าในชุมชนของนักเรียน แลวนํา
ไดจากชิน้ งานผังมโนทัศน ทีส่ รางขึน้ ในขัน้ ขยายความรู โดยศึกษาเกณฑการวัด ความรูที่ไดจากการศึกษาแบงประเภทของแหลงนํ้า พรอมนํา
และประเมินผลจากแบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) ที่อยูในแผนการ เสนอแนวทางการอนุรกั ษแหลงนํา้ ภายในชุมชนของนักเรียน ลงใน
จัดการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 6 กระดาษ A4 ตกแตงใหสวยงาม พรอมนําเสนอขอมูลหนาชัน้ เรียน
แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด)
แบบประเมินผลงานแผนผังมโนทัศน์
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน
ระดับคุณภาพ
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่กาหนด
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ความคิดสร้างสรรค์
4 ความเป็นระเบียบ
รวม

ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


............../................./................
เกณฑ์ประเมินแผนผังมโนทัศน์
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้ อ งกั บ ผลงานสอดคล้ อ งกั บ ผลงานสอดคล้ อ งกั บ ผลงานไม่ สอดคล้ อ ง
จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ถูกต้องของเนื้อหา ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
3. ผลงานมีความคิด ผลงานแส ดงออกถึ ง ผลงานมี แ นวคิ ด แปลก ผลงานมี ค วามน่ า สนใจ ผลงานไม่ แสดงแนวคิ ด
สร้างสรรค์ ควา ม คิ ด ส ร้ า งส ร ร ค์ ใหม่ แ ต่ ยั งไม่ เ ป็ น ระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก ใหม่
แ ป ล ก ใ ห ม่ แ ล ะ เ ป็ น ใหม่
ระบบ
4. ผลงานมีความเป็น ผ ล ง า น มี ค ว า ม เ ป็ น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผ ล ง า น มี ค ว า ม เ ป็ น ผลงานส่ ว นใหญ่ ไม่ เ ป็ น
ระเบียบ ระเบี ย บแสดงออกถึ ง เป็ นร ะ เบี ยบ แ ต่ ยั งมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ร ะ เ บี ย บ แ ล ะ มี ข้ อ
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน บกพร่องมาก

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 7 ปรับปรุง

T142
นํา สอน สรุป ประเมิน

แนวตอบ Self Check


1. ถูก 2. ถูก 3. ผิด
พลังงานทดแทนเป็นพลังงานที่สามารถน�ากลับมาใช้ใหม่ได้ (renewable energy) มีหลายประเภท ดังนี้
4. ถูก 5. ผิด
• พลังงานแสงอาทิตย์ มนุษย์ใช้ประโยชน์จากการใช้พลังงาน
แสงอาทิตย์เพือ่ ผลิตกระแสไฟฟ้า ด้วยเทคโนโลยีแสงอาทิตย์
เรียกว่า เซลล์สุริยะหรือเซลล์แสงอาทิตย์ (solar cell)
ข้อจ�ากัด พลังงานแสงอาทิตย์ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ดังนั้น ภาพที่ 6.95 แผงเซลล์สุริยะ
พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จะแปรผันตามสภาพอากาศ ที ่มา : คลังภาพ อจท.
• พลังงานลม เป็นพลังงานธรรมชาติซึ่งเกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ ความกดอากาศ มนุษย์ใช้ประโยชน์จากลมเพื่อผลิต
กระแสไฟฟ้าจึงคิดค้นเทคโนโลยีพลังงานลม เรียกว่า กังหันลม
ข้อจ�ากัด พลังงานลมมีเฉพาะบางพื้นที่
• พลังงานน�า้ เป็นพลังงานรูปแบบหนึง่ ทีอ่ าศัยการเคลือ่ นทีข่ องน�า้ ไปขับเคลือ่ นเครือ่ งจักรในโรงงานสีขา้ ว โรงงานทอผ้า โรงงานเลือ่ ยไม้
และโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในปัจจุบัน นิยมใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งเรียกว่า ไฟฟ้าพลังน�้า
ข้อจ�ากัด ต้องใช้พื้นที่ในการสร้างเขื่อนกักเก็บน�้าขนาดใหญ่ซึ่งเป็นการท�าลายสิ่งแวดล้อม
• พลังงานชีวมวล เป็นพลังงานที่ได้มาจากการเผาไหม้สารอินทรีย์
ข้อจ�ากัด มีปริมาณไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ และยากต่อการเก็บรักษา
• พลังงานคลื่น เป็นพลังงานจากคลื่นน�้าในมหาสมุทรซึ่งเป็นแหล่งพลังงานศักย์ขนาดใหญ่สามารถน�ามาผลิตกระแสไฟฟ้าได้
ข้อจ�ากัด อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานคลื่นอาจได้รับความเสียหายจากน�้าทะเล
• พลังงานความร้อนใต้พิภพ เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกท�าให้เกิดแนวรอยเลื่อน น�้าที่อยู่บนดินจะไหลผ่านตาม
แนวรอยแยก ภายใต้ความร้อนและความดันสูงส่งผลให้ไอน�้าแทรกขึ้นมาบนผิวดินสามารถน�ามาผลิตกระแสไฟฟ้าได้
ข้อจ�ากัด พลังงานความร้อนใต้พิภพเกิดขึ้นเฉพาะท้องถิ่นที่มีแหล่งความร้อนใต้พิภพอยู่เท่านั้น
• พลังงานไฮโดรเจน สามารถน�าแก๊สไฮโดรเจนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้และให้ความร้อน เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า
และขับเคลื่อนรถยนต์ได้
ข้อจ�ากัด มีต้นทุนในการผลิตสูง

Self Check
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด หากพิจารณาข้อความ
ไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวข้อ
1. เปลือกโลกและเนื้อโลกมีธาตุซิลิคอนเป็นองค์ประกอบ 1.1
2. น�้ากัดเซาะชายฝังเนื่องจากกระบวนการกร่อน 1.2
มุด

3. ชั้นหน้าตัดดินแบ่งออกเป็นชั้น O A D B C และ R 1.3


ในส
ึกลง

บัน

4. การสูบน�้าใต้ดินไปใช้ในปริมาณมากส่งผลให้เกิดแผ่นดินทรุด 3.3
5. หิน หินน�้ามัน และปิโตรเคมี จัดเป็นแหล่งเชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์ 4.

โลกและการเปลี่ยนแปลง 129

กิจกรรม 21st Century Skills สื่อ Digital


ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน นําเสนอแนวทางการใช ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับพลังงานทดแทน จาก YouTube เรื่อง
พลังงานทางเลือกอื่น อยางนอย 3 ขอ เมื่อชุมชนของนักเรียนไมมี พลังงานหมุนเวียน (https://www.youtube.com/watch?v=9e7NPEqjDyY)
กระแสไฟฟาเขามายังชุมชน จากนั้นเขียนสรุปขอมูลที่ไดลงใน
กระดาษ A4 ตกแตงใหสวยงาม พรอมนําเสนอขอมูลหนาชั้นเรียน

T143
นํา สอน สรุป ประเมิน

แนวตอบ Unit Question


1. 3 ชั้น ไดแก เปลือกโลก เนื้อโลก และแกนโลก Unit Question
2. ภาพ ก. คื อ การผุ พั ง อยู  กั บ ที่ เกิ ด จากการ ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
กระทําของนํ้า ลม ธารนํ้าแข็ง แรง 1. องค์ประกอบทางเคมีของโครงสร้างภายในโลกมีกี่ชั้น ได้แก่อะไรบ้าง
โน ม ถ ว งของโลก สิ่ ง มี ชี วิ ต และการ 2. จงอธิบายและระบุประเภทของการเปลี่ยนแปลงทางธรณีในภาพ ก. และ ข.
เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอากาศ
ภาพ ข. คือ การสะสมตัวของตะกอน เกิดจาก
การสะสมตัวของวัตถุจากการนําพา
ของนํ้า ลม หรือธารนํ้าแข็ง
3. หินงอก หินยอย เกิดจากความชืน้ ตางๆ ทีส่ ะสม
อยูในดิน ซึ่งกระบวนการเกิดหินงอก หินยอย
มีขั้นตอน ดังนี้ ก. ข.
ภาพที่ 6.96 การเปลี่ยนแปลงทางธรณี
ขั้นที่ 1 เกิดฝนกรด : ที่มา : คลังภาพ อจท.
H2O + CO2 H2CO3 3. จงอธิบายการเกิดหินงอก หินย้อย และแสดงปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้น
ขั้นที่ 2 ปฏิกริ ยิ าเคมีระหวางหินปูนกับฝนกรด : 4. จงอธิบายขั้นตอนกระบวนการเกิดดิน
H2CO3 + CaCO3 Ca(HCO3 )2 5. จงระบุช่อื ชั้นหน้าตัดดิน ก.-ฉ. และอธิบายลักษณะของดินในแต่ละชั้น
ขั้นที่ 3 นํ้าระเหยออกจากสารละลาย :
Ca(HCO3)2 CaCO3 + H2O + CO2
ก.
4. กระบวนการเกิดดิน แบงออกไดเปน 3 ขั้นตอน ข.
ดังนี้
ขั้นที่ 1 การผุ พั ง อยู  กั บ ที่ แ ละหิ น ต น กํ า เนิ ด ค.
สลายตัวเปนหินที่มีขนาดเล็กลง ง.
ขั้นที่ 2 การทั บ ถมของซากพื ช และซากสั ต ว
จ.
กลายเปนฮิวมัส (humus)
ขั้นที่ 3 ฮิวมัสผสมกับเศษหินและแรกลายเปน
ดินชั้นบนที่อุดมสมบูรณ ฉ.

5. ชั้น O หรือชัน้ อินทรียวัตถุ เปนชัน้ ทีม่ กี ารสะสม


ภาพที่ 6.97 ชั้นหน้าตัดดิน
ของสารอินทรียท ไี่ ดจากพืชและซากสัตว ที่มา : คลังภาพ อจท.
ชั้น A หรือชั้นดินแร ดินมีสีคลํ้า มีอินทรียวัตถุ 130
ผสมอยู
ชัน้ E หรือชัน้ ชะลาง ดินมีสซี ดี จาง เนือ้ ดินหยาบ
ชั้น B หรือชั้นดินลาง ดินมีเนื้อแนน มีการสะสมของแรธาตุตางๆ
ชั้น C หรือชั้นการผุพังของหิน เปนชั้นหินที่มีลักษณะเปนเศษกอนหิน เกิดจากการผุพังของหินตนกําเนิด
ชั้น R หรือชั้นหินพื้นฐาน เปนชั้นหินที่มีลักษณะเปนหินกอนใหญ

T144
นํา สอน สรุป ประเมิน

6. 6.1 ดิน A คือ ดินเปรี้ยว


ดิน B คือ ดินเค็ม
6. พิจารณาสมบัติของดินที่ก�าหนดให้ในตาราง แล้วตอบค�าถามต่อไปนี้ ดิน C คือ ดินจืด
ประเภทดิน สมบัติของดิน ดิน D คือ ดินดาง
A ดินที่ค่า pH ต�่ากว่า 5.5 และมีกรดก�ามะถันอยู่ในชั้นหน้าตัดของดิน 6.2 ดิน A แกปญหาดวยการเติมปูนขาว
B
ดินที่มีความเข้มข้นของเกลือที่อยู่ภายในดินสูง พืชที่เจริญมีลักษณะเหี่ยวและ ดิน B แกปญ  หาดวยการชะลางดวยนํา้ จืด
ใบไหม้ แลวทําทางระบายนํ้าเกลือทิ้ง
C ดินที่มีธาตุอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช ดิน C แกปญหาดวยการปลูกพืชตระกูล
ดินที่มีค่า pH มากกว่า 7 เนื่องจากมีเกลือโซเดียมคลอไรด์ หรือเกลือ ถั่ว หรือใสปุยอินทรียในอัตราสวน
D
โซเดียมคาร์บอเนตปนอยู่ในดิน
ที่เหมาะสม
6.1 ดิน A B C และ D คือดินประเภทใด ตามล�าดับ ดิน D แกปญหาดวยการเติมกํามะถันผง
6.2 จงระบุวิธีแก้ปัญหาดิน A B C และ D ตามล�าดับ เพื่อใหดินปรับสภาพ
7. จงอธิบายการเกิดน�้าผิวดินและน�้าใต้ดิน
7. นํา้ ผิวดิน เกิดจากไอนํา้ ในบรรยากาศควบแนน
8. จงอธิบายการเกิดแม่น�้าและสาเหตุที่ท�าให้แม่น�้ามีรูปร่างคดเคี้ยว เป น เมฆแล ว ตกลงมาเป น ฝนแล ว สะสมอยู 
9. จงอธิบายความแตกต่างระหว่างน�้าในดินและน�้าบาดาล บริเวณผิวดิน และไหลลงมาขังในบริเวณที่ตํ่า
10. จงยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์จากน�้าผิวดินและแนวทางการอนุรักษ์น�้ามาอย่างน้อย 3 ข้อ กลายเปนแองนํ้า สวนนํ้าใตดินเกิดจากนํ้าผิว
11. จงยกตัวอย่างภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากน�้ามาอย่างน้อย 3 ตัวอย่าง พร้อมอธิบายแนวทางการป้องกันการเกิด ดินไหลซึมลงไปอยูใตพื้นดิน
ภัยพิบัตินั้น
8. การกัดเซาะของนํ้าทําใหเกิดรองนํ้าธรรมชาติ
12. จากภาพที่ก�าหนดให้ จงเรียงล�าดับอายุของถ่านหิน ก.-ค. จากมากไปน้อย เมือ่ เวลาผานกระบวนการกัดเซาะเกิดขึน้ อยาง
ตอเนื่อง ทําใหรองนํ้าขนาดเล็กไหลมารวม
กันกลายเปนธารนํ้าและพัดพาตะกอนไปกับ
กระแสนํ้า ขัดสีกับตะกอนที่อยูบริเวณฝงกลาย
เปนแมนํ้าที่มีลักษณะคดเคี้ยว
ก. ข. ค. 9. นํ้าในดิน คือ นํ้าที่ซึมอยูตามชองวางระหวาง
ภาพที่ 6.98 ถ่านหิน เม็ดดิน สวนนํา้ บาดาล คือ นํา้ ทีข่ งั อยูใ นชองวาง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ระหวางหิน
10. ใชอุปโภคและบริโภค ใชเปนเสนทางคมนาคม
ตัวอยางแนวทางการอนุรักษ เชน ปดนํ้าเมื่อ
ไมใช ไมทิ้งขยะลงในนํ้า บําบัดนํ้าเสียดวย
โลกและการเปลี่ยนแปลง 131 เครื่องจักร เชน กังหันวิดนํ้า

11. การกัดเซาะชายฝง ปองกันดวยการสรางสิ่งกีดขวางปองกันแนวชายฝง


หลุมยุบ งดการสูบนํ้าบาดาลมาใชในปริมาณมาก
แผนดินทรุด งดการสูบนํ้าบาดาลมาใชในปริมาณมาก
12. ข. > ค. > ก.

T145
นํา สอน สรุป ประเมิน

13. 13.1 ถานหิน A เพราะซากพืชบางสวนยังสลาย


ไมหมด ทําใหสามารถมองเห็นซากพืช
เปนลําตน กิ่ง และใบ 13. จงพิจารณาข้อมูลในตาราง แล้วตอบค�าถามต่อไปนี้
13.2 ถานหิน C เพราะมีความชืน้ นอย ถานํามา ประเภทถ่านหิน ปริมาณคาร์บอน (%) ปริมาณความชื้น (%)
เผาไหมจะทําใหความรอนสูง ไมมีควัน A 50-60 75-80
B 60-75 50-70
14. หินนํ้ามัน มีสารประกอบเคอโรเจนเปนองค C 90-98 2-5
ประกอบ
13.1 ถ่านหินประเภทใดยังคงมีซากพืชและซากสัตว์เหลืออยู่ เพราะเหตุใด
15. แหลงแมปะใต อําเภอแมสอด จังหวัดตาก 13.2 ถ่านหินประเภทใดให้พลังงานความร้อนสูงที่สุด เพราะเหตุใด
16. ใตมหาสมุทร เพราะเปนแหลงสะสมของซากพืช 14. หินน�้ามันแตกต่างจากถ่านหินอย่างไร
และซากสัตว 15. ในประเทศไทยมีแหล่งสะสมหินน�้ามันขนาดใหญ่อยู่ที่ใด
17. แกสหุงตม เบนซิน นํ้ามันกาด ดีเซล 16. ในธรรมชาติปิโตรเลียมมักพบอยู่ที่บริเวณใด เพราะเหตุใด
18. เพื่อกําจัดสารเจือปน เชน สารปรอท แกส 17. พิจารณาผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นล�าดับส่วนน�้ามันดิบต่อไปนี้ แล้วเรียงล�าดับผลิตภัณฑ์ที่ได้ออกมาเป็น
ไฮโดรเจนซัลไฟด (H2S) แกสคารบอนไดออกไซด ล�าดับแรกจนถึงล�าดับสุดท้าย
(CO2) ความชื้น แกสมีเทน น�้ามันดีเซล น�้ามันก๊าด น�้ามันเบนซิน แก๊สหุงต้ม
19. กอใหเกิดมลภาวะทางอากาศเนื่องจากการ 18. เพราะเหตุใดจึงต้องมีกระบวนการแยกแก๊สธรรมชาติ
เผาไหมปโ ตรเลียม หรือนํามาใชในอุตสาหกรรม 19. จงอธิบายผลกระทบที่เกิดจากการใช้ประโยชน์จากปิโตรเลียม
การผลิต 20. จงยกตัวอย่างพลังงานทดแทนมาอย่างน้อย 2 ประเภท พร้อมอธิบายข้อดีและข้อเสีย
20. พลังงานแสงอาทิตย ขอดี คือ เปนพลังงาน
ธรรมชาติทมี่ ขี นาดใหญ ขอเสีย คือ ความเขม
ของแสงแปรผันตามสภาพอากาศ
พลั ง งานลม ข อ ดี ไม ก  อ ให เ กิ ด มลภาวะ
ขอเสีย ตองใชความเร็วลมที่เหมาะสมจึงจะ
ผลิตกระแสไฟฟาได ซึ่งเกิดเฉพาะในบางพื้นที่

132

T146
นํา สอน สรุป ประเมิน

แนวทางการจัดทํากิจกรรม

S T EM STEM Activity
การเลือกวัสดุสําหรับสรางเรือแพขนของสัมภาระ
Activity
ครูอาจนําวัสดุตาง ๆ เชน ขวดพลาสติก แผน
เรือแพขนของสัมภาระ พลาสติก แผนไมแข็ง แผนเหล็ก มาใหนักเรียน
แพเป็นพาหนะที่ลอยน�้าได้ ส่วนใหญ่ท�ามาจากไม้ซุงหรือไม้ไผ่ ร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ วั ส ดุ ที่ จ ะนํ า มาใช ส ร า ง
แล้วใช้เชือกมัดให้เป็นแพ นิยมน�ามาใช้บรรทุกสินค้าให้ลอยไปตามกระแสน�า้ เรือแพ โดยครูควรแนะนําใหนกั เรียนคํานึงถึงสมบัติ
หรือท�าเป็นเรือนแพใช้เป็นทีอ่ ยูอ่ าศัย เมือ่ เกิดวิกฤตการณ์นา้� ท่วม หรือน�า้ ป่า ของวัสดุทนี่ าํ มาประดิษฐเปนเรือแพวาตองเปนวัสดุ
ไหลหลาก คนจึงใช้แพช่วยขนสัมภาระเนื่องจากแพสามารถลอยน�้าได้ แต่ ที่สามารถลอยนํ้าได เนื่องจากวัสดุที่ลอยนํ้าได
ส�าหรับคนในเมือง การสร้างแพจากไม้ซุงหรือไม้ไผ่ท�าได้ค่อนข้างยาก และ มักมีนํ้าหนักเบา มีความหนาแนนนอยกวานํ้า
อุทกภัยมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หากสามารถประดิษฐ์เรือแพจากวัสดุที่หา
ง่าย เช่น ขวดพลาสติก จะช่วยให้อพยพสัมภาระได้สะดวก รวดเร็ว ช่วยลด
เรือแพขนของสัมภาระ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ความเสียหายที่เกิดขึ้น และลดปริมาณขยะที่เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อน
ไปในตัว
สถานการณ์
คนในหมู่บ้านหนึ่งประสบปัญหาอุทกภัยเนื่องจากฝนตกอย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ส่งผลให้มี
น�้าท่วมสูงหลายหลังคาเรือน และมีแนวโน้มว่าน�้าจะเพิ่มสูงขึ้นในอีก 2 วันข้างหน้า ทางรัฐบาลจึงออกประกาศให้
คนในหมูบ่ า้ นนีต้ อ้ งอพยพไปยังพืน้ ทีท่ ปี่ ลอดภัย จากสถานการณ์ขา้ งต้น นักเรียนจะช่วยชาวบ้านออกแบบเรือแพขน
สัมภาระฝ่าวิกฤตการณ์น�้าท่วมไปได้อย่างไร
เชื่อมโยงสู่ ไอเดีย
ข้อจ�ากัด Science เมือ่ วัตถุอยูใ่ นของเหลวจะมีแรงทีข่ องเหลว
เรือแพที่สร้างขึ้นจะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ กระท�าต่อวัตถุในทุกทิศทาง และกระท�า
ตั้งฉากกับผิวของวัตถุ นอกจากนี้ แรงพยุง
• ลอยน�้าได้ ที่กระท�าต่อวัตถุในของเหลว ส่งผลให้วัตถุ
• สามารถขนสัมภาระที่มีน�้าหนักรวมกันมากกว่า 15 ลอยน�้าได้
กิโลกรัมได้ Technology
• มีขนาดใหญ่ เรือแพขนาดใหญ่ที่ท�าจากวัสดุในท้องถิ่น
ที่มีสมบัติลอยน�้าได้
วัสดุและอุปกรณ์ Engineering
ใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมใน
1. ขวดน�้าพลาสติก 2. พลาสติก การออกแบบและประดิษฐ์แพจากวัสดุที่
3. เครื่องชั่งน�้าหนัก 4. เชือก หาง่ายในท้องถิ่น
5. กาวร้อน 6. ปืนกาวร้อน Mathematics
7. กรรไกร 8. อุปกรณ์เครื่องเขียน รูปทรงเรขาคณิตสามมิตทิ เี่ ลือกใช้ในการ
ออกแบบเรือแพ และการค�านวณแรงพยุง
หรื อ น�้ า หนั ก สิ่ ง ของมากที่ สุ ด ที่ เ รื อ แพ
สามารถรับน�้าหนักได้
133

T147
นํา สอน สรุป ประเมิน

การสรางเรือแพขนสัมภาระ
เมื่อนักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายและ Sci���� Tec���l��� En�i���ri�� M�t���at���

ตัดสินใจเลือกใชอุปกรณที่เหมาะสมแลว ครูควร
ใหนักเรียนรวบรวมขอมูลและวางแผนการทํางาน 1 ระบุปญหา
ดวยการออกแบบชิ้นงาน และระบุอุปกรณทั้งหมด วิเคราะห์สถานการณ์และระบุแนวทาง
การแก้ปญั หา เพือ่ เป็นแนวทางในการ
ที่จะนํามาใช โดยครูควรเนนใหนักเรียนเห็นถึง สร้างสรรค์ชิ้นงาน
ความสําคัญของการใชวัสดุอยางประหยัด โดยเมื่อ
6 น�าเสนอวิธีการแก้ปญหา 2 รวบรวมข้อมูลและแนวคิด
เลือกใชวสั ดุใดในการสรางเรือแพแลว จะไมสามารถ รวบรวมแนวคิดที่ได้และปัญหาที่พบ สืบค้นความรู้และรวบรวมข้อมูล
เปลี่ ย นหรื อ ขอเพิ่ ม ได นอกจากวั ส ดุ ชํ า รุ ด โดย ในกิจกรรม เพื่อน�าเสนอวิธีการแก้ ทีน่ า� ไปแก้ปญั หา แล้วสรุปข้อมูล
ไม ไ ด เ จตนา หลั ง จากนั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม สร า ง ปัญหา ความรู้ที่ได้มาโดยสังเขป
เรือแพขนสินคาเสร็จแลว ใหแตละกลุมตรวจสอบ
ผล โดยลองนํ า เรื อ แพไปลอยในบ อ นํ้ า แล ว
ใหนักเรียนลองวางวัสดุที่มีนํ้าหนัก 15 กิโลกรัม
ขั้นตอน
การทํากิจกรรม
ลงไป หากเรือแพไมสามารถบรรทุกวัสดุทมี่ นี าํ้ หนัก
ดังกลาวได ครูอาจแนะนําใหนักเรียนเพิ่มจํานวน
วั ส ดุ ที่ ใ ช ทํ า เรื อ แพ หรื อ เพิ่ ม พื้ น ที่ ผิ ว สั ม ผั ส ของ
เรือแพ หลังจากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมรวมกัน 5 ทดสอบ ประเมินผล
และปรับปรุงแก้ไข 3 ออกแบบวิธีการแก้ปญหา
วางแผนและดําเนินการแกไขปญหา คิดวิธกี ารแก้ปญั หาและออกแบบ
บันทึกรายละเอียดของชิ้นงาน แล้ว
ทดสอบเพือ่ หาแนวทางการปรับปรุง ชิ้นงานตามแนวทางที่เตรียมไว้
ชิ้นงาน
4 วางแผนและด�าเนินการ
แก้ปญหา
ร่วมกันวางแผนการสร้างสรรค์ชนิ้ งาน
อย่างเป็นล�าดับขัน้ ตอน แล้วตรวจสอบ
การด�าเนินการ หากไม่ตรงตามแผน
การประเมินผลงาน จะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร

เกณฑการประเมิน ระดับคุณภาพ
1 2 3 4 5
• สามารถขนสัมภาระไปทางน�้าได้จริง
• สามารถขนสัมภาระได้จ�านวนมาก และมีน�้าหนักรวมกัน
มากกว่า 15 กิโลกรัม
• ราคาประหยัด
• มีความแข็งแรงทนทาน

134

T148
บรรณานุ ก รม
วรรณทิพา รอดแรงค้า. 2544. การสอนวิทยาศาสตร์ที่เน้นทักษะกระบวนการ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : สถาบัน
พัฒนาคุณภาพวิชาการ.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ, สถาบัน. 2551. หนังสือเรียนรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ 3. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
. 2551. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 5. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
. 2560. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมชุนสหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย.
สถาบันกวดวิชาติวเตอร์พอยท์. 2559. Super Science สรุปวิทยาศาสตร์ ม.ต้น. กรุงเทพมหานคร : กรีนไลฟ์ พริ้นติ้งเฮ้าส์.
อภิญญา แซ่โง้ว. 2560. สรุปและแนวข้อสอบโลกกับดาราศาสตร์. นนทบุรี : ธิงค์ บียอนด์ บุ๊คส์.
Fong, J., Kwan, P.L., Lam, E., Lee, C. and Lim, P.L. 2013. Science Matters Volume B. 2th edition. Malaysia:
Marshall Cavendish Education Pte Ltd.
Heyworth, R. M. 2013. All About Science Volume B. Singapore: Pearson Education South Asia Pte Ltd.
Leng, P.H. 2010. Inscience Express/Normal (Academic) Volume 1. 3rd edition. Singapore: KHL Printing Co Pte Ltd.
. 2010. Inscience Express/Normal (Academic) Volume 2. 3rd edition. Singapore: KHL Printing Co Pte Ltd.
Tay, B. 2007. Biology Insight. Singapore: Pearson Education South Asia Pte Ltd.

T149
Note

....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................

T150
สร้างอนาคตเด็กไทย
ด้วยนวัตกรรมการเรียนรูร
้ ะดับโลก

คู่มือครู
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹ ÇÔ·ÂÒÈÒʵÏáÅÐà·¤â¹âÅÂÕ Á. 2 àÅ‹Á 2

>> ราคาเล่มนักเรียนโปรดดูจากใบสัง
่ ซือ
้ ของ อจท.
คู่มือคูครู
่มือนร.
ครู บร. วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ ม.2ล.2
ฯ ม.2 ล.1

บริษท
ั อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด
142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
โทร. 0 2622 2999 (อัตโนมัติ 20 คูส
่ าย) 8 88 588568 46 94 91 41 42 01 63 54 9
ID Line : @aksornkrumattayom www.aksorn.com อักษรเจริญทัศน์ อจท. 300.-
300.-
ราคานีเ้ ป็นของฉบับคูม
่ อ
ื ครูเท่านัน

You might also like