Professional Documents
Culture Documents
Teacher Script
โลก
ดาราศาสตร์ และอวกาศ ม. 5
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
ตามผลการเรียนรู เล่ม 2
กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผูเรียบเรียงคูมือครู บรรณาธิการคูมือครู
นายสันติ อินแสงแวง นางสาววราภรณ ทวมดี
นางสาวมานิตา กลับคง
พิมพครั้งที่ 31
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
ISBN
รหั สสิน:ค978-616-203-519-7
า 3548022
ค� ำ แนะน� ำ กำรใช
คู ่ มื อ ครู ร ายวิ ช าเพิ่ ม เติ ม วิ ท ยาศาสตร์ แ ละเทคโนโลยี โลก
ดาราศาสตร์ และอวกาศ ม.5 เล่ม 2 เล่มนี้ จัดท�าขึ้นส�าหรับให้ครู
ผู้สอนใช้เป็นแนวทางวางแผนการจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนา
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการประกันคุณภาพผู้เรียนตามนโยบาย
ของส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
ซึ่งครอบคลุมผลการเรียนรูตามที่หลักสูตรกําหนด กอนเขาสูเนื้อหาที่จะเรียน
3. ครูถามคําถาม Big Question กับนักเรียนวา
ï• เมฆเกิดขึ้นไดอยางไร
ï• เสถียรภาพอากาศสัมพันธกับการเกิดเมฆ
4
เมฆเป็นองค์ประกอบอย่างหนึง
และแนวปะทะอากาศ
่ ของท้องฟ้า โดยทองฟาในแตละวัน แตละชวงเวลามักมีเมฆทีม ่ี
ิ่ม Pedagogy ชวยสรางความเขาใจในกระบวนการออกแบบ อยางไร ลักษณะรูปรางและสีสันตาง ๆ ในปริมาณที่แตกตางกัน โดยขึ้นอยูกับปจจัยที่มีผลตอการเกิดเมฆ
เพ ï• แนวปะทะอากาศเกิดขึ้นไดอยางไร
4. ครูใหนกั เรียนทํา Understanding Check เพือ่
แตละชนิด และมีเสถียรภาพอากาศเปนสิง่ ทีค่ อยชวยสงเสริม หรือยับยัง้ การเคลือ่ นทีข่ องกอนเมฆ
Earth Science
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ตัวอย่างข้อสอบที่มุ่งเน้นการคิด มีทั้งปรนัย-อัตนัย พร้อม
Focus นํ้าค้าง
นํ้าคาง (dew) เปนหยดนํ้าที่เกิดจากการควบแนนหรือ
กลั่นตัวของไอนํ้าเกาะอยูบนใบไม ยอดหญา หรือตามวัตถุตาง ๆ
แนวตอบ Prior Knowledge
เมฆเกิดจากการควบแนนของไอนํา้ ในอากาศ เฉลยอย่างละเอียด
ทีอ่ ยูใ กลพนื้ ดิน นํา้ คางจะเกิดในคืนทีท่ อ งฟาแจมใส ไมมเี มฆ โดย เมื่อไอนํ้าไดรับความรอนจะลอยตัวสูงขึ้น และ
พืน้ ดินจะเย็นตัวอยางรวดเร็วดวยการแผรงั สีความรอนสูบ รรยากาศ เมือ่ กระทบกับความเย็นของอากาศทีอ่ ยูด า นบนก็
ทําใหอากาศที่สัมผัสกับพื้นดินเย็นตัวตามไปดวย อุณหภูมิของ
อากาศมีคา เทากับหรือตํา่ กวาอุณหภูมจิ ดุ นํา้ คาง (อุณหภูมิ 0 องศา
เซลเซียส หรือ 32 องศาฟาเรนไฮต)
จะควบแนนเปนละอองนํา้ เล็กๆ เกาะอยูบ นอนุภาค
ของฝุ น ละอองที่ อ ยู ใ นอากาศ ซึ่ ง อนุ ภ าคของ กิจกรรมทาทาย
ภาพที่ 4.2 นํ้าคาง ฝุนละอองจะชวยใหละอองนํ้ารวมตัวกันมากขึ้น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เกิ ด เป น ก อ นเมฆที่ มี ข นาดแตกต า งกั น ออกไป
เมฆแตละชนิดมีชื่อเรียกที่แตกตางกัน ขึ้นอยูกับ
เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรม เพือ่ ต่อยอดส�าหรับนักเรียน
3
ทีเ่ รียนรูไ้ ด้อย่างรวดเร็ว และต้องการท้าทายความสามารถใน
เสถียรภาพอากาศ
และแนวปะทะอากาศ
ลักษณะและรูปรางของเมฆแตละชนิด
โซน 2
เมือ่ ไอนํา้ ไดรบั ความรอนจะลอยตัวสูงขึน้ และเมือ่ กระทบกับความ
เย็นของอากาศทีอ่ ยูด า นบนก็จะควบแนนเปนละอองนํา้ เล็กๆ และ
รวมตัวกันเกิดเปนกอนเมฆ ดังนั้น ตอบขอ 4.)
T5
สื่อ Digital
การแนะน�าแหล่งเรียนรูแ้ ละแหล่งค้นคว้าจากสือ่ Digital ต่าง ๆ
แนวทางการวัดและประเมินผล
เสนอแนะแนวทางการบรรลุผลสัม ฤทธิ์ทางการเรี ยนของ
นักเรียนตามมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตัวชีว้ ดั ทีห่ ลักสูตรก�าหนด
ค� ำ อธิ บ ายรายวิ ช า
โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เวลาเรียน 40 ชั่วโมง / ปี
ผลการเรียนรู้
1. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเสถียรภาพอากาศและการเกิดเมฆ
2. อธิบายการเกิดแนวปะทะอากาศแบบต่าง ๆ และลักษณะลมฟ้าอากาศที่เกี่ยวข้อง
3. อธิบายปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก พร้อมยกตัวอย่างข้อมูลสนับสนุน
4. วิเคราะห์และอภิปรายเหตุการณ์ที่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก และน�ำเสนอแนวปฏิบัติของมนุษย์ที่มีส่วน
ช่วยในการชะลอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก
5. แปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้าอากาศบนแผนที่อากาศ
6. วิเคราะห์และคาดการณ์ลักษณะลมฟ้าอากาศเบื้องต้นจากแผนที่อากาศและข้อมูลสารสนเทศอื่น ๆ เพื่อวางแผนในการ
ประกอบอาชีพและด�ำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพลมฟ้าอากาศ
รวม 6 ผลการเรียนรู้
Pedagogy
คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ ม.5 เลม 2 รวมถึงสื่อการเรียนรู้รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ชั้น ม.5 ผู้จัดท�าได้ออกแบบการสอน (Instructional Design) อันเป็นวิธี
การจัดการเรียนรู้และเทคนิคการสอนที่เปยมด้วยประสิทธิภาพและมีความหลากหลายให้กับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ
บรรลุผลสัมฤทธิต์ ามมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตัวชีว้ ดั รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผูเ้ รียนทีห่ ลักสูตร
ก�าหนดไว้ โดยครูสามารถน�าไปใช้จัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในรายวิชานี้ ได้น�ารูปแบบการสอน
แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) มาใช้ในการออกแบบการสอน ดังนี้
ด้วยจุดประสงค์ของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วย
ุนความสนใจ
ให้ผู้เรียนได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ กระต
คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะส�าคัญในการค้นคว้าหาความรู้ และมี Eennggagement
1
สาํ xploration
eEvvaluatio ล
ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ผู้จัดท�าจึงได้เลือกใช้
รวจ
ผ
eE
ตรวจสอบ
n
และคนหา
รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) 2
5
ซึ่งเป็นขั้นตอนการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสร้าง
องค์ความรูด้ ว้ ยตนเองผ่านกระบวนการคิดและการลงมือท�า โดยใช้
5Es
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือส�าคัญ เพื่อการพัฒนา
bo 4 3
n
El a
tio
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะการเรียนรู้แห่ง ratio ana
ขย
รู
คว pl
าม
n E x ว
าย
Chapter
Chapter Teacher
Chapter Title Overview
Concept
Script
Overview
หนวยการเรียนรูที่ 4 เสถียรภำพอำกำศและ T2 T3 T4
แนวปะทะอำกำศ
• เมฆ T5-T19
• เสถียรภาพของอากาศ T20-T21
• แนวปะทะอากาศ T22-T26
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 T27-T31
• การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก T35-T47
• ปรากฏการณ์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก T48-T66
• แนวปฏิบัติเพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก T67-T69
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 5 T70-T75
• การตรวจอากาศ T79-T91
• ขั้นตอนการพยากรณ์อากาศ T92
• วิธีการพยากรณ์อากาศ T93-T97
• แผนที่อากาศ T98-T105
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 T106-T111
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบก่อนเรียน 1. อธิบายขั้นตอนการเกิด - แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
เมฆ - หนังสือเรียนรายวิชา เมฆได้ (K) หาความรู้ ก่อนเรียน - ทักษะการวิเคราะห์ - ใฝ่เรียนรู้
เพิม่ เติม โลก ดาราศาสตร์ 2. อธิบายลักษณะรูปร่างของ (5Es - ตรวจใบงาน เรื่อง - ทักษะการสื่อสาร - มุ่งมั่นใน
4 และอวกาศ ม.5 เล่ม 2 เมฆชนิดต่าง ๆ ได้ (K) Instructional การเกิดเมฆ - ทักษะการท�ำงาน การท�ำงาน
ชั่วโมง - แบบฝึกหัดรายวิชา 3. อธิบายความแตกต่าง Model) - การน�ำเสนอผลงาน ร่วมกัน
เพิม่ เติม โลก ดาราศาสตร์ ลักษณะของเมฆจากการ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการน�ำความรู้
และอวกาศ ม.5 เล่ม 2 แบ่งตามระดับความสูง การท�ำงานรายบุคคล ไปใช้
- ใบงาน เรื่อง การเกิดเมฆ ของฐานในแต่ละชั้นได้ - สังเกตพฤติกรรม
- PowerPoint (K) การท�ำงานกลุ่ม
- QR Code 4. สืบค้นและน�ำเสนอข้อมูล - สังเกตคุณลักษณะ
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น จากแหล่งข้อมูลได้ (P) อันพึงประสงค์
Twig 5. มีความกระตือรืนร้นและ
รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)
6. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา (A)
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายลักษณะอากาศที่มี - แบบสืบเสาะ - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
เสถียรภาพของ เพิม่ เติม โลก ดาราศาสตร์ เสถียรภาพและอากาศที่ หาความรู้ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการวิเคราะห์ - ใฝ่เรียนรู้
อากาศ และอวกาศ ม.5 เล่ม 2 ไม่มีเสถียรภาพได้ (K) (5Es - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการสื่อสาร - มุ่งมั่นใน
- แบบฝึกหัดรายวิชา 2. เขียนอธิบายความแตกต่าง Instructional การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะการท�ำงาน การท�ำงาน
2 เพิม่ เติม โลก ดาราศาสตร์ ของลักษณะอากาศที่มี Model) - สังเกตพฤติกรรม ร่วมกัน
ชั่วโมง และอวกาศ ม.5 เล่ม 2 เสถียรภาพและอากาศ การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการน�ำความรู้
- PowerPoint ที่ไม่มีเสถียรภาพได้ (P) - สังเกตคุณลักษณะ ไปใช้
- QR Code 3. สืบค้นและน�ำเสนอข้อมูล อันพึงประสงค์
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น จากแหล่งข้อมูลได้ (P)
Twig 4. มีความกระตือรืนร้นและ
รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)
แผนฯ ที่ 3 - แบบทดสอบหลังเรียน 1. อธิบายการเกิดของ - แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
แนวปะทะอากาศ - ห นังสือเรียนรายวิชา แนวปะทะอากาศได้ (K) หาความรู้ หลังเรียน - ทักษะการวิเคราะห์ - ใฝ่เรียนรู้
เพิม่ เติม โลก ดาราศาสตร์ 2. อธิบายลักษณะของ (5Es - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการสื่อสาร - มุ่งมั่นใน
2 และอวกาศ ม.5 เล่ม 2 แนวปะทะอากาศ Instructional - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการท�ำงาน การท�ำงาน
ชั่วโมง - แบบฝึกหัดรายวิชา ทั้ง 4 ชนิดได้ (K) Model) การท�ำงานรายบุคคล ร่วมกัน
เพิม่ เติม โลก ดาราศาสตร์ 3. เขียนอธิบายความ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการน�ำความรู้
และอวกาศ ม.5 เล่ม 2 แตกต่างของแนวปะทะ การท�ำงานกลุ่ม ไปใช้
- ใบงาน เรื่อง แนวปะทะ อากาศทั้ง 4 ชนิดได้ (P) - สังเกตคุณลักษณะ
อากาศ 4. สืบค้นและน�ำเสนอข้อมูล อันพึงประสงค์
- PowerPoint จากแหล่งข้อมูลได้ (P) - ตรวจใบงาน เรื่อง
- QR Code 5. มีความกระตือรืนร้นและ แนวปะทะอากาศ
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น รับผิดชอบต่อหน้าที่ - ตรวจแบบฝึกหัด
Twig ที่ได้รับมอบหมาย (A)
T2
Chapter Concept Overview
หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 4
เมฆ
เมฆเป็นกลุม่ ละอองน�า้ ขนาดเล็กจ�านวนมากทีล่ อยอยูใ่ นอากาศ
ซึง่ เมฆเกิดจากการยกตัวของกลุม่ อากาศในความสูงเหนือระดับการ
ควบแน่น ท�าให้กลุ่มอากาศนั้นเกิดการควบแน่นและรวมตัวกัน โดย
เมฆแต่ละชนิดจะเกิดขึน้ ในระดับความสูงทีแ่ ตกต่างกัน และมีขนาด
ต่างกันไป
เสถียรภาพของอากาศ
สภาวะของอากาศทีช่ ว่ ยส่งเสริมหรือยับยัง้ ให้กลุม่ อากาศเคลือ่ นทีข่ นึ้ ลงในแนวดิง่ เมือ่ อากาศอยูใ่ นสภาพสมดุลหรือมีเสถียรภาพ อากาศ
จะไม่เคลื่อนที่หรือเคลื่อนที่กลับสู่ที่เดิมในเวลาอันสั้น แต่หากอากาศไม่มีเสถียรภาพ อากาศจะเคลื่อนที่ตลอดเวลา แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
1. อากาศมีเสถียรภาพ เมื่อก้อนอากาศมีอุณหภูมิต�่า และมีความดันสูง 2. อากาศไม่มีเสถียรภาพ เมื่อก้อนอากาศมีอุณหภูมิสูงกว่าอากาศ
กว่าอากาศโดยรอบ อากาศนี้จะไม่สามารถยกตัวได้สูงมากนักและจะ โดยรอบ ก้อนอากาศจะยกตัวขึ้น
เคลื่อนที่กลับสู่ที่เดิม
อากาศไมมีเสถียรภาพ
อากาศมีเสถียรภาพ
ระดับ 0 �C 10 �C
ควบแน่น 2,000 เมตร ระดับ 20 �C 16 �C
ควบแน่น 2,000 เมตร
10 �C 15 �C 30 �C
1,000 เมตร 28 �C
1,000 เมตร
20 �C 20 �C
พื้นผิว 40 �C 40 �C
พื้นร้อน พื้นผิว
พื้นร้อน
แนวปะทะอากาศ
เมื่อมวลอากาศ 2 มวล เคลื่อนที่มาปะทะกัน จะเกิดแนวหรือขอบเขตระหว่างมวลอากาศทั้งสอง ซึ่งมวลอากาศเย็นที่มีความหนาแน่น
มากกว่าจะจมตัวลง ส่วนมวลอากาศร้อนจะลอยตัวขึ้น ซึ่งแนวหรือขอบเขตที่มวลอากาศทั้งสองมาพบกัน แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
แนวปะทะอากาศอุ่น แนวปะทะอากาศเย็น แนวปะทะอากาศรวม และแนวปะทะอากาศคงที่
• แนวปะทะอากาศอุ่น • แนวปะทะอากาศเย็น • แนวปะทะอากาศรวม
ลม ลม ลม
มวลอากาศอุ่น
มวลอากาศอุ่น
มวลอากาศเย็น
มวลอากาศเย็น มวลอากาศอุ่น มวลอากาศเย็น มวลอากาศเย็น
T3
น�ำ น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เรื่อง
การเกิดเมฆ เพื่อวัดความรูเดิมของนักเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ เสถียรภาพอากาศ
กอนเขาสูเนื้อหาที่จะเรียน
3. ครูถามคําถาม Big Question กับนักเรียนวา
ï• เมฆเกิดขึ้นไดอยางไร
ï• เสถียรภาพอากาศสัมพันธกับการเกิดเมฆ
4 และแนวปะทะอากาศ
่ ของท้องฟ้า โดยทองฟาในแตละวัน แตละชวงเวลามักมีเมฆทีม
เมฆเป็นองค์ประกอบอย่างหนึง ่ี
อยางไร ลักษณะรูปรางและสีสันตาง ๆ ในปริมาณที่แตกตางกัน โดยขึ้นอยูกับปจจัยที่มีผลตอการเกิดเมฆ
ï• แนวปะทะอากาศเกิดขึ้นไดอยางไร แตละชนิด และมีเสถียรภาพอากาศเปนสิง่ ทีค่ อยชวยสงเสริม หรือยับยัง้ การเคลือ่ นทีข่ องกอนเมฆ
4. ครูใหนกั เรียนทํา Understanding Check เพือ่
ตรวจสอบความเขาใจของตนเองกอนเรียน
• àÁ¦à¡Ô´¢Öé¹ä´ŒÍ‹ҧäÃ
• àʶÕÂÃÀÒ¾ÍÒ¡ÒÈÊÑÁ¾Ñ¹¸¡Ñº¡ÒÃà¡Ô´àÁ¦
Í‹ҧäÃ
• á¹Ç»Ð·ÐÍÒ¡ÒÈà¡Ô´¢Öé¹ä´ŒÍ‹ҧäÃ
�
U n de r s t a n d i ng
Che�
ใหนักเรียนพิจารณาขอความตามความเขาใจของนักเรียนวาถูกหรือผิดแลวบันทึกลงในสมุด
เมฆเกิ่ 1.4
ภาพที ดจากการยกตั วของกลุมอากาศแล
สัดสวนของสารประกอบต าง ๆ วควบแนนรวมตัวกัน
ทีเมฆซี รรัสเปนาเมฆที
่พบในโครงสร ่มีลลักะชั
งโลกแต ษณะก
้น อนหนา สีขาวคลายปุยฝายหรือสําลี
เมฆคิวมูโลนิมบัส เปนเมฆที่กอตัวในแนวตั้ง ฐานเมฆอยูในระดับใกลพื้นดิน และยอดเมฆอาจสูงถึง 10 กิโลเมตร
อากาศที่มีเสถียรภาพจะทําใหเกิดเมฆในแนวราบ และทําใหเกิดทองฟาแจมใส สวนมากพบในชวงฤดูหนาว
แนวปะทะอากาศเปนสาเหตุที่ทําใหเกิดปรากฏการณของอากาศ เชน เมฆ ฝน พายุ
แนวตอบ Understanding Check
1. ถูก 2. ผิด 3. ถูก
4. ถูก 5. ถูก
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Prior Knowledge
เมฆเกิดขึน้ ไดอยางไร และ 1. เมฆ 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge กับนักเรียน
มีชื่อเรียกเมฆแตละกอน วา เมฆเกิดขึ้นไดอยางไร และมีชื่อเรียกเมฆ
เมฆเปนกลุมละอองนํ้าขนาดเล็กจํานวนมากที่ลอยอยูใน
หรือไม แตละกอนหรือไม
อากาศ ซึ่งเมฆเกิดจากการยกตัวของกลุมอากาศในความสูง
เหนือระดับการควบแนน ทําใหไอนํ้าในอากาศที่อยูในสถานะแกสเกิดการควบแนนและรวมตัวกัน 2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นภายในห อ งสั ง เกตท อ งฟ า ว า
เปนละอองนํ้า โดยเมฆแตละชนิดจะเกิดขึ้นในระดับความสูงตางกัน และมีลักษณะแตกตางกันไป มีเมฆในลักษณะอยางไรบาง มีความเหมือนกัน
หรือแตกตางกันหรือไม จากนั้นครูจะสุมถาม
1.1 การเกิดเมฆ นักเรียนวา สังเกตเห็นรูปรางลักษณะของเมฆ
เมฆจะเกิ ด จากการ เปนอยางไรบาง
ควบแนนของไอนํ้าในอากาศ 3. เมื่อนักเรียนไดอธิบายลักษณะตางๆ ของเมฆ
เมื่อไอนํ้าไดรับความรอนจะ ที่สังเกตเห็นแลว ใหครูอธิบายวา เมฆจะมี
ลอยตัวสูงขึ้น และเมื่อกระทบ ลักษณะทีแ่ ตกตางกันออกไป ขึน้ อยูก บั ลักษณะ
กับความเย็นของอากาศที่อยู การเกิดและระดับความสูง
ดานบนก็จะควบแนนเกิดเปน
ละอองนํ้าขนาดเล็กเกาะอยู
บนอนุภาคของฝุน ละอองทีอ่ ยู
ในอากาศ ซึ่งอนุภาคของฝุน
ละอองจะช ว ยให ล ะอองนํ้ า
รวมตัวกันมากขึ้น เกิดเปน
กอนเมฆทีม่ ขี นาดแตกตางกัน
ออกไป ภาพที่ 4.1 ลักษณะของเมฆที่พบทั่วไปบนทองฟา
ที่มา : คลังภาพ อจท.
Earth Science
Focus นํ้าค้าง
นํ้าคาง (dew) เปนหยดนํ้าที่เกิดจากการควบแนนหรือ แนวตอบ Prior Knowledge
กลั่นตัวของไอนํ้าเกาะอยูบนใบไม ยอดหญา หรือตามวัตถุตาง ๆ
ทีอ่ ยูใ กลพนื้ ดิน นํา้ คางจะเกิดในคืนทีท่ อ งฟาแจมใส ไมมเี มฆ โดย เมฆเกิดจากการควบแนนของไอนํา้ ในอากาศ
พืน้ ดินจะเย็นตัวอยางรวดเร็วดวยการแผรงั สีความรอนสูบ รรยากาศ เมื่อไอนํ้าไดรับความรอนจะลอยตัวสูงขึ้น และ
ทําใหอากาศที่สัมผัสกับพื้นดินเย็นตัวตามไปดวย อุณหภูมิของ เมือ่ กระทบกับความเย็นของอากาศทีอ่ ยูด า นบนก็
อากาศมีคา เทากับหรือตํา่ กวาอุณหภูมจิ ดุ นํา้ คาง (อุณหภูมิ 0 องศา จะควบแนนเปนละอองนํา้ เล็กๆ เกาะอยูบ นอนุภาค
เซลเซียส หรือ 32 องศาฟาเรนไฮต) ภาพที่ 4.2 นํ้าคาง ของฝุ น ละอองที่ อ ยู ใ นอากาศ ซึ่ ง อนุ ภ าคของ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ฝุนละอองจะชวยใหละอองนํ้ารวมตัวกันมากขึ้น
เสถียรภาพอากาศ 3
เกิ ด เป น ก อ นเมฆที่ มี ข นาดแตกต า งกั น ออกไป
และแนวปะทะอากาศ
เมฆแตละชนิดมีชื่อเรียกที่แตกตางกัน ขึ้นอยูกับ
ลักษณะและรูปรางของเมฆแตละชนิด
T5
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูถามคําถามนักเรียนวา เมฆเกิดจากกลไกการยกตัวของกลุมอากาศซึ่งมี 4 ลักษณะ ดังนี้
• เมฆเกิ ด จากกลไกการยกตั ว ของอนุ ภ าค 1. การพาความรอน
อากาศ 4 ลักษณะ อะไรบาง เกิ ด ขึ้ น จากความร อ นของ
(แนวตอบ การพาความรอน การยกตัวของ แสงอาทิ ต ย ใ นตอนกลางวั น
อากาศตามความชั น หรื อ ตามภู เ ขา การ ทําใหพื้นโลกรอน มวลอากาศ
บีบตัวของอากาศ และการเกิดแนวปะทะ ทีป่ กคลุมพืน้ ผิวโลกมีอณ ุ หภูมิ
อากาศ) สู ง ขึ้ น แล ว ลอยตั ว ในแนวดิ่ ง
2. ครูอธิบายกลไกการยกตัวของอนุภาคอากาศ เมื่ อ อากาศลอยตั ว สู ง ขึ้ น ถึ ง
4 ลักษณะ ไดแก 1. การพาความรอน เกิดขึ้น ระดับควบแนน ไอนํา้ ในอากาศ
จากพื้นผิวของโลกมีอุณหภูมิรอน จึงมีการ จะเกิดการกอตัวเปนเมฆ โดย
ดูดกลืนและคายความรอนไมเทากัน จึงมีผล สวนใหญเปนเมฆคิวมูลสั ซึง่ ถา
อากาศรอนลอยตัวขึ้น มีไอนํ้าปริมาณมากจะพัฒนา
ทําใหกลุมอากาศที่ลอยสูงขึ้นในแนวดิ่ง ไอนํ้า
เปนเมฆคิวมูโลนิมบัส แลว
ในมวลอากาศจะกอตัวกันเปนเมฆ 2. การ พื้นรอน
ตกลงมาเป 1 นฝนหรืออาจเปน
ยกตัวของอากาศตามความชันหรือตามภูเขา
ภาพที่ 4.3 การยกตัวของอากาศเนื่องจากการพาความรอน ลูกเห็บ ซึง่ ฝนทีเ่ กิดจากการพา
เกิดขึ้นจากกระแสลมปะทะภูเขา อากาศถูก ที่มา : http://www.geogrify.net/GEO1/Lectures/Weather/Cloud.html ความร อ นนั้ น มั ก เกิ ด ในช ว ง
บังคับใหลอยสูงขึ้นจนถึงระดับควบแนนจะ ฤดูมรสุม
กลั่นตัวกลายเปนเมฆ ซึ่งบนยอดเขาสูงมักมี 2. การยกตัวของอากาศตามความชันหรือตามภูเขา
เมฆปกคลุมอยู เกิดขึ้นจากกระแสลมพัดพา
เอาอากาศทีม่ คี วามชืน้ เคลือ่ น
ที่ ไ ปตามความชั น ของภู เ ขา
อากาศจะถู ก ดั น ตั ว ให ล อย
สูงขึ้นและขยายตัว อุณหภูมิ
ลดลงจนถึงจุดควบแนน ไอนํ้า
ในอากาศจะเกิ ด การกลั่ น ตั ว
ัว
ศยกต ภูเขา เขต กลายเปนเมฆนิมโบสเตรตัส
อากา เงา
ฝน และเกิดฝนตกในบริเวณแนว
ปะทะหรือดานหนาเขา สวน
บริเวณที่อยูดานหลังเขาจะมี
ภาพที่ 4.4 การยกตัวของอากาศตามความชันหรือตามภูเขา ปริมาณของนํ้าฝนเฉลี2่ยนอย
ที่มา : http://www.geogrify.net/GEO1/Lectures/Weather/Cloud.html กวา เรียกวา เขตเงาฝน
4
T6
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
3. การบีบตัวของอากาศ 3. ครูอธิบาย เรื่อง กลไกการยกตัวของอากาศ
เกิ ด ขึ้ น จากการที่ ก ระแสลม ตอในขอ 3. การบีบตัวของอากาศ เกิดขึ้นจาก
พัดมาปะทะกัน อากาศบริเวณ กระแสลมพัดมาปะทะกัน อากาศจะยกตัวขึ้น
ที่ ล มปะทะกั น จึ ง ยกตั ว ขึ้ น ทําใหอุณหภูมิลดตํ่าลงจนเกิดอากาศอิ่มตัว
ทําใหอุณหภูมิลดตํ่าลงจนถึง ไอนํา้ ในอากาศควบแนนเปนหยดนํา้ กลายเปน
ระดับควบแนน ไอนํา้ ในอากาศ เมฆ และ 4. การเกิดแนวปะทะอากาศ เกิดขึ้น
ควบแนนเปนหยดนํ้ารวมตัว จากอากาศรอนมีความหนาแนนตํา่ กวาอากาศ
กันเปนเมฆ ซึ่งเมฆที่พบจาก เย็ น เมื่ อ อากาศร อ นปะทะกั บ อากาศเย็ น
กระบวนการนี 1 ้ ได แ ก เมฆ2 อากาศรอนจะลอยตัวขึน้ ตามแนวปะทะอากาศ
ลม ลม แอลโตคิวมูลัสแอลโตสเตรตัส และอุ ณ หภู มิ ล ดตํ่ า ลงจนถึ ง ระดั บ ควบแน น
ซีรโรคิวมูลัส สเตรโทคิวมูลัส ทําใหเกิดเมฆและฝน
และสเตรตัส 4. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับกลไก
การยกตัวของอนุภาคอากาศ 4 ลักษณะ
ภาพที่ 4.5 การยกตัวของอากาศเนื่องจากการบีบตัวของอากาศ
ที่มา : http://alatlatequator.wordpress.com
4. การเกิดแนวปะทะอากาศ
เกิดขึ้นเนื่องจากมวลอากาศ
สองกลุ ม ที่ มี อุ ณ หภู มิ แ ละ
ความชื้นแตกตางกันเคลื่อนที่
มาพบกั น อากาศร อ นจะมี
ความหนาแนนตํ่ากวาอากาศ
เย็ น เมื่ อ อากาศร อ นปะทะ
กั บ อากาศเย็ น อากาศร อ น
จะลอยตั ว ขึ้ น ตามแนวปะทะ
อากาศเย็น อากาศ และอุณหภูมิลดตํ่าลง
อากาศรอน
จนถึงระดับควบแนน ซึ่งทําให
เกิดเมฆและฝน
ภาพที่ 4.6 การยกตัวของอากาศเนื่องจากแนวปะทะอากาศ
ที่มา : http://www.geogrify.net/GEO1/Lectures/Weather/Cloud.html
เสถียรภาพอากาศ 5
และแนวปะทะอากาศ
T7
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
5. ครูอธิบาย เรื่อง การเกิดเมฆ ในหนังสือเรียน การเกิดเมฆ
หนา 6 โดยใหนกั เรียนอานขอมูล และสามารถ
เมื่อเมฆเกาะตัวกันเปนกลุมจะเห็นเปนกอนเมฆ ซึ่งกอนเมฆนี้จะสะทอนคลื่นแสงแตละ
ศึกษาเพิ่มเติมไดจากการสแกน QR Code ความยาวคลื่นในชวงที่ตามองเห็นได ในระดับที่เทา ๆ กัน จึงทําใหเรามองเห็นกอนเมฆเปนสีขาว
เรือ่ ง การเกิดเมฆ เพือ่ ใชในการทบทวนความรู แตถากอนเมฆมีความหนาแนนสูงมากจนแสงผานไมไดจะทําใหเรามองเห็นกอนเมฆเปนสีเทา
ใหเกิดความเขาใจมากขึ้น หรือสีดํา
T8
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ขณะที่ละอองนํ้าเคลื่อนที่อยูใน
เมฆ จะมีแรงโนมถวงของโลก 6. ครูอธิบาย เรือ่ ง การเกิดเมฆ จากนัน้ ใหนกั เรียน
(gravitational force) และแรง แบงกลุม กลุมละ 3-4 คน แตละกลุมรวมกัน
พยุง (buoyancy force) มากระทํา เขียนปรากฏการณการเกิดเมฆ โดยสืบคน
แรงโนมถวงของโลก แรงโนมถวงของโลก > แรงพยุง ขอมูลจากหนังสือเรียนหรือสื่อออนไลนตางๆ
ละอองนํ้าในเมฆอาจมีขนาดเล็ก ละอองนํ้าจะตกลงมาเปน จากนั้ น เขี ย นข อ มู ล ที่ ไ ด ล งในกระดาษที่ ค รู
(20 ไมครอน) หรือขนาดใหญ หยาดนํ้าฟา
(50 ไมครอน) ซึง่ การเปลีย่ นแปลง แจกใหพรอมตกแตงใหสวยงาม และนําเสนอ
แรงโนมถวงของโลก
ขนาดของละอองนํ้าอาจเกิดจาก หนาชั้นเรียน
การควบแนนซํ้าหลายครั้ง หรือ
การเคลือ่ นทีช่ นกันระหวางละออง
นํ้าเนื่องจากกระแสลม แรงพยุง
แรงพยุง > แรงโนมถวงของโลก
ละอองนํ้าจะลอยตัวอยูในเมฆได
แรงพยุง
การเกิดเมฆ 7
T9
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร
1. ครูถามคําถามนักเรียนเพื่อทบทวนความรูวา • การสังเกต
อากาศแบบใด
(แนวตอบ การยกตัวของอากาศตามความชัน วัสดุอปุ กรณ
หรือตามภูเขา) 1. ธูป 3. นํ้าแข็งกอน
2. แกวนํ้าทรงกระบอก 4. จานขนาดเล็กที่มีลักษณะแบนราบ
อธิบายความรู้
วิธปี ฏิบตั ิ
1. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรม เรื่อง เมฆเกิดขึ้นได
อยางไร โดยใหนกั เรียนนําวัสดุอปุ กรณทเี่ ตรียม 1. เติมนํ้ารอนลงในแกวพอประมาณ สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น จุดธูปและนําธูปลงไปจอในแกว ใหควันธูปลอยอยูใน
มาใชทําการทดลอง และครูควรเนนยํ้าเรื่อง แกว ดังภาพที่ 4.8 (ก) สังเกตการเปลี่ยนแปลง
การระมัดระวังขณะจุดธูป และหลีกเลี่ยงการ 2. ใสนํ้าแข็งในจานแบน แลวนําไปวางปดปากแกว ดังภาพที่ 4.8 (ข) สังเกตการเปลี่ยนแปลง
สูดดมควันธูปในปริมาณมาก 3. ทดลองซํ้าขอ 1. และ 2. แตไมนําควันธูปลงไปในแกว ดังภาพที่ 4.8 (ค) สังเกตการเปลี่ยนแปลง
4. ทดลองซํ้าขอ 1. และ 2. แตเปลี่ยนจากนํ้ารอนเปนนํ้าเย็น ดังภาพที่ 4.8 (ง) สังเกตการเปลี่ยนแปลง
2. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปและอภิปรายผล
จากการทํากิจกรรมนี้ โดยสุมนักเรียนออกมา
อภิปรายผลจากการทดลองหนาชั้นเรียน
(ก) (ข)
T10
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
T11
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูใหนักเรียนสังเกตทองฟาในวันนี้วา มีเมฆ 1.2 ชนิดของเมฆ
ในลักษณะอยางไร แลวสุมนักเรียนใหอธิบาย การแบงชนิดของเมฆนัน้ สามารถพิจารณาไดจากรูปรางและระดับความสูงของฐานเมฆ ดังนี้
ลักษณะทองฟาวันนี้ใหครูและเพื่อนฟง
1. แบงตามรูปรางของเมฆ หากพิจารณาจากรูปรางของเมฆสามารถแบงได 3 ชนิด
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ดังนี้
• เมฆแบงออกเปนกี่ชนิด อะไรบาง 1) เมฆซีรรัส (cirrus) มีลักษณะเปนเสนใยคลายขนนกหรือรูปหางมา มีสีขาวหรือ
(แนวตอบ 1. เมฆจะแบงตามรูปรางของเมฆได สีนํ้าเงิน เมฆชนิดนี้มักบงบอกถึงสภาวะอากาศแจมใส ภายในกอนเมฆอยูในสภาพที่เปนอนุภาค
3 ชนิด คือ เมฆซีรรัส เมฆสเตรตัส และเมฆ ของเกล็ดนํ้าแข็ง หากเมฆซีรรัสไปบดบั1งแสงอาทิตยหรือแสงจันทรจะทําใหเกิดวงแสงเปน
คิวมูลัส 2. เมฆจะแบงตามระดับความสูง ปรากฏการณที่เรียกวา พระอาทิตยทรงกลดหรือพระจันทรทรงกลด
ของฐานเมฆได 3 ชนิด คือ เมฆชั้นสูง เมฆ
ชั้นกลาง และเมฆชั้นตํ่า)
อธิบายความรู้
1. ครูใหนกั เรียนเปดหนังสือเรียนและอธิบาย เรือ่ ง
ชนิดของเมฆ โดยเมฆจะสามารถแบงตาม
รูปรางของเมฆไดทั้งหมด 3 ชนิด คือ
• เมฆซีรรัส เปนเมฆที่มีลักษณะเปนเสนใย ภาพที่ 4.12 เมฆซีรรัส
ที่มา : https://planetside.co.uk/forums/index.php?topic=24083.0
คลายกับขนนก มักเกิดขึน้ ในวันทีม่ อี ากาศดี
ทองฟาเปนสีฟาเขม 2) เมฆสเตรตัส (stratus) มีลักษณะเปนแผนปกคลุมพื้นที่เปนบริเวณกวาง มีสีเทา
• เมฆสเตรตัส เปนเมฆที่อยูตํ่าสุดและอยูใน ความสูงของฐานเมฆสมํ่าเสมอกัน เปนเมฆที่อยูตํ่าสุดและอยูในแนวนอนคลายหมอกหรือคลาย
แนวนอนคลายหมอก มักปรากฏในตอน แผนฟลม บาง ๆ ซึง่ เกิดจากหมอกทีล่ อยขึน้ มาจากพืน้ ดิน ทําใหทอ งฟามีลกั ษณะเปนฝา มักปรากฏ
เชามืด หรือตอนสาย หรือหลังฝนตก ในตอนชวงเชามืดหรือหลังฝนตก
• เมฆคิวมูลสั เปนเมฆทีม่ ลี กั ษณะเปนกอนหนา
คลายกะหลํ่าดอก เห็นขอบนอกไดชัดเจน
ถ า เกิ ด ขึ้ น เป น หย อ มๆ แสดงถึ ง สภาวะ
อากาศดี
T12
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
3) เมฆคิวมูลสั (cumulus) มีลกั ษณะเปนกอนหนา ๆ คลายปุยฝาย หรือรูปกะหลํา่ มีสขี าว 2. ครูอธิบายความรู เรื่อง เมฆกับหมอกวา มี
กอตัวในแนวตั้งเกิดขึ้นจากอากาศที่ไมมีเสถียรภาพ ฐานเมฆเปนสีเทาเนื่องจากมีความหนามาก ลั ก ษณะแตกต า งกั น โดยเมฆจะมี ก ารเกิ ด
พอที่จะบดบังแสง จนทําใหเกิดเงา มักปรากฏใหเห็นในภาวะที่อากาศแจมใส ทองฟาเปนสีฟาเขม เชนเดียวกับหมอก แตจับตัวและลอยอยูบน
ทองฟา เมฆที่อยูสูงขึ้นไปอาจจะจับตัวกันเปน
เกล็ดนํ้าแข็ง ดังนั้น เมฆจึงมีสถานะทั้งที่เปน
ของเหลวและของแข็ง สวนหมอกเกิดจากไอนํา้
ในอากาศจับตัวกับฝุนละอองในอากาศ และ
กลัน่ ตัวเปนหยดนํา้ เล็กๆ โดยมักจะเกิดหมอก
ในบริเวณที่มีปริมาณไอนํ้าในอากาศมาก
Earth Science
Focus หมอก
เสถียรภาพอากาศ 11
และแนวปะทะอากาศ
T13
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
4. ครูใหนกั เรียนอาน เรือ่ ง การแบงเมฆตามระดับ 2. แบงตามระดับความสูงของฐานเมฆ หากพิจารณาระดับความสูงของฐานเมฆ สามารถ
ความสูงของฐานเมฆ ในหนา 12 จากนั้นครู แบงเมฆไดเปน 3 ชนิด ดังนี้
ถามคําถามนักเรียนวา
• เมฆที่แบงตามระดับความสูงของฐานเมฆ ประเภทของเมฆ (type of cloud)
แบงไดทั้งหมดกี่ชั้น อะไรบาง
ซีร์รัส (cirrus)
(แนวตอบ เมฆที่แบงตามระดับความสูงของ มีสีขาว เปนเสนใยบาง ๆ คลาย
ฐานเมฆ แบงไดทั้งหมด 3 ชนิด ไดแก เมฆ เมฆชั้นสูง ฐานเมฆอยูในระดับความสูง
ขนนก
เฉลีย่ ตัง้ แต 6,000 เมตรขึน้ ไป ซึง่ ความสูงในระดับนี้
ชั้นสูง เมฆชั้นกลาง และเมฆชั้นตํ่า) สภาพอากาศจะหนาวและแหงแลง องคประกอบ
• เมฆชั้นสูงมีลักษณะอยางไร และประกอบ ภายในเมฆสวนใหญเปนผลึกนํ้าแข็ง ซีรโ์ รสเตรตัส (cirrostratus)
ดวยเมฆชนิดใดบาง แผ น สี ข าวบาง อาจหั ก เหหรื อ
(แนวตอบ ฐานเมฆจะอยูในระดับความสูง สะทอนแสงทําใหเกิดพระอาทิตย
เฉลี่ยตั้งแต 6,000 เมตรขึ้นไป มีเมฆซีรรัส ทรงกลดได
ซีรโรสเตรตัส และซีรโรคิวมูลัส)
เมฆชัน
้ กลาง ฐานเมฆอยูใ นระดับความสูง
2,000–6,000 เมตร ภายในเมฆจะประกอบ
ไปดวยผลึกนํ้าแข็งและละอองนํ้า
แอลโตสเตรตัส (altostratus)
มีสีเทา เปนแผนหนาทึบ
T14
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
5. ครูอธิบาย เรือ่ ง การแบงเมฆตามระดับความสูง
ของฐานเมฆ และอภิปรายทบทวนกับนักเรียน
วา เมฆแตละชั้นประกอบดวยเมฆชนิดใดบาง
โดยถามคําถามนักเรียน ดังนี้
• เมฆชัน้ กลางมีลกั ษณะอยางไร และประกอบ
ดวยเมฆชนิดใดบาง
(แนวตอบ ฐานเมฆจะอยูในระดับความสูง
ตั้งแต 2,000-6,000 เมตร มีเมฆแอลโต-
ซีร์โรคิวมูลัส (cirrocumulus)
สเตรตัสและเมฆแอลโตคิวมูลัส)
สีขาว ลักษณะเปนกอน ลอนคลื่น หรือริ้ว ๆ • เมฆชั้นตํ่ามีลักษณะอยางไร และประกอบ
คลายกับระลอกทราย ดวยเมฆชนิดใดบาง
(แนวตอบ ฐานเมฆจะอยูใกลพื้นดิน และอยู
ในระดับความสูงไมเกิน 2,000 เมตร มีเมฆ
สเตรโทคิวมูลัส คิวมูโลนิมบัส และคิวมูลัส)
แอลโตคิวมูลัส (altocumulus)
สีขาวหรือสีเทา ลักษณะเปนกอนเรียงกันเปนแผน
คิวมูโลนิมบัส (cumulonimbus)
เมฆคิวมูโลนิมบัส เมฆที่กอตัวในแนวตั้ง
ฐานเมฆจะอยูในระดับใกลพื้นดิน และยอด
เมฆอาจสูงถึง 10 กิโลเมตร เปนเมฆกอน
คิวมูลัส (cumulus)
หนาใหญ
เกาะกันเปนกลุม ๆ กอนหนาคลายกะหลํ่าดอก
ภาพที่ 4.16 แบงตามระดับความสูงของเมฆ เสถียรภาพอากาศ 13
ที่มา : http://cloudappreciationsociety.org และแนวปะทะอากาศ
T15
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
6. ครูอธิบาย เรื่อง การแบงชั้นเมฆตามความสูง 1) เมฆชัน้ สูง มีฐานเมฆอยูใ นระดับความสูงมากกวา 6,000 เมตรจากผิวโลก ซึง่ ในระดับ1
ดังนี้ ความสูงนี้สภาพอากาศจะหนาวและแหงแลง องคประกอบภายในเมฆประกอบดวยผลึกนํ้าแข็ง
• เมฆชัน้ สูง ประกอบดวย เมฆซีรร สั มีลกั ษณะ จึงทําใหมองเห็นเปนสีขาว ชื่อเมฆจะขึ้นตนดวยซีรรัส (cirrus) ไดแก ซีรรัส ซีรโรสเตรตัส และ
เปนเสนใยบางๆ คลายขนนก เมฆซีรโร- ซีร โรคิวมูลัส
สเตรตัส มีลกั ษณะเปนริว้ คลายเสนใยตอกัน • ซีรรัส (cirrus)
เปนแผนสีขาว และเมฆซีรโ รคิวมูลสั มีลกั ษณะ มีลักษณะเปนเสนใยบาง ๆ
เปนริ้ว คลายกับระลอกคลื่นเล็กๆ มีสีขาว คลายขนนก เปนริ้ว และมี
• เมฆชัน้ กลาง ประกอบดวย เมฆแอลโตสเตร- ลักษณะโปรงใส หากลอยผาน
ตัส มีลักษณะเปนแผนหนาสีเทาปกคลุมทั่ว ดวงอาทิ ต ย แ สงของดวง
อาทิตยจะสามารถลอดผาน
ทัง้ ทองฟา และเมฆแอลโตคิวมูลสั มีลกั ษณะ ไปไดโดยไมลดความสวาง
เปนกอนสีขาวคลายคลื่น ของแสง มักเกิดขึ้นในวันที่มี ภาพที่ 4.17 เมฆซีรรัส
• เมฆชัน้ ตํา่ ประกอบดวย เมฆสเตรโทคิวมูลสั อากาศแจมใส ที่มา : คลังภาพ อจท.
มีสีเทา เรียงตัวกันหนาแนน สามารถบดบัง
ดวงอาทิตยได และเมฆคิวมูโลนิมบัส มี • ซีรโรสเตรตัส (cirrostratus)
ลักษณะสีเทาเขมปกคลุมทั่วทองฟา และ มีลักษณะเปนริ้วคลายเสนใย
เปนเมฆที่ทําใหเกิดฝน ต อ กั น เป น แผ น สี ข าวแผ
ปกคลุมทัว่ ทองฟา มีลกั ษณะ
โปร ง แสง ซึ่ ง หากเกิ ด การ
หักเหของแสงจะทําใหเกิด
ปรากฏการณ พ ระอาทิ ต ย
ทรงกลด ภาพที่ 4.18 เมฆซีร โรสเตรตัส
ที่มา : คลังภาพ อจท.
• ซีรโ รคิวมูลสั (cirrocumulus)
มีลกั ษณะเปนริว้ คลายระลอก
คลื่นเล็ก ๆ สีขาว ปกคลุม
ทองฟาเปนบริเวณกวาง
T16
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2) เมฆชั้นกลาง มีฐานเมฆอยูในระดับความสูงระหวาง 2,000-6,000 เมตรจากผิวโลก 7. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน และ
องคประกอบภายในเมฆเปนผลึกนํ้าแข็งและละอองนํ้า ชื่อเมฆจะขึ้นตนดวยแอลโต (alto) ไดแก ทํารายงานสรุป เรื่อง การแบงเมฆตามระดับ
แอลโตสเตรตรัส และแอลโตคิวมูลัส ความสูงของฐานเมฆ ซึ่งจะแบงเมฆออกได
• แอลโตสเตรตัส (altostratus) ทั้งหมด 3 ชนิด ไดแก เมฆชั้นสูง เมฆชั้นกลาง
มี ลั ก ษณะเป น แผ น หนาทึ บ และเมฆชั้นตํ่า ใหนักเรียนหาภาพประกอบ
สี เ ทาปกคลุ ม ทั้ ง หมดหรื อ พรอมทั้งเนื้อหาของเมฆแตละชนิด เขียนชื่อ
บางสวนของทองฟา สามารถ กํากับเมฆแตละชัน้ แตละชนิด แลวนํารายงาน
บดบั ง ดวงอาทิ ต ย ห รื อ ดวง เลมนี้มาสงครูในชั่วโมงถัดไป
จันทร ทําใหเห็นทองฟาเปนฝา
และอาจทําใหเกิดฝนละออง
บาง ๆ ได ภาพที่ 4.20 เมฆแอลโตสเตรตัส
ที่มา : คลังภาพ อจท.
• แอลโตคิวมูลสั (altocumulus)
มีลกั ษณะเปนกอนสีขาว มีการ
จัดตัวเปนคลื่น หรือลักษณะ
คลายเปนเกล็ด อาจเรียงตัวกัน
สองชัน้ หรือมากกวา บางสวน
ของเมฆอาจมีแสงลอดผาน
ไดบาง
ภาพที่ 4.21 เมฆแอลโตคิวมูลัส
ที่มา : คลังภาพ อจท.
Earth Science
Focus ผลึกนํ้าแข็ง
การเกิดผลึกนํา้ แข็ง (nucleation) คือ การทีโ่ มเลกุลของนํา้
มีการจัดเรียงตัวอยางเปนระเบียบ เนือ่ งจากอุณหภูมลิ ดลง โดยการ
ดึงพลังงานความรอนแฝงทีเ่ ปลีย่ นสถานะจากนํา้ กลายเปนผลึกแข็ง
จากของเหลว เกิดเปนนิวเคลียสจะเปนอุณหภูมิในชวงแคบ ๆ ซึ่ง
อยูในชวงจุดเยือกแข็ง
ภาพที่ 4.22 ผลึกนํ้าแข็ง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เสถียรภาพอากาศ 15
และแนวปะทะอากาศ
T17
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูสุมถามคําถามทบทวนความรูจากเนื้อหา 3) เมฆชัน้ ตํา่ มีฐานเมฆใกลพนื้ โลกซึง่ มีระดับความสูงตํา่ กวา 2,000 เมตร องคประกอบ
ที่ผานมากับนักเรียนวา เมฆชั้นสูงประกอบ สวนใหญเปนละอองนํ้า เมฆชั้นตํ่า ไดแก สเตรโทคิวมูลัส นิมโบสเตรตัส และคิวมูลัส
ไปดวยเมฆชนิดใดบาง แตละชนิดมีลักษณะ
อยางไร • สเตรโทคิวมูลัส (stratocu-
mulus) มีสเี ทา เรียงตัวตอกัน
(แนวตอบ เมฆชัน้ สูง ประกอบไปดวย เมฆซีรร สั
หนาแนน ลอยตํ่าติดกันเปน
มีลักษณะเปนเสนบางๆ คลายขนนก เมฆ
แพ ทําใหสามารถบดบังดวง
ซีรโรสเตรตัส มีลักษณะเปนริ้วคลายเสนใย อาทิตยได มักพบเห็นเมื่อ
ตอกันเปนแผนสีขาว และเมฆซีรโรคิวมูลัส สภาพอากาศไมคอยดีนัก
มีลักษณะเปนริ้ว คลายระลอกคลื่นเล็กๆ)
อธิบายความรู้
ภาพที่ 4.23 เมฆสเตรโทคิวมูลัส
1. ครูใหนักเรียนศึกษา เรือ่ ง เมฆแตละชนิด จาก ที่มา : คลังภาพ อจท.
คลิปวิดีโอ เรื่อง เมฆชนิดตางๆ ในเว็บไซต
• นิมโบสเตรตัส (nimbostra-
Youtube ตามลิงกที่แนบมา https://www. tus) มี ลั ก ษณะเป น เมฆสี
youtube.com/watch?v=0vyim0kPCkY&t=69s เทาเข ม ที่ แ ผ ก ว า งปกคลุ ม
2. ครูอธิบายถึงลักษณะรูปรางของเมฆตามระดับ ทองฟา และเปนแผนหนา
ชัน้ ความสูงตางๆ และอาจจะมีภาพเมฆแตละ เปนเมฆทีท่ าํ ใหเกิดฝนตก จึง
ชนิดมาประกอบเนือ้ หา เพือ่ ใหนกั เรียนมองเห็น เรียกวา เมฆฝน
ภาพไดชัดเจนยิ่งขึ้น
ภาพที่ 4.24 เมฆนิมโบสเตรตัส
ที่มา : คลังภาพ อจท.
T18
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
Topic
Question
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
1. เมฆเกิดขึ้นไดอยางไร
2. เมฆชั้นตํ่าประกอบดวยเมฆชนิดใดบาง
3. เมฆชนิดใดที่ทําใหเกิดปรากฏการณพระอาทิตยทรงกลด
4. เมฆที่กอตัวในแนวตั้งคือเมฆชนิดใด และมีความสูงเทาใด
5. เมฆชนิดใดมีรูปรางลักษณะคลายขนนกสีขาว เปนริ้ว ๆ มีลักษณะโปรงแสง
เสถียรภาพอากาศ 17
และแนวปะทะอากาศ
คิวมูลัส
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3. เมฆซีรโรสเตรตัส
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
4 ความมีนาใจ
5 การตรงต่อเวลา
5. เมฆซีรรัส
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T19
น�ำ น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
ครูกระตุนความสนใจ โดยถามคําถาม Prior เสถียรภาพของอากาศ 2. เสถียรภาพของอากาศ
Knowledge ใหนกั เรียนอภิปรายและแสดงความ คืออะไร เสถียรภาพของอากาศ (atmospheric stability) คือ
คิดเห็นรวมกัน สภาวะของอากาศที่ชวยสงเสริม หรือยับยั้งใหกลุมอากาศ
เคลือ่ นทีข่ นึ้ ลงในแนวดิง่ เมือ่ อากาศอยูใ นสภาพสมดุลหรือมีเสถียรภาพ อากาศจะไมเคลือ่ นทีห่ รือ
ขัน้ สอน เคลื่อนที่กลับสูที่เดิมในเวลาอันสั้น แตหากอากาศไมมีเสถียรภาพอากาศจะเคลื่อนที่ตลอดเวลา
สํารวจค้นหา
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน ชวยกัน 2.1 อากาศมีเสถียรภาพ
อากาศมีเสถียรภาพ
สืบคนขอมูล เรื่อง เสถียรภาพของอากาศ จาก เมื่ อ ก อ นอากาศมี อุ ณ หภู มิ ตํ่ า และมี
หนังสือเรียนหรือสื่ออินเทอรเน็ต จากนั้นใหเขียน ความดันสูงกวาอากาศโดยรอบ อากาศนี้จะไม ระดับ 0 ํC 10 ํC
ลงในกระดาษ A4 ในรูปแบบของผังมโนทัศน สามารถยกตั ว ได สู ง มากนั ก และจะเคลื่ อ นที่ ควบแนน 2,000 เมตร
กลับสูท เี่ ดิมเรียกวา อากาศมีเสถียรภาพ (stable
อธิบายความรู้ air) แตหากอากาศยกตัวสูงขึ้นจนถึงระดับ
1. ครูอธิบายความหมายของเสถียรภาพอากาศวา ควบแนน แตไมสามารถยกตัวขึน้ สูงตอไปไดอกี 10 ํC 15 ํC
1,000 เมตร
เปนสภาวะของอากาศทีช่ ว ยสงเสริมหรือยับยัง้ จะทําใหเกิดเมฆในแนวราบซึ่งสภาวะอากาศมี
ใหกลุมอากาศสามารถเคลื่อนที่ในแนวดิ่งได เสถียรภาพจะมีทองฟาแจมใส มีเมฆนอยหรือ
2. ครูถามคําถามนักเรียนเกีย่ วกับเรือ่ ง เสถียรภาพ ไมมีเมฆ มักพบในชวงเชาหรือในฤดูหนาว 20 ํC 20 ํC
พื้นผิว
ของอากาศวา พื้นรอน
• อากาศที่มีเสถียรภาพมีลักษณะอยางไร ภาพที่ 4.27 สภาวะอากาศมีเสถียรภาพ
(แนวตอบ เมื่อกอนเมฆมีอุณหภูมิตํ่าและมี ที่มา : คลังภาพ อจท.
ภาพที่ 4.28 บริเวณที่อากาศมีเสถียรภาพจะมีทองฟา
ความดันสูงกวาอากาศโดยรอบ อากาศจะ แจมใสและมีเมฆนอย
ไมสามารถยกตัวไดสูง อากาศจะเคลื่อนที่ ที่มา : คลังภาพ อจท.
กลับสูที่เดิมเรียกวา อากาศมีเสถียรภาพ)
T20
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2.2 อากาศไมมีเสถียรภาพ อากาศไม่มีเสถียรภาพ
ครู ถ ามคํ า ถามเพื่ อ ทบทวนความรู ใ ห กั บ
เมือ่ กอนอากาศมีอณ ุ หภูมสิ งู กวาอากาศ นักเรียน ดังนี้
โดยรอบ กอนอากาศจะยกตัวขึ้นอยางรวดเร็ว • เสถียรภาพอากาศคืออะไร
จนถึงระดับควบแนน ซึ่งเรียกวา อากาศไมมี ระดับ 20 ํC 16 ํC (แนวตอบ สภาวะอากาศที่ชวยสงเสริมหรือ
เสถียรภาพ (unstable air) สงผลใหเกิดเมฆ
ควบแนน 2,000 เมตร ยั บ ยั้ ง ให ก ลุ ม อากาศเคลื่ อ นที่ ขึ้ น ลงใน
ในแนวตั้ง เชน เมฆคิวมูลัส เมฆคิวมูโลนิมบัส แนวดิ่ง เมื่ออากาศอยูในสภาพสมดุลหรือ
เปนตน สภาวะอากาศไมมีเสถียรภาพทองฟา 30 ํC 28 ํC
มี เ สถี ย รภาพ อากาศจะไม เ คลื่ อ นที่ ห รื อ
จะมี เ มฆฝนปกคลุ ม และเกิ ด หยาดนํ้ า ฟ า 1,000 เมตร เคลื่อนที่กลับสูที่เดิมในเวลาอันสั้น)
ซึง่ มักจะเกิดขึน้ ในชวงเวลาทีม่ อี ณ
ุ หภูมสิ งู เชน อธิบายความรู้
ชวงบายหรือในฤดูรอน
40 ํC 40 ํC ครูใหนักเรียนอานเนื้อหา เรื่อง อากาศไมมี
ภาพที่ 4.30 บริเวณที่อากาศไมมีเสถียรภาพ อากาศ พื้นรอน พื้นผิว เสถียรภาพ จากนั้นครูถามคําถามเพื่อทดสอบ
จะลอยตัวสูงขึ้นอยางรวดเร็ว และมีเมฆปกคลุมทองฟา
ปริมาณมาก ภาพที่ 4.29 สภาวะอากาศไมมีเสถียรภาพ ความรูของนักเรียน ดังนี้
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ที่มา : คลังภาพ อจท. • อากาศไมมเี สถียรภาพมักเกิดขึน้ ในชวงเวลาใด
(แนวตอบ มักพบในชวงทีอ่ ากาศมีอณ ุ หภูมสิ งู
เชน ชวงบายหรือในฤดูรอน)
ขยายความเข้าใจ
ครูใหนักเรียนตอบคําถามทายหัวขอ Topic
Question
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
Topic ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น สรุ ป เนื้ อ หา เรื่ อ ง
Question
เสถียรภาพของอากาศ เพือ่ เปนการทบทวนความรู
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
ใหแกนักเรียนหลังจากที่เรียนเนื้อหานี้จบแลว
1. สภาวะอากาศมีเสถียรภาพมีลักษณะอยางไร และเกิดขึ้นในชวงเวลาใด
2. สภาวะอากาศไมมีเสถียรภาพมีลักษณะอยางไร และเกิดขึ้นในชวงเวลาใด
3. ปจจัยใดบางที่สงผลใหเกิดสภาวะอากาศไมมีเสถียรภาพ ขัน้ ประเมิน
4. อากาศที่มีเสถียรภาพกับอากาศที่ไมมีเสถียรภาพมีความแตกตางกันอยางไร ตรวจสอบผล
5. ยกตัวอยางสภาวะอากาศไมมีเสถียรภาพในปจจุบันวา มักจะพบในพื้นที่ใดของประเทศไทย 1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบคําถาม
เสถียรภาพอากาศ 19 รายบุคคล
และแนวปะทะอากาศ
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการทํางานกลุม
ขึ้นอยางรวดเร็วจนถึงระดับควบแนน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่่ากว่า 8 ปรับปรุง
T21
น�ำ น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
ครูกระตุนความสนใจ โดยถามคําถาม Prior การยกตัวของอากาศ 3. แนวปะทะอากาศ
Knowledge ใหนักเรียนอภิปรายและแสดงความ สงผลตอลักษณะลมฟา เมื่อมวลอากาศ 2 มวล เคลื่อนที่มาปะทะกัน จะเกิดแนว
คิดเห็นรวมกันกอนเขาสูหัวขอที่เรียน ดังนี้ อากาศอยางไร
หรือขอบเขตระหวางมวลอากาศทั้งสอง ซึ่งมวลอากาศเย็นที่มี
• การยกตัวของอากาศสงผลตอลักษณะลมฟา ความหนาแนนมากกวาจะจมตัวลง สวนมวลอากาศรอนจะลอยตัวขึ้น ซึ่งแนวหรือขอบเขตที่
อากาศอยางไร มวลอากาศทั้งสองมาพบกัน เรียกวา แนวปะทะอากาศ (front)
มวลอากาศ (air mass) คือ กลุมของอากาศที่มีลักษณะเปนกอนขนาดใหญ โดยมีความชื้น
ขัน้ สอน ปริมาณไอนํ้า และอุณหภูมิเทากันทั้งกอน มวลอากาศจะเกิดขึ้นเมื่ออากาศสวนนั้นอยูนิ่งกับที่
สํารวจค้นหา
และมีการสัมผัสกับพื้นผิวโลกเปนระยะเวลานาน จนกระทั่งมีคุณสมบัติคลายกับพื้นผิวโลกใน
1. ครูใหนกั เรียนเปดหนังสือเรียน เรือ่ ง แนวปะทะ บริเวณนั้น ๆ จากนั้นมวลอากาศจะเคลื่อนที่ไปยังบริเวณอื่น สงผลใหลมฟาอากาศในบริเวณนั้น
อากาศ และอธิบายความรู เรื่อง แนวปะทะ เปลี่ยนแปลงไป
อากาศ มวลอากาศ การจํ า แนกมวลของ 1. การจําแนกมวลอากาศโดยพิจารณาแหลงกําเนิดเปนเกณฑ สามารถแบงได ดังนี้
อากาศโดยพิจารณาแหลงกําเนิดเปนเกณฑ
การจําแนกมวลอากาศโดยพิจารณาแหล่งกําเนิดเป็นเกณฑ์ สามารถแบ่งได้ ดังนี้
และการจํ า แนกมวลอากาศโดยพิ จ ารณา
คุณสมบัติอุณหภูมิเปนเกณฑ มวลอากาศขั1้วโลกภาคพื้นทวีป (continental polar air mass) มีแหลงกําเนิดอยูเหนือภาคพื้นทวีป
ในเขตละติจูดตํ่า ซึ่งมีลักษณะเปนมวลอากาศเย็นและแหง
มวลอากาศเขตรอนภาคพื้นทวีป (continental tropical air mass) มีแหลงกําเนิดเหนือภาคพื้นทวีป
มีการเคลื่อนที่จากละติจูดตํ่าไปสูละติจูดสูง ลักษณะเปนมวลอากาศรอนและแหงแลง ทําใหบริเวณที่
มวลอากาศนี้เคลื่อนที่ผานมีอากาศรอนและแหงแลง
มวลอากาศขั้วโลกภาคพื้นสมุทร (maritime polar air mass) มีแหลงกําเนิดเหนือภาคพื้นมหาสมุทร
ซึ่งเมื่อมวลอากาศชนิดนี้เคลื่อนตัวลงมายังละติจูดตํ่าจะทําใหเกิดความเย็นและชุมชื้น
มวลอากาศเขตรอนภาคพืน้ สมุทร (maritime tropical air mass) มีแหลงกําเนิดเหนือภาคพืน้ มหาสมุทร
จึงนําพาความชุมชื้น ซึ่งเมื่อเคลื่อนที่ผานบริเวณใดจะทําใหเกิดฝนตก
T22
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร
• การสังเกต
2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน ทํา
แนวปะทะอากาศ • การทดลอง กิจกรรม เรื่อง แนวปะทะอากาศ
• การตีความหมายขอมูลและ
ลงขอสรุป
จิตวิทยาศาสตร
อธิบายความรู้
จุดประสงค • ความมีเหตุผล
• รวมแสดงความคิดเห็นและ
1. ครู อ ธิ บ ายวิ ธีป ฏิ บั ติ และสาธิ ต วิ ธีก ารทํ า
เพื่ออธิบายการเกิดของแนวปะทะอากาศ และการเคลื่อนที่ของ ยอมรับฟงความคิดเห็นของผูอื่น กิจกรรม เรื่อง แนวปะทะอากาศ ใหนักเรียน
อุณหภูมินํ้าที่แตกตางกัน
สามารถปฏิบัติตามขั้นตอนไดอยางถูกตอง
วัสดุอปุ กรณ 2. หลังจากทํากิจกรรมเสร็จเรียบรอย ครูถาม
1. ตูปลา 4. นํ้ารอนและนํ้าเย็น คําถามกับนักเรียน ดังนี้
2. ดินนํ้ามัน 5. แผนพลาสติก • เมือ่ ยกแผนกัน้ ออก นํา้ ทีอ่ ยูใ นตูป ลาเกิดการ
3. สีผสมอาหาร เปลี่ยนแปลงหรือไม อยางไร
วิธปี ฏิบตั ิ • จงอธิบายลักษณะการเคลื่อนที่ของนํ้าที่มี
อุณหภูมิตางกัน
1. นําแผนพลาสติกมากั้นกลางตูปลา เพื่อแบงตูปลาออกเปน 2 ฝง (ก)
3. นั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายและสรุ ป ผลการ
2. ใชดินนํ้ามันอุดตามรองตลอดแนวแผนพลาสติก เพื่อกันไมใหนํ้า
แตละฝงรั่วเขาหากันดังภาพที่ 4.31 (ก) ทดลอง
3. เทนํ้ารอนและนํ้าเย็นลงในตูปลาอยางละดาน
(อยาใหนํ้ารอนและเย็นผสมกัน)
4. นําสีผสมอาหารผสมลงในดานที่เทนํ้าเย็นไว ดังภาพที่ 4.31 (ข)
5. ยกแผนกั้นออก สังเกตการเปลี่ยนแปลง (ข)
ภาพที่ 4.31 กิจกรรมแนวปะทะ
คําถามทายกิจกรรม อากาศ
? ที่มา : คลังภาพ อจท.
1. เมื่อยกแผนกั้นออกนํ้าที่อยูในตูปลาเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม อยางไร บันทึก กิจกรรม
2. จงอธิบายลักษณะการเคลื่อนที่ของนํ้าที่มีอุณหภูมิตางกัน เมื่อยกแผนกั้นออก ทําใหนํ้ารอนและนํ้าเย็น
ผสมกัน โดยนํ้าเย็นเคลื่อนตัวจมดานลางนํ้ารอน
อภิปรายผลกิจกรรม เพราะนํ้าที่มีอุณหภูมิตํ่าจะเคลื่อนที่ลงดานลาง ใน
เมือ่ ยกแผนกัน้ ออกทําใหนาํ้ รอนและนํา้ เย็นผสมกัน สังเกตไดวา นํา้ เย็น (ผสมสีผสมอาหารลงไป) เคลือ่ น ขณะที่นํ้าที่มีอุณหภูมิสูงจะเคลื่อนที่ขึ้นดานบน
ตัวจมดานลางนํา้ รอน เนือ่ งจากนํา้ ทีม่ อี ณ
ุ หภูมติ า่ํ จะเคลือ่ นทีล่ งดานลาง ในขณะทีน่ าํ้ ทีม่ อี ณ
ุ หภูมสิ งู จะเคลือ่ นที่ แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
ขึ้นดานบน
เปรียบใหนํ้าที่มีอุณหภูมิตํ่าแทนมวลอากาศเย็น และนํ้าที่มีอุณหภูมิสูงแทนมวลอากาศรอน เมื่อ 1. เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยนํ้ารอนกับนํ้าเย็นจะ
มวลอากาศที่มีอุณหภูมิตางกันเคลื่อนที่เขาหากันจะเกิดรอยตอมวลอากาศ เรียกวา แนวปะทะอากาศ ผสมกัน
เสถียรภาพอากาศ 21
2. เมื่อนํ้าที่มีอุณหภูมิแตกตางกันมารวมกัน นํ้าที่
และแนวปะทะอากาศ
มีอุณหภูมิสูงจะเคลื่อนที่ขึ้นดานบนและนํ้าที่มี
อุณหภูมิตํ่าจะเคลื่อนที่ลงดานลาง
T23
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ครูทบทวนความรูจากชั่วโมงที่แลวใหนักเรียน แนวปะทะอากาศ เป็นแนวที่แบ่งเขตระหว่างมวลอากาศ Earth Science
ทราบ โดยถามคําถามดังตอไปนี้ อุ่นและมวลอากาศเย็นเคลื่อนที่มาปะทะกัน โดยมวลอากาศที่ in real life
• การจํ า แนกมวลของอากาศโดยพิ จ ารณา เบาจะอยู่ข้างบนมวลอากาศที่หนักจะอยู่ข้างล่าง บริเวณรอยต่อ การตรวจสอบสภาพอากาศ
แหลงกําเนิดเปนเกณฑมีอะไรบาง ของมวลอากาศทั้งสองจะมีสภาพอากาศแปรปรวน มีเมฆฝน ทั ศ นวิ สั ย ลั ก ษณะอากาศ
ก่ อ นท� า การบิ น เป็ น หลั ก การ
(แนวตอบ มวลอากาศขั้วโลกภาคพื้นทวีป และมีการเปลีย่ นแปลงลักษณะอากาศหลายประการ ซึง่ แนวปะทะ ส� า คั ญ ที่ นั ก บิ น ต้ อ งวางแผน
มวลอากาศเขตรอนภาคพืน้ ทวีป มวลอากาศ อากาศแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ การบินล่วงหน้า เพื่อหลีกเลี่ยง
ขั้ ว โลกภาคพื้ น สมุ ท ร และมวลอากาศ 1) แนวปะทะอากาศอุน (warm front) เป็นแนวปะทะ สภาวะอากาศเลวร้ า ยที่ เ ป็ น
เขตรอนภาคพื้นสมุทร) อากาศที่เกิดจากมวลอากาศอุ่นเคลื่อนที่เข้าหามวลอากาศเย็น อันตรายต่อการบินตลอดเส้น
อธิบายความรู้
ซึ่งบริเวณที่มีมวลอากาศเย็นปกคลุมอยู่อากาศจะมีความหนา ทางบิ น หรือขณะเครื่องบินขึ้น
ลงรอบ ๆ บริเวณของสนามบิน
แน่นสูง อากาศจึงจมตัวลง ส่วนมวลอากาศอุน่ ทีม่ อี ณ
ุ หภูมสิ งู กว่า
1. ครูอธิบายเนื้อหา เรื่อง แนวปะทะอากาศแบง อากาศจะมีความหนาแน่นต�่าและลอยตัวขึ้น ดังนั้น หากมวลอากาศอุ่นเคลื่อนที่เข้าไปยังบริเวณ
ออกเปน 4 ประเภท ดังนี้ แนวปะทะอากาศอุน ที่มีมวลอากาศเย็นปกคลุมอยู่ มวลอากาศอุ่นจะยกตัวสูงขึ้นตามแนวขอบของมวลอากาศเย็น
เกิดจากการทีม่ วลอากาศอุน เคลือ่ นทีเ่ ขามายัง ซึ่งท�าให้เกิดฝนตกกระจายเป็นบริเวณกว้าง
บริเวณที่มีมวลอากาศเย็นกวา จะกอใหเกิด
ลม
ฝนตกหนักและพายุฝนฟาคะนอง สังเกตได
จากการเกิดเมฆฝนและเมฆนิมโบสเตรตัส
มวลอากาศอุ่น
กาศเย็น
มวลอา
T24
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2) แนวปะทะอากาศเย็น (cold front) เป็นแนวปะทะอากาศที่เกิดจากมวลอากาศเย็น 2. ครูอธิบาย เรื่อง แนวปะทะอากาศเย็นเมื่อ
เคลื่อนที่เข้าหามวลอากาศอุ่น โดยมวลอากาศเย็นที่มีความหนาแน่นมากกว่าดันให้มวลอากาศ มวลอากาศเย็ น เคลื่ อ นตั ว ลงมายั ง บริ เ วณ
อุ่นลอยตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตามแนวลาดเอียงของมวลอากาศเย็นจนถึงระดับควบแน่นแล้ว ที่ มี ล ะติ จู ด ตํ่ า มวลอากาศเย็ น จะหนั ก จึ ง
ก่อตัวเป็นเมฆคิวมูลัสหรือคิวมูโลนิมบัส ซึ่งท�าให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง มีการเคลื่อนตัวติดกับผิวดิน และจะดันให
มวลอากาศอุ น ที่ มี ค วามหนาแน น น อ ยกว า
ลม ลอยตัวขึ้นตามความลาดเอียง
3. ครู อ ธิ บ าย เรื่ อ ง แนวปะทะอากาศรวมว า
เมื่ อ มวลอากาศเย็ น เคลื่ อ นที่ ใ นแนวทางติ ด
กับแผนดิน จะดันใหมวลอากาศอุนใกลกับ
ผิ ว โลกเคลื่ อ นที่ ไ ปในแนวเดี ย วกั น กั บ มวล
มวลอากาศอุ่น อากาศเย็น มวลอากาศอุนจะถูกมวลอากาศ
มวลอากาศเย็น เย็ น ซ อ นตั ว ให ล อยสู ง ขึ้ น และเนื่ อ งจาก
มวลอากาศเย็นเคลื่อนตัวไดเร็วกวา จึงทําให
ภาพที่ 4.34 แนวปะทะอากาศเย็น
ที่มา : คลังภาพ อจท. มวลอากาศอุนซอนอยูบนมวลอากาศเย็น เรา
เรียกลักษณะดังกลาวไดอีกแบบวา แนวปะทะ
ของมวลอากาศปด
3) แนวปะทะอากาศรวม (occluded front) เป็นแนวปะทะอากาศที่เกิดจากมวลอากาศ 4. ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติม เรื่อง แนวปะทะ
เย็นเคลื่อนที่ในแนวติดกับพื้นดินดันมวลอากาศอุ่นกว่าที่ใกล้ผิวโลกลอยตัวสูงขึ้นอยู่เหนือมวล
อากาศ ไดจากการสแกน QR Code เพื่อให
อากาศเย็น แล้วก่อตัวเป็นเมฆคิวมูโลนิมบัส ซึ่งส่งผลให้เกิดพายุฝน
เขาใจเนื้อหาเรื่องนี้มากขึ้น
ลม
มวลอากาศอุ่น
มวลอากาศเย็น มวลอากาศเย็น
แนวปะทะอากาศ 23
T25
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
5. ครูอธิบาย เรื่อง แนวปะทะมวลอากาศคงที่วา 4) แนวปะทะมวลอากาศคงที่ (stationary front) เกิด H. O. T. S.
แนวปะทะของมวลอากาศ เกิดจากมวลอากาศ จากมวลอากาศอุนและมวลอากาศเย็นเคลื่อนที่เขาหากัน แตไม คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
อุน และมวลอากาศเย็นเคลือ่ นทีเ่ ขาหากัน และ เคลือ่ นทีเ่ ขาแทนทีก่ นั เนือ่ งจากมวลอากาศทัง้ สองมีแรงผลักดัน เมื่อเกิดการ
มวลอากาศทัง้ สองมีแรงผลักดันเทากัน จึงเกิด เทากัน จึงเกิดสภาวะสมดุลของแนวปะทะอากาศขึ้น ทําใหเกิด ปะทะกันของมวล
ภาวะสมดุลของแนวปะทะอากาศขึ้น แนวปะทะอากาศที่ไมเคลื่อนที่อยูชวงระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่ง อากาศ 2 มวล
นอกจากทําใหเกิดเมฆแลว ยัง
6. ครูถามคําถามทาทายการคิดขัน้ สูงกับนักเรียน มวลอากาศใดมีแรงผลักดันมากขึ้นแนวปะทะอากาศจึงเกิดการ ทําใหเกิดปรากฏการณใดบาง
วา เมื่อเกิดการปะทะกันของมวลอากาศ 2 เปลี่ยนแปลงไปเปนแนวปะทะอากาศอื่นตอไป
มวล นอกจากจะทําใหเกิดเมฆแลว ยังทําให
เกิดปรากฏการณใดบาง Topic
Question
ขยายความเข้าใจ
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
ครูใหนักเรียนตอบคําถามทายหัวขอ Topic 1. มวลอากาศมีลักษณะอยางไร
Question ลงในสมุดเปนรายบุคคล 2. แนวปะทะอากาศเกิดขึ้นไดอยางไร
3. แนวปะทะอากาศอุนกับแนวปะทะอากาศเย็น มีลักษณะแตกตางกันอยางไร
4. แนวปะทะอากาศชนิดใดทําใหเกิดฝนตกเปนบริเวณกวาง
5. อธิบายการเกิดเมฆตามแนวปะทะอากาศรวมวา มีลักษณะอยางไร และเกิดเมฆชนิดใด
Earth Science
Focus เมฆกับการพยากรณ์อากาศ
การศึกษาเกี่ยวกับเมฆจะชวยพยากรณสภาพอากาศได โดยการสังเกตลักษณะและสีของเมฆ
เชน หากเมฆมีลักษณะเปนริ้ว ๆ คลายขนนก บงบอกไดวาสภาพอากาศแจมใส หากเมฆมีลักษณะ
เปนแผนสีเทา ปกคลุมบริเวณกวาง บงบอกไดวา อาจ
เกิดฝนตกไมหนักแตเปนเวลานาน หากเมฆมีลกั ษณะ
เปนกอนหนาทึบสีดาํ บงบอกไดวา อาจเกิดพายุฝนฟา
คะนองได ซึง่ การพยากรณสภาพอากาศนีม้ ปี ระโยชน
ตอการวางแผนการเดินทาง หรือการทํากิจกรรมตาง ๆ
ในชีวิตประจําวัน นอกจากนี้ เมฆยังทําใหเกิดฝน
ซึ่งฝนมีบทบาทสําคัญตอการเจริญเติบโตของพืชที่
เปนแหลงที่อยูอาศัยและแหลงอาหารของมนุษยและ ภาพที่ 4.36 สภาพอากาศ1
สัตว ทั้งยังชวยใหอากาศชุมชื่นและเย็นสบาย ที่มา : คลังภาพ อจท.
แนวตอบ H.O.T.S.
การปะทะกันของอากาศ นอกจากจะเกิดเมฆ 24
แลว ยังทําใหเกิดพายุฝนฟาคะนองกระจายเปน
บริเวณกวาง
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
Earth Science 1. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัด เรื่อง แนวปะทะ
in real life มนุษยสามารถสรางเมฆไดโดยนําเครือ่ งบินไปบินอยูใ น อากาศ
ระดับของการควบแนน ทําใหไอนํา้ ทีล่ อยอยูใ นอากาศรอนทีพ่ น ออกมาจากเครือ่ งยนตปะทะ 2. ครูอธิบายความรูเชื่อมโยงเขาสูชีวิตประจําวัน
เขากับอากาศเย็นที่อยูภายนอก แลวเกิดการควบแนนเปนหยดนํ้า ซึ่งทําใหมองเห็นควัน เรื่อง ความแตกตางของสีกอนเมฆแตละชนิด
เมฆสีขาวพนออกมาทางทายของเครื่องยนตเปนทางยาว เรียกวา คอนเทรล (contrail) วา จะสงผลตอสภาพอากาศอยางไร เชน
มีลักษณะคลายกับการสรางฝนเทียม โดยเครื่องบินจะโปรยสารเคมีซิลเวอรไอโอไดด • เมฆสีเขียว เกิดจากการกระเจิงของแสงเมือ่
เพื่อทําหนาที่เปนแกนควบแนนใหไอนํ้าในอากาศมาจับตัว และควบแนนกลายเปนเมฆ
กระทบกับนํ้าแข็ง สงผลใหเกิดพายุฝนและ
โดยเมฆแตละชนิดจะมีรปู ราง ลักษณะ และสีแตกตางกัน ซึง่ สีของเมฆสามารถอธิบายถึง
อาจกอใหเกิดลูกเห็บ
การเกิดปรากฏการณตาง ๆ ได ดังนี้
• เมฆสีเหลือง เกิดจากฝุนและควันในอากาศ
1. เมฆสีเขียว เกิดจากการ 2. เมฆสีเหลือง เปนเมฆที่พบได 3. เมฆสีแดง สีสม หรือ เปนอันตรายตอการหายใจของมนุษย
กระเจิ ง ของแสงอาทิ ต ย ไมบอยนัก อาจเกิดขึ้นไดใน สีชมพู เปนเมฆที่จะเกิดใน • เมฆสีแดง สีสม หรือสีชมพู เปนเมฆที่เกิด
เมื่อตกกระทบกับนํ้าแข็ง ชวงปลายฤดูใบไมผลิไปจนถึง ช ว งพระอาทิ ต ย ขึ้ น และ ในชวงดวงอาทิตยขึ้นหรือดวงอาทิตยตก
โดยเมฆคิวมูโลนิมบัสที่มี ชวงตนของฤดูใบไมรว ง ซึง่ เปน พระอาทิตยตก โดยเกิ1 ดจาก
สีเขียว บงบอกถึงการกอตัว ชวงทีเ่ กิดไฟปาไดงา ย โดยเมฆ การกระเจิงของแสงในชั้น
ของพายุฝน และอาจเกิด สีเหลืองนัน้ เกิดจากฝุน และควัน บรรยากาศ
ลูกเห็บ ในอากาศ
ภาพที่ 4.37 เมฆสีเขียว ภาพที่ 4.38 เมฆสีเหลือง ภาพที่ 4.39 เมฆสีแดง สีสม
ที่มา : https://www.online- ที่มา : คลังภาพ อจท. หรือสีชมพู
station.net ที่มา : คลังภาพ อจท.
เสถียรภาพอากาศ 25
และแนวปะทะอากาศ
T27
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
3. ครูสรุปเนื้อหา เพื่อใหผูเรียนไดทบทวนสาระ
Summary
สํ า คั ญ ประจํ า หน ว ยการเรี ย นรู ที่ 4 เรื่ อ ง เสถียรภาพอากาศและ
เสถียรภาพอากาศและแนวปะทะอากาศ โดย แนวปะทะอากาศ
อธิบายในแตละเรื่องไว ดังนี้ 1
เมฆและการเกิดเมฆ
• เมฆและการเกิดเมฆ เมฆเกิดจากผลของ เมฆเกิดจากการยกตัวของกลุ่มอากาศจนถึงระดับการควบแน่น ซึ่งกลุ่มอากาศจะควบแน่นและรวมตัวกัน
การควบแนนของไอนํ้าในอากาศ รวมตัว • การเกิดเมฆ
กันดวยอนุภาคเล็กๆ ของแกนกลั่น เชน แรงโน้มถ่วงของโลก
• ชนิดของเมฆ (เมื่อพิจารณาจากระดับความสูงของฐานเมฆ)
ซีรรัส
เมฆชั้นสูง ซีรโรคิวมูลัส
ซีรโรสเตรตัส
เมฆชั้นกลาง
แอลโตคิวมูลสั
แอลโตสเตรตัส
เมฆชั้นตํ่า
กิจกรรม ทาทาย
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน และชวยกันสืบคน
ขอมูลเกี่ยวกับการเกิดเมฆและชนิดของเมฆ แลวนํามาจัดทําโดย
โปรแกรมนําเสนองาน (Microsoft PowerPoint) และออกมา
นําเสนอหนาชั้นเรียนในชั่วโมงถัดไป
T28
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
4. ครูอธิบาย เรื่อง เสถียรภาพของอากาศ แบง
เสถียรภาพของอากาศ ออกเปนอากาศมีเสถียรภาพเปนกลุม อากาศที่
• อากาศมีเสถียรภาพ (stable air) เป็นกลุ่มอากาศที่มีอุณหภูมิต�่า และมีความดันสูงกว่าอากาศโดยรอบ มีอณุ หภูมติ าํ่ และมีความดันสูงกวาอากาศโดย
จะท�าให้ท้องฟ้าแจ่มใส มักพบในช่วงเช้าหรือฤดูหนาว
รอบ อากาศไมมีเสถียรภาพเปนกลุมอากาศที่
• อากาศไม่มีเสถียรภาพ (unstable air) เป็นกลุ่มอากาศที่มีอุณหภูมิสูงกว่าอากาศโดยรอบ ท�าให้ท้องฟ้าที่มี
เมฆปกคลุมมาก มักพบในช่วงบ่ายหรือในฤดูร้อน มีอุณหภูมิสูงกวาอากาศโดยรอบ
5. ครูอธิบาย เรื่อง แนวปะทะอากาศ คือ มวล
อากาศ 2 มวล เคลือ่ นตัวมาพบกัน อากาศของ
แนวปะทะอากาศ
เมื่อมวลอากาศ 2 มวล เคลื่อนที่มาปะทะกัน จะเกิดแนวหรือขอบเขตระหว่างมวลอากาศทั้งสอง มวลทั้งสองจะไมปนกันทันที แตจะกอใหเกิด
แนวหรือขอบเขตระหวางมวลอากาศทั้งสอง
• แนวปะทะอากาศอุ่น มวลอากาศเย็นซึ่งมีความหนาแนนมากกวา
ลม - มวลอากาศอุ่นเคลื่อนที่ และหนั ก กว า มวลอากาศร อ นจะผลั ก ดั น
เข้าหามวลอากาศเย็น อากาศรอนใหลอยขึน้ ทําใหเกิดเปนเมฆตางๆ
มวลอากาศอุ่น - เกิดฝนตกกระจายเป็น เกิดพายุฝนฟาคะนองตามแนวหรือขอบเขต
มวลอากาศเย็น บริเวณกว้าง ที่มวลอากาศทั้งสองมาพบกัน แบงออกเปน
แนวปะทะอากาศอุน แนวปะทะอากาศเย็น
แนวปะทะอากาศรวม และแนวปะทะอากาศ
คงที่
ภาพที่ 4.42 แนวปะทะอากาศอุ่น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
• แนวปะทะอากาศเย็น
ลม - มวลอากาศเย็นเคลื่อนที่
เข้าหามวลอากาศอุ่น
- เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง
มวลอากาศเย็น มวลอากาศอุ่น
T29
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
6. ครูใหนักเรียนตอบคําถาม Self Check เพื่อให • แนวปะทะอากาศรวม
ผูเ รียนตรวจสอบความรูค วามเขาใจดวยตนเอง ลม - มวลอากาศเย็นเคลื่อนที่
ในหนวยการเรียนรูท ี่ 4 เรือ่ ง เสถียรภาพอากาศ มวลอากาศอุ่น เข้าหากัน
และแนวปะทะอากาศ - เกิดพายุฝน
7. ครูใหนกั เรียนทําใบงาน เรือ่ ง แนวปะทะอากาศ
และนํามาสงในชั่วโมงถัดไป
ุด
3. อากาศไม่มเี สถียรภาพเป็นกลุม่ อากาศทีท่ า� ให้เกิดเมฆทีก่ อ่ ตัวในแนวตัง้ 2.
สม
เช่น เมฆคิวมูโลนิมบัส เมฆคิวมูลัส ใน
ลง
ทึ ก
บั น
4. แนวปะทะอากาศเย็นเกิดจากมวลอากาศเย็นที่มีคุณสมบัติต่างกัน 3.
เคลื่อนที่เข้าหากัน ท�าให้เกิดเมฆคิวมูโลนิมบัส ซึ่งส่งผลให้เกิดพายุฝน
5. แนวปะทะอากาศอุ่นท�าให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง 3.
แนวตอบ Self Check
28
1. ถูก 2. ผิด 3. ถูก
4. ผิด 5. ผิด
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
มวลอากาศเย็นที่มีคุณสมบัติตางกันเคลื่อนมาปะทะกัน
• แนวปะทะอากาศคงที่ เกิดจากมวลอากาศอุนและมวลอากาศ
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............./.................../...............
เย็นเคลื่อนที่เขาหากัน แตไมเคลื่อนที่เขาแทนที่กัน)
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่่ากว่า 8 ปรับปรุง
T30
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
T31
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบก่อนเรียน 1. อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อ - แ บบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การเปลี่ยนแปลง - ห นังสือเรียนรายวิชา การเปลี่ยนแปลงของ หาความรู้ ก่อนเรียน - ทักษะการวิเคราะห์ - ใฝ่เรียนรู้
ภูมิอากาศ เพิม่ เติม โลก ดาราศาสตร์ ภูมิอากาศโลกได้ (K) (5Es - ประเมินการน�ำเสนอ - ทักษะการสื่อสาร - มุ่งมั่นใน
ของโลก และอวกาศ ม.5 เล่ม 2 2. อธิบายข้อมูลสนับสนุน Instructional ผลงาน - ทักษะการท�ำงาน การท�ำงาน
- แบบฝึกหัดรายวิชา การเปลี่ยนแปลงภูมิ Model) - ตรวจแบบฝึกหัด เรือ่ ง ร่วมกัน
6 เพิม่ เติม โลก ดาราศาสตร์ อากาศของโลกได้ (K) การเปลี่ยนแปลง - ทักษะการน�ำความรู้
ชั่วโมง และอวกาศ ม.5 เล่ม 2 3. ส
บ
ื ค้ น และน�
ำ เสนอข้ อ มู ล ภูมิอากาศของโลก ไปใช้
- ใบงาน จากแหล่งข้อมูลได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
- PowerPoint 4. มีความกระตือรืนร้นและ การท�ำงานรายบุคคล
- QR Code รับผิดชอบต่อหน้าที่ - สังเกตพฤติกรรม
ที่ได้รับมอบหมาย (A) การท�ำงานกลุ่ม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น
5. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา (A) - สังเกตคุณลักษณะ
Twig อันพึงประสงค์
T32
Chapter Concept Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
สภาพอากาศ (weather) คือ การเปลี่ยนแปลงปรากฏการณที่
เกิดขึน้ ในบรรยากาศระยะสัน้ สวนการเปลีย่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ
(climate) เปนการเปลี่ยนแปลงปรากฏการณที่เกิดในบรรยากาศ
ระยะยาวตั้งแตหนึ่งสัปดาหเปนตนไปจนถึงหลายป
ปรากฏการณที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
• ปรากฏการณเอลนีโญ คือ ปรากฏการณทกี่ ระแสนํา้ อุน ถูกพัด • ปรากฏการณลานีญา คือ ปรากฏการณทกี่ ระแสนํา้ อุน ถูกพัด
จากฝง ตะวันออกไปฝง ตะวันตกของมหาสมุทรนอยลงสงผล จากฝง ตะวันออกไปฝง ตะวันตกของมหาสมุทรมากขึน้ ทําให
ใหฝง ตะวันออกของมหาสมุทรมีฝนตกชุก สวนฝงตะวันตก เกิดความหนาวเย็นและแหงแลงมากกวาปกติ ฝงตะวันตก
มีสภาพแหงแลง จะมีฝนตกหนักกวาปกติ
ทิศทางลม
อุนกวาปกติ เสนศูนยสูตร
เย็นกวาปกติ อเมริกาใต
ออสเตรเลีย
แนวปฏิบัติเพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
คณะกรรมการระหวางรัฐบาลวาดวยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) แนะนําแนวทางไว 2 ขอ ดังนี้
• การบรรเทา ทําไดโดยการลดการปลดปลอยแกสเรือนกระจกและรักษาระดับแกสเรือนกระจกในบรรยากาศไว
• การปรับตัว ทําไดโดยการปรับตัวใหพรอมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อใหสามารถดํารงอยูและดําเนินกิจกรรมหรือ
วิถีชีวิตตอไปไดภายใตสถานการณที่สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป
T33
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เรื่อง
การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก เพื่อวัด
ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูกิจกรรม หนวยการเรียนรูที่
การเปลีย่ นแปลง
2. ครูกระตุนความสนใจโดยใหนักเรียนดูเนื้อหา
เรื่อง การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก และ
ครูถามคําถาม Big Question จากหนังสือเรียน
โลก ดาราศาสตร และอวกาศ ม.5 เลม 2 ดังนี้
5
วิกฤติโลกร้อนในปจจุบันเปนสาเหตุสําคัญ
ภูมิอากาศของโลก
ที่ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย
ï• การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกเกิดขึ้นได ปัจจัยทีส่ ง่ ผลให้เกิดการเปลีย่ นแปลงนีม้ าจากธรรมชาติ และการกระท�าของมนุษย์ ซึง่ ส่งผลกระทบ
อยางไร ต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ
ï• ปรากฏการณเอลนีโญและลานีญาเกิดขึ้น
จากความผิดปกติของอะไร
ï• หากในบรรยากาศไมมีแกสเรือนกระจกจะ • ¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§ÀÙÁÔÍÒ¡ÒÈâÅ¡à¡Ô´¢Öé¹ä´Œ
Í‹ҧäÃ
สงผลตอภูมิอากาศโลกอยางไร • »ÃÒ¡¯¡ÒóàÍŹÕâÞáÅÐÅÒ¹ÕÞÒà¡Ô´¢Öé¹
3. ครูใหนักเรียนทํา Understanding Check ¨Ò¡¤ÇÒÁ¼Ô´»¡µÔ¢Í§ÍÐäÃ
หนวยที่ 5 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ • Ëҡ㹺ÃÃÂÒ¡ÒÈäÁ‹ÁáÕ ¡ÊàÃ×͹¡ÃШ¡
¨ÐÊ‹§¼Åµ‹ÍÍسËÀÙÁÔ âÅ¡Í‹ҧäÃ
โลก เพื่ อ ตรวจสอบความเข า ใจของตนเอง
กอนเรียน
�
U n de r s t a n d i ng
Che�
ให้นักเรียนพิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิดแล้วบันทึกลงในสมุด
ภาพที่ 1.4ย่ นแปลงความรี
การเปลี ของวงโคจรโลกรอบดวงอาทิ
สัดส่วนของสารประกอบต่ าง ๆ ตย์ เป็นปัจจัยหนึง่ ทีส่ ง่ ผลให้เกิดการเปลีย่ นแปลงภูมอิ ากาศของโลก
ทีลานี ญาเป็นปรากฏการณ์
่พบในโครงสร้ ที่เ้นกี่ยวข้องกับกระแสน�้าเย็น
างโลกแต่ละชั
แก๊สเรือนกระจกท�าหน้าที่ช่วยดูดซับและคายรังสีความร้อนกลับสู่พื้นโลก
แก๊สไนตรัสออกไซด์เป็นแก๊สที่มีบทบาทส�าคัญและมีปริมาณมากที่สุดในอากาศ
การหลีกเลี่ยงแดดจัดในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. เป็นวิธีการป้องกันคลื่นความร้อนได้
แนวตอบ Understanding Check
1. ถูก 2. ผิด 3. ถูก
4. ผิด 5. ถูก
T34
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Prior Knowledge
การเปลี่ยนแปลง 1. การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ 1. ครูกระตุนความสนใจโดยถามคําถาม Prior
ภู มิ อ ากาศส ง ผลกระทบ ของโลก Knowledge ใหนักเรียนอภิปรายและแสดง
กับโลกอยางไรบาง ความคิดเห็นรวมกันกอนเขาสูห วั ขอทีเ่ รียนกับ
สภาพอากาศ (weather) คือ การเปลีย่ นแปลงปรากฏการณ์
ที่เกิดขึ้นในบรรยากาศระยะสั้น ส่วนการเปลี่ยนแปลงสภาพ นักเรียนวาการเปลีย่ นแปลงภูมอิ ากาศสงผลกับ
ภูมิอากาศ (climate) เป็นการเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์ที่เกิดในบรรยากาศระยะยาวตั้งแต่หนึ่ง โลกอยางไร
สัปดาห์เป็นต้นไปจนถึงหลายปี 2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นเป ด หนั ง สื อ เรี ย น เรื่ อ ง การ
ปัจจุบันสภาพภูมิอากาศมีการเปลี่ยนแปลงของอากาศผิดปกติไปจากเดิมมาก เกิดความ เปลี่ ย นแปลงภู มิ อ ากาศของโลก และให
แปรปรวนของอากาศ เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ นั ก เรี ย นอ า นข อ มู ล เพื่ อ ทํ า ความเข า ใจกั บ
ต่าง ๆ ทีพ่ บบ่อยและรุนแรงมากขึน้ กว่าในอดีต เนื้ อ หา หลั ง จากนั้ น ครู จ ะสุ ม นั ก เรี ย นตอบ
ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพ คําถามที่ครูถาม โดยมีคําถาม ดังนี้
ภูมิอากาศนั้นมีหลายประการทั้งจากธรรมชาติ ï• สภาพอากาศคืออะไร
และจากกิจกรรมของมนุษย์ เราจึงควรช่วยกัน (แนวตอบ สภาพอากาศ คือ การเปลีย่ นแปลง
ลดกิจกรรมที่ส่งผลท�าให้เกิดแก๊สเรือนกระจก ของปรากฏการณที่เกิดขึ้นในบรรยากาศ
ขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก จนมีผลท�าให้สภาพ ระยะสั้น)
ภูมิอากาศในปัจจุบันเกิดความผิดปกติหรือ ï• มีวธิ ใี ดบางทีช่ ว ยลดการเกิดแกสเรือนกระจก
เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากขึ้น ภาพที่ 5.1 การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก (แนวตอบ ปลูกตนไม ไมปลอยสารเคมีลงสู
ที่มา : คลังภาพ อจท.
Earth Science แหลงนํ้าหรือในอากาศ เปนตน)
Focus รายงานการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ï• IPCC คืออะไร
นักวิทยาศาสตร์ได้มีการศึกษาเรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพ (แนวตอบ คณะกรรมการระหวางรัฐบาลวา
ภูมิอากาศมาหลายสิบปี ซึ่งด�าเนินการโดยคณะกรรมการระหว่าง ดวยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ)
รัฐบาลว่าด้วยการเปลีย่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ (Intergovernmental
Panel on Climate Change; IPCC) โดยมีองค์กรอุตุนิยมวิทยาโลก
(World Meteorology Organizer; WMO) และโครงการสิง่ แวดล้อม
แห่งสหประชาชาติ (UNEP) เป็นคณะทีค่ อยให้คา� แนะน�า ซึง่ ให้ขอ้ มูล
ทีน่ า่ เชือ่ ถือเกีย่ วกับภาวะโลกร้อนทีไ่ ด้จากผลการศึกษาวิจยั และสถิติ
แนวตอบ Prior Knowledge
ของข้อมูลจากระบบสังเกตการณ์ทวั่ โลก ท�าให้ผลการศึกษาในรายงาน
ฉบับนี้มีปัจจัยที่แสดงถึงความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสงผลตอ
ภาพที่ 5.2 รายงานการเปลี่ยน- โลกในดานความเปนอยูของมนุษย ทรัพยากร
แปลงสภาพอากาศ
ที่มา : https://www.ipcc.ch/ ธรรมชาติตา งๆ และสิง่ มีชวี ติ เมือ่ สภาพภูมอิ ากาศ
report/ar5/ เกิดการเปลีย่ นแปลงจากความผิดปกติของอากาศ
การเปลี่ยนแปลง 31
จะทําใหเกิดความแปรปรวนของอากาศ เกิดภัย
ภูมิอากาศของโลก
พิบัติธรรมชาติตางๆ มากมาย ที่พบบอยและ
รุนแรงมากขึ้นกวาในอดีต
T35
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3. ให นั ก เรี ย นจั บ คู กั น จากนั้ น เขี ย นอธิ บ าย 1.1 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
ลักษณะอากาศที่พบในวันนี้ในพื้นที่ที่นักเรียน สมดุลพลังงานของโลก คือ กุญแจส�าคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก
อาศั ย อยู โดยเขี ย นบอกถึ ง ลั ก ษณะสภาพ หากสมดุลพลังงานของโลกเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศของโลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
อากาศวามีลักษณะเปนอยางไร เขียนบันทึก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้สรุปปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสมดุลพลังงานของโลกไว้ 5 ปัจจัยหลัก
ลงในสมุด ดังนี้
4. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอขอมูล 1. การเปลี่ยนแปลงความรีของวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ เนื่องจากวงโคจร
ที่แตละคูเขียนอธิบายลักษณะอากาศที่พบใน ของโลกรอบดวงอาทิตย์เป็นรูปวงรี ท�าให้ปริมาณรังสีที่ดวงอาทิตย์ส่องมาถึงผิวโลกในช่วงที่โลก
วันนี้ อยูใ่ กล้ดวงอาทิตย์มากทีส่ ดุ (ระยะทางประมาณ 147 ล้านกิโลเมตร) กับช่วงทีโ่ ลกอยูไ่ กลดวงอาทิตย์
อธิบายความรู มากที่สุด (ระยะทางประมาณ 152 ล้านกิโลเมตร) มีค่าความแตกต่างกันประมาณ 6% เท่านั้น
แต่นกั วิทยาศาสตร์
1 บางส่วนเชือ่ ว่า โลกอยูใ่ นช่วงรอบการเปลีย่ นแปลงความรีของวงโคจรตามทฤษฎี
1. ครู อ ธิ บ ายป จ จั ย ที่ มี ผ ลต อ การเปลี่ ย นแปลง มิแลนโควิทช์ ซึ่งเมื่อวงโคจรของโลกเปลี่ยนเป็นรูปวงรีมากขึ้น จะท�าให้ปริมาณรังสีดวงอาทิตย์ที่
ภูมอิ ากาศโลก โดยแบงเปน 5 ปจจัยหลัก ดังนี้ โลกได้รับในช่วงที่โลกอยู่ใกล้และไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุด มีความแตกต่างกันมากขึ้น ส่งผล
การเปลีย่ นแปลงความรีของวงโคจรของโลกรอบ ให้สภาพอากาศหนาวเย็นรุนแรงและยาวนานมากขึ้นในฤดูหนาว ในขณะที่ฤดูร้อนจะมีอุณหภูมิ
ดวงอาทิตย การเปลีย่ นแปลงมุมเอียงของแกน สูงมากขึ้นจากปกติ จึงกล่าวได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของปริมาณรังสีดวงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลกมี
หมุนโลกและการหมุนควงของแกนหมุนโลก ผลอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
ชนิดและปริมาณของละอองลอย เมฆ และ ภาพที่ 5.3 วงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ในปัจจุบันและอนาคต
ปริมาณแกสเรือนกระจก ที่มา : https://www.pinterest.es/jjmreynolds/climate-change/
2. ครูอธิบายปจจัยเรือ่ งแรก คือ การเปลีย่ นแปลง การหมุนควง
ความรีของวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย
วามีความแตกตางของระยะทางระหวางโลกกับ 19-24,000 ปี
ดวงอาทิตย (โลกหมุนรอบดวงอาทิตยเปนวงรี)
จะมี ผ ลต อ ความแตกต า งของอุ ณ หภู มิ ต าม ความผิดปกติ
ฤดูกาลตางๆ นอย แตจะมีบทบาททีส่ าํ คัญมาก
ตอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
100,000 ปี
- 413,000 ปี ความเอียง
32
T36
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2. การเปลีย่ นแปลงมุมเอียงของแกนหมุนโลกและการหมุนควงของแกนหมุนโลก 3. ครูอธิบายปจจัยที่ 2 เรื่อง การเปลี่ยนแปลง
ทฤษฎีมิแลนโควิทช กลาววามุมเอียงของแกน วงกลมอารกติก มุมของแสงอาทิตย
มุมเอียงของแกนหมุนโลกและการหมุนควง
โลกจะเปลี่ยนไปมาอยูในชวง 22.1-24.5 องศา ทรอปกเหนือ 23.5 ํ ของแกนหมุนโลก โดยจะมีทฤษฎีมแิ ลนโควิทช
ทําใหบริเวณพืน้ ผิวบนโลกทีร่ งั สีจากดวงอาทิตย เสนศูนยสูตร 46.5 ํ เขามาเกี่ยวของ ซึ่งวัฎจักรนี้เกี่ยวของกับแกน
ตกกระทบแตกตางกัน เมื่อแกนโลกเปลี่ยน ทรอปกใต 90 ํ ของโลกที่มีมุมเอียงที่ตางกันไปในชวงตางๆ
องศาไป ในปจจุบันแกนโลกเอียงประมาณ วงกลมแอนตารกติก 66.5 ํ มุ ม เอี ย งของแกนโลกจะอยู ร าว 22.1-24.5
23.5 องศา แตนักวิทยาศาสตรไดสันนิษฐาน ขั้วโลกใต 43 ํ
องศา ทําใหมีผลตอบริเวณพื้นผิวบนโลกที่
วาแรงดึงดูดจากดวงอาทิตยและดวงจันทรจะ 0ํ
รังสีจากดวงอาทิตยอาจตกกระทบแตกตาง
ชวยกันดึงดูดใหแกนโลกตั้งตรง นอกจากนี้ กันออกไปเมื่อแกนโลกเปลี่ยนองศาไป และ
ยังมีแรงรบกวนจากดาวเคราะหดวงอืน่ ๆ ทําให ขั้วโลกเหนือ 0ํ ในปจจุบนั แกนโลกเอียงอยูใ นชวงกลางๆ ของ
23.5 ํ
วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงขนาดความรี ซึ่ง วงกลมอารกติก มุมเอียง คือ ประมาณ 23.5 องศา
66.5 ํ
การสายของแกนหมุนและการเปลีย่ นแปลงของ ทรอปกเหนือ 4. ครูอธิบายความรูเสริม เรื่อง การหมุนควงให
90 ํ
วงโคจรของโลกเปนสาเหตุที่ทํามุมเอียงของ เสนศูนยสูตร 66.5 ํ นักเรียนฟงวา ไจโรสโคปเปนอุปกรณที่อาศัย
ทรอปกใต
แกนโลกเปลี่ยนไป ในปจจุบันเชื่อวาโลกอยูใน วงกลมอารกติก
23.5 ํ แรงเฉื่ อ ยของล อ หมุ น เพื่ อ ช ว ยรั ก ษาระดั บ
ชวงกําลังลดมุมเอียง ทําใหละติจดู ทีแ่ สงอาทิตย ขั้วโลกใต
ทิ ศ ทางของแกน โดยแกนในการหมุ น
ตกลงมาตั้งฉากกับโลกกําลังเลื่อนลงจาก 23.5
องศา มายังเสนศูนยสูตรของโลก เหตุการณ
ภาพที่ 5.4 การเปลี่ยนแปลงมุมเอียงของแกนหมุนโลก จะหมุนเปนวงกลม เชน การหมุนของโลกและ
ที่มา : http://linguatinga.blogspot.com/2016/07/
ดังกลาวทําใหโลกมีพื้นที่เขตรอนลดลงและ ekvatorgeografi.html ดาวเคราะหดวงอื่นๆ สามารถกําหนดการ
พื้นที่เขตหนาวเพิ่มขึ้น ทําใหเกิดความแตกตางระหวางฤดูกาลลดลง เปลี่ ย นแปลงในทิ ศ ทางของแกนหมุ น ที่ มุ ม
การเปลี่ยนแปลงความรีของวงโคจรโลก การเปลี่ยนแปลงมุมเอียงของแกนหมุน และ ออยเลอรที่ 2 ใหเปนคาคงที่
การหมุนควงของแกนโลก ทําใหปริมาณรังสีดวงอาทิตยที่สองมายังโลกเปลี่ยนแปลงไปอยางมาก
ซึ่งเปนผลใหเกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกโดยรวม
Earth Science
Focus การหมุนควง
ไจโรสโคป เปนอุปกรณที่อาศัยแรงเฉื่อยของลอหมุน เพื่อชวย
รักษาระดับทิศทางของแกน ซึง่ การหมุนควงแบบลูกขาง เกิดจากแรงบิด
ของการหมุนรอบแกน รวมกับแรงบิดที่เกิดจากแรงโนมถวงที่กระทํา
ต อ ลู ก ข า งเมื่ อ แกนการหมุ น นั้ น ไม ไ ด ตั้ ง ฉากกั บ แรงโน ม ถ ว งพอดี
ทําใหเกิดการหมุนควงเปลี่ยนทิศของแรงบิดจากแรงโนมถวงไปในแนว ภาพที่ 5.5 ไจโรสโคป
ระนาบ ที่มา : https://liu.se/
sensorium/gyroskopiske
konsekvenser/
การเปลี่ยนแปลง 33
ภูมิอากาศของโลก
T37
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ครูถามคําถามเพือ่ ทบทวนความรูเ ดิมกับนักเรียน 3. ชนิดและปริมาณของละอองลอย ละอองลอย หรือแอโรซอล (aerosol) คือ อนุภาค
ดังนี้ ของแข็งหรือของเหลวที่เป็นละอองฟุงกระจายอยูใ่ นอากาศหรือในแก๊สอื่น มักเรียกละอองอนุภาค
•ï สภาพอากาศกั บ การเปลี่ ย นแปลงสภาพ ของแข็งว่า ฝุน หรือฝุนละออง ซึ่งละอองลอยนี้นอกจากจะอันตรายกับมนุษย์เมื่อหายใจเข้าไป
ภูมิอากาศมีลักษณะแตกตางกันอยางไร ในปริมาณมากแล้ว ยังส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศของโลกด้วย ละอองลอยถูกปลดปล่อยได้จาก
(แนวตอบ สภาพอากาศ คือ การเปลีย่ นแปลงของ ทั้งกระบวนการทางธรรมชาติ1และกิจกรรมของมนุษย์ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการ
ปรากฏการณทเี่ กิดขึน้ ในบรรยากาศระยะสัน้ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ระบุว่า ละอองลอยเป็นปัจจัยที่ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
สวนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ ของสภาพภูมิอากาศที่คาดเดาไม่ได้ เมื่อแสงอาทิตย์เดินทางมาถึงโลก บรรยากาศที่มีละอองลอย
การเปลี่ยนแปลงปรากฏการณที่เกิดขึ้นใน อยู่จะท�าหน้าที่กระเจิงแสงบางส่วน และแสงบางส่วนถูกดูดซับไว้ท�าให้ผิวโลกเย็นขึ้น ในทางกลับ
ระยะยาวตัง้ แตหนึง่ สัปดาหเปนตนไปจนถึง กันถ้าในบรรยากาศมีละอองลอยอยู่เยอะมากกว่าปกติ ละอองลอยจะดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์
หลายป) ได้มาก แล้วจะเปล่งรังสีความร้อนกลับมายังผิวโลก ท�าให้อุณหภูมิสูงขึ้นจากปกติ เนื่องจากจะท�า
หน้าที่กักรังสีคลื่นยาวที่ปล่อยจากผิวดินไม่ให้ออกไปนอกโลก
อธิบายความรู้
1. ครู อ ธิ บ ายป จ จั ย ที่ มี ผ ลต อ การเปลี่ ย นแปลง รังสีตรง
ภู มิ อ ากาศโลกป จ จั ย ที่ 3 เรื่ อ ง ชนิ ด และ รังสีกระจาย
ปริมาณของละอองลอย โดยอธิบายความหมาย ดูดซับการแผ่รังสี
ของดวงอาทิตย์
ของละอองลอยว า เป น อนุ ภ าคขนาดเล็ ก ที่
แผ่รังสีความร้อน
แขวนลอยในอากาศอยูในสถานะของแข็งและ
สถานะของเหลว ละอองลอยเป น ป จ จั ย ที่
ชั้นบรรยากาศ
ทําใหเกิดการเปลีย่ นแปลงของสภาพภูมอิ ากาศ ระบายความร้อน
ทีไ่ มสามารถคาดเดาได เมือ่ แสงอาทิตยเดินทาง ท�าความร้อน
มาถึงโลก บรรยากาศที่มีละอองลอยอยูจะทํา
หนาที่กระเจิงแสงบางสวน และแสงบางสวน
ถูกดูดซับไวทาํ ใหผวิ โลกเย็นขึน้ ในทางกลับกัน
ถาในบรรยากาศมีละอองลอยอยูเ ยอะมากกวา
ปกติ ละอองลอยจะดูดซับพลังงานแสงอาทิตย
ไดมาก แลวเปลงรังสีความรอนกลับมายังผิวโลก พื้นผิวที่เย็น
ทําใหอุณหภูมิสูงขึ้นจากปกติ พื้นผิวโลก
34
T38
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
4. เมฆ การทีม่ ลี ะอองลอยในบรรยากาศปริมาณมาก ละอองลอยจะท�าหน้าทีเ่ ป็นแกนกลัน่ 2. ครูอธิบายปจจัยที่ 4 เรือ่ ง เมฆ โดยเมฆทีล่ อยตัว
ตัว (cloud condensation nuclei) ของไอน�้าในบรรยากาศท�าให้ไอน�้ากลั่นตัวเป็นหยดน�้าขนาดเล็ก อยู ใ นบรรยากาศและมี ไ อนํ้ า ที่ มี คุ ณ สมบั ติ
รวมตัวกันเป็นเมฆลอยอยู่ในบรรยากาศ และเนื่องจากไอน�้ามีคุณสมบัติเป็นแก๊สเรือนกระจกตัว เปนแกสเรือนกระจกอยู จึงทําหนาที่สะทอน
หนึ่ง จึงท�าหน้าที่สะท้อนรังสีคลื่นสั้นจากดวงอาทิตย์ และสะท้อนรังสีคลื่นยาวกลับมายังผิวโลก รังสีคลื่นสั้นจากดวงอาทิตย และสะทอนรังสี
ท�าให้โลกร้1อนมากยิ่งขึ้น การกักเก็บความร้อนนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของเมฆ โดยเมฆแต่ละชนิดจะมี คลื่นยาวกลับมายังพื้นผิวโลก ทําใหโลกรอน
การสะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์แตกต่างกัน เช่น เมฆคิวมูลัสจะมีลักษณะเป็นก้อนหนา มากขึ้น ซึ่งการกักเก็บความรอนนี้ขึ้นอยูกับ
จึงท�าให้เกิดการสะท้อนของรังสีได้มากกว่าเมฆซีร์รัสที่มีลักษณะเป็นเส้นใยบาง ๆ เมฆเป็นปัจจัย เมฆแตละชนิด เพราะเมฆแตละชนิดจะมีการ
หนึง่ ทีก่ อ่ ให้เกิดการเปลีย่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ เนือ่ งจากการสะท้อนของเมฆท�าให้แต่ละบริเวณ สะทอนรังสีความรอนจากดวงอาทิตยแตกตาง
พื้นผิวโลกได้รับรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์แตกต่างกัน ส่งผลให้แต่ละบริเวณของโลกมีสภาพ กันออกไป
ภูมอิ ากาศต่างกัน ปัจจุบนั นักวิทยาศาสตร์ยงั ไม่สามารถคาดเดาการเกิดเมฆในบรรยากาศ ทัง้ ชนิด
และจ�านวนของเมฆได้ ท�าให้การค�านวณค่าสมดุลพลังงานเป็นไปได้ยาก
เมฆในระดับสูงจะสะท้อน
รังสีคลื่นยาวได้ดี แต่สะท้อนรังสีดวงอาทิตย์ได้น้อย
แสง แสง
เมฆในระดับต�่าจะสะท้อน
รังสีคลื่นยาวได้น้อย แต่สะท้อนรังสีดวงอาทิตย์ได้มาก
คาร์บอน
การเปลี่ยนแปลง 35
ภูมิอากาศของโลก
กระจก
T39
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ครูถามคําถามเพือ่ ทบทวนความรูเ ดิมกับนักเรียน 5. ปริมาณแกสเรือนกระจก รายงานของคณะกรรมการ Earth Science
ดังนี้ ระหวางรัฐบาลวาดวยการเปลีย่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ (IPCC) in real life
ï• เมฆแตละชนิดมีการสะทอนรังสีเหมือนหรือ ระบุสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศวา การปลอย แกสคารบอนไดออกไซด (CO2)
แตกตางกันหรือไม แกสเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษยตั้งแตยุคกอนปฏิวัติ เ ปน แ กส ที่ ส ะ ส ม พ ลั ง ง า น
ความร อ นในบรรยากาศโลก
(แนวตอบ เมฆแตละชนิดจะมีการสะทอน อุตสาหกรรมไดเพิ่มความเขมขนของแกสคารบอนไดออกไซด ไว ม ากที่ สุ ด และมี ผ ลทํ า ให
รังสีความรอนจากดวงอาทิตยแตกตางกัน แกสมีเทน และไนตรัสออกไซดในบรรยากาศ ในชวง ค.ศ. 1750 อุณหภูมขิ องโลกสูงขึน้ มากทีส่ ดุ
ออกไป เชน เมฆคิวมูลสั มีลกั ษณะของเมฆ และในป ค.ศ. 2011 ปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดที่ปลอย ในบรรดาแกสเรือนกระจกชนิด
ออกมา ทําใหเกิดการสะสมความรอนในโลกมากขึ้น และโลก อื่น ๆ แกสคารบอนไดออกไซด
เปนกอนหนาจึงทําใหเกิดการสะทอนของ ( CO 2) ส ว นมากจะเกิ ด จาก
รังสีไดมากกวาเมฆซีรรัสที่มีลักษณะเปน เสียสมดุลพลังงานไปในที่สุด การกระทํ า ของมนุ ษ ย เชน
เสนใยบางๆ) แกสคารบอนไดออกไซดจะถูกสะสมในบรรยากาศ การเผาไหมเชื้อเพลิง ถานหิน
ประมาณรอยละ 40 ที่เหลือจะถูกกําจัดออกจากบรรยากาศ นํ้ า มั น การเผาไม ทํ า ลายปา
อธิบายความรู โดยเก็บกักบนพื้นดิน (ในพืชและดิน) ประมาณรอยละ 30 และ ดักิ จง กรรมที
นั้ น เราจึ ง ควรช ว ยลด
่ ส ง ผลให เ กิ ด แก ส
1. ครู อ ธิ บ ายป จ จั ย ที่ มี ผ ลต อ การเปลี่ ย นแปลง มหาสมุทรดูดซับประมาณรอยละ 30 ซึง่ ทําใหเกิดความเปนกรด คารบอนไดออกไซด (CO2)
ภูมอิ ากาศโลก ปจจัยสุดทาย เรือ่ ง ปริมาณแกส ในมหาสมุทร 1
เรือนกระจก โดยแกสเรือนกระจก คือ แกสที่มี ในป ค.ศ. 2010 การปลอยแกสคารบอนไดออกไซดจากการเผาไหมเชื้อเพลิงฟอสซิล
อยูใ นบรรยากาศ เปนแกสทีท่ าํ ใหเกิดการสูญเสีย และกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมคิดเปนรอยละ 78 เปนผลมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ความรอนสูอากาศลดลง จึงมีผลตออุณหภูมิ และการเพิ่มขึ้นของประชากรอยางตอเนื่อง โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอยางรวดเร็ว
ในบรรยากาศผานปรากฏการณเรือนกระจก ทําใหการใชปริมาณถานหินเพิ่มขึ้น ซึ่งตรงกันขามกับความพยายามที่จะลดปริมาณคารบอน
จากการใชพลังงานของโลก
แกสเรือนกระจกมีความจําเปนและมีความสําคัญ
ต อ การรั ก ษาระดั บ อุ ณ หภู มิ ข องโลก หาก
ภาพที่ 5.8 โรงงานปลอยแกสคารบอนไดออกไซดในบรรยากาศ
ปราศจากแกสเรือนกระจก โลกจะมีอากาศ ที่มา : คลังภาพ อจท.
หนาวเย็นจนสิ่งมีชีวิตไมสามารถอาศัยอยูได
แตการมีแกสเรือนกระจกมากเกินไป ทําให
อุณหภูมิสูงขึ้นจนอาจกอใหเกิดอันตรายตอ
สิ่งมีชีวิต
36
T40
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
แกสคาร์บอนไดออกไซด์และอุณหภูมิในช่วงศตวรรษที่ 20 2. ครูอธิบายถึงปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดที่
400 เพิ่มขึ้นตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน จนใน พ.ศ.
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่สถานีวิจัยขั้วโลกใต้ 0.6 2553 การปลอยแกสคารบอนไดออกไซดจาก
380 แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่สถานีเมานาโลอา การเผาไหมเชื้อเพลิงฟอสซิลและกระบวนการ
ความผิดปกติของอุณหภูมิโลก ผลิตในอุตสาหกรรมคิดเปนรอยละ 78 ซึ่งเปน
0.4 ผลมาจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยาง
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลก (องศาเซลเซียส)
ปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (ppm)
360
ตอเนื่อง
0.2
3. ครูอธิบายความรูเ สริม เรือ่ ง ปรากฏการณเรือน
340 กระจกวา การที่โลกถูกหอหุมดวยแกสเรือน
กระจกอันเปนองคประกอบของบรรยากาศโลก
0 ซึง่ แกสเหลานีด้ ดู คลืน่ รังสีความรอนไวในเวลา
320
กลางวัน แลวแผรังสีความรอนออกมาในเวลา
กลางคื น ทํ า ให อุ ณ หภู มิ ใ นบรรยากาศโลก
-0.2
300 ไมเปลี่ยนแปลงอยางทันทีทันใด ถาไมมีแกส
เรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ อุณหภูมิโลกใน
280 -0.4 ตอนกลางวันจะรอนจัดสวนกลางคืนจะหนาวจัด
1900 1910 1920 1930 1940 1950 1960 1970 1980 1990 2000 2010
Earth Science
Focus ปรากฏการณเรือนกระจก
เรือนกระจก (greenhouse) เป็นบริเวณที่ปิดด้วยกระจก หรือวัสดุอื่นซึ่งมีผลในการเก็บกัก
ความร้อนไว้ภายใน ประเทศเขตหนาวนิยมใช้เรือนกระจกในการเพาะปลูกต้นไม้ เพราะพลังงาน
แสงอาทิตย์สามารถผ่านเข้าไปภายในได้ แต่ความร้อนทีอ่ ยูภ่ ายในจะถูกกักเก็บโดยกระจกไม่ให้สะท้อน
แผ่ออกสู่ภายนอกได้ ท�าให้อุณหภูมิของอากาศภายในอบอุ่น และเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช
แตกต่างจากภายนอกทีย่ งั หนาวเย็น นักวิทยาศาสตร์จงึ เปรียบเทียบปรากฏการณ์ทคี่ วามร้อนภายในโลก
ถูกแก๊สเรือนกระจก (greenhouse gases) เก็บกักเอาไว้ไม่ให้สะท้อนหรือแผ่ออกสู่ภายนอกโลกว่าเป็น
ปรากฏการณ์เรือนกระจก
การเปลี่ยนแปลง 37
ภูมิอากาศของโลก
T41
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครู ถ ามคํ า ถามเพื่ อ ทบทวนความรู เ ดิ ม กั บ 1.2 ข้อมูลสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
นักเรียนวา แกสชนิดใดมีมากทีส่ ดุ ในแกสเรือน ปั จ จุ บั น ความรู ้ แ ละเทคโนโลยี ก ้ า วหน้ า ไปไกล ท� า ให้ เ ราสามารถตรวจวั ด ข้ อ มู ล จาก
กระจก สิ่งที่เกิดในอดีตและหลงเหลื1ออยู่จนถึงปัจจุบัน เพื่อทราบถึงสภาพภูมิอากาศในอดีตได้ เช่น
(แนวตอบ แกสคารบอนไดออกไซด) การตรวจวัดไอโซโทปของธาตุ อีกทัง้ ยังมีเทคโนโลยีดาวเทียมทีม่ กี ารตรวจวัดจากนอกโลกอยูต่ ลอด
2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม 4-5 คน สืบคนเรื่อง เวลา ท�าให้เราเห็นการเปลีย่ นแปลงของโลกไปตามเวลา จึงท�าให้มขี อ้ มูลสนับสนุนการเปลีย่ นแปลง
ขอมูลสนับสนุนการเปลีย่ นแปลงภูมอิ ากาศโลก ภูมิอากาศ ดังนี้
โดยใหนักเรียนจัดทําในรูปแบบรายงานสงครู 1. การละลายของธารนํ้าแข็ง
ในชั่วโมงถัดไป การละลายของน�้าแข็งทั่วโลกนี้เป็นสัญญาณ
อธิบายความรู้ บ่งบอกถึงภาวะโลกร้อนมากขึ้นจากในอดีตได้
อย่างชัดเจน น�้าจากการละลายจะไหลลงทะเล
1. ครู อ ธิ บ ายข อ มู ล สนั บ สนุ น การเปลี่ ย นแปลง หรือมหาสมุทร ท�าให้ระดับน�้าทะเลเพิ่มสูงขึ้น
ภูมิอากาศโลก โดยแบงได 5 ปจจัยหลัก ดังนี้ เกิดการเพิ่มระดับของน�้าทะเลขึ้นหลายเมตร
ครูอธิบายขอมูล เรือ่ ง การละลายของธารนํา้ แข็ง ทั่วโลก ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง ซึ่งน�า้ ทะเล
วา การละลายของธารนํ้าแข็งเปนสัญญาณที่ ทีเ่ พิม่ ขึน้ เพียง 1 เมตร จะท�าให้ประชาชนหลาย
บงบอกถึงภาวะโลกรอนจากในอดีตไดอยาง สิบล้านคนในประเทศบังกลาเทศไร้ที่อยู่อาศัย
ชัดเจน ซึ่งมีผลทําใหนํ้าในมหาสมุทรเพิ่มขึ้น น�้าแข็งทั้งหมดที่ก�าลังละลายอาจท�าให้ความ
ทั่วโลก โดยนํ้าทะเลที่เพิ่มขึ้นเพียง 1 เมตร จะ เข้มข้นของน�า้ ทะเลในโลกเจือจางลง โดยเปลีย่ น
ทําใหประชากรในประเทศบังกลาเทศหลายสิบ ระดั บ ความเค็ ม มากพอที่ จ ะท� า ให้ ป ระชากร
ลานคนไมมีที่อยู นํ้าแข็งจะนอยลง ทําใหการ ปลาลดลง และรบกวนการไหลเวียนของน�้าใน
สะทอนของแสงที่ผิวโลกนอยลง พลังงานแสง มหาสมุทรทั่วโลก นอกจากนั้นเนื่องจากหิมะ
สวนใหญจะถูกดูดซับไวที่ผิวดิน สงผลใหโลก และน�้าแข็งสามารถสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไป
รอนขึน้ ทําใหนาํ้ แข็งละลายมากขึน้ ตามไปดวย ได้มากกว่าพื้นดินและพื้นน�้า ดังนั้น น�้าแข็งที่
น้อยลงจะท�าให้การสะท้อนแสงทีผ่ วิ โลกน้อยลง
พลังงานแสงอาทิตย์ส่วนใหญ่จะถูกดูดซับไว้ที่
ผิวดิน จึงส่งผลท�าให้โลกร้อนขึ้น และท�าให้น�้า
แข็งละลายมากขึน้ ตามไปอีกซึง่ เรียกกลไกนีว้ า่
กลไกแบบสนองกลับ (feedback mechanism) ภาพที่ 5.10 การเปลี่ยนแปลงของธารน�้าแข็งในเมือง
Svalbard ประเทศนอร์เวย์ ภาพบนเมื่อปี ค.ศ. 1900
และภาพล่างเมื่อปี ค.ศ. 2002
ที่มา : http://www.catdumb.com/glaciers-119/
38
T42
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
2. หินตะกอนและฟอสซิล หินตะกอนเปนหินที่พบไดทั้งในนํ้าทะเลและนํ้าจืด จึงมักจะ 2. ครูอธิบาย เรื่อง หินตะกอนและฟอสซิล ซึ่ง
พบสิง่ มีชวี ติ บางชนิด เชน ปะการังหรือเฟรน ซึง่ ปจจุบนั จะพบในบริเวณทีม่ อี ากาศอบอุน หากพบ หินตะกอนเปนหินที่พบไดทั้งในนํ้าทะเลและ
ฟอสซิลในบริเวณใดสามารถบอกไดวาในอดีตเคยเปนพื้นที่ที่ม1ีอากาศอบอุนมากอน เชน มีการ ในนํา้ จืด จึงมักพบสิง่ มีชวี ติ บางชนิด เชน เฟรน
ศึกษาบริเวณทวีปแอนตารกติกา พบฟอสซิลของเฟรน มอส และสนบางชนิด ทําใหทราบวาใน และเกิดจากการสะสมของตะกอน เชน กรวด
อดีตเมื่อประมาณ 65-145 ลานปกอน ที่ทวีปนี้เคยมีอากาศอบอุนจนมีพืชบางชนิดสามารถอยูได ทราย เศษหิน หรือซากพืชและสัตว หรือเกิด
สวนหินตะกอนทีพ่ บในทะเลหรือมหาสมุทรนัน้ สิง่ มีชวี ติ ในทะเลจะดึงออกซิเจนจากนํา้ ทะเลมาสราง จากการตกตะกอนทางเคมี ใ นนํ้ า แล ว เกิ ด
เปลือกและกระดูก ซึ่งออกซิเจนนั้นมี 2 ไอโซโทป (ธาตุชนิดเดียวกัน แตมีนํ้าหนักอะตอมตางกัน) การแข็งตัวกลายเปนหิน ซึ่งปจจุบันจะพบใน
เชน ออกซิเจน-16 (16O) นั้น จะเบากวาออกซิเจน-18 (18O) และระเหยไดเร็วกวาออกซิเจน-18 บริเวณอากาศอบอุน หากพบฟอสซิลบริเวณใด
(18O) ดังนั้น ในชวงที่อากาศเย็นนํ้าที่ระเหยไปสวนใหญจะเปนนํ้าที่มีออกซิเจน-16 (16O) เปน สามารถบงบอกไดวาในอดีตเคยเปนพื้นที่ที่
องคประกอบ ทําใหนํ้าในมหาสมุทรที่มีออกซิเจน-18 (18O) เปนองคประกอบเหลืออยูในสัดสวน อบอุนมากอน เชน พบฟอสซิลของเฟรน มอส
ที่สูง สัตวทะเลจึงนําออกซิเจน-18 มาสรางเปนเปลือกและกระดูก เมื่อตายลงไปจะสะสมเปน และสนบางชนิดที่บริเวณทวีปแอนตารกติกา
ตะกอนใตสมุทร เมื่อนํามาหาสัดสวนระหวางออกซิเจน-18 กับออกซิเจน-16 จะสามารถบอก ทําใหทราบวาบริเวณนั้นเคยมีอากาศที่อบอุน
สภาพภูมิอากาศในอดีตได เชน ถาอัตราสวนระหวางออกซิเจน-18 กับออกซิเจน-16 สูงมาก
มากอน
สามารถบอกไดวาอากาศในชวงเวลานั้นทําใหนํ้าทะเลมีอุณหภูมิตํ่ามาก โดยอัตราสวนดังกลาว
3. ครูอธิบายคําวาฟอสซิลเพิ่มเติมวา ฟอสซิล
สามารถบงบอกถึงสภาพภูมิอากาศของโลกในอดีตยอนไปไดเกือบถึงประมาณ 900,000 ป ซึ่งมี
ทั้งชวงที่อากาศเย็นและอากาศอุนสลับกันไป คือ ซากหรือรองรอยของสิ่งมีชีวิตในอดีต ที่
ถูกทับถมไวในชั้นหิน เชน ซากพืช ปลา หอย
ไดโนเสาร บางชนิดสูญพันธุไปแลว บางชนิด
3 ยังมีวิวัฒนาการตอจนถึงปจจุบัน
รอน
3.5
ปริมาณออกซิเจน-18 (%)
4.5
5 เย็น
500 400 300 200 100 0
อายุ (พันปกอนปจจุบัน)
การเปลี่ยนแปลง 39
ภูมิอากาศของโลก
T43
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ครู สุ ม นั ก เรี ย นในห อ งและถามคํ า ถามกั บ 3. การเพิม่ อุณหภูมแิ ละระดับนํา้ ทะเล 35
ระดับน�้าทะเลเพิ่มขึ้น 30
นักเรียนเพื่อทบทวนเนื้อหาที่เรียนมาในชั่วโมงที่ ระดับน�้าทะเลที่ได้จากทุ่นตรวจวัดในทะเลหรือ บันทึกเมื่อ 23 ปีที่แล้ว
25
เฉลี่ย 3 ปี
ระดับน�้าทะเลเปลี่ยนแปลง
แลววา ขอมูลทีส่ นับสนุนการเปลีย่ นแปลงของโลก จากดาวเทียม บ่งชีใ้ ห้เห็นว่าในช่วงปี ค.ศ. 1901- ดาวเทียม 20
มีอะไรบาง 2010 ค่าเฉลี่ยของระดับน�้าทะเลโลกเพิ่มสูงขึ้น 15
10
(แนวตอบ การละลายของธารนํา้ แข็ง หินตะกอน โดยเฉลีย่ ประมาณ 0.19 เมตร อัตราการเพิม่ ขึน้ 5
และฟอสซิล การเพิ่มอุณหภูมิและระดับนํ้า ของระดับน�้าทะเลในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 0
-5
ทะเล วงปของตนไมดึกดําบรรพ) สูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นในช่วงสองพันปีก่อน
นักวิทยาศาสตร์อธิบายโดยหลักฐานการละลาย 1880 1900 1920 1940 1960 1980 2000
อธิบายความรู้
ของน�้าแข็งทั่วโลก เนื่องจากภาวะโลกร้อน และ ภาพที่ 5.12 ระดับน�้าทะเลที่เพิ่มขึ้น
1. ครูอธิบายขอมูลเรือ่ งที่ 3 เรือ่ ง การเพิม่ อุณหภูมิ อีกข้อสันนิษฐาน คือ การขยายตัวของน�้าใน ที่มา : https://slideplayer.com.br/slide/1559182/
และระดับนํ้าทะเล การเพิ่มอุณหภูมิจะสูงขึ้น มหาสมุทร เนือ่ งจากความจุความร้อนของน�า้ ในมหาสมุทรมากกว่าในอดีต โดยหลักฐานจากข้อมูล
โดยเฉลี่ยประมาณ 0.19 เมตร อัตราการเพิ่ม ตรวจวัดอุณหภูมิและค่าความจุความร้อนของน�้าในมหาสมุทรพบว่าบริเวณผิวน�้าในช่วงความลึก
ขึ้นของนํ้าทะเลเกิดจากภาวะโลกรอน ทําให ประมาณ 700 เมตร มหาสมุทรมีอณ ุ หภูมสิ งู ขึน้ 17.61 องศาเซลเซียส ตัง้ แต่ปี ค.ศ. 1969 เป็นต้น
นํ้าแข็งขั้วโลกละลาย และอาจจะเกิดจากการ มา และระดับน�้าทะเลก็เพิ่มขึ้น 8 นิ้ว ในช่วงเวลานั้น
ขยายตัวของนํา้ ในมหาสมุทร เนือ่ งจากความจุ
ความร อ นของนํ้ า ในมหาสมุ ท รมากกว า ใน 50
อดีต และใหนักเรียนดูภาพการตรวจวัดระดับ
นํา้ ทะเลดวยดาวเทียมเพือ่ ใหนกั เรียนเห็นภาพ 40
ชัดเจนและเขาใจมากขึ้น
ระดับนํ้าทะเล
30
20
10
0 ปี
1994 1996 1998 2000 2002 2004 2006
ภาพที่ 5.13 การตรวจวัดระดับน�้าทะเลด้วยดาวเทียม
ที่มา : http://www.eeaa.gov.eg/portals
40
T44
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
4. วงปีของต้นไม้ดึกดําบรรพ์ เส้นวงปี 2. ครูอธิบายขอมูลที่ 4 เรื่อง วงปของตนไม
ของต้ น ไม้ เ กิ ด จากการเจริ ญ ของเนื้ อ เยื่ อ เพื่ อ ดึกดําบรรพ โดยเสนวงปของตนไมเกิดจาก
สร้ า งท่ อ ล� า เลี ย งน�้ า ขึ้ น มาใหม่ พ ร้ อ มทั้ ง มี ส าร การเจริญของเนื้อเยื่อเพื่อสรางทอลําเลียงนํ้า
สีน�้าตาลที่เรียกว่า ลิกนินออกมาด้วย ถ้าปีใด ขึ้นมาใหม และเสนวงปสามารถใชบอกอายุ
ฝนตกชุก มีปริมาณน�้าฝนมาก ต้นไม้จะดูดน�้า ของตนไม ใชบอกปริมาณนํ้าฝนที่ตกตอเนื่อง
ไว้มากเช่นเดียวกัน ท�าให้เส้นวงปีกว้างและ ในแตละรอบปจากอดีตถึงปจจุบนั ได ใชในการ
เป็นสีน�้าตาลอ่อนเนื่องจากลิกนินมีปริมาณ สรางแบบจําลองสภาพภูมิอากาศในอนาคต
เจื อ จาง แต่ ถ ้ า ปี ใ ดแห้ ง แล้ ง ฝนตกน้ อ ย โดยคาดคะเนจากขอมูลปริมาณนํ้าฝนในอดีต
ต้ น ไม้ จ ะดู ด น�้ า ได้ น ้ อ ย เส้ น วงปี จ ะแคบ เปนเวลาหลายป
และมี สี น�้ า ตาลเข้ ม เพราะลิ ก นิ น มี ค วาม 3. ครูอธิบายความรูเสริม เรื่อง สนไพนบริสเติล-
เข้มข้นสูง ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงศึกษา โคนวา เปนตนไมที่อายุยืนที่สุดในโลก มีอายุ
สภาพภูมิอากาศในอดีตได้จากต้นไม้ดึกด�าบรรพ์1 กวา 5,000 ป อยูในปาทางตะวันออกของรัฐ
โดยการเจาะเนื้อไม้เพื่อหาค่าอายุจากไอโซโทป
แคลิฟอรเนีย รัฐเนวาดา และรัฐยูทาห ประเทศ
ธาตุคาร์บอน และดูลักษณะเส้นวงปีเพื่อบ่งบอก
สหรัฐอเมริกา โดยเจริญเติบโตจากดินที่เปน
ฤดูกาล ซึ่งต้นไม้ที่นิยมใช้ คือ สนไพน์บริสเติลโคน
ที่มีอายุยืนมากและเจริญเติบโตช้า โดยการใช้ต้น หินปูนพืน้ ทีร่ กราง ทนแรงลมและสภาพอากาศ
ที่ยังมีชีวิตอยู่และตัวอย่างไม้ที่ตายแล้ว เพื่อให้ ทีม่ อี ณ
ุ หภูมสิ งู มากๆ ได ลําตนมีลกั ษณะบิดงอ
ทราบถึงรูปแบบการเจริญเติบโตย้อนหลัง
กลับไปนับพัน ๆ ปี โดยในบางพืน้ ทีส่ ามารถ
หาค่ า อายุ ย ้ อ นหลั ง กลั บ ไปได้ ม ากกว่ า
10,000 ปี
ภาพที่ 5.14 สนไพน์บริสเติลโคน
ที่มา : https://i.pinimg.com/originals
Earth Science
Focus สนไพนบริสเติลโคน
สนสายพันธุ์ Great Basin Bristlecone Pine เป็นพืชที่มีอายุมากที่สุดในบรรดาตระกูลสนและ
พืชตระกูลอื่น ๆ จนได้รับฉายาว่า เป็นต้นไม้ที่มีอายุมากที่สุดในโลก ซึ่งสนไพน์บริสเติลโคนพบมาก
ในหลายพื้นที่ของแถบตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา เช่น ในแถบเทือกเขา Wheeler Peak
ทางทิศตะวันออกของรัฐเนวาดา ซึง่ เป็นสถานทีท่ คี่ นรูจ้ กั กันดีวา่ เป็นแหล่งทีม่ ตี น้ สนอายุมากกว่า 3,000
ปีจ�านวนมาก
การเปลี่ยนแปลง 41
ภูมิอากาศของโลก
T45
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ครูสมุ นักเรียนในหองและถามคําถามกับนักเรียน 5. น�้ ำ แข็ ง ขั้ ว โลก น�้ ำ แข็ ง บริ เ วณขั้ ว โลกมี ก ำรสะสมและทั บ ถมกั น เป็ น เวลำนำน
เพือ่ ทบทวนเนือ้ หาทีเ่ รียนมาในชัว่ โมงทีแ่ ลววา วงป นักวิทยำศำสตร์จึงท�ำกำรขุดเจำะลงไปเพื่อน�ำแกนน�้ำแข็งมำตรวจวัดค่ำไอโซโทปของธำตุต่ำง ๆ
ของตนไมคืออะไร และตนไมที่มีอายุยืนมากที่สุด เพื่อหำอำยุและบ่งบอกสภำพอำกำศขณะนั้น
ในโลกไดแกตนไมชนิดใด เช่ น ถ้ ำ อำกำศในขณะนั้ น มี อุ ณ หภู มิ สู ง
(แนวตอบ เสนวงปของตนไมเกิดจากการเจริญ ออกซิเจน-18 ที่มีคุณสมบัติระเหยได้ช้ำกว่ำ
ของเนื้อเยื่อเพื่อสรางทอลําเลียงนํ้าขึ้นมาใหม ออกซิเจน-16 จะสำมำรถระเหยจำกผิวน�้ำ
และเสนวงปสามารถใชบอกอายุตน ไม ใชบอก ขึ้นไปสะสมอยู่ในบรรยำกำศได้มำก แล้วตก
ขอมูลปริมาณนํา้ ฝนทีต่ กตอเนือ่ งในแตละรอบป ลงมำเป็นฝนหรือหิมะและสะสมเป็นน�้ำแข็ง
จากอดีตถึงปจจุบนั ได และตนไมทมี่ อี ายุยนื มาก เมือ่ ตรวจวัดแกนน�ำ้ แข็งทีเ่ จำะได้ จะได้สดั ส่วน
ที่สุดในโลก คือ สนไพนบริสเติลโคน) ระหว่ำงออกซิเจน-18 กับออกซิเจน-16 ที่มี
ค่ำสูงซึ่งบ่งบอกว่ำสภำพอำกำศในขณะนั้นมี
อธิบายความรู้ อุณหภูมิสูง และในทำงกลับกัน ถ้ำค่ำสัดส่วน
1. ครูอธิบายขอมูลที่ 5 เรื่อง นํ้าแข็งขั้วโลก ใน ระหว่ำงออกซิเจน-18 กับออกซิเจน-16 มีค่ำ
ป จ จุ บั น นํ้ า แข็ ง ขั้ ว โลกใต แ ละขั้ ว โลกเหนื อ ต�่ำบ่งบอกว่ำอำกำศในขณะนั้นมีอุณหภูมิต�่ำ
ละลายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสาเหตุที่ทําใหนํ้าแข็ง นอกจำกสัดส่วนออกซิเจนไอโซโทปแล้ว
ละลายนั้นเกิดจากภาวะโลกรอน เพราะแกส น�ำ้ แข็งขัว้ โลกยังใช้ในกำรวิเครำะห์สดั ส่วนแก๊ส
เรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมตางๆ ของ ที่เป็นองค์ประกอบของบรรยำกำศในอดีตจำก
มนุษยทําใหเกิดนํ้าแข็งละลายเพิ่มมากขึ้น ภำพที่ 5.15 ฟองอำกำศทีถ่ กู กักในน�ำ้ แข็งขณะทีน่ ำ�้ แข็งตัว ฟองอำกำศที่เกิดจำกกำรแข็งตัวของน�้ำอย่ำง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
2. จากการที่นํ้าแข็งขั้วโลกละลายสงผลกระทบ รวดเร็ว แล้วกักอำกำศในขณะนั้นไว้ ผลกำร
กับความเปนอยูของประชาชนหลายลานคน วิเครำะห์อำกำศในแกนน�้ำแข็งแสดงให้เห็นว่ำ อำกำศในอดีตเมื่อ 800,000 ปีก่อน มีควำมเข้มข้น
ในประเทศบังกลาเทศ หมีขั้วโลกไมมีที่อยู ของแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์เพียง 280 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ในปัจจุบนั พบว่ำ มีคำ่ สูงถึง 409 มิลลิกรัม
อาศัย และนํ้าแข็งที่ละลายสงผลใหนํ้าทะเล ต่อลิตร
เกิดการเจือจาง และระดับความเค็มของนํา้ ทะเล ในปัจจุบันน�้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ละลำยมำกเป็นปรำกฏกำรณ์ ซึ่งแม้แต่ใน
เปลี่ยนแปลง สงผลทําใหประชากรปลาลดลง ฤดูหนำวปริมำณน�ำ้ แข็งบริเวณขัว้ โลกเหนือและขัว้ โลกใต้ทลี่ ดน้อยลงเป็นสถิตใิ หม่ทกุ ปี สำเหตุของ
3. ครูใหนักเรียนตอบคําถามทายหัวขอ Topic น�้ำแข็งขั้วโลกละลำยเกิดจำกอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น เป็นผลมำจำกภำวะโลกร้อน1 เพรำะแก๊ส
Question เรือนกระจกทีเ่ พิม่ ขึน้ จำกกำรท�ำกิจกรรมต่ำง ๆ ของมนุษย์ เช่น กำรเผำผลำญถ่ ญถ่ำนหินและเชือ้ เพลิง
กำรตัดไม้ท�ำลำยป่ำ กำรผลิตในภำคอุตสำหกรรม รวมไปถึงสำรเคมีที่มีส่วนผสมของแก๊ส
เรือนกระจกทีม่ นุษย์ใช้ และอืน่ ๆ อีกมำกมำย จึงท�ำให้แก๊สเรือนกระจกเหล่ำนีล้ อยขึน้ ไปรวมตัวกัน
อยู่บนชั้นบรรยำกำศของโลก ท�ำให้รังสีของดวงอำทิตย์ที่ควรจะสะท้อนกลับออกไปในปริมำณที่
เหมำะสม กลับถูกแก๊สเรือนกระจกเหล่ำนี้กักเก็บไว้ ท�ำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจำกเดิม
42
T46
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
แก ส มี เ ทนเป น แก ส เรื อ นกระจกสํ า คั ญ ที่ สุ ด ครูใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดจากแบบฝกหัดโลก
ตั ว หนึ่ ง ปริ ม าณที่ สู ง ขึ้ น ของแก ส มี เ ทนใน ดาราศาสตร และอวกาศ ม.5 เลม 2 เรื่อง การ
บรรยากาศจะยิง่ ไปเรงกระบวนการเกิดโลกรอน เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
ใหเร็วและรุนแรงขึ้น นํ้าแข็งละลายเร็วยิ่งขึ้น
จนทําใหระดับนํ้าทะเลเพิ่มสูงขึ้นอยางรวดเร็ว ขัน้ สรุป
ซึ่งจะสงผลทําใหนํ้าในมหาสมุทรเพิ่มระดับขึ้น ตรวจสอบผล
หลายเมตรทั่วโลก ซึ่งนํ้าทะเลที่เพิ่มขึ้นเพียง ภาพที่ 5.16 หมีขั้วโลกไมมีที่อยูอาศัย ครูและนักเรียนรวมกันสรุปเนื้อหา เรื่อง การ
1 เมตร จะทําใหประชาชนไรทอี่ ยูอ าศัย นํา้ แข็ง ที่มา : คลังภาพ อจท.
เปลีย่ นแปลงภูมอิ ากาศของโลก เพือ่ เปนการทบทวน
ทัง้ หมดทีก่ าํ ลังละลายอยูน ที้ าํ ใหความเขมขนของนํา้ ทะเลโลกเจือจางลง โดยเปลีย่ นระดับความเค็ม ความรู ใ ห แ ก นั ก เรี ย นหลั ง จากที่ เ รี ย นเนื้ อ หานี้
มากพอที่จะทําใหประชากรปลาลดลง และรบกวนการไหลเวียนนํ้าของมหาสมุทรทั่วโลก จบแลว
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบคําถาม
รายบุคคล
3. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการทํางานกลุม
4. ครูตรวจสอบผลการทําแบบฝกหัด เรื่อง การ
เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
ภาพที่ 5.17 ธารนํ้าแข็งขั้วโลกละลาย
ที่มา : คลังภาพ อจท.
Topic
Question
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
1. การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกเกิดขึ้นไดอยางไร
2. ปจจัยใดบางที่มีผลตอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก
3. ขอมูลสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมีอะไรบาง
4. แกสใดที่สะสมพลังงานความรอนในบรรยากาศโลกไวมากที่สุด และทําใหอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น
5. การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศสงผลกระทบกับสิ่งมีชีวิตอยางไร
การเปลี่ยนแปลง 43
ภูมิอากาศของโลก
เมฆ และปริมาณแกสเรือนกระจก
ตรงกับระดับคะแนน
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น
4. แกสคารบอนไดออกไซด
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............/.................../................
เกณฑ์การให้คะแนน
เกิดการเปลี่ยนแปลงจากความผิดปกติของอากาศจะทําใหเกิดความ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
แปรปรวนของอากาศและเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติตางๆ
T47
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
ครูกระตุนความสนใจโดยถามคําถาม Prior เมือ่ อากาศแปรปรวน 2. ปรากฏการณทเี่ กิดจากการ
Knowledge ให นั ก เรี ย นอภิ ป รายและแสดง
ความคิดเห็นรวมกันกอนเขาสูหัวขอที่เรียนกับ
สิง่ มีชวี ติ จะไดรบ
ผลกระทบหรือไม
ั เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
นักเรียนวา เมื่ออากาศแปรปรวนสิ่งมีชีวิตจะได อยางไร การเปลีย่ นแปลงสภาวะอากาศอันเป็นผลมาจากธรรมชาติ
รับผลกระทบหรือไม อยางไร หรือจากการกระท�าของมุษย์ ส่งผลให้เกิดความแปรปรวน
ของอากาศ ซึ่งจะท�าให้เกิดภัยธรรมชาติและปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่น ภาวะโลกร้อน ความถี่และ
ขัน้ สอน ความรุนแรงของพายุฝน การศึกษาเกี่ยวกับความแปรปรวนของอากาศ ท�าให้ทราบถึงผลกระทบ
สํารวจค้นหา และตระหนักถึงแนวทางการแก้ปัญหา
ครูใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 3-4 คน สืบคน 2.1 ปรากฏการณเอลนี โญและลานีญา
และทํารายงาน เรื่อง ปรากฏการณที่เกิดจากการ 1. สาเหตุการเกิดเอลนีโญและลานีญา
เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก • สภาพอากาศในสภาวะปกติ การไหลของกระแสน�้ า ในมหาสมุ ท รแปซิ ฟ ิ ก แถบ
อธิบายความรู้ เส้นศูนย์สูตรนั้นได้รับอิทธิพลมาจากลมค้า (trade wind) ซึ่งลมค้าที่พัดจากจากชายฝั่งตะวันออก
ของมหาสมุทรแปซิฟิก (ชายฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ แถบประเทศเปรู เอกวาดอร์ และ
1. ครูอธิบายสภาพอากาศในสภาวะปกติวา การ
ชิลตี อนเหนือ) มายังชายฝัง่ ตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟกิ (ชายฝัง่ ตะวันออกของทวีปออสเตรเลีย
ไหลของกระแสนํ้าในมหาสมุทรแปซิฟกแถบ
และทวีปเอเชียแถบประเทศอินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี และออสเตรเลีย) เรียกว่า ลมค้าตะวันออก-
เสนศูนยสูตรนั้นไดรับอิทธิพลมากจากลมคา
เฉียงใต้ ซึง่ จะพัดพามวลน�า้ อุน่ มายังชายฝัง่ ตะวันตกของมหาสมุทร บริเวณนัน้ จึงมีอณ
ุ หภูมสิ งู ขึน้
ซึ่งจะพัดพามวลนํ้าอุนมายังชายฝงตะวันตก
ไอน�้าบริเวณผิวน�้าทะเลลอยตัวขึ้นและก่อตัวเป็นเมฆฝน ท�าให้เกิดความชุ่มชื้น ส่วนชายฝั่ง
ของมหาสมุทร บริเวณนั้นจึงมีอุณหภูมิสูงขึ้น
ตะวันออกของมหาสมุทรนั้นมวลน�้าเย็นจากใต้มหาสมุทรจะไหลขึ้นมาแทนที่มวลน�้าอุ่น อากาศ
ไอนํา้ บริเวณผิวนํา้ จะลอยตัวขึน้ และกอตัวเปน
บริเวณนั้นจึงแห้งแล้งและหนาวเย็น
เมฆฝน ทําใหเกิดความชุมชื้น สวนชายฝง
ตะวันออกของมหาสมุทรอากาศในบริเวณนั้น
จะแหงแลงและหนาวเย็น ทิศทางลม
2. นั ก เรี ย นอ า นข อ มู ล และศึ ก ษาเพิ่ ม เติ ม จาก
การสแกน QR Code เรื่อง ปรากฏการณ
เอลนีโญและลานีญา
กระแสนํ้าอุ่น เส้นศูนย์สูตร
กระแสนํ้าเย็น อเมริกาใต้
แนวตอบ Prior Knowledge ออสเตรเลีย
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนั้นสงผล
กระทบตอมนุษย สิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดลอมตางๆ
เพราะความแปรปรวนของอากาศสงผลใหสภาพ ภาพที่ 5.18 สภาพอากาศในสภาวะปกติ
ของอากาศเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เชน เกิดภาวะ 44
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา
โลกรอน ทําใหนาํ้ แข็งขัว้ โลกละลาย ปริมาณนํา้ ทะเล
เพิ่มสูงขึ้น
T48
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
• ปรากฏการณเอลนีโญ Earth Science ครูใหนักเรียนเขียนสรุป เรื่อง ปรากฏการณ
เกิดขึ้นเมื่อลมคาตะวันออกเฉียงใตออนกําลังลง in real life เอลนีโญและปรากฏการณลานีญา ลงในกระดาษ
กระแสนํ้ า อุ น จากบริ เ วณชายฝ ง ตะวั น ออกของมหาสมุ ท ร ปรากฏการณเอลนีโญ จะสงผล A4 ในรูปแบบผังมโนทัศน และตกแตงชิ้นงานให
ใหปริมาณฝนของประเทศไทย สวยงาม แลวนํามาสงในชั่วโมงถัดไป
ถูกพัดไปยังชายฝงตะวันตกนอยลง ทําใหชายฝงตะวันออก มีแนวโนมตํ่ากวาปกติในฤดูฝน
ของมหาสมุทรมีฝนตกมากกวาปกติ แตชายฝงตะวันตกของ และจะมี ฝ นน อ ยลงขณะที่ อธิบายความรู้
มหาสมุทรมีสภาพแหงแลง ทําใหบริเวณชายฝงขาดธาตุอาหาร อากาศรอนขึ้น มาตรการที่จะ
สําหรับปลาและนกทะเล บรรเทาผลกระทบ คือ หากได 1. ครู อ ธิ บ ายปรากฏการณ เ อลนี โ ญ เมื่ อ เกิ ด
รับคําเตือนวาไดเกิดเอลนีโญ เอลนีโญ กระแสลมสินคาตะวันออกจะออน
ปรากฏการณเอลนีโญทําใหฝนตกหนักในตอนเหนือ หน ว ยงานที่ เ กี่ ย วข อ งต า ง ๆ
ของทวีปอเมริกาใต และยังกอใหเกิดความแหงแลงในเอเชีย และประชาชนทัว่ ไปก็ควรมีการ กําลัง กระแสลมพื้นผิวจึงเปลี่ยนทิศทางการ
ตะวันออกเฉียงใต และออสเตรเลียตอนเหนือ และการเกิดไฟไหมปา ระมัดระวังเรื่องโรคภัยในชวงที่ พัดจากประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลีย
อยางรุนแรงในประเทศอินโดนีเซียเปนผลจากปรากฏการณ เกิดภัยแลง รวมทั้งเรื่องไฟปา ตอนเหนื อ ไปทางทิ ศ ตะวั น ออก แล ว ยกตั ว
เปนตน
เอลนีโญเชนกัน ขึ้นเหนือชายฝงทวีปอเมริกาใต ทําใหเกิดฝน
ตกหนักและแผนดินถลมในประเทศเปรูและ
ทิศทางลม
เอกวาดอร กระแสลมพัดกระแสนํา้ อุน บนพืน้ ผิว
มหาสมุทรแปซิฟก ไปกองรวมกันบริเวณชายฝง
ประเทศเปรู ทําใหกระแสนํ้าเย็นใตมหาสมุทร
เย็นกวาปกติ เสนศูนยสูตร
ไมสามารถลอยตัวขึ้นมา บริเวณชายฝงจึง
อุนกวาปกติ
อเมริกาใต ขาดธาตุอาหารสําหรับปลาและนกทะเลทําให
ออสเตรเลีย ชาวประมงเปรูขาดรายได
การเปลี่ยนแปลง 45
ภูมิอากาศของโลก
T49
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
2. ครู อ ธิ บ ายปรากฏการณ ล านี ญ าว า เป น • ปรากฏการณ์ลานีญา
ปรากฏการณที่มีลักษณะตรงขามกับเอลนีโญ เกิดขึน้ เมือ่ ลมค้าตะวันออกเฉียงใต้มกี า� ลังแรงกว่าปกติ กระแสน�า้ อุน่ จากบริเวณชายฝัง่
จะมี ลั ก ษณะคล า ยคลึ ง กั บ สภาวะปกติ แ ต ตะวันออกของมหาสมุทรถูกพัดไปยังชายฝัง่ ตะวันตกมากขึน้ ท�าให้ชายฝัง่ ตะวันออกของมหาสมุทร
รุนแรงกวา เมื่อกระแสลมสินคาตะวันออกที่ เกิดความหนาวเย็นและแห้งแล้งกว่าปกติ ส่วนชายฝัง่ ตะวันตกของมหาสมุทรมีฝนตกมากกว่าปกติ
พัดไปทางทิศตะวันออกมีกาํ ลังแรงทําใหระดับ
นํา้ ทะเลบริเวณทางซีกตะวันตกของมหาสมุทร
แปซิฟกสูงกวาสภาวะปกติ ลมคายกตัวเหนือ ทิศทางลม
ประเทศอินโดนีเซียทําใหเกิดฝนตกอยางหนัก
แต ที่ บ ริ เ วณชายฝ ง ประเทศเปรู นํ้ า เย็ น ใต
มหาสมุทรยกตัวขึน้ แทนทีก่ ระแสนํา้ อุน บริเวณ อุ่นกว่าปกติ
ชายฝงมหาสมุทรแปซิฟกทางซีกตะวันออก เส้นศูนย์สูตร
เย็นกว่าปกติ อเมริกาใต้
ทําใหเกิดธาตุอาหารและฝูงปลาชุกชุม ออสเตรเลีย
3. ครูอธิบาย เรือ่ ง ปรากฏการณแนวปะการังฟอก
ขาววา เปนปรากฏการณที่ปะการังชนิดตางๆ
รวมถึงสิ่งมีชีวิตในแนวปะการังอีกหลายชนิด ภาพที่ 5.21 ปรากฏการณ์ลานีญา
มีสีซีดลง ที่มา : คลังภาพ อจท.
Earth Science
Focus ปรากฏการณปะการังฟอกขาว
1
ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว คือ สภาวะที่ปะการังเปลี่ยนเป็นสีขาว โดยเป็นผลมาจาก
การสูญเสียสาหร่ายซูแซนเทลลี (zooxanthellae) ซึ่งสาหร่ายซูแซนเทลลีอาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของ
ปะการัง และมีการด�ารงชีวิต2อยู่แบบพึ่งพากัน
โดยสาหร่ายจะสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหาร
รวมถึงการสร้างสีสันให้แก่ปะการังด้วย แต่เมื่อ
สภาพแวดล้อมในทะเลมีการเปลี่ยนแปลง เช่น
การเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ อุณหภูมิน�้าทะเล
จะสู ง ขึ้ น สาหร่ า ยซู แ ซนเทลลี ที่ อ าศั ย อยู ่ กั บ
ปะการังไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้และตายลง ภาพที่ 5.22 ปะการังฟอกขาว
ส่งผลให้ปะการังมีสีซีดและเกิดฟอกขาวในที่สุด ที่มา : http://seaa.rwsentosablog.com/caral-
bleaching/
46
T50
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร
• การสังเกต 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน ทํา
การเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ • การทดลอง กิจกรรม เรื่อง การเกิดปรากฏการณเอลนีโญ
• การตีความขอสรุปและการลง
ขอสรุป 2. ครูใหนักเรียนนําอุปกรณที่เตรียมมา ซึ่งไดแก
จุดประสงค จิตวิทยาศาสตร
• ความอยากรูอยากเห็น
นํ้าเปลา กระดาษ ไดรเปาผม นํ้ามันพืช กลอง
เพื่อศึกษาการเกิดปรากฏการณเอลนีโญ
• ความรอบคอบ พลาสติก และสีผสมอาหาร มาใชในการทํา
กิจกรรม
วัสดุอปุ กรณ
อธิบายความรู
1. นํ้าเปลา 4. นํ้ามันพืช
2. กระดาษ 5. กลองพลาสติก
1. ครูอธิบายขัน้ ตอนในการทํากิจกรรม เรือ่ ง การ
3. ไดรเปาผม 6. สีผสมอาหาร เกิดปรากฏการณเอลนีโญ โดยอธิบายและ
อาจจะสาธิตวิธีการทํากิจกรรมใหนักเรียนดู
วิธปี ฏิบตั ิ เปนตัวอยาง
1. เติมนํา้ ลงในกลองพลาสติกจนมีความสูงประมาณ
2. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรม โดยใหเวลาในการ
3 นิ้ว เติมสีผสมอาหารลงในนํ้า จะไดนํ้าสีฟา ทํากิจกรรมทัง้ หมด 30 นาที และบันทึกผลทีไ่ ด
โดยเปรียบเสมือนมวลนํ้าทะเลเย็น ลงในสมุดแลวนํามาสงครูทายคาบเรียน
2. นํากระดาษ 2 แผน เขียนคําวา “ตะวันออก” และ
“ตะวันตก” โดยนําคําวาตะวันออกไปติดทีด่ า นขวา
ของกลอง และนําคําวาตะวันตกไปติดที่ดานซาย ตะวันตก ตะวันออก
ของกลอง โดยกลองเปรียบเสมือนมหาสมุทร
แปซิฟก
3. เติมนํ้ามันพืชลงในกลอง ใหมีความสูงประมาณ
1 นิว้ ซึง่ นํา้ มันจะลอยตัวบนนํา้ โดยนํา้ มันเปรียบ
บันทึก กิจกรรม
เสมือนมวลนํ้าอุน
ตะวันตก ตะวันออก จากกิจกรรมการเกิดปรากฏการณเอลนีโญโดย
ลมจากไดรเปาผมเปรียบเสมือนลมคา เมื่อเปด
4. ใชไดรเปาผมเปาลมรอนจากทางดานตะวันออก ไดรเปาผมจําลองใหพดั พามวลนํา้ อุน จากฝง ตะวัน-
ของมหาสมุทรแปซิฟก สังเกตการเปลี่ยนแปลง ออกไปสูฝงตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟก และ
จากนั้นปดไดรเปาผม สังเกตการเปลี่ยนแปลง
ตะวันตก ตะวันออก จะสังเกตเห็นการหมุนของมวลนํา้ เย็นจากกนกลอง
ภาพที่ 5.23 กิจกรรมการเกิดปรากฏการณเอลนีโญ พลาสติกดันตัวขึ้นมาดานบนในฝงตะวันออก แต
ที่มา : คลังภาพ อจท. เมื่อปดไดรเปาผมจะเปนการจําลองปรากฏการณ
การเปลี่ยนแปลง 47
เอลนีโญ เนื่องจากลมคาออนกําลัง สงผลใหมวล
ภูมิอากาศของโลก
นํ้าอุนไหลยอนกลับมายังฝงตะวันออกทันที ทําให
เกิดผลกระทบกับอากาศทั้ง 2 มหาสมุทร
T51
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
3. ครูถามคําถามทายกิจกรรม เรื่อง การเกิด ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
?
ปรากฏการณเอลนีโญดังตอไปนี้
1. เมื่อเปิดไดร์เป่าผม เกิดการเปลี่ยนแปลงกับมวลน�้าอุ่นและมวลน�้าเย็นหรือไม่ อย่างไร
ï• เมื่อเปดไดรเปาผม เกิดการเปลี่ยนแปลงกับ
2. เมือ่ ปิดไดร์เป่าผม เกิดการเปลี่ยนแปลงกับมวลน�้าอุ่นและมวลน�้าเย็นหรือไม่ อย่างไร
มวลนํ้าอุนและมวลนํ้าเย็นหรือไม อยางไร
ï• เมื่อปดไดรเปาผม เกิดการเปลี่ยนแปลงกับ
มวลนํ้าอุนและมวลนํ้าเย็นหรือไม อยางไร อภิปรายผลกิจกรรม
เอลนีโญ
ทิศทำงลม
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
1. เมือ่ เปดไดรเปาผมจําลองใหเปนสภาพปกติของ
ลมคาที่สามารถพัดพามวลนํ้าอุนจากฝงตะวัน-
ออกไปสูฝงตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟก จะ อุ่น เย็น
สังเกตเห็นการหมุนของมวลนํา้ เย็นจากกนกลอง ภำพที่ 5.24 ทิศทางการพัดของลมที่ส่งผลต่อการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ
พลาสติกดันตัวขึ้นมาดานบนในฝงตะวันออก ที่มา : คลังภาพ อจท.
2. เมือ่ ปดไดรเปาผมจะเปนการจําลองปรากฏการณ
เอลนีโญ เนื่องจากลมคาออนกําลัง สงผลให 48
มวลนํา้ อุน ไหลยอนกลับมายังฝง ตะวันออกทันที
ทําใหเกิดผลกระทบกับอากาศทั้ง 2 มหาสมุทร
T52
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2. ผลกระทบจากเอลนี โ ญและลานี ญ า ปรากฏการณ เ อลนี โ ญและลานี ญ าเป น ครูถามคําถามทบทวนความรูกับนักเรียน โดย
ปรากฏการณทางธรรมชาติที่ปฏิสัมพันธกันระหวางการหมุนเวียนของกระแสอากาศและกระแส มีคําถามดังตอไปนี้
นํ้าในมหาสมุทร ทําใหเกิดความผกผันของกระแสอากาศโลกบริเวณเสนศูนยสูตรเหนือมหาสมุทร • ปรากฏการณ เ อลนี โ ญและปรากฏการณ
แปซิฟก สงผลใหสภาพภูมอิ ากาศของโลกเกิดความแปรปรวน นอกจากนัน้ นักวิทยาศาสตรยงั พบวา ลานีญาแตกตางกันอยางไร
ปรากฏการณเอลนีโญสงผลใหเกิดการเปลี่ยนแปลงความดันของอากาศเหนือนํ้าทะเลบริเวณ ( แนวตอบ ปรากฏการณ เ อลนี โ ญเกิ ด จาก
มหาสมุทรแปซิฟกดานตะวันตก โดยเปลี่ยนจากความดันตํ่าเปนความดันสูง และความดันอากาศ อุณหภูมิพื้นผิวของมหาสมุทรแปซิฟกดาน
เหนือนํา้ ทะเลบริเวณมหาสมุทรแปซิฟก ดานตะวันออกเปลีย่ นจากความดันสูงเปนความดันตํา่ สลับ ตะวันออกแถบเสนศูนยสตู รมีอณ
ุ หภูมสิ งู ขึน้
กันไปมาเชื่อมโยงใหสภาพอากาศในซีกโลกใตผันผวนไปดวย เรียกวา ความผันผวนของอากาศ ทําใหสภาพภูมอิ ากาศแปรผันไปจากปกติ คือ
ในซีกโลกใต
1 ดวยเหตุนี้นักวิทยาศาสตรจึงเรียกปรากฏการณทั้งสองรวมกันวา ปรากฏการณ บริเวณทีเ่ คยมีฝนตกชุกจะกลายเปนแหงแลง
เอนโซ (ENSO) และบริเวณที่แหงแลงจะมีฝนตกชุก สวน
ปรากฏการณเอนโซ (ENSO) เปนความสัมพันธของปรากฏการณเอลนีโญและลานีญา ปรากฏการณลานีญาจะตรงขามกัน)
ทําใหเกิดปรากฏการณผันผวนทางทะเลและบรรยากาศรวมกัน สาเหตุจากการเกิดปรากฏการณ
เอลนีโญทําใหอุณหภูมิผิวนํ้าทะเลในฝงตะวันออกและตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟกผิดปกติไป อธิบายความรู้
ทําใหความดันผิวนํา้ ทะเลผิดปกติไปดวย สงผลใหการหมุนเวียนอากาศในแนวดิง่ ตามทิศตะวันออก- 1. ครูอธิบายความรู เรือ่ ง ผลกระทบจากเอลนีโญ
ตะวันตกตามวัฏจักรของวอลเกอร (Walker circulation) และลานีญาใหนกั เรียนฟง ซึง่ สองปรากฏการณ
Earth Science นีเ้ ปนปรากฏการณทางธรรมชาติทมี่ ปี ฏิสมั พันธ
Focus การตรวจวัดอากาศในทะเล กันระหวางการหมุนเวียนของกระแสอากาศ
สถานี ต รวจวั ด อากาศในทะเลบริ เ วณ และกระแสนํ้าในมหาสมุทร นักวิทยาศาสตร
มหาสมุทรแปซิฟกมีการติดตั้งทุนตรวจอากาศ ยังพบวา ปรากฏการณเอลนีโญสงผลใหเกิด
(buoy) รวมถึงการตรวจวัดอุณหภูมผิ วิ นํา้ ดวย เพือ่ การเปลี่ยนแปลงความดันของอากาศเหนือนํ้า
ติดตามปรากฏการณเอลนีโญ ซึง่ เปนความรวมมือ ทะเลบริเวณมหาสมุทรแปซิฟก ดานฝง ตะวันตก
จากหลายหนวยงานภายใตชื่อ “The Tropical เปลี่ ย นจากความดั น ตํ่ า เป น ความดั น สู ง
Ocean Global Atmosphere program; TOGA”
โดยสถานีแตละสถานีจะสงสัญญาณเพื่อรายงาน ส ว นความดั น อากาศเหนื อ นํ้ า ทะเลบริ เ วณ
ขอมูลการตรวจวัดมายังศูนยขอ มูลหลักทีฮ่ อนโนลูลู มหาสมุทรแปซิฟก ตะวันออกเปลีย่ นจากดันสูง
สหรัฐอเมริกา ผานทางระบบดาวเทียมคางฟา เปนความดันตํา่ จนเรียกไดวา เปนความผันผวน
(geostationary satellites) แลวนําขอมูลมา ของอากาศในซีกโลกใต จึงเรียกปรากฏการณ
คํานวณหาคาดัชนีความผันแปรของระบบอากาศ นี้วา ปรากฏการณเอนโซ
ภาพที่ 5.25 ทุนตรวจอากาศในทะเล
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การเปลี่ยนแปลง 49
ภูมิอากาศของโลก
T53
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2. ครูอธิบาย เรื่อง ผลกระทบจากปรากฏการณ แมวาปรากฏการณเอลนีโญและลานีญาจะเกิดในบริเวณชายฝงมหาสมุทรแปซิฟก
เอลนีโญและปรากฏการณลานีญาวา สงผลให แตเนื่องจากความเชื่อมโยงและการไหลเวียนของกระแสนํ้าจึงสงผลกระทบไปยังพื้นที่หางไกล
สภาพอากาศในหลายพืน้ ทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปจาก ออกไป ซึ่งการที่ลักษณะอากาศที่เกิดขึ้นบริเวณใดบริเวณหนึ่งสามารถสงผลกระทบตอลักษณะ
เดิม และสงผลกระทบกับชีวิตและสิ่งแวดลอม อากาศบริเวณที่อยูหางไกล เรียกวา เทเลคอนเนกชัน (teleconnection)
ตางๆ เปนจํานวนมาก การเกิ ด ปรากฏการณ เ อลนี โ ญและลานี ญ าเป น การยากที่ จ ะทํ า นายช ว งการเกิ ด
3. ครูใหนกั เรียนสืบคน เรือ่ ง ผลกระทบทีเ่ กิดจาก ปรากฏการณ พื้ น ที่ ที่ รั บ ผลกระทบ และความยาวนานของปรากฏการณ ไ ด อ ย า งแม น ยํ า
ปรากฏการณเอลนีโญและปรากฏการณลานีญา นักวิทยาศาสตรจงึ ตองติดตามและศึกษาปรากฏการณนี้ เนือ่ งจากมีความซับซอนและเชือ่ มโยงไป
จากหนังสือเรียนหรืออินเทอรเน็ต แลวเขียน สูปรากฏการณตาง ๆ อีกมาก
สรุปลงในสมุดสงครูใหชั่วโมงถัดไป จากที่ทราบวาปรากฏการณเอลนีโญและลานีญาสงผลใหสภาพอากาศในหลายภูมิภาค
4. ครูใหนักเรียนทําใบงานที่ 5.1 เรื่อง ปรากฏ- เปลี่ยนแปลงไปและอุณหภูมินํ้าทะเลแปรปรวน ซึ่งสงผลกระทบตอชีวิตและสิ่งแวดลอม เชน
การณเอลนีโญและปรากฏการณลานีญา และ
นํามาสงในชั่วโมงถัดไป
ภาพที่ 5.26 ปลาตายเปนจํานวนมาก พ.ศ. 2556 ภาพที่ 5.27 นํ้าทวม พ.ศ. 2554
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
ภาพที่ 5.28 ภัยแลง พ.ศ. 2559 ภาพที่ 5.29 ปะการังฟอกขาว พ.ศ. 2541
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : http://www.climatechangenews.com
50
T54
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
2.2 ปรากฏการณเรือนกระจก ครูสุมนักเรียนจํานวน 3 คน ออกมาเขียนตอบ
ปรากฏการณเรือนกระจก (greenhouse effect) เปนปรากฏการณที่ใชเรียกกระบวนการ คําถามบนกระดาน เรื่อง ปรากฏการณเอลนีโญ
ของอากาศบนโลกที่มีลักษณะคลายกระจกหอหุมโลกไว ทําใหภายในเรือนกระจกมีอุณหภูมิสูง และปรากฏการณลานีญา ที่เรียนไปในชั่วโมง
กวาภายนอก เมื่อแสงอาทิตยสองผานลงมายังชั้นบรรยากาศของโลก รังสีความรอนบางสวนจะ ที่แลว โดยตอบคําถาม ดังนี้
สะทอนกลับออกไป แตบางสวนไมสามารถสะทอนออกไปได เนื่องจากโลกถูกหอหุมดวยแกส • ผลกระทบที่เกิดจากปรากฏการณเอลนีโญ
เรือนกระจก ซึ่งแกสเหลานี้จะดูดคลื่นรังสีความรอนไวในเวลากลางวัน แลวแผรังสีความรอนออก และปรากฏการณลานีญามีอะไรบาง
มาในเวลากลางคืน ทําใหอุณหภูมิในบรรยากาศโลกไมเปลี่ยนแปลงอยางทันทีทันใด ถาไมมีแกส ( แนวตอบ ปลาตายเป น จํ า นวนมาก เกิ ด
เรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ อุณหภูมิโลกในตอนกลางวันจะรอนจัด สวนกลางคืนจะหนาวจัด ปญหานํ้าทวม เกิดภัยแลง และเกิดปะการัง
แตหากแกสเรือนกระจกมีปริมาณมากจะทําใหโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น เนื่องจากแสงอาทิตยใน ฟอกขาว)
ความยาวคลืน่ อินฟราเรดทีส่ ะทอนกลับจะถูกดูดกลืนโดยโมเลกุลของแก
1 สเรือนกระจก (ไอนํา้ มีเทน อธิบายความรู
ไนตรัสออกไซด คารบอนไดออกไซด และคลอโรฟลูออโรคารบอน) โดยส 2 วนใหญแกสเรือนกระจก
เกิดมาจากการกระทําของมนุษย เชน การเผาไหมเชื้อเพลิงฟอสซิล กิจกรรมทางอุตสาหกรรม 1. ครูอธิบายเนือ้ หา เรือ่ ง ปรากฏการณเรือนกระจก
เปนตน ว า เป น ปรากฏการณ ที่ โ ลกมี อุ ณ หภู มิ สู ง ขึ้ น
เนือ่ งจากพลังงานแสงอาทิตยในชวงความยาว
ภาพที่ 5.30 รังสีจากดวงอาทิตยที่ผานชั้นบรรยากาศของโลกจะถูกสะทอนและดูดกลืนเมื่อกระทบกับอนุภาคตาง ๆ ทั้งใน
บรรยากาศและผิวโลก คลื่ น อิ น ฟราเรดที่ ส ะท อ นกลั บ ถู ก ดู ด กลื น
ที่มา : คลังภาพ อจท. โดยโมเลกุลของไอนํา้ แกสคารบอนไดออกไซด
แกสมีเทน แกสไนตรัสออกไซด และคลอโร-
ฟลูออโรคารบอน ในบรรยากาศ ทําใหโมเลกุล
เหลานี้มีพลังงานสูงขึ้น มีการถายเทพลังงาน
ซึ่งกันและกันทําใหอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศ
สูงขึ้น เกิดการถายเทพลังงานและความยาว
คลื่นของโมเลกุลเหลานี้ตอๆ กันไป
การเปลี่ยนแปลง 51
ภูมิอากาศของโลก
T55
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
2. ครูอธิบายถึง เรื่อง การเกิดปรากฏการณเรือน 1. การเกิดปรากฏการณเรือนกระจก
กระจกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติวา มีแกสเรือน
กระจกที่เกิดขึ้น ดังนี้
• แกสคารบอนไดออกไซด เปนแกสชนิดที่ทํา การเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก (greenhouse effect)
ใหเกิดพลังงานความรอนสะสมในบรรยากาศ
ของโลกมากทีส่ ดุ ในบรรดาแกสเรือนกระจก ปรากฏการณ์ที่เกิดตามธรรมชาติ
ชนิดอืน่ ๆ เปนตัวการสําคัญของปรากฏการณ แก ส เรื อ นกระจกที่ เ กิ ด ขึ้ น ตามธรรมชาติ ทํ า หน า ที่ ช ว ยดู ด ซั บ และ
คายรังสีความรอนกลับสูพื้นโลก เชน ไอนํ้า มูลสัตว การยอยสลายของ
เรือนกระจก ซากสิ่งมีชีวิต การหายใจของพืชและสัตว การหลอมละลายของหินปูน
• แกสมีเทน เปนแกสทีเ่ กิดขึน้ เองตามธรรมชาติ จากปลองภูเขาไฟ เปนตน หากในบรรยากาศไมมีแกสเรือนกระจก
จากมูลสัตวเลี้ยง อุณหภูมิของโลกจะสูงมากในเวลากลางวันและตํ่ามากในเวลากลางคืน
• แกสไนตรัสออกไซด เกิดขึน้ เองตามธรรมชาติ ซึ่งสิ่งมีชีวิตบนโลกไมสามารถดํารงชีวิตอยูได
มูลสัตวที่ยอยสลาย และเชื้อเพลิงถานหิน ภาพที่ 5.31 การเกิดปรากฏการณเรือนกระจก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
1
รังสีจากดวงอาทิตยผานชั้นบรรยากาศสูโลก
CH4
CO2 H2O
N2O
52
T56
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ปรากฏการณ์ที่เกิดจากการปล่อยแก๊สเรือนกระจกของมนุษย์ 3. ครูอธิบายการเกิดปรากฏการณเรือนกระจกที่
กิจกรรมในชีวิตประจําวันของมนุษย สงผลใหแกสเรือนกระจกมีปริมาณเพิ่มขึ้น เชน การเผาปา การเผาไหม เกิดจากกิจกรรมของมนุษย ดังนี้
เชื้อเพลิง การใชสารคลอโรฟลูออโรคารบอนในเครื่องปรับอากาศ ตูเย็น สเปรย การตัดไมทําลายปา การผลิต • กิจกรรมที่สงผลใหเกิดแกสเรือนกระจกมี
ในภาคอุตสาหกรรม หมอกควันจากเครื่องยนต เครื่องจักร ทําใหอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ซึ่งเปนสาเหตุหนึ่ง
ของภาวะโลกรอน
ปริมาณเพิม่ ขึน้ เชน การเผาปา การเผาไหม
2 1 เชื้อเพลิง การตัดไมทําลายปา การผลิตใน
ชั้นบรรยากาศและเปลือกโลกสะทอนรังสี
จากดวงอาทิตยบางสวนออกไป ภาคอุตสาหกรรม หมอกควันจากรถยนต
เครื่ อ งจั ก ร และเกิ ด จากสารคลอโรฟลู -
ออโรคาร บ อนเป น สารสั ง เคราะห ที่ ใ ช ใ น
อุตสาหกรรม ประกอบดวย คารบอน คลอรีน
และฟลู อ อรี น ซึ่ ง เป น สารที่ ทํ า ลายชั้ น
3 บรรยากาศโอโซน เปนสาเหตุทาํ ใหอณ ุ หภูมิ
แกสเรือนกระจกดูดซับรังสีความรอนบาง โลกสูงขึ้น และเปนสาเหตุหนึ่งที่ทําใหเกิด
สวนไว ทําใหเปลือกโลกและชั้นบรรยากาศ
เหนือโลกขึ้นไปมีอุณหภูมิสูงขึ้น ภาวะโลกรอน
4. ครูใหนกั เรียนเขียนอธิบาย เรือ่ ง ปรากฏการณ
เรือนกระจก ลงในสมุด และนํามาสงครูใน
ชั่วโมงถัดไป
4
เมื่อเปลือกโลกไดรับความรอนมาก จึงเกิด
การปลอยรังสีความรอนออกมา ทําใหโลก
มีอุณหภูมิสูงขึ้น เนื่องจากรังสีความรอน
ไมสามารถผานชัน้ บรรยากาศทีม่ แี กสเรือน-
กระจกอยูได
CFCs
N2O CO2
HFCs
CH4
การเปลี่ยนแปลง 53
ภูมิอากาศของโลก
T57
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ครูถามคําถามทบทวนความรูกับนักเรียน โดย 2. กระบวนการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานมายังโลกในรูป
ถามคําถาม ดังนี้ ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความยาวคลื่นในช่วง 0.4-0.7 ไมโครเมตร ประกอบ
• แกสชนิดใดสงผลใหเกิดปรากฏการณเรือน ด้วยรังสีหลัก ๆ ได้แก่ รังสีที่สามารถมองเห็นได้หรือแสงขาว (visible light) 44% รังสีความร้อน
กระจกมากที่สุด (infrared radiation) 48% และรังสีอัลตราไวโอเลต (ultraviolet radiation) 7% โดยความเข้ม
(แนวตอบ แกสคารบอนไดออกไซด) ของรังสีจากดวงอาทิตย์แปรผันโดยตรงกับระยะทาง ขณะที่โลกตั้งอยู่ในต�าแหน่งระหว่างดาวศุกร์
และดาวอังคาร จึงได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ในระดับที่เหมาะสม อีกทั้งยังมีบรรยากาศที่
อธิบายความรู
ห่อหุ้มโลกไว้ท�าให้โลกไม่ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์มากเกินไป
1. ครูอธิบาย เรือ่ ง กระบวนการเกิดปรากฏการณ ปรากฏการณ์เรือนกระจกท�าให้อุณหภูมิของโลกไม่ต�่าเกินไป และรักษาสมดุลของ
เรือนกระจก ใหนักเรียนฟง โดยอธิบายถึง อุณหภูมใิ ห้เหมาะสมต่อการด�ารงชีวติ ของสิง่ มีชวี ติ ชัน้ บรรยากาศของโลกท�าหน้าทีร่ กั ษาสมดุลของ
อัตราสวนของแกสตางๆ โดยประกอบดวย อุณหภูมบิ นพืน้ โลก โดยกักเก็บพลังงานและสะท้อนพลังงานจากดวงอาทิตย์บางส่วน ซึง่ องค์ประกอบ
แกสคารบอนไดออกไซด 62% แกสมีเทน 20% ส�าคัญในบรรยากาศทีท่ า� หน้าทีน่ ี้ คือ แก๊สเรือนกระจกทีป่ ระกอบไปด้วย ไอน�า้ คาร์บอนไดออกไซด์
คลอโรฟลูออโรคารบอน 12% แกสไนตรัส- มีเทน โอโซน ไนตรัสออกไซด์ เป็นต้น โดยแก๊สที่มีบทบาทส�าคัญและมีปริมาณมากที่สุดใน
ออกไซด 4% แกสไฮโดรฟลูออโรคารบอน 2% อากาศ ได้แก่ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึง่ ปัจจุบนั แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ยงั คงมีปริมาณเพิม่ ขึน้
2. ครูอธิบายปรากฏการณเรือนกระจก โดยให อย่างต่อเนื่อง โดยมีผลมาจากการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรม และการใช้พลังงานของมนุษย์
นักเรียนอานขอมูล และสามารถศึกษาเพิม่ เติม มนุษย์กา� ลังเปลีย่ นแปลงระบบการไหลเวียนความร้อนของดวงอาทิตย์ในชัน้ บรรยากาศ
ไดจาก QR Code เรือ่ ง ปรากฏการณเรือนกระจก จากการปล่อยแก๊สเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ โดยไม่มีการควบคุม ท�าให้ฤดูกาลของโลก
เพือ่ ใชในการทบทวนความรูใ หเกิดความเขาใจ เปลี่ยนแปลงไป อุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวโลกเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของมนุษย์
มากขึ้น ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม
คาร์บอนไดออกไซด์ 62%
20% มีเทน
ไนตรัสออกไซด์ 4%
54 ปรากฏการณ์เรือนกระจก
T58
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
Earth Science
Focus สมดุลพลังงานโลก
พืน้ ทีต่ ามละติจดู ต่าง ๆ บนผิวโลก จะดูดกลืนรังสี
และแผ่รังสีจากดวงอาทิตย์ออกมาได้ไม่เท่ากัน จะขึ้น
อยูก่ บั ปัจจัยหลายด้าน เช่น การใช้ประโยชน์ทดี่ นิ บริเวณ
นั้น พื้นดินหรือทะเลมีเมฆหมอกบัง ปริมาณแก๊สเรือน-
กระจก เป็นต้น บริเวณละติจูดแถบเส้นศูนย์สูตรจะได้รับ
พลังงานจากดวงอาทิตย์มากกว่าบริเวณขั้วโลก แต่พบ
ว่ามีการปลดปล่อยพลังงานมากกว่าพลังงานที่ได้รับมา
ส่งผลให้บริเวณขั้วโลกมีอากาศหนาวเย็น ในขณะที่แถบ ภาพที่ 5.33 ภูเขาน�้าแข็ง
เส้นศูนย์สูตรมีอากาศร้อน ที่มา : http://ko.phoneky.com
แนวตอบ H.O.T.S.
การเปลี่ยนแปลง 55
ภูมิอากาศของโลก
แกสที่มีผลตอการเพิ่มขึ้นของปรากฏการณ
เรือนกระจก คือ แกสคารบอนไดออกไซด
T59
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน ในการ • การสังเกต
ทํากิจกรรม เรื่อง การจําลองปรากฏการณเรือน การจําลองปรากฏการณ์เรือนกระจก • การทดลอง
• การตีความขอสรุปและการลง
กระจก ครูใชรูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือมาจัด ขอสรุป
กระบวนการเรียนรู โดยกําหนดใหสมาชิกแตละ จุดประสงค จิตวิทยาศาสตร
• ความอยากรูอยากเห็น
คนภายในกลุมมีบทบาทหนาที่ของตนเอง เพื่อศึกษาการเกิดปรากฏการณเรือนกระจก
• ความรอบคอบ
T60
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3. ผลกระทบจากปรากฏการณเรือนกระจก แกสเรือนกระจกในอากาศมีปริมาณ ครูถามคําถามทบทวนความรู เรือ่ ง ปรากฏการณ
เพิ่มขึ้นอยางรวดเร็ว ทําใหบรรยากาศกักเก็บและสะทอนรังสีความรอนมากเกินไปโลกจึงมี เรือนกระจกกับนักเรียน ดังนี้
อุณภูมิสูง หากอุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ภูมิอากาศของโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไป • ปรากฏการณเรือนกระจกเกิดขึ้นไดอยางไร
ซึง่ อาจทําใหมนุษยและสิง่ มีชวี ติ ไมสามารถอาศัยอยูไ ด และอีกหนึง่ ปญหาทีส่ าํ คัญ คือ ระดับนํา้ ทะเล (แนวตอบ ปรากฏการณเรือนกระจก เปน
จะเพิ่มสูงขึ้น 20 ถึง 40 เซนติเมตร เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นทําใหนํ้าแข็งบริเวณขั้วโลกละลาย ปรากฏการณทโี่ ลกมีอณ ุ หภูมสิ งู ขึน้ เนือ่ งจาก
และไหลลงสูมหาสมุทรมากกวาปกติ ซึ่งระดับนํ้าทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นนี้อาจทวมบริเวณชายฝงที่มี พลังงานแสงอาทิตยในชวงความยาวคลื่น
ระดับความสูงตํ่ากวาระดับนํ้าทะเล นอกจากนี้ ปรากฏการณเรือนกระจกยังสงผลกระทบตอภาค อิ น ฟราเรดที่ ส ะท อ นกลั บ ถู ก ดู ด กลื น โดย
เกษตรกรรมและปศุสัตว เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นสงผลใหสัตวเกิดภาวะเครียด ใหผลผลิตนอย โมเลกุลของไอนํ้า แกสคารบอนไดออกไซด
และอาจลมตายได ทําใหปริมาณนํ้าฝนลดลง ซึ่งสงผลใหพืชทางเกษตรกรรมลดลง และสงผลตอ แกสมีเทน แกสไนตรัสออกไซด คลอโรฟลูออ-
โซอาหารในระบบนิเวศดวย โรคารบอนในบรรยากาศ ทําใหโมเลกุลเหลานี้
สาเหตุสําคัญที่ทําใหแกสเรือนกระจกมีปริมาณเพิ่มขึ้น คือ กิจกรรมของมนุษย ไดแก มีพลังงานสูงขึน้ มีการถายเทพลังงานซึง่ กัน
การเผาไหมเชื้อเพลิงจากนํ้ามัน ถานหิน และแกสธรรมชาติในโรงงานอุตสาหกรรม ควันจาก และกันทําใหอณ ุ หภูมใิ นชัน้ บรรยากาศสูงขึน้ )
ทอไอเสียรถยนต การตัดไมทําลายปา การเผาพื้นที่เกษตรกรรม เปนตน ซึ่งจากภาวะที่มีแกส
คารบอนไดออกไซดเพิ่มขึ้นอยางรวดเร็ว นานาชาติจึงหันมารวมมือเพื่อหาทางบรรเทาภาวะ อธิบายความรู้
โลกรอนและลดการปลอยแกสคารบอนไดออกไซด โดยมีการลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติวา 1. ครูใหนักเรียนยกตัวอยางผลกระทบที่เกิดจาก
ดวยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (United Nations Framework Convention on Climate ปรากฏการณเรือนกระจกมาคนละ 1 ขอ หาม
Change; UNFCCC) ของประเทศตาง ๆ ในป พ.ศ. 2535 เพือ่ รักษาปริมาณแกสคารบอนไดออกไซด ซํ้ากัน
ใหอยูในระดับที่ปลอดภัย แตเนื่องจากไมมีผลบังคับใชทางกฎหมายจึงมีการจัดทําพิธีสารเกียวโต 2. ครูอธิบายผลกระทบที่เกิดจากปรากฏการณ
(Kyoto Protocol) ซึง่ ถือไดวา เปนสัญญาเกีย่ วกับภูมอิ ากาศโลก และเปนกฎหมายระหวางประเทศ เรือนกระจก ซึ่งสาเหตุสําคัญมาจากกิจกรรม
ฉบับเดียวที่กําหนดใหประเทศที่พัฒนาแลวลดการปลอยแกสคารบอนไดออกไซด ซึ่งประเทศไทย ตางๆ ของมนุษย ไดแก การเผาไหมเชือ้ เพลิง
ไดรว มลงนามในเดือนสิงหาคม ดังนัน้ มาตรการนีถ้ อื วาเปนผลดีทที่ าํ ใหเกิดการลงทุนดานพลังงาน
ถ า นหิ น และแก ส ธรรมชาติ ใ นโรงงาน
หมุนเวียนจากประเทศทีพ่ ฒ ั นาแลวสูภ มู ภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต โดยเปนการชวยลดการผลิต
อุตสาหกรรมตางๆ ควันจากทอไอเสียรถยนต
พลังงานที่จะกอใหเกิดมลพิษและลดการปลอยแกสคารบอนไดออกไซดอีกทางหนึ่งดวย
การตัดไมทําลายปา การเผาพื้นที่การเกษตร
ภาพที่ 5.35 อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นทําใหนํ้าแข็งบริเวณขั้วโลกละลาย
ที่มา : http://ko.phoneky.com และอื่นๆ อีกมากมาย
3. ครูใหนกั เรียนทําใบงานที่ 5.2 เรือ่ ง ปรากฏการณ
เรือนกระจก และนํามาสงในชั่วโมงถัดไป
การเปลี่ยนแปลง 57
ภูมิอากาศของโลก
T61
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ครูถามคําถาม เรือ่ ง คลืน่ ความรอนกับนักเรียนวา 2.3 คลื่นความรอน
ในแตละวันเราไดรับคลื่นความรอนจากแหลงใด คลื่นความรอน (heat wave) คือ ปรากฏการณท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยที่สภาวะ
(แนวตอบ ไดรับความรอนจากดวงอาทิตย) อากาศมีอุณหภูมิสูงกวาปกติและสะสมตัวอยูในพื้นที่บริเวณหนึ่ง สวนใหญเกิดในฤดูรอนหรือ
อธิบายความรู้ วันที่มีอุณหภูมิอากาศสูงสุดในรอบหลายป และอาจมีความชื้นสูงรวมดวยซึ่งมักเกิดขึ้นในบริเวณ
ที่มีการพัดผานของลมรอนจากบริเวณทะเลทราย เชน ทวีปอเมริกาเหนือ เกาะอังกฤษ เปนตน
ครูอธิบาย เรื่อง คลื่นความรอน ใหนักเรียน
การเกิดคลื่นความรอนจะทําใหอุณหภูมิสูงขึ้นกวาปกติ โดยอาจมีอุณหภูมิสูงมากตั้งแต
ฟงวา คลื่นความรอน คือ ปรากฏการณที่เกิดขึ้น 40-50 องศาเซลเซียสในเขตรอน สวนในเขตหนาวจากอุณหภูมิปกติอยูที่ 18-25 องศาเซลเซียส
ตามธรรมชาติที่สภาวะอากาศมีอุณหภูมิสูงขึ้น ก็อาจจะสูงขึ้นเปน 30-35 องศาเซลเซียส ซึ่งการเกิดคลื่นความรอนอาจมีระยะเวลาเพียงไมกี่วัน
กวาปกติ มักเกิดในฤดูรอน ทําใหอุณหภูมิสูง หรืออาจยาวนานเปนอาทิตย
ขึ้น ไมเหมาะสมตอสภาพรางกายของผูคุนเคย
ตอสภาพภูมิอากาศหนาวเย็น คลื่นความรอน
นอกจากจะคร า ชี วิ ต คนแล ว ยั ง ส ง ผลต อ การ NEW DELHI
42 ํC 43 ํC 45 ํC
Mon
Sun
Sat
เพาะปลูกพืชดวย ตลอดจนกอใหเกิดไฟปาและ 108 ํF 109 ํF 113 ํF
นํ้าทวมอยางฉับพลันเนื่องจากการละลายตัวของ AHMADHABAD
47 ํC 47 ํC 46 ํC NAGPUR KOLKATA
29 ํC 28 ํC 36 ํC
Mon
Sun 44 ํC 47 ํC 46 ํC
Mon
Sat
Sun
Mon
Sat
ธารนํา้ แข็ง อีกทัง้ ยังกอใหเกิดการใชพลังงานไฟฟา 116 ํF 116 ํF 115 ํF
Sun
Sat
112 ํF 116 Fํ 114 ํF 85 ํF 83 Fํ 96 ํF
ที่สูงขึ้นจนอาจนําไปสูการขาดแคลนพลังงานได MUMBAI
33 ํC 32 ํC 33 ํC HYDERABAD
Mon
Sun
Sat
91 ํF 90 Fํ 91 ํF 38 ํC 41 ํC 41 ํC
Mon
Sun
Sat
101 ํF 105 ํF 106 ํF
CHENNAI
36 ํC 38 ํC 38 ํC
Mon
Sun
Sat
96 ํF 101 ํF 101 Fํ
COLOMBO/BANDARAN
29 ํC 30 ํC 31 ํC
Mon
Sun
Sat
85 ํF 86 ํF 87 ํF
58
T62
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
Earth Science
1. การเกิดคลื่นความร้อน คลื่นความร้อนนอกจากจะ in real life ครูถามคําถามเพือ่ ทบทวนความรูก บั นักเรียนวา
เป็นภัยธรรมชาติทที่ า� ให้มผี เู้ สียชีวติ จ�านวนมากแล้ว ยังส่งผลให้ ประเทศไทยแทบจะไม่มีโอกาส • ในประเทศอินเดียเคยมีปรากฏการณคลื่น
เกิดไฟปา น�้าท่วมฉับพลัน เนื่องจากการละลายของธารน�้าแข็ง เกิดคลื่นความร้อน เพราะไม่ได้ ความรอนเกิดขึน้ ซึง่ ทําใหประชากรเสียชีวติ
ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย อีกทัง้ ยังก่อให้เกิดการใช้พลังงาน ตัจัด้งอยูนอกจากนี
่ในพื้นที่มีมวลอากาศร้อน
้ คลื่นความร้อน
ไปทัง้ หมด 2,500 คน ในชวงเดือนพฤษภาคม
ไฟฟ้าที่สูงจนอาจขาดแคลนพลังงานได้ จะเกิดได้เมื่ออุณหภูมิร้อนเกิน ซึ่งมีอุณหภูมิอยูที่เทาใด
การเกิดคลื่นความร้อนแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้ 40 องศาเซลเซียสต่อเนื่องกัน (แนวตอบ 47 องศาเซลเซียส)
1) คลื่นความร้อนแบบสะสม เกิดในบริเวณที่มีการ หลายสั ปดาห์ แต่สภาพอากาศ
ของไทยมีมวลอากาศเย็นจาก อธิบายความรู
สะสมความร้อนเป็นเวลานาน มีอากาศแห้ง ไม่มีลม ท�าให้ ประเทศจีนแผ่ลงมา ท�าให้เกิด
ความร้อนจากแสงอาทิตย์สะสมตัวอยู่กับที่ ซึ่งเมื่ออุณหภูมิ ฝนตกจึ ง ไม่ เ ป็ น อั น ตรายต่ อ 1. ครูอธิบาย เรือ่ ง การเกิดคลืน่ ความรอนวา คลืน่
ความร้อนสะสมเป็นเวลาหลายวันจะเกิดคลืน่ ความร้อนขึ้น เช่น สุขภาพ ความรอนนอกจากจะเปนภัยธรรมชาติทที่ าํ ให
พืน้ ทีท่ มี่ อี ณ
ุ หภูมิ 38-41 องศาเซลเซียส ไม่มลี มพัดต่อเนือ่ ง 3-6 มีผเู สียชีวติ จํานวนมากแลว ยังสงผลใหเกิดไฟ
วัน ท�าให้อากาศร้อนสลายพลังงานไปไม่หมดและสะสมตัวอยูใ่ นพืน้ ทีน่ นั้ อุณหภูมขิ องวันถัดมาจึง ปาและนํ้าทวมฉับพลัน
สูงขึน้ กว่าปกติ ไอร้อนจะสะสมพลังงานเพิม่ ขึน้ เรือ่ ย ๆ จนกลายเป็นคลืน่ ความร้อน โดยคลืน่ ความ 2. คลื่นความรอนจะแบงออกเปน 2 แบบ ดังนี้
ร้อนแบบสะสมนี้เกิดในบริเวณเขตร้อน เช่น ออสเตรเลีย อเมริกาเหนือ แอฟริกา อินเดีย เป็นต้น • คลื่นความรอนแบบสะสม เกิดในพื้นที่ซึ่ง
2) คลื่นความร้อนแบบพัดพา เกิดจากลมแรงพัดพาความร้อนในปริมาณมากจาก สะสมความรอนเปนเวลานาน อากาศแหง
ทะเลทรายหรือบริเวณเส้นศูนย์สูตรขึ้นไปในเขตหนาว ซึ่งมักเกิดในแถบยุโรป แคนาดาตอนใต้ ลมนิ่ง ทําใหความรอนจากแสงอาทิตยไม
เป็นต้น เคลื่อนที่ เมื่ออุณหภูมิรอนสะสมหลายวัน
จะเกิดคลื่นความรอนมากขึ้น
Earth Science • คลืน่ ความรอนแบบพัดพา เกิดจากลมแรงพัด
Focus โรคที่เกิดจากความรอน พาความรอนในปริมาณมาก ซึ่งคลื่นความ
1. โรคลมแดด เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป จนท�าให้อุณหภูมิร่างกายสูง รอนชนิดนี้เกิดจากลมแรงหอบความรอน
ถึง 40 องศาเซลเซียส มีอาการหน้ามืด เป็นลม หมดสติ มักเกิดกับผู้ที่ไม่เคยชินกับสภาพความร้อน จากทะเลทรายขึน้ ไปในเขตหนาว มักเกิดขึน้
แก้ไขได้โดยการดื่มน�้าทดแทน และนอนพัก ในยุโรป
2. โรคเพลียแดด เกิดขึ้นเมื่อร่างกายออกแรงท�างานหนักหรือออกก�าลังกายมาก ในขณะที่
มีอากาศร้อนและชื้น ท�าให้ของเหลวในร่างกายสูญเสียไปในรูปของเหงื่อเป็นสาเหตุให้เลือดไปเลี้ยง
กล้ามเนื้อลดลง จึงท�าให้เกิดอาการช็อก
3. โรคตะคริวแดด เกิดขึ้นเมื่อร่างกายเสียเหงื่อมากในขณะออกก�าลังกายหรือใช้แรงมาก เมื่อ
ร่างกายเสียน�้าและเกลือแร่ ท�าให้กล้ามเนื้อเป็นตะคริว ผู้ปวยจะมีอาการปวดกล้ามเนื้อ เกร็งบริเวณ
หน้าท้อง แขน หรือขา
การเปลี่ยนแปลง 59
ภูมิอากาศของโลก
T63
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ครูใหนักเรียนแบงกลุม 3 คน ชวยกันสืบคน 2. ดรรชนีความร้อน ดรรชนีความร้อน (heat index) เป็นค่าที่บ่งบอกว่าร่างกายมนุษย์
ขอมูล เรื่อง คลื่นความรอน โดยมีหัวขอในการ “รูส้ กึ ” ว่าอากาศร้อนขนาดไหน ตัวอย่างเช่น อุณหภูมอิ ากาศอยูท่ ี่ 30 องศาเซลเซียส แต่เนือ่ งจาก
สืบคนขอมูล ดังนี้ และนําขอมูลที่สืบคนไดมา ร่างกายมีน�้าเป็นองค์ประกอบประมาณร้อยละ 70 ความร้อนจากอากาศที่ถ่ายทอดมาสู่ร่างกาย
นําเสนอในรูปแบบของ Microsoft PowerPoint มนุษย์นั้น บางส่วนจะถูกใช้ในการระเหยน�้าจากร่างกายออกมาเป็นเหงื่อ ท�าให้ร่างกายเราเย็น
และออกมานําเสนอขอมูลดังกลาวในชัว่ โมงถัดไป ลงน้อยกว่า 30 องศาเซลเซียส แต่ถ้าอากาศรอบตัวเรามีปริมาณไอน�้าเพิ่มขึ้น โดยที่อุณหภูมิไม่
พรอมตกแตงขอมูลเนือ้ หาใหถกู ตอง สมบูรณ และ เปลี่ยนไป การระเหยน�้าจากร่างกายจะเป็นไปได้ยาก เราจะรู้สึกร้อนมากกว่า 30 องศาเซลเซียส
สวยงาม ซึ่งความรู้สึกร้อนมากขึ้นหรือน้อยลงนี้เองที1่เรียกว่า ดรรชนีความร้อน ดังนั้น ดรรชนีความร้อนจะ
• คลื่นความรอนเกิดขึ้นไดอยางไร คิดได้จากอุณหภูมิรวมกับความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศ ซึ่งแสดงดังตารางที่ 5.2
• ประเภทของคลื่นความรอน
• โรคตางๆ ที่เกิดขึ้นมากับคลื่นความรอน
ตารางที่ 5.2 : ค่าดัชนีความร้อน
อธิบายความรู อุณหภูมิ ( ํC)
1. ครูอธิบาย เรื่อง ดรรชนีความรอนวา เปนคาที่ 27 28 29 30 31 32 33 34 36 37 38 39 40 41 42 43
บงบอกวารางกายมนุษยรูสึกวาอากาศรอน 40 27 27 28 29 31 33 34 36 38 41 43 46 48 51 54 58
ขนาดไหน ตัวอยางเชน อุณหภูมิของอากาศ 45 27 28 29 31 32 34 36 38 40 43 46 48 51 54 58
อยูที่ 30 องศาเซลเซียส แตเนื่องจากรางกาย 50 27 28 29 31 33 35 37 39 42 45 48 51 55 58
มี นํ้ า เป น องค ป ระกอบประมาณร อ ยละ 70 55 27 29 30 32 34 36 38 41 44 47 51 54 58
ความรอนจากอากาศที่ถายทอดมาสูรางกาย 60 28 29 31 33 35 38 41 48 47 51 54 58
ความชื้นสัมพัทธ์ (%)
T64
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
จากตารางที่ 5.2 อธิบายไดวา เมื่ออุณหภูมิสูง ระดับความชื้นสัมพัทธจะทําใหดรรชนี 2. ใหนักเรียนสังเกตตารางแสดงคาของดรรชนี
ความรอนมีคาสูงกวาอุณหภูมิที่แทจริงที่มีอุณหภูมิตํ่ากวาหรือมีอุณหภูมิเย็นกวา ตัวอยางเชน ความรอนตางๆ โดยจะมีระดับแตกตางกัน ดังนี้
ที่อุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียส (80 องศาฟาเรนไฮต) ดรรชนีความรอนจะมีคาใกลเคียง ระดับเฝาระวัง ระดับเตือนภัย ระดับอันตราย
อุณหภูมิที่แทจริงที่ตรวจวัดไดเมื่อความชื้นสัมพัทธมีคา 45% แตที่อุณหภูมิ 43 องศาเซลเซียส ระดับอันตรายมาก ซึ่งนักเรียนจะสามารถ
(110 องศาฟาเรนไฮต) คาความชื้นสัมพัทธที่อานไดจะมีคาสูงกวา 17% ขึ้นไปจะทําใหคาดรรชนี ศึกษาระดับตางๆ เปรียบเทียบอุณหภูมิกับ
ความรอนมีคามากกวา 43 องศาเซลเซียส คาความชื้นสัมพัทธ
3. ครูอธิบายความรูเสริม เรื่อง อุปกรณที่ใชวัด
ตารางที่ 5.3 : ผลกระทบที่เกิดจากดรรชนีความรอน อุณหภูมิ ดังนี้
ระดับ ดัชนีความรอน ( ํC) ผลกระทบตอสุขภาพ
• โกลบเทอรมอมิเตอร สําหรับวัดการแผรังสี
ระดับเฝาระวัง 27-32 ออนเพลีย วิงเวียน คลืน่ ไส อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดเมือ่ ยตาม ความรอนจากการทํางาน
ตัวจากการสัมผัสความรอนหรือออกกําลังกายหรือทํางานใช
แรงงานทามกลางอากาศที่รอน • เทอรมอมิเตอรกระเปาะแหง ประกอบดวย
ระดับเตือนภัย 32-41 เกิดอาการตะคริวจากความรอน และอาจเกิดอาการเพลีย เทอรมอมิเตอรที่บรรจุดวยปรอท สามารถ
แดด (heat exhaustion) หากสัมผัสความรอนเปนเวลานาน เลือกชวงของอุณหภูมิที่วัดไดใหเหมาะสม
ระดับอันตราย 41-54 มีอาการตะคริวที่นอง ตนขา หนาทอง หรือไหล ทําใหปวด กับอุณหภูมิที่จะใชงาน
เกร็ง มีอาการเพลียแดด และอาจเกิดภาวะลมแดด (heat • เทอรมอมิเตอรกระเปาะเปยก การวัดคา
stroke) ได หากสัมผัสความรอนเปนเวลานาน อุณหภูมกิ ระเปาะเปยกทีแ่ มนยําตองใชผา ที่
ระดับอันตรายมาก >54 เกิดภาวะลมแดด (heat stroke) โดยมีอาการตัวรอน เวียน สะอาด นํ้ากลั่น และมีการปดบังการแผรังสี
ศีรษะ หนามืด ระบบอวัยวะตาง ๆ ในรางกายลมเหลว
และทําใหเสียชีวติ ได หากสัมผัสความรอนติดตอกันหลายวัน ความรอน
4. นักเรียนตอบคําถามทายหัวขอ Topic Question
ที่มา : คูมือผลกระทบตอสุขภาพจากความรอนสําหรับเจาหนาที่สาธารณสุข กรมอนามัย
Earth Science
ที่มFocus
า : คูมือผลกระทบตอสุโกลบเทอร์
ขภาพจากความรมออมิ
นสําเหรั
ตอร์บเจาหนาที่สาธารณสุข กรมอนามัย.
ที่มา : คูมือโกลบเทอร
ผลกระทบตมออมิ
สุขภาพจากความร
เตอร (globe อthermometer)
นสําหรับเจาหนาทีเป่สาธารณสุ
นอุปกรณข กรมอนามัย.
ที่ใชสําหรับวัดการแผรังสีความรอนจากการทํางาน ประกอบดวย
ลูกทองแดงทรงกลมกลวง ดานนอกทาสีดําดานเพื่อดูดซึมรังสี
อิ น ฟราเรดมี เ ทอร ม อมิ เ ตอร แ บบปรอทเสี ย บอยู โ ดยให ป ลาย
กระเปาะอยูตรงศูนยกลางของทรงกลม
ภาพที่ 5.37 โกลบเทอรมอมิเตอร
ที่มา : https://www.indiamart.com
การเปลี่ยนแปลง 61
ภูมิอากาศของโลก
T65
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
ครูใหนักเรียนสืบคนการปองกันและปฏิบัติ 3. การป้องกันและปฏิบัติตัวเมื่อเกิดคลื่นความร้อน คลื่นความร้อนก่อให้เกิดอันตราย
ตัวเมื่อเกิดคลื่นความรอน จากนั้นใหนักเรียน ต่อสุขภาพ และอาจจะรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ จึงจ�าเป็นที่จะต้องศึกษาและท�าความเข้าใจเรื่อง
อภิปรายรวมกันในชั้นเรียน คลื่นความร้อน เพื่อหาแนวทางป้องกันและปฏิบัติตัวเมื่อเกิดคลื่นความร้อน การป้องกันเมื่อเกิด
คลื่นความร้อน เช่น
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น สรุ ป เนื้ อ หา เรื่ อ ง
ปรากฏการณ ที่ เ กิ ด จากการเปลี่ ย นแปลงภู มิ -
อากาศของโลก เพื่อเปนการทบทวนความรูใหแก
นักเรียนหลังจากที่เรียนเนื้อหานี้จบแลว
ภาพที่ 5.38 ออกก�าลังกายอย่างสม�่าเสมออย่างน้อย ภาพที่ 5.39 หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดที่มีอากาศ
ขัน้ ประเมิน 3 ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละ 30 นาที ร้อนจัด โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-15.00 น.
ตรวจสอบผล ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบคําถาม
รายบุคคล
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการทํางานกลุม
3. ครูตรวจใบงานที่ 5.1 เรือ่ ง ปรากฏการณเอลนีโญ
และลานีญา
4. ครูตรวจใบงานที่ 5.2 เรื่อง ปรากฏการณเรือน
กระจก ภาพที่ 5.40 ดื่มน�้า 1-2 แก้วก่อนออกจากบ้าน หากอยู่ ภาพที่ 5.41 สวมเสือ้ ผ้าทีม่ สี อี อ่ นน�า้ หนักเบา และระบาย
5. ครู ต รวจสอบผลการทํ า แบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง ในสภาพอากาศร้อนจัดควรดื่มน�้าให้ได้ 4-6 แก้ว/ชั่วโมง ความร้อนได้ดี
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
ปรากฏการณที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิ-
Topic
อากาศของโลก Question
คําชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาเกิดขึ้นได้อย่างไร
2. ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอย่างไรบ้าง
3. ปรากฏการณ์เรือนกระจกเกิดขึ้นได้อย่างไร และส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอย่างไรบ้าง
4. ดรรชนีความร้อนคืออะไร
5. คลื่นความร้อนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจ�าวันอย่างไรบ้าง
62
3. ปรากฏการณเรือนกระจก เปนปรากฏการณที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น
การยอมรับ ความมี
ความ ตามที่ได้รับ การ รวม
ชื่อ–สกุล ฟังคนอื่น น้าใจ
ลาดับที่ คิดเห็น มอบหมาย ปรับปรุง 15
ของนักเรียน
ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
เนื่ อ งจากพลั ง งานแสงอาทิ ต ย ใ นช ว งความยาวคลื่ น อิ น ฟราเรดที่
สะทอนกลับถูกดูดกลืนโดยโมเลกุลของไอนํา้ และแกสตางๆ สงผลกับ
สิ่งมีชีวิตเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นทําใหนํ้าแข็งบริเวณขั้วโลกละลาย
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............./.................../...............
4. ดรรชนีความรอนเปนคาที่บงบอกวารางกายมนุษยรูสึกวาอากาศรอน
ขนาดไหน
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
5. คลื่นความรอนสงผลใหอุณหภูมิสูงกวาปกติ ซึ่งกอใหเกิดผลกระทบ
ตอสุขภาพ เชน ออนเพลีย วิงเวียนศีรษะ หนามืด เกิดภาวะลมแดด
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่่ากว่า 8 ปรับปรุง
และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได
T66
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
3. แนวปฏิบัติเพื่อชะลอการเปลี่ยน ครูกระตุนความสนใจโดยถามคําถาม Prior
ปจจุบนั มีวธิ กี ารชะลอการ
Knowledge ใหนักเรียนอภิปรายและแสดงความ
เปลี่ ย นแปลงภู มิ อ ากาศ แปลงภูมิอากาศของโลก คิดเห็นรวมกันกอนเขาสูหัวขอที่เรียน โดยถาม
ดวยวิธีใดบาง
เนื่องจากปญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกนั้น นักเรียนวาปจจุบนั มีวธิ กี ารชะลอการเปลีย่ นแปลง
มีความซับซอน มีปจจัยหลายประการเขามาเกี่ยวของ และ ภูมิอากาศดวยวิธีใดบาง
เชื่อมโยงไปยังทุกภาคสวน เชน วิทยาศาสตร เศรษฐศาสตร สังคม การเมือง สุขภาพ เปนตน
คณะกรรมการระหวางรัฐบาลวาดวยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ซึ่งเปน ขัน้ สอน
องคกรหลักในการศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ไดแนะนําแนวทาง สํารวจค้นหา
การปรับตัวตอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมาตรการ ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลจากเว็บไซตตางๆ
ลดแกสเรือนกระจกอยางเปนรูปธรรม ตลอดจนแนวทางการ หรือหนังสือเรียน เรื่อง วิธีการที่จะชวยชะลอการ
พัฒนาอยางยั่งยืนไปยังองคกรตาง ๆ ที่เกี่ยวของ รวมถึงผูที่ เปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศวา สามารถใชวิธีการ
มีอํานาจในการกําหนดนโยบายตาง ๆ ทั่วโลก เนื่องจากการ ใดไดบาง และบันทึกขอมูลทั้งหมดลงในสมุด
เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมีลักษณะเป
1 นกิจกรรมแกปญหารวมกัน อธิบายความรู้
ระดับโลก เพราะแกสเรือนกระจกสวนใหญที่สะสมในชวงเวลา
ที่ผานมาเกิดจากการปลดปลอยผสมผสานกันทั่วโลก ซึ่งคณะ 1. ครูอธิบาย เรือ่ ง แนวปฏิบตั เิ พือ่ ชะลอการเปลีย่ น-
กรรมการระหวางรัฐบาลวาดวยการเปลีย่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ แปลงภูมิอากาศของโลก โดยคณะกรรมการ
ไดแนะนําแนวทางไว 2 ขอ คือ การบรรเทา (mitigation) และ ภาพที่ 5.42 สัญลักษณ IPCC ระหวางรัฐบาลวาดวยการเปลี่ยนแปลงสภาพ
การปรับตัว (adapting) ที่มา : http://www.ipcc.ch/ ภูมอิ ากาศ (IPCC) ไดแนะนําแนวทางการปรับ
ตัวตอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ
มาตรการลดแกสเรือนกระจก เนื่องจากการ
เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมีลักษณะเปนกิจกรรม
แกปญหารวมกันระดับโลก เพราะแกสเรือน
กระจกสวนใหญที่สะสมในชวงเวลาที่ผานมา
เกิดจากการปลดปลอยผสมผสานกันทั่วโลก
ไดแนะนําแนวทางไว คือ การบรรเทาและการ
ปรับตัว
T67
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2. ครูอธิบาย เรือ่ ง การบรรเทา (Mitigation) ซึง่ ทํา 1. การบรรเทา (mitigation) ท�าได้โดยการลดการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกและรักษา
ไดโดยการลดการปลอยแกสเรือนกระจก ซึง่ ใน ระดับแก๊สเรือนกระจกในบรรยากาศไว้ สามารถท�าได้หลายประการ ดังนี้
ชีวิตประจําวันนั้นเราสามารถชวยกันบรรเทา • ใช้พลังงานให้เต็มประสิทธิภาพ
และลดความรุ น แรงของการเปลี่ ย นแปลง • ใช้พลังงานสะอาดและหมุนเวียนเข้ามาทดแทน
สภาพอากาศได เชน การปลูกตนไม หันมาใช • ลดการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล เช่น น�้ามัน ถ่านหิน
ระบบขนสงสาธารณะหรือปนจักรยาน ลดการ • เก็บภาษีคาร์บอนตามอัตราการปลดปล่อย
เผาไหมตางๆ
3. ครูอธิบายถึง เรือ่ ง การปรับตัว (Adapting ตอง
ปรับตัวใหเขากับสภาพแวดลอมและสภาพ
อากาศที่ เ ปลี่ ย นแปลงไป เพื่ อ ให ส ามารถ
ดํารงชีวิตและทํากิจกรรมตางๆ ไดดังเดิม
1
ภาพที่ 5.45 ลดการเผาไหม้เชื้อเพลิง ภาพที่ 5.44 ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เข้ามาทดแทน
ที่มา : http://ngthai.com/featured/ ที่มา : http://www.mysolarpower.org
ในชีวิตประจ�าวันเราสามารถช่วยกันบรรเทาความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพ
อากาศได้ เช่น หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ หรือปั่นจักรยาน ลดการเผาไหม้ขยะหรือเศษวัสดุ
โดยไม่จ�าเป็น ใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด และหันมาใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสง
หรือพลังงานลม ลดปริมาณขยะ งดใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจก เป็นต้น
2. การปรับตัว (adapting) ต้องปรับตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เพื่อให้สามารถด�ารงอยู่และด�าเนินกิจกรรมหรือวิถีชีวิตต่อไปได้ภายใต้สถานการณ์ที่สภาพ
ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป โดยแนวทางการปรับตัวสามารถท�าได้โดยการลดทอนภาวะเปราะบาง
(vulnerability) การลดการเปิดรับ (exposure) ลดความอ่อนไหวหรือความไว (sensitivity) จาก
ผลกระทบหรือความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเพิ่มขีดความสามารถในการ
รับมือ (adaptive capacity) หรือด�าเนินการทางเลือกทั้งหมดควบคู่กันไป
64
T68
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ประเทศไทยมีนโยบายและแผนที่เกี่ยวข้องกับการด�าเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลง 4. ครูใหนักเรียนตอบคําถามทายหัวขอ Topic
ภูมิอากาศทั 1 ้งในระดับประเทศ ได้แก่ ร่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม Question ดังนี้
แห่งชาติฉบับที่ 12 แผนการขับเคลื่อนเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนหลังปี พ.ศ. 2558 • องคกรใดเปนองคกรหลักที่ชวยศึกษาแนว
แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558-2593 ในระดับกระทรวงหรือ ปฏิบตั เิ พือ่ ชะลอการเปลีย่ นแปลงภูมอิ ากาศ
หน่วยงานต่าง ๆ และอยู่ในระหว่างการจัดท�าแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โลก
แห่งชาติ เพื่อให้เกิดการด�าเนินงานที่สอดรับกับแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงโดยให้ความ • แนวปฏิ บั ติ เ พื่ อ ชะลอการเปลี่ ย นแปลง
ส�าคัญกับภาคส่วนที่ได้ผลกระทบ 6 ภาคหลัก คือ ภูมิอากาศของโลกมีกี่ขอ อะไรบาง
• ภาคทรัพยากรน�้า การจัดการน�้า อุทกภัย และภัยแล้ง • อธิบายแนวทางของการบรรเทาและการปรับตัว
• ภาคการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร • ยกตัวอยางกิจกรรมทีล่ ดการปลดปลอยแกส
• ภาคการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ เรือนกระจกในปจจุบัน
• ภาคสาธารณสุข • ยกตัวอยางการปรับตัวในชีวติ ประจําวันเพือ่
• ภาคการท่องเที่ยว ปองกันการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
• ภาคการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
การปรับตัวในชีวติ ประจ�าวันสามารถ
ท� า ได้ โ ดยใส่ เ สื้ อ ผ้ า ที่ ร ะบายความร้ อ นได้ ดี
ปัจจุบนั มีการคิดค้นนวัตกรรมต่าง ๆ เช่น เสือ้ ผ้า
นาโน หรือเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเย็น และมีการคิดค้น
เทคโนโลยีสีทาบ้านสะท้อนแสงได้ การร่วมมือ
กั น ในชุ ม ชนมี ก ารท� า แผนและฝึ ก ซ้ อ มแผน
หนีภัยพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติ เป็นต้น
ภาพที่ 5.46 เสื้อผ้าที่ช่วยระบายความร้อนได้ดี เช่น
ผ้าฝ้าย
ที่มา : คลังภาพ อจท.
Topic
Question
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. องค์กรใดเป็นองค์กรหลักที่ช่วยศึกษาแนวปฏิบัติเพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
2. แนวปฏิบัติเพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกมีกี่ข้อ อะไรบ้าง
3. อธิบายแนวทางของการบรรเทาและการปรับตัว
4. ยกตัวอย่างกิจกรรมที่ลดการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกในปัจจุบัน
5. ยกตัวอย่างการปรับตัวในชีวิตประจ�าวันเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
การเปลี่ยนแปลง 65
ภูมิอากาศของโลก
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ครูใหนักเรียนภายในหองเรียนยกตัวอยางวิธี Earth Science
การปองกัน หรือชวยลดการเปลี่ยนแปลงของ in real life ภาวะโลกรอน (global warming) เปนปรากฏการณสืบเนื่อง
สภาพอากาศมาคนละ 1 ขอ จากการที่โลกไมสามารถระบายความรอนที่ไดรับจากดวงอาทิตยออกไปไดอยางที่เคยเปน ทําให
อุณหภูมเิ ฉลีย่ ของโลกเพิม่ สูงขึน้ แมวา ในชวงศตวรรษทีผ่ า นมาอุณหภูมดิ งั กลาวสูงขึน้ เพียงไมกอี่ งศา
อธิบายความรู แตทาํ ใหสภาพอากาศของโลกเปลีย่ นแปลงไปอยางมาก สงผลกระทบตอสิง่ มีชวี ติ บนโลกอยางรุนแรง
สภาวะดังกลาว เรียกวา การเปลีย่ นแปลงสภาพอากาศ ซึง่ เปนปญหาใหญของโลกในปจจุบนั สาเหตุ
ครูอธิบาย เรือ่ ง ภาวะโลกรอนวา ภาวะทีอ่ ณุ หภูมิ
หลักของปญหานี้มาจากแกสเรือนกระจก
โดยเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น ซึ่งเปนสาเหตุที่ทําให
ผลกระทบจากภาวะโลกรอน
ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ภาวะโลกรอนอาจจะนํา • ระดับนํ้าทะเลขึ้นสูง หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นอีก 1.4-5.8 องศาเซลเซียส จะสงผลให
ไปสูก ารเปลีย่ นแปลงของปริมาณฝน ระดับนํา้ ทะเล นํา้ แข็งทีข่ วั้ โลกละลาย และยังสงผลใหเกิดความเสียหายตอระบบนิเวศชายฝง เชน การสูญเสียพืน้ ที่
และมีผลกระทบอยางกวางขวางตอพืช สัตว และ ปาชายเลน ซึ่งเปนแหลงที่อยูอาศัยของสัตวนํ้านานาชนิด และจากการที่นํ้าทะเลหนุนยังทําใหเกิด
มนุษย ซึง่ ภาวะโลกรอน (Global Warming) หรือ นํ้าลนตลิ่งและทวมบานเรือน
ภาวะภูมอิ ากาศเปลีย่ นแปลง (Climate Change) 1
• สภาพอากาศรุนแรง เมือ่ อุณหภูมเิ ฉลีย่ ของโลกเพิม่ สูงขึน้ ภัยธรรมชาติ ตา ง ๆ มีแนวโนมทีจ่ ะเกิดขึน้
คือ การทีอ่ ณ ุ หภูมเิ ฉลีย่ ของโลกเพิม่ ขึน้ จากผลของ บอยครั้ง และรุนแรงมากยิ่งขึ้น เชน ภัยแลง ไฟปา พายุไตฝุนโซนรอน นํ้าทวม การพังทลายของ
ปรากฏการณ เ รื อ นกระจก หรื อ ที่ เ รารู จั ก กั น ดี ชั้นดิน เปนตน
ในชือ่ วา Greenhouse Effect โดยภาวะโลกรอน • ปะการังฟอกสี เมือ่ อุณหภูมขิ องนํา้ ทะเลเพิม่ สูงขึน้ เนือ่ งจากภาวะโลกรอนเพียง 2-3 องศาเซลเซียส
สาหรายจะตายไป เมื่อปะการังไมมีอาหาร ปะการังก็จะตายและกลายเปนสีขาว
มีตนเหตุจากกิจกรรมตางๆ ของมนุษยซึ่งเพิ่ม
• สุขภาพของมนุษย ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น เชน ภาวะนํ้าทวม อากาศรอนขึ้น สงผลกระทบตอ2
ปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดจากการเผาไหม สุขภาพของมนุษย เชน อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทําใหยุงลายระบาด ซึ่งเปนพาหะนําโรคไขมาลาเรีย
เชือ้ เพลิงตางๆ การขนสง และการผลิตในโรงงาน และไขเลือดออกขยายตัวเพิ่มขึ้น สงผลใหเกิดโรคไขเลือดออกและไขมาลาเรียตามมา
อุตสาหกรรม
66
T70
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
Summary ขยายความเข้าใจ
1. ครูสรุปเนื้อหาเพื่อใหผูเรียนไดทบทวนสาระ
การเปลีย่ นแปลง สํ า คั ญ ประจํ า หน ว ยการเรี ย นรู ที่ 5 การ
ภูมอิ ากาศของโลก เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก โดยอธิบาย
ในแตละเรื่องไว ดังนี้
การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
• การเปลีย่ นแปลงภูมอิ ากาศของโลกและสภาพ
สภาพอากาศ คือ การเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในบรรยากาศระยะสั้น ส่วนการเปลี่ยนแปลง
สภาพภูมอิ ากาศเป็นการเปลีย่ นแปลงปรากฏการณ์ทเี่ กิดในระยะยาวตัง้ แต่หนึง่ สัปดาห์เป็นต้นไป ปัจจุบนั สภาพ อากาศ คือ การเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ
ภูมิอากาศมีการเปลี่ยนแปลงของอากาศผิดปกติไปจากเดิมมาก เกิดความแปรปรวนของอากาศ เกิดภัยพิบัติ ที่เกิดขึ้นในบรรยากาศระยะสั้น สวนการ
ทางธรรมชาติต่าง ๆ ที่พบบ่อยและรุนแรงมากขึ้นกว่าในอดีต เปลี่ ย นแปลงสภาพภู มิ อ ากาศ เป น การ
ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก เปลีย่ นแปลงปรากฏการณทเี่ กิดในบรรยากาศ
• การเปลี่ยนแปลงความรีของวงโคจรโลกรอบดวงอาทิตย์ ระยะยาวตัง้ แตหนึง่ สัปดาหเปนตนไปจนถึง
• การเปลี่ยนแปลงมุมเอียงของแกนหมุนโลกและการหมุนควงของแกนหมุนโลก หลายป
• ชนิดและปริมาณของละอองลอย
• เมฆ
• ปริมาณแก๊สเรือนกระจก
ข้อมูลสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
• การละลายของธารน�้าแข็ง
• หินตะกอนและฟอสซิล
• การเพิ่มอุณหภูมิและระดับน�้าทะเล
• วงปีของต้นไม้ดึกด�าบรรพ์
• น�้าแข็งขั้วโลก
การเปลี่ยนแปลง 67
ภูมิอากาศของโลก
T71
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
2. ครูสรุปเนื้อหาเพื่อใหผูเรียนไดทบทวน เรื่อง ปรากฏการณ์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
ปรากฏการณที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิ ปรากฏการณเอลนีโญและลานีญา
อากาศของโลก ดังนี้
• ปรากฏการณเอลนีโญ คือ ปรากฏการณที่ ปรากฏการณเอลนีโญ คือ ปรากฏการณทกี่ ระแส ปรากฏการณลานีญา คือ ปรากฏการณทกี่ ระแส
กระแสนํ้าอุนถูกพัดจากฝงตะวันออกไปฝง นํา้ อุน ถูกพัดจากฝง ตะวันออกไปฝง ตะวันตกของ นํ้าอุนถูกพัดจากฝงตะวันออกไปฝงตะวันตก
มหาสมุทรนอยลง สงผลใหฝงตะวันออกของ ของมหาสมุทรมากขึ้น สงผลใหฝงตะวันออก
ตะวันตกของมหาสมุทรนอยลง สงผลให มหาสมุทรมีฝนตกชุก แตฝงตะวันตกมีสภาพ ของมหาสมุทรมีมวลนํ้าเย็นไหลเขามาแทนที่
ฝงตะวันออกของมหาสมุทรมีฝนตกชุกแต แหงแลง มวลนํ้าอุน ทําใหเกิดความหนาวเย็นและแหง
ฝงตะวันตกมีสภาพแหงแลง ปรากฏการณ แลงมากกวาปกติ ฝงตะวันตกจะมีฝนตกหนัก
กวาปกติ
ลานีญา คือ ปรากฏการณที่กระแสนํ้าอุน
ถูกพัดจากฝงตะวันออกไปฝงตะวันตกของ ทิศทางลม ทิศทางลม
มหาสมุทรมากขึ้น
• ปรากฏการณเรือนกระจก เปนปรากฏการณ เสนศูนยสูตร
เสนศูนยสูตร
ที่ใชเรียกกระบวนการของอากาศบนโลก
ออสเตรเลีย อเมริกาใต ออสเตรเลีย อเมริกาใต
ที่ มี ลั ก ษณะคล า ยกระจกห อ หุ ม โลกไว
เย็นกวาปกติ อุนกวาปกติ อุนกวาปกติ เย็นกวาปกติ
ทําใหภายในเรือนกระจกมีอุณหภูมิสูงกวา
ภาพที่ 5.50 ปรากฏการณเอลนีโญ ภาพที่ 5.51 ปรากฏการณลานีญา
ภายนอก ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
3. ครูสรุปเนื้อหาเพื่อใหผูเรียนไดทบทวน เรื่อง
คลืน่ ความรอนวา เปนปรากฏการณทเี่ กิดขึน้ เอง
ตามธรรมชาติ โดยที่สภาวะอากาศมีอุณหภูมิ ปรากฏการณเรือนกระจก
สูงกวาปกติและสะสมตัวอยูใ นพืน้ ทีบ่ ริเวณหนึง่ ปรากฏการณ เ รื อ นกระจก (greenhouse
ส ว นใหญ เ กิ ด ในฤดู ร อ นหรื อ วั น ที่ มี อุ ณ หภู มิ effect) เปนปรากฏการณที่ใชเรียกกระบวนการของ
อากาศสูงสุดในรอบหลายป อากาศบนโลกที่มีลักษณะคลายกระจกหอหุมโลกไว
4. ครู อ ธิ บ าย เรื่ อ ง แนวปฏิ บั ติ เ พื่ อ ชะลอการ ทําใหภายในเรือนกระจกมีอุณหภูมิสูงกวาภายนอก
เมื่ อ แสงอาทิ ต ย ส อ งผ า นลงมายั ง ชั้ น บรรยากาศ
เปลีย่ นแปลงภูมอิ ากาศของโลก คณะกรรมการ ของโลก รังสีความรอนบางสวนจะสะทอนกลับออกไป
ระหวางรัฐบาลวาดวยการเปลี่ยนแปลงสภาพ บางสวนไมสามารถสะทอนออกไปได เนื่องจากโลก
ภูมิอากาศ (IPCC) แนะนําแนวทางไว 2 ขอ ถูกหอหุมดวยแกสเรือนกระจก ซึ่งแกสเหลานี้จะ
ไดแก การบรรเทาและการปรับตัว ดูดคลื่นรังสีความรอนไวในเวลากลางวัน แลวแผรังสี
ความรอนออกมาในเวลากลางคืน ทําใหอุณหภูมิใน ภาพที่ 5.52 ปรากฏการณเรือนกระจก
บรรยากาศโลกไมเปลี่ยนแปลงอยางทันทีทันใด ที่มา : คลังภาพ อจท.
68
T72
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
1. ครูใหนักเรียนตอบคําถาม Self check เพื่อให
คลื่นความร้อน ผูเ รียนตรวจสอบความรูค วามเขาใจดวยตนเอง
คลืน่ ความร้อน (heat wave) คือ ปรากฏการณ์ทเี่ กิดขึน้ เองตามธรรมชาติ โดยทีส่ ภาวะอากาศมีอณ ุ หภูมิ ในหนวยการเรียนรูที่ 5 การเปลี่ยนแปลงภูมิ-
สูงกว่าปกติและสะสมตัวอยู่ในพื้นที่บริเวณหนึ่ง ส่วนใหญ่เกิดในฤดูร้อนหรือวันที่มีอุณหภูมิอากาศสูงสุดใน อากาศของโลก
รอบหลายปี และอาจมีความชื้นสูงร่วมด้วย ซึ่งมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีการพัดผ่านของลมร้อนจากบริเวณ 2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัด Unit Question 5
ทะเลทราย คลื่นความร้อนแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
1. คลื่นความร้อนแบบสะสม เกิดในบริเวณที่มีการสะสมความร้อนเป็นเวลานาน มีอากาศแห้ง ไม่มีลม 3. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง
ท�าให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์สะสมตัวอยู่กับที่ เมื่ออุณหภูมิความร้อนสะสมเป็นเวลาหลายวัน จะเกิด การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก เพื่อวัด
คลื่นความร้อนขึ้น เช่น พื้นที่ที่มีอุณหภูมิ 38-41 องศาเซลเซียส ไม่มีลมพัดต่อเนื่อง 3-6 วัน ท�าให้อากาศ
ความรูน กั เรียนหลังเรียนจบหนวยการเรียนรูท ี่ 5
ร้อนสลายพลังงานไปไม่หมดและสะสมตัวอยู่ในพื้นที่นั้น อุณหภูมิของวันถัดมาจึงสูงขึ้นกว่าปกติ ไอร้อนจะ
สะสมพลังงานเพิม่ ขึน้ เรือ่ ย ๆ จนกลายเป็นคลืน่ ความร้อน โดยคลืน่ ความร้อนแบบสะสมนีเ้ กิดในบริเวณเขตร้อน
เช่น ออสเตรเลีย อเมริกาเหนือ แอฟริกา อินเดีย เป็นต้น ขัน้ ประเมิน
2. คลื่นความร้อนแบบพัดพา เกิดจากลมแรงพัดพาความร้อนในปริมาณมากจากทะเลทรายหรือบริเวณ ตรวจสอบผล
เส้นศูนย์สูตรขึ้นไป ในเขตหนาวซึ่งมักเกิดในแถบยุโรป แคนาดาตอนใต้ เป็นต้น 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบคําถาม
แนวปฏิบัติเพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก รายบุคคล
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลีย่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ (IPCC) แนะน�าแนวทางไว้ 2 ข้อ 3. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการทํางานกลุม
• การบรรเทา (mitigation) ท�าได้โดยการลดการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกและรักษาระดับแก๊ส 4. ครูตรวจสอบผลการทําแบบฝกหัด เรื่อง การ
เรือนกระจกในบรรยากาศไว้ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
• การปรับตัว (adapting) ท�าได้โดยการปรับตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อ 5. ครู ต รวจสอบผลการทํ า แบบฝ ก หั ด Unit
ให้สามารถด�ารงอยู่และด�าเนินกิจกรรมหรือวิถีชีวิตต่อไปได้ภายใต้สถานการณ์ที่สภาพภูมิอากาศ Question 5
เปลี่ยนแปลงไป โดยแนวทางการปรับตัวสามารถท�าได้โดยการลดทอนภาวะเปราะบาง การลดการ
เปิดรับ การลดความอ่อนไหวหรือความไว จากผลกระทบหรือความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพ
ภูมิอากาศ การเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือ หรือด�าเนินการทางเลือกทั้งหมดควบคู่กันไป
การเปลี่ยนแปลง 69
ภูมิอากาศของโลก
ลาดับที่
ตรงกับระดับคะแนน
รายการประเมิน
ระดับคะแนน
ï• ดรรชนีความรอนสงผลอยางไรกับการดําเนินชีวติ ของมนุษย
3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
4 ความมีนาใจ
5 การตรงต่อเวลา
รวม
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครัง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T73
นํา สอน สรุป ประเมิน
มุ ด
นส
ปริมาณแกสเรือนกระจก สวนขอมูลสนับสนุน 5. แก๊สเรือนกระจกทีม่ อี ยูใ่ นบรรยากาศโลกตามธรรมชาติ ซึง่ ประกอบด้วย 2.2
งใ
ึกล
การเปลีย่ นแปลงภูมอิ ากาศโลก มีดงั นี้ การละลาย แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH4) และไนตรัสออกไซด์
ท
บั น
ของธารนํ้าแข็ง หินตะกอนและฟอสซิล การ (N2O) มีคุณสมบัติดูดกลืนความร้อน
เพิ่มอุณหภูมิและระดับนํ้าทะเล วงปของตนไม 6. ปรากฏการณ์ทใี่ ช้เรียกกระบวนการของอากาศบนโลกทีม่ ลี กั ษณะคล้าย 2.2
ดึกดําบรรพ และนํ้าแข็งขั้วโลก กระจกห่ อ หุ ม
้ โลกไว้ เรี ย กปรากฏการณ์ น ว
้ ี า
่ ปรากฏการณ์ เ รื อ นกระจก
3. ความแปรปรวนของอากาศ คือ ภูมิอากาศที่มี 7. การใช้สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอนในเครื่องปรับอากาศ การตัดไม้ 2.2
ท�าลายปา การเผาไหม้เชือ้ เพลิง เป็นกิจกรรมทีเ่ กิดจากฝีมอื ของมนุษย์
การเปลีย่ นแปลงไปจากปกติ ในชวงเวลาทีม่ ากกวา ซึ่งส่งผลให้แก๊สเรือนกระจกมีปริมาณเพิ่มขึ้น
ชวงฤดูกาลหรือชวงป เกิดจากหลายปจจัย เชน
8. คลื่นความร้อนมักจะเกิดในฤดูร้อน และมีความชื้นต�่า ซึ่งท�าให้อากาศ 2.3
การระเบิดของภูเขาไฟ การเกิดปรากฏการณ อบอ้าว
เอลนี โ ญ ลานี ญ า ซึ่ ง เป น ปรากฏการณ ก าร
เคลื่อนทีข่ องกระแสนํ้าที่ผิดปกติ 9. การดื่มน�้าบ่อย ๆ และสวมเสื้อผ้าที่มีน�้าหนักเบาจะช่วยบรรเทา และ 2.3
ระบายความร้อนได้ดี
4. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสงผลตอโลก
10. การใช้พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์เข้ามาทดแทนการใช้ไฟฟ้า 3.
ในด า นความเป น อยู ข องมนุ ษ ย ท รั พ ยากร เพื่อช่วยลดการเกิดแก๊สเรือนกระจก และลดภาวะโลกร้อนได้
ธรรมชาติตา งๆ และสิง่ มีชวี ติ เมือ่ สภาพภูมอิ ากาศ
เกิดการเปลีย่ นแปลงจากความผิดปกติของอากาศ
70
จะทําใหอากาศเกิดความแปรปรวน เกิดภัยพิบตั ิ
ทางธรรมชาติตางๆ มากมายที่พบบอยและ
รุนแรงมากขึ้นกวาในอดีต เราจึงควรชวยกัน
ปองกัน ไมใหเกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยชวยกันลดกิจกรรมที่สงผลทําใหเกิดแกสเรือนกระจกขึ้นในชั้นบรรยากาศ
5. ลมคา เปนปจจัยหลักที่ทําใหเกิดปรากฏการณเอลนีโญและลานีญา
6. ผลกระทบจากการเกิ ด ปรากฏการณ เ อลนี โ ญและลานี ญ าส ง ผลกระทบให ส ภาพอากาศในหลายพื้ น ที่ เ ปลี่ ย นแปลงไปจากเดิ ม และส ง ผล
กระทบตอชีวิตและสิ่งแวดลอมตาง ๆ เชน ปลาตายเปนจํานวนมาก เกิดปญหานํ้าทวม เกิดภัยแลง เกิดปะการังฟอกขาวเปนจํานวนมาก
7. ปะการังฟอกขาว เปนปรากฏการณทเี่ นือ้ เยือ่ ปะการังใส ไมมสี ี สามารถมองทะลุผา นเนือ้ เยือ่ ปะการังลงไปถึงชัน้ หินปูนสีขาวทีเ่ ปรียบเสมือนกระดูกปะการัง
ปกติแลวปะการังจะมีสสี นั สวยงาม สีทเี่ กิดขึน้ มาจากสาหรายเซลลเดียวทีเ่ รียกวา ซูแซนเทลลีทอี่ าศัยอยูใ นเนือ้ เยือ่ ของปะการัง ซึง่ เกิดจากความแปรปรวน
ของอากาศและอุณหภูมิของนํ้าทะเลที่สูงขึ้น
8. ปรากฏการณเรือนกระจก เปนปรากฏการณทโี่ ลกมีอณ ุ หภูมสิ งู ขึน้ เนือ่ งจาก พลังงานแสงอาทิตยในชวงความยาวคลืน่ อินฟราเรดทีส่ ะทอนกลับถูกดูดกลืน
โดยโมเลกุลของไอนํ้า แกสคารบอนไดออกไซด แกสมีเทน คลอโรฟลูออโรคารบอน และแกสไนตรัสออกไซดในบรรยากาศ ทําใหโมเลกุลเหลานี้มีพลังงาน
สูงขึ้น
T74
นํา สอน สรุป ประเมิน
U nit
9. - แกสคารบอนไดออกไซด เปนแกสชนิดทีท่ าํ ให
Question 5 เกิดพลังงานความรอนสะสมในบรรยากาศ
ของโลกมากที่สุดในบรรดาแกสเรือนกระจก
คําชี้แจง : ให้ นั ก เรี ย นตอบคํ า ถามต่ อ ไปนี้
ชนิดอื่นๆ
1. การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร
ï- แกสมีเทน เปนแกสทีเ่ กิดขึน้ เองตามธรรมชาติ
2. ปัจจัยและข้อสนับสนุนใดบ้างที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก จากมูลสัตวเลี้ยง
3. ความแปรปรวนของอากาศเกิดขึ้นได้อย่างไร - แกสไนตรัสออกไซดเกิดขึน้ เองตามธรรมชาติ
4. การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกส่งผลกระทบอย่างไรกับมนุษย์และสิ่งแวดล้อมบ้าง จากมูลสัตวทยี่ อ ยสลาย และเชือ้ เพลิงถานหิน
10. เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นทําใหนํ้าแข็งบริเวณ
5. ลมค้ามีความสัมพันธ์กับปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาอย่างไร
ขั้วโลกละลายและไหลลงสูมหาสมุทรมากกวา
6. ยกตัวอย่างผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาส่งผลกับมนุษย์อย่างไร ปกติ ซึ่งระดับนํ้าทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นนี้อาจทวม
7. ความแปรปรวนของอากาศเกี่ยวข้องกับการเกิดปะการังฟอกขาวในทะเลอันดามันอย่างไร บริเวณชายฝง ทีม่ รี ะดับความสูงตํา่ กวาระดับนํา้
ทะเล นอกจากนี้ ปรากฏการณเรือนกระจกยัง
8. อธิบายการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกและแก๊สเรือนกระจก
สงผลกระทบตอภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว
9. ปรากฏการณ์เรือนกระจกมีการปล่อยแก๊สเรือนกระจกชนิดใดบ้างในบรรยากาศ เนื่ อ งจากอุ ณ หภู มิ ที่ สู ง ขึ้ น ส ง ผลให สั ต ว เ กิ ด
10. ปรากฏการณ์เรือนกระจกส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอย่างไรบ้าง ภาวะเครียด ใหผลผลิตนอย และอาจลมตายได
ทําใหปริมาณนํ้าฝนลดลง
11. ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวเกิดขึ้น และส่งผลกับสิ่งมีชีวิตในทะเลได้อย่างไร
11. ปรากฏการณ แ นวปะการั ง ฟอกขาว เป น
12. การเกิดคลืน่ ความร้อนเกีย่ วข้องกับกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวติ ประจ�าวันของมนุษย์หรือไม่ อย่างไร
ปรากฏการณที่ปะการังชนิดตางๆ รวมถึงสิ่ง
13. การเกิดคลื่นความร้อนแบบสะสมและคลื่นความร้อนแบบพัดพามีความแตกต่างกันอย่างไร มีชีวิตในแนวปะการังอีกหลายชนิด มีสีซีดลง
14. การป้องกันและปฏิบัติตัวเมื่อเกิดคลื่นความร้อนท�าได้โดยใช้วิธีใดบ้าง และหากการฟอกขาวนัน้ เปนไปโดยสมบูรณจะ
เรียกกันวา Completely bleaching ซึ่งจะพบ
15. กิจกรรมหรือวิธีใดบ้างที่ช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกในปัจจุบัน
วาปะการังเหลานัน้ เหลือเพียงเนือ้ เยือ่ ใสๆ เผย
ใหเห็นสีขาวของหินปูนซึ่งเปนโครงสรางของ
มันโดยทั่วไป สงผลตอสิ่งมีชีวิตในทะเล เชน
ทําใหปะการังออนแอเพราะไดรับสารอาหาร
ไมเพียงพอ และอาจตายไปในที่สุดถาหากไม
สามารถทนตอสภาวะนี้ได
12. เกีย่ วของ เพราะกิจกรรมตางๆ เชน การเผาปา
การปลอยสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือ
การเปลี่ยนแปลง
ภูมิอากาศของโลก
71 การใชรถใชถนน ทําใหเกิดคลื่นความรอนซึ่ง
เปนอันตรายตอสุขภาพของมนุษย
T75
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบก่อนเรียน 1. อธิบายความหมายของ - แ บบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสื่อสาร - มีวินัย
การตรวจอากาศ - ห นังสือเรียนรายวิชา การพยากรณ์อากาศและ หาความรู้ ก่อนเรียน - ทักษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
เพิม่ เติม โลก ดาราศาสตร์ การตรวจอากาศได้ (K) (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด เรือ่ ง ค้นหา - มุ่งมั่นใน
4 และอวกาศ ม.5 เล่ม 2 2. บอกความสัมพันธ์ของ Instructional การตรวจอากาศ - ทักษะการวิเคราะห์ การท�ำงาน
ชั่วโมง - แบบฝึกหัดรายวิชา เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจ Model) - สังเกตพฤติกรรมการ - ทักษะการลงความ
เพิม่ เติม โลก ดาราศาสตร์ อากาศแต่ละระบบได้ (K) ท�ำงานรายบุคคล เห็นจากข้อมูล
และอวกาศ ม.5 เล่ม 2 3. อภิปรายเกี่ยวกับการตรวจ - สังเกตพฤติกรรม
- QR Code อากาศแต่ละระบบได้ (P) การท�ำงานกลุ่ม
- Power point 4. เห็นความส�ำคัญของการ - สังเกตคุณลักษณะ
ศึกษาการพยากรณ์อากาศ อันพึงประสงค์
(A)
T76
Chapter Concept Overview
หนวยการเรียนรูที่ 6
การตรวจอากาศ
การพยากรณ์อากาศ คือ การคาดการณ์สภาวะของลมฟ้าอากาศ รวมทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
การตรวจอากาศ คือ การตรวจวัดและจดบันทึก ดาวเทียม GEOSAT
ข้อมูลทางอุตนุ ยิ มวิทยา เช่น ความกดอากาศ ความชืน้ ดาวเทียมโคจรใกล้ขั้วโลก
ลม อุณหภูมิ เพื่อเปนข้อมูลเบื้องต้นในการพยากรณ์
เครื่องบิน
อากาศ จากนั้นน�าข้อมูลตรวจอากาศที่ได้มาวิเคราะห์
เพื่อท�าแผนที่อากาศต่อไป การตรวจอากาศสามารถ
แบ่งออกเปน 4 ระบบ ดังนี้
1. การตรวจอากาศผิวพื้น ศูนย์ดาวเทียม เรดาร์ตรวจอากาศ
อุตุนิยมวิทยา
2. การตรวจอากาศชั้นบน สถานีรับสัญญาณ
3. การตรวจอากาศด้วยดาวเทียม เรือตรวจอากาศ ดาวเทียมภาคพื้นดิน
สถานีตรวจอากาศ
4. การตรวจอากาศด้วยเรดาร์ อัตโนมัติ ทุ่นลอยในมหาสมุทร
สถานีตรวจอากาศผิวพื้น สถานีตรวจอากาศชั้นบน
การตรวจวัดอากาศในรูปแบบต่าง ๆ
ขั้นตอนการพยากรณ์อากาศ
1 2 3
การสื่อสารเพื่อรวบรวม การวิเคราะหขอมูลเพื่อการคาดหมาย
การตรวจอากาศ
ขอมูลผลการตรวจอากาศ ลักษณะอากาศในอนาคต
วิธีการพยากรณ์อากาศ
การพยากรณ์อากาศระยะสั้น การพยากรณ์อากาศระยะปานกลาง การพยากรณ์อากาศระยะนาน
แผนที่อากาศ
แผนทีอ่ ากาศ เปนแผนทีท่ แี่ สดงข้อมูลทางอุตนุ ยิ มวิทยา ซึง่ สรุปข้อมูลของอากาศในแต่ละบริเวณตามช่วงเวลา โดยแสดงข้อมูลออกมา
ในรูปแบบของตัวเลข รหัส หรือสัญลักษณ์มาตรฐานทางอุตนุ ยิ มวิทยา โดยแบ่งออกเปน 2 ชนิด ได้แก่ แผนทีอ่ ากาศผิวพืน้ และแผนทีล่ มชัน้ บน
T77
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูใหนกั เรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพือ่ วัด
ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูการเรียน
2. ครูถามคําถาม Big Question จากหนังสือเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ การพยากรณ
รายวิชาเพิม่ เติม โลก ดาราศาสตร และอวกาศ
ม.5 เลม 2 ดังนี้
ï• การพยากรณอากาศมีความสําคัญอยางไร
ï• หนวยงานใดทําหนาทีใ่ นการพยากรณอากาศ
6
่ นแปลงของลมฟ้าอากาศมีอท
การเปลีย
อากาศ
ิ ธิพลตอการดําเนินชีวติ ของมนุษย เชน การทําการเกษตร
ï• การพยากรณอากาศทําไดดวยวิธีใด การเดินเรือ การบิน เปนตน เราจึงตองศึกษาและทําความเขาใจปรากฏการณทางอุตุนิยมวิทยา
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นพิ จ ารณาข อ ความในตาราง เพื่อสามารถคาดการณสภาพลมฟาอากาศได หรือเรียกอีกอยางวาการพยากรณอากาศ
Understanding Check ตามความเขาใจของ
นักเรียนเพือ่ วัดความรูเ ดิมของนักเรียนเกีย่ วกับ
หนวยการเรียนรูที่ 6 การพยากรณอากาศ • ¡ÒþÂҡóÍÒ¡ÒÈÁÕ¤ÇÒÁÊÓ¤ÑÞÍ‹ҧäÃ
• ˹‹Ç§ҹ㴷Ó˹ŒÒ·Õè㹡ÒþÂҡó
ÍÒ¡ÒÈ
• ¡ÒþÂҡóÍÒ¡ÒÈ·Óä´Œ´ŒÇÂÇÔ¸¡Õ ÒÃã´
�
U n de r s t a n d i ng
Che�
ใหนักเรียนพิจารณาขอความตามความเขาใจของนักเรียนวาถูกหรือผิดแลวบันทึกลงในสมุด
การพยากรณ
ภาพที ่ 1.4 สัดอสากาศ เปนการคาดการณ
วนของสารประกอบต าง ๆสภาวะลมฟาอากาศในอนาคต
ทีการพยากรณ
่พบในโครงสรอาากาศเกี
งโลกแต่ยลวขะชัอ้นงกับชีวิตประจําวันของมนุษย
การวิเคราะหขอมูลเปนขั้นตอนหนึ่งในการพยากรณอากาศ
การพยากรณอากาศในระยะเวลา 10 วัน เปนการพยากรณอากาศระยะสั้น
H เปนสัญลักษณทางอุตุนิยมวิทยาแทนความกดอากาศตํ่า
แนวตอบ Understanding Check
1. ถูก 2. ถูก 3. ถูก
4. ผิด 5. ผิด
T78
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
การตรวจอากาศ 1. การตรวจอากาศ 4. ครูกระตุนความสนใจโดยถามคําถาม Prior
คืออะไร Knowledge ใหนักเรียนอภิปรายและแสดง
การพยากรณ์อากาศ (weather forecast) คือ การ
คาดการณ์สภาวะของลมฟ้าอากาศ รวมทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดย ความคิดเห็นรวมกันกอนเขาสูหัวขอที่เรียน
การน�าความรูท้ างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์กบั ความรูค้ วามเข้าใจในกระบวนการเกิด ดังนี้
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางอุตุนิยมวิทยา รวมทั้งข้อมูลสภาพอากาศในปัจจุบัน ï• การตรวจอากาศคืออะไร
ลมฟ้าอากาศมีส่วนเกี่ยวข้องกับการด�าเนินกิจกรรมในชีวิตประจ�าวันของมนุษย์ เช่น การ
เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ การเลือกเมล็ดพันธุ์พืชที่ต้องการปลูกให้เหมาะสม ขัน้ สอน
กับสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ การสร้างที่อยู่อาศัยโดยค�านึงถึงความเหมาะสมกับสภาพอากาศ สํารวจค้นหา
ทิศทางลม การเตรียมความพร้อมในการออกเดินทางท่องเที่ยวหรือการท�างาน ซึ่งสภาพอากาศ 1. นั ก เรี ย นสื บ ค น ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ การพยากรณ
บางลักษณะส่งผลให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ลดลงและสืบเนื่องไปสู่การจราจรที่ติดขัด เป็นต้น อากาศ โดยสืบคนขอมูลตางๆ ดังนี้
ï• การพยากรณอากาศคืออะไร
ï• การตรวจอากาศคืออะไร เกี่ยวของกับการ
พยากรณอากาศอยางไร
ï• การพยากรณอากาศเกีย่ วของกับการดําเนิน
ชีวิตประจําวันของมนุษยหรือไม อยางไร
T79
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2. นักเรียนแลกเปลี่ยนความรูที่สืบคนไดเกี่ยวกับ อากาศมีการหมุนเวียนเป็นบริเวณกว้าง การใช้ข้อมูลอากาศเฉพาะบริเวณใดบริเวณหนึ่ง
การพยากรณอากาศในชัน้ เรียน โดยใหนกั เรียน จะท�าให้เกิดความไม่แม่นย�าในการพยากรณ์อากาศระยะยาว เนื่องจากปัจจุบันวิทยาการทางด้าน
จับคูแลวอภิปรายแลกเปลี่ยนความรูรวมกัน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทมี่ บี ทบาทส�าคัญในการพยากรณ์อากาศได้รบั การพัฒนาไปมาก อีกทัง้
จากนั้นบันทึกความรูที่อภิปรายรวมกันลงใน การติดต่อสื่อสารมีความสะดวกรวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง การแลกเปลี่ยนข้อมูลผลการ
สมุด ตรวจอากาศระหว่างประเทศเป็นไปได้งา่ ยขึน้ ส่งผลให้การพยากรณ์อากาศมีความแม่นย�ามากขึน้
3. ครูตงั้ คําถามนําสูก ารสํารวจคนหาวา นักเรียน ในประเทศไทยหน่วยงานที่ท�าหน้าที่ตรวจและติดตามปรากฏการณ์ธรรมชาติเพื่อการ
สามารถทราบขอมูลลมฟาอากาศในอนาคตได พยากรณ์อากาศและเตือนภัย คือ กรมอุตุนิยมวิทยา 1ส่วนหน่วยงานที่มีบทบาทส�าคัญในการ
อยางไร หนวยงานใดมีหนาที่ในการพยากรณ พยากรณ์อากาศระดับโลก คือ องค์การอุตนุ ยิ มวิทยาโลก (World Meteorological Organization;
อากาศ WMO)
การตรวจอากาศ คือ การตรวจวัดและจดบันทึกข้อมูลของอุณหภูมิ ความกดอากาศ ความชืน้
(แนวตอบ ขอมูลลมฟาอากาศสามารถทราบได
ความเร็วลม ทิศทางลม และปริมาณฝนในพืน้ ทีใ่ ดพืน้ ทีห่ นึง่ ในแต่ละช่วงเวลา เช่น ทุกวัน ทุกชัว่ โมง
จากแหลงตางๆ เชน ขาว หนังสือพิมพ หรือ
และท�าต่อเนื่องเรื่อย ๆ ทั้งนี้ เนื่องจากสภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงต้องมี
เว็บไซตของหนวยงานราชการที่เกี่ยวของกับ การบันทึกข้อมูลให้ใกล้เคียงกับปัจจุบนั มากทีส่ ดุ เพือ่ ใช้เป็นข้อมูลเบือ้ งต้นในการพยากรณ์อากาศ
ลมฟาอากาศ ซึ่งหนวยงานที่มีหนาที่ในการ ต่อไป จากนั้นจึงน�าข้อมูลตรวจอากาศมาวิเคราะห์ และจัดท�าแผนที่อากาศ
พยากรณอากาศ คือ กรมอุตุนิยมวิทยา) การตรวจและบันทึกสภาพอากาศจ�าเป็นต้องใช้เครื่องมือตรวจวัดหลายชนิด ซึ่งส่วนใหญ่
แล้วกรมอุตนุ ยิ มวิทยาจะตัง้ สถานีตรวจอากาศหรือสถานีอตุ นุ ยิ มวิทยากระจายไปตามจังหวัดต่าง ๆ
ทั่วประเทศ และยังมีสถานีตรวจอากาศของหน่วยงานอื่น ๆ เช่น กรมป่าไม้ กรมชลประทาน กรม
ทรัพยากรน�้า กรมประมง โดยแต่ละหน่วยงานจะมีอุปกรณ์ตรวจวัดที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับภารกิจ
ของแต่ละหน่วยงาน
Earth Science
Focus การวัดปริมาณน�้าฝน
ในการวัดน�้าฝนจะตรวจวัดด้วยอุปกรณ์วัดปริมาณน�้าฝน ซึ่งจะมีลักษณะเป็นทรงกระบอกมี
เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร และมีไม้บรรทัดไว้สา� หรับวัดความสูงของน�า้ ในการรายงาน
ปริมาณน�้าฝนจะรายงานในหน่วยมิลลิเมตรต่อ 24 ชั่วโมง ประเทศไทยมีหลักเกณฑ์ในการวัดฝน ดังนี้
มิลลิเมตร/24 ชั่วโมง ผลการวัด
น้อยกว่า 0.10 ฝนตกเล็กน้อยวัดปริมาณไม่ได้
0.10-10.00 ฝนตกเล็กน้อย
10.10-35.00 ฝนตกปานกลาง
35.10-90.00 ฝนตกหนัก
มากกว่า 90.1 ฝนตกหนักมาก
74
T80
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
สภาพอากาศมีการเปลีย่ นแปลงตลอดเวลา ซึง่ เราอาจจะไม่สามารถสังเกตการเปลีย่ นแปลง 4. ครูใหนักเรียนศึกษาการพยากรณอากาศ โดย
ของสภาพอากาศได้ ดังนัน้ จึงมีความจ�าเป็นทีจ่ ะต้องสร้างเครือ่ งมือเพือ่ ตรวจวัดสภาพอากาศขึน้ รับชมจากแหลงขอมูลออนไลนตางๆ เชน
อีกทั้งการพยากรณ์อากาศมีขั้นตอนที่ซับซ้อน และยังต้องมีการปรับปรุงข้อมูลให้ทันเหตุการณ์ คลิปวิดีโอจาก Youtube เรื่อง หลักการของ
ปัจจุบนั อยูเ่ สมอ ท�าให้มคี วามจ�าเป็นต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูง ประกอบกับความรูท้ างอุตนุ ยิ มวิทยา การพยากรณอากาศ https://www.youtube.
ด้านสภาพอากาศ พื้นผิวโลก และมหาสมุทร ซึ่งการพยากรณ์อากาศสมัยใหม่ได้ประยุกต์ความรู้ com/watch?v=Z3eIABad8mA
วิทยาศาสตร์ในการคาดการณ์สภาพอากาศในอนาคต โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการตรวจอากาศใน 5. นักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับความรูที่ได
พื้นที่ทั้งภาคพื้นดิน พื้นสมุทร บรรยากาศ และอวกาศมาช่วยในการพยากรณ์ จากการชมคลิปวิดีโอ เรื่อง หลักการของการ
การตรวจอากาศสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระบบ ดังนี้ พยากรณอากาศ แลวบันทึกความรูท ไี่ ดลงสมุด
• การตรวจอากาศผิวพื้น
• การตรวจอากาศชั้นบน
• การตรวจอากาศด้วยดาวเทียม
• การตรวจอากาศด้วยเรดาร์ ภาพที่ 6.2 การตรวจวัดสภาพอากาศ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ดาวเทียม GEOSAT
ดาวเทียมโคจรใกล้ขั้วโลก
เครื่องบิน
เรดาร์ตรวจอากาศ
ศูนย์ดาวเทียม
อุตุนิยมวิทยา
สถานีรับสัญญาณดาวเทียม
เรือตรวจอากาศ ภาคพื้นดิน
สถานีตรวจอากาศอัตโนมัติ
ทุ่นลอยในมหาสมุทร
สถานีตรวจอากาศผิวพื้น สถานีตรวจอากาศชั้นบน
การพยากรณ์อากาศ 75
T81
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
6. ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5-6 คน โดยแตละ 1.1 การตรวจอากาศผิวพื้น
กลุมจับสลากเลือกหัวขอที่สืบคนขอมูล ดังนี้ การตรวจอากาศผิวพื้นจะตรวจวัดในเวลามาตรฐานที่ก�าหนดโดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก
ï• การตรวจอากาศผิวพื้น ซึง่ ก�าหนดให้ตรวจวัดอากาศในช่วงเวลาเดียวกันทัว่ โลกตามเวลากรีนชิ (Greenwich Mean Time;
ï• การตรวจอากาศชั้นบน GMT) หรือเวลาสากลเชิงพิกัด (Coordinated Universal Time; UTC) ซึ่งก�าหนดให้ตรวจอากาศ
ï• การตรวจอากาศดวยดาวเทียม ทุก ๆ 6 ชั่วโมง ได้แก่ เวลา 00.00 06.00 12.00 และ 18.00 UTC ซึ่งเวลาดังกล่าวช้ากว่าเวลา
ï• การตรวจอากาศดวยเรดาร ในประเทศไทย 7 ชั่วโมง ดังนั้น ประเทศไทยจึงตรวจวัดอากาศผิวพื้นในเวลา 07.00 น. 13.00 น.
19.00 น. และ 23.00 น. ซึง่ ในระหว่างเวลาหลักนีอ้ าจมีการตรวจวัดเพิม่ เติมได้ตามความเหมาะสม
เนื่องจากพื้นผิวโลกประกอบด้วย 2 ส่วน คือ พื้นผิวโลกภาคพื้นทวีป (continental crust)
และพื้นผิวโลกภาคพื้นมหาสมุทร (oceanic crust) ดังนั้น การตรวจอากาศผิวพื้นจึงแบ่งออกเป็น
2 ส่วน ได้แก่ การตรวจอากาศผิวพื้นทวีป และการตรวจอากาศผิวพื้นมหาสมุทร
1. การตรวจอากาศผิวพื้นทวีป จะตรวจวัดโดยใช้สนามอุตุนิยมวิทยา (meteorological
station) ทีป่ ระกอบด้วยเครือ่ งมือทีใ่ ช้ตรวจวัดค่าต่าง ๆ โดยตัง้ อยูใ่ นพืน้ ทีโ่ ล่ง ซึง่ สถานีตรวจอากาศ
ลักษณะนีเ้ หมาะกับบริเวณทีม่ พี นื้ ทีก่ ว้างและห่างไกลแหล่งชุมชน ต่อมามีการพัฒนาสถานีตรวจวัด
อากาศอัตโนมัติ (Automated Weather Station; AWS) ซึ่งมีการบันทึกข้อมูลด้วยเครื่องบันทึก
ข้อมูลเป็นไปอย่างถูกต้อง โดยลดขนาดของอุปกรณ์ตรวจวัดต่าง ๆ และมีการส่งสัญญาณข้อมูล
ผ่านคลื่นวิทยุหรือดาวเทียม ดังนั้น จึงสามารถติดตั้งได้สะดวก ดูแลง่าย และใช้พื้นที่น้อย
ภาพที่ 6.3 สนามอุตุนิยมวิทยาใช้ตรวจวัดอากาศผิวพื้นทวีป
ที่มา : คลังภาพ อจท.
76
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
2. การตรวจอากาศผิวพื้นมหาสมุทร 7. นักเรียนแตละกลุม สืบคนตามหัวขอทีจ่ บั สลาก
จะตรวจวั ด โดยใช เ รื อ ตรวจวั ด สภาพอากาศ ไดตามประเด็นตางๆ ดังนี้
(weather ship) หรือทุน ตรวจวัดอากาศ (weather ï• วิธีการตรวจอากาศ
buoy) ซึ่งขอมูลที่ตรวจวัดไดจากเรือตรวจวัด ï• เครื่องมือที่ใชในการตรวจอากาศ
สภาพอากาศนั้น สามารถนําไปใชสนับสนุนการ ï• ขอดีของการตรวจอากาศแตละระบบ
เดินเรือหรือนํามาวิเคราะหคลื่นลมในทะเลได ภาพที่ 6.4 ทุนตรวจวัดอากาศเปนเครื่องมือหนึ่งเพื่อ
การเตือนภัยสึนามิ 8. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายและสรุป
สวนทุนตรวจอากาศในทะเลจะตรวจวัดขอมูลได ที่มา : คลังภาพ อจท. ความรูร วบยอดในการสืบคนเกีย่ วกับการตรวจ
เชนเดียวกับเรือตรวจวัดสภาพอากาศ นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจวัดขอมูลที่เกี่ยวของกับทะเล
และมหาสมุทรบริเวณนั้นได เชน อุณหภูมิผิวนํ้าทะเล ความสูงคลื่น เปนตน อากาศระบบตางๆ จากนั้นใหนักเรียนแตละ
ขอมูลของสถานีตรวจอากาศผิวพืน้ จะเปนการแสดงขอมูลตรวจอากาศในรูปสัญลักษณหรือ คนบันทึกความรูที่ไดลงในกระดาษ A4
ตัวเลขทีป่ รากฏบนแผนทีอ่ ากาศ เชน อุณหภูมิ ความชืน้ ความกดอากาศ ความเร็วและทิศทางลม
ปริมาณและชนิดของเมฆ ทําใหทราบลักษณะอากาศของสถานทีน่ นั้ ๆ ในเวลาทีม่ กี ารตรวจวัด ซึง่ เมือ่
นําขอมูลของสถานีตรวจอากาศผิวพืน้ มาแสดงในแผนทีอ่ ากาศ จะทําใหสามารถวิเคราะหลกั ษณะ
อากาศในบริเวณกวางได1เชน บริเวณความกดอากาศสูง หยอมความกดอากาศตํา่ พายุหมุนเขตรอน
รองความกดอากาศตํ่า
ตารางที่ 6.1 : ขอมูลอุตุนิยมวิทยาที่ตรวจวัดจากเครื่องมือในสถานีตรวจอากาศผิวพื้น
ขอมูล เครื่องมือ หนวย
ความกดอากาศ บารอมิเตอร มิลลิบาร (mbar)
อุณหภูมิ เทอรมอมิเตอร องศาเซลเซียส ( Cํ )
ความเร็วลม แอนิมอมิเตอร นอต (knot)
ทิศทางลม ศรลม องศา (degree)
ความชื้นสัมพัทธของอากาศ ไฮโกรมิเตอร เปอรเซ็นต (%)
ปริมาณนํ้าฝน เครื่องวัดปริมาณนํ้าฝน มิลลิเมตร (mm)
การระเหยของนํ้า เครื่องวัดนํ้าระเหย มิลลิเมตร (mm)
มิลลิวัตตตอตารางเซนติเมตร
รังสีดวงอาทิตย เครื่องวัดการแผรังสี
(mW/cm2)
ความยาวนานของแสงแดด เครื่องวัดความยาวของแสงแดด ชั่วโมง (hr)
ทัศนวิสัย สังเกตดวยสายตา เมตร (m) หรือกิโลเมตร (km)
ความสูงของฐานเมฆ สังเกตดวยสายตา เมตร (m) หรือฟุต (ft)
แอนิมอมิเตอร 77
https://www.aksorn.com/interactive3D/RNB16
สื่อ Digital
ศึกษาเพิม่ เติมจาก QR Code
เรื่อง แอนิมอมิเตอร แอนิมอมิเตอร
https://www.aksorn.com/interactive3D/RNB16
T83
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
9. นั ก เรี ย นแลกเปลี่ ย นความรู กั บ เพื่ อ นใน 1.2 การตรวจอากาศชั้นบน
ชัน้ เรียนโดยใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นตางกลุม อากาศชั้นบนหรืออากาศที่อยู่สูงขึ้นไปจากพื้นผิวโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แม้ว่า
จากนัน้ แตละคูน าํ ความรูท ไี่ ดจากการอภิปราย การเปลี่ยนแปลงของอากาศชั้นบน (upper air weather observation) จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ
ภายในกลุมของตนเองมาแลกเปลี่ยนความรู โดยตรงต่อการด�ารงชีวิตของมนุษย์ แต่ก็มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เนื่องจากอากาศชั้นบนและ
กัน จับคูแลกเปลี่ยนความรูวนไปเรื่อยๆ จน อากาศผิวพื้นมีการเคลื่อนที่มาแทนที่กัน ดังนั้น การตรวจอากาศชั้นบนจึงถือได้ว่ามีความส�าคัญ
ศึกษาความรูเกี่ยวกับการตรวจอากาศครบ เช่นกัน
ทั้ง 4 ระบบ ดังนี้ การตรวจวัดอากาศชั้นบนโดยส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลหลักทางอุตุนิยมวิทยา เช่น อุณหภูมิ
ï • การตรวจอากาศผิวพื้น ความกดอากาศ ความชืน้ สัมพัทธ์ ทิศทางและความเร็วลม เป็นต้น โดยการตรวจวัดอากาศชัน้ บน
ï• การตรวจอากาศชั้นบน สามารถวัดได้จากเครื่องมือตรวจวัดอากาศ ดังนี้
ï• การตรวจอากาศดวยดาวเทียม 1. วิทยุหยั่งอากาศ (radiosonde) เป็นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีลักษณะเป็นกล่องที่
ï• การตรวจอากาศดวยเรดาร ประกอบด้วยเครื่องมือวัดอุณหภูมิ ความกดอากาศ ความชื้นสัมพัทธ์ ทิศทางและความเร็วลมที่
10. นักเรียนนําความรูที่ไดจากการแลกเปลี่ยน ระดับความสูงต่าง ๆ การตรวจวัดอากาศชั้นบนด้วยวิทยุหยั่งอากาศท�าได้โดยการติดตั้งวิทยุหยั่ง
ความรูเกี่ยวกับการตรวจอากาศระบบตางๆ อากาศกับบอลลูนตรวจอากาศแล้วส่งบอลลูนตรวจอากาศไปสู่ชั้นบรรยากาศ จากนั้นข้อมูลในรูป
บันทึกลงในกระดาษ A4 (กําหนดให 1 ระบบ ของสัญญาณวิทยุจะถูกส่งมายังเครื่องรับภาคพื้นดิน
ตอ 1 หนากระดาษ) จากนั้นรวบรวมสรุป การตรวจอากาศชั้นบนด้วยวิทยุหยั่งอากาศจะท�าการตรวจวันละ 2 ครั้ง ได้แก่ เวลา
การตรวจอากาศระบบตางๆ ดวยกัน จัดทํา 00.00 UTC และเวลา 12.00 UTC โดยข้อมูลตรวจอากาศชั้นบนจากแต่ละสถานีจะถูกน�ามา
เปนชิ้นงานเย็บมุมกระดาษ พรอมตกแตง วิเคราะห์ในระดับกว้าง (synoptic scale) ซึ่งจะแสดงภาพรวมของระบบหมุนเวียนของกระแสลม
ชิ้นงานใหสวยงาม ความชื้นอากาศ และยังใช้เป็นข้อมูลส�าหรับการพยากรณ์อากาศอีกด้วย
ส�าหรับข้อมูลแต่ละสถานีนนั้ ๆ สามารถน�ามาวิเคราะห์
เสถียรภาพของอากาศในแต่ละบริเวณ และพยากรณ์การเกิดเมฆ
และฝนในระดับท้องถิ่นได้
2. กล้องวัดมุมหรือกล้องทีโอโดไลต์ (theodolite)
เป็นกล้องส�ารวจชนิดหนึ่งที่ใช้ในการท�ารังวัดและแผนที่ ในทาง
อุตนุ ยิ มวิทยากล้องทีโอโดไลต์จะติดตามการเคลือ่ นทีข่ องบอลลูน
ตรวจอากาศ แล้วค�านวณหาความเร็ว และทิศทางลมในระดับ
ความสูงต่าง ๆ ด้วยวิธตี รีโกณมิติ ซึง่ จะมีขอ้ จ�ากัดในการตรวจวัด
โดยเมือ่ มีสงิ่ กีดขวางหรือบดบังบอลลูนตรวจอากาศจะไม่สามารถ
ท�าการตรวจวัดได้ ภาพที่ 6.5 กล้องวัดมุมดิจิทัล
ที่มา : คลังภาพ อจท.
78 การตรวจอากาศชั้นบน
T84
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3. บอลลูนตรวจอากาศ (pilot balloon) เป็นเครื่องมือที่ท�าหน้าที่น�าวิทยุหยั่งอากาศ 11. ครูจัดทําแผนภาพเครื่องมือที่ใชในการตรวจ
ขึน้ ไปสูบ่ รรยากาศชัน้ บน อีกทัง้ ยังใช้ตรวจวัดความเร็วและทิศทางลมโดยใช้รว่ มกับกล้องทีโอโดไลต์ อากาศ จากนั้ น นํ า แผนภาพให นั ก เรี ย นดู
ซึ่งบอลลูนตรวจอากาศจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5-1.8 เมตร บอลลูนตรวจอากาศ และใหนักเรียนแขงกันตอบวาเครื่องมือจาก
มีด้วยกันหลายสีซึ่งแต่ละสีที่ใช้จะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศที่ท�าการส�ารวจ ดังนี้ ภาพมีชื่อวาอะไร และมีหนาที่ใด ครูอาจให
คะแนนเพิม่ เติมสําหรับนักเรียนทีต่ อบถูกหรือ
อาจใหรางวัลสําหรับนักเรียนทีต่ อบไดถกู ตอง
มากที่สุด
12. ใหนักเรียนศึกษาความรูเกี่ยวกับการตรวจ
อากาศจากหนังสือเรียนโลก ดาราศาสตร และ
บอลลูนสีขาว อวกาศ ม.5 เลม 2 หนา 74-85
ใช้เมื่อท้องฟ้าโปร่ง อากาศแจ่มใส
13. นั ก เรี ย นจั ด ทํ า ชิ้ น งานเกี่ ย วกั บ การตรวจ
อากาศชั้นบน โดยออกแบบโปสตการดตาม
จินตนาการของนักเรียนไดอยางอิสระ ครู
กําหนดใหสรุปเนื้อหาออกมาในรูปแบบภาพ
โดยใหมีเนื้อหาประกอบไดสั้นๆ
บอลลูนสีด�าหรือสีน�้าเงิน
ใช้เมื่อท้องฟ้ามีเมฆมาก
T85
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
14. ครูใหนักเรียนวาดภาพบอลลูน 3 ลูก พรอม 1.3 การตรวจอากาศดวยดาวเทียม
ระบายสีบอลลูนลงในกระดาษ A4 ดังนี้ ดาวเทียมที่สรางขึ้นเพื่อการสํารวจทางดานอุตุนิยมวิทยา แบงได 2 ประเภท คือ ดาวเทียม
ï • ลูกที่ 1 สีขาว อุตุนิยมวิทยาประเภทวงโคจรคางฟา และดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาประเภทวงโคจรใกลขั้วโลก
ï • ลูกที่ 2 สีเหลือง 1. ดาวเทียมอุตนุ ยิ มวิทยาประเภทวงโคจรคางฟา (geostationary meteorological
ï • ลูกที่ 3 สีดํา satellite) คือ ดาวเทียมทีโ่ คจรอยูใ นระดับความสูงจากพืน้ โลกประมาณ 35,786 กิโลเมตร มีทศิ ทาง
15. ครูใหนักเรียนเขียนระบุใตภาพวา บอลลูน การโคจรทวนเข็มนาฬกาเชนเดียวกับทิศทางการหมุนรอบตัวเองของโลก และมีอตั ราเร็วในการโคจร
ทั้ง 3 สี เหมาะสมกับการตรวจอากาศชั้นบน เทากับอัตราเร็วในการหมุนรอบตัวเองของโลกดวย คือ ประมาณ 23 ชัว่ โมง 56 นาที 4 วินาที จึงสังเกต
ในสภาวะอากาศแบบใด โดยครู ห า มให เห็นดาวเทียมชนิดนี้โคจรอยูตําแหนงเดิมตลอดเวลา ทําใหนักอุตุนิยมวิทยาสามารถเฝาติดตาม
นักเรียนดูคําตอบจากหนังสือหรือสื่อตางๆ การกอตัว การเคลื่อนตัวและการสลายตัวของเมฆจากพายุหมุนได ตัวอยางดาวเทียมประเภทนี้
จากนั้นใหรวบรวมกระดาษที่นักเรียนเขียน เชน ดาวเทียมจีโออีเอส (Global Online Enrollment System; GOES) ของสหรัฐอเมริกา
ตอบมาตรวจคําตอบ ดาวเทียมเอ็มทีแซต-1อาร (MTSAT-1R) ของญี่ปุน ดาวเทียมเมทีโอแซต
(Meteosat) ของสหภาพยุโรป ดาวเทียมเฟงหยุน 2 (Feng Yun - 2; FY2)
อธิบายความรู้
ของจีน
1. ครูอธิบายความรูเ พิม่ เติมโดยใหนกั เรียนศึกษา
จากสื่ อ ดิ จิ ทั ล PowerPoint เกี่ ย วกั บ การ
ตรวจอากาศชั้นบนและการตรวจอากาศดวย
ดาวเทียม
T86
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
2. ดาวเทียมอุตนุ ยิ มวิทยาประเภทวงโคจรผ่านขัว้ โลก (polar-orbting meteorolo- 2. นักเรียนรวมกันอภิปรายวา การตรวจอากาศ
gical satellite) คือ ดาวเทียมทีโ่ คจรอยูใ่ นระดับความสูงจากพืน้ โลกประมาณ 500-1,000 กิโลเมตร สามารถแบงออกเปน 4 ระบบ ดังนี้
ด้วยความเร็วประมาณ 28,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีทิศทางการโคจรในแนวเหนือ-ใต้ผ่านขั้วโลก ï• การตรวจอากาศผิวพื้น
ซึ่งโคจรอย่างต่อเนื่องสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ โดยวงโคจรจะท�ามุมกับดวงอาทิตย์คงที่ตลอดเวลา ï• การตรวจอากาศชั้นบน
ส่งผลให้ดาวเทียมโคจรผ่านพื้นที่บนโลกต�าแหน่งหนึ่ง ๆ ณ เวลาเดิม โดยใช้เวลาในการโคจร ï• การตรวจอากาศดวยดาวเทียม
ประมาณ 90 นาทีต่อรอบ ï• การตรวจอากาศดวยเรดาร
ขณะที่ดาวเทียมโคจรอยู่นั้น โลกก็หมุนรอบตัวเองด้วย ท�าให้ดาวเทียมประเภทนี้ 3. ครู แ ละนั ก เรี ย นอภิ ป รายเพิ่ ม เติ ม ร ว มกั น ว า
สามารถโคจรผ่านทุกพื้นที่ของโลก และสามารถตรวจวัดต�าแหน่งเดียวกันได้ 2 ครั้งในหนึ่งวัน การตรวจอากาศแต ล ะระบบคื อ อะไร มี
จึงท�าให้ขอ้ มูลทีต่ รวจวัดได้มคี วามละเอียดกว่าดาวเทียมประเภทวงโคจรค้างฟ้
1 า ตัวอย่างดาวเทียม หลักการอยางไร
ประเภทนี้ เช่น ดาวเทียมซูโอมิ เอ็นพีพี (Suomi NPP) ดาวเทียมโนอา (National Oceanic
and Atmospheric Administration; NOAA) ของสหรัฐอเมริกา ดาวเทียมเมท็อป-เอ
(Metop-A) ของสหภาพยุโรป ดาวเทียมเฟงหยุน-1ดี (Feng Yun; FY-1D) และดาวเทียมเฟงหยุน
-3เอ (FY-3A) ของจีน
T87
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
4. ครูใชภาพประกอบการอธิบายเกีย่ วกับการตรวจ 1.4 การตรวจอากาศดวยเรดาร
อากาศดวยเรดาร พรอมทั้งอธิบายเพิ่มเติมวา สมัยก่อนสงครามโลกครัง้ ที่ 2 มีการพัฒนาเครือ่ งมือตรวจจับต�าแหน่ง ทิศทาง และความเร็ว
เมื่อสงคลื่นแมเหล็กไฟฟาพลังงานสูงออกไป ของเครื่องบินหรือเรือของฝ่ายตรงข้าม โดยการส่งคลื่นวิทยุออกไปแล้ววัดคลื่นที่สะท้อนกลับมา
ตามรัศมีตรวจวัดทางเสาอากาศ หากคลื่นนี้ เรียกเครือ่ งมือนีว้ า่ เรดาร์ (radio detection and ranging) ต่อมาเรดาร์ถกู น�ามาใช้อย่างกว้างขวาง
ไปกระทบวัตถุใดๆ คลื่นจะสะทอนกลับมายัง ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งขณะนั้นใช้ในการตรวจจับต�าแหน่งของเครื่องบิน แล้วพบว่ามี
ตัวรับสัญญาณ จากนั้นจะนําสัญญาณที่ไดรับ เมฆฝนบดบังการมองเห็นเครื่องบิน สัญญาณที่สะท้อนจากเมฆฝนจึงถูกก�าหนดให้เป็นสัญญาณ
มาเขาสูหนวยประมวลผล เพื่อประมวลผลตอ รบกวน แต่จากเหตุการณ์นที้ า� ให้ทราบว่า เรดาร์สามารถตรวจจับต�าแหน่งของเมฆฝนได้เช่นเดียว
และแสดงผลที่ ไ ด อ อกมาทางจอแสดงภาพ กับการตรวจจับต�าแหน่งของเครื่องบิน
ขอมูล โดยเรดารมีสวนประกอบสําคัญ ดังนี้ เรดาร์มีหลักการท�างาน คือ ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานสูงออกไปตามรัศมีตรวจวัดผ่าน
1) เครื่องสง (Transmitter) ทําหนาที่ผลิตและ ทางเสาอากาศ (antenna) ซึ่งส่วนใหญ่จะมีรัศมีตรวจวัดประมาณ 240 กิโลเมตร เมื่อคลื่นนี้ไป
สงคลืน่ แมเหล็กไฟฟาผานทางจานสายอากาศ กระทบกับวัตถุใด ๆ คลื่นจะสะท้อนกลับมายังตัวรับสัญญาณ (receiver) ซึ่งเครื่องมือทั้งหมดจะ
2) เครือ่ งรับ (Receiver) ทําหนาทีร่ บั สัญญาณ อยู่ภายในโดม (radome) เพื่อป้องกันสัตว์และคลื่นรบกวนต่าง ๆ
แมเหล็กไฟฟาที่สะทอนกลับมา
3) จานสายอากาศ (Antenna) ทําหนาทีค่ วบคุม สวนประกอบของเรดาร์
การสงและรับสัญญาณคลื่นแมเหล็กไฟฟา
ทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง
4) หนวยประเมินผล (Processor) ทําหนาที่ จานเรดาร์/เสาอากาศ
(antenna) ควบคุมการส่งและ
ประมวลผลขอมูลทีไ่ ดรบั จากคลืน่ ทีส่ ะทอน รับสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เปากลับมา โดยจะใชคอมพิวเตอรในการ
ประมวลผลและควบคุมการทํางานทัง้ หมด
เครื่องส่ง (transmitter)
ของเครื่องเรดาร TRANSMITTER ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกไป
5) จอแสดงภาพ (Monitor) ทําหนาทีแ่ สดงผล ผ่านทางจานเรดาร์/เสาอากาศ
ขอมูลทีป่ ระมวลแลวจากหนวยประมวลผล
TRANSMIT
SIGNAL
RECEIVE RECEIVER
PROCESSOR
SWITCH
T88
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
เรดาร์ตรวจอากาศ (weather radar) เป็นเครื่องมือที่ใช้ส�าหรับตรวจวัดฝน ฝนฟ้าคะนอง 5. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแสดงผลขอมูล
1
หิมะ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจและแสดงต�าแหน่งศูนย์กลางของพายุหมุนเขตร้อน เมื่อ ที่ไดจากการตรวจอากาศดวยเรดาร โดยครู
ศูนย์กลางของพายุเคลื่อนเข้ามาในรัศมีของเรดาร์ตรวจอากาศ เรดาร์ตรวจอากาศมี 3 ชนิด ดังนี้ ใหนักเรียนศึกษาตารางที่ 6.2 จากหนังสือ
1. เรดาร์ตรวจอากาศ X-band เป็นเรดาร์ขนาดเล็กเหมาะส�าหรับใช้ตรวจวัดฝนทีต่ กเบา หรือ เรียนโลก ดาราศาสตร และอวกาศ ม.5 เลม 2
ตกเล็กน้อยถึงปานกลาง ในระยะใกล้ ๆ รัศมีท�าการ 100 กิโลเมตร และรัศมีหวังผล 60 กิโลเมตร หนา 83 ซึ่งจะแสดงความสัมพันธระหวาง
2. เรดาร์ตรวจอากาศ C-band เป็นเรดาร์ขนาดปานกลางทีเ่ หมาะส�าหรับใช้ตรวจวัดฝนทีต่ ก ความแรงของคลื่ น สะท อ นกลั บ กั บ เป า ทาง
ปานกลางถึงหนัก หรือตรวจจับพายุหมุนที่มีก�าลังไม่รุนแรง เช่น พายุดีเปรสชัน และหาศูนย์กลาง อุตนุ ยิ มวิทยา จากนัน้ ครูอธิบายเพิม่ เติมเกีย่ วกับ
พายุโซนร้อน รัศมีท�าการ 450 กิโลเมตร และรัศมีหวังผล 230 กิโลเมตร เปาทางอุตนุ ยิ มวิทยาวา เปาทางอุตนุ ยิ มวิทยา
3. เรดาร์ตรวจอากาศ S-band เป็นเรดาร์ขนาดใหญ่ทเี่ หมาะส�าหรับใช้ตรวจวัดฝนทีต่ กหนัก คือ ปรากฏการณเกี่ยวกับสภาพอากาศตางๆ
ถึงหนักมาก หรือใช้ตรวจจับหาศูนย์กลางพายุที่มีก�าลังแรง เช่น พายุไต้ฝุ่น เป็นต้น รัศมีท�าการ ที่สามารถสะทอนคลื่นของเรดารได เชน ฝน
550 กิโลเมตร และรัศมีหวังผล 230 กิโลเมตร ฝนฟาคะนอง พายุ ลูกเห็บ หิมะ เมฆ
คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าทีถ่ กู ส่งออกไปตามรัศมีตรวจวัดของเรดาร์จะสะท้อนกลับเมือ่ กระทบวัตถุ
ใด ๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าความยาวคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้น ซึ่งอาจเป็นเมฆ ฝน หิมะ ลูกเห็บ แมลง
นก เครื่องบิน ต้นไม้ ภูเขา เป็นต้น โดยคลื่นสะท้อนกลับจะอยู่ในหน่วยเดซิเบล (dB) ดังนั้น
ถ้าวัตถุมีขนาดเล็กคลื่นที่สะท้อนกลับจะมีค่าน้อย แต่หากวัตถุมีขนาดใหญ่คลื่นที่สะท้อนกลับจะมี
ค่ามาก
การพยากรณ์อากาศ 83
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
ครูขยายความรูเพิ่มเติมโดยใหนักเรียนคนหา ปัจจุบนั กรมอุตนุ ยิ มวิทยา
ภาพถ า ยเรดาร จ ากเว็ บ ไซต ข องกรมอุ ตุ นิ ย ม- ใช้ เ รดาร์ ที่ ทั น สมั ย เพื่ อ ตรวจ
วิทยา https://www.tmd.go.th/ จากนัน้ ครูขยาย อากาศโดยใช้เรดาร์ชนิดดอป-
ความรูใ หนกั เรียนเกีย่ วกับภาพถายเรดารวา แตละ เพลอร์ (doppler weather
บริ เ วณมี ป ริ ม าณฝนและการเคลื่ อ นตั ว ของฝน radar) ซึ่ ง นอกจากจะตรวจ
อยางไร โดยมีวิธีการดู ดังนี้ หาต� า แหน่ ง และปริ ม าณฝน
ï• วันที่และเวลาจะระบุมุมดานบนขวามือของ แล้ว ยังสามารถตรวจหาการ
ภาพถาย เคลือ่ นทีข่ องเมฆ ฝน และพายุ
ï• สีที่ปรากฏบนภาพถาย คือ กลุมฝน และสี หมุนได้อีกด้วย
ภาพที่ 6.10 เรดาร์ตรวจอากาศ
แตละสีจะหมายถึงความรุนแรงของกลุม ฝน ที่มา : คลังภาพ อจท.
โดยจะมีคาความรุนแรงตามสีระบุไวแถบ
ดานขางขวามือของภาพถาย
84
T90
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
จากภาพถายเรดาร สามารถพิจารณาได ดังนี้ H. O. T. S. ครูใหนักเรียนตอบคําถามทายหัวขอ Topic
- บริเวณที่มีสีเขียว แสดงถึงฝนที่มีกําลังออนที่สุด คําถามทาทายการคิดขั้นสูง Question ดังนี้
- บริเวณที่มีสีเหลือง แสดงถึงฝนกําลังออน เพราะเหตุ ใ ด ï• การพยากรณอากาศมีความเกีย่ วของกับชีวติ
- บริเวณที่มีสีสม แสดงถึงฝนกําลังปานกลาง ในแต ล ะวั น จึ ง ประจําวันอยางไร
- บริเวณที่มีสีแดง ชมพู ขาว แสดงถึงฝนกําลังแรง ตองมีการตรวจ ï• ระบบการตรวจอากาศสามารถแบงไดกแี่ บบ
อากาศหลายครั้ง
อะไรบาง
ป จ จุ บั น ประเทศไทย ï• อธิบายการตรวจอากาศผิวพื้นทวีป
มี ส ถานี เ รดาร ต รวจอากาศ ï• อธิบายการตรวจอากาศผิวพื้นมหาสมุทร
ทั้ ง หมด 28 สถานี ดั ง นี้ ï• การตรวจวัดอากาศชัน้ บนจะตองใชเครือ่ งมือ
สังกัดกรมอุตุนิยมวิทยา 21 ตรวจวัดใด
สถานี เชน สถานีเชียงราย
สถานีขอนแกน สถานีระยอง ขัน้ ประเมิน
สถานีชุมพร เปนตน สังกัด ตรวจสอบผล
กรุ ง เทพมหานคร 2 สถานี 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน
ไดแก สถานีหนองจอก และ 2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบคําถาม
สถานีหนองแขม และสังกัด การทํากิจกรรมกลุม
ฝนหลวงและการบินเกษตร 4
3. ครูตรวจชิ้นงานสรุปเกี่ยวกับการตรวจอากาศ
สถานี ไดแก สถานีอมกอย
ระบบตางๆ
สถานีตาคลี สถานีพิมาย และ
สถานีสัตหีบ 4. ครูตรวจชิ้นงานโปสตการดเกี่ยวกับการตรวจ
ภาพที่ 6.12 สถานีเรดารฝนหลวงพนม จังหวัดสุราษฎรธานี อากาศชั้นบน
ที่มา : https://www.facebook.com/Phanomradar/
Topic
Question
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
1. การพยากรณอากาศมีความเกี่ยวของกับชีวิตประจําวันอยางไร
2. ระบบการตรวจอากาศสามารถแบงไดกี่แบบ อะไรบาง
3. อธิบายการตรวจอากาศผิวพื้นทวีป
4. อธิบายการตรวจอากาศผิวพื้นมหาสมุทร
5. การตรวจวัดอากาศชั้นบนจะตองใชเครื่องมือตรวจวัดใด
การพยากรณ์อากาศ 85
รายการประเมิน
ระดับคะแนน
อากาศดวยเรดาร
4 3 2 1
1 ความถูกต้องของเนื้อหา
2 ความสมบูรณ์ของรูปเล่ม
ลักษณะนี้เหมาะสมกับบริเวณที่มีพื้นที่กวางและหางไกลชุมชน
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของ เนื้อหาสาระของ เนื้อหาสาระของ เนื้อหาสาระของ
ของเนื้อหา รายงานถูกต้องครบถ้วน รายงานถูกต้องเป็นส่วน รายงานถูกต้องบาง รายงานไม่ถูกต้องเป็น
4. การตรวจอากาศผิวพื้นมหาสมุทรเปนการตรวจวัดอากาศโดยใชเรือ
ใหญ่ ประเด็น ส่วนใหญ่
2. ความสมบูรณ์ มีองค์ประกอบครบถ้วน มีองค์ประกอบครบถ้วน มีองค์ประกอบครบถ้วน องค์ประกอบไม่
ของรูปเล่ม สมบูรณ์ มีความเป็น สมบูรณ์ มีความเป็น สมบูรณ์ แต่ยังไม่เป็น ครบถ้วน ไม่เป็น
ระเบียบ และรูปเล่ม ระเบียบ แต่รูปเล่มไม่ ระเบียบ และรูปเล่มไม่ ระเบียบ และรูปเล่มไม่
นั้นนํามาวิเคราะหคลื่นลมในทะเลและการเดินเรือ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
T91
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
ครูกระตุนความสนใจโดยถามคําถาม Prior การพยากรณอากาศ 2. ขั้นตอนการพยากรณอากาศ
Knowledge จากหนังสือเรียน โดยใหนักเรียน มีกขี่ น
ั้ ตอน
อภิปรายและแสดงความคิดเห็นรวมกัน ขั้นตอนที่สําคัญในการพยากรณอากาศนั้นมีสามขั้นตอน
ไดแก การตรวจอากาศเพื่อใหทราบถึงสภาวะอากาศปจจุบัน การสื่อสารเพื่อรวบรวมขอมูลผล
ขัน้ สอน การตรวจอากาศ และการวิเคราะหขอมูลเพื่อการคาดหมาย
สํารวจคนหา หนาที่ในการพยากรณอากาศถือเปนภารกิจที่สําคัญของกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อใหขอมูล
นักเรียนสืบคน เรือ่ ง ขัน้ ตอนการพยากรณอากาศ เกีย่ วกับสภาพอากาศแกประชาชนทัว่ ไปเพือ่ นําไปใชวางแผนการทํากิจกรรมตาง ๆ ในชีวติ ประจําวัน
การพยากรณอากาศประกอบดวย 3 ขั้นตอน ดังนี้
อธิบายความรู
1. การตรวจอากาศ โดยเก็บรวบรวมขอมูลผลการตรวจอากาศในปจจุบัน และการตรวจ
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายวาการพยากรณ อากาศในอดีต ซึ่งไดจากสถานีตรวจอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาและของหนวยงานตาง ๆ ทั่ว
อากาศประกอบไปดวย 3 ขั้นตอน ประเทศ รวมทั้งขอมูลจากตางประเทศ เพื่อชวยใหการพยากรณอากาศมีความแมนยํามากขึ้น
2. ครูใหนักเรียนตอบคําถามทายหัวขอ Topic 2. การสื่อสารเพื่อรวบรวมขอมูลผลการตรวจอากาศ เนื่องจากมีขอมูลผลการตรวจอากาศ
Question จากหลายสถานี จึงจําเปนที่จะตองมีการสื่อสารเพื่อรวบรวมขอมูลทั้งหมดมาวิเคราะหรวมกัน
ขยายความเขาใจ 3. การวิเคราะหขอมูลเพื่อการคาดหมายลักษณะอากาศในอนาคต โดยนักอุตุนิยมวิทยาจะ
1. นักเรียนสืบคนเกี่ยวกับขั้นตอนการพยากรณ รวมกันวิเคราะหขอมูลแนวโนมของสภาพอากาศในอนาคตวา จะมีการเปลี่ยนแปลงอยางไร มีผล
อากาศ จากนั้นสรุปความรูรวบยอดเกี่ยวกับ กระทบตอประชาชนมากนอยเพียงใด สภาพอากาศเกิดขึน้ จากอิทธิพลของปรากฏการณใด และจะ
ขั้ น ตอนการพยากรณ อ ากาศในรู ป แบบผั ง คงอยูนานเพียงใด จากนั้นจึงสรุปเพื่อเผยแพรและประชาสัมพันธตามหนวยงานที่เกี่ยวของ
มโนทัศน ลงในกระดาษ A4 1 2 3
การตรวจอากาศ การสื่อสารเพื่อรวบรวม การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการคาดหมาย
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดเกี่ยวกับขั้นตอน ข้อมูลผลการตรวจอากาศ ลักษณะอากาศในอนาคต
รายการประเมิน
4
ระดับคะแนน
3 2 1
วิเคราะหตอไป
1
2
3
ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
ความถูกต้องของเนื้อหา
ความคิดสร้างสรรค์
3) การวิเคราะหขอ มูลเพือ่ การคาดหมายลักษณะอากาศในอนาคต โดย
4 ความตรงต่อเวลา
รวม นักอุตนุ ยิ มวิทยาจะรวมกันวิเคราะหขอ มูลแนวโนมของสภาพอากาศ
ในอนาคต จากนัน้ จะสรุปและเผยแพรไปยังหนวยงานทีเ่ กีย่ วของ
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ/ป้ายนิเทศ/ผังสรุป
ประเด็นที่ประเมิน
1. ความ
สอดคล้องกับ
4
ผลงานสอดคล้องกับ
จุดประสงค์ทุกประเด็น
3
ผลงานสอดคล้องกับ
ระดับคะแนน
จุดประสงค์เป็นส่วน
2
ผลงานสอดคล้องกับ
จุดประสงค์บางประเด็น
1
ผลงานไม่สอดคล้องกับ
จุดประสงค์
2. หนาทีใ่ นการพยากรณอากาศถือเปนภารกิจสําคัญของกรมอุตนุ ยิ มวิทยา
จุดประสงค์ ใหญ่
2. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ของเนื้อหา ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
14-16
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
ดีมาก
การพยากรณอากาศมี 3 ขั้นตอน ไดแก การตรวจอากาศ การสื่อสาร
เพื่อรวบรวมขอมูลผลการตรวจอากาศ และการวิเคราะหขอมูลเพื่อการ
11-13 ดี
T92
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
คาดหมายลักษณะอากาศในอนาคต
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
กรมอุตน
ุ ยิ มวิทยาใช 3. วิธีการพยากรณอากาศ ครูกระตุนความสนใจโดยถามคําถาม Prior
หลักเกณฑใดในการ Knowledge ใหนักเรียนอภิปรายและแสดงความ
การพยากรณอากาศตองใชขอมูลทั้งในอดีตและปจจุบัน
พยากรณอากาศ
เพือ่ นํามาวิเคราะหและคาดหมายสภาพอากาศในอนาคต ซึง่ การ คิดเห็นรวมกันกอนเขาสูหัวขอที่เรียน ดังนี้
พยากรณอากาศมีหลายวิธขี นึ้ อยูก บั เกณฑทนี่ าํ มาใชเพือ่ ใหเหมาะสมกับสภาพอากาศแตละบริเวณ • กรมอุตนุ ยิ มวิทยาใชเกณฑใดในการพยากรณ
อากาศ
3.1 การพยากรณอากาศโดยใชเกณฑชวงเวลาในการพยากรณ
การพยากรณอากาศโดยใชเกณฑชวงเวลาในการพยากรณ แบงออกเปน 3 ชนิด ดังนี้ ขัน้ สอน
1. การพยากรณอากาศระยะสั้น (short range forecast) เปนการพยากรณอากาศ สํารวจคนหา
ในระยะเวลาไมเกิน 72 ชั่วโมง ซึ่งสามารถแบงยอยได 3 ประเภท ดังนี้ 1. นักเรียนแบงกลุมออกเปน 2 กลุม จากนั้นให
1) การพยากรณอากาศปจจุบัน เปนการพยากรณในระยะเวลาไมเกิน 2 ชั่วโมง นักเรียนจับสลากเลือกหัวขอ ดังนี้
2) การพยากรณอากาศระยะสั้นมาก เปนการพยากรณในระยะเวลาไมเกิน 12 ชั่วโมง • การพยากรณอากาศโดยใชเกณฑชวงเวลา
3) การพยากรณอากาศระยะสั้น เปนการพยากรณในระยะเวลาไมเกิน 72 ชั่วโมง ในการพยากรณ
• การพยากรณอากาศโดยใชเกณฑตามความ
เหมาะสมของสภาพอากาศ
T93
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2. เมื่อแบงกลุมออกเปน 2 กลุมใหญๆ แลว ให 2. การพยากรณ์อากาศระยะปานกลาง (medium range forecast) เป็นการพยากรณ์
กลุมที่จับสลากไดหัวขอการพยากรณอากาศ อากาศในระยะเวลามากกว่า 72 ชั่วโมง จนถึง 10 วัน
โดยใชเกณฑชว งเวลาในการพยากรณแบงกลุม
ยอยๆ ออกเปน 3 กลุม จับสลากเลือกหัวขอที่
ตองสืบคนขอมูล ดังนี้
ï• การพยากรณอากาศระยะสั้น
ï• การพยากรณอากาศระยะปานกลาง
ï• การพยากรณอากาศระยะนาน
และกลุ ม ที่ จั บ สลากได หั ว ข อ การพยากรณ
อากาศโดยใชเกณฑตามความเหมาะสมของ
สภาพอากาศแบงกลุมยอยๆ ออกเปน 5 กลุม
จับสลากเลือกหัวขอที่ตองสืบคนขอมูล ดังนี้
ï• การพยากรณอากาศดวยวิธีสภาพอากาศ
คงที่ ภาพที่ 6.15 การพยากรณ์อากาศระยะปานกลาง
ที่มา : https://www.tmd.go.th/index.php
ï• การพยากรณอากาศดวยวิธีแนวโนม
ï• การพยากรณอากาศดวยวิธีเชิงอุปมา 3. การพยากรณ์อากาศระยะนาน (long range forecast) เป็นการพยากรณ์ในระยะ
ï• การพยากรณอากาศดวยวิธีภูมิอากาศ เวลามากกว่า 10 วันขึน้ ไป เช่น การคาดหมายสภาพอากาศล่วงหน้ารายเดือน รายสามเดือน หรือ
ï• การพยากรณอากาศดวยวิธีเชิงตัวเลข รายฤดูกาล
T94
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
T95
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายวาวิธกี ารพยากรณ 3. การพยากรณ์อากาศด้วยวิธีเชิงอุปมาน (analogue method) เป็นวิธีที่ใช้ในการ
อากาศมีหลายวิธีขึ้นอยูกับเกณฑที่นํามาใช เปรียบเทียบระหว่างสภาพอากาศทีเ่ กิดในอดีตกับสภาพอากาศในปัจจุบนั เพือ่ น�ามาใช้เป็นแนวทาง
เพือ่ ใหเหมาะสมกับสภาพอากาศแตละบริเวณ ในการพยากรณ์อากาศในอนาคต ซึง่ วิธนี มี้ ขี อ้ จ�ากัดเนือ่ งจากสภาพอากาศมีการเปลีย่ นแปลงตลอด
โดยวิธที กี่ รมอุตนุ ยิ มวิทยาใชหลักๆ ไดแก การ เวลา การพยากรณ์อากาศจึงมีความแม่นย�าน้อย เช่น หากต้องการพยากรณ์อุณหภูมิต�่าสุดของ
พยากรณอากาศโดยใชเกณฑชวงเวลาในการ อากาศบริเวณกรุงเทพมหานคร วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 จะพิจารณาจากแผนที่อากาศผิวพื้น
พยากรณ ซึ่งแบงออกเปน 3 ชนิด ดังนี้ ในปัจจุบัน ซึ่งพบว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับแผนที่อากาศผิวพื้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
• การพยากรณ อ ากาศระยะสั้ น เป น การ ในวันที่ 1 มกราคมนั้น อุณหภูมิต�่าสุดของอากาศมีค่าเท่ากับ 10 องศาเซลเซียส ดังนั้น อุณหภูมิ
พยากรณอากาศในระยะเวลาไมเกิน 72 ต�า่ สุดของอากาศบริเวณกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 ทีพ่ ยากรณ์ได้ในปัจจุบนั
ชั่วโมง อาจจะมีค่าใกล้เคียงกับ 10 องศาเซลเซียส แต่วิธีการนี้อาจไม่แม่นย�านัก เนื่องจากสภาพอากาศ
• การพยากรณอากาศระยะปานกลาง เปนการ เกิดจากปัจจัยที่ซับซ้อนมากกว่าการพิจารณาแค่ปัจจัยใดเพียงปัจจัยเดียว
พยากรณ อ ากาศในระยะเวลามากกว า 4. การพยากรณ์อากาศด้วยวิธีภูมิอากาศ (climatological method) เป็นวิธีที่ใช้
72 ชั่วโมง จนถึง 10 วัน ค่าเฉลี่ยของสภาพภูมิอากาศเป็นเวลาหลายปีมาวิเคราะห์ร่วมกับสภาพอากาศในปัจจุบัน โดย
• การพยากรณอากาศระยะนาน เปนการ การพยากรณ์อากาศด้วยวิธีนี้เหมาะส�าหรับสภาพอากาศที่ใกล้เคียงกับสภาวะปกติของช่วงฤดูนั้น
พยากรณอากาศในระยะเวลามากกวา 10 วัน หากสภาพอากาศแตกต่างไปจากสภาวะโดยเฉลี่ยของช่วงเวลานั้นมากก็จะไม่สามารถพยากรณ์
ขึ้นไป ด้วยวิธีนี้ได้
และการพยากรณอากาศโดยใชเกณฑตามความ การพยากรณ์อากาศด้วยวิธีนี้ตามหลักขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) จะใช้ค่า
เฉลี่ยของสภาพอากาศ 30 ปี เป็นมาตรฐาน เช่น หากต้องการพยากรณ์สภาพอากาศของวันที่
เหมาะสมของสภาพอากาศ ซึ่งแบงออกเปน 5
30 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 07.00 น. จะต้องน�าข้อมูลสภาพอากาศ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น
ชนิด ดังนี้
ความกดอากาศ ปริมาณฝน เป็นต้น ในช่วงวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 ถึงวันที่ 29 กรกฎาคม
• การพยากรณอากาศดวยวิธีสภาพอากาศ พ.ศ. 2561 รวม 30 ปี มาเฉลีย่ หากข้อมูลสภาพอากาศทีไ่ ด้มคี า่ ใกล้เคียงกัน ก็จะสามารถก�าหนด
คงที่ เป็นสภาพอากาศในปัจจุบันได้
• การพยากรณอากาศดวยวิธีแนวโนม
5. การพยากรณ์อากาศด้วยวิธเี ชิงตัวเลข (numerical weather prediction) เป็นวิธี
• การพยากรณอากาศดวยวิธีเชิงอุปมา
การพยากรณ์อากาศโดยใช้แบบจ�าลองสภาพอากาศแบบต่าง ๆ และประมวลผลโดยคอมพิวเตอร์
• การพยากรณอากาศดวยวิธีภูมิอากาศ ประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะประมวลผลการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศตามพื้นที่และช่วงเวลาที่ก�าหนด
• การพยากรณอากาศดวยวิธีเชิงตัวเลข เช่น WRF (Weather Research and Forecasting model) ของประเทศสหรัฐอเมริกา JMA-
NHM (Non-hydrostatic model) ของประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งการพยากรณ์อากาศเชิงตัวเลข
เป็นการพยากรณ์อากาศที่ดีที่สุดในปัจจุบัน แต่ยังมีข้อจ�ากัด คือ ผลการพยากรณ์จากแบบจ�าลอง
ไม่ละเอียดเหมือนบรรยากาศจริง
90
T96
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
22N 22N 2. ครูใหนักเรียนตอบคําถามทายหัวขอ Topic
20N 20N Question
18N 18N
16N 16N
ขยายความเข้าใจ
14N 14N 1. ให นั ก เรี ย นสื บ ค น การพยากรณ อ ากาศจาก
12N 12N เว็บไซตของกรมอุตุนิยมวิทยา https://www.
10N 10N
tmd.go.th/ ตัวอยางการพยากรณอากาศโดย
8N 8N
ใชหลักเกณฑตางๆ โดยนําภาพมาแปะลงใน
6N
สมุดจดบันทึกพรอมเขียนระบุวาเปนวิธีการ
6N
94E 96E 98E 100E 102E 104E 106E 108E 110E 112E 92E 94E 96E 98E 100E 102E 104E 106E 108E 110E
การพยากรณ์อากาศ 91
รายการประเมิน
3
ระดับคะแนน
2 1
3. การพยากรณอากาศดวยวิธเี ชิงอุปมา
1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย
4. การพยากรณอากาศดวยวิธภี มู อิ ากาศ
4 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ
5 วิธีการนาเสนอผลงาน
รวม
• ชวงเวลาในการพยากรณ
14-15 ดีมาก
T97
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครู นํ า เข า สู หั ว ข อ ที่ จ ะเรี ย นโดยการทบทวน แผนทีอ่ ากาศมี 4. แผนที่อากาศ
ความรูเดิมจากการเรียนในชั่วโมงที่ผานมา ประโยชนอยางไร ขอมูลจากการตรวจอากาศจะถูกนํามาวิเคราะหทําเปน
ในหัวขอขั้นตอนการพยากรณอากาศและวิธี แผนทีอ่ ากาศ เพือ่ ใหนกั อุตนุ ยิ มวิทยาเห็นภาพรวมของสภาวะอากาศแตละพืน้ ที่ โดยแผนทีอ่ ากาศ
การพยากรณอากาศ โดยอาจถามคําถามเพื่อ แบงออกเปน 2 ชนิด ไดแก แผนที่อากาศผิวพื้น (weather map) และแผนที่ลมชั้นบน (upper
ใหนักเรียนทบทวนวา การพยากรณอากาศมี winds map)
กี่ข้ันตอน อะไรบาง หรือมีวิธีใดบางในการ แผนที่อากาศ เปนแผนที่ที่แสดงขอมูลทางอุตุนิยมวิทยา ซึ่งสรุปขอมูลของอากาศในแตละ
พยากรณอากาศ บริเวณตามชวงเวลา โดยนําขอมูลจากการตรวจอากาศมาวิเคราะหเพื่องายตอการเขาใจสภาวะ
2. ครูกระตุนความสนใจโดยถามคําถาม Prior อากาศแตละบริเวณ
Knowledge ใหนักเรียนอภิปรายและแสดง
ความคิดเห็นรวมกันกอนเขาสูหัวขอที่เรียน
ดังนี้
• แผนที่อากาศมีประโยชนอยางไร
4 อุณหภูมิอากาศ 6 ความกดอากาศ
14
3 ลักษณะอากาศ 107
-6
13
T98
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ขอมูลทางอุตุนิยมวิทยาที่แสดงบนแผนที่อากาศผิวพื้น มีดังนี้ 1. ใหนักเรียนยกตัวอยางความสําคัญของการ
1. ความกดอากาศ (pressure area) สัญลักษณที่แสดงถึงบริเวณที่มีความกดอากาศ พยากรณอากาศมาคนละ 1 ตัวอยาง ครูถาม
ตางกัน แบงออกเปน 2 แบบ ดังนี้ นักเรียนทีละคนโดยคําตอบของแตละคนตอง
ไมซํ้ากัน
T99
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3. ใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 10 กลุม กลุมละ 3. ร่องมรสุม (monsoon trough) เกิดจากความกดอากาศต�่าบริเวณใกล้เคียงกันมา
เทาๆ กัน จากนั้นสืบคนเกี่ยวกับสัญลักษณ เรียงตัวกันเป็นแนวพาดขวางทางทิศตะวันตก-ตะวันออก ท�าให้เกิดลักษณะเป็นร่องและมีกระแส
บนแผนทีอ่ ากาศตามหัวขอทีก่ าํ หนดใหตอ ไปนี้ อากาศไหลขึ้นลงสลับกัน ร่องมรสุมเคลื่อนไปมาในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตรบริเวณซีกโลกเหนือ
กลุมที่ 1 ความกดอากาศ และใต้การเคลื่อนที่ของร่องมรสุมจะขึ้นอยู่กับต�าแหน่งวงโคจร
กลุมที่ 2 แนวโนมความกดอากาศ ของโลกที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งความกว้างประมาณ 6-8
กลุมที่ 3 รองมรสุม องศาละติจูด เป็นบริเวณที่มีเมฆมากและฝนตกอย่างหนาแน่น L L
กลุมที่ 4 พายุ เนื่องจากมีกระแสลมจากบริเวณความกดอากาศสูงที่อยู่ทางซีก
กลุมที่ 5 อุณหภูมิอากาศ โลกเหนือและซีกโลกใต้พัดเข้าปะทะกัน1บริเวณร่องมรสุมนี้ โดย ภาพที่ 6.21 สัญลักษณ์ร่องมรสุม
กลุมที่ 6 แนวปะทะอากาศ ลมที่พัดมาปะทะกัน เรียกว่า ลมมรสุม ที่มา : คลังภาพ อจท.
กลุมที่ 7 สัญลักษณอากาศปจจุบัน 4. พายุ (thunder storm) พายุแต่ละชนิดแสดงด้วยสัญลักษณ์ต่างกัน ดังนี้
กลุมที่ 8 เสนความกดอากาศเทา
กลุมที่ 9 ทิศทางและอัตราเร็วลม
กลุมที่ 10 ปริมาณเมฆในทองฟา
D ดีเปรสชันเขตร้อน (tropical depression) มีความเร็วลมสูงสุดใกล้
ศูนย์กลางน้อยกว่า 34 นอต (63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
T100
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1
แนวปะทะอากาศคงที่ เป็นบริเวณขอบของมวลอากาศสองมวลที่มี 4. ใหนักเรียนแตละกลุมสรุปความรูท่ีไดจากการ
อุณหภูมิต่างกันและเคลื่อนที่ขนานกัน แต่ไม่ได้ สืบคนและอภิปรายรวมกัน จากนั้นสงตัวแทน
ปะทะกัน จึงไม่เกิดฝน นําเสนอหนาชั้นเรียน
2 5. นักเรียนแตละคนสรุปความรูที่ไดจากการฟง
แนวปะทะอากาศปิด เป็นบริเวณทีแ่ นวปะทะอากาศเย็นเคลือ่ นทีม่ าชน
แนวปะทะอากาศอุน่ ท�าให้เกิดฝนตกเป็นบริเวณ การนําเสนอของเพือ่ นๆ กลุม ตางๆ ในชัน้ เรียน
กว้างในบริเวณของทั้งสองแนวปะทะอากาศ และสืบคนขอมูลเพิม่ เติมเกีย่ วกับแผนทีอ่ ากาศ
แล ว บั น ทึ ก ความรู ที่ ไ ด ล งในกระดาษ A4
7. ลักษณะอากาศปัจจุบัน (weather) แสดงด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ ดังตารางที่ 6.3 รวบรวมและจัดทําออกมาเปนรูปเลมรายงาน
ตารางที่ 6.3 : สัญลักษณ์แสดงลักษณะอากาศบางลักษณะ เรื่อง แผนที่อากาศ
สัญลักษณ์ ลักษณะอากาศ
เกล็ดน�้าแข็ง
หมอก
ฟ้าหลัว
ควัน
ฝนปรอย
ละอองฝน
พายุฝนฟ้าคะนอง
พายุเฮอริเคน
ลูกเห็บ
การพยากรณ์อากาศ 95
T101
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
6. ครูนาํ ภาพสัญลักษณตา งๆ มาใหนกั เรียนดูและ 8. เสนความกดอากาศเทา (isobar) คือ เส้นที่ลากต่อเนื่องไปในทุก ๆ จุดในแผนที่ที่มี
ใหนกั เรียนรวมกันตอบวาสัญลักษณตา งๆ จาก ความกดอากาศเท่ากันในช่วงเวลานั้น ๆ
ภาพที่ครูนํามามีความหมายวาอยางไร 1012
1012
1008 ME
1016
1004
ตัวอยางภาพ WA
MT 1016
ND
1
996 000
VT
NH
102
1020 992 NY MA
4
OR MN WI MI CT R
ID SD
WY PA
IA NU
IL MD DE
NV NE IN OH DC
WV
VA
7. ครูสมุ ตัวแทนนักเรียนในชัน้ เรียนออกมา 10 คน CA
1016
UT CO KS
MO KY
NC
ใหแตละคนวาดภาพสัญลักษณตา งๆ บนแผนที่ TN
OK SC
อากาศมาคนละ 1 สัญลักษณ จากนั้นครูให AZ NM AR
MS GA
1008 AL
นั ก เรี ย นแข ง กั น ตอบคํ า ถามว า สั ญ ลั ก ษณ ที่ TX
101 LA
เพื่อนๆ ออกมาวาดนั้นหมายความวาอยางไร 2 FL 1020
1016
101
ภาพที่ 6.22 เส้นความกดอากาศเท่า
ที่มา : คลังภาพ อจท.
T102
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
10. ปริมาณเมฆในท้องฟ้า (cloud cover) พิจารณาโดยการแบ่งท้องฟ้าออกเป็น 10 8. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
ส่วน หรือ 8 ส่วน แล้วสังเกตว่ามีเมฆอยูก่ สี่ ว่ นในท้องฟ้า โดยการระบายสีดา� ลงในสัญลักษณ์วงกลม ความหมายของแผนที่อากาศและสัญลักษณ
ตางๆ ที่ปรากฏบนแผนที่อากาศ
ตารางที่ 6.5 : สัญลักษณ์แสดงปริมาณเมฆในท้องฟ้า (เมื่อแบ่งท้องฟ้าออกเปน 10 ส่วน)
9. ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละเทาๆ กัน จากนัน้
สัญลักษณ์ ปริมาณเมฆ
ครูแจกภาพแผนที่อากาศผิวพื้นใหนักเรียน
ไม่มีเมฆ (ท้องฟ้าโปร่ง) ทุกกลุม แลวใหแตละกลุม ทํากิจกรรมการแปล
มีเมฆ 1 ส่วน หรือน้อยมาก ความหมายขอมูลสภาพอากาศ จากหนังสือ
เรียนโลก ดาราศาสตร และอวกาศ ม.5 เลม 2
มีเมฆ 3 ส่วน
โดยเลือกขอมูล ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่งใน
มีเมฆ 5 ส่วน แผนที่อากาศ จากนั้นแปลความหมายขอมูล
มีเมฆเกิน 5 ส่วน สภาพอากาศในบริเวณนั้น
10. ใหนกั เรียนแตละกลุม แลกเปลีย่ นผลการแปล
มีเมฆ 8 ส่วน ความหมายขอมูลสภาพอากาศรวมกัน
มีเมฆเกิน 8 ส่วน
มีเมฆ 9 ส่วน
มีเมฆเกิน 9 ส่วน
มีเมฆเต็มท้องฟ้า
Earth Science
Focus ประโยชน์ของการพยากรณ์อากาศ
1. เป็นข้อมูลส�าหรับการวางแผนการคมนาคมทางอากาศโดยเฉพาะด้านการบิน เพื่อหลีกเลี่ยงเส้น
ทางการบินทีอ่ าจเป็นอันตรายเนือ่ งจากสภาพอากาศ เช่น เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน
เป็นต้น
2. เตือนภัยและป้องกันภัยพิบัติจากสภาพลมฟ้าอากาศ เพื่อช่วยลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นต่อ
ชีวิตและทรัพย์สิน เช่น การเกิดพายุ น�้าท่วม ฝนแล้ง ไฟป่า เป็นต้น
3. ศึกษาข้อมูลและประเมินฤดูกาลเพาะปลูก การเปรียบเทียบผลผลิตแต่ละฤดูและแต่ละปีได้ เพื่อแก้
ปัญหาต่าง ๆ ทางด้านการเกษตรที่จะเกิดขึ้นจากสภาพอากาศ และเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้
มากยิ่งขึ้น
การพยากรณ์อากาศ 97
T103
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการ • สังเกต
ทํากิจกรรมการแปลความหมายขอมูลสภาพ การแปลความหมายข้อมูลสภาพอากาศ • การลงความเห็นจากขอมูล
จิตวิทยาศาสตร
อากาศที่นักเรียนพิจารณาจากภาพ • ความรอบคอบ
2. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม ว า สั ญ ลั ก ษณ บ นแผนที่ วัสดุอปุ กรณ • การรวมแสดงความคิดเห็นและ
ยอมรับฟงความคิดเห็นของผูอื่น
อากาศมีความหมายตางกัน ดังนั้น จึงตองมี 1. แผนที่อากาศ
การแปลความหมายขอมูลสภาพอากาศ เพื่อ 2. กระดาษบันทึก
นําขอมูลที่ไดไปวางแผนในการดําเนินชีวิต
ประจําวัน วิธปี ฏิบตั ิ
1. แบงกลุม แลวใหแตละกลุม เลือกขอมูล ณ บริเวณใดบริเวณหนึง่ ในแผนทีอ่ ากาศ และแปลความหมายขอมูล
สภาพอากาศในบริเวณนั้น
2. แลกเปลี่ยนผลการแปลความหมายขอมูลสภาพอากาศของแตละกลุม แลวเขียนเสนอแนะขอมูลเพิ่มเติม
ตัวอยางแผนที่อากาศ
ภาพที่ 6.23 แผนทีอ่ ากาศผิวพืน้ วันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2561
ที่มา : https://www.tmd.go.th/index.php
บันทึก กิจกรรม
98
ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน โดยพิจารณา
จากความถูกตองของขอมูลที่นักเรียนไดจัดทํา
5.
(วิเคราะหคําตอบ สัญลักษณของปริมาณเมฆบนทองฟาสามารถ
เขียนแทนไดดวยวงกลม โดยระบายสีดําลงในวงกลมเพื่อแทน
สัดสวนของเมฆในทองฟา หากเมฆมีเกิน 5 สวน สามารถเขียน
สัญลักษณ แทนได ดังนั้น ตอบขอ 5.)
T104
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม 3. ครูถามคําถามทายกิจกรรมเพื่อใหนักเรียน
?
อภิปรายรวมกันดังนี้
1. ให้นักเรียนแปลความหมายข้อมูลอากาศในบริเวณที่ก�าหนดให้ ดังนี้
ï• ให นั ก เรี ย นแปลความหมายข อ มู ล แผนที่
5 ลม
4 อุณหภูมิอากาศ 6 ความกดอากาศ อากาศในบริเวณที่กําหนดให
ï• การแปลความหมายขอมูลสภาพอากาศ มี
14
ประโยชนอยางไร
3 ลักษณะอากาศ 107
4. ครูใหนักเรียนตอบคําถามทายหัวขอ Topic
13
-6
Question ดังนี้
ï• อธิบายความหมายของสัญลักษณในแผนที่
2 อุณหภูมิจุดน�้าค้าง 7 แนวโน้มความกดอากาศ
1 ปริมาณเมฆ
อากาศที่กําหนดใหตอไปนี้
ภำพที่ 6.24 สัญลักษณ์ทางแผนที่อากาศ ï• แปลความหมายของตัวเลขที่ระบุวามีความ
ที่มา : คลังภาพ อจท. กดอากาศเทาใด
2. การแปลความหมายข้อมูลสภาพอากาศ มีประโยชน์อย่างไร ï• อธิ บ ายความแตกต า งของสั ญ ลั ก ษณ L
และ H
อภิปรายผลกิจกรรม
Topic
Question แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
ค�ำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ 1. อากาศบริเวณนี้มีทองฟาโปรงไมมีเมฆ อุณหภูมิ
1. อธิบายความหมายของสัญลักษณ์ในแผนที่อากาศที่ก�าหนดให้ต่อไปนี้
1.1 1.2 1.3 จุดนํ้าคางเทากับ 13 องศาเซลเซียส ฝนตกหนัก
2. แปลความหมายของตัวเลขที่ระบุว่ามีความกดอากาศเท่าใด อุณหภูมิอากาศ 14 องศาเซลเซียส มีอัตราเร็ว
2.1 685 2.2 357 2.3 109 ลม 15 นอต ความกดอากาศ 1010.7 มิลลิบาร
3. อธิบายความแตกต่างของสัญลักษณ์ L และ H มีแนวโนมความกดอากาศตํ่าลง
การพยากรณ์อากาศ 99
2. ทําใหสามารถเขาใจแผนที่อากาศและประเมิน
สภาพอากาศในแตละบริเวณที่ตองการทราบได
เพื่อนําไปวางแผนการใชชีวิตประจําวัน
T105
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
1. ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดเกีย่ วกับแผนทีอ่ ากาศ Earth Science
จากแบบฝกหัด โลก ดาราศาสตร และอวกาศ in real life การพยากรณอากาศ เปนการคาดหมายสภาวะอากาศ
2. ขยายความเขาใจเพิม่ เติมเกีย่ วกับการพยากรณ ที่จะเกิดขึ้นในชวงเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต ซึ่งการทราบสภาวะอากาศลวงหนาทําให
อากาศโดยใหนกั เรียนศึกษาขอมูลการพยากรณ สามารถวางแผนการประกอบกิจกรรมตาง ๆ ในชีวิตประจําวันได เชน เตรียมรมในวันที่
อากาศจากหนังสือเรียนโลก ดาราศาสตร และ อาจจะมีฝนตก สวมใสเสื้อผาที่มีการระบายอากาศไดดีในวันที่มีอากาศรอน นอกจากนี้
อวกาศ ม.5 เลม 2 ยังนํามาใชเปนแนวทางในการวางแผนเพาะปลูก วางแผนจัดการ
นํ้าเพื่อการอุปโภค บริโภค วางแผนการเดินทาง การคมนาคม
เปนตน
ปจจุบันการพยากรณสภาพอากาศถือเปนเรื่องที่งายและ
สะดวกมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีเทคโนโลยีเขามาชวยในการแจง
สภาพอากาศในแตละบริเวณผานแอปพลิเคชัน่ บนโทรศัพทมอื ถือ
ทําใหเราทราบสภาพอากาศบริเวณนัน้ ๆ ไดอยางรวดเร็วและพิจารณา
ขอมูลไดงาย
ภาพที่ 6.25 ตัวอยางแอปพลิเคชันตรวจสภาพอากาศ
ที่มา : https://support.apple.com
ตัวอย่างสัญลักษณ์แสดงสภาพอากาศ
100
T106
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
Summary ขยายความเขาใจ
3. ครูใหนกั เรียนสืบคนเพิม่ เติมเกีย่ วกับสัญลักษณ
การพยากรณอากาศ ในการพยากรณอากาศจากแอปพลิเคชันตรวจ
สภาพอากาศ และแปลความหมายสัญลักษณ
การตรวจอากาศ ในการพยากรณประจําวันนั้น
การพยากรณอากาศ (weather forecast) คือ การคาดการณสภาวะของลมฟาอากาศ รวมทัง้ ปรากฏการณ
ทางธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการนําความรูทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีมาประยุกตกับความรู ขัน้ สรุป
ความเขาใจในกระบวนการเกิดปรากฏการณตาง ๆ ทางอุตุนิยมวิทยา รวมทั้งขอมูลสภาพอากาศในปจจุบัน ตรวจสอบผล
การตรวจอากาศ คือ การตรวจวัดและจดบันทึกขอมูลของอุณหภูมิ ความกดอากาศ ความชื้น ความเร็ว
ลม ทิศทางลม และปริมาณฝนในพืน้ ทีใ่ ดพืน้ ทีห่ นึง่ ในแตละชวงเวลา เพือ่ ใชเปนขอมูลเบือ้ งตนในการพยากรณ 1. นักเรียนสรุปความรูรวบยอดจากการศึกษา
อากาศ จากนั้นจึงนําขอมูลตรวจอากาศมาวิเคราะหและจัดทําแผนที่อากาศ เกีย่ วกับการพยากรณอากาศ โดยทําเปนชิน้ งาน
ระบบการตรวจอากาศ ลงในกระดาษ A4 สรุปในรูปแบบผังมโนทัศน
ตรวจอากาศผิวพื้น ตรวจอากาศชั้นบน
ตรวจอากาศดวยดาวเทียม ตรวจอากาศดวยเรดาร
สถานีตรวจอากาศชั้นบน
ภาพที่ 6.26 การตรวจวัดสภาพอากาศในรูปแบบตาง ๆ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การพยากรณ์อากาศ 101
T107
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
2. ครูใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจเกี่ยวกับ ขั้นตอนการพยากรณ์อากาศ
การพยากรณอากาศ โดยพิจารณาขอความ ขั้นตอนที่สําคัญในการพยากรณอากาศประกอบดวย 3 ขั้นตอน ดังนี้
จากกรอบ Self Check ในหนังสือเรียนโลก • การตรวจอากาศ โดยเก็บรวบรวมขอมูลผลการตรวจอากาศในปจจุบัน และการตรวจอากาศในอดีต
ดาราศาสตร และอวกาศ ม.5 เลม 2 วาถูก เพื่อชวยใหการพยากรณอากาศมีความแมนยํามากขึ้น
หรือผิด แลวบันทึกลงสมุด • การสื่อสารเพื่อรวบรวมขอมูลผลการตรวจอากาศ นําขอมูลผลการตรวจอากาศจากหลาย ๆ สถานี
3. ใหนักเรียนทําแบบฝกหัด Unit Question 6 มาทําการสื่อสารเพื่อรวบรวมขอมูลทั้งหมดแลววิเคราะหรวมกัน
• การวิเคราะหขอมูลเพื่อการคาดหมายลักษณะอากาศในอนาคต นักอุตุนิยมวิทยาจะรวมกันวิเคราะห
ขอมูลแนวโนมของสภาพอากาศในอนาคต จากนั้นจึงสรุปขอมูลเพื่อเผยแพรและประชาสัมพันธตาม
หนวยงานที่เกี่ยวของ
1 2 3
การตรวจอากาศ การสื่อสารเพื่อรวบรวม การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการคาดหมาย
ข้อมูลผลการตรวจอากาศ ลักษณะอากาศในอนาคต
วิธีการพยากรณ์อากาศ
การพยากรณอากาศตองใชขอมูลทั้งในอดีตและปจจุบัน เพื่อนํามาวิเคราะหและคาดหมายสภาพอากาศ
ในอนาคต ซึง่ การวิธกี ารพยากรณอากาศมีหลายวิธขี นึ้ อยูก บั เกณฑทนี่ าํ มาใชเพือ่ ใหเหมาะสมกับสภาพอากาศ
แตละบริเวณ การพยากรณอากาศแบงออกเปน 2 แบบ ไดแก การพยากรณอากาศโดยใชเกณฑชวงเวลาใน
การพยากรณ และการพยากรณอากาศโดยใชเกณฑตามความเหมาะสมของสภาพอากาศ
• การพยากรณอากาศโดยใชเกณฑชวงเวลาในการพยากรณ แบงออกเปน 3 ชนิด ดังนี้
การพยากรณอากาศระยะสั้น
เปนการพยากรณอากาศใน
ระยะเวลาไมเกิน 72 ชั่วโมง
102
T108
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
การพยากรณอากาศ 4. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง
ระยะปานกลาง
การพยากรณ อ ากาศ เพื่ อ วั ด ความรู ข อง
เปนการพยากรณอากาศใน นักเรียนหลังเรียนจบหนวยการเรียนรูนี้
ระยะเวลามากกวา 72 ชัว่ โมง 5. ถานักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนแลวได
จนถึง 10 วัน คะแนนตํ่าหรือไมสามารถตอบคําถามได ครู
อาจใหนกั เรียนศึกษาหรือสืบคนเนือ้ หาเพิม่ เติม
จากสื่อตางๆ ในประเด็นที่นักเรียนไมเขาใจ
จากนั้นครูและนักเรียนอภิปรายสรุปรวมกัน
พยากรณอากาศระยะนาน อี ก ครั้ ง ในการตอบคํ า ถามของแบบทดสอบ
หลังเรียน
เปนการพยากรณในอากาศ
ระยะเวลามากกวา 10 วัน
ขึน้ ไป เชน การสภาพอากาศ
ลวงหนารายเดือน รายสาม
เดือน หรือรายฤดูกาล
T109
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน แผนที่อากาศ
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบคําถาม การตรวจอากาศดวยเรดารจะนําขอมูลทีไ่ ดมาวิเคราะหเปนแผนทีอ่ ากาศ เพือ่ ใหนกั อุตนุ ยิ มวิทยาเห็นภาพ
การทํากิจกรรมกลุม การนําเสนอหนาชัน้ เรียน รวมของสภาวะอากาศแตละพืน้ ที่ โดยแผนทีอ่ ากาศแบงออกเปน 2 ชนิด ไดแก แผนทีอ่ ากาศผิวพืน้ (weather
3. ครูตรวจสมุดจดบันทึก map) และแผนที่ลมชั้นบน (upper winds map)
4. ครูตรวจชิ้นงานผังมโนทัศนจากกระดาษ A4
5. ครูตรวจรายงานเกี่ยวกับแผนที่อากาศ
Self Check
ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจ โดยพิจารณาขอความวาถูกหรือผิด แลวบันทึกลงในสมุด
หากพิจารณาขอความไมถูกตอง ใหกลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวขอที่กําหนดให
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
1. การตรวจวัดอากาศผิวพื้นทวีปจะตรวจวัดโดยใชสนามอุตุนิยมวิทยา 1.
2. ขั้นตอนในการพยากรณอากาศแบงออกเปน 4 ขั้นตอน 2.
ุด
3. การคาดหมายสภาพอากาศลวงหนารายเดือน เปนการพยากรณอากาศ 3.
สม
ใน
ระยะปานกลาง
ลง
ทึ ก
บั น
แนวทางการวัดและประเมินผล
ครูวัดและประเมินความเขาใจของนักเรียนเกี่ยวกับขั้นตอนการพยากรณ
อากาศ โดยการตรวจชิน้ งานผังมโนทัศน เรือ่ ง ขัน้ ตอนการพยากรณอากาศ โดย
ศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินชิน้ งาน/ภาระงาน (รวบยอด)
ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรู หนวยการเรียนรูที่ 6 การพยากรณอากาศ
แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด)
แบบประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ/ป้ายนิเทศ/ผังสรุป
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ความคิดสร้างสรรค์
4 ความตรงต่อเวลา
รวม
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
T110
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา สอน สรุป ประเมิน
U nit Question 6
คําชี้แจง : ให นั ก เรี ย นตอบคํ า ถามต อ ไปนี้
1. การพยากรณอากาศประกอบดวย 3 ขัน้ ตอน ดังนี้
1) การตรวจอากาศ
2) การสื่อสารเพื่อรวบรวมผลการตรวจอากาศ
3) การวิเคราะหขอ มูลเพือ่ การคาดหมายลักษณะ
1. การพยากรณอากาศประกอบไปดวยกี่ขั้นตอน อะไรบาง อากาศในอนาคต
2. การตรวจอากาศทําไดดวยวิธีการใด 2. การตรวจอากาศสามารถทําไดหลายวิธโี ดยแบง
ออกเปน 4 ระบบ ไดแก การตรวจอากาศผิวพืน้
3. การตรวจอากาศผิวพื้นแตกตางกับการตรวจอากาศชั้นบนอยางไร
การตรวจอากาศชั้นบน การตรวจอากาศดวย
4. อธิบายหลักการทํางานของเรดารตรวจวัดทิศทางและความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ ดาวเทียม และการตรวจอากาศดวยเรดาร
5. เพราะเหตุใดการพยากรณอากาศจึงจําเปนตองใชขอมูลสภาพอากาศทั้งในอดีตและปจจุบัน 3. การตรวจอากาศผิวพื้นเปนการตรวจอากาศ
บริเวณพื้นผิวโลก สวนการตรวจอากาศชั้นบน
6. อธิบายการพยากรณอากาศโดยใชเกณฑตามความเหมาะสมของสภาพอากาศ เปนการตรวจอากาศทีอ่ ยูส งู จากพืน้ ผิวโลกขึน้ ไป
7. การพยากรณอากาศโดยใชเกณฑชวงเวลาในการพยากรณสามารถแบงออกเปนกี่ชนิด อะไรบาง 4. เรดารมหี ลักการทํางาน คือ สงคลืน่ แมเหล็กไฟฟา
พลังงานสูงออกไปตามรัศมีตรวจวัดผานทาง
8. การพยากรณอากาศรายชั่วโมง เปนการพยากรณอากาศแบบใด เสาอากาศ เมือ่ คลืน่ นีไ้ ปกระทบกับวัตถุใด ๆ คลืน่
9. การพยากรณอากาศดวยวิธีใดเปนวิธีที่ดีที่สุดในการพยากรณอากาศปจจุบัน เพราะเหตุใด จะสะทอนกลับมายังตัวรับสัญญาณ
5. เพื่อนําขอมูลมาวิเคราะหใหเกิดความคลาด-
10. แผนที่อากาศมีลักษณะเปนอยางไร
เคลื่ อ นของข อ มู ล น อ ยที่ สุ ด และนํ า ข อ มู ล ที่
11. แผนที่อากาศแบงออกเปนกี่ประเภท อะไรบาง วิเคราะหไดคาดหมายสภาพอากาศในอนาคต
12. อธิบายสัญลักษณ L และ H ในแผนที่อากาศ 6. การพยากรณอากาศโดยใชเกณฑตามความ
เหมาะสมของสภาพอากาศ สามารถแบงออกเปน
13. แปลความหมายขอมูลสภาพอากาศ ดังนี้ 5 ชนิด ดังนี้
13.1 13.2 - การพยากรณอากาศดวยวิธสี ภาพอากาศคงที่
138 22 135 เปนวิธีการที่งายที่สุดในการพยากรณอากาศ
76 3 -3
55 20 เหมาะสําหรับสภาพอากาศทีเ่ สถียร และมีการ
เปลี่ยนแปลงอยางชาๆ
14. สัญลักษณใดในแผนที่อากาศแสดงถึงบริเวณที่มีหิมะตกหนัก - การพยากรณอากาศดวยวิธีแนวโนม เปนวิธี
15. การพยากรณอากาศมีผลตอการดําเนินชีวิตประจําวันของนักเรียนหรือไม อยางไร การพยากรณอากาศทีเ่ หมาะกับลักษณะอากาศ
ที่มีแนวโนมไมเปลี่ยนแปลงทั้งการเคลื่อนที่
ทิศทาง ความเร็ว และความรุนแรง เปนวิธีที่
มักใชในการพยากรณอากาศระยะสั้น
- การพยากรณอากาศดวยวิธีเชิงอุปมา เปนวิธี
การพยากรณ์อากาศ 105
การที่ ใ ช ใ นการเปรี ย บเที ย บระหว า งสภาพ
อากาศที่เกิดขึ้นในอดีตกับสภาพอากาศใน
ปจจุบนั เพือ่ นํามาเปนแนวทางในการพยากรณ
อากาศในอนาคต
- การพยากรณอากาศดวยวิธภี มู อิ ากาศ เปนวิธที ใี่ ชคา เฉลีย่ ของสภาพ 11. แผนที่อากาศแบงออกเปน 2 ชนิด ไดแก แผนที่อากาศผิวพื้นและแผนที่
ภูมอิ ากาศเปนเวลาหลายปมาวิเคราะหรว มกับสภาพอากาศในปจจุบนั อากาศลมชั้นบน
- การพยากรณอากาศดวยวิธีเชิงตัวเลข เปนวิธีการพยากรณอากาศ 12. L หมายถึง ความกดอากาศตํา่ สวนสัญลักษณ H หมายถึง ความกดอากาศสูง
โดยใชแบบจําลองสภาพอากาศแบบตางๆ และประมวลผลดวย 13. จากภาพ สามารถแปลความหมายขอมูลได ดังนี้
คอมพิวเตอรประสิทธิภาพสูง 13.1 ในทองฟามีเมฆเกิน 9 สวน มีฝนเล็กนอย อุณหภูมิจุดนํ้าคาง 55 องศา
7. การพยากรณอากาศโดยใชเกณฑชวงเวลาในการพยากรณแบงออก เซลเซียส อุณหภูมอิ ากาศ 76 องศาเซลเซียส มีความกดอากาศ 1013.8
เปน 3 ชนิด ไดแก การพยากรณอากาศระยะสั้น การพยากรณอากาศ มิลลิบาร ความกดอากาศสูงขึ้น ลมพัดดวยอัตราเร็ว 15 นอต
ระยะปานกลาง และการพยากรณอากาศระยะนาน 13.2 ในทองฟามีเมฆเกิน 5 สวนมีฝนตกหนัก อุณหภูมิจุดนํ้าคาง 20 องศา
8. การพยากรณอากาศรายชั่วโมงเปนการพยากรณอากาศระยะสั้น เซลเซียส อุณหภูมอิ ากาศ 22 องศาเซลเซียส มีความกดอากาศ 1013.5
เนื่องจากเปนการพยากรณอากาศในระยะเวลาไมเกิน 72 ชั่วโมง มิลลิบาร ความกดอากาศตํ่าลง ลมพัดดวยอัตราเร็ว 20 นอต
9. การพยากรณอากาศดวยวิธเี ชิงตัวเลขเปนการพยากรณอากาศทีด่ ที สี่ ดุ 14. คือ สัญลักษณ
ในปจจุบนั เนือ่ งจากเปนวิธกี ารพยากรณทใี่ ชแบบจําลองสภาพอากาศ 15. การพยากรณอากาศมีผลตอการดําเนินชีวิตประจําวัน ทําใหเราทราบสภาพ
แบบตางๆ มาประมวลผลดวยคอมพิวเตอรประสิทธิภาพสูง อากาศในแตละวัน เพือ่ นําไปวางแผนการดําเนินชีวติ เชน วางแผนการเดินทาง
10. แผนทีอ่ ากาศเปนแผนทีท่ แี่ สดงขอมูลทางอุตนุ ยิ มวิทยา โดยแสดงขอมูล วางแผนการทําการเกษตร
ออกมาในรูปแบบของตัวเลข รหัส หรือสัญลักษณมาตรฐานทางอุตนุ ยิ มวิทยา
T111
นํา สอน สรุป ประเมิน
แนวทางการทํากิจกรรม
Fun Science Activity
ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรม Fun Science Fun Sc ence
Activity เปนกิจกรรมที่เนนความสนุกสนานเพื่อ Activity
นําไปสูเ จตคติทดี่ ตี อ วิทยาศาสตร โดยครูใหนกั เรียน
ทํากิจกรรม เรื่อง เมฆในขวด ครูจะอธิบายถึงวัสดุ เมฆในขวด
อุปกรณที่ตองเตรียมมาใชในการทํากิจกรรม แลว
วัสดุและอุปกรณ์
อธิบายถึงวิธกี ารทํากิจกรรมในแตละขัน้ ตอนเพือ่ ให
1. ขวดพลาสติก 2 ใบ
นักเรียนมองเห็นภาพในการทํากิจกรรม และปฏิบตั ิ 2. ที่สูบลม 1 อัน
กิจกรรมในแตละกลุมไดอยางรวดเร็วขึ้น หลังจาก 3. ดินน�้ามัน 1 ก้อน
นั้นใหนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอผลการทํา 4. น�้าประปา 10 มิลลิลิตร
กิจกรรมหนาชัน้ เรียน จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกัน 5. แอลกอฮอล์ล้างแผล 10 มิลลิลิตร
สรุปผลที่ไดจากการทํากิจกรรมนี้ 1
วิธีท�า
การเกิดเมฆในขวด
ที่มา : www.stevespanglerscience.com
หลักการทางวิทยาศาสตร์
106
T112
บรรณานุ ก รม
กุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช และคณะ. (2550). สุดยอดวิธีสอนวิทยาศาสตร์ น�ำไปสู่การจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่.
กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์.
ชุติมา วัฒนะคีรี. (2549). กิจกรรมวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน. กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาส์น.
ถนัด ศรีบญุ เรือง. (ม.ป.ป.). กระบวนการเปลีย่ นแปลงของโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ. กรุงเทพมหานคร: อักษรเจริญทัศน์.
ทิศนา แขมมณี. (2556). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 17.
กรุงเทพมหานคร : ด่านสุทธาการพิมพ์.
ปริชาติ เวชยนต์. (2558). หนังสือเสริมสร้างศักยภาพและทักษะรายวิชาเพิ่มเติม โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ กลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6. กรุงเทพมหานคร: ไทยร่มเกล้า.
ปิแอร์ส, ไปโซนี. (2010). คู่มือท่องโลกวิทยาศาสตร์ ฉบับสมบูรณ์. แปลโดย สิรพัฒน์ ประโทนเทพ. กรุงเทพมหานคร:
มติชน.
มนต์อมร ปรีชารัตน์ และทวีศกั ดิ์ ภูช่ ยั . (ม.ป.ป.). หนังสือเสริมสร้างศักยภาพและทักษะรายวิชาเพิม่ เติม ฟิสกิ ส์ เล่ม 3 กลุม่ สาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6. กรุงเทพมหานคร: มติชน.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2554). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
. (2555). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ เล่ม 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ. (2554). โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ เล่ม 1.
กรุงเทพมหานคร: องค์การค้าของ สกสค.
. (2559). พจนานุกรมศัพท์วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ สสวท. อังกฤษ-ไทย. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพ์วัชรินทร์ พี.พี.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2549). พจนานุกรมศัพท์ภูมิศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพมหานคร:
ราชบัณฑิตยสถาน.
Chew, C.; Foong, Chow S.; & Yew, Kong K. (n.d.) Discover Physics. Singapore: Marshall Cavendish Education.
Heyworth, Rex M. (n.d.) Science For Lower Secondary Volume A. Singapore: Pearson Education south Asia.
. (n.d.) Science For Lower Secondary Volume B. Singapore: Pearson Education south Asia.
Mark Maslin. (n.d.) Climate Change: A Very Short Introduction. United States of America: University of oxford.
Sally, D.; & Baxter, N. (n.d.) 1001 Questions And Answers. England: Bookmart Limited.
Robert E. Krebs. (n.d.) The Basics of Earth Science. United States of America: Greenwood Publishing Grou
T113
บั น ทึ ก
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................................................
T114
สร้างอนาคตเด็กไทย
ด้วยนวัตกรรมการเรียนรูร
้ ะดับโลก ĔïðøąÖĆîÙčèõćóÿČęĂÖćøđøĊ÷îøĎšøć÷üĉßćđóĉęöđêĉö
ĀîĆÜÿČĂđøĊ÷îøć÷üĉßćđóĉęöđêĉöüĉì÷ćýćÿêøŤĒúąđìÙēîēú÷Ċǰ ēúÖǰ éćøćýćÿêøŤǰ ĒúąĂüÖćýǰ ßĆĚîöĆí÷ö
คู่มือครู
ýċÖþćðŘìĊęǰ đúŠöǰ êćöñúÖćøđøĊ÷îøĎšǰ ÖúŠčöÿćøąÖćøđøĊ÷îøĎšüĉì÷ćýćÿêøŤĒúąđìÙēîēú÷Ċǰ ÞïĆïðøĆïðøčÜǰóýǰ
ǰêćöĀúĆÖÿĎêøĒÖîÖúćÜÖćøýċÖþć×ĆîĚ óČîĚ åćîǰóčìíýĆÖøćßǰǰđúŠöîĊǰĚ ïøĉþìĆ ǰĂĆÖþøđÝøĉâìĆýîŤǰĂÝìǰÝĞćÖĆéǰ
đðŨîñĎÝš ĆéóĉöóŤđñ÷ĒóøŠĒúąÝĞćĀîŠć÷ǰēé÷ĕéšÝĆéìĞćÙĞćĂíĉïć÷øć÷üĉßćđóĉęöđêĉöìĊęöĊìĆĚÜñúÖćøđøĊ÷îøĎǰš ÿćøąÖćøđøĊ÷îøĎš
đóĉęöđêĉöĒúąĂÜÙŤðøąÖĂïÿĞćÙĆâĂČęîìĊęÿĞćîĆÖóĉöóŤÝĆéìĞć×ċĚîǰ đóČęĂĔĀšÿëćîýċÖþćĕéšđìĊ÷ïđÙĊ÷ÜÖĆïĀúĆÖÿĎêø×ĂÜ
ÿëćîýċÖþćĒúąóĉÝćøèćđúČĂÖĔßšĀîĆÜÿČĂîĊĚðøąÖĂïÖćøÝĆéÖćøđøĊ÷îøĎšǰ ĔĀšÿĂéÙúšĂÜÖĆïĀúĆÖÿĎêøÿëćîýċÖþć
×ĂÜêîĕéšêćöÙüćöđĀöćąÿö
ǰ ǰ
ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ îć÷ßĆ÷èøÜÙŤ úĉöðşÖĉêêĉÿĉî
ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ÖøøöÖćøñĎšÝĆéÖćøǰïøĉþĆìǰĂĆÖþøđÝøĉâìĆýîŤǰĂÝìǰÝĞćÖĆé
>> ราคาเล่มนักเรียนโปรดดูจากใบสัง
่ ซือ
้ ของ อจท.
คู่มือครู นร.โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ม.5 ล.2
บริษท
ั อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด
142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 8 858649 144256
ID Line : @aksornkrumattayom
โทร. 0 2622 2999 (อัตโนมัติ 20 คูส
www.aksorn.com
่ าย)
อักษรเจริญทัศน์ อจท.
300.-
ราคานีเ้ ป็นของฉบับคูม
่ อ
ื ครูเท่านัน
้