Professional Documents
Culture Documents
Teacher Script
วิทยาศาสตร์ ม. 2
และเทคโนโลยี
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2
เล่ม 2
ตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด
กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผูเรียบเรียงคูมือครู บรรณาธิการคูมือครู
นางสาวปณณณัท พึ่งพิง นางสาววราภรณ ทวมดี
นายณรงคชัย พงษธะนะ
พิมพครั้งที่ 4
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา 2248031
คํ า แนะนํ า การใช้
คูมือครู รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.2 เลม 2
เลมนี้ จัดทําขึ้นสําหรับใหครูผูสอนใชเปนแนวทางวางแผนการจัดการ
เรียนการสอน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการประกัน
คุณภาพผูเรียนตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
เพ
ของลูกบอลยาง
3. ครูถามคําถามกระตุน ความสนใจของนักเรียน
การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไดอยางมี โดยใชคาํ ถาม Big Question จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ประสิทธิภาพ แรงเสียดทาน
แรงที่เกิดขึ้นระหวางผิวสัมผัสของ
วัตถุสองชิ้น มีทิศทางตรงขามกับ
เพ
จั ด การเรี ย นการสอนทั้ ง หมดของรายวิ ช าก อ นที่ จ ะลงมื อ ตัวชี้วัด
ว 2.2 ม.2/1 พยากรณการเคลื่อนที่ของวัตถุที่เปนผลของแรงลัพธที่เกิดจากแรงหลายแรงที่กระทําตอวัตถุในแนวเดียวกันจากหลักฐานเชิงประจักษ
เพ
แนวตอบ Big Question ว 2.2 ม.2/10 ออกแบบการทดลองและทดลองดวยวิธที เี่ หมาะสมในการอธิบายโมเมนตของแรง เมือ่ วัตถุอยูใ นสภาพสมดุลตอการหมุน และคํานวณโดยใชสมการ
M = Fl
แรงมี ผ ลทํ า ให วั ต ถุ เ ปลี่ ย นแปลงสภาพการ ว 2.2 ม.2/11
ว 2.2 ม.2/12
เปรียบเทียบแหลงของสนามแมเหล็ก สนามไฟฟา และสนามโนมถวง และทิศทางของแรงทีก่ ระทําตอวัตถุทอี่ ยูใ นแตละสนามจากขอมูลทีร่ วบรวมได
เขียนแผนภาพแสดงแรงแมเหล็ก แรงไฟฟา และแรงโนมถวงที่กระทําตอวัตถุ
ในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรูแตละหนวยการเรียนรู
ว 2.2 ม.2/13 วิเคราะหความสัมพันธระหวางขนาดของแรงแมเหล็ก แรงไฟฟา และแรงโนมถวงที่กระทําตอวัตถุที่อยูในสนามนั้น ๆ กับระยะหางจากแหลงของ
เคลื่ อ นที่ ความเร็ ว ทิ ศ ทาง รวมทั้ ง ทํ า ให วั ต ถุ สนามถึงวัตถุจากขอมูลที่รวบรวมได
ว 2.2 ม.2/14 อธิบายและคํานวณอัตราเร็วและความเร็วของการเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยใชสมการ v = st และ v = st จากหลักฐานเชิงประจักษ
เปลี่ยนแปลงรูปรางและขนาด เชน รถยนตที่พุงชน ว 2.2 ม.2/15 เขียนแผนภาพแสดงการกระจัดและความเร็ว
ตนไมดว ยความเร็วหนึง่ แรงทีพ่ งุ ชนตนไมจะสงผล
ใหรถเกิดการชํารุด
ิ่ม Chapter Concept Overview ช ว ยให เ ห็ น ภาพรวม
เพ
Concept และเนื้อหาสําคัญของหนวยการเรียนรู เกร็ดแนะครู
กอนเขาสูการเรียนการสอน เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ ครูอาจใหนักเรียน
ยกตัวอยางแรงที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวันของนักเรียน และผลที่เกิดขึ้นจาก
โซน 1
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
โซน 3 ช่วยครูเตรียมนักเรียน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Understanding Check 4. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอน
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
ประกอบด ว ยแนวทางสํ า หรั บ การจั ด กิ จ กรรมและ
พิจารณาขอความตามความเขาใจของนักเรียนวาถูกหรือผิด แลวบันทึกลงในสมุดบันทึก
1. วัตถุไมหลุดลอยออกไปจากโลกเพราะมีแรงดึงดูดของโลกหรือแรงโนมถวงกระทําตอวัตถุ
ถูก/ผิด Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุด
เสนอแนะแนวขอสอบ เพือ่ อํานวยความสะดวกใหแกครูผสู อน
2. แรงมีหนวยเปนเมตรตอวินาที ประจําตัวนักเรียน
มุ ด
4. ความเร็วเฉลี่ยของวัตถุเปนอัตราสวนของระยะทางทั้งหมดที่วัตถุเคลื่อนที่ตอเวลาทั้งหมดที่ใช
บั น
ดวยจุดประสงคของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร เพื่อชวย
ุนความสนใจ
ใหผูเรียนไดพัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค กระต
คิดวิเคราะห วิจารณ มีทักษะสําคัญในการคนควาหาความรู และมี Eennggagement
1
สาํ xploration
eEvvaluatio ล
ความสามารถในการแกปญหาอยางเปนระบบ ผูจัดทําจึงไดเลือกใช
รวจ
ผ
eE
ตรวจสอบ
n
และคนหา
รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es Instructional Model) 2
5
ซึ่งเปนขั้นตอนการเรียนรูที่มุงเนนใหผูเรียนไดมีโอกาสสราง
องคความรูด ว ยตนเองผานกระบวนการคิดและการลงมือทํา โดยใช
5Es
กระบวนการทางวิทยาศาสตรเปนเครื่องมือสําคัญเพื่อการพัฒนา
bo 4 3
n
El a
tio
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร และทักษะการเรียนรูแหง ratio ana
ขย
รู
คว pl
าม
n E x ว
าย
11. เปรียบเทียบแหล่งของสนามแม่เหล็ก
สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถ่วง และ
ทิศทางของแรงที่กระท�ำต่อวัตถุที่อยู่ใน
แต่ละสนามจากข้อมูลที่รวบรวมได้
(ว 2.2 ม.2/11)
12. เขียนแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก
แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงที่กระท�ำ
ต่อวัตถุ (ว 2.2 ม.2/12)
13. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างขนาด
4 ของแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และ
20
แรงและ แรงโน้มถ่วงที่กระท�ำต่อวัตถุที่อยู่ใน
ชั่วโมง
การเคลื่อนที่ สนามนั้น ๆ กับระยะห่างจากแหล่งของ
(ต่อ) สนามถึงวัตถุจากข้อมูลที่รวบรวมได้
(ว 2.2 ม.2/13)
14. อธิบายและค�ำนวณอัตราเร็วและ
ความเร็วของการเคลื่อนที่ของวัตถุ
โดยใช้สมการ v = st และ v = st
จากหลักฐานเชิงประจักษ์
(ว 2.2 ม.2/14)
15. เขียนแผนภาพแสดงการกระจัด
และความเร็ว (ว 2.2 ม.2/15)
หน่วย
ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้
Chapter
Chapter Teacher
Chapter Title Overview
Concept
Script
Overview
หน่วยการเรียนรูที่ 4 แรงและกำรเคลื่อนที่ T2-T3 T4-T5 T6
• แรง T7 -T35
• การเคลื่อนที่ T36 -T43
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 T44 -T49
T2
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียน 1. อธิบายโมเมนต์ของแรงได้ (K) แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
โมเมนต์ของแรง วิทยาศาสตร์ 2. ค�ำนวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่ หาความรู้ - ป ระเมินการน�ำเสนอ - ทักษะการทดลอง - ใฝ่เรียนรู้
ม.2 เล่ม 2 เกี่ยวข้องกับโมเมนต์ของแรงได้ (5Es ผลงาน - ทักษะการค�ำนวณ - มุ่งมั่นใน
2 - แบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์
(P)
3. ปฏิบตั กิ จิ กรรมสมดุลต่อการหมุน
Instructional - สงั เกตพฤติกรรม
Model) การท�ำงานรายบุคคล
- ทักษะการลง
ความเห็นจาก
การท�ำงาน
ชั่วโมง ม.2 เล่ม 2 และโมเมนต์ ข องแรงได้ อ ย่ า ง - สังเกตพฤติกรรม ข้อมูล
- อุปกรณ์สาธิต ถูกต้องและเป็นล�ำดับขัน้ ตอน (P) การท�ำงานกลุ่ม
การทดลอง 4. มีความใฝ่เรียนรู้และมีความ - สังเกตความมีวินัย
- PowerPoint มุ่งมั่นในการท�ำงาน (A) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน
แผนฯ ที่ 5 - หนังสือเรียน 1. อธิบายความหมายและลักษณะ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
สนามของแรง วิทยาศาสตร์ สนามของแรงได้ (K) หาความรู้ - ต รวจใบงาน เรื่อง - ทักษะการทดลอง - ใฝ่เรียนรู้
ม.2 เล่ม 2 2. เปรี ย บเที ย บแหล่ ง ของสนาม (5Es สนามของแรง - ทักษะการลง - มุ่งมั่นใน
2 - แบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์
แม่เหล็ก สนามไฟฟ้า และสนาม
โน้มถ่วง และทิศทางของแรงที่
Instructional - ประเมินการน�ำเสนอ
Model) ผลงาน
ความเห็นจาก
ข้อมูล
การท�ำงาน
ชั่วโมง ม.2 เล่ม 2 กระท�ำต่อวัตถุทอี่ ยูใ่ นแต่ละสนาม - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการ
- ใบงาน ได้ (K) การท�ำงานรายบุคคล ตีความหมาย
- อุปกรณ์สาธิต 3. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง - สังเกตพฤติกรรม ข้อมูลและการ
การทดลอง ขนาดของแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า การท�ำงานกลุ่ม ลงข้อสรุป
- QR Code เรื่อง และแรงโน้มถ่วงที่กระท�ำต่อวัตถุ - สังเกตความมีวินัย
แรงจากสนาม ที่อยู่ในสนามนั้น ๆ กับระยะห่าง ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ไฟฟ้า จากแหล่งของสนามถึงวัตถุได้ ในการท�ำงาน
- วีดิทัศน์เกี่ยวกับ (K)
การทดลอง 4. เขียนแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก
แรงดึงดูดของ แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงที่
กาลิเลโอ กระท�ำต่อวัตถุได้ (P)
- PowerPoint 5. มีความใฝ่เรียนรู้และมีความ
มุ่งมั่นในการท�ำงาน (A)
แผนฯ ที่ 6 - แบบทดสอบ 1. อธิบายความหมายของอัตราเร็ว แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การเคลื่อนที่ หลังเรียน และความเร็วของการเคลื่อนที่ หาความรู้ หลังเรียน - ทักษะการค�ำนวณ - ใฝ่เรียนรู้
ของวัตถุ - หนังสือเรียน ของวัตถุได้ (K) (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการลง - มุ่งมั่นใน
วิทยาศาสตร์ 2. เขียนแผนภาพแสดงการ Instructional - ตรวจ Topic Question ความเห็นจาก การท�ำงาน
4 ม.2 เล่ม 2
- แบบฝึกหัด
กระจัดและความเร็วได้ (P)
3. ค�ำนวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่
Model) - ตรวจ Unit Question
- ตรวจใบงาน เรื่อง
ข้อมูล
- ทักษะการ
ชั่วโมง วิทยาศาสตร์ เกี่ยวข้องกับอัตราเร็วและ อัตราเร็วและความเร็ว ตีความหมาย
ม.2 เล่ม 2 ความเร็วของการเคลื่อนที่ของ - ประเมินชิ้นงาน ข้อมูลและการ
- ใบความรู้ วัตถุได้ (P) ผังมโนทัศน์ เรื่อง แรง ลงข้อสรุป
- ใบงาน 4. มีความสนใจใฝ่เรียนรู้หรืออยาก และการเคลื่อนที่
- อุปกรณ์สาธิต รู้อยากเห็น และท�ำงานร่วมกับ - ประเมินการน�ำเสนอ
การทดลอง ผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A) ผลงาน
- PowerPoint - สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน
T3
Chapter Concept Overview
แรง
แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ที่มีขนาดและทิศทาง มีหน่วยเป็น นิวตัน (N)
แรงยอยกระทําตอวัตถุไปในทิศทางเดียวกัน แรงยอยกระทําตอวัตถุไปในทิศทางตรงกันขาม
F1 F1 F2
Fลัพธ์ = F1 + F2 Fลัพธ์ = F1 + (-F2)
F2
• ถ้า Fลัพธ์ ≠ 0 วัตถุจะเคลื่อนที่ไปตามแนวแรง
• ถ้า Fลัพธ์ = 0 วัตถุจะไม่เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่
แรงเสียดทาน
แรงเสียดทาน คือ แรงทีเ่ กิดขึน้ ระหว่างทีผ่ วิ สัมผัสของวัตถุ เพือ่ ต้านการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุนนั้ มีทศิ ทางตรงข้ามกับการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ
แรงเสียดทานมี 2 ประเภท คือ ทิศทางการเคลื่อนที่ของกล่องไม้
1. แรงเสียดทานสถิต เกิดขึ้นในขณะที่วัตถุยังไม่เคลื่อนที่
N ผิวสัมผัส
2. แรงเสียดทานจลน์ เกิดขึ้นในขณะที่วัตถุก�าลังเคลื่อนที่
กล่อง f
fs,max = μsN
F พื้น
f k = μ kN
f
ขนาดของแรงเสียดทานจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
W
1. ขนาดของแรงปฏิกิริยาตั้งฉากระหว่างผิวสัมผัส
2. ลักษณะผิวสัมผัส
แรงดันในของเหลว
แรงดันในของเหลว คือ แรงทีข่ องเหลวกระท�าตัง้ ฉากกับผิวของวัตถุตอ่ หนึง่ หน่วยพืน้ ที่
ซึ่งเรียกว่า ความดันของของเหลว h
P = AF
แรงพยุง
แรงพยุง คือ แรงเนื่องจากของเหลวกระท�าต่อวัตถุที่อยู่ในของเหลวซึ่งมีทิศขึ้นในแนวดิ่ง ขนาดของแรงพยุงมีค่าเท่ากับขนาดของ
น�้าหนักของของเหลวที่ถูกวัตถุแทนที่
FB = ρVg 20 N 15 N
ขนาดของแรงพยุง = น�้าหนักของของเหลวที่ถูกวัตถุแทนที่
T4
หนวยการเรียนรูที่ 4
โมเมนต์ของแรง
โมเมนตของแรง คือ แรงที่กระท�าต่อวัตถุโดยไม่ผ่านศูนย์กลางมวลของวัตถุ ซึ่งท�าให้วัตถุหมุนรอบศูนย์กลางมวลของวัตถุ
M = FL
สมดุลตอการหมุน คือ เมือ่ วัตถุอยูใ่ นสมดุลต่อการหมุน ผลรวมของโมเมนต์ทวนเข็มนาฬกาเท่ากับผลรวมของโมเมนต์ตามเข็มนาฬกา
เขียนความสัมพันธ์ได้ ดังนี้
ΣMทวน = ΣMตาม
จุดหมุน
M1 M2
F1 F2
l1 l2
สนามของแรง
• สนามโนมถวง
เมื่อมีแรงโน้มถ่วงกระท�าต่อวัตถุในทิศทางพุ่งเข้าหาวัตถุที่เป็นแหล่งของสนามโน้มถ่วง ส่งผลให้วัตถุตกจากที่สูงลงมาสู่ที่ต�่า
• สนามไฟฟา
เป็นแรงที่เกิดขึ้นบนจุดประจุ เมื่อน�าวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าไปวางไว้ ณ ที่ใด ๆ
+ ++ - + -- - + - + -
• สนามแมเหล็ก
เป็นวัตถุทสี่ ามารถดูดสารแม่เหล็กบางชนิดได้ สนามแม่เหล็กเป็นปริมาณเวกเตอร์ โดยสนามแม่เหล็กโดยรอบแท่งแม่เหล็กจะมีทศิ พุง่
ออกจากขั้วแม่เหล็กเหนือเข้าหาขั้วแม่เหล็กใต้ ส่วนสนามแม่เหล็กภายในแท่งแม่เหล็กจะมีทิศพุ่งจากขั้วแม่เหล็กใต้ไปหาขั้วแม่เหล็กเหนือ
S N N S S N S N
การเคลือ่ นที่
ระยะทาง (s) เป็นปริมาณสเกลาร์ที่มีแต่ขนาด มีหน่วยเป็น เมตร
โดยอัตราส่วนระหว่างระยะทางกับเวลา คือ อัตราเร็ว (v) มีหน่วยเป็น
เมตรต่อวินาที (m/s)
T5
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ หน่วยการเรียนรู้ที่
ตัวชี้วัด
ว 2.2 ม.2/1 พยากรณการเคลื่อนที่ของวัตถุที่เปนผลของแรงลัพธที่เกิดจากแรงหลายแรงที่กระทําตอวัตถุในแนวเดียวกันจากหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2.2 ม.2/2 เขียนแผนภาพแสดงแรงและแรงลัพธที่เกิดจากแรงหลายแรงที่กระทําตอวัตถุในแนวเดียวกัน
ว 2.2 ม.2/3 ออกแบบการทดลองและทดลองดวยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปจจัยที่มีผลตอความดันของของเหลว
ว 2.2 ม.2/4 วิเคราะหแรงพยุงและการจม การลอยของวัตถุในของเหลวจากหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2.2 ม.2/5 เขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระทําตอวัตถุในของเหลว
ว 2.2 ม.2/6 อธิบายแรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทานจลนจากหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2.2 ม.2/7 ออกแบบการทดลองและทดลองดวยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปจจัยที่มีผลตอขนาดของแรงเสียดทาน
ว 2.2 ม.2/8 เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงอื่น ๆ ที่กระทําตอวัตถุ
ว 2.2 ม.2/9 ตระหนักถึงประโยชนของความรูเ รือ่ งแรงเสียดทาน โดยวิเคราะหสถานการณปญ หาและเสนอแนะวิธกี ารลดหรือเพิม่ แรงเสียดทานทีเ่ ปนประโยชน
ตอการทํากิจกรรมในชีวิตประจําวัน
ว 2.2 ม.2/10 ออกแบบการทดลองและทดลองดวยวิธที เี่ หมาะสมในการอธิบายโมเมนตของแรง เมือ่ วัตถุอยูใ นสภาพสมดุลตอการหมุน และคํานวณโดยใชสมการ
M = Fl
แนวตอบ Big Question ว 2.2 ม.2/11 เปรียบเทียบแหลงของสนามแมเหล็ก สนามไฟฟา และสนามโนมถวง และทิศทางของแรงทีก่ ระทําตอวัตถุทอี่ ยูใ นแตละสนามจากขอมูลทีร่ วบรวมได
ว 2.2 ม.2/12 เขียนแผนภาพแสดงแรงแมเหล็ก แรงไฟฟา และแรงโนมถวงที่กระทําตอวัตถุ
แรงมี ผ ลทํ า ให วั ต ถุ เ ปลี่ ย นแปลงสภาพการ ว 2.2 ม.2/13 วิเคราะหความสัมพันธระหวางขนาดของแรงแมเหล็ก แรงไฟฟา และแรงโนมถวงที่กระทําตอวัตถุที่อยูในสนามนั้น ๆ กับระยะหางจากแหลงของ
สนามถึงวัตถุจากขอมูลที่รวบรวมได
เคลื่ อ นที่ ความเร็ ว ทิ ศ ทาง รวมทั้ ง ทํ า ให วั ต ถุ ว 2.2 ม.2/14 อธิบายและคํานวณอัตราเร็วและความเร็วของการเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยใชสมการ v = st และ v = st จากหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2.2 ม.2/15 เขียนแผนภาพแสดงการกระจัดและความเร็ว
เปลี่ยนแปลงรูปรางและขนาด เชน รถยนตที่พุงชน
ตนไมดว ยความเร็วหนึง่ แรงทีพ่ งุ ชนตนไมจะสงผล
ใหรถเกิดการชํารุด
เกร็ดแนะครู
กอนเขาสูการเรียนการสอน เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ ครูอาจใหนักเรียน
ยกตัวอยางแรงที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวันของนักเรียน และผลที่เกิดขึ้นจาก
การกระทําของแรง เพื่อนําไปสูการทํากิจกรรมเกี่ยวกับการหาผลรวมของแรง
หลายแรงที่กระทําตอวัตถุในระนาบเดียวกัน ตัวอยางเชน นักเรียนออกแรงปน
จักรยาน ทําใหจักรยานเคลื่อนที่ไปขางหนา หากออกแรงปนจักรยานใหเร็วขึ้น
จักรยานจะเคลื่อนที่ไปขางหนาไดเร็วขึ้น หรือออกแรงผลักกลองในทิศทางตรง
ขามกัน กลองจะเคลื่อนไปในทิศทางที่มีแรงมากระทํามากกวา
T6
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Understanding Check 4. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอน
พิจารณาขอความตามความเขาใจของนักเรียนวาถูกหรือผิด แลวบันทึกลงในสมุดบันทึก เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
ถูก/ผิด Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น
1. วัตถุไมหลุดลอยออกไปจากโลกเพราะมีแรงดึงดูดของโลกหรือแรงโนมถวงกระทําตอวัตถุ วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุด
2. แรงมีหนวยเปนเมตรตอวินาที ประจําตัวนักเรียน
มุ ด
3. แรงลัพธ คือ ผลรวมของแรงทั้งหมดที่มากระทําตอวัตถุ 5. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
นส
งใ
ล
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 เพื่อเปนการ
ทึ ก
4. ความเร็วเฉลี่ยของวัตถุเปนอัตราสวนของระยะทางทั้งหมดที่วัตถุเคลื่อนที่ตอเวลาทั้งหมดที่ใช
บั น
ในการเคลื่อนที่ นํ า เข า สู บ ทเรี ย นและตรวจสอบความรู เ ดิ ม
5. อัตราเร็วเฉลี่ยของวัตถุเปนอัตราสวนของระยะทางทั้งหมดที่วัตถุเคลื่อนที่ตอเวลาทั้งหมดที่ใช เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง แรงและการเคลื่ อ นที่ ของ
ในการเคลื่อนที่ นักเรียน
Prior
Knowledge
1 แรง ขัน้ สอน
แรงมีสวนเกี่ยวของกับกิจกรรมตาง ๆ ในชีวิตประจําวันของ สํารวจค้นหา
วัตถุทอ่ี ยูน
งิ่ ถูกทําให
เคลือ่ นทีไ่ ดอยางไร
มนุษย โดยแรงที่มากระทํากับวัตถุ เชน แรงผลัก แรงโนมถวง 1. นั ก เรี ย นจั บ คู กั บ เพื่ อ นในชั้ น เรี ย น จากนั้ น
แรงดึง แรงแมเหล็ก มีผลทําใหวัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปรางหรือ
ร ว มกั น ศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
สภาพการเคลื่อนที่
ความหมายของแรง จากหนั ง สื อ เรี ย น
แรง (force) คือ ปริมาณทีก่ ระทําตอวัตถุแลวทําใหวตั ถุเกิดการเปลีย่ นแปลงสภาพการเคลือ่ นทีห่ รือเปลีย่ นแปลง วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หรือแหลงการเรียนรู
รูปราง เชน การออกแรงเข็นรถเข็นทําใหรถเข็นที่อยูนิ่งเกิดการเคลื่อนที่ การออกแรงปนดินนํ้ามันทําใหดินนํ้ามัน
ตางๆ เชน อินเทอรเน็ต
เปลี่ยนแปลงรูปราง แรงมีหนวยเปนนิวตัน (N)
แรงเปนปริมาณเวกเตอร (vector quantity) จึงตองระบุทั้งขนาดและ 2. นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ดศกึ ษา
ทิศทาง ซึ่งสัญลักษณที่ใชแทนปริมาณเวกเตอรมีหลายรูปแบบ ดังนี้ แรงคืออะไร และมีผลต่อ จากนั้นรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการศึกษา
1. แทนดวยลูกศร โดยที่ขนาดของความยาวลูกศรแทนขนาดของ วัตถุอย่างไร
ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
เวกเตอร และหัวลูกศรแทนทิศทางของเวกเตอร เชน
2. แทนดวยตัวอักษรและมีลูกศรกํากับ เชน F หรือ F
3. แทนดวยตัวอักษรตัวหนา เชน F
4. แทนดวยสัญลักษณ AB คือ เวกเตอรที่มี A เปนจุดเริ่มตน และ B เปนจุดสุดทาย
ถาพิจารณาเพียงแคขนาดของแรงสามารถเขียนสัญลักษณ F แทนขนาดของแรง โดยในหนวยการเรียนรูแ รง แนวตอบ Understanding Check
และการเคลือ่ นทีน่ จี้ ะใชสญั ลักษณ F แทนขนาดของแรงทีก่ ระทําตอวัตถุในแนวเดียวกัน และใชการเขียนเครือ่ งหมาย 1. ถูก 2. ผิด 3. ถูก 4. ผิด 5. ถูก
บวก (+) และเครื่องหมายลบ (-) หนาขนาดของแรงเพื่อเปนการบอกทิศทางของแรงที่กระทําตอวัตถุ กลาวคือ
ถากําหนดใหแรงทีก่ ระทําตอวัตถุมที ศิ ไปทางขวามือเปนบวก ดังนัน้ แรงทีก่ ระทําตอวัตถุมที ศิ ไปทางซายมือจะเปนลบ แนวตอบ Prior Knowledge
สามารถเขียนเครื่องหมายหนาขนาดของแรง เชน แรงขนาด 1 นิวตัน กระทําตอวัตถุในทิศทางขวามือจะเขียนเปน
F = 1 N และแรงขนาด 1 นิวตัน กระทําตอวัตถุในทิศทางซายมือจะเขียนเปน F = -1 N วัตถุทอี่ ยูน งิ่ สามารถเคลือ่ นทีไ่ ดเนือ่ งจากมีแรง
มากระทํา โดยแรงที่มากระทําตอวัตถุอาจสัมผัส
แรงและการเคลื่อนที่ 3 หรือไมสัมผัสกับวัตถุโดยตรง เชน แรงดึง แรงผลัก
แรงดัน แรงโนมถวง แรงไฟฟา แรงแมเหล็ก
T7
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสุมนักเรียน 3 คู ออกมานําเสนอผลการ การเขียนภาพเวกเตอรแทนแรงสามารถเขียนได โดยเขียนลูกศรแทนแรงทีม่ ากระทําและหัวลูกศรแทนทิศทาง
ของแรงที่มากระทําตอวัตถุ ดังภาพที่ 4.1
ศึ ก ษาหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ นั ก เรี ย น บอกขนาดของแรง เชน F = 5 N
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม F
คือ แรงที่กระทําตอวัตถุมีขนาด 5 นิวตัน
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง ลูกศรบอกทิศทางของแรงทีก่ ระทํากับวัตถุ
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา “แรง
ภาพที่ 4.1 การเขียนภาพเวกเตอรแทนแรงที่ใชในการดึงกลองไม
เปนปริมาณเวกเตอรที่ทั้งขนาดและทิศทาง ที่มา : คลังภาพ อจท.
สามารถเขียนแทนดวยเสนตรง โดยความยาว
เนื่องจากแรงเปนปริมาณเวกเตอร สามารถนํามาเขียนโดยใชแผนภาพได ดังนี้
ของเสนแทนขนาดของแรง และตองสอดคลอง 1. เขียนเวกเตอรดวยเสนตรงแทนแรง โดยความยาวของเสนตรงแทนขนาดของแรงและตองสอดคลองกับ
กับมาตราสวนทีก่ าํ หนด โดยหัวของลูกศรจะชี้ มาตราสวนที่กําหนด เชน ตองการเขียนเวกเตอรแทนแรง 300 นิวตัน โดยใชมาตราสวน 1 เซนติเมตร
ไปในทิศทางที่แรงกระทํา” ตอ 100 นิวตัน (1 cm : 100 N) ดังนั้น ตองเขียนเสนตรงที่มีความยาว 3 เซนติเมตร
3. นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 4.1-4.3 จากหนังสือ 2. กําหนดหัวลูกศรไปในทิศทางที่แรงกระทํา
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนั้นครูเขียน ตัวอย่างที่ 4.1 จงเขียนแรงที่มีขนาด 400 นิวตัน และมีทิศทางไปทางทิศตะวันออก
โจทย เ พิ่ ม เติ ม บนกระดาน โดยให นั ก เรี ย น N
วิธีเขียน กําหนดให 1 เซนติเมตร เทากับ 40 นิวตัน
แตละคนเขียนแผนภาพ ลงในสมุดประจําตัว W E
F = 400 N S
นักเรียน ตัวอยางโจทย เชน จงเขียนแรงที่
มีขนาด 500 นิวตัน ที่มีทิศไปทางตะวันตก มาตราสวน 1 cm : 40 N
เฉียงเหนือ
4. ครู สุ ม เลขที่ นั ก เรี ย น 4 คน ออกมาเขี ย น ตัวอย่างที่ 4.2 จงเขียนแรงที่มีขนาด 250 นิวตัน และมีทิศทางไปทางทิศตะวันตก
คําตอบของตนเองหนาชั้นเรียน โดยใหเพื่อน N
วิธีเขียน กําหนดให 1 เซนติเมตร เทากับ 50 นิวตัน
W E
ในชั้นเรียนรวมกันพิจารณาวาคําตอบถูกตอง S
F = 250 N
หรือไม จากนั้นครูเฉลยคําตอบที่ถูกตองให มาตราสวน 1 cm : 50 N
นักเรียน
5. นักเรียนจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียนตามความ ตัวอย่างที่ 4.3 จงเขียนแรงที่มีขนาด 2,100 นิวตัน และมีทิศทางไปทางทิศเหนือ
สมัครใจ จากนั้นใหนักเรียนแตละคูรวมกันทํา
วิธีเขียน กําหนดให 1 เซนติเมตร เทากับ 700 นิวตัน
ใบงาน เรื่อง แรง N
W E
F = 2,100 N S
มาตราสวน 1 cm : 700 N
ขอใดกลาวถูกตอง
1. F1 = F2 = F3 = F4 2. F1 = F2 และ F3 = F4
3. F1 = F3 และ F2 = F4 4. F1 = F4 และ F2 = F3
( วิเคราะหคําตอบ F 1 = F 3 และ F 2 = F 4 จึ ง จะทํ า ให วั ต ถุ
หยุดนิ่ง ดังนั้น ตอบขอ 3.)
T8
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
เมื่อมีแรงย่อยตั้งแต่ 2 แรงขึ้นไปมากระท�าต่อวัตถุ จะส่งผลให้ว1ัตถุเปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนที่ โดยขึ้น 1. นักเรียนแบงกลุมออกเปน 6 กลุม กลุมละ
อยู่กับผลรวมของแรงที่มากระท�าต่อวัตถุ เรียกแรงดังกล่าวว่า แรงลัพธ์ (resultant force) ซึ่งวัตถุจะเคลื่อนที่ไปใน เทาๆ กัน จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมสง
ทิศทางเดียวกับแรงลัพธ์ ตัวแทนออกมาจับสลากหัวขอที่ศึกษา โดยให
การหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์สามารถใช้วิธีเดียวกับการหาเวกเตอร์ลัพธ์ โดยพิจารณาทิศทางของ
นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล
แรงย่อยทุกแรงทีม่ ากระท�าต่อวัตถุ ในกรณีทตี่ อ้ งการหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์เมือ่ แรงย่อยอยูใ่ นแนวเดียวกัน
เราจะก�าหนดให้แรงทีม่ ที ศิ ทางตรงข้ามกันมีเครือ่ งหมายต่างกัน เช่น ก�าหนดให้แรงทีก่ ระท�าต่อวัตถุทมี่ ที ศิ ทางไปทาง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ขวามือมีเครื่องหมายบวก และให้แรงที่กระท�าต่อวัตถุที่มีทิศทางไปทางซ้ายมือมีเครื่องหมายลบ หรือแหลงการเรียนรูตางๆ เชน อินเทอรเน็ต
เมื่อแรงย่อยอยู่ในแนวเดียวกัน แรงลัพธ์ที่มากระท�าต่อวัตถุสามารถหาได้ ดังนี้ หองสมุด ซึ่งหัวขอประกอบดวย
1. แรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงย่อยที่อยู่ในแนวเดียวกันมากระท�ากับวัตถุในทิศทางเดียวกัน • กลุม ที่ 1-2 ศึกษาเกีย่ วกับแรงลัพธทเี่ กิดจาก
แรงยอยที่อยูในแนวเดียวกันมากระทํากับ
F1 = 4 N
วัตถุในทิศทางเดียวกัน
F2 = 4 N • กลุม ที่ 3-4 ศึกษาเกีย่ วกับแรงลัพธทเี่ กิดจาก
ภาพที่ 4.2 แรง F1 และ F2 กระท�ากับวัตถุในทิศทางเดียวกัน แรงยอยที่อยูในแนวเดียวกันมากระทํากับ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
วัตถุในทิศทางตรงขามกัน
จากภาพที่ 4.2 สามารถเขียนแผนภาพของแรง F1 และ F2 แล้วหาแรงลัพธ์ที่กระท�าต่อวัตถุ โดยใช้วิธี • กลุม ที่ 5-6 ศึกษาเกีย่ วกับกฎของความเฉือ่ ย
หางต่อหัวได้ ดังนี้
ก�าหนดให้ 1 เซนติเมตร เท่ากับ 1 นิวตัน จึงเขียนแรง F1 และ F2 ได้เป็น 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
F1 = 4 N ศึกษา จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมรวมกัน
สรุปความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงใน
F2 = 4 N สมุดประจําตัวนักเรียน
หาแรงลัพธ์ที่เกิดจาก F1 + F2 โดยการน�าหางของแรง F2 มาต่อกับหัวลูกศรของแรง F1
F1 = 4 N F2 = 4 N
F1 = 4 N F2 = 4 N
ดังนั้น แรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงย่อยที่อยู่ในแนวเดียวกันมากระท�ากับวัตถุในทิศทางเดียวกันจะมีขนาดเท่ากับ
ผลรวมขนาดของแรงย่อยที่มากระท�าต่อวัตถุ และมีทิศทางไปในทิศทางเดียวกับทิศทางของแรงย่อย โดยขนาดของ
แรงลัพธ์เขียนแทนด้วย Fลัพธ์ หาได้ ดังสมการ
Fลัพธ์ = F1 + F2
แรงและการเคลื่อนที่ 5
T9
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผลการ 2. แรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงย่อยที่อยู่ในแนวเดียวกันมากระท�ากับวัตถุในทิศทางตรงข้ามกัน
ศึ ก ษาหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ นั ก เรี ย น
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม F2 = 3 N F1 = 7 N
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
2. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม ให นั ก เรี ย นเข า ใจว า
“แรงลัพธ คือ ผลรวมของแรงทั้งหมดที่กระทํา ภาพที่ 4.3 แรง F1 และ F2 กระท�าต่อวัตถุในทิศทางตรงข้ามกัน โดยแรง F1 และ F2 มีขนาดไม่เท่ากัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ตอวัตถุ สามารถหาแรงลัพธของแรงที่กระทํา
ตอวัตถุที่อยูนิ่งในแนวเดียวกัน ซึ่งสามารถ จากภาพที่ 4.3 สามารถเขียนแผนภาพของแรง F1 และ F2 แล้วหาแรงลัพธ์ที่มากระท�าต่อวัตถุ โดยใช้วิธี
พิจารณาได คือ การหาแรงลัพธที่เกิดจาก หางต่อหัวได้ ดังนี้
ก�าหนดให้ 1 เซนติเมตร เท่ากับ 1 นิวตัน จึงเขียนแรง F1 และ F2 ได้เป็น
แรงยอยที่อยูในแนวเดียวกันมากระทํากับวัตถุ F2 = 3 N
ในทิศทางเดียวกัน แรงลัพธที่เกิดจากแรงยอย
ที่ อ ยู ใ นแนวเดี ย วกั น มากระทํ า กั บ วั ต ถุ ใ น F1 = 7 N
ทิศทางตรงขามกัน และการหาแรงลัพธของ
แรงที่กระทําตอวัตถุในทิศทางตั้งฉากกัน” หาแรงลัพธ์ที่เกิดจาก F1 + F2 โดยการน�าหางของแรง F2 มาต่อกับหัวลูกศรของแรง F1
F2 = 3 N
F1 = 7 N
แรงลัพธ์ที่ได้เกิดจากการลากเส้นตรงจากหางลูกศรของแรง F1 ไปยังหัวลูกศรของแรง F2
Fลัพธ์ = 4 N
F2 = 3 N
F1 = 7 N
แรงลัพธ์ท่ีเกิดจากแรงย่อยที่อยู่ในแนวเดียวกันมากระท�ากับวัตถุในทิศทางตรงข้ามกันจะมีขนาดเท่ากับ
ผลรวมของแรงย่อยทีม่ ากระท�าต่อวัตถุ ซึง่ ก�าหนดให้แรงทีก่ ระท�าต่อวัตถุทมี่ ที ศิ ไปทางขวามือเป็นแรง F1 มีคา่ เป็นบวก
ดังนั้น แรงที่มากระท�าต่อวัตถุที่มีทิศไปทางซ้ายมือเป็นแรง F2 มีค่าเป็นลบ และมีทิศทางไปในทิศทางเดียวกับแรง
ย่อยที่มีขนาดมากกว่า โดยขนาดของแรงลัพธ์เขียนแทนด้วย Fลัพธ์ หาได้จากผลรวมของแรงย่อย แต่เนื่องจากแรง
ย่อยที่มากระท�าต่อวัตถุที่ทิศทางตรงข้ามกัน ขนาดของแรงลัพธ์จึงหาได้ ดังสมการ
Fลัพธ์ = F1 + (-F2)
T10
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
แต่ถ้าแรง F1 และ F2 ที่มากระท�าต่อวัตถุมีขนาดเท่ากัน ดังภาพที่ 4.4 3. นักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษาตัวอยางที่
F2 = 4 N F1 = 4 N 4.4-4.7 จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2 จากนั้นรวมกันทําใบงาน เรื่อง แรงลัพธ
4. ครูสุมนักเรียน 3 กลุม ออกมาเขียนคําตอบ
ภาพที่ 4.4 แรง F1 และ F2 กระท�าต่อวัตถุในทิศทางตรงข้ามกัน โดยแรง F1 และ F2 มีขนาดเท่ากัน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ของตนเองหน า ชั้ น เรี ย น โดยให เ พื่ อ นใน
จากภาพที่ 4.4 สามารถเขียนแผนภาพของแรง F1 และ F2 แล้วหาแรงลัพธ์ที่มากระท�าต่อวัตถุ โดยใช้วิธีหาง ชั้ น เรี ย นร ว มกั น พิ จ ารณาว า คํ า ตอบถู ก ต อ ง
ต่อหัวได้ ดังนี้ หรื อ ไม จากนั้ น ครู เ ฉลยคํ า ตอบที่ ถู ก ต อ ง
ก�าหนดให้ 1 เซนติเมตร เท่ากับ 1 นิวตัน จึงเขียนแรง F1 และ F2 ได้เป็น ใหนักเรียน
F2 = 4 N
F1 = 4 N
F2 = 4 N
F1 = 4 N
Fลัพธ์ = 0
แรงและการเคลื่อนที่ 7
T11
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
5. ครู เ ขี ย นโจทย เ พิ่ ม เติ ม บนกระดาน โดยให ตัวอย่างที่ 4.4 นักเรียนสองคนออกแรงผลักโตะที่ตั้งอยูบนพื้นลื่นไมมีความฝดใหเคลื่อนที่ไปทางขวามือ
นักเรียนลอกโจทยและแสดงวิธีทําลงในสมุด ดวยขนาด 20 และ 40 นิวตัน จงคํานวณหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ
ประจําตัวนักเรียน วิธีทํา กําหนดให นักเรียนคนที่ 1 ออกแรงผลัก F1 ขนาด 20 นิวตัน และนักเรียนคนที่ 2 ออกแรงผลัก F2
ตัวอยางโจทย ขนาด 40 นิวตัน โดยมีทิศทางที่กระทําตอโตะ ดังภาพที่ 4.6
กําหนดให แรง F1 = 10 N F2 = 20 N และ
F3 = 10 N มากระทําตอกลอง ดังภาพ จงหา
F1 = 20 N
ขนาดและทิศทางของแรงลัพธ
F2 = 40 N
1) F1
F2
ภาพที่ 4.6 ขนาดและทิศทางของแรง F1 และ F2 ที่กระทําตอโตะ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
2) F1 F2
กําหนดให 1 เซนติเมตร เทากับ 10 นิวตัน จึงเขียนแรง F1 และ F2 ไดเปน
F1 = 20 N
3) F1 F1
F3
F2 = 40 N
4) F1 F3 เขียนแผนภาพของแรง F1 และ F2 และหาแรงลัพธที่มากระทําตอโตะ โดยใชวิธีหางตอหัวได ดังนี้
F2
นําหางของแรง F2 มาตอกับหัวลูกศรของแรง F1 แลวลากเสนตรงจากหางลูกศรของแรง F1 ไปยังหัวลูกศร
ของแรง F2 จะไดเปน Fลัพธ
Fลัพธ = 60 N
F1 = 20 N F2 = 40 N
ขนาดของแรงลัพธหาไดจากสมการ Fลัพธ = F1 + F2
Fลัพธ = 20 N + 40 N
Fลัพธ = 60 N
ดังนั้น แรงลัพธที่มากระทําตอโตะมีขนาด 60 นิวตัน
T12
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ตัวอย่างที่ 4.5 ชายสองคนออกแรงผลักตูไมที่หยุดนิ่งบนพื้นเรียบลื่น โดยชายคนที่ 1 ออกแรง F1 ผลักตูไม 6. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม ให นั ก เรี ย นเข า ใจว า
ดวยแรงขนาด 50 นิวตัน ชายคนที่สองออกแรง F2 ผลักตูไมดวยแรงขนาด 30 นิวตัน ดังภาพ “แรงลั พ ธ ที่ เ กิ ด จากแรงย อ ยที่ อ ยู ใ นแนว
ที่ 4.7 จงคํานวณหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ
เดี ย วกั น ถ า หากแรงย อ ยที่ ม ากระทํ า มี ทิ ศ
ไปทางเดียวกัน ขนาดของแรงลัพธจะมีคา
เทากับผลบวกของแรงยอย ถาหากแรงยอย
ที่ ม ากระทํ า มี ทิ ศ ตรงข า มกั น ขนาดของ
F1 = 50 N F2 = 30 N แรงลัพธจะมีคาเทากับผลตางของแรงยอย
โดยอาจกําหนดใหแรงที่มากระทําตอวัตถุที่
มีทิศทางไปทางขวามีคาเปนบวก และแรง
ที่มากระทําตอวัตถุที่มีทิศทางไปทางซายมีคา
ภาพที่ 4.7 ขนาดของแรงที่ชายทั้งสองกระทําตอตูไม เปนลบ แตถาแรงที่มากระทําตอวัตถุมีขนาด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เท า กั น และมี ทิ ศ ทางตรงข า มกั น แรงลั พ ธ
วิธีทํา กําหนดให 1 เซนติเมตร เทากับ 10 นิวตัน จึงเขียนแรง F1 และ F2 ไดเปน จะมีคาเทากับศูนย วัตถุจะรักษาสภาพการ
F1 = 50 N เคลื่อนที่เดิม”
F2 = 30 N
แรงและการเคลื่อนที่ 9
T13
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ ตัวอย่างที่ 4.6 แรง 2 แรงกระทําตอวัตถุที่หยุดนิ่ง โดยมีแรงดึงวัตถุไปทางขวามือ 60 นิวตัน และมีแรงดึง
เรื่อง การหาแรงลัพธของวัตถุ และใหความรู วัตถุไปทางซายมือ 40 นิวตัน จงหาแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุและวัตถุนี้มีทิศทางการเคลื่อนที่
เพิ่มเติมจากคําถามของนักเรียน โดยครูใช อยางไร (สมมติวาพื้นลื่นไมมีความฝด)
PowerPoint เรื่อง การหาแรงลัพธของวัตถุ วิธีทํา สามารถเขียนแผนภาพแรงที่กระทําตอวัตถุได ดังภาพที่ 4.8
ในการอธิบายเพิ่มเติม
2. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง การหา F2 = 40 N F1 = 60 N
แรงลัพธของวัตถุ จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
ม.2 เลม 2
ภาพที่ 4.8 ขนาดและทิศทางของแรง F1 และ F2 ที่กระทําตอวัตถุ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล กําหนดให 1 เซนติเมตร เทากับ 10 นิวตัน จึงเขียนแรง F1 และ F2 ไดเปน
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ การหา F1 = 60 N
แรงลัพธของวัตถุ ซึง่ ควรไดขอ สรุปรวมกันวา “แรง
คื อ ปริ ม าณที่ ก ระทํ า ต อ วั ต ถุ แล ว ทํ า ให วั ต ถุ
F2 = 40 N
เกิ ด การเปลี่ ย นแปลงสภาพการเคลื่ อ นที่ หรื อ
เปลี่ยนแปลงรูปราง แรงเปนปริมาณเวกเตอร เขียนแผนภาพของแรง F1 และ F2 แลวหาแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุ โดยใชวิธีหางตอหัวได ดังนี้
ต อ งระบุ ทั้ ง ขนาดและทิ ศ ทาง แรงลั พ ธ คื อ
F1 = 60 N
ผลรวมของแรงทั้งหมดที่กระทําตอวัตถุ การหา
แรงลั พ ธ ทํ า ได โ ดยการเขี ย นแผนภาพของแรง F2 = 40 N
แลวหาแรงลัพธโดยใชวิธีหางตอหัว”
Fลัพธ = 20 N
10
T14
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
ตัวอยางที่ 4.7 ครอบครัวหนึ่งออกแรงผลักกล่องไม้ที่หยุดนิ่ง โดยพ่อและแม่ออกแรงผลักไปทางขวาคนละ 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน
20 นิวตัน น้องสาวที่อยู่ฝังตรงข้ามออกแรงดึงกล่องไม้ 10 นิวตัน พี่ชายที่อยู่ฝังเดียวกับ หนวยการเรียนรูท ี่ 4 แรงและการเคลือ่ นที่ เพือ่
น้องสาวออกแรงผลักกล่องไม้ไปทางซ้าย 50 นิวตัน จงค�านวณหาขนาดของแรงลัพธ์ที่กระท�า ตรวจสอบความเขาใจกอนเรียนของนักเรียน
ต่อกล่องไม้
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
วิธีท�า ก�าหนดให้ พ่อออกแรงผลัก F1 ขนาด 20 นิวตัน แม่ออกแรงผลัก F2 ขนาด 20 นิวตัน น้องสาวออก ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
แรงดึง F3 ขนาด 10 นิวตัน และพีช่ ายออกแรงผลัก F4 ขนาด 50 นิวตัน โดยมีทศิ ทางกระท�าต่อกล่องไม้ พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ
ดังภาพที่ 4.9
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
F1 = 20 N F3 = 10 N
3. ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนกอนเขาสู
F2 = 20 N F4 = 50 N กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Under-
standing Check ในสมุดประจําตัวนักเรียน
ภาพที่ 4.9 ขนาดและทิศทางของแรง F1 F2 F3 และ F4 ที่กระท�ากับกล่องไม้
ที่มา : คลังภาพ อจท. 4. ครูตรวจสอบผลการทําใบงาน เรื่อง แรง
ก�าหนดให้ 1 เซนติเมตร เท่ากับ 10 นิวตัน จึงเขียนแรง F1 F2 F3 และ F4 ได้เป็น 5. ครูตรวจสอบผลการทําใบงาน เรื่อง แรงลัพธ
F1 = 20 N 6. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง การหาแรงลัพธของ
F2 = 20 N วัตถุ จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
F3 = 10 N
F4 = 50 N
F4 = 50 N
ก�าหนดให้แรงทีก่ ระท�าต่อวัตถุทมี่ ที ศิ ทางไปทางขวามือมีคา่ เป็นบวก และแรงทีก่ ระท�าต่อวัตถุทมี่ ที ศิ ทาง
ไปทางซ้ายมือมีค่าเป็นลบ ขนาดของแรงลัพธ์จึงหาได้จาก
Fลัพธ์ = F1 + F2 + F3 + (-F4)
Fลัพธ์ = 20 N + 20 N + 10 N + (-50 N)
Fลัพธ์ = 0 N
ดังนั้น แรงลัพธ์ที่กระท�าต่อกล่องไม้มีค่าเท่ากับศูนย์ กล่องไม้จึงไม่เคลื่อนที่
แรงและการเคลื่อนที่ 11
ออกมานําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม ลาดับที่
ชื่อ–สกุล
ของนักเรียน
การแสดง
ความคิดเห็น
การยอมรับฟัง
คนอื่น
การทางาน
ตามที่ได้รับ
มอบหมาย
ความมีน้าใจ
การมี
ส่วนร่วมใน
การปรับปรุง
ผลงานกลุ่ม
รวม
15
คะแนน
ลาดับที่
1
2
รายการประเมิน
ความถูกต้องของเนื้อหา
ความคิดสร้างสรรค์
3
ระดับคะแนน
2 1
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
3 วิธีการนาเสนอผลงาน
4 การนาไปใช้ประโยชน์
F1
F2
5 การตรงต่อเวลา
รวม
เกณฑ์การให้คะแนน
วัตถุ
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
............./.................../...............
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ 8–10 พอใช้
F3
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T15
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับแรงเสียดทาน ในชีวิตประจําวันของเราจะพบเห็นแรงตาง ๆ ที่มากระทําตอวัตถุมากมาย เชน แรงเสียดทาน แรงดันใน
ของเหลว แรงพยุง
จากนัน้ ครูถามคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
วา “ในชีวิตประจําวันกิจกรรมใดบางที่ทําให 1.1 แรงเสียดทาน
แรงเสียดทาน (frictional force; f) เปนแรงที่เกิดขึ้นระหวางผิวสัมผัสของวัตถุ เพื่อตานความพยายามใน
เกิดแรงเสียดทาน” โดยใหนักเรียนแตละคน การเคลื่อนที่ของวัตถุ จากภาพที่ 4.10 เมื่อออกแรงผลักกลองไมใหเคลื่อนที่ไปขางหนา จะมีแรงเสียดทานเกิดขึ้น
รวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นอยางอิสระ ที่ผิวสัมผัสระหวางกลองไมและพื้นในทิศตรงขามกับทิศทางการเคลื่อนที่ของกลองไม หากวัตถุมีนํ้าหนัก (W) มาก
โดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด แรงที่วัตถุกระทําหรือกดพื้นจะมีคามาก สงผลใหพื้นออกแรงดันวัตถุกลับ (N) มากตามไปดวย จึงกลาวไดวาแรงที่
(แนวตอบ เชน การเข็นรถ การปนจักรยาน วัตถุกระทําตอพื้นเปนแรงคูกิริยา-ปฏิกิริยากับแรงที่พื้นดันวัตถุ
การเดิน) ทิศทางการเคลือ่ นทีข่ องกลองไม
N ผิวสัมผัส
2. ครู เ ตรี ย มอุ ป กรณ ส าธิ ต การทดลอง เช น กลอง f
ผาขนหนู 2 ผืน จากนัน้ ขออาสาสมัครนักเรียน F พื้น
2-3 คน แลวใหตัวแทนนักเรียนนําผาขนหนู f
2 ผืน พับเขาหากัน แลวดึงผาขนหนูออกคนละ W
รถยนต์ที่ไถลลงจากเขา
จนกระทั่งหยุดนิ่ง
ขาง โดยครูหนีบผาขนหนูไวตรงกลางประมาณ ภาพที่ 4.10 กลองไมเคลื่อนที่ดวยแรง F จะมีแรงเสียดทาน f เกิดขึ้น
ในทิศทางตรงขามกับการเคลื่อนที่
มีแรงใดมากระทําบ้าง
T16
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
2. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 6 คน จากนั้น
การหาขนาดของแรงเสียดทาน
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษากิจกรรม
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร การหาขนาดของแรงเสียดทาน จากหนังสือ
จุดประสงค - การสังเกต เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
- การวัด
1. หาขนาดของแรงเสียดทานได
2. ระบุประเภทของแรงเสียดทานได
- การทดลอง 3. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมารับวัสดุ
จิตวิทยาศาสตร
3. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานที่มากระทํากับวัตถุ - ความรอบคอบ อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม จากนั้น
วัสดุอปุ กรณ
- ความรับผิดชอบ
- การทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันปฏิบัติกิจกรรม
1. เครื่องชั่งสปริง
สรางสรรค
ตามขั้นตอน
2. ถุงทรายมวล 500 กรัม จํานวน 1 ถุง
อธิบายความรู้
วิธปี ฏิบตั ิ 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผลการ
วางถุงทรายมวล 500 กรัม 1 ถุง บนพื้นโตะ ใชเครื่องชั่งสปริงเกี่ยวหูถุงทรายแลวออกแรงดึง โดยใหเครื่องชั่งสปริงอยูในแนว ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่
ขนานกับพื้นโตะ บันทึกคาแรงที่อานไดตั้งแตเริ่มออกแรงจนกระทั่งถุงทรายเริ่มเคลื่อนที่ และเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัว
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะ
0ก
รมั เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
50
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
ภาพที่ 4.13 กิจกรรมการหาขนาดของแรงเสียดทาน เพื่อหาคําตอบ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
คําถามทายกิจกรรม
1. ถุงทรายที่วางนิ่งอยูบนพื้นโตะ มีแรงใดมากระทําตอถุงทรายบาง อธิบายพรอมเขียนแผนภาพประกอบ
2. ขณะทีอ่ อกแรงดึงถุงทราย แตถงุ ทรายไมเคลือ่ นที่ มีแรงใดมากระทําตอถุงทรายบาง อธิบายพรอมเขียนแผนภาพประกอบ และ
แรงลัพธที่กระทําตอถุงทรายมีคาเทาใด
3. เมือ่ ออกแรงดึงถุงทรายใหเคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็วคงตัว มีแรงใดมากระทําตอถุงทรายบาง อธิบายพรอมเขียนแผนภาพประกอบ แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
และแรงลัพธที่กระทําตอถุงทรายมีคาเทาใด
1. มีเพียงแรงโนมถวงของโลกที่มากระทําตอวัตถุ
อภิปรายผลกิจกรรม 2. แรงเสียดทานสถิต ซึ่งมีทิศทางตรงขามกับวัตถุ
แรงเสียดทานเปนแรงที่เกิดขึ้นระหวางผิวสัมผัสของวัตถุ โดยมีทิศทางตรงขามกับทิศทางที่วัตถุพยายามเคลื่อนที่ เมื่อแรงดึง ที่กําลังจะเริ่มเคลื่อนที่ โดยแรงลัพธที่กระทําตอ
เทากับแรงเสียดทานสถิตทีม่ ากทีส่ ดุ วัตถุจะเริม่ เคลือ่ นที่ เมือ่ แรงดึงมากกวาแรงเสียดทานสถิต ณ ขณะนีแ้ รงเสียดทานสถิตมากสุด ถุงทรายมีคา เทากับคาแรงทีอ่ า นไดจากเครือ่ งชัง่
มีคานอยกวาแรงดึง ทําใหวัตถุเกิดการเคลื่อนที่และแรงเสียดทานจะเปลี่ยนไปเปนแรงเสียดทานจลน สปริงขณะที่ถุงทรายเริ่มเคลื่อนที่
3. แรงเสียดทานจลน ซึ่งมีทิศทางตรงขามกับการ
เคลื่อนที่ของวัตถุ โดยแรงลัพธที่กระทําตอถุง
แรงและการเคลื่อนที่ 13 ทรายมีคาเทากับคาแรงที่อานไดจากเครื่องชั่ง
สปริงขณะที่ถุงทรายเคลื่อนที่
T17
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
1. นักเรียนแบงกลุม (กลุมเดิม) จากนั้นครูแจง
ปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน
จุดประสงคของกิจกรรม ปจจัยทีม่ ผี ลตอขนาด
ของแรงเสียดทาน ใหนักเรียนทราบเพื่อเปน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
แนวทางการปฏิบัติกิจกรรมที่ถูกตอง จุดประสงค์ - การสังเกต
- การทดลอง
2. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม 1. ระบุปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทานได้ - การตั้งสมมติฐาน
2. ออกแบบการทดลองให้สอดคล้องกับปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทานได้ - การควบคุมตัวแปร
ป จ จั ย ที่ มี ผ ลต อ ขนาดของแรงเสี ย ดทาน จิตวิทยาศาสตร์
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 - ความรอบคอบ
- ความรับผิดชอบ
วัสดุอปุ กรณ์
โดยครูใชรูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือมาจัด - การท�างานร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง
สร้างสรรค์
1. เชือก
กระบวนการเรี ย นรู โดยกํ า หนดให ส มาชิ ก 2. กรรไกร
แต ล ะคนภายในกลุ ม มี บ ทบาทหน า ที่ ข อง 3. กระดาษ A4
ตนเอง ดังนี้ 4. เครื่องชั่งสปริง
5. กระดาษทรายขนาด 50 × 50 เซนติเมตร
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ 6. ถุงทรายมวล 100 กรัม จ�านวน 3 ถุง
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม 7. แผ่นฟิวเจอร์บอร์ดขนาด 50 × 50 เซนติเมตร
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ
กิ จ กรรมและนํ า มาอธิ บ ายให ส มาชิ ก ใน วิธปี ฏิบตั ิ
กลุมฟง 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน สืบค้นข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน
• สมาชิกคนที่ 5-6 ทําหนาที่บันทึกผลการ 2. ให้แต่ละกลุ่มออกแบบการทดลองเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน จ�านวน 2 การทดลอง ได้แก่ มวลของวัตถุ
และลักษณะพื้นผิวสัมผัส ซึ่งแต่ละการทดลองต้องมีความเหมาะสมและอธิบายได้ว่า ปัจจัยดังกล่าวนั้นมีผลต่อขนาดของแรง
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจําตัวนักเรียน เสียดทานอย่างไร โดยเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ครูก�าหนดให้
3. นักเรียนแตละกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม 3. ให้แต่ละกลุ่มออกมาน�าเสนอวิธีออกแบบและปฏิบัติการทดลองจริงหน้าชั้นเรียน
ขั้นตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2 ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันแลกเปลี่ยนความรู 1. มวลของวัตถุมีผลต่อขนาดของแรงเสียดทานอย่างไร
และวิ เ คราะห ผ ลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แล ว 2. พื้นผิวสัมผัสมีผลต่อขนาดของแรงเสียดทานอย่างไร
อภิปรายผลรวมกัน
อภิปรำยผลกิจกรรม
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม จากกิจกรรม พบว่า เมื่อเพิ่มมวลของถุงทราย ท�าให้แรงที่ถุงทรายกดบนพื้นมีมากขึ้น แรงปฏิกิริยาตั้งฉากระหว่างผิวสัมผัส
จึงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้แรงเสียดทานมีขนาดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ พื้นผิวสัมผัสก็ส่งผลต่อขนาดของแรงเสียดทานขณะวัตถุเคลื่อนที่
1. มวลของวัตถุมีผลตอแรงกดบนพื้น ถามวลของ โดยผิวสัมผัสที่หยาบหรือขรุขระจะมีแรงเสียดทานมากกว่าผิวสัมผัสที่เกลี้ยงหรือลื่น
วัตถุมากจะทําใหแรงกดบนพืน้ มาก สงผลใหแรง
เสียดทานมีคาเพิ่มขึ้น
2. ผิวสัมผัสที่เรียบจะมีแรงเสียดทานนอยกวาผิว 14
สัมผัสที่หยาบ
T18
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
การหาแรงเสียดทาน สามารถคํานวณไดจากผลคูณระหวางสัมประสิทธิ์ของแรงเสียดทานกับแรงปฏิกิริยา 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผลการ
ตั้งฉาก (แรงที่พื้นกระทําตอวัตถุ (N)) ในกรณีที่วัตถุเคลื่อนที่บนพื้นในแนวระดับ แรงปฏิกิริยาตั้งฉากที่พื้นกระทําตอ
วัตถุมีคาเทากับนํ้าหนักของวัตถุที่กดทับลงบนพื้น เขียนสมการได ดังนี้
ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะ
fs,max = μsN
fk = μkN เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
เมื่อ fs,max คือ แรงเสียดทานสถิตสูงสุด มีหนวยเปน นิวตัน (N)
fk คือ แรงเสียดทานจลน มีหนวยเปน นิวตัน (N) แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
μ คือ สัมประสิทธิ์ความเสียดทาน ซึ่งเปนปริมาณที่บอกถึงธรรมชาติของผิวสัมผัส เพื่อหาคําตอบ
โดย μs คือ สัมประสิทธิ์ความเสียดทานสถิต 3. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม
μk คือ สัมประสิทธิ์ความเสียดทานจลน ป จ จั ย ที่ มี ผ ลต อ ขนาดของแรงเสี ย ดทานว า
N คือ แรงปฏิกิริยาตั้งฉาก มีหนวยเปน นิวตัน (N) “มวลของวั ต ถุ ห รื อ นํ้ า หนั ก ของวั ต ถุ มี ผ ลต อ
ตัวอย่างที่ 4.8 ชายคนหนึง่ ออกแรงลากกลองไมหนัก 550 นิวตัน ไปบนพืน ้ ในแนวระดับ โดยสัมประสิทธิค์ วาม แรงกดของวัตถุที่กดลงบนพื้น ถานํ้าหนักหรือ
เสียดทานจลนระหวางกลองไมกับพื้นมีคาเปน 0.5 จงคํานวณหาขนาดแรงเสียดทานที่เกิดขึ้น
แรงกดของวัตถุมาก จะเกิดแรงเสียดทานมาก
วิธีทํา จากสมการ fk = μkN ถานํ้าหนักหรือแรงกดของวัตถุนอยจะเกิดแรง
fk = 0.5 × 550 N เสียดทานนอย นอกจากนี้ ลักษณะผิวสัมผัส
fk = 275 N
ยังสงผลตอขนาดของแรงเสียดทาน โดยวัตถุ
ดังนั้น ขนาดของแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นระหวางกลองไมกับพื้นมีคาเทากับ 275 นิวตัน
ที่มีผิวเรียบยอมทําใหเกิดแรงเสียดทานนอย
ตัวอย่างที่ 4.9 กลองบรรจุของหนัก 2,000 นิวตัน ถูกผลักใหเคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็วคงตัวไปบนพืน้ ถนน ซึง่ เกิด กวาวัตถุที่มีผิวสัมผัสหยาบ เนื่องจากวัตถุที่
แรงเสียดทานจลน 1,500 นิวตัน จงหาสัมประสิทธิค์ วามเสียดทานจลนระหวางกลองบรรจุของ มีผิวสัมผัสเรียบมีการเสียดสีที่นอยกวา”
กับพื้นถนน 4. นั ก เรี ย นจั บ คู กั บ เพื่ อ นในชั้ น เรี ย น จากนั้ น
วิธีทํา จากสมการ fk = μkN รวมกันศึกษาวิธีการคํานวณหาแรงเสียดทาน
= Nfk
μk และตั ว อย า งที่ 4.8-4.9 จากหนั ง สื อ เรี ย น
μk =
1,500 N วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
2,000 N
μk = 0.75 5. นั ก เรี ย นตอบคํ า ถามท า ทายการคิ ด ขั้ น สู ง
ดังนั้น สัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหวางกลองบรรจุของกับพื้นถนนมีคาเทากับ 0.75 ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
HOTS
(คําถามทาทายการคิดขั้นสูง)
เพราะเหตุใด การเข็นตูหนังสือที่มีหนังสือเรียงอยูเต็มตูใหเคลื่อนที่ยากกวา
การเข็นตูหนังสือที่มีหนังสือเรียงอยูเพียงครึ่งตู
แนวตอบ H.O.T.S.
เพราะนํ้าหนักของหนังสือในตูเพิ่มขึ้น ทําให
แรงและการเคลื่อนที่ 15 แรงปฏิ กิ ริ ย าที่ พื้ น กระทํ า ต อ พื้ น ตู ด า นล า งมี ค า
มากขึ้น แรงเสียดทานจะมีคาเพิ่มขึ้นตามดวย
T19
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
6. ครูสมุ นักเรียน 2 คู ออกมาแสดงวิธกี ารคํานวณ ในชีวติ ประจ�าวันจะเห็นว่า การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุบนพืน้ ผิวใด ๆ จะมีแรงเสียดทานเข้ามาเกีย่ วข้องเสมอ ความรู้
เกี่ยวกับแรงเสียดทานสามารถน�ามาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจ�าวันด้วยการเพิ่มหรือลดแรงเสียดทาน ตัวอย่างเช่น
หาผลลัพธทไี่ ดรว มกันศึกษา ครูอาจเสนอแนะ
หรืออธิบายเพิ่มเติมในตัวอยางนั้นๆ
ขยายความเข้าใจ
1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
เรือ่ ง แรงเสียดทาน และใหความรูเ พิม่ เติมจาก
คําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint
เรื่อง แรงเสียดทาน ในการอธิบายเพิ่มเติม ลวดลายของยางล้อรถยนต์ เรียกว่า ดอกยาง
ภาพที่ 4.14 ดอกยางช่วยเพิ่มแรงเสียดทาน
2. นักเรียนแตละคูรวมกันทําใบงาน เรื่อง แรง ที่มา : คลังภาพ อจท. ช่วยเพิ่มแรงเสียดทานระหว่างผิวถนนกับยาง และช่วย
ให้รถยนต์เกาะถนนได้ดี ไม่ลื่นไถล
เสียดทาน
3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง แรง
เสียดทาน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2 เปนการบาน
พื้นรองเท้ากีฬาผลิตโดยใช้วัสดุพิเศษที่ช่วยเพิ่ม
แรงเสียดทานระหว่างพื้นกับรองเท้าเพื่อกันลื่น ช่วยให้ ภาพที่ 4.15 พื้นรองเท้ากีฬาช่วยเพิ่มแรงเสียดทาน
ทรงตัวและเคลื่อนไหวได้สะดวก ที่มา : คลังภาพ อจท.
การเปิดฝาเกลียวขวดน�้า บริเวณฝาขวด
ที่มีผิวขรุขระจะช่วยเพิ่มแรงเสียดทานท�าให้เปิด
ฝาขวดน�้าได้สะดวกมากขึ้น
16
T20
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
บางกิจกรรมในชีวิตประจ�าวันจ�าเป็นต้องลดแรงเสียดทานเพื่อให้วัตถุเคลื่อนที่ได้สะดวกมากขึ้น หรือ นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับเรื่อง แรง
เคลื่อนย้ายวัตถุได้ง่ายขึ้น เช่น การใช้น�้ามันหล่อลื่นในเครื่องยนต์ การหยดจาระบีที่บานพับประตู
เสียดทาน ซึ่งควรไดขอสรุปรวมกันวา “แรงเสียด
ทาน เปนแรงที่เกิดขึ้นระหวางผิวสัมผัสของวัตถุ
เพื่อตานการเคลื่อนที่ แรงเสียดทาน มี 2 ประเภท
คือ แรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทานจลน”
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
ภาพที่ 4.17 เครื่องเล่นสไลเดอร์ที่มีพื้นผิวเรียบ สไลเดอร์เป็นเครื่องเล่นที่ถูกท�าให้มีพื้นผิวเรียบ 1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ในขณะทีเ่ ล่นจะมีการเติมน�า้ ลงไปบริเวณเครือ่ งเล่น เพือ่ ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ช่วยลดแรงเสียดทาน ท�าให้ผู้เล่นลื่นไถลได้อย่างรวดเร็ว
สร้างความสนุกสนานในการเล่น
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม การหา
ขนาดของแรงเสียดทาน และปจจัยที่มีผลตอ
ขนาดของแรงเสียดทาน ในสมุดประจําตัว
นั ก เรี ย นหรื อ แบบฝ ก หั ด วิ ท ยาศาสตร ม.2
เลม 2
การเล่นสเกตน�า้ แข็ง ฮอกกีน้ า�้ แข็ง ต้องเล่นบนพืน้ 3. ครู ต รวจสอบผลการทํ า ใบงาน เรื่ อ ง แรง
ที่มีลักษณะเรียบและลื่น เพื่อลดแรงเสียดทาน ท�าให้ ภาพที่ 4.18 การเล่นสเกตน�้าแข็งต้องเล่นบนพื้นเรียบลื่น
ผู้เล่นเคลื่อนที่ได้คล่องตัว ที่มา : คลังภาพ อจท. เสียดทาน
4. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง แรงเสียดทาน
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ลาดับที่ รายการประเมิน
4
ระดับคะแนน
3 2 1
เดินงาย
ลงชื่อ ….................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
ชวยเพิ่มแรงเสียดทานระหวางผิวถนนกับยาง และชวยใหลอ
2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T21
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ 1
1. นักเรียนดูวีดิทัศนเกี่ยวกับเรื่อง ความดันของ 1.2 แรงดันในของเหลว
ของเหลว จาก (https://www.youtube. เมื่ อ วั ต ถุ อ ยู ใ นของเหลวจะมี แ รงที่ เ กิ ด จาก
com/watch?v=CSdM7B71BEM) จากนั้น ของเหลวกระทําตอวัตถุในทุกทิศทาง โดยแรงทีข่ องเหลว
กระทําตั้งฉากกับผิวของวัตถุตอหนึ่งหนวยพื้นที่ เรียกวา
ครู ตั้ ง ประเด็ น คํ า ถามกระตุ น ความสนใจ
ความดันของของเหลว (fluid pressure)
นั ก เรี ยนว า “เมื่ อ นํ านํ้ าใส ในลู ก โป ง ทํา ไม ความดันของของเหลวสามารถหาไดจากสมการ
ลูกโปงจึงมีขนาดใหญขึ้น” โดยใหนักเรียน h P = AF
แตละคนรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
อยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด โดย P คือ ความดัน มีหนวยเปน นิวตันตอตารางเมตร
(แนวตอบ เพราะแรงดันของนํ้าทําใหลูกโปง (N/m2) หรือพาสคัล (Pa)
F คือ ขนาดของแรงทีก่ ระทําตัง้ ฉากกับผิวของวัตถุ
ขยายตัว) ภาพที่ 4.20 แรงดันที่ของเหลวกระทําตอวัตถุ มีหนวยเปน นิวตัน (N)
ที่มา : คลังภาพ อจท.
A คือ พื้นที่ผิวของวัตถุ มีหนวยเปน ตารางเมตร
ขัน้ สอน (m2)
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้น ความดันของของเหลวจะสั
2 มพันธกับความลึก 0 m; 0 N/m2
และความหนาแนนของของเหลว โดยบริเวณที่ลึกลงไป
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษาคนควา จากระดับผิวหนาของของเหลว ความดันของของเหลว
ขอมูลเกี่ยวกับเรื่อง ความดันของของเหลว จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากของเหลวที่อยูลึกกวา จะมีนํ้าหนัก
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หรือ ของของเหลวดานบนมากระทํามากกวา และในระดับ 20 m; 200,704 N/m2
แหลงการเรียนรูตางๆ เชน อินเทอรเน็ต ความลึกเดียวกันของเหลวที่มีความหนาแนนมากจะมี
2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได ความดันมากกวาของของเหลวที่มีความหนาแนนนอย
เชน นํ้าทะเลมีความหนาแนนมากกวานํ้าจืด ที่ระดับ
ศึกษา จากนั้นใหนักเรียนแตละคนเขียนสรุป ความลึกเทากันความดันของนํ้าทะเลที่กระทําตอวัตถุจะ
40 m; 401,408 N/m2
ความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุด มีคามากกวาความดันของนํ้าจืดที่กระทําตอวัตถุดวย ภาพที่ 4.21 ความดันของนํ้าที่ความลึกตาง ๆ
ประจําตัวนักเรียน เพื่อนําสงครูทายชั่วโมง ที่มา : คลังภาพ อจท.
นอกจากนี้ ความดันของของเหลวที่ระดับความลึกตาง ๆ สามารถหาไดจากสมการ
P = ρgh
โดย P คือ ความดันของของเหลว มีหนวยเปน นิวตันตอตารางเมตร (N/m2) หรือพาสคัล (Pa)
ρ คือ ความหนาแนนของของเหลว มีหนวยเปน กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร (kg/m3)
g คือ คาความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก มีหนวยเปน เมตรตอวินาที2 (m/s2)
h คือ ความลึกของของเหลว มีหนวยเปน เมตร (m)
18
T22
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสมุ นักเรียน 4 กลุม ออกมาเสนอผลจากการ
จากภาพที่ 4.22 ศึกษาขอมูลหนาขัน้ เรียน ในระหวางทีน่ กั เรียน
นักเรียนคิดว่าปลาทั้ง
2 ตัว จะได้รับความดัน
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
ของของเหลวเท่ากัน เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
หรือไม่ อย่างไร
2. นักเรียนแตละคนพิจารณาภาพปลาที่อยูใน
ภาพที่ 4.22 ปลาที่อยูในภาชนะที่มีรูปทรงแตกตางกัน ภาชนะทีม่ รี ปู ทรงแตกตางกัน จากหนังสือเรียน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนัน้ ครูตงั้ ประเด็น
ตัวอย่างที่ 4.10 บีกเกอรใบหนึง่ บรรจุนา้ํ และนํา้ มัน โดยนํา้ มันอยูด า นบนสูง 5 เซนติเมตร สวนนํา้ อยูด า นลางสูง คําถามกระตุนความคิดนักเรียนวา “ปลาทั้ง
10 เซนติเมตร จงหาความดันทีก่ น บีกเกอรเนือ่ งจากของเหลวทัง้ 2 ชนิด เมือ่ ความหนาแนน 2 ตัว จะไดรับความดันของของเหลวเทากัน
ของนํ้าเทากับ 1 × 103 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร และความหนาแนนของนํ้ามันเทากับ หรือไม อยางไร” โดยใหนักเรียนแตละคนรวม
0.8 × 103 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร (กําหนดใหคา ความเรงเนือ่ งจากแรงโนมถวงของโลก (g) กันอภิปรายแสดงความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ
มีคาเทากับ 10 เมตรตอวินาที 2)
(แนวตอบ เทากัน เนื่องจากปลาทั้ง 2 ตัวอยู
ในระดั บ ความลึ ก ที่ เ ท า กั น ซึ่ ง รู ป ร า งของ
ภาชนะไมมีผลตอความดันของของเหลว)
3. นักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางที่ 4.10 จาก
5 cm
นํ้ามัน หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนั้น
10 cm ครูสุมนักเรียน 2 คน ออกมาแสดงวิธีการ
นํ้า
คํานวณหาผลลัพธทไี่ ดศกึ ษา ครูอาจเสนอแนะ
หรืออธิบายเพิ่มเติมในตัวอยางนั้นๆ
ภาพที่ 4.23 บีกเกอรที่บรรจุของเหลว 2 ชนิด คือ นํ้าและนํ้ามัน 4. ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา “ขนาด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ของแรงทีม่ ากระทําตอวัตถุจะสัมพันธกบั พืน้ ที่
ผิวของวัตถุ ความหนาแนนของของเหลว และ
วิธีทํา ความดันที่กนบีกเกอรเกิดจากนํ้าหนักของของเหลวทั้ง 2 ชนิดมากระทํา สามารถหาไดจากสมการ
P = ρนํ้ามัน ghนํ้ามัน + ρนํ้า ghนํ้า
ความลึกของของเหลว โดยรูปรางของภาชนะ
P = (0.8 × 103 kg/m3 × 10 m/s2 × 0.05 m) + (1 × 103 kg/m3 × 10 m/s2 × 0.10 m) ไมมีผลตอความดันของของเหลว”
P = 400 N/m2+ 1,000 N/m2
P = 1,400 N/m2
ดังนั้น ความดันที่กนบีกเกอรเนื่องจากของเหลวทั้ง 2 ชนิด มีคาเทากับ 1.4 × 103 นิวตันตอตารางเมตร
แรงและการเคลื่อนที่ 19
T23
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 6 คน จากนั้น
ความดันของของเหลว
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษากิจกรรม
ความดั น ของของเหลว จากหนั ง สื อ เรี ย น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จุดประสงค - การสังเกต
- การลงความเห็นจากขอมูล
อธิบายปจจัยที่มีผลตอความดันของของเหลวได
2. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมารับวัสดุ - การทดลอง
T24
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1.3 แรงพยุง 1. ครู เ ตรี ย มอุ ป กรณ ส าธิ ต การทดลอง เช น
วัตถุทอี่ ยูใ นของเหลวจะมีแรงดันของของเหลวทีม่ ากระทําตอวัตถุทกุ ทิศทาง แตเมือ่ พิจารณาเฉพาะดานบนและ
บีกเกอร จุกไมคอรก กอนหิน จากนั้นครู
ดานลางของวัตถุจะมีแรงดันแตกตางกัน ซึง่ แรงดันลัพธของของเหลวจะทําหนาทีเ่ ปนแรงพยุงวัตถุ ถานํา้ หนักของวัตถุ
และแรงพยุงของของเหลวมีคา เทากัน วัตถุจะลอยนิง่ อยูใ นของเหลว แตถา นํา้ หนักของวัตถุมคี า มากกวาแรงพยุงของ เติมนํ้าลงในบีกเกอร แลวนําจุกไมคอรกและ
ของเหลว วัตถุจะจม ดังภาพที่ 4.25 กอนหินใสลงในบีกเกอรที่บรรจุนํ้า โดยให
นักเรียนแตละคนสังเกตการจมและการลอย
ของจุกไมคอรกและกอนหิน
2. ครู ถ ามคํ า ถามกระตุ น ความคิ ด นั ก เรี ย น
แรงพยุง = นํ้าหนักของวัตถุ โดยครูใหนักเรียนแตละคนรวมกันอภิปราย
นํ้าหนักของวัตถุ จากภาพที่ 4.25 แสดงความคิ ด เห็ น อย า งอิ ส ระโดยไม มี ก าร
แรงพยุง
แรงพยุง < นํ้าหนักของวัตถุ
เพราะเหตุใดก้อนหินจึง เฉลยวาถูกหรือผิด ดังนี้
จมนํ้า แต่จุกไม้คอร์ก
ลอยนํ้าได้ • มีแรงชนิดใดบางทีก่ ระทําตอจุกไมคอรกและ
แรงพยุง
กอนหิน
นํ้าหนักของวัตถุ
ภาพที่ 4.25 การลอยและการจมของวัตถุในของเหลว
(แนวตอบ แรงดันในของเหลว)
ที่มา : คลังภาพ อจท. • เพราะเหตุใดกอนหินจึงจมนํา้ แตจกุ ไมคอรก
จากภาพที่ 4.26 เมื่อวัตถุจมอยูในของเหลวจะมีแรงดันในของเหลวที่กระทําตอวัตถุ โดยแรงดันในของเหลว ลอยนํ้าได
ที่กระทําตอวัตถุในแนวระดับเดียวกันมีขนาดเทากัน ทําใหแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุในแนวระดับมีคาเปนศูนย แต (แนวตอบ เพราะแรงลัพธในแนวดิ่ง หรือ
แรงดันในของเหลวที่กระทําตอวัตถุดานบนและดานลางมีขนาดไมเทากัน เนื่องจากแรงดันของของเหลวที่กระทํา แรงพยุงมีคาไมเทากับศูนย)
ตอวัตถุขึ้นอยูกับระดับความลึก โดยบริเวณที่ลึกลงไปจากระดับผิวของของเหลว แรงดันของของเหลวจะมีคาเพิ่ม
3. นักเรียนจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียนตามความ
ขึ้น ซึ่งแรงดันของของเหลวที่กระทําตอวัตถุดานลางมีคามากกวาแรงดันของของเหลวที่กระทําตอวัตถุดานบน
หากพิจารณาแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุจะไดวา แรงลัพธที่กระทําตอวัตถุมีทิศทางขึ้น ซึ่งเรียกแรงลัพธนี้วา แรงพยุง สมัครใจ โดยศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับเรื่อง
(buoyant force) ซึ่งแทนดวยสัญลักษณ FB ดังภาพที่ 4.27 แรงพยุง ลักษณะการจมและการลอยของวัตถุ
เนือ่ งจากแรงพยุง และยกตัวอยางปจจัยทีส่ ง ผล
ตอขนาดของแรงพยุงมา 1 ตัวอยาง จาก
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หรือแหลง
การเรียนรูตางๆ เชน อินเทอรเน็ต หองสมุด
แรงพยุง นํ้าหนักของวัตถุ 4. นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ดศกึ ษา
(FB) (W) จากนั้นใหแตละกลุมนําขอมูลที่ไดจากการ
คนความาจัดทําในรูปแบบตางๆ เชน แผนภาพ
ภาพที่ 4.26 แรงดันในของเหลวที่กระทําตอวัตถุ ภาพที่ 4.27 วัตถุลอยนิ่งในของเหลวไดเนื่องจากแรงพยุงมีคา มโนทัศน ลงในกระดาษ A4 พรอมตกแตง
ที่มา : คลังภาพ อจท. เทากับนํ้าหนักของวัตถุ ใหสวยงาม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แรงและการเคลื่อนที่ 21
T25
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. นักเรียนแตละคูออกมานําเสนอผลการศึกษา ขนาดของแรงพยุงไมขนึ้ อยูก บั ความลึกของวัตถุทจี่ ม แตขนึ้ อยูก บั ปริมาตรของวัตถุสว นทีจ่ มลงไปในของเหลว
และความหนาแนนของของเหลว ซึ่งมีผลตอการจมและการลอยของวัตถุ ดังนี้
ข อ มู ล หน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ นั ก เรี ย น
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
2. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลจากการ
ศึกษา ซึง่ ควรไดขอ สรุปรวมกันวา “การจมและ
การลอยของวัตถุเกิดขึน้ จากแรงดันในของเหลว
ทีอ่ ยูใ นแนวระดับเดียวกันมีขนาดเทากัน ทําให
แรงลัพธในแนวระดับมีคา เปนศูนย แตแรงลัพธ
ทีอ่ ยูใ นแนวดิง่ มีคา ไมเทากับศูนย เรียกแรงลัพธ
นีว้ า แรงพยุง หากแรงพยุงมีคา มากกวานํา้ หนัก
ของวัตถุจะทําใหวตั ถุลอยในของเหลวได แตถา
แรงพยุงมีคา นอยกวานํา้ หนักของวัตถุจะทําให ภาพที่ 4.28 ลักษณะการจมและการลอยตัวของสสารตางชนิดที่มีนํ้าหนักตางกันในปริมาตรที่เทากัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
วัตถุจม”
3. ครูถามคําถามทาทายการคิดขั้นสูง โดยให
นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายแสดงความคิด
เห็นเพื่อหาคําตอบ
4. จากนั้นครูถามคําถามเพิ่มเติมวา “นักเรียน
คิดวา ปจจัยใดที่สงผลตอขนาดของแรงพยุง”
(แนวตอบ ปริมาตรของวัตถุและความหนาแนน วัตถุทลี่ อยอยูบ นผิวของของเหลว วัตถุที่ลอยนิ่งอยูในของเหลว วัตถุที่จมอยูในของเหลว
วัตถุทลี่ อยบนผิวของของเหลวได วัตถุที่ลอยนิ่งอยูในของเหลวได วัตถุทจี่ มอยูใ นของเหลว แสดงวา
ของของเหลว)
แสดงวา วัตถุมีความหนาแนน แสดงวา วัตถุมีความหนาแนน วัตถุมีความหนาแนนมากกวา
นอยกวาความหนาแนนของ เทากับความหนาแนนของ ความหนาแนนของของเหลว
ของเหลว ของเหลว
แนวตอบ H.O.T.S.
HOTS
วัตถุที่จมและลอยในของเหลวลวนมีแรงดัน (คําถามทาทายการคิดขั้นสูง)
ในของเหลวมากระทําตอวัตถุในแนวระดับขนาด วัตถุที่ลอยนิ่งอยูในของเหลวกับวัตถุที่จมอยูในของเหลว
เทากัน ทําใหแรงลัพธในแนวระดับมีคาเทากับศูนย มีขนาดของแรงที่มากระทําตอวัตถุเหมือนหรือแตกตางกัน อยางไร
เหมือนกัน แตวัตถุที่จมอยูในของเหลวจะมีแรง
ที่ ก ระทํ า ต อ วั ต ถุ ท างด า นบนมากกว า ด า นล า ง
สวนวัตถุที่ลอยนิ่งอยูในของเหลวจะมีแรงที่กระทํา 22
ตอวัตถุทางดานลางมากกวาดานบน
T26
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
จากภาพที่ 4.29 จะเห็นไดวา วัตถุทอี่ ยูใ นของเหลว 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้น
จะมีแรงพยุงมากระทําตอวัตถุ ซึ่งมีผลตอคาที่อานได 20 N 15 N ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษากิจกรรม
บนเครือ่ งชัง่ สปริง เนือ่ งจากแรงดันจากของเหลวกระทํา
กับวัตถุสวนที่จม จึงทําใหเมื่อชั่งวัตถุในของเหลวจะมี แรงที่กระทําตอวัตถุในของเหลว จากหนังสือ
นํ้าหนักนอยกวาเมื่อชั่งวัตถุในอากาศ ตัวอยางเชน เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ชั่งวัตถุในอากาศได 20 นิวตัน เมื่อนําวัตถุไปชั่งในนํ้า 2. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมารับวัสดุ
ปริมาตร 1 ลิตร วัตถุจะมีนํ้าหนักลดลงเปน 15 นิวตัน อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม จากนั้น
และปริมาตรนํา้ ในบีกเกอรเพิม่ ขึน้ และลนออกมา 0.5 ลิตร ใหสมาชิกภายในกลุมรวมกันอภิปรายแสดง
และหากพิจารณาวัตถุที่อยูนิ่งในนํ้า โดยพิจารณาตาม ภาพที่ 4.29 คาที่อานไดจากเครื่องชั่งสปริงของวัตถุที่ชั่ง ความคิดเห็น แลวเขียนภาพแสดงแรงทีก่ ระทํา
กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุจะมี ในอากาศ (ภาพซาย) และชั่งในนํ้า (ภาพขวา)
ที่มา : คลังภาพ อจท. ตอวัตถุในของเหลว ลงในกระดาษ A4
คาเทากับศูนย จึงสรุปไดวา
แรงพยุง = นํ้าหนักของวัตถุที่ชั่งในอากาศ - นํ้าหนักของวัตถุที่ชั่งในของเหลว อธิบายความรู้
อารคมิ ดี สี นักปราชญชาวกรีก ศึกษาเกีย่ วกับขนาดของแรงทีก่ ระทําตอวัตถุ ซึง่ จมอยูใ นของเหลว แลวสามารถ 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผลการ
สรุปเปนหลักการได ดังนี้ ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่
“นํ้าหนักของวัตถุที่หายไปเมื่อชั่งในของเหลวจะเทากับนํ้าหนักของของเหลวที่มีปริมาตรเทากับปริมาตรวัตถุ นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะ
สวนที่จมในของเหลว” ซึ่งแสดงใหเห็นวา เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
ขนาดของแรงพยุง = นํ้าหนักของของเหลวที่ถูกวัตถุแทนที่ 2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
เพื่อหาคําตอบ
จากหลักการของอารคิมีดีส สรุปออกมาเปนสูตรไดวา ขยายความเข้าใจ
FB = ρVg
FB คือ ขนาดของแรงพยุง มีหนวยเปน นิวตัน (N)
1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
ρ คือ ความหนาแนนของของเหลว มีหนวยเปน
เรื่อง แรงดันในของเหลวและแรงพยุง และให
กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร (kg/m3) ความรูเ พิม่ เติมจากคําถามของนักเรียน โดยครู
V คือ ปริมาตรของของเหลวทีถ่ กู แทนที่ มีหนวยเปน ใช PowerPoint เรื่อง แรงดันในของเหลวและ
ลูกบาศกเมตร (m3) แรงพยุง ในการอธิบายเพิ่มเติม
g คือ ความเรงเนือ่ งจากแรงโนมถวงของโลก มีหนวย 2. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง แรงดัน
เปน เมตรตอวินาที2 (m/s2)
ในของเหลวและแรงพยุ ง จากแบบฝ ก หั ด
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ภาพที่ 4.30 นํ้าหนักของนํ้าที่ลนออกมา คือ ขนาดของแรงพยุง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
23
T27
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
กิจกรรม
นักเรียนและครูรว มกันสรุปเกีย่ วกับเรือ่ ง แรงดัน
แรงที่กระท�าต่อวัตถุในของเหลว
ในของเหลวและแรงพยุง
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ขัน้ ประเมิน จุดประสงค์ - การสังเกต
- การลงความเห็นจากข้อมูล
ตรวจสอบผล เขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระท�าต่อวัตถุในของเหลว
จิตวิทยาศาสตร์
- ความรอบคอบ
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ วัสดุอปุ กรณ์ - การท�างานร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง
สร้างสรรค์
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ตัวอย่างชุดภาพวัตถุที่มีลักษณะการจมและลอยต่างกัน ดังนี้
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม ความดัน
ของของเหลว และแรงที่ ก ระทํ า ต อ วั ต ถุ
ในของเหลว ในสมุดประจําตัวนักเรียนหรือ
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
3. ครู ต รวจสอบแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง แรงดั น ใน ภาพที่ 4.31 ตัวอย่างชุดภาพที่ใช้ในกิจกรรมแรงที่กระท�าต่อวัตถุในของเหลว
ของเหลวและแรงพยุ ง จากแบบฝ ก หั ด ที่มา : คลังภาพ อจท.
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
วิธปี ฏิบตั ิ
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน ส่งตัวแทนออกมารับภาพที่ครูจัดเตรียมให้ กลุ่มละ 1 ชุด (ชุดละ 4 ภาพ)
2. ให้สมาชิกภายในกลุ่มร่วมกันเขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระท�าต่อวัตถุในของเหลวลงในกระดาษ A4 และน�าเสนอในรูปแบบ
ที่น่าสนใจ
3. ให้นักเรียนภายในกลุ่มร่วมกันสรุปทิศทางของแรงที่กระท�าต่อวัตถุในของเหลว
4. ครูสุ่มตัวแทนกลุ่ม กลุ่มละ 1 คน ออกมาร่วมกันสรุป เรื่อง ทิศทางของแรงที่กระท�าต่อวัตถุในของเหลว
ขึน้ อยูก บั ภาพทีค่ รูนาํ มาใชทาํ กิจกรรม โดยภาพ จากภาพในกิจกรรม จะเห็นได้ว่า วัตถุที่อยู่ในของเหลวมีลักษณะการจมและการลอยที่แตกต่างกัน ถ้าแรงพยุงมีขนาดเท่ากับ
น�้าหนักของวัตถุ จะส่งผลให้วัตถุลอยน�้า แต่ถ้าแรงพยุงมีขนาดน้อยกว่าน�้าหนักของวัตถุ จะส่งผลให้วัตถุจมน�้า
วัตถุลอยนํา้ ได แสดงใหเห็นวา แรงพยุงมีคา มากกวา
หรือเทากับนํา้ หนักของวัตถุทอี่ ยูใ นของเหลว แตถา
เปนภาพวัตถุจมนํ้า แสดงใหเห็นวา แรงพยุงมีคา 24
นอยกวาวัตถุที่อยูในของเหลว
ลาดับที่ รายการประเมิน
4
ระดับคะแนน
3 2 1
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม
ประเด็นที่ประเมิน
4 3
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
ระดับคะแนน
2 1
ของกอนหินที่ชั่งในของเหลว
= 9.35 N - 7.82 N
1. การปฏิบัติ ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องให้ความช่วยเหลือ
กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
= 1.53 N
ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ตอบขอ 1.)
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T28
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1.4 โมเมนตของแรง 1. ครู เ ตรี ย มอุ ป กรณ ส าธิ ต การทดลอง เช น
เมื่อออกแรงกระทําตอวัตถุในแนวที่ผานจุดศูนยกลางมวลของวัตถุ
เครื่ อ งชั่ ง สองแขน เหรี ย ญเงิ น จากนั้ น
พบวา วัตถุจะเกิดการเคลือ่ นทีต่ ามแนวแรงทีก่ ระทํา แตถา แนวแรงทีก่ ระทําไม
ผานศูนยกลางมวลของวัตถุ พบวา วัตถุจะเกิดการหมุนรอบศูนยกลางมวล และ ครู ข ออาสาสมั ค รนั ก เรี ย น 2 คน โดยให
ปริมาณทีบ่ อกถึงความสามารถของแรงทีก่ ระทําตอวัตถุ แลวทําใหวตั ถุหมุน ตัวแทนนักเรียนนําเหรียญเงินมาวางบนแขน
รอบจุดหมุนหรือแกนใด ๆ เรียกวา โมเมนตของแรง (moment of force; M) ภาพที่ 4.32 เครื่องเลนในสนามเด็กเลน ทัง้ สองขางของเครือ่ งชัง่ เพือ่ ใหแขนทัง้ สองขาง
จากภาพที่ 4.32 เด็กคนหนึ่งออกแรงผลักเครื่องเลนในแนวตั้งฉาก ที่มา : คลังภาพ อจท. ของเครื่องชั่งสมดุลกัน หากแขนทั้งสองขาง
จากแนวแรงถึงจุดหมุน จะเกิดโมเมนตของแรง ซึง่ สรุปความสัมพันธได ดังนี้ ของเครื่องชั่งยังไมสมดุล ครูอาจสุมนักเรียน
M คือ โมเมนตของแรง มีหนวยเปน นิวตัน เมตร (N m) ออกมาอีก 1 คน มาใสเหรียญเงินเพื่อใหแขน
M = Fl F คือ แรงที่มากระทํากับวัตถุในแนวตั้งฉาก มีหนวยเปน นิวตัน (N) ทั้งสองขางของเครื่องชั่งสมดุล
l คือ ระยะทางจากจุดหมุนไปตั้งฉากกับแนวแรง มีหนวยเปน เมตร (m) 2. นักเรียนแตละคนสังเกตกิจกรรมการทดลอง
จากนั้นครูตั้งประเด็นคําถามกระตุนความคิด
F
โมเมนตของแรงสามารถแบงตามทิศของการหมุนไดเปน นั ก เรี ย น โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะคนร ว มกั น
โมเมนตทวนเข็มนาฬกา (counter-clockwise moment; Mทวน) อภิปรายแสดงความคิดเห็นอยางอิสระโดย
คือ ผลของแรงที่กระทําตอวัตถุ โดยไมผานจุดหมุน แลวทําให ภาพที่ 4.33 แรง F กระทําตอแทงไม ทําให
แทงไมหมุนทวนเข็มนาฬกา ไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด ดังนี้
วัตถุหมุนทวนเข็มนาฬกา ดังภาพที่ 4.33 และโมเมนตตาม ที่มา : คลังภาพ อจท.
เข็มนาฬกา (clockwise moment; Mตาม) คือ ผลของแรงทีก่ ระทํา • หลั ก การของแรงเรื่ อ งใดที่ ส ามารถนํ า มา
F
ตอวัตถุ โดยไมผานจุดหมุน แลวทําใหวัตถุหมุนตามเข็มนาฬกา ประยุกตใชกับเครื่องชั่งสองแขน
ดังภาพที่ 4.34 (แนวตอบ โมเมนตของแรง)
ภาพที่ 4.34 แรง F กระทําตอแทงไม ทําให
แทงไมหมุนตามเข็มนาฬกา • นักเรียนคิดวา วัตถุที่ใสในแขนเครื่องชั่ง
ที่มา : คลังภาพ อจท. ดานขวาของเครื่องชั่งเปนโมเมนตของแรง
ตัวอย่างที่ 4.11 จากภาพที่ 4.35 โมเมนตของแรงที่เด็กชายนั่งบนไมกระดานหกมีคาเทาใด และเปนโมเมนต ประเภทใด
ทวนเข็มนาฬกาหรือตามเข็มนาฬกา (แนวตอบ โมเมนตตามเข็มนาฬกา)
1.5 m • นักเรียนคิดวา วัตถุที่ใสในแขนเครื่องชั่ง
ดานซายของเครื่องชั่งเปนโมเมนตของแรง
300 N
ภาพที่ 4.35 ไมกระดานหกที่มีเด็กชายนั่งอยู ประเภทใด
ที่มา : คลังภาพ อจท. (แนวตอบ โมเมนตทวนเข็มนาฬกา)
วิธีทํา จากสมการ M = Fl
M = 300 N × 1.5 m
M = 450 N m
ดังนั้น โมเมนตของแรงที่เด็กชายนั่งบนไมกระดานหกมีคาเทากับ 450 นิวตัน เมตร และเปนโมเมนตตามเข็ม
นาฬกา
แรงและการเคลื่อนที่ 25
T29
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน ตามความ เมื่อมีแรงหลายแรงมากระท�าต่อวัตถุ แล้ววัตถุเกิดสมดุลต่อการหมุน จะได้ว่า ผลรวมโมเมนต์ของแรงมีค่า
เท่ากับศูนย์ (ΣM = 0) หรือผลรวมของโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา (ΣMทวน) มีค่าเท่ากับผลรวมของโมเมนต์ตามเข็ม
สมัครใจ แลวรวมกันศึกษา เรื่อง โมเมนตของ
นาฬิกา (ΣMตาม) ซึ่งเขียนความสัมพันธ์ได้ ดังนี้
แรง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
หรือแหลงการเรียนรูตางๆ เชน อินเทอรเน็ต ΣMทวน = ΣMตาม
โดยสมาชิก ภายในกลุมแบงหนาที่กันศึกษา
หัวขอเรื่อง ดังนี้ จุดหมุน
• คนที่ 1 ศึกษาความหมายของโมเมนตของ M1 M2
แรง
• คนที่ 2 ศึกษาประเภทของโมเมนตของแรง F1 F2
• คนที่ 3 ศึกษาสมการโมเมนตของแรง l1 l2
2. สมาชิ ก ภายในกลุ ม นํ า เรื่ อ งที่ ต นเองศึ ก ษา ภาพที่ 4.36 โมเมนต์ของแรงที่กระท�าต่อคาน
มาอธิบายใหเพื่อนในกลุมฟง แลวรวมกันสรุป ที่มา : คลังภาพ อจท.
ขอมูลที่ไดลงในสมุดประจําตัวนักเรียน 1
จากภาพที่ 4.36 เมือ่ คานอยูใ่ นสภาพสมดุลต่อการหมุน ซึง่ ก็คอื คานไม่เคลือ่ นทีแ่ ละไม่หมุนจะสามารถเขียน
อธิบายความรู สมการแสดงความสัมพันธ์ได้ ดังนี้
F1 l1 = F2 l2
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผลการ
ศึ ก ษาหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ นั ก เรี ย น ตัวอยางที่ 4.12 ไม้เมตรมวลเบามากแขวนน�้าหนัก 40 นิวตัน ไว้ทางด้านซ้าย ห่างจากจุดหมุนเป็นระยะ
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม 20 เซนติเมตร และแขวนน�า้ หนัก 20 นิวตัน ไว้ทางด้านขวา ถ้าไม้เมตรอยูใ่ นสภาพสมดุลต่อการ
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง หมุนระยะที่แขวนน�้าหนัก 20 นิวตัน จะอยู่ห่างจากจุดหมุนกี่เซนติเมตร
2. นักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางการคํานวณ l1 = 20 cm l2
โจทยปญหาจากตัวอยางที่ 4.11-4.13 จาก
F1 = 40 N F2 = 20 N
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนั้น
ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมาแสดงวิธีการ ภาพที่ 4.37 ไม้เมตร
ที่มา : คลังภาพ อจท.
คํานวณหาผลลัพธทไี่ ดศกึ ษา ครูอาจเสนอแนะ
วิธีท�า จากสมการ ΣMทวน
= ΣMตาม
หรืออธิบายเพิ่มเติมในตัวอยางนั้นๆ F1l1 = F2l2
40 N × 0.2 m = 20 N × l2
l2 = 40 N20× N0.2 m
l2 = 0.4 m หรือ 40 cm
ดังนั้น ระยะที่แขวนน�้าหนัก 20 นิวตัน จะอยู่ห่างจากจุดหมุน 40 เซนติเมตร
26
T30
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ตัวอย่างที่ 4.13 คานหนัก 40 นิวตัน ยาว 20 เมตร มีมวลน�้าหนักต่างกันแขวนอยู่ ดังภาพ จะต้องแขวนคาน 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 6 คน จากนั้น
ให้มีจุดหมุนห่างจากน�้าหนัก 370 นิวตัน เปนระยะเท่าใด คานจึงอยู่ในสภาพสมดุล
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษากิจกรรม
สมดุ ล ต อ การหมุ น และโมเมนต ข องแรง
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
x 20 - x 2. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมารับวัสดุ
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม จากนั้น
40 N
370 N 10 - x 240 N ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันปฏิบัติกิจกรรม
ตามขั้นตอน
ภาพที่ 4.38 คานที่มีมวลน�้าหนักต่างกันแขวนอยู่
ที่มา : คลังภาพ อจท. อธิบายความรู
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอคานที่
วิธีทํา จากสมการ ΣMทวน = ΣMตาม
ประดิษฐขึ้น โดยอธิบายระยะของจุดหมุนไป
F1l1 = F2l2 + F3l3
ยังแนวแรงทีม่ ากระทํา และรูปแบบทีท่ าํ ใหคาน
370 N × x = 40 N × (10 - x) + 240 N × (20 - x)
370x = 400 - 40x + 4,800 - 240x
อยูในสภาพสมดุลตอการหมุน หนาชั้นเรียน
370x + 40x + 240x =
400 + 4,800 2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
650x =
5,200 แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
x 5,200
= เพื่อหาคําตอบ
650
x = 8m ขยายความเขาใจ
ดังนั้น ต้องแขวนคานให้มีจุดหมุนห่างจากน�้าหนัก 370 นิวตัน เปนระยะทาง 8 เมตร คานจึงอยู่ในสภาพสมดุล
1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
เรื่อง โมเมนตของแรง และใหความรูเพิ่มเติม
ความรูเ้ กีย่ วกับโมเมนต์นา� มาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ มากมาย โดย
จากคําถามของนักเรียน โดยครูใช Power-
เฉพาะการประดิษฐ์เครื่องผ่อนแรงชนิดต่าง ๆ เช่น คาน คีมตัดลวด ไขควง Point เรื่อง โมเมนตของแรง ในการอธิบาย
ล้อกับเพลา ค้อนถอนตะปู รถเข็น ที่เปดขวด หรือการวางคานยื่นออกมา เพิ่มเติม
จากก�าแพงจะต้องยึดด้วยเชือกหรือสลิง ต้องค�านวณหาแรงดึงในเส้นเชือก 2. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง โมเมนต
ให้พอเหมาะกับน�้าหนักของคาน โดยอาศัยความรู้เรื่องโมเมนต์ของแรง ของแรง จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2
นอกจากนี้ ของเล่นหลายชนิดที่ประกอบด้วยอุปกรณ์หลายส่วนที่ใช้
เลม 2
หลักโมเมนต์มาเกี่ยวข้อง เช่น โมไบล์ของเล่น ไม้กระดานหก
ภาพที่ 4.39 โมไบล์ของเล่น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แรงและการเคลื่อนที่ 27
T31
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
กิจกรรม
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
สมดุลต่อการหมุนและโมเมนต์ของแรง
โมเมนตของแรง
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ขัน้ ประเมิน จุดประสงค์ - การสังเกต
- การทดลอง
ตรวจสอบผล 1. ออกแบบคานจากวัสดุที่ก�าหนดให้
จิตวิทยาศาสตร์
2. ทดลองและท�าให้วัตถุอยู่ในสมดุลด้วยหลักการโมเมนต์ของแรงได้ - การท�างานร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ สร้างสรรค์
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล วัสดุอปุ กรณ์
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ 1. เชือก 5. เหรียญ 1 บาท 5 เหรียญ
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน 2. ไม้แขวนเสื้อ 6. เหรียญ 5 บาท 5 เหรียญ
3. ถุงพลาสติกขนาดเล็ก 7. เหรียญ 10 บาท 5 เหรียญ
2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม สมดุลตอ 4. ที่หนีบกระดาษขนาดเล็ก
การหมุนและโมเมนตของแรง ในสมุดประจํา
ตัวนักเรียนหรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 วิธปี ฏิบตั ิ
เลม 2 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ศึกษาค้นคว้าเรื่องโมเมนต์ของแรง
3. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรือ่ ง โมเมนตของแรง 2 สมาชิกภายในกลุ่มร่วมกันออกแบบและประดิษฐ์คานจากวัสดุที่ครูจัดเตรียมให้อย่างสร้างสรรค์ โดยระยะทางของแนวแรงที่มา
กระท�าต้องมีค่าไม่เท่ากัน
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 3. สมาชิกภายในกลุ่มร่วมกันทดลอง โดยให้เหรียญแทนวัตถุที่ท�าให้คานอยู่ในสภาพสมดุล โดยครูก�าหนดให้เหรียญ 1 5 และ 10
บาท มีมวลเท่ากับ 1 5 และ 10 กิโลกรัม ตามล�าดับ บันทึกมวลของวัตถุและระยะทางจากจุดหมุนไปตั้งฉากกับแนวแรงลงใน
สมุดบันทึก แล้วค�านวณโดยใช้สมการ M = Fl
4. น�าเสนอคานทีแ่ ต่ละกลุม่ ประดิษฐ์ขนึ้ โดยอธิบายระยะของจุดหมุนไปยังแนวแรงทีม่ ากระท�า และน�าเสนอรูปแบบทีท่ า� ให้คานอยู่
ในสภาพสมดุลต่อการหมุน พร้อมแสดงวิธีการค�านวณหน้าชั้นเรียน
5. ประเมินสิ่งประดิษฐ์และการน�าเสนอ รวมทั้งวิธีการค�านวณของกลุ่มอื่นว่าถูกต้องหรือไม่
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
1. ปริมาณทีบ่ อกถึงความสามารถของแรงทีก่ ระทํา ค�าถามท้ายกิจกรรม
ตอวัตถุ แลวทําใหวัตถุหมุนรอบจุดหมุนหรือ 1. โมเมนต์ของแรงคืออะไร
2. คานจะอยูใ่ นสภาพสมดุลได้อย่างไร
จุดศูนยกลางมวล
2. ผลรวมของโมเมนตทวนเข็มนาฬกามีคาเทากับ
อภิปรายผลกิจกรรม
ผลรวมของโมเมนตตามเข็มนาฬกา
โมเมนต์ของแรง คือ ผลของแรงทีก่ ระท�าต่อวัตถุเพือ่ ให้วตั ถุหมุนรอบจุดหมุน โดยแนวแรงไม่ผา่ นจุดหมุนของวัตถุ ซึง่ โมเมนต์ของ
บันทึกผล กิจกรรม แรงจะเท่ากับผลคูณของแรงทีม่ ากระท�าต่อวัตถุกบั ระยะทางในแนวตัง้ ฉากจากจุดหมุนไปถึงแนวแรง เมือ่ วัตถุถกู กระท�าด้วยโมเมนต์
หลายโมเมนต์จนท�าให้คานอยูใ่ นสภาพสมดุล จะเรียกได้วา่ วัตถุอยูใ่ นสภาพสมดุลต่อการหมุน ดังนัน้ วัตถุจะสมดุลต่อการหมุนเมือ่
คานที่ ป ระดิ ษ ฐ ขึ้ น จะอยู ใ นสภาพสมดุ ล ก็ ผลรวมของโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกาเท่ากับผลรวมของโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา
ตอเมือ่ ผลรวมโมเมนตของแรงมีคา เทากับศูนย หรือ
โมเมนตตามเข็มนาฬกาเทากับโมเมนตทวนเข็ม
28
นาฬกา จะทําใหวัตถุอยูในสมดุลตอการหมุน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4
ระดับคะแนน
3 2 1
(วิเคราะหคําตอบ ที่สภาวะที่คานอยูในแนวสมดุลหรือแนวราบ
กับพื้น เรียกวา ภาวะคานสมดุล และเมื่อคานอยูในสภาวะสมดุล
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม
รวม
ผลรวมของโมเมนตทวนเข็มนาฬกา จะเทากับผลรวมของโมเมนต
ลงชื่อ ….................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
ระดับคะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T32
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1.5 สนามของแรง นักเรียนดูวีดิทัศนเกี่ยวกับเรื่อง การทดลอง
ในชีวิตประจําวัน การที่กอนหินตกจากหนาผา ใบไมรวงลงสูพื้นดิน ผลไมรวงหลนจากตน แสดงวา มีแรง แรงดึงดูดของกาลิเลโอ จาก (https://www.
กระทําตอกอนหิน ใบไม และผลไม ทํานองเดียวกันกับการนําแมเหล็กเขาใกลเหล็ก เหล็กจะถูกดูดดวยแรงชนิดหนึ่ง
เขาหาแมเหล็ก นั่นก็คือ ถาบริเวณใดที่มีแรงกระทําตอวัตถุ บริเวณนั้นจะมีสนามของแรง ซึ่งไมสามารถรับรูไดดวย
youtube.com/watch?v=faSugW_Xefc)
ประสาทสัมผัส แตสามารถรับรูไดจากผลของแรงที่กระทําตอวัตถุ จากนั้น ครูตั้งประเด็นคําถามกระตุนความคิด
สนามของแรง สามารถแบงไดเปน 3 ประเภท ดังนี้ นั ก เรี ย นว า “จากวี ดิ ทั ศ น ถ า ปล อ ยขนนก
1. สนามโนมถวง (gravitational field) เมื่อปลอยวัตถุที่ความสูงใด ๆ จากผิวโลก วัตถุจะตกลงสูผิวโลก กับลูกบอลใหตกลงในทอที่สูบอากาศออกหมด
เสมอ เนือ่ งจากโลกมีสนามโนมถวงอยูร อบโลก สนามโนมถวงนีท้ าํ ใหเกิดแรงดึงดูดของโลกกระทําตอวัตถุและตัวเรา เพราะเหตุใดวัตถุท้ังสองจึงตกถึงพื้นพรอมกัน”
ซึง่ มีทศิ พุง เขาสูศ นู ยกลางของโลก แรงดึงดูดนีเ้ รียกวา แรงโนมถวง (gravitational force) สนามโนมถวง ณ ตําแหนง
โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะคนร ว มกั น อภิ ป ราย
ตาง ๆ บนผิวโลก มีคาประมาณ 9.8 นิวตันตอกิโลกรัม
แสดงความคิดเห็นอยางอิสระโดยไมมีการเฉลย
วาถูกหรือผิด
(แนวตอบ เพราะวัตถุทั้งสองเปนการตกใน
แนวดิ่ง เนื่องจากแรงโนมถวงของโลกมากระทํา
ต อ วั ต ถุ ทั้ ง สองเพี ย งแรงเดี ย ว โดยไม มี แ รง
ตานอากาศ)
ภาพที่ 4.40 สนามโนมถวงของโลก มีทิศพุงสูศูนยกลางโลก
ที่มา : คลังภาพ อจท. ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
สนามโนมถวงของโลกทีต่ าํ แหนงตาง ๆ กันจากผิวโลก มีคา เปลีย่ นแปลงไปตามระดับความสูง ณ ตําแหนงตาง ๆ
ดังตารางที่ 4.1 1. นักเรียนแบงกลุมออกเปน 3 กลุม กลุมละ
ตารางที่ 4.1 สนามโนมถวงของโลกที่ความสูงตาง ๆ จากผิวโลก เท า ๆ กั น ตามความสมั ค รใจ จากนั้ น ครู
ระยะทางจาก
สนามโนมถวง (N/kg) ตําแหนง แจงจุดประสงคของแตละกิจกรรม ใหนกั เรียน
พื้นผิวโลก (km)
0 9.80 ที่ผิวโลก ทราบเพื่ อ เป น แนวทางการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม
10 9.77 เพดานบินของเครื่องบินโดยสาร ที่ถูกตอง
400 8.65 ระดับความสูงของสถานีอวกาศนานาชาติ ยานขนสงอวกาศ 2. นักเรียนแตละกลุมปฏิบัติกิจกรรม ดังนี้
35,700 0.225 ระดับความสูงของดาวเทียมสื่อสารคมนาคม • กลุมที่ 1 ปฏิบัติกิจกรรมที่ 1
384,000 0.0028 ระยะทางเฉลี่ยระหวางโลกและดวงจันทร เรื่อง สนามโนมถวง
• กลุมที่ 2 ปฏิบัติกิจกรรมที่ 2
พิจารณาตารางที่ 4.1 พบวา สนามโนมถวงของโลกที่ระดับความสูงตาง ๆ จากผิวโลก มีคาแตกตางกัน ยิ่งสูง
เรื่อง สนามไฟฟา
จากผิวโลกมากขึ้น สนามโนมถวงก็มีคานอยลง ซึ่งสามารถนําไปอธิบายเกี่ยวกับแรงที่กระทําตอวัตถุที่อยูบนผิวโลก
เนื่องจากแรงที่กระทําตอวัตถุบนผิวโลก เปนแรงดึงดูดระหวางมวลของวัตถุนั้นกับโลก จึงทําใหแรงที่กระทําตอมวล • กลุมที่ 3 ปฏิบัติกิจกรรมที่ 3
ที่ระดับความสูงจากผิวโลกตางกันจะมีคาไมเทากัน ถาวัตถุอยูสูงจากผิวโลกมากขึ้น แรงที่กระทําตอวัตถุจะนอยลง เรื่อง สนามแมเหล็ก
แรงและการเคลื่อนที่ 29
T33
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3. ครู อ ธิ บ ายขั้ น ตอนการปฏิ บั ติ กิ จ กรรมของ 2. สนามไฟฟา (electric field) การนําวัตถุ 2 ชนิด มาขัดถูกัน เชน
นําไมบรรทัดพลาสติกมาถูกับผา พบวา ไมบรรทัดพลาสติกจะสามารถดูด
แตละกิจกรรม ดังนี้
กระดาษชิ้นเล็ก ๆ ได จึงกลาวไดวา ไมบรรทัดพลาสติกที่ถูกับผาแลว จะมี
• กิจกรรมที่ 1 เรื่อง สนามโนมถวง ครูแจก อํานาจทางไฟฟา คือ ประจุไฟฟา (electric charge)
ถุงทรายทีม่ ขี นาดเทากันและตางกัน จากนัน้ ประจุไฟฟามี 2 ชนิด คือ ประจุไฟฟาบวก (positive charge) และ
ให นั ก เรี ย นทดสอบปล อ ยวั ต ถุ ที่ ค วามสู ง ประจุไฟฟาลบ (negative charge) เมื่อประจุไฟฟาอยูใกลกันประจุไฟฟาจะ
ระดับเดียวกัน แตมวลตางกันและที่ระดับ ออกแรงกระทําซึง่ กันและกัน โดยประจุไฟฟาชนิดเดียวกันจะทําใหแรงไฟฟา
ความสูงไมเทากัน แตมวลเทากัน จากนั้น เปนแรงผลัก เชน ประจุบวกกับประจุบวก หรือประจุลบกับประจุลบ สวน
ประจุไฟฟาตางชนิดกันจะทําใหแรงไฟฟาเปนแรงดูด เชน ประจุลบกับประจุ
บันทึกผลวา ถุงทรายใดตกถึงพื้นกอน บวก โดยแรงกระทําระหวางประจุไฟฟา เรียกวา แรงไฟฟา (electric force) ภาพที่ 4.41 ไมบรรทัดที่นํามาถูกับผาแลว
สามารถดูดเศษกระดาษได
• กิจกรรมที่ 2 เรื่อง สนามไฟฟา ครูแจกหวี ที่มา : คลังภาพ อจท.
ใหนักเรียน 1 อัน จากนั้นใหนักเรียนหวีผม
ของตนเอง แลวนําไปไวใกลกบั เศษกระดาษ
• กิจกรรมที่ 3 เรื่อง สนามแมเหล็ก ครูแจก
ถาดที่มีผงตะไบเหล็ก และแทงแมเหล็ก
2 แทง นําแมเหล็กทัง้ 2 แทงมาวางใตถาดที่ + + - - + -
มีผงตะไบเหล็กใหหางกันระยะหนึ่ง สังเกต ประจุเหมือนกัน จะผลักกัน ประจุตางชนิดกัน จะดึงดูดกัน
แนวการเคลื่อนที่ของผงตะไบ ภาพที่ 4.42 แรงระหวางประจุไฟฟา
ที่มา : คลังภาพ อจท.
อธิบายความรู เมื่อนําวัตถุที่มีประจุไฟฟาไปวางไว ณ ที่ใด ๆ ประจุไฟฟาที่มีอยูในวัตถุนั้นจะสงอํานาจไปโดยรอบ เรียก
นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลจากการ อํานาจทางไฟฟาที่เกิดขึ้นรอบบริเวณที่ประจุไฟฟาวางตัวอยูวา สนามไฟฟา โดยสนามไฟฟาที่เกิดจากประจุบวก
ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมว า “เมื่ อ ปล อ ยวั ต ถุ ใ ห ต กพื้ น จะมีทิศทางของสนามไฟฟาพุงออกจากประจุบวก สวนสนามไฟฟาที่เกิดจากประจุลบจะมีทิศทางของสนามไฟฟา
พุงเขาสูประจุลบ ดังภาพที่ 4.43
แบบเสรี วั ต ถุ จ ะตกลงสู ผิ ว โลกเพราะมี
แรงดึงดูดมากระทําตอวัตถุ เนื่องจากมีสนาม
โนมถวงที่มีทิศพุงเขาสูศูนยกลางของโลก เมื่อนํา + + - -
วัตถุ 2 ชนิดมาถูกนั ทําใหเกิดประจุไฟฟาซึง่ จะสง
อํานาจโดยรอบ เรียกวา สนามไฟฟา สวนผงตะไบ
ภาพที่ 4.43 สนามไฟฟาที่เกิดจากประจุบวกและประจุลบ
เปนวัตถุที่มีสารแมเหล็ก เมื่ออยูใกลกับแหลงของ ที่มา : คลังภาพ อจท.
สนามแมเหล็ก ทําใหผงตะไบเคลือ่ นทีไ่ ปตามเสน เมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาอยูในสนามไฟฟา จะถูกแรงกระทําเนื่องจากสนามไฟฟานั้น โดยอนุภาคที่มี
แรงแมเหล็ก” ประจุบวก จะถูกแรงไฟฟากระทําในทิศทางเดียวกับสนามไฟฟา สวนอนุภาคที่มีประจุลบนั้น จะถูกแรงไฟฟากระทํา
ในทิศตรงขามกับสนามไฟฟา
30 แรงจากสนามไฟฟา
สนามไฟฟา
T34 www.aksorn.com/interactive3D/RK841
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
3. สนามแม่เหล็ก (magnetic field) แม่เหล็ก (magnet) เป็นวัตถุที่สามารถดูดสารแม่เหล็กบางชนิดได้ และ 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
เมือ่ น�าแม่เหล็กมาวางไว้ดว้ ยกันจะสามารถดูดหรือผลักกันได้ สารทีถ่ กู แม่เหล็กดูดได้ เรียกว่า สารแม่เหล็ก (magnetic
เรือ่ ง สนามของแรง และใหความรูเ พิม่ เติมจาก
substance) เช่น เหล็ก นิกเกิล โคบอลต์ พลวง บิสมัท
คําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint
เมื่ อ น� า วั ต ถุ ที่ มี ส มบั ติ เ ป็ น แม่ เ หล็ ก หรื อ สาร
แม่เหล็กมาวางในสนามแม่เหล็ก จะเกิดแรงแม่เหล็ก
เรื่อง สนามของแรง ในการอธิบายเพิ่มเติม
(magnetic force) ถ้ามีขั้วเหมือนกันจะเกิดแรงผลัก แต่ 2. นักเรียนแตละคนทําใบงาน เรื่อง สนามของ
S N
ถ้ามีขั้วต่างกันจะเกิดแรงดึงดูด แรงแม่เหล็กที่กระท�า แรง
ต่อวัตถุที่มีสมบัติเป็นแม่เหล็ก จะมีทิศพุ่งเข้าหรือพุ่ง 3. นักเรียนทํา Topic Question เรื่อง สนามของ
ออกจากวัตถุที่เป็นแม่เหล็ก ซึ่งเป็นแหล่งของสนาม แรง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ภาพที่ 4.44 ลักษณะเส้นแรงแม่เหล็กรอบ ๆ แท่งแม่เหล็ก แม่เหล็ก ดังภาพที่ 4.45 และ 4.46
ที่มา : คลังภาพ อจท. ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
4. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง สนาม
ของแรง จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2
S N N S S N S N
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ภาพที่ 4.45 แรงผลักที่เกิดจากแม่เหล็ก 2 แท่ง หันขั้วชนิดเดียวกัน ภาพที่ 4.46 แรงดึงดูดที่เกิดแท่งแม่เหล็ก 2 แท่ง หันขั้วชนิดต่างกัน
เข้าหากัน เข้าหากัน นักเรียนและครูรว มกันสรุปเกีย่ วกับเรือ่ ง สนาม
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
ของแรง
สนามแม่เหล็กเป็นปริมาณเวกเตอร์ โดยสนามแม่เหล็กโดยรอบแท่งแม่เหล็กจะมีทศิ พุง่ ออกจากขัว้ แม่เหล็กเหนือ
เข้าหาขั้วแม่เหล็กใต้ ส่วนสนามแม่เหล็กภายในแท่งแม่เหล็กจะมีทิศพุ่งจากขั้วแม่เหล็กใต้ไปหาขั้วแม่เหล็กเหนือ
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
Topic Question 1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
1. แรงที่กระท�าต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าอันเนื่องจากสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ
2. หากโยนลูกบอลลงในน�้า เวลาต่อมาลูกบอลลอยเหนือผิวน�้า มีแรงใดบ้างที่มากระท�ากับลูกบอล อธิบายพร้อม นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
เขียนแผนภาพประกอบ 2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรมสนามโนม
3. คนทีถ่ อื เข็มทิศไว้ในมือมีแรงใดมากระท�าต่อเข็มทิศบ้าง จงอธิบายพร้อมระบุทศิ ทางของแรงทีม่ ากระท�าต่อเข็มทิศ ถวง สนามไฟฟา และสนามแมเหล็ก
4. จงบอกกิจกรรมหรือสิ่งที่พบในชีวิตประจ�าวันที่เกี่ยวข้องกับแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วง มาอย่างละ
2 กิจกรรม 3. ครูตรวจสอบผลการทําใบงาน เรือ่ ง สนามของ
แรง
4. ครูตรวจ Topic Question เรื่อง สนามของแรง
ในสมุดประจําตัวนักเรียน
แรงและการเคลื่อนที่ 31
5. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง สนามของแรง
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ศูนยกลางของโลก และแรงแมเหล็กของเข็มทิศจะมีทิศพุงออกจาก
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม
ทิศเหนือของเข็มทิศเขาสูขั้วใตของโลก
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม
รวม
1. การปฏิบัติ
4
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
3
ระดับคะแนน
ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน
2
ต้องให้ความช่วยเหลือ
1
ต้องให้ความช่วยเหลือ
ไฟฟา
กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T35
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครู เ ตรี ย มอุ ป กรณ ส าธิ ต การทดลอง เช น Understanding Check
รถทดลอง ลูกเทนนิส จากนั้นครูสุมนักเรียน พิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึก
1 คน โดยครูใหนักเรียนสาธิตผลักรถทดลอง ถูก/ผิด
มุ ด
แต ล ะคนสั ง เกตลั ก ษณะการเคลื่ อ นที่ ข อง 3. ก้อนหินที่ตกจากหน้าผามีแรงโน้มถ่วงมากระท�า ท�าให้ก้อนหินเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงตัว
นส
งใ
รถทดลองและลูกเทนนิส
ล
ทึ ก
4. อัตราเร็วและความเร็วของวัตถุเกิดขึ้นเนื่องจากมีแรงมากระท�ากับวัตถุเสมอ
บั น
2. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
5. ปริมาณเวกเตอร์บอกเพียงขนาด แต่ไม่บอกทิศทาง
ดังนี้
• รถทดลองและลูกเทนนิสมีแนวการเคลือ่ นที่ Prior
Knowledge 2 การเคลื่อนที่
อยางไร
(แนวตอบ เคลื่อนที่เปนเสนตรง) ควำมเร็วเกีย่ วข้องกับชีวติ ในชีวิตประจ�าวัน ถ้าเรามองไปรอบ ๆ ตัวจะพบเห็นสิ่งต่าง ๆ
ประจ�ำวันของเรำอยำงไร มีการเปลี่ยนต�าแหน่งอยู่มากมาย เราเรียกสิ่งที่ก�าลังเปลี่ยนต�าแหน่ง
• รถทดลองและลู ก เทนนิ ส มี ลั ก ษณะการ
นั้นว่า การเคลื่อนที่ เช่น คนเดิน รถแล่น ซึ่งการเปลี่ยนต�าแหน่งหรือ
เคลื่อนที่เหมือนหรือแตกตางกัน อยางไร การเคลื่อนที่ของวัตถุจะเกี่ยวข้องกับปริมาณต่าง ๆ เช่น ระยะทาง
(แนวตอบ รถทดลองและลูกเทนนิสเคลื่อนที่ การกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว โดยถ้าปริมาณใดปริมาณหนึ่งมีการ
เปนเสนตรงเหมือนกัน แตตางกันตรงที่รถ เปลี่ยนแปลงก็จะมีผลให้ปริมาณอื่นเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ทดลองจะเคลือ่ นทีเ่ ปนเสนตรงในแนวระดับ
การเคลือ่ นที่ เป็นการเปลีย่ นต�าแหน่งของวัตถุในช่วงเวลาหนึง่ เทียบกับต�าแหน่งอ้างอิง โดยมีทงั้ ปริมาณสเกลาร์
สวนลูกเทนนิสจะเคลื่อนที่เปนเสนตรงใน และปริมาณเวกเตอร์มาเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่
แนวดิ่ง) ปริมาณสเกลาร์ (scalar quantity) คือ ปริมาณทางกายภาพที่มีขนาดเพียงอย่างเดียว ไม่มีทิศทาง เช่น เวลา
3. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอน ระยะทาง อัตราเร็ว ในการหาผลลัพธ์ของปริมาณสเกลาร์ท�าได้โดยอาศัยหลักทางพีชคณิต ได้แก่ การบวก ลบ คูณ
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ และหาร
Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น ปริมาณเวกเตอร์ (vector quantity) คือ ปริมาณ
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุด ทางกายภาพที่มีทั้งขนาดและทิศทาง เช่น การกระจัด
ความเร็ว แรง โมเมนตัม ในการหาผลลัพธ์ของปริมาณ
ประจําตัวนักเรียน เวกเตอร์ต้องอาศัยวิธีการทางเวกเตอร์ โดยต้องหา
ผลลัพธ์ทั้งขนาดและทิศทาง
แนวตอบ Understanding Check
1. ถูก 2. ผิด 3. ถูก 4. ถูก 5. ผิด ปริมาณสเกลาร์
แตกต่างกับปริมาณ
เวกเตอร์อย่างไร
แนวตอบ Prior Knowledge ภาพที่ 4.47 อัตราเร็วในการวิ่งของรถจักรยานยนต์เป็นปริมาณสเกลาร์
ที่มา : คลังภาพ อจท.
อัตราเร็วหรือความเร็วในการวิ่ง การกําหนด
ความเร็วรถยนต การกําหนดอัตราเร็วในการทํางาน 32
ของเครื่องจักรในอุตสาหกรรม
T36
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
การศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุจําเปนตองรูตําแหนงของวัตถุ ณ เวลาตาง ๆ ซึ่งการบอกตําแหนงของวัตถุ 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
ตองอางอิงจุดใดจุดหนึ่ง เรียกจุดนี้วา จุดอางอิง (reference point) ดังตัวอยาง
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ใหจุด 0 ที่เสาธงชาติเปนจุดอางอิง เมื่อเวลา 8.15 น. นองจินยืนอยูหางจากจุด 0 ไปทางทิศตะวันออก
เปนระยะทาง 15 เมตร ตอมาเมื่อเวลา 9.30 น. นองจินยืนอยูที่ตําแหนงหางจากจุด 0 ไปทางทิศตะวันออกเปน
2. นักเรียนแตละคนศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับ
ระยะทาง 45 เมตร ดังภาพที่ 4.48 เรื่อง ปริมาณทางฟสิกส จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนั้นเขียนสรุป
ทิศเหนือ
ความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุด
ทิศตะวันตก ทิศตะวันออก
ประจําตัวนักเรียน
3. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
ทิศใต โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง
(8.15 น.) (9.30 น.) ความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ ดังนี้
0 10 20 30 40 50 60
ระยะทาง (เมตร) • ปริมาณทางฟสิกสแบงออกเปนกี่ประเภท
ภาพที่ 4.48 การบอกตําแหนงของวัตถุเทียบกับจุดอางอิงในแนวระดับ อะไรบาง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
(แนวตอบ 2 ประเภท คือ ปริมาณสเกลาร
และปริมาณเวกเตอร)
จากตัวอยางเปนการบอกตําแหนงของวัตถุเทียบกับจุดอางอิงในแนวระดับ หรือเรียกวา แกน X ซึ่งนอกจาก
การบอกตําแหนงของวัตถุเทียบกับจุดอางอิงเปนเลขจํานวนบวกแลว ยังสามารถบอกเปนเลขจํานวนลบในทิศทาง • ปริมาณสเกลารแตกตางกับปริมาณเวกเตอร
ตรงขาม และในทํานองเดียวกันสามารถบอกตําแหนงของวัตถุเทียบกับจุดอางอิงในแนวดิ่งได ซึ่งเรียกวา แกน Y อยางไร
ดังตัวอยาง (แนวตอบ ปริมาณเวกเตอรมีทั้งขนาดและ
ในชุมชนแหงหนึ่งประกอบดวยสถานที่ตาง ๆ โดยใหจุด 0 ที่โรงพยาบาลเปนจุดอางอิง มีสถานีตํารวจอยูหาง ทิศทาง แตปริมาณสเกลารมีเพียงขนาด
จากโรงพยาบาลไปทางทิศเหนือ 4 กิโลเมตร สถานีดับเพลิงอยูหางจากสถานีตํารวจไปทางทิศตะวันตก 2 กิโลเมตร แตไมมีทิศทาง)
และโรงเรียนอยูหางจากโรงพยาบาลไปทางทิศใต 4 กิโลเมตร
อธิบายความรู้
กําหนดให
จุด 0 แทน โรงพยาบาล แกน Y ระยะทาง (กิโลเมตร) ทิศเหนือ ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจเกี่ยวกับ
จุด A แทน สถานีตํารวจ จุดอางอิง หรือตําแหนงอางอิงวา “การเคลื่อนที่
จุด B แทน สถานีดับเพลิง B 4 A
จุด C แทน โรงเรียน 2
ทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ของวัตถุจําเปนตองบอกตําแหนงของวัตถุเพื่อ
0 แกน X ระยะทาง ระบุ ทิ ศ ทางการเคลื่ อ นที่ ข องวั ต ถุ ซึ่ ง การระบุ
-4 -2 2 4 (กิโลเมตร) ทิศใต
-2 การเคลื่ อ นที่ ข องวั ต ถุ นั้ น จํ า เป น ต อ งเที ย บกั บ
-4 C
จุดอางอิงในแนวระดับ (แกน X) และแนวดิ่ง
(แกน Y) โดยการบอกตํ า แหน ง อาจบอกเป น
ภาพที่ 4.49 การบอกตําแหนงของวัตถุเทียบกับจุดอางอิงในแนวระดับ
ที่มา : คลังภาพ อจท. เลขจํานวนบวก หรือบอกเปนจํานวนลบเมื่อวัตถุ
เคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงขาม”
แรงและการเคลื่อนที่ 33
T37
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียนตามความ 2.1 ระยะทางและการกระจัด
สมัครใจ จากนั้นใหนักเรียนแตละคูรวมกัน จากภาพที
1 ่ 4.50 ความยาวตามเส้นทาง เรียกว่า
ระยะทาง (distance) เป็นปริมาณสเกลาร์
2 เขียนแทน
ศึกษาคนควาขอมูลเกีย่ วกับเรือ่ ง ระยะทางและ ด้วยสัญลักษณ์ s ส่วนการกระจัด (displacement) เป็น
การกระจั ด จากหนั ง สื อ เรี ย นวิ ท ยาศาสตร ปริมาณเวกเตอร์ เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ s โดยการ
ม.2 เลม 2 หรือแหลงการเรียนรูตางๆ เชน กระจัดมีทิศชี้จากต�าแหน่งเริ่มต้นไปยังต�าแหน่งสุดท้าย การกระจัด
T38
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2.2 อัตราเร็ว 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน ตามความ
อัตราเร็ว (speed) คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดในหนึ่งหนวยเวลา หรืออัตราการเปลี่ยนแปลงระยะทางโดย สมั ค รใจ จากนั้ น ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม
ไมกําหนดทิศทาง เปนปริมาณสเกลาร เขียนแทนดวยสัญลักษณ v มีหนวยเปน เมตรตอวินาที (m/s)
ร ว มกั น ศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
v คือ อัตราเร็ว มีหนวยเปน เมตรตอวินาที (m/s) อัตราเร็ว อัตราเร็วเฉลี่ย อัตราเร็วขณะหนึ่ง
v = st s คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได มีหนวยเปน เมตร (m) และวิธีการคํานวณหาอัตราเร็ว จากตัวอยาง
t คือ เวลา มีหนวยเปน วินาที (s) ที่ 4.15-4.17 จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร
ม.2 เลม 2 หรือจากใบความรู เรื่อง อัตราเร็ว
กรณีที่วัตถุมีการเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วที่ไมเปลี่ยนแปลง แสดงวาวัตถุนั้นมีอัตราเร็วคงตัว แตในบางกรณี และความเร็ว
วัตถุอาจเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วที่ไมคงตัวเสมอไป เชน เมื่อพิจารณาการเคลื่อนที่ของรถโดยสารประจําทาง จะเห็น 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
ไดวา รถโดยสารเคลื่อนที่ไปดวยอัตราเร็วที่ไมเทากันตลอดระยะทาง โดยที่บางชวงอาจมีการเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็ว
ศึกษา จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมเขียนสรุป
ที่มากขึ้น และบางชวงอาจเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วที่ลดลงเพื่อจอดรับผูโดยสารระหวางทาง เมื่อคิดอัตราเร็วโดยรวม
ตลอดระยะทางจะคิดเปน อัตราเร็วเฉลี่ย (average speed) ซึ่งเทากับอัตราสวนระหวางระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได ความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุด
กับชวงเวลาที่ใชในการเคลื่อนที่ ดังความสัมพันธ ประจําตัวนักเรียน
3. ครู ถ ามคํ า ถามท า ทายการคิ ด ขั้ น สู ง จาก
อัตราเร็วเฉลี่ย = ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ชวงเวลาที่ใช
ในชีวิตประจําวันแมวาอัตราเร็วเฉลี่ยจะมีประโยชนในการใชเปรียบเทียบวาสิ่งใดเคลื่อนที่ไดเร็วหรือชากวา
กัน เชน อัตราเร็วเฉลี่ยของรถยนตสีแดงและสีขาวที่วิ่งในระยะทาง 1,000 เมตร เทากับ 20 และ 25 เมตรตอวินาที
ตามลําดับ เราจะไมสามารถบอกไดวา รถยนตสีขาววิ่งเร็วกวาสีแดงทุกขณะตลอดเสนทางทั้งหมด ในบางขณะ
รถยนตสีแดงอาจวิ่งเร็วกวารถยนตสีขาวก็ได เพียงแตเมื่อพิจารณาตลอดเสนทาง 1,000 เมตร รถยนตสีขาว
ใชเวลานอยกวา จึงมีอัตราเร็วเฉลี่ยมากกวารถยนตสีแดง ในทางฟสิกสจึงมีปริมาณที่บอกถึงอัตราเร็วของวัตถุใน
แตละขณะหรือ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง คือ อัตราเร็วขณะหนึ่ง (instantaneous speed)
อัตราเร็วขณะหนึง่ เปนปริมาณทีพ่ จิ ารณาอัตราเร็วเฉลีย่ ในชวงเวลาทีส่ นั้ มาก ๆ จนเกือบเปนศูนย เมือ่ ตองการ
กลาวถึงอัตราเร็วขณะหนึง่ สามารถกลาวเพียงแคอตั ราเร็ว โดยไมมคี าํ วา ขณะหนึง่ ก็เขาใจไดวา เปนอัตราเร็วขณะหนึง่
แตหากตองการกลาวถึงอัตราเร็วเฉลี่ย เพื่อใหเกิดความชัดเจนควรจะตองระบุหรือบอกใหครบถวน การวัดอัตราเร็ว
ขณะหนึ่งที่พบเห็นไดในชีวิตประจําวัน คือ มาตรวัดอัตราเร็วของยานพาหนะตาง ๆ
HOTS
(คําถามทาทายการคิดขั้นสูง)
เมื่อเวลา 09.00 น. แมนออกเดินดวยอัตราเร็ว 3 กิโลเมตรตอชั่วโมง และอีก 2 ชั่วโมงตอมา ใหมเดิน
ตามมาดวยอัตราเร็ว 5 กิโลเมตรตอชั่วโมง ที่เวลาเทาใด แมนและใหมจึงจะเดินทันกันพอดี
T39
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอผลการศึกษา 10.30 น. 120 km/h 11.30 น. 140 km/h
หนาชั้นเรียน โดยสุมออกมาเพียง 4 กลุม
ซึ่งครูเปนคนเลือกวา จะใหกลุมไหนนําเสนอ
เรื่องอะไร ตามหัวขอเรื่องดังตอไปนี้
• อัตราเร็ว (speed)
• อัตราเร็วเฉลี่ย (average speed)
• อัตราเร็วขณะหนึง่ (instantaneous speed)
• วิธีการคํานวณหาอัตราเร็วจากตัวอยางที่ A B
4.15-4.17
2. ขณะที่ นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม นํ า เสนอ ครู อ าจ
เสนอแนะหรือแทรกขอมูลเพิม่ เติมในเรือ่ งนัน้ ๆ ภาพที่ 4.52 อัตราเร็วของรถยนต์ที่เคลื่อนที่จากจุด A ไปยังจุด B ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ใหนักเรียนทุกคนไดมีความเขาใจที่ถูกตอง
มากยิ่งขึ้น พิจารณาภาพที่ 4.52 ที่ต�าแหน่ง A รถยนต์สีแดงก�าลังเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วเท่ากับ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
และเมือ่ เวลาผ่านไปรถยนต์สแี ดงคันนีเ้ คลือ่ นทีไ่ ปถึงต�าแหน่ง B โดยทีต่ า� แหน่ง B มาตรวัดอัตราเร็วบนหน้าปัดแสดง
อัตราเร็วเท่ากับ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กล่าวได้ว่า อัตราเร็วของรถยนต์สีแดง ณ ต�าแหน่งต่าง ๆ เป็นอัตราเร็ว
ขณะหนึ่ง ซึ่งเป็นอัตราเร็วที่ปรากฏบนมาตรวัดอัตราเร็วในขณะนั้น และเมื่อก�าหนดให้ระยะทางจากต�าแหน่ง A ไป
ยังต�าแหน่ง B ที่รถยนต์สีแดงเคลื่อนที่ได้ในช่วงเวลา 10.30-11.30 น. (1 ชั่วโมง) เท่ากับ 90 กิโลเมตร แสดงว่า
รถยนต์สีแดงนี้เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วที่ไม่สม�่าเสมอตลอดระยะทางทั้งหมด ดังนั้น สามารถบอกได้ว่าอัตราเร็วเฉลี่ย
ของการเคลื่อนที่ของรถยนต์คันนี้เท่ากับ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ตัวอยางที่ 4.15 เด็กชายสุรพลวิ่งเป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเป็นระยะ 100 เมตร ใช้เวลา 30 วินาที
จากนั้นวิ่งกลับมาทางทิศตะวันตกในเส้นทางเดิมอีก 40 เมตร ใช้เวลา 10 วินาที จงหา
อัตราเร็วเฉลี่ยของเด็กชายสุรพล
วิธีท�า ระยะทางทั้งหมดที่เด็กชายสุรพลวิ่งได้เท่ากับ 100 m + 40 m = 140 m
ช่วงเวลาทั้งหมดที่ใช้เท่ากับ 30 s + 10 s = 40 s
หาอัตราเร็วเฉลี่ยได้จากสมการ
อัตราเร็วเฉลี่ย = ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้
ช่วงเวลาที่ใช้
อัตราเร็วเฉลี่ย = 140 m
40 s
อัตราเร็วเฉลี่ย = 3.5 m/s
ดังนั้น อัตราเร็วเฉลี่ยของเด็กชายสุรพลเท่ากับ 3.5 เมตรต่อวินาที
36
T40
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ตัวอย่างที่ 4.16 ในการแขงขันปนจักรยานระยะทาง 20 กิโลเมตร เมื่อเวลาผานไปครึ่งชั่วโมง นักปนจักรยาน 3. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
ปนจักรยานไปไดระยะทางที่แตกตางกัน ดังภาพที่ 4.53 นักปนจักรยานหมายเลข 1 - 4 โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น อภิ ป ราย
ปนจักรยานดวยอัตราเร็วเฉลี่ยเทาใด ตามลําดับ
แสดงความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบวา
5 กิโลเมตร 5.5 กิโลเมตร 6.5 กิโลเมตร
“เปนไปไดหรือไมวา รถยนตคนั หนึง่ ทีเ่ คลือ่ นที่
1 2 5.8 กิโลเมตร 4
ดวยอัตราเร็วเฉลี่ยเทากับ 10 เมตรตอวินาที
3
จะมีอัตราเร็วขณะหนึ่งเทากับ 10 เมตรตอ
วินาที และคาทั้งสองแตกตางกันอยางไร”
ภาพที่ 4.53 การแขงขันปนจักรยานระยะทาง 20 กิโลเมตร (แนวตอบ เปนไปได เนื่องจากอัตราเร็วเฉลี่ย
ที่มา : คลังภาพ อจท.
คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดทั้งหมดตอชวง
วิธีทํา หมายเลข 1 : = 305,000
v = st m = 2.78 m/s
× 60 s เวลาทั้งหมด สวนอัตราเร็วขณะใดขณะหนึ่ง
หมายเลข 2 : = 305,500
v = st m = 3.06 m/s คือ ระยะทางทีว่ ตั ถุเคลือ่ นทีไ่ ด ณ ชวงเวลานัน้
× 60 s
m = 3.22 m/s ดังนั้น อัตราเร็ว ณ ชวงเวลาหนึ่งอาจเทากับ
หมายเลข 3 : = 305,800
v = st × 60 s อัตราเร็วเฉลี่ยที่วัตถุเคลื่อนที่)
หมายเลข 4 : = 306,500
v = st m = 3.61 m/s
× 60 s
ดังนั้น นักปน จักรยานหมายเลข 1 2 3 และ 4 มีอตั ราเร็วเฉลีย่ เทากับ 2.78 เมตรตอวินาที 3.06 เมตรตอวินาที
3.22 เมตรตอวินาที และ 3.61 เมตรตอวินาที ตามลําดับ
T41
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน ตามความ 2.3 ความเร็ว
สมัครใจ จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมรวมกัน ความเร็ว (velocity) คือ การกระจัดที่เปลี่ยนแปลงในหนึ่งหน่วยเวลา เป็นปริมาณเวกเตอร์ เขียนแทนด้วย
สัญลักษณ์ v ซึง่ ความเร็วมีทศิ ทางเดียวกับทิศของการกระจัด มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที (m/s) ซึง่ เขียนสมการได้ ดังนี้
ศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับเรื่อง ความเร็ว
ความเร็ ว เฉลี่ ย และวิ ธีก ารคํ า นวณหา v คือ ความเร็ว มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที (m/s)
v = st s คือ การกระจัด มีหน่วยเป็น เมตร (m)
ความเร็ว จากตัวอยางที่ 4.18 จากหนังสือเรียน
t คือ เวลา มีหน่วยเป็น วินาที (s)
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หรือจากใบความรู 4 km 10.30 น.
เรื่อง อัตราเร็วและความเร็ว ทิศเหนือ B A
2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
ศึกษา จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมเขียนสรุป ทิศตะวันตก ทิศตะวันออก
ความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุด B A
ประจําตัวนักเรียน ทิศใต้
6 km s
6 km
อธิบายความรู้
1. ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอผลการศึกษา 11.30 น.
D C D C
หนาชั้นเรียน โดยสุมออกมาเพียง 3 กลุม 8 km
ซึ่งครูเปนคนเลือกวา จะใหกลุมไหนนําเสนอ s2 = a2 + b2
4 km s = a2 + b2
เรื่องอะไร ตามหัวขอเรื่องดังตอไปนี้
• ความเร็ว (velocity) s = 62 + 82
ภาพที่ 4.55 ความเร็วของรถบรรทุกที่เคลื่อนที่จากจุด A ไปยังจุด D
s = 36 + 64
• ความเร็วเฉลี่ย (average velocity) ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ที่มา : คลังภาพ อจท. s = 100
• วิธีการคํานวณหาความเร็วจากตัวอยางที่
s = 10 กิโลเมตร
4.18
2. ขณะที่ นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม นํ า เสนอ ครู อ าจ จากภาพที่ 4.55 รถบรรทุกคันหนึ่งแล่นไปทางทิศตะวันตกจากจุด
เสนอแนะหรือแทรกขอมูลเพิม่ เติมในเรือ่ งนัน้ ๆ A ไปจุด B เป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร และแล่นไปทางทิศใต้จากจุด B ไป
ใหนักเรียนทุกคนไดมีความเขาใจที่ถูกตอง จุด C เป็นระยะทาง 6 กิโลเมตร จากนั้นแล่นไปทางทิศตะวันตกจากจุด
C ไปจุด D เป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร ได้การกระจัดเท่ากับ 10 กิโลเมตร
มากยิ่งขึ้น ความเร็วกับอัตราเร็ว
โดยปกติแล้วความเร็วในการเคลื่อนที่วัตถุอาจมีการเปลี่ยนแปลงตลอด จะมีขนาดเท่ากันได้
เวลา จึงนิยมบอกความเร็วของวัตถุเป็น ความเร็วเฉลี่ย (average velocity) หรือไม่ เพราะเหตุใด
ซึ่งหาได้จากอัตราส่วนระหว่างการกระจัดกับช่วงเวลาที่ใช้ ดังนั้น รถบรรทุก
คันนีม้ คี วามเร็วเฉลีย่ เท่ากับ 10 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง หรือ 2.78 เมตรต่อวินาที
ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
38
T42
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
ตัวอย่างที่ 4.18 ก�าหนดให้การเดินทางจากบ้านไปสนามฟุตบอลมี 2 เส้นทาง ดังภาพที่ 4.56 โดยทัง้ 2 เส้นทาง 3. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
ใช้เวลาเท่ากัน คือ 300 วินาที จงหาอัตราเร็วในการเดินทางด้วยรถยนต์ และความเร็วในการ โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น อภิ ป ราย
เดินทางจากบ้านไปสนามฟุตบอล
แสดงความคิดเห็นเพือ่ หาคําตอบวา “ความเร็ว
เส้นทาง A 2,400 เมตร
N
กั บ อั ต ราเร็ ว จะมี ข นาดเท า กั น ได ห รื อ ไม
W E เพราะเหตุใด”
เส้นทาง B 600 เมตร
S (แนวตอบ เทากันได หากในหนึ่งหนวยเวลา
ระยะทางกับการกระจัดมีขนาดเทากัน)
ภาพที่ 4.56 เส้นทางจากบ้านไปสนามฟุตบอล
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ขยายความเขาใจ
วิธีทํา อัตราเร็วในการเดินทางด้วยรถยนต์ = ระยะทางทั้งหมด
เวลาทั้งหมด 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
= 300 sm
2,400
เรื่อง การเคลื่อนที่ของวัตถุ และใหความรู
= 8 m/s เพิ่ ม เติ ม จากคํ า ถามของนั ก เรี ย น โดยครู
ความเร็วในการเดินทางจากบ้านไปยังสนามฟุตบอล = การกระจัด ใช PowerPoint เรื่อง การเคลื่อนที่ของวัตถุ
เวลาทั้งหมด
= 600 m ในการอธิบายเพิ่มเติม
300 s
= 2 m/s 2. นักเรียนแตละคนทําใบงาน เรือ่ ง อัตราเร็วและ
ดังนั้น อัตราเร็วในการเดินทางด้วยรถยนต์มีค่าเท่ากับ 8 เมตรต่อวินาที และความเร็วในการเดินทางจากบ้าน ความเร็ว จากนั้นครูสุมนักเรียน 4 คน ออกมา
ไปยังสนามฟุตบอลมีค่าเท่ากับ 2 เมตรต่อวินาที ในทิศทางตะวันออก เฉลยใบงานหน า ชั้ น เรี ย น โดยให เ พื่ อ น
ในชั้นเรียนรวมกันพิจารณาวาคําตอบถูกตอง
Topic Question หรื อ ไม จากนั้ น ครู เ ฉลยคํ า ตอบที่ ถู ก ต อ ง
คําชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ ใหนักเรียน
1. อัตราเร็วกับความเร็วแตกต่างกันอย่างไร 3. นักเรียนทํา Topic Question เรือ่ ง การเคลือ่ นที่
2. ครูดาวเดินทางจากโรงเรียนไปโรงพยาบาลโดยผ่านตลาด ดังภาพที่ 4.57
โรงพยาบาล ตลาด ของวัตถุ จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2
จงหาระยะทางและการกระจัดของครูดาว เลม 2 ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
400 m
4. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง การ
lettuce
โรงเรียน
ในการวิ่งของเด็กหญิง A
ภาพที่ 4.57 เส้นทางจากโรงเรียนไปโรงพยาบาล
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แรงและการเคลื่อนที่ 39
T43
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
F u n
1. นักเรียนแบงกลุม โดยครูเตรียมสลากหมายเลข
กลุม 1-5 จากนั้นใหนักเรียนแตละคนออกมา Science Activity ร่มชูชีพพยุงตุ๊กตา
หยิบสลาก ซึ่งนักเรียนที่ไดหมายเลขเดียวกัน วัสดุอปุ กรณ์
จะอยูกลุมเดียวกัน แตละกลุมจะมีสมาชิก 1. ตุ๊กตาพลาสติกขนาดเล็ก
ภายในกลุม 5 คน 2. ปากกา
2. ครูแจงจุดประสงคของกิจกรรม Fun Science 3. กรรไกร
4. หนังยาง
Activity เรื่อง รมชูชีพพยุงตุกตา ใหนักเรียน 5. เทปใส
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติกิจกรรมที่ 6. ถุงพลาสติก
ถูกตอง จากนั้นใหสมาชิกภายกลุมจัดเตรียม 7. เครื่องเจาะกระดาษ
8. เชือกหรือไหมญี่ปุ่น
วัสดุอุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม Fun
Science Activity เรื่อง รมชูชีพพยุงตุกตา ภาพที่ 4.58 ร่มชูชีพพยุงตุ๊กตา
ที่มา : https://jmcrempsblog.com
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
3. สมาชิกภายในกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรม Fun
วิธที ำ�
Science Activity เรื่อง รมชูชีพพยุงตุกตา
1. ใช้จานวางทาบถุงพลาสติก และใช้ปากกาขีดเส้นขอบเป็นวงกลม แล้วใช้กรรไกรตัดถุงพลาสติกตามเส้นที่ก�ากับไว้
ตามขั้นตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร 2. ใช้ปากกาก�าหนดจุด 4 จุด แล้วน�าเทปใสมาติดจุดที่ก�าหนด ก่อนน�าเครื่องเจาะกระดาษมาเจาะรูตรงบริเวณที่ก�ากับไว้
ม.2 เลม 2 3. น�าเชือกหรือไหมญี่ปุ่นมาตัดแบ่งให้มีความยาวที่พอเหมาะ จ�านวนเท่ากัน 4 เส้น
4. น�าเชือกหรือไหมญี่ปุ่นมาผูกกับรูที่เจาะทั้ง 4 รู แล้วผูกรวมกันตรงกลางร่มชูชีพ
5. น�าตุ๊กตามาผูกกับเชือกหรือไหมญี่ปุ่น และน�าไปปล่อยจากที่สูง แล้วสังเกตการเคลื่อนที่ของร่มชูชีพ
หลักกำรทำงวิทยำศำสตร์
ตุ๊กตาที่ตกจากที่สูงจะมีแรงโน้มถ่วงฉุดให้ตกลงมาด้วยความเร็วเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากร่มชูชีพที่กางออกท�าให้อากาศต้าน
การเคลื่อนที่ ซึ่งมีทิศทางตรงข้ามกับแรงโน้มถ่วงและทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ ส่งผลให้การเคลื่อนที่ของตุ๊กตาช้าลง
40
T44
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
Science in Real Life 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผลการ
รถไฟแมกเลฟ (Maglev) ปฏิบัติกิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง
รมชูชีพพยุงตุกตา หนาชั้นเรียน ในระหวาง
รถไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจ�าวันของเรา ที่นักเรียนนําเสนอ ครูคอยใหขอเสนอแนะ
ซึ่งช่วยให้การคมนาคมสะดวกและรวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
รถไฟฟ้ายังช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัด และช่วยลด 2. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลการปฏิบัติ
ปัญหามลพิษทางอากาศได้ด้วย ในหลายประเทศจึงมี
กิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง รมชูชีพ
การสร้างและพัฒนาระบบของรถไฟฟ้าให้มปี ระสิทธิภาพ
ดีขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในประเทศ พยุงตุกตาวา “แรงโนมถวงดึงดูดใหตุกตา
ภาพที่ 4.62 รถไฟฟ้า BTS ใช้แรงดันไฟฟ้า ให้ล้อเคลื่อนที่ไปตามราง
รถไฟ
ตกจากที่สูงดวยความเร็วเพิ่มขึ้น แตเมื่อรม
ที่มา : คลังภาพ อจท. ชูชีพกางจะตานอากาศในทิศตรงขามกับการ
รถไฟฟ้าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่น�าเอาแรงดันไฟฟ้ามาขับเคลื่อนยาน เคลื่อนที่ของตุกตา ทําใหการเคลื่อนที่ของ
พาหนะให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง แต่เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีทาง ตุกตาชาลง”
ระบบการขนส่งเจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก บางประเทศจึงเริม่ ใช้รถไฟแมกเลฟ
(magnetic levitation train) คือ มีการใช้ไฟฟ้าเหนีย่ วน�าให้เกิดสนามแม่เหล็ก 3. นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล
ภาพที่ 4.63 รถไฟแมกเลฟใช้แรงยกตัวของ มายกตัวรถไฟให้ลอยอยู่บนราง โดยอาศัยหลักการของการดึงดูดกันของ เกี่ยวกับแรงแมเหล็ก จาก Science in Real
แม่เหล็กไฟฟ้าให้ตัวรถไฟลอยและเคลื่อนที่ แม่เหล็กต่างขั้ว และการผลักกันของแม่เหล็กขั้วเดียวกันจากชุดแผงขดลวด Life เรื่อง รถไฟแมกเลฟ จากหนังสือเรียน
ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง
ที่มา : https://commons.wikimedia.org เล็ก ๆ ทีอ่ ยูบ่ ริเวณรางทัง้ สองข้าง และใช้กระแสไฟฟ้าสลับเพือ่ เปลีย่ นขัว้ สนาม วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนั้นครูอธิบาย
แม่เหล็กให้ผลักและดึงรถไฟไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา เพิ่ ม เติ ม ให นั ก เรี ย นเข า ใจว า “ในป จ จุ บั น
S N S N S N S N S N
เทคโนโลยีมีความกาวหนามากขึ้น จึงมีการ
S N S N แผงรางมีขวั้ แม่เหล็กตรงข้ามกับ ประยุ ก ต นํ า เอาแรงแม เ หล็ ก ไฟฟ า มาใช กั บ
N S N S แผงที่ติดตั้งบนรถ รถไฟฟา ทําใหรถไฟฟาในบางประเทศเคลือ่ นที่
N S N S N S N S N S
โดยไมใชราง”
S N S N S N S N S N
S N S N
N S ่อยูN่ด้านล่
แผงรางที S างจะมีขั้ว
N S N S N แม่เหล็กเดียวกับแผงที
S N S N S ่ติดกับ
ตัวรถ เพื่อท�าให้เกิดแรงผลักเสริม
ภาพที่ 4.64 โครงสร้างของรถไฟแมกเลฟ
ที่มา : https://commons.wikimedia.org
แรงและการเคลื่อนที่ 41
สนามแมเหล็ก
www.aksorn.com/interactive3D/RK842 T45
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. นั ก เรี ย นตรวจสอบความเข า ใจของตนเอง
Summary
จากกรอบ Self Check เรือ่ ง แรงและการเคลือ่ นที่
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
แรงและการเคลื่อนที่
4
โดยบันทึกลงในสมุดประจําตัวนักเรียน แรงเปนปริมาณเวกเตอรที่มีขนาดและทิศทาง มีหนวยเปน นิวตัน (N) การหาแรงลัพธ ทําไดโดยวิธีหางตอหัว
2. ครูมอบหมายใหนักเรียนทํา Unit Question แรงยอยกระทําตอวัตถุไปในทิศทางเดียวกัน แรงยอยกระทําตอวัตถุในทิศทางตรงขามกัน
เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ จากหนังสือเรียน F1
F1 F2 F = F + (-F )
Fลัพธ = F1 + F2
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยทําลงในสมุด F2
ลัพธ 1 2
42
T46
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
สนามของแรง 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
• สนามโนมถวง เมื่อมีแรงโนมถวงกระทําตอวัตถุในทิศทางพุงเขาหาวัตถุที่เปนแหลงของสนามโนมถวง สงผลใหวัตถุตกจาก
ที่สูงลงมาสูที่ตํ่า หนวยการเรียนรูท ี่ 4 แรงและการเคลือ่ นที่ เพือ่
• สนามไฟฟา ตรวจสอบความเขาใจหลังเรียนของนักเรียน
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
+ + +- +- - -
+ -ภาพที่ 4.69 ประจุ+ตางชนิ-ดกันเกิดแรงดึงดูด พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ
ภาพที่ 4.68 ประจุชนิดเดียวกันเกิดแรงผลัก นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
3. ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนกอน
• สนามแมเหล็ก
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
S N N S S N S N
Understanding Check ในสมุดประจําตัว
นักเรียน
ภาพที่ 4.70 แมเหล็กขั้วเดียวกันจะเกิดแรงผลัก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ภาพที่ 4.71 แมเหล็กขั้วตางกันจะเกิดแรงดึงดูด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
4. ครูตรวจสอบผลการทําใบงาน เรื่อง อัตราเร็ว
และความเร็ว
การเคลือ่ นที่ ระยะทาง (s) เปนปริมาณสเกลารทม่ี แี ตขนาด มีหนวยเปน เมตร
5. ครูตรวจ Topic Question เรื่อง การเคลื่อนที่
โดยอัตราสวนระหวางระยะทางกับเวลา คือ อัตราเร็ว (v) มีหนวย
เปน เมตรตอวินาที (m/s) ของวัตถุ ในสมุดประจําตัวนักเรียน
6. ครูตรวจสอบผลการตรวจสอบความเขาใจของ
การกระจัด ( s ) เปนปริมาณเวกเตอรที่มีทั้งขนาดและทิศทาง
ตนเองจากกรอบ Self Check เรื่อง แรงและ
มีหนวยเปน เมตร โดยอัตราสวนระหวางการกระจัดกับเวลา คือ การเคลื่อนที่ ในสมุดประจําตัวนักเรียน
ภาพที่ 4.72 ระยะทางกับการกระจัด
ที่มา : คลังภาพ อจท. ความเร็ว ( v ) มีหนวยเปน เมตรตอวินาที (m/s) 7. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง การเคลื่อนที่
ของวัตถุ จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2
Self Check
เลม 2
ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจ โดยพิจารณาขอความวาถูกหรือผิด แลวบันทึกลงในสมุด หากพิจารณาวาขอความ
8. ครูประเมินผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม Fun Science
ไมถูกตอง ใหกลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวขอที่กําหนดให
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
Activity เรื่อง รมชูชีพพยุงตุกตา
1. แรงมีเพียงขนาด แตไมมที ศิ ทาง 1. 9. ครูตรวจแบบฝกหัด Unit Question เรื่อง แรง
และการเคลื่อนที่ ในสมุดประจําตัวนักเรียน
2. แรงพยุงเกิดขึ้นตรงขามกับแรงโนมถวงเสมอ 1.2
10. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งาน/ผลงาน
มุด
ในส
4. ขนาดของการกระจัดเทากับระยะทางของการเคลื่อนที่เสมอ 2.
5. ขนาดของความเร็วเฉลี่ยมีคามากกวาหรือเทากับอัตราเร็วเฉลี่ยเสมอ 2.2
แนวตอบ Self Check
แรงและการเคลื่อนที่ 43 1. ผิด 2. ถูก 3. ถูก
4. ผิด 5. ถูก
T47
ต่ากว่า 7 ปรับปรุง
นํา สอน สรุป ประเมิน
แรงลัพธมีขนาดเทากับ 3 นิวตัน
มีทิศทางไปทางขวามือ A B
4.4 ภาพที่ 4.73 วัตถุที่จมและลอยอยูในของเหลว
F3 = 5 N F1 = 3 N ที่มา : คลังภาพ อจท.
F2 = 4 N
44
แรงลัพธมีขนาดเทากับ 2 นิวตัน
มีทิศทางไปทางซายมือ
4.5 F1 = 2 N F4 = 3 N
F2 = 4 N F3 = 3 N 3) ใชเครื่องชั่งสปริงลากถุงทราย
ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
แรงลัพธมีขนาดเทากับ 0 นิวตัน
5. แรงเสียดทาน คือ แรงตานการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งเกิดขึ้นระหวาง
f
ผิวสัมผัสของวัตถุ โดยมีทิศทางตรงขามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ
6. 1) ลอยางรถยนตกับถนน 7. ขนาดของแรงเสี ย ดทานจะมากหรื อ น อ ยขึ้ น อยู กั บ ขนาดของแรง
ปฏิกิริยาตั้งฉากระหวางผิวสัมผัสและลักษณะผิวสัมผัส
ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
8. วั ต ถุ ที่ อ ยู ใ นของเหลวจะมี แ รงดั น ในของเหลวจะกระทํ า ต อ วั ต ถุ
f ทุกทิศทาง ซึง่ แรงดันทีก่ ระทําตอวัตถุในของเหลวในแนวระนาบทีร่ ะดับ
เดียวกันมีขนาดเทากัน แรงลัพธในแนวระดับมีคาเทากับศูนย แตถา
2) ถีบจักรยาน
ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงดันทีก่ ระทําตอวัตถุดา นลางมีคา มากกวาดานบน แรงลัพธในแนวดิง่
จะมีคาไมเทากับศูนย เรียกแรงลัพธในแนวดิ่งนี้วา แรงพยุง
f
T48
นํา สอน สรุป ประเมิน
T49
Chap
p ter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบ 1. อธิบายความหมายของงานและ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
งานและก�ำลัง ก่อนเรียน ก�ำลังในทางวิทยาศาสตร์ได้ (K) หาความรู้ ก่อนเรียน - ทักษะการค�ำนวณ - ใฝ่เรียนรู้
- หนังสือเรียน 2. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการท�ำงาน - มุ่งมั่นใน
2 วิทยาศาสตร์
ม.2 เล่ม 2
งานกับก�ำลังได้ (K)
3. วิเคราะห์สถานการณ์เกี่ยวกับ
Instructional
Model)
- ตรวจใบงาน เรื่อง งาน
- ตรวจใบงาน เรื่อง ก�ำลัง
ร่วมกัน
- ทักษะการน�ำ
การท�ำงาน
ชั่วโมง
- แบบฝึกหัด งานและก�ำลังได้ (P) - ประเมินการน�ำเสนอ ความรู้ไปใช้
วิทยาศาสตร์ 4. ค�ำนวณหาปริมาณต่างๆ ที่ ผลงาน - ทกั ษะการเชือ่ มโยง
ม.2 เล่ม 2 เกี่ยวข้องกับงานและก�ำลังได้ - สังเกตพฤติกรรม
- ใบงาน (P) การท�ำงานรายบุคคล
- QR Code 5. มีความใฝ่เรียนรู้และมีความ - สังเกตพฤติกรรม
- บัตรภาพ มุ่งมั่นในการท�ำงาน (A) การท�ำงานกลุ่ม
- PowerPoint - สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน
T50
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - แบบทดสอบ 1. อธิบายการเปลี่ยนพลังงาน แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การอนุรักษ์ หลังเรียน ระหว่างพลังงานศักย์โน้มถ่วง หาความรู้ หลังเรียน - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
พลังงาน - หนังสือเรียน และพลังงานจลน์ของวัตถุได้ (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการท�ำงาน - มุ่งมั่นใน
วิทยาศาสตร์ (K) Instructional - ตรวจ Topic Question ร่วมกัน การท�ำงาน
3 ม.2 เล่ม 2 2. อธิบายการเปลี่ยนและการ Model) - ตรวจ Unit Question - ทกั ษะการเชือ่ มโยง
- แบบฝึกหัด ถ่ายโอนพลังงานโดยใช้กฎ - ประเมินการน�ำเสนอ - ทักษะการน�ำ
ชั่วโมง
วิทยาศาสตร์ การอนุรักษ์พลังงานได้ (K) ผลงาน ความรู้ไปใช้
ม.2 เล่ม 2 3. วิเคราะห์สถานการณ์ - ตรวจและประเมินชิน้ งาน/ - ทักษะการรวบรวม
- QR Code การเปลี่ยนและการถ่ายโอน ผลงาน สิ่งประดิษฐ์ด้าน ข้อมูล
- อุปกรณ์การ พลังงานโดยใช้กฎการ พลังงาน
ทดลอง อนุรักษ์พลังงานได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
- บัตรภาพ 4. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้ การท�ำงานรายบุคคล
- PowerPoint อยากเห็น และท�ำงานร่วมกัน - สังเกตพฤติกรรม
กับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A) การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน
T51
Chapter Concept Overview
งานและกําลัง
งาน คือ ผลคูณของแรงกับระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ตามแนว
แรงหรือการกระจัดตามแนวแรง สามารถค�านวณได้จากสมการ ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
W = Fs
กําลัง คือ ปริมาณที่ใช้บอกความสามารถในการท�างานได้ต่อ F
หนึ่งหน่วยเวลา สามารถค�านวณได้จากสมการ P = Wt
เครื่องกลอยางงาย เปนเครื่องกลที่ช่วยในการผ่อนแรงหรือ s
อ�านวยความสะดวกในการท�างาน มี 6 ประเภท ดังนี้
1. คาน
2. รอก
รอกเดี่ยวตายตัว s รอกเดี่ยวเคลื่อนที่
E หลักการท�างานของรอกเดี่ยวตายตัว หลักการท�างานของรอกเดี่ยวเคลื่อนที่
งานที่ให้กับรอก = งานที่ได้จากรอก E งานที่ให้กับรอก = งานที่ได้จากรอก
s Es = mgh Es = mgh
E = mg E = mg
2
m
h=s h = 2s W
3. ลิม่ E
4. พื้นเอียง
L
m
E
H W
W W h L
หลักการท�างานของพื้นเอียง
หลักการท�างานของลิ่ม งานที่ให้กับพื้นเอียง = งานที่ได้จากพื้นเอียง
งานที่ให้กับลิ่ม = งานที่ได้จากลิ่ม EL = Wh
EH = WL EL = mgh
T52
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
5. สกรู m E 6. ลอและเพลา
R
E R E
h r
มองจากดานบน m m E
W W
หลักการทํางานของสกรู หลักการทํางานของลอและเพลา
งานที่ใหกับสกรู = งานทีไ่ ดจากสกรู งานที่ใหกับลอ = งานที่ไดจากเพลา
E × 2πR = Wh ER = Wr
E × 2πR = mgh ER = mgr
พลังงานกล
พลังงานกลแบงเปน 2 ประเภท คือ พลังงานจลนและพลังงานศักย
1. พลังงานจลน (Ek) เปนพลังงานที่สะสมอยูในวัตถุที่เคลื่อนที่ ปจจัยที่มีผลตอพลังงานจลน คือ
• มวล ถาวัตถุมีอัตราเร็วเทากัน วัตถุที่มีมวลมากกวาจะมีพลังงานจลนมากกวา
• อัตราเร็วของวัตถุ ถาวัตถุมีมวลเทากัน วัตถุที่มีอัตราเร็วสูงกวาจะมีพลังงานจลนมากกวา
2. พลังงานศักย (Ep) เปนพลังงานที่สะสมอยูในวัตถุ แบงออกเปน 2 ประเภท คือ พลังงานศักยโนมถวงและพลังงานศักยยืดหยุน
• พลังงานศักยโนมถวง เปนพลังงานที่สะสมอยูในวัตถุที่เกี่ยวของกับตําแหนงของวัตถุ เมื่อเทียบกับตําแหนงอางอิงในสนามโนมถวง
โดยปจจัยที่มีผลตอพลังงานศักยโนมถวง คือ
- มวล ถามวลของวัตถุเทากัน วัตถุที่อยูสูงกวาจะมีพลังงานศักยโนมถวงมากกวา
- ตําแหนงของวัตถุที่ตําแหนงความสูงเทากัน วัตถุที่มีมวลมากกวาจะมีพลังงานศักยโนมถวงมากกวา
กฎการอนุรกั ษพลังงาน
• พลังงานไมสามารถทําใหสูญหายหรือทําลายได แตจะเกิดการเปลี่ยนรูปพลังงานจากรูปหนึ่งไปเปนอีกรูปหนึ่งได
Ep มีคาสูงสุด, Ek มีคาเทากับศูนย
Ep มีคาลดลง, Ek มีคาเพิ่มขึ้น
Ep มีคาเทากับศูนย, Ek มีคาสูงสุด
• พลังงานสามารถถายโอนได ตัวอยางเชน
การถายโอนความรอนระหวางสสาร เกิดขึน้ ได 3 รูปแบบ ดังนี้ การถายโอนพลังงานเสียง
1 การนําความรอน (conduction) 2 การพาความรอน (convection)
โมเลกุลของอากาศ
3 การแผรังสีความรอน (radiation)
1. การนําความรอน เปนการถายโอนความรอนผานตัวกลาง
ที่เปนของแข็ง
2. การพาความรอน เปนการถายโอนความรอนผานตัวกลาง เสียงเกิดจากการสั่นของวัตถุที่เปนแหลงกําเนิดเสียง พลังงาน
ที่เปนของเหลวหรือแกส การสัน่ ของแหลงกําเนิดจะถูกถายโอนใหแกโมเลกุลของตัวกลาง คือ
3. การแผรังสีความรอน เปนการถายโอนความรอน โดย อากาศทีอ่ ยูต ดิ กับแหลงกําเนิด และพลังงานจะถูกสงตอกันไปเรือ่ ย ๆ
ไมจําเปนตองอาศัยตัวกลาง จนถึงหูผูฟง
T53
น�ำ น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ หนวยการเรียนรูที่
เครื่องกลอย่างง่าย
เครื่องกลที่ชวยผอนแรงและชวย
อํานวยความสะดวกในการทํางาน
เชน ลิ่ม
รอก คาน
ตัวชี้วัด
ว 2.3 ม.2/1 วิเครำะห์สถำนกำรณ์และค�ำนวณเกี่ยวกับงำนและก�ำลังที่เกิดจำกแรงที่กระท�ำต่อวัตถุ
โดยใช้สมกำร W = Fs และ P = Wt จำกข้อมูลที่รวบรวมได้
แนวตอบ Big Question ว 2.3 ม.2/2 วิเครำะห์หลักกำรท�ำงำนของเครื่องกลอย่ำงง่ำยจำกข้อมูลที่รวบรวมได้
การทํากิจกรรมตางๆ ในชีวิตประจําวันบาง ว 2.3 ม.2/3 ตระหนักถึงประโยชน์ของควำมรู้ของเครื่องกลอย่ำงง่ำย โดยบอกประโยชน์และกำรประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน
ว 2.3 ม.2/4 ออกแบบและทดลองด้วยวิธีที่เหมำะสมในกำรอธิบำยปัจจัยที่มีผลต่อพลังงำนจลน์และพลังงำนศักย์โน้มถ่วง
กิจกรรมจะกอใหเกิดงานในทางฟสิกส กลาวคือ ว 2.3 ม.2/5 แปลควำมหมำยข้อมูลและอธิบำยกำรเปลี่ยนพลังงำนระหว่ำงพลังงำนศักย์โน้มถ่วงและพลังงำนจลน์ของวัตถุ
เมื่อออกแรงกระทํากับวัตถุใหเคลื่อนที่ไปตามแนว โดยพลังงำนกลของวัตถุมีค่ำคงตัวจำกข้อมูลที่รวบรวมได้
แรง สวนพลังงานเปนสิ่งที่ไมสามารถมองเห็นหรือ ว 2.3 ม.2/6 วิเครำะห์สถำนกำรณ์และอธิบำยกำรเปลี่ยนและกำรถ่ำยโอนพลังงำนโดยใช้กฎกำรอนุรักษ์พลังงำน
จับตองได แตสามารถรับรูได เชน พลังงานความ
รอนจากดวงอาทิตย พลังงานไฟฟาทําใหหลอดไฟ
สวาง พลังงานลมชวยในการแลนเรือสําเภา
เกร็ดแนะครู
ก่ อ นเข้ า สู ่ ก ารเรี ย นการสอน เรื่ อ ง งานและพลั ง งาน ครู ใ ห้ นั ก เรี ย น
ร่วมกันยกตัวอย่าง ค�าว่า “งาน” ตามความเข้าใจของนักเรียน ก่อนทีค่ รูจะอธิบาย
ความหมายของงานในทางฟสิกส์ว่า งาน คือ ผลของแรงที่กระท�าต่อวัตถุ
แล้วท�าให้วัตถุเคลื่อนที่ไปตามแนวแรงที่มากระท�า จึงจะถือว่าแรงนั้นท�าให้
เกิดงาน ตัวอย่างงานในทางฟสิกส์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจ�าวัน เช่น ออกแรงผลัก
รถยนต์ให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ออกแรงกระโดดลอยขึ้นไปที่สูง นอกจากนี้ แรง
ที่กระท�าอาจเกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต เช่น การท�างานของเครื่องจักรและเครื่องมือ
บางชนิด
T54
น�ำ น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Understanding Check 3. นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจของตนเองก่อน
พิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึก เข้าสู่กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
ถูก/ผิด Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น
1. วัตถุที่อยู่นิ่งจะไม่เกิดงำน แต่วัตถุที่เคลื่อนที่ในทิศทำงเดียวกับแรงที่มำกระท�ำจะเกิดงำน วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 โดยบันทึกลงในสมุด
2. ก�ำลังเกี่ยวข้องกับแรงและกำรเปลี่ยนแปลงรูปร่ำงของวัตถุ ประจ�าตัวนักเรียน
มุ ด
3. แรงม้ำเป็นหน่วยที่เปรียบเทียบกำรท�ำงำนของเครื่องยนต์กับกำรท�ำงำนของม้ำ 4. ครูถามค�าถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
นส
งใ
ล
เรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 เพื่อเป็นการ
ทึ ก
4. เครื่องกลเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนแรง
บั น
5. รอกเป็นหนึ่งในเครื่องกลอย่ำงง่ำย น�าเข้าสู่บทเรียน
ขัน้ สอน
Prior
Knowledge
1 งานและก�าลัง สํารวจค้นหา
แรงชนิดใดบ้างทีส่ ง่ ผลให้ ในชีวิตประจ�ำวันของเรำมีกิจกรรมที่จะมีแรงเข้ำมำเกี่ยวข้อง 1. ครูน�าบัตรภาพกิจกรรมต่างๆ เช่น นักกีฬา
วัตถุเคลือ่ นทีไ่ ปตามแนว โดยอำจต้องใช้แรงหรือพลังงำนในกำรท�ำกิจกรรม เช่น กำรยกของ ยกน�้ า หนั ก คนเข็ น รถยนต์ เด็ ก ผู ้ ห ญิ ง
แรงทีม่ ากระท�า กำรล้ำงรถ โดยทั่วไปกำรท�ำกิจกรรมต่ำง ๆ จะถือว่ำเป็นกำรท�ำงำน นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ มาให้นักเรียนดู จากนั้น
ทั้งสิ้น แต่ในทำงฟิสิกส์จะนิยำมกำรท�ำงำนแตกต่ำงออกไป โดยจะ ครูตง้ั ประเด็นค�าถามกระตุน้ ความคิดนักเรียน
พิจำรณำจำกแรงทีก่ ระท�ำต่อวัตถุและทิศทำงกำรเคลือ่ นทีข่ องวัตถุดว้ ย
ว่า “กิจกรรมใดบ้างที่เกิดงานในทางฟสิกส์”
1.1 งาน
( แนวตอบ กิ จ กรรมที่ เ กิ ด งานในทางฟ สิ ก ส
งาน (work) ในทำงฟิสิกส์ คือ ผลคูณของแรงกับระยะทำงที่วัตถุเคลื่อนที่ตำมแนวแรงหรือกำรกระจัด
ตำมแนวแรง งำนจะมีค่ำมำกหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนำดของแรงและขนำดของกำรกระจัดในแนวเดียวกับแรง ซึ่งงำน
คื อ คนเข็ น รถยนต แ ละเด็ ก ผู ห ญิ ง นั่ ง เล น
เป็นปริมำณทำงกำยภำพที่มีเพียงขนำดไม่มีทิศทำง งำนจึงเป็นปริมำณสเกลำร์ คอมพิวเตอร)
ทิศทำงกำรเคลื่อนที่ของวัตถุ 2. นั ก เรี ย นจั บ คู ่ กั บ เพื่ อ นในชั้ น เรี ย น จากนั้ น
F ร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง งาน
s เพือ่ หาค�านิยามค�าว่า งาน ในทางวิทยาศาสตร์
ภาพที่ 5.1 แรงคงตัว F กระท�ำต่อวัตถุท�ำให้วัตถุเคลื่อนที่ได้ขนำดของกำรกระจัด s ตำมแนวแรง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
ที่มา : คลังภาพ อจท.
3. นักเรียนแต่ละคูร่ ว่ มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ด้ศกึ ษา
จำกภำพที่ 5.1 งำนที่เกิดขึ้นมีค่ำเท่ำกับผลคูณของขนำดของแรงคงตัว F กับขนำดของกำรกระจัด s ตำม จากนั้นให้นักเรียนแต่ละคนเขียนสรุปความรู้
แนวแรง สำมำรถแสดงควำมสัมพันธ์ ดังนี้ ทีไ่ ด้จากการศึกษาค้นคว้าลงในสมุดประจ�าตัว
1
W คือ งำน มีหน่วยเป็น นิวตัน เมตร (N m) หรือ จูล (J) นักเรียน
W = Fs F คือ ขนำดของแรงที่กระท�ำต่อวัตถุ มีหน่วยเป็น นิวตัน (N)
แนวตอบ Understanding Check
s คือ ขนำดของกำรกระจัดตำมแนวแรง มีหน่วยเป็น เมตร (m)
1. ถูก 2. ผิด 3. ถูก 4. ถูก 5. ถูก
งานและพลังงาน 47
แนวตอบ Prior Knowledge
แรงโนมถวง แรงดึง แรงผลัก
T55
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. นั ก เรี ย นแต่ ล ะกลุ ่ ม ออกมาน� า เสนอผลการ
ไมเกิดงาน เกิดงาน
ศึ ก ษาหน้ า ชั้ น เรี ย น ในระหว่ า งที่ นั ก เรี ย น
น� า เสนอ ครู ค อยให้ ข ้ อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
2. ครูตงั้ ประเด็นค�าถามกระตุน้ ความคิดนักเรียน
โดยให้นกั เรียนแต่ละคนร่วมกันอภิปรายแสดง
ความคิดเห็นเพื่อหาค�าตอบ ดังนี้ (ก) (ข)
• งานในความหมายทั่วไปในชีวิตประจําวัน ภาพที่ 5.2 การยกนํ้าหนักทําใหเกิดงานในเชิงฟสิกส
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ตางกับงานในทางวิทยาศาสตรอยางไร
(แนวตอบ งานในความหมายทั่วไป หมายถึง จากภาพที่ 5.2 (ก) จะเห็นวา นักกีฬายกนํา้ หนักออกแรงแบกตุม นํา้ หนัก
การประกอบอาชีพ ซึง่ แตกตางไปจากความ ไวบริเวณบา โดยตุมนํ้าหนักไมมีการเคลื่อนที่ จึงถือวาไมเกิดงานในทาง กิจกรรมในชีวิต
หมายของงานในทางวิทยาศาสตร หมายถึง ฟสิกส สวนภาพที่ 5.2 (ข) จะเห็นวา นักกีฬายกนํ้าหนักออกแรงกระทําตอ ประจําวันใดบ้าง
ที่เกิดงานในทางฟิสิกส์
ผลของแรงและระยะทางที่ วั ต ถุ เ คลื่ อ นที่ ตุม นํา้ หนักมากขึน้ ทําใหตมุ นํา้ หนักเคลือ่ นทีข่ นึ้ ไปเหนือศีรษะในทิศทางเดียว
ในแนวเดียวกับแรง ดังนัน้ งานจึงเปนปริมาณ กับแรงที่มากระทํา จึงถือวาเกิดงานในทางฟสิกส
สเกลาร)
• จากนิยาม นักเรียนสามารถคํานวณปริมาณ ตัวอย่างที่ 5.1 ชายคนหนึง่ ออกแรงขนาด 300 นิวตัน ผลักโตะใหเคลือ่ นทีไ่ ปยังมุมหองไดขนาดของการกระจัด
20 เมตร จงหางานที่เกิดขึ้นจากการออกแรงกระทําของชายคนนี้
งานไดอยางไร
(แนวตอบ ผลคูณระหวางแรงกับระยะทางที่ วิธีทํา จากสมการ W = Fs
W = 300 N × 20 m
วัตถุเคลื่อนที่ตามแนวแรง)
W = 6,000 N m หรือ 6,000 J
ดังนั้น งานที่เกิดจากการออกแรงกระทําของชายคนนี้เทากับ 6,000 จูล
48
T56
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
นอกจำกจะหำงำนที่เกิดขึ้นในแนวระดับได้แล้ว ยังสำมำรถหำงำนที่ 3. นักเรียนศึกษาตัวอย่างการค�านวณโจทย์ปญ หา
เกิดขึ้นในแนวดิ่งได้อีกด้วย เนื่องจำกกำรเคลื่อนที่ของวัตถุลงในแนวดิ่งหรือ mg ทิศทำงกำรเคลื่อนที่ จากตั ว อย่ า งที่ 5.1-5.4 จากหนั ง สื อ เรี ย น
กำรตกแบบอิสระจะมีแรงโน้มถ่วงของโลกมำกระท�ำต่อวัตถุที่มีมวล ท�ำให้ ของวัตถุ
เกิดเป็นงำนเนื่องจำกแรงโน้มถ่วงของโลก งำนที่เกิดขึ้นในกรณีนี้จึงเท่ำกับ h วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
ผลคูณระหว่ำงแรงเนือ่ งจำกแรงโน้มถ่วงของโลกทีก่ ระท�ำต่อวัตถุกบั ควำมสูง 4. นักเรียนท�าใบงาน เรื่อง งาน จากนั้นครูสุ่ม
ทีว่ ตั ถุเคลือ่ นทีล่ งมำในแนวดิง่ เมือ่ วัดจำกต�ำแหน่งอ้ำงอิง สำมำรถค�ำนวณได้ ต�ำแหน่งอ้ำงอิง เลขที่นักเรียน 4 คน ออกมาเขียนค�าตอบของ
จำกสมกำร ภาพที่ 5.4 กำรตกแบบอิสระของวัตถุ ตนเองหน้าชั้นเรียน โดยให้เพื่อนในชั้นเรียน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ร่ ว มกั น พิ จ ารณาว่ า ค� า ตอบถู ก ต้ อ งหรื อ ไม่
W คือ งำนเนื่องจำกแรงโน้มถ่วง มีหน่วยเป็น นิวตัน เมตร (N m) หรือ จูล (J) จากนั้นครูเฉลยค�าตอบที่ถูกต้องให้นักเรียน
W = mgh m คือ มวลของวัตถุ มีหน่วยเป็น กิโลกรัม (kg)
g คือ ควำมเร่งเนื่องจำกแรงโน้มถ่วง มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินำที2 (m/s2)
h คือ ควำมสูงที่วัดจำกต�ำแหน่งอ้ำงอิง มีหน่วยเป็น เมตร (m)
งานและพลังงาน 49
T57
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูทบทวนความรูเดิมของนักเรียน จากนั้นครู 1.2 กําลัง
กําลัง (power) เปนปริมาณที่ใชบอกอัตราการทํางานหรืองานที่ทําไดในหนึ่งหนวยเวลา กําลังเปนปริมาณ
ถามนั ก เรี ย นว า “กํ า ลั ง เกี่ ย วข อ งกั บ งาน
สเกลารเชนเดียวกับงาน โดยปริมาณที่เกี่ยวของกับกําลังประกอบดวย งาน และเวลา
อย า งไร” โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะคนร ว มกั น หากพิจารณาการทํางานของคน 2 คน นาย ก ทํางานได 100 จูล ในขณะที่นาย ข ทํางานได 500 จูล
อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ จะไมสามารถบอกไดวาระหวางนาย ก หรือนาย ข ใครมีความสามารถในการทํางานไดมากกวากันหรือใครทํางาน
(แนวตอบ งานที่ทําในหนึ่งหนวยเวลา เรียกวา ไดอยางมีประสิทธิภาพดีกวากัน เนื่องจากไมทราบวาทั้งสองคนใชเวลาในการทํางานเทาไร แตถาพิจารณางานที่
กําลัง ซึง่ กําลังเปนปริมาณสเกลารเชนเดียวกับ นาย ก และนาย ข ทําในเวลาที่เทากันจะสามารถบอกไดวาใครสามารถทํางานไดมากกวากัน กลาวคือ สามารถ
งาน) บอกไดวาใครมีกําลังในการทํางานมากกวากัน โดยสามารถคํานวณหากําลังเฉลี่ยได จากสมการ
2. ครู ตั้ ง ประเด็ น คํ า ถามให นั ก เรี ย นร ว มกั น
อภิปรายแสดงความคิดเห็นวา “คน 2 คน P คือ กําลังเฉลี่ย มีหนวยเปน จูลตอวินาที (J/s) หรือ วัตต (W)
P = Wt W คือ งาน มีหนวยเปน นิวตัน เมตร (N m) หรือ จูล (J)
ทํางานไดเทากัน แตใชเวลาในการทํางาน
t คือ เวลา มีหนวยเปน วินาที (s)
ต า งกั น ความสามารถในการทํ า งานของ
คน 2 คนเหมือนหรือตางกัน อยางไร” โดย
ไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด จากนั้นนักเรียน ตัวอย่างที่ 5.5 เด็กชายคนหนึ่งออกแรงขนาด 450 นิวตัน ลากกลองใหเคลื่อนที่เปนระยะทาง 15 เมตร
แต ล ะคนศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง ในเวลา 50 วินาที จงหากําลังเฉลี่ยในการลากกลองของเด็กชายคนนี้
กําลัง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 วิธีทํา จากสมการ P = Wt
3. นักเรียนแตละคนเขียนสรุปความรูท ไี่ ดจากการ P = Fst
ศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน P = 450 N50×s15 m = 135 W
4. นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 5.5-5.9 จากหนังสือ ดังนั้น กําลังเฉลี่ยของเด็กชายคนนี้ที่ใชในการลากกลองเทากับ 135 วัตต
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
อธิบายความรู ตัวอย่างที่ 5.6 เด็กคนหนึ่งดึงถังนํ้าหนัก 150 นิวตัน ขึ้นจากบอนํ้าลึกลงไป 5 เมตร ดวยอัตราเร็วคงตัว
เปนเวลา 6 วินาที จงหากําลังเฉลี่ยในการดึงถังนํ้าของเด็กคนนี้
1. ครูสมุ เลขทีน่ กั เรียน 3 คน ออกมาเขียนคําตอบ
วิธีทํา เด็กคนนีต้ อ งออกแรงทีม่ ขี นาดนอยทีส่ ดุ เทากับนํา้ หนักของถังนํา้ แตมที ศิ ทางตรงขาม ถังนํา้ จึงจะเคลือ่ นที่
ของตนเองหน า ชั้ น เรี ย น โดยให เ พื่ อ นใน ดวยอัตราเร็วคงตัว
ชั้ น เรี ย นร ว มกั น พิ จ ารณาว า คํ า ตอบถู ก ต อ ง จากสมการ P = Wt
หรื อ ไม จากนั้ น ครู เ ฉลยคํ า ตอบที่ ถู ก ต อ ง P = Fst
ใหนักเรียน
P = 150 N6 ×s 5 m = 125 W
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจเกี่ยวกับ
ดังนั้น เด็กคนนี้ดึงถังนํ้าขึ้นจากบอนํ้าดวยกําลังเฉลี่ย 125 วัตต
กําลังมา
50 กําลัง
T58
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
ตัวอยางที่ 5.7 จงหำก�ำลังเฉลี่ยในกำรออกแรงขนำด 120 นิวตัน ยกกล่องขึ้นบันไดสูงขั้นละ 0.2 เมตร 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
จ�ำนวน 20 ขั้น ในเวลำ 10 วินำที เรือ่ ง งานและกําลัง และใหความรูเ พิม่ เติมจาก
วิธีท�ำ จำกสมกำร P = Wt = Fst คําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint
P = 120 N × 10 (0.2 m × 20)
s
เรื่อง งานและกําลัง ในการอธิบายเพิ่มเติม
P = 120 10 N×4m 2. นักเรียนจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียนตามความ
s
P = 48 W สมัครใจ จากนั้นใหนักเรียนแตละคูรวมกัน
ดังนั้น ก�ำลังเฉลี่ยที่ใช้ในกำรยกกล่องขึ้นบันไดเท่ำกับ 48 วัตต์ ทําใบงาน เรื่อง กําลัง
ตัวอยางที่ 5.8 ชำยคนหนึ่งออกแรงขนำด 180 นิวตัน ผลักกล่องให้เคลื่อนที่ ถ้ำก�ำลังเฉลี่ยที่ใช้ในกำรผลัก 3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง งานและ
กล่องเท่ำกับ 360 วัตต์ อยำกทรำบว่ำในเวลำ 20 วินำที ชำยคนนี้จะผลักกล่องให้เคลื่อนที่ได้ กําลัง จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ขนำดของกำรกระจัดเท่ำใด
วิธีท�า จำกสมกำร P = Wt = Fst ขัน้ สรุป
360 W = 18020N s× s ตรวจสอบผล
W × 20 s
s = 360 180 นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับเรื่อง งาน
N
s = 40 m และกําลัง
ดังนั้น ชำยคนนี้จะผลักกล่องให้เคลื่อนที่ได้ขนำดของกำรกระจัดเท่ำกับ 40 เมตร
ตัวอยางที่ 5.9 ผู้ชำยสำมคนออกแรงร่วมกันขนำด 150 นิวตัน เข็นรถยนต์คันหนึ่งให้เคลื่อนที่ด้วยควำมเร็ว
ขัน้ ประเมิน
คงตัว 4 เมตรต่อวินำที จงหำก�ำลังเฉลี่ยที่ผู้ชำยทั้งสำมคนใช้ในกำรเข็นรถยนต์ ตรวจสอบผล
วิธีท�า จำกสมกำร P = Wt
1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน
หนวยการเรียนรูที่ 5 งานและพลังงาน เพื่อ
P = Fst
ตรวจสอบความเขาใจกอนเรียนของนักเรียน
P = Fv
P = 150 N × 4 m/s 2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
P = 600 W ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ดังนั้น ก�ำลังเฉลี่ยที่ผู้ชำยทั้งสำมคนใช้ในกำรเข็นรถยนต์เท่ำกับ 600 วัตต์ พฤติกรรมการทํางานกลุม และจากการนําเสนอ
ผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
Science
Focus กําลังมา 3. ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนกอนเขาสู
ในอดีตมนุษย์นิยมใช้แรงงำนจำกสัตว์ เช่น ม้ำ แทนกำรใช้แรงงำนจำกมนุษย์ กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Under-
หรือเครื่องจักร ในปัจจุบันจึงมีกำรเปรียบเทียบกำรท�ำงำนของเครื่องยนต์ในหน่วย standing Check ในสมุดประจําตัวนักเรียน
ก�ำลังม้ำ (horsepower; hp) หรือที่นิยมเรียกกันว่ำ แรงม้ำ และเมื่อเทียบแรงม้ำกับ
ระบบเอสไอ (SI unit) จะได้ว่ำ 1 แรงม้ำ เท่ำกับ 746 วัตต์
4. ครูตรวจสอบผลการทําใบงาน เรื่อง งาน
ภาพที่ 5.5 ม้ำถูกน�ำมำใช้ลำกรถ 5. ครูตรวจสอบผลการทําใบงาน เรื่อง กําลัง
ที่มา : คลังภาพ อจท. 6. ครู ต รวจแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง งานและกํ า ลั ง
งานและพลังงาน 51
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ลาดับที่ รายการประเมิน
3
ระดับคะแนน
2 1
1 ความถูกต้องของเนื้อหา
2 ความคิดสร้างสรรค์
3 วิธีการนาเสนอผลงาน
4 การนาไปใช้ประโยชน์
5 การตรงต่อเวลา
รวม
เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T59
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
ครูสนทนากับนักเรียนวา “ในชีวิตประจําวัน 1.3 เครื่องกลอยางงาย
เครื่องกล (machine) เปนอุปกรณที่สรางขึ้นเพื่อชวยผอนแรง หรืออํานวยความสะดวกในการทํางาน
นักเรียนรูจักและเคยเห็นเครื่องกลชนิดใดบาง”
โดยเมื่อมีแรงพยายาม (effort force) หรือแรงที่ใหกับเครื่องกลเพียงเล็กนอย ก็จะสามารถเอาชนะแรงตานทานที่ได
โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันแสดงความคิดเห็น รับจากเครือ่ งกล หรือแรงเนือ่ งจากนํา้ หนักของวัตถุ (weight) ทีก่ ระทําตอเครือ่ งกลได โดยเครือ่ งกลอยางงาย (simple
อยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด machine) เปนเครื่องกลที่ไมซับซอน มี 6 ประเภท ไดแก
(แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวา คาน พื้นเอียง 1. คาน (lever) เปนเครื่องกลที่มีลักษณะเปนทอนยาว มีจุดหมุน (fulcrum) เพื่อทวีคูณแรงเชิงกล เชน
เปนตน) คอนงัดตะปู กรรไกร ตะเกียบ โดยสวนประกอบหลักของเครื่องกลประเภทคาน แสดงดังภาพที่ 5.6
แรงพยายาม
ขัน้ สอน แรงตานทาน
สํารวจคนหา
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน ตามความ
สมั ค รใจ จากนั้ น ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม จุดหมุน
ร ว มกั น ศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง ภาพที่ 5.6 สวนประกอบหลักของเครื่องกลประเภทคาน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เครื่องกลอยางงายและคาน จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หรือแหลงการเรียนรู
ประเภทของคาน
ตางๆ เชน อินเทอรเน็ต หองสมุด
2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
คานประเภทที่ 1 คานประเภทที่ 2 คานประเภทที่ 3
ศึกษา จากนั้นใหนักเรียนแตละคนเขียนสรุป
ความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุด แรงพยายาม แรงตานทาน แรงตานทาน
แรงตานทาน
แรงพยายาม
ประจําตัวนักเรียน แรงพยายาม
52
M N
ขอใดสรุปถูกตอง
1. แรงกด a มีคามากกวา แรงกด b 2. แรงกด b มีคามากกวา แรงกด a
3. แรงกด c มีคามากกวา แรงกด a 4. แรงกด c มีคามากกวา แรงกด b
(วิเคราะหคําตอบ แรงกดมีคาผกผันกับระยะทางจากจุดหมุนไปตั้งฉากกับแนวแรง แรงกด a b และ c จึงมี
คามากไปนอย ตามลําดับ ดังนั้น ตอบขอ 1.)
T60
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
หลักการของงานสามารถนํามาอธิบายหลักการทํางานของคานได ดังนี้ 1. นั ก เรี ย นแต่ ล ะกลุ ่ ม ออกมาน� า เสนอผลการ
งานที่ใหกับคาน = งานที่คานกระทําตอวัตถุ
ศึ ก ษาหน้ า ชั้ น เรี ย น ในระหว่ า งที่ นั ก เรี ย น
Es = Wh
น� า เสนอ ครู ค อยให้ ข ้ อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
Es = mgh
เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
2. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลจากการ
ระยะที่คานยกวัตถุ
ศึกษา ซึ่งควรได้ข้อสรุปร่วมกันว่า “เครื่องกล
ระยะที่กดคาน
(h)
แรงพยายาม (E) (s) อย่างง่าย เป็นอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยผ่อน
m
แรง หรืออ�านวยความสะดวกในการท�างาน
แรงตานทาน (W)
จุดหมุน ให้เป็นไปอย่างสะดวกขึ้น เครื่องกลอย่างง่าย
ภาพที่ 5.8 กลไกการทํางานของคาน
แบ่งออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่ คาน รอก ลิ่ม
ที่มา : คลังภาพ อจท. พืน้ เอียง สกรู และล้อและเพลา โดยแต่ละประเภท
ถาตําแหนงของจุดหมุนอยูใ กลกบั วัตถุ จะสงผลใหระยะทีค่ านยกวัตถุ (h) นอยกวาระยะทีอ่ อกแรงกดคาน (s) เสมอ มีหลักการท�างานทีแ่ ตกต่างกันเพือ่ ช่วยในการ
และเนื่องจากงานที่ใหกับคานเทากับงานที่คานกระทําตอวัตถุ ดังนั้น แรงพยายาม (E) จะนอยกวาแรงตานทาน (W) ผ่อนแรงในการท�างาน และแต่ละประเภทมี
กลาวคือ แรงที่ใหกบั คานจะมีขนาดนอยกวาแรงทีค่ านกระทําตอวัตถุ ดังนัน้ คานจึงเปนเครือ่ งกลประเภทหนึง่ ทีช่ ว ย วัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกันด้วย”
ผอนแรง ซึ่งนํามาประยุกตใชในชีวิตประจําวัน เชน กรรไกร คอน ชะแลง คีมตัดลวด รถเข็นทราย ที่เปดฝาขวด 3. ครูอธิบายให้นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับคานว่า
ที่ตัดกระดาษ “คาน เป็นเครื่องกลอย่างง่ายที่มีลักษณะเป็น
แรงพยายาม
แรงตานทาน ท่อยาวและแข็ง มีสว่ นประกอบทีส่ า� คัญ 3 ส่วน
จุดหมุน
ได้แก่ จุดหมุน (F) แรงพยายาม (E) และแรง
แรงพยายาม
ต้านทาน (W)”
4. ครูเตรียมบัตรภาพอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กรรไกร
แรงตานทาน
ค้ อ น คี ม ตั ด ลวด รถเข็ น ไม้ ก วาด พลั่ ว
แรงตานทาน
แรงพยายาม มาให้ นั ก เรี ย นดู จากนั้ น นั ก เรี ย นวาดภาพ
อุปกรณ์ตา่ งๆ จากบัตรภาพ แล้วเติมต�าแหน่ง
แรงตานทาน ของจุดหมุน (F) แรงพยายาม (E) และแรง
ต้านทาน (W) ลงในสมุดประจ�าตัวนักเรียน
จุดหมุน จุดหมุน
ภาพที่ 5.9 ตัวอยางอุปกรณที่ใชหลักการของคาน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
งานและพลังงาน 53
T61
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนแบ่งกลุม่ ออกเป็น 5 กลุม่ กลุม่ ละเท่าๆ 2. ลิ่ม (wedge) เป็นเครื่องกลที่มีรูปร่ำงสำมเหลี่ยม นิยมใช้ตอกลงในเนื้อวัตถุเพื่อแยกวัตถุให้ออกจำกกัน
ซึ่งน�ำมำประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน เช่น ขวำน มีด ส้อม
กัน จากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทน
ออกมาจับสลากหัวข้อที่ศึกษา โดยให้นักเรียน E จำกภำพที่ 5.10 เมื่อออกแรงพยำยำม (E)
แต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ L กระท�ำต่อลิ่มให้เคลื่อนที่เข้ำไปในเนื้อวัตถุเป็นระยะ
เรื่อง เครื่องกลอย่างง่าย กลุ่มละ 1 ประเภท H ท�ำให้วัตถุแยกออกจำกกันเป็นระยะ L ซึ่งภำยใน
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 เนื้อวัตถุจะมีแรงต้ำนทำน (W) โดยหลักกำรของงำน
H สำมำรถน�ำมำอธิบำยหลักกำรท�ำงำนของลิ่มได้ ดังนี้
หรือแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต W W
ห้องสมุด ซึ่งหัวข้อประกอบด้วย งำนที่ให้กับลิ่ม = งำนที่ได้จำกลิ่ม
• กลุ่มที่ 1 ศึกษาเรื่อง ลิ่ม EH = WL
• กลุ่มที่ 2 ศึกษาเรื่อง รอก ภาพที่ 5.10 ลิ่ม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
• กลุ่มที่ 3 ศึกษาเรื่อง พื้นเอียง
• กลุ่มที่ 4 ศึกษาเรื่อง สกรู Science in Real Life
• กลุ่มที่ 5 ศึกษาเรื่อง ล้อและเพลา ในปัจจุบันตะปูเป็นเครื่องมือที่มี
2. นั ก เรี ย นแต่ ล ะกลุ ่ ม ร่ ว มกั น อภิ ป รายเรื่ อ งที่ อยูท่ วั่ ไปตำมบ้ำนเรือน ใช้สำ� หรับกำรยึด
ตรึง หรือเพื่อท�ำให้วัตถุหนึ่งยึดติดกับอีก
ได้ศึกษา จากนั้นร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้จาก วัตถุหนึ่ง ตะปูส่วนมำกท�ำมำจำกเหล็ก
การศึกษาค้นคว้าลงในสมุดประจ�าตัวนักเรียน มีควำมแข็งแรง มีลักษณะปลำยแหลม
รูปร่ำงคล้ำยเข็ม หลักกำรในกำรท�ำงำน
อธิบายความรู้ คล้ำยกับลิ่ม เนื่องจำกหัวตะปูมีควำม
กว้ำงและสัน้ กว่ำควำมยำวของล�ำตัวตะปู
1. ครู ตั้ ง ประเด็ น ค� า ถาม โดยใช้ ค� า ถามจาก เมื่อออกแรงตอกที่หัวตะปู จะท�ำให้ตะปู
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 ว่า ภาพที่ 5.11 ขวำนเป็นเครื่องมือที่ใช้หลักกำรของลิ่ม เจำะเข้ำไปในเนื้อวัตถุ โดยทั่วไปตะปูมี
“ถ้าสันของลิ่มมีความกว้างมากกว่าความยาว ที่มา : คลังภาพ อจท. ลักษณะและรูปร่ำงที่แตกต่ำงกัน ขึ้นอยู่
กับประเภทของใช้งำน เช่น
ของลิ่มจะส่งผลอย่างไร” จำกภำพจะเห็นว่ำ ตัวขวำนมีลักษณะคล้ำยกับลิ่ม ถ้ำควำมยำว
1. ตะปูตอกคอนกรีต จะมีช่วงล�ำตัว
(แนวตอบ เมื่อออกแรงกระทํา จะทําใหขวาน ของตัวขวำน (H) มำกกว่ำควำมกว้ำงของสันขวำน (L) มำก เมื่อออกแรง
เป็นร่องลึก
เพียงเล็กน้อยจะช่วยท�ำให้ขวำนเจำะเข้ำไปในเนือ้ วัตถุ หรือแยกวัตถุให้ออก
เจาะเขาไปในเนื้อวัตถุตื้น สงผลใหแยกวัตถุ จำกกันได้ง่ำยมำกขึ้น
2. ตะปูตอกไม้ จะมีหัวตะปูขนำดเล็ก
ออกจากกันไดยาก) 3. ตะปูตอกสังกะสี จะมีหัวตะปูที่มี
ขนำดใหญ่ และกลมโค้งเล็กน้อย เพื่อ
ถาสันของลิ่ม ช่วยยึดสังกะสีให้ติดกับโครง
มีความกวางมากกวา
ความยาวของลิ่ม
จะสงผลอยางไร
54
T62
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
3. รอก (pulley) เป็นเครือ่ งกลทีม่ ลี กั ษณะเป็นล้อ และมีเชือกหรือเคเบิลพำดรอบล้อ ช่วยอ�ำนวยควำมสะดวก 2. นั ก เรี ย นแต่ ล ะกลุ ่ ม ออกมาน� า เสนอผลการ
ในกำรเคลื่อนย้ำยสิ่งของ ซึ่งรอกเดี่ยวเป็นเครื่องกลอย่ำงง่ำยสำมำรถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
ศึ ก ษาหน้ า ชั้ น เรี ย น ในระหว่ า งที่ นั ก เรี ย น
1) รอกเดี่ยวตายตัว (fixed pulley) เป็นรอกเดี่ยวที่ตรึงติดอยู่
กับที่ ใช้เชือกหนึง่ เส้นพำดรอบล้อ โดยปลำยข้ำงหนึง่ ผูกติดกับวัตถุ และปลำย
น� า เสนอ ครู ค อยให้ ข ้ อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
อีกข้ำงหนึง่ ใช้สำ� หรับดึง โดยหลักกำรของงำนสำมำรถน�ำมำอธิบำยหลักกำร เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
E
ท�ำงำนของรอกเดี่ยวตำยตัวได้ ดังนี้ 3. ครูเตรียมบัตรภาพอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กรรไกร
s งำนที่ให้กับรอก = งำนที่ได้จำกรอก ขวาน รอกเดี่ยว ลูกบิดประตู บันได ปากกา
Es = Wh จับชิ้นงาน มาให้นักเรียนดู จากนั้นให้นักเรียน
m เมือ่ ออกแรงพยำยำมดึงเชือกเป็นระยะ s วัตถุจะถูกรอกดึงขึน้ แต่ละกลุ่มร่วมกันท�าใบงาน เรื่อง เครื่องกล
เป็นระยะ h ซึ่งเท่ำกับ s เช่นกัน ท�ำให้แรงที่ใช้ดึงวัตถุมีขนำดเท่ำกับน�้ำหนัก อย่างง่าย โดยเติมชือ่ อุปกรณ์ ประเภทเครือ่ งกล
h=s W ของวัตถุที่รอกดึงขึ้น
อย่างง่าย และหลักการท�างาน
E = mg
ภาพที่ 5.12 รอกเดี่ยวตำยตัว
ที่มา : คลังภาพ อจท. ดังนั้น รอกเดี่ยวตำยตัวจึงไม่ช่วยผ่อนแรง แต่ช่วยอ�ำนวย
ควำมสะดวกในกำรท�ำงำน
2) รอกเดีย่ วเคลือ่ นที่ (moveable pulley) เป็นรอกเดีย่ วทีส่ ำมำรถ
s เคลื่อนที่ได้ขณะใช้งำน ซึ่งมีวัตถุผูกติดอยู่กับตัวรอก และใช้เชือกเส้นหนึ่ง
พำดรอบล้อของตัวรอก ปลำยเชือกข้ำงหนึ่งยึดติดไว้กับเพดำน ส่วนปลำย
E
เชือกอีกข้ำงหนึง่ ใช้สำ� หรับออกแรงพยำยำมดึงรอกขึน้ โดยหลักกำรของงำน
สำมำรถน�ำมำอธิบำยหลักกำรท�ำงำนของรอกเดี่ยวเคลื่อนที่ได้ ดังนี้
งำนที่ให้กับรอก = งำนที่ได้จำกรอก
m Es = Wh
h = 2s W เมือ่ ออกแรงพยำยำมดึงเชือกเป็นระยะ s วัตถุจะถูกรอกดึงขึน้
เป็นระยะ h ซึ่งมีระยะเป็นครึ่งหนึ่งของระยะ s นั่นคือ h = 2s ท�ำให้แรงที่ใช้
ภาพที่ 5.13 รอกเดี่ยวเคลื่อนที่ ดึงวัตถุมีขนำดเท่ำกับครึ่งหนึ่งของน�้ำหนักของวัตถุที่รอกดึงขึ้น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
E = mg2
ดังนั้น รอกเดี่ยวเคลื่อนที่จึงช่วยผ่อนแรงและช่วยอ�ำนวย
ควำมสะดวกในกำรท�ำงำน
Science
Focus รอกพวง
รอกพวง คือ รอกเดี่ยวหลำย ๆ ตัว ที่ถูกน�ำมำประกอบกันเพื่อช่วยผ่อนแรงในกำรท�ำงำน โดยทั่วไปรอกพวงมี 3 ระบบ ได้แก่
• รอกพวงระบบที่ 1 ประกอบด้วย รอกเดี่ยวตำยตัวและรอกเดี่ยวเคลื่อนที่
• รอกพวงระบบที่ 2 ประกอบด้วย รอกตับบนเป็นรอกเดี่ยวตำยตัว และรอกตับล่ำงเป็นรอกเดี่ยวเคลื่อนที่
• รอกพวงระบบที่ 3 ประกอบด้วย รอกเดี่ยวตำยตัวหลำยตัว
งานและพลังงาน 55
T63
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. ครู เ ป ด โอกาสให้ นั ก เรี ย นซั ก ถามเนื้ อ หา 4. พื้นเอียง (inclined plane) เป็นเครื่องกลที่มีลักษณะเป็นทำงลำด หรือเป็นไม้กระดำนยำว พื้นผิวเรียบ ใช้
พำดบนที่สูงเพื่อลำกหรือผลักวัตถุที่มีน�้ำหนักมำกขึ้นสู่ที่สูง หรือย้ำยวัตถุจำกที่สูงลงมำให้สะดวกขึ้น เช่น ทำงลำด
เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง เครื่ อ งกลอย่ า งง่ า ย และให้ ส�ำหรับผู้พิกำร พื้นเอียงที่พำดกับยำนพำหนะ
ความรู้เพิ่มเติมจากค�าถามของนักเรียน โดย
ครูใช้ PowerPoint เรื่อง เครื่องกลอย่างง่าย
m E
ในการอธิบายเพิ่มเติม
2. นักเรียนท�า Topic Question จากหนังสือเรียน W
วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 ลงในสมุดประจ�าตัว h L
นักเรียน
ภาพที่ 5.14 พื้นเอียง
3. นักเรียนแต่ละคนท�าแบบฝกหัด เรือ่ ง เครือ่ งกล ที่มา : คลังภาพ อจท.
อย่างง่าย จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร์ ม.2
เล่ม 2 เมือ่ ออกแรงพยำยำม (E) ผลักกล่องมวล m ให้
เคลือ่ นทีไ่ ปบนพืน้ เอียงยำว L ในขณะเดียวกันแรงโน้มถ่วง
ขัน้ สรุป ของโลก (g) จะดึงวัตถุให้ลงมำจำกควำมสูง h โดยหลัก
กำรของงำนสำมำรถน�ำมำอธิบำยหลักกำรท�ำงำนของ
ตรวจสอบผล พื้นเอียงได้ ดังนี้
นั ก เรี ย นและครู ร ่ ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง งำนที่ให้กับพื้นเอียง = งำนที่ได้จำกพื้นเอียง
เครื่องกลอย่างง่าย ซึ่งควรได้ข้อสรุปร่วมกันว่า EL = Wh
“เครื่องกลอย่างง่ายเป็นเครื่องมือที่ช่วยผ่อนแรง EL = mgh ภาพที่ 5.15 ตัวอย่ำงเครื่องมือที่ใช้หลักกำรของพื้นเอียง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
และช่วยอ�านวยความสะดวกในการท�างาน โดย
เครื่องกลอย่างง่าย มี 6 ประเภท ได้แก่ คาน รอก 5. สกรู (screw) หรือนอต เป็นเครื่องกลที่มีหลักกำรท�ำงำนคล้ำยกับพื้นเอียง แตกต่ำงกันที่สกรูจะเป็นตัว
พื้นเอียง สกรู ลิ่ม และล้อและเพลา” เคลื่อนที่แทนวัตถุ น�ำมำใช้ส�ำหรับยกวัตถุที่มีน�้ำหนักมำกขึ้นสู่ที่สูงได้
56
T64
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
6. ล้อกับเพลา (wheel and axle) เป็นเครื่องกลที่ประกอบด้วยทรงกระบอก 2 อันติดกัน อันใหญ่เรียกว่า 1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ล้อ อันเล็กเรียกว่า เพลา โดยเชือกทีพ่ นั รอบล้อและเพลามีทศิ ทางสวนทางกัน และปลายข้างหนึง่ ของเชือกทีพ่ นั รอบ
ตอบค�าถาม พฤติกรรมการท�างานรายบุคคล
เพลาใช้ผูกติดกับวัตถุ ส่วนปลายข้างหนึ่งของเชือกที่พันรอบล้อใช้ส�าหรับออกแรงดึง ดังภาพที่ 5.17
พฤติ ก รรมการท� า งานกลุ ่ ม และจากการ
R
E น�าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน
2. ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนก่อนเข้าสู่
r
กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Under-
E standing Check ในสมุดประจ�าตัวนักเรียน
m
3. ครูตรวจสอบผลการท�าใบงาน เรื่อง เครื่องกล
m W
อย่างง่าย
ภาพที่ 5.17 ล้อและเพลา
W ที่มา : คลังภาพ อจท. 4. ครูตรวจ Topic Question ในสมุดประจ�าตัว
เมื่อออกแรงพยายาม (E) ดึงเชือกให้ล้อหมุน 1 รอบ ด้วยรัศมี Science in Real Life นักเรียน
R ในขณะเดียวกันเพลาจะหมุนด้วยรัศมี r ซึ่งมีขนาดน้อยกว่ารัศมีของล้อ ในปัจจุบนั มีการน�าหลักการของล้อ 5. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง เครื่องกลอย่างง่าย
และเพลามาประยุกต์ใช้กับยานพาหนะ
จะท�าให้เกิดแรงหมุนทีเ่ พลาดึงวัตถุหนัก W ขึน้ โดยหลักการของงานสามารถ
และอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น รถจักรยาน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
น�ามาอธิบายหลักการท�างานของล้อและเพลาได้ ดังนี้ โดยรถจักรยานจะมีโซ่เหล็กที่พันรอบ
งานที่ให้กับล้อ = งานที่ได้จากเพลา เพลาหรื อ จานหมุ น และล้ อ หลั ง ของ
ER = Wr รถจั ก รยาน เมื่ อ ปั ่ น จานหมุ น ของรถ
ER = mgr จักรยานครบ 1 รอบ ด้วยรัศมี r จะ
ท�าให้ล้อรถจักรยานหมุนไปด้วยรัศมี R
เนื่องจากรัศมีของล้อ (R) มากกว่ารัศมีของเพลา (r) เสมอ ซึ่งมากกว่า r ท�าให้รถจักรยานเคลื่อนที่
เมือ่ ออกแรงหมุนล้อเพียงเล็กน้อย แรงทีไ่ ด้จากเพลาจะมีขนาดมากกว่า ดังนัน้ ไปข้างหน้าได้ นอกจากนี้ ลูกบิดประตู
ล้อและเพลาจึงเป็นเครื่องกลที่ช่วยผ่อนแรง แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ก็น�าหลักการของล้อและเพลามาใช้เช่น
รัศมีของล้อและเพลา ซึ่งถ้าต้องการผ่อนแรงมากรัศมีของล้อและเพลาต้อง เดียวกัน โดยมีลูกบิดเป็นล้อและแกน
แตกต่างกันมาก ลูกบิดเป็นเพลา
Topic Question
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. คุณพ่อถือตุ้มน�้าหนักมวล 5 กิโลกรัม ไว้ในมือเป็นเวลา 5 นาที จากนั้นคุณพ่อยกตุ้มน�้าหนักขึ้นและลงเป็นเวลา
30 นาที จงหาว่าเมื่อใดบ้างที่เกิดงานในทางฟิสิกส์
2. ชายคนหนึ่งแบกวัตถุมวล 10 กิโลกรัม ไว้บนบ่า เดินขึ้นสะพานลอยข้ามถนนซึ่งสูง 5 เมตร จากพื้นถนน ยาว
30 เมตร เป็นเวลา 2 นาที จงหางานและก�าลังที่เกิดขึ้นจากการแบกวัตถุของชายคนนี้
3. ค้อนงัดตะปูมีหลักการท�างานเหมือนกับเครื่องกลชนิดใดบ้าง และช่วยผ่อนแรงได้อย่างไร
งานและพลังงาน 57
1
2
รายการประเมิน
ความถูกต้องของเนื้อหา
ความคิดสร้างสรรค์
3
ระดับคะแนน
2 1
รวม
เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T65
น�ำ น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครู เ ตรี ย มบั ต รภาพน�้ า ตกมาให้ นั ก เรี ย นดู Understanding Check
จากนั้ น ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นว่ า “น�้ า ตกมี พิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึก
พลังงานใดสะสมอยูบ่ า้ ง จึงท�าให้นา�้ ตกไหลลง ถูก/ผิด
มุ ด
อิสระโดยไม่มีการเฉลยว่าถูกหรือผิด
นส
3. พลังงำนจลน์ของวัตถุจะสะสมอยู่ในวัตถุที่เคลื่อนที่
งใ
2. นั ก เรี ย นตรวจสอบความเข้ า ใจของตนเอง
ล
ทึ ก
4. พลังงำนไม่มีวันสูญหำย และพลังงำนสำมำรถเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงำนอื่นได้
บั น
ก่ อ นเข้ า สู ่ กิ จ กรรมการเรี ย นการสอน จาก
5. แผงเซลล์สุริยะสำมำรถเปลี่ยนพลังงำนแสงให้เป็นพลังงำนไฟฟ้ำได้
กรอบ Understanding Check ในหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 โดยบันทึกลงในสมุด
ประจ�าตัวนักเรียน Prior
Knowledge
2 พลังงาน
3. ครูถามค�าถาม Prior Knowledge จากหนังสือ หลักการของงาน พลังงำนไม่สำมำรถมองเห็นได้ดว้ ยตำเปล่ำ แต่สำมำรถรับรูไ้ ด้
เรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 เพื่อเป็นการ สัมพันธ์กบั พลังงาน เช่น พลังงำนเสียงทีม่ มี ำกเกินไปจะท�ำให้เรำรูส้ กึ ปวดหู พลังงำนควำม
น�าเข้าสู่บทเรียน อย่างไร ร้อนที่ได้รับจำกดวงอำทิตย์ พลังงำนไฟฟ้ำที่ท�ำให้เครื่องใช้ไฟฟ้ำ
ท�ำงำนได้
พลังงาน (energy) ในทำงฟิสิกส์ เป็นควำมสำมำรถที่อยู่ในตัวของวัตถุ ส่งผลให้วัตถุมีกำรเปลี่ยนแปลง
เกิดขึ้น เช่น เปลี่ยนสถำนะ หรือเปลี่ยนสภำพกำรเคลื่อนที่ พลังงำนไม่สำมำรถสร้ำงขึ้นใหม่ได้ แต่สำมำรถเปลี่ยน
รูปแบบเป็นแบบอื่นได้ ส�ำหรับพลังงำนที่จะศึกษำในระดับชั้นนี้เป็นพลังงำนที่อยู่ในวัตถุทุกชนิด ซึ่งก็คือ พลังงำนกล
(mechanical enengy)
2.1 ประเภทของพลังงานกล
พลังงำนกลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. พลังงานจลน์ (kinetic energy; Ek) เป็น
พลั ง งำนที่ ถู ก ครอบครองโดยวั ต ถุ ที่ เ คลื่ อ นที่ เช่ น
กำรไหลของกระแสน�้ำ รถก�ำลังแล่น ก้อนหินที่ตกจำก
แนวตอบ Understanding Check ทีส่ งู พลังงำนจลน์จะมีคำ่ มำกหรือน้อยขึน้ อยูก่ บั มวลและ
อัตรำเร็วของวัตถุ กล่ำวคือ ในกรณีที่วัตถุมีมวลเท่ำกัน
1. ผิด 2. ผิด 3. ถูก วัตถุทเี่ คลือ่ นทีด่ ว้ ยอัตรำเร็วสูง จะมีพลังงำนจลน์มำกกว่ำ
4. ถูก 5. ถูก วัตถุทเี่ คลือ่ นทีด่ ว้ ยอัตรำเร็วต�ำ่ แต่ในกรณีทวี่ ตั ถุเคลือ่ นที่
ภาพที่ 5.18 รถแข่งที่แล่นด้วยอัตรำเร็วสูงที่สุด จะมีพลังงำนจลน์
ด้วยอัตรำเร็วเท่ำกัน วัตถุที่มีมวลมำกจะมีพลังงำนจลน์ มำกกว่ำรถแข่งคันอื่น ๆ (ในกรณีที่มีมวลเท่ำกัน)
แนวตอบ Prior Knowledge มำกกว่ำวัตถุที่มีมวลน้อย ที่มา : คลังภาพ อจท.
พลั ง งานเป น สิ่ ง ที่ บ ง บอกถึ ง ความสามารถ
ในการทํางานไดของวัตถุ สงผลใหวตั ถุเปลีย่ นแปลง 58
สภาพการเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนสถานะ
T66
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2. พลังงานศักย์ (potential energy; Ep) เป็นพลังงำนที่สะสมอยู่ในวัตถุ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. นักเรียนแต่ละคนเปรียบเทียบพลังงานทีส่ ะสม
1) พลั ง งานศั ก ย์ โ น้ ม ถ่ ว ง ( gravitational อยูใ่ นวัตถุ โดยครูเขียนบนกระดานให้นกั เรียน
potential energy) เป็นพลังงำนทีส่ ะสมอยูใ่ นวัตถุทเี่ กีย่ วข้อง
ดู จากนัน้ ให้นกั เรียนบันทึกลงในสมุดประจ�าตัว
กับต�ำแหน่งของวัตถุเมื่อเปรียบเทียบกับต�ำแหน่งอ้ำงอิง
ในสนำมโน้มถ่วง เช่น นกบินอยู่บนท้องฟ้ำ หรือก้อนหิน นักเรียน ดังนี้
บนภูเขำ ซึ่งพลังงำนศักย์โน้มถ่วงจะมีค่ำมำกหรือน้อย • มวล A และมวล B มีขนาดเท่ากัน มวล A
ขึ้นอยู่กับมวลและต�ำแหน่งของวัตถุจำกระดับอ้ำงอิง เคลื่ อ นที่ เ ร็ ว กว่ า มวล B จงเปรี ย บเที ย บ
กล่ำวคือ ถ้ำวัตถุทมี่ มี วลต่ำงกันอยูใ่ นระดับควำมสูงเหนือ พลังงานจลน์ในวัตถุมวล A และมวล B
ต�ำแหน่งอ้ำงอิงเท่ำกัน วัตถุทมี่ มี วลมำกกว่ำจะมีพลังงำน ภาพที่ 5.19 ที่ระดับควำมสูงเหนือพื้นดินเท่ำกัน นักกระโดดร่มที่มี • มวล A มีขนาดใหญ่กว่ามวล B เคลื่อนที่
ศั ก ย์ โ น้ ม ถ่ ว งสะสมอยู ่ ม ำกกว่ ำ วั ต ถุ ที่ มี ม วลน้ อ ยกว่ ำ มวลมำกที่สุด จะมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วงสะสมอยู่มำกที่สุด
ดังภำพที่ 5.19 แต่ถ้ำวัตถุมีมวลเท่ำกันอยู่ในระดับ ที่มา : คลังภาพ อจท. เร็วเท่ากัน จงเปรียบเทียบพลังงานงานจลน์
ควำมสูงต่ำงกัน วัตถุทอี่ ยูส่ งู กว่ำจะมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วง ในวัตถุมวล A และมวล B
มำกกว่ำวัตถุที่อยู่ต�่ำกว่ำ ดังภำพที่ 5.21 • มวล A และมวล B มีขนาดเท่ากัน แต่มวล A
2) พลังงานศักย์ยืดหยุ่น (elastic potential อยู่สูงกว่ามวล B จงเปรียบเทียบพลังงาน
energy) เป็นพลังงำนศักย์รปู แบบหนึง่ ทีส่ ะสมอยูใ่ นวัตถุที่ ศักย์โน้มถ่วง
ยืดหยุ่นได้ เมื่อมีแรงมำกระท�ำต่อวัตถุ ท�ำให้วัตถุยืดออก • มวล A มีขนาดใหญ่กว่ามวล B ซึ่งมวล A
หรือหดสั้นไปจำกสภำพเดิม จำกนั้นวัตถุจะกลับสู่สภำพ
เดิมได้ เช่น สปริง หนังยำง สำยธนู และมวล B อยู่สูงในระดับเท่ากัน จงเปรียบ
ภาพที่ 5.20 สำยธนูมีพลังงำนศักย์ยืดหยุ่นใช้ง้ำงคันธนู เพื่อส่งแรง เทียบพลังงานศักย์โน้มถ่วง
ให้กับลูกธนูพุ่งออกไปข้ำงหน้ำ หลังจำกยิงธนูแล้ว สำยธนูจะกลับสู่
สภำพเดิม 2. ครูสุ่มนักเรียน 2 คน ออกมาน�าเสนอค�าตอบ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ของตนเองหน้ า ชั้ น เรี ย น จากนั้ น ครู เ ฉลย
ค�าตอบที่ถูกต้องให้นักเรียน
3. ครูสุ่มนักเรียน 6 คน ให้ยกตัวอย่างประเภท
ของพลังงานต่างๆ ที่พบเห็นในชีวิตประจ�าวัน
ดังนี้
• คนที่ 1-2 ยกตัวอย่างพลังงานจลน์
• คนที่ 3-4 ยกตัวอย่างพลังงานศักย์โน้มถ่วง
• คนที่ 5-6 ยกตัวอย่างพลังงานศักย์ยืดหยุ่น
งานและพลังงาน 59
1
1. ลูกบอลหมายเลข 1 2 และ 3 มีพลังงานศักย์โน้มถ่วงเท่ากัน
3 2. ลูกบอลหมายเลข 1 มีพลังงานศักย์โน้มถ่วงมากกว่าลูกบอลหมายเลข 2
3. ลูกบอลหมายเลข 2 มีพลังงานศักย์โน้มถ่วงมากกว่าลูกบอลหมายเลข 3
2 4. ลูกบอลหมายเลข 3 มีพลังงานศักย์โน้มถ่วงมากกว่าลูกบอลหมายเลข 1
(วิเคราะหคาํ ตอบ วัตถุมวลเทากัน วัตถุใดทีอ่ ยูส งู จากพืน้ โลกมากกวาจะมีพลังงานศักย
โนมถวงมากกวา ดังนั้น ตอบขอ 2.)
T67
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
4. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 6 คน จากนั้นครู 2.2 กฎการอนุรักษพลังงาน
แจ้งจุดประสงค์ของกิจกรรม ปจจัยที่มีผลต่อ กฎกำรอนุรกั ษ์พลังงำน (law of conservation of energy) กล่ำวว่ำ “พลังงำนเป็นสิง่ ทีไ่ ม่สำมำรถสร้ำงขึน้ ใหม่
และไม่สำมำรถท�ำให้สูญหำยหรือท�ำลำยได้ แต่จะเกิดกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนจำกรูปหนึ่งไปเป็นอีกรูปหนึ่ง”
พลั ง งานจลน์ แ ละพลั ง งานศั ก ย์ โ น้ ม ถ่ ว ง
ให้นักเรียนทราบเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติ 1 เมื่อวัตถุอยู่นิ่งและอยู่ในต�ำแหน่งที่
กิจกรรมที่ถูกต้อง สูงสุด พลังงำนจลน์มีค่ำเป็นศูนย์
ส่วนพลังงำนศักย์โน้มถ่วง จะมีค่ำ
5. นักเรียนแต่ละกลุม่ ร่วมกันศึกษากิจกรรม ปจจัย มำกที่สุด
ที่ มี ผ ลต่ อ พลั ง งานจลน์ แ ละพลั ง งานศั ก ย์ 2 เมือ่ วัตถุเริม่ เคลือ่ นที่ พลังงำนศักย์
โน้มถ่วงจะมีค่ำลดลง เนื่องจำก
โน้มถ่วง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 พลังงำนศักย์โน้มถ่วงเปลีย่ นแปลง
เล่ม 2 โดยครูใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไปเป็นพลังงำนจลน์
มาจั ด กระบวนการเรี ย นรู ้ โดยก� า หนดให้ 3 ขณะทีว่ ตั ถุเคลือ่ นทีม่ ำอยูใ่ นต�ำแหน่ง
ต�่ ำ ที่ สุ ด เมื่ อ เที ย บกั บ ต� ำ แหน่ ง
สมาชิกแต่ละคนภายในกลุ่มมีบทบาทหน้าที่ อ้ำงอิง จะเป็นจุดที่พลังงำนจลน์มี
ของตนเอง ดังนี้ ค่ำสูงที่สุด ส่วนพลังงำนศักย์โน้ม
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ท� า หน้ า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ ถ่วงจะมีคำ่ น้อยทีส่ ดุ และจะเป็นศูนย์
เมือ่ วัตถุอยูท่ รี่ ะดับเดียวกับต�ำแหน่ง
อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติกิจกรรม อ้ำงอิง
• สมาชิกคนที่ 3-4 ท�าหน้าที่อ่านวิธีปฏิบัติ
กิ จ กรรมและน� า มาอธิ บ ายให้ ส มาชิ ก ใน
กลุ่มฟง
• สมาชิกคนที่ 5-6 ท�าหน้าที่บันทึกผลการ
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจ�าตัวนักเรียน
6. นักเรียนแต่ละกลุม่ ร่วมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม HOTS
(ค�าถามท้าทายการคิดขั้นสูง)
ขั้นตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2
เล่ม 2 ภาพที่ 5.22 กำรเปลี่ยนรูประหว่ำงพลังงำนจลน์และพลังงำนศักย์
โน้มถ่วงที่สะสมอยู่ในนักเล่นสกี
แนวตอบ H.O.T.S. ที่มา : คลังภาพ อจท.
เริ่มตนที่จุดสตารต นักกระโดดคํ้าถอจะวิ่ง จำกภำพแสดงให้เห็นว่ำ พลังงำนไม่ได้สูญหำย
โดยถือไมคาํ้ ดวยความเร็วสูง พลังงานจลนจะเพิม่ ขึน้ แต่มีกำรเปลี่ยนรูปของพลังงำนไป คือ เปลี่ยนแปลง
ภาพที่ 5.23 นักกระโดดค�้ำถ่อ
เรื่อยๆ เมื่อนักกระโดดปกไมลงกับพื้น ตัวของ จำกพลังงำนศักย์ไปเป็นพลังงำนจลน์ ซึ่งเป็นไปตำม ที่มา : คลังภาพ อจท.
นักกีฬาจะลอยสูงขึน้ ณ จุดนี้ พลังงานศักยโนมถวง กฎกำรอนุรักษ์พลังงำน
จำกภำพ นักกีฬำกระโดดค�้ำถ่อมีกำรเปลี่ยน
จะมี ค า เพิ่ ม ขึ้ น แต พ ลั ง งานจลน จ ะลดลง เมื่ อ รูปพลังงานอย่างไร
นักกีฬาลอยขึ้นไปจุดสูงสุด พลังงานศักยโนมถวง
จะมีคาสูงสุด และพลังงานจลนมีคาเปนศูนย ซึ่ง 60 กฎการอนุรักษพลังงาน
เมื่ อ นั ก กี ฬ าตกลงมาสู พื้ น พลั ง งานจลน จ ะมี ค า
เพิ่มขึ้นแตพลังงานศักยจะลดลง
T68
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
กิจกรรม
1. นั ก เรี ย นแต่ ล ะกลุ ่ ม ออกมาน� า เสนอผลการ
ปจจัยที่มีผลต่อพลังงานจลนและพลังงานศักยโนมถ่วง
ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน้ า ชั้ น เรี ย น ในระหว่ า งที่
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ นั ก เรี ย นน� า เสนอ ครู ค อยให้ ข ้ อ เสนอแนะ
จุดประสงค์ - กำรตั้งสมมติฐำน เพิม่ เติม เพือ่ ให้นกั เรียนมีความเข้าใจทีถ่ กู ต้อง
- กำรทดลอง
ทดลองและอธิบำยปัจจัยที่มีผลต่อพลังงำนจลน์และพลังงำนศักย์โน้มถ่วงได้ 2. ครูถามค�าถามท้ายกิจกรรม โดยให้นักเรียน
จิตวิทยาศาสตร์
วัสดุอปุ กรณ์
- ควำมรับผิดชอบ
- ควำมสนใจใฝรู้ แต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
1. ลูกแก้วหรือลูกเหล็กขนำดเท่ำกัน 2 ลูก 4. ไม้บรรทัดและไม้เมตร
เพื่อหาค�าตอบ
2. ลูกแก้วหรือลูกเหล็กขนำดใหญ่กว่ำ 1 ลูก 5. ชุดขำตั้ง ขยายความเข้าใจ
3. ดินน�้ำมัน 6. เชือกหรือเส้นด้ำย
1. ครู เ ป ด โอกาสให้ นั ก เรี ย นซั ก ถามเนื้ อ หา
วิธปี ฏิบตั ิ เกี่ยวกับเรื่อง พลังงาน และให้ความรู้เพิ่มเติม
ตอนที่ 1 ปจจัยที่มีผลต่อพลังงานจลน์ จากค�าถามของนักเรียน โดยครูใช้ Power-
1. ท�ำชุดลูกตุ้มโดยน�ำลูกแก้วมำติดกับปลำยเชือกด้ำนหนึ่ง แล้วน�ำปลำยเชือกอีกด้ำนหนึ่งไปผูกกับชุดขำตั้ง โดยให้ลูกแก้วที่น�ำ Point เรื่อง พลังงาน ในการอธิบายเพิ่มเติม
มำท�ำเป็นลูกตุ้มชิดกับพื้นโตะทดลองโดยเชือกที่ผูกไม่ตึงหรือหย่อน
2. น�ำลูกแก้ววำงบนพื้นโตะทดลอง แล้วปล่อยลูกตุ้มจำกควำมสูง 4 เซนติเมตร จำกพื้นโตะทดลองให้มำชนกับลูกแก้วที่วำงบน 2. นักเรียนแต่ละคนท�าแบบฝกหัด เรือ่ ง พลังงาน
พื้นโตะทดลอง สังเกตกำรเคลื่อนที่ของลูกแก้วและวัดระยะทำงที่ลูกแก้วเคลื่อนที่ได้ แล้วบันทึกผล จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
3. ท�ำกำรทดลองข้อ 2. ซ�้ำ แต่เปลี่ยนลูกแก้วที่น�ำมำวำงบนพื้นโตะทดลองให้มีขนำดใหญ่กว่ำลูกแก้วที่น�ำมำท�ำกำรทดลองใน
ข้อ 2.
4. ท�ำกำรทดลองข้อ 2. ซ�้ำ แต่เปลี่ยนควำมสูงเป็น 6 เซนติเมตร
ตอนที่ 2 ปจจัยที่มีผลต่อพลังงานศักย์โน้มถ่วง
1. ปั้นดินน�้ำมันเป็นแท่นสี่เหลี่ยมที่มีควำมหนำ 2 เซนติเมตร โดยมีควำมกว้ำงและควำมยำวขนำดใกล้เคียงกัน จ�ำนวน 3 อัน
แล้วใช้ไม้บรรทัดตีผิวหน้ำแท่นดินน�้ำมันทั้ง 3 อัน ให้เรียบ
2. ปล่อยลูกแก้ว 2 ลูก ที่มีขนำดเท่ำกันจำกระดับควำมสูง 25 เซนติเมตร พร้อมกัน ลงบนแท่นดินน�้ำมันอันที่ 1 สังเกตกำร
เปลี่ยนแปลงของผิวดินน�้ำมันและควำมลึกที่ลูกแก้วจมลงไป แล้วบันทึกผล
3. ปล่อยลูกแก้ว 2 ลูก ที่มีขนำดต่ำงกันจำกระดับควำมสูง 25 เซนติเมตร พร้อมกัน ลงบนแท่นดินน�้ำมันอันที่ 2 สังเกตกำร
เปลีย่ นแปลงของผิวดินน�ำ้ มันและควำมลึกทีล่ กู แก้วจมลงไป
แล้วบันทึกผล
4. ปล่อยลูกแก้ว 2 ลูก ที่มีขนำดเท่ำกันแต่ระดับควำมสูงต่ำง
กันพร้อมกัน โดยลูกแก้วลูกที่ 1 ถูกปล่อยจำกระดับควำมสูง
25 เซนติเมตร แต่ลูกแก้วลูกที่ 2 ถูกปล่อยจำกระดับควำม
สูง 50 เซนติเมตร ลงบนแท่นดินน�้ำมันอันที่ 3 สังเกตกำร แท่นดินน�้ำมัน
เปลีย่ นแปลงของผิวดินน�ำ้ มันและควำมลึกทีล่ กู แก้วจมลงไป ภาพที่ 5.24 ชุดอุปกรณ์ตอนที่ 2
แล้วบันทึกผล ที่มา : คลังภาพ อจท.
งานและพลังงาน 61
ตารางบันทึก กิจกรรม
ตอนที่ 1
ระดับความสูงของลูกตุม ขนาดของลูกแกวหรือลูกเหล็ก เปรียบเทียบระยะทางของลูกแกวหรือลูกเหล็ก
ลูกแก้วหรือลูกเหล็กที่มีมวลเล็กกว่าจะเคลื่อนที่ไปได้
เท่าเดิม ไม่เท่าเดิม
ระยะทางที่ไกลกว่า
ลูกตุ้มระดับสูงกว่าจะชนลูกแก้วหรือลูกเหล็กไปได้
ไม่เท่าเดิม เท่าเดิม
ระยะทางที่ไกลกว่า
ตอนที่ 2
ระดับความสูงที่ปลอยลูกแกว ขนาดของลูกแกว เปรียบเทียบความลึกของลูกแกวหรือลูกเหล็ก
หรือลูกเหล็ก หรือลูกเหล็ก ที่จมลงไปในดินนํ้ามัน
ลูกแก้วหรือลูกเหล็กที่มีมวลใหญ่กว่าจะจมลงไปใน
เท่าเดิม ไม่เท่าเดิม
ดินน�้ามันได้ลึกกว่า
ลูกแก้วหรือลูกเหล็กที่อยู่สูงกว่าจะจมลงไปในดินน�้ามัน
ไม่เท่าเดิม เท่าเดิม
ได้ลึกกว่า
T69
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นั ก เรี ย นและครู ร ่ ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
พลังงาน ค�าถามท้ายกิจกรรม
1. จำกกิจกรรมตอนที่ 1 ปัจจัยใดบ้ำงที่มีผลต่อระยะทำงที่ลูกแก้วเคลื่อนที่ได้
ขัน้ ประเมิน 2. จำกกิจกรรมตอนที่ 2 ปัจจัยใดบ้ำงที่มีผลต่อควำมลึกที่ลูกแก้วจมลงไปในดินน�้ำมัน
ตรวจสอบผล
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ อภิปรายผลกิจกรรม
ตอบค�าถาม พฤติกรรมการท�างานรายบุคคล จำกกิจกรรมตอนที่ 1 เมื่อปล่อยลูกตุ้มจำกระดับควำมสูงเดียวกันมำชนลูกแก้ว ลูกแก้วที่มีขนำดใหญ่กว่ำจะเคลื่อนที่ได้
ระยะทำงทีน่ อ้ ยกว่ำลูกแก้วทีม่ ขี นำดเล็ก แต่เมือ่ ปล่อยลูกตุม้ จำกระดับควำมสูงต่ำงกันมำชนลูกแก้วทีม่ ขี นำดเท่ำกัน ลูกแก้วทีถ่ กู ชน
พฤติ ก รรมการท� า งานกลุ ่ ม และจากการ ด้วยลูกตุ้มที่ถูกปล่อยจำกระดับควำมสูงมำกกว่ำจะเคลื่อนที่ได้ระยะทำงมำกกว่ำลูกแก้วที่ถูกชนด้วยลูกตุ้มที่ถูกปล่อยจำกระดับ
น�าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน ควำมสูงที่น้อยกว่ำ และจำกกิจกรรมตอนที่ 2 จะได้ว่ำ เมื่อปล่อยลูกแก้วที่มีขนำดต่ำงกันจำกควำมสูงที่เท่ำกันลงบนดินน�้ำมัน
2. ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนก่อนเข้าสู่ ลูกแก้วทีม่ ขี นำดใหญ่กว่ำจะจมลงไปในดินน�ำ้ มันได้ลกึ กว่ำลูกแก้วทีม่ ขี นำดเล็ก และเมือ่ ปล่อยลูกแก้วทีม่ ขี นำดเท่ำกันจำกควำมสูง
ที่ต่ำงกัน ลูกแก้วที่ถูกปล่อยจำกควำมสูงมำกกว่ำจะจมลงไปในดินน�้ำมันได้ลึกกว่ำ
กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Under-
standing Check ในสมุดประจ�าตัวนักเรียน
3. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม ปจจัยที่
มีผลต่อพลังงานจลน์และพลังงานศักย์โน้มถ่วง
ในสมุ ด ประจ� า ตั ว นั ก เรี ย นหรื อ แบบฝ ก หั ด
วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
4. ครู ต รวจแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง พลั ง งาน จาก
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
ลาดับที่
ชื่อ–สกุล
การแสดง
ความคิดเห็น
การยอมรับฟัง
คนอื่น
การทางาน
ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
การมี
ส่วนร่วมใน
การปรับปรุง
รวม
15
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน
ลาดับที่
1
รายการประเมิน
ความถูกต้องของเนื้อหา
3
ระดับคะแนน
2 1
(วิเคราะหคําตอบ กฎการอนุรักษพลังงาน กลาววา พลังงาน
เปนสิง่ ทีไ่ มสญ
ู หาย ไมสามารถสรางขึน้ ใหมได แตสามารถเปลีย่ น
มอบหมาย
ของนักเรียน
ผลงานกลุ่ม คะแนน 2 ความคิดสร้างสรรค์
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 วิธีการนาเสนอผลงาน
4 การนาไปใช้ประโยชน์
5 การตรงต่อเวลา
รวม
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T70
น�ำ น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
แสงอำทิตย์เป็นต้นก�ำเนิดของแหล่งพลังงำน ครูตงั้ ประเด็นค�าถามว่า “พลังงานมีวนั สูญหาย
ภำยในโลก โดยพืชเป็นสิง่ มีชวี ติ ทีม่ กี ระบวนกำรสังเครำะห์
ด้วยแสง สำมำรถดึงพลังงำนแสงจำกดวงอำทิตย์มำ
หรือไม่ อย่างไร” โดยให้นักเรียนแต่ละคนร่วมกัน
เปลี่ยนเป็นพลังงำนเคมีได้โดยตรง ท�ำให้พืชด�ำรงชีวิต อภิปรายแสดงความคิดเห็นโดยไม่มีการเฉลยว่า
เป็นผู้ผลิต หรือเป็นแหล่งอำหำรให้กับสิ่งมีชีวิตอื่น ถูกหรือผิด
เมื่อสิ่งมีชีวิตอื่นกินพืชเสมือนเป็นกำรถ่ำยทอดพลังงำน
ไปยังผู้บริโภคต่อกันเป็นทอด ๆ เมื่อผู้บริโภคตำยจะถูก ขัน้ สอน
สิ่งมีชีวิตอื่นย่อยสลำยและทับถมอยู่ในรูปของเชื้อเพลิง ภาพที่ 5.26 พลังงำนเคมีท่ีอยู่ในถ่ำนหินสำมำรถเปลี่ยนรูปเป็น สํารวจค้นหา
ซำกดึ ก ด� ำ บรรพ์ ซึ่ ง เป็ น แหล่ ง กั ก เก็ บ พลั ง งำนเคมี พลังงำนควำมร้อนและพลังงำนแสงได้
เช่น ถ่ำนหิน น�้ำมัน แกสธรรมชำติ เมื่อน�ำเชื้อเพลิง
ที่มา : คลังภาพ อจท. 1. นักเรียนจับคู่กับเพื่อนในชั้นเรียน จากนั้นให้
ซำกดึกด�ำบรรพ์เหล่ำนี้ไปเผำไหม้ พลังงำนเคมีจะถูก นักเรียนแต่ละคู่ร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูล
เปลี่ยนให้เป็นพลังงำนควำมร้อนและพลังงำนแสง เกี่ยวกับเรื่อง กฎการอนุรักษ์พลังงาน จาก
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
2. นักเรียนแต่ละคูร่ ว่ มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ด้ศกึ ษา
จากนัน้ ให้นกั เรียนแต่ละคนเขียนสรุปความรูท้ ี่
ได้จากการศึกษาค้นคว้าลงในสมุดประจ�าตัว
ภาพที่ 5.27 พลังงำนเคมีในน�ำ้ มันจะถูกเครือ่ งยนต์เผำไหม้เปลีย่ นให้
เป็นพลังงำนกลขับเคลื่อนรถยนต์ นักเรียน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
อธิบายความรู้
นั ก เรี ย นและครู ร ่ ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
เรือ่ ง กฎการอนุรกั ษ์พลังงาน ซึง่ ควรได้ขอ้ สรุปร่วม
กันว่า “พลังงานไม่มีวันสูญหาย สามารถเปลี่ยน
รูปพลังงานจากรูปหนึ่งไปเป็นอีกรูปหนึ่งได้ และ
ไม่สามารถท�าให้สูญหายหรือท�าลายได้ เรียกว่า
กฎการอนุรักษ์พลังงาน”
งานและพลังงาน 63
T71
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูสนทนากับนักเรียนว่า “การผลิตกระแส พลังงำนเคมีนอกจำกจะอยู่ในรูปของเชื้อเพลิง
ซำกดึกด�ำบรรพ์แล้ว ยังอยู่ในรูปของสำรอำหำร เช่น
ไฟฟ้าจากเขือ่ นมีการเปลีย่ นรูปของพลังงานใด
โปรตีน คำร์โบไฮเดรต ไขมัน เมื่อเรำรับประทำนอำหำร
บ้าง” โดยให้นกั เรียนแต่ละคนร่วมกันอภิปราย เข้ำไป น�้ำย่อยที่อยู่ภำยในปำก กระเพำะอำหำร และ
แสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ระโดยไม่ มี ก าร ล�ำไส้เล็กจะท�ำหน้ำทีย่ อ่ ยสลำยให้อำหำรมีขนำดโมเลกุล
เฉลยว่าถูกหรือผิด เล็กลง เพื่อให้
1 ร่ำยกำยดูดซึมน�ำไปใช้ในกระบวนกำร
(แนวตอบ มีการเปลี่ยนพลังงานศักยโนมถวง เมแทบอลิซึม (metabolism) เพื่อเปลี่ยนพลังงำนเคมี
เปนพลังงานจลน ซึ่งนํ้าที่เก็บไวในเขื่อนจะ ในอำหำรให้เป็นพลังงำนที่ใช้รักษำอุณหภูมิของร่ำงกำย
และเป็นพลังงำนที่น�ำไปใช้ในกิจกรรมต่ำง ๆ
มีพลังงานศักยโนมถวงสะสมอยู เมื่อปลอย ภาพที่ 5.29 อำหำรที่รับประทำนเข้ำไปจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงำนที่
ใช้ในกำรท�ำกิจกรรมต่ำง ๆ ในชีวิตประจ�ำวัน
ให นํ้ า ไหลจากเขื่ อ นไปหมุ น กั ง หั น จะมี ก าร ที่มา : คลังภาพ อจท.
เปลีย่ นแปลงพลังงานศักยไปเปนพลังงานจลน
รถไฟที่ วิ่ ง ไปตำมรำงด้ ว ยควำมเร็ ว สู ง เมื่ อ
เพื่อนําไปผลิตกระแสไฟฟา)
รถไฟเบรกกะทันหันพลังงำนจลน์ที่ล้อจะถูกเปลี่ยนเป็น
2. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ร่วมกัน พลังงำนควำมร้อน พลังงำนเสียง และพลังงำนแสง
ศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง การใช้กฎ เนื่องจำกแรงเสียดทำนที่เกิดขึ้นระหว่ำงล้อรถไฟกับรำง
การอนุ รั ก ษ์ พ ลั ง งานมาประยุ ก ต์ ใ ช้ ใ นชี วิ ต รถไฟท�ำให้เกิดพลังงำนควำมร้อน และล้อเหล็กทีเ่ สียดสี
ประจ�าวัน และการถ่ายโอนความร้อนระหว่าง กับรำงเหล็กท�ำให้เกิดประกำยไฟและเสียงขึ้น
สสาร จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 นอกจำกนี้ รถยนต์ ที่ แ ล่ น ไปบนถนนเป็ น อี ก
ตัวอย่ำงหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่ำพลังงำนจลน์ที่ล้อรถยนต์
หรือแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต บำงส่วนจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงำนควำมร้อน เนื่องจำก
แล้ ว เขี ย นสรุ ป ความรู ้ ที่ ไ ด้ จ ากการศึ ก ษา แรงเสียดทำนที่เกิดขึ้นระหว่ำงยำงล้อรถยนต์กับถนน
ค้นคว้าลงในสมุดประจ�าตัวนักเรียน ท�ำให้พลังงำนจลน์ของรถยนต์ลดลง ส่งผลให้รถยนต์ไม่
ภาพที่ 5.30 พลังงำนจลน์ของเครื่องเจียรไฟฟ้ำถูกเปลี่ยนให้เป็น ลื่นไถลไปกับถนน อีกทั้งยังพบกำรเปลี่ยนแปลงรูปแบบ
พลังงำนควำมร้อน พลังงำนแสง และพลังงำนเสียง พลังงำนนี้ในกระบวนกำรท�ำงำนของเครื่องมือไฟฟ้ำ
ที่มา : คลังภาพ อจท. เครื่องจักรกลในโรงงำนอุตสำหกรรมต่ำง ๆ อีกด้วย
64
T72
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
นอกจำกกำรเปลี่ยนรูปของพลังงำนแล้ว พลังงำนสำมำรถถูกถ่ำยโอนจำกระบบหนึ่งไปยังอีกระบบหนึ่งได้ 1. ครูสุมนักเรียน 4 กลุม ออกมานําเสนอผล
ตัวอย่ำงเช่น
การศึกษาหนาชั้นเรียน ซึ่งครูเปนคนเลือก
1. กำรถ่ำยโอนควำมร้อนระหว่ำงสสำร เกิดขึ้นได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
ว า จะให นั ก เรี ย นกลุ ม ใดนํ า เสนอเรื่ อ งอะไร
1 การน�าความร้อน (conduction) 2 การพาความร้อน (convection) 3 การแผ่รังสีความร้อน (radiation) ตามหัวขอเรื่องตอไปนี้
• กลุมที่ 1 การใชกฎการอนุรักษพลังงานมา
ประยุกตใชในชีวิตประจําวัน
• กลุมที่ 2 การนําความรอน (conduction)
เป็นกำรถ่ำยโอนพลังงำนควำม เป็ น กำรถ่ ำ ยโอนพลั ง งำน เป็ น กำรถ่ ำ ยโอนพลั ง งำน • กลุมที่ 3 การพาความรอน (convection)
ร้อนผ่ำนตัวกลำง เมื่อตัวกลำงได้รับ ควำมร้อนผ่ำนตัวกลำง เมือ่ ตัวกลำง ควำมร้อนโดยไม่ต้องอำศัยตัวกลำง
• กลุมที่ 4 การแผรังสีความรอน (radiation)
ควำมร้อน อะตอมหรือโมเลกุลของ ได้รับควำมร้อน จะท�ำให้อะตอม ซึง่ วัตถุทเี่ ป็นแหล่งก�ำเนิดควำมร้อน
ตัวกลำงจะสัน่ เนือ่ งจำกมีพลังงำนจลน์ หรือโมเลกุลของตัวกลำงเคลื่อนที่ สำมำรถแผ่รงั สีควำมร้อนออกมำใน 2. ขณะที่นักเรียนกําลังนําเสนอ ครูอาจเสนอ
สู ง ขึ้ น และถู ก ถ่ ำ ยเทไปยั ง โมเลกุ ล และพำควำมร้อนไป ตัวอย่ำงเช่น รูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำได้ เช่น แนะหรื อ แทรกข อ มู ล เพิ่ ม เติ ม ในเรื่ อ งนั้ น ๆ
ข้ำงเคียง จำกบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง น�้ำในหม้อต้มเดือดหลังจำกได้รับ รังสีควำมร้อนจำกเตำผิง รังสีควำม ใหนักเรียนทุกคนไดมีความเขาใจที่ถูกตอง
ไปยังบริเวณทีม่ อี ณุ หภูมติ ำ�่ กว่ำ ส่งผล ควำมร้อน ร้อนจำกดวงอำทิตย์ มากยิ่งขึ้น
ให้โมเลกุลข้ำงเคียงสั่นตำมไปด้วยจน
กระทัง่ ไปถึงปลำยอีกด้ำนของตัวกลำง
งานและพลังงาน 65
T73
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
1. ครูเปดโอกาสให้นกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ 2. กำรถ่ำยโอนพลังงำนของกำรสัน่ ของแหล่งก�ำเนิดเสียงไปยังผูฟ้ งั เสียงเกิดจำกกำรสัน่ ของวัตถุทเี่ ป็นแหล่ง
ก�ำเนิดเสียง พลังงำนกำรสั่นของแหล่งก�ำเนิดถูกถ่ำยโอนให้แก่โมเลกุลของตัวกลำงที่อยู่ติดกับแหล่งก�ำเนิด และ
เรื่อง กฎการอนุรักษพลังงาน และให้ความรู้ พลังงำนจะถูกส่งต่อกันไปเรือ่ ย ๆ จนถึงหูผฟู้ งั โดยมีโมเลกุลของอำกำศท�ำหน้ำทีเ่ ป็นตัวกลำงในกำรถ่ำยโอนพลังงำน
เพิ่มเติมจากค�าถามของนักเรียน โดยครูใช้ เสียง ซึ่งเป็นไปตำมกฎกำรอนุรักษ์พลังงำน
PowerPoint เรื่อง กฎการอนุรักษพลังงาน
ในการอธิบายเพิ่มเติม โมเลกุลของอำกำศ
2. นักเรียนท�า Topic Question เรื่อง พลังงาน
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เล่ม 2
ลงในสมุดประจ�าตัวนักเรียน
3. นักเรียนแต่ละคนท�าแบบฝกหัด เรื่อง กฎการ
อนุรักษพลังงาน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
ม.2 เล่ม 2
Topic Question
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�ำถำมต่อไปนี้
1. พลังงำนกลมีกี่ประเภท อะไรบ้ำง
2. ปัจจัยใดที่มีผลต่อพลังงำนจลน์และพลังงำนศักย์โน้มถ่วง
3. กฎกำรอนุรักษ์พลังงำนคืออะไร
4. นักกระโดดร่มดิ่งพสุธำจะมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วงสูงที่สุดเมื่อใด
5. กำรขว้ำงลูกบอลขึน้ ไปในแนวดิง่ เมือ่ ลูกบอลเคลือ่ นทีไ่ ปจนถึงจุดสูงสุดและตกลงสูพ่ นื้ ดินจะมีพลังงำนจลน์และ
พลังงำนศักย์โน้มถ่วงเป็นอย่ำงไร
6. จงเขียนขั้นตอนกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนของกำรผลิตกระแสไฟฟ้ำโดยใช้พลังงำนน�้ำ
7. เมื่อรถไฟเคลื่อนที่มำด้วยอัตรำเร็วค่ำหนึ่งหยุดกะทันหัน จะมีกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนใดบ้ำงระหว่ำงล้อรถกับ
รำงรถไฟ
8. เซลล์สุริยะมีกลไกกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนอย่ำงไร
9. กำรถ่ำยโอนควำมร้อนมีกี่รูปแบบ อะไรบ้ำง
10. ตัวกลำงที่ท�ำหน้ำที่ถ่ำยโอนพลังงำนเสียงจำกแหล่งก�ำเนิดมำยังหูผู้ฟังคืออะไร
66
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
F u n
1. นักเรียนแบงกลุม โดยครูเตรียมสลากหมายเลข
Science Activity รถพลังงานลม
กลุม 1-6 จากนั้นใหนักเรียนแตละคนออกมา
หยิบสลาก ซึ่งนักเรียนที่ไดหมายเลขเดียวกัน
วัสดุอปุ กรณ์ จะอยูกลุมเดียวกัน แตละกลุมจะมีสมาชิก
1. เทปใส ภายในกลุม 6 คน
2. ลูกโปง
3. กรรไกร
2. ครูแจงจุดประสงคของกิจกรรม Fun Science
4. กล่องนม Activity เรื่อง รถพลังงานลม ใหนักเรียน
5. ดินน�้ำมัน ทราบเพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติกิจกรรมที่
6. ฝำขวดน�้ำ
7. ไม้เสียบลูกชิ้น
ถูกตอง จากนั้นใหสมาชิกภายกลุมจัดเตรียม
8. กระดำษห่อของขวัญ วัสดุอุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม Fun
9 หลอดดูดน�้ำแบบโค้งงอ Science Activity เรื่อง รถพลังงานลม จาก
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ภาพที่ 5.34 รถพลังงำนลม
ที่มา : http://maymekkhala.blogspot.com 3. สมาชิกภายในกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรม Fun
Science Activity เรื่อง รถพลังงานลม ตาม
วิธที า�
ขั้ น ตอน จากหนั ง สื อ เรี ย นวิ ท ยาศาสตร
1. น�ำกล่องนมมำห่อด้วยกระดำษห่อของขวัญ
ม.2 เลม 2
2. ติดดินน�้ำมันที่ฝำขวดน�้ำ จ�ำนวน 4 ฝำ แล้วน�ำไปเสียบกับไม้ลูกชิ้นทั้งสองด้ำน
เพื่อท�ำเป็นล้อรถ 4 ล้อ จำกนั้นน�ำล้อที่ได้ไปติดที่กล่องนมด้วยเทปใส
3. เสียบลูกโปงไว้ที่ปลำยหลอดดูดน�้ำแบบโค้งงอ จำกนั้นผูกให้แน่น และติดหลอด ภาพที่ 5.35 ติดดินน�้ำมันที่ฝำขวดน�้ำ
พร้อมลูกโปงที่ด้ำนบนของรถ ที่มา : http://maymekkhala.blogspot.com
4. ใช้ปำกเปำหลอดเพื่อให้ลูกโปงมีขนำดใหญ่ขึ้น แล้วเอำมือปิดปำกลูกโปงให้แน่น
5. ปล่อยรถวำงบนพืน้ และปล่อยมือออกจำกปำกลูกโปง รถจะเคลือ่ นทีด่ ว้ ยแรงของ
ลูกโปงไปทำงด้ำนหน้ำ
งานและพลังงาน 67
T75
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. นั ก เรี ย นแต่ ล ะกลุ ่ ม ออกมาน� า เสนอผลการ Science in Real Life
ปฏิบัติกิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง เซลล์สุริยะ
รถพลั ง งานลม หน้ า ชั้ น เรี ย น ในระหว่ า ง
ที่ นั ก เรี ย นน� า เสนอครู ค อยให้ ข ้ อ เสนอแนะ เซลล์สุริยะ (solar cell) เป็นเทคโนโลยีที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรกในป
เพิม่ เติม เพือ่ ให้นกั เรียนมีความเข้าใจทีถ่ กู ต้อง พ.ศ. 2497 โดยแชปปิน (Chapin) ฟูลเลอร์ (Fuller) และเพียร์สัน (Pearson)
2. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลการปฏิบัติ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเปลี่ยนพลังงำนแสงจำกดวงอำทิตย์ให้เป็นพลังงำน
ไฟฟ้ ำ โดยหลั ก กำรท� ำ งำนของเซลล์ สุ ริ ย ะ คื อ เมื่ อ แสงซึ่ ง เป็ น คลื่ น
กิ จ กรรม Fun Science Activity เรื่ อ ง
แม่เหล็กไฟฟ้ำมำกระทบกับสำรกึ่งตัวน�ำที่อยู่บนแผ่นเซลล์สุริยะจะเกิดกำร
รถพลังงานลมว่า “พลังงานลมสามารถเปลีย่ น ถ่ำยเทพลังงำนระหว่ำงกัน ท�ำให้เรำสำมำรถน�ำพลังงำนจำกธรรมชำติมำ
รูปเป็นพลังงานจลน์ ท�าให้รถเคลื่อนที่ไปทาง สร้ำงพลังงำนในชีวิตประจ�ำวันได้ ภาพที่ 5.37 เครื่องคิดเลข
ทิศตรงข้ามกับลมที่ออกมาจากลูกโปง” ที่มา : คลังภาพ อจท.
3. นั ก เรี ย นแต่ ล ะกลุ ่ ม ร่ ว มกั น ศึ ก ษาค้ น คว้ า โดยทั่วไปแผ่นเซลล์สุริยะนิยมน�ำมำใช้กับเครื่องคิดเลข เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงำนสลับกับกำรใช้แบตเตอรี่
ข้อมูลเพิม่ เติมเกีย่ วกับกฎการอนุรกั ษ์พลังงาน หรือนิยมน�ำมำติดตั้งบนหลังคำบ้ำนหรือพื้นที่ที่แสงแดดส่องถึงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ำ แล้วน�ำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้ำ
จาก Science in Real Life เรื่อง เซลล์สุริยะ ภำยในบ้ำน ซึง่ เป็นกำรประหยัดค่ำใช้จำ่ ย นอกจำกนี้ ยังใช้เป็นระบบแสงสว่ำงให้กบั โรงงำนอุตสำหกรรม ป้ำยประกำศ
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 ตู้โทรศัพท์ หรือใช้ในระบบกำรคมนำคม เช่น ไฟน�ำร่องเพื่อน�ำเครื่องบินขึ้นหรือลง ไฟประภำคำร ไฟน�ำร่องของเรือ
อีกทั้งใช้ในระบบกำรเกษตร เช่น ระบบสูบน�้ำ เครื่องนวดข้ำว
จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
ว่า “เซลล์สุริยะ เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่สามารถ ส่วนประกอบหลักของเซลล์สุริยะ
เปลี่ยนพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์ให้อยู่ใน
กระจกใส
รูปของพลังงานไฟฟ้าได้ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้ 1
เทคโนโลยีนี้ คือ เครื่องคิดเลข” สารกึ่งตัวน�าชนิดเอ็น ((N-type)
คือ แผ่นซิลิคอนที่มีสมบัติเป็นตัวส่งอิเล็กตรอน
2
สารกึ่งตัวน�าชนิดพี ((P-type)
คือ แผ่นซิลคิ อนทีผ่ ำ่ นกระบวนกำรทีท่ ำ� ให้โครงสร้ำงของอะตอม
สูญเสียอิเล็กตรอน เมื่อได้รับพลังงำนแสงจำกดวงอำทิตย์ จะมี
สมบัติเป็นตัวรับอิเล็กตรอน
68
T76
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
Summary 1. นั ก เรี ย นตรวจสอบความเข้ า ใจของตนเอง
งานและพลังงาน
5 จากกรอบ Self Check เรื่อง งานและพลังงาน
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2
โดยบันทึกลงในสมุดประจ�าตัวนักเรียน
งาน 2. ครูมอบหมายให้นักเรียนท�า Unit Question
งาน ในทางฟสกิ ส คือ ผลคูณของแรงกับระยะทางทีว่ ตั ถุเคลือ่ นทีต่ ามแนวแรงหรือการกระจัดตามแนวแรง งานจะมีคา มากหรือนอย เรื่ อ ง งานและพลั ง งาน จากหนั ง สื อ เรี ย น
ขึ้นอยูกับขนาดของแรงและขนาดของการกระจัดในแนวเดียวกับแรง ซึ่งงานเปนปริมาณทางกายภาพที่มีเพียงขนาดไมมีทิศทาง วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 โดยท�าลงในสมุด
งานจึงเปนปริมาณสเกลาร สามารถคํานวณหางานที่เกิดขึ้นได จากสมการ
ประจ�าตัวนักเรียน
W = Fs 3. นักเรียนท�าแบบทดสอบหลังเรียนของหน่วย
การเรียนรู้ที่ 5 งานและพลังงาน เพื่อเป็นการ
กําลัง วัดความรู้หลังเรียนของนักเรียน
กําลัง หมายถึง ปริมาณทีใ่ ชบอกอัตราการทํางาน หรืองานทีท่ าํ ไดในหนึง่ หนวยเวลา โดยกําลังเปนปริมาณสเกลาร สามารถคํานวณ 4. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 6 คน ตามความ
หากําลังเฉลี่ยได จากสมการ สมัครใจ จากนั้นให้แต่ละกลุ่มน�าความรู้ เรื่อง
P = Wt งานและพลังงาน มาออกแบบและประดิษฐ์
ชิ้นงานเกี่ยวกับด้านพลังงาน
เครือ่ งกลอยางงาย
เครือ่ งกลอยางงายเปนเครือ่ งกลทีช่ ว ยผอนแรงและชวยอํานวยความสะดวกในการทํางาน โดยเครือ่ งกลอยางงายมี 6 ประเภท ไดแก
คาน รอก พื้นเอียง สกรู ลิ่ม ลอ และเพลา
แรงพยายาม (E) L
H
W W
แรงตานทาน (W)
ภาพที่ 5.40 ลิ่มเปนเครื่องกลที่ใชแยกวัตถุ
ภาพที่ 5.39 คานเปนเครื่องกลที่ชวยงัดวัตถุใหสูงขึ้น ใหออกจากกัน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
งานและพลังงาน 69
T77
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเกี่ยวกับเรื่อง กฎ
การอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งควรได้ข้อสรุปร่วมกันว่า s m E
E
“พลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ และ E
R
ไม่สามารถท�าให้สูญหายหรือท�าลายได้ แต่จะ s
E
h
เกิดการเปลี่ยนรูปพลังงานจากรูปหนึ่งไปเป็นอีก
รู ป หนึ่ ง ตั ว อย่ า งเช่ น พลั ง งานศั ก ย์ โ น้ ม ถ่ ว ง m
เปลี่ยนเป็นพลังงานจลน์ เช่น น�้าไหลมาจาก m มองจำกด้ำนบน
h=s W h = 2s
ภูเขาสูง” W
ภาพที่ 5.41 รอกช่วยผ่อนแรงและเคลื่อนย้ำยวัตถุ ภาพที่ 5.43 สกรูช่วยยกวัตถุให้สูงขึ้น
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
R E
r
m E
W E
h L m m
W W
ภาพที่ 5.42 พื้นเอียงช่วยย้ำยวัตถุที่อยู่สูงลงมำได้สะดวกขึ้น ภาพที่ 5.44 ล้อและเพลำช่วยผ่อนแรงในกำรท�ำงำน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
พลังงานกล
พลังงำนกลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. พลังงานจลน์ เป็นพลังงำนที่ถูกครอบครองโดยวัตถุ
ที่เคลื่อนที่ โดยปัจจัยที่มีผลต่อพลังงำนจลน์ คือ
• มวล ถ้ำอัตรำเร็วของวัตถุทั้งสองเท่ำกัน วัตถุที่มีมวล
มำกกว่ำจะมีพลังงำนจลน์มำกกว่ำ
• อัตราเร็ว ถ้ำมวลของวัตถุทงั้ สองเท่ำกัน วัตถุทเี่ คลือ่ นที่
ด้วยอัตรำเร็วที่มำกกว่ำจะมีพลังงำนจลน์มำกกว่ำ
ภาพที่ 5.45 รถแข่งที่วิ่งเร็วที่สุดจะมีพลังงำนจลน์สะสมสูงที่สุด
เมื่อเทียบกับวัตถุที่มีมวลเท่ำกัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
70
T78
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
2. พลังงานศักย์ เป็นพลังงำนที่สะสมในวัตถุซึ่งขึ้นอยู่กับต�ำแหน่งของวัตถุ แบ่งออกเป็น 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
• พลังงานศักย์โน้มถ่วง เป็นพลังงำนที่สะสมอยู่ในวัตถุ
ที่เกี่ยวข้องกับต�ำแหน่งของวัตถุเมื่อเทียบกับต�ำแหน่งอ้ำงอิงใน หนวยการเรียนรูที่ 5 งานและพลังงาน เพื่อ
สนำมโน้มถ่วง โดยปัจจัยที่มีผลต่อพลังงำนศักย์โน้มถ่วง คือ ตรวจสอบความเขาใจหลังเรียนของนักเรียน
- มวล ถ้ำวัตถุทั้งสองอยู่ในระดับควำมสูงที่เท่ำกัน 2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
วัตถุที่มีมวลมำกกว่ำจะมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วงมำกกว่ำ
- ต�าแหน่งของวัตถุ ถ้ำมวลของวัตถุทั้งสองเท่ำกัน
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
วัตถุที่อยู่ในต�ำแหน่งที่สูงกว่ำจะมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วงที่มำก พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ
กว่ำ ภาพที่ 5.46 พลังงำนศักย์โน้มถ่วงที่สะสมอยู่ในเครื่องบิน นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
• พลังงานศักย์ยดื หยุน่ เป็นพลังงำนทีส่ ะสมอยูใ่ นวัตถุที่ ที่มา : คลังภาพ อจท. 3. ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนกอนเขาสู
ยืดหยุ่นได้
กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Under-
กฎการอนุรกั ษพลังงาน standing Check ในสมุดประจําตัวนักเรียน
พลังงำนเป็นสิ่งที่ไม่สำมำรถสร้ำงขึ้นใหม่ และไม่สำมำรถท�ำให้สูญหำยหรือท�ำลำยได้ แต่จะเกิดกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนจำกรูปหนึ่ง 4. ครูตรวจ Topic Question ในสมุดประจําตัว
ไปเป็นอีกรูปหนึ่ง เช่น นักเรียน
- พลังงำนศักย์โน้มถ่วงเปลี่ยนเป็นพลังงำนจลน์ เช่น น�้ำไหลลงมำจำกภูเขำสูง
- พลังงำนจลน์เปลี่ยนเป็นพลังงำนควำมร้อน เช่น กำรท�ำงำนของเครื่องจักรในอุตสำหกรรม 5. ครูตรวจสอบผลการตรวจสอบความเขาใจของ
- พลังงำนจลน์เปลี่ยนเป็นพลังงำนไฟฟ้ำ เช่น กำรผลิตกระแสไฟฟ้ำจำกพลังน�้ำ ตนเองจากกรอบ Self Check เรื่อง งานและ
- พลังงำนแสงเปลี่ยนเป็นพลังงำนเคมี เช่น กำรสังเครำะห์ด้วยแสงของพืช พลังงาน ในสมุดประจําตัวนักเรียน
- พลังงำนเคมีเปลี่ยนเป็นพลังงำนควำมร้อนและแสง เช่น กำรเผำซำกเชื้อเพลิงดึกด�ำบรรพ์
- พลังงำนเคมีเปลี่ยนเป็นพลังงำนที่ใช้ท�ำกิจกรรมต่ำง ๆ เช่น กระบวนกำรเผำผลำญอำหำรในร่ำงกำยมนุษย์และสัตว์
6. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง กฎการอนุรักษ
นอกจำกนี้ พลังงำนสำมำรถถ่ำยโอนได้ เช่น กำรถ่ำยโอนควำมร้อนระหว่ำงสสำร กำรถ่ำยโอนพลังงำนเสียงจำกแหล่งก�ำเนิด พลังงาน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2
Self Check 7. ครูประเมินผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม Fun Science
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด หากพิจารณาข้อความ Activity เรื่อง รถพลังงานลม
ไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้ 8. ครูตรวจแบบฝกหัด Unit Question เรื่อง งาน
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวข้อ และพลังงาน ในสมุดประจําตัวนักเรียน
1. นิดถือกล่องหนัก 150 นิวตัน วิง่ ข้ำมถนน 5 เมตร จะเกิดงำน 750 จูล 1.1 9. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งาน/ผลงาน
2. คุณอำเดินถือเอกสำรหนัก 60 นิวตัน วิ่งขึ้นบันไดสูง 2 เมตร ยำว 50 เมตร 1.2
สิ่ ง ประดิ ษ ฐ ด า นพลั ง งานของนั ก เรี ย น
เป็นเวลำ 30 วินำที จะเกิดงำน 120 จูล และมีก�ำลังเฉลี่ย 40 วัตต์ แตละกลุม
มุด
ในส
3. รอกเดี่ยวตำยตัวเป็นเครื่องกลอย่ำงง่ำยที่ช่วยผ่อนแรง 1.3
ึกลง
ท
บัน
นําเสนอขอมูลหนาชั้นเรียน
ระดับคุณภาพ เ ห ม า ะ ส ม รู ป แ บ บ เ ห ม า ะ ส ม รู ป แ บ บ เ ห ม า ะ ส ม รู ป แ บ บ เหมาะสม รู ป แบบไม่
ลาดับที่ รายการประเมิน น่าสนใจ แปลกตา และ น่าสนใจ และสร้างสรรค์ น่าสนใจ น่าสนใจ
4 3 2 1
สร้างสรรค์ดี
1 การออกแบบชิ้นงาน 2. การเลือกใช้วัสดุเพื่อ เลื อ กใช้ วั ส ดุ ม าสร้ า ง เลื อ กใช้ วั ส ดุ ม าสร้ า ง เลื อ กใช้ วั ส ดุ ม าสร้ า ง
เลื อ กใช้ วั ส ดุ ม าสร้ า ง
2 การเลือกใช้วัสดุเพื่อสร้างชิ้นงาน สร้างชิ้นงาน ชิ้นงานตามที่กาหนดได้ ชิ้นงานตามที่กาหนดได้ ชิ้ น งานตามที่ ก าหนด ชิ้ น งา นไ ม่ ต รง ตา ม ที่
3 ความสมบูรณ์ของชิ้นงาน ถูกต้อง และวัสดุมีความ ถูกต้อง และวัสดุมีความ แต่วัสดุมีความเหมาะสม ก าหนด และวั ส ดุ ไ ม่ มี
4 การสร้างสรรค์ชิ้นงาน เหมาะสมกั บ การสร้ า ง เหมาะสมกั บ การสร้ า ง กั บ การสร้ า งชิ้ น งานที่
ความเหมาะสมกั บ การ
5 กาหนดเวลาส่งงาน ชิ้นงานดีมาก ชิ้นงานดี ออกแบบไว้ สร้างชิ้นงานที่ออกแบบ
ไว้
รวม
3. ความสมบูรณ์ของ ชิ้ น งานมี ค วามแข็ ง แรง ชิ้ น งานมี ค วามแข็ ง แรง ชิ้ น ง า น ไ ม่ มี ค ว า ม ชิ้ น ง า น ไ ม่ มี ค ว า ม
ชิ้นงาน ทนทาน สามารถ ท น ท า น ส า ม า ร ถ แข็ ง แรง แต่ ส ามารถ แ ข็ ง แ ร ง แ ล ะ ไ ม่
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน นาไปใช้ งานได้ จ ริง และ นาไปใช้ งานได้ จ ริง และ นาไปใช้งานได้บ้าง สามารถนาไปใช้งานได้
............../................./................ ใช้ได้ดีมาก ใช้ได้ดี
4. การสร้างสรรค์ ต ก แ ต่ ง ชิ้ น ง า น ไ ด้ ต ก แ ต่ ง ชิ้ น ง า น ไ ด้ ต ก แ ต่ ง ชิ้ น ง า น ไ ด้ ชิ้ น ง า น ไ ม่ มี ค ว า ม
ชิ้นงาน สวยงามดีมาก สวยงามดี สวยงามน้อย สวยงาม
5. กาหนดเวลาส่งงาน ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด
กาหนด 1-2 วัน เกิน 3 วัน ขึ้นไป เกิน 5 วัน ขึ้นไป
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18-20 ดีมาก
14-17 ดี
10-13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง
T79
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
8.2 พิจารณางานที่เกิดขึ้นกับมะม่วงลูกที่ 1
จากสมการ W = Fs
10. นำยวศินออกแรงขนำด 150 นิวตัน ผลักวัตถุมวล 10 กิโลกรัม จำกหยุดนิง่ ให้เคลือ่ นทีไ่ ปตำมแนวแรงได้ขนำด W = (mg)h
ของกำรกระจัด 5 เมตร ภำยใน 2 วินำที จงหำก�ำลังเฉลี่ยที่นำยวศินใช้ในกำรผลักวัตถุ W = 0.75 × 10 × 3
11. เด็กชำยคนหนึ่งมีมวล 50 กิโลกรัม วิ่งขึ้นบันได 50 ขั้น แต่ละขั้นสูง 0.2 เมตร ถ้ำเขำใช้เวลำ 20 วินำที W = 22.5 J
เด็กคนนี้ใช้ก�ำลังในกำรวิ่งขึ้นบันไดเท่ำใด (ก�ำหนดให้ g = 10 m/s2) พิจารณางานที่เกิดขึ้นกับมะม่วงลูกที่ 2
12. เครื่องกลอย่ำงง่ำยมีกี่ชนิด อะไรบ้ำง และมีแรงชนิดใดมำเกี่ยวข้องบ้ำง จากสมการ W = Fs
W = (mg)h
13. เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ก�ำหนดให้ต่อไปนี้มีหลักกำรตรงกับเครื่องกลอย่ำงง่ำยชนิดใด และมีประโยชน์อย่ำงไร
W = 0.75 × 10 × 4
W = 30 J
ขวาน นอต กรรไกร ดั งนั้ น งานที่ เ กิ ด ขึ้น กับ มะม่ ว งลู กที่ 1
น้อยกว่ามะม่วงลูกที่ 2
9. พิจารณารอกเดี่ยวเคลื่อนที่
จากสมการ Es = Wh
200 × 20 = W × 10
W = 20010× 20
ตะปู จักรยาน เครนยกของ W = 400 N หรือ 40 kg
ดังนั้น วัตถุที่ผูกติดอยู่กับรอกตัวนี้มีมวล 40
กิโลกรัม
10. จากสมการ P = wt
P = Fst
P = (150)(5) 2
ภาพที่ 5.47 เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน
ที่มา : คลังภาพ อจท. P = 375 W
งานและพลังงาน 73
12. เครื่องกลอย่างง่าย มี 6 ประเภท ได้แก่ คาน รอก ลิ่ม พื้นเอียง สกรู ล้อและเพลา ซึ่งมีแรงที่มาเกี่ยวข้องกับเครื่องกลบางชนิด เช่น คานใช้โมเมนต์ของ
แรง สกรู ล้อและเพลาใช้แรงหมุน รอกใช้แรงดึง
13. ขวาน : ใช้หลักการของลิ่ม เพื่อแยกวัตถุให้ออกจากกัน ถ้าความยาวขวานมากกว่าความกว้างของสันขวานจะช่วยผ่อนแรง
นอต : ใช้หลักการของสกรู เพื่อยึดวัสดุเข้าด้วยกัน
กรรไกร : ใช้หลักการของคาน ช่วยผ่อนแรงในการท�ำงาน
ตะปู : ใช้หลักการของลิ่ม เพื่อเจาะหรือยึดวัตถุ
จักรยาน : ใช้หลักการของล้อและเพลา เมื่อถีบจักรยานหรือหมุนเพลา 1 รอบ ด้วยรัศมีที่มีค่าน้อยกว่ารัศมีของล้อ ล้อจักรยานจะหมุนไป 1 รอบ ท�ำให้
จักรยานเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้
เครนยกของ : ใช้หลักการของรอก เพื่อเคลื่อนย้ายวัตถุให้สะดวกขึ้น
14. พ ลังงานที่อยู่ในวัตถุ ส่งผลให้วัตถุมีการเปลี่ยนแปลงสถานะและเปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ พลังงานจลน์และพลังงานศักย์
15. 15.1 พลังงานศักย์โน้มถ่วง พลังงานจลน์ พลังงานไฟฟ้า
15.2 พลังงานเคมี พลังงานความร้อนและพลังงานแสง
T81
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
T82
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียน 1. อธิบายสมบัติของดินได้ (K) แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
สมบัติของดิน วิทยาศาสตร์ 2. ตรวจวัดสมบัติบางประการ หาความรู้ - ประเมินการปฏิบัติกิจกรรม - ทักษะการทดลอง - ใฝ่เรียนรู้
ม.2 เล่ม 2 ของดิน โดยใช้เครื่องมือที่ (5Es ตรวจวัดสมบัติของดิน - ทักษะการรวบรวม - มุ่งมั่นใน
2 - แบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์
เหมาะสมได้ (P)
3. ตระหนักถึงการใช้ประโยชน์
Instructional
Model)
- ประเมินการน�ำเสนอผลงาน
- สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
ข้อมูล
- ทักษะการน�ำ
การท�ำงาน
ชั่วโมง
ม.2 เล่ม 2 ของดินจากข้อมูลสมบัติของ รายบุคคล ความรู้ไปใช้
- อุปกรณ์การ ดินได้ (A) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
ทดลอง 4. มีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ กลุ่ม
- วีดิทัศน์เกี่ยวกับ และการท�ำงานที่ได้รับ - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้
สมบัติของดิน มอบหมายตลอดเวลา (A) และมุ่งมั่นในการท�ำงาน
- PowerPoint
T83
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 7 - หนังสือเรียน 1. อ ธิบายการใช้ประโยชน์จาก แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการส�ำรวจ - มีวินัย
การใช้ประโยชน์ วิทยาศาสตร์ น�้ำได้ (K) หาความรู้ - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน ค้นหา - ใฝ่เรียนรู้
และการอนุรักษ์ ม.2 เล่ม 2 2. สืบค้นข้อมูลและเสนอ (5Es - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - ทักษะการเชื่อมโยง - มุ่งมั่นใน
แหล่งน�้ำ - แบบฝึกหัด แนะแนวทางการใช้น�้ำอย่าง Instructional รายบุคคล - ทักษะการรวบรวม การท�ำงาน
วิทยาศาสตร์ ยั่งยืนในท้องถิ่นได้ (P) Model) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน ข้อมูล
1 ม.2 เล่ม 2
- PowerPoint
3. มีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้
และการท�ำงานที่ได้รับ
กลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้
- ทักษะการน�ำ
ความรู้ไปใช้
ชั่วโมง
มอบหมายตลอดเวลา (A) และมุ่งมั่นในการท�ำงาน
T84
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 10 - หนังสือเรียน 1. อ ธิบายกระบวนการเกิดสมบัติ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการระบุ - มีวินัย
หินน�้ำมันและ วิทยาศาสตร์ และการใช้ประโยชน์ของ หาความรู้ - ตรวจภาพวาดกระบวนการ - ทักษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
ปิโตรเลียม ม.2 เล่ม 2 หินน�ำ้ มันและปิโตรเลียมได้ (5Es กลั่นน�ำ้ มันดิบ ค้นหา - มุ่งมั่นใน
- แบบฝึกหัด (K) Instructional - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการเชื่อมโยง การท�ำงาน
3 วิทยาศาสตร์ 2. เปรียบเทียบกระบวนการเกิด Model) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - ทักษะการรวบรวม
ม.2 เล่ม 2 สมบัติและการใช้ประโยชน์ รายบุคคล ข้อมูล
ชั่วโมง
- QR Code ของหินน�้ำมันได้ (K) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - ทักษะการน�ำ
- PowerPoint 3. วิเคราะห์กระบวนการกลั่น กลุ่ม ความรู้ไปใช้
น�ำ้ มันก่อนน�ำไปใช้ประโยชน์ - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้
ได้ (K) และมุ่งมั่นในการท�ำงาน
4. สบื ค้นข้อมูลเกีย่ วกับหินน�ำ้ มัน
และปิโตรเลียมได้ (P)
5. มีความใฝ่เรียนรู้และมีความ
มุ่งมั่นในการท�ำงาน (A)
T85
Chapter Concept Overview
โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงของโลก
• โครงสร้างโลก
โครงสร้างของโลกตามองค์ประกอบทางเคมี โครงสร้างของโลกตามองค์ประกอบทางกายภาพ
เปลือกโลก (crust) ธรณีภาค (lithosphere)
ประกอบด้วยสารประกอบของ
ซิลิคอนและอะลูมิเนียมเป็นหลัก
ฐานธรณีภาค (asthenosphere)
เนื้อโลก (mantle)
ประกอบด้วยสารประกอบของซิลิคอน เมโซสเฟยร์ (mesosphere)
และแมกนีเซียมเป็นหลัก
แก่นโลกชั้นนอก (outer core)
แก่นโลก (core)
ประกอบด้วยสารประกอบ
ของเหล็กและนิกเกิล แก่นโลกชั้นใน (inner core)
เป็นหลัก 0 km
100 km 2,900 km 5,100 km 2,900 km 100 km
350 km
• การเปลี่ยนแปลงของโลก
กระบวนการเปลีย่ นแปลงทางธรณีวทิ ยาท�าให้โลกมีธรณีสณ ั ฐานหรือภูมลิ กั ษณ์แตกต่างกัน และท�าให้โลกเกิดการเปลีย่ นแปลงอยูต่ ลอด
เวลา กระบวนการเปลี่ยนแปลงธรณีวิทยา มีดังนี้
1. การผุพังอยู่กับที่ คือ การผุพังทลายลงของหิน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- การผุพงั ทางกายภาพ เช่น การเพิม่ และลดของอุณหภูมทิ า� ให้เกิดรอยร้าวบนหิน น�า้ มีสว่ นท�าให้รอยแตกร้าวของหินกว้างมากขึน้
- การผุพังทางเคมี เช่น การเกิดสนิมเหล็กขึ้นบนหินที่มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ
2. การกร่อน คือ กระบวนการที่ท�าให้หินละลายหรือกร่อนโดยมีตัวน�าพาธรรมชาติ เช่น น�้า ธารน�้าแข็ง
3. การสะสมตัวของตะกอน คือ การสะสมตัวของวัตถุจากการน�าพาของน�้า ลม หรือธารน�้าแข็ง
ดิน
• กระบวนการเกิดดิน มี 3 ขั้นตอน คือ การผุพังอยู่กับที่ การทับถมของซากพืชและ O horizon
ซากสัตว์ และการคลุกเคล้าระหว่างเศษหินกับฮิวมัส
A horizon
• ปจจัยที่ทําให้ดินแต่ละท้องถิ่นมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน ได้แก่ วัตถุต้นก�าเนิดดิน
ลักษณะภูมิประเทศ เวลา ภูมิอากาศ และสิ่งมีชีวิต E horizon
• สมบัติของดิน มีดังนี้
- เนื้อดิน แบ่งออกได้เป็น 3 อนุภาค ได้แก่ อนุภาคขนาดเม็ดทราย เม็ดทรายแปง และ B horizon
ดินเหนียว
- ความชื้นของดิน คือ น�้าที่ผสมอยู่ในดิน
- สีของดิน ขึ้นอยู่กับแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบ C horizon
- ความเป็นกรด-เบสของดิน สามารถตรวจสอบได้ด้วยกระดาษลิตมัส
• ชั้นหน้าตัดดิน แบ่งออกได้เป็น 6 ชั้น ได้แก่ ชั้น O A E B C และ R R horizon
• การปรับปรุงคุณภาพของดิน เช่น การปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อปรับปรุงดินจืด การใส่ปูนขาว
เพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยว การเติมเกลือโซเดียมซัลเฟตเพื่อแก้ไขปัญหาดินเค็ม การเติม
ผงก�ามะถันเพื่อแก้ไขปัญหาดินด่าง
T86
หนวยการเรียนรูที่ 6
นํ้า
• แหล่งนํา้ ภายในโลก ประกอบด้วยน�า้ บนดิน
และน�้าใต้ดิน
- น�า้ บนดิน แบ่งออกเป็นน�า้ จืดและน�า้ เค็ม
- น�้าใต้ดิน แบ่งออกเป็นน�้าในดินและ น�้าในดิน
น�า้ บาดาล (น�า้ ทีซ่ มึ อยูใ่ นช่องว่างระหว่าง
หิน) ระดับน�้าใต้ดิน
• การใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์นํ้า เช่น ชั้นหินอุ้มน�้า
ใช้อุปโภคบริโภค ใช้เป็นเส้นทางคมนาคม ชั้นหินกั้นน�้า
ใช้ในกระบวนการผลิต น�้าบาดาล
• ภัยพิบตั จิ ากนํา้ ได้แก่ น�า้ ท่วม การกัดเซาะ ชั้นหินอุ้มน�้า
ชายฝั่ง ดินถล่ม หลุมยุบ และแผ่นดินทรุด
เชือ้ เพลิงซากดึกดําบรรพ์
• ถ่านหิน เกิดจากการสะสมของซากพืชในยุคดึกด�าบรรพ์และทับถมเป็นจ�านวนมากบริเวณหนองบึง แอ่งน�้า เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง
ทางธรณีของโลก ส่งผลให้ซากพืชได้รับความร้อนและแรงกดดัน ท�าให้ซากพืชแปรสภาพเป็นถ่านหินพีต ลิกไนต์ ซับบิทูมินัส บิทูมินัส
และแอนทราไซต์ ตามล�าดับ
• หินนํ้ามัน เกิดจากการสะสมของซากพืชและซากสัตว์ทับถมเป็นจ�านวนมากภายใต้
แหล่งน�้าเป็นเวลาหลายล้านป เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีของโลก ส่งผลให้ซากพืช
ได้รบั ความร้อนและแรงกดดัน ท�าให้สารอินทรียท์ อี่ ยูใ่ นซากพืชและซากสัตว์แปรสภาพเป็น
สารประกอบเคอโรเจนเมื่อผสมกับตะกอนดินและถูกอัดแน่น จะกลายเป็นหินน�้ามัน
• ปโตรเลียม เกิดจากซากสัตว์ทะเลที่ตายเมื่อหลายร้อยป ทับถมอยู่ใต้มหาสมุทรเป็นจ�านวนมากจนแปรเปลี่ยนเป็นหินต้นก�าเนิด เมื่อเวลา
ผ่านไปความร้อนและแรงกดดันท�าให้ไขมันในซากสัตว์สลายตัวเป็นปิโตรเลียม โดยปิโตรเลียมมี 2 สถานะ คือ ของเหลว เรียกว่า น�้ามัน
ดิบ และแก๊ส เรียกว่า แก๊สธรรมชาติ ซึ่งก่อนน�าน�้ามันดิบและแก๊สธรรมชาติมาใช้ประโยชน์จ�าเป็นต้องผ่านกระบวนการกลั่นก่อน
• ผลกระทบทีเ่ กิดจากการใช้ประโยชน์เชือ้ เพลิงซากดึกดําบรรพ์ เช่น ปรากฏการณ์เรือนกระจก ภาวะโลกร้อน ฝนกรด มลพิษทางอากาศ ซึง่
ผลกระทบทีเ่ กิดขึน้ ล้วนส่งผลต่อสิง่ มีชวี ติ และสิง่ แวดล้อม ก่อนน�ามาใช้จงึ ต้องนึกถึงผลกระทบทีต่ ามมา และการใช้เชือ้ เพลิงซากดึกด�าบรรพ์
นั้นต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้แล้วหมดไป จึงอาจเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์
พลังงานน�้า พลังงานลม เนื่องจากเป็นพลังงานที่ใช้แล้วไม่หมดไป
T87
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ หนวยการเรียนรูที่
1. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน หนวย
การเรียนรูที่ 6 โลกและการเปลี่ยนแปลง เพื่อ
วัดความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูกิจกรรม
2. ครูถามคําถามกระตุน ความสนใจของนักเรียน
6 โลกและการเปลีย่ นแปลง
โดยใชคาํ ถาม Big Question จากหนังสือเรียน กระบวนการ
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 และรวมกันอภิปราย เปลี่ยนแปลงของโลก
แสดงความคิ ด เห็ น อย า งอิ ส ระโดยไม มี ก าร ÁÕ¤ÇÒÁÊÓ¤ÑÞ
ดิน
เฉลยวาถูกหรือผิด ดินเกิดจากหินทีผ่ พุ งั ตามธรรมชาติ Í‹ҧäÃ
3. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอน ผสมกับอินทรียวัตถุจากซากพืชและ
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ ซากสัตวทับถมกัน
Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุด
ประจําตัวนักเรียน
4. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 เพื่อเปนการนํา
เขาสูบทเรียน
ล�าธาร
กระบวนการกัดเซาะ
ของนํ้า สงผลใหเกิด
รองนํา้ เรียกวา ลําธาร
ตัวชี้วัด
ว 3.2 ม.2/1 เปรียบเทียบกระบวนการเกิด สมบัติ และการใช้ประโยชน์ รวมทั้งอธิบายผลกระทบจากการใช้เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์
จากข้อมูลที่รวบรวมได้
ว 3.2 ม.2/2 แสดงความตระหนักถึงผลจากการใช้เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์ โดยน�าเสนอแนวทางการใช้เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์
ว 3.2 ม.2/3 เปรียบเทียบข้อดีและข้อจ�ากัดของพลังงานทดแทนแต่ละประเภทจากการรวบรวมข้อมูล และน�าเสนอแนวทางการใช้พลังงาน
ทดแทนที่เหมาะสมในท้องถิ่น
ว 3.2 ม.2/4 สร้างแบบจ�าลองที่อธิบายโครงสร้างภายในโลกตามองค์ประกอบทางเคมีจากข้อมูลที่รวบรวมได้
ว 3.2 ม.2/5 อธิบายกระบวนการผุพงั อยูก่ บั ที่ การกร่อน และการสะสมตัวของตะกอนจากแบบจ�าลอง รวมทัง้ ยกตัวอย่างผลของกระบวนการ
ดังกล่าวที่ท�าให้ผิวโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง
ว 3.2 ม.2/6 อธิบายลักษณะของชั้นหน้าตัดดินและกระบวนการเกิดดินจากแบบจ�าลอง รวมทั้งระบุปัจจัยที่ท�าให้ดินมีลักษณะและสมบัติ
แตกต่างกัน
แนวตอบ Big Question ว 3.2 ม.2/7 ตรวจวัดสมบัตบิ างประการของดิน โดยใช้เครือ่ งมือทีเ่ หมาะสมและน�าเสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ดนิ จากข้อมูลสมบัตขิ องดิน
ว 3.2 ม.2/8 อธิบายปัจจัยและกระบวนการเกิดแหล่งน�้าผิวดินและแหล่งน�้าใต้ดินจากแบบจ�าลอง
กระบวนการเปลีย่ นแปลงของโลกทําใหเปลือก ว 3.2 ม.2/9 สร้างแบบจ�าลองที่อธิบายการใช้น�้า และน�าเสนอแนวทางการใช้น�้าอย่างยั่งยืนในท้องถิ่นของตนเอง
ว 3.2 ม.2/10 สร้างแบบจ�าลองที่อธิบายกระบวนการเกิดและผลกระทบของน�้าท่วม การกัดเซาะชายฝัง ดินถล่ม หลุมยุบ และแผ่นดินทรุด
โลกมีภูมิลักษณหรือภูมิประเทศที่แตกตางกัน เชน
บางบริเวณเปนภูเขา แมนํ้า หรือทะเล
เกร็ดแนะครู
ก อ นเข า สู ก ารเรี ย นการสอน ครู อ าจยกตั ว อย า งเหตุ ก ารณ ใ นป จ จุ บั น
ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ การเปลี่ ย นแปลงของโลก เช น เมื่ อ ปลายป ค.ศ. 2018
ทีมนักวิทยาศาสตรจากหนวยงานหนึ่งในองคการนาซาพยายามเขาไปสํารวจ
เกาะที่เพิ่งปรากฏในมหาสมุทรแปซิฟกในเขตของประเทศตองกา ซึ่งเกาะที่
เกิดขึ้นใหมนี้มีสาเหตุมาจากการระเบิดของหลุมภูเขาไฟใตนํ้า เมื่อป ค.ศ. 2015
นับตั้งแตนั้นมาจนกระทั่งถึงปจจุบันทีมนักวิทยาศาสตรยังคงพยายามติดตาม
และศึกษาเพื่อตั้งขอสันนิษฐานวา เกาะแหงใหมกอตัวและปรากฏขึ้นบนโลกได
อยางไร
T88
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Understanding Check 1. ครูเตรียมไขไกมาใหนักเรียนดู จากนั้นครูตั้ง
พิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึก ประเด็นคําถามกระตุน ความสนใจของนักเรียน
ถูก/ผิด โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง
1. เปลือกโลกมีธาตุออกซิเจนเป็นองค์ประกอบส�าคัญ ความคิดเห็นอยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวา
2. หินเป็นส่วนประกอบของเปลือกโลก ถูกหรือผิด ดังนี้
มุ ด
3. น�้ามีส่วนท�าให้ภูมิประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลง • ไขไกประกอบดวยอะไรบาง
นส
งใ
(แนวตอบ เปลือกไข ไขขาว และไขแดง)
ล
ทึ ก
4. อุณหภูมิอากาศไม่ส่งผลกระทบต่อการผุพังของหิน
บั น
5. การกร่อนเป็นกระบวนการหนึ่งที่ท�าให้เนื้อโลกหลุดสลาย
• ถาเปรียบเทียบโลกกับไขไก นักเรียนอาศัย
อยูสวนใดของไขไก
(แนวตอบ เปลือกไข)
Prior
Knowledge
1 โครงสร้างและการเปลีย่ นแปลงของโลก • เปลือกไข ไขขาว และไขแดง เทียบไดกับ
โลกเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต ประกอบด้วย พื้นดิน สวนประกอบใดของโลกบาง
เหตุการณ์ใดที่
บ่งบอกว่าโลกเกิดการ พื้นน�้า และชั้นบรรยากาศห่อหุ้มผิวโลก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของ (แนวตอบ เปลือกไขเทียบไดกับเปลือกโลก
เปลีย่ นแปลงตลอดเวลา โลกเกิดขึ้นตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นทั้งแบบ ไข ข าวเที ย บได กั บ เนื้ อ โลก และไข แ ดง
ฉับพลันและแบบช้า ๆ เช่น ภูเขาไฟปะทุ แผ่นดินไหว เทียบไดกับแกนโลก)
1.1 โครงสร้างของโลก 2. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้นให
นักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาโครงสร้างภายใน นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล
โลกโดยใช้ทฤษฎี และหลักการทางวิทยาศาสตร์ ประกอบ เกี่ยวกับเรื่อง โครงสรางของโลก จากหนังสือ
กับการน�าเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยในการส�ารวจ และ เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ใช้เครื่องมือขนาดใหญ่ขุดเจาะหลุมให้ลึกลงไปประมาณ
12 กิโลเมตร เพื่อเก็บตัวอย่างหิน และศึกษาโครงสร้าง 3. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
ภายในโลก จนได้ข้อสรุปว่า เมื่อแบ่งโครงสร้างของโลก ศึกษา จากนั้นรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการ
ตามองค์ประกอบทางเคมีจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
ชั้น ได้แก่ เปลือกโลก เนื้อโลก และแก่
1 นโลก นอกจากนี้
ผลจากการตรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน ยังสามารถท�าให้
แบ่งโครงสร้างของโลกตามลักษณะทางกายภาพออกได้
เป็น 5 ชั้น ได้แก่ ธรณีภาค ฐานธรณีภาค เมโซสเฟียร์ ภาพที่ 6.1 หลุมที่ลึกที่สุดในโลก ถูกขุดขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ. 1983
แนวตอบ Understanding Check
แก่นโลกชั้นนอก และแก่นโลกชั้นใน ในสหพันธรัฐรัสเซีย
ที่มา : https://www.amusingplanet.com 1. ผิด 2. ถูก 3. ถูก
4. ผิด 5. ถูก
T89
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
4. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน จากนัน้ ครูแจง
แบบจ�าลองโครงสร้างของโลก
จุดประสงคของกิจกรรมแบบจําลองโครงสราง
ของโลก ใหนกั เรียนทราบเพือ่ เปนแนวทางการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ปฏิบัติกิจกรรมที่ถูกตอง จุดประสงค์ - จ�าแนกประเภท
T90
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
โครงสรางของโลกตามองคประกอบทางเคมี 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
เรือ่ ง โครงสรางของโลก และใหความรูเ พิม่ เติม
เปลือกโลก (crust) จากคําถามของนักเรียน โดยครูใช Power-
เปนชัน้ นอกสุด มีองคประกอบหลักเปนสารประกอบของซิลคิ อน (Si) และ Point เรื่อง โครงสรางของโลก ในการอธิบาย
อะลูมเิ นียม (Al) สวนทีเ่ ปนพืน้ ดิน เรียกวา เปลือกโลกทวีป และสวนทีเ่ ปน เพิ่มเติม
พื้นนํ้า เรียกวา เปลือกโลกมหาสมุทร
2. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน จากนั้นให
เนื้อโลก (mantle) นักเรียนแตละกลุมรวมกันสรางแบบจําลอง
เปนสวนที่อยูใตเปลือกโลกลงไป มีองคประกอบหลักเปนสารประกอบของ โครงสรางของโลกทีแ่ บงตามองคประกอบทาง
ซิลิคอน (Si) แมกนีเซียม (Mg) และเหล็ก (Fe) เคมี
แกนโลก (core) 3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง โครงสราง
ภาพที่ 6.2 โครงสรางของโลกตามองคประกอบทางเคมี เปนสวนที่อยูใจกลางของโลก มีองคประกอบหลักเปนเหล็ก (Fe) และ ของโลก จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ที่มา : คลังภาพ อจท. นิกเกิล (Ni)
ขัน้ สรุป
โครงสรางของโลกตามลักษณะทางกายภาพ ตรวจสอบผล
ธรณีภาค (lithosphere) นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
มีระดับความลึกประมาณ 100 กิโลเมตร ประกอบดวย โครงสรางของโลก
เปลือกโลกทวีปและเปลือกโลกมหาสมุทร
ฐานธรณีภาค (asthenosphere)
ขัน้ ประเมิน
มีระดับความลึก 100-700 กิโลเมตร เปนชั้นที่มี ตรวจสอบผล
แมกมาซึ่งเปนหินหนืดหรือหินหลอมละลายรอน
หมุนวนอยูภายในโลกอยางชา ๆ 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน
หนวยการเรียนรูท ี่ 6 โลกและการเปลีย่ นแปลง
เมโซสเฟยร (mesosphere) เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจกอนเรียนของนักเรียน
มีระดับความลึก 700-2,900 กิโลเมตร 2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
มีสถานะเปนของแข็ง
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
แกนโลกชั้นนอก (outer core) พฤติกรรมการทํางานกลุม และจากการนํา
มีระดับความลึก 2,900-5,140 กิโลเมตร เสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
มีสถานะเปนของเหลว มีความรอนสูงมาก 3. ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนกอนเขาสู
แกนโลกชั้นใน (inner core) กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Under-
มีระดับความลึก 5,140-6,371 กิโลเมตร standing Check ในสมุดประจําตัวนักเรียน
มี ส ถานะเป น ของแข็ ง มี ความดั น และ 4. ครู ต รวจสอบผลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แบบ
อุณหภูมิสูงมาก อาจสูงถึง 6,000 องศา จําลองโครงสรางของโลก
เซลเซียส
ภาพที่ 6.3 โครงสรางของโลกตามลักษณะทางกายภาพ 5. ครูประเมินชิ้นงาน แบบจําลองโครงสรางของ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
77
โลกตามองคประกอบทางเคมี
โลกและการเปลี่ยนแปลง
6. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง โครงสรางของโลก
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
T91
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูเตรียมบัตรภาพสถานที่ตามธรรมชาติ เชน 1.2 การเปลี่ยนแปลงของโลก
นํ้ า ตก ทะเล ภู เ ขา ถํ้ า มาให นั ก เรี ย นดู โลกมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากผิวโลกมีการเปลี่ยนแปลงทาง
ธรณีต่าง ๆ ท�าให้ผิวโลกมีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกัน ดังภาพที่ 6.4
จากนัน้ ครูสนทนากับนักเรียนวา “สถานทีต่ า งๆ
บนโลกจะมีลักษณะที่แตกตางกัน เชน บาง
บริเวณเปนแมนํ้า บางบริเวณเปนภูเขา บาง
บริเวณมีหินที่มีรูปรางประหลาด บางบริเวณ
เปนเกาะ”
2. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
ว า “เพราะเหตุ ใ ดเปลื อ กโลกจึ ง มี ลั ก ษณะ
ภูมิประเทศที่แตกตางกัน” โดยใหนักเรียน
รวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นอยางอิสระ
โดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียน จากนั้นให
นักเรียนแตละคูรวมกันศึกษาคนควาขอมูล ภาพที่ 6.4 ภูมิลักษณ์ต่าง ๆ บนเปลือกโลก
เกี่ยวกับเรื่อง ภูมิลักษณตางๆ บนเปลือกโลก ที่มา : คลังภาพ อจท.
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หรือ 1
จากภาพจะเห็นว่า ลักษณะผิวโลกมีรูปพรรณสัณฐานที่แตกต่างกัน เรียกว่า ภูมิลักษณ์หรื หรือธรณีสัณฐาน
แหลงการเรียนรูตางๆ เชน อินเทอรเน็ต (landform) ซึง่ เกิดจากกระบวนการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ อย่างช้า ๆ ใช้เวลาหลายพันปีจงึ จะเห็นการเปลีย่ นแปลง เช่น
2. นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ดศกึ ษา การผุพงั อยูก่ บั ที่ (weathering) การกร่อน (erosion) การพัดพา (transportation) การสะสมตัวของตะกอน (deposition)
จากนัน้ ใหนกั เรียนแตละคนเขียนสรุปความรูท ี่ โดยมีปจั จัยส�าคัญทีท่ า� ให้เกิดกระบวนการเปลีย่ นแปลงทางธรณีวทิ ยา ได้แก่ น�า้ ลม ธารน�า้ แข็ง แรงโน้มถ่วงของโลก
ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัว สิ่งมีชีวิต สภาพอากาศ และปฏิกิริยาเคมี
นักเรียน Science
Focus นแปลงของโลกอกโลก
กำรเปลี่ยนแปลงของเปลื
3. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผลการ การเปลี่ยนแปลงของโลกเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก 2ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
ศึ ก ษาหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ นั ก เรี ย น 1. การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน เช่น การเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เปลือกโลกบางส่วนแยกตัวออก ท�าให้
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม ผิวโลกบางส่วนถล่มทลาย หรือยุบตัว หรือภูเขาไฟระเบิดซึ่งมีผลต่ออาคาร บ้านเรือน ต้นไม้ และสิ่งก่อสร้าง นอกจากนี้ ยังท�าให้
มนุษย์และสิ่งมีชีวิตได้รับอันตราย เช่น แผ่นดินไหวที่ภาคเหนือของประเทศไทย
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
2. การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ เช่น การเคลื่อนที่ของเปลือกโลก การกร่อน การผุพังของหิน ท�าให้พื้นที่บางส่วน
หายไป
78
T92
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. การผุพังอยู่กับที่ (weathering) คือ การที่หินซึ่งเป็นส่วนประกอบของโลกผุพังทลายลงด้วยการกระท�า 4. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
ของน�้า ลม ธารน�้าแข็ง แรงโน้มถ่วงของโลก สิ่งมีชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอากาศ ตลอดจนการแตกตัว
ทางกลศาสตร์ การผุพังอยู่กับที่ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ การผุพังทางกายภาพและการผุพังทางเคมี
วา “สาเหตุที่ทําใหโลกมีลักษณะภูมิประเทศที่
แตกตางกันคืออะไร” โดยใหนกั เรียนแตละคน
1) การผุพังทางกายภาพ เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ดังนี้ ร ว มกั น อภิ ป รายแสดงความคิ ด เห็ น เพื่ อ หา
คําตอบ
ในเวลากลางวันความร้อนจากดวงอาทิตย์ (แนวตอบ สาเหตุทที่ าํ ใหผวิ โลกหรือภูมปิ ระเทศ
จะท�าให้หินเกิดการขยายตัว เมื่อถึงเวลากลางคืน หรือ
มีรูปรางแตกตางกัน เนื่องมาจากกระบวนการ
เมื่อมีฝนตกลงมา ท�าให้อุณหภูมิในบรรยากาศลดต�่าลง
ส่งผลให้อุณหภูมิภายในหินลดลงด้วย หินจึงเกิดการ เปลี่ ย นแปลงทางธรณี วิ ท ยา ซึ่ ง เกิ ด จาก
หดตัว ซึ่งการเพิ่มและลดอุณหภูมิของอากาศสลับกัน กระบวนการผุพังอยูกับที่ กระบวนการกรอน
อย่างรวดเร็วซ�้ากันต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลให้หิน กระบวนการพัดพา และกระบวนการสะสมตัว
เกิดรอยแตกร้าวและผุพังได้ ของตะกอน สงผลใหบางบริเวณของผิวโลกเปน
ทะเล เกาะ นํ้าตก และภูเขา)
ภาพที่ 6.5 รอยแตกบนหินเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ 5. นักเรียนแตละคนศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับ
ภายในหินสลับกันอย่างรวดเร็ว
ที่มา : คลังภาพ อจท. เรื่อง กระบวนการผุพังอยูกับที่ และปจจัยที่
ทําใหเกิดกระบวนการผุพงั อยูก บั ที่ จากหนังสือ
น�้าที่แทรกซึมเข้าไปในรอยแตกของหิน เมื่อ เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
อุณหภูมิของอากาศลดต�่าลงจนกระทั่งถึงจุดเยือกแข็ง 6. นักเรียนแตละคนเขียนสรุปความรูท ไี่ ดจากการ
น�้าจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งและมีปริมาตรเพิ่มขึ้น น�้า ศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
ไปดันรอยแตกของหินให้กว้างมากขึ้น น�า้ แข็ง
น�้า
น�า้ แข็ง
ภาพที่ 6.6 น�้าเป็นปัจจัยที่ท�าให้รอยแตกของหินกว้างมากขึ้น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การเจริญเติบโตของต้นไม้ขนาดใหญ่บนหิน
เป็นสาเหตุให้เกิดการผุพงั ทางกายภาพของหิน เนือ่ งจาก
รากไม้ทชี่ อนไชลงไปในรอยแตกของหิน เมือ่ เวลาผ่านไป
รากจะขยายขนาดและเพิ่มจ�านวนมากขึ้น ส่งผลให้
รอยแตกของหินเพิม่ มากขึน้ และกว้างมากขึน้ หินจึงแตก
ออกจากกันได้ ดังภาพที่ 6.7
โลกและการเปลี่ยนแปลง 79
T93
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสุมนักเรียน 4 คน ออกมานําเสนอผลการ นอกจากการกระท� า ของน�้ า และพื ช แล้ ว มนุ ษ ย์ แ ละสั ต ว์ ก็ เ ป็ น สาเหตุ ที่ ท� า ให้ หิ น เกิ ด การผุ พั ง ทาง
ศึ ก ษาหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่ นั ก เรี ย น กายภาพ เช่น การระเบิดภูเขาเพื่อสร้างถนน การสร้างเขื่อน การสร้างอุโมงค์ใต้ดิน การท�าเหมืองหินและแร่ต่าง ๆ
การเจาะของสัตว์ที่ขุดรูอยู่ในพื้นดิน เช่น หนู ตัวตุ่น แมลงบางชนิด
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
2. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
โดยใหนักเรียนรวมกันอภิปรายแสดงความคิด
เห็นเพื่อหาคําตอบ ดังนี้
• การผุพังอยูกับที่คืออะไร
(แนวตอบ การทีห่ นิ ผุพงั ทลายลงดวยการกระทํา
ของนํา้ สิง่ มีชวี ติ รวมทัง้ การเพิม่ หรือลดของ
ภาพที่ 6.8 การท�าเหมืองแร่ ภาพที่ 6.9 เขาสัตว์กระแทกกับหิน ท�าให้ ภาพที่ 6.10 การกระท�าของน�้า ท�าให้
อุณหภูมิ) ที่มา : คลังภาพ อจท. เกิดรอยบนหิน รูปร่างของหินเปลี่ยนแปลงไป
• ปจจัยทีม่ ผี ลทําใหเกิดการผุพงั ทางกายภาพ ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
ของหินมีอะไรบาง จงยกตัวอยาง Science
(แนวตอบ การเพิม่ หรือลดของอุณหภูมิ สงผล Focus วัฏจักรหิน
1 2 3
ใหหินยืดและหดตัว ทําใหเกิดรอยแตกราว นักธรณีวิทยาแบ่งหินออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ หินอัคนี หินตะกอน และหินแปร เมื่อหินหนืดร้อนภายในโลก ((magma)
และหินหนืดร้อนบนพื้นผิวโลก (lava) เย็นตัวลงกลายเป็นหินอัคนี ลมฟ้าอากาศ น�้า และแสงอาทิตย์ ท�าให้หินผุพังทลายลงเป็น
ตัวอยางเชน การเจริญของรากตนไมทชี่ อนไช ตะกอน และทับถมกันเป็นเวลานานหลายล้านปี แรงดันและปฏิกริ ยิ าเคมีทา� ให้เกิดการรวมตัวเป็นหินตะกอน หรือเรียกอีกอย่างหนึง่ ว่า
เขาไปตามรอยแตกของหิน) หินชั้น การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกและความร้อน ท�าให้หินต่าง ๆ แปรสภาพไปเป็นหินแปร กระบวนการเหล่านี้จะเกิดขึ้น
• ปจจัยที่มีผลทําใหเกิดการผุพังทางเคมีของ เป็นวัฏจักรเรียกว่า วัฏจักรหิน (rock cycle)
หินมีอะไรบาง จงยกตัวอยาง
ภาพที่ 6.11 การเปลี่ยนแปลงของหินเนื่องจากแรงโน้มถ่วง
(แนวตอบ การเกิดสนิมเหล็กเนื่องจากนํ้าซึ่ง ที่มา : คลังภาพ อจท.
มีแกสออกซิเจนทําปฏิกิริยากับธาตุเหล็ก
ที่เปนองคประกอบของหินบางชนิด เชน
หินแกรนิต หินบะซอลต สนิมเหล็กที่เกิด
ขึ้นจะทําใหหินผุพัง นอกจากนี้ ฝนกรดที่
เกิดขึ้นจากนํ้าฝนที่ตกลงมาละลายกับแกส
คารบอนไดออกไซดที่ไดจากการเผาไหม
เชือ้ เพลิงทําปฏิกริ ยิ ากับหินปูน เกิดการผุพงั
กลายเปนโพรงได)
• ภูมิประเทศแบบคาสตเปนอยางไร เพราะ
เหตุใดจึงเปนเชนนั้น
(แนวตอบ เปนภูมิประเทศที่มีเขาลักษณะ
เวาแหวง มักเกิดขึ้นกับภูเขาหินปูนเมื่อทํา
ปฏิกริ ยิ ากับฝนกรดจะทําใหเกิดโพรงถํา้ หรือ 80
ถํา้ ใตดนิ และกลายเปนหลุมยุบในเวลาตอมา)
T94
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2) การผุพงั ทางเคมี ในบรรยากาศประกอบด้วยแก๊สต่าง ๆ ทีล่ อยปะปนอยูใ่ นอากาศ ได้แก่ แก๊สออกซิเจน 3. ครูอธิบายเพิม่ เติมใหนกั เรียนเขาใจวา “สาเหตุ
และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสามารถท�าให้หินเกิดการผุพังทางเคมีได้ ดังนี้
ที่ ทํ า ให ภู มิ ป ระเทศมี รู ป ร า งที่ แ ตกต า งกั น
หินบางชนิดที่มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ เนื่ อ งจากกระบวนการเปลี่ ย นแปลงทาง
เช่ น หิ น แกรนิ ต หิ น บะซอลต์ จะท� า ปฏิ กิ ริ ย ากั บ ธรณีวิทยา ซึ่งมีกระบวนการผุพังอยูกับที่เปน
แก๊สออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน�้า เกิดสนิมเหล็กซึ่งมี สาเหตุหนึ่ง”
สีน�้าตาล ส่งผลให้หินอ่อนตัวลงและผุพังในเวลาต่อมา
ดังภาพที่ 6.12
ปจจัยใดบาง
ที่สงผลให
หินเกิดการผุพัง
ภาพที่ 6.12 การเกิดสนิมเหล็กขึ้นบนหิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
โลกและการเปลี่ยนแปลง 81
T95
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 6 คน จากนั้นครู
จําลองการผุพังอยูกับที่ของหินเนื่องจากนํ้าเปนปจจัย
แจ ง จุ ด ประสงค ข องกิ จ กรรม จํ า ลองการ
ผุ พั ง อยู กั บ ที่ ข องหิ น เนื่ อ งจากนํ้ า เป น ป จ จั ย ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
ใหนักเรียนทราบเพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติ จุดประสงค - การวัด
- การสังเกต
กิจกรรมที่ถูกตอง อธิบายกระบวนการที่ทําใหเกิดการผุพังอยูกับที่ทางกายภาพและทางเคมีจากแบบจําลองได - การตั้งสมมติฐาน
จิตวิทยาศาสตร
2. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม วัสดุอปุ กรณ - ความรับผิดชอบ
จํ า ลองการผุ พั ง อยู กั บ ที่ ข องหิ น เนื่ อ งจาก 1. นํ้า 4. ไมบรรทัด
- ความสนใจใฝรู
82
T96
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลการปฏิบตั ิ
ตอนที่ 2 จําลองการผุพังทางเคมีของหิน กิจกรรมหนาชั้นเรียน ในระหวางที่นักเรียน
1. จุมแผนเหล็กลงในบีกเกอรที่บรรจุนํ้าเปนเวลา 1 สัปดาห นํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
2. สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับแผนเหล็ก แลวบันทึกลงในสมุด
เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
แผนเหล็ก แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
เพื่อหาคําตอบ
3. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม
จําลองการผุพังอยูกับที่ของหินเนื่องจากนํ้า
เปนปจจัยวา “การผุพังอยูกับที่ของหินเกิดขึ้น
ไดจาก 2 ปจจัย คือ ปจจัยทางกายภาพ ซึ่งมี
นํ้าและอุณหภูมิภายนอกเปนตัวกระทํา และ
ปจจัยทางเคมีที่เกิดขึ้นจากการทําปฏิกิริยา
กันระหวางฝนกรดกับหินปูนจนทําใหเกิดโพรง
ภาพที่ 6.17 การสรางแบบจําลองการผุพังทางเคมีของหิน และพังทลายลง”
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
1. นํ้ า จะซึ ม เข า ไปในรอยแตกของหิ น อุ ณ หภู มิ
คําถามทายกิจกรรม ภายนอกที่ตํ่าลง จะทําใหนํ้าในหินกลายเปน
1. นํ้าทําใหหินเกิดกระบวนการผุพังทางกายภาพไดอยางไร นํ้าแข็ง รอยแตกของหินจึงขยายมากขึ้น เมื่อ
2. ปจจัยใดบางที่ทําใหหินเกิดกระบวนการผุพังทางกายภาพ อุณหภูมิสูงขึ้นนํ้าภายนอกจะไหลเขามาตาม
3. นํ้าทําใหหินเกิดกระบวนการผุพังทางเคมีไดอยางไร
4. ปจจัยใดบางที่ทําใหหินเกิดกระบวนการผุพังทางเคมี รอยแตกของหินอีกครั้ง เปนแบบนี้ไปจนกระทั่ง
5. นํ้าทําใหหินทุกชนิดเกิดสนิมหรือไม อยางไร หินแตกออก นอกจากนี้ นํ้าหรือนํ้าฝนที่ละลาย
รวมกับแกสคารบอนไดออกไซดจะทําปฏิกิริยา
อภิปรายผลกิจกรรม กับหินปูนทําใหเกิดโพรงและผุพังลงได
จากกิจกรรมตอนที่ 1 พบวา นํ้ามีสถานะเปนของเหลว เมื่ออุณหภูมิลดตํ่าลงจนกระทั่งถึงจุดเยือกแข็ง นํ้าจะเปลี่ยนสถานะเปน 2. การเพิม่ หรือลดของอุณหภูมภิ ายนอก นํา้ สิง่ มีชวี ติ
ของแข็งและมีปริมาตรเพิ่มขึ้น เนื่องจากนํ้าที่แทรกซึมอยูในรอยราวของหินเมื่อไดรับอุณหภูมิที่ตํ่ากวาจุดเยือกแข็ง นํ้าจะเปลี่ยน
สถานะกลายเปนของแข็งจึงมีปริมาตรเพิ่มขึ้น และดันใหหินเกิดรอยราวและแตกออก 3. เนือ่ งจากนํา้ มีแกสออกซิเจนละลายอยู เมือ่ หินซึง่
จากกิจกรรมตอนที่ 2 แกสออกซิเจนที่ละลายอยูในนํ้าทําปฏิกิริยาเคมีกับแผนเหล็กเกิดสนิมเหล็ก ซึ่งมีสีนํ้าตาล เมื่อเวลา มีเหล็กเปนองคประกอบทําปฏิกริ ยิ ากับนํา้ ทําให
ผานไปบริเวณที่เกิดสนิมจะผุพังกลายเปนรูโหว ซึ่งเปนสาเหตุที่ทําใหหินที่มีเหล็กเปนองคประกอบเกิดการผุพัง เกิดสนิมเหล็ก ซึง่ สนิมเหล็กทีเ่ กิดขึน้ จะทําใหหนิ
ผุพังทลายลงได
โลกและการเปลี่ยนแปลง 83 4. ฝนกรด
5. ไม สนิมเหล็กจะเกิดขึ้นกับหินที่มีธาตุเหล็กเปน
องคประกอบ
ขอใดเปนลักษณะของหินที่เกิดจากกระบวนการผุพังทางเคมี ตอนที่ 2
1. การขยายและหดตัวของหินตามอุณหภูมิ มีสนิมเหล็กเกิดขึ้น เนื่องจากแผนเหล็กสัมผัสกับนํ้าและอากาศ
2. การแข็งตัวของนํ้าที่แทรกอยูตามรอยแตก
3. รากไมที่เจริญเติบโตเต็มที่ชอนไชไปตามแนวหิน
4. การหลุดรอนของหินที่มีแรเหล็กเปนองคประกอบ
(วิเคราะหคําตอบ แรเหล็กทีอ่ ยูภ ายในหินบางชนิดจะทําปฏิกริ ยิ า
เคมีกบั นํา้ และอากาศไดสนิมเหล็กทําใหหนิ ผุพงั ดังนัน้ ตอบขอ 4.)
T97
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนแตละคนศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับ 2. การกรอน (erosion) คือ กระบวนการทีท่ าํ ให
หินกรอนไปโดยมี 1 ตัวนําพาทางธรรมชาติ คือ ลํานํ้าหรือ
เรื่อง การกรอนและการสะสมตัวของตะกอน ธารนํ้าแข็ง รวมกับปจจัยอื่น ๆ ไดแก ลมฟาอากาศ
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 สารละลาย การครูดถู และแรงโนมถวงของโลก เชน
จากนั้นเขียนสรุปความรูที่ไดจากการศึกษา ภาพที่ 6.18 จะเห็นวา กระบวนการกัดเซาะของนํา้ ทําให
คนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน บริเวณริมตลิ่งถูกกรอนเปนรอยคดโคง
2. นักเรียนแบงกลุม (กลุมเดิม) จากนั้นครูแจง การเคลื่ อ นที่ ข องธารนํ้ า แข็ ง ( glacier ) ภาพที่ 6.18 ผลจากการกัดเซาะของนํ้าบริเวณริมตลิ่ง
ที่เกิดขึ้นในบริเวณลาดชันหรือตามไหลเขาเนื่องจาก ที่มา : คลังภาพ อจท.
จุดประสงคของกิจกรรม จําลองการกรอน
แรงโนมถวงของโลก จะทําใหมวลนํ้าแข็งขนาดใหญ
การพั ด พา และการสะสมตั ว ของตะกอน ทีม่ นี าํ้ หนักมากเคลือ่ นทีล่ งสูท ตี่ าํ่ ทําใหเกิดการสึกกรอน
ใหนักเรียนทราบเพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติ ของหิน เพราะเกิดการบด กระแทก และครูดถูระหวาง
กิจกรรมที่ถูกตอง ธารนํ้าแข็งกับหินที่อยูบริเวณไหลเขา
3. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม เมื่อนํ้าฝนทําปฏิกิริยากับแกสคารบอนได-
จําลองการกรอน การพัดพา และการสะสม ออกไซด (CO2) กลายเปนกรดคารบอนิก (H2CO3) แลว
ตัวของตะกอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ไหลซึมไปตามกอนหิน หรือภูเขาหินปูนซึ่งมีแคลเซียม ภาพที่ 6.19 ธารนํ้าแข็ง
คารบอเนต (CaCO3) เปนองคประกอบ กรดคารบอนิก ที่มา : คลังภาพ อจท.
ม.2 เลม 2 โดยครูใชรูปแบบการเรียนรูแบบ จะเกิดปฏิกิริยาเคมีกับหินปูนไดสารละลายแคลเซียม
รวมมือมาจัดกระบวนการเรียนรู โดยกําหนด ไฮโดรเจนคารบอเนต (Ca(HCO3)2) ซึ่งมีสมบัติละลาย
ใหสมาชิกแตละคนภายในกลุม มีบทบาทหนาที่ นํ้าได สามารถไหลซึมลงมาตามเพดานถํ้าและหยดลงสู
ของตนเอง ดังนี้ พื้นถํ้า เมื่อเวลาผานไปจนทําใหนํ้าในสารละลายระเหย
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ ไปหมด จะเกิดเปนหินปูนเกาะอยูที่เพดานถํ้า เรียกวา
หินยอย (stalactite) และหินปูนที่อยูบนพื้นถํ้าเรียกวา
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม
หินงอก (stalagmite) ซึ่งสามารถสรุปเปนสมการเคมีได
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ ดังนี้
ภาพที่ 6.20 หินงอก หินยอยภายในถํ้า
ที่มา : คลังภาพ อจท.
กิ จ กรรมและนํ า มาอธิ บ ายให ส มาชิ ก ใน
การเกิดกรดคารบอนิก : CO2 + H2O H2CO3
กลุมฟง ปฏิกิริยาเคมีระหวางหินปูนกับกรดคารบอนิก : H2CO3 + CaCO3 Ca(HCO3)2
• สมาชิกคนที่ 5-6 ทําหนาที่บันทึกผลการ เมื่อเวลาผานไป : Ca(HCO3)2 CaCO3 + CO2 + H2O
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจําตัวนักเรียน ลมเปนปจจัยที่มีผลตอการกรอนนอยที่สุด
4. นักเรียนแตละกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม แตถาบริเวณที่เปนเขตแหงแลง ผิวดินขาดพืชคลุมดิน
ขั้นตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เชน เขตทะเลทราย บริเวณทีป่ า ไมถกู ทําลาย ภูเขาทีโ่ ลง
เลม 2 เตียน กระแสลมจะมีผลทําใหเปลือกโลกเกิดการกรอนได
5. นักเรียนแตละกลุมรวมกันแลกเปลี่ยนความรู มากขึน้ เนือ่ งจากกระแสลมพัดพาตะกอนมาเสียดสี ครูด
ถูกบั หินทีโ่ ผลขนึ้ มา ทําใหเกิดภูมลิ กั ษณทมี่ รี ปู รางตาง ๆ
และวิ เ คราะห ผ ลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แล ว ภาพที่ 6.21 ตัวอยางแปนหิน เชน เสาเฉลียง จังหวัดอุบลราชธานี
เชน แองพัดกราด แปนหิน เนินยอดปาน สันทราย ที่มา : june20072538.wordpress.com/สถานที่ทองเที่ยว/เสาเฉลียง/
อภิปรายผลรวมกัน
84
T98
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กิจกรรม
1. นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลการปฏิบตั ิ
จําลองการกรอน การพัดพา และการสะสมตัวของตะกอน
กิจกรรมหนาชั้นเรียน ในระหวางที่นักเรียน
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
นํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
จุดประสงค - การสังเกต เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
อธิบายกระบวนการกรอน การพัดพา และการสะสมตัวของตะกอนจากแบบจําลองได จิตวิทยาศาสตร
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
- ความสนใจใฝรู
วัสดุอปุ กรณ - การทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง
สรางสรรค แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
1. กรวด 4. ทรายละเอียด เพื่อหาคําตอบ
2. บัวรดนํา้ 5. กลองพลาสติก
3. ทรายหยาบ 6. ดินเหนียวหรือดินนํ้ามัน ขยายความเขาใจ
วิธปี ฏิบตั ิ 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
1. นําดินเหนียวหรือดินนํ้ามันมาปนเปนภูมิประเทศจําลองในกลองพลาสติกรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผาที่เจาะรูระบายนํ้าออกได เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของโลก และใหความรู
โดยดานสูงใหอยูตรงขามกับรูที่เจาะ
2. ผสมตะกอนซึ่งประกอบดวยกรวด ทรายหยาบ และทรายละเอียด อยางละประมาณ 30 กรัม แลวเทลงบริเวณภูมิประเทศ เพิ่มเติมจากคําถามของนักเรียน โดยครูใช
จําลองที่มีระดับสูง PowerPoint เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของโลก
3. ใชบัวรดนํ้าขนาดเล็กเทนํ้าลงบนตะกอน แลวสังเกตการเปลี่ยนแปลงของตะกอนที่เกิดขึ้น และบันทึกผลการเปลี่ยนแปลงลงใน ในการอธิบายเพิ่มเติม
สมุดบันทึก
กลองพลาสติก ตะกอน (กรวด + ทรายหยาบ + บัวรดนํ้า 2. นักเรียนทํา Topic Question เรื่อง โครงสราง
ทรายละเอียด)
และการเปลีย่ นแปลงของโลก จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ลงในสมุดประจําตัว
รูระบายนํา้
นักเรียน
ดินนํ้ามัน 3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง การ
ภาพที่ 6.22 การสรางแบบจําลองการกรอน การพัดพา และการสะสมตัวของตะกอน เปลี่ ย นแปลงของโลก จากแบบฝ ก หั ด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
คําถามทายกิจกรรม
1. จงเรียงลําดับขนาดตะกอนที่ถูกพัดพา
2. ภูมิประเทศจําลองที่มีระดับสูงจะมีการสะสมตัวของตะกอนขนาดใด
3. ภูมิประเทศจําลองที่มีระดับตํ่าจะมีการสะสมตัวของตะกอนขนาดใด
4. จงเรียงลําดับเหตุการณการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศจําลอง
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
อภิปรายผลกิจกรรม
จากกิจกรรม พบวา เมื่อเทนํ้าลงไปในภูมิประเทศจําลอง นํ้าจะกัดเซาะตะกอนและพัดพาตะกอนที่มีขนาดเล็กไปยังที่ตํ่า 1. ทรายละเอียด ทรายหยาบ และกรวด
สวนตะกอนขนาดใหญจะสะสมตัวอยูบริเวณที่สูง โดยรูปรางการสะสมตัวของตะกอนจะขึ้นอยูกับภูมิประเทศ เชน บริเวณหุบเขา 2. ตะกอนขนาดใหญ
ตะกอนจะมีลักษณะเปนเนินรูปรางคลายพัด 3. ตะกอนขนาดเล็ก
4. เกิดกระบวนกัดเซาะหรือการกรอน เนื่องจาก
โลกและการเปลี่ยนแปลง 85 การกระทําของนํ้า กระบวนการพัดพา และ
กระบวนการสะสมตะกอน ตามลําดับ
ขอใดคือความแตกตางระหวางตะกอนรูปพัดกับดินดอน ทรายละเอียดเปนตะกอนที่มีขนาดเล็กจะถูกพัดพาไปไดไกลกวาตะกอน
สามเหลี่ยมปากแมนํ้า ทรายหยาบและตะกอนกรวด ตามลําดับ
1. บริเวณที่เกิด
2. ตัวพัดพาตะกอน
3. กระบวนการพัดพา
4. วัตถุตนกําเนิดตะกอน
(วิเคราะหคําตอบ ตะกอนรูปพัดมักเกิดขึ้นบริเวณหุบเขาชันลง
สูพื้นราบ สวนดินดอนสามเหลี่ยมปากแมนํ้ามักเกิดขึ้นบริเวณที่
แมนํ้าไหลออกสูทะเล หรือเรียกวา ปากแมนํ้า ดังนั้น ตอบขอ 1.)
T99
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับเรื่อง การ 3. การสะสมตัวของตะกอน (deposition) คือ การสะสมตัวของวัตถุจากการนําพาของนํ้า ลม หรือ
ธารนํ้าแข็ง ในธรรมชาติเมื่อหินซึ่งเปนสวนประกอบของเปลือกโลกเกิดการผุพังกลายเปนตะกอนขนาดเล็กทับถม
เปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งควรไดขอสรุปรวมกันวา อยูร มิ ฝง ตะกอนจะถูกนํา้ กัดเซาะและถูกพัดพาไปตามลํานํา้ โดยตะกอนทีม่ ขี นาดเล็กจะถูกพัดพาไปไดไกลกวาตะกอน
“การเปลีย่ นแปลงของโลก ไดแก การผุพงั อยูก บั ที่ ทีม่ ขี นาดใหญ ในระหวางทีต่ ะกอนถูกพัดพาไปกับนํา้ ตะกอนจะเกิดการขัดสีกนั เอง ทําใหตะกอนมีขนาดเล็กลงเรือ่ ย ๆ
การกรอน และการสะสมตัวของตะกอน เปน มีลักษณะมนมากขึ้นตามระยะทางที่ถูกนํ้าพัดพา บางบริเวณนํ้าจะพัดพาตะกอนมาสะสมเปนจํานวนมาก ทําใหเกิด
กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่ทําให ภูมิลักษณที่มีรูปรางตาง ๆ เชน ตะกอนรูปพัด ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมนํ้า ดังภาพที่ 6.23 และ 6.24
โลกเกิดการเปลีย่ นแปลงเปนภูมลิ กั ษณแบบตางๆ
เชน นํ้า ลม ธารนํ้าแข็ง แรงโนมถวง สิ่งมีชีวิต
สภาพอากาศ ปฏิกิริยาเคมี”
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน ภาพที่ 6.23 ตะกอนรูปพัดสะสมบริเวณใกลเนินเขา ภาพที่ 6.24 ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมนํ้า เปนตะกอนที่ทับถม
2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม จําลอง ที่มา : คลังภาพ อจท. บริเวณปากแมนํ้ากอนออกสูทะเล
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การผุพงั อยูก บั ทีข่ องหินเนือ่ งจากนํา้ เปนปจจัย
ในสมุ ด ประจํ า ตั ว นั ก เรี ย นหรื อ แบบฝ ก หั ด
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 Topic Question
3. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม จําลอง คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
การกร อ น การพั ด พา และการสะสมตั ว 1. โครงสรางของโลกแบงตามองคประกอบทางเคมีไดกี่ชั้น อะไรบาง
ของตะกอน ในสมุดประจําตัวนักเรียนหรือ 2. โครงสรางของโลกแตละชั้นมีองคประกอบทางเคมีเหมือนหรือแตกตางกัน อยางไร
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 3. กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีไดแกอะไรบาง
4. การผุพังอยูกับที่คืออะไร
4. ครูตรวจ Topic Question เรือ่ ง โครงสรางและ
5. การกรอนคืออะไร
การเปลี่ยนแปลงของโลก ในสมุดประจําตัว 6. ปจจัยใดที่มีผลตอกระบวนการกรอนนอยที่สุด
นักเรียน 7. จงยกตัวอยางผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการกรอน
5. ครูตรวจแบบฝกหัด เรือ่ ง การเปลีย่ นแปลงของ 8. หินงอกและหินยอยเหมือนหรือแตกตางกันหรือไม อยางไร
โลก จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 9. ภูมิประเทศแบบคาสต (karst) คืออะไร และเกิดขึ้นไดอยางไร
10. ปจจัยใดที่สงผลใหตะกอนสะสมตัวเปนรูปรางที่ตางกัน
86
6. ลม
รวม
7. การกัดเซาะบริเวณชายฝงและการเกิดหินงอกหินยอย
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. การปฏิบัติ ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องให้ความช่วยเหลือ
กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา
เคมีระหวางนํ้าฝนกับหินปูน
4-6 พอใช้
T100
0-3 ปรับปรุง
10. ลักษณะภูมิประเทศและความเร็วของกระแสนํ้า
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Understanding Check 1. ครูมอบหมายใหนักเรียนแตละคนนําตัวอยาง
ดินจากแหลงตางๆ มาคนละ 1 ตัวอยาง จากนัน้
พิจารณาขอความตามความเขาใจของนักเรียนวาถูกหรือผิด แลวบันทึกลงในสมุดบันทึก
ถูก/ผิด
ใหนักเรียนแตละคนสังเกตและศึกษาลักษณะ
1. การกรอนเปนกระบวนการทางธรรมชาติที่ทําใหเกิดดิน ของดิน
1 2. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
2. ฮิวมัสที่อยูในดินสงผลใหดินมีสีดําคลํ้า
โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง
มุ ด
3. ดินรวนมีเนื้อละเอียดมากที่สุด จึงนิยมนํามาใชในการเพาะปลูก ความคิดเห็นอยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวา
นส
งใ
ล
ทึ ก
4. ดินที่มีอายุนอยจะมีความอุดมสมบูรณมาก ถูกหรือผิด ดังนี้
บั น
5. ดินเปรี้ยว คือ ดินที่มีคา pH เทากับ 1.1 • ดินสวนใหญมีสีอะไร
(แนวตอบ ขึน้ อยูก บั ดินตัวอยางทีน่ กั เรียนนํามา)
• ดินตัวอยางมีลักษณะอยางไร
Prior
Knowledge
2 ดิน (แนวตอบ ขึ้นอยูกับดินตัวอยางที่นักเรียน
ดินเปนทรัพยากรธรรมชาติทมี่ ปี ระโยชนและมีความสําคัญตอ นํามา แตสวนใหญดินทั่วไปมักมีลักษณะ
เรานําดินมาใชประโยชน รวนซุย มีเศษรากไมผสมปนอยู เมื่อสัมผัส
สิง่ มีชวี ติ อยางมาก มนุษยอาศัยดินในการสรางทีอ่ ยูอ าศัย เพาะปลูกพืช
ในดานใดบาง มีลักษณะออนนุม)
ทางเกษตรกรรม นอกจากนี้ ดินยังเปนแหลงในการดํารงชีวิตของ
3. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอน
สัตวบางชนิด
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น
2.1 กระบวนการเกิดดิน
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุด
ดินเกิดจากหินที่ผุพังตามธรรมชาติผสมคลุกเคลากับอินทรียวัตถุที่ไดจากการเนาเปอยของซากพืชซากสัตว
ประจําตัวนักเรียน
ทับถมเปนชั้น ๆ บนผิวโลก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงและสลายตัวของสสารตนกําเนิดดินมีลําดับขั้นตอน ดังนี้
4. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
หินที่ผุพังโดยนํ้า เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 เพื่อเปนการนํา
ขั้นที่ 1 การผุพังอยูกับที่เปนสาเหตุใหหินแตกออกมีขนาดตาง ๆ
และแสงแดด
เมื่อถูกแสงแดดและฝน หินก็จะแตกหักและผุพังทลายลงมากขึ้น เขาสูบทเรียน
หินชั้นลางสุด กลายเปนหินที่มีขนาดเล็กลง
แนวตอบ Understanding Check
ฮิวมัส
ขั้นที่ 2 พืชจะเจริญงอกงามตามบริเวณรอยแตกของหิน แมลง 1. ถูก 2. ถูก 3. ผิด
หินที่ผุพังและตอไป และสัตวอนื่ จะเขามาอาศัยตามบริเวณรอยแตก เมือ่ พืชและสัตวตายลง 4. ผิด 5. ถูก
จะเปนดินชั้นบน จะสลายตัวกลายเปน ฮิวมัส (humus)
หินชั้นลางสุด แนวตอบ Prior Knowledge
ฮิวมัส ดินเปนแหลงผลิตปจจัยทีจ่ าํ เปนตอการดํารงชีวติ
ดินชั้นบน
หินที่ผุพังและกลาย
ขั้นที่ 3 สัตวที่อยูภายในดินจะชวยทําใหฮิวมัสผสมกับเศษหินและ นอกจากนี้ ยั ง เป น แหล ง แร ธ าตุ อ าหารของพื ช
เปนดินชั้นลาง แรกลายเปนดินที่อุดมสมบูรณ เรียกวา ดินชั้นบน เป น ที่ ยึ ด เกาะและกั ก เก็ บ นํ้ า อากาศสํ า หรั บ พื ช
หินชั้นลางสุด
ภาพที่ 6.25 กระบวนการเกิดดิน เปนวัตถุดิบที่ใชในการทําภาชนะ เชน เครื่องปน
ที่มา : คลังภาพ อจท. โลกและการเปลี่ยนแปลง 87 ดิ น เผา รวมทั้ ง เป น แหล ง ที่ มี ค วามสั ม พั น ธ กั บ
ทรัพยากรอื่นๆ เชน ปาไม แหลงนํ้า
T101
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน จากนั้น ดินแต่ละท้องถิ่นจะมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล 1. วัตถุตน้ ก�าเนิดดิน ส่วนใหญ่ดนิ มีตน้ ก�าเนิดหลักมาจากการผุพงั Science in Real Life
อยู่กับที่ของหิน ซึ่งมีกระบวนการผุพังที่แตกต่างกัน ท�าให้ดินแต่ละบริเวณ ดินเหนียวเกิดจากการผุพงั ทางเคมี
เกีย่ วกับเรือ่ ง กระบวนการเกิดดิน จากหนังสือ ของหิ น ต้นก�าเนิด แล้วทับถมจนกระทั่ง
มีปริมาณแร่ธาตุ สีดิน เนื้อดิน โครงสร้างของดิน และสมบัติทางเคมีของดิน
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 แตกต่างกัน กลายเป็ นดินเหนียวที่มีเนื้อละเอียด ใน
2. นั ก เรี ย นร ว มกั น เปรี ย บเที ย บลั ก ษณะและสี ปัจจุบนั จึงนิยมน�าดินเหนียวมาท�าภาชนะ
ดินเผาหรือตุ๊กตาดินเผา
ของดิ น ตั ว อย า งที่ นั ก เรี ย นนํ า มากั บ เพื่ อ น
โดยสรุปเปนขอเปรียบเทียบลงในสมุดประจําตัว
นักเรียน
อธิบายความรู้
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผลการ
ศึกษาคนควาขอมูลเกีย่ วกับเรือ่ ง กระบวนการ
เกิดดินและขอเปรียบเทียบดินตัวอยางกับเพือ่ น
2. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน ภาพที่ 6.26 หินอัคนีมีแร่เฟลด์สปาร์เป็นองค์ประกอบ ภาพที่ 6.27 หินแปรมีแร่ซิลิคอนไดออกไซด์เป็นองค์-
โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะคนร ว มกั น อภิ ป ราย เมื่อผุพังทลายลงจะกลายเป็นอนุภาคดินเหนียว
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ประกอบ เมื่อผุพังทลายลงจะกลายเป็นอนุภาคทราย
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แสดงความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ ดังนี้
• ดินประกอบดวยกี่สวน อะไรบาง
( แนวตอบ ดิ น ประกอบด ว ย 4 ส ว น คื อ 2. ลักษณะภูมิประเทศ มีผลต่อการชะล้าง
อนินทรียวัตถุ อินทรียวัตถุ นํ้า และอากาศ) พังทลายของหน้าดิน ตัวอย่างเช่น ดินที่เกิดบริเวณที่มี
ความลาดชันสูง ชัน้ ของดินจะบางเนือ่ งจากการไหลของ
• ฮิวมัสคืออะไร
น�า้ อย่างรวดเร็ว ท�าให้เกิดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน
(แนวตอบ ฮิวมัส คือ อินทรียวัตถุที่สลายตัว ส่วนดินทีเ่ กิดในบริเวณทีร่ าบ ชัน้ ของดินจะหนาเนือ่ งจาก
ปะปนอยูในดิน ซึ่งเกิดจากการยอยสลาย น�้าจะไหลได้ค่อนข้างช้า ท�าให้เกิดการชะล้างพังทลาย
ของซากพืชและซากสัตว) ของดินน้อย นอกจากนี้ ในบริเวณทีเ่ ป็นแอ่งหรือทีล่ มุ่ ต�า่
ชั้ น ดิ น จะหนาเนื่ อ งจากน�้ า จะพั ด พาเอาตะกอนจาก
บริเวณที่สูงหรือบริเวณใกล้เคียงมาทับถมในที่ลุ่มต�่า ภาพที่ 6.28 การปลูกพืชแบบขั้นบันไดช่วยชะลอการพังทลายของ
เช่น ดินในป่าพรุ หน้าดินบริเวณลาดชัน
ที่มา : การทองเที่ยวแหงประเทศไทย
88
T102
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
4. ภูมิอากาศ ลักษณะภูมิอากาศมีความส�าคัญต่อการก�าเนิดและพัฒนาของดินมากที่สุด โดยองค์ประกอบ 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
ทางภูมิอากาศที่เกี่ยวข้องกับการเกิดดิน มีดังนี้
เรือ่ ง กระบวนการเกิดดิน และใหความรูเ พิม่ เติม
1) ปริมาณฝน ความชื้นที่ได้รับจากน�้าฝน ท�าให้เกิดกระบวนการทางเคมี ส่งผลให้หินและแร่ธาตุสลาย
ตัวกลายเป็นดินได้ง่าย จากคําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint
2) อุณหภูมิ หินที่อยู่ในเขตภูมิอากาศร้อนจะมีอัตราการสลายตัวเนื่องจากปฏิกิริยาเคมีได้รวดเร็วกว่า เรือ่ ง กระบวนการเกิดดิน ในการอธิบายเพิม่ เติม
หินที่อยู่ในเขตภูมิอากาศอบอุ่นหรือเย็น นอกจากนี้ อุณหภูมิยังมีผลต่อปฏิกิริยาการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในดิน 2. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง กระบวนการ
ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับชนิดของจุลินทรีย์ เกิดดิน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
3) ลม มีส่วนช่วยท�าให้หินซึ่งเป็นวัตถุต้นก�าเนิดแตกออก และพัฒนากลายเป็นดินในเวลาต่อมา
5. สิ่งมีชีวิต พืชที่ขึ้นปกคลุมดินเมื่อตายไปจะช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ในบริเวณที่มีความชื้น พืชจะ ขัน้ สรุป
เจริญได้ดี และจุลินทรีย์ที่อยู่ในดินท�างานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ดินที่เกิดจะลึกและมีชั้นของดินชัดเจน ส่วนในบริเวณ ตรวจสอบผล
แห้งแล้ง พืชจะเจริญไม่ดีและมีจ�านวนน้อย ส่งผลให้ดินบริเวณนั้นไม่สมบูรณ์ เนื่องจากอินทรียวัตถุที่อยู่ภายในดิน นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับเรื่อง
มีน้อย
การเปรียบเทียบดินจากแหลงตางๆ เพื่อใหได
ข อ สรุ ป ร ว มกั น ว า “ดิ น เกิ ด จากหิ น ที่ ผุ พั ง ผสม
คลุกเคลากับอินทรียวัตถุที่ไดจากการเนาเปอย
ของซากพืชและซากสัตวทับถมกันเปนชั้น โดย
ดินแตละบริเวณ ตางมีสีและลักษณะของเนื้อดิน
ที่แตกตางกัน บางบริเวณมีสีแดงสม บางบริเวณ
มี สี ดํ า และบางบริ เ วณมี สี น้ํ า ตาล ขึ้ น อยู กั บ
สภาพแวดลอมและปจจัยตางๆ”
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ภาพที่ 6.29 ลักษณะของดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ (ภาพซ้าย) ดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ (ภาพขวา) ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ที่มา : คลังภาพ อจท.
พฤติกรรมการทํางานกลุม และจากการนํา
Science เสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
Focus สิ่งมีชีวิตในดิน 2. ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนกอนเขาสู
สิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในดิน ได้แก่ แบคทีเรีย รา โพรโทซัว และไวรัส โดยแบคทีเรียจัดเป็นจุลินทรีย์กลุ่มใหญ่ที่พบมากที่สุด กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Under-
ในดิน ซึ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีบทบาทส�าคัญเป็นผู้ย่อยสลายอินทรียวัตถุในดินให้อยู่ในรูปที่พืชสามารถน�าไปใช้ประโยชน์ได้
และท�าให้เกิดกระบวนการตรึงไนโตรเจนในดิน เช่น Pseudomonas spp. Rhizobium spp. ส่งผลให้ดินบริเวณนั้นมีความ standing Check ในสมุดประจําตัวนักเรียน
อุดมสมบูรณ์ 3. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง กระบวนการเกิดดิน
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
โลกและการเปลี่ยนแปลง 89
รวม
การชะลางพังทลายของหนาดินมากกวาดินที่เกิดบริเวณที่ราบ
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............/................./...................
เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ 8–10 พอใช้
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T103
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูเปดวีดทิ ศั นเกีย่ วกับเรือ่ ง สมบัตขิ องดิน (จาก 2.2 สมบัติของดิน
https://www.youtube.com/watch?v= สมบัติของดินมีหลายประการ เชน เนื้อดิน ความเปนกรดและเบสของดิน ธาตุอาหารภายในดิน ความชื้น
E8ZDQoDDkeo) ใหนกั เรียนดู ของดิน ซึ่งสมบัติเหลานี้สามารถนําไปพิจารณารวมกับการเลือกใชประโยชนจากดินใหมีความเหมาะสมตอ
2. จากนัน้ ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความสนใจ การเพาะปลูกหรือการนําไปใชประโยชนอื่น ๆ
นักเรียนวา “ถานักเรียนจะเพาะปลูกพืชชนิด 1. เนื้อดิน เปนสมบัติทางกายภาพของดินที่สามารถตรวจสอบไดจากการมองเห็นหรือสัมผัส เชน
หนึง่ นักเรียนคิดวา ดินควรมีลกั ษณะอยางไร” ดินบางกอนมีเนื้อหยาบ ดินบางกอนมีเนื้อละเอียด ที่เปนเชนนี้เนื่องจากเนื้อดินประกอบไปดวยอนุภาคของดินที่มี
ขนาดแตกตางกัน โดยแบงออกเปน 3 ขนาด ไดแก
โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง
1) ขนาดเม็ดทราย มีขนาดอยูระหวาง 0.075 มิลลิเมตร ถึง 2 มิลลิเมตร
ความคิดเห็นอยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวา 2) ขนาดเม็ดทรายแปง มีขนาดอยูระหวาง 0.002 มิลลิเมตร ถึง 0.075 มิลลิเมตร
ถูกหรือผิด 3) ขนาดดินเหนียว มีขนาดตํ่ากวา 0.002 มิลลิเมตร
(แนวตอบ ขึน้ อยูก บั คําตอบของนักเรียน นักเรียน เมื่ออนุภาคเหลานี้มารวมตัวกันในสัดสวนที่แตกตางกัน สงผลใหเนื้อดินมีลักษณะและสมบัติแตกตางกัน
อาจตอบวา ดินจะตองมีลกั ษณะเปนเนือ้ หยาบ ดังตารางที่ 6.1
มีความพรุนมาก และมีสเี ขม)
ตารางที่ 6.1 ปริมาณอนุภาคหลักขององคประกอบของดินที่ใชเปนเกณฑในการจําแนกประเภทของเนื้อดิน และสมบัติของ
เนื้อดินแตละประเภท
ขัน้ สอน ปริมาณของอนุภาคของดิน (% โดยนํ้าหนัก)
สํารวจค้นหา ประเภทดิน ลักษณะของเนือ้ ดิน สมบัติของดิน
เม็ดทราย เม็ดทรายแปง ดินเหนียว
1. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 4 คน จากนัน้ นักเรียน ทราย 85-100 0-15 9.8 ดินทรายไมอุมนํ้า ระบายนํ้า
แตละกลุมรวมกันศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับ ดินทราย ทรายรวน 70-90 0-15 0-15
และอากาศไดดีมีธาตุอาหาร
เรือ่ ง สมบัตขิ องดิน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ตํ่า และถูกชะลางพังทลาย
ม.2 เลม 2 รวนปนทราย 45-85 0-50 0-20 ไดงาย
2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได รวน 20-52 28-50 7-30
ศึกษา จากนั้นใหนักเรียนแตละคนเขียนสรุป รวนปนทรายแปง 0-50 50-88 0-30 ดินรวนอุมนํ้าไดดี ระบาย
ความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุด นํ้าไดดี และมีฮิวมัสอยูเปน
ทรายแปง 0-20 80-100 0-12
ประจําตัวนักเรียน ดินรวน จํานวนมาก จัดเปนเนื้อดิน
รวนเหนียวปนทราย 45-80 0-28 20-35 ที่ มี ค วามเหมาะสมต อ การ
อธิบายความรู้ เพาะปลูก
รวนเหนียว 20-45 15-50 30-40
ครูสมุ นักเรียนใหออกมานําเสนอผลการศึกษา รวนเหนียวปนทรายแปง 0-20 40-70 30-40
หน า ชั้ น เรี ย น โดยสุ ม ออกมาเพี ย ง 4 กลุ ม
ซึ่ ง ครู เ ป น คนเลื อ กว า จะให ก ลุ ม ไหนนํ า เสนอ เหนียวปนทราย 45-65 0-20 35-55
ดิ น เหนี ย วอุ ม นํ้ า ได ดี ม าก
เรื่องอะไร ตามหัวขอเรื่อง ดังตอไปนี้ ดินเหนียว เหนียวปนทรายแปง 0-20 40-60 40-60 ระบายนํา้ และอากาศไดไมดี
• เนื้อดิน มีธาตุอาหารภายในดิน
เหนียว 0-45 0-40 40-100
• ความชื้นของดิน
• สีของดิน
• ความเปนกรด-เบสของดิน 90
T104
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2. ความชื้นของดิน คือ นํ้าที่ผสมอยูในดินซึ่งมีความสําคัญตอพืชและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูภายในดิน 1. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน จากนัน้ ครูแจง
เนือ่ งจากนํา้ ทีอ่ ยูร ะหวางชองวางของดิน จะถูกพืชและจุลนิ ทรียบ างชนิดทีอ่ ยูใ นดินนําไปใชในกระบวนการสังเคราะห
จุดประสงคของกิจกรรม ตรวจวัดสมบัตขิ องดิน
ดวยแสงนอกจากนี้ นํา้ ยังชวยละลายธาตุอาหารทีอ่ ยูใ นดินใหอยูใ นรูปของสารละลาย เพือ่ ใหพชื ดูดซึมและนําไปใชใน
การเจริญเติบโตได ใหนักเรียนทราบเพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติ
กิจกรรมที่ถูกตอง
3. สีของดิน เปนสมบัติเฉพาะตัวของดินที่สามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา ซึ่งสีของดินมีความแตกตางกัน 2. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม
อยางชัดเจนเนื่องจากวัตถุตนกําเนิดและแรธาตุในดิน เชน ถาดินมีแรเหล็กออกไซด ดินจะมีสีแดง ถาดินมีอินทรีย- ตรวจวั ด สมบั ติ ข องดิ น จากหนั ง สื อ เรี ย น
สารเปนองคประกอบมาก ดินจะมีสีคลํ้าหรือสีดํา นอกจากนี้ ถาดินมีความชื้นสูงจะทําใหดินมีสีเขม วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยครูใชรูปแบบ
การเรี ย นรู แ บบร ว มมื อ มาจั ด กระบวนการ
เรียนรู โดยกําหนดใหสมาชิกแตละคนภายใน
กลุมมีบทบาทหนาที่ของตนเอง ดังนี้
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ
กิ จ กรรมและนํ า มาอธิ บ ายให ส มาชิ ก ใน
ภาพที่ 6.30 ดินมีสีเทา เทาปนนํ้าเงิน หรือนํ้าเงิน บงชี้วาดินอยูใน
สภาวะที่มีนํ้าแชขังเปนเวลานาน เชน ดินนาในพื้นที่ลุม ดินในพื้นที่
ภาพที่ 6.31 ดินที่มีแรเหล็กออกไซดเปนองคประกอบ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
กลุมฟง
ปาชายเลน • สมาชิกคนที่ 5-6 ทําหนาที่บันทึกผลการ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
3. นักเรียนแตละกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม
4. ความเปนกรด-เบสของดิน เปนสมบัติของดินอยางหนึ่ง นิยมบอกคาความเปนกรด-เบสของดิน
เปนคา pH ถาดินมีคา pH เทากับ 7 แสดงวา ดินมีความเปนกลาง ถามีคา pH นอยกวา 7 แสดงวา ดินมีความ ขั้นตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2
เปนกรด และถาดินมีคา pH มากกวา 7 แสดงวา ดินมีความเปนเบส โดยทั่วไปดินจะมีคา pH อยูระหวาง 3-9 เลม 2
ซึ่งถาดินมีความเปนกรดรุนแรง จะสงผลใหธาตุบางชนิด ไดแก อะลูมิเนียม เหล็ก และแมงกานีส ละลายออกมา 4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันแลกเปลี่ยนความรู
สะสมอยูในดินจํานวนมาก ซึ่งเปนอันตรายตอพืช และวิ เ คราะห ผ ลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แล ว
อภิปรายผลรวมกัน
Science
Focus การตรวจวัดสีของดิน อธิบายความรู้
ในการเทียบสีของดินนั้นยึดตามหลักการของ Munsell ซึ่งรหัส Munsell เปนรหัสสากลที่ใชในการบรรยายสีของดิน ซึ่ง
สีของดินแตละสีในสมุดเทียบสีของดินของ GLOBE ประกอบดวย ตัวอักษรแทนชนิดของสีและตัวเลขกํากับ 3 ตัว โดยไล 1. นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลการปฏิบตั ิ
ตามลําดับ ดังนี้ กิจกรรมหนาชั้นเรียน ในระหวางที่นักเรียน
1. คา Hue แสดงถึง ตําแหนงของสีบนวงลอ นํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะเพิ่ ม เติ ม
2. คา Value แสดงถึง คาความสวางของสี
3. คา Chroma แสดงถึง ความเขมของสี เพื่อใหนักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
โลกและการเปลี่ยนแปลง 91 แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
เพื่อหาคําตอบ
ชั้นของดิน
www.aksorn.com/interactive3D/RK862
T105
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
กิจกรรม
1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
ตรวจวัดสมบัติของดิน
เรือ่ ง สมบัตขิ องดิน และใหความรูเ พิม่ เติมจาก
คําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เรื่อง สมบัติของดิน ในการอธิบายเพิ่มเติม จุดประสงค์ - การสังเกต
- การทดลอง
ตรวจวัดและระบุสมบัติของดินโดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสมได้
2. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง สมบัติ จิตวิทยาศาสตร์
ของดิน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 - ความรับผิดชอบ
- ความสนใจใฝ่รู้
วัสดุอปุ กรณ์
ขัน้ สรุป 1. สมุดบันทึก
2. กระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์
ตรวจสอบผล
3. อุปกรณ์เครื่องเขียน เช่น ปากกา ไม้บรรทัด
นักเรียนและครูรว มกันสรุปเกีย่ วกับเรือ่ ง สมบัติ
ของดิน วิธปี ฏิบตั ิ
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ส�ารวจดินภายในบริเวณโรงเรียน ดังนี้
1.1 สังเกตสีของดิน
ขัน้ ประเมิน 1.2 ทดสอบความเป็นกรด-เบสของดิน โดยใช้กระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์
ตรวจสอบผล 1.3 ตรวจสอบลักษณะเนื้อดิน โดยการปั้นหรือสัมผัสกับเนื้อดิน
2. บันทึกสมบัติของดินที่ส�ารวจได้ลงในสมุด
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ 3. ให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาน�าเสนอผลการส�ารวจของกลุ่มตนเองหน้าชั้นเรียน
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ ภาพที่ 6.53 ตัวอย่างแบบจ�าลองหน้าตัดข้างของดิน
ค�าถามท้ายกิ
ที่มจ
า กรรม
: คลังภาพ อจท.
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
1. เนื้อของดินแบ่งออกเป็นกี่ประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะอย่างไร
2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม ตรวจวัด 2. ดินที่มีความเป็นกรดและเบสจะมีค่า pH เท่าใด ตามล�าดับ
สมบัติของดิน ในสมุดประจําตัวนักเรียนหรือ 3. จงยกตัวอย่างสมบัติของดินและการน�าไปใช้ประโยชน์
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
3. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง สมบัติของดิน จาก
อภิปรายผลกิจกรรม
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
จากกิจกรรม พบว่า ดินแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ดินเหนียว ดินร่วน และดินทราย โดยดินเหนียวเป็นดินที่มี
เนือ้ ละเอียด เมือ่ เปียกน�า้ แล้วจะมีความยืดหยุน่ สามารถปัน้ เป็นก้อนหรือปัน้ ให้เป็นเส้นได้ ดินร่วนเป็นดินทีเ่ นือ้ ดินค่อนข้างละเอียด
เมือ่ สัมผัสจะรูส้ กึ นุม่ และสากเล็กน้อย ส่วนดินทรายเป็นดินทีม่ เี นือ้ หยาบ เมือ่ สัมผัสจะรูส้ กึ สากมือ และค่า pH เป็นค่าทีบ่ ง่ บอกความ
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม เป็นกรดและเบสของดิน โดยดินที่เป็นกลางจะมีค่า pH เท่ากับ 7 ถ้าดินที่เป็นกรดจะมีค่า pH น้อยกว่า 7 ส่วนดินที่เป็นเบสจะมีค่า
pH มากกว่า 7 ซึ่งสมบัติของดินเหล่านี้สามารถน�ามาพิจารณาเพื่อเลือกใช้ดินให้มีความเหมาะสมต่อการปลูกพืชแต่ละชนิด เช่น
1. 3 ประเภท ไดแก ดินเหนียว ดินรวน และดินทราย ดินเหนียวใช้ปลูกข้าว ดินร่วนใช้ปลูกพืชทั่วไป นอกจากนี้ เนื้อของดินเหนียวมีความละเอียด จึงนิยมน�ามาปั้นเป็นภาชนะดินเผา
2. ดินทีเ่ ปนกรดจะมีคา pH ตํา่ กวา 7 สวนดินทีเ่ ปน
เบสจะมีคา pH สูงกวา 7
3. ดินเหนียวนิยมนําไปปนภาชนะดินเผา ดินรวน 92
นิยมนํามาใชเพาะปลูก
ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง สมบัติของดิน ไดจาก ขึน้ อยูก บั ผลกิจกรรมของนักเรียน โดยดินในแตละพืน้ ทีต่ า งมีสมบัตทิ ี่
การสังเกตพฤติกรรมการปฏิบตั กิ จิ กรรม ตรวจวัดสมบัตขิ องดิน โดยศึกษาเกณฑ ตางกัน มีวิธีตรวจสอบเบื้องตน ดังนี้
การวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการปฏิบัติกิจกรรม ที่อยูในแผนการ พิจารณาจากเนื้อดินโดยการสัมผัส
จัดการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 6 - เมื่อสัมผัสกับดินแลวรูสึกดินมีเนื้อละเอียด สามารถปนเปนกอนได
จัดเปนดินเหนียว
ลาดับที่
แบบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน
รายการประเมิน
ระดับคะแนน
- เมื่อสัมผัสกับดินแลวรูสึกนุมและสากเล็กนอย จัดเปนดินรวน
- เมื่อสัมผัสกับดินแลวรูสึกดินมีเนื้อหยาบ จัดเปนดินทราย
4 3 2 1
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม
รวม
พิจารณาความเปนกรด-เบสโดยใชกระดาษลิตมัส
ลงชื่อ ….................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. การปฏิบัติ
กิจกรรม
2. ความ
ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน
และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง
ถูกต้อง
มีความคล่องแคล่ว
ถูกต้อง แต่อาจต้อง
ได้รับคาแนะนาบ้าง
มีความคล่องแคล่ว
ต้องให้ความช่วยเหลือ
บ้างในการทากิจกรรม
และการใช้อุปกรณ์
ขาดความคล่องแคล่ว
ต้องให้ความช่วยเหลือ
อย่างมากในการทา
กิจกรรม และการใช้
อุปกรณ์
ทากิจกรรมเสร็จไม่
- ดินที่เปนกลางจะไมเปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัส
- ดินที่เปนกรดจะเปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัสจากสีนํ้าเงินเปนสีแดง
คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา
- ดินที่เปนเบสหรือดางจะเปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัสจากสีแดงเปน
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล
กิจกรรม ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน ทากิจกรรมยังไม่เป็น กิจกรรม การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน
10-12
7-9
ระดับคุณภาพ
ดีมาก
ดี
สีนํ้าเงิน
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T106
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
2.3 ชั้นหน้าตัดดิน ครู เ ป ด วี ดิ ทั ศ น เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ ง การสํ า รวจ
โดยทั่วไปเรามองเห็นดินเป็นแผ่นดินในพื้นที่ท่ีมีความกว้างและความยาว แต่ถ้าหากพิจารณาดินใน 3 มิติ หนาตัดขางของดิน (จาก https://www.youtube.
จะเห็นว่า ดินมีความลึกหรือความหนาไปตามแนวดิ่งทับถมเป็นชั้นต่าง ๆ เรียกว่า ชั้นหน้าตัดดิน (soil profile)
com/watch?v=mpRtgGkkftk) ใหนักเรียนดู
กิจกรรม เพื่อกระตุนความสนใจของนักเรียน
แบบจ�าลองชั้นหน้าตัดดิน
ขัน้ สอน
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สํารวจค้นหา
จุดประสงค์ - การสังเกต
อธิบายลักษณะชั้นหน้าตัดดินจากแบบจ�าลองได้ - การทดลอง 1. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน รวมกันปฏิบตั ิ
จิตวิทยาศาสตร์
- ความรับผิดชอบ
กิ จ กรรม แบบจํ า ลองชั้ น หน า ตั ด ดิ น จาก
วัสดุอปุ กรณ์ - ความสนใจใฝ่รู้ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
1. สีไม้ 4. สมุดบันทึก 2. นักเรียนแตละกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม
2. เทปกาว 5. กระดาษแข็งสีขาว
3. กรรไกร 6. อุปกรณ์เครื่องเขียน เช่น ดินสอ ปากกา ไม้บรรทัด ขั้นตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2
วิธปี ฏิบตั ิ
อธิบายความรู้
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-5 คน ส�ารวจดินบริเวณภายในชุมชน โดยให้
นักเรียนสังเกตลักษณะของเนือ้ ดิน สีของดิน การจับตัวของดิน และสิง่ ทีป่ นอยูใ่ นดิน 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผลการ
หรือครูอาจน�าภาพชั้นหน้าตัดดินมาให้นักเรียนศึกษา แล้วบันทึกข้อมูลลงในสมุด ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่
บันทึก
2. ให้นกั เรียนรวบรวมข้อมูลทีไ่ ด้จากการส�ารวจ หรือสืบค้นข้อมูลมาสร้างแบบจ�าลอง
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะ
ชัน้ หน้าตัดดิน โดยใช้วสั ดุทคี่ รูกา� หนดให้ เช่น กระดาษแข็งสีขาว สีไม้ กาว กรรไกร เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
เทปกาว 2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
3. ส่งตัวแทนกลุม่ ออกมาน�าเสนอแบบจ�าลอง และอธิบายลักษณะของดินในแต่ละชัน้ แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
ภาพที่ 6.53 ตัวอย่างแบบจ�าลองหน้าตัดข้างของดิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ค�าถามท้ายกิจกรรม
เพื่อหาคําตอบ
1. ชั้นหน้าตัดดินแบ่งออกเป็นกี่ชั้น แต่ละชั้นมีลักษณะอย่างไร
ภาพที่ 6.32 ตัวอย่างภาพชั้นหน้าตัดดิน
2. ประเมินแบบจ�าลองชั้นหน้าตัดดินของกลุ่มอื่นว่ามีความถูกต้องหรือไม่ อย่างไร ที่มา : คลังภาพ อจท.
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
อภิปรายผลกิจกรรม 1. ในทฤษฎี มี 6 ชั้ น ซึ่ ง แต ล ะชั้ น มี ลั ก ษณะที่
จากกิจกรรม พบว่า ดินมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงในแนวลึกทุกระดับของชั้นหน้าตัดดิน ซึ่งดินชั้นบนสุดเกิดจากการผุพัง แตกตางกัน โดยดินชั้นบนสุดจะมีการสะสม
อยู่กับที่ของหินและเป็นชั้นที่มีพืชปกคลุม มีเศษใบไม้ กิ่งไม้ทับถมอยู่ ท�าให้ดินบริเวณนี้มีความชุ่มชื้น จึงพบรากพืชกระจาย สารอินทรียซึ่งเกิดจากซากพืชและซากสัตว
โดยทั่วไป ส่วนดินในชั้นถัดมาจะมีสีจาง เนื้อดินหยาบ และมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เป็นจ�านวนมาก
ทําใหดินมีสีเขม ดังนั้น ดินในชั้นบนอาจพบ
เศษซากใบไม กิ่งไม หรือรากไมอยูในชั้นนี้
โลกและการเปลี่ยนแปลง 93 ทางทฤษฎีเรียกชั้นนี้วา ชั้น O
2. ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของนักเรียนและครูผูสอน
T107
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูเตรียมสลากอักษรภาษาอังกฤษ ดังนี้ O จากกิจกรรมศึกษาดินในแนวลึก จะสังเกตได้ว่า ดินมีลักษณะเป็นชั้น ๆ โดยข้อมูลที่ได้จากการส�ารวจตั้งแต่
ผิวหน้าดินลึกลงไป 2 เมตร พบว่า ชั้นหน้าตัดดิน แบ่งออกเป็น 6 ชั้น และเรียกชื่อชั้นดินหลักแต่ละชั้นด้วยการใช้
A E B C และ R จากนั้นนักเรียนแตละคน ตัวอักษรภาษาอังกฤษพิมพ์ใหญ่ ได้แก่ O A E B C และ R ซึ่งแต่ละชั้นมีลักษณะแตกต่างกัน เนื่องจากมีสมบัติ
ออกมาหยิบสลากหนาชั้นเรียน ทางกายภาพ ทางเคมี ทางชีวภาพ และลักษณะอื่น ๆ เช่น สี เนื้อดิน โครงสร้าง การยึดตัว ความเป็นกรด-เบส
2. นักเรียนแตละคนศึกษาลักษณะดินในแตละ ชนิดของวัสดุหรือสิ่งที่ปะปนอยู่ในดินแตกต่างกัน
ชั้นที่นักเรียนหยิบสลากได โดยศึกษาคนควา
ขอมูลจากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ชั้นหน้าตัดดิน
แลวสรุปความรูท ไี่ ดจากการศึกษาคนควาลงใน
สมุดประจําตัวนักเรียน ชั้น O หรือชั้นอินทรียวัตถุ
3. นั ก เรี ย นแต ล ะคนวาดภาพชั้ น หน า ตั ด ดิ น ที่ เป็นชั้นที่มีการสะสมของสารอินทรีย์ที่ได้จากพืชและซากสัตว์
ตนเองศึกษาลงในกระดาษ A4 พรอมตกแตง O ส่วนใหญ่มาจากพืช เช่น ใบไม้ กิ่งไม้ หญ้า เมื่อสารอินทรีย์
ถูกย่อยสลายจะกลายเป็นฮิวมัส ดินในชั้นนี้เหมาะสมต่อการ
ใหสวยงาม เจริญของพืช
4. นั ก เรี ย นจั บ กลุ ม สร า งชิ้ น งานเกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง A ชั้น A หรือชั้นดินแร่
ชั้นหนาตัดดิน ซึ่งแตละกลุมจะประกอบดวย ประกอบด้วยอินทรียวัตถุที่สลายตัวแล้วคลุกเคล้ากับแร่ธาตุที่
ชั้น O ชั้น A ชั้น E ชั้น B ชั้น C และชั้น R อยู่ภายในดิน มักมีสีคล�้า
จากนัน้ นํากระดาษของแตละคนมาเรียงตอกัน ชั้น E หรือชั้นชะล้าง
E
แลวติดเทปใส เป็นชัน้ ดินทีม่ สี ซี ดี จาง มีปริมาณอินทรียวัตถุนอ้ ยกว่าชัน้ A และ
มีเนื้อดินหยาบกว่าชั้น B ที่อยู่ตอนล่าง
อธิบายความรู้
B ชั้น B หรือชั้นดินล่าง
1. ครูสุมนักเรียน 4 กลุม ออกมานําเสนอชิ้นงาน เป็ น ชั้ น ที่ มี ก ารสะสมของตะกอนและแร่ ธ าตุ เช่ น เหล็ ก
เรื่อง ชั้นหนาตัดดิน หนาชั้นเรียน ในระหวาง อะลูมิเนียม คาร์บอเนต ซิลิกา สารเหล่านี้จะถูกชะล้างมาจาก
ดินชั้นบน ดินชั้นนี้จึงมีเนื้อแน่น มีความชื้นสูง และส่วนมาก
ที่นักเรียนนําเสนอ ครูคอยใหขอเสนอแนะ เป็นดินเหนียว
เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง C
ชั้น C หรือชั้นการผุพังของหิน
2. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายชั้นหนาตัดดิน เป็นชั้นที่หินต้นก�าเนิดหรือหินดินดานเกิดการผุพังสลายตัว
ว า “ชั้ น หน า ตั ด ดิ น มี 6 ชั้ น ซึ่ ง แต ล ะชั้ น กลายเป็นเศษหินที่มีลักษณะเป็นก้อน เป็นผืน
มีลักษณะและสมบัติที่แตกตางกัน” R
ชั้น R หรือชั้นหินพื้นฐาน
เป็นชั้นของหินแข็งชนิดต่าง ๆ ที่ยังไม่ผุพังสลายตัว
94
T108
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
2.4 การปรับปรุงคุณภาพของดิน 1. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 3 คน รวมกันศึกษา
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับดินมีสาเหตุมาจากธรรมชาติ เช่น ดินถล่ม น�้ากัดเซาะผิวดิน และจากการใช้ประโยชน์ คนควาขอมูลเกี่ยวกับเรื่อง มลพิษในดิน จาก
ของมนุษย์ เช่น การเพาะปลูกและใช้สารเคมีที่ท�าให้สภาพดินเสื่อม ปัญหาเหล่านี้มีวิธีแก้ไขที่แตกต่างกัน ดังนี้ ใบความรู เรื่อง มลพิษในดิน จากนั้นนักเรียน
1. ดิ น ที่ ข าดความอุ ด มสมบู ร ณ์ คื อ เนื้ อ ดิ น มี ลั ก ษณะหยาบ ดู ด ซั บ น�้ า และธาตุ อ าหารได้ น ้ อ ย แตละกลุมรวมกันเสนอแนวทางการแกปญหา
ไม่เหมาะสมต่อการเจริญของพืช บางกรณีเนื้อดินละเอียดแน่นเกินไป ท�าให้รากพืชชอนไชได้ยาก เมื่อดินสูญเสีย หรื อ แนวทางการปรั บ ปรุ ง คุ ณ ภาพของดิ น
ความอุดมสมบูรณ์ท�าให้เราใช้ประโยชน์จากดินได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ การแก้ไขปัญหาเนื้อดิน 2 ลักษณะนี้ ท�าได้ ลงในกระดาษ A4
โดยการใส่อินทรียวัตถุลงในดินอย่างสม�่าเสมอ เพราะอินทรียวัตถุช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ เพิ่มการดูดซับน�้า
2. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
ช่วยให้อนุภาคดินเกาะยึดกันจนทนต่อการกัดเซาะของน�้าฝนหรือน�้าไหลบ่าได้ นอกจากนี้ อินทรียวัตถุจะช่วยให้ดิน
มีรูพรุนและร่วนซุยมากขึ้น และยังช่วยให้ดินมีช่องว่าง สามารถแลกเปลี่ยนแก๊สและระบายน�้าได้ดีขึ้นด้วย เรื่อง ชั้นหนาตัดดินและการปรับปรุงคุณภาพ
ของดิน และใหความรูเพิ่มเติมจากคําถาม
2. ดินจืด คือ ดินทีม่ ธี าตุอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช เช่น เมือ่ ปลูกมันส�าปะหลังไประยะหนึง่
ดินบริเวณนั้นจะไม่สามารถปลูกพืชชนิดอื่นได้อีก แนวทางการแก้ไขปัญหาดินจืด คือ ปลูกพืชตระกูลถั่ว หรือใส่ปุ๋ย ของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint เรื่อง
อินทรีย์ในอัตราส่วนที่เหมาะสม ชัน้ หนาตัดดินและการปรับปรุงคุณภาพของดิน
3. ดินเปรี�ยว คือ ดินที่ค่า pH ต�่ากว่า 5.5 เน่�องจากมีกรดก�ามะถันอยู่ในชั้นหน้าตัดดิน ซึ�งเป็นผลมา ในการอธิบายเพิ่มเติม
จากกระบวนการเกิดดิน หรือการใช้ปุ๋ยเคมีเป็นเวลานาน การแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวท�าได้โดยการใส่สารที่มีฤทธิ์ 3. นักเรียนทํา Topic Question เรื่อง ดิน จาก
เป็นด่าง เช่น ใส่ปูนขาวลงไปในดินให้มีปริมาณเท่ากับความเป็นกรดทั้งหมดของดิน หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ลงใน
4. ดินเค็ม คือ ดินที่มีความเข้มข้นของเกลือที่อยู่ภายในดินสูง ท�าให้พืชไม่สามารถดูดน�้าจากดินมาเลี้ยง สมุดประจําตัวนักเรียน
ล�าต้นได้ ท�าให้พืชเหี่ยวและใบไหม้ การแก้ไขปัญหาดินเค็มท�าได้ด้วยการใช้น�้าจืดชะล้าง แล้วท�าทางระบาย 4. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง ชั้นหนา
น�้าเกลือทิ้ง หรือใส่สารแคลเซียมซัลเฟต หรือผงก�ามะถันลงในดิน เพื่อให้ดินปรับสภาพเป็นเกลือโซเดียมซัลเฟตที่มี ตัดดิน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
สมบัติละลายน�้าได้ จึงใช้น�้าชะล้างออกได้ง่าย
5. ดินด่าง คือ ดินที่มีค่า pH มากกว่า 7 เนื่องจากมีเกลือโซเดียมคลอไรด์ หรือเกลือโซเดียมคาร์บอเนต ขัน้ สรุป
ปนอยู่ในดิน ซึ่งไม่เหมาะสมต่อการเจริญของพืช มักพบบริเวณพื้นที่แถบภูเขาหินปูน หรือดินที่มีการใส่ปุ๋ยเคมีเป็น ตรวจสอบผล
เวลานาน การแก้ไขปัญหาดินด่างท�าได้ด้วยการเติมก�ามะถันผงลงไป เพื่อให้ดินปรับสภาพ นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
ชั้นหนาตัดดินและการปรับปรุงคุณภาพของดิน
ขัน้ ประเมิน
Topic Question ตรวจสอบผล
ค�าชี�แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ 1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
1. จงอธิบายกระบวนการเกิดดิน ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
2. หน้าตัดดินแบ่งออกเป็นกี่ชั้น ได้แก่ชั้นอะไรบ้าง พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ
3. หน้าตัดดินในแต่ละชั้นมีโครงสร้างที่เหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
4. ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลให้ดินแต่ละท้องถิ่นมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน 2. ครู ต รวจสอบผลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แบบ
5. อนุภาคของดินแบ่งออกเป็นกี่ขนาด ได้แก่อะไรบ้าง จําลองชัน้ หนาตัดดิน ในสมุดประจําตัวนักเรียน
หรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
3. ครูตรวจ Topic Question เรื่อง ดิน ในสมุด
โลกและการเปลี่ยนแปลง 95 ประจําตัวนักเรียน
4. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง ชั้นหนาตัดดิน จาก
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
แนวตอบ Topic Question แนวทางการวัดและประเมินผล
1. กระบวนการเกิดดินแบงออกไดเปน 3 ขั้นตอน ดังนี้
ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง ชั้นหนาตัดดินและการ
ขั้นที่ 1 การผุพังอยูกับที่และหินตนกําเนิดสลายตัว เปนหินที่มีขนาด
ปรั บ ปรุ ง คุ ณ ภาพของดิ น ได จ ากการสั ง เกตพฤติ ก รรมการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม
เล็กลง
แบบจําลองชั้นหนาตัดดิน และการนําเสนอผลงาน โดยศึกษาเกณฑการวัดและ
ขั้นที่ 2 การทับถมของซากพืชและซากสัตวกลายเปนฮิวมัส
ประเมิ น ผลจากแบบประเมิ น การปฏิ บั ติ กิ จ กรรม และการนํ า เสนอผลงาน
ขั้นที่ 3 ฮิ ว มั ส ผสมกั บ เศษหิ น และแร ธ าตุ ก ลายเป น ดิ น ชั้ น บนที่
ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 6
อุดมสมบูรณ
2. 6 ชั้น ไดแก ชั้นอินทรียวัตถุ (O) ชั้นดินแร (A) ชั้นชะลาง (E) แบบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน
ระดับคะแนน
แบบประเมินการนาเสนอผลงาน
1. การปฏิบัติ
กิจกรรม
4 3
ระดับคะแนน
ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน
และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง
2
ต้องให้ความช่วยเหลือ
บ้างในการทากิจกรรม
1
ต้องให้ความช่วยเหลือ
อย่างมากในการทา เกณฑ์การให้คะแนน
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............/................./...................
ตนกําเนิด และดินที่อยูลึกสุดจะยังคงพบหินที่เปนกอนขนาดใหญ
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก 14–15 ดีมาก
การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตที่อยูในดิน
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
T109
0-3 ปรับปรุง
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูเตรียมบัตรภาพแหลงนํ้าตางๆ เชน นํ้าตก Understanding Check
ทะเล แม น้ํ า มาให นั ก เรี ย นดู จากนั้ น ครู พิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึก
ตั้งประเด็นคําถามกระตุนความคิดนักเรียน ถูก/ผิด
มุ ด
ถูกหรือผิด ดังนี้ 3. น�้าบาดาล คือ น�้าที่อยู่ใต้ดิน
นส
งใ
• จากบัตรภาพเปนแหลงนํ้าประเภทใด
ล
ทึ ก
4. น�า้ เสียจากโรงงานอุตสาหกรรมมีส่วนท�าให้น�้าบาดาลปนเปื้อน
บั น
(แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวา นํ้าตก ทะเล
5. ดินถล่มเป็นภัยพิบัติที่เกิดจากน�้าผิวดิน
แมนํ้า ลําธาร)
• แหล ง นํ้ า ในบั ต รภาพแต ล ะใบมี ลั ก ษณะ
แตกตางกันอยางไร Prior
Knowledge
3 น�้า
(แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวา เปนแหลงนํา้ จืด โลกประกอบด้วยน�้า 3 ใน 4 ส่วนของพื้นที่ทั้งหมด โดย
แหล่งน�า้ ทีม่ นุษย์
และแหลงนํ้าเค็ม) น�ามาใช้ประโยชน์ ส่ ว นใหญ่ เ ป็ น น�้ า เค็ ม แต่ น�้ า ที่ ม นุ ษ ย์ น� า มาอุ ป โภคและบริ โ ภคใน
2. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอน ได้แก่อะไรบ้าง ชีวติ ประจ�าวันเป็นน�า้ จืด ในธรรมชาตินา�้ จืดพบอยูใ่ นแม่นา�้ ทะเลสาบ
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ ธารน�้าแข็ง ความชื้นในดิน บรรยากาศ และน�้าใต้ดิน
Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุด น�้าจืดบนโลกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ น�้าในบรรยากาศ (meteoric water) น�้าผิวดิน (surface water) และ
ประจําตัวนักเรียน น�้าใต้ดิน (underground water)
3. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ 3.1 แหล่งน�้า
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 เพื่อเปนการนํา 1. น�้าผิวดิน เป็นที่อยู่อาศัยและเป็นแหล่งอาหารของมนุษย์และสิ่งมีชีวิต รวมถึงใช้เป็นเส้นทางคมนาคม
เขาสูบทเรียน และเป็นแหล่งพักผ่อนหรือสถานที่ท่องเที่ยว ตัวอย่างแหล่งน�้าผิวดินในประเทศไทย ดังภาพที่ 6.34 และ 6.35
T110
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
น�้าผิวดินแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ น�้าจืดและน�้าเค็ม 1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียน จากนั้นครู
1) น�้าจืด แหล่งน�้าที่เกิดจากไอน�้าในบรรยากาศควบแน่นเป็นเมฆตกลงมาเป็นฝนแล้วสะสมอยู่บริเวณ เตรียมลูกโลกจําลองมาใหนักเรียนดู แลวให
ผิวดิน และไหลลงมาขังในบริเวณที่ต�่ากลายเป็นแอ่งน�้า ดังนี้ นักเรียนแตละคูชวยกันเปรียบเทียบสวนที่เปน
- อ่างเก็บน�้าหรือเขื่อน เป็นแหล่งน�้า พื้นนํ้า พื้นดิน และระบุแหลงนํ้าที่ตนเองรูจัก
ผิวดินทีร่ องรับน�า้ จากน�า้ ฝนทีไ่ หลจากพืน้ ทีท่ สี่ งู กว่าลงมา
มาใหมากที่สุด แลวชวยกันจําแนกประเภท
รวมกันในอ่างเก็บน�้า ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นจากคอนกรีต
ดิน หิน หรือที่เรียกว่า ที่เก็บน�้าขนาดใหญ่
ของแหลงนํา้ เหลานัน้ โดยอาจตัง้ เกณฑในการ
- ทะเลสาบ เป็นแหล่งน�้าที่เกิดขึ้นเอง
จําแนก เชน นํ้าจืดและนํ้าเค็ม นํ้าผิวดินและ
ตามธรรมชาติมคี วามกว้างและลึก โดยทะเลสาบมีนา�้ อยู่ นํ้าใตดิน แหลงนํ้าธรรมชาติ แหลงนํ้าที่มนุษย
ตลอดปี เนื่องจากเป็นที่รองรับน�้าที่ไหลมาจากแม่น�้า สรางขึ้น
- แม่น�้า เป็นธารน�้าที่มีน�้าไหลตลอดปี ภาพที่ 6.36 ทะเลสาบสงขลาครอบคลุมพื้นที่จังหวัดสงขลา 2. ครูขออาสาสมัครนักเรียน 2 คู ออกมานําเสนอ
มีจุดเริ่มต้นจากต้นน�้าและไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต�่าไปยัง จังหวัดพัทลุง และจังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการจํ า แนกประเภทของแหล ง นํ้ า โดยใช
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แหล่งน�้าขังต่าง ๆ หรือไหลออกสู่ทะเล เกณฑที่ตนเองกําหนดขึ้นหนาชั้นเรียน คูละ
- คลอง เป็นแหล่งน�้าที่มนุษย์สร้างขึ้น 1 เกณฑ แลวเพื่อนในหองชวยกันตรวจสอบ
เพื่อกระจายน�้าไปสู่แหล่งต่าง ๆ วาสามารถจําแนกประเภทของแหลงนํ้าตาม
1
- น�
า ้ ผิ
ว ดิ
น อื
น ่ ๆ ได้
แ ก่ มาบ ทีล่ มุ่ ชืน้ แฉะ เกณฑนั้นๆ ไดหรือไม
2
พรุ ซึ่งเป็นแหล่งน�้าที่เกิดจากน�้าที่แช่ขัง ไม่มีที่ระบาย 3. นักเรียนแตละคูรวมกันศึกษาคนควาขอมูล
ออกไปสู่บริเวณอื่น ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง แหลงนํ้า จากหนังสือ
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ภาพที่ 6.37 เขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อธิบายความรู้
ที่มา : คลังภาพ อจท.
2) น�า้ เค็ม แหล่งน�า้ ธรรมชาติทมี่ ขี นาดใหญ่ ได้แก่ ทะเลและมหาสมุทร โดยน�า้ ทะเลจะมี
3 ความเค็มมากกว่า ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
ร้อยละ 30 เนื่องจากเกลือและแร่ธาตุที่เกิดการผุพังทลายลงของหิน เช่น เกลือหิน ยิปซัม ถูกพัดพา และไหล โดยใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดง
รวมกันกลายเป็นทะเล ความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ ดังนี้
• แหล ง นํ้ า บนโลกมี ป ริ ม าณนํ้ า จื ด มากกว า
ปริมาณนํ้าเค็มหรือไม อยางไร
(แนวตอบ มีปริมาณนํ้าเค็มมากกวาปริมาณ
นํ้าจืด สวนใหญนํ้าบนผิวโลกเปนทะเลและ
มหาสมุทร)
• นํ้ามีความจําเปนตอการดํารงชีวิตของสิ่งมี
ชีวิตในดานใดบาง
(แนวตอบ ดานอุปโภคและบริโภค)
ภาพที่ 6.38 ทะเลเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตจ�านวนมาก
ที่มา : คลังภาพ อจท. • นํ้าบนโลกปกคลุมพื้นที่เทาไรของพื้นที่ผิว
โลกทั้งหมด
โลกและการเปลี่ยนแปลง 97 (แนวตอบ พื้นที่ 3 ใน 4 สวนของพื้นที่ผิวโลก
ทั้งหมด)
T111
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
1. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน จากนัน้ ครูแจง
จุดประสงคของกิจกรรม จําลองการเกิดและ จําลองการเกิดและปจจัยในการเกิดนํ้าผิวดิน
ปจจัยในการเกิดนํ้าผิวดิน ใหนักเรียนทราบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติกิจกรรมที่ถูกตอง จุดประสงค - การสังเกต
- การทดลอง
2. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม 1. อธิบายการเกิดนํ้าผิวดินได
จิตวิทยาศาสตร
2. อธิบายปจจัยที่สงผลตอลักษณะของนํ้าผิวดินได
จําลองการเกิดและปจจัยในการเกิดนํ้าผิวดิน - ความรับผิดชอบ
T112
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
จากกิจกรรมจ�าลองการเกิดและปัจจัยในการเกิดแหล่งน�้าผิวดิน แสดงให้เห็นว่า ร่องน�้าในธรรมชาติ มีขนาด 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผลการ
และรูปร่างแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปริมาณน�้าฝน ระยะเวลาในการกัดเซาะ ชนิดของตะกอน และลักษณะภูมิประเทศ
ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่
เช่น ความลาดชัน ความสูงและต�่าของพื้นที่ เมื่อน�้าไหลไปยังที่เป็นแอ่ง จึงเกิดการสะสมตัวเป็นแหล่งน�้าผิวดิน
เมื่อเวลาผ่านไปกระบวนการกัดเซาะของน�้าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องท�าให้ร่องน�้าเปลี่ยนแปลงขนาด รูปร่าง และ
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะ
ทิศทางการไหลไปจากเดิม เกิดร่องน�า้ ขนาดเล็กจ�านวนมาก เมือ่ ไหลมารวมกันจะกลายเป็น ธารน�า้ (stream) ตะกอน เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
ต่าง ๆ จะถูกพัดพาไปกับกระแสน�้า และขัดสีกับตะกอนที่อยู่บริเวณริมฝัง ส่งผลให้ธารน�้าถูกกัดเซาะอย่างต่อเนื่อง 2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
จนกระทั่งกลายเป็นแม่น�้า (river) ดังภาพที่ 6.40 แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
เพื่อหาคําตอบ
3. นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล
เพิม่ เติมเกีย่ วกับเรือ่ ง ประวัตคิ วามเปนมาของ
แมนํ้าเจาพระยา จากใบความรู เรื่อง แมนํ้า
เจาพระยา จากนั้นสมาชิกภายในกลุมแตละ
ภาพที่ 6.40 กระบวนการกัดเซาะ การพัดพา และการสะสมตัวของตะกอน กลุมรวมกันวิเคราะหกระบวนการเกิดแมนํ้า
ส่งผลให้ร่องน�้าเปลี่ยนแปลงขนาด รูปร่าง และทิศทางการไหล
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เจาพระยา แลวเขียนสรุปความรูที่ไดจากการ
วิเคราะหลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
ตะกอนสะสม น�้ากัดเซาะ 4. นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น อภิ ป รายและสรุ ป
เกีย่ วกับเรือ่ ง กระบวนการเกิดแมนาํ้ เจาพระยา
ซึ่ ง ได ข อ สรุ ป ร ว มกั น ว า “แม นํ้ า เจ า พระยา
มี ต น กํ า เนิ ด จากนํ้ า ที่ ไ หลผ า นภู เ ขาทาง
ตอนเหนื อ ซึ่ ง การกระทํ า ของนํ้ า ทํ า ให เ กิ ด
กระบวนการกัดเซาะ ทําใหเกิดลํานํา้ ขนาดเล็ก
เมื่อเวลาผานไปกระบวนการกัดเซาะ การพัด
และการสะสมตั ว ของตะกอน ทํ า ให ลํ า นํ้ า
ภาพที่ 6.41 แม่น�้าเจ้าพระยาที่ไหลคดเคี้ยวผ่านที่ราบลุ่มภาคกลาง ภาพที่ 6.42 การพัดพาและการสะสมตัวของตะกอน มีขนาดกวางและใหญขึ้น”
ตอนล่างของประเทศไทย ที่มา : คลังภาพ อจท.
ที่มา : คลังภาพ อจท.
โลกและการเปลี่ยนแปลง 99
T113
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูเตรียมอุปกรณสาธิตการทดลอง เชน ทราย 2. น�้าใต้ดิน เป็นแหล่งน�้าจืดที่มีปริมาณมากที่สุดบนโลก เกิดจากการซึมของน�้าผิวดินลงไปสะสมตัวอยู่
หิ น ดิ น บี ก เกอร บั ว รดนํ้ า จากนั้ น ครู ใต้พนื้ ดิน โดยน�า้ ทีซ่ มึ ลงไปใต้ดนิ ส่วนหนึง่ จะซึมอยูต่ ามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน เรียกว่า น�า้ ในดิน (soil water) เมือ่ น�า้
ขออาสาสมัครนักเรียน 2-3 คน ออกมาหนา ในดินมีปริมาณมาก น�้าจะซึมผ่านรูพรุนระหว่างชั้นหินลงไปขังอยู่ในช่องว่างระหว่างหิน เรียกว่า น�้าบาดาล (ground
water)
ชั้นเรียน โดยใหตัวแทนนักเรียนเติมทรายและ
หิน ตามลําดับ ลงในบีกเกอรปริมาณ 1/3 ของ
บีกเกอร จากนั้นนําดินใสลงในบีกเกอรใหถึง
ปากบีกเกอร แลวใชบัวรดนํ้าเทลงในบีกเกอร
2. นักเรียนแตละคนสังเกตการไหลของนํ้าและ
ระดับนํา้ แลวรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
อยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด
3. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม จากกิ จ กรรมสาธิ ต การ น�้าในดิน
ทดลองวา “นํา้ ทีร่ ดลงไปหนาดินจะไหลซึมผาน
ลงไปสะสมตัวอยูใตพื้นดิน เรียกวา นํ้าใตดิน
ซึ่งนํ้าจะซึมลงไปสะสมตัวอยูในดินและหิน” ระดับน�้าใต้ดิน
4. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน จากนัน้ ครูแจง ชั้นหินอุ้มน�้า
จุดประสงคของกิจกรรม จําลองการเกิดและ
ชั้นหินกั้นน�้า
ปจจัยในการเกิดนํา้ ใตดนิ ใหนกั เรียนทราบเพือ่ น�้าบาดาล
เปนแนวทางการปฏิบัติกิจกรรมที่ถูกตอง
5. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม ชั้นหินอุ้มน�้า
จําลองการเกิดและปจจัยในการเกิดนํ้าใตดิน
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
โดยครูใชรูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือมาจัด
ภาพที่ 6.43 น�้าใต้ดิน
กระบวนการเรียนรู โดยกําหนดใหสมาชิกแตละ ที่มา : http://rdnwaterbudget.ca
คนภายในกลุม มีบทบาทหนาทีข่ องตนเอง ดังนี้
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ Science
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม Focus เขตอิ่มอำกำศและเขตอิ่มน�้ำ
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ เขตอิ่มอากาศ (zone of aeration) คือ ส่วนบนตั้งแต่ผิวดินลงไปจนถึงระดับน�้าใต้ดิน ช่องว่างในดิน หรือช่องว่างในหิน
กิจกรรมและนํามาอธิบายใหสมาชิกในกลุม ฟง หรือชั้นหินในเขตนี้บางส่วนจะมีน�้ากักเก็บอยู่ และบางส่วนจะมีฟองอากาศแทรกอยู่ น�้าในเขตนี้จะถูกยึดอยู่ในช่องว่างด้วยแรงดึง
• สมาชิกคนที่ 5-6 ทําหนาที่บันทึกผลการ คะปิลลารี
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจําตัวนักเรียน เขตอิ่มน�้า (zone of saturation) เป็นเขตที่อยู่ต่อจากเขตอิ่มอากาศลงไป หรืออยู่ใต้ระดับน�้าใต้ดินลงไป ช่องว่างในหิน
หรือชั้นหินในเขตนี้จะมีน�้าอยู่เต็มทุกช่องว่าง หรืออิ่มตัวด้วยน�้า ดังนั้น น�้าที่ถูกกักเก็บอยู่ในเขตนี้จะเป็นน�้าบาดาล
6. นักเรียนแตละกลุม รวมกันปฏิบตั กิ จิ กรรมตาม
ขัน้ ตอน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
7. นักเรียนแตละกลุมรวมกันแลกเปลี่ยนความรู
และวิ เ คราะห ผ ลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แล ว 100 การเกิดนํ้าบาดาล
อภิปรายผลรวมกัน
T114
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
กิจกรรม 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผลการ
จ�าลองการเกิดและปัจจัยในการเกิดน�้าใต้ดิน ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
จุดประสงค์ - การตั้งสมมติฐาน เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
1. อธิบายการเกิดน�้าใต้ดินได้ จิตวิทยาศาสตร์ 2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใหนักเรียน
2. อธิบายการกักเก็บของน�้าบาดาลได้ - ความรับผิดชอบ
- ความสนใจใฝ่รู้
แตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
เพื่อหาคําตอบ
วัสดุอปุ กรณ์
3. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม
1. ทราย 3. ดินเหนียว 5. สีผสมอาหาร
2. บัวรดน�า้ 4. หลอดกาแฟ 6. ตูป้ ลาขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้า จําลองการเกิดและปจจัยในการเกิดนํ้าใตดิน
วา “นํ้าผิวดินจะไหลซึมลงไปชั้นใตดินและจะ
วิธปี ฏิบตั ิ ถูกกักเก็บไวในชัน้ ตะกอนทีม่ ลี กั ษณะเนือ้ แนน
1. น�าดินเหนียวและทรายมาสร้างแบบจ�าลองพื้นผิวใต้ดินในตู้ปลาที่ครูเตรียมให้ ดังภาพที่ 6.44 โดยขนาดของตู้ปลาควรมี ละเอียด มีชองวางระหวางอนุภาคนอย ทําให
รูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีความสูงประมาณ 10 เซนติเมตร นํ้าไหลซึมผานไปไดยาก จึงกลายเปนชั้นหิน
2. น�าหลอดกาแฟเสียบลงบริเวณเนินดินด้านต�่า ผ่านชั้นดินเหนียวลงไปให้อยู่บริเวณกึ่งกลางทราย ชั้นที่ 2 โดยใช้ดินสอเสียบ
น�าร่องก่อน เพื่อป้องกันดินเหนียวอุดตันหลอดกาแฟ อุมนํ้าอยูใตดิน”
3. น�าน�้าผสมกับสีผสมอาหารแล้วพรมให้ทั่ว โดยใช้บัวรดน�้าเทลงไปในแบบจ�าลองจากข้อ 1.
ขยายความเข้าใจ
4. สังเกตระดับน�้าที่ไหลซึมลงไปในชั้นทรายและในหลอดกาแฟ จากนั้นพรมน�้าไปจนกระทั่งมีน�้าล้นขึ้นมาจากหลอดกาแฟ
1. นักเรียนแตละคนศึกษาคนควาขอมูลเพิ่มเติม
บัวรดน�้า
เกี่ยวกับเรื่อง กระบวนการเกิดนํ้าพุรอน จาก
ใบความรู เรื่อง บอนํ้ารอนรักษะวาริน จากนั้น
ทรายชั้นที่ 1
นักเรียนแตละคนวิเคราะหกระบวนการเกิด
ทรายชั้นที่ 2 นํ้าพุรอน แลวเขียนสรุปความรูที่ไดจากการ
ระดับต�่าสุดของหลอดกาแฟที่เสียบลงไป วิ เ คราะห ก ระบวนการเกิ ด นํ้ า พุ ร อ นลงใน
กระดาษ A4 พรอมตกแตงใหสวยงาม
ภาพที่ 6.44 กิจกรรมจ�าลองการเกิดและปัจจัยในการเกิดน�้าใต้ดิน
ที่มา : คลังภาพ อจท. 2. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
เรื่อง นํ้าผิวดินและนํ้าใตดิน และใหความรู
ค�าถามท้ายกิจกรรม
เพิ่มเติมจากคําถามของนักเรียน โดยครูใช
1. หลังจากพรมน�้าไปที่ตู้ปลา ระดับน�้าในชั้นทรายและในหลอดกาแฟมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร PowerPoint เรื่อง แหลงนํ้า ในการอธิบาย
2. น�้าทีเ่ ทลงไปถูกกักเก็บอยู่ในชั้นตะกอนชนิดใด จ�านวนกี่ชั้น
3. ชั้นตะกอนที่กักเก็บน�้ามีลักษณะอย่างไร เพิ่มเติม
3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง แหลงนํา้
อภิปรายผลกิจกรรม จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
จากกิจกรรม พบว่า น�้าไหลซึมและสะสมอยู่ในชั้นทรายจ�านวน 2 ชั้น และน�้าจะถูกกักเก็บไว้ในชั้นตะกอนที่มีลักษณะเนื้อแน่น
ละเอียด และมีช่องว่างระหว่างอนุภาคน้อย จึงท�าให้นา�้ ซึมผ่านไปได้ เมือ่ พรมน�้าลงไปมากขึน้ ระดับน�า้ ในหลอดกาแฟจะเพิม่ สูงขึน้ แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
1. ระดับนํ้าจะคอยๆ เพิ่มสูงขึ้น
โลกและการเปลี่ยนแปลง 101 2. นํ้าจะไหลไปสะสมที่ชั้นทรายจํานวน 2 ชั้น
3. ตะกอนทรายมีลักษณะรวนและเม็ดตะกอนมี
ขนาดเทากัน
T115
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง จากกิจกรรม แสดงให้เห็นว่า น�า้ บาดาลถูกกักเก็บตามช่องว่างระหว่างตะกอน จนกระทัง่ แหล่งกักเก็บน�า้ อิม่ ตัว
ระดับน�้าบาดาลจึงสูงขึ้น ในธรรมชาติแหล่งกักเก็บน�้าบาดาล คือ ชั้นหิน หรือชั้นตะกอนที่มีสมบัติยอมให้น�้าซึมผ่าน
นํ้าผิวดินและนํ้าใตดิน ได้งา่ ย เนือ่ งจากมีชอ่ งว่างระหว่างอนุภาคกว้าง เรียกว่า ชัน้ หินอุม้ น�า้ (aquifer) จึงท�าให้กกั เก็บน�า้ ได้ปริมาณมาก เช่น
ชั้นหินทราย ชั้นตะกอนทราย กรวด ถัดจากชั้นหินอุ้มน�้าจะมีชั้นหิน หรือชั้นตะกอนที่มีขนาดเล็ก เนื้อละเอียดแน่น
ขัน้ ประเมิน มีสมบัติไม่ยอมให้น�้าซึมผ่านได้ โดยต�าแหน่งที่รองรับอาจอยู่ต�่ากว่า หรือขนาบชั้นบนและล่าง เช่น หินดินดาน
ตรวจสอบผล ชัน้ หินทรายแป้ง ถ้าชัน้ หินอุม้ น�า้ ถูกขนาบด้วยชัน้ หินทีม่ เี นือ้ ละเอียดแน่นมาก จะท�าให้มแี รงดันของน�า้ สูงขึน้ จนกระทัง่
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ น�้าไหลพุ่งออกมาตามรอยแตก หรือรอยแยกของผิวโลก เรียกว่า น�้าพุ (spring)
ระดับบนสุดของน�า้ บาดาลจะเป็นระดับน�า้ ใต้ดนิ (water table) โดยระดับน�า้ ใต้ดนิ จะมีแรงดันน�า้ ในชัน้ หินเท่ากับ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
แรงดันของบรรยากาศ ซึ่งต�าแหน่งที่อยู่ลึกลงไปจากระดับน�้าใต้ดิน แรงดันของน�้าจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากน�้าหนัก
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ ของน�้าที่กดทับอยู่ นอกจากนี้ ระดับน�้าใต้ดินจะเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เช่น ในฤดูแล้งระดับน�้าใต้ดินจะอยู่ลึกกว่า
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน ระดับปกติ
2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม จําลอง
การเกิดและปจจัยในการเกิดนํา้ ผิวดิน ในสมุด พื้นที่รับน�้า
ประจําตัวนักเรียน
3. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม จําลอง
ระดับน�้าใต้ดิน ระดับน�้ามีแรงดัน
การเกิดและปจจัยในการเกิดนํา้ ใตดนิ ในสมุด บ่อน�้าใต้ดิน บ่อน�้าใต้ดิน
ประจําตัวนักเรียน บ่อน�้าพุมีแรงดัน บ่อน�้าใต้ดินเขตตื้น ไร้แรงดัน มีแรงดัน
4. ครู ต รวจแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง แหล ง นํ้ า จาก พื้นดิน
ระดับน�้าใต้ดินเขตตื้น
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ระดับน�้า
ชั้นหินอุ้มน�้าไร้แรงดัน ใต้ดิน
ชั้นหินกั้นน�้า
ชั้นหินอุ้มน�้ามีแรงดัน
ชั้นหินกั้นน�้า
102
ลาดับที่ รายการประเมิน
4
ระดับคะแนน
3 2 1
(วิเคราะหคําตอบ ฤดูกาลมีผลตอระดับนํา้ ใตดนิ ชวงฤดูฝนระดับ
นํ้าใตดินจะมีระดับสูง ชวงฤดูแลงระดับนํ้าใตดินจะลดลง ดังนั้น
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม
รวม
ตอบขอ 2.)
ลงชื่อ ….................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. การปฏิบัติ ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องให้ความช่วยเหลือ
กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
ทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล
กิจกรรม ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน ทากิจกรรมยังไม่เป็น กิจกรรม การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T116
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
3.2 การใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์แหล่งน�้า นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 7 คน จากนั้นครู
แหล่งน�้าผิวดินและแหล่งน�้าใต้ดินถูกน�ามาใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของ แจกกระดาษ A4 กลุมละ 1 แผน โดยใหนักเรียน
มนุษย์ เช่น ใช้ส�าหรับการอุปโภคและบริโภค ใช้เพาะปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และ
เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น�้าอื่น ๆ ใช้ในด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ
นํ้ามีประโยชน แตละกลุม เขียนประโยชนของนํา้ ในชีวติ ประจําวัน
อยางไร
เช่น ใช้ในกระบวนการผลิต ล้างของเสีย หล่อเครื่องจักร นอกจากนี้ ใช้เป็น ที่นักเรียนคิดได คนละ 1 ตัวอยาง แลวสงตอ
แหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าและใช้เป็นเส้นทางคมนาคม ใหกับเพื่อนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสมาชิกคน
น�้าเปนแหล่งเจริญเติบโตของพืช น�้าช่วยรักษาสมดุลให้กับร่างกาย
สุดทาย แลวจึงวนกลับมาที่สมาชิกคนที่หนึ่งใหม
โดยแตละตัวอยางตองไมซํ้ากัน ระหวางนี้ครูจับ
เวลา 30 วินาที
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนจับคูก บั เพือ่ นในชัน้ เรียน จากนัน้ รวมกัน
ศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง การใช
พลังงานน�้าน�ามาใช้ผลิตกระแสไฟฟา แหล่งน�้าใช้เปนเส้นทางคมนาคมขนส่ง ประโยชนของนํ้าและแนวทางการใชนํ้าอยาง
ยัง่ ยืน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
2. นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ดศกึ ษา
จากนัน้ ใหนกั เรียนแตละคนเขียนสรุปความรูท ี่
ไดจากการศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัว
นักเรียน
อธิบายความรู้
1. ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอผลการศึกษา
น�้าใช้ประกอบอาหาร น�้าใช้ช�าระล้างสิ่งสกปรก หนาชั้นเรียน ในระหวางที่นักเรียนนําเสนอ
ครูคอยใหขอ เสนอแนะเพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียน
มีความเขาใจที่ถูกตอง
2. ครูสุมนักเรียน 5 คน ใหยกตัวอยางแนวทาง
การใชนํ้าอยางยั่งยืน มาคนละ 1 ตัวอยาง
(แนวตอบ ตัวอยางเชน ใชนํ้าดีไลนํ้าเสีย ใชนํ้า
อยางประหยัด การพัฒนาแหลงนํ้า)
ภาพที่ 6.46 ประโยชน์จากแหล่งน�้าผิวดินและน�้าใต้ดิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
โลกและการเปลี่ยนแปลง 103
T117
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ ปัจจุบนั มีการน�าน�า้ มาใช้ประโยชน์มากมายหลาย
ด้าน ส่งผลให้คุณภาพของแหล่งน�้าเสื่อมลง ส่วนใหญ่มี
เรือ่ ง การใชประโยชนและการอนุรกั ษแหลงนํา้ สาเหตุมาจากการกระท�าของมนุษย์ มีผลท�าให้น�้าผิวดิน
และใหความรูเ พิม่ เติมจากคําถามของนักเรียน และน�า้ บาดาลปนเปือ้ น ตัวอย่างเช่น น�า้ ทิง้ จากบ้านเรือน
โดยครูใช PowerPoint เรื่อง การใชประโยชน ประกอบไปด้วยสารอินทรีย์ เช่น เศษอาหาร สิง่ ปฏิกลู อืน่ ๆ
และการอนุรกั ษแหลงนํา้ ในการอธิบายเพิม่ เติม หรือน�า้ เสียจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือน�า้ ทีใ่ ช้ทางการ
2. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง การ เกษตรซึ่งประกอบไปด้วยสารอนินทรีย์ เช่น ไนเตรต
ภาพที่ 6.47 น�้ามันรั่วไหล ท�าให้น�้าในทะเลปนเปื้อน ฟอสเฟต ซึ่ ง สารเจื อ ปนเหล่ า นี้ มี ส ่ ว นท� า ให้ พื ช น�้ า
ใชประโยชนและการอนุรักษแหลงนํ้า จาก ที่มา : คลังภาพ อจท. เจริญเติบโตได้ดี เมื่อพืชน�้าตายลง จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ในแหล่งน�้าตามธรรมชาติจะน�าออกซิเจนที่ละลายอยู่
ในน�้ามาใช้ในกระบวนการย่อยสลายซากพืชเหล่านั้น
ขัน้ สรุป ปริมาณออกซิเจนในแหล่งน�้าจึงลดลงจนกระทั่งต�่ากว่า
ตรวจสอบผล 3 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเป็นลักษณะของน�้าเน่าเสีย
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
การใชประโยชนและการอนุรักษแหลงนํ้า
ภาพที่ 6.48 การทิ้งขยะลงแหล่งน�้า ท�าให้น�้าเน่าเสีย
ขัน้ ประเมิน ที่มา : คลังภาพ อจท.
ตรวจสอบผล
ของเสียและน�้าเสียที่ถูกปล่อยลงสู่แหล่งน�้าจะ
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ ไหลซึมลงสูช่ นั้ หินอุม้ น�า้ ท�าให้นา�้ บาดาลปนเปือ้ น เมือ่ สูบ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ขึน้ มาใช้จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และหากได้รบั ปริมาณ
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ มากจะเป็นอันตรายถึงแก่ชวี ติ ได้ ดังนัน้ เราจึงควรรักษา
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน และดูแลแหล่งน�้าเพื่อให้สามารถใช้น�้าได้อย่างยั่งยืน
โดยการใช้น�้าอย่างประหยัด เช่น ไม่ควรเปิดน�้าทิ้งไว้
2. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง การใชประโยชน ขณะที่ไม่ใช้น�้า ไม่ทิ้งของเสียและน�้าเสียลงสู่พื้นดิน
และการอนุ รั ก ษ แ หล ง นํ้ า จากแบบฝ ก หั ด และแหล่งน�้า บ�าบัดน�้าเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ภาพที่ 6.49 ปิดน�้าให้สนิทหลังใช้งานทุกครั้ง
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน�้า ที่มา : https://www.elitecme.com/
แนวทางการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาน�้าเน่าเสียมีหลายวิธี โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้น�้ามีคุณภาพดีขึ้น ตัวอย่าง
วิธีการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาน�้าเน่าเสีย มีดังนี้
1. ใช้น�้าดีไล่น�้าเสีย เนื่องจากน�้าที่มีคุณภาพดีจะช่วยผลักดันน�้าเน่าเสียออกไป และช่วยให้น�้าเน่าเสีย
เจือจางลง
2. ใช้ผักตบชวา เป็นวัชพืชที่ช่วยดูดซับความสกปรก รวมทั้งสารพิษจากน�้าเน่าเสียหรือใช้สาหร่ายช่วยเติม
อากาศเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับน�้า
3. ใช้เครือ่ งจักรกล เช่น กังหันน�า้ ชัยพัฒนา ช่วยให้แก๊สออกซิเจนทีอ่ ยูใ่ นบรรยากาศละลายน�า้ ได้อย่างรวดเร็ว
104
รวม
เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
............./.................../............... ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T118
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
3.3 ภัยพิบัติจากนํ้า นักเรียนดูวดี ทิ ศั นเกีย่ วกับภัยพิบตั จิ ากนํา้ เรือ่ ง
ภัยพิบัติที่เกิดจากนํ้าผิวดิน ไดแก นํ้าทวม การกัดเซาะชายฝง ดินถลม หลุมยุบ และแผนดินทรุด มหาอุทกภัยไทยในรอบ 25 ป จากนัน้ ครูตงั้ ประเด็น
ซึ่งมีกระบวนการเกิด และผลกระทบที่แตกตางกัน ดังนี้
คํ า ถามกระตุ น ความคิ ด นั ก เรี ย นว า “ภั ย พิ บั ติ
1. นํ้าทวม เกิดจากพื้นที่หนึ่งไดรับปริมาณนํ้ามาก จนกระทั่งเกิดสภาวะที่น้ําไหลลนฝงแมนํ้าลําธาร
เขาทวมพื้นที่ หรือเกิดจากการสะสมของนํ้าบนพื้นที่ ซึ่งระบายออกไมทันทําใหพื้นที่นั้นปกคลุมไปดวยนํ้าทวม
จากนํ้าไดแกอะไรบาง” โดยใหนักเรียนรวมกัน
แบงออกไดเปน 2 ประเภท ดังนี้ อภิปรายและแสดงความคิดเห็นอยางอิสระโดย
ไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด
นํ้าทวมขัง
(แนวตอบ ภัยพิบตั จิ ากนํา้ เชน นํา้ ทวม การกัด
สวนใหญเกิดขึน้ ในบริเวณทีร่ าบลุม แมนาํ้ และบริเวณ
ชุมชนเมืองใหญ ๆ ซึ่งมีสาเหตุมาจากฝนที่ตกหนัก เซาะชายฝง ดินถลม หลุมยุบ แผนดินทรุด)
เปนเวลาหลายวัน สงผลใหเกิดความเสียหายกับพืช
ผลทางการเกษตรและอสังหาริมทรัพย ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ภาพที่ 6.50 นํ้าทวมขัง
ที่มา : คลังภาพ อจท. 1. นักเรียนนับจํานวน 1-5 วนไปเรือ่ ยๆ จนครบ
ทุกคน เพือ่ แบงกลุม นักเรียนออกเปน 5 กลุม
นํ้าทวมฉับพลัน โดยคนทีน่ บั จํานวนเดียวกันใหอยูก ลุม เดียวกัน
เปนภาวะนํ้าทวมที่เกิดขึ้นอยางฉับพลันในพื้นที่ที่มี จากนั้นนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมา
ความชันมาก เชน นํ้าปาไหลหลาก เนื่องจากผืนปา
ถูกทําลาย ทําใหการกักเก็บนํ้า หรือการตานนํ้าลดลง จับสลากหัวขอทีศ่ กึ ษา โดยใหนกั เรียนแตละกลุม
หรือเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เชน เขื่อนหรืออางเก็บนํ้า รวมกันศึกษาคนควาขอมูลเกีย่ วกับเรือ่ ง ภัยพิบตั ิ
พังทลาย ดังนั้น ความเสียหายจากนํ้าทวมฉับพลัน จากนํา้ จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
อาจเปนอันตรายตอชีวิตและทรัพยสิน
ซึง่ หัวขอประกอบดวย
ภาพที่ 6.51 นํ้าปาไหลหลาก
ที่มา : www.bruggttv.co.th
• กลุมที่ 1 ศึกษาเรื่อง นํ้าทวม
• กลุมที่ 2 ศึกษาเรื่อง การกัดเซาะชายฝง
2. การกัดเซาะชายฝง เปนกระบวนการเปลีย่ นแปลงของชายฝง ทะเลทีเ่ กิดขึน้ ตลอดเวลาจากการกัดเซาะ
ของคลืน่ หรือลม ทําใหตะกอนจากบริเวณหนึง่ ไปตกทับถมในอีกบริเวณหนึง่ สงผลใหแนวชายฝง เดิมเปลีย่ นแปลง • กลุมที่ 3 ศึกษาเรื่อง ดินถลม
ไป โดยตะกอนของบริเวณนั้นจะเคลื่อนที่ออกไปมากกวาตะกอนเคลื่อนที่มาทับถม • กลุมที่ 4 ศึกษาเรื่อง หลุมยุบ
• กลุมที่ 5 ศึกษาเรื่อง แผนดินทรุด
ภาพที่ 6.52 ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชายฝงที่ถูกนํ้าทะเลกัดเซาะ 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
ที่มา : https://coreymondello.com/
ศึกษา จากนัน้ รวมกันสรุปความรูท ไี่ ดจากการ
ศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
โลกและการเปลี่ยนแปลง 105
T119
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน จากนัน้ ครูแจง 3. ดินถล่ม เป็นการเคลื่อนที่ของมวลดิน หรือ
หินจ�านวนมากลงมาตามแนวลาดเขา เนื่องจากแรง
จุดประสงคของกิจกรรม จําลองการกัดเซาะ
โน้มถ่วงของโลก โดยปัจจัยที่ท�าให้เกิดดินถล่ม ได้แก่
ชายฝง ใหนักเรียนทราบเพื่อเปนแนวทางการ ความลาดชันของพื้นที่ ปริมาณน�้าฝน พืชปกคลุมดิน
ปฏิบัติกิจกรรมที่ถูกตอง สภาพธรณี และการใช้ประโยชน์พื้นที่ ซึ่งความเสียหาย
4. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม ทีเ่ กิดขึน้ จากดินถล่มจะท�าให้โครงสร้างของชัน้ ดินบริเวณ
จําลองการกัดเซาะชายฝง จากหนังสือเรียน นัน้ เสียสมดุล ท�าลายระบบนิเวศ และเป็นอันตรายต่อชีวติ
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยครูใชรูปแบบการ และทรัพย์สิน
ภาพที่ 6.53 ดินถล่ม
เรียนรูแบบรวมมือมาจัดกระบวนการเรียนรู ที่มา : คลังภาพ อจท.
โดยกําหนดใหสมาชิกแตละคนภายในกลุมมี 4. หลุมยุบ เป็นแอ่งหรือหลุมบนแผ่นดินขนาด
บทบาทหนาที่ของตนเอง ดังนี้ ต่าง ๆ อาจมีสาเหตุมาจากการถล่มของโพรงถ�้าหินปูน
• สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ เกลือหินใต้ดิน หรือเกิดจากน�้าพัดพาตะกอนลงไปใน
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม โพรงถ�้าหรือธารน�้าใต้ดิน นอกจากนี้ ยังอาจมีสาเหตุ
มาจากการกระท�าของมนุษย์ เช่น การสูบน�า้ บาดาลไปใช้
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ ซึ่งความเสียหายที่เกิดจากหลุมยุบเป็นอันตรายต่อชีวิต
กิจกรรมและนํามาอธิบายใหสมาชิกในกลุม ฟง และทรัพย์สิน
• สมาชิกคนที่ 5-6 ทําหนาที่บันทึกผลการ ภาพที่ 6.54 หลุมยุบที่เกิดขึ้นในประเทศกัวเตมาลา
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจําตัวนักเรียน ที่มา : คลังภาพ อจท.
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
กิจกรรม
1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
จ�าลองการกัดเซาะชายฝัง เรื่อง ภัยพิบัติจากนํ้า และใหความรูเพิ่มเติม
จากคําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
จุดประสงค์ - การสังเกต เรื่อง ภัยพิบัติจากนํ้า ในการอธิบายเพิ่มเติม
อธิบายกระบวนการเกิดและผลกระทบจากแบบจ�าลองการกัดเซาะชายฝังได้ - การทดลอง
2. นักเรียนทํา Topic Question เรื่อง นํ้า จาก
จิตวิทยาศาสตร์
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ลงใน
วัสดุอปุ กรณ์ - ความรับผิดชอบ
- ความสนใจใฝ่รู้ สมุดประจําตัวนักเรียน
1. น�้า 2. ทราย 3. ไม้บรรทัด 4. ตู้ปลา
3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง ภัยพิบัติ
วิธปี ฏิบตั ิ จากนํา้ จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
1. ให้นกั เรียนแบ่งกลุม่ กลุม่ ละ 5-6 คน สร้างแบบจ�าลองชายฝัง ทะเลโดยวางตูป้ ลารูปทรงสีเ่ หลีย่ มผืนผ้า สูงประมาณ 10 เซนติเมตร
ที่ครูจัดเตรียมไว้ให้บนพื้นโต๊ะในแนวระนาบ ขัน้ สรุป
2. น�าทรายละเอียดมาเทลงในตู้ปลา เกลี่ยทรายเป็นทางลาดเอียงเพื่อสร้างชายฝังจ�าลอง
3. ใส่น�้าลงไป โดยให้ระดับน�้าอยู่สูงกว่าระดับของผิวหน้าทราย ประมาณ 1 เซนติเมตร
ตรวจสอบผล
4. จ�าลองการเกิดคลืน่ ทะเลโดยใช้ไม้บรรทัดดันน�า้ เข้ามาตรงบริเวณชายฝัง จ�าลองอย่างต่อเนือ่ ง สังเกตและบันทึกการเปลีย่ นแปลง นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
ที่เกิดขึ้นบริเวณชายฝังลงในสมุดบันทึก ภัยพิบัติจากนํ้า
5. ตัวแทนกลุ่มออกมาน�าเสนอแบบจ�าลองชายฝัง แล้วน�าเสนอวิธีป้องกันและการแก้ไขปัญหาจากน�้าทะเลกัดเซาะชายฝัง
ตู้ปลา ขัน้ ประเมิน
ทราย
ไม้บรรทัด ตรวจสอบผล
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
น�้า ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
พฤติกรรมการทํางานกลุม และจากการนําเสนอ
ผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
ภาพที่ 6.55 กิจกรรมจ�าลองการกัดเซาะชายฝัง 2. ครูตรวจสอบผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม จําลองการ
ที่มา : คลังภาพ อจท. กัดเซาะชายฝง ในสมุดประจําตัวนักเรียน
ค�าถามท้ายกิจกรรม 3. ครูตรวจ Topic Question เรื่อง นํ้า ในสมุด
1. บริเวณชายฝังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ประจําตัวนักเรียน
2. ประเมินวิธีป้องกันและการแก้ไขปัญหาน�้าทะเลกัดเซาะชายฝังจากกลุ่มอื่นว่ามีความเหมาะสม และส่งผลกระทบต่อบริเวณ 4. ครู ต รวจแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง ภั ย พิ บั ติ จ ากนํ้ า
ข้างเคียงหรือไม่ อย่างไร จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
T121
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. นักเรียนดูวดี ทิ ศั นเกีย่ วกับเรือ่ ง กําเนิดถานหิน Understanding Check
(จาก https://www.youtube.com/watch? พิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึก
reload=9&timecontinue=1&v=UFrge ถูก/ผิด
มุ ด
มาใชประโยชนอยางไร” โดยใหนกั เรียนรวมกัน 3. แฮโลเจนเป็นสารประกอบที่อยู่ในหินน�้ามัน
นส
งใ
อภิปรายและแสดงความคิดเห็นอยางอิสระ
ล
ทึ ก
4. น�้ามันดิบจะต้องผ่านกระบวนการกลั่นก่อนน�าไปใช้ประโยชน์
บั น
โดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด
5. ภาวะโลกร้อนเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์
(แนวตอบ นํามาใชเปนแหลงพลังงานซึ่งมีสวน
สําคัญตอการดําเนินกิจกรรมในชีวติ ประจําวัน)
2. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอน Prior
Knowledge
4 เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์
เขาสูกิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ เชื้ อ เพลิ ง เป็ น ทรั พ ยากรธรรมชาติ ที่ มี อ ยู ่ ใ ต้ ดิ น มี ส มบั ติ
วัตถุชนิดใดบ้าง
Understanding Check ในหนั ง สื อ เรี ย น ทีม่ นุษย์นา� มาใช้เป็น เฉพาะตัว เมื่อน�ามาเผาไหม้จะให้พลังงานความร้อนได้ดี มนุษย์จึง
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุด แหล่งพลังงาน น�ามาใช้เป็นแหล่งพลังงาน และมีส่วนส�าคัญต่อการด�าเนินกิจกรรม
ประจําตัวนักเรียน ในชีวิตประจ�าวัน
3. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์ (fossil fuel) เป็นแหล่งพลังงานสิ้นเปลือง หรือพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 เพื่อเปนการนํา (non-renewable energy) ซึ่งเกิดจากวัตถุต้นก�าเนิดและสภาพแวดล้อมการเกิดที่แตกต่างกัน ท�าให้เชื้อเพลิง
เขาสูบทเรียน ซากดึกด�าบรรพ์มลี กั ษณะ สมบัติ และการน�าไปใช้ประโยชน์ทแี่ ตกต่างกัน โดยเชือ้ เพลิงซากดึกด�าบรรพ์ทมี่ นุษย์นยิ ม
น�ามาใช้ประโยชน์ มีดังนี้
4.1 ถ่านหิน
ถ่านหิน (coal) เป็นเชื้อเพลิงธรรมชาติ หรือหินตะกอนชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการสะสมของซากพืชในยุค
ดึกด�าบรรพ์เป็นเวลานานจนเปลี่ยนสภาพเป็นถ่านหิน
1. การเกิดถ่านหิน ถ่านหินเกิดขึ้นบริเวณหนอง บึง แอ่งน�้า หรือ Science in Real Life
ที่ชื้นแฉะ ริมแม่น�้า ริมทะเล ซึ่งเป็นบริเวณที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ประเทศไทยมี ป ริ ม าณส� า รอง
ต่อการเจริญเติบโตของพืช เกิดวงชีวิตวนต่อเนื่องกันจนเกิดการสะสมของ ถ่านหินมากกว่า 2,000 ล้านตัน โดย
ซากพืช และทับถมเป็นจ�านวนมาก เมื่อบริเวณนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง แหล่ ง ถ่ า นหิ น ส่ ว นใหญ่ จ ะอยู ่ บ ริ เ วณ
แนวตอบ Understanding Check ธรณี แผ่นดินจะทรุดตัวลง ท�าให้สภาพแวดล้อมเปลีย่ นแปลงไป เช่น น�า้ ท่วม ตอนเหนือของประเทศ เช่น จังหวัดเลยใน
1. ถูก 2. ถูก 3. ผิด การเคลื่อนไหวของเปลือกโลก ส่งผลให้ซากพืชต่าง ๆ ได้รับความร้อนและ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะพบลิกไนต์
4. ถูก 5. ถูก แรงกดดันจากภายในโลกและเกิดการเปลีย่ นแปลงทางเคมีและฟิสกิ ส์ ซากพืช ซับบิทูมินัส และบิทูมินัส นอกจากนี้
ยังพบแอนทราไซต์ในปริมาณเล็กน้อย
เหล่านี้จึงแปรสภาพไปเป็นถ่านพีต ต่อมามีชั้นดินและหินมาทับถมคลุมชั้น
แนวตอบ Prior Knowledge ถ่านหินจนอยู่ในสภาพปัจจุบัน ดังภาพที่ 6.56
T122
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นักเรียนแบงกลุม ออกเปน 10 กลุม กลุม ละเทาๆ
กัน จากนั้นนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษา
พีต
ค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง ประเภทของ
ลิกไนต์ ถานหิน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.2
เลม 2 ซึ่งหัวขอประกอบดวย
1 บริเวณแอ่งน�า้ เหมาะต่อการ • กลุมที่ 1-2 ศึกษาเรื่อง พีต
เจริ ญ เติ บ โตของพื ช และ
ซากพืชที่ตายจะถูกทับถม • กลุมที่ 3-4 ศึกษาเรื่อง ลิกไนต
2 หลังจากเกิดการเปลีย่ นแปลง บิทูมินัส
กลายเป็นพีต
ทางธรณี พีตจะถูกกดและดัน แอนทราไซต์ • กลุมที่ 5-6 ศึกษาเรื่อง ซับบิทูมินัส
ลงสู่ชั้นดินที่ลึกมากขึ้น • กลุมที่ 7-8 ศึกษาเรื่อง บิทูมินัส
• กลุมที่ 9-10 ศึกษาเรื่อง แอนทราไซต
3 ความร้อนและแรงกดดันท�าให้ 4 ความร้อนทีส่ งู ขึน้ เร่งให้ถา่ นหิน
ถ่านหินแปรสภาพไปจากเดิม แปรสภาพอย่างรวดเร็ว 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
ศึกษา จากนั้นรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการ
ภาพที่ 6.56 กระบวนการเกิดถ่านหิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
2. ประเภทของถ่านหิน เมือ่ แบ่งประเภทของถ่านหินตามปริมาณคาร์บอน ค่าความร้อนเมือ่ ผ่านการเผาไหม้
และล�าดับการแปรเปลี่ยนสภาพ จะสามารถแบ่งถ่านหินออกเป็น 5 ชนิด ดังนี้
1) พีต (peat) มีลักษณะ ดังนี้
การเกิดถานหิน 109
T123
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผลการ 2) ลิกไนต (lignite) มีลักษณะ ดังนี้
ศึกษาคนควาหนาชัน้ เรียน ในระหวางทีน่ กั เรียน
นําเสนอ ครูคอยใหขอ เสนอแนะเพิม่ เติม เพือ่ ให
นักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตอง
2. นักเรียนและครูรว มกันอภิปรายและสรุปเกีย่ วกับ
ถานหินแตละประเภท ซึ่งไดขอสรุปรวมกันวา ภาพที่ 6.58 ลิกไนต
“ซากพื ช ที่ ถู ก ทั บ ถมลงไปใต ดิ น ในระดั บ ที่มา : คลังภาพ อจท.
110
T124
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
4) บิทูมินัส (bituminous) มีลักษณะ ดังนี้ 3. ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ยกตัวอยางการใช
ประโยชนจากถานหินทีพ่ บเห็นในชีวติ ประจําวัน
มาคนละ 1 ตัวอยาง
(แนวตอบ ตัวอยางการใชประโยชนจากถานหิน
เชน ผลิตถานโคกเทียม ถานกัมมันต ปุยยูเรีย
นํ้ามันดิบ)
ภาพที่ 6.60 บิทูมินัส 4. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง
ความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ ดังนี้
บิ ทู มิ นั ส เป น ถ า นหิ น ที่ มี อ ายุ ก ารถู ก • แหลงถานหินสวนใหญที่พบในประเทศไทย
ทับถมนานกวาซับบิทูมินัส และไดรับความกดดันสูง จะอยูในบริเวณใด
จนอัดตัวกันแนน มีเนื้อแนน สีดํา มีปริมาณคารบอน (แนวตอบ ภาคเหนือ)
รอยละ 80-90 และมีความชื้นรอยละ 2-7 มีคุณภาพ
ดีกวาลิกไนต เมือ่ เผาไหมแลวจะใหความรอนสูง นํามาใช • ถานหินที่พบในประเทศไทยสวนมากเปน
เปนเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมและโรงงานไฟฟา ประเภทใด
(แนวตอบ ลิกไนต ซับบิทูมินัส และบิทูมินัส)
5) แอนทราไซต (antracite) มีลักษณะ ดังนี้
ขยายความเข้าใจ
1. นั ก เรี ย นพิ จ ารณาตารางสมบั ติ ข องถ า นหิ น
ชนิดตางๆ จากนั้นครูทดสอบความเขาใจของ
นั ก เรี ย น โดยครู เ ขี ย นตารางประเภทของ
ภาพที่ 6.61 แอนทราไซต
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ถานหินบนกระดาน แลวสุมนักเรียน 1-2 คน
ออกมาเขี ย นลู ก ศรแสดงปริ ม าณความชื้ น
กับปริมาณคารบอน ดังนี้
ปริมาณ ปริมาณ
แอนทราไซตเปนถานหินที่มีอายุการ ประเภทของถานหิน
ทับยาวนานที่สุด มีสีดํา มีลักษณะเนื้อแนน เปนมันวาว คารบอน ความชืน้
นํ้าและแกสตาง ๆ ที่อยูภายในถานหินระเหยไปจนหมด พีต ตํ่า สูง
เหลือเพียงคารบอนเปนองคประกอบมากกวารอยละ 90 ลิกไนต
มีความชืน้ นอย ติดไฟยาก เมือ่ นํามาเผาไหมจะใหความ ซับบิทูมินัส
รอนสูง ไมมีควัน นํามาใชเปนเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรม
ตาง ๆ บิทูมินัส
โลกและการเปลี่ยนแปลง 111 แอนทราไซต สูง ตํ่า
T125
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
2. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ จะเห็นว่า ถ่านหินแต่ละประเภทมีสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังตารางที่ 6.2
เรื่ อ ง ถ า นหิ น และให ค วามรู เ พิ่ ม เติ ม จาก ตารางที่ 6.2 สมบัติของถ่านหินชนิดต่าง ๆ
คําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint ปริมาณความร้อนที่ได้จาก
ประเภทถ่านหิน ปริมาณคาร์บอน (%) ปริมาณความชื้น (%)
การเผาไหม้ (kcal/kg)
เรื่อง ถานหิน ในการอธิบายเพิ่มเติม
พีต 50-60 75-80 ต�่ากว่า 3,000
3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรื่อง ถานหิน
ลิกไนต์ 60-75 50-70 3,000-4,000
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ซับบิทูมินัส 75-80 25-30 4,500-5,500
112
รวม
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T126
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
4.2 หินน�้ามัน 1. ครูเตรียมบัตรภาพหินนํ้ามันมาใหนักเรียนดู
หินน�้ามัน (oil shale) เป็นเชื้อเพลิงธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการทับถมของซากพืชและซากสัตว์ภายใต้แหล่งน�้า จากนัน้ ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความสนใจ
เป็นเวลานาน มีสมบัติติดไฟได้
นั ก เรี ย น โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะคนร ว มกั น
1. การเกิดหินน�้ามัน มีกระบวนการเกิด ดังนี้ 1 อภิปรายแสดงความคิดเห็นอยางอิสระโดยไมมี
1) ซากพืชจ�าพวกสาหร่ายและสัตว์เล็ก ๆ เช่น แพลงก์ตอน ปลา จะจมลงสู่ใต้แหล่งน�้าและสะสม
พอกตัวเป็นชั้นอยู่ในแหล่งน�้าซึ่งมีปริมาณออกซิเจนน้อย การเฉลยวาถูกหรือผิด ดังนี้
2) เมื่อเวลาผ่านไปหลายล้านปี เปลือกโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงทรุดตัวลง ซากพืชและซากสัตว์รวมไป • หินในบัตรภาพมีลักษณะอยางไร
ถึงแร่ธาตุที่ผุพังมาจากชั้นหินซึ่งเป็นสารอนินทรีย์จะถูกทับถมลงไปลึกมากขึ้น (แนวตอบ เปนหินตะกอนทีม่ เี นือ้ ละเอียด มีสี
3) เมื่อเวลาผ่านไปภายใต้ความร้อน และความกดดันที่สูงขึ้น น�้าที่อยู่ภายในซากพืชและซากสัตว์ นํ้าตาลหรือสีนํ้าตาลไหม มีสารสีดําเปนชั้น
จะระเหยออกไปจนหมด สารอินทรีย์ที่อยู่ในซากพืชและซากสัตว์จะเปลี่ยนไปอยู่ในรูปของสารประกอบเคอโรเจน บางๆ แทรกอยูระหวางชั้นหินตะกอน)
4) สารประกอบเคอโรเจนเมื่อผสมกับตะกอนดินที่ถูกอัดแน่นจะกลายเป็นหินน�้ามัน ดังนั้น หินน�้ามัน
จึงเป็นหินตะกอนที่มีเนื้อละเอียด มีสีน�้าตาลหรือสีน�้าตาลไหม้ มีสารประกอบเคอโรเจน • หินในบัตรภาพมีความแตกตางจากถานหิน
(kerogen) สีด�าเป็นชั้นบาง ๆ แทรกอยู่ระหว่างชั้นหินตะกอนคล้ายกับหินที่เป็น อยางไร
แหล่งก�าเนิดปิโตรเลียม แต่หินน�้ามันมีปริมาณเคอโรเจนมากกว่า ดังภาพ (แนวตอบ ถานหินจะมีสคี ลํา้ แตหนิ นํา้ มันจะมี
ที่ 6.63 สารประกอบเคอโรเจนแทรกอยูเปนชั้นๆ)
2. นั ก เรี ย นดู วี ดิ ทั ศ น เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ ง หิ น นํ้ า มั น
แพลงก์ตอน ภาพที่ 6.63 ลักษณะของหินน�้ามันที่มี (จาก https://www.youtube.com/watch?v
เคอโรเจนเป็นองค์ประกอบ
ที่มา : cdn.shopify.com
=sjlhe1qt89Q)
ดินเหนียว
1 2 3 4
5°C
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. นั ก เรี ย นจั บ คู กั บ เพื่ อ นในชั้ น เรี ย น จากนั้ น
ร ว มกั น ศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
กระบวนการเกิดหินนํา้ มัน และการใชประโยชน
15°C จากหินนํ้ามัน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร
80°C ม.2 เลม 2 หรือใบความรู เรื่อง หินนํ้ามัน
2. นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ดศกึ ษา
120°C จากนั้นรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการศึกษา
ระยะเวลา คนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
3-600 ล้านป ปจจุบัน
ภาพที่ 6.64 กระบวนการเกิดหินน�้ามัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
โลกและการเปลี่ยนแปลง 113
T127
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3. ครูเตรียมบัตรภาพการคมนาคมรูปแบบตางๆ 2. การใช้ประโยชน์จากหินน�้ามัน ส่วนใหญ่นิยมน�าหินน�้ามัน Science in Real Life
ไปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังน�าไปเผาไหม้ด้วย ในปัจจุบันประเทศไทยสามารถ
มาใหนักเรียนดู จากนั้นครูตั้งประเด็นคําถาม ความร้อนทีม่ อี ณุ หภูมปิ ระมาณ 500 องศาเซลเซียส เพือ่ สกัดน�า้ มันและแก๊ส พบแหล่งหินน�้ามันได้ทางตอนบนของ
กระตุนความสนใจนักเรียน โดยใหนักเรียน ไฮโดรคาร์บอนออกจากหินน�้ามันเพื่อน�าไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ โดยหินน�้ามัน ประเทศ โดยเฉพาะที่แหล่งแม่ปะใต้
แตละคนรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น 1,000 กิโลกรัม สามารถสกัดน�้ามันได้ประมาณ 100 ลิตร และผลิตภัณฑ์ที่ อ�าเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึง่ เป็นแหล่ง
สะสมหินน�้ามันขนาดใหญ่ มีปริมาณ
อยางอิสระโดยไมมกี ารเฉลยวาถูกหรือผิด ดังนี้ ได้จากหินน�้ามัน ได้แก่ น�้ามันก๊าด น�้ามันตะเกียง พาราฟิน น�้ามันเชื้อเพลิง ส�ารอง 390 ล้านตัน จากทั้งแอ่งที่มี
• จากบัตรภาพ นักเรียนคิดวาการคมนาคม น�้ามันหล่อลื่น ไข แนฟทา และผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้อื่น ๆ เช่น ปริมาณหินน�้ามันสะสม 620 ล้านตัน
แอมโมเนียมซัลเฟต ส่วนขีเ้ ถ้าและกากทีเ่ หลือสามารถน�าไปใช้ในอุตสาหกรรม
ทางบก ทางนํา้ และทางอากาศ ใชเชือ้ เพลิง
ก่อสร้าง น�าไปผสมกับปูนซีเมนต์หรืออิฐเพือ่ ท�าให้วสั ดุกอ่ สร้างมีคณุ ภาพดีขนึ้
ชนิดเดียวกันหรือไม อยางไร
(แนวตอบ แตกตางกัน บางชนิดใชเปนนํา้ มัน 4.3 ปโตรเลียม
ซึ่ ง นํ้ า มั น แต ล ะชนิ ด มี อ งค ป ระกอบที่ ปิโตรเลียม (petroleum) เป็นเชือ้ เพลิงชนิดหนึง่ ทีเ่ กิดขึน้ เองตามธรรมชาติ ซึง่ เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
แตกตางกัน ขึ้นอยูกับประเภทของรถยนต ที่มีธาตุคาร์บอน (C) และไฮโดรเจน (H) เป็นองค์ประกอบหลัก และมีธาตุอื่น ๆ เช่น ก�ามะถัน (S) ออกซิเจน (O)
บางชนิด บางชนิดใชเปนแกส) ไนโตรเจน (N) อยู่ร่วมด้วย
• กิจกรรมใดในชีวิตประจําวันของนักเรียน 1. การเกิดปิโตรเลียม เกิดจากสัตว์ทะเลที่ตายเมื่อหลายร้อยล้านปีที่แล้วทับถมอยู่ใต้มหาสมุทรเป็น
ที่ใชเชื้อเพลิงจากปโตรเลียม จ�านวนมากจนกลายเป็นหินต้นก�าเนิด (source rock) เมื่อเวลาผ่านไปภายใต้ความร้อนและความดันสูง ท�าให้ไขมัน
จากซากพืชและซากสัตว์ที่อยู่ภายในหินต้นก�าเนิดสลายตัวเป็นน�้ามันปิโตรเลียม ประกอบกับมีแรงกดทับจาก
(แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียน เชน
ชั้นหินต่าง ๆ บีบให้ปิโตรเลียมขึ้นไปสะสมอยู่ในหินอุ้มปิโตรเลียม (reservoir rock) และมีหินปิดทับ (cap rock)
การขั บ เคลื่ อ นรถยนต การหุ ง ต ม อาหาร มาปิดกั้นไว้กลายเป็นแหล่งกักเก็บปิโตรเลียม (petroleum trap)
การจุดไฟตะเกียง)
4. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน จากนั้น
นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล 300-400 ล้านปที่แล้ว 50-100 ล้านปที่แล้ว ปจจุบัน
เกี่ยวกับเรื่อง การเกิดปโตรเลียมและประเภท
ของปโตรเลียม จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร
ม.2 เลม 2
5. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเรื่องที่ได
ศึกษา จากนั้นรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการ
ศึกษาคนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
114
T128
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
แหล่งกักเก็บปิโตรเลียมเกิดจากการเปลีย่ นรูปของชัน้ หินอุม้ ปิโตรเลียมและชัน้ หินปิดกัน้ เป็นรูปโครงสร้าง 1. ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอผลการศึกษา
ลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
คนควาหนาชัน้ เรียน โดยสุม ออกมาเพียง 4 กลุม
ซึ่งครูเปนคนเลือกวาจะใหกลุมไหนนําเสนอ
โครงสร้างแบบประทุนคว�่า
เกิดจากการหักงอของชั้นหิน ท�าให้มีรูปร่างโค้งคล้ายกระทะ เรื่องอะไร ตามหัวขอเรื่อง ดังนี้
คว�่าหรือหลังเต่า ปิโตรเลียมจะถูกกักเก็บอยู่บริเวณจุดสูงสุด • การเกิดปโตรเลียม
โครงสร้างแบบนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพในการกักเก็บน�้ามันได้ดี • ประเภทของปโตรเลียม
ที่สุด
2. ในระหวางทีน่ กั เรียนนําเสนอ ครูอาจเสนอแนะ
ภาพที่ 6.66 โครงสร้างแบบประทุนคว�่า หรือแทรกขอมูลเพิ่มเติมในเรื่องนั้นๆ เพื่อให
ที่มา : คลังภาพ อจท.
นักเรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตองมากยิง่ ขึน้
3. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม ให นั ก เรี ย นเข า ใจว า
โครงสร้างแบบรอยเลื่อน “ป โ ตรเลี ย มเป น เชื้ อ เพลิ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น เองตาม
เกิดจากการหักงอของชั้นหิน ส่งผลให้แนวการเคลื่อนที่ของ
ชั้นหินมีทิศทางที่แตกต่างกัน ท�าให้ปิโตรเลียมถูกกักเก็บอยู่ใน
ธรรมชาติ ซึ่งปโตรเลียมเกิดจากซากสัตวใน
ช่องที่ปิดกั้น ทะเลตายและจมลงสูพ นื้ ใตทะเล ทับถมนานกวา
หลายรอยป จนกลายเปนหินตนกําเนิด เมือ่ เวลา
ภาพที่ 6.67 โครงสร้างแบบรอยเลื่อน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ผานไปเนือ่ งจากความรอนและแรงกดดัน ทําให
ไขมันจากซากพืชและซากสัตวเหลานีส้ ลายตัว
เปนนํา้ มันปโตรเลียม”
โครงสร้างแบบรูปโดม
เกิดจากชัน้ หินถูกดันให้โก่งตัวด้วยแร่เกลือจนเกิดลักษณะคล้าย
กับโครงสร้างกระทะคว�า่ อันใหญ่ ท�าให้ปโิ ตรเลียมถูกกักเก็บอยู่
บริเวณด้านข้างของโดม
โครงสร้างแบบล�าดับชั้น
เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของผิวโลก
ในอดีต ชั้นหินกักเก็บน�้ามันจะถูกล้อมเป็นกระเปาะอยู่ระหว่าง
ชั้นหินเนื้อแน่น น�้ามันและแก๊สจะเคลื่อนเข้าไปรวมตัวกันอยู่ใน
ส่วนโค้งก้นกระทะ โดยมีชั้นหินเนื้อแน่นปิดทับอยู่
โลกและการเปลี่ยนแปลง 115
T129
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
4. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน 2. ประเภทของปิโตรเลียม เมื่อใช้สถานะเป็นเกณฑ์ จะสามารถแบ่งปิโตรเลียมออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง 1) น�้ามันดิบ เป็นปิโตรเลียมที่มีสถานะเป็นของเหลว มีสารไฮโดรคาร์บอนเป็นองค์ประกอบอยู่
จ�านวนมาก ส่งผลให้ภายหลังการเผาไหม้จะได้พลังงานสูง มีกลิ่นคล้ายน�้ามันเชื้อเพลิงส�าเร็จรูป แต่บางชนิดจะมี
ความคิดเห็นเพื่อหาคําตอบ ดังนี้ กลิ่นของสารที่เจือปนด้วย เช่น กลิ่นก�ามะถัน กลิ่นไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือแก๊สไข่เน่า
• ปโตรเลียมเกิดขึ้นไดอยางไร โดยทั่วไปน�า้ มันดิบที่สบู ขึ้นมาจะเข้าสูโ่ รงกลั่นน�า้ มันทีม่ ีหอกลัน่ น�้ามัน เนือ่ งจากน�า้ มันดิบไม่สามารถ
(แนวตอบ ปโตรเลียมเกิดจากการทับถมของ น�ามาใช้ประโยชน์ได้ทันที จ�าเป็นต้องผ่านกระบวนการกลั่นล�าดับส่วนก่อนน�าไปใช้งาน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่
ซากพื ช และซากสั ต ว ท ะเลในอดี ต ที่ ต าย เหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์ ดังภาพที่ 6.70
เมื่ อ หลายป ที่ แ ล ว เกิ ด การทั บ ถมอยู ใ ต
กระบวนการกลั่นน�้ามันดิบ
มหาสมุทรเปนจํานวนมาก และจมลงใตผิว
C1-4
โลกตามการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก) แกสปโตรเลียม
• การสํารวจปโตรเลียมทําไดอยางไร แก๊สบรรจุในกระป๋อง
( แนวตอบ การสํ า รวจป โ ตรเลี ย มต อ งใช 20°C C5-9
แนฟทาเบา
เทคโนโลยีและตนทุนสูง ซึ่งประกอบดวย 3 C5-10 70°C ตัวท�าละลาย
แนฟทาหนัก
ขัน้ ตอน ไดแก การสํารวจทางธรณีวทิ ยา การ เชื้อเพลิงในรถยนต์
สํารวจทางธรณีฟส กิ ส และการเจาะสํารวจ) 120°C C10-16
น�า้ มันกาด
• ปโตรเลียมแบงออกเปนกีป่ ระเภท อะไรบาง C14-20 170°C น�้ามันเครื่องบิน
(แนวตอบ แบงเปน 2 ประเภท ไดแก นํา้ มันดิบ น�า้ มันดีเซล น�้ามันพาราฟิน
น�้ามันดีเซล ส�าหรับ
และแกสธรรมชาติ) เครื่องยนต์ 270°C C20-50
น�า้ มันหล่อลืน
่
C20-70 350°C จาระบีและน�้ามันเครื่อง
ไขน�า้ มันเตา
เทียนไข เชื้อเพลิงในเรือ
และโรงงานอุตสาหกรรม 600°C >C70
บิทเู มน
ยางมะตอย
น�้ามันดิบ
T130
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
2) แกสธรรมชาติ เปนปโตรเลียมที่มีสถานะเปนแกส โดยแกสธรรมชาติที่ขุดเจาะขึ้นมาจากใตพื้นดิน 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
มี 2 ชนิด ดังนี้
- แกสธรรมชาติเหลว (wet gas) ไดแก โพรเพน บิวเทน เพนเทน และเฮกเซน โดยแกสเหลานี้
เรื่อง หินนํ้ามันและปโตรเลียม และใหความรู
จะกลายเปนของเหลวไดงายที่อุณหภูมิตํ่าและความดันสูง ซึ่งสงผลใหกระบวนการขนสงทําไดลําบาก เพิ่มเติมจากคําถามของนักเรียน โดยครูใช
- แกสธรรมชาติ (dry gas) สวนใหญเปนแกสมีเทนเกือบรอยเปอรเซ็นต ทําใหมีราคาสูงกวาแกส PowerPoint เรื่อง หินนํ้ามันและปโตรเลียม
ธรรมชาติชนิดอื่น ในการอธิบายเพิ่มเติม
ดังนั้น กอนการนําแกสธรรมชาติไปใชจําเปนตองผานกระบวนการแยกแกสธรรมชาติที่โรงแยก 2. นักเรียนแตละคนวาดภาพกระบวนการกลั่น
แกสกอน ซึ่งเปนการแยกสารประกอบไฮโดรคารบอนที่ปะปนอยูตามธรรมชาติออกเปนแกสชนิดตาง ๆ เพื่อนําไป นํ้ า มั น ดิ บ และเขี ย นผลิ ต ภั ณ ฑ ที่ ไ ด จ ากการ
ใชประโยชน ดังภาพ
กลัน่ นํา้ มันดิบลงในกระดาษ A4 พรอมตกแตง
เชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟา ใหสวยงาม
C1 3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง หินนํา้ มัน
เชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม และปโตรเลียม จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
ม.2 เลม 2
แกสธรรมชาติสาํ หรับรถยนต (CNG)
C3, C4
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
แกสปโตรเลียมเหลวใชเปนเชื้อเพลิงในครัวเรือน หินนํ้ามันและปโตรเลียม
และยานพาหนะ
C5
แกสโซลีนธรรมชาตินําไปผสมเปนนํ้ามันเบนซิน ขัน้ ประเมิน
CO2 ตรวจสอบผล
แกสคารบอนไดออกไซดใชในอุตสาหกรรมผลิตนํ้าอัดลม
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
โรงแยกแกสธรรมชาติ
ภาพที่ 6.71 กระบวนการแยกแกสธรรมชาติ ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ที่มา : https://sites.google.com
Science พฤติกรรมการทํางานกลุม และจากการนําเสนอ
Focus กระบวนการแยกแกสธรรมชาติ ผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
กระบวนการแยกแกสธรรมชาติมีขั้นตอน ดังนี้ 2. ครูตรวจภาพวาดกระบวนการกลั่นนํ้ามันดิบ
1. กําจัดสารปรอท เพื่อปองกันการผุกรอนของทอจากการรวมตัวกับปรอท
2. กําจัดแกส H2S และ CO2 เพื่อปองกันการผุกรอนและอุดตันทอสงแกส 3. ครู ต รวจแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง หิ น นํ้ า มั น และ
3. กําจัดความชื้น เนื่องจากเมื่ออุณหภูมิตํ่าลง ความชื้นหรือไอนํ้าจะกลายเปนนํ้าแข็งอุดตันทอสงแกส ปโตรเลียม จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2
4. แกสธรรมชาติที่ผานขั้นตอนแยกสารประกอบใหมีเพียงสารประกอบไฮโดรคารบอนเทานั้น จะถูกสงไปลดอุณหภูมิ เลม 2
และทําใหขยายตัวอยางรวดเร็ว แกสจะเปลี่ยนสถานะเปนของเหลว จากนั้นสงตอไปยังหอกลั่นเพื่อแยกแกสมีเทน
ออกจากแกสธรรมชาติ
โลกและการเปลี่ยนแปลง 117
ชื่อ–สกุล
การแสดง การยอมรับฟัง
การทางาน
ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
การมี
ส่วนร่วมใน รวม
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน
ลาดับที่
1
รายการประเมิน
ความถูกต้องของเนื้อหา
3
ระดับคะแนน
2 1
ใชประโยชนจําเปนตองผานกระบวนการแยกแกส เพื่อกําจัดสาร
ลาดับที่ ความคิดเห็น คนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน 2 ความคิดสร้างสรรค์
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 วิธีการนาเสนอผลงาน
4 การนาไปใช้ประโยชน์
5 การตรงต่อเวลา
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T131
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. นักเรียนดูวีดิทัศนเกี่ยวกับเรื่อง ปรากฏการณ 4.4 ผลกระทบที่เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์
เรือนกระจก (จาก https://www.youtube. การเผาไหม้เชือ้ เพลิงซากดึกด�าบรรพ์ เช่น ถ่านหิน แก๊สธรรมชาติ น�า้ มัน เพือ่ น�ามาใช้ประโยชน์กอ่ ให้เกิดมลพิษ
ทางอากาศซึง่ เป็นสาเหตุให้เกิดปรากฏการณ์ทมี่ ผี ลต่อการเปลีย่ นแปลงภูมอิ ากาศของโลกและทรัพยากรธรรมชาติทม่ี ี
com/watch?v=jUkWypOxKbM) จากนั้นครู อยูเ่ ดิม เนือ่ งจากการเผาไหม้เชือ้ เพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมล้วนก่อให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นหลัก
สนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับสาเหตุท่ีทําใหเกิด รวมทั้งการเผาไหม้สารไฮโดรคาร์บอนต่าง ๆ ที่มีอยู่ในน�้ามันจะก่อให้เกิดแก๊สมีเทน (CH4) ซึ่งแก๊สเหล่านี้มีสมบัติ
ปรากฏการณเรือนกระจกและปญหาหมอกควัน เป็นแก๊สเรือนกระจก เมื่อลอยขึ้นไปสะสมในชั้นบรรยากาศเป็นจ�านวนมาก จะกักเก็บพลังงานความร้ 1 อนที่ได้รับจาก
2. ครูถามคําถาม จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร แสงอาทิตย์ไม่ให้สะท้อนออกไปยังนอกโลก เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (green house effect)
ม.2 เลม 2 วา “ผลกระทบที่เกิดจากการนํา ส่งผลให้อุณหภูมิภายในโลกเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ เป็นสาเหตุท�าให้เกิดภาวะโลกร้อน (2global warming)
เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพมาใชมีอะไรบาง” ภาวะโลกร้อนท�าให้ภูเขาน�้าแข็งและธารน�้าแข็ง
โดยใหนักเรียนรวมกันอภิปรายแสดงความคิด แถบขัว้ โลกละลาย ระดับน�า้ ทะเลจึงเพิม่ สูงขึน้ เป็นสาเหตุ
เห็นอยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด ให้เกิดอุทกภัยในหลายประเทศ และสัตว์บางชนิดไม่มที อี่ ยู่
(แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียนและ อาศัยและเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ นอกจากนี้ ภาวะโลกร้อน
ดุลยพินจิ ของครูผสู อน ตัวอยางเชน เกิดควันพิษ ยังส่งผลให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนและรุนแรงมากขึน้
เช่น คลื่นความร้อน ความแห้งแล้ง พายุหมุนซึ่งมีความ
CO2 เกิดแกส CO สงผลใหเกิดภาวะโลกรอน) รุนแรงและเกิดขึ้นบ่อย
ขัน้ สอน นอกจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงแล้ว ยังพบว่า ภาพที่ 6.72 วิกฤตการณ์น�้าท่วมกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2554
สํารวจค้นหา ปัจจุบนั มนุษย์ใช้ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม เช่น กล่องโฟม ที่มา : คลังภาพ อจท.
พลาสติกต่าง ๆ จ�านวนมากขึ้นซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจาก
1. นักเรียนแตละคนสํารวจผลกระทบทีเ่ กิดขึน้ จาก ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ย่อยสลายได้ยาก และไม่สามารถท�าลายได้ด้วยการเผา ผลกระทบที ่เกิดจาก
การนําเชื้อเพลิง
การใชเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพภายในชุมชน เนื่องจากการเผาจะส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง และก่อให้เกิดแก๊สพิษต่าง ๆ ซากดึกดําบรรพมาใช
หรือบริเวณใกลตัวของนักเรียน โดยบันทึก เช่น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ที่ มีอะไรบาง
ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน ยากต่อการก�าจัด
2. นักเรียนจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียน จากนั้นให
นักเรียนแตละคูรวมกันศึกษาคนควาขอมูล
เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง ผลกระทบที่ เ กิ ด จากการใช
เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
3. นักเรียนแตละคูร ว มกันอภิปรายเรือ่ งทีไ่ ดศกึ ษา
จากนั้นรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการศึกษา
คนควาลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
ภาพที่ 6.73 ปริมาณขยะที่มีแนวโน้มมากขึ้นตามจ�านวนประชากรที่เพิ่มขึ้น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
118
T132
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
การเผาไหม้เชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรมทั่วไปของมนุษย์ยังก่อให้เกิดแก๊สซัลเฟอร์- 1. ครูสมุ นักเรียน 5 คน ออกมานําเสนอผลจากการ
ไดออกไซด์ (SO2) และออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) เมือ่ แก๊สท�าปฏิกริ ยิ ากับน�า้ ในชัน้ บรรยากาศจะเกิดเป็นกรดซัลฟิวริก
สํารวจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใชเชื้อเพลิง
(H2SO4) และกรดไนตริก (HNO3) ตามล�าดับ แล้วตกกลับลงมาสู่พื้นผิวโลกในรูปของฝน เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า
ฝนกรด (acid rain) ซึง่ เป็นสาเหตุทา� ให้เกิดการสะสมของสารพิษในทรัพยากรธรรมชาติ ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร ซากดึ ก ดํ า บรรพ ภ ายในชุ ม ชนหน า ชั้ น เรี ย น
ในระบบนิเวศ และสร้างความเสียหายให้กับพืชผลทางการเกษตร และสิ่งก่อสร้างอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ในระหวางทีน่ กั เรียนนําเสนอ ครูอาจเสนอแนะ
กระบวนการเตรียมถ่านหินในโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
ยังก่อให้เกิดฝุน่ ละอองซึง่ ประกอบด้วยสารปรอท เรเดียม 2. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายและสรุปผล
ยูเรเนียม รวมทัง้ โลหะหนัก เช่น ตะกัว่ สารหนู แคดเมียม จากการสํารวจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช
โครเมียม เมื่อสัมผัสหรือสูดดมกับฝุ่นละอองเหล่านี้
เชื้ อ เพลิ ง ซากดึ ก ดํ า บรรพ ภ ายในชุ ม ชน
เข้าไปจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ ก่อให้เกิด
การระคายเคืองต่อผิวหนัง ตา จมูก และคอ ท�าลายระบบ ซึ่ ง ควรได ข อ สรุ ป ร ว มกั น ว า “การเผาไหม
ประสาทและสมอง ท�าลายตับ ท�าลายระบบภูมิคุ้มกัน เชื้อเพลิงสวนใหญจะกอใหเกิดแกสคารบอน
เป็นสารก่อมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ท�าให้เกิดโรคผิวหนัง ไดออกไซด ซึ่งเปนแกสที่มีสมบัติเปนแกส
โรคโลหิตจาง โรคไต และท�าให้มือ แขน และขาอ่อนแรง เรือนกระจกกอใหเกิดปรากฏการณเรือนกระจก
ภาพที่ 6.74 การเตรียมและการล้างถ่านหิน รวมทั้งส่งผลกระทบต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ ทําใหโลกเกิดภาวะโลกรอนตามมา นอกจากนี้
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แก ส คาร บ อนไดออกไซด เ มื่ อ รวมกั บ นํ้ า ใน
บรรยากาศหรือนํ้าฝนจะตกลงมาเปนฝนกรด
ทํ า ลายพื ช ผลทางการเกษตรและทํ า ลาย
สิ่งกอสรางอาคารบานเรือน”
3. ครูตงั้ ประเด็นคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
วา “แนวทางการใชเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ
มีอะไรบาง”
(แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียนและ
ดุลยพินิจของครูผูสอน ตัวอยางเชน การใช
แผงเซลลสุริยะมาใชผลิตกระแสไฟฟาแทน
การใช พ ลั ง งานจากการเผาไหม เ ชื้ อ เพลิ ง
ซากดึกดําบรรพ)
โลกและการเปลี่ยนแปลง 119
ลม ถานหิน เชื้อเพลิง
แสงอาทิตย ซากดึกดําบรรพ
T133
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 4 คน จากนัน้ รวมกัน ในปัจจุบนั จึงมีการน�าเอาเทคโนโลยีทช่ี ว่ ยลดการใช้เชือ้ เพลิงเข้ามาควบคุมกระบวนการผลิต เพือ่ ช่วยลดมลพิษ
ทางอากาศ เช่น เทคโนโลยีถา่ นหินสะอาด (clean coal technology) ซึง่ เป็นกระบวนการดูแลสิง่ แวดล้อมทีค่ รอบคลุม
ศึ ก ษาค น คว า ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ กรณี ศึ ก ษา
ขั้นตอนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
ผลกระทบทีเ่ กิดขึน้ จากโรงไฟฟาถานหินแมเมาะ 1. ขัน้ ตอนก่อนการเผาไหม้ เลือกใช้ถา่ นหินทีค่ ณุ ภาพดี เช่น ซับบิท-ู
จากแหลงการเรียนรูตางๆ เชน อินเทอรเน็ต มินัส บิทูมินัส ที่ให้ความร้อนสูง แต่มีปริมาณก�ามะถันต�่า และใช้เทคโนโลยี
แลววิเคราะหเหตุการณและบรรยายผลกระทบ ท�าความสะอาดถ่านหิน เพื่อลดปริมาณแก๊ส SO2
ที่ เ กิ ด ขึ้ น พร อ มนํ า เสนอแนวทางการใช 2. ขั้นตอนระหว่างการเผาไหม้ ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและปรับปรุง
เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพลงในกระดาษ A4 ระบบเตาเผาและหม้อน�า้ ให้มปี ระสิทธิภาพมากขึน้ เพือ่ ลดมลภาวะทีเ่ กิดจาก
2. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ การเผาไหม้
เรื่ อ ง ผลกระทบจากการใช เ ชื้ อ เพลิ ง ซาก 3. ขัน้ ตอนหลังการเผาไหม้ ควบคุมมลภาวะทีป่ ล่อยออกจากโรงงาน
ด้วยการใช้เทคโนโลยี เช่น เครื่องดักจับฝุ่นละออง เครื่องก�าจัดแก๊สพิษ เพื่อ
ดึกดําบรรพ และใหความรูเ พิม่ เติมจากคําถาม ควบคุมให้ควันที่ออกจากโรงงานมีฝุ่นละอองไม่เกิน 80 mg/m3 SO2 ไม่เกิน ภาพที่ 6.76 โรงไฟฟ้ากระบี่ใช้เชื้อเพลิงที่มี
ของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint เรื่อง 180 mg/m3 และ NO2 ไม่เกิน 220 mg/m3 ก�ามะถันต�่า และมีระบบก�าจัดแก๊ส SO2
ที่มา : www.egat.co.th
ผลกระทบจากการใชเชือ้ เพลิงซากดึกดําบรรพ จะเห็นว่า การน�าเชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์มาใช้ประโยชน์ควรค�านึง
ในการอธิบายเพิ่มเติม ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เชื้อเพลิง
3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง ผลกระทบ ซากดึกด�าบรรพ์ยังเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไปเนื่องจากต้องใช้เวลานาน
จากการใช เ ชื้ อ เพลิ ง ซากดึ ก ดํ า บรรพ จาก หลายปีจึงจะเกิดขึ้นใหม่ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ ดังนั้น
เราจึงควรช่วยกันรณรงค์และอนุรกั ษ์พลังงานโดยการสร้างค่านิยมและปลูกจิต
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ส�านึกในการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า ต้องมีการวางแผนก่อนการใช้ และ แนวทางการใชเชื้อเพลิง
ซากดึกดําบรรพ
ควบคุมการใช้พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ขัน้ สรุป รวมทั้งมีการน�าเอาวัสดุที่ช�ารุดมาซ่อมแซม เพื่อหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่
มีอะไรบาง
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
2. ครูตรวจแบบฝกหัด เรื่อง ผลกระทบจากการ ภาพที่ 6.77 ทุ่งกังหันลมผลิตไฟฟ้า ณ โครงการชั่งหัวมัน ภาพที่ 6.78 การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติกเพื่อช่วยลดปริมาณขยะ
ที่มา : http://changhuaman9.blogspot.com ที่มา : mypost.com
ใชเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ จากแบบฝกหัด
120
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
ลาดับที่ รายการประเมิน
3
ระดับคะแนน
2 1
(วิเคราะหคําตอบ ผลกระทบที่ เ กิ ด ขึ้ น จากการใช เ ชื้ อ เพลิ ง
ซากดึกดําบรรพมีมากมาย เชน เกิดมลพิษตอสุขภาพและทําลาย
1 ความถูกต้องของเนื้อหา
2 ความคิดสร้างสรรค์
3 วิธีการนาเสนอผลงาน
4 การนาไปใช้ประโยชน์
5 การตรงต่อเวลา
รวม
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T134
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
พลังงานทดแทน เป็นพลังงานทางเลือกใหม่ที่ใช้แทนพลังงานที่ได้จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์ 1. ครูพูดคุยสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับเครื่องใช
ในปัจจุบนั พลังงานทดแทนได้รบั ความนิยมเป็นอย่างมาก เนือ่ งจากเป็นพลังงานทีม่ อี ยูต่ ามธรรมชาติ ซึง่ เป็นพลังงาน
สะอาดที่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ จึงน�าพลังงานกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างไม่จ�ากัด เรียกว่า พลังงาน
ไฟฟาภายในบานที่อํานวยความสะดวกสบาย
หมุนเวียน (renewable energy) สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงานและช่วยลดปัญหาทางมลพิษได้ จากนั้นครูใหนักเรียนยกตัวอยาง มาคนละ
พลังงานทดแทนมีหลายประเภท ดังนี้ 1 ตัวอยาง
1. พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานทดแทน (แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบนักเรียน ตัวอยาง
ประเภทหมุนเวียนที่ใช้แล้วเกิดขึ้นใหม่ได้ตามธรรมชาติ เชน พัดลม เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผา)
เป็นพลังงานทีส่ ะอาด ปราศจากมลพิษ มนุษย์ใช้ประโยชน์ 2. นักเรียนดูวีดิทัศนเกี่ยวกับพลังงาน เรื่อง ถา
จากการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า
ด้วยเทคโนโลยีแสงอาทิตย์ เรียกว่า เซลล์สุริยะหรือ
ไมมีไฟฟาใช (จาก https://www.youtube.
เซลล์แสงอาทิตย์ (solar cell) com/watch?v=OXqN_b4sqLI) จากนั้นครู
ข้อจ�ากัด ความเข้มของพลังงานแสงไม่เพียงพอต่อการ ตั้งประเด็นคําถามกระตุนความสนใจนักเรียน
ผลิตกระแสไฟฟ้า จึงต้องใช้เซลล์แสงอาทิตย์จ�านวน โดยใหนกั เรียนแตละคนรวมกันอภิปรายแสดง
มาก และพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ความคิดเห็นอยางอิสระโดยไมมีการเฉลยวา
ภาพที่ 6.79 แผงเซลล์สุริยะผลิตกระแสไฟฟ้าไว้ใช้ภายในบ้าน ดังนั้น พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จะแปรผันตามสภาพ ถูกหรือผิด ดังนี้
ที่มา : คลังภาพ อจท. อากาศ • ถาหากพลังไฟฟาหมดไป นักเรียนจะใชชวี ติ
2. พลังงานลม เป็นพลังงานธรรมชาติซึ่งเกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ ความกดอากาศ และแรง อยางไร
จากการหมุนของโลก ส่งผลให้เกิดความเร็วลมและก�าลังลม พลังงานลมเป็นพลังงานสะอาดที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ (แนวตอบ ขึน้ อยูก บั ความคิดเห็นของนักเรียน)
ต่อสิ่งแวดล้อม มนุษย์จึงคิดค้นเทคโนโลยีที่ใช้แปลงพลังงานลมให้เป็นพลังงานกลหรือกังหันลม เพื่อใช้ในการสูบน�้า
ผลิตกระแสไฟฟ้า และระบายอากาศ • ถาหากพลังไฟฟาหมดไป นักเรียนจะมีวิธี
ข้อจ�ากัด พลังงานลมทีเ่ พียงพอต่อการผลิตกระแสไฟฟ้าต้องใช้ความเร็วลม 21 กิโลเมตรต่อชัว่ โมงขึน้ ไป ซึง่ มีเฉพาะ การแกไขปญหาอยางไร
ในบางพื้นที่ และเกิดขึ้นในบางช่วงเวลาหรือบางฤดูกาลเท่านั้น (แนวตอบ ใชพลังงานธรรมชาติหรือพลังงาน
ทดแทน)
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
นักเรียนแตละคนศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับ
เรื่อง พลังงานทดแทน และขอจํากัดของพลังงาน
ทดแทนแตละประเภท จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร
ม.2 เลม 2 จากนัน้ ใหนกั เรียนเลือกพลังงานทดแทน
มาคนละ 1 ประเภท แลวสรุปขอมูลที่ไดลงใน
ภาพที่ 6.80 กังหันลมผลิตไฟฟ้า
ที่มา : คลังภาพ อจท. กระดาษ A4 พรอมตกแตงใหสวยงาม
โลกและการเปลี่ยนแปลง 121
T135
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสุมนักเรียน 7 คน ออกมานําเสนอขอมูล 3. พลังงานน�า้ เป็นพลังงานรูปแบบหนึง่ ทีอ่ าศัย
การเคลื่อนที่ของน�้าไปขับเคลื่อนเครื่องจักรในโรงงาน
เกีย่ วกับเรือ่ ง พลังงานทดแทน ซึง่ มีหวั ขอ ดังนี้ สีข้าว โรงงานทอผ้า โรงงานเลื่อยไม้ และโรงงาน
• พลังงานแสงอาทิตย อุตสาหกรรมต่าง ๆ ในปัจจุบันนิยมน�ามาใช้ในการผลิต
• พลังงานลม กระแสไฟฟ้า ซึ่งเรียกว่า ไฟฟ้าพลังน�้า โดยน�้าที่ใช้จะ
• พลังงานนํ้า ถูกปล่อยกลับคืนสูแ่ หล่งน�า้ หรือทะเล ดังนัน้ พลังงานน�า้
• พลังงานชีวมวล จึงสามารถหมุนเวียนน�ากลับมาใช้ใหม่ได้
• พลังงานคลื่น ข้อจ�ากัด ต้องใช้พื้นที่มากในการสร้างเขื่อนซึ่งเป็นการ
ท�าลายสิ่งแวดล้อม และต้องใช้เงินลงทุนสูง นอกจากนี้
• พลังงานความรอนใตพิภพ ภาพที่ 6.81 พลังงานน�้าผลิตกระแสไฟฟ้า
ถ้าเขื่อนพังทลายอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรง
• พลังงานไฮโดรเจน ที่มา : คลังภาพ อจท.
4. พลังงานชีวมวล เป็นพลังงานทีม่ าจากการเผาไหม้สารอินทรียซ์ งึ่ เป็นแหล่งกักเก็บพลังงานจากธรรมชาติ
2. ขณะทีน่ กั เรียนกําลังนําเสนอ ครูอาจเสนอแนะ เพือ่ เป็นแหล่งพลังงานความร้อนให้กบั กระบวนการผลิ ตไฟฟ้าทดแทนพลังงานเชื
หรือแทรกขอมูลเพิ่มเติมในเรื่องนั้นๆ เพื่อให 1 2 อ้ เพลิง นอกจากนี้ ยังสามารถแปรรูป
พลังงานชีวมวลให้อยู่ในรูปของแก๊สชีวภาพ (biogas) และเชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuel) เพื่อน�ามาใช้ขับเคลื่อนรถยนต์
นักเรียนมีความเขาใจที่ถูกตองมากยิ่งขึ้น ข้อจ�ากัด ชีวมวลเป็นวัสดุที่เหลือใช้จากการแปรรูปทางการเกษตรจึงมีปริมาณที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้า
3. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับเรื่อง อากาศ และการเก็บรักษาชีวมวลค่อนข้างท�าได้ยาก หากจัดเก็บชีวมวลไม่ดีจะส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นรบกวนได้ และ
พลังงานทดแทน และขอจํากัดของพลังงาน มีความเสี่ยงสูงในการจัดหา เนื่องจากราคาชีวมวลมีแนวโน้มสูงขึ้น
ทดแทน ซึ่งควรไดขอสรุปรวมกันวา “พลังงาน 5. พลังงานคลื่น เป็นพลังงานจากคลื่นน�้าใน
ทดแทน เปนพลังงานหมุนเวียนที่สามารถนํา มหาสมุทรซึง่ เป็นแหล่งพลังงานศักย์ขนาดใหญ่สามารถ
น�ามาผลิตกระแสไฟฟ้าได้
กลับมาใชใหมได ซึ่งเปนพลังงานที่สามารถ
ข้อจ�ากัด อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าจาก
สรางขึน้ ใหมไดในระยะเวลาสัน้ ๆ เชน พลังงาน พลังงานคลื่นอาจได้รับความเสียหายจากน�้าทะเล ซึ่ง
แสง พลังงานนํ้า พลังงานลม พลังงานแตละ มีสมบัติกัดกร่อนโลหะ สิ่งมีชีวิตในน�้าทะเลมาเกาะบน
ประเภทล ว นมี ข อ ดี ที่ เ หมื อ นกั น คื อ เป น อุปกรณ์และขัดขวางการท�างานของอุปกรณ์ ซึ่งเป็น
พลังงานสะอาดและเปนพลังงานที่มีอยูตาม ปัญหาแก่ระบบการผลิตได้ นอกจากนี้ ปัญหาลมพายุ
ธรรมชาติ สามารถสรางขึน้ ใหมไดในระยะเวลา และคลื่นที่แรงมากเกินไปจะท�าให้เกิดความเสียหายกับ ภาพที่ 6.82 อุปกรณ์ผลิตพลัังงานจากคลื่น
อุปกรณ์ และพื้นที่ที่ใช้ติดตั้งอุปกรณ์ต้องมีคลื่นเกิดขึ้น
สัน้ ๆ แตพลังงานแตละประเภทลวนมีขอ จํากัด ที่มา : คลังภาพ อจท.
อย่างสม�่าเสมอ และมีความแรงระดับหนึ่งจึงจะสามารถ
ที่แตกตางกัน” ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้
HOTS พลังงานทดแทนที่นํา
(ค�าถามท้าทายการคิดขั้นสูง)
มาใชผลิตกระแสไฟฟา
เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์กับ ไดแกอะไรบาง
พลังงานทดแทน มีความเหมือน
แนวตอบ H.O.T.S. หรือแตกต่างกัน อย่างไร
เหมือนกัน คือ เปนแหลงพลังงาน แตตางกันที่
เชือ้ เพลิงซากดึกดําบรรพเปนพลังงานทีใ่ ชแลวหมด 122
ไป แตพลังงานทดแทนสามารถนํากลับมาใชใหมได
T136
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
6. พลังงานความร้อนใต้พิภพ เกิดจากการ 1 1. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามเนือ้ หาเกีย่ วกับ
เคลื่อนตัวของเปลือกโลกท�าให้เกิดแนวรอยเลื่อน น�้าที่
เรื่อง พลังงานทดแทน และใหความรูเพิ่มเติม
อยูบ่ นดินจะไหลผ่านตามแนวรอยแยกลงไปสูช่ นั้ ใต้พภิ พ
ภายใต้ความร้อนและความดันสูง ส่งผลให้น�้ามีอุณหภูมิ จากคําถามของนักเรียน โดยครูใช PowerPoint
สูงขึ้นกลายเป็นน�้าร้อนหรือไอน�้าแทรกขึ้นมาบนผิวดิน เรื่อง พลังงานทดแทน ในการอธิบายเพิ่มเติม
ตามรอยเลื่อนที่แตกสามารถน�ามาผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 2. นักเรียนทํา Topic Question เรื่อง เชื้อเพลิง
ข้อจ�ากัด พลังงานความร้อนใต้พภิ พเกิดขึน้ เฉพาะท้องถิน่ ซากดึกดําบรรพ จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร
ทีม่ แี หล่งความร้อนใต้พภิ พอยูเ่ ท่านัน้ เช่น ภาคเหนือของ ม.2 เลม 2 ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
ประเทศไทย ซึ่งบริเวณที่มีพลังงานนี้อาจมีกลิ่นเหม็น ภาพที่ 6.83 ไอน�้าร้อนที่พุ่งขึ้นมาบนผิวดินตามรอยเลื่อนของ
3. นักเรียนแตละคนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง พลังงาน
เนื่องมาจากแก๊สเหล่านี้มีส่วนประกอบที่เป็นแก๊สพิษ เปลือกโลก
และแก๊สกัดกร่อน เช่น แก๊สไข่เน่า แก๊สแอมโมเนีย
ที่มา : คลังภาพ อจท. ทดแทน จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
แก๊สเรดอน
7. พลังงานไฮโดรเจน ไฮโดรเจนเป็นธาตุทเี่ บาทีส่ ดุ และเป็นองค์ประกอบของน�า้ ทีม่ มี ากทีส่ ดุ บนโลก นอกจากนี้
ยังเป็นธาตุที่รวมอยู่ในโมเลกุลของสารประกอบจ�าพวกไฮโดรคาร์บอนไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ติดไฟง่าย มีความสะอาดสูง
ไม่เป็นพิษ และไม่ท�าลายสิ่งแวดล้อม สามารถน�าแก๊สไฮโดรเจนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้และให้ความร้อน
เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าและขับเคลื่อนรถยนต์ได้
ข้อจ�ากัด มีต้นทุนในการผลิตสูง
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
2. ถ่านหินมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
3. หินน�้ามันแตกต่างจากหินอุ้มน�้ามันอย่างไร
4. แหล่งปิโตรเลียมที่มนุษย์น�ามาใช้ประโยชน์คือบริเวณใด
5. ผลกระทบที่เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์มีอะไรบ้าง
โลกและการเปลี่ยนแปลง 123
T137
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
F u n
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน จากนั้นครู
แจงจุดประสงคของกิจกรรม Fun Science Science Activity หินงอก หินยอย
Activity เรือ่ ง หินงอก หินยอย ใหนกั เรียนทราบ
วัสดุอปุ กรณ์
เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติกิจกรรมที่ถูกตอง
1. บีกเกอร์ขนาด 600 มิลลิลิตร
2. สมาชิกภายในกลุมจัดเตรียมวัสดุอุปกรณที่ใช หรือแก้วน�้า 2 ใบ
ในการปฏิบัติกิจกรรม Fun Science Activity 2. สารส้ม 50 กรัม
เรื่ อ ง หิ น งอก หิ น ย อ ย จากหนั ง สื อ เรี ย น 3. เชือกยาว 30 เซนติเมตร
4. น�้า 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จากนั้นรวมกัน 5. ตะเกียงแอลกอฮอล์ ตะแกรง
ปฏิบัติกิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง พร้อมที่กั้นลม
หินงอก หินยอย ตามขัน้ ตอน จากหนังสือเรียน 6. กระดาษแข็งสี
7. แท่งแก้วคนสาร
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 8. ไม้ขีดไฟ
9. เครื่องชั่งสาร
ภาพที่ 6.85 หินงอก หินย้อย
ที่มา : คลังภาพ อจท. 10. ช้อนตักสาร
วิธที า�
1. เทน�้าลงในบีกเกอร์ปริมาตร 100 ลูกบาศก์ 1 เซนติเมตร แล้วเติมสารส้มลงไป
คนสารละลายจนกระทั่งได้สารละลายอิ่มตัว
2. แบ่งสารละลายสารส้มอิ่มตัวของออกเป็น 2 บีกเกอร์ ให้มีปริมาตรเท่ากัน
3. วางบีกเกอร์ทั้งสองใบให้ห่างกันพอประมาณ และน�ากระดาษแข็งวางระหว่าง
บีกเกอร์ทั้งสองใบ ภาพที่ 6.86 เตรียมสารละลายสารส้ม
4. ตัดเชือกให้มีความยาวพอประมาณ น�าปลายเชือกทั้งสองด้านจุ่มลงในบีกเกอร์ ที่มา : คลังภาพ อจท.
แต่ละใบ และจัดเชือกให้อยู่ต�าแหน่งกึ่งกลางของเชือกห้อยลงไปเหนือแผ่น
กระดาษ
5. ตัง้ สารละลายในข้อ 2. ไว้นาน 20-30 นาที สังเกตการเปลีย่ นแปลงเป็นระยะ แล้ว
ตั้งสารละลายค้างไว้อีก 20-30 นาที สังเกตการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
หลักการทางวิทยาศาสตร์
น�้าที่ระเหยออกจากสารส้มเหลือเพียงผลึกสารส้มสะสมตัวมีทิศทางพุ่งลงมาจากเชือก เรียกว่า หินย้อย ส่วนผลึกสารส้ม
ที่สะสมพอกพูนขึ้นบนกระดาษแข็ง เรียกว่า หินงอก
124
T138
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
Science in Real Life 1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผลการ
วิศวกรขุดเจาะบ่อน�้ามัน ปฏิบัติกิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง
หินงอก หินยอย หนาชั้นเรียน ในระหวางที่
ปิโตรเลียม เป็นแหล่งพลังงานส�าคัญที่อยู่ภายใต้เปลือกโลกมหาสมุทร ซึ่งอยู่ในแหล่งกักเก็บใต้ชั้นหิน นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะ
อุ้มปิโตรเลียม หรือชั้นหินกักเก็บที่อยู่ลึกลงจากพื้นผิวโลกหลายกิโลเมตร จึงจ�าเป็นต้องใช้เครื่องมือในการขุดเจาะ เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
เรียกว่า แท่นขุดเจาะน�้ามัน (oil pumping station) โดยอาศัยหลักการท�างานของความดันเพื่อดันให้ของไหลที่อยู่ 2. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลการปฏิบัติ
ใต้พิภพไหลขึ้นมาบนผิวโลก ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการขุดเจาะน�้ามันมี 2 ประเภท คือ น�้ามันดิบและแก๊สธรรมชาติ กิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง หินงอก
เนือ่ งจากทัง้ สองผลิตภัณฑ์นมี้ สี ถานะแตกต่างกัน จึงถูกน�ามาแยกโดยเครือ่ งแยกสถานะ เข้าสูร่ ะบบรักษาสภาพก่อน
น�าเข้าสู่กระบวนการขนส่ง หินยอยวา “นํ้าที่ระเหยออกจากสารสมเหลือ
เพียงผลึกสารสมสะสมตัว มีทิศทางพุงลงมา
ในกระบวนการขุดเจาะน�า้ มันจึงจ�าเป็นต้องอาศัยผูม้ คี วามรูแ้ ละความ
ช�านาญทางธรณีวทิ ยา และวิศวกรออกแบบการขุดเจาะน�า้ มัน เพือ่ ท�าการ จากเชือก เรียกวา หินยอย สวนผลึกสารสม
ส�ารวจพื้นที่และชี้เป้าซึ่งเป็นต�าแหน่งใต้พื้นดิน หรือพื้นทะเลที่คาดว่าจะ ที่สะสมพอกพูนขึ้นบนกระดาษแข็ง เรียกวา
มีน�้ามัน หรือแก๊สธรรมชาติ จากนั้นจะท�าการประเมินสภาพแวดล้อม หินงอก”
ของเป้า เช่น ระดับความลึกเพื่อใช้ในการพิจารณาเลือกใช้แท่นขุดเจาะ 3. นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล
ให้มีความเหมาะสม จาก Science in Real Life เรื่อง วิศวกร
ภาพที่ 6.88 วิศวกรขุดเจาะน�้ามัน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ขุดเจาะบอนํา้ มัน จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร
ม.2 เลม 2
โลกและการเปลี่ยนแปลง 125
T139
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. นั ก เรี ย นตรวจสอบความเข า ใจของตนเอง
Summary
จากกรอบ Self Check เรื่อง โลกและการ
เปลี่ยนแปลง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร
โลกและการเปลี่ยนแปลง
6
ม.2 เลม 2 โดยบันทึกลงในสมุดประจําตัว
โครงสร้างและการเปลีย่ นแปลงของโลก
นักเรียน
• โครงสร้างของโลกแบ่งตามองค์ประกอบทางเคมีได้ ดังนี้
2. ครูมอบหมายใหนักเรียนทํา Unit Question
เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลง จากหนังสือ
เปลือกโลก (crust) : มีองค์ประกอบหลักเป็นสารประกอบซิลิคอน (Si)
เรียนวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 โดยทําลงใน และอะลูมิเนียม (Al)
สมุดประจําตัวนักเรียน เนื้อโลก (mantle) : มีองค์ประกอบหลักเป็นสารประกอบซิลิคอน (Si)
3. นักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนของหนวย แมกนีเซียม (Mg) และเหล็ก (Fe)
การเรียนรูที่ 6 โลกและการเปลี่ยนแปลง เพื่อ แก่นโลก (core) : มีองค์ประกอบหลักเป็นสารประกอบเหล็ก (Fe) และ
เปนการวัดความรูหลังเรียนของนักเรียน นิกเกิล (Ni)
4. นั ก เรี ย นแต ล ะคนนํ า ความรู ที่ ไ ด จ ากการ ภาพที่ 6.90 โครงสร้างของโลกตามองค์ประกอบทางเคมี
เรียนของหนวยการเรียนรูที่ 6 โลกและการ ที่มา : คลังภาพ อจท.
126
T140
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ดิน นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
• กระบวนการเกิดดิน มีล�าดับขั้นตอน ดังนี้ หิ น นํ้ า มั น และป โ ตรเลี ย ม ซึ่ ง ควรได ข อ สรุ ป
ร ว มกั น ว า “หิ น นํ้ า มั น เป น เชื้ อ เพลิ ง ธรรมชาติ
ซึ่งเกิดจากการทับถมของซากพืชและซากสัตว
ภายใต แหลงนํ้าเปนเวลานาน และปโตรเลียม
เปนเชือ้ เพลิงชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
หินผุพังกลายเป็นหินขนาดเล็ก ซากพืชและสัตว์ถูกทับถมอยู่ในดินกลายเป็น สัตว์ที่อยู่ภายในดินจะช่วยท�าให้ฮิวมัสผสมกับ
ฮิวมัส เศษหินและแร่กลายเป็นดินอุดมสมบูรณ์
ซึ่งเปนสารประกอบไฮโดรคารบอน มี 2 ประเภท
ภาพที่ 6.92 ขั้นตอนการเกิดดิน คือ นํ้ามันดิบและแกสธรรมชาติ ซึ่งกอนนําไป
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ใชจําเปนตองผานกระบวนการกลั่น เพื่อใหได
• ปัจจัยทีท่ า� ให้ดนิ แต่ละท้องถิน่ มีลกั ษณะและสมบัตแิ ตกต่างกัน ได้แก่ วัตถุตน้ ก�าเนิด ภูมอิ ากาศ สิง่ มีชวี ติ ในดิน สภาพภูมปิ ระเทศ
และระยะเวลาในการเกิดดิน ผลิตภัณฑที่เหมาะสมตอการใชประโยชน”
• ชั้นหน้าตัดดิน แบ่งออกเป็น 6 ชั้น โดยเรียกชื่อชั้นดินหลักแต่ละชั้นด้วยการใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษพิมพ์ใหญ่ ได้แก่
O A E B C และ R ซึ่งแต่ละชั้นมีลักษณะแตกต่างกัน
• การปรับปรุงคุณภาพของดิน เช่น การปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อแก้ปัญหาดินจืด การเติมปูนขาวเพื่อแก้ปัญหาดินเปรี้ยว การเติม
ผงก�ามะถันเพื่อแก้ปัญหาดินด่าง
น�า้
• แหล่งน�้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ น�้าผิวดินและน�้าใต้ดิน
น�้าผิวดิน เกิดจากน�้าในบรรยากาศกลั่นตัวเป็นน�้าฝนตกลงมาไหล
จากที่สูงลงสู่ที่ต�่า ซึ่งการไหลของน�้าท�าให้เกิดการกัดเซาะเป็นร่องน�้า
เช่น ล�าธาร คลอง แม่น�้า มหาสมุทร
น�้าในดิน
ระดับน�้าใต้ดิน
น�้าใต้ดิน เกิดจากน�้าผิวดินซึมลงไปสะสมตัวอยู่ใต้พื้นโลก แบ่งออกเป็น
ชั้นหินอุ้มน�้า น�้าในดิน (สะสมในช่องว่างระหว่างเม็ดดิน) และน�้าบาดาล (สะสมอยู่ใน
น�้าบาดาล ชั้นหินกั้นน�้า ช่องว่างระหว่างหิน)
ชั้นหินอุ้มน�้า
T141
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน เชือ้ เพลิงซากดึกด�าบรรพ์
หนวยการเรียนรูท ี่ 6 โลกและการเปลีย่ นแปลง • ถ่านหิน เป็นเชื้อเพลิงธรรมชาติ หรือหินตะกอนชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการสะสมของซากพืชเป็นเวลานานจนเปลี่ยนสภาพ
เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจหลังเรียนของนักเรียน เป็นถ่านหินประเภทต่าง ๆ
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล พีต เป็นขั้นแรกเริ่มของการเกิดถ่านหิน เกิดจากการทับถมของซากพืชในระยะเวลา
พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ ไม่นาน ซากพืชบางส่วนยังสลายตัวไม่หมด ท�าให้ยังคงมองเห็นซากพืช
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
3. ครูตรวจ Topic Question เรื่อง เชื้อเพลิง
ซากดึกดําบรรพ ในสมุดประจําตัวนักเรียน ลิกไนต์ เป็นถ่านหินทีม่ อี ายุการถูกทับถมมากกว่าพีต มีผวิ ด้านสีนา�้ ตาล และมีซากพืช
ที่ยังย่อยสลายไม่หมดเหลืออยู่เล็กน้อย
4. ครูประเมินผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม Fun Science
Activity เรื่อง หินงอก หินยอย
5. ครูตรวจสอบผลการตรวจสอบความเขาใจของ ซับบิทูมินัส เป็นถ่านหินที่มีอายุการถูกทับถมนานกว่าลิกไนต์ มีผิวด้านและเป็นมัน
ตนเองจากกรอบ Self Check เรื่อง โลกและ สีน�้าตาลถึงสีด�า มีทั้งเนื้ออ่อนและเนื้อแข็ง
การเปลี่ยนแปลง ในสมุดประจําตัวนักเรียน
6. ครูตรวจแบบฝกหัด Unit Question เรือ่ ง โลก
และการเปลีย่ นแปลง ในสมุดประจําตัวนักเรียน
บิทูมินัส เป็นถ่านหินที่มีอายุการถูกทับถมนานกว่าซับบิทูมินัส มีเนื้อแน่นสีด�า
7. ครูตรวจแบบฝกหัด เรือ่ ง หินนํา้ มันและปโตรเลียม และมันวาว
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.2 เลม 2
8. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งาน/ผลงาน
ผังมโนทัศน เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลง แอนทราไซต์ เป็นถ่านหินที่มีอายุการถูกทับถมนานที่สุด มีลักษณะเนื้อแน่น สีด�า
เป็นมันวาว เมื่อน�ามาเผาไหม้จะให้ความร้อนสูง ไม่มีควัน ใช้เป็นแหล่งเชื้อเพลิง
ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ภาพที่ 6.94 ประเภทของถ่านหิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
128
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 7 ปรับปรุง
T142
นํา สอน สรุป ประเมิน
Self Check
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด หากพิจารณาข้อความ
ไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวข้อ
1. เปลือกโลกและเนื้อโลกมีธาตุซิลิคอนเป็นองค์ประกอบ 1.1
2. น�้ากัดเซาะชายฝังเนื่องจากกระบวนการกร่อน 1.2
มุด
4. การสูบน�้าใต้ดินไปใช้ในปริมาณมากส่งผลให้เกิดแผ่นดินทรุด 3.3
5. หิน หินน�้ามัน และปิโตรเคมี จัดเป็นแหล่งเชื้อเพลิงซากดึกด�าบรรพ์ 4.
โลกและการเปลี่ยนแปลง 129
T143
นํา สอน สรุป ประเมิน
T144
นํา สอน สรุป ประเมิน
T145
นํา สอน สรุป ประเมิน
132
T146
นํา สอน สรุป ประเมิน
แนวทางการจัดทํากิจกรรม
S T EM STEM Activity
การเลือกวัสดุสําหรับสรางเรือแพขนของสัมภาระ
Activity
ครูอาจนําวัสดุตาง ๆ เชน ขวดพลาสติก แผน
เรือแพขนของสัมภาระ พลาสติก แผนไมแข็ง แผนเหล็ก มาใหนักเรียน
แพเป็นพาหนะที่ลอยน�้าได้ ส่วนใหญ่ท�ามาจากไม้ซุงหรือไม้ไผ่ ร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ วั ส ดุ ที่ จ ะนํ า มาใช ส ร า ง
แล้วใช้เชือกมัดให้เป็นแพ นิยมน�ามาใช้บรรทุกสินค้าให้ลอยไปตามกระแสน�า้ เรือแพ โดยครูควรแนะนําใหนกั เรียนคํานึงถึงสมบัติ
หรือท�าเป็นเรือนแพใช้เป็นทีอ่ ยูอ่ าศัย เมือ่ เกิดวิกฤตการณ์นา้� ท่วม หรือน�า้ ป่า ของวัสดุทนี่ าํ มาประดิษฐเปนเรือแพวาตองเปนวัสดุ
ไหลหลาก คนจึงใช้แพช่วยขนสัมภาระเนื่องจากแพสามารถลอยน�้าได้ แต่ ที่สามารถลอยนํ้าได เนื่องจากวัสดุที่ลอยนํ้าได
ส�าหรับคนในเมือง การสร้างแพจากไม้ซุงหรือไม้ไผ่ท�าได้ค่อนข้างยาก และ มักมีนํ้าหนักเบา มีความหนาแนนนอยกวานํ้า
อุทกภัยมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หากสามารถประดิษฐ์เรือแพจากวัสดุที่หา
ง่าย เช่น ขวดพลาสติก จะช่วยให้อพยพสัมภาระได้สะดวก รวดเร็ว ช่วยลด
เรือแพขนของสัมภาระ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ความเสียหายที่เกิดขึ้น และลดปริมาณขยะที่เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อน
ไปในตัว
สถานการณ์
คนในหมู่บ้านหนึ่งประสบปัญหาอุทกภัยเนื่องจากฝนตกอย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ส่งผลให้มี
น�้าท่วมสูงหลายหลังคาเรือน และมีแนวโน้มว่าน�้าจะเพิ่มสูงขึ้นในอีก 2 วันข้างหน้า ทางรัฐบาลจึงออกประกาศให้
คนในหมูบ่ า้ นนีต้ อ้ งอพยพไปยังพืน้ ทีท่ ปี่ ลอดภัย จากสถานการณ์ขา้ งต้น นักเรียนจะช่วยชาวบ้านออกแบบเรือแพขน
สัมภาระฝ่าวิกฤตการณ์น�้าท่วมไปได้อย่างไร
เชื่อมโยงสู่ ไอเดีย
ข้อจ�ากัด Science เมือ่ วัตถุอยูใ่ นของเหลวจะมีแรงทีข่ องเหลว
เรือแพที่สร้างขึ้นจะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ กระท�าต่อวัตถุในทุกทิศทาง และกระท�า
ตั้งฉากกับผิวของวัตถุ นอกจากนี้ แรงพยุง
• ลอยน�้าได้ ที่กระท�าต่อวัตถุในของเหลว ส่งผลให้วัตถุ
• สามารถขนสัมภาระที่มีน�้าหนักรวมกันมากกว่า 15 ลอยน�้าได้
กิโลกรัมได้ Technology
• มีขนาดใหญ่ เรือแพขนาดใหญ่ที่ท�าจากวัสดุในท้องถิ่น
ที่มีสมบัติลอยน�้าได้
วัสดุและอุปกรณ์ Engineering
ใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมใน
1. ขวดน�้าพลาสติก 2. พลาสติก การออกแบบและประดิษฐ์แพจากวัสดุที่
3. เครื่องชั่งน�้าหนัก 4. เชือก หาง่ายในท้องถิ่น
5. กาวร้อน 6. ปืนกาวร้อน Mathematics
7. กรรไกร 8. อุปกรณ์เครื่องเขียน รูปทรงเรขาคณิตสามมิตทิ เี่ ลือกใช้ในการ
ออกแบบเรือแพ และการค�านวณแรงพยุง
หรื อ น�้ า หนั ก สิ่ ง ของมากที่ สุ ด ที่ เ รื อ แพ
สามารถรับน�้าหนักได้
133
T147
นํา สอน สรุป ประเมิน
การสรางเรือแพขนสัมภาระ
เมื่อนักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายและ Sci���� Tec���l��� En�i���ri�� M�t���at���
ตัดสินใจเลือกใชอุปกรณที่เหมาะสมแลว ครูควร
ใหนักเรียนรวบรวมขอมูลและวางแผนการทํางาน 1 ระบุปญหา
ดวยการออกแบบชิ้นงาน และระบุอุปกรณทั้งหมด วิเคราะห์สถานการณ์และระบุแนวทาง
การแก้ปญั หา เพือ่ เป็นแนวทางในการ
ที่จะนํามาใช โดยครูควรเนนใหนักเรียนเห็นถึง สร้างสรรค์ชิ้นงาน
ความสําคัญของการใชวัสดุอยางประหยัด โดยเมื่อ
6 น�าเสนอวิธีการแก้ปญหา 2 รวบรวมข้อมูลและแนวคิด
เลือกใชวสั ดุใดในการสรางเรือแพแลว จะไมสามารถ รวบรวมแนวคิดที่ได้และปัญหาที่พบ สืบค้นความรู้และรวบรวมข้อมูล
เปลี่ ย นหรื อ ขอเพิ่ ม ได นอกจากวั ส ดุ ชํ า รุ ด โดย ในกิจกรรม เพื่อน�าเสนอวิธีการแก้ ทีน่ า� ไปแก้ปญั หา แล้วสรุปข้อมูล
ไม ไ ด เ จตนา หลั ง จากนั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม สร า ง ปัญหา ความรู้ที่ได้มาโดยสังเขป
เรือแพขนสินคาเสร็จแลว ใหแตละกลุมตรวจสอบ
ผล โดยลองนํ า เรื อ แพไปลอยในบ อ นํ้ า แล ว
ใหนักเรียนลองวางวัสดุที่มีนํ้าหนัก 15 กิโลกรัม
ขั้นตอน
การทํากิจกรรม
ลงไป หากเรือแพไมสามารถบรรทุกวัสดุทมี่ นี าํ้ หนัก
ดังกลาวได ครูอาจแนะนําใหนักเรียนเพิ่มจํานวน
วั ส ดุ ที่ ใ ช ทํ า เรื อ แพ หรื อ เพิ่ ม พื้ น ที่ ผิ ว สั ม ผั ส ของ
เรือแพ หลังจากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมรวมกัน 5 ทดสอบ ประเมินผล
และปรับปรุงแก้ไข 3 ออกแบบวิธีการแก้ปญหา
วางแผนและดําเนินการแกไขปญหา คิดวิธกี ารแก้ปญั หาและออกแบบ
บันทึกรายละเอียดของชิ้นงาน แล้ว
ทดสอบเพือ่ หาแนวทางการปรับปรุง ชิ้นงานตามแนวทางที่เตรียมไว้
ชิ้นงาน
4 วางแผนและด�าเนินการ
แก้ปญหา
ร่วมกันวางแผนการสร้างสรรค์ชนิ้ งาน
อย่างเป็นล�าดับขัน้ ตอน แล้วตรวจสอบ
การด�าเนินการ หากไม่ตรงตามแผน
การประเมินผลงาน จะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร
เกณฑการประเมิน ระดับคุณภาพ
1 2 3 4 5
• สามารถขนสัมภาระไปทางน�้าได้จริง
• สามารถขนสัมภาระได้จ�านวนมาก และมีน�้าหนักรวมกัน
มากกว่า 15 กิโลกรัม
• ราคาประหยัด
• มีความแข็งแรงทนทาน
134
T148
บรรณานุ ก รม
วรรณทิพา รอดแรงค้า. 2544. การสอนวิทยาศาสตร์ที่เน้นทักษะกระบวนการ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : สถาบัน
พัฒนาคุณภาพวิชาการ.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ, สถาบัน. 2551. หนังสือเรียนรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ 3. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
. 2551. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 5. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
. 2560. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมชุนสหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย.
สถาบันกวดวิชาติวเตอร์พอยท์. 2559. Super Science สรุปวิทยาศาสตร์ ม.ต้น. กรุงเทพมหานคร : กรีนไลฟ์ พริ้นติ้งเฮ้าส์.
อภิญญา แซ่โง้ว. 2560. สรุปและแนวข้อสอบโลกกับดาราศาสตร์. นนทบุรี : ธิงค์ บียอนด์ บุ๊คส์.
Fong, J., Kwan, P.L., Lam, E., Lee, C. and Lim, P.L. 2013. Science Matters Volume B. 2th edition. Malaysia:
Marshall Cavendish Education Pte Ltd.
Heyworth, R. M. 2013. All About Science Volume B. Singapore: Pearson Education South Asia Pte Ltd.
Leng, P.H. 2010. Inscience Express/Normal (Academic) Volume 1. 3rd edition. Singapore: KHL Printing Co Pte Ltd.
. 2010. Inscience Express/Normal (Academic) Volume 2. 3rd edition. Singapore: KHL Printing Co Pte Ltd.
Tay, B. 2007. Biology Insight. Singapore: Pearson Education South Asia Pte Ltd.
T149
Note
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
T150
สร้างอนาคตเด็กไทย
ด้วยนวัตกรรมการเรียนรูร
้ ะดับโลก
คู่มือครู
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹ ÇÔ·ÂÒÈÒʵÃáÅÐà·¤â¹âÅÂÕ Á. 2 àÅ‹Á 2
>> ราคาเล่มนักเรียนโปรดดูจากใบสัง
่ ซือ
้ ของ อจท.
คู่มือคูครู
่มือนร.
ครู บร. วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ ม.2ล.2
ฯ ม.2 ล.1
บริษท
ั อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด
142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
โทร. 0 2622 2999 (อัตโนมัติ 20 คูส
่ าย) 8 88 588568 46 94 91 41 42 01 63 54 9
ID Line : @aksornkrumattayom www.aksorn.com อักษรเจริญทัศน์ อจท. 300.-
300.-
ราคานีเ้ ป็นของฉบับคูม
่ อ
ื ครูเท่านัน
้