Professional Documents
Culture Documents
Teacher Script
วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ม. 3
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3
ตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด เล่ม 1
กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผูเรียบเรียงคูมือครู บรรณาธิการคูมือครู
นายณรงคชัย พงษธะนะ นางสาววราภรณ ทวมดี
นางสาวปณณณัท พึ่งพิง นางสาวจันจิรา รัตนนันทเดช
พิมพครั้งที่ 3
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา 2348032
คํ า แนะนํ า การใช้
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
จัดทําขึ้นสําหรับใหครูผูสอนใชเปนแนวทางวางแผนการจัดการเรียน
การสอน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการประกันคุณภาพ
ผูเ รียนตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน
(สพฐ.)
เพ
ระบบนิเวศ สามารถ
เปลีย่ นพลังงานแสง
ใหเปนพลังงานเคมี
การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไดอยางมี ในรูปของอาหาร
นํ้า
ประสิทธิภาพ เปนองคประกอบที่
ไมมีชีวิตในระบบนิเวศ
มีสวนสําคัญตอ
การดํารงชีวิต
เพ
จั ด การเรี ย นการสอนทั้ ง หมดของรายวิ ช าก อ นที่ จ ะลงมื อ
แนวตอบ Big Question
สอนจริง คราบนํ้ามันที่ลอยอยูบนผิวนํ้าทะเลจะปดกั้น
การสังเคราะหดวยแสงของพืชนํ้าหรือแพลงกตอน
พื ช บางชนิ ด ทํ า หน า ที่ เ ป น ผู ผ ลิ ต ในระบบนิ เ วศ ตัวชี้วัด
1. รามีบทบาทและหน้าที่เป็นผู้ผลิต
ถูก/ผิด for Understanding ในหนังสือเรียนรายวิชา
พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
เสนอแนะแนวขอสอบ เพือ่ อํานวยความสะดวกใหแกครูผสู อน
2. พืชมีบทบาทเป็นผู้ผลิตในทุก ๆ ระบบนิเวศ หนวยการเรียนรูท่ี 1 เรื่อง องคประกอบของ
ุด
ระบบนิเวศ โดยบันทึกลงในสมุดประจําตัว
สม
นักเรียน
ทึ ก
4. แม่น�้าเป็นองค์ประกอบที่มีชีวิตของระบบนิเวศ
บั น
ตัวชี้วัด
ว 1.1 ม.3/1 อธิบายปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบของระบบนิเวศที่ได้จากการส�ำรวจ
ว 1.1 ม.3/2 อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตรูปแบบต่าง ๆ ในแหล่งที่อยู่เดียวกันที่ได้จากการส�ำรวจ
ว 1.1 ม.3/3 สร้างแบบจ�ำลองในการอธิบายการถ่ายทอดพลังงานในสายใยอาหาร
ว 1.1 ม.3/4 อธิบายความสัมพันธ์ของผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ในระบบนิเวศ
ว 1.1 ม.3/5 อธิบายการสะสมสารพิษในสิ่งมีชีวิตในโซ่อาหาร
ว 1.1 ม.3/6 ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศ โดยไม่ท�ำลายสมดุลของระบบนิเวศ
ว 1.3 ม.3/1 อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซม โดยใช้แบบจ�ำลอง
ว 1.3 ม.3/2 อธิบายการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากการผสมโดยพิจารณาลักษณะเดียวที่แอลลีลเด่นข่มแอลลีลด้อยอย่างสมบูรณ์
ว 1.3 ม.3/3 อธิบายการเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของลูกและค�ำนวณอัตราส่วนการเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของรุ่นลูก
ว 1.3 ม.3/4 อธิบายความแตกต่างของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส
ว 1.3 ม.3/5 บอกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม อาจท�ำให้เกิดโรคทางพันธุกรรม พร้อมทั้งยกตัวอย่างโรคทางพันธุกรรม
ว 1.3 ม.3/6 ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เรื่องโรคทางพันธุกรรม โดยรู้ว่าก่อนแต่งงานควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยง
ของลูกที่อาจเกิดโรคทางพันธุกรรม
ว 1.3 ม.3/7 อธิบายการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม และผลกระทบที่อาจมีต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมโดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้
ว 1.3 ม.3/8 ตระหนักถึงประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่อาจมีต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยการเผยแพร่ความรู้ที่ได้
จากการโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีข้อมูลสนับสนุน
ว 1.3 ม.3/9 เปรียบเทียบความหลากหลายทางชีวภาพในระดับชนิดสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศต่าง ๆ
ว 1.3 ม.3/10 อธิบายความส�ำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพที่มีต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศและต่อมนุษย์
ว 1.3 ม.3/11 แสดงความตระหนักในคุณค่าและความส�ำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาความหลากหลาย
ทางชีวภาพ
ว 2.1 ม.3/1 ระบุสมบัตทิ างกายภาพและการใช้ประโยชน์วสั ดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุผสม โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และสารสนเทศ
ว 2.1 ม.3/2 ต ระหนักถึงคุณค่าของการใช้วสั ดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุผสม โดยเสนอแนะแนวทางการใช้วสั ดุอย่างประหยัดและคุม้ ค่า
ว 2.1 ม.3/3 อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมี รวมถึงการจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมเมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยใช้แบบจ�ำลองและสมการข้อความ
ว 2.1 ม.3/4 อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
ว 2.1 ม.3/5 วิเคราะห์ปฏิกิริยาดูดความร้อน และปฏิกิริยาคายความร้อน จากการเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อนของปฏิกิริยา
ว 2.1 ม.3/6 อธิบายปฏิกิริยาการเกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรดกับเบส และปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ โดยใช้
หลักฐานเชิงประจักษ์ และอธิบายปฏิกริ ยิ าการเผาไหม้ การเกิดฝนกรด การสังเคราะห์ดว้ ยแสง โดยใช้สารสนเทศ รวมทัง้ เขียนสมการ
ข้อความแสดงปฏิกิริยาดังกล่าว
ว 2.1 ม.3/7 ระบุประโยชน์และโทษของปฏิกริ ยิ าเคมีทมี่ ตี อ่ สิง่ มีชวี ติ และสิง่ แวดล้อม และยกตัวอย่างวิธปี อ้ งกันและแก้ปญั หาจากปฏิกริ ยิ าเคมีทพี่ บ
ในชีวิตประจ�ำวัน จากการสืบค้นข้อมูล
ว 2.1 ม.3/8 ออกแบบวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจ�ำวัน โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี โดยบูรณาการวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และ
วิศวกรรมศาสตร์
ว 2.3 ม.3/1 วเิ คราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์ กระแสไฟฟ้า และความต้านทาน และค�ำนวณปริมาณทีเ่ กีย่ วข้องโดยใช้สมการ V = IR
จากหลักฐานเชิงประจักษ์
ว 2.3 ม.3/2 เขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้า
ว 2.3 ม.3/3 ใช้โวลต์มิเตอร์ แอมมิเตอร์ในการวัดปริมาณทางไฟฟ้า
ว 2.3 ม.3/4 วิเคราะห์ความต่างศักย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าเมื่อต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมและแบบขนานจากหลักฐาน
เชิงประจักษ์
ว 2.3 ม.3/5 เขียนแผนภาพวงจรไฟฟ้าแสดงการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและขนาน
ว 2.3 ม.3/6 บรรยายการท�ำงานของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อย่างง่ายในวงจรจากข้อมูลที่รวบรวมได้
ว 2.3 ม.3/7 เขียนแผนภาพและต่อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อย่างง่ายในวงจรไฟฟ้า
ว 2.3 ม.3/8 อธิบายและค�ำนวณพลังงานไฟฟ้าโดยใช้สมการ W = Pt รวมทั้งค�ำนวณค่าไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
ว 2.3 ม.3/9 ตระหนักในคุณค่าของการเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยน�ำเสนอวิธีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและปลอดภัย
ว 2.3 ม.3/10 สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายการเกิดคลื่นและบรรยายส่วนประกอบของคลื่น
ว 2.3 ม.3/11 อธิบายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากข้อมูลที่รวบรวมได้
ว 2.3 ม.3/12 ตระหนักถึงประโยชน์และอันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยน�ำเสนอการใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ และอันตรายจากคลื่นแม่เหล็ก
ไฟฟ้าในชีวิตประจ�ำวัน
ว 2.3 ม.3/13 ออกแบบการทดลองและด�ำเนินการทดลอง ด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายกฎการสะท้อนของแสง
ว 2.3 ม.3/14 เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของแสง แสดงการเกิดภาพจากกระจกเงา
ว 2.3 ม.3/15 อธิบายการหักเหของแสงเมื่อผ่านตัวกลางโปร่งใสที่แตกต่างกัน และอธิบายการกระจายแสงของแสงขาวเมื่อผ่านปริซึมจากหลักฐาน
เชิงประจักษ์
ว 2.3 ม.3/16 เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของแสงแสดงการเกิดภาพจากเลนส์บาง
ว 2.3 ม.3/17 อธิบายปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับแสง และการท�ำงานของทัศนอุปกรณ์จากข้อมูลที่รวบรวมได้
ว 2.3 ม.3/18 เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของแสง แสดงการเกิดภาพของทัศนอุปกรณ์และเลนส์ตา
ว 2.3 ม.3/19 อธิบายผลของความสว่างที่มีต่อดวงตาจากข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น
ว 2.3 ม.3/20 วัดความสว่างของแสงโดยใช้อุปกรณ์วัดความสว่างของแสง
ว 2.3 ม.3/21 ตระหนักในคุณค่าของความรู้เรื่องความสว่างของแสงที่มีต่อดวงตา โดยวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาและเสนอแนะการจัดความสว่าง
ให้เหมาะสมในการท�ำกิจกรรมต่าง ๆ
ว 3.1 ม.3/1 อธิบายการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ด้วยแรงโน้มถ่วงจากสมการ F = (Gm1m2 )/r2
ว 3.1 ม.3/2 สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายการเกิดฤดู และการเคลื่อนที่ปรากฏของดวงอาทิตย์
ว 3.1 ม.3/3 สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายการเกิดข้างขึ้นข้างแรม การเปลี่ยนแปลงเวลาการขึ้นและตกของดวงจันทร์ และการเกิดน�้ำขึ้นน�้ำลง
ว 3.1 ม.3/4 อธิบายการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ และยกตัวอย่างความก้าวหน้าของโครงการส�ำรวจอวกาศจากข้อมูลที่รวบรวมได้
รวม 50 ตัวชี้วัด
Pedagogy
คูมือครูร�ยวิช�พื้นฐ�น
วิ
ทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 รวมถึงสื่อการเรียนรู้รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้จัดท�าได้ออกแบบการสอน (Instructional Design) อันเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้และ
เทคนิคการสอนที่เปียมด้วยประสิทธิภาพและมีความหลากหลายให้กับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์
ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนที่หลักสูตรก�าหนดไว้
โดยครูสามารถน�าไปใช้จัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในรายวิชานี้ ได้น�ารูปแบบการสอนแบบสืบเสาะ
หาความรู้ (5Es Instructional Model) มาใช้ในการออกแบบการสอน ดังนี้
ด้วยจุดประสงค์ของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วย
ุนความสนใจ
ให้ผู้เรียนได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ กระต
คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะส�าคัญในการค้นคว้าหาความรู้ และมี Eennggagement
1
สาํ xploration
ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ผู้จัดท�าจึงได้เลือกใช้ eEvvaluatio ล
รวจ
ผ
eE
ตรวจสอบ
n
และคนหา
รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู ้ (5Es Instructional Model) 2
5
ซึ่งเป็นขั้นตอนการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสร้าง
องค์ความรูด้ ว้ ยตนเองผ่านกระบวนการคิดและการลงมือท�า โดยใช้
5Es
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือส�าคัญเพื่อการพัฒนา
bo 4 3
n
El a
tio
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะการเรียนรู้แห่ง ratio na
ขย
รู
คว pl
าม
n Ex ว
าย
ศตวรรษที่ 21 ามเ า ยค
ขาใจ อธิบ
วัสดุในชีวิต
คุ้มค่า (ว 2.1 ม.3/2) - ทักษะการก�ำหนดและ
ควบคุมตัวแปร 11 - ตรวจผังมโนทัศน์
- การน�ำเสนอผลงาน
- ใบงาน
- อปุ กรณ์ทใี่ ช้ปฏิบตั กิ จิ กรรม
ชั่วโมง - การปฏิบัติกิจกรรม - ภาพยนตร์สารคดีสั้น Twig
ประจำ�วัน - สังเกตพฤติกรรม - QR Code
การท�ำงานรายบุคคล - PowerPoint
- สังเกตพฤติกรรม - แบบทดสอบก่อนเรียน
การท�ำงานกลุ่ม - แบบทดสอบหลังเรียน
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน
1. อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมี รวมถึง - ทักษะการวัด - ตรวจแบบทดสอบ - หนังสือเรียนรายวิชา
การจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมเมื่อเกิด - ทักษะการสังเกต ก่อน-หลังเรียน พืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และ
ปฏิกิริยาเคมี โดยใช้แบบจ�ำลองและ - ทักษะการทดลอง - ตรวจแบบฝึกหัด เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
สมการข้อความ (ว 2.1 ม.3/3) - ทักษะการ - ตรวจ Topic Questions - แบบฝึกหัดรายวิชา
2. อธิบายกฎทรงมวลโดยใช้หลักฐานเชิง ลงความเห็น - ตรวจ Unit Questions พื้นฐานวิทยาศาสตร์
ประจักษ์ (ว 2.1 ม.3/4) จากข้อมูล - ตรวจใบงาน และเทคโนโลยี ม.3
3. วิเคราะห์ปฏิกิริยาดูดความร้อน และ - ทักษะการจัดกระท�ำและ - ตรวจผังมโนทัศน์ เล่ม 1
ปฏิกริ ยิ าคายความร้อน จากการเปลีย่ นแปลง สื่อความหมายข้อมูล - ตรวจป้ายนิเทศ - ใบงาน
พลังงานความร้อนของปฏิกิริยา - ทักษะการตีความหมาย - ตรวจแบบจ�ำลอง - อุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติกิจกรรม
(ว 2.1 ม.3/5) ข้อมูลและลงข้อสรุป - การน�ำเสนอผลงาน - ภาพยนตร์สารคดีสั้น Twig
4. อธิบายปฏิกิริยาการเกิดสนิมของเหล็ก - ทักษะการก�ำหนดและ - การปฏิบัติกิจกรรม - QR Code
ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของ ควบคุมตัวแปร - สังเกตพฤติกรรม - PowerPoint
กรดกับเบส และปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ - ทักษะการสร้าง การท�ำงานรายบุคคล - แบบทดสอบก่อนเรียน
4 โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และอธิบาย แบบจ�ำลอง 13 - สังเกตพฤติกรรม - แบบทดสอบหลังเรียน
ปฏิกิริยาการเผาไหม้ การเกิดฝนกรด ชั่วโมง
การท�ำงานกลุ่ม
ปฏิกิริยาเคมี การสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้สารสนเทศ - สังเกตความมีวินัย
รวมทัง้ เขียนสมการข้อความแสดงปฏิกริ ยิ า ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ดังกล่าว (ว 2.1 ม.3/6) ในการท�ำงาน
5. ระบุประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมี
ที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม และ
ยกตัวอย่างวิธีการป้องกันและแก้ปัญหาที่
เกิดจากปฏิกริ ยิ าเคมีทพี่ บในชีวติ ประจ�ำวัน
จากการสืบค้นข้อมูล (ว 2.1 ม.3/7)
6. ออกแบบวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจ�ำวัน
โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี โดย
บูรณาการวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์
(ว 2.1 ม.3/8)
สำรบั ญ
Chapter
Chapter Teacher
Chapter Title Overview
Concept
Script
Overview
หนวยก�รเรียนรูที่ 1 ระบบนิเวศ T2 T3 T4
• องค์ประกอบของระบบนิเวศ T5 -T13
• ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ T14 -T23
• การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ T24 -T31
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 T32 -T39
• พอลิเมอร์ T105-T115
• เซรามิก T116-T123
• วัสดุผสม T124-T129
• ผลกระทบจากการใช้วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก T130-T134
และวัสดุผสม
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 T135-T143
ผูบริโภคทั้งพืชและสัตว ผูบริโภคซากสัตว
ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
รูปแบบความสัมพันธ ลักษณะความสัมพันธ ตัวอยางสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิต ภาวะอิงอาศัย ความสัมพันธของสิง่ มีชวี ติ 2 ชนิด ซึง่ ฝาย - เหาฉลามกับปลาฉลาม
(+, 0) หนึ่งไดประโยชน (ผูอาศัย) อีกฝายหนึ่ง - นกทํารังบนตนไมใหญ
ไมไดและไมเสียประโยชน (ผูใหอาศัย) - กลวยไมกับตนไมใหญ
ภาวะพึ่งพากัน ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ที่ได - ไลเคน (รากับสาหราย)
(+, +) ประโยชนรวมกัน แยกออกจากกันไมได - โพรโทซัวในลําไสปลวก
ประชากร ภาวะปรสิต ความสัมพันธของสิง่ มีชวี ติ 2 ชนิด ซึง่ ฝาย - พยาธิในลําไสใหญของ
(+, -) ปรสิต (parasite) ไดประโยชน อาจอยู คน
ภายนอกหรือภายในรางกายอีกฝายซึง่ เปน - กาฝากกับตนไมใหญ
ผูถูกอาศัย (host) จะเสียประโยชน - เห็บและหมัดบนตัวสุนัข
ภาวะการลาเหยื่อ ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ซึ่ง - เสือลากวาง
กลุมสิ่งมีชีวิต (+, -) ฝายที่เปนผูลา (predator) ไดประโยชน - นกกินหนอน
สวนอีกฝายที่เปนเหยื่อ (prey) จะเสีย - ตนกาบหอยแครง
ประโยชน เพราะเปนอาหารของผูลา กับแมลง
การถายทอดพลังงานในระบบนิเวศ ผูบริโภคลําดับที่ 3
• โซ อ าหาร ความสั ม พั น ธ ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต ในบริ เ วณเดี ย วกั น ที่ มี
การถายทอดพลังงานผานการกินตอกันเปนทอด ๆ เริ่มจากผูผลิต ผูบริโภคลําดับที่ 2
ไปยังผูบริโภค โดยปริมาณพลังงานที่ถายทอดไปตามโซอาหาร
จะลดลงไปทีละขั้นตามลําดับของผูบริโภคที่สูงขึ้น ผูบริโภคลําดับที่ 1
• สายใยอาหาร สิง่ มีชวี ติ ไมไดกนิ เหยือ่ เพียงชนิดเดียว แตกนิ มากกวา
1 ชนิด ทําใหเกิดการถายทอดพลังงานผานการกินที่ซับซอน ผูผลิต
มากขึ้น
T3
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
1. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน หนวย
การเรียนรูที่ 1 ระบบนิเวศ
2. ครูถามคําถาม Big Question เพื่อกระตุน
ความสนใจของนักเรียน โดยใหนกั เรียนรวมกัน
1 ระบบนิเวศ
อภิปรายแสดงความคิดเห็นอยางอิสระ
àÃ×Í¢¹¹éÓÁѹ
Å‹Á¡ÅÒ§·ÐàÅ
มีผลตอระบบนิเวศ
ตนไม ทางทะเลอยางไร
มีบทบาทเปนผูผลิตใน
ระบบนิเวศ สามารถ
เปลีย่ นพลังงานแสง
ใหเปนพลังงานเคมี
ในรูปของอาหาร
นํ้า
เปนองคประกอบที่
ไมมีชีวิตในระบบนิเวศ
มีสวนสําคัญตอ
การดํารงชีวิต
ของสิ่งมีชีวิต
เกร็ดแนะครู
การเรี ย นการสอน เรื่ อ ง ระบบนิ เ วศ นั ก เรี ย นจะได ศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ
องคประกอบของระบบนิเวศ ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
และการถ า ยทอดพลั ง งานในระบบนิ เ วศ ซึ่ ง เป น บทเรี ย นที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ
การดํ า รงชี วิ ต ของมนุ ษ ย ม ากที่ สุ ด ดั ง นั้ น ครู ค วรจั ด การเรี ย นการสอนใน
รูปแบบหองเรียนธรรมชาติ คือ ใหนกั เรียนศึกษาระบบนิเวศทีอ่ ยูร อบตัว วิเคราะห
ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตในทองถิ่น และเพื่อใหเกิดความตระหนักถึงปญหา
ที่ตามมาเมื่อระบบนิเวศสูญเสียสภาวะสมดุล
T4
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Check for Understanding 3. ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเอง
พิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึก กอนเขาสูการเรียนการสอนจากกรอบ Check
ถูก/ผิด for Understanding ในหนังสือเรียนรายวิชา
1. รามีบทบาทและหน้าที่เป็นผู้ผลิต พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
2. พืชมีบทบาทเป็นผู้ผลิตในทุก ๆ ระบบนิเวศ หนวยการเรียนรูที่ 1 เรื่อง องคประกอบของ
มุ ด
3. ต้นไม้เป็นองค์ประกอบที่ไม่มีชีวิตของระบบนิเวศ ระบบนิเวศ โดยบันทึกลงในสมุดประจําตัว
นส
งใล
นักเรียน
ทึ ก
4. แม่น�้าเป็นองค์ประกอบที่มีชีวิตของระบบนิเวศ
บั น
5. อุณหภูมิมีผลต่อการกระจายของสิ่งมีชีวิต 4. ใหนักเรียนทํากิจกรรม Engaging Activity
โดยพิจารณาภาพระบบนิเวศในทะเลและระบบ
นิเวศในปา ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน
E ngaging ให้นักเรียนศึกษาภาพที่ 1 และภาพที่ 2 แล้วร่วมกันวิเคราะห์ว่า องค์ประกอบ
ที่อยู่ในภาพมีอะไรบ้าง และองค์ประกอบที่อยู่ในภาพมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
วิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3 เล ม 1
หน ว ยการเรี ย นรู ที่ 1 เรื่ อ ง องค ป ระกอบ
Activity
ของระบบนิเวศ จากนั้นใหนักเรียนวิเคราะห
ภาพที่ 1 องคประกอบทีอ่ ยูใ นภาพวามีความสัมพันธกนั
อยางไร
ภาพที่ 2
T5
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูถามคําถาม Key Question Key 1 องคประกอบของระบบนิเวศ
2. ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5-6 คน ตามความ Question สภาพแวดล อ มบนโลกในแต ล ะพื้ น ที่ มี ค วามแตกต า งกั น
สมัครใจ เพื่อทํากิจกรรม สํารวจระบบนิเวศ แหลงทีอ่ ยูอ าศัยสําคัญ บางพืน้ ทีม่ สี ภาพเปนปาไม บางพืน้ ทีม่ สี ภาพเปนทะเลทราย บางพืน้ ที่
ในทองถิน่ กับสิง่ มีชวี ติ อยางไร มีสภาพเปนทะเล หรือบางพื้นที่มีสภาพเปนภูเขา ซึ่งในแตละพื้นที่
3. ใหสมาชิกภายในกลุมแบงหนาที่และความ จะพบทัง้ สิง่ มีชวี ติ และสิง่ ไมมชี วี ติ ทีม่ คี วามสัมพันธกนั อยางเปนระบบ
รับผิดชอบกัน ดังนี้ มาอาศัยอยูรวมกันเปนระบบนิเวศ (ecosystem)
- สมาชิกคนที่ 1-2 : ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ สภาพแวดลอมบนโลกมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยูตลอดเวลา บางบริเวณเกิดการเปลี่ยนแปลงอยางชา ๆ
อุปกรณ จึงไมสงผลกระทบตอความสัมพันธของสิ่งมีชีวิต แตบางบริเวณเกิดการเปลี่ยนแปลงอยางกะทันหันและรุนแรง อาจ
- สมาชิกคนที่ 3-4 : ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ สงผลกระทบตอความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตซึ่งมีอิทธิพลตอสมดุลของระบบนิเวศ
กิจกรรมและนํามาอธิบายใหสมาชิกภายใน
กลุมฟง
กิจกรรม
- สมาชิกคนที่ 5-6 : ทําหนาที่บันทึกผลการ
สํารวจระบบนิเวศในทองถิ่น
ทํากิจกรรม
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
จุดประสงค - การวัด
- การสังเกต
- การจําแนกประเภท
อธิบายปฏิสัมพันธขององคประกอบของระบบนิเวศที่ไดจากการสํารวจได - การจัดกระทําและสื่อความหมาย
ขอมูล
- การตีความหมายขอมูล
วัสดุอปุ กรณ และลงขอสรุป
จิตวิทยาศาสตร
1. แทงแกว 7. อุปกรณเครื่องเขียน - ความสนใจใฝรู
- ความรับผิดชอบ
2. แวนขยาย 8. สไลดและแผนปดสไลด - การทํางานรวมกับผูอื่นได
3. สมุดบันทึก 9. กลองจุลทรรศนแบบใชแสง อยางสรางสรรค
4. ขวดพลาสติก 10. กระดาษยูนิเวอรซัลอินดิเคเตอร
5. กระจกนาฬกา 11. มาตรความสวางหรือลักซมิเตอร
6. เทอรมอมิเตอร
วิธปี ฏิบตั ิ
1. ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5-6 คน แลวรวมกันสํารวจพืน้ ทีแ่ หลงนํา้ หรือบนบก โดยกําหนดขอบเขตบริเวณทีศ่ กึ ษาและบันทึก
สภาพแวดลอมทั่วไปของบริเวณที่สํารวจ
T6
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันกําหนดปญหา
2. สํารวจองคประกอบที่ไมมีชีวิต โดยปฏิบัติ ดังนี้
2.1 วัดอุณหภูมิโดยใชเทอรมอมิเตอรจุมลงในนํ้าหรือวัดอุณหภูมิที่ผิวดิน แลวบันทึกคาอุณหภูมิที่อานได และตั้ ง สมมติ ฐ าน จากนั้ น ร ว มกั น ปฏิ บั ติ
2.2 วัดความเปนกรด-เบสโดยใชแทงแกวจุมลงในนํ้าหรือนําดินระดับผิวประมาณ 50 กรัม ใสลงในภาชนะและเติมนํ้ากลั่น กิจกรรมตามขั้นตอน
โดยใชแทงแกวคนใหเขากัน แลวแตะลงบนกระดาษยูนิเวอรซัลอินดิเคเตอร เทียบสีมาตรฐาน แลวบันทึกคา pH ที่อานได 5. ใหนกั เรียนแตละกลุม รวมกันแลกเปลีย่ นความรู
2.3 วัดความเขมแสงโดยใชมาตรความสวางหรือลักซมิเตอร และวิ เ คราะห ผ ลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม แล ว
3. สํารวจองคประกอบทีม่ ชี วี ติ โดยบันทึกสิง่ มีชวี ติ ทีพ่ บ พรอมระบุชอื่ อภิปรายผลรวมกัน
รูปราง ลักษณะ จํานวน หรือตักแหลงนํา้ ตัวอยางใสขวดพลาสติก
6. ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผล
เพือ่ นํามาศึกษาโดยใชแวนขยายหรือกลองจุลทรรศน บันทึกลงใน
สมุดบันทึก การปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน ในระหวาง
ที่นักเรียนนําเสนอ ครูคอยใหขอเสนอแนะ
เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
7. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม
เพื่อใหไดขอสรุปวา ระบบนิเวศประกอบดวย
องคประกอบที่ไมมีชีวิตและองคประกอบที่
มีชีวิตซึ่งมีความสัมพันธกัน
8. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
ภาพที่ 1.2 กิจกรรมสํารวจองคประกอบที่ไมมีชีวิตและมีชีวิตของระบบนิเวศในทองถิ่น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
คําถามทายกิจกรรม
1. ยกตัวอยางองคประกอบที่พบในบริเวณที่สํารวจ
2. สิ่งมีชวี ิตที่พบมีความสัมพันธกับสิ่งมีชีวิตในบริเวณที่สํารวจอยางไร
3. สิ่งมีชวี ิตที่พบมีความสัมพันธกับสิ่งไมมีชีวิตในบริเวณที่สํารวจอยางไร
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
อภิปรายผลกิจกรรม
1. ขึน้ อยูก บั ผลกิจกรรม ตัวอยางเชน องคประกอบ
จากการสํารวจระบบนิเวศตาง ๆ ในทองถิ่น จะพบสิ่งมีชีวิตชนิดตาง ๆ มาอาศัยอยูรวมกัน เรียกวา กลุมสิ่งมีชีวิต (community) ทีไ่ มมชี วี ติ เชน แสง นํา้ แกสคารบอนไดออกไซด
และสิง่ ไมมชี วี ติ เชน แสง ดิน หิน นํา้ อากาศ อุณหภูมิ กลุม สิง่ มีชวี ติ ในแหลงทีอ่ ยูเ ดียวกันจะมีความสัมพันธกนั และมีความสัมพันธ
กับสิ่งไมมีชีวิตดวย ตัวอยางเชน พืชตองการแสง นํ้า และแกสคารบอนไดออกไซดในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อใชในกระบวนการ แก ส ออกซิ เ จน อุ ณ หภู มิ หิ น ดิ น และ
ผลิตอาหาร ปลาอาศัยอยูในนํ้าและใชหินเปนที่หลบภัย เรียกบริเวณตาง ๆ ที่เปนที่อยูอาศัยของสิ่งมีชีวิตวา แหลงที่อยู (habitat) องคประกอบที่มีชีวิต เชน ปลา นก มนุษย
ประกอบกับองคประกอบทางกายภาพทีเ่ หมาะสมตอการดํารงชีวติ ดังนัน้ ระบบนิเวศ คือ หนวยของความสัมพันธระหวางสิง่ มีชวี ติ แมลง จุลินทรียที่อยูในดินหรือนํ้า
กับสิ่งแวดลอม ทั้งที่เปนสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิต ในแหลงที่อยูอาศัยแหลงใดแหลงหนึ่ง
2. ขึ้นอยูกับผลกิจกรรม ตัวอยางเชน การกินกัน
เปนอาหาร
จากกิจกรรมจะพบวา ระบบนิเวศในแตละพืน้ ทีต่ า งประกอบไปดวยองคประกอบ 2 ประเภท คือ องคประกอบที่ 3. ขึ้นอยูกับผลกิจกรรม ตัวอยางเชน สิ่งไมมีชีวิต
ไมมีชีวิตและองคประกอบที่มีชีวิต
เปนปจจัยในการดํารงชีวิตใหกับสิ่งมีชีวิต เชน
ระบบนิเวศ 5 สิ่งมีชีวิตตองการนํ้า แกส อุณหภูมิที่เหมาะตอ
การดํารงชีวิต
ขอใดหมายถึงกลุมสิ่งมีชีวิต องคประกอบที่ไมมีชีวิต
1. ตนมะพราวจํานวน 500 ตน เครื่องมือ ดิน แหลงนํ้า
2. มดหลายตัวที่ทํารังอยูบนตนมะพราว เทอรมอมิเตอร
3. ตนมะพราวที่มีทั้งผึ้งงานและนางพญาผึ้ง ารสํารวจ
กระดาษยูนิเวอรซัลอินดิเคเตอร ูกบั ผลก
4. ตนมะพราวที่มีทั้งมด งู นก ลิง ที่มาอาศัยอยูรวมกัน
ลักซมิเตอร ขึ้นอย
(วิเคราะหคําตอบ กลุมสิ่งมีชีวิต คือ สิ่งมีชีวิตชนิดตางๆ ที่มา
อาศัยอยูรวมกัน ดังนั้น ตอบขอ 4.) องคประกอบที่มีชีวิต
สิ่งมีชีวิต รูปรางและลักษณะ จํานวน
รสํา รวจ
ูกับผลกา
ขึ้นอย
T7
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
9. ใหนักเรียนแบงกลุมเดิมจากการทํากิจกรรม 1.1 องค์ประกอบที่ ไม่มีชีวิต
สํารวจระบบนิเวศในทองถิ่น แลวใหสมาชิก องคประกอบที่ไม่มีชีวิต (abiotic component) เป็นส่วนที่ท�าให้ระบบนิเวศเกิดความสมดุล ซึ่งมีอิทธิพลต่อ
การด�ารงชีวิตและการกระจายของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ หากขาดองค์ประกอบที่ไม่มีชีวิตเหล่านี้ สิ่งมีชีวิต
ภายในกลุมแบงหนาที่ออกเปน 2 ฝาย ดังนี้ จะไม่สามารถด�ารงชีวิตอยู่ได้ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
ฝายที่ 1 : ศึกษาองคประกอบที่ไมมีชีวิตและ
1. อนินทรียสาร (inorganic substance) เป็นสารที่ได้จากธรรมชาติ มีดังนี้
องคประกอบที่มีชีวิต จากหนังสือ แร่ธาตุ พืชและสัตว์แต่ละชนิดมีความต้องการแร่ธาตุต่าง ๆ ในปริมาณที่แตกต่างกัน เช่น พืชต้องการ
เรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมในปริมาณมาก ในขณะที่ธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม ก�ามะถัน เป็นธาตุที่
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 พืชต้องการในปริมาณน้อย แต่ขาดไม่ได้ หากขาดแร่ธาตุเหล่านี้ พืชจะเป็นโรคและตายในที่สุด
หนวยการเรียนรูที่ 1 เรื่อง แกสต่าง ๆ เช่น แกสออกซิเจน แกสคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นแกสที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการหายใจ
องคประกอบของระบบนิเวศ หรือ ของสิ่งมีชีวิต โดยทั่วไปสิ่งมีชีวิตจะหายใจเอาแกสออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย ยกเว้นแบคทีเรียบางชนิด แล้วปล่อย
จากแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน แกสคาร์บอนไดออกไซด์กลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันพืชจะน�าแกสคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ในกระบวนการ
สังเคราะห์ด้วยแสง แล้วปล่อยแกสออกซิเจนออกทางปากใบ นอกจากนี้ พืชบางชนิดอาศัยแบคทีเรียช่วยตรึง
อินเทอรเน็ต
แกสไนโตรเจนในบรรยากาศให้กลายเป็นสารประกอบไนโตรเจน เพื่อให้พืชสามารถน�าไปใช้ประโยชน์ได้
ฝายที่ 2 : เตรียมอุปกรณ ไดแก กระดาษ A4
นํ้า เป็นปจจัยก�าหนดสภาพแวดล้อม ความอุดมสมบูรณ์ ลักษณะและชนิดของระบบนิเวศ สิ่งมีชีวิต
อุปกรณเครื่องเขียน และสีไม
ขัน้ สอน ทุกชนิดล้วนจ�าเป็นต้องอาศัยน�้าในการด�ารงชีวิต เนื่องจากน�้าเป็นที่อยู่อาศัยและเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
อธิบายความรู บางชนิด เช่น ปลาอาศัยอยู่ในน�้า ยุงใช้น�้าเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ และสิ่งมีชีวิตต้องการน�้าเพื่อใช้อุปโภคและบริโภค
T8
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
2. อินทรียสาร (organic substance) เป็นสารที่ได้จากสิ่งมีชีวิต เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน 11. ครูตั้งประเด็นถามคําถามนักเรียน ดังนี้
ซึ่งได้จากการเน่าเปอยและผุพังของซากพืชซากสัตว์ แล้วทับถมกลายเป็นฮิวมัส
• ฮิวมัสมีอทิ ธิพลตอสิง่ มีชวี ติ ชนิดใด อยางไร
3. สภาพแวดล้อมทางกายภาพ (physical environment) ท�าให้สิ่งมีชีวิตมีการปรับตัวให้เข้ากับ (แนวตอบ ฮิวมัสมีอิทธิพลตออินทรียวัตถุ
สภาพแวดล้อม และมีอิทธิพลต่อการกระจายของสิ่งมีชีวิต ตัวอย่างเช่น
แสงสว่าง แสงจากดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานส�าคัญของโลก โดยพืชสามารถเปลี่ยนพลังงานแสง ในดิน บงบอกวาดินมีความอุดมสมบูรณ
ให้กลายเป็นพลังงานเคมีในรูปของอาหารด้วยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง และได้แกสออกซิเจนซึ่งจ�าเป็น ของธาตุอาหาร ทําใหพืชเจริญเติบโตดี)
ต่อกระบวนการหายใจของสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้ แสงยังเป็นตัวก�าหนดพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตอีกด้วย เช่น การหุบ • นักเรียนคิดวา แสงมีอิทธิพลตอจํานวน
และบานของดอกไม้ การเปด-ปดปากของใบพืช สิง่ มีชวี ติ ในระบบนิเวศหรือไม จงยกตัวอยาง
ประกอบ
(แนวตอบ ตัวอยางเชน ระบบนิเวศชายฝง
ยอมมีจํานวนสิ่งมีชีวิตมากกวาระบบนิเวศ
ในทะเลนํ้าลึก)
• เพราะเหตุใดดินหรือแหลงนํา้ ในแตละพืน้ ที่
จึงมีคาความเปนกรด-เบสไมเทากัน
(แนวตอบ เพราะในแตละพืน้ ทีต่ า งมีปริมาณ
ภาพที่ 1.4 นกฮูกออกหากินเวลากลางคืน ภาพที่ 1.5 ดอกทานตะวันหันหน้าเข้าหาแสง แรธาตุที่ละลายในดินและในนํ้าไมเทากัน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท. ประกอบกับกิจกรรมของสิง่ มีชวี ติ ทีอ่ าศัยอยู
แตกตางกัน)
ความเปนกรด-เบสของดินและนํ้า สภาพความเป็นกรด-เบสในดินหรือน�้าแต่ละแห่งจะมีค่าไม่เท่ากัน
ขึน้ อยูก่ บั ปริมาณแร่ธาตุตา่ ง ๆ ทีอ่ ยูใ่ นดิน โดยสิง่ มีชวี ติ แต่ละชนิดต้องอาศัยอยูใ่ นสภาพทีม่ คี วามเป็นกรด-เบสทีเ่ หมาะสม
จึงจะด�ารงชีวิตอยู่ได้ เช่น พืชส่วนใหญ่เจริญได้ดีในดินที่มีสภาพเป็นกลาง
ระบบนิเวศ 7
T9
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
12. ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันวิเคราะหผลที่ ความเค็มของดินและนํ้า ความเค็มมีอิทธิพลอย่างมากกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณผิวน�้า ตัวอย่างเช่น
ป่าชายเลนเป็นบริเวณชายฝงทะเลที่มีการเปลี่ยนแปลงความเค็มตลอดเวลา ในเวลาน�้าลงระดับความเค็มของดิน
ไดจากกิจกรรม สํารวจระบบนิเวศในทองถิ่น
ในป่าชายเลนจะมากขึ้น และจะลดลงเมื่อมีน�้าจากแม่1น�้าไหลมาปะปนกับน�้าทะเล พืชที่เจริญในดินเค็มหรือ
เพื่อจําแนกวาเปนองคประกอบประเภทใด ดินที่มีค่าการน�าไฟฟาของสารละลายที่สกัดจากดินที่อิ่มตัวด้วยน�้ามากกว่า 2 เดซิซีเมนส์ต่อเมตร ที่อุณหภูมิ 25
และสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ สํ า รวจได มี บ ทบาทอย า งไร องศาเซลเซียส จะส่งผลให้พืชมีล�าต้นแคระแกร็น ใบไหม้ และตายในที่สุด
ในระบบนิเวศ โดยบันทึกผลลงในกระดาษ A4 กระแสลม มีอิทธิพลต่อการผสมพันธุ์ของพืช การแพร่กระจายพันธุ์พืช และการคายน�้าของพืช
พรอมตกแตงชิ้นงานใหสวยงาม
13. ครูสุมตัวแทนนักเรียนของแตละกลุมออกมา
นําเสนอชิ้นงานหนาชั้นเรียน ในระหวางที่
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะ
เพิ่มเติม เพื่อใหนักเรียนทุกคนมีความเขาใจ
ที่ตรงกัน
14. ครูถามคําถามในหนังสือเรียนรายวิชาพืน้ ฐาน ภาพที่ 1.8 สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนต้องปรับตัวให้ทนต่อ ภาพที่ 1.9 เกสรดอกหญ้าพัดไปตามลมไปยังพื้นที่ต่าง ๆ
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนา 8 ความเค็มได้
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ที่มา : คลังภาพ อจท.
T10
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
1.2 องคประกอบที่มีชีวิต 15. ใหนักเรียนศึกษาภาพที่ 1.11 แลวครูถาม
องคประกอบที่มีชีวิต (biotic component) ไดแก สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อาศัยอยูในระบบนิเวศนั้น เชน พืช คําถามนักเรียน ดังนี้
จุลินทรีย สัตว โดยสิ่งมีชีวิตแตละชนิดมีความสัมพันธกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นและสิ่งแวดลอม • จงยกตัวอยางสิ่งมีชีวิตที่เห็นในภาพ
(แนวตอบ พืช ยีราฟ มาลาย ชาง แรง)
• สิ่งมีชีวิตที่เห็นในภาพมีบทบาทและหนาที่
อยางไร
(แนวตอบ พืช ทําหนาที่เปนผูผลิต
ยีราฟ มาลาย ชาง ทําหนาที่
เปนผูบริโภคพืช
แรง ทําหนาที่เปนผูบริโภคซากสัตว)
16. ใหนักเรียนแตละคนสืบคนและศึกษาขอมูล
เพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ บทบาทของสิ่ ง มี ชี วิ ต ใน
ระบบนิเวศจาก QR Code เรื่อง บทบาทของ
สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
17. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามเนื้อหาเกี่ยว
กับเรื่อง องคประกอบของระบบนิเวศ และ
ใหความรูเ พิม่ เติม โดยครูอาจใช PowerPoint
เรื่อง องคประกอบของระบบนิเวศ
18. ใหนักเรียนตอบคําถาม Topic Questions
เรื่ อ ง องค ป ระกอบของระบบนิ เ วศ จาก
หนังสือเรียนรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตรและ
เทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 1
ภาพที่ 1.11 สัตวปาที่มาอาศัยอยูในพื้นที่เดียวกัน
ที่มา : คลังภาพ อจท. เรื่อง องคประกอบของระบบนิเวศ ลงในสมุด
ประจําตัวนักเรียน
จากภาพที่ 1.11 จะเห็นวา ปาแอฟริกาใตประกอบ ยกตั ว อย า งสิ่ ง มี ชี วิ ต ในภาพที่ 1.11
19. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน
ไปดวยองคประกอบที่ไมมีชีวิตและองคประกอบที่มีชีวิต ที่มีบทบาทเปนผูผลิต ผูบริโภค และ วิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3 เล ม 1
ผูยอยสลายสารอินทรีย ตามลําดับ
โดยองค ป ระกอบที่ มี ชี วิ ต ต า งมี บ ทบาทและหน า ที่ เรื่อง องคประกอบของระบบนิเวศ
ที่แตกตางกัน บางชนิดมีบทบาทเปนผูผลิต บางชนิด
มี บ ทบาทเป น ผู บ ริ โ ภค และบางชนิ ด มี บ ทบาทเป น
ผูยอยสลายสารอินทรีย
บทบาทของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ระบบนิเวศ 9
กิจกรรม ทาทาย
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน สืบคนขอมูลเพิ่มเติมวา
มนุ ษ ย มี ก ารนํ า ความรู จ ากสมบั ติ ข องผู ย อ ยสลายสารอิ น ทรี ย
มาใชประโยชนอยางไรบาง จากนั้นใหนักเรียนรวบรวมขอมูล
และจัดทํารายงาน พรอมนําเสนอหนาชั้นเรียน
T11
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
20. ครูกําหนดปญหาเกี่ยวกับราคาไขไกที่แพง สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศมีบทบาทที่แตกตางกัน พลังงาน
ดังนี้ แสง
ขึ้นในปจจุบัน โดยใหนักเรียนออกแบบระบบ
นิเวศของฟารมไกจาํ ลอง โดยใชระบบอินทรีย 1. ผูผลิต (producer) คือ สิ่งมีชีวิตที่สามารถ
สรางอาหารเองได ไดแก พืชและจุลินทรียบางชนิด เชน พลังงาน
หรือระบบเลี้ยงไกแบบธรรมชาติ โดยจําแนก แพลงกตอนพืช ไซยาโนแบคทีเรีย ผูผลิตมีบทบาท
องคประกอบของระบบนิเวศ พรอมอธิบาย สําคัญมากตอระบบนิเวศ ทําหนาที่เปลี่ยนพลังงานแสง พลังงาน
ความสัมพันธระหวางองคประกอบภายใน จากดวงอาทิตยไปเปนพลังงานเคมีในรูปของอาหารดวย พลังงาน
ระบบนิเวศลงในใบงาน เรื่อง ระบบนิเวศ กระบวนการสังเคราะหดวยแสง แลวถายทอดพลังงาน
จําลอง ไปสูผูบริโภคผานการกินกันเปนทอด ๆ
2. ผูบริโภค (consumer) คือ สิ่งมีชีวิตที่
ไมสามารถสรางอาหารไดเอง จําเปนตองมีการบริโภค
สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น แบงออกเปน 4 ประเภท ดังนี้ ภาพที่ 1.12 ผูผลิตเปลี่ยนพลังงานแสงใหเปนพลังงานเคมี
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ผูบริโภคพืช (herbivore)
เปนผูบริโภคที่กินพืช
เปนอาหาร เชน ชาง ผูบริโภคสัตว (carnivore)
มา วัว ควาย
กวาง เปนผูบริโภคที่กิน
สัตวเปนอาหาร
เชน สิงโต เสือ
ฉลาม
ผูบริโภคทั้งพืชและสัตว (omnivore)
เปนผูบริโภคที่กินทั้งพืช
และสัตวเปนอาหาร
เชน มนุษย
ไก เปด
ผูบริโภคซากสัตว (scavenger)
เปนผูบริโภคที่กิน
ซากสัตวเปนอาหาร
เชน แรง ไสเดือน
ภาพที่ 1.13 ผูบริโภคทั้ง 4 ประเภท
ที่มา : คลังภาพ อจท.
10
สื่อ Digital
ให นั ก เรี ย นศึ ก ษาเพิ่ ม เติ ม จาก
ภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง ปจจัย
ที่มีชีวิตในระบบนิเวศ (https://www.
twig-aksorn.com/film/biotic-factors-
in-ecosystems-8101/)
T12
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป องค ป ระกอบ
3. ผูยอยสลายสารอินทรีย (decomposer) ของระบบนิ เ วศ ซึ่ ง ควรได ข อ สรุ ป ร ว มกั น ว า
คือ สิ่งมีชีวิตที่ไมสามารถสรางอาหารไดเอง ตองอาศัย
ระบบนิเวศประกอบไปดวยองคประกอบ 2 ประเภท
การยอยสลายซากสิ่งมีชีวิตอื่นโดยผลิตเอนไซมออก
มายอยซากสิ่งมีชีวิตใหเปนสารชีวโมเลกุลขนาดเล็ก คื อ องค ป ระกอบที่ ไ ม มี ชี วิ ต และองค ป ระกอบ
แลวดูดซึมนําไปใชเปนอาหาร อีกสวนหนึง่ ปลอยกลับคืน ที่ มี ชี วิ ต ที่ มี ป ฏิ สั ม พั น ธ กั น โดยองค ป ระกอบ
สูธรรมชาติ ตัวอยางผูยอยสลายสารอินทรีย เชน รา ทีไ่ มมชี วี ติ เปนปจจัยทีส่ าํ คัญในการดํารงชีวติ ของ
แบคทีเรีย สิง่ มีชวี ติ และองคประกอบทีม่ ชี วี ติ มีความสัมพันธ
ปจจุบันมนุษยไดนําผูยอยสลายสารอินทรียมา กับองคประกอบทีม่ ชี วี ติ เชน การกินของสิง่ มีชวี ติ
รับประทานเปนอาหาร เชน เห็ดชนิดตาง ๆ หรือนํา สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศจึงมีบทบาทที่แตกตางกัน
แบคที เ รี ย บางชนิ ด มาใช ป ระโยชน ใ นอุ ต สาหกรรม ภาพที่ 1.14 เห็ดเปนอาหารที่มนุษยนําไปบริโภค คือ ผูผลิต ผูบริโภค และผูยอยสลายสารอินทรีย
การผลิตอาหาร เชน นมเปรี้ยว โยเกิรต นํ้าสมสายชู ที่มา : คลังภาพ อจท.
นอกจากนี้ สารบางชนิดที่ผลิตไดจากรามีฤทธิ์เปนยา เชน เพนิซิลลินผลิตไดจากราเพนิซิลเลียม แตผูยอยสลาย ขัน้ ประเมิน
สารอินทรียบางชนิดกอใหเกิดอันตราย เชน ทําใหอาหารเนาเสีย ทําใหเกิดโรคในมนุษย ตรวจสอบผล
Application
1. ตรวจแบบทดสอบกอนเรียน หนวยการเรียนรู
ที่ 1 ระบบนิเวศ
Activity 2. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
ไขไกเปนอาหารที่อุดมไปดวยสารอาหารที่มีความจําเปนตอรางกาย อยางนอยควรรับประทานไขไก และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง องคประกอบ
วันละ 1-2 ฟอง ในปจจุบันราคาไขไกสูงขึ้น ใหนักเรียนนําความรู เรื่อง องคประกอบของระบบนิเวศ ของระบบนิเวศ
มาสรางฟารมไกระบบอินทรียหรือระบบเลี้ยงไกแบบธรรมชาติ เพื่อดําเนินชีวิตตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
โดยใหนักเรียนออกแบบระบบนิเวศฟารมไกจําลอง แลวจําแนกองคประกอบของระบบนิเวศ พรอมอธิบาย
3. ตรวจใบงาน เรื่อง ระบบนิเวศจําลอง
ความสัมพันธระหวางองคประกอบภายในระบบนิเวศ พรอมนําเสนอในรูปแบบที่นาสนใจ 4. ตรวจสอบผลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม สํ า รวจ
ระบบนิเวศในทองถิ่น
5. ตรวจคํ า ตอบ Topic Questions ในสมุ ด
ประจําตัวนักเรียน
Topic Questions
6. ตรวจผั ง มโนทั ศ น เรื่ อ ง องค ป ระกอบของ
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้ ระบบนิเวศ
1. สนามหญาจัดเปนระบบนิเวศหรือไม อยางไร 7. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุมและจากการ
2. แสงจากดวงอาทิตยสําคัญตอระบบนิเวศอยางไร
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม
3. องคประกอบของระบบนิเวศประกอบดวยอะไรบาง
8. ประเมิ น คุ ณ ลั ก ษณะอั น พึ ง ประสงค โดย
4. ผูบริโภคซากสัตวแตกตางจากผูยอยสลายสารอินทรียอยางไร
สั ง เกตความมี วิ นั ย ใฝ เ รี ย นรู และมุ ง มั่ น
5. ผูยอยสลายสารอินทรียมีความสําคัญตอระบบนิเวศอยางไร
ในการทํางาน
ระบบนิเวศ 11
ลาดับที่
4 3
ระดับคุณภาพ
2 1
4. ผูบริโภคซากสัตวจะบริโภคซากสิ่งมีชีวิตโดยตรง แตผูยอยสลายสาร
รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............../................./................
เกณฑ์ประเมินแผนผังมโนทัศน์
ระดับคะแนน
อินทรียจะปลอยเอนไซมออกมายอยซากสิ่งมีชีวิตจนกลายเปนโมเลกุล
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. ผลงานตรงกับ ผล งา น สอดค ล้ องกั บ ผ ล ง า น ส อด ค ล้ อ งกั บ ผลงานสอดคล้ อ งกั บ ผลงานไม่ ส อดคล้ อ ง
จุดประสงค์ที่ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ บ า ง กับจุดประสงค์
กาหนด ประเด็น
ที่เหลือจะปลอยกลับคืนสูธรรมชาติ
แปลกใหม่และเป็นระบบ แปลกใหม่
4. ผลงานมีความ ผ ล ง า น มี ค ว า ม เ ป็ น ผลงานส่ ว นใหญ่ มี ค วาม ผลงานมี ค วามเป็ น ผลงานส่ ว นใหญ่ ไ ม่
เป็น ระเบียบ ระเบี ย บแสดงออกถึ ง เ ป็ น ร ะ เ บี ย บ แ ต่ ยั ง มี ร ะ เ บี ย บ แ ต่ มี เป็นระเบียบและมีข้อ
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย ข้อบกพร่องบางส่วน บกพร่องมาก
5. ทําใหเกิดการหมุนเวียนของสารหรือวัฏจักรของสารในระบบนิเวศ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 7 ปรับปรุง
T13
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ม ุ ด
ระหวางสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ โดยบันทึก
3. สิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบการกินกันเป็นอาหาร
น ส
ง ใ
ล
ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
ท ึ ก
4. ดอกไม้ไม่ได้ประโยชน์จากผึ้งที่มาดูดกินน�้าหวานจากเกสร
บ ั น
2. ใหนักเรียนทํากิจกรรม Engaging Activity 5. กล้วยไม้ช่วยดูดซึมธาตุอาหารให้กับต้นไม้ใหญ่ ส่วนต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา
โดยพิจารณาภาพรังตอบนตนไมและกาฝาก
บนตนไม จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน
วิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3 เล ม 1
หน ว ยการเรี ย นรู ที่ 1 เรื่อง ความสัมพันธ E ngaging ให้นกั เรียนพิจารณาต้นไม้ ในภาพที่ 1 และภาพที่ 2 แล้วตอบค�าถามว่า เพราะเหตุใด
ต้นไม้ทั้ง 2 ต้น จึงมีลักษณะแตกต่างกัน
Activity
ระหว า งสิ่ ง มี ชี วิ ต ในระบบนิ เ วศ จากนั้ น ครู
ตัง้ ประเด็นถามคําถามกระตุน ความคิดนักเรียน
วา เพราะเหตุใดตนไมทั้ง 2 ตน จึงมีลักษณะ
ภาพที่ 1
แตกตางกัน
ภาพที่ 2
T14
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
Key 2 ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิต 1. ครูถามคําถาม Key Question
Question ในระบบนิเวศ 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 6 คน
เพราะเหตุใดเหาฉลาม ในธรรมชาติกลุมสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศลวนมีความสัมพันธ 3. ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษากิจกรรม
จึงอยูร ว มกับปลาฉลามได ระหวางสิ่งมีชีวิตดวยกันทั้งทางตรงและทางออม โดยสิ่งมีชีวิตแตละ สํารวจรูปแบบความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิต
ชนิดไมสามารถดํารงชีวิตแบบอิสระได เชน ถึงแมวาพืชจะเปน ภายในโรงเรียน โดยครูใชรูปแบบการเรียนรู
สิ่งมีชีวิตที่สามารถสรางอาหารเองได แตจําเปนตองพึ่งพาสัตว แบบร ว มมื อ มาจั ด กระบวนการเรี ย นรู โดย
หรือแมลงชวยผสมเกสรและแพรกระจายเมล็ด กํ า หนดให ส มาชิ ก แต ล ะคนภายในกลุ ม
สิง่ มีชวี ติ ชนิดเดียวกันทีม่ าอาศัยอยูร ว มกันในชวงเวลาเดียวกัน เรียกวา ประชากร (population) เมือ่ ประชากร มีบทบาทหนาที่ของตนเอง ดังนี้
ของสิ่งมีชีวิตหลาย ๆ ชนิด มาอาศัยอยูในแหลงที่อยูเดียวกันเปนกลุมสิ่งมีชีวิต (community) ซึ่งสิ่งมีชีวิตแตละชนิด - สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ
ตางก็มีรูปแบบความสัมพันธท่ีแตกตางกัน โดยความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศอาจทําใหสิ่งมีชีวิต อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม สํารวจ
บางชนิดไดประโยชนหรือเสียประโยชน หรือไมมีผลตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตนั้นเลยก็ได รูปแบบความสัมพันธระหวางสิง่ มีชวี ติ ภายใน
โรงเรียน
กิจกรรม - สมาชิ ก คนที่ 3 ทํ า หน า ที่ อ า นวิ ธีป ฏิ บั ติ
สํารวจรูปแบบความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตภายในโรงเรียน กิ จ กรรมและนํ า มาอธิ บ ายให ส มาชิ ก ใน
กลุมฟง
จุดประสงค
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
- การสังเกต
- สมาชิกคนที่ 4 ทําหนาที่ศึกษาและสืบคน
อธิบายรูปแบบความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตที่ไดจากการสํารวจได
- การจําแนกประเภท
- การลงความเห็นจากขอมูล
ขอมูลเกี่ยวกับรูปแบบความสัมพันธระหวาง
จิตวิทยาศาสตร สิ่งมีชีวิตภายในโรงเรียน
วัสดุอปุ กรณ - ความสนใจใฝรู
- ความรับผิดชอบ - สมาชิกคนที่ 5-6 ทําหนาที่สํารวจสิ่งมีชีวิต
1. แวนขยาย 3. กลองถายรูป
2. สมุดบันทึก 4. อุปกรณเครื่องเขียน
- การทํางานรวมกับผูอื่นได
อยางสรางสรรค
ภายในโรงเรียนใหไดมากที่สุดและบันทึกผล
ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
วิธปี ฏิบตั ิ
4. เมือ่ สมาชิกในกลุม ทําหนาทีข่ องตนเองแลว ให
1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน แลวรวมกันสํารวจพื้นที่ภายในโรงเรียน โดยกําหนดขอบเขตบริเวณที่ศึกษา เชน สระนํ้า
ในโรงเรียน สวนพฤกษศาสตรในโรงเรียน
สมาชิกคนที่ 4 อธิบายทฤษฎีหรือรูปแบบความ
2. สังเกตและบันทึกวา มีสิ่งมีชีวิตคูใดบางที่มีความสัมพันธกัน สั ม พั น ธ ร ะหว า งสิ่ ง มี ชี วิ ต ให ส มาชิ ก ในกลุ ม
3. รวบรวมขอมูลและวิเคราะหขอ มูล เพือ่ ระบุความสัมพันธของสิง่ มีชวี ติ จากขอ 2. วา สิง่ มีชวี ติ ชนิดใดไดประโยชน สิง่ มีชวี ติ ชนิดใด เขาใจ
เสียประโยชน หรือสิ่งมีชีวิตชนิดไมไดรับและไมเสียประโยชน
คําถามทายกิจกรรม แนวตอบ Key Question
1. ในบริเวณที่สํารวจสิ่งมีชีวิตคูใดบางที่มีความสัมพันธกัน เหาฉลามไมไดสรางความเดือดรอนใหกบั ปลา
2. จากขอ 1. สิ่งมีชีวิตชนิดใดไดประโยชน เสียประโยชน หรือไมไดรับและไมเสียประโยชนจากการอยูรวมกัน ฉลามและยังไดรบั เศษอาหารทีเ่ หลือจากการกินของ
ปลาฉลาม ในขณะทีป่ ลาฉลามก็ไมไดรบั และไมเสีย
ระบบนิเวศ 13 ประโยชน เหาฉลามกับปลาฉลามจึงสามารถอยูร ว ม
กันได
ารส ํารวจ
ูกบั ผลก
ขึ้นอย
T15
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. นักเรียนแตละกลุมรวมกันกําหนดปญหาและ อภิปรายผลกิจกรรม
ตั้งสมมติฐาน จากนั้นรวมกันปฏิบัติกิจกรรม
สิ่งมีชีวิตที่มาอยูรวมกันจะมีความสัมพันธกันในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยแบงออกเปน 3 ลักษณะ ไดแก ความสัมพันธ
ตามขั้นตอนจากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน แบบทั้ง 2 ฝายไดรับประโยชน (+, +) ความสัมพันธแบบฝายใดฝายหนึ่งเสียประโยชน (+, -) และความสัมพันธแบบฝายหนึ่ง
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 ไดรับประโยชน และอีกฝายหนึ่งไมไดรับและไมเสียประโยชน (+, 0)
6. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอผลการ
ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมหน า ชั้ น เรี ย น ในระหว า งที่
จากกิจกรรมจะเห็นวา สิ่งมีชีวิตชนิดตาง ๆ ที่มาอยูรวมกันในบริเวณหนึ่งจะมีความสัมพันธกันในรูปแบบใด
นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให ข อ เสนอแนะ
รูปแบบหนึ่ง โดยรูปแบบความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตแบงออกเปนประเภทตาง ๆ ดังนี้
เพิม่ เติม เพือ่ ใหนกั เรียนมีความเขาใจทีถ่ กู ตอง
1. ภาวะอิงอาศัย (commensalism) เปนความสัมพันธของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ที่มาอยูรวมกัน โดยฝายที่
7. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลการปฏิบัติ ขออิงอาศัยจะไดประโยชน (+) สวนอีกฝายที่เปนผูใหอาศัยจะไมไดรับและไมเสียประโยชน (0) มีเครื่องหมายแสดง
กิจกรรม สํารวจรูปแบบความสัมพันธระหวาง ความสัมพันธเปน (+, 0) ตัวอยางเชน
สิ่งมีชีวิตภายในโรงเรียน เพื่อใหไดขอสรุปวา นกทํารังอยูบนตนไมสูง เนื่องจากความสูงของตนไม
สิ่ ง มี ชี วิ ต ไม ส ามารถอยู อ ย า งโดดเดี่ ย วได ชวยปองกันอันตรายจากสัตวใหญและใหความรมเย็นแกนกได
จํ า เป น ต อ งมี ค วามสั ม พั น ธ กั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต อื่ น โดยไมสงผลกระทบตอตนไม ดังนั้น ตนไมจึงไมไดรับและไมเสีย
ประโยชน แตในบางกรณีตนไมอาจไดรับประโยชนจากนกที่ชวย
เพื่ อ ประโยชน ใ นการดํ า รงชี วิ ต ซึ่ ง ความ
กินหนอนหรือแมลงที1่มากัดกินใบไมเปนอาหาร
สัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตมีหลายรูปแบบ เหาฉลามเปนปลาชนิดหนึ่งเกาะติดอยูกับปลาฉลาม
8. ครูถามคําถามทายกิจกรรม โดยใชอวัยวะบริเวณหัวดูดติดกับหนังปลาฉลาม ซึ่งไมไดสราง
ความเดือดรอนใหกับปลาฉลาม แตเหาฉลามจะไดรับประโยชน ภาพที่ 1.16 นก (+) ทํารังบนตนไมสูง (0)
จากการกินเศษอาหารที่เหลือของปลาฉลาม ที่มา : คลังภาพ อจท.
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
ภาพที่ 1.17 เหาฉลาม (+) กับปลาฉลาม (0)
1. ขึ้นอยูกับผลกิจกรรม ตัวอยางเชน พืชกับมนุษย ที่มา : คลังภาพ อจท.
2. ขึ้นอยูกับผลกิจกรรม ตัวอยางเชน ดอกไมกับ 14
ผีเสื้อ นกทํารังบนตนไม แมวกับหนู
T16
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
2. ภาวะพึ่งพากัน (mutualism) เปนความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ที่มาอยูรวมกัน แลวพึ่งพา 9. ใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 4 กลุม กลุมละ
อาศัยซึ่งกันและกัน ตางฝายตางไดประโยชนรวมกัน โดยสิ่งมีชีวิตตองอยูรวมกันตลอดไป ไมสามารถแยกจากกันได
เทาๆ กัน และสงตัวแทนกลุมออกมาจับสลาก
มีเครื่องหมายแสดงความสัมพันธเปน (+, +) ตัวอยางเชน
หมายเลข 1-4 โดยแตละหมายเลขมีขอความ
ไลเคน ลักษณะความสัมพันธของสิ่งมีชีวิต ดังนี้
คือ ความสัมพันธระหวางรากับสาหรายที่อาศัย - หมายเลข 1 สิ่งมีชีวิตตองดํารงชีวิตอยูดวย
อยูรวมกัน โดยสาหรายสามารถสรางอาหารไดเอง กันตลอดเวลา ไมสามารถแยก
จากการสังเคราะหดวยแสง แตไมสามารถดํารงชีวิต จากกันได
อยูไ ดหากไมมคี วามชืน้ จึงจําเปนตองอาศัยความชืน้
- หมายเลข 2 สิ่งมีชีวิตดํารงชีวิตอยูไดอยาง
จากรา สวนราไดประโยชนจากการดูดซึมอาหาร
ที่สาหรายสรางขึ้น อิสระ ถามาอยูร ว มกันตางฝาย
จะใหประโยชนซึ่งกันและกัน
ภาพที่ 1.18 ไลเคน
ที่มา : คลังภาพ อจท. - หมายเลข 3 สิ่ ง มี ชี วิ ต ต อ งอาศั ย สิ่ ง มี ชี วิ ต
อื่ น เพื่ อ การดํ า รงชี วิ ต โดย
โพรโทซัวในลําไสปลวก สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ ม าอาศั ย จะก อ ให
ปลวกเปนสิง่ มีชวี ติ ทีไ่ มสามารถสรางเอนไซมเซลลูเลส เกิดโรค
ไปยอยสลายไมที่กินเขาไปได แตในลําไสปลวกมี - หมายเลข 4 สิ่งมีชีิวิตดํารงชีวิตอยูไดดวย
โพรโทซัวชนิดไทรโคนิมฟา (Trichonympha) ที่สราง
เอนไซมเซลลูเลสมาชวยยอยสลายไมใหเปนอาหาร การลาสิ่งมีชีวิตอื่นเปนอาหาร
ของปลวกได สวนโพรโทซัวในลําไสปลวกจะไดรับ
สารอาหารจากการยอยสลายไม
ภาพที่ 1.19 โพรโทซัวในลําไสปลวก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ไรโซเบียมกับพืชตระกูลถั่ว
เปนแบคทีเรียที่อาศัยอยูในรากพืชตระกูลถั่ว ทําให
เซลลของรากพืชเพิ่มจํานวนมากขึ้นจนมีลักษณะ
เปนปม โดยไรโซเบียมสามารถตรึงแกสไนโตรเจน
ในอากาศมาสรางแอมโมเนียมและสารอินทรียอื่น ๆ
ใหพืชสามารถนําไปใชประโยชนได สวนไรโซเบียม
จะไดรับอาหารและแหลงที่อยูอาศัยจากพืช
ระบบนิเวศ 15
T17
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
10. ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันสืบคนขอมูล 3. ภาวะปรสิต (parasitism) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่มาอยู่ร่วมกัน แล้วฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์
แต่อีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ มีเครื่องหมายความสัมพันธ์เป็น (+, -) โดยฝ่ายที่ได้ประโยชน์ เรียกว่า ปรสิต (parasite)
เกี่ ย วกั บ ความสั ม พั น ธ ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ ก ลุ ม
ส่วนฝ่ายที่เสียประโยชน์ เรียกว่า ผู้ถูกอาศัย (host) ซึ่งปรสิตอาจอาศัยอยู่ภายในหรือภายนอกร่างกายของผู้ถูกอาศัย
ตนเองจับสลากได จากหนังสือเรียนรายวิชา ก็ได้
พื้ น ฐานวิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3 1) ปรสิตภายใน คือ ปรสิตทีอ่ าศัยและเกาะกินอยูภ่ ายในร่างกายของผูถ้ กู อาศัย ตัวอย่างเช่น พยาธิตวั ตืด
เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 1 เรื่อง ความ พยาธิใบไม้ตับ จุลินทรีย์บางชนิด เช่น แบคทีเรียในกระเพาะอาหารของคน รวมทั้งไวรัสที่สามารถเพิ่มจ�านวนได้
สัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ หรือ เมื่อเข้าไปในร่างกายของผู้ถูกอาศัย ท�าให้สิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ถูกอาศัยติดเชื้อและตายในที่สุด
แหล ง การเรี ย นรู อื่ น ๆ เช น อิ น เทอร เ น็ ต
หองสมุด พรอมยกตัวอยางสิ่งมีชีวิตที่มีรูป
แบบความสัมพันธนั้นมาอยางนอย 5 คู คนหรือสัตว์เลีย้ งลูกด้วยน�า้ นม
พยาธิใบไม้ตับ
11. ครูถามคําถาม H.O.T.S. ที่กินเนื้อปลาน�้าจืดที่ปรุงไม่สุกจะรับ
เอาตัวอ่อนของพยาธิใบไม้ตับที่อยู่
ในระยะติดต่อเข้าสู่ร่างกาย ท�าให้
ท่อน�้าดีติดเชื้อ โดยพยาธิใบไม้ตับจะ
เจริญเป็นตัวเต็มวัยและเพิ่มจ�านวน
ภาพที่ 1.21 ตัวเต็มวัยของพยาธิใบไม้ตับ
อาศัยอยู่ในท่อทางเดินน�้าดีของคน มาก หากมีพยาธิใบไม้ตับสะสมอยู่
ที่มา : คลังภาพ อจท. จ�านวนมาก จะท�าให้เกิดการติดเชื้อ
เรื้อรังและตับเสียหายมากขึ้น
พยาธิตัวตืด คนที่รับประทานเนื้อหมู และ
เนื้อวัวที่ปรุงไม่สุกจะรับเอาตัวอ่อน
ของพยาธิตัวตืดเข้าไป โดยตัวอ่อน
ภาพที่ 1.22 ตัวเต็มวัยของพยาธิ ของพยาธิตัวตืดจะเคลื่อนที่ออกจาก
ตัวตืดอาศัยอยู่ในล�าไส้เล็กของคน ล�าไส้ไปฟกตัวตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น
ที่มา : คลังภาพ อจท. ตา กล้ามเนื้อ หัวใจ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ
จากพยาธิตวั ตืดมักมีอาการไม่รนุ แรง
แต่การแพร่กระจายของตัวอ่อนอาจ
ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทีร่ นุ แรง
ถึงขั้นเสียชีวิตได้
แนวตอบ H.O.T.S.
แบคทีเรียในลําไสใหญของมนุษยมีทั้งรูปแบบ HOTS
(คําถามทาทายการคิดขั้นสูง)
ความสัมพันธทเี่ ปนแบบภาวะปรสิต เชน แบคทีเรีย
ในกลุม Salmonella spp. ทีก่ อ ใหเกิดโรคอุจจาระ แบคทีเรียในล�าไส้มนุษย์มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ในรูปแบบใดบ้าง
ร ว ง และรู ป แบบความสั ม พั น ธ ที่ เ ป น แบบภาวะ
อิงอาศัย เชน แบคทีเรียในกลุม Lactobacillus spp. 16
ชวยกระตุน ระบบยอยอาหาร ทําใหขบั ถายไดดี
T18
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
2) ปรสิตภายนอก คือ ปรสิตที่อาศัยและเกาะกินอยูภายนอกรางกายของผูถูกอาศัย ตัวอยางเชน ไร 12. ครูสุมเรียกตัวแทนของนักเรียนแตละกลุม
เห็บ หมัด เหา ซึ่งเปนปรสิตของคนและสัตว สวนเพลี้ยและกาฝากจะเปนปรสิตของพืช
ออกมานําเสนอขอมูลหนาชั้นเรียน
เห็บและหมัด 13. ใหนักเรียนกลุมอื่นที่ไมไดนําเสนอจดบันทึก
เปนปรสิตขนาดเล็กทีเ่ กาะบนผิวหนังสัตว แลวดูดเลือด ขอมูลที่เพื่อนมานําเสนอลงในสมุดประจําตัว
เปนอาหาร หากบนรางกายมีเห็บและหมัดจํานวนมาก นักเรียน แลวนํามาสงครูผูสอน
จะสงผลใหเกิดการอักเสบบริเวณผิวหนัง และติดเชื้อ
14. เมือ่ ตัวแทนนักเรียนแตละกลุม นําเสนอขอมูล
บริเวณทีเ่ กิดรอยแผล นอกจากนี้ นํา้ ลายของหมัดมีสาร
ที่กอใหเกิดการแพ จึงทําใหสัตวมีอาการคันและขนรวง จบแลว ใหนักเรียนแตละกลุมสืบคนความ
สั ม พั น ธ ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต นอกเหนื อ จากความ
ภาพที่ 1.23 เห็บและหมัดทําใหเกิดโรคผิวหนังในสุนัข สัมพันธแบบภาวะอิงอาศัย ภาวะพึ่งพากัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ภาวะปรสิต และภาวะการลาเหยื่อ แลวสรุป
เพลี้ย ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
เปนปรสิตทีม่ ปี ากเปนงวง สามารถเจาะเขาไปยังทอลําเลียง
อาหารของพืชเพือ่ ดูดกินนํา้ เลีย้ งเชนเดียวกับตนกาฝาก
ที่ เ กาะติ ด กั บ พื ช ชนิ ด อื่ น และใช ร ากแทงทะลุ เ ข า ไป
ในเปลื อ กไม จ นถึ ง ท อ ลํ า เลี ย งนํ้ า และธาตุ อ าหาร
เพื่อแยงอาหาร ทําใหพืชที่ถูกอาศัยเจริญเติบโตชา
และตายในที่สุด
ภาพที่ 1.24 เพลี้ยใชงวงเจาะกินนํ้าเลี้ยง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
T19
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
15. ใหนักเรียนศึกษารูปแบบความสัมพันธของ 4. ภาวะการล่าเหยื่อ (predation) เป็นความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ เรียกว่า ผู้ล่า (predator) และ
อีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ เรียกว่า เหยื่อ (prey) มีเครื่องหมายแสดงความสัมพันธ์เป็น (+, -) เช่น สิงโตกับม้าลาย
สิ่งมีชีวิตในกรอบ Science Focus
กบกับแมลง นกกับหนอน
16. ครูถามนักเรียนวา นอกเหนือจากรูปแบบ
ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตที่มีอยูในหนังสือ
เรี ย นรายวิ ช าพื้ น ฐานวิ ท ยาศาสตร แ ละ
เทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 1
เรื่อง ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตในระบบ
นิเวศแลว นักเรียนคนใดมีขอมูลเพิ่มเติม
นอกเหนือจากนีใ้ หยกมือ แลวออกมานําเสนอ
หนาชั้นเรียน
17. ครูถามคําถามทดสอบความเขาใจของนักเรียน
ดังนี้
• รู ป แบบความสั ม พั น ธ ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี
เครื่องหมาย + หมายถึงอะไร ภาพที่ 1.26 เสือชีตาห์ (+) ล่ากวาง (-)
ที่มา : คลังภาพ อจท.
(แนวตอบ สิ่งมีชีวิตที่ไดรับประโยชน)
• รู ป แบบความสั ม พั น ธ ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี
ถ้าในระบบนิเวศมีผู้ล่าจ�านวนมาก จะท�าให้
เครื่องหมาย - หมายถึงอะไร เหยื่อมีจ�านวนลดลงและเกิดการแก่งแย่งแข่งขันกัน
(แนวตอบ สิ่งมีชีวิตที่เสียประโยชน) ระหว่างผู้ล่าชนิดเดียวหรือต่างชนิดกัน ส่งผลให้ผู้ล่า
• รู ป แบบความสั ม พั น ธ ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี มีจ�านวนลดลง แต่ในทางกลับกัน ถ้าเหยื่อมีจ�านวน
เครื่องหมาย 0 หมายถึงอะไร เพิม่ มากขึ1น้ จะท�าให้เกิดการควบคุมกันเองระหว่างจ�านวน
(แนวตอบ สิ่งมีชีวิตที่ไมไดรับและไมเสีย ประชากรของผู้ล่ากับเหยื่อ ระบบนิเวศจึงมีจ�านวนผู้ล่า
และเหยื่อที่อยู่ในสภาวะสมดุล
ประโยชน)
ภาพที่ 1.27 หมีต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอาหาร
ที่มา : คลังภาพ อจท.
Science
Focus ภาวะการแก่งแย่งแข่งขัน
ภาวะการแก่งแย่งแข่งขัน (competition) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต 2 ฝ่าย ที่ต้องการทรัพยากรเดียวกัน
ในการด�ารงชีวิต ท�าให้สิ่งมีชีวิตทั้ง 2 ฝ่าย เสียประโยชน์ มีเครื่องหมายความสัมพันธ์เป็น (-, -) แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
การแก่งแย่งแข่งขันระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน (intraspecific competition) และการแก่งแย่งแข่งขันระหว่างสิ่งมีชีวิตคนละชนิด
(interspecific competition)
18
T20
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
จากที่ไดศึกษามาแลว สิ่งมีชีวิตในแหลงที่อยูตาง ๆ ไมสามารถดํารงชีวิตอยูไดอยางโดดเดี่ยว แตจะมี 18. ครูเตรียมสลากชื่อสิ่งมีชีวิตตางๆ ไดแก รา
ความสัมพันธระหวางสิง่ มีชวี ติ ชนิดเดียวกันและสิง่ มีชวี ติ ตางชนิดไมรปู แบบใดก็รปู แบบหนึง่ ซึง่ มีหลากหลายรูปแบบ
นกเอี้ยง เหาฉลาม ปลาฉลาม กาฝาก ควาย
เพื่อประโยชนในการดํารงชีวิตและการอยูรอดของสิ่งมีชีวิต
ตนไม มนุษย สาหราย และนก จากนั้น
ให นั ก เรี ย นแต ล ะคนจั บ สลากชื่ อ สิ่ ง มี ชี วิ ต
นั ก เรี ย นที่ จั บ สลากได ชื่ อ สิ่ ง มี ชี วิ ต ชนิ ด
เดียวกันใหมารวมกลุมกัน
19. ครูอธิบายขอมูลเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจ
เกี่ ย วกั บ ประชากรและกลุ ม สิ่ ง มี ชี วิ ต ว า
นักเรียนแตละคนที่ถือสลากชื่อสิ่งมีชีวิตลวน
เปนสิ่งมีชีวิต เมื่อนักเรียนมารวมกลุมกัน
ในแหล ง ที่ อ ยู เ ดี ย วกั น และเวลาเดี ย วกั น
ภาพที่ 1.28 ประชากรมดชวยขนใบไมไปไวในรัง ภาพที่ 1.29 ผึ้งที่มาดูดกินนํ้าหวานชวยผสมเกสรใหกับดอกไม เรียกวา ประชากร ดังนั้น ในหองเรียนนี้จึง
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
ประกอบดวยประชากรของสิ่งมีชีวิตหลาย
ชนิดมาอยูรวมกัน เรียกวา กลุมสิ่งมีชีวิต
Science
Focus ภาวะการไดรับประโยชนรวมกัน 20. ใหนักเรียนแตละคนที่ถือสลากชื่อสิ่งมีชีวิต
ภาวะการไดรบั ประโยชนรว มกัน (cooperation) เปนความสัมพันธระหวางสิง่ มีชวี ติ 2 ชนิด ทีม่ าอยูร ว มกัน โดยทีต่ า งฝายตางได ตางกันจับคูกัน แลวระบุความสัมพันธของ
ประโยชนซงึ่ กันและกัน แตสามารถแยกออกจากกันไดโดยไมสง ผลกระทบกับการดํารงชีวติ ของอีกฝาย มีเครือ่ งหมายความสัมพันธ สิ่งมีชีวิต
เปน (+, +) ตัวอยางเชน 21. ครูสุมเรียกนักเรียน 5-10 คู ออกมาอธิบาย
ควายกับนกเอีย้ ง นกเอีย้ งไดกนิ แมลงบนผิวหนังควายเปนอาหาร สวนควายจะไดประโยชนจากนกเอีย้ งทีช่ ว ยลดจํานวนแมลง
ที่เปนปรสิต ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิต
มดดํากับเพลี้ย เพลี้ยไดประโยชนจากการที่มดดําพาไปดูดนํ้าเลี้ยงที่ตนไม สวนมดดําจะไดรับนํ้าหวานจากเพลี้ย 22. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามเนื้อหาเกี่ยว
แมลงกับดอกไม แมลงจะดูดนํ้าหวานจากเกสรดอกไมเปนอาหาร สวนดอกไมจะไดประโยชนจากแมลงในการชวยผสมเกสร กับเรื่อง ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตใน
ระบบนิเวศ และใหความรูเพิ่มเติม โดยครู
อาจใช PowerPoint เรื่อง ความสัมพันธ
ระหวางสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
ระบบนิเวศ 19
กิจกรรม ทาทาย
ใหนักเรียนสํารวจสิ่งมีชีวิตในปาชายเลนอยางนอย 4 คู แลว
นํ า ความรู จ ากที่ เ รี ย นมาวิ เ คราะห ค วามสั ม พั น ธ ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต
ลงในกระดาษ A4 และนําเสนอในรูปแบบที่นาสนใจ
T21
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กิจกรรม
23. ใหนักเรียนแบงกลุมเดิมทํากิจกรรม ความ
ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิต
สัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิต จากหนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
ม.3 เล ม 1 หน ว ยการเรี ย นรู ที่ 1 เรื่ อ ง จุดประสงค - การสังเกต
- การวัด
ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ อธิบายความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิต 2 ชนิดได - การคํานวณ
- การตีความหมายขอมูล
แลวใหสมาชิกภายในกลุมแบงหนาที่ ดังนี้ วัสดุอปุ กรณ และลงขอสรุป
จิตวิทยาศาสตร
- สมาชิ ก คนที่ 1-2 ทํ า หน า ที่ เ ตรี ย มวั ส ดุ 1. นํ้า 5. แผนอะลูมิเนียมฟอยล - ความรับผิดชอบ
อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม 2. หลอดหยดสาร 6. ปลาหางนกยูง 4-6 ตัว - ความสนใจใฝรู
- การทํางานรวมกับผูอื่นได
- สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ 3. สาหรายหางกระรอก 7. เครือ่ งวัดคา pH (pH meter) อยางสรางสรรค
4. ขวดรูปชมพู 4 ขวด
กิจกรรมและอธิบายใหสมาชิกในกลุมฟง
- สมาชิกคนที่ 5-6 ทําหนาที่บันทึกผลการ วิธปี ฏิบตั ิ
ปฏิบตั กิ จิ กรรมลงในสมุดประจําตัวนักเรียน 1. ใหนักเรียนเตรียมชุดทดลอง 4 ชุด ดังนี้
24. ให นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น อภิ ป รายผล
การปฏิบัติกิจกรรม ความสัมพันธระหวาง ชุดทดลองที่ 1 เทนํ้า ชุดทดลองที่ 2 เทนํ้าใส
ใสขวดรูปชมพู และใส ขวดรูปชมพู และใสสาหราย
สิ่งมีชีวิต เพื่อใหไดขอสรุปรวมกันวา จาก ปลาหางนกยูง 2-3 ตัว หางกระรอกลงไป
กิ จ กรรม ปลาต อ งอาศั ย นํ้ า และสาหร า ย
ในการดํารงชีวติ เทานัน้ รูปแบบความสัมพันธ
จึงเปนแบบภาวะพึ่งพากัน แตในธรรมชาติ
ปลาอาศัยอยูร ว มกับสิง่ มีชวี ติ อืน่ ดังนัน้ รูปแบบ ชุดทดลองที่ 3 ทําเหมือน ชุดทดลองที่ 4 ทําเหมือน
ความสั ม พั น ธ จึ ง เป น แบบภาวะการได รั บ ชุดทดลองที่ 2 แลวนํา ชุดทดลองที่ 2 และใส
แผนอะลูมิเนียมฟอยลมาหุม ปลาหางนกยูง 2-3 ตัว
ประโยชนรวมกัน
25. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
26. ใหนักเรียนตอบคําถาม Topic Questions ภาพที่ 1.32 กิจกรรมความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิต
ที่มา : คลังภาพ อจท.
27. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง 2. นําชุดทดลองทั้ง 4 ชุด ไปวัดคา pH โดยใชเครื่องวัดคา pH จุมลงในนํ้า อานคาและบันทึกผล
ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 3. เมือ่ เวลาผานไป 2 ชั่วโมง นําชุดทดลองทั้ง 4 ชุด ไปวัดคา pH อีกครั้งหนึ่ง
คําถามทายกิจกรรม
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม 1. เมื่อเวลาผานไป คา pH ที่วัดไดจากชุดทดลองทั้ง 4 ชุด เปนอยางไร
1. คา pH ของชุดการทดลองที่ 1 และ 3 มีคา ลดลง 2. ความสัมพันธระหวางปลากับสาหรายหางกระรอกเปนความสัมพันธรูปแบบใด
สวนคา pH ของชุดการทดลองที่ 2 และ 4
มีคาเทาเดิม 20
2. ภาวะพึ่งพากัน
T22
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
ระบบนิเวศ 21
จะดํารงชีวิตไดอยางอิสระ
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
รวม ทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
4. ผูลาตองฆาเหยื่อเปนอาหาร ในขณะที่ปรสิตไดอาหารจากสิ่งมีชีวิต
การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล
................./................../.................. กิจกรรม ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน ทากิจกรรมยังไม่เป็น กิจกรรม การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน
ที่เปนผูถูกอาศัย (host)
5. ผู ใ ห อ าศั ย ในภาวะอิ ง อาศั ย จะไม ไ ด รั บ และไม เ สี ย ประโยชน (0)
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
ขณะที่ผูใหอาศัยในภาวะปรสิตจะเสียประโยชน (-)
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T23
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
มุ ด
พลังงานในระบบนิเวศ โดยบันทึกลงในสมุด 3. ผู้บริโภคพืชเป็นผู้บริโภคล�ำดับสุดท้ำยเสมอ
นส
ลงใ
ประจําตัวนักเรียน
ทึ ก
4. สัตว์ที่กินอำหำรได้มำกกว่ำ 1 ชนิด จะอยู่รอดได้มำกกว่ำสัตว์ที่กินอำหำรได้เพียงชนิดเดียว
บั น
2. ใหนกั เรียนทํากิจกรรม Engaging Activity โดย 5. ระดับพลังงำนที่ถ่ำยทอดจำกผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคล�ำดับสุดท้ำยจะเพิ่มขึ้น ตำมล�ำดับ
พิจารณาภาพทัง้ หมด 9 ภาพ จากหนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ให้นักเรียนเรียงล�ำดับกำรกินของสิ่งมีชีวิตจำกภำพที่ก�ำหนดให้ โดยน�ำหมำยเลข
ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 1 เรื่อง การ
ถ า ยทอดพลั ง งานในระบบนิ เ วศ จากนั้ น E ngaging บนภำพมำจัดเรียงล�ำดับให้หมำยเลขของผู้ที่ถูกกินอยู่ต�ำแหน่งทำงซ้ำยมือ แล้ว
เขียนสัญลักษณ์ แทนกำรกิน โดยให้หัวลูกศรชี้ไปทำงหมำยเลขของผู้บริโภค
Activity
เลื อ กหมายเลขที่ อ ยู ใ ต ภ าพมาเรี ย งลํ า ดั บ ภาพที่ 1
การกิ น ตามความคิ ด ของนั ก เรี ย น แล ว ให
ภาพที่ 2 ภาพที่ 3
นั ก เรี ย นเขี ย นสั ญ ลั ก ษณ ลู ก ศรแทนการกิ น
โดยใหหวั ลูกศรชีไ้ ปทางหมายเลขของผูบ ริโภค
3. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมาเขียนคําตอบ
ของตนเองหนาชั้นเรียน โดยใหเพื่อนในชั้น
เรียนรวมกันพิจารณาวาคําตอบถูกตองหรือไม ภาพที่ 4 ภาพที่ 5 ภาพที่ 6
จากนั้นนักเรียนและครูรวมกันอภิปรายจาก
การทํ า กิ จ กรรม Engaging Activity ว า
ในธรรมชาติสงิ่ มีชวี ติ ชนิดหนึง่ สามารถบริโภค
สิ่งมีชีวิตอื่นไดมากกวา 1 ชนิด สิ่งมีชีวิตจึงมี
ความสัมพันธที่มีความซับซอน ภาพที่ 7 ภาพที่ 8 ภาพที่ 9
1 3 5
1 3 6
1 3 8
1 3 2 6
1 9 4 8
T24
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
Key 3 การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ 1. ครูถามคําถาม Key Question
Question การถ่ายทอดพลังงานเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสิง่ มีชวี ติ 2. ครู ตั้ ง ประเด็ น ถามคํ า ถามกระตุ น ความคิ ด
พลังงานทีม่ นุษยใชทาํ ทีส่ า� คัญอย่างหนึง่ ในระบบนิเวศ เนือ่ งจากพลังงานสามารถเปลีย่ นจาก นักเรียนวา ถาสิ่งมีชีวิตไมมีการกินกันเปน
กิจกรรมมาจากแหลงใด รูปหนึ่งไปเป็นอีกรูปหนึ่งได้ และสามารถถ่ายทอดจากสิ่งมีชีวิตหนึ่ง ทอดๆ จะสงผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตในระบบ
และถายทอดมาสูม นุษย ไปยังสิง่ มีชวี ติ หนึง่ ได้โดยการกินอาหาร ซึง่ หากพิจารณาถึงจุดเริม่ ต้น นิ เ วศอย า งไร ให นั ก เรี ย นแต ล ะคนร ว มกั น
ไดอยางไร ของอาหารที่สัตว์กินเข้าไป จะพบว่าเป็นพืช อภิปรายแสดงความคิดเห็นอยางอิสระโดย
ยังไมเฉลยวาถูกหรือผิด
3.1 โซ่อาหาร
(แนวตอบ สิง่ มีชวี ติ นัน้ ในระบบนิเวศจะมีโอกาส
แสงจากดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานที่ส�าคัญของโลก โดยมีพืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถเปลี่ยนพลังงานแสง
ให้กลายเป็นพลังงานเคมีเก็บสะสมในรูปของอาหารตามส่วนต่าง ๆ ของพืช เมือ่ สัตว์มากินพืช พลังงานจะถูกถ่ายทอด สู ญ พั น ธุ ม ากกว า สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ กิ น สิ่ ง มี ชี วิ ต อื่ น
ต่อไป ท�าให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ ตัวอย่างเช่น ภาพที่ 1.34 ไดหลากหลายกวา นอกจากนี้ ในระบบนิเวศ
นั้นจะไมมีการถายทอดพลังงาน)
3. ใหนักเรียนศึกษาภาพที่ 1.34 จากนั้นครูถาม
นักเรียนวา สิ่งมีชีวิตในภาพมีความสัมพันธ
กันอยางไร
(แนวตอบ มีความสัมพันธแบบการกินกันเปน
ทอดๆ ตัวอยางเชน เริ่มตนจากพืชเปนผูผลิต
ควายกินพืช สิงโตกินควายเปนอาหาร)
จากภาพจะเห็นว่า พืชท�าหน้าทีเ่ ป็นผูผ้ ลิต และมีผบู้ ริโภคมากกว่า 1 ชนิด กินต่อกันเป็นล�าดับ คือ ควายทีก่ นิ พืช
จัดเป็นผู้บริโภคล�าดับที่ 1 สิงโตกินควายจัดเป็นผู้บริโภคล�าดับที่ 2 เมื่อสิงโตตายลงจะมีแร้งมากินซากสิงโตจัดเป็น
ผู้บริโภคซากสัตว์ ซึ่งเป็นผู้บริโภคล�าดับสุดท้าย เรียกความสัมพันธ์ลักษณะนี้ว่า โซ่อาหาร (food chain)
แนวตอบ Key Question
ระบบนิเวศ 23 พลังงานทีม่ นุษยใชทาํ กิจกรรมมาจากดวงอาทิตย
และถายทอดพลังงานผานการกินกันเปนลําดับ
T25
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. นักเรียนแบงกลุมออกเปน 3 กลุม แลวรวม ลําดับการกินของสิง่ มีชวี ติ จากภาพที่ 1.34 สามารถเขียนเปนแผนภาพโซอาหาร เริม่ จากผูผ ลิตอยูท างดานซาย
และตามดวยผูบริโภคลําดับที่ 1 ผูบริโภคลําดับที่ 2 ผูบริโภคลําดับที่ 3 ตอไปเรื่อย ๆ จนถึงผูบริโภคลําดับสุดทาย
กันศึกษาขอมูลเกี่ยวกับเรื่อง โซอาหารและ
และเขียนลูกศรแทนการถายทอดพลังงาน โดยใหหัวลูกศรชี้ไปทางผูลาและปลายลูกศรหันไปทางเหยื่อ ดังภาพ
การเขียนแผนภาพโซอาหาร จากหนังสือเรียน
รายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3
เลม 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 1 เรือ่ ง การถายทอด
พลังงานในระบบนิเวศ ครูกาํ หนดและเขียนชือ่
สิง่ มีชวี ติ บนกระดานใหนกั เรียนแตละกลุม ดังนี้
- กลุม ที่ 1 : มนุษย แซมอน แพลงกตอน
สัตว ปลาฉลาม แพลงกตอนพืช ผูผลิต ผูบริโภคลําดับที่ 1 ผูบริโภคลําดับที่ 2 ผูบริโภคลําดับที่ 3
- กลุม ที่ 2 : กะหลํ่าปลี เหยี่ยว หนอน งู ผูบริโภคพืช ผูบริโภคสัตว ผูบริโภคซากสัตว
นกกระจอก ภาพที่ 1.35 ตัวอยางโซอาหาร
- กลุม ที่ 3 : แมว สิงโต หนู สุนัขจิ้งจอก ที่มา : คลังภาพ อจท.
ขาวโพด พลังงานทีไ่ ดจากการกินตอกันเปนทอด ๆ จะถายทอดจากผูผ ลิตไปยังผูบ ริโภค ตามลําดับ แตปริมาณพลังงาน
5. ใหนักเรียนแตละกลุมวิเคราะหสิ่งมีชีวิตที่ครู ที่ถายทอดไปตามโซอาหารจะลดลงไปทีละขั้นตามลําดับของผูบริโภคที่สูงขึ้น เนื่องจากผูบริโภคไมสามารถกินพืช
กําหนดให และรวมกันเขียนแผนภาพโซอาหาร หรือสัตวไดหมดทุกสวน มีบางสวนที่ไมสามารถกินได เชน กระดูก เนื้อไมแข็ง และผูบริโภคไมสามารถยอยอาหาร
ลงในกระดาษ A4 วาดภาพระบายสีสิ่งมีชีวิต ทุกชนิดที่กินได เชน มนุษยไมมีเอนไซมที่ใชยอยเซลลูโลสในพืชใบเขียว จึงถูกขับออกมาเปนกากทางรูทวารหนัก
พรอมตกแตงใหสวยงาม รวมไปถึงอาหารที่ผูบริโภคกินเขาไป บางสวนถูกเปลี่ยนเปนพลังงานที่ใชในการดําเนินชีวิตประจําวัน แตบางสวน
ถูกถายโอนสูสิ่งแวดลอมในรูปของพลังงานความรอน
อธิบายความรู
Science
6. ใหตวั แทนกลุม ของแตละกลุม นําเสนอโซอาหาร
Focus พีระมิดพลังงาน
ของตนเอง โดยครูประเมินความถูกตองของ การถายทอดพลังงานทางโซอาหาร ผูบริโภค
โซ อ าหารและอธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม ให นั ก เรี ย น ของสิ่งมีชีวิตเขียนไดเปนพีระมิดพลังงาน ลําดับที่ 3 10 จูล
เกิดความเขาใจทีต่ รงกัน ที่แสดงถึงอัตราการถายทอดพลังงานซึ่ง ผูบริโภค
เปนไปตามกฎสิบเปอรเซ็นต (law of ten ลําดับที่ 2 100 จูล
percent) กลาวคือ ผูบ ริโภคจะไดรบั พลังงาน
เพี ย ง 10% จากอาหารที่ บ ริ โ ภค และ ผูบริโภค 1,000 จูล
ลักษณะของพีระมิดพลังงานจะเปนหัวตั้ง ลําดับที่ 1
เสมอ และใชหนวยเปนพลังงานตอหนวย
พื้นที่ ผูผลิต 10,000 จูล
24
T26
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
นอกจากพลังงานทีส่ ะสมอยูใ่ นรูปของอาหารแล้ว สารพิษทีป่ นเปอ นสูส่ งิ่ แวดล้อมซึง่ มาจากโรงงานอุตสาหกรรม 7. ครูสุมเรียกนักเรียน 1-2 คน ออกมาอธิบาย
หรือการพ่นยาฆ่าแมลงของเกษตรกรจะถ่ายทอดผ่านล�าดับการกินต่อกันเป็นทอด ๆ ด้วยเช่นกัน โดยปริมาณสารพิษ
เกี่ยวกับสายใยอาหาร
ทีส่ ะสมในโซ่อาหารจะเพิม่ ขึน้ ไปทีละขัน้ ตามล�าดับของผูบ้ ริโภคทีส่ งู ขึน้ และจะสะสมมากทีส่ ดุ ในผูบ้ ริโภคล�าดับสุดท้าย
ซึ่งส่วนใหญ่ คือ มนุษย์ 8. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม ให นั ก เรี ย นเข า ใจว า ใน
ธรรมชาติสงิ่ มีชวี ติ ไมไดกนิ สิง่ มีชวี ติ เพียงชนิด
เดียว แตสามารถกินสิ่งมีชีิวิตอื่นไดมากกวา
1 ชนิด ทําใหเกิดการกินที่ซับซอน หรือมี
โซอาหารมากกวาหลายโซอาหาร เรียกวา
สายใยอาหาร
9. ครูตงั้ ประเด็นถามคําถามกระตุน ความคิดของ
นักเรียนวา หากสิ่งมีชีวิตที่ครูกําหนดใหกับ
แตละกลุม อยูใ นระบบนิเวศเดียวกันจะเกิดการ
กินที่ซับซอน ใหนักเรียนเขียนแผนภาพสายใย
อาหารของระบบนิเวศนี้
ผู้บริโภคลําดับที่ 4
มาก น้อย
ผู้บริโภคลําดับที่ 3
ผู้บริโภคลําดับที่ 2
ผู้บริโภคลําดับที่ 1
น้อย มาก
ปริมาณสารพิษ ปริมาณพลังงาน
ผู้ผลิต
T27
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
10. นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น อภิ ป รายเพื่ อ ให ไ ด 3.2 สายใยอาหาร
ข อ สรุ ป ว า สายใยอาหารของระบบนิ เ วศ ในธรรมชาติผูลาไมไดกินเหยื่อเพียงชนิดเดียว แตกินมากกวา 1 ชนิด ขณะเดียวกันผูลาอาจตกเปนเหยื่อ
ของผูลาชนิดอื่นอีกหลายชนิด ทําใหเกิดการถายทอดพลังงานผานการกินที่ซับซอนมากขึ้น เรียกความสัมพันธนี้วา
สามารถเขียนไดจากการนําโซอาหารของ สายใยอาหาร (food web)
แตละกลุมมาเชื่อมโยงกัน ดังนี้
- โซอาหารกลุมที่ 1 : แพลงก ต อนพื ช 1. จากภาพที่ 1.38 สิ่งมีชีวิตเริ่มตนของสายใยอาหารนี้เปน
แพลงก ต อนสั ต ว ผูผลิต
สิ่งมีชีวิตพวกใด
แซมอน ปลาฉลาม ผูบริโภคลําดับที่ 1 2. จากภาพที่ 1.38 ถาไมมีสิงโตในระบบนิเวศ
จะสงผลกระทบตอกระตายหรือไม อยางไร
มนุษย ผูบริโภคลําดับที่ 2
3. จากภาพที่ 1.38 ถายีราฟลดจํานวนลงจะสงผล
ผูบริโภคลําดับที่ 3
- โซอาหารกลุมที่ 2 : กระหลํ่าปลี หนอน ผูบริโภคซากสัตว
กระทบตอสุนัขจิ้งจอกหรือไม เพราะเหตุใด
นกกระจอก งู ผูยอยสลาย
เหยี่ยว
- โซอาหารกลุมที่ 3 : ขาวโพด หนู
แมว สุนัขจิ้งจอก
สิงโต
แผนภาพสายใยอาหาร
ปลาฉลาม งู สุนัขจิ้งจอก
T28
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
เมื่อจํานวนสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศเกิดการเปลี่ยนแปลง เชน ถาสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งมีจํานวนลดลงหรือ 11. ครูตงั้ ประเด็นถามคําถามใหนกั เรียนคิดตอไป
เพิ่มขึ้นอยางรวดเร็ว จะสงผลกระทบโดยตรงตอผูบริโภคที่กินสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นหรือถูกสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นกิน และ
วา ปริมาณพลังงานทีถ่ า ยทอดจากผูผ ลิตไปยัง
อาจสงผลกระทบทางออมตอสิ่งมีชีวิตอื่นในโซอาหารหรือสายใยอาหาร ในกรณีที่ผูบริโภคสามารถกินสิ่งมีชีวิตอื่น
ไดหลายชนิดอาจไมสงผลกระทบตอผูบริโภคมากนัก ตัวอยางเชน ภาพที่ 1.38 จะพบวา สิงโตเปนผูบริโภคที่กิน ผูบริโภคจะมากขึ้นหรือนอยลง
สิง่ มีชวี ติ อืน่ ไดหลายชนิด ถายีราฟมีจาํ นวนลดลง สิงโตสามารถกินกระตาย กวาง หรือสุนขั จิง้ จอกแทนได แตในกรณี 12. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 6 คน ศึกษา
ที่ผูบริโภคกินอาหารไดนอยชนิดหรือกินเฉพาะอยาง หากสิ่งมีชีวิตที่เปนอาหารมีจํานวนลดลง จะสงผลกระทบ กิจกรรม จําลองการถายทอดพลังงานใน
ตอผูบริโภคชนิดนั้นถึงขั้นสูญพันธุได เชน ถาพืชสูญพันธุจะสงผลกระทบโดยตรงตอผูบริโภคพืช สายใยอาหาร จากหนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช า
พื้ น ฐานวิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3
กิจกรรม เลม 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 1 เรือ่ ง การถายทอด
จําลองการถายทอดพลังงานในสายใยอาหาร พลังงานในระบบนิเวศ
13. ให ส มาชิ ก แต ล ะคนภายในกลุ ม มี บ ทบาท
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
จุดประสงค - การสังเกต หนาที่ของตนเอง ดังนี้
- การจําแนกประเภท
อธิบายการถายทอดพลังงานในสายใยอาหารได - การจัดกระทําและสื่อความหมาย - สมาชิกคนที่ 1-2 ทําหนาที่เตรียมวัสดุ
ขอมูล
- การสรางแบบจําลอง อุปกรณที่ใชในการปฏิบัติกิจกรรม
วัสดุอปุ กรณ จิตวิทยาศาสตร
- ความสนใจใฝรู
- สมาชิกคนที่ 3-4 ทําหนาที่อานวิธีปฏิบัติ
1. เทปใส 4. กระดาษ A4 สีขาว - ความรับผิดชอบ กิจกรรมและอธิบายใหสมาชิกในกลุมฟง
2. กรรไกร 5. กระดาษสี เชน สีแดง สีนํ้าเงิน สีเหลือง สีสม - การทํางานรวมกับผูอื่นได
3. สมุดบันทึก 6. อุปกรณเครื่องเขียน เชน ดินสอ ยางลบ ไมบรรทัด อยางสรางสรรค - สมาชิ ก คนที่ 5-6 ทํ า หน า ที่ บั น ทึ ก ผล
การปฏิบัติกิจกรรมลงในสมุดประจําตัว
ดานที่ 4
วิธปี ฏิบตั ิ นักเรียน
1. ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5-6 คน แลวรวมกัน 14. นักเรียนแตละกลุมรวมกันปฏิบัติกิจกรรม
สํารวจสิ่งมีชีวิตในโรงเรียน ตามขั้ น ตอน เพื่ อ สร า งแบบจํ า ลองการ
ประ
รอย
ตัด
ผูบริโภคลําดับที่ 1
ของสิ่งมีชีวิตในโรงเรียนลงในสมุดบันทึก
15. ใหนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอผลการ
ลําดับที่ 3
ผูบริโภค
ผูผลิต
ระบบนิเวศ 27
T29
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
17. ให นั ก เรี ย นสื บ ค น ข อ มู ล เพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ
ประเภทของโซอาหาร แลววิเคราะหภาพ คําถามทายกิจกรรม
ที่ 1.38 ในหนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าพื้ น ฐาน 1. สิ่งมีชีวิตเริ่มตนของสายใยอาหารเปนสิ่งมีชีวิตชนิดใด
2. ผูบ ริโภคลําดับที่ 1 มักเปนสิ่งมีชีวิตประเภทใด
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 และ 3. ปริมาณพลังงานในสายใยอาหารที่ถูกถายทอดไปตามลําดับขั้นเปนอยางไร
เขียนโซอาหารพรอมระบุประเภทโซอาหาร
ลงในกระดาษ A4 อภิปรายผลกิจกรรม
ขัน้ สรุป จากกิจกรรม จะพบวา ในธรรมชาติสงิ่ มีชวี ติ ชนิดหนึง่ สามารถกินสิง่ มีชวี ติ ไดหลายชนิด การถายทอดพลังงานจึงมีความซับซอน
ในรูปแบบสายใยอาหาร โดยมีพชื เปนผูร เิ ริม่ ของสายใยอาหาร เนือ่ งจากพืชเปนผูผ ลิตทีส่ ามารถสรางอาหารเองไดดว ยกระบวนการ
นั ก เ รี ย น แ ล ะ ค รู ร ว ม กั น ส รุ ป เ กี่ ย ว กั บ สังเคราะหดวยแสง เมื่อสัตวมากินพืชพลังงานจะถูกถายทอดไปยังผูบริโภคลําดับที่ 1 ซึ่งเปนสิ่งมีชีวิตประเภทผูบริโภคพืช
ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศวา (herbivore) หรือเปนผูบริโภคทั้งพืชและสัตว (omnivore) และพลังงานจะถูกถายทอดตอไปยังผูบริโภคลําดับสูงขึ้น แตปริมาณ
พลังงานที่ถูกถายทอดผานการกินจะลดลงตามลําดับขั้นของการบริโภค
ความสั ม พั น ธ ร ะหว า งสิ่ ง มี ชี วิ ต ในระบบนิ เ วศ
ลวนมีรูปแบบความสัมพันธที่แตกตางกัน เชน
ภาวะอิงอาศัย ภาวะพึง่ พากัน ภาวะปรสิต ภาวะการ เมื่อผูผลิตและผูบริโภคตายลงกลายเปนซากสิ่งมีชีวิต จะมีจุลินทรียที่อาศัยอยูในดินหรือนํ้าตามธรรมชาติ
ซึ่งมีบทบาทเปนผูยอยสลายสารอินทรีย ทําหนาที่ยอยสลายซากพืชซากสัตวเหลานี้ใหกลายเปนอนินทรียสารคืนสู
ลาเหยือ่ ภาวะการแกงแยงแขงขัน ภาวะการไดรบั ธรรมชาติ แลวพืชสามารถดูดซึมนําไปใชได ดังนัน้ ในระบบนิเวศจําเปนตองมีกระบวนการถายทอดพลังงานทีเ่ กิดขึน้
ประโยชนรวมกัน พรอมกับการหมุนเวียนสารเปนวัฏจักร ซึ่งแบงออกไดเปน 2 ลักษณะ คือ วัฏจักรของสารที่มีการหมุนเวียนสาร
โดยไมผานบรรยากาศ เชน วัฏจักรฟอสฟอรัส วัฏจักรแคลเซียม และวัฏจักรที่มีการหมุนเวียนสารผานบรรยากาศ
ขัน้ ประเมิน เชน วัฏจักรของนํา้ วัฏจักรไนโตรเจน วัฏจักรคารบอน และในระบบนิเวศหนึง่ ลวนประกอบดวยองคประกอบทีไ่ มมชี วี ติ
ตรวจสอบผล และองคประกอบที่มีชีวิต ซึ่งมีความสัมพันธกันอยางเหมาะสม ระบบนิเวศจึงจะอยูในสภาวะสมดุล (equilibrium)
1. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
Science
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง การถายทอด Focus วัฏจักรคารบอน CO2
พลังงานในระบบนิเวศ วัฏจักรคารบอน (carbon cycle) เปนวัฏจักรที่ประกอบ
2. ตรวจแผนภาพโซอาหาร ไปดวยแกสคารบอนไดออกไซดซึ่งมีความสําคัญตอพืช โดย
3. ตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม พืชนําแกสคารบอนไดออกไซดไปใชในกระบวนการสังเคราะห การเผาไหม
ดวยแสง เพื่อสรางเปนสารประกอบอินทรียเก็บสะสมอยูใน
4. สั ง เกตพฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจาก สวนตาง ๆ ของพืช เมื่อสิ่งมีชีวิตอื่นกินเขาไป คารบอนจะถูก
การหายใจ
การนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม ถายทอดผานการกินกันเปนลําดับ เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลงจะถูก
ผูยอยสลายสารอินทรียยอยสลาย สวนหนึ่งจะสลายไปเปน
แกสคารบอนไดออกไซดสูบรรยากาศ และสวนที่ไมยอยสลาย
จะทับถมกลายเปนพลังงานเชือ้ เพลิง นอกจากนี้ แกสคารบอน-
ซากพืชซากสัตว
ไดออกไซดยังไดจากกระบวนการหายใจของสิ่งมีชีวิตดวย
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม ภาพที่ 1.40 วัฏจักรคารบอน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
1. สิง่ มีชวี ติ ทีส่ รางอาหารเองได เชน พืช
2. ผูบ ริโภคพืช 28
3. ลดลง
3
ระดับคะแนน
2 1
ก ข และ ค คือกระบวนการใด ตามลําดับ
1. หายใจทั้งหมด
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ 1. การปฏิบัติ ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องให้ความช่วยเหลือ
ระดับคะแนน กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
4 3 2 1
2. สังเคราะหดวยแสงทั้งหมด
2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
รวม
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน
10-12
ระดับคุณภาพ
ดีมาก
(วิเคราะหคําตอบ พืชตรึง CO2 ใชในการสังเคราะหดวยแสง (ก)
7-9
4-6
0-3
ดี
พอใช้
ปรับปรุง
สัตวหายใจปลอย CO2 (ข) และจุลินทรียยอยสลายซากสิ่งมีชีวิต
และหายใจปลอย CO2 (ค) ดังนั้น ตอบขอ 4.)
T30
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
Topic Questions
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
1. สิ่งมีชีวิตที่เปนผูริเริ่มในโซอาหารเปนสิ่งมีชีวิตประเภทใด
2. ผูบริโภคลําดับที่ 1 ในโซอาหารเปนสิ่งมีชีวิตประเภทใด
3. จงเรียงลําดับปริมาณพลังงานในสิง่ มีชวี ติ ในโซอาหารจากมากไปนอย โดยเริม่ จากพืช หนอน ไก คน
4. จงเรียงลําดับปริมาณสารพิษที่สะสมในสิ่งมีชีวิตในโซอาหารจากนอยไปมาก โดยเริ่มจากแพลงกตอนพืช
แพลงกตอนสัตว ปลาเล็ก ปลาใหญ คน
5. ระบบนิเวศที่อยูในสภาวะสมดุลเปนอยางไร
ระบบนิเวศ 29
T31
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
F u n
1. ใหนกั เรียนแบงกลุม ออกเปน 5 กลุม ตามความ
สมัครใจของนักเรียน Science Activity สวนขวดแก้วจ�าลอง
2. ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ส ง ตั ว แทนออกมา
รับบัตรภาพ โดยกลุมที่ 1 2 3 4 และ 5 วัสดุอปุ กรณ
1. ถ่าน
รับบัตรภาพที่ 1 2 3 4 และ 5 ตามลําดับ 2. มอส
3. ใหนกั เรียนแตละกลุม สํารวจบัตรภาพ พรอมทัง้ 3. ช้อน
อธิบายวา การกระทําทีเ่ กิดขึน้ ทําใหระบบนิเวศ 4. หินสี
5. กรวด
เสียสมดุลอยางไร 6. ดินร่วน
4. นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาคนควาขอมูล 7. อุปกรณ์ตกแต่ง
จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร 8. ตุกตาสัตว์ขนาดเล็ก
9. ต้นไม้ขนาดเล็กหลายสายพันธุ์
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ ภาพที่ 1.42 สวนขวดแก้วจ�าลอง
10. ขวดแก้วหรือขวดโหลรูปทรงต่าง ๆ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
1 ระบบนิเวศ หรือแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน
วิธที าํ
อินเทอรเน็ต และออกแบบกิจกรรมทีช่ ว ยรักษา
1. น� า ขวดแก้ ว มาท� า ความสะอาด 3. ใส่ดินลงในขวดแก้วให้สูงประมาณ
สมดุลของระบบนิเวศจากบัตรภาพ และเทหินลงในขวดแก้วให้สูงขึ้นมา 2-3 นิว้ ขึน้ อยูก่ บั ขนาดของสวนขวด
5. ใหสมาชิกภายในกลุมรวมกันอภิปรายแสดง จากก้นขวดประมาณหนึ่ง และความยาวของรากต้นไม้ ค่อย ๆ
ความคิดเห็น จากนั้นใหแตละกลุมรวบรวม กดดินให้แน่น เพื่อไล่ลมและปรับ
หน้าดินให้เท่ากัน
ขอมูลทีไ่ ดจากการอภิปรายแสดงความคิดเห็น
ลงในกระดาษ A4
2. ผสมกรวดเข้ากับถ่านขนาด 1 ก�ามือ 4. ขุดหลุมเล็ก ๆ และใส่ต้นไม้ลงไปใน
แล้วเทลงในขวดแก้วในข้อ 1. จากนัน้ หลุมที่ขุดไว้ แล้วตกแต่งด้วยตุกตา
ปูมอสให้ทั่ว สัตว์ขนาดเล็ก และหินสี เพื่อให้เกิด
ความสวยงาม
30
T32
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
Science in Real Life 6. ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอ
จุลชีวนิเวศในรางกายมนุษย ผลกระทบที่ มี ต อ ระบบนิ เ วศและแนวทาง
การอนุรกั ษระบบนิเวศใหสมดุลหนาชัน้ เรียน
ในร า งกายมนุ ษ ย มี จุ ล ชี พ หลายสายพั น ธุ อ าศั ย ในระหว า งที่ นั ก เรี ย นนํ า เสนอ ครู ค อยให
อยูร วมกันเปนระบบนิเวศตามอวัยวะตาง ๆ เชน ผิวหนัง
ขอเสนอแนะเพิ่มเติม
เหงื อ ก ฟ น รวมไปถึ ง ทางเดิ น อาหาร ตั้ ง แต ป าก
หลอดอาหาร ลําไสเล็ก ลําไสใหญ ดังนั้น รางกายมนุษย 7. ใหนักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลจาก
จึ ง มี แ บคที เ รี ย และจุ ล ชี พ หลายชนิ ด อยู ร วมกั น เป น การนําเสนอผลกระทบทีม่ ตี อ ระบบนิเวศและ
จุลชีวนิเวศ (microbiome) โดยรางกายเริ่มสะสมจุลชีพ แนวทางการอนุรักษระบบนิเวศใหสมดุล
เหลานี้ตั้งแตแรกเกิด และจะคอย ๆ เพิ่มจํานวนและ 8. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามเนื้อหาเกี่ยว
เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดลอม กับเรื่อง สมดุลระบบนิเวศ และใหความรู
ปจจุบันเทคโนโลยีมีความกาวหนามากขึ้น ทําให ภาพที่ 1.44 นักวิทยาศาสตรเลีย้ งเชือ้ แบคทีเรียเพือ่ นํามาศึกษาและวิจยั
เพิ่มเติมจากคําถามของนักเรียน โดยครูใช
นักวิทยาศาสตร ท ราบว า ร า งกายมนุ ษ ย ม ี แ บคที เ รี ย ที่มา : คลังภาพ อจท.
1 PowerPoint ในการอธิบายเพิ่มเติม
ประจําถิ่นอาศัยอยู ไมกอใหเกิดโรค สวนใหญจะมีความสัมพันธกับมนุษยแบบการอยูรวมกันอยางเกื้อกูลกัน
แตเมื่อใดที่ระบบนิเวศของจุลชีพบนรางกายถูกทําลาย จะทําใหแบคทีเรียกอโรคมีจํานวนมากกวา สงผลใหรางกาย 9. ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเอง
ติดเชื้อและเปนโรคได จากกรอบ Self Check จากหนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 1 ระบบนิเวศ
แบคทีเรียในชองปาก โดยบันทึกลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
เชน Streptococcus salivarius 10. ให นั ก เรี ย นตอบคํ า ถาม Unit Questions
เรื่อง ระบบนิเวศ จากหนังสือเรียนรายวิชา
แบคทีเรียบนผิวหนัง พื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม
เชน Staphylococcus epidermidis 1 หนวยการเรียนรูที่ 1 ระบบนิเวศ ลงใน
สมุดประจําตัวนักเรียน
แบคทีเรียในทางเดินอาหาร 11. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน
เชน Escherichia coli วิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3 เล ม 1
หนวยการเรียนรูที่ 1 ระบบนิเวศ
แบคทีเรียบริเวณทางเดินปสสาวะ 12. ใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน หนวย
เชน Corynebacterium aurimucosum การเรียนรูที่ 1 ระบบนิเวศ
ระบบนิเวศ 31
นักเรียนควรรู
กิจกรรม ทาทาย 1 แบคทีเรียประจําถิ่น คือ จุลินทรียที่พบตามสวนตางๆ ของรางกาย เชน
ผิวหนัง ชองปาก กระเพาะอาหาร ลําไสเล็ก ลําไสใหญ อวัยวะเพศ แตจะ
ใหนกั เรียนเขียนสายใยอาหารจากอาหารทีน่ กั เรียนรับประทาน
ไมพบในระบบเลือดและระบบนํ้าเหลือง จุลินทรียประจําถิ่นอาจมีความสัมพันธ
1 มื้ อ โดยเขี ย นเป น โซ อ าหาร และนํ า แต ล ะโซ อ าหารมา
กั บ มนุ ษ ย แ บบภาวะอิ ง อาศั ย หรื อ แบบภาวะพึ่ ง พากั น ก็ ไ ด แต ใ นบางคนที่
เชื่อมตอกันเปนสายใยอาหารลงในกระดาษ A4 พรอมนําเสนอ
มีภูมิคุมกันตํ่า เชื้อแบคทีเรียเหลานี้จะกอใหเกิดโรคได เรียกวา เชื้อโรคฉวย
ในรูปแบบที่นาสนใจ
โอกาส
T33
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
13. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน ตาม Summary
ความสมัครใจ โดยใหแตละกลุมทํากิจกรรม ระบบนิเวศ
Application Activity เพื่อระดมความคิด Ãкº¹ÔàÇÈ
¤×Í ¡ÅØ‹ÁÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ·ÕèÍÒÈÑÂÍÂÙ‹
ออกแบบกิจกรรม ฟนฟูสภาพแวดลอมทาง
ทะเล และนําเสนอแนวทางการดูแลรักษา
ͧ¤»ÃСͺ 㹺ÃÔàdzà´ÕÂǡѹáÅÐÁÕ¤ÇÒÁ
ระบบนิเวศตามแนวชายฝงทะเล
¢Í§Ãкº¹ÔàÇÈ ÊÑÁ¾Ñ¹¸¡Ñ¹ áÅÐÊÑÁ¾Ñ¹¸¡Ñº
ÊÔè§äÁ‹ÁÕªÕÇÔµã¹ÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ
¹Ñé¹ æ Í‹ҧ໚¹Ãкº
ͧ¤»ÃСͺ·Õè ÁÕªÕÇÔµ
“¼ÙŒ¼ÅÔµ” ¾×ª ͧ¤»ÃСͺ·Õè äÁ‹ÁÕªÕÇÔµ
“¼ÙŒºÃÔâÀ¤” [ ͹Թ·ÃÕÂÊÒà ]
¼ÙŒºÃÔâÀ¤¾×ª ઋ¹ ¡Ãе‹Ò - áË¸ÒµØ ઋ¹ N, P, K
¼ÙŒºÃÔâÀ¤ÊÑµÇ àª‹¹ àÊ×Í - á¡Êµ‹Ò§ æ ઋ¹ CO2 , O2 , N2
¼ÙŒºÃÔâÀ¤·Ñ駾תáÅÐÊÑµÇ àª‹¹ ¤¹ - ¹íéÒ
¼ÙŒºÃÔâÀ¤«Ò¡ÊÑµÇ àª‹¹ áÃŒ§
“¼ÙŒÂ‹ÍÂÊÅÒÂÊÒÃÍÔ¹·ÃÕ ” [ ÍÔ¹·ÃÕÂÊÒÃ]
ÃÒ áº¤·ÕàÃÕ - «Ò¡¾×ª«Ò¡ÊѵÇ
[ ÊÀÒ¾áÇ´ÅŒÍÁ·Ò§¡ÒÂÀÒ¾]
- áʧÊÇ‹Ò§ - ÍسËÀÙÁÔ
- ¤ÇÒÁ໚¹¡Ã´-àºÊ - ¤ÇÒÁª×é¹
- ¤ÇÒÁà¤çÁ - ¡ÃÐáÊÅÁ
32
1. ภาวะปรสิต 2. ภาวะอิงอาศัย
3. ภาวะพึ่งพากัน 4. ภาวะการลาเหยื่อ
(วิเคราะหคําตอบ กบและหอยทากมีความสัมพันธกันแบบภาวะ
การลาเหยือ่ สังเกตไดจากชวงเวลา A ผูล า มีจาํ นวนประชากรลดลง
ในขณะทีเ่ หยือ่ มีจาํ นวนประชากรเพิม่ ขึน้ สลับกันเชนนี้ จึงเกิดการ
ควบคุมกันเอง ดังนั้น ตอบขอ 4.)
T34
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ สมดุ ล
¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ ã¹Ãкº¹ÔàÇÈ ระบบนิ เ วศ เพื่ อ ให ไ ด ข อ สรุ ป ร ว มกั น ว า สิ่ ง มี
ÃٻẺ ÅѡɳРµÑÇÍ‹ҧ ชี วิ ต ในระบบนิ เ วศล ว นมี ก ลไกในการปรั บ ตั ว
¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ เนื่ อ งจากสิ่ ง มี ชี วิ ต ต า งก็ มี บ ทบาทและหน า ที่ ที่
+,+
ÀÒÇоÖ觾ҡѹ
¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ 2 ª¹Ô´
·Õèä´Œ»ÃÐ⪹ËÇÁ¡Ñ¹ ¢Ò´¨Ò¡¡Ñ¹äÁ‹ä´Œ
• äÅह (ÃҡѺÊÒËËÒÂ)
• â¾Ãâ·«ÑÇã¹ÅíÒäÊŒ»ÅÇ¡
• Ấ·ÕàÃÕÂã¹»ÁÃÒ¡¶ÑèÇ
แตกตางกัน กลาวคือ สิ่งมีชีวิตบางชนิดทําหนาที่
เปนผูผลิต ผูบริโภค หรือผูยอยสลายสารอินทรีย
(mutualism) ทําใหเกิดการหมุนเวียนสารเปนวัฏจักรไปพรอม
+,ð
ÀÒÇÐÍÔ§ÍÒÈÑÂ
¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ 2 ª¹Ô´
½†ÒÂ˹Öè§ä´Œ»ÃÐ⪹ (¼ÙŒÍÒÈÑÂ)
ÍÕ¡½†ÒÂ˹Öè§äÁ‹ä´ŒáÅÐäÁ‹àÊÕ»ÃÐ⪹
• àËÒ©ÅÒÁ¡Ñº»ÅÒ©ÅÒÁ
• ¹¡·íÒÃѧº¹µŒ¹äÁŒ
• ¡ÅŒÇÂäÁŒ¡ÑºµŒ¹äÁŒãËÞ‹
กั บ การถ า ยทอดพลั ง งาน ทํ า ให ร ะบบนิ เ วศ
เกิดความสมดุล
(commensalism) (¼ÙŒãËŒÍÒÈÑÂ)
ขัน้ ประเมิน
+,-
ÀÒÇлÃÊÔµ
¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ 2 ª¹Ô´
½†Ò»ÃÊÔµ (parasite) ä´Œ»ÃÐ⪹ ÍÒ¨ÍÂÙ‹
ÀÒ¹͡ËÃ×ÍÍÂÙ‹ÀÒÂã¹ÍÕ¡½†ÒÂ˹Ö觫Öè§à»š¹
• ¾ÂÒ¸Ôã¹ÅíÒäÊŒ¤¹
• ¡Ò½Ò¡¡ÑºµŒ¹äÁŒãËÞ‹
• àËçºáÅÐËÁÑ´º¹µÑÇÊعѢ
ตรวจสอบผล
1. ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน หนวยการเรียนรู
(parasitism) ¼ÙŒ¶Ù¡ÍÒÈÑ (host) ¨ÐàÊÕ»ÃÐ⪹
ที่ 1 ระบบนิเวศ
+,-
ÀÒÇСÒÃÅ‹ÒàËÂ×èÍ
¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ 2 ª¹Ô´
½†Ò·Õè໚¹¼ÙŒÅ‹Ò (predator) ä´Œ»ÃÐ⪹
ʋǹÍÕ¡½†Ò·Õè໚¹àËÂ×èÍ (prey)
• àÊ×ÍÅ‹Ò¡ÇÒ§
• ¹¡¡Ô¹Ë¹Í¹
• µŒ¹¡ÒºËÍÂá¤Ã§¡ÑºáÁŧ
2. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรู
(predation) ¨ÐàÊÕ»ÃÐ⪹ à¾ÃÒÐ໚¹ÍÒËÒâͧ¼ÙŒÅ‹Ò ที่ 1 ระบบนิเวศ
ÊÒÂãÂÍÒËÒà 3. ตรวจการตอบคําถามจาก Topic Questions
â«‹ÍÒËÒà ⫋ÍÒËÒ÷ÕèÁÕ¤ÇÒÁ«Ñº«ŒÍ¹ÁÒ¡¢Öé¹ Self Check และ Unit Questions ในหนังสือ
¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇԵ㹺ÃÔàdz เรี ย นรายวิ ช าพื้ น ฐานวิ ท ยาศาสตร แ ละ
à´ÕÂǡѹ·ÕèÁÕ¡Òö‹Ò·ʹ¾Åѧ§Ò¹¼‹Ò¹ เทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 1
¡ÒáԹµ‹Í¡Ñ¹à»š¹·Í´ æ ઋ¹
ËÞŒÒ = ¼ÙŒ¼ÅÔµ ระบบนิเวศ ในสมุดประจําตัวนักเรียน
µÑê¡áµ¹ = ¼ÙŒºÃÔâÀ¤ÅíҴѺ·Õè 1 4. ประเมิ น ผลการออกแบบกิ จ กรรม ฟ น ฟู
¡º = ¼ÙŒºÃÔâÀ¤ÅíҴѺ·Õè 2 สภาพแวดลอมทางทะเล
§Ù = ¼ÙŒºÃÔâÀ¤ÅíҴѺ·Õè 3 5. ตรวจผังมโนทัศน เรื่อง ระบบนิเวศ
àËÂÕèÂÇ = ¼ÙŒºÃÔâÀ¤ÅíҴѺÊØ´·ŒÒ 6. สั ง เกตพฤติ ก รรมการตอบคํ า ถามและ
â´Â»ÃÔÁÒ³¾Åѧ§Ò¹·Õè¶Ù¡¶‹Ò·ʹ พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
¨ÐÅ´Å§ä»·Õ Å Ð¢Ñé ¹ µÒÁÅí Ò ´Ñ º ¢Í§ 7. สั ง เกตพฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม จากการ
¼ÙŒºÃÔâÀ¤·ÕèÊÙ§¢Öé¹
นําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนาชั้นเรียน
8. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต
ความมีวนิ ยั ใฝเรียนรู และมุง มัน่ ในการทํางาน
ระบบนิเวศ 33
- โซอาหาร
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่กาหนด
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ความคิดสร้างสรรค์
4 ความเป็นระเบียบ
- สายใยอาหร
รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............../................./................
เกณฑ์ประเมินแผนผังมโนทัศน์
- พีระมิดการถายทอดพลังงานในระบบนิเวศ
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. ผลงานตรงกับ ผล งา น สอดค ล้ องกั บ ผ ล ง า น ส อด ค ล้ อ งกั บ ผลงานสอดคล้ อ งกั บ ผลงานไม่ ส อดคล้ อ ง
จุดประสงค์ที่ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ บ า ง กับจุดประสงค์
กาหนด ประเด็น
- แนวทางการดูแลรักษาสมดุลของระบบนิเวศในชุมชนใหยงั่ ยืน
2. ผลงานมีความ เนื้ อ หาสาระของผลงาน เนื้ อ หาสาระของผลงาน เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ข อ ง เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ข อ ง
ถูกต้องของ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ผลงานถูกต้องเป็นบาง ผลงานไม่ถูกต้องเป็น
เนื้อหา ประเด็น ส่วนใหญ่
3. ผลงานมีความคิด ผ ล ง า น แ ส ด ง อ อ ก ถึ ง ผลงานมี แ นวคิ ด แปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผ ล ง า น ไ ม่ แ ส ด ง
สร้างสรรค์ ค ว า ม คิ ด ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ใหม่ แ ต่ ยั ง ไม่ เ ป็ น ระบบ แ ต่ ยั ง ไ ม่ มี แ น ว คิ ด แนวคิดใหม่
แปลกใหม่และเป็นระบบ แปลกใหม่
4. ผลงานมีความ ผ ล ง า น มี ค ว า ม เ ป็ น ผลงานส่ ว นใหญ่ มี ค วาม ผลงานมี ค วามเป็ น ผลงานส่ ว นใหญ่ ไ ม่
เป็น ระเบียบ ระเบี ย บแสดงออกถึ ง เ ป็ น ร ะ เ บี ย บ แ ต่ ยั ง มี ร ะ เ บี ย บ แ ต่ มี เป็นระเบียบและมีข้อ
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย ข้อบกพร่องบางส่วน บกพร่องมาก
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 7 ปรับปรุง
T35
นํา สอน สรุป ประเมิน
1. ระบบนิเวศประกอบด้วยองค์ประกอบที่ไม่มีชีวิตกับองค์ประกอบที่มีชีวิต 1.
2. แสงสว่างเป็นองค์ประกอบทางเคมีที่มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช 1.1
4. ผู้บริโภคซากสัตว์ท�าหน้าที่หมุนเวียนสารกลับคืนสู่วัฏจักรธรรมชาติ 1.2
5. ต้นไม้กับคนมีความสัมพันธ์กันแบบภาวะอิงอาศัย 2.
ุด
สม
ใน
6. เหาฉลามกับปลาฉลามมีความสัมพันธ์กันแบบได้ประโยชน์ร่วมกัน 2.
ลง
ทึ ก
บั น
7. การระบาดของแมลงศัตรูพืช ท�าให้เกษตรกรต้องใช้วิธีก�าจัดแมลงศัตรูพืช
ทางชีวภาพ โดยให้สิ่งมีชีวิตอื่นมากินแมลง เรียกความสัมพันธ์แบบนี้ว่า 2.
ภาวะการล่าเหยื่อ
9. ถ้าสารพิษตะกั่วเกิดรั่วไหลออกสู่ทะเล ร่างกายมนุษย์จะมีสารพิษตะกั่วสะสม
3.
อยู่มากที่สุด
34
T36
นํา สอน สรุป ประเมิน
รากับสาหราย
นส
งใ
T37
นํา สอน สรุป ประเมิน
13.4 พืช > หนู > งู > เหยี่ยว ภาพที่ 1.47 สายใยอาหาร
ที่มา : คลังภาพ อจท.
13.5 เหยี่ยว > งู > หนู > พืช
14.1 สิ่งมีชีวิตชนิดใดเป็นทั้งผู้บริโภคล�าดับที่ 1 และล�าดับที่ 2 เพราะเหตุใด
14. 14.1 หนู เพราะเปนผูบริโภคทั้งพืชและสัตว
14.2 สิ่งมีชีวิตล�าดับแรกในโซ่อาหารต้องเป็นพืชเสมอหรือไม่
14.2 ไมจาํ เปนตองเปนพืชเสมอไป ขึน้ อยูก บั 14.3 ถ้าประชากรเหยี่ยวมีจ�านวนลดลง ประชากรของสิ่งมีชีวิตชนิดใดจะมีจ�านวนเพิ่มขึ้น
ประเภทของโซอาหาร 14.4 ถ้าประชากรกระต่ายมีจ�านวนลดลงจะส่งผลกระทบต่อสิงโตหรือไม่ อย่างไร
14.3 งู
14.4 ไมสง ผลกระทบตอสิงโต เนือ่ งจากสิงโต 36
สามารถกินสิ่งมีชีวิตอื่นเปนอาหารได
เชน แพะ สุนัขจิ้งจอก
T38
นํา สอน สรุป ประเมิน
17. ระบบนิ เ วศ B เพราะระบบนิ เ วศที่ มี สิ่ ง มี ชี วิ ต หลายชนิ ด จะมี ส ายใยอาหารที่ มี ค วามซั บ ซ อ นมากกวา จึงรักษาสมดุลไดดีกวา เพราะสิ่งมีชีวิต
ชนิดใดสูญพันธุไปจากระบบนิเวศ จะมีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นมาทดแทนได
18. ในชวงเวลาเริ่มตน ประชากรนกเพิ่มจํานวนขึ้น ในขณะที่ประชากรหนอนมีจํานวนลดลง เนื่องจากนกกินหนอนเปนอาหาร เมื่อหนอนลดจํานวนลง
จะเห็นวา พืชซึ่งเปนผูผลิตมีจํานวนเพิ่มขึ้น เมื่อเวลาผานไป ประชากรนกจะมีจํานวนมากกวาประชากรหนอนมาก อาหารของนกจึงไมเพียงพอ สงผล
ใหประชากรนกลดลง เมือ่ ประชากรนกลดลง หนอนจะแพรพนั ธุเ พิม่ จํานวนประชากรมากขึน้ ขณะเดียวกัน พืชซึง่ เปนอาหารของหนอนจะมีจาํ นวนลดลง
19. ไฟปาทําใหสิ่งมีชีวิตตายลงเปนจํานวนมาก ทําใหระบบนิเวศถูกทําลายลง สงผลใหระบบนิเวศสูญเสียความสมดุล
20. 1. ชวยกันปลูกปา
2. ไมลาสัตวปา
3. ปองกันและหาแนวทางการกําจัดมลพิษ เพื่อไมใหมลพิษปนเปอนสูสิ่งแวดลอม
T39
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
T40
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
T41
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
T42
Chapter Concept Overview
โครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีน
สิง่ มีชวี ติ ทุกชนิดมีสารทีเ่ กีย่ วข้องกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม คือ โครโมโซม ประกอบด้วยดีเอ็นเอและโปรตีน โดยบางส่วน
ของช่วงสายดีเอ็นเอ เรียกว่า ยีน ท�าหน้าที่ควบคุมและก�าหนดลักษณะทางพันธุกรรมต่าง ๆ
นิวเคลียส
ร่างกายมนุษย์มีจ�านวนโครโมโซม 46 เซลล์
แท่ง หรือ 23 คู่
คู่ที่ 1-22 เรียกว่า โครโมโซมร่างกาย
หรือออโตโซม
ยีน
คู่ที่ 23 เรียกว่า โครโมโซมเพศ โครโมโซม
ดีเอ็นเอ
44+XY 44+XX
การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
• การศึกษาพันธุศาสตรของเมนเดล เมนเดลเป็นผู้ศึกษาวิชาด้านพันธุศาสตร์โดยท�าการทดลองกับต้นถั่วลันเตา จนกระทั่งสามารถอธิบาย
หลักการการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมได้ จนได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์
×
กลีบดอก รุ่นพ่อแม่
เกสรเพศเมีย ดอกถั่วลันเตาสีม่วงพันธุ์แท้ ดอกถั่วลันเตาสีขาวพันธุ์แท้
ลูกรุ่นที่ 1 ; F1
ลักษณะเด่น
กลีบเลี้ยง เกสรเพศผู้
ดอกถั่วลันเตาสีม่วงพันธุ์ทาง
ต้นถั่วลันเตามีคุณสมบัติ ดังนี้
- วงจรชีวิตสั้น ลูกรุ่นที่ 2 ; F2
- มีดอกสมบูรณ์เพศ
- มีลักษณะทางพันธุกรรมที่แตกต่างกัน
อย่างชัดเจน ลักษณะด้อย
- ลักษณะของดอกเอื้อต่อการผสมภายใน
ดอกเดียวกัน อัตราส่วนของดอกสีม่วง : ดอกสีขาวประมาณ 3 : 1
ฮอมอไซกัสจีโนไทป์ เฮเทอโรไซกัสจีโนไทป์
(PP) (Tt)
T43
การแบงเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
• การแบงเซลลแบบไมโทซิส (mitosis)
- เพิ่มจ�านวนเซลล์ร่างกาย
- ได้เซลล์ใหม่จ�านวน 2 เซลล์ เจริญเติบโต
- เซลล์ใหม่มีจ�านวนโครโมโซมเท่ากับเซลล์ตั้งต้น
- ไม่เกิดการครอสซิงโอเวอร์
ความผิดปกติทางพันธุกรรม
โรคทางพันธุกรรมเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม เช่น รูปร่าง
โครงสร้าง จ�านวนโครโมโซมเปลีย่ นแปลงไปจากปกติ โรคทางพันธุกรรมสามารถ
ถ่ายทอดจากรุ่นพ่อแม่ไปสู่รุ่นลูกหรือรุ่นหลานได้
• ความผิดปกติของออโตโซม
- กลุ่มอาการพาทัวเกิดจากโครโมโซมร่างกายคู่ที่ 13 เกินมา 1 แท่ง
- กลุ่มอาการดาวน์เกิดจากโครโมโซมร่างกายคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง กลุ่มอาการดาวน์
- กลุม่ อาการเอ็ดเวิรด์ เกิดจากโครโมโซมร่างกายคูท่ ี่ 18 เกินมา 1 แท่ง
- กลุม่ อาการคริดชู าเกิดจากแขนข้างสัน้ ของโครโมโซมคูท่ ี่ 5 ขาดหายไป
• ความผิดปกติของโครโมโซมเพศ
- กลุ่มอาการเทิร์นเนอร์เป็นความผิดปกติที่พบในเพศหญิง โดยมี
โครโมโซม X ขาดหายไป 1 แท่ง
- กลุม่ อาการทริปเปลเอกซ์เป็นความผิดปกติทพี่ บในเพศหญิงโดยอาจ
มีโครโมโซมเพศเป็นแบบ XXX หรือ XXXX กลุ่มอาการเทิร์นเนอร์
- กลุ่มอาการไคลน์เฟลเตอร์เป็นความผิดปกติที่พบในเพศชาย โดย
มีโครโมโซม X เกินมา อาจมีโครโมโซมเพศเป็นแบบ XXY หรือ
XXXY
- กลุ่มอาการดับเบิลวายเป็นความผิดปกติที่พบในเพศชาย เกิดจาก
การที่มีโครโมโซม Y เกินมาจากปกติ ท�าให้มีโครโมโซมเพศเป็น
แบบ XYY
• ความผิดปกติของยีน เช่น โรคผิวเผือก ภาวะนิ้วเกิน โรคธาลัสซีเมีย ภาวะนิ้วเกิน
ภาวะตาบอดสี โรคฮีโมฟีเลีย
T44
การดัดแปรทางพันธุกรรม
การดัดแปรทางพันธุกรรมต้องอาศัยความรู้ทางพันธุศาสตร์และใช้เทคโนโลยีทางพันธุวิศวกรรม โดยการน�ายีนของสิ่งมีชีวิตหนึ่ง
ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมที่ต้องการ ใส่เข้าไปในสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง เพื่อให้แสดงลักษณะทางพันธุกรรมตามต้องการ เรียกสิ่งมีชีวิตนี้ว่า
สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม (genetically modified organisms; GMOs) ซึ่งน�าไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น
ความหลากหลายทางชีวภาพ
• ความหลากหลายทางชีวภาพมี 3 ระดับ ดังนี้
ป า่ ดิบชืน้ มีความหลากหลายชนิดของสิง่ มีชวี ติ มากกว่าทะเลทราย เนือ่ งจากป่าดิบชืน้ มีสภาพภูมอิ ากาศและภูมปิ ระเทศทีเ่ หมาะสมต่อการ
ด�ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ขณะที่ทะเลทรายมีสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง ป่าดิบชื้นจึงมีความสมดุลของระบบนิเวศมากกว่าทะเลทราย
• ความหลากหลายทางชีวภาพยังมีความส�าคัญต่อมนุษย์ในด้านต่าง ๆ เช่น เป็นแหล่งอาหาร ใช้ท�ายารักษาโรค สร้างที่อยู่อาศัย
ท�าเครื่องนุ่งห่ม เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดังนั้น เราจึงควรร่วมกันดูแลรักษาความหลากหลายทางชีวภาพให้ยั่งยืน
T45
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
1. ครูเตรียมแบบทดสอบกอนเรียน หนวยการ
เรียนรูที่ 2 พันธุกรรม
2. ครูเตรียมภาพโครโมโซมหรือใชภาพโครโมโซม
ที่มีรูปรางตางๆ เพื่อใหนักเรียนทํากิจกรรม
2 พันธุกรรม
Engaging Activity ในหนังสือเรียนรายวิชา
พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
·ÓäÁ´ÕàÍç¹àÍ
หนวยการเรียนรูที่ 2 เรื่อง โครโมโซม ดีเอ็นเอ ดีเอ็นเอ
ÊÒÂÂÒÇจึงสามารถ
อยู่ในเซลล์ที่มี
และยีน สารพั น ธุ ก รรมที่ กํ า หนดลั ก ษณะ
3. ครูเตรียมอุปกรณที่ใชทํากิจกรรม โครงสราง ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ขนาดเล็กได้
มีลักษณะเปนเกลียวคู
สารที่เกี่ยวของกับการถายทอดลักษณะทาง
พั น ธุ ก รรมและกิ จ กรรม สร า งแบบจํ า ลอง
โครโมโซม
4. ครู เ ตรี ย มข อ มู ล เกี่ ย วกั บ จํ า นวนโครโมโซม
ในรางกายของสิ่งมีชีวิตชนิดตางๆ เพื่อให
โรคธาลัสซีเมีย
นักเรียนเปรียบเทียบจํานวนโครโมโซมซึ่งอาจ
ความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการ
ทําในรูปของตารางและมีภาพของสิ่งมีชีวิต สังเคราะหโปรตีนซึง่ เปนสวนประกอบ
ชนิดนั้นประกอบความเขาใจ ของเซลลเม็ดเลือดแดง
ตัวชี้วัด
ว 1.3 ม.3/1 อธิบำยควำมสัมพันธ์ระหว่ำงยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซม โดยใช้แบบจ�ำลอง
ว 1.3 ม.3/2 อธิบำยกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรมจำกกำรผสมโดยพิจำรณำลักษณะเดียวที่แอลลีลเด่นข่มแอลลีลด้อยอย่ำงสมบูรณ์
ว 1.3 ม.3/3 อธิบำยกำรเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของลูกและค�ำนวณอัตรำส่วนกำรเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของรุ่นลูก
ว 1.3 ม.3/4 อธิบำยควำมแตกต่ำงของกำรแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส
ว 1.3 ม.3/5 บอกได้ว่ำกำรเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม อำจท�ำให้เกิดโรคทำงพันธุกรรม พร้อมทั้งยกตัวอย่ำงโรคทำงพันธุกรรม
ว 1.3 ม.3/6 ตระหนักถึงประโยชน์ของควำมรูเ้ รือ่ งโรคทำงพันธุกรรม โดยรูว้ ำ่ ก่อนแต่งงำนควรปรึกษำแพทย์เพือ่ ตรวจและวินจิ ฉัยภำวะเสีย่ งของลูกทีอ่ ำจเกิด
โรคทำงพันธุกรรม
ว 1.3 ม.3/7 อธิบำยกำรใช้ประโยชน์จำกสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม และผลกระทบที่อำจมีต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมโดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้
แนวตอบ Big Question ว 1.3 ม.3/8 ตระหนักถึงประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่อำจมีต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยกำรเผยแพร่ควำมรู้ที่ได้จำกกำรโต้แย้ง
ทำงวิทยำศำสตร์ ซึ่งมีข้อมูลสนับสนุน
รางกายมนุษยมีกลไกซึ่งทําใหดีเอ็นเอที่มีสาย ว 1.3 ม.3/9 เปรียบเทียบควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพในระดับชนิดสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศต่ำง ๆ
ยาวสามารถขดตัวอยูในเซลลที่มีขนาดเล็กได โดย ว 1.3 ม.3/10 อธิบำยควำมส�ำคัญของควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพที่มีต่อกำรรักษำสมดุลของระบบนิเวศและต่อมนุษย์
ว 1.3 ม.3/11 แสดงควำมตระหนักในคุณค่ำและควำมส�ำคัญของควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ โดยมีส่วนร่วมในกำรดูแลรักษำควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ
ดีเอ็นเอจะขดพันกับกอนโปรตีนและขดตัวพันกัน
หลายระดับ จนกระทั่งกลายเปนแทงโครโมโซมอยู
ภายในนิวเคลียสของเซลลสิ่งมีชีวิตได
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอน เรื่อง พันธุกรรม ครูควรจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับ
ลักษณะทางพันธุกรรม โดยใหนักเรียนทํากิจกรรม เชน ใหนักเรียนนําภาพถาย
ครอบครัวของนักเรียนแตละคนมาวิเคราะหวา นักเรียนมีลักษณะใบหนา
คล า ยกั บ พ อ หรื อ แม โดยลั ก ษณะที่ เ หมื อ นกั น คื อ อะไร จากนั้ น ครู ถ าม
คํ า ถามกระตุ น ความคิ ด ของนั ก เรี ย นเพื่ อ นํ า เข า สู บ ทเรี ย นว า ลั ก ษณะทาง
พันธุกรรมสามารถถายทอดจากพอแมมาสูล กู ไดอยางไร สารพันธุกรรมคืออะไร
และมีลักษณะอยางไร
T46
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
การเตรียมการบรรยาย
Check for Understanding 5. ใหนกั เรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน หนวยการ
พิจารณาขอความตามความเขาใจของนักเรียนวาถูกหรือผิด แลวบันทึกลงในสมุดบันทึก เรียนรูที่ 2 พันธุกรรม
ถูก/ผิด 6. ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเอง
1. สารพันธุกรรมของมนุษยบรรจุอยูภายในนิวเคลียส กอนเขาสูการเรียนการสอนจากกรอบ Check
2. สีของกลีบดอกเปนลักษณะทางพันธุกรรมของพืช for Understanding ในหนังสือเรียนรายวิชา
มุ ด
3. ลูกไดรับลักษณะทางพันธุกรรมจากพอและแม พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
นส
งใ
ล
หนวยการเรียนรูที่ 2 เรื่อง โครโมโซม ดีเอ็นเอ
ทึ ก
4. ความสูงและสีผิวเปนลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย
บั น
5. การสืบพันธุแบบอาศัยเพศ ทําใหลูกมีลักษณะเหมือนพอและแมทุกประการ และยีน โดยบันทึกลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
7. ใหนักเรียนทํากิจกรรม Engaging Activity
โดยจั บ คู ห มายเลขใต ภ าพโครโมโซมที่
E ngaging พิจารณาภาพที่กําหนดให แลวใหนักเรียนจับคูหมายเลขใตภาพที่เหมือนกัน
เหมือนกันจากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวย
Activity
การเรียนรูที่ 2 เรื่อง โครโมโซม ดีเอ็นเอ และ
ยีน
8. ครูสรุปหลังทํากิจกรรมวา ภาพที่นักเรียนใช
ทํากิจกรรม เรียกวา โครโมโซม ซึ่งมีความ
เกี่ ย วข อ งกั บ การถ า ยทอดลั ก ษณะทาง
ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3 ภาพที่ 4 พั น ธุ ก รรมของสิ่ ง มี ชี วิ ต โดยในธรรมชาติ
โครโมโซมจะอยูกันเปนคู เรียกวา ฮอมอโลกัส
โครโมโซม
T47
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
1. ครูถามคําถาม Key Question Key 1 โครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีน
2. ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ Question สิ่งมีชีวิตทุกชนิดประกอบด้วยเซลล์ซึ่งมีส่วนประกอบส�ำคัญ
• ยกตัวอยางลักษณะทีถ่ า ยทอดทางพันธุกรรม ออร์แกเนลล์ใดทีเ่ กีย่ วข้อง 3 ส่วน คือ นิวเคลียส ไซโทพลำซึม และเยื่อหุ้มเซลล์ โดยส่วน
ของพืชมีอะไรบาง กับการถ่ายทอดลักษณะ ประกอบที่มีควำมเกี่ยวข้องกับกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม
ทางพันธุกรรม คือ นิวเคลียส ซึ่งเป็นออร์แกเนลล์ที่มีหน้ำที่ควบคุมกำรท�ำงำนของ
(แนวตอบ เชน สีของเมล็ด ลักษณะของเมล็ด
ความสูงของลําตน สีของกลีบดอก) เซลล์ เนื่องจำกภำยในมีสำรพันธุกรรมบรรจุอยู่
• ยกตัวอยางลักษณะทีถ่ า ยทอดทางพันธุกรรม เมื่อน�ำเซลล์ไปศึกษำภำยใต้กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง จะพบว่ำ ภำยในนิวเคลียสมีโครงสร้ำงที่สำมำรถ
ของสัตวมีอะไรบาง ย้อมติดสีได้ดี ซึ่งโครงสร้ำงนี้มีควำมเกี่ยวข้องกับกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม
(แนวตอบ เชน สีขน สีตา ลักษณะขน ลักษณะ
ใบหู) กิจกรรม
• ยกตัวอยางลักษณะทีถ่ า ยทอดทางพันธุกรรม ศึกษาโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ของมนุษยมีอะไรบาง
(แนวตอบ เชน สีตา สีผม ลักษณะของหนังตา จุดประสงค์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
- กำรสังเกต
ลักษณะการหอลิ้น ลักษณะติ่งหู ลักษณะ อธิบำยโครงสร้ำงสำรที่อยู่ภำยในนิวเคลียสได้ - กำรตีควำมหมำยข้อมูล
และลงข้อสรุป
การมีลักยิ้ม) วัสดุอปุ กรณ์ จิตวิทยาศาสตร์
- ควำมสนใจใฝ่รู้
3. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน เพื่อทํา 1. สไลด์ถำวรของนิวเคลียสในเซลล์ปลำยรำกหอมที่ย้อมสีอะซิโตออร์ซินหรืออะซีโตคำร์มีน - ควำมรับผิดชอบ
- กำรท�ำงำนร่วมกับผู้อื่นได้
กิจกรรม ศึกษาโครงสรางที่เกี่ยวของกับการ 2. กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง อย่ำงสร้ำงสรรค์
ถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
วิธปี ฏิบตั ิ
4. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
1. ใ ห้นกั เรียนแบ่งกลุม่ กลุม่ ละ 5-6 คน แล้วร่วมกันสังเกตและศึกษำลักษณะของสิง่ ทีป่ รำกฏในนิวเคลียสของเซลล์ปลำยรำกหอม
ภำยใต้กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง จำกนั้นวำดภำพสิ่งที่เห็นและบรรยำยโครงสร้ำงของสำรที่อยู่ภำยในนิวเคลียส
2. สืบค้นและรวบรวมข้อมูล เพื่อระบุว่ำสำรที่อยู่ภำยในนิวเคลียสคืออะไร
ค�าถามท้ายกิจกรรม
1. สำรที่อยู่ภำยในนิวเคลียสมีลักษณะเป็นอย่ำงไร
2. สำรที่อยู่ภำยในนิวเคลียสคืออะไร
แนวตอบ Key Question
อภิปรายผลกิจกรรม
นิวเคลียส
จำกกิจกรรม เมือ่ ใช้กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงส่องดูสไลด์ถำวรของนิวเคลียสในเซลล์ปลำยรำกหอม จะพบว่ำ ส่วนทีอ่ ยูภ่ ำยใน
นิวเคลียสบำงเซลล์มีลักษณะคล้ำยกับเส้นใยขนำดเล็กพันกัน ซึ่งเรียกว่ำ โครมาทิน (chromatin) มักพบขณะที่เซลล์ยังไม่เกิด
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม กระบวนกำรแบ่งเซลล์ และพบว่ำส่วนที่อยู่ภำยในนิวเคลียสบำงเซลล์มีลักษณะเป็นแท่งหดสั้น เรียกว่ำ โครโมโซม (chromosome)
1. บางเซลลมีลักษณะเปนเสนใยยาวพันกันและ
บางเซลลมีลักษณะเปนแทง 40
2. โครโมโซม
โครโมโซม โครมาทิน
T48
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
โครโมโซม (chromosome) ประกอบด้วยสำรพันธุกรรมและโปรตีน โดยบำงช่วงของสำรพันธุกรรมท�ำหน้ำที่ 5. ครูอธิบายวา สิ่งที่นักเรียนเห็นภายใตกลอง
ควบคุมและก�ำหนดลักษณะทำงพันธุกรรมต่ำง ๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น ลักษณะสีตำของมนุษย์ ลักษณะใบของพืช
จุลทรรศน เรียกวา โครโมโซม เมือ่ ผานกระบวน
ลักษณะขนของสัตว์
สิ่ ง มี ชี วิ ต ชนิ ด เดี ย วกั น จะมี จ� ำ นวนโครโมโซม การแบ ง เซลล แ ล ว โครโมโซมจะมี ลั ก ษณะ
ในร่ำงกำยเท่ำกัน แต่สิ่งมีชีวิตต่ำงชนิดกันอำจมีจ�ำนวน เปนแทง แตบางเซลลที่ยังไมผานกระบวนการ
โครโมโซมในร่ำงกำยเท่ำกันหรือไม่เท่ำกัน เนื่องจำก นักเรียนคิดว่า สิ่งมีชีวิตต่างชนิดกัน แบงเซลลจะมีลักษณะเปนเสนใยยาวพันกัน
สิง่ มีชวี ติ แต่ละชนิดมีลกั ษณะทีแ่ ตกต่ำงกัน ตัวอย่ำงจ�ำนวน จะมีจ�านวนโครโมโซมเท่ากันหรือไม่
เรียกวา โครมาทิน
โครโมโซมของเซลล์ร่ำงกำยของสิ่งมีชีวิตชนิดต่ำง ๆ 6. ใหนักเรียนศึกษาภาพในหนังสือเรียนรายวิชา
แสดงดังตำรำงที่ 2.1
พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
ตารางที่ 2.1 จ�ำนวนโครโมโซมของเซลล์ร่ำงกำยของสิ่งมีชีวิตชนิดต่ำง ๆ หรือตารางแสดงจํานวนโครโมโซมของเซลล
ชนิดของสิ่งมีชีวิต จ�านวนโครโมโซม (แท่ง)
ร า งกายของสิ่ ง มี ชี วิ ต ชนิ ด ต า งๆ แล ว ถาม
แมลงหวี่ 8
คําถามนักเรียน ดังนี้
แมลงวัน 12
• สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีจํานวนโครโมโซมเทากัน
ถั่วลันเตำ 14
ข้ำวโพด 20
ไดหรือไม
ข้ำว 24
( แนวตอบ อาจเท า กั น หรื อ ไม เ ท า กั น ก็ ไ ด
มะเขือเทศ 24 ภาพที่ 2.2 ชิมแปนซีมีจ�ำนวนโครโมโซม แต ส่ิ ง มี ชี วิ ต ชนิ ด เดี ย วกั น จะมี จํ า นวน
กบ 26
ใกล้เคียงกับมนุษย์ โครโมโซมเทากันเสมอ)
ที่มา : คลังภาพ อจท.
หมู 38 • จํานวนโครโมโซมของสิ่งมีชีวิตสัมพันธกับ
ปลำกัด 42 ขนาดของสิ่งมีชีวิตหรือไม
หนู 40 (แนวตอบ ไมสัมพันธ ตัวอยางเชน ยูกลีนา
มนุษย์ 46 เปนสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กกวามนุษย แตมี
ชิมแปนซี 48 จํานวนโครโมโซมมากกวาจํานวนโครโมโซม
สุนัข 78 ภาพที่ 2.3 ยูกลีนำมีจ�ำนวนโครโมโซม ในรางกายมนุษย)
ไก่ 78
90 แท่ง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
• จํานวนโครโมโซมในรางกายมนุษยมีเทาใด
(แนวตอบ 46 แทง หรือ 23 คู)
จำกตำรำง จะเห็นว่ำ โดยทั่วไปสิ่งมีชีวิตจะมี
จ� ำ นวนโครโมโซมเป็ น เลขคู ่ และจ� ำ นวนโครโมโซม
ไม่สัมพันธ์กับขนำดของสิ่งมีชีวิต เช่น มนุษย์มีจ�ำนวน จงยกตัวอย่างเซลล์ร่างกาย
โครโมโซม 46 แท่ง ในขณะที่สุนัขมีจ�ำนวนโครโมโซม ของมนุษย์มาอย่างน้อย 3 ตัวอย่าง
78 แท่ง หรือกบมีจ�ำนวนโครโมโซม 26 แท่ง ในขณะที่ แนวตอบ คําถาม
ปลำกัดมีจ�ำนวนโครโมโซม 42 แท่ง 1. สิง่ มีชวี ติ ตางชนิดอาจมีจาํ นวนโครโมโซมเทากัน
หรือไมเทากันได
พันธุกรรม 41 2. ตัวอยางเชน เซลลเยื่อบุขางแกม เซลลประสาท
เซลลเม็ดเลือดแดง
T49
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
7. ครูอธิบายวา การศึกษาจํานวนและขนาดของ เพือ่ ท�ำกำรศึกษำจ�ำนวนและรูปร่ำงของโครโมโซมของมนุษย์ดว้ ยกำรน�ำเซลล์รำ่ งกำย เช่น เซลล์เม็ดเลือดขำว
ชนิดลิมโฟไซต์ มำศึกษำและถ่ำยภำพโครโมโซมภำยใต้กล้องจุลทรรศน์ แล้วจัดเรียงโครโมโซมหรือเรียกว่ำ กำรท�ำ
โครโมโซมเปนคู เรียกวา แครีโอไทป ซึง่ เปนวิธี แครีโอไทป์ (karyotype) ซึ่งเป็นกำรศึกษำจ�ำนวนและขนำดของโครโมโซมเป็นคู่ ๆ
ทีแ่ พทยมกั ใชในการวินจิ ฉัยโรคทางพันธุกรรม
โดยโครโมโซมของมนุษยแบงเปน 2 ประเภท
คือ โครโมโซมรางกาย หรือเรียกวา ออโตโซม
จะมีขนาดและรูปรางของโครโมโซมเทากัน 1 2 3 4 5 6
และโครโมโซมเพศซึ่งอาจมีขนาดและรูปราง
เทากันจะเปนเพศหญิง แตถามีขนาดตางกัน 7 8 9 10 11 12
จะเปนเพศชาย
8. ใหนักเรียนศึกษาการจัดเรียงโครโมโซมของ 13 14 15 16 17 18
มนุษยเพศหญิงและเพศชายในหนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 19 20 21 22 23
ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 2 เรือ่ ง โครโมโซม
ดีเอ็นเอ และยีน
1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23
42
T50
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
จะเห็นวา เซลลรางกายของสิ่งมีชีวิตจะมีโครโมโซมอยูกันเปนคู หรือมีจํานวน 2 ชุด แตเซลลสืบพันธุของ 9. ครูถามความคิดเห็นของนักเรียนวา นักเรียน
สิ่งมีชีวิตจะมีโครโมโซมเพียงครึ่งหนึ่งของเซลลรางกาย หรือมีโครโมโซมเพียง 1 ชุด ดังนั้น เซลลรางกายของมนุษย
มีโครโมโซมจํานวน 46 แทง หรือ 23 คู และเซลลสืบพันธุของมนุษยมีโครโมโซมจํานวน 23 แทง ดังภาพที่ 2.5
คิ ด ว า จํ า นวนโครโมโซมของเซลล อ สุ จิ
กับเซลลเยื่อบุผิวขางแกมของนักเรียนจะมี
พอ แม จํานวนโครโมโซมเทากันหรือไม
(แนวตอบ ไมเทากัน โดยเซลลอสุจจิ ะมีจาํ นวน
โครโมโซมเป น ครึ่ ง หนึ่ ง ของเซลล เ ยื่ อ บุ ผิ ว
ขางแกม)
10. ให นั ก เรี ย นศึ ก ษาภาพจํ า นวนโครโมโซม
ก อ นและหลั ง การปฏิ ส นธิ แล ว สุ ม เรี ย ก
นักเรียน 2-3 คน ออกมาอธิบายหนาชั้น
เรียน โดยครูคอยเสริมขอมูลเพิ่มเติมเพื่อให
เพศชายมีจํานวน เพศหญิงมีจํานวน นักเรียนเกิดความเขาใจที่ตรงกัน
โครโมโซม 46 แทง โครโมโซม 46 แทง
การปฏิสนธิ
เซลลอสุจิมีจํานวน เซลลไขมีจํานวน
โครโมโซม 23 แทง โครโมโซม 23 แทง
ไซโกต
(โครโมโซม 46 แทง หรือ 23 คู)
พันธุกรรม 43
T51
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
11. ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม กลุ ม ละ 5-6 คน จากภาพที่ 2.5 จะพบวา จํานวนโครโมโซมของลูกครึง่ หนึง่ ไดมาจาก Science in Real Life
เซลลสืบพันธุของพอ และอีกครึ่งหนึ่งไดมาจากเซลลสืบพันธุของแม ดังนั้น เซลลรางกายของมนุษยมีจํานวน
ทํ า กิ จ กรรม สร า งแบบจํ า ลองโครโมโซม ลูกจึงไดรับสารพันธุกรรมที่อยูภายในโครโมโซมจากพอและแม ทําใหลูกมี โครโมโซม 46 แทง หากจํานวนโครโมโซม
จากวั ส ดุ ที่ ค รู เ ตรี ย มให ในหนั ง สื อ เรี ย น ลักษณะและรูปรางคลายกับพอและแม เกินหรือขาดหายไป จะทําใหรา งกายเกิด
รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ความผิดปกติและพิการได
ม.3 เล ม 1 หน ว ยการเรี ย นรู ที่ 2 เรื่ อ ง
โครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีน กิจกรรม
12. ครูถามคําถามทายกิจกรรม สรางแบบจําลองโครโมโซม
อภิปรายผลกิจกรรม
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม จากกิจกรรม พบวา โครโมโซมของสิ่งมีชีวิตประกอบดวยสารประกอบ 2 ชนิด คือ ดีเอ็นเอ (DNA) และโปรตีน โดยดีเอ็นเอ
มีลักษณะเปนเสนยาวขดพันอยูรอบ ๆ โปรตีน และจะขดตัวเพิ่มขึ้นจนกระทั่งกลายเปนแทง
1. โปรตีนและดีเอ็นเอ
2. โครโมโซมเป น ที่ อ ยู ข องสารพั น ธุ ก รรม โดย
ธรรมชาติ โ ครโมโซมจะอยู กั น เป น คู แ ละจะ
แยกจากกันไปอยูในเซลลสืบพันธุเพื่อถายทอด 44
ลักษณะทางพันธุกรรมตอไปยังรุนลูก
T52
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
1. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน
จากกิจกรรมสรางแบบจําลองโครโมโซม พบวา โครงสรางพื้นฐานของโครโมโซมประกอบดวยดีเอ็นเอ วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง
และยีน ซึ่งโครโมโซมเกิดจากการขดพันกันระหวางดีเอ็นเอและโปรตีนเปนเสนยาว และมีการขดพันกันอีกหลาย
ระดับจนกระทัง่ กลายเปนแทงโครโมโซม โดยดีเอ็นเอเปนสารพันธุกรรมทีก่ าํ หนดลักษณะทางพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ โครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีน
ซึง่ ดีเอ็นเอในเซลลรา งกายของมนุษยแตละเซลลมคี วามยาวมาก และแตละชวงความยาวของดีเอ็นเอ คือ ขอมูลทาง 2. ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน
พันธุกรรมที่มีผลตอลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต เรียกวา หนวยพันธุกรรมหรือยีน (gene) ดังภาพ โดยตอบคําถาม Topic Questions ลงใน
สมุดประจําตัวนักเรียน
ดีเอ็นเอ ยีนหรือหนวยพันธุกรรม
เปนโมเลกุลที่มีลักษณะเปนเกลียวคู ทําหนาที่ คือ ชวงความยาวหนึ่งของสายดีเอ็นเอ 3. ใหนักเรียนตอบคําถาม H.O.T.S. โดยเขียน
เก็บขอมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ทีท่ าํ หนาทีก่ าํ หนดลักษณะทางพันธุกรรม คําตอบลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
ของสิ่งมีชีวิต 4. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง โครโมโซม
ดีเอ็นเอ และยีน
5. ตรวจคําตอบ Topic Questions เรือ่ ง โครโมโซม
ดีเอ็นเอ และยีน ในสมุดประจําตัวนักเรียน
กอนโปรตีน 6. ตรวจการตอบคํ า ถาม H.O.T.S. ในสมุ ด
ประจําตัวนักเรียน
7. ใหนักเรียนประเมินวิธีการสอนของครูผูสอน
โดยใหนักเรียนเขียนขอเสนอแนะเกี่ยวกับวิธี
การสอน เพือ่ ครูจะไดนาํ ขอเสนอแนะไปปรับใช
ดีเอ็นเอพันรอบ
กอนโปรตีน
กับการสอนในครั้งตอไป
โครโมโซม
โครโมโซมของสิ่งมีชีวิตที่อยูกันเปนคู เรียกวา ฮอมอโลกัสโครโมโซม ซึ่งเปนโครโมโซมที่มีการ
จัดเรียงยีนบนคูโ ครโมโซมทีเ่ หมือนกัน โดยยีนทีอ่ ยูบ นฮอมอโลกัสโครโมโซมมีรปู แบบทีแ่ ตกตางกัน
เรียกรูปแบบของยีนวา แอลลีล
แนวตอบ H.O.T.S.
ภาพที่ 2.6 ความสัมพันธระหวางโครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีน
โครโมโซม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ยี น เป น หน ว ยพั น ธุ ก รรมที่ อ ยู บ นช ว งความ
HOTS ยาวหนึ่งของสายดีเอ็นเอ ทําหนาที่ควบคุมและ
(คําถามทาทายการคิดขั้นสูง) กําหนดลักษณะทางพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ ดีเอ็นเอ
โครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีน มีความสัมพันธกันอยางไร จึ ง ทํ า หน า ที่ เ ก็ บ สารพั น ธุ ก รรมของสิ่ ง มี ชี วิ ต
เนื่องจากดีเอ็นเอเปนเกลียวคูที่มีสายยาว รางกาย
ของสิง่ มีชวี ติ จึงมีกลไกการเก็บสายดีเอ็นเอดวยการ
ขดพันกับกอนโปรตีนและขดพันกันอีกหลายระดับ
พันธุกรรม 45 จนกระทั่ ง กลายเป น แท ง โครโมโซม โครโมโซม
จึงเปนที่อยูของสารพันธุกรรม
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
แบบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ 1. การปฏิบัติ ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องให้ความช่วยเหลือ
กิจกรรม ทาทาย
ระดับคะแนน กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
4 3 2 1 2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
รวม ทันเวลา
เกี่ยวกับระยะการขดตัวของสายดีเอ็นเอจนกระทั่งเปนโครโมโซม
รวบรวมขอมูล แลวบันทึกลงในสมุดบันทึก และนําเสนอในรูปแบบ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
ที่นาสนใจ
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T53
นํานํา สอน
สอน สรุป ประเมิน
มุ ด
นส
งใ
3. สัตว์ชนิดเดียวกันจะมีรูปร่ำงและลักษณะเหมือนกันทุกประกำร
ขัน้ สอน
ล
ทึ ก
บั น
การบรรยาย 4. รูปแบบของยีน เรียกว่ำ แอลลีล
5. ลักษณะด้อย คือ ลักษณะที่ปรำกฏในทุก ๆ รุ่นของสิ่งมีชีวิต
1. ใหนักเรียนตรวจสอบความรูของตนเองกอน
เข า สู ก ารเรี ย นการสอนจากกรอบ Check
for Understanding ในหนังสือเรียนรายวิชา
พื้ น ฐานวิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3
E ngaging ให้นักเรียนพิจารณาภาพเด็กและผู้ใหญ่ที่กําหนดให้ แล้วจับคู่หมายเลขของภาพ
เด็กกับผู้ใหญ่ที่มีแนวโน้มเปนครอบครัวเดียวกันให้ถูกต้อง
Activity
เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 2 เรื่อง การถายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรม โดยบันทึกลงในสมุด
ประจําตัวนักเรียน
2. ใหนักเรียนทํากิจกรรม Engaging Activity
โดยใหนักเรียนพิจารณาภาพเด็กและผูใหญ
ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 2 ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3
เรื่ อ ง การถ า ยทอดลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรม
จากนั้ น ให นั ก เรี ย นจั บ คู ห มายเลขใต ภ าพ
เด็ ก กั บ ผู ใ หญ ที่ มี แ นวโน ม เป น ครอบครั ว
เดียวกัน
T54
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
Key 2 การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม 3. ใหนักเรียนสํารวจตนเองและครูถามคําถาม
Question สิ่งมีชีวิตทุกชนิดไดรับขอมูลทางพันธุกรรมจากพอและแม นักเรียน ดังนี้
เพราะเหตุใดเด็กทีเ่ กิดจาก ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่สืบพันธุแบบอาศัยเพศจะมีลักษณะ รูปราง และหนาตา - นักเรียนคนใดมีหนังตา 2 ชั้นบาง
พอและแมทมี่ หี นังตา ที่ไมเหมือนกับพอแม แตจะคลายคลึงกับพอ หรือคลายคลึงกับแม - นักเรียนคนใดมีหนังตาชั้นเดียวบาง
2 ชัน
้ ทัง้ 2 คน จึงมี หรือคลายคลึงทั้งพอและแม หรืออาจจะไมเหมือนทั้งพอและแม 4. ครูสุมเรียกตัวแทนนักเรียนที่มีหนังตา 2 ชั้น
หนังตาชัน้ เดียว แตอาจเหมือนกับสิ่งมีชีวิตรุนกอนหนาก็ได และหนังตาชัน้ เดียว 1 คน ตามลําดับ แลวถาม
มนุษยเริม่ แสวงหาขอเท็จจริงเกีย่ วกับกลไกการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตัง้ แตชว งปลายคริสตศตวรรษ นักเรียนวา พอและแมของนักเรียนมีลักษณะ
ที่ 19 ซึ่งไดมีการคนพบขอเท็จจริงเกี่ยวกับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมหลายประการ แตการคนพบที่นําไปสู หนังตาเหมือนกับนักเรียนหรือไม
การศึกษาเกี่ยวกับพันธุศาสตร คือ การคนพบของเกรกอร โยฮันน เมนเดล 5. ครูถามคําถาม Key Question
6. ครูแจกใบงาน เรือ่ ง การศึกษาพันธุศาสตรของ
2.1 การศึกษาพันธุศาสตรของเมนเดล เมนเดล และใหนักเรียนศึกษาคําชี้แจงและ
เกรกอร โยฮันน เมนเดล เปนชาวออสเตรีย เกิดในป พ.ศ. 2365
ในวัยเด็กเมนเดลมีความสนใจในการศึกษาเปนอยางมากจึงไดเขาศึกษา
ตอบคําถามลงในใบงาน ตอนที่ 1
ที่โบสถในกรุงบรีนน ซึ่งปจจุบัน คือ เมืองเบอรโน ในสาธารณรัฐเช็ก 7. ครูบรรยายประวัตขิ องเกรกอร โยฮันน เมนเดล
และในเวลาต อ มาเมนเดลได เ ข า ศึ ก ษาต อ ที่ ม หาวิ ท ยาลั ย เวี ย นนา พอสังเขปจากใบงาน ตอนที่ 2
ประเทศออสเตรีย หลังจากสําเร็จการศึกษาจึงกลับมาเปนครูสอนวิชา 8. ใหนั กเรีย นเติ มคํา ลงในชอ งว างให สมบูรณ
วิทยาศาสตร และดัดแปลงที่ดินดานหลังโบสถใหเปนแปลงทดลองดาน หลังจากที่ครูบรรยายจบแลว
พฤกษศาสตรควบคูไปกับงานดานศาสนา เมนเดลเริ่มศึกษาดานพันธุศาสตร
โดยทํ า การทดลอง จนสามารถอธิ บ ายหลั ก การการถ า ยทอดลั ก ษณะ
ทางพันธุกรรมได เขาจึงไดรับการยกยองวาเปนบิดาแหงวิชาพันธุศาสตร
เมนเดลเลือกใชถั่วลันเตา (Pisum sativum L.) มาใชในการทดลอง
เนื่องจากถั่วลันเตามีลักษณะที่เหมาะสมหลายประการ ดังนี้ ภาพที่ 2.8 เกรกอร โยฮันน เมนเดล
ที่มา : www.pinterest.com
- เปนพืชที่ปลูกงาย เจริญเติบโตเร็ว ใหลูกและหลานจํานวนมาก
และมีวงจรชีวิตสั้น
- เปนพืชที่มีหลายพันธุ และมีลักษณะทางพันธุกรรมที่แตกตางกัน กลีบดอก
อยางชัดเจน 1
- มีดอกเปนดอกสมบูรณเพศ และมีลักษณะพิเศษที่ทําใหเกิดการ
ผสมพันธุภายในดอกเดียวกัน โอกาสที่จะเกิดการผสมขามตนจึงตํ่ามาก
ซึ่งเหมาะสมตอการควบคุมการทดลอง เกสรเพศเมีย
เกสรเพศผู
ภาพที่ 2.9 ดอกของตนถั่วลันเตาเปนดอกสมบูรณเพศ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แนวตอบ Key Question
เพราะทั้งพอและแมมียีนที่ควบคุมลักษณะ
พันธุกรรม 47 หนังตาแบบเฮเทอโรไซกัสจีโนไทป ลูกจึงไดรับ
ยีนดอยจากพอและแมทําใหลูกมีหนังตาชั้นเดียว
T55
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
9. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา เมนเดลเลือกศึกษา ในกำรทดลองกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม เมนเดลเลือกศึกษำลักษณะของต้นถั่วลันเตำที่มีควำม
แตกต่ำงกันอย่ำงชัดเจนเป็นคู่ ซึ่งมีจ�ำนวน 7 ลักษณะ ดังภำพ
วิ ช าพั น ธุ ศ าสตร โ ดยทดลองกั บ ถั่ ว ลั น เตา
เพราะถั่ ว ลั น เตามี ลั ก ษณะที่ เ หมาะสม รูปร่างของเมล็ด รูปร่างของฝก ตําแหน่งของดอก
หลายประการ คือ ปลูกงาย เจริญเติบโตเร็ว
ใหลูกและหลานจํานวนมาก มีลักษณะทาง
พันธุกรรมแตกตางกันอยางชัดเจน และมี เรียบ ขรุขระ
ดอกสมบูรณเพศ ซึง่ เหมาะสมตอการควบคุม
การผสมพันธุได สีของเมล็ด ฝักอวบ ฝักแฟบ
เกิดที่ล�ำต้น เกิดที่ยอด
10. ครูอธิบายตอไปวา ลักษณะของถั่วลันเตาที่
เมนเดลเลือกนํามาศึกษา ไดแก รูปรางของ
เมล็ด สีของเมล็ด รูปรางของฝก สีของฝก ความสูงของลําต้น
สีเหลือง สีเขียว สีของฝก
สีของดอก ตําแหนงของดอก และความสูง
ของลําตน ซึง่ นักเรียนจะเห็นไดจากในใบงาน
สีของดอก
หลังจบการบรรยาย ใหนักเรียนทําใบงาน
ตอนที่ 3
สีม่วง สีขำว สีเหลือง สีเขียว สูง เตี้ย
Science
Focus การถายเรณู
กำรถ่ำยเรณูแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. การถ่ายเรณูภายในดอกเดียวหรือต้นเดียวกัน (self pollination) เป็นกำรถ่ำยเรณูไปยังยอดเกสรเพศเมียภำยในดอกเดียวกัน
หรือคนละดอกแต่อยู่ต้นเดียวกัน
2. การถ่ายเรณูข้ามต้น (cross pollination) เป็นกำรถ่ำยเรณูจำกดอกของพืชต้นหนึ่งไปยังยอดเกสรเพศเมียของพืช
อีกต้นหนึ่ง
48
T56
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
จากนั้นเมนเดลจึงทดลองผสมตนถั่วลันเตาดอกสีมวงพันธุแทกับตนถั่วลันเตาดอกสีขาวพันธุแท ซึ่งได 11. ใหนักเรียนศึกษาภาพขั้นตอนการทดลอง
ผลการทดลอง ดังภาพที่ 2.11
ของเมนเดลจากหนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าพื้ น
1 2 ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
ตัดเกสรเพศผูที่ไมตองการ ใชพกู นั แตะละอองเรณูจากดอกสีขาวไปวางบนยอด
เกสรเพศเมียของดอกสีมว ง หนวยการเรียนรูท่ี 2 เรื่อง การศึกษาพันธุ
ศาสตรของเมนเดล
ดอกสีขาว 12. ครู อ ธิ บ ายต อ ไปว า เมนเดลเลื อ กศึ ก ษา
การถ า ยทอดลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรมโดย
ดอกสีมวง พิจารณาเพียงลักษณะเดียว ตัวอยางเชน
ในภาพที่ 2.11 เมนเดลเลือกศึกษาสีของ
กลีบดอก ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้
3 - ขั้นตอนที่ 1 เพาะตนถั่วลันเตาพันธุแท
เมือ่ ตนถัว่ ลันเตาดอกสีมว งออกฝก เก็บเกีย่ วเมล็ด
เพื่อนําไปปลูก โดยการนํ า ต น ถั่ ว ลั น เตามาผสมพั น ธุ
ภายในดอกเดียวกัน แลวนําเมล็ดไปเพาะ
ทําเชนนี้จนกวารุนลูกทุกตนจะมีลักษณะ
4
ไดตนถั่วลันเตารุนลูกดอกสีมวงทุกตน แลวปลอย เหมือนตนพอแมทุกประการ
ลูกรุนที่ 1 (รุน F1) ใหตนถั่วลันเตารุนลูกแตละตนผสมพันธุภายใน - ขั้นตอนที่ 2 ผสมพันธุขามตนระหวาง
ดอกเดียวกัน จากนัน้ เก็บเกีย่ วเมล็ดแลวนําไปปลูก
ต น ถั่ ว ลั น เตาพั น ธุ แ ท ด อกสี ม ว งกั บ ต น
ถั่วลันเตาพันธุแทดอกสีขาว แลวนําเมล็ด
ไปเพาะ พบว า ต น ถั่ ว ลั น เตาทุ ก ต น
มีดอกสีมวง
ลูกรุนที่ 2 (รุน F2) - ขั้นตอนที่ 3 หลังจากนั้นนําตนถั่วลันเตา
รุน ลูกมาผสมกันเอง แลวนําเมล็ดไปเพาะ
พบวา มีตนถั่วลันเตาดอกสีขาวปรากฏ
ดอกสีมวง 705 ตน ดอกสีขาว 224 ตน ร อ ยละ 25 จากต น ถั่ ว ลั น เตาทั้ ง หมด
ส ว นร อ ยละ 75 เป น ต น ถั่ ว ลั น เตาที่ มี
ดอกสีมวง : ดอกสีขาว มีอัตราสวนประมาณ 3 : 1
ดอกสีมวง เมนเดลไดสรุปการทดลองวา
ภาพที่ 2.11 การทดลองของเมนเดลเพื่อศึกษาการถายทอดลักษณะสีดอกในถั่วลันเตา
ที่มา : คลังภาพ อจท. ลักษณะที่ปรากฏในลูกรุนที่ 1 เรียกวา
ลักษณะเดน สวนลักษณะที่ไมปรากฏใน
เมนเดลเรียกลักษณะที่ปรากฏในลูกรุนที่ 1 (ตนถั่วลันเตาดอกสีมวง) วา ลักษณะเดน และเรียกลักษณะ ลูกรุนที่ 1 แตมาปรากฏในลูกรุนที่ 2
ที่ไมปรากฏในลูกรุนที่ 1 แตมาปรากฏในลูกรุนที่ 2 (ตนถั่วลันเตาดอกสีขาว) วา ลักษณะดอย
เรียกวา ลักษณะดอย
พันธุกรรม 49
T57
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายคําตอบเพื่อให
ไดขอสรุปวา จากการศึกษาพันธุศาสตรของ เมือ่ เมนเดลทดลองผสมพันธุต น ถัว่ ลันเตาและศึกษาพิจารณาลักษณะอืน่ ๆ อีก 6 ลักษณะ โดยทําการทดลอง
เชนเดียวกับการพิจารณาสีดอกของตนถั่วลันเตา ก็ใหผลการทดลองเชนเดียวกัน คือ ตนถั่วลันเตาแตละลักษณะ
เมนเดล ทําใหทราบวา สิง่ มีชวี ติ มีการถายทอด ลวนมีอัตราสวนระหวางลักษณะเดนตอลักษณะดอยประมาณ 3 : 1 สามารถสรุปได ดังตารางที่ 2.2
ลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรมจากพ อ แม ไ ปยั ง ลู ก
โดยผ า นทางเซลล สื บ พั น ธุ และลั ก ษณะที่ ตารางที่ 2.2 ผลการทดลองศึกษาการถายทอดลักษณะของตนถั่วลันเตา โดยพิจารณาลักษณะเดียว
แสดงออกของสิ่งมีชีวิตถูกควบคุมโดยหนวย ลักษณะของพอและแมพันธุแทที่ใชผสม
ลักษณะที่ปรากฏ
ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมที่เรียกวา ยีน ลูกรุนที่ 1 ลูกรุนที่ 2
ซึง่ อยูก นั เปนคูแ ละจะแยกออกจากกันไปอยูใ น
เมล็ดเรียบ 5,474 ตน
เซลลสืบพันธุเพศผูและเซลลสืบพันธุเพศเมีย เมล็ดขรุขระ 1,850 ตน
และกลับมารวมกันอยางอิสระ หลังผานการ เมล็ดเรียบ เมล็ดขรุขระ เมล็ดเรียบทุกตน
ปฏิสนธิ
2. ครูกลาวสรุปวา ลักษณะเดน คือ ลักษณะที่ เมล็ดสีเหลือง 6,022 ตน
เมล็ดสีเขียว 2,001 ตน
มีโอกาสปรากฏในรุนลูกทุกรุน ซึ่งถูกควบคุม เมล็ดสีเหลือง เมล็ดสีเขียว เมล็ดสีเหลืองทุกตน
โดยยีนเดน สวนลักษณะดอย คือ ลักษณะ
ที่มีโอกาสปรากฏในรุนลูกตอไปไดนอยกวา ดอกสีมวง 705 ตน
ซึ่งถูกควบคุมโดยยีนดอย ดังนั้น สิ่งมีชีวิตจึง ดอกสีขาว 224 ตน
ดอกสีมวง ดอกสีขาว ดอกสีมวงทุกตน
มียนี ทีท่ าํ หนาทีค่ วบคุมลักษณะทางพันธุกรรม
ของสิ่งมีชีวิต ฝกอวบ 882 ตน
ฝกแฟบ 299 ตน
ฝกอวบ ฝกแฟบ ฝกอวบทุกตน
50
T58
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
1. ให นั ก เรี ย นตรวจสอบความรู ห ลั ง เรี ย นใน
จำกกำรทดลอง เมนเดลได้อธิบำยผลกำรทดลองที่เกิดขึ้นว่ำ สิ่งมีชีวิตมีหน่วยควบคุมลักษณะแต่ละลักษณะ ใบงาน ตอนที่ 4
ที่สำมำรถถ่ำยทอดจำกพ่อและแม่ไปยังรุ่นต่อไปได้ โดยเขำตั้งสมมติฐำนว่ำ หน่วยควบคุมลักษณะมีอยู่เป็นคู่
เมื่อสิ่งมีชีวิตสร้ำงเซลล์สืบพันธุ์ หน่วยดังกล่ำวจะแยกออกจำกกันไปอยู่ในเซลล์สืบพันธุ์
2. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง
ก�ำหนดให้ และ เป็นหน่วยควบคุมลักษณะเดียวกัน 2 รูปแบบ การศึกษาพันธุศาสตรของเมนเดล
3. ใหนักเรียนตอบคําถาม H.O.T.S. ลงในสมุด
ประจํ า ตั ว นั ก เรี ย น จากนั้ น ครู ต รวจสมุ ด
ประจําตัวนักเรียน
4. ใหนักเรียนประเมินวิธีการสอน โดยครูอาจ
ถามนักเรียนหรือใหนกั เรียนเขียนขอเสนอแนะ
เกีย่ วกับวิธกี ารสอน เพือ่ ครูจะไดนาํ ขอเสนอแนะ
เซลล์สืบพันธุ์ ไปปรับใชกับการสอนในครั้งตอไป
เซลล์ร่างกาย
เซลล์ร่างกาย
เซลล์สืบพันธุ์
เซลล์ร่างกาย
ภาพที่ 2.12 กำรถ่ำยทอดยีนของพ่อและแม่ไปสู่ลูก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ภำยหลังกำรทดลองของเมนเดล มีนักวิทยำศำสตร์หลำยท่ำน
HOTS
(ค�าถามท้าทายการคิดขั้นสูง)
น�ำกำรทดลองของเมนเดลมำศึกษำเพิ่มเติม จนค้นพบว่ำ หน่วยพันธุกรรม ต้นมะนำวในสวนมีทั้งต้นสูง
ที่ควบคุมลักษณะดังกล่ำวเรียกว่ำ ยีน (gene) โดยลักษณะที่แสดงออกของ และต้นเตี้ย ลักษณะควำมสูง
สิ่งมีชีวิตจะถูกควบคุมโดยยีน 1 คู่ จึงสรุปได้ว่ำ ลักษณะเด่นซึ่งปรำกฏ แนวตอบ H.O.T.S.
ของต้นใดถูกควบคุมโดยยีนด้อย
ในทุก ๆ รุ่นถูกควบคุมโดยยีนเด่น (dominant gene) และลักษณะด้อยที่มี มีวิธีสังเกตอย่างไร สั ง เกตและจดบั น ทึ ก จํ า นวนของมะนาวที่ มี
โอกำสปรำกฏในรุ่นต่อไปได้น้อยจะถูกควบคุมโดยยีนด้อย (recessive gene) ลําตนสูงและมะนาวทีม่ ลี าํ ตนเตีย้ แลวนํามาเปรียบ
เทียบกัน ซึ่งลักษณะเดนที่ถูกควบคุมโดยยีนเดน
พันธุกรรม 51 จะมีโอกาสปรากฏลักษณะออกมาใหเห็นมากกวา
ลักษณะที่ถูกควบคุมโดยยีนดอย
กิจกรรม ทาทาย
ลาดับที่ รายการประเมิน
3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
4 ความมีนาใจ
5 การตรงต่อเวลา
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ใหเหตุผลประกอบ
T59
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
เดียวกัน จีโนไทป์ PP rr Tt
(ฮอมอไซกัส โดมิแนนท์) (ฮอมอไซกัส รีเซสซีฟ) (เฮเทอโรไซกัส)
- แบบจําลองที่ 4 : มียีนควบคุมลักษณะของ
สิ่งมีชีวิต 2 ลักษณะ โดยที่ยีนมีรูปแบบ ฟีโนไทป์ กลีบดอกสีม่วง เมล็ดขรุขระ ต้นสูง
ตางกัน ภาพที่ 2.13 ฮอมอโลกัสโครโมโซม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
3. ครูสุมเรียกตัวแทนนักเรียน 2-3 คู ออกมา
นําเสนอแบบจําลอง
52
4. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายแบบจําลอง
T60
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
5. ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม กลุ ม ละ 5-6 คน
โอกาสการเข้าคู่ของยีน
ทํากิจกรรม โอกาสการเขาคูของยีน โดยให
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สมาชิกภายในกลุมวางแผนกันแบงภาระและ
จุดประสงค์ - กำรสังเกต หนาที่รับผิดชอบในการทํากิจกรรม
- กำรค�ำนวณ
ค�ำนวณอัตรำส่วนของจีโนไทป์และฟีโนไทป์จำกกำรจ�ำลองกำรเข้ำคู่ของยีนได้ 6. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม
จิตวิทยาศาสตร์
- ควำมสนใจใฝ่รู้
- ควำมรับผิดชอบ เพื่อใหไดขอสรุปวา ลูกปดแทนยีนที่ควบคุม
วัสดุอปุ กรณ์ - กำรท�ำงำนร่วมกับผู้อื่นได้
อย่ำงสร้ำงสรรค์ ลักษณะของสิ่งมีชีวิต 1 ลักษณะ โดยสีของ
1. สมุดบันทึก 3. ลูกปัดสีแดง จ�ำนวน 100 เม็ด ลูกปดแทนรูปแบบของยีน เรียกวา แอลลีล
2. กล่องพลำสติก จ�ำนวน 2 ใบ 4. ลูกปัดสีขำว จ�ำนวน 100 เม็ด
จากการจําลองการเขาคูกันของลูกปดเปรียบ
เสมือนการมาเขาคูกันหลังการปฏิสนธิ โดย
วิธปี ฏิบตั ิ
แอลลี ล หนึ่ ง ได จ ากพ อ และแอลลี ล หนึ่ ง ได
1. ให้นกั เรียนแบ่งกลุม่ กลุม่ ละ 5-6 คน แล้วให้นกั เรียนแต่ละกลุม่ น�ำลูกปัดสีขำวและสีแดงอย่ำงละ 50 เม็ด ใส่ลงในกล่องพลำสติก
ใบที่ 1 และใบที่ 2 จำกนั้นเขย่ำกล่องพลำสติกทั้ง 2 ใบ
จากแม
2. สุ่มหยิบลูกปัดจำกกล่องพลำสติกทั้ง 2 ใบ มำกล่องละ 1 เม็ด พร้อมกัน แล้วบันทึกผล จำกนั้นใส่ลูกปัดกลับลงไปใน 7. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
กล่องพลำสติกทั้ง 2 ใบ
3. สุ่มหยิบลูกปัดจำกกล่องพลำสติกทั้ง 2 ใบ เหมือน ข้อ 2. อีก 99 ครั้ง แล้วค�ำนวณว่ำ ในกำรหยิบลูกปัด 100 ครั้ง หยิบได้ลูกปัด
สีแดงทั้ง 2 เม็ด จ�ำนวนกี่ครั้ง หยิบได้ลูกปัดสีแดงและสีขำวอย่ำงละ 1 เม็ด จ�ำนวนกี่ครั้ง และหยิบได้ลูกปัดสีขำวทั้ง 2 เม็ด
จ�ำนวนกี่ครั้ง จำกนั้นหำอัตรำส่วนอย่ำงต�่ำของจ�ำนวนครั้งในกำรหยิบได้ลูกปัดทั้ง 3 แบบ
ค�าถามท้ายกิจกรรม
1. อัตรำส่วนอย่ำงต�่ำที่แต่ละกลุ่มค�ำนวณได้เท่ำกับเท่ำใด
2. ถำ้ ลูกปัดสีแดงแทนแอลลีลเด่นทีค่ วบคุมลักษณะเด่น และลูกปัดสีขำวแทนแอลลีลด้อยทีค่ วบคุมลักษณะด้อย อัตรำส่วนจีโนไทป์
เป็นอย่ำงไร
3. จำกข้อ 2. อัตรำส่วนฟีโนไทป์ของลักษณะเด่นต่อลักษณะด้อยเป็นอย่ำงไร
อภิปรายผลกิจกรรม
จำกกิจกรรม กำรหยิบลูกปัดจำกกล่องพลำสติกใบที่ 1 และใบที่ 2 เปรียบเสมือนกำรเข้ำคู่กันของยีนที่มำจำกเซลล์สืบพันธุ์
เพศผู้และเพศเมียมำรวมกันได้เซลล์ร่ำงกำยที่มียีนอยู่ร่วมกันเป็นคู่ โดยอัตรำส่วนในกำรหยิบได้ลูกปัดทั้ง 3 แบบ (จีโนไทป์) แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
ได้แก่ แดง-แดง แดง-ขำว และขำว-ขำว เป็นประมำณ 1 : 2 : 1 เนื่องจำกลูกปัดสีแดงเป็นแอลลีลเด่น กำรเข้ำคู่กันของลูกปัด 1. ควรได ลู ก ป ด คู สี แ ดง-แดง แดง-ขาว และ
สีแดงกับสีขำวจึงแสดงออกมำเป็นลักษณะเด่น ดังนั้น อัตรำส่วนที่แสดงออกของลักษณะเด่น : ลักษณะด้อย (ฟีโนไทป์) จึงเป็น
ประมำณ 3 : 1 ขาว-ขาว ในอัตราสวนประมาณ 1 : 2 : 1
2. ควรไดจโี นไทปทมี่ ี 3 แบบ คือ แดง-แดง แดง-ขาว
และขาว-ขาว ซึ่งมีอัตราสวนเปน 1 : 2 : 1
พันธุกรรม 53 3. ฟโนไทปของลักษณะเดน : ลักษณะดอย คือ
3:1
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
8. ใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนศึกษาการคํานวณ เมื่อสิ่งมีชีวิตมีกำรสร้ำงเซลล์สืบพันธุ์ แอลลีลที่เป็นคู่กันในแต่ละฮอมอโลกัสโครโมโซมจะแยกออกจำกกัน
ไปสูเ่ ซลล์สบื พันธุแ์ ต่ละเซลล์ ดังนัน้ จำกกิจกรรมกำรเข้ำคูก่ นั ของลูกปัดเปรียบเสมือนกำรเข้ำคูข่ องแอลลีลภำยหลัง
อัตราสวนจีโนไทปและฟโนไทปจากหนังสือ
กำรปฏิสนธิ โดยลักษณะของพ่อและแม่จะถ่ำยทอดไปยังรุ่นลูกผ่ำนทำงเซลล์สืบพันธุ์ โดยเซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์
เรี ย นรายวิ ช าพื้ น ฐานวิ ท ยาศาสตร แ ละ มีเพียง 1 แอลลีล จะมำเข้ำคูก่ บั แอลลีลทีต่ ำ� แหน่งเดียวกันของอีกเซลล์สบื พันธุห์ นึง่ จนเกิดเป็นจีโนไทป์และฟีโนไทป์
เทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 2 ในรุ่นลูก
เรื่อง การถายทอดยีนบนโครโมโซม กำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรมสำมำรถเขียนเป็นแผนภำพได้ โดยแผนภำพจะช่วยให้ค�ำนวณหำ
9. ครูสุมเรียกนักเรียนออกมา 2-3 คู ออกมา อัตรำส่วนทำงจีโนไทป์ได้ง่ำยขึ้น และท�ำนำยกำรเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของรุ่นลูกได้
อธิบายการคํานวณหาอัตราสวนจีโนไทปและ
ตัวอย่างที่ 2.1 เมื่อผสมพันธุ์ต้นมะเขือเทศผลสีแดงพันธุ์ทำงกับต้นมะเขือเทศผลสีเหลืองพันธุ์แท้เข้ำด้วยกัน
ฟโนไทปจากการผสมพอพันธุและแมพันธุ จงเขียนแผนภำพเพื่อหำจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของรุ่นลูก โดยก�ำหนดให้ R แทนแอลลีลเด่น
ที่มีจีโนไทปตางกัน ทีค่ วบคุมลักษณะผลสีแดง และ r แทนแอลลีลด้อยทีค่ วบคุมลักษณะผลสีเหลือง โดยทีแ่ อลลีลเด่น
10. ใหนักเรียนฝกเขียนแผนภาพการถายทอด ข่มแอลลีลด้อยอย่ำงสมบูรณ์
ลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรมของการผสมพั น ธุ
ระหว า งต น ถั่ ว ลั น เตาที่ มี ลั ก ษณะต า งกั น
ดังนี้
×
• การผสมพันธุร ะหวางตนถัว่ ลันเตาตนสูง TT
กับตนเตี้ย tt จะไดรุนลูกที่มีจีโนไทปและ มะเขือเทศผลสีแดง มะเขือเทศผลสีเหลือง
ฟโนไทปอยางไร Rr rr
(แนวตอบ จะไดรุนลูกที่มีจีโนไทปแบบ Tt
ทั้งหมด คิดเปนอัตราสวน 100% รุนลูก
จึงมีลักษณะเปนตนสูงทุกตน) เซลล์สืบพันธุ์ R r r r
• การผสมพันธุระหวางตนถั่วลันเตาเมล็ด
เรียบ Rr กับเมล็ดขรุขระ rr จะไดรุนลูก จีโนไทป์รุ่นลูก Rr Rr rr rr
ที่มีจีโนไทปและฟโนไทปอยางไร
(แนวตอบ จะไดรุนลูกที่มีจีโนไทปแบบ Rr
ฟีโนไทป์รุ่นลูก
คิดเปนอัตราสวน 50% และ rr คิดเปน
อัตราสวน 50% รุนลูกจึงมีลักษณะเมล็ด
เรียบและเมล็ดขรุขระ) อัตรำส่วนของจีโนไทป์ Rr : rr คือ 1 : 1
อัตรำส่วนฟีโนไทป์ผลสีแดง : ผลสีเหลือง คือ 1 : 1
ภาพที่ 2.14 แผนภำพแสดงกำรผสมพันธุ์ต้นมะเขือเทศผลสีแดงพันธุ์ทำงกับต้นมะเขือเทศผลสีเหลืองพันธุ์แท้
ที่มา : คลังภาพ อจท.
54
T62
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ตัวอย่างที่ 2.2 จงเขียนแผนภำพแสดงจีโนไทป์และฟีโนไทป์ในลูกรุ่นที่ 1 และ 2 ของกำรทดลองของเมนเดล 11. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายวา เพราะ
เมื่อผสมต้นถั่วลันเตำดอกสีม่วงพันธุ์แท้กับต้นถั่วลันเตำดอกสีขำวพันธุ์แท้เข้ำด้วยกัน เหตุ ใ ดดอกของต น ถั่ ว ลั น เตาสี ข าวจึ ง มา
ก�ำหนดให้ P แทนแอลลีลเด่นที่ควบคุมกลีบดอกสีม่วง และ p แทนแอลลีลด้อยที่ควบคุม ปรากฏในลูกรุน ที่ 2 แตไมปรากฏในลูกรุน ที่ 1
กลีบดอกสีขำว โดยที่แอลลีลเด่นข่มแอลลีลด้อยอย่ำงสมบูรณ์
ทั้ ง ที่ พ อ พั น ธุ แ ละแม พั น ธุ เ ป น ดอกสี ม ว ง
พันธุแทและดอกสีขาวพันธุแท
× 12. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน
ถั่วลันเตำดอกสีม่วง ถั่วลันเตำดอกสีขำว
PP pp วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
เรื่อง การถายทอดยีนบนโครโมโซม
13. ใหนักเรียนศึกษาขอมูลเพิ่มเติมจาก Power
เซลล์สืบพันธุ์ P P p p Point เรื่อง การถายทอดยีนบนโครโมโซม
14. ใหนักเรียนตอบคําถาม Topic Questions
ลูกรุ่นที่ 1
จีโนไทป์รุ่นที่ 1 Pp Pp Pp Pp ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน แลวนํามาสง
ครูผูสอน
ฟีโนไทป์รุ่นที่ 1
ขยายความเข้าใจ
× 15. ครูกําหนดสถานการณใหนักเรียนผสมพันธุ
หนู ท ดลองให ไ ด ลู ก ที่ มี ข นสี ดํ า พั น ธุ ท าง
Pp Pp และลูกหนูขนสีขาวในคอกเดียวกัน โดยให
นักเรียนออกแบบและวิเคราะหวา ควรใช
เซลล์สืบพันธุ์ P p P p พ อ พั น ธุ แ ละแม พั น ธุ ที่ มี จี โ นไทป แ บบใด
โดยวาดแผนภาพการถายทอดลักษณะทาง
ลูกรุ่นที่ 2 พันธุกรรมลงในกระดาษ A4 และคํานวณ
จีโนไทป์รุ่นที่ 2 PP Pp Pp pp อัตราสวนของจีโนไทปและฟโนไทป พรอม
นําเสนอหนาชั้นเรียน
ฟีโนไทป์รุ่นที่ 2
อัตรำส่วนของจีโนไทป์ PP : Pp : pp คือ 1 : 2 : 1
อัตรำส่วนฟีโนไทป์ของดอกสีม่วง : ดอกสีขำว คือ 3 : 1
ภาพที่ 2.15 แผนภำพแสดงกำรผสมพันธุ์ต้นถั่วลันเตำดอกสีม่วงพันธุ์แท้กับต้นถั่วลันเตำดอกสีขำวพันธุ์แท้
ที่มา : คลังภาพ อจท.
พันธุกรรม 55
T63
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
นักเรียนและครูรวมกันสรุป เรื่อง พันธุศาสตร
เพื่ อ ให ไ ด ข อ สรุ ป ว า ยี น หรื อ หน ว ยพั น ธุ ก รรม จากการเขียนแผนภาพ สามารถอธิบายได้ว่า เพราะเหตุใดลักษณะด้อยจึงปรากฏในลูกรุ่นที่ 2 แต่ไม่ปรากฏ
ในลูกรุ่นที่ 1 เนื่องจากต้นถั่วลันเตาที่มีดอกสีม่วงพันธุ์แท้และดอกสีขาวพันธุ์แท้สร้างเซลล์สืบพันธุ์ที่มีรูปแบบยีนได้
อยูบนโครโมโซม ซึ่งโครโมโซมในรางกายมนุษย เพียงแบบเดียว คือ แอลลีล P และแอลลีล p ตามล�าดับ ท�าให้ลูกรุ่นที่ 1 ได้รับยีนจากต้นพ่อและแม่ จึงมีดอกสีม่วง
จะอยูกันเปนคู เรียกวา ฮอมอโลกัสโครโมโซม พันธุ์ทางทุกต้น เมื่อน�าลูกรุ่นที่ 1 มาผสมกันเอง จะพบว่า ลูกรุ่นที่ 2 มีจีโนไทป์ได้ 3 แบบ คือ PP Pp และ pp
และจะแยกออกจากกั น ไปอยู ใ นเซลล สื บ พั น ธุ ในอัตราส่วน 1 : 2 : 1 และมีอัตราส่วนของฟีโนไทป์ดอกสีม่วง : ดอกสีขาวเป็น 3 : 1 เนื่องจากแอลลีลเด่นที่ควบคุม
สงผลใหยนี ทีอ่ ยูบ นโครโมโซมแยกออกจากกันดวย กลีบดอกสีม่วงข่มแอลลีลด้อยที่ควบคุมดอกสีขาวอย่างสมบูรณ์
เมื่อผานการปฏิสนธิแลว ยีนจะกลับมาเขาคูกัน
อีกครั้งหนึ่ง Application
Activity
ขัน้ ประเมิน หนูเป็นสัตว์ท่ีนิยมน�ามาใช้ทดลองในห้องปฏิบัติการ ถ้าในห้องปฏิบัติการของนักเรียนต้องการลูกหนู
ตรวจสอบผล ขนสีด�าพันธุ์ทาง 1 ตัว กับลูกหนูขนสีขาว 1 ตัว ในคอกเดียวกัน โดยไม่มีหนูขนสีด�าพันธุ์แท้อยู่ในคอกเลย
1. ตรวจแบบจําลองยีนบนโครโมโซม ให้นักเรียนน�าความรู้ที่ได้จากการทดลองของเมนเดล และการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซมมาออกแบบแผนผัง
การถ่ายทอดยีนของหนูทดลอง เพื่อให้ได้จีโนไทป์และฟีโนไทป์ของรุ่นลูกตามต้องการ จากนั้นวิเคราะห์
2. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร และรวบรวมข้อมูลเพื่อเลือกพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ โดยระบุว่า หนูที่จะน�ามาใช้เป็นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ควรมี
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง การถายทอด สีขนและจีโนไทป์แบบใด
ยีนบนโครโมโซม
3. ตรวจคํ า ตอบ Topic Questions เรื่ อ ง
การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ในสมุด Topic Questions
ประจําตัวนักเรียน ค�ำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
4. ตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม โอกาสการ
1. จงเรียงล�าดับขนาดของโครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีนจากเล็กไปใหญ่
เขาคูของยีน
2. การท�าแครีโอไทป์คืออะไร
5. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการ 3. เซลล์สบื พันธุข์ องสิง่ มีชวี ติ ชนิดหนึง่ มีจา� นวนโครโมโซม 16 คู ่ สิง่ มีชวี ติ ชนิดนีจ้ ะมีจา� นวนโครโมโซมร่างกายกีแ่ ท่ง
ทํางานในชั้นเรียน 4. แมลงชนิดหนึ่งในเซลล์ปีกมีจ�านวนโครโมโซม 32 แท่ง เซลล์สืบพันธุ์จะมีจ�านวนโครโมโซมกี่คู่
6. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต 5. มนุษย์เพศชายและเพศหญิงมีโครโมโซมที่เหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
ความมีวนิ ยั ใฝเรียนรู และมุง มัน่ ในการทํางาน 6. เพราะเหตุใดเมนเดลจึงเลือกต้นถั่วลันเตามาใช้ในการศึกษาลักษณะทางพันธุกรรม
7. จงยกตัวอย่างลักษณะเด่นและลักษณะด้อยของต้นถั่วลันเตามาอย่างน้อย 5 ลักษณะ
8. เมนเดลเตรียมต้นถั่วลันเตาพันธุ์แท้ได้อย่างไร
9. จากการทดลองของเมนเดลลักษณะที่ไม่ปรากฏในลูกรุ่นที่ 1 แต่มาปรากฏในลูกรุ่นที่ 2 เรียกว่าอะไร
10. การผสมพันธุส์ นุ ขั 2 ตัว ทีม่ ขี นสีดา� พันธุท์ างเข้าด้วยกัน ลูกสุนขั จะมีโอกาสมีขนสีอะไรบ้าง ก�าหนดให้แอลลีล B
ควบคุมลักษณะขนสีด�า และแอลลีล b ควบคุมลักษณะขนสีขาว โดยแอลลีลเด่นข่มแอลลีลด้อยอย่างสมบูรณ์
56
แตกตางกันอยางชัดเจน และมีดอกสมบูรณเพศ
ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
รวม ทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ลักษณะดอย เชน เมล็ดขรุขระ เมล็ดสีเขียว ดอกสีขาว ตนเตีย้ ฝกแฟบ
8. นําตนถัว่ ลันเตาทีม่ ลี กั ษณะตามตองการมาผสมกันภายในดอกเดียว
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
มุ ด
3. นิวเคลียสท�ำหน้ำที่ควบคุมกระบวนกำรต่ำง ๆ ที่เกิดขึ้นภำยในเซลล์
นส
งใ
ล
ทึ ก
4. เซลล์ของสิ่งมีชีวิตแต่ละเซลล์ประกอบด้วย 1 นิวเคลียสเท่ำนั้น
บั น
5. โครโมโซมประกอบด้วย 2 โครมำทิด
จากภาพ ทําไมตนไมจึงมีขนาดใหญขึ้น
ให้นกั เรียนพิจารณาภาพการแบ่งเซลล์ของเซลล์ชนิดหนึง่ แล้วระบุวา่ เซลล์ชนิดนัน้
E ngaging คือเซลล์อะไร จํานวนเซลล์และโครโมโซมหลังการแบ่งเซลล์เมื่อเทียบกับเซลล์ (แนวตอบ เพราะตนไมมีการแบงเซลล ทําให
ตนไมมีขนาดใหญขึ้น)
Activity ตั้งต้นเปนอย่างไร
2. ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเอง
กอนเขาสูการเรียนการสอนจากกรอบ Check
for Understanding ในหนังสือเรียนรายวิชา
พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
หนวยการเรียนรูที่ 2 เรื่อง การแบงเซลลของ
สิ่ ง มี ชี วิ ต โดยบั น ทึ ก ลงในสมุ ด ประจํ า ตั ว
นักเรียน
3. ใหนักเรียนทํากิจกรรม Engaging Activity
โดยใหนักเรียนพิจารณาภาพ แลวตอบคําถาม
จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 2
เรื่อง การแบงเซลลของสิ่งมีชีวิต
T65
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูถามคําถาม Key Question Key 3 การแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
2. ครูแจกใบงาน เรือ่ ง การแบงเซลลของสิง่ มีชวี ติ Question สิ่ ง มี ชี วิ ต ทุ ก ชนิ ด จะมี ก ำรแบ่ ง เซลล์ เ พื่ อ เพิ่ ม จ� ำ นวนเซลล์
3. ให นั ก เรี ย นแต ล ะคนตรวจสอบความรู ข อง เพราะเหตุใดเซลล์สบื พันธุ์ ในร่ำงกำย ท�ำให้สิ่งมีชีวิตมีกำรเจริญเติบโต และมีกำรแบ่งเซลล์
ตนเอง โดยทําใบงาน ตอนที่ 1 จึงมีจา� นวนโครโมโซมเปน เพื่อสร้ำงเซลล์สืบพันธุ์ไว้ส�ำหรับกำรสืบพันธุ์ โดยกำรแบ่งเซลล์ของ
ครึง่ หนึง่ ของเซลล์รา่ งกาย สิ่งมีชีวิตมี 2 ขั้นตอน คือ กำรแบ่งนิวเคลียส (karyokinesis) และ
4. ใหนกั เรียนสืบคนขอมูลและศึกษากระบวนการ
แบ ง เซลล แ บบไมโทซิ ส จากหนั ง สื อ เรี ย น กำรแบ่งไซโทพลำซึม (cytokinesis)
รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กำรแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิตแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ กำรแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและกำรแบ่งเซลล์
ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 2 เรื่อง การแบง แบบไมโอซิส
เซลลแบบไมโทซิส หรือศึกษาจาก QR Code
3.1 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
เรื่อง การแบงเซลลแบบไมโทซิส
ไมโทซิส (mitosis) เป็นกำรแบ่งนิวเคลียสเพื่อเพิ่มปริมำณเซลล์ร่ำงกำย (somatic cell) ของสิ่งมีชีวิต
โดยในเซลล์ร่ำงกำยจะมีจ�ำนวนโครโมโซมอยู่ 2 ชุด (2n) เมื่อผ่ำนกระบวนกำรแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสจนสมบูรณ์
จะได้เซลล์ลูกจ�ำนวน 2 เซลล์ ที่มีจ�ำนวนโครโมโซมเท่ำเดิม ท�ำให้มีจ�ำนวนเซลล์ในร่ำงกำยเพิ่มขึ้น แต่มีลักษณะ
ทำงพันธุกรรมเหมือนเดิมทุกประกำร
การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (mitosis)
1. อินเตอร์เฟส (interphase)
เป็นระยะที่เซลล์เตรียมพร้อมก่อนเริ่มแบ่งนิวเคลียสและไซโทพลำซึม
ด้วยกำรสังเครำะห์สำรต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนกำรแบ่งเซลล์
และมีกำรจ�ำลองตัวของดีเอ็นเอ ท�ำให้โครโมโซมจำกเดิม 1 แท่ง 1
มี 1 โครมำทิด กลำยเป็น 2 โครมำทิด ยึดติดกันด้วยเซนโทเมียร์
โดยเซลล์ในระยะนี้จะมีนวิ เคลียสขนำดใหญ่ และเห็นนิวคลีโอลัสชัดเจน
การแบงเซลลแบบไมโทซิส
www.aksorn.com/interactive3D/RK924
T66
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
5. ให นั ก เรี ย นจั บ คู กั บ เพื่ อ น แล ว แลกเปลี่ ย น
ความรู แ ละอภิ ป รายเกี่ ย วกั บ การแบ ง เซลล
3. เมทาเฟส (metaphase) แบบไมโทซิส จากนั้นใหนักเรียนทําใบงาน
เปนระยะที่เยื่อหุมนิวเคลียสสลายตัว เสนใยสปนเดิลเขาไปยึดกับไคนี-
เรื่อง การแบงเซลลของสิ่งมีชีวิต ตอนที่ 2
โทคอรซึ่งเปนโปรตีนที่อยูบริเวณเซนโทรเมียร เมื่อเซนโทรโซมเคลื่อนที่
เสนใยสปนเดิลจะดึงใหโครโมโซมเคลื่อนตัวมาเรียงกันอยูที่บริเวณ
กลางเซลลในแนวระนาบ เรียกวา เมทาเฟสเพลท จึงทําใหมองเห็น
โครโมโซมชัดเจนที่สุดในระยะนี้
4. แอนาเฟส (anaphase)
เปนระยะที่โครโมโซมถูกดึงใหแยกออกจากกันไปในทิศทางตรงขามกัน
ไปยังขั้วเซลล ทําใหโครโมโซมแยกออกเปน 2 กลุม ซึ่งแตละกลุม
จะมีโครโมโซมที่เกิดขึ้นใหมซึ่งประกอบดวย 1 โครมาทิด
5. เทโลเฟส (telophase)
การแบงเซลลแบบไมโทซิส พันธุกรรม 59
T67
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
6. ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม กลุ ม ละ 3-4 คน
ศึกษาการแบงเซลลแบบไมโทซิสของเซลลรากหอม
ทํากิจกรรม ศึกษาการแบงเซลลแบบไมโทซิส
ของเซลลรากหอม แลวใหนกั เรียนเปรียบเทียบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
ภาพที่เห็นภายใตกลองจุลทรรศนกับใบงาน จุดประสงค - การสังเกต
- การตีความหมายขอมูล
ตอนที่ 2 และระบุวา ภาพที่เห็นภายใตกลอง อธิบายและระบุขั้นตอนการแบงเซลลแบบไมโทซิสได และลงขอสรุป
จิตวิทยาศาสตร
จุลทรรศนอยูในขั้นตอนใดของการแบงเซลล วัสดุอปุ กรณ - ความสนใจใฝรู
แบบไมโทซิส ลงในใบงาน ตอนที่ 2 1. สมุดบันทึก
- ความรับผิดชอบ
- การทํางานรวมกับผูอื่นได
7. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลที่ไดจาก 2. กลองจุลทรรศนแบบใชแสง อยางสรางสรรค
อภิปรายผลกิจกรรม
จากกิจกรรม พบวา เมื่อศึกษาการแบงเซลลแบบไมโทซิสของเซลลรากหอมดวยกลองจุลทรรศนแบบใชแสง จะสังเกตเห็น
นิวเคลียสของแตละเซลลมีลักษณะที่แตกตาง 5 ลักษณะ คือ มองเห็นเปนเสนใยพันกัน เรียกระยะนี้วา อินเตอรเฟส มองเห็น
เสนใยเริ่มหดกลายเปนแทงโครโมโซม เรียกระยะนี้วา โพรเฟส มองเห็นโครโมโซมมาเรียงกันอยูบริเวณกลางเซลล เรียกระยะนี้วา
เมทาเฟส มองเห็นแทงโครโมโซมเริ่มแยกออกจากกัน เรียกระยะนี้วา แอนาเฟส และมองเห็นโครโมโซมที่แยกออกจากกันไปอยู
คนละฝงบริเวณขั้วเซลล เรียกระยะนี้วา เทโลเฟส ภายหลังการแบงเซลลแบบไมโทซิส เซลลจะมีจํานวนเพิ่มขึ้นเปน 2 เทา
ของเซลลตั้งตน แตโครโมโซมในแตละเซลลจะมีจํานวนเทาเดิม
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
1. เพิ่มขึ้นเปน 2 เทาของเซลลตั้งตน
2. มีจาํ นวนเทากับเซลลตั้งตน HOTS
(คําถามทาทายการคิดขั้นสูง)
3. เพื่อเจริญเติบโต
เซลลชนิดหนึ่งมีจํานวนโครโมโซม 16 คู หลังการแบงเซลลแบบไมโทซิสจะไดจํานวนโครโมโซมกี่แทง
แนวตอบ H.O.T.S. 60
32 แทง
ลกิจกรรม 1. เซลลจะมีหลายนิวเคลียส
ก
ู บ
ั ผ 2. มีการจําลองดีเอ็นเอมากกวา 3 ครั้ง
ขนึ้ อย
3. มีการสรางเยื่อหุมนิวเคลียสหลายชั้น
4. จํานวนโครโมโซมจะเพิ่มขึ้นเปน 2 เทา
(วิเคราะหคําตอบ ภายหลั ง การแบ ง เซลล แ บบไมโทซิ ส หรื อ
หลังการแบงเซลลระยะเทโลเฟส โครมาทิดที่ถูกเสนใยสปนเดิล
ดึงมาอยูบริเวณขั้วเซลล 2 ฝง หากไมมีการแบงไซโทพลาซึม
โครโมโซมจะเพิ่มขึ้นเปน 2 เทา ดังนั้น ตอบขอ 4.)
T68
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3.2 การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส 9. ใ ห นั ก เ รี ย น สื บ ค น ข อ มู ล แ ล ะ ศึ ก ษ า
ไมโอซิส (meiosis) เป็นกำรแบ่งนิวเคลียสเพือ่ ลดจ�ำนวนโครโมโซมลงครึง่ หนึง่ ซึง่ เป็นกำรแบ่งเซลล์เพือ่ สร้ำง กระบวนการแบ ง เซลล แ บบไมโอซิ ส จาก
เซลล์สบื พันธุข์ องทัง้ สัตว์และพืช และได้เซลล์ลกู จ�ำนวน 4 เซลล์ กระบวนกำรแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสจะมีกำรแบ่งเซลล์
ต่อเนื่องกัน 2 รอบ คือ ไมโอซิส I (meiosis I) และไมโอซิส II (meiosis II)
หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรู
การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส I (meiosis I) ที่ 2 เรื่อง การแบงเซลลแบบไมโอซิส
10. ใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นอีกคนหนึง่ โดยไมซาํ้
1. อินเตอร์เฟส I (interphase I) กับคูเดิมจากชั่วโมงที่แลว เพื่อแลกเปลี่ยน
เป็นระยะที่เซลล์เตรียมพร้อมก่อนเริ่มแบ่งนิวเคลียสและไซโทพลำซึม ความรูและอภิปรายเกี่ยวกับการแบงเซลล
ด้วยกำรสังเครำะห์สำรต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนกำรแบ่งเซลล์ และ แบบไมโอซิส จากนั้นใหนักเรียนลงมือทํา
มีกำรจ�ำลองตัวของดีเอ็นเอได้โครโมโซมที่มี 2 โครมำทิด ใบงาน เรื่อง การแบงเซลลของสิ่งมีชีวิต
2. โพรเฟส I (prophase I) ตอนที่ 3
เป็นระยะทีโ่ ครโมโซมทีเ่ ป็นฮอมอโลกัสโครโมโซมจะเรียงตัวอยูก่ นั เป็นคู ่ ซึง่ แต่ละคูข่ อง
ฮอมอโลกัสโครโมโซมจะมี 4 โครมำทิด และเกิดกำรไขว้กันของโครมำทิด เรียกว่ำ
ครอสซิงโอเวอร์ (crossing over) ท�ำให้เกิดกำรแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนของโครมำทิด
สำรพันธุกรรมจึงถูกแลกเปลี่ยนไปด้วย
3. เมทาเฟส I (metaphase I)
เป็นระยะที่เส้นใยสปนเดิลยึดเกำะกับฮอมอโลกัสโครโมโซม เมื่อเซนโทรโซมที่สร้ำง
เส้นใยสปนเดิลเคลือ่ นที ่ เส้นใยสปนเดิลจะดึงให้โครโมโซมมำเรียงตัวอยูเ่ ป็นคูต่ รงบริเวณ
กึ่งกลำงเซลล์
4. แอนาเฟส I (anaphase I)
เป็นระยะที่มีกำรแยกโครโมโซมออกจำกกัน คล้ำยกับกำรแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส แต่
เป็นกำรแยกโครโมโซมที่เข้ำคู่ออกจำกกันไปยังขั้วเซลล์ ท�ำให้โครโมโซมแบ่งออกเป็น
2 กลุ่ม อยู่บริเวณขั้วเซลล์ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีโครโมโซมที่มี 2 โครมำทิด
5. เทโลเฟส I (telophase I)
เป็นระยะที่มีกำรสร้ำงเยื่อหุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลัสขึ้นมำใหม่ แต่ละ
โครโมโซมจะมี 2 โครมำทิด ซึ่งจ�ำนวนโครโมโซมระยะนี้จะลดลงเป็น
ครึ่งหนึ่งของเซลล์เริ่มต้น
ภาพที่ 2.18 ขั้นตอนกำรแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส I
ที่มา : www.macmillanhighered.com
พันธุกรรม 61
T69
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
11. ครูสุมเรียกนักเรียน 2-3 คน ออกมาอธิบาย การแบงเซลลแบบไมโอซิส II (meiosis II)
ความแตกตางของการแบงเซลลแบบไมโทซิส
และไมโอซิส หลังจากการแบงเซลลแบบไมโอซิส I เรียบรอยแลว เซลลจะแบงเซลลแบบไมโทซิส II ตอเนื่องโดยไมมีการ
12. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน จําลองโครโมโซม
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 1. โพรเฟส II (prophase II)
62 การแบงเซลลแบบไมโอซิส
T70
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
กิจกรรม
14. ใหนักเรียนแบงกลุมทํากิจกรรม ศึกษาการ
ศึกษาการแบงเซลลแบบไมโอซิสของอับเรณูของดอกกุยชาย
แบงเซลลแบบไมโอซิสของอับเรณูของดอก
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร กุยชาย แลวเปรียบเทียบภาพที่เห็นภายใต
จุดประสงค - การสังเกต กลองจุลทรรศนกับใบงาน ตอนที่ 3
- การตีความหมายขอมูล
อธิบายและระบุขั้นตอนการแบงเซลลแบบไมโอซิสได และลงขอสรุป 15. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลที่ไดจาก
จิตวิทยาศาสตร
วัสดุอปุ กรณ - ความสนใจใฝรู การทํากิจกรรม
1. สมุดบันทึก - ความรับผิดชอบ
- การทํางานรวมกับผูอื่นได 16. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
2. กลองจุลทรรศนแบบใชแสง อยางสรางสรรค
3. สไลดถาวรของอับเรณูของดอกกุยชาย ขยายความเข้าใจ
วิธปี ฏิบตั ิ 17. ใหนักเรียนสืบคนขอมูลเพิ่มเติมและอธิบาย
1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน แลวสงตัวแทนกลุมมารับสไลดถาวรของอับเรณูของดอกกุยชาย เกี่ยวกับการแบงเซลลของดาวทะเล
2. นําสไลดถาวรมาศึกษาดวยกลองจุลทรรศนแบบใชแสง โดยใชเลนสใกลวัตถุที่มีกําลังขยายตํ่าสุด เลือกบริเวณในสไลดที่เห็น
นิวเคลียสลักษณะตาง ๆ แลวจึงใชเลนสที่มีกําลังขยายสูงขึ้น
3. สังเกตความแตกตางของแตละเซลล แลววาดภาพที่สังเกตไดลงในสมุดบันทึก
ขัน้ สรุป
4. สืบคนขอมูลเพิ่มเติม และรวบรวมขอมูลที่ไดนําเสนอหนาชั้นเรียน ใหนักเรียนสรุปความรูเปนตารางเปรียบเทียบ
ความแตกตางระหวางการแบงเซลลแบบไมโทซิส
คําถามทายกิจกรรม
1. จํานวนเซลลหลังการแบงเซลลแบบไมโอซิสจะมีปริมาณเทาใด เมื่อเทียบกับเซลลตั้งตน
กับการแบงเซลลแบบไมโอซิสลงในกระดาษ A4
2. จํานวนโครโมโซมหลังการแบงเซลลแบบไมโอซิสจะมีปริมาณเทาใด เมื่อเทียบกับเซลลตั้งตน
3. เพราะเหตุใดเซลลของสิ่งมีชีวิตจึงตองมีการแบงเซลลแบบไมโอซิส ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
อภิปรายผลกิจกรรม 1. ตรวจใบงาน เรื่อง การแบงเซลลของสิ่งมีชีวิต
จากกิจกรรม พบวา เมือ่ ศึกษาการแบงเซลลแบบไมโอซิสของอับเรณูของดอกกุยชายดวยกลองจุลทรรศนแบบใชแสง จะสังเกตเห็น 2. ตรวจแบบฝกหัดวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ลักษณะของเซลลในอับเรณูของดอกกุยชายมีขนาดแตกตางกัน และนิวเคลียสของแตละเซลลกจ็ ะมีลกั ษณะทีแ่ ตกตางกัน บางเซลล
มองเห็นโครโมโซมอยูก นั เปนคู ซึง่ แตละคูม ี 4 โครมาทิด เนือ่ งจากเซลลอยูใ นขัน้ ตอนการแบงเซลลแบบไมโอซิส I ขณะทีบ่ างเซลล
ม.3 เลม 1 เรื่อง การแบงเซลลของสิ่งมีชีวิต
มองเห็นโครโมโซมที่มี 2 โครมาทิด เนื่องจากเซลลอยูในขั้นตอนการแบงเซลลแบบไมโอซิส II เมื่อเปรียบเทียบลักษณะนิวเคลียส 3. ตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม ศึกษาการ
ของเซลลดังกลาว พบวา เซลลมีจํานวนโครโมโซมลดลงเปนครึ่งหนึ่งของเซลลตั้งตน แบงเซลลแบบไมโทซิสของเซลลรากหอม และ
กิจกรรม ศึกษาการแบงเซลลแบบไมโอซิสของ
HOTS อับเรณูของดอกกุยชาย
(คําถามทาทายการคิดขั้นสูง)
เซลลสืบพันธุของแมลงชนิดหนึ่งหลังการแบงเซลลแบบไมโอซิส I มีจํานวนโครโมโซม
18 แทง ภายหลังการแบงเซลลแบบไมโอซิส II เซลลสืบพันธุจะมีจํานวนโครโมโซมกี่คู แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
1. เพิ่มขึ้นเปน 4 เทาของเซลลตั้งตน
พันธุกรรม 63 2. มีจาํ นวนลดลงเปนครึ่งหนึ่ง
3. เพื่อสรางเซลลสืบพันธุ
กิจกรรม ทาทาย
ลาดับที่ รายการประเมิน
3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
4 ความมีนาใจ
5 การตรงต่อเวลา
ใหนักเรียนวาดกราฟแสดงจํานวนโครโมโซมของเซลลใน รวม
ระยะตางๆ กระบวนการแบงเซลลแบบไมโทซิสและการแบงเซลล
............/.................../................
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T71
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
มุ ด
พั น ธุ ก รรม โดยบั น ทึ ก ลงในสมุ ด ประจํ า ตั ว 3. โรคทำงพันธุกรรมทุกโรคส่งผลให้ร่ำงกำยมีรูปร่ำงผิดปกติ
นส
ลงใ
นักเรียน
ทึ ก
4. กลุ่มอำกำรดำวน์เป็นควำมผิดปกติที่เกิดขึ้นกับออโตโซม
บั น
2. ใหนักเรียนทํากิจกรรม Engaging Activity 5. กำรเปลี่ยนแปลงของยีนและโครโมโซมเป็นสำเหตุท�ำให้เกิดโรคทำงพันธุกรรม
โดยให นั ก เรี ย นส ง ลู ก บอลตามจั ง หวะเพลง
เมื่อเพลงหยุดแลว ลูกบอลอยูที่นักเรียนคนใด พิจารณาภาพการทําแครี โอไทปของเด็กคนที่ 1 และ 2 ที่กําหนดให้ และจากการ
ใหนักเรียนคนที่ถือลูกบอลยืนขึ้นเสนอคําตอบ
จากการทํากิจกรรม Engaging Activity จาก E ngaging วินิจฉัยของแพทย์ พบว่า เด็กคนหนึ่งปวยเปนโรคทางพันธุกรรม นักเรียนคิดว่า
เด็กคนใดปวยเปนโรคทางพันธุกรรม
Activity
หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและ
เทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 2 เด็กคนที่ 1
เรื่อง ความผิดปกติทางพันธุกรรม
3. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม 1 2 3 4 5
Engaging Activity เพื่ อ ให ไ ด ข อ สรุ ป ว า
รางกายมนุษยปกติมีโครโมโซม 23 คู หรือ 6 7 8 9 10 11 12
46 แทง หากโครโมโซมในรางกายมีจํานวน
เพิม่ ขึน้ หรือลดลงไปจากปกติ สงผลใหรา งกาย 13 14 15 16 17 18 เด็กคนที่ 2
เกิดความผิดปกติหรือเปนโรคทางพันธุกรรม
19 20 21 22 23
1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23
T72
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Key 4 ความผิดปกติทางพันธุกรรม 1. ครูแจกใบงาน เรื่อง โรคทางพันธุกรรม แลว
Question สิง่ มีชวี ติ ทุกชนิดจะมีลกั ษณะทีค่ ลายกับสิง่ มีชวี ติ ชนิดเดียวกัน ใหนักเรียนศึกษาคําชี้แจงในตอนที่ 1 เพื่อ
เพราะเหตุใดโรคธาลัสซีเมีย และมีลักษณะที่แตกตางจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เนื่องมาจากการ ตรวจสอบความรูข องตนเอง กอนเขาสูบ ทเรียน
ซึง่ เปนโรคทางพันธุกรรม ถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ซึ่งถาหากเกิดความผิดปกติขึ้นกับ 2. ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม แล ว ให แ ต ล ะกลุ ม
จึงเกิดขึน้ กับเด็กบางคน ยีนหรือโครโมโซม จะสงผลใหเกิดความผิดปกติขึ้นกับรางกายของ ทํากิจกรรม โรคทางพันธุกรรม ในหนังสือเรียน
เทานัน
้ สิ่งมีชีวิต เรียกวา โรคทางพันธุกรรม รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
โรคทางพันธุกรรมเปนโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งสามารถถายทอดจากรุนพอแมไปสู ม.3 เล ม 1 หน ว ยการเรี ย นรู ที่ 2 เรื่ อ ง
รุนลูกและรุนหลานได โดยโรคทางพันธุกรรมบางโรคจะสงผลใหรางกายมีรูปรางและลักษณะผิดปกติไปจากเดิม ความผิดปกติทางพันธุกรรม
แตบางโรคจะไมสงผลใหรางกายมีรูปรางและลักษณะผิดปกติ แตจะสงผลใหอวัยวะในรางกายทํางานผิดปกติ
อธิบายความรู้
กิจกรรม 3. ครู สุ ม เรี ย กตั ว แทนกลุ ม กลุ ม ละ 2-3 คน
โรคทางพันธุกรรม ออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน
4. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม
จุดประสงค ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
- การสังเกต เพื่ อ ให ไ ด ข อ สรุ ป ว า โรคทางพั น ธุ ก รรมมี
สืบคนและอธิบายสาเหตุที่ทําใหเกิดโรคทางพันธุกรรมได - การตีความหมายขอมูล
และลงขอสรุป สาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของโครโมโซม
วัสดุอปุ กรณ จิตวิทยาศาสตร และยีน หรืออาจเกิดจากสภาวะแวดลอมและ
- ความสนใจใฝรู
1. สมุดบันทึก 2. อุปกรณเครื่องเขียน - ความรับผิดชอบ สามารถถ า ยทอดความผิ ด ปกติ นี้ ต อ ไปยั ง
- การทํางานรวมกับผูอื่นได
วิธปี ฏิบตั ิ อยางสรางสรรค รุนลูกหลานได
5. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน แลวรวมกันสืบคนขอมูลเกี่ยวกับโรคทางพันธุกรรมอยางนอย 2-3 โรค
2. รวบรวมขอมูลและวิเคราะหสาเหตุที่ทําใหเกิดโรคทางพันธุกรรม บันทึกขอมูล แลวนําเสนอหนาชั้นเรียน
คําถามทายกิจกรรม
1. โรคทางพันธุกรรมไดแกโรคอะไรบาง
2. สาเหตุใดบางที่ทําใหเกิดโรคทางพันธุกรรม
T73
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
6. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นเข า ใจว า โรคทาง 4.1 ความผิดปกติของออโตโซม
พั น ธุ ก รรมเกิ ด จากความผิ ด ปกติ ที่ เ กิ ด ขึ้ น ความผิดปกติของออโตโซมเปนความผิดปกติทเี่ กิดจากการเปลีย่ นแปลงโครงสรางหรือจํานวนของโครโมโซม
สงผลใหเกิดโรคทางพันธุกรรมที่แตกตางกัน ดังนี้
กับโครโมโซมและยีน โดยโครโมโซมรางกาย
มีจํานวนผิดปกติ แบงออกไดเปน 2 ประเภท 1. โครโมโซมรางกายมีจํานวนผิดปกติ ตัวอยางเชน
คือ จํานวนโครโมโซมเกินมามากกวาปกติและ กลุมอาการพาทัว (Patau syndrome)
จํานวนโครโมโซมขาดหาย เกิดจากโครโมโซมคูที่ 13 เกินมา 1 แทง ทําใหเด็กที่เกิดมา
7. ครูถามนักเรียนวา โรคทางพันธุกรรมที่เกิด ตาเล็ก ปากแหวง เพดานโหว สมองพิการ หัวใจและไตผิดปกติ
ใบหูผิดปกติ ปญญาออน อาจมีอวัยวะภายในกลับซายขวากัน
จากความผิดปกติของยีนสามารถเกิดขึน้ ไดกบั มักเสียชีวิตหลังจากคลอดไมกี่เดือน
โครโมโซมประเภทใดบาง
(แนวตอบ โครโมโซมรางกายและโครโมโซมเพศ) กลุมอาการดาวน (Down syndrome)
8. ใหนักเรียนศึกษาคําชี้แจงและทําใบงาน เรื่อง เกิดจากโครโมโซมคูที่ 21 เกินมา 1 แทง ทําใหเด็กที่เกิดมา
โรคทางพันธุกรรม ตอนที่ 2 มีคอสั้นกวาง ทายทอยแบน จมูกเล็กและแฟบ ตาหาง และหางตา
ชี้ ข้ึ น ลิ้ น โตคั บ ปาก ลํ า ตั ว และนิ้ ว มื อ สั้ น ลายนิ้ ว มื อ ผิ ด ปกติ
ปญญาออน
กลุมอาการ
1 2 3 4 5 6
พาทัว
7 8 9 10 11 12 กลุมอาการ
เอ็ดเวิรด
13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 XX หรือ XY
ภาพที่ 2.21 โรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากโครโมโซมรางกาย
มีจํานวนผิดปกติ
กลุมอาการดาวน ที่มา : คลังภาพ อจท.
66
T74
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2. โครโมโซมมีรูปรางผิดปกติ เชน กลุมอาการคริดูชา (Cri du Chat syndrome) เกิดจากแขนขางสั้น 9. ครูถามคําถามทบทวนความรูของนักเรียน
ของโครโมโซมคูที่ 5 ขาดหายไป ทําใหเด็กที่เกิดมามีศีรษะเล็กกวาปกติ ใบหนากลม ใบหูตํ่ากวาปกติ ตาหาง
ปญญาออน มีเสียงรองแหลมเล็กคลายเสียงแมวรอง กลุมอาการนี้จึงมีอีกชื่อที่เรียกวา กลุมอาการเสียงคลายแมว ดังนี้
(cat cry syndrome) • โรคทางพั น ธุ ก รรมที่ เ กิ ด จากจํ า นวน
โครโมโซมเกิ น มามากกว า ปกติ ได แ ก
โรคอะไรบาง และโครโมโซมคูใดเกินมา
1 2 3 4 5 ( แนวตอบ กลุ ม อาการดาวน เ กิ ด จาก
โครโมโซมคูท ี่ 21 เกินมา 1 แทง กลุม อาการ
6 7 8 9 10 11 12
พาทัวเกิดจากโครโมโซมคูที่ 13 เกินมา
1 แท ง กลุ ม อาการเอ็ ด เวิ ร ด เกิ ด จาก
13 14 15 16 17 18 โครโมโซมคูที่ 18 เกินมา 1 แทง)
• โรคทางพั น ธุ ก รรมที่ เ กิ ด จากจํ า นวน
19 20 21 22 23 โครโมโซมขาดหายไปไดแกโรคอะไรบาง
ภาพที่ 2.22 กลุมอาการคริดูชามีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสรางของโครโมโซม และเกิดขึ้นกับโครโมโซมคูใด
ที่มา : diawoltodo.comunidades.net/cri-du-chat
(แนวตอบ กลุมอาการคริดูชาเกิดจากแขน
4.2 ความผิดปกติของโครโมโซมเพศ ขางสั้นของโครโมโซมคูที่ 5 ขาดหายไป
ความผิดปกติของโครโมโซมเพศเปนความผิดปกติทเี่ กิดขึน้ กับโครโมโซมคูท ี่ 23 ซึง่ เปนโครโมโซมทีก่ าํ หนดเพศ 1 แทง)
ของมนุษย ซึ่งจะสงผลใหรางกายและระบบสืบพันธุมีความผิดปกติ ดังนี้ 10. ครูอธิบายตอไปวา นอกจากความผิดปกติ
1. ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับโครโมโซม X ตัวอยางเชน ที่เกิดขึ้นกับโครโมโซมรางกายแลว โรคทาง
1) กลุมอาการเทิรนเนอร (Turner syndrome) เปนความผิดปกติที่เกิดจากโครโมโซม X ขาดหายไป พันธุกรรมยังเกิดจากความผิดปกติที่เกิดขึ้น
1 แทง ในเพศหญิง ทําให1เพศหญิงมีรูปรางเตี้ย มีแผ2นหลังคลายปกจากตนคอลงมาจรดหัวไหล คอสั้น กับโครโมโซมเพศ ซึ่งแบงออกไดเปนความ
และตนคอกวางกวาปกติ รังไขไมเจริญ ทําใหไมมีประจําเดือนและเปนหมัน
ผิดปกติที่เกิดขึ้นกับโครโมโซม X และความ
ผิดปกติที่เกิดขึ้นกับโครโมโซม Y
1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23
T75
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
11. ครูอธิบายโดยสรุปใหนักเรียนเขาใจ ดังนี้ 2) กลุม อาการทริปเปลเอกซ (triple X syndrome) เปนความผิดปกติ
ทีเ่ กิดจากโครโมโซม X เกินมา 1 แทง ในเพศหญิง โครโมโซมคูท ี่ 23 จึงมีจโี นไทป
- ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับโครโมโซม X
แบบ XXX เรียกผูปวยกลุมนี้วา ซูเปอรฟเมล (super female) ผูปวย
สามารถเกิ ด ขึ้ น ได ทั้ ง ในเพศชายและ จะมีลักษณะภายนอกเหมือนผูหญิงทั่วไป ไมเปนหมัน กระดูกหนาอกโคง
เพศหญิ ง โดยถ า เกิ ด ขึ้ น กั บ เพศหญิ ง เล็กนอย เทาแบน ปญญาออน ในบางรายจะมีนิ้วกอยโกงงอ
เนื่ อ งจากโครโมโซม X ขาดหายไป
1 แทง จะทําใหเกิดกลุมอาการเทิรนเนอร ภาพที่ 2.24 ผูปวยกลุมอาการทริปเปลเอกซบางรายมีนิ้วกอยโกงงอ
ทําใหเพศหญิงมีรูปรางเตี้ย ตนคอกวาง ที่มา : bunkyo.info
จะทําใหเกิดกลุมอาการไคลนเฟลเตอร
13 14 15 16 17 18
ทําใหเพศชายมีรูปรางคลายกับเพศหญิง
และเปนหมัน
19 20 21 22 23
- ความผิ ด ปกติ ที่ เ กิ ด ขึ้ น กั บ โครโมโซม
Y จะเกิ ด ขึ้ น ในเฉพาะเพศชาย เช น ภาพที่ 2.25 กลุมอาการไคลนเฟลเตอรเกิดขึ้นเฉพาะเพศชาย
ที่มา : www.semanticscholar.org/paper/chromosomal-syndromes.-shiang
โครโมโซม Y เกิ น มา 1 แท ง ทํ า ให
เกิ ด กลุ ม อาการที่ เ รี ย กว า กลุ ม อาการ
2. ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับโครโมโซม Y ไดแก กลุมอาการเอกซวายวายหรือ
ดับเบิลวาย เรียกผูป ว ยกลุม นีว้ า ซูเปอรเมน ดับเบิลวาย (double Y syndrome) เปนความผิดปกติที่เกิดจากโครโมโซม Y เกินมา 1 แทง
ทํ า ให ผู ป ว ยมี รู ป ร า งสู ง ใหญ ก ว า ปกติ ทําใหโครโมโซมคูที่ 23 มีจีโนไทปแบบ XYY เรียกผูปวยกลุมนี้วา ซูเปอรเมน (super men)
ไมเปนหมัน มีอารมณรุนแรง ทําใหผูปวยมีรูปรางสูงกวาปกติ ไมเปนหมัน มีอารมณราย โมโหงาย และมีแนวโนมเปนอาชญากร
68
T76
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
4.3 ความผิดปกติของยีน 12. ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
ความผิดปกติของยีนที่อยูบนออโตโซมและโครโมโซมเพศ ทําใหเกิดความผิดปกติ ดังนี้ • ภาวะตาบอดสีเกิดจากสาเหตุใด
1. ความผิดปกติของยีนบนออโตโซม ตัวอยางเชน (แนวตอบ เกิดจากความผิดปกติของยีน
โรคผิวเผือก (albinism) บนโครโมโซมเพศ ทําใหเซลลรูปกรวย
เปนความผิดปกติของแอลลีลดอยของยีนที่ควบคุม ทํางานผิดปกติ)
การสรางเม็ดสีเมลานินในรางกาย ทําใหรางกายมี • โรคฮีโมฟเลียเกิดจากสาเหตุใด
ผิ ว สี ข าวซี ด ผมสี ข าว ตาสี ข าว ม า นตาสี เ ทา (แนวตอบ เกิดจากความผิดปกติของยีนบน
และโปรงแสง รูมานตาสะทอนแสงออกมาเปนสีแดง โครโมโซมเพศ ทําใหโปรตีนทีเ่ กีย่ วของกับ
รางกายออนแอ และติดเชื้อไดงายกวาคนทั่วไป การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ)
ภาพที่ 2.27 ลักษณะของสีผิวและสีมานตาของคนที่เปนโรคผิวเผือก 13. ให นั ก เรี ย นตรวจสอบความรู ห ลั ง เรี ย นใน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ใบงาน เรื่อง โรคทางพันธุกรรม ตอนที่ 3
14. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน
ภาวะนิ้วเกิน (polydactyly) วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
เปนความผิดปกติของแอลลีลเดน ทําใหมือและเทามีนิ้วมากกวา 5 นิ้ว เรื่อง ความผิดปกติทางพันธุกรรม
ซึง่ เปนความผิดปกติตงั้ แตกาํ เนิด และนิว้ ทีเ่ กินมามักจะเปนติง่ เนือ้ ไมมกี ระดูก 15. ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเอง
หรือมีกระดูกขนาดเล็กกวาปกติ โดยตอบคําถาม Topic Questions ลงในสมุด
ประจําตัวนักเรียน
ภาพที่ 2.28 ลักษณะมือของคนที่ปวยเปนภาวะนิ้วเกิน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ขยายความเข้าใจ
16. ครู กํ า หนดป ญ หาว า ครอบครั ว หนึ่ ง มี พ อ
เป น พาหะโรคธาลั ส ซี เ มี ย และแม เ ป น
โรคธาลัสซีเมีย (thalassemia) โรคธาลัสซีเมีย แตลกู ทีเ่ กิดจากสามีภรรยาคูน ี้
เปนความผิดปกติของแอลลีลดอยของยีนที่ควบคุม มีสุขภาพดีและกําลังจะแตงงานกับหญิงที่
การสรางโปรตีนเฮโมโกลบินในเซลลเม็ดเลือดแดง ปวยเปนโรคธาลัสซีเมีย จงทํานายวาลูกที่
ทําใหเกิดภาวะโลหิตจาง และเซลลเม็ดเลือดแดงลําเลียง
เกิดมาจะมีโอกาสปวยเปนโรคทางพันธุกรรม
ออกซิเจนไดนอยลง หากมีอาการรุนแรงอาจทําให
หัวใจวายและเสียชีวิตได รอยละเทาไร และนักเรียนจะใหคําแนะนํา
อยางไร บันทึกลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
ภาพที่ 2.29 รูปรางเซลลเม็ดเลือดแดงของคนปกติ (ภาพซาย)
เปรียบเทียบกับของคนที่ปวยเปนโรคธาลัสซีเมีย (ภาพขวา)
ที่มา : คลังภาพ อจท.
พันธุกรรม 69
T77
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
นักเรียนและครูรว มกันสรุป เรือ่ ง ความผิดปกติ
ทางพั น ธุ ก รรม เพื่ อ ให ไ ด ข อ สรุ ป ว า โรคทาง 2. ความผิดปกติของยีนบนโครโมโซมเพศ ตัวอย่างเช่น
1) ภาวะตาบอดสี (colour blindness) เป็นความผิดปกติทเี่ กิดขึน้
พันธุกรรมบางโรคอาจมีการถายทอดจากพอแม บนแอลลี ล ด้ อ ยของยี น บนโครโมโซม X ท� า ให้ เ ซลล์ รู ป กรวยซึ่ ง เป็ น
ไปสู รุ น ลู ก ได ดั ง นั้ น ก อ นแต ง งานหรื อ ก อ น เซลล์ประสาทในม่านตาเกิดความผิดปกติ จึงท�าให้ผปู้ ว่ ยมองเห็นสีบางสี เช่น
มีบุตรควรปองกันโดยการตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัย สีแดง น�้าเงิน เขียว แตกต่างไปจากคนปกติ
ภาวะเสี่ยงของลูกที่อาจเกิดโรคทางพันธุกรรม 2) โรคฮีโมฟีเลีย (hemophilia) เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นบน
แลวใหนกั เรียนสรุปเปนผังมโนทัศนลงในกระดาษ แอลลีลด้อยของยีนบนโครโมโซม X ท�าให้การสร้างโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับ ภาพที่ 2.30 แผ่นทดสอบตาบอดสี
อิชิฮะระ ซึ่งคนสายตาปกติจะมองเห็น
A4 สงครูผูสอน แลวนําเสนอในรูปแบบที่นาสนใจ การแข็งตัวของเลือดเกิดความผิดปกติ ส่งผลให้เมื่อผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียเกิด เป็นหมายเลข 12
บาดแผล จะท�าให้เลือดไหลนานกว่าปกติ ที่มา : คลังภาพ อจท.
ขัน้ ประเมิน จะเห็นว่า โรคทางพันธุกรรมสามารถถ่ายทอดจากรุน่ พ่อแม่ไปสูร่ นุ่ ลูกหรือรุน่ หลานได้ ซึง่ ในปัจจุบนั ประเทศไทย
ตรวจสอบผล เด็กที่เกิดมาเป็นโรคทางพันธุกรรมมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการแต่งงาน
ระหว่างเครือญาติ เพราะการแต่งงานระหว่างเครือญาติชว่ ยเพิม่ โอกาสในการถ่ายทอดยีนทีผ่ ดิ ปกติไปยังร่นุ ลูกได้มาก
1. ตรวจใบงาน เรื่อง โรคทางพันธุกรรม หลีกเลีย่ งการอยูใ่ นสภาวะแวดล้อมทีท่ า� ให้เสีย่ งต่อการได้รบั สารเคมีหรือสารก่อกลายพันธุ์ รวมทัง้ คูส่ มรสก่อนแต่งงาน
2. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ควรเข้ารับการตรวจเลือด เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยภาวะเสี่ยงของลูกที่อาจมีโอกาสเป็นโรคทางพันธุกรรม
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง ความผิดปกติ
ทางพันธุกรรม Application
3. ตรวจรายงาน เรื่อง โรคทางพันธุกรรม Activity
4. ตรวจผังมโนทัศน เรื่อง ความผิดปกติทาง ถ้าผลการตรวจเลือดของลูกพี่ลูกน้องของนักเรียน พบว่า พ่อของเขาเป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมีย
พันธุกรรม และแม่เป็นโรคธาลัสซีเมีย เขากลับมีสุขภาพดี แต่ไม่เคยตรวจเลือดมาก่อน วันหนึ่งเขาก�าลังจะแต่งงาน
5. ตรวจสอบผลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม โรคทาง กับผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย นักเรียนจะน�าความรู้ที่ได้จากการศึกษาการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม
และโรคทางพันธุกรรมมาช่วยท�านายว่า หลานของนักเรียนทีเ่ กิดมาจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมียได้หรือไม่
พันธุกรรม และจะมีวิธีแนะน�าลูกพี่ลูกน้องของนักเรียนอย่างไร เพื่อให้เขาตระหนักถึงภาวะเสี่ยงของลูกที่อาจเกิด
6. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม การทํางาน มาเป็นโรคธาลัสซีเมีย
รายบุคคล
7. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต
ความมีวนิ ยั ใฝเรียนรู และมุง มัน่ ในการทํางาน Topic Questions
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. โรคทางพันธุกรรมเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับสิ่งใดบ้าง
2. โรคที่เกิดจากความผิดปกติบนออโตโซมได้แก่โรคอะไรบ้าง
3. ถ้าพ่อเป็นคนปกติแต่งงานกับแม่ที่เป็นโรคผิวเผือก โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคผิวเผือกมีกี่เปอร์เซ็นต์
4. ภาวะตาบอดสีเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเซลล์ชนิดใด
5. เพศใดมีโอกาสเกิดโรคฮีโมฟีเลียได้มากกว่ากัน เพราะเหตุใด
70
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 7 ปรับปรุง
T78
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
มุ ด
3. ปัจจุบันทุกประเทศต่ำงยอมรับและเลือกบริโภคสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม พั น ธุ ก รรม โดยบั น ทึ ก ลงในสมุ ด ประจํ า ตั ว
นส
งใ
ล
นักเรียน
ทึ ก
4. พืชดัดแปรพันธุกรรมเกิดจำกกำรน�ำยีนจำกแบคทีเรียไปแทรกลงในโครโมโซมของพืช
บั น
5. มนุษย์ใช้ประโยชน์จำกสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมในด้ำนกำรแพทย์ เช่น ผลิตวัคซีน 2. ครู ถ ามนั ก เรี ย นว า นั ก เรี ย นรู จั ก สิ่ ง มี ชี วิ ต
ดั ด แปรพั น ธุ ก รรมหรื อ ไม แล ว ให นั ก เรี ย น
ยกตัวอยางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
E ngaging พิจารณาภาพที่กําหนดให้ แล้วให้นักเรียนวิเคราะห์ว่า ภาพใดเปนสตรอว์เบอร์รี
และมะเขือเทศ GMOs ตามลําดับ
(แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียนและ
ดุลยพินิจของครู)
Activity
3. ใหนักเรียนทํากิจกรรม Engaging Activity
โดยพิจารณาภาพและเลือกภาพทีเ่ ปนสิง่ มีชวี ติ
ดัดแปรพันธุกรรมจากหนังสือเรียนรายวิชา
พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
หนวยการเรียนรูที่ 2 เรื่อง การดัดแปรทาง
พันธุกรรม
4. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม
ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 Engaging Activity เพื่ อ ให ไ ด ข อ สรุ ป ว า
สิ่ ง มี ชี วิ ต ดั ด แปรพั น ธุ ก รรม มี ลั ก ษณะและ
รูปรางแตกตางไปจากปกติ เนือ่ งจากมียนี ของ
สิ่ ง มี ชี วิ ต อื่ น แทรกอยู จากกระบวนการ
เทคโนโลยีชีวภาพของมนุษย
ภาพที่ 3 ภาพที่ 4
ภาพที่ 2.31 สตรอว์เบอร์รีและมะเขือเทศ
ที่มา : คลังภาพ อจท. แนวตอบ Check for Understanding
พันธุกรรม 71 1. ผิด 2. ผิด 3. ผิด
4. ถูก 5. ถูก
T79
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูถามคําถาม Key Question Key 5 การดัดแปรทางพันธุกรรม
2. ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5-6 คน โดยแตละ Question ปัจจุบันมนุษย์มีการน�าความรู้ทางด้านพันธุศาสตร์เกี่ยวกับ
กลุมทํากิจกรรม สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม สิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม กระบวนการถ่ายทอดลั
1 กษณะทางพันธุกรรมประกอบกับการใช้
โดยใหสมาชิกภายในกลุม แบงภาระและหนาที่ แตกต่ำงจำกสิง่ มีชวี ติ เทคโนโลยีชีวภาพมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์สิ่งมีชีวิตให้ได้
รับผิดชอบในการสืบคนขอมูลเกีย่ วกับสิง่ มีชวี ติ ในธรรมชำติอย่ำงไร สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ที่มีสมบัติและลักษณะตามต้องการ และก่อให้
ดัดแปรพันธุกรรม เกิดประโยชน์ได้หลากหลาย
3. ให นั ก เรี ย นรวบรวมข อ มู ล แล ว จั ด ทํ า เป น 2
สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม คือ สิ่งมีชีวิตที่ถูกดัดแปรพันธุกรรมโดยอาศัยกระบวนการทางพันธุวิศวกรรม
รายงาน เรื่ อ ง สิ่ ง มี ชี วิ ต ดั ด แปรพั น ธุ ก รรม โดยการเปลีย่ นแปลงพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ เช่น การน�ายีนของสิง่ มีชวี ติ ชนิดหนึง่ ทีม่ ลี กั ษณะทางพันธุกรรมทีต่ อ้ งการ
พรอมนําเสนอหนาชั้นเรียน โดยมีประเด็น ใส่เข้าไปในสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งเพื่อให้แสดงลักษณะทางพันธุกรรมตามที่ต้องการ
ในการนําเสนอ ดังนี้
- สิ่งมีชีวิตที่นํามาดัดแปรพันธุกรรมคืออะไร กิจกรรม
- ประโยชน แ ละโทษจากสิ่ ง มี ชี วิ ต ดั ด แปร สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
พันธุกรรม
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
จุดประสงค์ - การตีความหมายข้อมูล
และลงข้อสรุป
อธิบายการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมได้ จิตวิทยาศาสตร์
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม - ความสนใจใฝ่รู้
- ความรับผิดชอบ
1. พืช สัตว แบคทีเรีย วัสดุอปุ กรณ์ - การท�างานร่วมกับผู้อื่นได้
อย่างสร้างสรรค์
2. ดานการแพทย ดานการเกษตร ดานอุตสาหกรรม 1. สมุดบันทึก
ดานสิ่งแวดลอม 2. อุปกรณ์เครื่องเขียน
3. สงผลกระทบตอความปลอดภัยของผูบ ริโภคและ วิธปี ฏิบตั ิ
สงผลกระทบตอความหลากหลายทางชีวภาพ
ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน แล้วร่วมกันสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมมาอย่างน้อย 2 ชนิด
เนื่องจากมีสายพันธุใหมที่เหนือกวาสายพันธุ จากนั้นรวบรวมข้อมูลและร่วมกันอภิปรายถึงประโยชน์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อมนุษย์
ดั้งเดิมในธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม แล้วส่งตัวแทนกลุ่มออกมาน�าเสนอหน้าชั้นเรียน
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
1. ยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์น�ามาดัดแปรพันธุกรรม
2. มนุษย์น�าสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมมาใช้ประโยชน์ในด้านใดบ้าง
แนวตอบ Key Question 3. ยกตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่มีต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
สิ่ ง มี ชี วิ ต ดั ด แปรพั น ธุ ก รรมมี ยี น หรื อ สาร
พั น ธุ ก รรมที่ สิ่ ง มี ชี วิ ต ในธรรมชาติ ไ ม มี ทํ า ให
สิ่ ง มี ชี วิ ต ดั ด แปรพั น ธุ ก รรมแสดงลั ก ษณะพิ เ ศษ 72
ที่แตกตางไปจากธรรมชาติ
T80
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ถังหมัก
แบคทีเรียผลิตฮอรโมนอินซูลิน
แบคทีเรีย 3
สกัดฮอรโมนอินซูลิน เพื่อนํา
พลาสมิด ไปรักษาผูปวยโรคเบาหวาน
ภาพที่ 2.33 การผลิตฮอรโมนอินซูลินจากแบคทีเรีย
ที่มา : คลังภาพ อจท.
พันธุกรรม 73
T81
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้ 1
7. ให นั ก เรี ย นจั บ คู กั บ เพื่ อ นศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ 2) การผลิ ต วั ค ซี น ป้ อ งกั น โรคตั บ อั ก เสบบี ในอดี ต ใช้ วั ค ซี น ที่ มี ไ วรั ส สายพั น ธุ ์ ที่ ไ ม่ ก ่ อ โรคมาฉี ด
ให้กับคน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้น นักวิทยาศาสตร์
ประเด็นการโตแยงทางวิทยาศาสตรเกี่ยวกับ จึงน�าหลักการทางพันธุวศิ วกรรมมาผลิตโปรตีน แล้วผลิตเป็นวัคซีนฉีดเข้าไปในร่างกายเพือ่ ไปกระตุน้ ภูมคิ มุ้ กันแทน
สิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม แลวรวบรวมขอมูล การใช้ไวรัสท�าให้มีความปลอดภัยมากขึ้น
เพื่ อ จั ด ทํ า แผ น พั บ เกี่ ย วกั บ ประโยชน แ ละ
ผลกระทบของสิ่ ง มี ชี วิ ต ดั ด แปรพั น ธุ ก รรม
โดยนําขอมูลที่ไดจากการสืบคนมาสนับสนุน
แลวนําไปเผยแพรใหกบั คนในครอบครัวหรือคน
ในชุมชน
8. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน
วิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3 เล ม 1
เรื่อง การดัดแปรทางพันธุกรรม
ภาพที่ 2.34 วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี ภาพที่ 2.35 รูปร่างจ�าลองของไวรัส ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิด
9. ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเอง ที่มา : คลังภาพ อจท. โรคตับอักเสบบี
โดยตอบคําถาม Topic Questions ลงในสมุด ที่มา : คลังภาพ อจท.
ภาพที่ 2.36 สุกรดัดแปรพันธุกรรมเพื่อให้เจริญเติบโตเร็วกว่าปกติ ภาพที่ 2.37 วัวดัดแปรพันธุกรรมเพือ่ ให้ววั ผลิตน�า้ นมทีม่ คี ณุ ภาพดีขนึ้
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
74
T82
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
2) การปรับปรุงพันธุพืช การดัดแปรพันธุกรรมของพืชทําไดงายกวาสัตว โดยการนํายีนที่ตองการจาก 10. ครู กํ า หนดสถานการณ เ กี่ ย วกั บ ป จ จุ บั น
สิ่งมีชีวิตหนึ่งไปเพิ่มจํานวนยีนดวยแบคทีเรีย จากนั้นนําไปผานกระบวนการทางพันธุวิศวกรรม แลวใสยีนเขาไปใน
เซลลพืชเรียกพืชที่ผานการดัดแปรทางพันธุกรรมวา พืชดัดแปรพันธุกรรมหรือพืชทรานสเจนิก (transgenic plant) ประเทศสหรัฐอเมริกาอนุญาตใหมีการปลูก
เชน มะเขือเทศชะลอการสุก ขาวโพดตานทานแมลงศัตรูพืช ขาวทนเค็ม ขาวสีทอง (เปนพันธุขาวที่ถูกตัดแตง และจําหนายแอปเปล GMOs ซึง่ มีคณ ุ สมบัติ
พันธุกรรมใหสังเคราะหสารบีตาแคโรทีนได เพื่อใชเปนอาหารในแหลงพื้นที่ที่ขาดแคลนวิตามินเอ) มะละกอตานโรค พิ เ ศษสามารถชะลอการเน า เสี ย ถ า หาก
ฝายตานทานแมลง แอปเปลเนาเสียชา
วันหนึ่งประเทศไทยจะมีการนําเขาแอปเปล
สายพันธุน ี้ นักเรียนจะสนับสนุนใหเกษตรกร
ปลูกและจําหนายหรือไม โดยใหนักเรียน
แบงกลุมออกเปน 2 กลุม รวบรวมขอมูล
เกี่ ย วกั บ การโต แ ย ง ทางวิ ท ยาศาสตร ห รื อ
นําความรูที่ไดจากการศึกษา เรื่อง สิ่งมีชีวิต
ดัดแปรพันธุกรรม มาโตวาทีภายใตญัตติ
ควรใหมีการปลูกและวางจําหนายแอปเปล
ภาพที่ 2.38 มะเขือเทศ GMOs สามารถชะลอการสุกได ภาพที่ 2.39 ขาวโพด GMOs สามารถสรางโปรตีนชนิดหนึง่ ทีเ่ ปนพิษ GMOs หรือไม โดยใหนักเรียนแสดงความ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ตอแมลงศัตรูพืชได
ที่มา : คลังภาพ อจท. คิดเห็นลงในสมุดประจําตัวนักเรียน แลว
นํามาสงครูผูสอน
Science
Focus การโคลนยีน
การโคลนยีน (gene cloning) เป1นการเพิ่มจํานวนของยีน แบงออกไดเปน 2 วิธี ดังนี้
1. การโคลนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรีย คือ การนําดีเอ็นเอที่สนใจจากสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งมาตัดตอใสพลาสมิด
ซึ่งเปนดีเอ็นเอของแบคทีเรีย แลวใสกลับเขาไปในแบคทีเรีย จากนั้นจึงนําไปเพาะเลี้ยงเพื่อเพิ่มจํานวน 2
2. การโคลนโดยอาศัยเทคนิคการทํา PCR คือ การเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอในหลอดทดลองดวยเครื่องเทอรมอไซเคิล
(thermocycler) ที่สามารถปรับอุณหภูมิและจํานวนรอบได
พันธุกรรม 75
ขัน้ สรุป
นักเรียนและครูรวมกันสรุป เรื่อง ประโยชน
และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่มี ความกาวหนาของเทคโนโลยีชีวภาพ
ตอมนุษยและสิ่งแวดลอม โดยสรุปความรูลงใน ในอดีตกาล
สมุดประจําตัวนักเรียน พรอมนําเสนอในรูปแบบ คนพบหลักฐานที่บงบอกวา มนุษยมีการคัดเลือก พ.ศ. 2516
พันธุพืชและพันธุสัตว
ที่นาสนใจ มีการพัฒนาพันธุวิศวกรรมจนกระทั่งสรางแบคทีเรีย
E. coli ทีแ่ สดงยีนของแบคทีเรีย Salmonella
typhimurium ออกมาได
พ.ศ. 2517
สรางหนูดัดแปรพันธุกรรมไดเปนครั้งแรก พ.ศ. 2518
มีการประชุมเกี่ยวกับความปลอดภัยของสิ่งมีชีวิต
พ.ศ. 2523 ดัดแปรพันธุกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ศาลอนุมัติใหผลิตสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
พ.ศ. 2525
องคกร FDA ยอมรับการผลิตฮอรโมนอินซูลิน
พ.ศ. 2535 จากแบคทีเรีย E. coli
อาหาร GMOs ชนิดแรก คือ มะเขือเทศ
ดัดแปรพันธุกรรม
พ.ศ. 2538
พ.ศ. 2539 มีการสรางพืชดัดแปรพันธุกรรมที่ตานทาน
มีการสรางพืชดัดแปรพันธุกรรมที่ตานทาน แมลงศัตรูพืชได
สารเคมีกําจัดวัชพืชได
พ.ศ. 2543
พ.ศ. 2552
มีการผลิตพันธุข า วสีทอง เพือ่ แกปญ หา
มีการพัฒนาสัตวดัดแปรพันธุกรรมให โรคขาดแคลนวิตามินเอในบางพืน้ ที่
สามารถผลิตวัคซีนปองกันโรค
จากนํ้านมแพะไดเปนครั้งแรก
ภาพที่ 2.42 ความกาวหนาของเทคโนโลยีชีวภาพ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
T84
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
นอกจากนี้ ประชาชนสวนใหญยังกังวลวา สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมอาจสงผลกระทบตอสิ่งแวดลอม 1. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
เชน การถายยีนตานทานโรค ยีนตานทานแมลง ไปยังวัชพืชที่อยูใกลเคียง ทําใหวัชพืชมีความแข็งแรง จึงยาก และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง การดัดแปร
ตอการควบคุม และการแพรกระจายของพืชดัดแปรพันธุกรรมอาจทําใหความสมดุลของระบบนิเวศสูญเสียไป รวมทัง้
ทางพันธุกรรม
อาจสงผลกระทบตอความหลากหลายทางชีวภาพอีกดวย
2. ตรวจรายงาน เรือ่ ง สิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม
จากทีไ่ ดศกึ ษามาแลว สิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม
3. ตรวจคํ า ตอบ Topic Questions ในสมุ ด
มีทั้งประโยชนและผลกระทบตอมนุษยและสิ่งแวดลอม
ปจจุบนั ทัว่ โลกยังคงมีความกังวลเกีย่ วกับความปลอดภัย ประจําตัวนักเรียน
ของสิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม บางประเทศจึงไมยอมรับ 4. ตรวจแผนพับ เรือ่ ง สิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม
และตอตานผลิตภัณฑ GMOs ในขณะที่บางประเทศ 5. ตรวจการสรุปความรู เรื่อง ประโยชนและ
อนุญาตใหวางจําหนายผลิตภัณฑ GMOs ได แตไม ผลกระทบของสิ่ ง มี ชี วิ ต ดั ด แปรพั น ธุ ก รรม
รับรองดานความปลอดภัย ดังนั้น เราจึงจําเปนตอง ที่มีตอมนุษยและสิ่งแวดลอม
ติดตามและศึกษาผลกระทบทีเ่ กิดขึน้ ตอสิง่ มีชวี ติ อืน่ และ ภาพที่ 2.43 ประชาชนในประเทศแคนาดาไมยอมรับและประทวง 6. ตรวจสอบผลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม สิ่ ง มี ชี วิ ต
สิ่งแวดลอมอยางตอเนื่อง จนกวาจะไดขอสรุปที่ชัดเจน บริษัทที่ผลิตพืช GMOs
ดัดแปรพันธุกรรม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
7. สั ง เกตพฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และ
Application พฤติ ก รรมการทํ า งานรายบุ ค คล จากการ
Activity ทํางานในชั้นเรียน
ปจจุบันประเทศสหรัฐอเมริกาอนุญาตใหปลูกและจําหนายแอปเปล GMOs ซึ่งเปนสายพันธุที่ผานการ 8. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต
ตัดตอพันธุกรรม เพื่อใหเมื่อปอกเปลือกแอปเปลทิ้งไว เนื้อแอปเปลจะเปลี่ยนเปนสีน้ําตาลชาลง และยังชวย ความมีวนิ ยั ใฝเรียนรู และมุง มัน่ ในการทํางาน
ชะลอการเนาเสียไดอีกดวย ถาหากจะนําแอปเปลสายพันธุนี้เขามาปลูกในประเทศไทย นักเรียนจะสนับสนุน
ใหเกษตรกรปลูกและจําหนายแอปเปลสายพันธุนี้หรือไม ใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น โดยใชความรู
ที่ไดจากการศึกษา เรื่อง ประโยชนและผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
Topic Questions
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
1. สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมคืออะไร
2. จงยกตัวอยางประโยชนของพืชดัดแปรพันธุกรรมมาอยางนอย 3 ตัวอยาง
3. เพราะเหตุใดในปจจุบนั มนุษยจงึ เลือกทีจ่ ะสังเคราะหฮอรโมนอินซูลนิ จากกระบวนการพันธุวศิ วกรรมแทนการสกัด
ฮอรโมนอินซูลินจากตับออนของสัตว
4. เพราะเหตุใดในปจจุบันมนุษยจึงเลือกที่จะผลิตวัคซีนปองกันโรคตับอักเสบบี จากกระบวนการพันธุวิศวกรรม
5. สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมสงผลกระทบตอสิ่งมีชีิวิตอื่นและสิ่งแวดลอมอยางไร
พันธุกรรม 77
ในปริมาณที่เพียงพอกับความตองการ
ลาดับที่ รายการประเมิน ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
4 3 2 1 2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
4. เพราะมีความปลอดภัยมากกวา เนื่องจากไวรัสกอโรคที่ออนฤทธิ์
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
รวม ทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล
ยังคงสามารถกอใหเกิดโรคไดอยู
................./................../.................. กิจกรรม ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน ทากิจกรรมยังไม่เป็น กิจกรรม การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน
T85
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ม ุ ด
ทางชีวภาพ ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
3. ควำมหลำกหลำยของชนิดสิ่งมีชีวิตท�ำให้ระบบนิเวศเกิดควำมสมดุล
น ส
ง ใ
ล
2. ใหนักเรียนทํากิจกรรม Engaging Activity
ท ึ ก
4. มนุษย์ใช้ประโยชน์จำกควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพมำกที่สุด
บ ั น
โดยพิ จ ารณาความแตกต า งระหว า งภาพ 5. กำรท�ำลำยป่ำมีผลท�ำให้ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพลดลง
2 ภาพ และเปรียบเทียบความหลากหลาย
ทางชีวภาพ จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน
วิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3 เล ม 1
หนวยการเรียนรูที่ 2 เรื่อง ความหลากหลาย E ngaging ให้ นั ก เรี ย นพิ จ ารณาภาพที่ 1 และภาพที่ 2 แล้ ว วิ เ คราะห์ ว ่ า ภาพใดมี
ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิตมากกว่ากัน พร้อมให้เหตุผลประกอบ
Activity
ทางชีวภาพ
3. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลที่ไดจาก
การทํากิจกรรม Engaging Activity ภาพที่ 1
4. ครูถามคําถามกระตุน ความคิดของนักเรียนวา
เพราะเหตุ ใ ดความหลากหลายของชนิ ด
สิง่ มีชวี ติ จึงมีผลกับความสมดุลของระบบนิเวศ
(แนวตอบ เพราะระบบนิเวศที่มีส่ิงมีชีวิตหลาย
ชนิด ทําใหสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งสามารถเลือก
ภาพที่ 2
กินสิ่งมีชีวิตอื่นได ทําใหอัตราการรอดชีวิต
สูง สงผลใหระบบนิเวศไมสญ ู เสียความสมดุล)
T86
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
Key 6 ความหลากหลายทางชีวภาพ 1. ครูถามคําถาม Key Question
Question โลกประกอบด้วยพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน 2. ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน สืบคน
ระบบนิเวศทีม่ คี วาม ท�าให้มีความหลากหลายทางระบบนิเวศ โดยในแต่ละระบบนิเวศ ขอมูลเกี่ยวกับระบบนิเวศในประเทศไทยตาม
หลากหลายทางชีวภาพสูง จะมีสิ่งมีชีวิตหลายชนิดอาศัยอยู่ ซึ่งสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดล้วนมีความ ภูมิภาคตางๆ เชน ปาไม อาวไทย ทะเล
เปนอยางไร หลากหลายทางพันธุกรรม ดังนัน้ จึงกล่าวได้วา่ โลกมีความหลากหลาย ปาชายเลน ทะเลสาบ โดยเลือกขอมูลที่จะ
ทางชีวภาพ ศึกษามาอยางนอย 2 ระบบนิเวศ
ความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่ ความหลากหลายของระบบนิเวศ 3. ใหแตละกลุมสืบคนขอมูลเกี่ยวกับชนิดและ
ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิต และความหลากหลายทางพันธุกรรม สายพันธุของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศที่นักเรียน
1. ความหลากหลายของระบบนิเวศ (ecosystem diversity) คือ ความหลากหลายของลักษณะพื้นที่ เลือกมาศึกษารวบรวมขอมูล แลวใหนักเรียน
ในแต่ละภูมิภาคของโลกที่แตกต่างกัน รวมทั้งสภาพภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ ท�าให้ระบบนิเวศในแต่ละพื้นที่ แตละคนสรุปขอมูลลงในกระดาษ A4
มีความหลากหลาย เช่น ประเทศไทยตั้งอยู่ในโซนร้อนเหนือเส้นศูนย์สูตรเล็กน้อยและอยู่ติดกับทะเล ท�าให้
มีระบบนิเวศที่แตกต่างกันตามแต่ละภูมิภาค เช่น ภาคเหนือมีเทือกเขาสูง มีป่าไม้ เป็นแหล่งต้นน�้าล�าธาร 4. ใหนักเรียนรวมกลุมใหม โดยมีสมาชิกที่มา
ภาคกลางเป็นที่ราบลุ่มแม่น�้า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่ราบสูงขนาดใหญ่ ภาคใต้เป็นเทือกเขาสูงสลับกับ จากกลุ ม อื่ น ที่ ไ ม ใ ช ส มาชิ ก ภายในกลุ ม เดิ ม
พื้นที่ราบและชายฝง จึงท�าให้มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในประเทศไทยหลายชนิด คิดเป็น 1 ใน 3 ของสิ่งมีชีวิตบนโลก แลกเปลี่ยนขอมูลเกี่ยวกับความหลากหลาย
ดังนั้น ประเทศไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่อยู่ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงเป็นอันดับต้น ๆ ทางชีวภาพของประเทศไทยที่นักเรียนสืบคน
ของโลก ได แลวสรุปขอมูลลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
T87
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
5. ครู สุ ม เลื อ กตั ว แทนกลุ ม ออกมานํ า เสนอ 2. ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิต (species diversity) คือ ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิต
หนาชั้นเรียน ทีอ่ ยูใ่ นพืน้ ทีห่ นึง่ ซึง่ เป็นความแปรผันทีเ่ กิดขึน้ ในระดับกลุม่ ของสิง่ มีชวี ติ พิจารณาได้จากความหลากหลายของสิง่ มีชวี ติ
ในระบบนิเวศ 2 ลักษณะ คือ จ�านวนชนิดของสิ่งมีชีวิตต่อหน่วยพื้นที่ (species richness) และความสม�่าเสมอ
6. นักเรียนและครูรวมกันอภิปราย เพื่อใหได ของชนิดสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ (species evenness) ตัวอย่างเช่น บริเวณป่าดิบชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์
ข อ สรุ ป ว า ประเทศไทยตั้ ง อยู ใ นโซนร อ น เหมาะแก่การด�ารงชีวิตและการกระจายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต เมื่อเทียบกับขั้วโลกเหนือที่มีอุณหภูมิต�่ามาก จึงท�าให้
เหนือเสนศูนยสูตร จึงมีลักษณะภูมิประเทศ บริเวณป่าดิบชื้นรักษาสมดุลของระบบนิเวศได้ดีกว่า ดังนั้น ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิตจึงขึ้นอยู่กับ
และลั ก ษณะอากาศที่ เ หมาะสมต อ การ ความแตกต่างของลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศของแต่ละพื้นที่บนโลก
ดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตและการกระจายพันธุ
โดยแต ล ะภู มิ ภ าคของประเทศไทยต า งก็
มี ลั ก ษณะภู มิ ป ระเทศที่ แ ตกต า งกั น ทํ า ให
ระบบนิ เ วศในแต ล ะพื้ น ที่ แ ตกต า งกั น ด ว ย
พื้นที่ใดมีความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิต
ยอมทําใหสงิ่ มีชวี ติ ชนิดนัน้ มีความหลากหลาย
ทางพันธุกรรม
Science
Focus การปรับตัวของสิ่งมีชีวิต
การปรับตัว (adaptation) คือ กระบวนการทีส่ ง่ิ มีชวี ติ มีการเปลีย่ นแปลงหรือปรับลักษณะบางประการให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
เพื่อความอยู่รอด สามารถสืบพันธุ์และด�ารงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ การปรับตัวแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. การปรับตัวแบบชั่วคราว เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะไปชั่วคราว ซึ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ เช่น การเปลี่ยนสี
ของจิ้งจกตามสภาพแวดล้อมเพื่ออ�าพรางตัว
2. การปรับตัวแบบถาวร เป็นการปรับเปลี่ยนภายในร่างกาย โดยการเปลี่ยนแปลงจะถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมไปยัง
รุ่นลูกหลานให้ปรับตัวอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นได้ ได้แก่ การปรับตัวทางด้านรูปร่าง การปรับตัวทางด้านโครงสร้าง และการปรับตัว
ทางด้านพฤติกรรม เช่น ใบของต้นกระบองเพชรเปลี่ยนเป็นหนามเพื่อลดการคายน�้า
80
T88
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
3. ความหลากหลายทางพันธุกรรม (genetic diversity) คือ ความหลากหลายของหนวยพันธุกรรมหรือ 7. ครู ถ ามคํ า ถามเพื่ อ ทดสอบความเข า ใจของ
ยีน (gene) ที่มีอยูในสิ่งมีชีวิตแตละชนิด ซึ่งเปนความแปรผันทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นในระดับประชากรของสิ่งมีชีวิต
นักเรียน ดังนี้
ชนิดเดียวกัน ตัวอยางเชน สุนัขมีหลากหลายสายพันธุที่มีลักษณะที่แตกตางกัน แตก็ลวนเปนสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน
• ความหลากหลายทางชี ว ภาพมี กี่ ร ะดั บ
อะไรบาง
(แนวตอบ 3 ระดับ ไดแก ความหลากหลาย
ของระบบนิเวศ ความหลากหลายของชนิด
สิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางพันธุกรรม)
• จงเปรียบเทียบความหลากหลายของระบบ
ภาพที่ 2.47 สุนัขสายพันธุตาง ๆ
นิเวศในประเทศไทยกับประเทศอียิปต
ที่มา : คลังภาพ อจท. (แนวตอบ ประเทศไทยมีความหลากหลาย
โดยสิ่งมีชีวิตที่สืบพันธุแบบอาศัยเพศจะเกิดความหลากหลายทางพันธุกรรมมากกวาสิ่งมีชีวิตที่สืบพันธุ ทางชีวภาพมากกวา เนื่องจากประเทศไทย
แบบไมอาศัยเพศ เนื่องจากขั้นตอนการแบงเซลลสืบพันธุของสิ่งมีชีวิตจะเกิดกลไกการแลกเปลี่ยนชิ้นสวนยีน ตั้ ง อยู ใ กล บ ริ เ วณเส น ศู น ย สู ต รและเป น
เรียกวา การครอสซิงโอเวอร (crossing over) ทําใหสิ่งมีชีวิตที่เกิดมามีลักษณะคลายกับพอแม แตไมเหมือนกัน ประเทศที่อยูใกลกับมหาสมุทรแปซิฟกและ
ทุกประการ ดังภาพ ทะเลอันดามัน จึงทําใหมีความหลากหลาย
ของระบบนิ เ วศสู ง และประเทศไทยมี
สภาพแวดลอมที่เหมาะสมตอการแพรพันธุ
และการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต ดังนั้น
ประเทศไทยจึ ง มี ค วามหลากหลายทาง
ชีวภาพมากกวาประเทศอียปิ ตซงึ่ เปนประเทศ
ที่ มี อ ากาศร อ นในตอนกลางวั น และมี
ภาพที่ 2.48 ความหลากหลายทางพันธุกรรมของสุนัข
ที่มา : คลังภาพ อจท.
อากาศหนาวในตอนกลางคื น พื้ น ที่
สวนมากเปนทะเลทราย จึงไมเหมาะแกการ
นอกจากการสืบพันธุแบบอาศัยเพศแลว ปจจัยภายนอก 1 เชน สารเคมี สภาพแวดลอม อาหาร ยังเปนสาเหตุ เจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต)
ทําใหยีนหรือหนวยพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตเกิดการกลายพันธุ (mutation)
( แลวถายทอดไปยังรุนลูกหลานตอไปได
HOTS
(คําถามทาทายการคิดขั้นสูง)
จงเปรียบเทียบความหลากหลายทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตระหวาง แนวตอบ H.O.T.S.
สาหรายสีเขียวแกมนํ้าเงินกับสาหรายหางกระรอก
สาหรายหางกระรอกเปนสิ่งมีชีวิตที่สืบพันธุ
แบบอาศัยเพศ จึงมีความหลากหลายทางพันธุกรรม
พันธุกรรม 81 มากกวาสาหรายสีเขียวแกมนํ้าเงินซึ่งเปนสิ่งมีชีวิต
ที่สืบพันธุแบบไมอาศัยเพศ
T89
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
8. ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม กลุ ม ละ 5-6 คน จะเห็นวา ความหลากหลายทางชีวภาพทั้ง 3 ระดับนี้ มีความสัมพันธกัน และไมสามารถแยกออกจากกันได
ดังนั้น หากเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ระดับใดระดับหนึ่ง จะสงผลใหเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับอื่นดวย เชน ถาความ
ทํากิจกรรม สํารวจชนิดพืชภายในโรงเรียน
หลากหลายทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตลดลง จะสงผลใหความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิตลดลงดวย
9. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลที่ไดจาก
การทํากิจกรรม เพื่อใหไดขอสรุปวา ภายใน กิจกรรม
โรงเรียนมีระบบนิเวศหลายระบบนิเวศ เชน สํารวจชนิดของพืชภายในโรงเรียน
สระนํ้า สวนพฤกษศาสตร จึงพบพืชหลาย
ชนิ ด แต ล ะชนิ ด อาจมี ห ลายสายพั น ธุ จุดประสงค ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
- การสังเกต
ซึ่งพืชบางชนิดนํามาใชประกอบอาหาร เชน สํารวจความหลากหลายของพืชภายในโรงเรียน - การตีความหมายขอมูล
และลงขอสรุป
ผักชี ผักกาด นอกจากนี้ พืชบางชนิดสามารถ วัสดุอปุ กรณ จิตวิทยาศาสตร
นํามาทอเปนเครื่องนุงหม เชน ฝาย หรือ 1. สมุดบันทึก
- ความสนใจใฝรู
- ความรับผิดชอบ
ใช ทํ า ยารั ก ษาโรค เช น ว า นหางจระเข 2. อุปกรณเครื่องเขียน - การทํางานรวมกับผูอื่นได
อยางสรางสรรค
หรื อ นํ า ส ว นประกอบของพื ช บางชนิ ด มา วิธปี ฏิบตั ิ
สร า งที่ อ ยู อ าศั ย เช น ใบต น จาก ต น ไผ 1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน แลวรวมกันสํารวจชนิดของพืชภายในโรงเรียน และบันทึกชื่อพืชลงในสมุดบันทึก
ดั ง นั้ น จะเห็ น ว า ความหลากหลายของ โดยใหแตละกลุมเลือกสํารวจในบริเวณที่แตกตางกัน
2. เปรียบเทียบรายชื่อพืชที่กลุมตนเองบันทึกไดกับเพื่อนกลุมอื่น แลวรวมกันเขียนรายชื่อพืชทั้งหมดภายในโรงเรียน เพื่อนํามา
ชนิ ด พื ช มี ค วามสํ า คั ญ ต อ การดํ า รงชี วิ ต อภิปรายถึงความหลากหลายของพืชภายในโรงเรียน
ของมนุษย 3. เลือกพืชจํานวน 2-3 ชนิด แลวนํามาสืบคนขอมูลเกี่ยวกับประโยชนในดานตาง ๆ จากนั้นรวบรวมขอมูลแลวสงตัวแทนออกมา
นําเสนอขอมูลหนาชั้นเรียน
10. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
คําถามทายกิจกรรม
1. จากการสํารวจ ชนิดของพืชที่รวบรวมไดมีกี่ชนิด อะไรบาง
2. พืชที่สํารวจไดมีประโยชนอยางไร
อภิปรายผลกิจกรรม
จากกิจกรรม พบวา ภายในโรงเรียนมีพืชหลากหลายชนิด ซึ่งมีลักษณะและรูปรางที่แตกตางกัน พืชเปนสิ่งมีชีวิตที่มีบทบาท
เปนผูผลิตและมีความสําคัญตอสิ่งมีชีวิตอื่นในระบบนิเวศ เชน มนุษยนําสิ่งมีชีวิตชนิดตาง ๆ มาประกอบอาหาร ใชทํายารักษาโรค
ใชสรางแหลงที่อยูอาศัย ใชทําเครื่องนุงหม ใชทําวัตถุดิบในอุตสาหกรรมตาง ๆ
Science
Focus อาณาจักรพืช
สิ่งมีชีวิตที่อยูในอาณาจักรนี้ คือ พืช ซึ่งแบงออกไดเปน 2 กลุม ดังนี้
1. พืชไมมีทอลําเลียง ไดแก มอส ลิเวอรเวิรต และฮอรนเวิรต
2. พืชมีทอลําเลียง จําแนกออกไดเปน 2 กลุม คือ พืชที่ไมมีเมล็ด เชน เฟน หวายทะนอย หญาถอดปลอง และพืชที่มีเมล็ด
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม ซึ่งจะแบงยอยออกไดอีก 2 กลุม คือ พืชที่มีเมล็ดเปลือย เชน สน แปะกวย และพืชที่มีเปลือกหุมเมล็ด ไดแก พืชมีดอก เชน
สาหรายหางกระรอก ชบา
1. ขึ้นอยูกับผลการสํารวจของนักเรียน
2. ใชเปนอาหาร นําไปสรางแหลงที่อยูอาศัย 82
ใชทําเครื่องนุงหม และทํายารักษาโรค
T90
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่มีกำรใช้ประโยชน์จำกควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพมำกกว่ำสิ่งมีชีวิต 11. ครูอธิบายตอไปวา มนุษยเปนสิ่งมีชีวิตที่ใช
ชนิดอื่น
ประโยชนจากความหลากหลายทางชีวภาพ
มากที่สุด การกระทําของมนุษยก็เปนภัย
คุ ก คามต อ ความหลากหลายทางชี ว ภาพ
เชนกัน ดังนั้น เราจึงควรตระหนักถึงคุณคา
สิง่ มีชวี ติ และสิง่ แวดลอม โดยรวมกันอนุรกั ษ
พันธุสิ่งมีชีวิตไมใหสูญพันธุ ชวยกันปลูกปา
ทดแทน รณรงคไมใหตดั ไมทาํ ลายปา รวมทัง้
ภาพที่ 2.49 ว่ำนหำงจระเข้น�ำมำท�ำเป็นยำสมุนไพร ภาพที่ 2.50 ผักและผลไม้น�ำมำบริโภคเป็นอำหำร ตระหนั ก ถึ ง การกระทํ า ที่ ส ง ผลกระทบต อ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
สิ่ ง แวดล อ ม และควรร ว มมื อ กั น แก ไ ข
ควบคุมไมใหมลพิษหรือสารเคมีปนเปอนสู
สิ่งแวดลอม
พันธุกรรม 83
T91
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
12. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปราย และวิเคราะห 2. แหล่งน�ำ้ เสือ่ มโทรม มีสาเหตุมาจากการท�าประมงอย่างต่อเนือ่ ง การปล่อยน�า้ เสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
ท�าให้สิ่งแวดล้อมปนเปื้อนส่งผลกระทบโดยตรงต่อสัตว์น�้า ปริมาณสัตว์น�้าในแหล่งน�้าลดน้อยลง และเกิดการสะสม
ขอมูลที่ไดจากการสํารวจความหลากหลาย สารพิษในโซ่อาหาร 1
ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศและความสําคัญ 3. กำรรุกรำนของสิง่ มีชวี ติ มีสาเหตุมาจากสิง่ มีชวี ติ ต่างถิน่ อพยพเข้ามาแย่งทีอ่ ยูอ่ าศัยของสิง่ มีชวี ติ ประจ�าถิน่
ของความหลากหลายทางชี ว ภาพ แล ว ท�าให้เกิดภาวะแข่งขันแย่งชิงอาหาร และท�าให้สิ่งมีชีวิตประจ�าถิ่นลดจ�านวนลง โดยบางชนิดถึงขั้นสูญพันธุ์
รวมกันเสนอแนวทางการรักษาสมดุลของ ดังนัน้ เพือ่ เป็นการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพให้ยงั่ ยืน เราจึงควรร่วมกันอนุรกั ษ์พนั ธุพ์ ชื และพันธุส์ ตั ว์
ระบบนิเวศ หรือกิจกรรมที่มีสวนชวยดูแล ทีห่ ายากหรือใกล้สญู พันธุ์ ร่วมกันรณรงค์และต่อต้านการบุกรุกและใช้ประโยชน์จากพืน้ ทีธ่ รรมชาติ จัดกิจกรรมทีช่ ว่ ย
รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งควบคุมและก�าจัดมลพิษไม่ให้ปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม
รั ก ษาความหลากหลายทางชี ว ภาพมา
4 กิจกรรม โดยครูบันทึกกิจกรรมที่นักเรียน
เสนอบนกระดาน
13. ใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 4 กลุม แลว
สงตัวแทนกลุม ออกมาจับสลากเลือกกิจกรรม
ที่ครูเขียนบนกระดาน
Application
Activity
ให้นักเรียนส�ารวจความหลากหลายทางชีวภาพภายในชุมชนของนักเรียน แล้วรวบรวมข้อมูลที่ได้จาก
การส�ารวจมาวิเคราะห์ว่า บริเวณใดมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดและน้อยที่สุด ตามล�าดับ จากนั้น
ให้นักเรียนใช้ความรู้ที่ได้จากการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ มาน�าเสนอแนวทางการรักษาความ
หลากหลายทางชีวภาพภายในชุมชนให้ยั่งยืน
Topic Questions
ค�ำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. ความหลากหลายทางชีวภาพแบ่งออกได้เป็นกี่ระดับ อะไรบ้าง
2. ความหลากหลายทางชีวภาพมีความส�าคัญต่อมนุษย์อย่างไร
3. จงเปรียบเทียบความหลากหลายทางชีวภาพในป่ากับนาข้าว
4. แต่ละพื้นที่บนโลกมีความหลากหลายทางชีวภาพเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร
5. นักเรียนจะช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของป่าได้อย่างไร
84
T92
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
F u n
14. ใหสมาชิกภายในกลุมรวมกันปรึกษากันและ
Science Activity สกัดดีเอ็นเอจากสตรอวเบอรรี
วางแผนทํากิจกรรมนอกเวลาเรียน
15. ใหนักเรียนแตละกลุมทํากิจกรรม และทํา
วัสดุอปุ กรณ แผนพับเสนอแผนการทํากิจกรรมที่มีสวน
1. เกลือ ชวยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพให
2. นํ้ากลั่น ยั่งยืน
3. ถุงซิปล็อก 16. ครูสุมตัวแทนกลุมออกมานําเสนอผลงาน
4. ผาขาวบาง
5. ชอนตักสาร 17. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลการทํา
6. แอลกอฮอล กิจกรรม
7. แกวนํ้า 2 ใบ
8. นํ้ายาลางจาน
ภาพที่ 2.56 ดีเอ็นเอของสตรอวเบอรรี 9. ไมเสียบลูกชิ้น
ที่มา : คลังภาพ อจท. 10. สตรอวเบอรรี 2-3 ผล
วิธที าํ
1. ใสสตรอวเบอรรีลงในถุงซิปล็อก 2-3 ผล แลวเติมนํ้าลงในถุงเล็กนอย ล็อกปากถุง แลวใชนิ้วมือกดสตรอวเบอรรีใหละเอียด
จนกลายเปนของเหลว
2. นําผาขาวบางมากรองแยกกากออกจากของเหลวในขอ 1. แลวนําของเหลวที่กรองไดใสลงในแกวนํ้า
3. เติมนํ้ายาลางจาน เกลือ และนํ้ากลั่นลงในแกวนํ้าในขอ 2. แลวคนใหเขากัน โดยพยายามอยาใหเกิดฟอง
4. รินแอลกอฮอลลงในแกวนํ้าในขอ 3. แลวนําไมเสียบลูกชิ้นพันเสนใยดีเอ็นเอที่สกัดได
หลักการทางวิทยาศาสตร
ดีเอ็นเอเปนสารพันธุกรรมที่พบในสิ่งมีชีวิต โดยดีเอ็นเอมีลักษณะเปนสายยาว บางสวนของสายดีเอ็นเอ คือ ยีนที่ควบคุม
ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ดังนั้น สิ่งมีชีวิตจึงมีกลไกการเก็บสารพันธุกรรมที่มีลักษณะเปนสายยาวนี้ดวยการขดตัว
เปนโครโมโซม แลวถายทอดไปยังรุนลูกหลานได
พันธุกรรม 85
T93
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
18. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน Science in Real Life
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง การเจาะนํ้าครํ่าในหญิงตั้งครรภ
ความหลากหลายทางชีวภาพ
19. ให นั ก เรี ย นตรวจสอบความเข า ใจ โดย การเจาะนํา้ ครํา่ (amniocentesis) คือ การตรวจหาความ
ตอบคําถาม Topic Questions ลงในสมุด ผิดปกติของโครโมโซมของทารกในครรภกอนคลอด เพื่อให
ประจําตัวนักเรียน คูสามีภรรยามีสวนรวมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการตั้งครรภ
ซึ่งความผิดปกติของโครโมโซมมีทั้งจํานวน รูปราง และ
ยีนบนโครโมโซม โดยที่พบมากที่สุด คือ กลุมอาการดาวน
ซึง่ เปนความผิดปกติทเี่ กิดจากโครโมโซมรางกายคูท ี่ 21 เกินมา
1 แทง ทําใหเด็กที่เกิดมามีรูปรางหนาตาผิดปกติ สติปญญา
ไมสมประกอบ 1
ภาพที่ 2.59 การอัลตราซาวนดทารกในครรภ
โดยทัว่ ไปแพทยจะเจาะนํา้ ครํา่ ก็ตอ เมือ่ มารดาทีต่ งั้ ครรภ ที่มา : คลังภาพ อจท.
มีอายุ 35 ปขึ้นไป หรืออัลตราซาวนดแลวพบวาทารกมี 2
ความผิดปกติ หรือบิดามารดาเปนคูเสี่ยงที่จะใหกําเนิดทารกเปนโรคธาลัสซีเมียอยางรุนแรง การเจาะนํ้าครํ่า
จะทําในชวงเวลาที่มีปริมาณนํ้าครํ่ามากเพียงพอ คือ ประมาณอายุครรภที่ 17-18 สัปดาห บางกรณีอาจทําใน
อายุครรภมากกวานี้
86
B b b b
Bb Bb bb bb
อัตราสวนหนูตะเภาขนสีดํา : ขนสีขาว คือ 50 : 50
ดังนั้น ตอบขอ 4.)
T94
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
Summary 20. ใหนักเรียนสรุปความรูที่ไดจากการศึกษา
พันธุกรรม หนวยการเรียนรูที่ 2 เปนผังมโนทัศน เรื่อง
พันธุกรรม แลวนํามาสงครูผูสอน
â¤ÃâÁâ«Á ´ÕàÍç¹àÍ áÅÐ ÂÕ¹ 21. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบทดสอบหลั ง เรี ย น
หนวยการเรียนรูที่ 2 พันธุกรรม
´ÕàÍç¹àÍ ÂÕ¹ ËÃ×Í Ë¹‹Ç¾ѹ¸Ø¡ÃÃÁ
໚¹âÁàÅ¡ØÅ·ÕÁè ÅÕ ¡Ñ ɳÐ໚¹à¡ÅÕÂǤً ·íÒ˹ŒÒ·Õàè ¡çº¢ŒÍÁÙÅ ª‹Ç§¤ÇÒÁÂÒÇ˹Ö觢ͧÊÒ´ÕàÍç¹àÍ·Õè·íÒ˹ŒÒ·Õè¡íÒ˹´ ขยายความเข้าใจ
·Ò§¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ Åѡɳзҧ¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
22. ใหนกั เรียนทํากิจกรรม Application Activity
โดยใหนักเรียนสํารวจความหลากหลายทาง
ชีวภาพในชุมชนของนักเรียน แลวรวบรวม
¹ÔÇà¤ÅÕÂÊ ขอมูลมาวิเคราะหวา บริเวณใดรักษาสมดุล
â¤ÃâÁâ«Á
ÊÔè § ÁÕ ªÕ ÇÔ µ ª¹Ô ´ à´Õ Â Ç¡Ñ ¹ ¨ÐÁÕ ¨í Ò ¹Ç¹ ทางระบบนิ เ วศได ดี ที่ สุ ด พร อ มนํ า เสนอ
â¤ÃâÁâ«Á෋ҡѹ ʋǹÊÔè§ÁÕªÕÇÔµµ‹Ò§ª¹Ô´ à«ÅÅ แนวทางการดูแลรักษาความหลากหลายทาง
ÍÒ¨ÁÕ ¨í Ò ¹Ç¹â¤ÃâÁâ«Áà·‹ Ò ¡Ñ ¹ ËÃ× Í ชีวภาพภายในชุมชนใหยั่งยืน
äÁ‹à·‹Ò¡Ñ¹
â¤ÃâÁâ«Á ´ÕàÍç¹àÍ
¡Òö‹Ò·ʹÅѡɳзҧ ¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ
- ºÔ´ÒáË‹§ÇԪҾѹ¸ØÈÒʵà ¤×Í à¡Ã¡Íà âÂÎѹ¹ àÁ¹à´Å
- àÁ¹à´ÅÈÖ¡ÉҾѹ¸ØÈÒʵÃâ´Â·´Åͧ¼ÊÁ¶ÑÇè ÅѹàµÒ¾Ñ¹¸Øá ·Œ áŌǾԨÒóÒÅѡɳÐà´ÕÂÇ â´ÂáÍÅÅÕÅà´‹¹¢‹ÁáÍÅÅÕÅ´ŒÍÂ
Í‹ҧÊÁºÙó »ÃСͺ¡Ñº¹Ñ¡ÇÔ·ÂÒÈÒʵÃËÅÒ·‹Ò¹¹íÒä»ÈÖ¡ÉÒµ‹Í¨¹ä´Œ¢ŒÍÊÃØ» ´Ñ§ÀÒ¾
¼ÊÁ¢ŒÒÁµŒ¹ P ¤×Í áÍÅÅÕÅà´‹¹ ¤Çº¤ØÁ
PP pp Åѡɳд͡ÊÕÁÇ‹ §
p ¤×Í áÍÅÅÕÅ´ŒÍ ¤Çº¤ØÁ
´Í¡ÊÕÁ‹Ç§¾Ñ¹¸Øá·Œ ´Í¡ÊÕ¢ÒǾѹ¸Øá·Œ
Åѡɳд͡ÊÕ¢ÒÇ
¼ÊÁÀÒÂã¹µŒ¹à´ÕÂǡѹ
Pp ÅѡɳÐà´‹¹
Å١Ëع·Õè 1 (F1)
´Í¡ÊÕÁ‹Ç§¾Ñ¹¸Ø·Ò§
ÅѡɳдŒÍÂ
Å١Ëع·Õè 2 (F2) PP Pp pP pp
ÍѵÃÒʋǹ¨Õâ¹ä·»Š PP : Pp : pp ¤×Í 1 : 2 : 1
ÍѵÃÒʋǹ¿‚â¹ä·»Š¢Í§´Í¡ÊÕÁ‹Ç§ : ´Í¡ÊÕ¢ÒÇ 3 : 1
พันธุกรรม 87
T95
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป เรื่ อ ง ความ
หลากหลายทางชี ว ภาพ ให ไ ด ข อ สรุ ป ว า ¡ÒÃẋ§à«ÅÅ ¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
ความหลากหลายทางชีวภาพ หมายถึง การมี
สิ่งมีชีวิตหลายชนิดอยูในระบบนิเวศ สามารถ
แบงออกเปน 3 ระดับ คือ ความหลากหลาย
¨íҹǹâ¤ÃâÁâ«Á
46 á·‹§
¡Òà ẋ§à«ÅÅ
ของระบบนิเวศ ความหลากหลายของชนิด ẺäÁâ·«ÔÊ [ mitosis ]
สิง่ มีชวี ติ และความหลากหลายทางพันธุกรรม - à¾×èÍà¾ÔèÁ¨íҹǹà«ÅÅËҧ¡ÒÂ
- ¨íҹǹâ¤ÃâÁâ«Á෋ҡѺà«ÅŵÑ駵Œ¹
จากนั้นใหนักเรียนสรุปเปนผังมโนทัศน เรื่อง - ä´Œà«ÅÅÅÙ¡¨íҹǹ 2 à«ÅÅ
¡ÒÃẋ§à«ÅÅ ¡ÒÃẋ§à«ÅÅ
ความหลากหลายทางชี ว ภาพ ลงในสมุ ด
ประจําตัวนักเรียน พรอมนําเสนอในรูปแบบ
ẺäÁâÍ«ÔÊ áººäÁâ·«ÔÊ áººäÁâÍ«ÔÊ [ meiosis ]
- à¾×èÍÊÌҧà«ÅÅÊ׺¾Ñ¹¸Ø
+ =
»¯Ôʹ¸Ô
ที่นาสนใจ - à¡Ô´¡ÒÃáÅ¡à»ÅÕ蹪Ôé¹Ê‹Ç¹ÂÕ¹ ·íÒãËŒà¡Ô´
2. ให นั ก เรี ย นสรุ ป ความรู ห ลั ง เรี ย นเป น ผั ง ¤ÇÒÁËÅÒ¡ËÅÒ¢ͧÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
มโนทัศน เรื่อง พันธุกรรม ลงในกระดาษ A4 à«ÅÅÍÊØ¨Ô à«ÅÅ䢋 ¨íҹǹ - ¨íҹǹâ¤ÃâÁâ«ÁŴŧ໚¹¤ÃÖè§Ë¹Öè§
¨íҹǹâ¤ÃâÁâ«Á ¨íҹǹâ¤ÃâÁâ«Á â¤ÃâÁâ«Á ¢Í§à«ÅŵÑ駵Œ¹
พรอมนําเสนอในรูปแบบที่นาสนใจ - ä´Œà«ÅÅÅÙ¡¨íҹǹ 4 à«ÅÅ
23 á·‹§ 23 á·‹§ 46 á·‹§
¡ÅØ‹ÁÍÒ¡ÒÃ
1 2 3 4 5 6 àÍç´àÇÔô
¡ÅØ‹ÁÍÒ¡ÒÃ 7 8 9 10 11 12
¾Ò·ÑÇ
13 14 15 16 17 18 ¡ÅØ‹ÁÍÒ¡ÒÃ
ËÃ×Í ´ÑºàºÔÅÇÒÂ
19 20 21 22 XX XY
¡ÅØ‹ÁÍÒ¡ÒÃ
¡ÅØ‹ÁÍÒ¡Òà ¡ÅØ‹ÁÍÒ¡Òà ä¤Å¹à¿ÅàµÍÃ
¡ÅØ‹ÁÍÒ¡ÒÃ
´Òǹ ·ÃÔ»à»ÅàÍ¡« à·Ôùà¹ÍÃ
88
T96
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
¡ÒôѴá»Ã·Ò§ ¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ 1. ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน หนวยการเรียนรู
ã¹Í´Õµ¡ÒÅ ที่ 2 พันธุกรรม
¤Œ¹¾ºËÅÑ¡°Ò¹·Õ躋§ºÍ¡Ç‹Ò Á¹ØÉÂÁÕ¡Òà ¾.È. 2516 2. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
¤Ñ´àÅ×Í¡¾Ñ¹¸Ø¾×ªáÅоѹ¸ØÊѵÇ
ÁÕ¡ÒþѲ¹Ò¾Ñ¹¸ØÇÔÈÇ¡ÃÃÁ¨¹¡ÃзÑè§ÊÌҧẤ·ÕàÃÕ และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรือ่ ง ความหลากหลาย
E. coli ·ÕèáÊ´§ÂÕ¹¢Í§áº¤·ÕàÃÕ Salmonella
typhimurium ÍÍ¡ÁÒä´Œ
ทางชีวภาพ
¾.È. 2517
3. ตรวจการตอบคําถาม Topic Questions และ
ÊÌҧ˹ٴѴá»Ã¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ䴌໚¹¤ÃÑé§áá ¾.È. 2518
Unit Questions จากหนังสือเรียนรายวิชา
ÁÕ ¡ ÒûÃÐªØ Á à¡Õè Â Ç¡Ñ º ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑ Â ¢Í§ÊÔè § ÁÕ ªÕ ÇÔ µ
¾.È. 2523 ´Ñ´á»Ã¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ·Õè»ÃÐà·ÈÊËÃÑ°ÍàÁÃÔ¡Ò พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
ÈÒÅ͹ØÁѵÔãËŒ¼ÅÔµÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ´Ñ´á»Ã¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ หน ว ยการเรี ย นรู ที่ 2 พั น ธุ ก รรม ในสมุ ด
¾.È. 2525 ประจําตัวนักเรียน
¾.È. 2535 ͧ¤¡Ã FDA ÂÍÁÃѺ¡ÒüÅÔµ 4. ตรวจผังมโนทัศน เรื่อง ความหลากหลายทาง
ÍÒËÒà GMOs ª¹Ô´áá ¤×Í ÁÐà¢×Íà·È ÎÍÃâÁ¹ÍÔ¹«ÙÅÔ¹¨Ò¡áº¤·ÕàÃÕ E. coli
´Ñ´á»Ã¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ ชีวภาพ ในสมุดประจําตัวนักเรียน
¾.È. 2538 5. ตรวจผังมโนทัศน เรื่อง พันธุกรรม
¾.È. 2539 ÁÕ¡ÒÃÊÌҧ¾×ª´Ñ´á»Ã¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ·Õ赌ҹ·Ò¹
ÁÕ¡ÒÃÊÌҧ¾×ª´Ñ´á»Ã¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ·Õ赌ҹ·Ò¹
6. ตรวจแผนพับทีน่ าํ เสนอกิจกรรมทีม่ สี ว นในการ
áÁŧÈѵÃپת䴌
ÊÒÃà¤ÁÕ¡íҨѴÇѪ¾×ªä´Œ ชวยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ
¾.È. 2552
¾.È. 2543 7. ตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม สํารวจพืช
ÁÕ¡ÒþѲ¹ÒÊѵǴѴá»Ã¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁãËŒ ÁÕ¡ÒüÅÔµ¾Ñ¹¸Ø¢ŒÒÇÊշͧ à¾×èÍá¡Œ»˜ÞËÒ ภายในโรงเรียน
âä¢Ò´á¤Å¹ÇÔµÒÁÔ¹àÍ㹺ҧ¾×é¹·Õè
ÊÒÁÒö¼ÅÔµÇѤ«Õ¹»‡Í§¡Ñ¹âä 8. สั ง เกตพฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และ
¨Ò¡¹íéÒ¹Áá¾Ð䴌໚¹¤ÃÑé§áá
พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
¤ÇÒÁËÅÒ¡ËÅÒ ·Ò§ªÕÇÀÒ¾ 9. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต
ความมีวนิ ยั ใฝเรียนรู และมุง มัน่ ในการทํางาน
¤ÇÒÁËÅÒ¡ËÅÒ·ҧªÕÇÀÒ¾ÁÕ 3 ÃдѺ ´Ñ§¹Õé
พันธุกรรม 89
มีสวนชวยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศอยางไร
ระดับคุณภาพ
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่กาหนด
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ความคิดสร้างสรรค์
4 ความเป็นระเบียบ
รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............../................./................
เกณฑ์ประเมินแผนผังมโนทัศน์
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. ผลงานตรงกับ ผล งา น สอดค ล้ องกั บ ผ ล ง า น ส อด ค ล้ อ งกั บ ผลงานสอดคล้ อ งกั บ ผลงานไม่ ส อดคล้ อ ง
จุดประสงค์ที่ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ บ า ง กับจุดประสงค์
กาหนด ประเด็น
2. ผลงานมีความ เนื้ อ หาสาระของผลงาน เนื้ อ หาสาระของผลงาน เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ข อ ง เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ข อ ง
ถูกต้องของ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ผลงานถูกต้องเป็นบาง ผลงานไม่ถูกต้องเป็น
เนื้อหา ประเด็น ส่วนใหญ่
3. ผลงานมีความคิด ผ ล ง า น แ ส ด ง อ อ ก ถึ ง ผลงานมี แ นวคิ ด แปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผ ล ง า น ไ ม่ แ ส ด ง
สร้างสรรค์ ค ว า ม คิ ด ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ใหม่ แ ต่ ยั ง ไม่ เ ป็ น ระบบ แ ต่ ยั ง ไ ม่ มี แ น ว คิ ด แนวคิดใหม่
แปลกใหม่และเป็นระบบ แปลกใหม่
4. ผลงานมีความ ผ ล ง า น มี ค ว า ม เ ป็ น ผลงานส่ ว นใหญ่ มี ค วาม ผลงานมี ค วามเป็ น ผลงานส่ ว นใหญ่ ไ ม่
เป็น ระเบียบ ระเบี ย บแสดงออกถึ ง เ ป็ น ร ะ เ บี ย บ แ ต่ ยั ง มี ร ะ เ บี ย บ แ ต่ มี เป็นระเบียบและมีข้อ
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย ข้อบกพร่องบางส่วน บกพร่องมาก
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 7 ปรับปรุง
T97
นํา สอน สรุป ประเมิน
1. จ�ำนวนโครโมโซมของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับขนำดของสิ่งมีชีวิต 1.
4. ในเซลล์ร่ำงกำยยีนจะอยู่เป็นคู่บนโครโมโซม และแยกออกจำกกันเมื่ออยู่ใน
2.
เซลล์สืบพันธุ์
5. กำรทดลองของเมนเดล เมื่อพิจำรณำสีกลีบดอกของถั่วลันเตำที่แอลลีลเด่น
ุด
สม
ข่มแอลลีลด้อยอย่ำงสมบูรณ์ จะได้อัตรำส่วนของฟีโนไทป์ของดอกสีม่วง : 2.
ใน
ลง
ทึ ก
ดอกสีขำว เป็น 1 : 3
บั น
6. กำรแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสท�ำให้สิ่งมีชีวิตมีควำมหลำกหลำยทำงพันธุกรรม 3.
7. กลุ่มอำกำรพำทัวเกิดจำกควำมผิดปกติบนโครโมโซมเพศ 4.
8. ภำวะตำบอดสีเกิดจำกจ�ำนวนโครโมโซมร่ำงกำยเกินมำ 1 แท่ง 4.
9. มนุษย์ใช้ประโยชน์จำกสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมในกำรผลิตวัคซีน 5.
90
A A A a
AA Aa AA Aa
T98
นํา สอน สรุป ประเมิน
9. เพื่อปองกันการผสมพันธุระหวางเกสรเพศผูกับเกสรเพศเมียภายในดอกเดียวกัน
10. 10.1 ตนถั่วลันเตาจะมีจีโนไทปแบบ Tt และมีฟโนไทปเปนตนสูง
10.2 T หรือ t
T99
นํา สอน สรุป ประเมิน
92
A a a a
Aa aa Aa aa
รุนลูกจะมีอัตราสวนจีโนไทป Aa : aa คือ 1 : 1
รุนลูกจะมีอัตราสวนฟโนไทปของหนังตาสองชั้น : หนังตาชั้นเดียว คือ 1 : 1
T100
นํา สอน สรุป ประเมิน
T101
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบก่อนเรียน 1. ระบุสมบัติทางกายภาพของ 5Es - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
พอลิเมอร์ - หนังสือเรียนรายวิชา วัสดุประเภทพอลิเมอร์ได้ (K) Instructional ก่อนเรียน - ทักษะการทดลอง - ใฝ่เรียนรู้
พื้นฐานวิทยาศาสตร์ 2. เลือกใช้วสั ดุประเภทพอลิเมอร์ Model - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการ - มุ่งมั่นใน
4 และเทคโนโลยี ม.3
เล่ม 1
ไปใช้ประโยชน์ได้อย่าง
เหมาะสม (P)
- ตรวจผังมโนทัศน์
เรื่อง พอลิเมอร์
ตีความหมายข้อมูล
และลงข้อสรุป
การท�ำงาน
ชั่วโมง - แบบฝึกหัดรายวิชา 3. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ - ประเมินการออกแบบ - ทักษะการก�ำหนด
พื้นฐานวิทยาศาสตร์ วัสดุประเภทพอลิเมอร์ (A) อุปกรณ์ เพื่ออ�ำนวย และควบคุมตัวแปร
และเทคโนโลยี ม.3 4. มีความใฝ่เรียนรู้และมุ่งมั่น ความสะดวกในชีวิต
เล่ม 1 ในการท�ำงาน (A) ประจ�ำวัน
- อุปกรณ์การทดลอง - การปฏิบัติกิจกรรม
- QR Code - สังเกตพฤติกรรม
- บัตรภาพ การท�ำงานกลุ่ม
- PowerPoint - สังเกตความมีวินัย
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
Twig ในการท�ำงาน
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. ระบุสมบัติทางกายภาพของ บรรยาย - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
เซรามิก พื้นฐานวิทยาศาสตร์ เซรามิกได้ (K) (Lecture - ตรวจใบงาน เรื่อง - ทักษะการ - ใฝ่เรียนรู้
และเทคโนโลยี ม.3 2. เลือกใช้วัสดุประเภทเซรามิก Method) เซรามิก ตีความหมายข้อมูล - มุ่งมั่นใน
2 เล่ม 1
- แบบฝึกหัดรายวิชา
ไปใช้ประโยชน์ได้อย่าง
เหมาะสม (P)
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
และลงข้อสรุป การท�ำงาน
ชั่วโมง พื้นฐานวิทยาศาสตร์ 3. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ - สังเกตความมีวินัย
และเทคโนโลยี ม.3 เซรามิก (A) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
เล่ม 1 4. มีความใฝ่เรียนรู้และมุ่งมั่น ในการท�ำงาน
- ใบงาน ในการท�ำงาน (A)
- PowerPoint
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น
Twig
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. ระบุสมบัติทางกายภาพของ บรรยาย - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการ - มีวินัย
วัสดุผสม พื้นฐานวิทยาศาสตร์ วัสดุผสมได้ (K) (Lecture - ตรวจผังมโนทัศน์ ตีความหมายข้อมูล - ใฝ่เรียนรู้
และเทคโนโลยี ม.3 2. เลือกวัสดุผสมไปใช้ประโยชน์ Method) เรื่อง วัสดุผสม และลงข้อสรุป - มุ่งมัน่ ใน
2 เล่ม 1
- แบบฝึกหัดรายวิชา
ได้อย่างเหมาะสม (P)
3. ตระหนักถึงคุณค่าของการ
- ประเมินการน�ำเสนอ
ผลงาน
การท�ำงาน
ชั่วโมง พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ใช้วัสดุผสม (A) - สังเกตพฤติกรรม
และเทคโนโลยี ม.3 4. มีความใฝ่เรียนรู้และมุ่งมั่น การท�ำงานกลุ่ม
เล่ม 1 ในการท�ำงาน (A) - สังเกตความมีวินัย
- PowerPoint ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ในการท�ำงาน
Twig
แผนฯ ที่ 4 - แบบทดสอบหลังเรียน 1. อธิบายสมบัติของวัสดุ 5Es - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการ - มีวินัย
ผลกระทบจาก - หนังสือเรียนรายวิชา ประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก Instructional หลังเรียน ตีความหมายข้อมูล - ใฝ่เรียนรู้
การใช้วัสดุ พื้นฐานวิทยาศาสตร์ และวัสดุผสมได้ (K) Model - ตรวจแบบฝึกหัด และลงข้อสรุป - มุ่งมั่นใน
ประเภทพอลิเมอร์ และเทคโนโลยี ม.3 2. ใช้วัสดุประเภทพอลิเมอร์ - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง การท�ำงาน
เซรามิก และ เล่ม 1 เซรามิก และวัสดุผสมได้ วัสดุในชีวิตประจ�ำวัน
วัสดุผสม - แบบฝึกหัดรายวิชา อย่างคุ้มค่า (P) - ประเมินการออกแบบ
พื้นฐานวิทยาศาสตร์ 3. ตระหนักถึงคุณค่าของการ วัสดุในชีวิตประจ�ำวัน
3 และเทคโนโลยี ม.3
เล่ม 1
ใช้วัสดุประเภทพอลิเมอร์
เซรามิก และวัสดุผสม (A)
- ตรวจแบบฝึกหัดจาก
Unit Questions
ชั่วโมง - บัตรภาพ 4. มีความใฝ่เรียนรู้และมุ่งมั่น - สังเกตพฤติกรรม
- QR Code ในการท�ำงาน (A) การท�ำงานกลุ่ม
- PowerPoint - สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน
T102
Chapter Concept Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3
พอลิเมอร
เปนสารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ ซึ่งเกิดจากโมเลกุลขนาดเล็ก เรียกวา มอนอเมอร มาสรางพันธะโคเวเลนตตอกัน
• ประเภทของพอลิเมอร พิจารณาจากเกณฑในการจําแนก ดังนี้
- ลักษณะการเกิด แบงออกเปน 2 ชนิด ไดแก พอลิเมอรธรรมชาติและพอลิเมอรสังเคราะห
- ชนิดของมอนอเมอร แบงออกเปน 2 ชนิด ดังนี้
โฮโมพอลิเมอร โคพอลิเมอร
เซรามิก เซรามิกดั้งเดิม
ผลิตภัณฑที่ทําจากวัตถุดิบในธรรมชาติ เชน ดิน หิน ทราย นํามาผสมแลวนําไปเผา
• วัตถุดิบที่ใชในอุตสาหกรรมเซรามิก ไดแก วัตถุดิบหลัก (ดิน เฟลดสปาร และควอรตซ)
และวัตถุดิบเสริม (แรและสารประกอบออกไซด)
• การขึ้นรูปผลิตภัณฑ ทําได 2 วิธี ไดแก การเทแบบและการใชแปนหมุน
• การเผาและเคลือบ มี 2 ขั้นตอน คือ การเผาดิบเพื่อใหผลิตภัณฑคงรูป ไมแตกชํารุด
และการเผาเคลือบ โดยการนํามาเคลือบนํ้ายาแลวนําไปใหความรอน
• การใชประโยชนวัสดุประเภทเซรามิก เชน ผลิตภัณฑจากแกว ปูนซีเมนต
เซรามิกสมัยใหม
วัสดุผสม
วัสดุที่ประกอบดวยวัสดุ 2 ประเภทขึ้นไป โดยองคประกอบนั้นไมละลายเขาดวยกัน ทําใหมีสมบัติเฉพาะตามที่ตองการ
• สมบัติทางกายภาพของวัสดุผสม ประกอบดวยวัสดุ 2 ประเภท ดังภาพ • การใชประโยชนของวัสดุผสม
- วัสดุผสมจากธรรมชาติ
เชน กระดูก ไม
- วัสดุผสมจากการสังเคราะห
วัสดุพื้นหรือเมทริกซ วัสดุเสริมหรือ เชน คอนกรีต ไฟเบอรกลาสส
วัสดุผสม
ตัวเสริมแรง
ผลกระทบจากการใชวัสดุประเภทพอลิเมอร เซรามิกและวัสดุผสม
• ผลกระทบจากการใชวัสดุประเภทพอลิเมอร เซรามิกและวัสดุผสม
วัสดุประเภทพอลิเมอรสังเคราะหยอยสลายยาก จึงเกิดการสะสมขยะในสิ่งแวดลอมจํานวนมาก
หากนํามาเผาจะกอใหเกิดมลพิษทางดิน นํ้า อากาศ ทําใหสภาพแวดลอมถูกทําลาย และสงผล
กระทบตอรางกายของสิ่งมีชีวิต ดังนั้น เราจึงควรหันมาใชผลิตภัณฑจากธรรมชาติ ชวยกัน
คัดแยกขยะกอนทิ้ง และทิ้งขยะลงถังใหถูกประเภท เพื่อลดปริมาณขยะ ใชถุงผาแทนถุงพลาสติก
T103
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
วัสดุผสม
เกิดจากวัสดุ 2 ชนิดมารวมกัน
โดยมีองคประกอบทางเคมี
แตกตางกัน และ
ไมละลายรวมเปน
เนื้อเดียวกัน
ตัวชี้วัด
ว 2.1 ม.3/1 ระบุสมบัตทิ างกายภาพและการใชประโยชนวสั ดุประเภทพอลิเมอร เซรามิก และวัสดุผสม โดยใชหลักฐานเชิงประจักษ
และสารสนเทศ
ว 2.1 ม.3/2 ตระหนักถึงคุณคาของการใชวัสดุประเภทพอลิเมอร เซรามิก และวัสดุผสม โดยเสนอแนะแนวทางการใชวัสดุ
แนวตอบ Big Question อยางประหยัดและคุมคา
ถุงพลาสติกผลิตมาจากพอลิเมอรสังเคราะห
แกวนํ้าผลิตมาจากเซรามิก
เกร็ดแนะครู
การเรี ย นการสอน เรื่ อ ง วั ส ดุ ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น นั ก เรี ย นจะได ศึ ก ษา
เกี่ยวกับวัสดุประเภทพอลิเมอร เซรามิก และวัสดุผสม ซึ่งเปนวัสดุที่ใชมาก
ในชีวิตประจําวัน ดังนั้น ครูควรจัดการเรียนการสอนดวยการนําตัวอยาง
ผลิตภัณฑหรือวัสดุตัวอยางมาใหนักเรียนสังเกตสมบัติทางกายภาพ แลวให
นักเรียนรวมกันอภิปรายถึงขอดีและขอเสีย รวมทั้งตระหนักถึงคุณคาและ
ผลกระทบจากการใชวัสดุประเภทพอลิเมอร เซรามิกและวัสดุผสม
T104
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Check for Understanding 5. ใหนักเรียนตรวจสอบความรูของตนเองกอน
พิจารณาขอความตามความเขาใจของนักเรียนวาถูกหรือผิด แลวบันทึกลงในสมุดบันทึก เข า สู ก ารเรี ย นการสอนจากกรอบ Check
ถูก/ผิด for Understanding ในหนังสือเรียนรายวิชา
1. พอลิเมอรเปนสารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
2. เมื่อพิจารณาตามลักษณะการเกิด สามารถแบงพอลิเมอรออกได 2 ประเภท คือ โฮโมพอลิเมอร หนวยการเรียนรูที่ 3 เรื่อง พอลิเมอร
และโคพอลิเมอร
มุ ด
6. ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5 คน ทํากิจกรรม
นส
งใ
3. พลาสติก คือ ผลิตภัณฑที่ไดจากการสังเคราะหพอลิเมอร
ล
Engaging Activity โดยใหนักเรียนแตละกลุม
ทึ ก
บั น
4. พลาสติกที่สามารถนําไปหลอมเหลวแลวนํากลับมาใชใหมได เรียกวา เทอรมอพลาสติก ร ว มกั น ศึ ก ษาขั้ น ตอนการทํ า กิ จ กรรมจาก
5. ยางธรรมชาตินิยมนํามาทํายางรถยนต หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและ
เทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 3
เรื่อง พอลิเมอร
E ngaging ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน แลวทํากิจกรรมตอไปนี้
7. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลงานทีไ่ ดจาก
การทํากิจกรรม Engaging Activity
Activity
ครูแจกลวดเสียบกระดาษสีตา ง ๆ ใหแตละกลุม ดังนี้ สีแดง สีมว ง สีเหลือง และสีเขียว สีละ 5 ตัว แลวกําหนดโจทย
ใหนักเรียน ดังนี้
1 นําลวดเสียบกระดาษสีแดงมาตอเรียงกัน
2 นําลวดเสียบกระดาษสีมวงและสีเหลืองมาตอเรียงสลับกันไป
3 นําลวดเสียบกระดาษสีเขียว สีเหลือง และสีมวงมาตอเรียงสลับกันไป
T105
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนักเรียนตอบคําถาม Key Question Key 1 พอลิเมอร์
2. ใหนักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับความหมาย Question พอลิ เ มอร์ ( polymer ) เป็ น สารที่ มี โ มเลกุ ล ขนาดใหญ่
ประเภทของพอลิ เ มอร จากหนั ง สื อ เรี ย น ในชีวติ ประจ�ำวัน มีมวลโมเลกุลตัง้ แต่ 10,000 ขึน้ ไป ซึง่ เกิดจากสารโมเลกุลเล็กทีเ่ รียกว่1า
รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี สำมำรถพบพอลิเมอร์ได้ มอนอเมอร์ (monomer) มารวมตัวกันด้วยการสร้างพันธะโคเวเลนต์
ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 3 เรือ่ ง พอลิเมอร ในผลิตภัณฑ์อะไรบ้ำง ต่อกัน ซึ่งพอลิเมอร์ส่วนใหญ่ได้จากการสังเคราะห์สารประกอบ
หรือแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน อินเทอรเน็ต ไฮโดรคาร์บอน (สารประกอบอินทรีย์ท่ีมีธาตุคาร์บอนและธาตุ
ไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ) ซึ่งค�าว่า พอลิเมอร์ มาจากรากศัพท์ภาษากรีกว่า Poly แปลว่า จ�านวนมาก
รวบรวมขอมูล แลวสรุปลงในสมุดประจําตัว
และ Meros แปลว่า ส่วนหรือหน่วย
นักเรียน
3. ใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ น หรือแบงกลุม กลุม ละ มอนอเมอร์ พอลิเมอร์
3 คน รวมกันแลกเปลี่ยนขอมูลที่ไดจากการ 2
พอลิเมอไรเซชัน
สืบคน และอภิปรายเพื่อใหเกิดความเขาใจ
การเรียกชื่อของพอลิเมอร์ท�าได้โดยเรียกชื่อหน่วยย่อยหรือมอนอเมอร์ที่เป็นองค์ประกอบของพอลิเมอร์
แล้วเติมค�าว่า พอลิ- น�าหน้าชื่อของมอนอเมอร์นั้น เช่น พอลิเมอร์ที่มีเอทิลีนเป็นมอนอเมอร์ เรียกว่า พอลิเอทิลีน
พอลิเมอร์ที่มีสไตรีนเป็นมอนอเมอร์ เรียกว่า พอลิสไตรีน พอลิเมอร์ที่มีไวนิลคลอไรด์เป็นมอนอเมอร์ เรียกว่า
พอลิไวนิลคลอไรด์
T106
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1.1 ประเภทของพอลิเมอร 4. ครู เ ตรี ย มภาพตั ว อย า งผลิ ต ภั ณ ฑ ป ระเภท
พอลิเมอร มีอยูม ากมายหลายชนิด แตละชนิดจะมีสมบัตแิ ละการเกิดทีแ่ ตกตางกัน ซึง่ สามารถจําแนกประเภท พอลิ เ มอร เช น ยางรถยนต ถุ ง มื อ แพทย
ของพอลิเมอรโดยพิจารณาเกณฑในการจําแนกได ดังนี้
ทอพีวีซี นํ้านม
1. พิจารณาตามลักษณะการเกิด สามารถจําแนกพอลิเมอรออกไดเปน 2 ประเภท ดังนี้ 5. ครูนําภาพผลิตภัณฑตัวอยางมาใหนักเรียน
พอลิเมอรธรรมชาติ (natural polymer) พอลิเมอรสังเคราะห (synthetic polymer) พิจารณาวาเปนผลิตภัณฑพอลิเมอรประเภทใด
• เปนพอลิเมอรที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ • เปนพอลิเมอรที่เกิดขึ้นจากการสังเคราะห 6. ครูสมุ เรียกนักเรียน 2-3 คน โดยครูถามคําถาม
• ตัวอยางเชน โปรตีน ไหม เซลลูโลส แปง • เกิดจากการนํามอนอเมอรมาผานกระบวน นักเรียนตอไปนี้
ยางธรรมชาติ กรดนิวคลีอิก การสังเคราะหพอลิเมอร เรียกวา ปฏิกิริยา • นํา้ นมเปนพอลิเมอรประเภทใด เมือ่ พิจารณา
พอลิเมอไรเซชัน ลักษณะการเกิดเปนเกณฑ
• ตัวอยางเชน พลาสติก ไนลอน
(แนวตอบ พอลิเมอรธรรมชาติ)
ภาพที่ 3.4 ฝายเปนพอลิเมอร ภาพที่ 3.5 เม็ดพลาสติกนําไป • ถุ ง มื อ แพทย เ ป น ผลิ ต ภั ณ ฑ พ อลิ เ มอร
ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สังเคราะหเปนผลิตภัณฑตาง ๆ ประเภทใด เมื่อพิจารณาลักษณะการเกิด
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
เปนเกณฑ
(แนวตอบ พอลิเมอรธรรมชาติ)
2. พิจารณาตามชนิดของมอนอเมอร สามารถจําแนกพอลิเมอรออกไดเปน 2 ประเภท ดังนี้ • ทอ PVC เปนผลิตภัณฑพอลิเมอรประเภทใด
เมื่อพิจารณาลักษณะการเกิดและชนิดของ
โฮโมพอลิเมอร หรือ พอลิเมอรเอกพันธุ โคพอลิเมอร หรือ พอลิเมอรรวม พอลิเมอรเปนเกณฑ ตามลําดับ
(homopolymer) (copolymer)
(แนวตอบ พอลิเมอรสังเคราะห และโฮโม
• เปนพอลิเมอรที่ประกอบดวยมอนอเมอร • เปนพอลิเมอรที่ประกอบดวยมอนอเมอร
ชนิดเดียวกัน ตางชนิดกัน พอลิเมอร ตามลําดับ)
1 2
• ตัวอยางเชน แปง เซลลูโลส ไกลโคเจน • ตัวอยางเชน โปรตีน พอลิเอสเทอร ไนลอน 6,6
พอลิเอทิลีน ยางเอสบีอาร
1. พอลิเมอรและมอนอเมอรแตกตางกัน
อยางไร
2. สารตั้งตนที่ใชในการสังเคราะห
พอลิเมอรไดมาจากอะไร
แนวตอบ คําถาม
1. พอลิเมอรมีขนาดโมเลกุลใหญกวา ซึ่งเกิดจาก
วัสดุในชีวิตประจําวัน 97 มอนอเมอรที่เปนโมเลกุลขนาดเล็กมาตอกัน
2. มอนอเมอร
T107
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
7. ครู ถ ามคํ า ถามเพื่ อ ทบทวนความเข า ใจของ 1.2 สมบัติทางกายภาพของพอลิเมอร
นักเรียน ดังนี้ สมบัตทิ างกายภาพของพอลิเมอรขนึ้ อยูก บั โครงสรางของพอลิเมอร ซึง่ โครงสรางของพอลิเมอรแบงออกเปน
3 แบบ ดังนี้
• พอลิเมอรคืออะไร
( แนวตอบ สารประกอบที่ มี โ มเลกุ ล ขนาด พอลิเมอรแบบเสน (linear polymer)
ใหญและมีมวลโมเลกุลมาก ประกอบดวย • เกิดจากมอนอเมอรสรางพันธะโคเวเลนตตอกันเปนสายยาว
หนวยเล็กๆ ของสารทีเ่ หมือนกันหรือตางกัน โซพอลิเมอรเรียงชิดมากกวาโครงสรางแบบอื่น ๆ
มาเชื่อมตอกันดวยพันธะโคเวเลนต) • มีแรงยึดเหนีย่ วตอกันสูง มีความหนาแนนและจุดหลอมเหลวสูง
มีลักษณะแข็งและเหนียว เชน พอลิไวนิลคลอไรด (PVC)
• หากพิจารณาการเกิดของพอลิเมอร สามารถ
พอลิโพรพิลีน (PP) พอลิสไตรีน (PS) พอลิเอทิลีนชนิด
แบงพอลิเมอรออกไดเปนกี่ชนิด อะไรบาง ความหนาแนนสูง (HDPE)
(แนวตอบ 2 ชนิด ไดแก พอลิเมอรธรรมชาติ
และพอลิเมอรสังเคราะห)
พอลิเมอรแบบกิง่ (branched polymer)
• หากพิจารณามอนอเมอรภายในโครงสราง
• โครงสรางจะมีกงิ่ แยกออกไปจากโซหลัก อาจจะเปนกิง่ สัน้ หรือ
พอลิเมอร สามารถแบงพอลิเมอรออกไดเปน กิ่งยาวก็ได ทําใหโซหลักเรียงตัวอยูหางกัน
กี่ชนิด อะไรบาง • มีความหนาแนนและจุดหลอมเหลวตํ่า สามารถยืดหยุนได
(แนวตอบ 2 ชนิด ไดแก โฮโมพอลิเมอรและ แตความเหนียวตํา่ เมือ่ รอนจะออนตัว แตเมือ่ เย็นลงจะแข็งตัว
โคพอลิเมอร) เชน พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแนนตํ่า (LDPE)
• หากพิ จ ารณาโครงสร า งของพอลิ เ มอร
สามารถแบงพอลิเมอรออกไดเปนกีป่ ระเภท
อะไรบาง
( แนวตอบ 3 ประเภท ได แ ก พอลิ เ มอร
แบบเสน พอลิเมอรแบบกิ่ง และพอลิเมอร
พอลิเมอรแบบรางแห (network polymer)
แบบรางแห)
• เกิดจากการเชือ่ มโยงกันของพอลิเมอรแบบเสนและพอลิเมอร
แบบกิ่งในลักษณะเปนรางแห
• มีจดุ หลอมเหลวสูง มีความแข็ง แตเปราะหักงาย เมือ่ ขึน้ รูปแลว
ไมสามารถหลอมหรือเปลี่ยนแปลงรูปรางได เชน เมลามีน
เบเคอไลต
98
T108
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม
8. ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม กลุ ม ละ 5-6 คน
การตรวจสอบสมบัติทางกายภาพบางประการของพอลิเมอร
ทํากิจกรรม การตรวจสอบสมบัตทิ างกายภาพ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร บางประการของพอลิเมอร ในหนังสือเรียน
จุดประสงค - การสังเกต รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
- การจําแนกประเภท
เพื่อตรวจสอบสมบัติทางกายภาพของพอลิเมอร - การตีความหมายขอมูล ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 3 เรือ่ ง พอลิเมอร
และลงขอสรุป
วัสดุอปุ กรณ จิตวิทยาศาสตร โดยให ส มาชิ ก ภายในกลุ ม แบ ง ภาระและ
1. พอลิเมอรชนิดตาง ๆ 2. นํ้า
- ความสนใจใฝรู
- การทํางานรวมกับผูอื่นได หนาที่รับผิดชอบ
- ถุงใสอาหารชนิดใส 3. บีกเกอร อยางสรางสรรค
- ขวดนํ้าชนิดขุน 4. มีดหรือกรรไกร
- ขวดนํ้าชนิดใส 5. ตะปูหรือเข็มหมุด
- ขวดนมเปรี้ยว
- จานชนิดบาง
วิธปี ฏิบตั ิ
1. ตัดพอลิเมอรแตละชนิดใหมีขนาด 5 cm × 5 cm 2. ทดสอบความแข็งโดยการกดหรือบีบ
5 cm
5 cm
5. ทดสอบความหนาแนน ดังนี้
1) ใสนํ้า 20 cm3 ในบีกเกอร 2) หยอนชิน้ พอลิเมอรแตละชนิดลงในนํา้ สังเกตการจมหรือลอยของพอลิเมอร
นํ้า พอลิเมอร
นํ้า
วัสดุในชีวิตประจําวัน 99
ขอใดเปนสาเหตุที่ทําใหพลาสติกแตละชนิดมีสมบัติตางกัน สมบัติทางกายภาพ
1. มีโครงสรางตางกัน พอลิเมอร การจมหรือลอย
ที่นํามาทดสอบ ความทนตอการ
2. มีมอนอเมอรที่เปนองคประกอบตางกัน ความแข็ง ความยืดหยุน
ขีดขวน
ของพอลิเมอร
3. มีกระบวนการผลิตจากเม็ดพลาสติกที่ตางชนิดกัน ในนํ้า
4. ขอ 1. และ 2. ถูกตอง ถุงใสอาหารชนิดใส ออน ยืดหยุนเล็กนอย เกิดรอย ลอย
(วิเคราะหคําตอบ พอลิเมอรมคี วามแข็งและความยืดหยุน ตางกัน ขวดนํ้าชนิดขุน ออน ไมยืดหยุน เกิดรอย จม
เนื่องจากมีโครงสรางและองคประกอบของมอนอเมอรตางกัน ขวดนํ้าชนิดใส แข็ง ไมยืดหยุน เกิดรอย จม
ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขวดนมเปรี้ยว ออน ไมยืดหยุน เกิดรอย จม
จานชนิดบาง แข็ง ไมยืดหยุน เกิดรอย ลอย
T109
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
9. นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น อภิ ป รายหลั ง ทํ า
ค�าถามท้ายกิจกรรม
กิจกรรม เพื่อใหไดขอสรุปวา พอลิเมอร
1. พอลิเมอร์แต่ละชนิดมีสมบัติแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
แตละชนิดมีสมบัติทางกายภาพที่แตกตาง 2. พอลิเมอร์ใดมีความหนาแน่นมากที่สุด เพราะเหตุใด
กัน บางชนิดยืดหยุน บางชนิดแข็ง บางชนิด
มีความหนาแนนสูง จึงทําใหวัสดุพอลิเมอร
ถูกนํามาใชประโยชนไดหลากหลาย เชน อภิปรายผลกิจกรรม
พลาสติ ก บางชนิ ด ใช ทํ า ท อ นํ้ า บางชนิ ด จากการท�ากิจกรรม พบว่า พอลิเมอร์แต่ละชนิดจะมีความแข็งและความยืดหยุ่นแตกต่างกัน พอลิเมอร์ที่มีเนื้ออ่อนเมื่อขีด
ด้วยตะปูหรือเข็มหมุดจะเป็นรอยง่ายกว่าพอลิเมอร์ที่มีเนื้อแข็ง พอลิเมอร์ที่มีความหนาแน่นมากจะทนต่อการขีดข่วนและมี
ใช ทํ า ที่ หุ ม สายไฟฟ า บางชนิ ด นํ า มาใช
ความแข็งมากกว่าพอลิเมอร์ที่มีความหนาแน่นน้อย การลอยหรือจมของพอลิเมอร์ในน�้า จะบอกให้ทราบถึงความหนาแน่นของ
หออาหาร พอลิเมอร์โดยประมาณ เมื่อท�าการหย่อนพอลิเมอร์ลงในน�้า (น�้ามีความหนาแน่น 1.00 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร) พอลิเมอร์ที่มี
10. ครูถามคําถามทายกิจกรรม ความหนาแน่นน้อยกว่าน�้าจะลอยน�้า ส่วนพอลิเมอร์ที่มีความหนาแน่นมากกว่าน�้าจะจมน�้า ดังตารางที่ 3.1
T110
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1.3 การใชประโยชนวัสดุประเภทพอลิเมอร 11. ครู เ ป ด สื่ อ Youtube (https://www.
พอลิเมอร์แต่ละชนิดมีโครงสร้างทีแ่ ตกต่างกัน จึงมีสมบัตทิ ตี่ า่ งกัน ดังนัน้ พอลิเมอร์สามารถน�าไปใช้ประโยชน์ youtube.com/watch?v=H0-R6im6JCU)
ได้หลายรูปแบบ ดังนี้ 12. ใหนกั เรียนศึกษาสือ่ Youtube และอธิบายวา
1. พลาสติก (plastic) เป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ และมีมวลโมเลกุลมาก พลาสติก เมื่ อ พลาสติ ก โดนความร อ นจะอ อ นตั ว ลง
แต่ละชนิดจะมีสมบัติที่แตกต่างกันไปตามโครงสร้างการเชื่อมต่อของมอนอเมอร์ และลักษณะของมอนอเมอร์ที่เป็น
องค์ประกอบ หากพิจารณาลักษณะของพลาสติกเมือ่ ได้รบั ความร้อน สามารถแบ่งพลาสติกออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
และมีรูปรางที่เปลี่ยนแปลงไป แตเมื่อเย็นลง
จะกลับมาแข็งตัวเชนเดิม เรียกพลาสติก
ประเภทนี้วา เทอรมอพลาสติก
เทอร์มอพลาสติก (thermoplastic)
13. ครูถามนักเรียนวา นักเรียนจะเลือกกลอง
• มีโครงสร้างแบบเส้นและแบบกิ่ง
พลาสติกใสอาหารประเภทใดที่สามารถนํา
• เมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัว และเมื่อเย็นลง
จะแข็งตัว เขาไมโครเวฟเพื่ออุนอาหาร
• น�าไปหลอมเหลว เพื่อน�ากลับมาใช้ใหม่ได้ (แนวตอบ พลาสติกเทอรมอเซต)
ภาพที่ 3.10 ผลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์ประเภทเทอร์มอพลาสติก • ตัวอย่างเช่น เทฟลอน ไนลอน 14. ใหนักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับพลาสติก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
พอลิไวนิลคลอไรด์ พอลิเอทิลีน พอลิโพรพิลีน ประเภทเทอร ม อพลาสติ ก และพลาสติ ก
เทอร ม อเซต บั น ทึ ก ลงในสมุ ด ประจํ า ตั ว
พลาสติกเทอร์มอเซต (thermosetting plastic)
นักเรียน รวบรวมขอมูล แลวนําขอมูลมา
• มีโครงสร้างแบบร่างแห
• เมื่อขึ้นรูปด้วยความร้อนหรือแรงดันแล้ว
วิเคราะหเปรียบเทียบความแตกตาง
ไม่สามารถน�ากลับมาขึ้นรูปใหม่ได้อีก 15. ครู สุ ม ตั ว แทนนั ก เรี ย นเพื่ อ นํ า เสนอข อ มู ล
• ทนความร้อนและความดันได้ดี หนาชั้นเรียน
• หากมีอุณหภูมิสูงมาก จะแตกและไหม้เป็นเถ้า 16. ครูคอยเสริมและเพิม่ เติมขอมูลใหกบั ตัวแทน
• ตัวอย่างเช่น เมลามีน ซิลิโคน พอลิยูรีเทน นักเรียนที่ออกมานําเสนอ
วัสดุในชีวิตประจําวัน 101
T111
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
17. ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา พอลิเมอร พลาสติกถูกนํามาใชผลิตเครือ่ งใชตา ง ๆ ในบาน ไมวา จะเปนเสือ้ ผา ของเลนเด็ก วัสดุกอ สราง ฉนวนกันความรอน
และผลิตภัณฑอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องจากพลาสติกมีสมบัติพิเศษหลายประการ เชน มีความเหนียว ทําให
ตางมีโครงสรางและสมบัติทางกายภาพที่ คงรูปได ทนตอสารเคมี ทนตอความรอน ทนตอความชื้น จึงสามารถปรับใหเหมาะสมกับการใชงานที่แตกตางกัน
แตกตางกัน จึงทําใหพอลิเมอรถูกนํามาใช ไดอยางหลากหลาย
ประโยชนไดแตกตางกัน
18. ให นั ก เรี ย นสื บ ค น ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ การใช พอลิเอทิลีน (polyethylene)
ประโยชนของวัสดุประเภทพอลิเมอร แลว • มอนอเมอร คือ เอทิลีน
สรุปลงในสมุดประจําตัวนักเรียน • มีลักษณะเหนียว ใส ทนตอสารเคมี
นํ้าผานไมได ไมทนความรอน
19. ให นั ก เรี ย นศึ ก ษาข อ มู ล เพิ่ ม เติ ม จาก QR • นําไปใชทําถุงบรรจุของเย็น ถุงขยะ
Code เรื่อง การใชประโยชนของพลาสติก ของเลนเด็ก ดอกไมพลาสติก
พอลิสไตรีน (polystyrene)
• มอนอเมอร คือ สไตรีน
• มีลักษณะแข็ง แตเปราะ ไมทนตอ
ตัวทําละลายอินทรีย ทนตอกรด-เบส
ไมนําไฟฟา ไมทนความรอน
• นําไปใชทําชิ้นสวนของตูเย็น ตลับเทป
กลองใส โฟมบรรจุอาหาร วัสดุลอยนํ้า
ภาพที่ 3.13 โฟมสําหรับบรรจุอาหารผลิตจากพอลิสไตรีน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
พอลิไวนิลคลอไรด (polyvinylchloride)
• มอนอเมอร คือ ไวนิลคลอไรด
• มีลักษณะแข็ง คงรูป ทนตอ
ความชื้น ทนตอสารเคมี
• นําไปใชทําทอพีวีซี กระเบื้องปูพื้น
ฉนวนหุมสายไฟฟา ภาชนะบรรจุสารเคมี
ภาพที่ 3.14 ทอพีวีซีผลิตจากพอลิไวนิลคลอไรด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
102 การใชประโยชนของพอลิเมอร
T112
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
พอลิเตตระฟลูออโรเอทิลีน
(polytetrafluoroethylene) หรือเทฟลอน
20. ครูสุมเรียกนักเรียน 2 คน ออกมานําเสนอ
การใชประโยชนของวัสดุประเภทพอลิเมอร
• มอนอเมอร คือ เตตระฟลูออโรเอทิลีน
• มีลักษณะเหนียว ทนสารเคมี ทนความรอน หนาชั้นเรียน
ผิวลื่น ทนแรงกระแทก 21. ครูแจกบัตรภาพเกีย่ วกับวัสดุในชีวติ ประจําวัน
• นําไปใชเคลือบภาชนะดานใน 1ไมใหอาหาร ตางๆ ใหกับนักเรียนแตละคน และครูถาม
ติดภาชนะ ฉนวนไฟฟา ปะเก็น แหวนลูกสูบ ภาพที่ 3.15 เทฟลอนเคลือบกระทะผลิต
จากพอลิเตตระฟลูออโรเอทิลีน นักเรียนวา วัสดุในบัตรภาพเปนวัสดุชนิดใด
ลูกปนในเครื่องยนต
ที่มา : คลังภาพ อจท. มีมอนอเมอรชนิดใด และมีสมบัตเิ ปนอยางไร
22. ครูและนักเรียนรวมกันระบุชนิดและสมบัติ
Science in Real Life
เมลามีน เปนพลาสติกเทอรมอเซต
ทางกายภาพจากวัสดุในบัตรภาพ
ที่มีสารฟอรมาลดิไฮดเปนองค2ประกอบ 23. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน
พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต
(polyethylene terephthalate) หรือที่รูจักกันในชื่อ ฟอรมาลิน เมลามีน วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง
นิยมนํามาทําภาชนะใสอาหาร ดังนั้น
• มอนอเมอร คือ ไดเมทิลเทเรฟทาเลต หากนําภาชนะเมลามีนเขาเตาไมโครเวฟ
พอลิเมอร
กับเอทิลีนไกลคอล หรือนําอาหารที่ปรุงดวยความรอนสูง
• มีลักษณะแข็ง งายตอการยอมสี ทนความชื้น เสร็จใหม ๆ ใสในภาชนะ หรือใสนํ้ารอน
เหนียว ทนตอการขัดถู มาก ๆ จะทําใหมกี ารซึมของสารฟอรมาล-
• นําไปใชทําเสนใย แห อวน ขวดนํ้าอัดลม ดิไฮดออกมา ถาออกมาในปริมาณมาก
ภาพที่ 3.16 ขวดนํ้าผลิตจาก ขวดนํ้าดื่มชนิดแข็งและใส จะเปนอันตรายตอผูบริโภคได
พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต
ที่มา : คลังภาพ อจท.
พอลิเมลามีนฟอรมาลดิไฮด
(polymelamine formaldehyde) หรือเมลามีน
• มอนอเมอร คือ เมลามีนกับฟอรมาลดิไฮด
• มีลักษณะทนความรอน ทนนํ้า ทนสารเคมี
• นําไปใชทําเครือ่ งใชในครัว ชอน สอม ตะเกียบ
จาน ชาม
T113
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
24. ใหนกั เรียนนําความรู เรือ่ ง สมบัตทิ างกายภาพ 2. ยาง (rubber) เปนพอลิเมอรที่มีความยืดหยุนสูง จึงทําเปนรูปรางตาง ๆ ไดงาย มีความทนทานมาก
นํามาทําเครื่องมือเครื่องใชตาง ๆ ไดหลายชนิด เชน ยางรถ ลูกบอล รองเทา ยางลบ โดยยางแบงออกไดเปน
และการใช ป ระโยชน ข องวั ส ดุ พ อลิ เ มอร 2 ชนิด ดังนี้
มาออกแบบอุปกรณ เพือ่ อํานวยความสะดวก 1) ยางธรรมชาติ (natural rubber) เปนพอลิเมอรที่ประกอบ
ในชีวติ ประจําวัน 1 ชนิด โดยระบุวสั ดุประเภท ดวยธาตุคารบอนและไฮโดรเจน เรียกวา พอลิไอโซพรีน (polyisoprene) มี
พอลิ เ มอร ที่ เ ลื อ กนํ า มาอธิ บ ายสมบั ติ ท าง มอนอเมอรเปนไอโซพรีน (isoprene) นํ้ายางสดจะมีลักษณะขน สีขาวขุน
กายภาพ และให เ หตุ ผ ลที่ เ ลื อ กนํ า มาใช คลายนํ้านม เมื่อแยกเนื้อยางออกมาจากนํ้ายางจะเรียกวา ยางดิบ
ลงในกระดาษ A4 ตกแตงใหสวยงาม และ ตัวอยางยางธรรมชาติ เชน ยางพารา ซึ่งเปนยางที่ไดจาก
นําเสนอหนาชั้นเรียน ตนยางพารา มีสมบัติตานทานตอแรงดึงสูง ทนตอการขัดถู ยืดหยุนไดดี
และไมละลายนํา้ แตขอ เสีย คือ เมือ่ อยูใ นบริเวณทีม่ อี ณุ หภูมติ าํ่ กวาอุณหภูมหิ อ ง
จะมีความแข็งและเปราะ ไมทนตอตัวทําละลายอินทรียและนํ้ามันเบนซิน
การใชประโยชนจากยางธรรมชาติ ไดแก การนํามาใชทําถุงมือแพทย ภาพที่ 3.18 นํ้ายางจากตนยางพารา
ถุงยางอนามัย ฟองนํ้าสําหรับที่นอนและหมอน ที่มา : คลังภาพ อจท.
2) ยางสังเคราะห (synthetic rubber) เปนพอลิเมอรที่สังเคราะหขึ้นจากมอนอเมอรที่ไดจากการกลั่น
ปโตรเลียม ยางสังเคราะหมีความทนทานตอการขัดถูและการสึกกรอน มีความยืดหยุนแมมีอุณหภูมิตํ่า ทนตอนํ้ามัน
และตัวทําละลายอินทรีย
ภาพที่ 3.19 พอลิสไตรีนบิวทาไดอีน (polystyrene butadiene) หรือ ภาพที่ 3.20 พอลิบิวทาไดอีน (polybutadiene) หรือยางบีอาร
ยางเอสบีอาร (SBR) นํามาใชทํายางรถยนต พื้นรองเทา สายพาน นํามาใชทํายางรถยนต ยางลอเครื่องบิน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
HOTS
(คําถามทาทายการคิดขั้นสูง)
ยางธรรมชาติไมทนตอตัวทําละลายอินทรีย
นักเรียนจะมีวิธีการปรับปรุงยางธรรมชาติอยางไรใหมีสมบัติที่ดีขึ้น
แนวตอบ H.O.T.S.
ทําไดโดยกระบวนการวัลคาไนเซชันดวยการ 104
เติมกํามะถันลงในยางธรรมชาติ
T114
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ
3. เสนใย (fibre) เปนพอลิเมอรที่มีโครงสรางโมเลกุลเปนเสนยาว จึงเหมาะสําหรับการนํามารีดและปน สมบัติทางกายภาพและการใชประโยชนของวัสดุ
เปนเสนดาย สามารถจําแนกประเภทและลักษณะของเสนใยได ดังนี้
ประเภทพอลิเมอร แลวใหนกั เรียนสรุปความเขาใจ
เสนใยธรรมชาติ เปนผังมโนทัศน เรือ่ ง พอลิเมอร ลงในกระดาษ A4
• เสนใยจากพืช คือ เสนใยเซลลูโลส ไดจากสวนตาง ๆ ของพืช เชน ฝาย นุน ลินิน พรอมนําเสนอในรูปแบบที่นาสนใจ
ปาน ปอ โดยเสนใยที่นํามาใชมากที่สุด คือ ฝาย
• เสนใยจากสัตว คือ เสนใยโปรตีน เชน ขนแกะ ขนแพะ รังไหม
ขัน้ ประเมิน
ขอดี ดูดซับนํ้าไดดี ระบายอากาศไดดี ตรวจสอบผล
ขอจํากัด เมื่อถูกความชื้นจะขึ้นราไดงาย เมื่อไดรับความรอนจะหดตัว 1. ตรวจแบบทดสอบกอนเรียน หนวยการเรียนรู
ภาพที่ 3.21 เสนใยฝาย
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่ 3 วัสดุในชีวิตประจําวัน
เสนใยกึง่ สังเคราะห
2. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง พอลิเมอร
• เซลลูโลสแอซีเตต เกิดจากปฏิกิริยาระหวางเซลลูโลสกับกรดแอซีติกเขมขน โดยมี
กรดแอซีติกเปนตัวเรงปฏิกิริยามีสมบัติคลายเซลลูโลส 3. ตรวจผังมโนทัศน เรื่อง พอลิเมอร
• เรยอนมีสมบัติคลายขนสัตว ไหม ลินิน หรือฝาย 4. ตรวจสมุดประจําตัวนักเรียน
ขอดี นํ้าหนักเบา ไมดูดซับความรอน ดูดซับเหงื่อไดดี 5. ตรวจสอบผลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม การ
ภาพที่ 3.22 เสนใยเรยอน ตรวจสอบสมบั ติ ท างกายภาพบางประการ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ของพอลิเมอร
เสนใยสังเคราะห 6. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทํา
• พอลิเอไมด เชน ไนลอน 6 ไนลอน 6,6 เปนพอลิเมอรที่เกิดจากปฏิกิริยาระหวาง
กิจกรรมในชั้นเรียน
เอมีนกับกรดคารบอกซิลิก 7. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต
• พอลิเอสเทอร เชน ดาครอน เปนพอลิเมอรระหวางเอทิลีนไกลคอลกับไดเมทิล ความมีวนิ ยั ใฝเรียนรู และมุง มัน่ ในการทํางาน
เทเรฟทาเลต
ขอดี นํ้าหนักเบา ทนตอจุลินทรีย ทนตอเชื้อรา แบคทีเรีย ไมยบั งาย
ภาพที่ 3.23 เสนใยไนลอน ไมดดู ซับนํา้ ทนตอสารเคมี ซักงาย และแหงเร็ว
ที่มา : คลังภาพ อจท.
Science
Focus แรใยหิน
แรใยหิน (asbestos) เปนแรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีลักษณะเปนเสนใยละเอียด ประกอบดวยธาตุแมกนีเซียม เหล็ก ซิลิเกต
และธาตุอื่น ๆ มีสมบัติทนไฟ ไมนําความรอนและไฟฟา ทนกรด-เบสไดดี นํามาใชเปนสวนผสมในผลิตภัณฑหลายชนิด
เชน ผาเบรก ฉนวนกันความรอน กระเบื้องมุงหลังคา ฝาเพดาน แตแรใยหินเปนเสนใยขนาดเล็ก ฟุงกระจายไดงายในอากาศ
กอใหเกิดอันตรายตอรางกายหากสูดดมหรือกิน เชน โรคปอดอักเสบ โรคมะเร็งปอด
วัสดุในชีวิตประจําวัน 105
กิจกรรม ทาทาย
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่กาหนด
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ความคิดสร้างสรรค์
4 ความเป็นระเบียบ
รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............../................./................
เกณฑ์ประเมินแผนผังมโนทัศน์
ใหนักเรียนนําความรูเกี่ยวกับประเภทของเสนใยที่นํามาผลิต
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. ผลงานตรงกับ ผล งา น สอดค ล้ องกั บ ผ ล ง า น ส อด ค ล้ อ งกั บ ผลงานสอดคล้ อ งกั บ ผลงานไม่ ส อดคล้ อ ง
จุดประสงค์ที่ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ บ า ง กับจุดประสงค์
เสื้อผา โดยใหนักเรียนวิเคราะหสมบัติของเสนใยที่นํามาใชทอ
กาหนด ประเด็น
2. ผลงานมีความ เนื้ อ หาสาระของผลงาน เนื้ อ หาสาระของผลงาน เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ข อ ง เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ข อ ง
ถูกต้องของ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ผลงานถูกต้องเป็นบาง ผลงานไม่ถูกต้องเป็น
เนื้อหา ประเด็น ส่วนใหญ่
3. ผลงานมีความคิด ผ ล ง า น แ ส ด ง อ อ ก ถึ ง ผลงานมี แ นวคิ ด แปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผ ล ง า น ไ ม่ แ ส ด ง
เปนเสื้อผา และเลือกใชประเภทของเสื้อผาใหเหมาะสม
สร้างสรรค์ ค ว า ม คิ ด ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ใหม่ แ ต่ ยั ง ไม่ เ ป็ น ระบบ แ ต่ ยั ง ไ ม่ มี แ น ว คิ ด แนวคิดใหม่
แปลกใหม่และเป็นระบบ แปลกใหม่
4. ผลงานมีความ ผ ล ง า น มี ค ว า ม เ ป็ น ผลงานส่ ว นใหญ่ มี ค วาม ผลงานมี ค วามเป็ น ผลงานส่ ว นใหญ่ ไ ม่
เป็น ระเบียบ ระเบี ย บแสดงออกถึ ง เ ป็ น ร ะ เ บี ย บ แ ต่ ยั ง มี ร ะ เ บี ย บ แ ต่ มี เป็นระเบียบและมีข้อ
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย ข้อบกพร่องบางส่วน บกพร่องมาก
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 7 ปรับปรุง
T115
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
มุ ด
กระบวนการผลิตวัสดุประเภทเซรามิก
นส
3. การขึ้นรูปโดยการเทแบบ นิยมใชทําไห โอง หรือกระถาง
งใล
4. ครูเตรียมตัวอยางวัสดุประเภทเซรามิก เชน
ทึ ก
4. แกวโอปอลนิยมนําไปใชทําเครื่องประดับและพลอยเทียม
บั น
หม อ ดิ น เผา แจกั น ดิ น เผา แก ว นํ้ า จาน 5. ปูนซีเมนตขาวเหมาะสําหรับนําไปใชในงานกอสรางที่ไมรับนํ้าหนักมาก เชน งานกอ งานฉาบ
กระเบื้อง กระเบื้องปูพื้น กระจกใส
ขัน้ สอน
การบรรยาย E ngaging ใหนักเรียนพิจารณาภาพตอไปนี้ แลวรวมกันวิเคราะหวา ผลิตภัณฑหมายเลขใด
ทําจากเซรามิก และนักเรียนใชเกณฑใดในการจําแนก
Activity
1. ใหนักเรียนตรวจสอบความรูของตนเองกอน
เขาสูการเรียนการสอนจากกรอบ Check for
Understanding ในหนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช า
พื้ น ฐานวิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3
เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 3 เรื่อง เซรามิก
โดยบันทึกลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
2. ใหนักเรียนทํากิจกรรม Engaging Activity ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3
โดยใหนักเรียนพิจารณาภาพ แลววิเคราะห
วา ภาพใดเปนผลิตภัณฑเซรามิก จากหนังสือ
เรี ย นรายวิ ช าพื้ น ฐานวิ ท ยาศาสตร แ ละ
เทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 3
เรื่อง เซรามิก
T116
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
Key 2 เซรามิก 3. ครูถามคําถาม Key Question
Question เซรามิก มีความหมายเดิมว่า ศิลปะเกี่ยวกับเครื่องปันดินเผา 4. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับเซรามิก แลว
ผลิตภัณฑ์รอบตัวใดบ้ำง มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า เครามอส (keramos) แปลว่า ถามคําถามนักเรียนเกีย่ วกับเซรามิกวา เซรามิก
ทีเ่ ปนเซรำมิก ผลิตภัณฑ์ที่ท�าจากดินโดยผ่านกระบวนการเผาให้ความร้อน คืออะไร
( แนวตอบ ผลิ ต ภั ณ ฑ ที่ ทํ า จากวั ต ถุ ดิ บ ใน
ธรรมชาติ เชน ดิน หิน ทราย แรธาตุตางๆ
ดังนั้น เซรามิก จึงหมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ท�าจากวัตถุดิบในธรรมชาติ เช่น ดิน หิน ทราย และแร่ธาตุต่าง ๆ นํามาผสมกันแลวขึ้นเปนรูปทรงตางๆ แลว
น�ามาผสมกันแล้วขึ้นเป็นรูปทรงต่าง ๆ แล้วน�าไปเผาเพื่อให้คงรูป ท�าให้มีโครงสร้างที่แข็งแรง ทนต่อการสึกกร่อน
แต่มีความเปราะ เป็นฉนวนความร้อนและฉนวนไฟฟ้า เซรามิกถูกน�าไปใช้ในการผลิตเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น ถ้วย ชาม นําไปเผาเพื่อใหคงรูป)
แก้ว แจกัน อิฐ ปูนซีเมนต์ เครื่องสุขภัณฑ์ กระเบื้อง รวมทั้งน�ามาใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์
การสื่อสาร และอวกาศ ในปัจจุบันสามารถจ�าแนกประเภทของเซรามิกออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
T117
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
5. ให นั ก เรี ย นสื บ ค น และศึ ก ษาความหมาย 2.1 สมบัติทางกายภาพของเซรามิก
ประเภท และวั ต ถุ ดิ บ ของเซรามิ ก จาก สมบัติของผลิตภัณฑเซรามิก จะขึ้นอยูกับวัตถุดิบที่ใชในอุตสาหกรรมเซรามิก การขึ้นรูปของผลิตภัณฑ
และการเผาและเคลือบผลิตภัณฑ
หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและ
เทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 3 1. วัตถุดิบที่ใชในอุตสาหกรรมเซรามิก แบงออกเปน 2 กลุมใหญ ๆ คือ
1) วัตถุดิบหลัก เปนวัตถุดิบที่ใชเปนสวนผสมหลักในการปนขึ้นรูปผลิตภัณฑ จึงใชในปริมาณมาก
เรื่อง เซรามิก แลวบันทึกลงในสมุดประจําตัว
ไดแก ดิน เฟลดสปาร และควอรตซ
นักเรียน
6. ครูแจกใบงาน เรื่อง เซรามิก ใหกับนักเรียน วัตถุดิบหลักในการทําเซรามิก
แลวใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกันอภิปราย
ขอมูลเพื่อทําใบงาน ตอนที่ 1 แลวนํามาสง ดิน
T118
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
2) วัตถุดิบเสริม เปนวัตถุดิบที่ชวยเสริมใหผลิตภัณฑมีคุณภาพสูงขึ้น ไดแก แรดิกไคต แรโดโลไมต 7. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน แลว
และสารประกอบออกไซด
ครูนําผลิตภัณฑเซรามิก เชน หมอดินเผา
1 แรดิกไคต 2 แรโดโลไมตหรือหินตะกอน 3 สารประกอบออกไซด จานกระเบื้อง แกวนํ้า มาใหนักเรียนแตละ
กลุมรวมกันตรวจสอบลักษณะทางกายภาพ
เชน ลักษณะของเนือ้ วัสดุ การยอมใหแสงผาน
เสียงที่เกิดจากการเคาะวัสดุ แลวบันทึกผล
ลงใบงาน ตอนที่ 2
ภาพที่ 3.30 แรธาตุตาง ๆ เปนวัตถุดิบเสริม ชวยใหผลิตภัณฑมีคุณภาพสูงขึ้น 8. ใหนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอใบงาน
ที่มา : คลังภาพ อจท. โดยครูคอยใหคาํ แนะนําเพิม่ เติม หากนักเรียน
• มีองคประกอบเหมือนดิน แตมโี ครงสราง • มีองคประกอบหลัก คือ แคลเซียม • อะลู มิ เ นี ย มออกไซด ห รื อ อะลู มิ น า คนใดมีขอสงสัย ใหตัวแทนนักเรียนนําเสนอ
ผลึกแตกตางกัน แมกนีเซียมคารบอเนต (Al2O3) ใชผสมทําผลิตภัณฑที่ทนไฟ
• มีปริมาณอะลูมินาที่เปนองคประกอบ • ใชผสมกับเนือ้ ดินเพือ่ ลดจุดหลอมเหลว • ซิ ลิ ค อนไดออกไซด ( SiO 2 ) และ
จบกอน แลวจึงยกมือและถามคําถาม
แตกต า งกั น ส ง ผลให ผ ลิ ต ภั ณ ฑ มี ของวัตถุดบิ โบรอนไตรออกไซด (B2O3) ใชผสมทํา
สมบัติแตกตางกันไป ผลิตภัณฑที่เปนเนื้อแกว
• สแตนนิกออกไซด (SnO2) และสังกะสี
ออกไซด (ZnO) ใชเคลือบเพื่อทําให
ผลิตภัณฑทึบแสง
2. การขึน้ รูปผลิตภัณฑ มีอยูห ลายวิธี ขึน้ อยูก บั ชนิด รูปราง คุณภาพ และสมบัตขิ องผลิตภัณฑทตี่ อ งการ
สวนใหญจะนิยมใชวิธีการเทแบบและการใชแปนหมุน ซึ่งมีหลักการ ดังนี้
1) การเทแบบ เปนการขึ้นรูปโดยนําดินมาผสมกับนํ้า แลวเทลงในแบบที่มีรูปรางตาง ๆ ตามที่ตองการ
การขึ้นรูปวิธีนี้เหมาะสําหรับการผลิตแจกัน ขวด และเครื่องสุขภัณฑ
เทนํ้าดินลงในแบบ ผลิตภัณฑหลังแกะ
แบบที่ประกอบแลว ตัดแตง ออกจากแบบ
ผลิตภัณฑ
เทนํ้าดินที่เหลือออกจากแบบ
T119
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
9. ครูนําผลิตภัณฑเซรามิกตัวอยาง เชน หมอ 2) การใชแปนหมุน เป็นการขึ้นรูปโดยการ
วางดินบนแป้น แล้วหมุนแป้นและใช้มือปันดินให้ได้
ดินเผา จานกระเบื้อง แกวนํ้า มาใหนักเรียน รูปทรงตามทีต่ อ้ งการ นิยมใช้ในการขึน้ รูปผลิตภัณฑ์ทมี่ ี
ร ว มกั น อภิ ป รายลั ก ษณะและสมบั ติ ท าง ลักษณะเป็นทรงกลมหรือทรงกระบอก เช่น ไห โอ่ง
กายภาพ เพือ่ ใหไดขอ สรุปวา เซรามิกมีรปู ทรง กระถาง แจกัน การขึ้นรูปวิธีนี้ต้องอาศัยผู้ปันที่มีความ
ที่แตกตางกัน โดยสมบัติทั่วไปของเซรามิก ช�านาญ จึงจะสามารถปันได้รูปทรงที่สวยงาม
จะแข็ง เปราะ ทนตอการสึกกรอน ผลิตภัณฑ์ทข่ี นึ้ รูปแล้วจะต้องน�ามาเก็บไว้
ตัวอยางเชน ในที่ร่ม เพื่อให้เนื้อดินแห้งอย่างช้า ๆ แล้วน�ามาท�าให้
ผิวเรียบ จากนั้นน�าไปตากหรืออบที่อุณหภูมิ 40-60
- เครื่องปนดินเผา : มีเนื้อละเอียด มีสีนํ้าตาล
องศาเซลเซียส เพื่อให้ผลิตภัณฑ์แห้งและป้องกันการ ภาพที่ 3.32 การขึ้นรูปโดยการใช้แป้นหมุน
แดง ทึบแสง เมือ่ เคาะแลวเสียงจะไมกงั วาน แตกร้าวเมื่อน�าไปเผา ที่มา : คลังภาพ อจท.
- จานกระเบือ้ ง : มีเนือ้ ละเอียด สีขาว ทึบแสง
3. การเผาและเคลือบผลิตภัณฑ์ มี 2 ขั้นตอน ดังนี้
เมื่อเคาะแลวเสียงจะกังวาน
- แกวนํา้ : มีเนือ้ ละเอียด ใส บางชนิดมีหลายสี ขั้นตอนที่ 1 การเผาดิบ ขั้นตอนที่ 2 การเผาเคลือบ
โปรงใส เมื่อเคาะแลวเสียงจะกังวาน เป็ น ขั้ น ตอนแรก ท� า ได้ โ ดยการเพิ่ ม อุ ณ หภู มิ ข อง ผลิตภัณฑ์เซรามิกส่วนใหญ่จะต้องผ่านการเคลือบผิว
เตาเผาให้สูงขึ้นอย่างช้า ๆ และสม�่าเสมอ โดยใช้เวลา เพื่อให้เกิดความสวยงาม มีผิวมัน แวววาว คงทนต่อ
ทีเ่ หมาะสม เพือ่ ให้ผลิตภัณฑ์คงรูป ไม่แตกช�ารุด ผลิตภัณฑ์ การขีดข่วน และมีสมบัติตามที่ต้องการ การเผาเคลือบ
เซรามิกบางชนิดเมื่อผ่านการเผาดิบแล้ว สามารถน�าไป ท�าได้โดยน�าผลิตภัณฑ์เ1ซรามิกที่ผ่านการเผาดิบแล้ว
ใช้งานได้โดยไม่ต้องเคลือบผิว เช่น อิฐ กระถางต้นไม้ มาเคลือบผิวด้วยน�า้ เคลือบ ซึง่ เป็นสารผสมระหว่างซิลเิ กต
ตุ่มใส่น�้า กับสารช่วยหลอมเหลว และสารเพิม่ คุณภาพอืน่ ๆ หลังจากนัน้
น�าไปให้ความร้อน เพือ่ ให้นา�้ เคลือบหลอมละลายรวมเป็น
เนื้อเดียวกับเนื้อดิน
วัตถุดิบหลักที่น�ำมำใช้ในกำรผลิต
เซรำมิกควรมีสมบัติอยำงไร
T120
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
2.2 การใชประโยชนวัสดุประเภทเซรามิก 10. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นเข า ใจเพิ่ ม เติ ม ว า
ผลิตภัณฑที่ทําจากวัสดุประเภทเซรามิก ที่นํามาใชในชีวิตประจําวันมีอยูหลายชนิด ดังนี้ แกวเปนผลิตภัณฑเซรามิก หากจําแนกตาม
1. ผลิตภัณฑแกว ทํามาจากทรายแกวหรือซิลิกาผสมกับโซดาแอช หินปูน โดโลไมต และเศษแกว องคประกอบทางเคมี สมบัติ และการนําไป
แกวมีลักษณะโปรงแสง แกสซึมผานไดยาก มีความแข็งแรง ทนตอแรงดันไดดี บางชนิดสามารถทนตอสภาพ ใชประโยชน จะแบงแกวออกเปน 5 ประเภท
ความเปนกรด-เบสไดดี
และมีสมบัตทิ แี่ ตกตางกัน เชน แกวโซดาไลม
แกวนิยมนํามาใชเปนวัสดุในการผลิตภาชนะ
และเครือ่ งใชตา ง ๆ เครือ่ งประดับ สวนประกอบของอาคาร นิยมนํามาเปาแกวใหเปนรูปทรงตางๆ แกว
และสิ่งกอสราง สามารถจําแนกประเภทของแกวตาม โบโรซิลิเกตนิยมนํามาใชเปนภาชนะสําหรับ
องคประกอบทางเคมี สมบัติ และการนําไปใชประโยชน ไมโครเวฟ หรือเครื่องแกวในหองปฏิบัติการ
ไดดังตารางที่ 3.2 ทางวิทยาศาสตร แกวคริสตัลนิยมนํามาทํา
เปนเครื่องประดับ แกวโอปอลนิยมนํามาทํา
กระจกเงา กระจกสะทอน กระจกนิรภัย
และแก ว ควอรตซ นิ ย มนํ า มาทํ า อุ ป กรณ
ภาพที่ 3.35 แกวนํ้าทําจากแกวโซดาไลม ภาพที่ 3.36 เครือ่ งแกวในหองปฏิบตั กิ ารทางวิทยาศาสตร
ที่มา : คลังภาพ อจท. ทําจากแกวโบโรซิลิเกต วิทยาศาสตรบางชนิด นอกจากแกวนํ้าแลว
ที่มา : คลังภาพ อจท. ป จ จุ บั น ยั ง มี ผ ลิ ต ภั ณ ฑ เ ซรามิ ก ที่ ต รงกั บ
ตารางที่ 3.2 ประเภทของแกว สมบัติ และการนําไปใชประโยชน ความตองการหลากหลาย เชน กระดูกเทียม
ประเภท สมบัติ การนําไปใชประโยชน เสนใยแกวนําแสง เซลลแสงอาทิตย
แกวโซดาไลม - ไมทนตอกรด-เบส แกวนํ้า ขวดนํ้า กระจกแผน ใชกับงาน
- SiO2 รอยละ 71-75 โดยมวล - แตกงายเมื่อไดรับความรอน เปาแกวใหเปนรูปทรงตาง ๆ
- Na2O รอยละ 12-16 โดยมวล
- CaO รอยละ 10-15 โดยมวล
แกวโบโรซิลิเกต - ทนตอการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิไดดี ภาชนะสําหรับเตาไมโครเวฟ
- SiO2 รอยละ 70-80 โดยมวล - ทนตอการกัดกรอนของสารเคมี เครื่องแกวในหองปฏิบัติการ
- B2O3 รอยละ 7-15 โดยมวล ทางวิทยาศาสตร
- Na2O รอยละ 4-8 โดยมวล
- Al2O3 รอยละ 2-7 โดยมวล
แกวคริสตัล - เมื่อมีแสงมากระทบจะเห็นประกาย เครื่องประดับ เพชรและพลอยเทียม
- SiO2 รอยละ 54-65 แวววาวสวยงาม
- K2O และออกไซดของตะกัว่ มีออกไซด
ของตะกั่วมากกวารอยละ 24 โดยมวล
แกวโอปอล - มีความขุน โปรงแสง หลอมและขึ้นรูป กระจกเงา กระจกสะทอนแสง
- เติม NaF หรือ Ca2F ลงไป ไดงาย กระจกนิรภัย
แกวควอรตซหรือซิลิกาบริสุทธิ์ - ทนกรด-เบส อุปกรณวิทยาศาสตรบางชนิด
- ในการผลิตทางอุตสาหกรรม จะใช SiCl4 - ทนไฟ ไมแตกงายเมือ่ เผาในไฟทีร่ อ นจัด
หรือผลึกควอรตซบริสทุ ธิเ์ ปนสารตัง้ ตน
วัสดุในชีวิตประจําวัน 111
T121
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
นักเรียนและครูรวมกันสรุปวา เซรามิกเปน
วัสดุที่ผลิตจากดิน หิน ทราย และแรธาตุตางๆ 2. ปูนซีเมนต (cement) เปนวัสดุกอสรางที่ชวยยึดสวนผสมตาง ๆ ที่ใชในการกอสราง และสรางผลึกแข็ง
ที่ยึดอนุภาคตาง ๆ เปนผลิตภัณฑที่ไดจากการบดปูนเม็ด ซึ่งเกิดจากการเผาสวนผสมตาง ๆ ไดแก แคลเซียม
จากธรรมชาติ และสวนมากผลิตภัณฑเซรามิก คารบอเนต (CaCO3) ซิลกิ า (SiO2) อะลูมนิ า (Al2O3) และออกไซดจากเหล็ก ในสัดสวนทีเ่ หมาะสมจนรวมตัวสุกพอดี
จะผานกระบวนการเผาที่อุณหภูมิสูงเพื่อใหได
เนื้อสารที่แข็งแรง โดยเซรามิกสามารถทําเปน วัตถุดิบที่ใชในการผลิตปูนซีเมนต แบงออกเปน 4 กลุม
รูปทรงตางๆ ได ซึ่งสมบัติทั่วไปของเซรามิก คือ วัตถุดิบเนื้อปูน เปนสวนประกอบหลัก มีอยูร อ ยละ วัตถุดิบเนื้อดิน ประกอบดวยซิลกิ า อะลูมนิ า และ
80 โดยมวลของสวนผสมกอน ออกไซดของเหล็ก มีประมาณ
แข็งแตเปราะ สามารถทนตอการสึกกรอนได การเผา วัตถุดิบที่ใชอาจจะเปน รอยละ 15-18 โดยมวล วัตถุดิบ
และเนื่ อ งจากเซรามิ ก ประกอบด ว ยวั ต ถุ ดิ บ ที่ หินปูน ดินสอพองหรือดินมารล ที่ใชสวนใหญ คือ หินดินดาน
แตกตางกัน ทําใหมสี มบัตทิ แี่ ตกตางกัน และสมบัติ หินออน หินชอลก โดยหินปูนเปน
วัตถุดิบที่นิยมใชมากที่สุด
ที่แตกตางกันนี้จึงสามารถนําไปใชประโยชนได หินปูน หินดินดาน
หลากหลาย เชน เครื่องปนดินเผา กระถางตนไม วัตถุดิบปรับคุณภาพ ประกอบดวยเนื้อปูน อะลูมินา สารเติมแตง เปนวัตถุดิบที่เติมลงไปในปูนเม็ด
ซิลิกา หรือออกไซดของเหล็ก ภายหลังการเผา เพื่อปรับสมบัติ
เครื่องกระเบื้อง ถวยชาม สุขภัณฑ แกว กระจก ในปริมาณสูง ใชเมื่อมีสวนผสม บางประการ เชน เติมยิปซัมลงไป
แกวนํ้า บางชนิดตํ่ากวามาตรฐาน เพือ่ ทําใหปนู ทีผ่ สมนํา้ แลวแข็งตัว
ชา เติมหินปูนบดลงไปเพื่อเพิ่ม
แรยิปซัม เนื้อปูน
แรบอกไซต
ภาพที่ 3.37 วัตถุดิบที่ใชในการผลิตปูนซีเมนต
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เมื่อนําปูนซีเมนตมาผสมกับนํ้าจะไดเปนผลึกแข็ง (CaSO4 • 2H2O) ซึ่งทนตอแรงอัดสูง จึงใชเปนวัสดุ
ประสานในการกอสราง และเมือ่ ผสมปูนซีเมนตกบั กรวด ทราย และหิน จะทําใหเกาะตัวแนนเปนคอนกรีต ปูนซีเมนต
สามารถแบงประเภทตามการใชงานได ดังนี้
ประเภทปูนซีเมนต
ปูนซีเมนตปอรตแลนด ไดจากการบดปูนเม็ดกับยิปซัม ปูนซีเมนตปอรตแลนดแบงออกเปน 5 ประเภท ดังนี้
1. ปูนซีเมนตปอรตแลนดธรรมดา ใชในงานกอสรางทั่วไป
2. ปูนซีเมนตปอรตแลนดเสริม ใชในงานโครงสรางขนาดใหญ
3. ปูนซีเมนตปอรตแลนดประเภทใหกําลังอัดสูงเร็ว ใชในงานทําเสาเข็ม พื้นสําเร็จรูป
4. ปูนซีเมนตปอรตแลนดประเภทเกิดความรอนตํ่า นําไปใชในการทําเขื่อนกั้นนํ้า
5. ปูนซีเมนตปอรตแลนดประเภททนซัลเฟตไดสูง ใชในงานกอสรางที่มีดินเค็มปนอยู
ปูนซีเมนตผสม มี แ รงอั ด ตํ่ า กว า ปู น ซี เ มนต ปูนซีเมนตขาว มี วั ต ถุ ดิ บ หลั ก คื อ ปู น ขาว
ธรรมดาเล็กนอย เนือ่ งจากการ ลักษณะของปูนซีเมนตที่ไดจะ
เติมทรายหรือหินปูนละเอียด มีสีขาว นิยมใชในงานตกแตง
ลงไป เหมาะสําหรับใชในงาน อาคาร เพือ่ ใหเกิดความสวยงาม
กอสรางที่ไมรับนํ้าหนักมาก
เชน งานกอ งานฉาบ เทพื้น
ภาพที่ 3.38 ประเภทของปูนซีเมนต แบงออกเปน 3 ประเภท
ที่มา : คลังภาพ อจท.
112
T122
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
1. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน
Application วิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3 เล ม 1
Activity เรื่อง เซรามิก
2. ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน แลวรวมกันสืบคนขอมูลเกี่ยวกับพอลิเมอรและเซรามิก จากแหลง
โดยตอบคําถาม Topic Questions ลงในสมุด
เรียนรูตาง ๆ เชน หองสมุด อินเทอรเน็ต เมื่อรวบรวมขอมูลแลว ใหแตละกลุมรวมกันอภิปรายและสรุปขอมูล
ประจําตัวนักเรียน
ที่ไดจากการสืบคนใหมีความเขาใจตรงกัน จากนั้นใหแตละกลุมชวยกันออกแบบผลิตภัณฑตาง ๆ ดังนี้
3. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
- เสื้อผาที่มีคุณสมบัติระบายอากาศไดดี นํ้าหนักเบา และใสแลวสบายตัว และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง เซรามิก
- แจกันที่มีลวดลายสวยงาม แข็งแรง และไมแตกหักงาย
4. ตรวจใบงาน เรื่อง เซรามิก
- แกวกาแฟรูปทรงสวยงาม แข็งแรง ไมแตกหักงาย และทนความรอนสูง
5. ตรวจคํ า ตอบ Topic Questions ในสมุ ด
โดยระบุชนิดของวัสดุที่นํามาใช พรอมทั้งบอกเหตุผลในการเลือกใชวัสดุชนิดนั้น แลวนําเสนอผล ประจํ า ตั ว นั ก เรี ย น เพื่ อ ประเมิ น ความรู
การออกแบบผลิตภัณฑในรูปแบบที่นาสนใจ เชน โปสเตอร หนังสือเลมเล็ก ความเขาใจของนักเรียน
6. ใหนักเรียนประเมินวิธีการสอนของครูผูสอน
โดยครูใหนักเรียนเขียนขอเสนอแนะเกี่ยวกับ
วิธกี ารสอนเพือ่ ครูจะไดนาํ ขอเสนอแนะไปปรับ
ใชกับการสอนในครั้งตอไป
Topic Questions
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
1. พอลิเมอรและมอนอเมอรคืออะไร แตกตางกันอยางไร
2. พอลิเมอรสามารถจําแนกตามลักษณะการเกิดออกเปนกี่ประเภท อะไรบาง
3. พอลิเมอรที่มีลักษณะแข็ง เหนียว และทนทานมีโครงสรางเปนแบบใด
4. พอลิเมลามีนฟอรมาลดิไฮดหรือเมลามีน ซึ่งใชทําถวยชามและภาชนะใสอาหาร มีโครงสรางพอลิเมอรแบบใด
5. พลาสติกสามารถจําแนกตามเกณฑการเปลี่ยนแปลงเมื่อไดรับความรอนออกเปนกี่ประเภท อะไรบาง
6. เพราะเหตุใดจึงมีการสังเคราะหยางสังเคราะหขึ้นมาใชแทนยางธรรมชาติ
7. วัตถุดิบที่ใชในการผลิตเซรามิกจําแนกออกเปนกี่ประเภท อะไรบาง
8. การขึ้นรูปผลิตภัณฑแบบใชแปนหมุนเหมาะสําหรับผลิตภัณฑประเภทใด
9. ควรนําเซรามิกไปผานกระบวนการใดกอนนําไปเผาเคลือบ
10. ยกตัวอยางผลิตภัณฑเซรามิกที่ตองผานการเผาดิบและเผาเคลือบกอนนําไปใชงาน
วัสดุในชีวิตประจําวัน 113
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
ยางธรรมชาติ
7. 2 ประเภท คือ วัตถุดิบหลักและวัตถุดิบเสริม
8. ไห โอง กระถาง แจกัน ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............./.................../...............
9. การเผาดิบ เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่่าเสมอ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง
ให้
ให้
3 คะแนน
2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ปรับปรุง
T123
ต่่ากว่า 8
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
มุ ด
Activity
นส
3. คอนกรีตประกอบดวยซีเมนต หิน และทรายเทานั้น
งใล
ทึ ก
4. ตุกตาปูนปลาสเตอรไมจัดเปนวัสดุผสม
บั น
ขัน้ สอน 5. การผสมผงแปง นํ้าตาลทราย และนํ้ากะทิเขาดวยกันเพื่อทําขนม จัดเปนวัสดุผสม
การบรรยาย
1. ใหนักเรียนตรวจสอบความรูของตนเองกอน
เขาสูการเรียนการสอนจากกรอบ Check for
Understanding ในหนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช า
E ngaging ใหนักเรียนพิจารณาวัสดุตอไปนี้ แลวระบุวา วัสดุหมายเลขใดคือวัสดุผสม
(composite materials) และบอกวาใชเกณฑใดในการจําแนก
Activity
พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
หนวยการเรียนรูท ี่ 3 เรือ่ ง วัสดุผสม โดยบันทึก
ลงในสมุดประจําตัวนักเรียน
2. ใหนักเรียนทํากิจกรรม Engaging Activity
โดยใหนักเรียนพิจารณาภาพ แลววิเคราะหวา
ภาพใดเปนวัสดุผสม จากหนังสือเรียนรายวิชา
พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
หนวยการเรียนรูที่ 3 เรื่อง วัสดุผสม ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3
T124
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
Key 3 วัสดุผสม 3. ครูถามคําถาม Key Question
Question จากการศึกษาเกี่ยวกับพอลิเมอร์และเซรามิก ท�าให้พบว่า 4. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับวัสดุผสม และ
วัสดุผสมมีลกั ษณะ มีผลิตภัณฑ์บางชนิดที่เกิดจากการรวมตัวของพอลิเมอร์กับเซรามิก ใหนกั เรียนแสดงความคิดเห็นวา วัสดุผสมเกิด
เปนอยำงไร หรือพอลิเมอร์กับวัสดุชนิดอื่น หรือเซรามิกกับวัสดุชนิดอื่น ท�าให้ จากการผสมของวัสดุชนิดใดบาง
ได้วัสดุที่มีความแข็งแรง ทนทาน และมีสมบัติเฉพาะตามที่ต้องการ ( แนวตอบ เกิ ด จากวั ส ดุ พ อลิ เ มอร ผ สมกั บ
เรียกว่า วัสดุผสม เซรามิก วัสดุพอลิเมอรกับวัสดุชนิดอื่น วัสดุ
ในปัจจุบนั วัสดุผสมเข้ามามีบทบาทต่อชีวติ ประจ�าวันเป็นอย่างมาก เนือ่ งจากวัสดุผสมเป็นวัสดุทรี่ วมสมบัตเิ ด่น เซรามิกกับวัสดุชนิดอื่น)
ของวัสดุแต่ละชนิดเข้าด้วยกัน เช่น วัสดุประเภทพลาสติกเสริมแรงด้วยเส้นใย เป็นการรวมวัสดุประเภทพอลิเมอร์ 5. ครูถามคําถามทบทวนความรูเ ดิมของนักเรียน
และเส้นใยเข้าด้วยกัน ท�าให้วัสดุผสมที่ได้มีสมบัติแข็งแรงและน�้าหนักเบา ดังนี้
ดังนั้น วัสดุผสม คือ วัสดุที่ประกอบด้วยวัสดุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ที่มีองค์ประกอบทางเคมีแตกต่างกัน • พอลิเมอรคืออะไร
สามารถมองเห็นองค์ประกอบได้ เช่น คอนกรีต ประกอบด้วยซีเมนต์ หิน ทราย และน�้ามาผสม หรือการสร้างพันธะ ( แนวตอบ สารประกอบที่ มี โ มเลกุ ล ขนาด
ซึ่งวัสดุผสมที่เกิดขึ้นจะมีสมบัติแตกต่างไปจากวัสดุเดิม เช่น ความแข็งแรง น�้าหนัก การทนต่อการสึกกร่อน ใหญ และมีมวลโมเลกุลมาก ประกอบดวย
การน�าไฟฟ้า โดยที่องค์ประกอบนั้นจะต้องไม่ละลายเข้าด้วยกัน หนวยเล็กๆ ของสารทีอ่ าจจะเหมือนกันหรือ
นอกจากนี้ พบว่า วัสดุผสมสามารถพบได้ในธรรมชาติอีกด้วย เช่น ไม้ เป็นวัสดุผสมที่พบในธรรมชาติ ตางกันมาเชื่อมตอกันดวยพันธะโคเวเลนต)
ซึ่งเกิดจากการรวมกันของเซลลูโลสกับลิกนิน ท�าให้ไม้มีสมบัติแข็งแรง • เซรามิกคืออะไร
( แนวตอบ ผลิ ต ภั ณ ฑ ที่ ทํ า จากวั ต ถุ ดิ บ ใน
ธรรมชาติ เชน ดิน หิน ทราย แรธาตุตางๆ
นํ า มาผสมกั น แล ว ขึ้ น เป น รู ป ทรงต า งๆ
แลวนําไปเผาเพื่อใหคงรูป)
6. ใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับสมบัติทางกายภาพ
ของวัสดุผสมในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน
วิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3 เล ม 1
หนวยการเรียนรูที่ 3 เรื่อง วัสดุผสม แลวให
นักเรียนสรุปความเขาใจลงในสมุดประจําตัว
นักเรียน
T125
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
7. ให นั ก เรี ย นจั บ คู กั บ เพื่ อ นเพื่ อ แลกเปลี่ ย น 3.1 สมบัติทางกายภาพของวัสดุผสม
ข อ มู ล และร ว มกั น อภิ ป รายถึ ง สมบั ติ ท าง สมบัติของวัสดุผสม จะขึ้นอยูกับวัสดุที่นํามาใชประกอบกันเปนวัสดุผสม โดยวัสดุผสมจะตองประกอบดวย
กายภาพของวั ส ดุ ผ สม แล ว ให นั ก เรี ย น วัสดุ 2 แบบ ดังนี้
ร ว มกั น แสดงความเห็ น เกี่ ย วกั บ การนํ า 1. วัสดุพื้นหรือเมทริกซ (matrix) เปนวัสดุที่ลักษณะของเนื้อวัสดุมีความตอเนื่องและลอมรอบอีกวัสดุไว
วัสดุผสมไปใชประโยชนไดเหมาะสม โดย ทําหนาที่ในการถ
1 ายทอดแรงกระทํา โดยวัสดุที่นํามาใชเปนวัสดุพื้นอาจเปนพอลิเมอร เซรามิก โลหะ คารบอน
คํานึงถึงสมบัติทางกายภาพ และแกรไฟต โดยวัสดุที่นํามาทําเปนวัสดุพื้นจะใหสมบัติที่แตกตางกัน เชน โลหะจะมีความแข็งและความเหนียวสูง
8. ครูสุมเรียกนักเรียน 2-3 คน สรุปสมบัติและ แตมีนํ้าหนักมากและเปนสนิมไดงาย พอลิเมอรจะมีนํ้าหนักเบาแตมีความแข็งตํ่า ไมทนความรอน และไมนําไฟฟา
การใชประโยชนของวัสดุผสมหนาชั้นเรียน เซรามิกจะมีความแข็งสูงแตเปราะ ทนตอการสึกกรอน และทนความรอนไดดี
9. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นเข า ใจว า วั ส ดุ ผ สม 2. วัสดุเสริมหรือตัวเสริมแรง (reinforcement material) เปนวัสดุที่เพิ่มสมบัติใหกับวัสดุพื้น โดยจะ
ประกอบดวยวัสดุ 2 แบบ คือ วัสดุพื้นหรือ ฝงตัวอยูในวัสดุพื้น ซึ่งอาจจะอยูในรูปของเสนใย อนุภาค แผนหรือชิ้นเล็ก ๆ
เมทริกซ และวัสดุเสริมหรือตัวเสริมแรง ทําให ดังนัน้ การนําวัสดุตา งชนิดกันมาผสมกัน จึงทําใหผลิตภัณฑทไี่ ดมสี มบัตพิ เิ ศษทีไ่ ดจากขอดีของวัสดุแตละชนิด
มีสมบัติพิเศษตามวัสดุที่มาผสม โดยวัสดุ เชน คอนกรีตเสริมเหล็กเปนวัสดุผสมที2่ใหความแข็ง (ไดจากสมบัติของคอนกรีตที่เปนเซรามิก) และความเหนียว
ผสมสวนมากจะมีความแข็ง ทนทาน ดังนั้น (ไดจากสมบัติของเหล็ก3) ไฟเบอรกลาสสเปนวัสดุที่มีนํ้าหนักเบา (ไดจากสมบัติของพอลิเมอร) และมีความแข็งแรง
วัสดุผสมจึงนําไปใชประโยชนไดหลากหลาย (ไดจากสมบัติของใยแกว)
10. ครูนาํ ภาพไมและภาพเสนใยแกวหรือไฟเบอร
วัสดุเสริมหรือตัวเสริมแรง
กลาสส มาใหนักเรียนรวมกันตอบคําถามวา วัสดุผสม
เปนวัสดุผสมประเภทเดียวกันหรือไม อยางไร
(แนวตอบ ไมเปนวัสดุผสมจากธรรมชาติ สวน
ไฟเบอรกลาสสหรือเสนใยแกวเปนวัสดุผสม
จากการสังเคราะห)
+
วัสดุพื้นหรือเมทริกซ
=
ภาพที่ 3.41 ลักษณะของวัสดุผสม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
HOTS
(คําถามทาทายการคิดขั้นสูง)
ถาหากใชวัสดุพื้นเปนพอลิเมอรและวัสดุเสริมเปนเซรามิก วัสดุผสมที่ ไดควรมีสมบัติเปนอยางไร
แนวตอบ H.O.T.S.
มีนํ้าหนักเบา ทนตอความรอน มีความแข็ง 116
แตเปราะ ทนตอการสึกกรอน
T126
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
3.2 การใชประโยชนวัสดุประเภทวัสดุผสม 11. ครูอธิบายวา ไมเปนอีกหนึ่งตัวอยางที่จัดวา
วัสดุผสมสามารถจําแนกได 2 ประเภท คือ วัสดุผสมจากธรรมชาติและวัสดุผสมจากการสังเคราะห ซึง่ สามารถ เปนวัสดุผสม ซึง่ เกิดจากการผสมสาร 4 ชนิด
นํามาใชประโยชนไดแตกตางกัน ดังนี้ ได แ ก เส น ใยเซลลู โ ลส สารกึ่ ง เซลลู โ ลส
1. วัสดุผสมจากธรรมชาติ ไดจากการรวมตัวของสารที่อยูในธรรมชาติ ตัวอยางเชน
1 ลิกนิน และสารสกัดจากธรรมชาติ โดยมี
1) กระดูก (bone) เปนวัสดุผสมชนิดหนึง่ ซึง่ มีองคประกอบ คือ คอลลาเจนประมาณรอยละ 20 แคลเซียม ลิกนินกับสารกึ่งเซลลูโลสทําหนาที่เปนตัว
ฟอสเฟตประมาณรอยละ 69 นํา้ ประมาณรอยละ 9 และสวนประกอบอืน่ ๆ เชน โปรตีน นํา้ ตาล ไขมัน การจัดเรียงตัว ประสาน ทําใหองคประกอบในไมเกิดการ
ภายในกระดูกจะมีคอลลาเจนซึ่งอยูในรูปไมโครไฟเบอรเปนวัสดุพื้น โดยมีลักษณะเหมือนตาขาย และมีแคลเซียม เชื่อมตอกัน ไมจึงมีลวดลายที่สวยงาม และ
ฟอสเฟตเปนวัสดุเสริมที่ทําใหกระดูกแข็งแรง ซึ่งแคลเซียมฟอสเฟตจะอยูในรูปของผลึกไฮดรอกซีอะพาไทต มีความแข็งแรงทนทาน
มีรปู รางเปนแผนหรือเข็ม ฝงตัวขนานอยูก บั คอลลาเจน ทําใหทศิ ทางสวนใหญของผลึกอยูใ นแนวแกนยาวของไฟเบอร 12. ครูนาํ ภาพตัวอยางอุปกรณประเภทวัสดุผสม
ทําใหแรที่เปนสวนประกอบของกระดูกรวมตัวกับผลึกไฮดรอกซีอะพาไทต สงผลใหกระดูกมีสมบัติเชิงกลที่ดี
ในชีวิตประจําวันมาใหนักเรียนศึกษา แลว
2) ไม (wood) เปนวัสดุที่นิยมใชในงานกอสราง เชน สรางอาคารบานเรือน ทําเฟอรนิเจอร ขอดีของไม อธิ บ ายให นั ก เรี ย นเข า ใจว า วั ส ดุ เ หล า นี้
คื อ มี ล2วดลายที่ ส วยงาม มี ค วามแข็ ง นํ้ า หนั ก เบา ไม ป ระกอบด ว ยองค ป ระกอบหลั ก 4 ชนิ ด ได แ ก
ไมวา จะเปนเรือ ถังนํา้ อางอาบนํา้ ตุก ตาสนาม
เซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส ลิกนิน และสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งเซลลูโลสจะทําหนาที่เปนวัสดุพื้นและมีลิกนิน
สวนประกอบของยานพาหนะ อุปกรณกีฬา
กับเฮมิเซลลูโลสเปนวัสดุเสริม ทําหนาที่เปนตัวประสาน ทําใหองคประกอบในไมเกิดการเชื่อมกัน
ล ว นเกิ ด จากการผสมของเส น ใยแก ว กั บ
วัสดุพอลิเมอร โดยเสนใยแกวทําหนาที่เปน
ตัวเสริมแรง ซึง่ มีสมบัตทิ มี่ คี วามแข็ง ทนแรง
ดึงไดสูง ไมเปนสนิม ทนตอการสึกกรอน
และเปนฉนวนความรอน ขณะที่สมบัติของ
พอลิเมอรสวนใหญทนตอความรอนไมได
นําไฟฟาไมได เปราะ แตมีความยืดหยุนสูง
ลิกนิน
จึงสามารถนํามาขึ้นรูปเปนรูปทรงตางๆ ได
เซลลูโลส สงผลใหอุปกรณเหลานี้มีความแข็ง ทนตอ
เฮมิเซลลูโลส ความรอน
เซลลพืช
ไม
www.aksorn.com/interactive3D/RK933
T127
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับวัสดุผสม
เพื่อใหไดขอสรุปวา วัสดุผสมเปนวัสดุที่เกิดจาก 2. วัสดุผสมจากการสังเคราะห ไดจากการนําวัสดุชนิดตาง ๆ มาสังเคราะหรวมกัน เกิดเปนวัสดุผสมที่มี
สมบัติแตกตางไปจากเดิม และมีสมบัติเฉพาะตามที่ตองการ ตัวอยางเชน
วัสดุตั้งแต 2 ประเภท ที่มีสมบัติแตกตางกัน
1) คอนกรีต (concrete) เปนวัสดุผสมที่ประกอบดวยหิน ทราย ปูนซีเมนต และนํ้า
มารวมตั ว กั น โดยวั ส ดุ ผ สมประกอบด ว ยวั ส ดุ
หินลูกรังและกอนหิน
2 แบบ คือ วัสดุพื้นหรือเมทริกซ และวัสดุเสริม ปูนซีเมนต จะตองมีความสะอาด แข็ง ทนทาน
หรือตัวเสริมแรง ทําใหมีสมบัติพิเศษตามวัสดุ วัสดุผงละเอียดเม็ดเล็กสีเทา เมื่อ หินมุมแหลมจะใหความแข็งแรงได
ผสมกับนํา้ ในปริมาณมากพอสมควร ดีกวาหินที่มีความกลม
ที่มาผสม โดยวัสดุผสมสวนมากจะมีความแข็ง แลวทิ้งไวใหแหงจะเกิดการแข็งตัว
ทนทาน ดังนั้น วัสดุผสมจึงนําไปใชประโยชนได อาจเรียกวา ไฮดรอลิกซีเมนต (hy- ทราย
หลากหลายขึ้นอยูกับสมบัติของวัสดุที่นํามาผสม draulic cement) เพราะตองใชนํ้า เป น แร ข นาดเล็ ก ทรายเป น
เช น เสื้ อ กั น ฝนที่ เ กิ ด จากการผสมระหว า งผ า ผสมและแข็งตัวในนํา้ ได ปูนซีเมนต ตัวเติมเต็มในชองวางขนาดเล็ก ๆ
ปอร ต แลนด เ ป น ปู น ซี เ มนต ที่ ใ ช ระหว า งหิ น ขนาดใหญ ช ว ยลด
กับยาง คอนกรีตเสริมเหล็กเกิดจากการผสมวัสดุ ในการกอสรางมากที่สุด ชองวางในเนื้อคอนกรีตลง และลด
ระหวางคอนกรีตกับเหล็ก นอกจากนี้ วัสดุผสม ปญหาการไมรวมตัวของคอนกรีต
ขณะเกิดการแข็งตัว
ยังแบงออกไดเปน 2 ประเภท ตามประเภทของ ภาพที่ 3.43 องคประกอบของการทําคอนกรีต
ที่มา : คลังภาพ อจท.
วัสดุผสม คือ วัสดุผสมจากธรรมชาติ และวัสดุ
ผสมจากการสังเคราะห เมือ่ นํานํา้ ผสมกับปูนซีเมนต จะทําใหเกิดเจล
ของแข็ง ทําหนาที่ยึดเหนี่ยวอนุภาคของทรายและหิน
ใหตดิ กัน สงผลใหวสั ดุมคี วามแข็งแรง ดังนัน้ หากตองการ
ใหหินและทรายเชื่อมประสานกันไดดี จะตองมีปริมาณ
ปูนซีเมนตมากพอที่จะหุมผิวของอนุภาคหินและทราย
ไดหมด ซึ่งโดยปกติควรใชปูนซีเมนตปริมาณรอยละ 15
โดยปริมาตรของของแข็งในคอนกรีต คอนกรีตถูกนําไปใช
ประโยชนในการกอสรางสะพาน อาคาร เขือ่ น กําแพง ถนน
ภาพที่ 3.44 คอนกรีตเสริมเหล็กเปนคอนกรีตทีม่ กี ารใสเหล็กไวภายใน
และเมื่อใสเหล็กไวภายในคอนกรีตจะมีความแข็งแรง เพื่อเพิ่มความแข็งแรง
มากขึ้น เรียกคอนกรีตชนิดนี้วา คอนกรีตเสริมเหล็ก ที่มา : คลังภาพ อจท.
(reinforced concrete)
T128
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
1. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน
2) ไฟเบอรกลาสส (fiberglass) คือ เสนใยของแกวที่ปนใหเปน Science in Real Life
เสื้อกันฝนไดผลิตขึ้นครั้งแรกโดย วิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3 เล ม 1
เสนละเอียดบาง ๆ มีสว นผสม คือ ทรายแกวหรือซิลกิ าเปนสารสรางแกว และ เรื่อง วัสดุผสม
ชาลส แมกอินทอช นักเคมีชาวสกอต
โซดาแอชกับหินปูนเปนสารชวยลดจุดหลอมเหลว นํามาใชเปนวัสดุเสริมแรง เปนการนําเสนใยยางมารวมกับเสนใยฝาย 2. ให นั ก เรี ย นสรุ ป ความรู เ ป น ผั ง มโนทั ศ น
ในพอลิเมอร ไฟเบอรกลาสสถูกนําไปใชกันอยางกวางขวาง เชน หลังคา โดยรวมกันเปนชั้น ๆ จัดเปนวัสดุผสม
รถกระบะ อางอาบนํา้ เรือ ชิน้ สวนเครือ่ งบินเล็ก ถังนํา้ ขนาดใหญ เพราะไฟเบอร อีกชนิดหนึ่ง ยางจะมีสมบัติปองกันนํ้า เรื่อง วัสดุผสม ลงในกระดาษ A4 นําเสนอ
กลาสสมีความแข็งแรง สามารถใชงานในอุณหภูมิสูงได เมื่อโดนความรอน สวมใสแลวไมสบาย สวนเสนใยฝาย สวมใส ในรูปแบบที่นาสนใจ แลวนํามาสงครูผูสอน
ไมเกิดการหดตัวหรือยืดตัวงาย ทนตอการกัดกรอน ทนตอแรงกระแทก
สบาย แต ไ ม ป อ งกั น นํ้ า ซึ่ ง ป จ จุ บั น 3. ให นั ก เรี ย นตอบคํ า ถาม H.O.T.S. โดยให
เสือ้ กันฝนทํามาจากพอลิเมอรสงั เคราะห
เปนฉนวนความรอนทีด่ ี แตไฟเบอรกลาสสมกั จะเกิดการขัดสีในตัวเอง ทําให ทําใหไดเสื้อกันฝนที่มีสมบัติทั้งสวมใส
นั ก เรี ย นเขี ย นคํ า ตอบลงในสมุ ด ประจํ า ตั ว
พื้นผิวไดรับความเสียหาย จึงทําใหแรงยึดเหนี่ยวระหวางพื้นผิวของไฟเบอร สบายและปองกันนํ้าได นักเรียน
กลาสสกับพอลิเมอรตํ่า 4. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
นอกจากตัวอยางที่กลาวมา วัสดุผสมจากการสังเคราะหยังถูกนํามาใชในชีวิตประจําวันอีกมากมาย เชน และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง วัสดุผสม
นําไปทําเปนสวนประกอบของรถยนต สวนประกอบของเรือ สวนประกอบของเครื่องบิน ไมเทนนิส ไมเบสบอล 5. ตรวจผังมโนทัศน เรื่อง วัสดุผสม
สวนประกอบของหมวกนิรภัย สวนประกอบของกังหันลม 6. ตรวจคํ า ตอบ H.O.T.S. ในสมุ ด ประจํ า ตั ว
นักเรียน
7. ใหนักเรียนประเมินวิธีการสอนของครูผูสอน
โดยครูใหนักเรียนเขียนขอเสนอแนะเกี่ยวกับ
วิธกี ารสอนเพือ่ ครูจะไดนาํ ขอเสนอแนะไปปรับ
ใชกับการสอนในครั้งตอไป
นักเรียนคิดวา ไฟเบอรกลาสส
สามารถนําไปผลิตเปน
ผลิตภัณฑใดไดอีกบาง
ภาพที่ 3.48 เรือผลิตมาจากไฟเบอรกลาสส
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 7 ปรับปรุง
T129
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
มุ ด
จากการใชวัสดุประเภทพอลิเมอร เซรามิก
นส
งใ
3. สมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกกําหนดสัญลักษณเพื่อแสดงประเภทของพลาสติกไว 6 ประเภท
ล
และวัสดุผสม
ทึ ก
บั น
2. ใหนักเรียนทํากิจกรรม Engaging Activity 4. พลาสติกหมายเลข 2 คือ พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแนนสูง (HDPE)
โดยให นั ก เรี ย นร ว มกั น วิ เ คราะห แ ละแสดง 5. ถังขยะสีแดงใชสําหรับทิ้งขยะรีไซเคิลหรือขยะที่นํามาแปรรูปได
ความคิดเห็นวา จากภาพ เกิดปญหาอะไร
ส ง ผลกระทบอย า งไรต อ สิ่ ง แวดล อ ม และ
มีแนวทางในการปองกันและแกไขปญหานี้ E ngaging ใหนักเรียนพิจารณาภาพตอไปนี้ แลวรวมกันวิเคราะหวา ปญหาที่เกิดขึ้นสงผล
กระทบอยางไรตอสิ่งแวดลอม และมีแนวทางในการแกไขปญหานี้ไดอยางไร
ไดอยางไร จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน Activity
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวย
การเรียนรูที่ 3 เรื่อง ผลกระทบจากการใชวัสดุ ภาพที่ 1
ประเภทพอลิเมอร เซรามิกและวัสดุผสม
ภาพที่ 2
T130
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Key 4 ผลกระทบจากการใชวัสดุประเภท 1. ครูถามคําถาม Key Question
Question พอลิเมอร เซรามิกและวัสดุผสม 2. ครูสํารวจความรูเดิมของนักเรียน โดยถาม
ผลกระทบจากการ ในปจจุบันมีการใชผลิตภัณฑตาง ๆ ซึ่งไดจากพอลิเมอร คําถามนักเรียน ดังนี้
ใชพลาสติกมีอะไรบาง สังเคราะหและวัสดุผสมที่ไดจากการสังเคราะหกันอยางกวางขวาง • ยกตัวอยางวัสดุในชีวิตประจําวันที่จัดเปน
ซึ่งผลิตภัณฑเหลานี้ไมสามารถยอยสลายไดดวยวิธีทางชีววิทยา วัสดุประเภทพอลิเมอร
(non-biodegradable) จึงเกิดการสะสมของขยะตกคางอยูใ นสิง่ แวดลอม (แนวตอบ โฟม พลาสติก ยาง ไนลอน แปง
ยากตอการกําจัด เมื่อนํามาเผาจะกอใหเกิดควันที่เปนพิษออกสูบรรยากาศ หากนําไปฝงดินก็จะทําใหดิน ยางรถยนต)
เสื่อมสภาพ สงผลใหสิ่งแวดลอมถูกทําลายลง • ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากขยะมูลฝอยไดแก
ปจจุบนั จึงมีการรณรงคเกีย่ วกับแนวทางการใชพอลิเมอรสงั เคราะหอยางคุม คา และสงผลกระทบตอสิง่ แวดลอม อะไรบาง
นอยที่สุด โดยมี 3 แนวทาง ดังนี้ (แนวตอบ ภาวะโลกรอน มลพิษปนเปอนสู
สิ่งแวดลอม)
3. ครูเตรียมอุปกรณตะกรา 4 สี ไดแก ตะกรา
การลดการใช (reduce) การใชซํ้า (reuse) การนํากลับมาใชใหม
(recycle) สีเขียว สีเหลือง สีฟา และสีแดง และเตรียม
เปนการลดหรือใชผลิตภัณฑพอลิเมอร เป น การนํ า ผลิ ต ภั ณ ฑ พ อลิ เ มอร
สั ง เคราะห ใ ห น อ ยลง อาจใช วั ส ดุ สังเคราะหที่ผานการใชงานแลว แต เป น การนํ า ผลิ ต ภั ณ ฑ พ อลิ เ มอร บัตรภาพขยะตางๆ
หรือบรรจุภัณฑจากธรรมชาติแทน ยังมีคุณภาพดีกลับมาใชงานอีกครั้ง สังเคราะหที่เคยผานการใชงานแลว 4. ใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 4 กลุม และ
บรรจุภัณฑจากพอลิเมอรสังเคราะห เชน การใชกระดาษใหครบทัง้ 2 หนา มาผ า นการแปรรู ป เป น ผลิ ต ภั ณ ฑ ครู แ จกอุ ป กรณ ที่ เ ตรี ย มไว ใ ห กั บ นั ก เรี ย น
หรือใชบรรจุภัณฑที่มีความคงทน ใหม เพื่อนํากลับมาใชงานอีกครั้ง
สามารถนํากลับมาใชใหมได เชน ใช หนึ่ ง โดยเฉพาะพลาสติ ก ซึ่ ง เป น
แตละกลุม
ถุงผาแทนการใชถุงพลาสติก ผลิตภัณฑที่ใชกันอยางแพรหลาย 5. ใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหบัตรภาพ แลว
รวมกันสืบคนขอมูล และรวบรวมขอมูลที่ได
มาใชในการคัดแยกขยะในบัตรภาพวา ควร
ทิ้งลงในตะกราสีใด โดยตะกราแตละสีแทน
ถังขยะแตละประเภท
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
6. ครู สุ ม เรี ย กตั ว แทนแต ล ะกลุ ม ออกนํ า เสนอ สมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกแหงสหรัฐอเมริกาไดมีการกําหนดสัญลักษณ เพื่อแสดงประเภทของพลาสติก
การคัดแยกขยะในบัตรภาพ ที่สามารถนํากลับมาแปรรูปใหมได ดังนี้
7. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายวา ปจจุบัน หมายเลข 1 โพลิเอทิลนี เทเรฟทาเลต (polyethylene terephthalate; PETE; PET)
ผลิตภัณฑบางผลิตภัณฑที่ไดจากพอลิเมอร เชน ขวดนํ้า ขวดนํ้าอัดลม ขวดนํ้ามัน
เซรามิ ก และวั ส ดุ ผ สมก อ ให เ กิ ด มลพิ ษ ต อ
สิ่ ง แวดล อ ม เนื่ อ งจากย อ ยสลายค อ นข า ง
ยาก ยากตอการกําจัด หากนําไปฝงกลบดิน หมายเลข 2 โพลิเอทิลนี ชนิดความหนาแนนสูง (high density polyethylene; HDPE)
สารเคมี ใ นวั ส ดุ อ าจทํ า ให ดิ น เสื่ อ มสภาพ เชน ขวดโยเกิรต ขวดบรรจุผงซักฟอก ขวดยาสระผม
แตพลาสติกบางประเภทสามารถนํากลับมา
ใชใหมได ดังนั้น หากเรารวมมือกันคัดแยก
หมายเลข 3 โพลิไวนิลคลอไรด (polyvinyl chloride; PVC; V)
ขยะก็อาจเปนแนวทางหนึง่ ทีช่ ว ยลดผลกระทบ
จากการใช ป ระโยชน ข องวั ส ดุ ป ระเภท เชน ทอนํ้าประปา สายยางใส แผนฟลมสําหรับหออาหาร
พอลิเมอร เซรามิก และวัสดุผสม โดยถังขยะ
แบงออกไดเปนประเภทตางๆ ดังนี้ หมายเลข 4 โพลิเอทิลีนชนิดความหนาแนนตํ่า (low density polyethylene; LDPE)
- ถังขยะสีเขียว : สําหรับขยะที่ยอยสลายได เชน ฟลมหออาหารและหอของ ถุงเย็นสําหรับบรรจุอาหาร
กลายเปนปุย เชน เปลือกผลไม ใบไม
- ถังขยะสีเหลือง : สําหรับขยะทีร่ ไี ซเคิล หรือ
ขยะที่นําไปแปรรูปได หมายเลข 5 โพลิโพรพิลีน (polypropylene; PP)
- ถั ง ขยะสี ฟ า : สํ า หรั บ ขยะที่ ย อ ยสลาย เชน ภาชนะบรรจุอาหาร เชน กลอง ชาม จาน ถัง ตะกรา
ยาก เชน โฟมเปอนอาหาร ซองบะหมี่
กึ่งสําเร็จรูป
หมายเลข 6 โพลิสไตรีน (polystyrene; PS)
- ถังขยะสีแดง : สําหรับขยะอันตรายหรือ
ขยะมีพิษ เชน ถานไฟฉาย หลอดไฟฟา เชน ภาชนะบรรจุของใชตาง ๆ หรือโฟมบรรจุอาหาร
หมายเลข 7 OTHER
ไมไดมกี ารระบุชอื่ จําเพาะ ซึง่ ไมใชพลาสติก 6 ชนิด ทีก่ ลาวมา เชน โพลิคารบอเนต (poly-
carbonate; PC) ใชทาํ โคมไฟฟา โคมไฟหนาของรถยนต ใบพัดเรือ ชิน้ สวนอิเล็กทรอนิกส
ภาพที่ 3.51 สัญลักษณแสดงประเภทของพลาสติก 7 ประเภท
ที่มา : คลังภาพ อจท.
122 สัญลักษณแสดงประเภทของพลาสติก
T132
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
การใชผลิตภัณฑที่ยอยสลายไมได เชน พลาสติก โฟม แกว ซึ่งมีปริมาณการใชงานมากจึงเกิดขยะมูลฝอย 8. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม ว า เราควรร ว มกั น ลด
สูงขึ้นตามไปดวย สงผลกระทบตอสิ่งแวดลอม กอใหเกิดมลพิษทางนํ้า ดินเสื่อมสภาพ สงกลิ่นเหม็นรบกวน รวมทั้ง
เปนแหลงที่อยูอาศัยของสัตวที่เปนพาหะนําโรค ซึ่งนอกจากการลดการใชผลิตภัณฑ การใชซํ้าหรือการนําไปแปรรูป
การใช ผ ลิ ต ภั ณ ฑ พ อลิ เ มอร สั ง เคราะห
การคัดแยกขยะ โดยทิ้งขยะลงในถังขยะใหถูกประเภท จึงเปนอีกแนวทางในการแกปญหาดังกลาวที่ทําไดงาย แลวหันไปใชผลิตภัณฑพอลิเมอรจากธรรมชาติ
และสามารถรวมกันทําได ไมวาจะเปนระดับชุมชน ระดับจังหวัด จนถึงระดับประเทศ โดยถังขยะสําหรับคัดแยกขยะ แทน หรือใชผลิตภัณฑพอลิเมอรอยางประหยัด
แบงออกเปนประเภทตาง ๆ ดังนี้ หากสามารถนํากลับมาใชใหมไดและยังคง
คุณภาพดีอยู ควรใชผลิตภัณฑซํ้า และถา
ผลิ ต ภั ณ ฑ พ อลิ เ มอร สั ง เคราะห ที่ เ คยผ า น
การใชงานแลว สามารถแปรรูปเปนผลิตภัณฑ
ถังขยะสีเขียว
ใหมได ควรนํากลับมาใชงานอีกครั้งหนึ่ง
สําหรับขยะที่ยอยสลาย สามารถนําไปหมักเปนปุย เชน
เศษผัก เปลือกผลไม เศษอาหาร ใบไม
ถังขยะสีเหลือง
สําหรับขยะรีไซเคิลหรือขยะที่นําไปแปรรูปได เชน แกว
กระดาษ กระปองเครื่องดื่ม ขวดพลาสติก
ถังขยะสีฟา
สําหรับขยะทีย่ อ ยสลายยากและไมคมุ คาสําหรับการนํากลับ
มาใชประโยชนใหม เชน หอพลาสติกใสขนม ซองบะหมี่
กึ่งสําเร็จรูป โฟมบรรจุอาหาร
ถังขยะสีแดง
สําหรับขยะอันตรายหรือขยะที่มีพิษตอสิ่งมีชีวิตและ
สิ่งแวดลอม เชน หลอดไฟฟา ถานไฟฉาย กระปองสเปรย
กระปองยาฆาแมลง
ภาพที่ 3.52 ถังขยะสําหรับคัดแยกขยะประเภทตาง ๆ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
วัสดุในชีวิตประจําวัน 123
T133
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
9. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน Application
Activity
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
เรื่ อ ง ผลกระทบจากการใช วั ส ดุ ป ระเภท ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน แลวรวมกันสืบคนขอมูลเกี่ยวกับการใชประโยชนของวัสดุผสม
พอลิเมอร เซรามิกและวัสดุผสม ในชีวิตประจําวัน เชน นําไปใชเปนสวนประกอบของเครื่องบิน แลวใหนําเสนอโดยระบุวา ใชวัสดุผสมอะไรบาง
เปนสวนประกอบ ตัวอยางเชน
10. ใหนักเรียนศึกษาขอมูลเพิ่มเติมจาก Power
Point เรื่ อ ง ผลกระทบจากการใช วั ส ดุ
ประเภทพอลิเมอร เซรามิกและวัสดุผสม ไฟเบอรกลาสส
Topic Questions
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
1. วัสดุผสมคืออะไร
2. วัสดุผสมประกอบดวยองคประกอบใดบาง
3. วัสดุเสริมแรงมีความสําคัญอยางไรตอวัสดุผสม
4. ยกตัวอยางวัสดุผสมประเภทวัสดุผสมจากการสังเคราะห
5. กระดูกเปนวัสดุผสมที่มีองคประกอบใดเปนวัสดุพื้น และองคประกอบใดเปนวัสดุเสริม
6. อธิบายความหมายของคําวา non-biodegradable
7. การนํายางรถยนตเกาทีไ่ มไดใชแลวมาทําเปนเกาอีน้ งั่ ในสวน เปนแนวทางในการใชพอลิเมอรสงั เคราะหอยางไร
8. ระบุประเภทของพลาสติกที่สามารถนํากลับมาใชใหมได (recycle)
9. ถังขยะสีฟาใชสําหรับทิ้งขยะประเภทใด
10. บอกแนวทางในการคัดแยกขยะ และการใชผลิตภัณฑพอลิเมอรสังเคราะหใหคุมคา
124
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
F u n
13. ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม กลุ ม ละ 5-6 คน
Science Activity หนอนหรรษา
ทํากิจกรรม Science Activity เรื่อง หนอน
วัสดุอปุ กรณ หรรษา ในหนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าพื้ น ฐาน
1. ปเปตต วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
2. นํ้ากลั่น หนวยการเรียนรูที่ 3 วัสดุในชีวิตประจําวัน
3. บีกเกอร 14. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม
4. หลอดฉีดยา
เพื่อใหไดขอสรุปวา หนอนหรรษาเกิดจาก
5. สีผสมอาหาร
โมเลกุลของโซเดียมอัลจิเนตที่มาเชื่อมตอ
6. 1 (CaCl2)
แคลเซียมคลอไรด
กั น เป น สายยาว โดยมี แ คลเซี ย มไอออน
7. โซเดียมอัลจิเนต (C6H9NaO7)
ภาพที่ 3.54 พอลิเมอรที่มีลักษณะเปนเจลคลายหนอน
ที่มา : https://www.stevespanglerscience.com/lab/experiments/instant-worms-polymer/ เกาะกั บ สายพอลิ เ มอร ก ลายเป น สายโซ
พอลิเมอรขนาดใหญ
วิธที าํ
1. ใสโซเดียมอัลจิเนตจํานวน 2 กรัม ลงในนํ้ากลั่นปริมาตร 100 มิลลิลิตร แลวคนอยางสมํ่าเสมอ (อาจจะใชเครื่องปนชวย
ในการเตรียมสารละลาย)
2. หยดสีผสมอาหารลงในสารละลายโซเดียมอัลจิเนต (หมายเหตุ การทดลองจะใหผลดีมากขึน้ เมือ่ เตรียมสารละลายกอน 1 วัน)
3. ใสแคลเซียมคลอไรดจํานวน 2 กรัม ลงในนํ้ากลั่นปริมาตร 100 มิลลิลิตร คนจนสารละลายละลายหมด
4. หยดสารผสมระหวางโซเดียมอัลจิเนตกับสีผสมอาหารลงในสารละลายแคลเซียมคลอไรด โดยใชหลอดฉีดยาหรือปเปตต จะได
พอลิเมอรที่มีลักษณะคลายหนอนหรืออาจจะใชหลอดหยด จะไดพอลิเมอรลักษณะคลายไขปลา
หลักการทางวิทยาศาสตร
เมื่อเติมโซเดียมอัลจิเนตลงในสารละลายแคลเซียม
คลอไรด ไอออนของแคลเซียม (Ca2+) จะไปเกาะอยูกับสาย
พอลิเมอรของโซเดียมอัลจิเนต เกิดการทําปฏิกิริยาเชื่อมโยง
ระหวางโมเลกุลจนเปนสายโซพอลิเมอรขนาดใหญ ทําใหได ภาพที่ 3.56 แคลเซียมไอออนเกาะกับสายพอลิเมอรของโซเดียม
อัลจิเนต เกิดเปนสายโซขนาดใหญ ไดพอลิเมอรที่มีลักษณะเปนเจล
พอลิเมอรที่มีลักษณะเปนเจล ที่มา : คลังภาพ อจท.
วัสดุในชีวิตประจําวัน 125
T135
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
15. ครูเตรียมกลองโฟม 2 ใบ ดังนี้ Science in Real Life
ตัวอยางกลองโฟมใบที่ 1 วัสดุทางเลือกสําหรับบรรจุภัณฑ
126
T136
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
Summary 19. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน แลว
วัสดุในชีวิตประจําวัน รวมกันสืบคนขอมูลเกีย่ วกับการใชประโยชน
ของวั ส ดุ ผ สมในชี วิ ต ประจํ า วั น แล ว ให
¾ÍÅÔàÁÍà นั ก เรี ย นออกแบบวั ส ดุ ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น ที่
ÅѡɳР໚¹ÊÒ÷ÕèÁÕâÁàÅ¡ØÅ¢¹Ò´ãËÞ‹ à¡Ô´¨Ò¡ÊÒÃâÁàÅ¡ØÅàÅç¡
·ÕèàÃÕÂ¡Ç‹Ò Á͹ÍàÁÍà ÁÒÊÌҧ¾Ñ¹¸Ðâ¤àÇàŹµµ‹Í¡Ñ¹
เอือ้ ประโยชนตอ การดํารงชีวติ ลงในกระดาษ
A4 แล ว ระบุ ว า ใช วั ส ดุ ผ สมอะไรบ า ง
¢Í§¾ÍÅÔàÁÍà เปนสวนประกอบ พรอมนําเสนอในรูปแบบ
ÊÁºÑµÔ·Ò§¡ÒÂÀÒ¾¢Í§ ¾ÍÅÔàÁÍà ที่นาสนใจ
»ÃÐàÀ·¢Í§ ¾ÍÅÔàÁÍà ¢Öé¹ÍÂÙ‹¡Ñºâ¤Ã§ÊÌҧ¢Í§¾ÍÅÔàÁÍÃ
ẋ§µÒÁÅѡɳСÒÃà¡Ô´ â¤Ã§ÊÌҧẺàÊŒ¹ ÊÒÂâ«‹àÃÕ§ªÔ´¡Ñ¹
¤ÇÒÁ˹Òṋ¹ÊÙ§ á¢ç§áÅÐà˹ÕÂÇ
¾ÍÅÔàÁÍøÃÃÁªÒµÔ ÊÒÁÒöà¡Ô´¢Öé¹àͧ
µÒÁ¸ÃÃÁªÒµÔ ઋ¹ ệ§ â»ÃµÕ¹ ÂÒ§¸ÃÃÁªÒµÔ
â¤Ã§ÊÌҧẺ¡Ôè§ ÁÕ¡Ôè§á¡ÍÍ¡ÁÒ
¾ÍÅÔàÁÍÃÊѧà¤ÃÒÐË à¡Ô´¢Ö鹨ҡ¡ÒÃÊѧà¤ÃÒÐˢͧ ¤ÇÒÁ˹Òṋ¹µíèÒ Â×´ËÂØ‹¹ä´Œ
Á¹ØÉ ઋ¹ ¾ÅÒʵԡ ä¹Å͹ ¤ÇÒÁà˹ÕÂǵíèÒ
ẋ§µÒÁª¹Ô´¢Í§Á͹ÍàÁÍÃ
âÎâÁ¾ÍÅÔàÁÍà ¾ÍÅÔàÁÍ÷Õè»ÃСͺ´ŒÇÂÁ͹ÍàÁÍà â¤Ã§ÊÌҧẺËҧáË ÊÒÂâ«‹àª×èÍÁ¡Ñ¹
ª¹Ô´à´ÕÂǡѹ ઋ¹ ệ§ à«ÅÅÙâÅÊ ä¡Åâ¤à¨¹ ໚¹Ã‹Ò§áË á¢ç§ ᵋà»ÃÒЧ‹ÒÂ
⤾ÍÅÔàÁÍà ¾ÍÅÔàÁÍ÷Õèà¡Ô´¨Ò¡Á͹ÍàÁÍÃ
µ‹Ò§ª¹Ô´¡Ñ¹ ઋ¹ â»ÃµÕ¹ ä¹Å͹ 6,6
¡ÒÃ㪌»ÃÐ⪹ ÇÑÊ´Ø»ÃÐàÀ·¾ÍÅÔàÁÍÃ
¾ÅÒʵԡ ÂÒ§ àÊŒ¹ãÂ
¾ÍÅÔàÍ·ÔÅÕ¹ 㪌·íÒ ÂÒ§¸ÃÃÁªÒµÔ ¹íÒÁÒÃÕ´áÅл˜›¹à»š¹
¶Ø§ãÊ‹¢Í§àÂç¹ ãªŒ·íҶاÁ×Íá¾·Â àÊŒ¹´ŒÒ 㪌·íÒà¤Ã×èͧ
¶Ø§¢ÂÐ ¢Í§àÅ‹¹à´ç¡ ¶Ø§Âҧ͹ÒÁÑ ¹Ø‹§Ë‹Á
¾ÍÅÔÊäµÃÕ¹ 㪌·íÒ ÂÒ§Êѧà¤ÃÒÐË àª‹¹
ªÔé¹Ê‹Ç¹¢Í§µÙŒàÂç¹ ÂÒ§ºÕÍÒà 㪌·íÒÂҧö¹µ
â¿ÁºÃèØÍÒËÒà ÂҧŌÍà¤Ã×èͧºÔ¹
¾ÍÅÔäǹÔŤÅÍäô 㪌·íÒ ÂÒ§àÍʺÕÍÒà 㪌·íÒ
·‹Í¹íéÒ»ÃÐ»Ò ¡ÃÐàº×éͧ»Ù¾×é¹ Âҧö¹µ ¾×é¹Ãͧ෌Ò
วัสดุในชีวิตประจําวัน 127
T137
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
นักเรียนและครูรว มกันอภิปราย เรือ่ ง ผลกระทบ
จากการใชวัสดุประเภทพอลิเมอร เซรามิก และ
วั ส ดุ ผ สม เพื่ อ ให ไ ด ข อ สรุ ป ว า วั ส ดุ ป ระเภท à«ÃÒÁÔ¡ ¼ÅÔµÀѳ±·Õè·íÒ¨Ò¡Çѵ¶Ø´Ôºã¹¸ÃÃÁªÒµÔ ઋ¹
´Ô¹ ËÔ¹ ·ÃÒ áË¸ÒµØ ¹íÒÁÒ¼ÊÁ¡Ñ¹¢Öé¹ÃÙ»
พอลิเมอร เซรามิก และวัสดุผสม ลวนมีสมบัติ áŌǹíÒä»à¼Ò
ที่แตกตางกันและนํามาใชประโยชนที่แตกตาง
กั น โดยพลาสติ ก เป น ผลิ ต ภั ณ ฑ ที่ ถู ก นํ า มาใช ÊÁºÑµÔ·Ò§¡ÒÂÀÒ¾ ¢Í§à«ÃÒÁÔ¡
ประโยชนในชีวิตประจําวันเปนสวนใหญ ดังนั้น
เราจึงควรเลือกใชพลาสติกใหตรงกับวัตถุประสงค Çѵ¶Ø´Ôº·Õè㪌ã¹ÍصÊÒË¡ÃÃÁà«ÃÒÁÔ¡ ¡ÒâÖé¹ÃÙ»¼ÅÔµÀѳ±
Çѵ¶Ø´ÔºËÅÑ¡ 䴌ᡋ ´Ô¹ à¿Å´Ê»Òà áÅФÇÍõ« ¡ÒÃà·áºº ໚¹¡ÒâÖé¹ÃÙ»â´Â¡ÒùíÒ´Ô¹ÁÒ¼ÊÁ¡Ñº¹íéÒ
ของการใชงานและคํานึงถึงความปลอดภัยตอ áÅŒÇà·Å§ã¹áººÃÙ»·Ã§µ‹Ò§ æ àËÁÒÐÊíÒËÃѺ¡ÒüÅÔµ
สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม ควรเลือกใชพลาสติกที่ Çѵ¶Ø´ÔºàÊÃÔÁ ª‹ÇÂãËŒ¼ÅÔµÀѳ±à«ÃÒÁÔ¡ÁդسÀÒ¾ÊÙ§¢Öé¹
ᨡѹ ¢Ç´ à¤Ã×èͧÊØ¢Àѳ±
ä´Œ á ¡‹ áË ´Ô ¡ 䤵 áË â ´âÅäÁµ áÅÐ
สลายตัวงายและสามารถนํากลับมาใชใหมได ÊÒûÃСͺÍÍ¡ä«´
โดยผานการรีไซเคิลหรือการใชซาํ้ เพือ่ ลดปริมาณ
ขยะซึ่งเปนตนเหตุหนึ่งของปญหาสิ่งแวดลอม ¡ÒÃà¼ÒáÅÐà¤Å×ͺ¼ÅÔµÀѳ±
จากนั้ น ให นั ก เรี ย นสรุ ป ความรู ใ นรู ป แบบ
¢Ñ鹵͹·Õè 1 ¡ÒÃà¼Ò´Ôº ໚¹¢Ñ鹵͹áá ·íÒä´Œ
ผังมโนทัศน เรื่อง วัสดุในชีวิตประจําวัน ลงใน â´Â¡ÒÃà¾ÔèÁÍسËÀÙÁԢͧàµÒà¼ÒãËŒÊÙ§¢Öé¹Í‹ҧªŒÒ æ
กระดาษ A4 พรอมนําเสนอในรูปแบบที่นาสนใจ áÅÐÊÁíèÒàÊÁÍ à¾×èÍãËŒ¼ÅÔµÀѳ±¤§ÃÙ» äÁ‹áµ¡ªíÒÃØ´
¡ÒÃ㪌»ÃÐ⪹ÇÑÊ´Ø»ÃÐàÀ·à«ÃÒÁÔ¡
¼ÅÔµÀѳ±á¡ŒÇ »Ù¹«ÕàÁ¹µ
á¡ŒÇâ«´ÒäÅÁ 㪌·íÒ á¡ŒÇâºâëÔÅÔࡵ 㪌·íÒà¤Ã×èÍ§á¡ŒÇ »Ù¹«ÕàÁ¹µ àÁ×è͹íÒ»Ù¹«ÕàÁ¹µÁÒ¼ÊÁ¡Ñº¹íéÒ
ᡌǹíéÒ ¢Ç´¹íéÒ ã¹ËŒÍ§»¯ÔºÑµÔ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵà ¨Ðä´Œ¼ÅÖ¡¢Í§á¢ç§ 㪌໚¹ÇÑÊ´Ø
¡ÃШ¡á¼‹¹ »ÃÐÊҹ㹧ҹ¡‹ÍÊÌҧ
128
T138
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน หนวยการเรียนรู
ÇÑʴؼÊÁ ÇÑÊ´Ø·Õè»ÃСͺ´ŒÇÂÇÑÊ´Ø 2 ª¹Ô´¢Öé¹ä»
·ÕèÁÕͧ¤»ÃСͺ·Ò§à¤ÁÕᵡµ‹Ò§¡Ñ¹ ที่ 3 วัสดุในชีวิตประจําวัน
â´Â·Õèͧ¤»ÃСͺ¹Ñé¹äÁ‹ÅÐÅÒÂࢌҴŒÇ¡ѹ 2. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง ผลกระทบ
ÊÁºÑµÔ·Ò§¡ÒÂÀÒ¾ ¢Í§ÇÑʴؼÊÁ จากการใชวัสดุประเภทพอลิเมอร เซรามิก
และวัสดุผสม
ÇÑʴؾ×é¹ ËÃ×ÍàÁ·ÃÔ¡« ·íÒ˹ŒÒ·Õè㹡Òö‹Ò·ʹ 3. ตรวจคําตอบ Topic Questions ในสมุดประจําตัว
áç¡ÃзíÒ ÇÑÊ´Ø·Õè¹íÒÁÒ·íÒ໚¹ÇÑʴؾ×é¹ àª‹¹
¾ÍÅÔàÁÍà à«ÃÒÁÔ¡ âÅËÐ ¤Òú͹ á¡Ã俵
ÇÑÊ´ØàÊÃÔÁ ËÃ×͵ÑÇàÊÃÔÁáç ໚¹ÇÑÊ´Ø·Õèà¾ÔèÁ นักเรียน เพื่อประเมินความรูความเขาใจของ
ÊÁºÑµÔãËŒ¡ÑºÇÑʴؾ×é¹ â´ÂÇÑÊ´ØàÊÃÔÁÍҨ໚¹
àÊŒ¹ã ͹ØÀÒ¤ Ἃ¹ ËÃ×ͪÔé¹àÅç¡ æ
นักเรียน
4. ประเมินการออกแบบวัสดุในชีวิตประจําวันที่
¡ÒÃ㪌»ÃÐ⪹ÇÑÊ´Ø»ÃÐàÀ·ÇÑʴؼÊÁ เอื้อประโยชนตอการดํารงชีวิต
5. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุมจากการทํา
กิจกรรมในชั้นเรียนและการทํางานรายบุคคล
ÇÑʴؼÊÁ¨Ò¡¸ÃÃÁªÒµÔ ÇÑʴؼÊÁ¨Ò¡¡ÒÃÊѧà¤ÃÒÐË 6. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต
¡Ãд١ ¨Ñ´àÃÕ§µÑÇ â´Â·Õè äÁŒ ¨Ñ´àÃÕ§µÑÇ â´Âà«ÅÅÙâÅÊ ¤Í¹¡ÃÕµ »ÃСͺ´ŒÇ ä¿àºÍáÅÒÊÊ »ÃСͺ´ŒÇ ความมีวนิ ยั ใฝเรียนรู และมุง มัน่ ในการทํางาน
¤ÍÅÅÒਹ໚¹ÇÑʴؾ×é¹ ·íÒ˹ŒÒ·Õè໚¹ÇÑʴؾ×é¹ áÅÐÁÕ ËÔ¹ ·ÃÒ »Ù¹«ÕàÁ¹µ àÊŒ¹ãÂá¡ŒÇÃÇÁ¡Ñº¾ÍÅÔàÁÍÃ
áÅÐÁÕÇÑÊ´ØàÊÃÔÁ໚¹ ÅÔ¡¹Ô¹à»š¹ÇÑÊ´ØàÊÃÔÁ áÅйíÒé àÁ×Íè ¹íÒé ¼ÊÁ¡Ñº ¹ÔÂÁ¹íÒä»ãªŒÍ‹ҧ¡ÇŒÒ§¢ÇÒ§
á¤Åà«ÕÂÁ¿ÍÊ࿵ ·íÒãËŒ ·íÒ˹ŒÒ·Õè»ÃÐÊÒ¹ãËŒ »Ù¹«ÕàÁ¹µ ¨Ð·íÒãËŒà¡Ô´¼ÅÖ¡ ઋ¹ ËÅѧ¤Òö¡ÃкР͋ҧÍÒº¹íÒé
¡Ãд١ÁÕÊÁºÑµÔàªÔ§¡Å·Õè´Õ ͧ¤»ÃСͺã¹äÁŒàª×èÍÁ¡Ñ¹ ¢Í§á¢ç§ÂÖ´à˹ÕÂè Ç͹ØÀÒ¤ ʋǹ»ÃСͺ¢Í§àÃ×Í ªÔé¹Ê‹Ç¹
¢Í§·ÃÒÂáÅÐËÔ¹ãËŒµ´Ô ¡Ñ¹ ¢Í§à¤Ã×èͧºÔ¹
àÁ×Íè ãÊ‹àËÅç¡äÇŒÀÒÂã¹ ¨Ð
àÃÕÂ¡Ç‹Ò ¤Í¹¡ÃÕµàÊÃÔÁàËÅç¡
วัสดุในชีวิตประจําวัน 129
พอลิเมอรชนิดหนึ่งที่มีความทนทานสูง ทนตอการผุกรอนและรังสี 3
4
ความคิดสร้างสรรค์
ความเป็นระเบียบ
รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
มีอายุการใชงานที่ยาวนานกวา
1. ผลงานตรงกับ ผล งา น สอดค ล้ องกั บ ผ ล ง า น ส อด ค ล้ อ งกั บ ผลงานสอดคล้ อ งกั บ ผลงานไม่ ส อดคล้ อ ง
จุดประสงค์ที่ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ บ า ง กับจุดประสงค์
กาหนด ประเด็น
2. ผลงานมีความ เนื้ อ หาสาระของผลงาน เนื้ อ หาสาระของผลงาน เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ข อ ง เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ข อ ง
ถูกต้องของ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ผลงานถูกต้องเป็นบาง ผลงานไม่ถูกต้องเป็น
เนื้อหา ประเด็น ส่วนใหญ่
3. ผลงานมีความคิด ผ ล ง า น แ ส ด ง อ อ ก ถึ ง ผลงานมี แ นวคิ ด แปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผ ล ง า น ไ ม่ แ ส ด ง
สร้างสรรค์ ค ว า ม คิ ด ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ใหม่ แ ต่ ยั ง ไม่ เ ป็ น ระบบ แ ต่ ยั ง ไ ม่ มี แ น ว คิ ด แนวคิดใหม่
แปลกใหม่และเป็นระบบ แปลกใหม่
4. ผลงานมีความ ผ ล ง า น มี ค ว า ม เ ป็ น ผลงานส่ ว นใหญ่ มี ค วาม ผลงานมี ค วามเป็ น ผลงานส่ ว นใหญ่ ไ ม่
เป็น ระเบียบ ระเบี ย บแสดงออกถึ ง เ ป็ น ร ะ เ บี ย บ แ ต่ ยั ง มี ร ะ เ บี ย บ แ ต่ มี เป็นระเบียบและมีข้อ
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย ข้อบกพร่องบางส่วน บกพร่องมาก
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 7 ปรับปรุง
T139
นํา สอน สรุป ประเมิน
4. เสนใยกึ่งสังเคราะหเกิดจากการนําเสนใยจากพืชและเสนใยจากสัตวมารวมกัน 1.3
ุด
สม
ใน
ลง
ทึ ก
6. แกวโซดาไลมมีสมบัติไมทนกรด-เบส จึงไมควรนํามาใชบรรจุสารเคมี 2.3
บั น
7. ปูนซีเมนตปอรตแลนด เหมาะสําหรับนําไปใชในงานกอสรางที่ไมตอ งการ
2.3
นํา้ หนักมาก เชน งานกอ งานฉาบ
130
จงระบุสัญลักษณแสดงประเภทของพลาสติกที่สามารถนํากลับมาแปรรูปบนผลิตภัณฑพลาสติกหมายเลข 1-3
(วิเคราะหคําตอบ
ผลิตภัณฑหมายเลข 1 เปนพลาสติกประเภทพอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต สัญลักษณ คือ
ผลิตภัณฑหมายเลข 2 เปนพลาสติกชนิดอื่น สัญลักษณ คือ
ผลิตภัณฑหมายเลข 3 เปนพลาสติกประเภทพอลิไวนิลคลอไรด สัญลักษณ คือ )
T140
นํา สอน สรุป ประเมิน
T141
นํา สอน สรุป ประเมิน
6. ยางธรรมชาติมีสมบัติตานทานตอแรงดึงสูง
ทนตอการขัดถู ยืดหยุนไดดี ไมละลายนํ้า
มีความแข็ง แตเปราะ เมื่ออุณหภูมิตํ่ากวา
6. ระบุสมบัติของยางธรรมชาติและการนําไปใชประโยชน
อุณหภูมหิ อ งจะไมทนตอตัวทําละลายอินทรีย
และนํ้ามันเบนซิน จึงนิยมนํามาใชทําถุงมือ 7. ระบุขอดีและขอเสียของเสนใยธรรมชาติและเสนใยสังเคราะห
แพทย ถุงยางอนามัย 8. เซรามิกคืออะไร
7. 9. วัตถุดิบหลักที่ใชในการผลิตเซรามิกมีอะไรบาง และมีสมบัติอยางไร
ประเภท
ขอดี ขอเสีย 10. วัตถุดิบหลักชนิดใด ที่ชวยใหผลิตภัณฑเซรามิกเกิดความแข็งแรง ไมโคงงอ และทําใหผลิตภัณฑกอนเผา
เสนใย
และหลังเผาหดตัวไดนอยลง
ดูดซับนํ้าและ ขึ้นรางายในที่ชื้น
เสนใย 11. การขึ้นรูปผลิตภัณฑดวยการเทแบบเหมาะสําหรับผลิตภัณฑประเภทใด
ระบายนํ้าไดดี เมื่อถูกความรอน
ธรรมชาติ
จะหดตัว 12. แกวชนิดใดเหมาะสําหรับนําไปใชงานในหองปฏิบัติการวิทยาศาสตรและมีสมบัติอยางไร
นํ้าหนักเบา ยอยสลายยาก 13. วัตถุดิบที่ใชในการผลิตปูนซีเมนตมีกี่ประเภท และอะไรบาง
ทนตอจุลินทรีย ระบายความรอน
14. อธิบายความแตกตางระหวางปูนซีเมนตปอรตแลนด ปูนซีเมนตผสม และปูนซีเมนตขาว
เสนใย ไมยับงาย ไมดี
สังเคราะห ไมดูดนํ้า ทนตอ 15. ถาตองการนําปูนซีเมนตไปตกแตงอาคาร ควรเลือกใชปูนซีเมนตประเภทใด
สารเคมี ซักงาย 16. ถาตองการผลิตวัสดุผสมชนิดหนึ่ง โดยใหวัสดุผสมนั้นมีนํ้าหนักเบา แตมีความแข็งแรง ไมเปราะ ทนตอการ
แหงแร็ว สึกกรอน และทนความรอนไดดี ควรเลือกใชวัสดุชนิดใดบาง เพราะเหตุใด
8. เซรามิก คือ ผลิตภัณฑที่ทําจากวัตถุดิบ 17. ยกตัวอยางวัสดุผสมในชีวิตประจําวัน พรอมทั้งระบุชนิดของวัสดุที่นํามาเปนสวนประกอบของวัสดุนั้น
ในธรรมชาติ เชน ดิน หิน ทราย แรธาตุ
18.
ตางๆ นํามาผสมกันแลวขึ้นเปนรูปทรง
ตางๆ แลวนําไปเผาเพื่อใหคงรูป
9. ดิน เฟลดสปารหรือแรฟนมา ควอรตซหรือ
6 ภาพที่ 3.61 สัญลักษณของพลาสติกหมายเลข 6
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แรเขี้ยวหนุมาน
10. ควอรตซหรือแรเขี้ยวหนุมาน จากภาพคือสัญลักษณของพลาสติกที่นําไปใชทําผลิตภัณฑใด
11. แจกัน ขวด หรือเครื่องสุขภัณฑ 19. การใชผลิตภัณฑพอลิเมอรทําใหเกิดผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอมหรือไม อยางไร
12. แกวโบโรซิลิเกต
13. 3 ประเภท ไดแก ปูนซีเมนตปอรตแลนด
ปูนซีเมนตผสม และปูนซีเมนตขาว
132
T142
นํา สอน สรุป ประเมิน
14. ปูนซีเมนตปอรตแลนดไดจากการบดปูนเม็ด
กั บ ยิ ป ซั ม ปู น ซี เ มนต ผ สมมี ก ารเติ ม ทราย
หรือหินปูนละเอียดลงไป และปูนซีเมนตขาว
20. พิจารณาภาพ แลวจับคูภาพใหตรงกับขอความตอไปนี้
มีวัตถุดิบหลัก คือ ปูนขาว
15. ปูนซีเมนตขาว
16. วัสดุประเภทพอลิเมอร เพราะนํา้ หนักเบา ผสม
กับวัสดุประเภทเซรามิก เพราะมีความแข็งแรง
ทนความรอนได
ผาไหม ฟนปลอม
ก. ข. 17. พิจารณาคําตอบของนักเรียน โดยมีแนวการ
ตอบ เชน เสื้อกันฝนเกิดจากนํ้ายางธรรมชาติ
ผสมกับผา ยางรถยนตเกิดจากยางสังเคราะห
ผสมกับถาน
18. โฟมบรรจุอาหารหรือภาชนะบรรจุของใช
โครงของไมแบดมินตัน ถุงมือแพทย
19. ส ง ผลกระทบต อ สิ่ ง มี ชี วิ ต และสิ่ ง แวดล อ ม
ค. ง. โดยเฉพาะผลิตภัณฑจากพอลิเมอรสังเคราะห
เช น พลาสติ ก จะย อ ยสลายยากและยาก
ตอการกําจัด
20. 20.1 ง.
20.2 ก.
20.3 จ.
แห เสื้อกันฝน
20.4 ข.
จ. ฉ.
ภาพที่ 3.62 ผลิตภัณฑที่ผลิตจากวัสดุตาง ๆ 20.5 ค.
ที่มา : คลังภาพ อจท. 20.6 ฉ.
20.1 ผลิตภัณฑที่ไดจากพอลิเมอรที่มีมอนอเมอรเปนไอโซพรีน
20.2 ผลิตภัณฑที่ไดจากเสนใยธรรมชาติ
20.3 ผลิตภัณฑที่ไดจากพอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต
20.4 ผลิตภัณฑที่ไดจากเซรามิก
20.5 ผลิตภัณฑที่ไดจากวัสดุผสมกัน ทําใหมีนํ้าหนักเบา แข็งแรง และยืดหยุนได
20.6 ผลิตภัณฑที่ไดจากวัสดุ 2 ชนิดรวมตัวกัน แลวเรียงซอนกันเปนชั้น ๆ
วัสดุในชีวิตประจําวัน 133
T143
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช จ�ดประสงค ว�ธ�สอน ประเมิน ทักษะที่ได
การเร�ยนรู อันพึงประสงค
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบกอนเรียน 1. อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมี 5Es - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการทดลอง - มีวินัย
ปฏิกิริยาเคมี - หนังสือเรียนรายวิชา ได (K) Instructional กอนเรียน - ทักษะการ - ใฝเรียนรู
พื้นฐานวิทยาศาสตร 2. สรางแบบจําลองการจัดเรียง Model - ตรวจแบบฝกหัด ลงความเห็น - มุงมั่นใน
3 และเทคโนโลยี ม.3
เลม 1
ตัวใหมของอะตอมเมื่อเกิด
ปฏิกิริยาเคมีได (P)
- ตรวจใบงาน เรื่อง
การเปลี่ยนแปลง
จากขอมูล
- ทักษะการ
การทํางาน
ชั่วโมง - แบบฝกหัดรายวิชา 3. มีความใฝเรียนรูแ ละมุงมั่น ของสาร ตีความหมายขอมูล
พื้นฐานวิทยาศาสตร ในการทํางาน (A) - ตรวจแบบจําลอง และลงขอสรุป
และเทคโนโลยี ม.3 อะตอม - ทักษะการกําหนด
เลม 1 - การปฏิบัติกิจกรรม และควบคุมตัวแปร
- QR Code - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการสราง
- ใบงาน ใฝเรียนรู และมุงมั่น แบบจําลอง
ในการทํางาน
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายปฏิกิริยาเคมีซึ่งเปน แบบบรรยาย - ตรวจแบบฝกหัด - ทักษะการ - มีวินัย
การเขียน พื้นฐานวิทยาศาสตร ไปตามกฎทรงมวลได (K) (Lecture - สังเกตพฤติกรรม ตีความหมายขอมูล - ใฝเรียนรู
สมการเคมี และเทคโนโลยี ม.3 2. เขียนสมการขอความซึ่ง Method) การทํางานกลุม และลงขอสรุป - มุงมั่นใน
เลม 1 เกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่เกิด - สังเกตความมีวินัย การทํางาน
3 - แบบฝกหัดรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร
ขึ้นได (P)
3. มีความใฝเรียนรูและมุงมั่น
ใฝเรียนรู และมุงมั่น
ในการทํางาน
ชั่วโมง และเทคโนโลยี ม.3 ในการทํางาน (A)
เลม 1
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายปฏิกิริยาดูดและ ทดลอง - ตรวจแบบฝกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
ประเภทของ พื้นฐานวิทยาศาสตร คายความรอนได (K) (Experimental - การปฏิบัติกิจกรรม - ทักษะการทดลอง - ใฝเรียนรู
ปฏิกิริยาเคมี และเทคโนโลยี ม.3 2. วิเคราะหประเภทของ Method) - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการ - มุงมั่นใน
เลม 1 ปฏิกิริยาเคมีจากการเปลี่ยน การทํางานกลุม ลงความเห็น การทํางาน
2 - แบบฝกหัดรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร
แปลงพลังงานความรอน
ของปฏิกิริยาเคมีได (P)
- สังเกตความมีวินัย
ใฝเรียนรู และมุงมั่น
จากขอมูล
- ทักษะการกําหนด
ชั่วโมง และเทคโนโลยี ม.3 3. มีความใฝเรียนรูและมุงมั่น ในการทํางาน และควบคุมตัวแปร
เลม 1 ในการทํางาน (A)
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายปฏิกริ ยิ าเคมีทเี่ กิดขึน้ ทดลอง - ตรวจแบบฝกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
ชนิดของ พื้นฐานวิทยาศาสตร ในชีวิตประจําวันได (K) (Experimental - การปฏิบัติกิจกรรม - ทักษะการทดลอง - ใฝเรียนรู
ปฏิกิริยาเคมี และเทคโนโลยี ม.3 2. เขียนสมการขอความแสดง Method) - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการ - มุงมั่นใน
เลม 1 ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้น การทํางานกลุม ลงความเห็น การทํางาน
3 - แบบฝกหัดรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร
ในชีวิตประจําวันได (P)
3. ตระหนักถึงความสําคัญ
- สังเกตความมีวินัย
ใฝเรียนรู และมุงมั่น
จากขอมูล
- ทักษะการ
ชั่วโมง และเทคโนโลยี ม.3 ของปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้น ในการทํางาน ตีความหมายขอมูล
เลม 1 ในชีวิตประจําวัน (A) และลงขอสรุป
- QR Code
แผนฯ ที่ 5 - แบบทดสอบหลังเรียน 1. ระบุประโยชนและโทษของ 5Es - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการจัดกระทํา - มีวินัย
ประโยชน - หนังสือเรียนรายวิชา ปฏิกิริยาเคมีที่มีตอสิ่งมีชีวิต Instructional หลังเรียน และสื่อความหมาย - ใฝเรียนรู
และโทษของ พื้นฐานวิทยาศาสตร และสิ่งแวดลอมได (K) Model - ตรวจแบบฝกหัด ขอมูล - มุงมั่นใน
ปฏิกิริยาเคมี และเทคโนโลยี ม.3 2. ยกตัวอยางวิธีการปองกัน - ตรวจผังมโนทัศน การทํางาน
เลม 1 และแกปญหาที่เกิดจาก เรื่อง ปฏิกิริยาเคมี
2 - แบบฝกหัดรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร
ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิต
ประจําวันได (K)
- ตรวจปายนิเทศ
- Unit Questions
ชั่วโมง และเทคโนโลยี ม.3 3. ออกแบบวิธีปองกันและ - สังเกตพฤติกรรม
เลม 1 แกปญหาที่เกิดจาก การทํางานกลุม
- PowerPoint ปฏิกิริยาเคมีได (P) - สังเกตความมีวินัย
- ภาพประกอบการสอน 4. ตระหนักถึงประโยชนและ ใฝเรียนรู และมุงมั่น
- ภาพยนตรสารคดีสั้น โทษของปฏิกิริยาเคมีที่มี ในการทํางาน
Twig ตอสิ่งมีชีวิต (A)
T144
Chapter Concept Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4
การเกิดปฏิกิริยาเคมี
กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสารที่ทําใหเกิดสารชนิดใหมซึ่งมีสมบัติแตกตางไปจากสารเดิม
สารตั้งตน (reactant) สามารถเขียนแทนดวยประโยคสัญลักษณ เรียกวา สมการเคมี ดังนี้
อาจประกอบดวยสารเพียงชนิดเดียว หรือ สารตั้งตน ผลิตภัณฑ
ตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป หากสารตั้งตนและผลิตภัณฑมีมากกวา 1 ชนิด จะเขียนได ดังนี้
สารตั้งตน A + สารตั้งตน B ผลิตภัณฑ C + ผลิตภัณฑ D
และถาปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นในภาชนะปด มวลรวมของสารทั้งหมด
ผลิตภัณฑ (product) กอนเกิดปฏิกริ ยิ าจะเทากับมวลรวมของสารทัง้ หมดหลังเกิดปฏิกริ ยิ า
สารใหมที่เกิดขึ้นหลังจากเกิดปฏิกิริยาเคมี ซึ่งเปนไปตามกฎทรงมวล
ซึ่งมีสมบัติแตกตางไปจากสารตั้งตน
• ประเภทของปฏิกิริยาเคมี
แบงออกไดเปน 2 ประเภท ตามอุณหภูมิของสารละลายที่เปลี่ยนแปลงไป
ปฏิกิริยาดูดความรอน (endothermic reaction) ปฏิกิริยาคายความรอน (exothermic reaction)
- ระบบจะดูดพลังงานความรอนเขาไปมากกวา - ระบบจะคายพลังงานความรอนออกมามากกวา
คายพลังงานความรอน ดูดพลังงานความรอน
- สารตั้งตนมีพลังงานตํ่ากวาผลิตภัณฑ - สารตั้งตนมีพลังงานสูงกวาผลิตภัณฑ
- เมื่อสัมผัสภาชนะจะรูสึกเย็น - เมื่อสัมผัสภาชนะจะรูสึกรอน
• ชนิดของปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจําวัน
ปฏิกิริยาเคมี สารตั้งตน ผลิตภัณฑ
การเผาไหมแบบสมบูรณ สารประกอบไฮโดรคารบอน + แกสออกซิเจน แกสคารบอนไดออกไซด + นํ้า + พลังงาน
สารประกอบไฮโดรคารบอน + แกสออกซิเจน แกสคารบอนมอนอกไซด + นํ้า + พลังงาน +
การเผาไหมแบบไมสมบูรณ
(ไมเพียงพอ) เขมาควัน
การเกิดสนิมของเหล็ก เหล็ก + นํ้า + แกสออกซิเจน สนิมของเหล็ก
กรดกับโลหะ กรด + โลหะ เกลือของโลหะ + แกสไฮโดรเจน
กรดกับเบส กรด + เบส เกลือของโลหะ + นํ้า
เบสกับโลหะบางชนิด เบส + โลหะบางชนิด (Al, Zn) เกลือของเบส + แกสไฮโดรเจน
กรดกับสารประกอบคารบอเนต กรด + สารประกอบคารบอเนต เกลือของโลหะ + แกสคารบอนไดออกไซด + นํ้า
นํ้าฝน + ออกไซดของไนโตรเจน นํ้าฝนที่มีสมบัติเปนกรด
การเกิดฝนกรด
หรือออกไซดของซัลเฟอร (กรดซัลฟวริกหรือกรดไนตริก)
การสังเคราะหดวยแสงของพืช แกสคารบอนไดออกไซด + นํ้า นํ้าตาลกลูโคส + แกสออกซิเจน
ประโยชนและโทษของปฏิกิริยาเคมี
• ประโยชนของปฏิกิริยาเคมี • โทษของปฏิกิริยาเคมี
- ชวยปรับสภาพนํ้าเสียดวยปฏิกิริยาเคมี - เกิดแกสที่สงผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม
- สรางพลังงานความรอนโดยปฏิกิริยาการเผาไหม - ทําลายวัสดุที่ทําจากโลหะและหินปูน
- การตกตะกอนของไอออนของโลหะหนักบางชนิด
T145
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ผลิตภัณฑ์
สารใหมที่เกิดจากปฏิกิริยา
เคมี ซึ่งมีสมบัติแตกตาง
จากสารตั้งตน
ตัวชี้วัด
ว 2.1 ม.3/3 อธิบายการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี รวมถึงการจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมเมือ่ เกิดปฏิกริ ยิ าเคมี โดยใช้แบบจ�าลองและสมการ
ข้อความ
ว 2.1 ม.3/4 อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
ว 2.1 ม.3/5 วิเคราะห์ปฏิกิริยาดูดความร้อน และปฏิกิริยาคายความร้อน จากการเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อนของปฏิกิริยา
ว 2.1 ม.3/6 อธิบายปฏิกิริยาการเกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรดกับเบส และปฏิกิริยาของเบส
กับโลหะ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และอธิบายปฏิกิริยาการเผาไหม้ การเกิดฝนกรด การสังเคราะห์ด้วยแสง
โดยใช้สารสนเทศ รวมทั้งเขียนสมการข้อความแสดงปฏิกิริยาดังกล่าว
ว 2.1 ม.3/7 ระบุประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมีที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม และยกตัวอย่างวิธีการป้องกันและแก้ปัญหา
แนวตอบ Big Question
ที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจ�าวัน จากการสืบค้นข้อมูล
ในชีวิตประจําวัน มนุษยทํากิจกรรมที่เกี่ยวของ ว 2.1 ม.3/8 ออกแบบวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจ�าวัน โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี โดยบูรณาการวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
กั บ ปฏิ กิ ริ ย าเคมี ห รื อ กิ จ กรรมที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ การ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์
เปลี่ยนแปลงทางเคมีอยูเสมอ เชน การทําอาหาร
การยอยอาหาร การเผาไหมเชื้อเพลิง การหายใจ
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอน เรื่อง ปฏิกิริยาเคมี นักเรียนจะไดศึกษาเกี่ยวกับการ
เกิดปฏิกิริยาเคมี โดยกอนเขาสูบทเรียนครูอาจทบทวนความรูพื้นฐานเกี่ยวกับ
การเปลี่ ย นแปลงของสารที่ นั ก เรี ย นพบเห็ น ในชี วิ ต ประจํ า วั น โดยครู อ าจ
ใหนักเรียนยกตัวอยางสถานการณที่เกิดขึ้นรอบตัวนักเรียน หรือใหนักเรียน
ยกตัวอยางสถานการณที่นักเรียนคิดวาเกิดปฏิกิริยาเคมี นอกจากนี้ ครูควรเนน
ใหนักเรียนทบทวนความรู เรื่อง ชื่อและสูตรทางเคมีของสารในชีวิตประจําวัน
ซึ่งเปนสิ่งจําเปนในการเขียนสมการเคมี
T146
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Check for Understanding 4. ใหนักเรียนตรวจสอบความรูของตนเองกอน
พิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึก เข า สู ก ารเรี ย นการสอนจากกรอบ Check
ถูก/ผิด for Understanding ในหนังสือเรียนรายวิชา
1. สารที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีจะมีสมบัติแตกต่างจากสารเดิม พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
2. เมื่อสารเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนกลับเป็นสารเดิมได้ หนวยการเรียนรูท ี่ 4 เรือ่ ง การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
มุ ด
5. ใหนักเรียนทํากิจกรรม Engaging Activity
นส
3. การเปลี่ยนสถานะของสารเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมีประเภทหนึ่ง
งใ
ล
โดยใหนักเรียนศึกษาภาพ แลวระบุวาภาพใด
ทึ ก
4. ปฏิกิริยาเคมีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีสารตั้งต้นตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป มาท�าปฏิกิริยากัน
บั น
5. การเกิดปฏิกิริยาเคมีก่อให้เกิดสารชนิดใหม่ขึ้นเสมอ เกิ ด ปฏิ กิ ริ ย าเคมี ในหนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช า
พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
หนวยการเรียนรูท ี่ 4 เรือ่ ง การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
E ngaging พิจารณาภาพที่ก�าหนดให้ แล้วระบุว่าการเปลี่ยนแปลงของสารในภาพใดเปนการ
เกิดปฏิกิริยาเคมี
6. ใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนเพื่อแลกเปลี่ยนความ
คิดเห็น
Activity
7. ครูสุมเรียกนักเรียน 2-3 คน เสนอคําตอบ
8. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายคําตอบจาก
ภาพที่ 1 การละลายของน�้าแข็ง ภาพที่ 2 การเผาไหม้ของถ่านไม้
กิจกรรม Engaging Activity
T147
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ใหนักเรียนตอบคําถาม Key Question Key 1 การเกิดปฏิกิริยาเคมี
2. ใหนักเรียนศึกษา เรื่อง การเกิดปฏิกิริยาเคมี Question หากสังเกตสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ
จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ปฏิกริ ยิ าเคมี และกิจกรรมของมนุษย์ จะพบว่า สารมีการเปลี่ยนแปลงและท�าให้
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 4 เกิดขึน
้ ได้อย่างไร เกิดสารใหม่ขึ้นตลอดเวลา เช่น การสุกของผลไม้ การเผาไหม้
เรื่อง การเกิดปฏิกิริยาเคมี ของเชื้อเพลิง การเกิดสนิมของเหล็ก ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลง
3. ครู เ ตรี ย มสารละลายและอุ ป กรณ ที่ ใ ช ทํ า ของสารที่ท�าให้เกิดสารชนิดใหม่ที่มีสมบัติแตกต่างจากสารเดิม
เรียกว่า การเกิดปฏิกิริยาเคมี
กิจกรรม การเกิดปฏิกิริยาเคมี ตามหนังสือ
เรี ย นรายวิ ช าพื้ น ฐานวิ ท ยาศาสตร แ ละ ปฏิกริ ยิ าเคมี (chemical reaction) เป็นกระบวนการ
เทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 4 ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของสาร ท�าให้เกิด
เรื่อง การเกิดปฏิกิริยาเคมี สารชนิดใหม่ซงึ่ มีสมบัตเิ ปลีย่ นแปลงไปจากเดิม การเกิด
ปฏิกิริยาเคมีประกอบด้วยสาร 2 กลุ่ม คือ สารที่เข้าท�า
ปฏิกิริยากัน เรียกว่า สารตั้งต้น (reactant) ซึ่งอาจ
ประกอบด้วยสารเพียงชนิดเดียว หรือตั้งแต่ 2 ชนิด
ขึน้ ไปท�าปฏิกริ ยิ ากัน และสารชนิดใหม่ทเี่ กิดขึน้ เรียกว่า
ผลิตภัณฑ์ (product) ซึ่งเป็นสารที่มีสมบัติแตกต่างไป ภาพที่ 4.2 ปฏิกิริยาเคมีเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของสาร
จากสารตั้งต้น ท�าให้เกิดสารชนิดใหม่ที่มีสมบัติเปลี่ยนแปลงไป
ที่มา : คลังภาพ อจท.
กิจกรรม
การเกิดปฏิกิริยาเคมี
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
จุดประสงค์ - การสังเกต
- การทดลอง
ทดลองและอธิบายการเปลี่ยนแปลงของสารที่สังเกตได้เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี - การลงความเห็นจากข้อมูล
จิตวิทยาศาสตร์
- ความสนใจใฝ่รู้
วัสดุอปุ กรณ์ - ความรอบคอบ
T148
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน ทํา
วิธปี ฏิบตั ิ
กิจกรรม การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี ในหนังสือเรียน
1. เตรียมหลอดทดลอง 4 หลอด แตละหลอดทําการทดลองแตกตางกัน ดังนี้
- หลอดทดลองที่ 1 ใสสารละลายโพแทสเซียมไอโอไดดปริมาตร 2 ลูกบาศกเซนติเมตร แลวหยดสารละลายเลด (II) ไนเตรต
รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ทีละหยดจนครบ 5 หยด ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 4 เรื่อง การเกิด
- หลอดทดลองที่ 2 ใสผงฟู 1 ชอนเบอร 1 แลวหยดนํ้าสมสายชูลงไป 20 หยด ปฏิ กิ ริ ย าเคมี โดยให ส มาชิ ก ภายในกลุ ม
- หลอดทดลองที่ 3 ใสสารละลายดางทับทิมปริมาตร 2 ลูกบาศกเซนติเมตร แลวหยดสารละลายกรดไฮโดรคลอริกทีละหยด แบงภาระและหนาที่รับผิดชอบ
จนครบ 20 หยด
- หลอดทดลองที่ 4 ใสสารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนตปริมาตร 2 ลูกบาศกเซนติเมตร แลวเติมกรดซิตริกครึ่งชอน
5. นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น อภิ ป รายหลั ง ทํ า
เบอร 1 กิ จ กรรม เพื่ อ ให ไ ด ข อ สรุ ป ว า หลั ง เกิ ด
2. สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของสารในหลอดทดลองกอนและหลังการเติมสาร แลวบันทึกผลการทดลอง ปฏิกิริยาเคมีจะทําใหสารบางชนิดมีอุณหภูมิ
เปลีย่ นแปลงไป บางสารเกิดฟองแกส บางสาร
มีสีที่เปลี่ยนแปลงไป บางสารเกิดตะกอน
6. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
อธิบายความรู
7. ใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นรวมกันอธิบายความรู
เกี่ยวกับเรื่อง ปฏิกิริยาเคมี
หลอดทดลองที่ 1 หลอดทดลองที่ 2 หลอดทดลองที่ 3 หลอดทดลองที่ 4
8. ครูสมุ เรียกนักเรียน 2 คน ออกมาหนาชัน้ เรียน
ภาพที่ 4.3 กิจกรรมการเกิดปฏิกิริยาเคมี อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ที่มา : คลังภาพ อจท.
คําถามทายกิจกรรม
1. สารในหลอดทดลองทั้ง 4 หลอด มีการเปลี่ยนแปลงอยางไร
2. หลอดทดลองใดบางทีเ่ กิดปฏิกิริยาเคมีขึ้น และทราบไดอยางไร
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
อภิปรายผลกิจกรรม 1. หลอดทดลองที่ 1 เกิ ด ตะกอนสี เ หลื อ ง
จากกิจกรรม พบวา หลอดทดลองทัง้ 4 หลอด มีการเปลีย่ นแปลงเกิดขึน้ ดังนี้ หลอดทดลองที่ 1 เมือ่ ผสมสารละลายโพแทสเซียม หลอดทดลองที่ 2 เกิดฟองแกส หลอดทดลอง
ไอโอไดดกับสารละลายเลด (II) ไนเตรตจะเกิดตะกอนสีเหลือง หลอดทดลองที่ 2 เมื่อเติมนํ้าสมสายชูลงในผงฟูจะไดสารละลาย ที่ 3 สีของสารละลายเปลี่ยนเปนไมมีสี และ
ไมมีสี และมีฟองแกสเกิดขึ้น หลอดทดลองที่ 3 เมื่อหยดสารละลายกรดไฮโดรคลอริกลงในสารละลายดางทับทิม สีของสารละลาย หลอดทดลองที่ 4 อุณหภูมิของสารละลาย
ดางทับทิมจะจางหายไป และหลอดทดลองที่ 4 เมื่อเติมกรดซิตริกลงในสารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนต อุณหภูมิของ
ลดลง
สารละลายจะลดลง
2. หลอดทดลองทั้ง 4 หลอด เกิดปฏิกิริยาเคมี
เนื่ อ งจากสั ง เกตเห็ น ตะกอน เกิ ด ฟองแก ส
ปฏิกิริยาเคมี 137 สีของสารละลายเปลี่ยนแปลง รวมทั้งอุณหภูมิ
ของสารที่เปลี่ยนแปลงไป
T149
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
9. นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ จากกิจกรรม จะเห็นวา การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการเปลี่ยนแปลงและมีสารใหมที่มีสมบัติแตกตางไปจาก
สารเดิมเกิดขึ้น ซึ่งสังเกตได ดังนี้
ปฏิ กิ ริ ย าเคมี โดยครู อ าจใช แ บบจํ า ลอง - การเปลี่ยนสีของสาร เชน การเปลี่ยนสีของสารละลายไอโอดีนในการทดสอบแปง ซึ่งเปลี่ยนจากสีนํ้าตาล
อะตอมประกอบการอธิบายการจัดเรียงตัว เปนสีนํ้าเงินแกมมวง
ใหมของอะตอมเมื่อสารเกิดปฏิกิริยาเคมี - การเกิดตะกอน เชน สารละลายเลด (II) ไนเตรตและสารละลายโพแทสเซียมไอโอไดดเปนของเหลวใส
10. ใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การเปลี่ยนแปลง ไมมีสี เมื่อผสมกันแลวจะเกิดตะกอนสีเหลือง
ของสาร แลวใหนักเรียนลงมือทําใบงาน - การเกิดฟองแกส เชน กรดไฮโดรคลอริกผสมกับหินปูนจะเกิดฟองแกสขึ้น
- การระเบิดหรือเกิดประกายไฟ เชน ใสโลหะ
ขยายความเขาใจ โซเดียมลงในนํ้าจะเกิดประกายไฟขึ้น
- การเปลี่ ย นแปลงของอุ ณ หภู มิ เช น เติ ม เราสามารถสังเกตไดอยางไรวา
11. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน ยก
กรดซิตริกลงในสารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนต มีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้น
ตัวอยางปฏิกิริยาเคมีและสรางแบบจําลอง ทําใหอุณหภูมิของสารละลายลดลง
การจัดเรียงตัวใหมของอะตอมเมื่อสารเกิด การเปลีย่ นแปลงเหลานีแ้ สดงใหเห็นวามีปฏิกริ ยิ า
ปฏิกิริยาเคมี เคมีเกิดขึ้น ซึ่งทําใหไดสารใหมที่มีสมบัติแตกตางจากสารเดิม โดยอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอยางใดอยางหนึ่ง
หรือหลายอยางขึ้นพรอมกัน
ขัน้ สรุป
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ
การเกิ ด ปฏิ กิ ริ ย าเคมี เ ป น ผั ง มโนทั ศ น ล งใน
กระดาษ A4 พรอมนําเสนอในรูปแบบที่นาสนใจ
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล ภาพที่ 4.5 การเกิดประกายไฟของดอกไมไฟ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
1. ตรวจแบบทดสอบกอนเรียน
2. ตรวจใบงาน เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร
3. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง การเกิด
ปฏิกิริยาเคมี
4. ตรวจผังมโนทัศน เรื่อง การเกิดปฏิกิริยาเคมี
5. ตรวจแบบจํ า ลองการจั ด เรี ย งตั ว ใหม ข อง
อะตอม ภาพที่ 4.4 การเกิดฟองแกสของยาลดกรด ภาพที่ 4.6 การเกิดสนิมของวัสดุที่ทําจากโลหะ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
6. ตรวจสอบผลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม การเกิ ด
ปฏิกิริยาเคมี
138 การเกิดปฏิกิริยาเคมี
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
แบบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ 1. การปฏิบัติ ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องให้ความช่วยเหลือ
กิจกรรม ทาทาย
ระดับคะแนน กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
4 3 2 1 2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
รวม ทันเวลา
ทําไมนํ้าอัดลมที่บรรจุอยูในขวดจึงไมเกิดฟองแกส แตเมื่อเปดฝา
ชัดเจน ขั้นตอน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
ขวดแลวจึงมีฟองแกสเกิดขึ้น รวบรวมขอมูลที่ไดจากการสืบคน
แลวบันทึกลงในกระดาษ A4 พรอมนําเสนอขอมูลหนาชั้นเรียน
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T150
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
+ = อะตอมของไฮโดรเจน
อะตอมของออกซิเจน
Science
Focus การเกิดพันธะเคมี
พันธะเคมี (chemical bond) เปนแรงยึดเหนี่ยวระหวางอะตอมของสาร ซึ่งทําใหอะตอมตาง ๆ เขามาอยูรวมกันเปนโมเลกุล
โดยแรงยึดเหนี่ยวที่เกิดขึ้นอาจเกิดขึ้นจากอะตอมมีการถายโอนอิเล็กตรอนวงนอกสุดใหกัน หรือนําอิเล็กตรอนวงนอกสุดมาใช
รวมกัน ซึ่งในการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการสลายพันธะของสารตั้งตน และมีการสรางพันธะใหมเกิดเปนผลิตภัณฑที่มีสมบัติ
แตกตางไปจากเดิม
ปฏิกิริยาเคมี 139
T151
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
1. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบทดสอบความรู เรื่ อ ง ตัวอย่างสมการเคมีและการจัดเรียงตัวของอะตอมของสารก่อนและหลังการเกิดปฏิกิริยา เช่น
- ปฏิกิริยาระหว่างธาตุคาร์บอนกับแก๊สออกซิเจน ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
สมการเคมี ในใบงาน ตอนที่ 1
2. ครูสนทนากับนักเรียนวา การเกิดปฏิกิริยา ธาตุคาร์บอน + แก๊สออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
เคมีทําใหสารเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี
สงผลใหสารตั้งตนเปลี่ยนแปลงและเกิดสาร
ใหม เรียกวา ผลิตภัณฑ ซึ่งมีสมบัติแตกตาง
+ อะตอมของออกซิเจน
อะตอมของคาร์บอน
140
T152
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
ตัวอยางที่ 4.1 เขียนสมการเคมีแสดงปฏิกิริยาระหว่างแผ่นโลหะแมกนีเซียม (Mg) กับสารละลายกรดไฮโดร- 6. ครูเขียนสมการเคมีระหวางนํา้ ทําปฏิกริ ยิ าเคมี
คลอริก (HCl) ได้ผลิตภัณฑ์เป็นสารละลายแมกนีเซียมคลอไรด์ (MgCl2) และแก๊สไฮโดรเจน กับกรดคารบอนิก โดยใชดนิ นํา้ มันรูปทรงกลม
(H2)
สีแดงแทนอะตอมของไฮโดรเจน ดินนํ้ามัน
วิธีท�า เขียนสมการเคมี ดังนี้ รู ป ทรงกลมสี ฟ า แทนอะตอมของออกซิ เ จน
Mg (s) + HCl (aq) MgCl2 (aq) + H2 (g) และดินนํ้ามันรูปทรงกลมสีเขียวแทนอะตอม
จากสมการเคมี จะเห็นว่า จ�านวนอะตอมของ H และ Cl ในสมการด้านซ้ายและขวาไม่เท่ากัน ของคารบอน แลวแสดงแบบจําลองการเกิด
จึงต้องดุลสมการให้เท่ากัน โดยเติม 2 หน้า HCl เพื่อท�าให้ H และ Cl มีจ�านวนเท่ากันทั้ง 2 ด้าน ปฏิกิริยาเคมีระหวางแกสไฮโดรเจนกับแกส
จึงเขียนสมการเคมีใหม่ได้ ดังนี้
ออกซิเจนไดนํ้าเปนผลิตภัณฑ
Mg (s) + 2HCl (aq) MgCl2 (aq) + H2 (g)
7. ครูถามคําถาม H.O.T.S.
อะตอมของธาตุแต่ละธาตุก่อนและหลังการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะต้องมีจ�านวนเท่ากัน แสดงให้เห็นว่า
มวลรวมของสารตั้งต้นก่อนเกิดปฏิกิริยาเคมีและมวลรวมของผลิตภัณฑ์หลังเกิดปฏิกิริยาเคมีจะต้องมีค่าเท่ากัน
ซึ่งเป็นไปตามกฎทรงมวล (law of conservation of mass)
HOTS
(ค�าถามท้าทายการคิดขั้นสูง)
จงเขียนสมการเคมีของปฏิกิริยาระหว่างโซเดียมฟอสเฟต (Na3PO4) กับแคลเซียมคลอไรด์ (CaCl2)
ได้ผลิตภัณฑ์เปนแคลเซียมฟอสเฟต (Ca3(PO4)2) และโซเดียมคลอไรด์ (NaCl)
แนวตอบ H.O.T.S.
ปฏิกิริยาเคมี 141 2Na3PO4 (aq) + 3CaCl2 (aq) Ca3(PO4)2
(s) + 6NaCl (aq)
T153
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
กิจกรรม
8. ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม กลุ ม ละ 3-4 คน
มวลกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ทํ า กิ จ กรรม มวลกั บ การเกิ ด ปฏิ กิ ริ ย าเคมี
ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 4 จุดประสงค - การวัด
- การสังเกต
เรื่อง การเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยใหสมาชิก ทดลองและอธิบายผลรวมมวลของสารตั้งตนที่เขาทําปฏิกิริยาเคมีกับผลรวมมวลของ - การทดลอง
ผลิตภัณฑที่เกิดขึ้น - การลงความเห็นจากขอมูล
ภายในกลุมแบงภาระและหนาที่รับผิดชอบ จิตวิทยาศาสตร
9. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม วัสดุอปุ กรณ - ความสนใจใฝรู
- ความรอบคอบ
เพื่อใหไดขอสรุปวา ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นใน 1. เครื่องชั่ง
2. กระบอกตวง
ระบบปด มวลรวมของสารตั้งตนเทากับมวล 3. เม็ดหินปูนขนาดเล็ก
รวมของผลิตภัณฑ ซึ่งเปนไปตามกฎทรงมวล 4. บีกเกอรขนาด 250 cm3
5. หลอดทดลองขนาดกลาง 2 หลอด
6. หลอดทดลองขนาดใหญ 1 หลอด พรอมจุกยาง
7. สารละลายโซเดียมซัลเฟตเขมขน 0.1 mol/dm3
8. สารละลายแบเรียมคลอไรดเขมขน 0.1 mol/dm3
9. สารละลายกรดไฮโดรคลอริกเขมขน 0.1 mol/dm3
วิธปี ฏิบตั ิ
ตอนที่ 1
1. ชัง่ บีกเกอรทบี่ รรจุหลอดทดลองทัง้ 2 หลอด โดยหลอดทดลองที่ 1 บรรจุสารละลายแบเรียมคลอไรดปริมาตร 5 ลูกบาศกเซนติเมตร
และหลอดทดลองที่ 2 บรรจุสารละลายโซเดียมซัลเฟตปริมาตร 5 ลูกบาศกเซนติเมตร แลวบันทึกมวลที่ชั่งได
2. เทสารละลายในหลอดทดลองที่ 1 ลงในหลอดทดลองที่ 2 แลววางหลอดทดลองเปลาไวในบีกเกอรตามเดิม สังเกต
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลอดทดลอง
3. ชั่งบีกเกอรที่บรรจุหลอดทดลองทั้ง 2 หลอดอีกครั้ง แลวเปรียบเทียบกับมวลที่ชั่งไดในครั้งแรก
หลอดทดลองที่ 1
หลอดทดลองที่ 1 หลอดทดลองที่ 2
หลอดทดลองที่ 2
250 250 250 250 250 250 250 250 250
200 200 200 200 200 200 200 200 200
150 150 150 150 150 150 150 150 150
100 100 100 100 100 100 100 100 100
สารละลาย 50 สารละลาย
50 50 50 50 50 50 50 50
แบเรียมคลอไรด โซเดียมซัลเฟต
142
T154
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การบรรยาย
ตอนที่ 2
10. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
1. ชั่งบีกเกอรที่ใสเม็ดหินปูน 2-3 เม็ด พรอมหลอดทดลองขนาดใหญที่บรรจุสารละลายกรดไฮโดรคลอริกปริมาตร 10 ลูกบาศก 11. ครูอธิบายเพิม่ เติมวา ในการเขียนสมการเคมี
เซนติเมตร ที่ปดจุกยางไว แลวบันทึกมวลที่ชั่งได นักเรียนควรมีความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ
2. ใสเม็ดหินปูนในขอ 1. ลงในหลอดทดลองที่บรรจุกรดไฮโดรคลอริกและปดจุกยางทันที สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ละลายนํ้าของสาร โดยสารประกอบบางชนิด
ในหลอดทดลอง
3. ตั้งหลอดทดลองทิ้งไวจนปฏิกิริยาสิ้นสุด จากนั้นชั่งบีกเกอรและหลอดทดลองพรอมจุกยางอีกครั้ง แลวเปรียบเทียบกับมวล
ละลายนํ้าได บางชนิดละลายนํ้าไมได
ที่ชั่งไดในครั้งแรก 12. ครูแจกใบความรู เรือ่ ง การละลายนํา้ ของสาร
โดยใหนกั เรียนจับคูห รือจับกลุม กับเพือ่ น 3-4
คน แลวรวมกันศึกษาและทําความเขาใจกัน
ภายในกลุม
250 250250
200 200200
250 250250
200 200200
250 250250
200 200200
13. ใหนักเรียนและครูรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ
การละลายนํ้าของสารกอนเริ่มตนบทเรียน
150 150150 150 150150 150 150150
100 100100
สารละลาย 100 100100 100 100100
เม็ดหินปูน 50 50 50 กรดไฮโดรคลอริก 50 50 50 50 50 50
คําถามทายกิจกรรม
1. มวลของสารกอนเกิดปฏิกิริยาและหลังเกิดปฏิกิริยามีคาเทากันหรือไม อยางไร
2. ถาไมปดจุกยางหลอดทดลองในกิจกรรมตอนที่ 2 มวลของสารที่ชั่งไดกอนเกิดปฏิกิริยาและหลังเกิดปฏิกิริยามีคาแตกตางกัน
หรือไม เพราะเหตุใด
อภิปรายผลกิจกรรม
จากกิจกรรมตอนที่ 1 พบวา เมื่อผสมสารละลายโซเดียมซัลเฟตกับสารละลายแบเรียมคลอไรดจะมีตะกอนสีขาวขุนเกิดขึ้น
ซึง่ มวลรวมของสารทัง้ 2 ชนิด ทีบ่ รรจุอยูใ นหลอดทดลองกอนเกิดปฏิกริ ยิ ามีคา เทากับมวลของผลิตภัณฑทเี่ กิดขึน้ หลังเกิดปฏิกริ ยิ า
จากกิจกรรมตอนที่ 2 พบวา เมื่อใสเม็ดหินปูนลงในสารละลายกรดไฮโดรคลอริกจะมีฟองแกสเกิดขึ้น และเม็ดหินปูนมีขนาด
เล็กลง ซึ่งมวลรวมของเม็ดหินปูนและสารละลายกรดไฮโดรคลอริกกอนเกิดปฏิกิริยามีคาเทากับมวลรวมของผลิตภัณฑที่เกิดขึ้น
หลังเกิดปฏิกิริยา
จากกิจกรรมทั้ง 2 ตอน พบวา มวลรวมของสารตั้งตนเทากับมวลรวมของผลิตภัณฑ ซึ่งเปนไปตามกฎทรงมวล
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
1. เทากัน เนื่องจากปฏิกิริยาเกิดขึ้นในระบบปด
ปฏิกิริยาเคมี 143 2. แตกตางกัน เนื่องจากแกสที่เกิดขึ้นบางสวนจะ
ออกสูสิ่งแวดลอม
T155
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป หลั ก การเขี ย น
สมการเคมีวา ปฏิกิริยาเคมีสามารถเขียนดวย จากกิจกรรมข้างต้น จะเห็นได้ว่า ผลรวมมวลของสารตั้งต้นมีค่าเท่ากับผลรวมมวลของผลิตภัณฑ์เสมอ
ซึง่ เป็นไปตามกฎทรงมวลทีก่ ล่าวว่า “ในปฏิกริ ยิ าเคมีใด ๆ มวลของสารก่อนเกิดปฏิกริ ยิ าจะเท่ากับมวลของสารหลังเกิด
สัญลักษณ โดยจะเขียนสารตัง้ ตนทางซายมือแลว ปฏิกิริยา” ดังสมการ
เขียนลูกศรแทนการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี และหัวลูกศร
ชีไ้ ปทางผลิตภัณฑ หากมีสารตัง้ ตนหรือผลิตภัณฑ มวลของสารทั้งหมดก่อนเกิดปฏิกิริยา = มวลของสารทั้งหมดหลังเกิดปฏิกิริยา
มากกวา 1 ตัว จะใชเครือ่ งหมายบวกคัน่ และเขียน
สถานะของสารแตละชนิดดวยตัวอักษรยอไวดา น ในกรณีที่ผลิตภัณฑ์เป็นแก๊ส หากท�าปฏิกิริยา
ในภาชนะปิด มวลของสารก่อนเกิดปฏิกิริยาจะเท่ากับ
ขาง โดยมวลรวมของสารตั้งตนกอนเกิดปฏิกิริยา
มวลของสารหลั ง เกิ ด ปฏิ กิ ริ ย า แต่ ห ากท� า ปฏิ กิ ริ ย า
เคมีและมวลรวมของผลิตภัณฑหลังเกิดปฏิกิริยา ในภาชนะเปิด มวลของสารก่อนเกิดปฏิกิริยาจะมากกว่า
เคมีจะตองมีคาเทากันซึ่งเปนไปตามกฎทรงมวล มวลของสารหลังเกิดปฏิกิริยา เนื่องจากแก๊สที่เป็น
ผลิตภัณฑ์จะแพร่ออกสู่ภายนอกภาชนะ
ขัน้ ประเมิน
1. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง 1. กฎทรงมวลเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมี
การเกิดปฏิกิริยาเคมี อย่างไร
2. มวลของผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น
2. ใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง สมการเคมี ตอนที่ ในภาชนะเปิดและภาชนะปิด
4 เพื่อประเมินความรูหลังเรียน ภาพที่ 4.12 แก๊สที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีในภาชนะเปิดจะแพร่ออก แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
สู่ภายนอก
3. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ที่มา : คลังภาพ อจท.
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง การเกิด
ปฏิกิริยาเคมี Science
Focus ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี
4. ตรวจใบงาน เรื่อง สมการเคมี
ปฏิกิริยาเคมีบางปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ แต่บางปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
5. ตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม มวลกับการ 1. สมบัตขิ องสารตัง้ ต้น สารตัง้ ต้นแต่ละชนิดมีความไวต่อการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีแตกต่างกัน เช่น ปฏิกริ ยิ าเคมีของดอกไม้ไฟ
เกิดปฏิกิริยาเคมี ที่เกิดการลุกไหม้กับแก๊สออกซิเจนในอากาศเกิดขึ้นเร็ว เพราะสมบัติของสารตั้งต้นที่ใช้ท�าดอกไม้ไฟเป็นสารไวไฟ ปฏิกิริยาจึงเกิด
6. ใหนักเรียนประเมินวิธีการสอนของครูผูสอน ได้เร็ว แต่ปฏิกิริยาการเกิดสนิมของเหล็กที่เกิดจากเหล็กท�าปฏิกิริยากับแก๊สออกซิเจนในอากาศจะเกิดช้ามาก
โดยครูใหนักเรียนเขียนขอเสนอแนะเกี่ยวกับ 2. ความเข้มข้นของสารตัง้ ต้น ความเร็วของปฏิกริ ยิ าแปรผันตามความเข้มข้นของสารตัง้ ต้น เมือ่ สารตัง้ ต้นมีความเข้มข้นสูง
อนุภาคของสารมีโอกาสชนกันมาก ปฏิกิริยาจึงเกิดขึ้นเร็ว
วิ ธีก ารสอนเพื่ อ ให ค รู ไ ปปรั บ ใช กั บ การสอน
3. พื้นที่ผิวของสารตั้งต้น หากสารตั้งต้นมีพื้นที่ผิวมาก สารจะเข้าท�าปฏิกิริยากันได้มาก ปฏิกิริยาจึงเกิดขึ้นเร็ว
ในครั้งตอไป 4. อุณหภูมิของระบบ หากระบบมีอุณหภูมิสูง อนุภาคของสารเคลื่อนที่ได้เร็ว ปฏิกิริยาจึงเกิดขึ้นเร็ว
5. ตัวเร่งปฏิกิริยา ปฏิกิริยาเคมีที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาจะท�าให้ปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น
6. ตัวหน่วงปฏิกิริยา ปฏิกิริยาเคมีที่มีตัวหน่วงปฏิกิริยาจะท�าให้ปฏิกิริยาเกิดช้าลง
144
3
ระดับคะแนน
2 1
กับกรดไฮโดรคลอริก
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ 1. การปฏิบัติ ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องให้ความช่วยเหลือ
ระดับคะแนน กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
Zn
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม
4 3 2 1 2. ความ
คล่องแคล่ว
มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว
ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง
ทากิจกรรมเสร็จไม่
ทันเวลา และทา ไมบรรทัด Cl
H
2
3
ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม
การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม
ในขณะปฏิบัติ
กิจกรรม
ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่
และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
อุปกรณ์เสียหาย
Cl Cl ดินนํ้ามัน
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
รวม
3. การบันทึก สรุป
ทันเวลา
บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ Zn H
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
การปฏิบัติ
กิจกรรม
รัดกุม นาเสนอผลการ
ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน
ชัดเจน
แต่การนาเสนอผลการ
ทากิจกรรมยังไม่เป็น
ขั้นตอน
นาเสนอผลการทา
กิจกรรม
สรุป และนาเสนอผล
การทากิจกรรม กอนดุลสมการเคมี H
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ Cl Cl
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ H H H
10-12 ดีมาก Zn Cl Cl Zn
7-9
4-6
ดี
พอใช้
H
0-3 ปรับปรุง
หลังดุลสมการเคมี
T156
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
มุ ด
และสารละลายกรดไฮโดรคลอริ ก เข ม ข น
นส
3. ในระหว่างการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการถ่ายโอนความร้อนเกิดขึ้น
งใ
ล
1 mol/dm3
ทึ ก
4. อุณหภูมิของสารก่อนเกิดปฏิกิริยาจะเท่ากับอุณหภูมิของสารหลังเกิดปฏิกิริยาเสมอ
บั น
5. สารตั้งต้นจะเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ก็ต่อเมื่อมีพลังงานความร้อนมากพอในการสลายพันธะ 2. ครูใหนกั เรียนนับเลข 1-5 หรือ 1-6 เรียงตอกัน
แลวแตความเหมาะสมของจํานวนนักเรียนใน
ชัน้ เรียน โดยนักเรียนทีน่ บั หมายเลขเหมือนกัน
E ngaging ให้นักเรียนตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของสารละลายต่อไปนี้
ใหอยูกลุมเดียวกัน
3. ครูเตรียมเนือ้ หาเกีย่ วกับประเภทของปฏิกริ ยิ า
Activity
เคมี
ขั้นตอนที่ 1 4. ใหนักเรียนตรวจสอบความรูของตนเองกอน
เตรียมบีกเกอร์ 2 ใบ แต่ละใบบรรจุน�้ากลั่นปริมาตร 50 ลูกบาศก์เซนติเมตร เข า สู ก ารเรี ย นการสอนจากกรอบ Check
for Understanding ในหนังสือเรียนรายวิชา
100 100 100 100
80
60
40
80 80
60 60
40 40
แล้วใช้มือสัมผัสบีกเกอร์
80
60
40
20 20 20 20
พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
หน ว ยการเรี ย นรู ที่ 4 เรื่ อ ง ประเภทของ
ขั้นตอนที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี
โซเดียม
ไฮดรอกไซด์
ใส่โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 2 กรัม ลงในบีกเกอร์ท ่ี 1 คนให้ละลายจนหมด 5. ใหนักเรียนทํากิจกรรม Engaging Activity
100
80
100
80
แล้วใช้มือสัมผัสบีกเกอร์ เปรียบเทียบความรู้สึกร้อน-เย็นก่อนและหลังใส่ โดยใหนักเรียนศึกษาภาพ แลวเปรียบเทียบ
โซเดียมไฮดรอกไซด์
60 60
40 40
20 20
T157
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ทดลอง
1. ครูถามคําถาม Key Question Key 2 ประเภทของปฏิกิริยาเคมี
2. ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ศึ ก ษาข อ มู ล เกี่ ย วกั บ Question การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อน
ประเภทของปฏิ กิ ริ ย าเคมี ใ นหนั ง สื อ เรี ย น เพราะเหตุใดผลิตภัณฑ์ เกิดขึน้ เสมอ สังเกตได้จากการเปลีย่ นแปลงอุณหภูมขิ องสารก่อนเกิด
รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ของปฏิกริ ยิ าเคมีบางชนิด ปฏิกิริยาและหลังเกิดปฏิกิริยา ซึ่งอุณหภูมิอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 4 เรื่อง ประเภท จึงมีอณ
ุ หภูมแิ ตกต่าง จากเดิม เนือ่ งจากมีการถ่ายโอนความร้อนระหว่างระบบกับสิง่ แวดล้อม
จากสารตัง้ ต้น
ของปฏิกิริยาเคมี หรือแหลงการเรียนรูอื่นๆ
เชน อินเทอรเน็ต
3. ใหแตละกลุม สงตัวแทนนักเรียน 2 คน ออกมา การเกิดปฏิกิริยาเคมีประกอบด้วย 2 ขั้นตอน
รับอุปกรณที่ใชทํากิจกรรม การเปลี่ยนแปลง ได้แก่ การดูดพลังงานเพื่อสลายพันธะของสารตั้งต้น
พลังงานความรอนของปฏิกิริยา และการคายพลังงานเพื่อสร้างพันธะของผลิตภัณฑ์ เช่น
ปฏิกิริยาการเผาไหม้เชื้อเพลิงซึ่งมีธาตุคาร์บอนเป็น
องค์ประกอบ เมือ่ คาร์บอนท�าปฏิกริ ยิ ากับแก๊สออกซิเจน
จะได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ไอน�้า และพลังงาน
เป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งก่อนเกิดปฏิกิริยาต้องให้ความร้อน
กับเชื้อเพลิงจ�านวนหนึ่ง เพื่อให้เชื้อเพลิงมีพลังงาน
มากพอที่จะเกิดปฏิกิริยาได้ และหลังเกิดปฏิกิริยาแล้ว
จะมีพลังงานความร้อนถูกปล่อยออกมามากกว่าพลังงาน
ความร้อนทีใ่ ห้ในตอนแรก แสดงว่า ปฏิกริ ยิ าการเผาไหม้
ภาพที่ 4.14 ปฏิกริ ยิ าการเผาไหม้เชือ้ เพลิงมีความร้อนถูกคายออกมา
เชื้ อ เพลิ ง มี พ ลั ง งานที่ ค ายออกมามากกว่ า พลั ง งาน มากกว่าความร้อนที่ดูดเข้าไป
ที่ดูดเข้าไป ที่มา : คลังภาพ อจท.
Science
Focus ระบบและการเปลี่ยนแปลง
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสารในการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการก�าหนดขอบเขตของการศึกษา ซึ่งมีองค์ประกอบส�าคัญ
2 ส่วน ดังนี้
1. ระบบ (system) หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในขอบเขตที่ต้องการศึกษา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- ระบบเปิด เป็นระบบที่มีการถ่ายเทมวลและพลังงานความร้อนให้กับสิ่งแวดล้อม เช่น การหายใจ การเผาไหม้ของ
เชื้อเพลิง การใส่โลหะลงในสารละลายกรดแล้วเกิดฟองแก๊ส
- ระบบปิด เป็นระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อน แต่ไม่มีการถ่ายเทมวลให้กับสิ่งแวดล้อม เช่น การระเหิด
ของเกล็ดไอโอดีนในภาชนะปิด
แนวตอบ Key Question 2. สิ่งแวดล้อม (surrounding) หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่นอกเหนือจากขอบเขตที่ต้องการศึกษา แต่มีความเกี่ยวข้องกับระบบ
เช่น มีการถ่ายโอนความร้อนระหว่างระบบกับสิ่งแวดล้อม
เพราะสารที่เกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการถายโอน
ความรอนระหวางระบบกับสิ่งแวดลอม ซึ่งอาจเพิ่ม
ขึ้นหรือลดลงไปจากเดิม ขึ้นอยูกับประเภทของ 146
ปฏิกิริยาเคมี
T158
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ทดลอง
กิจกรรม
4. ให ส มาชิ ก ภายในกลุ ม แบ ง ภาระและหน า ที่
การเปลี่ยนแปลงพลังงานความรอนของปฏิกิริยา
รับผิดชอบภายในกลุม
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร 5. ใหนักเรียนตั้งสมมติฐาน กําหนดตัวแปรตน
จุดประสงค - การวัด ตัวแปรตาม ตัวแปรควบคุม รวมทั้งออกแบบ
- การสังเกต
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงพลังงานความรอนของปฏิกิริยาดูดความรอนและคายความรอน - การทดลอง ตารางบันทึกผลการทดลองลงในสมุดประจําตัว
- การลงความเห็นจากขอมูล
วัสดุอปุ กรณ จิตวิทยาศาสตร นักเรียน
1. กระบอกตวง 5. แทงแกวคนสาร
- ความสนใจใฝรู
- ความรอบคอบ 6. ครูสมุ เรียกตัวแทนกลุม ออกมานําเสนอผลการ
2. เทอรมอมิเตอร 6. แผนโลหะแมกนีเซียม ทดลองหนาชั้นเรียน
3. ชอนตักสาร เบอร 1 7. โซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนต ขัน้ สอน
4. บีกเกอรขนาด 100 cm3 2 ใบ 8. สารละลายกรดไฮโดรคลอริกเขมขน 1 mol/dm3 อภิปรายผลการทดลอง
คําถามทายกิจกรรม
1. อุณหภูมิของสารละลายในบีกเกอรทั้ง 2 ใบ เปลี่ยนแปลงหรือไม อยางไร
2. ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในบีกเกอรทั้ง 2 ใบ เปนปฏิกิริยาดูดความรอนหรือคายความรอน เพราะเหตุใด
อภิปรายผลกิจกรรม
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
จากกิจกรรม พบวา สารละลายในบีกเกอรที่ 1 มีอณุ หภูมสิ งู ขึน้ แสดงวา ปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึน้ คายความรอนออกมา สวนสารละลาย
ในบีกเกอรที่ 2 มีอุณหภูมิลดลง แสดงวา ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นดูดความรอนเขาไป 1. เปลีย่ นแปลง โดยหลังเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี อุณหภูมิ
ของบีกเกอรใบที่ 1 และ 2 มีอุณหภูมิสูงขึ้น
และลดลง ตามลําดับ
ปฏิกิริยาเคมี 147 2. บีกเกอรใบที่ 1 และ 2 เปนปฏิกริ ยิ าคายความรอน
และปฏิกิริยาดูดความรอน ตามลําดับ
T159
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ว า อุ ณ หภู มิ
ของสารที่เปลี่ยนแปลงไปเกิดจากการถายโอน จากกิจกรรม จะเห็นว่า อุณหภูมิของสารละลายเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเกิดจากการถ่ายโอนความร้อนระหว่าง
การเกิดปฏิกิริยาเคมี สามารถแบ่งประเภทของปฏิกิริยาตามอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงได้ 2 รูปแบบ ดังนี้
ความรอนระหวางเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยปฏิกิริยา
1. ปฏิกิริยาดูดความร้อน (endothermic reaction) เป็นปฏิกิริยาที่ระบบดูดพลังงานความร้อนเข้าไปสลาย
ดู ด ความร อ นเป น ปฏิ กิ ริ ย าที่ ร ะบบดู ด พลั ง งาน พันธะมากกว่าคายพลังงานความร้อนออกมาเพือ่ สร้างพันธะ สารตัง้ ต้นมีพลังงานต�า่ กว่าผลิตภัณฑ์ ท�าให้สงิ่ แวดล้อม
ความรอนเขาไปเพื่อสลายพันธะ ทําใหสารตั้งตน มีอุณหภูมิลดลง ดังภาพที่ 4.16
มีพลังงานตํ่ากวาผลิตภัณฑ เมื่อสัมผัสกับสาร
หลังเกิดปฏิกิริยาเคมีจะรูสึกเย็น สวนปฏิกิริยา พลังงานที่ดูดเข้า > พลังงานที่คายออก
คายความรอนเปนปฏิกิริยาที่ระบบคายพลังงาน
ความร อ นเพื่ อ สร า งพั น ธะ ทํ า ให ส ารตั้ ง ต น
พลังงาน
มี พ ลั ง งานสู ง กว า ผลิ ต ภั ณ ฑ เมื่ อ สั ม ผั ส สาร
หลังเกิดปฏิกิริยาเคมีจะรูสึกรอน ผลิตภัณฑ์
สารตั้งต้น
การด�าเนินไปของปฏิกิริยา
ภาพที่ 4.16 กราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อนในปฏิกิริยาดูดความร้อน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
สารตั้งต้น
พลังงาน
ผลิตภัณฑ์
การด�าเนินไปของปฏิกิริยา
ภาพที่ 4.17 กราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อนในปฏิกิริยาคายความร้อน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แนวตอบ คําถาม
สังเกตอุณหภูมขิ องสารละลายทีเ่ ปลีย่ นแปลงไป 148
หลังเกิดปฏิกิริยาเคมี
T160
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
Application 1. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง ประเภทของ
Activity
ปฏิกิริยาเคมี
ใหนักเรียนทํากิจกรรมตอไปนี้ 2. ตรวจคําตอบ Topic Questions ในสมุดประจํา
1. แบงกลุม 5 กลุม สืบคนขอมูล เรื่อง ปจจัยที่มีผลตอการเกิดปฏิกิริยาเคมี เพื่อศึกษาปจจัยตาง ๆ ที่มีผลตอ
การเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยแตละกลุมจับสลากเลือกปจจัย กลุมละ 1 ปจจัย ดังนี้
ตัวนักเรียน
- กลุมที่ 1 ความเขมขนของสารตั้งตน - กลุมที่ 2 พื้นที่ผิวของสารตั้งตน 3. ตรวจสอบผลการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม การ
- กลุมที่ 3 อุณหภูมิของระบบ - กลุมที่ 4 ตัวเรงปฏิกิริยา เปลี่ยนแปลงพลังงานความรอนของปฏิกิริยา
- กลุมที่ 5 ตัวหนวงปฏิกิริยา 4. สั ง เกตพฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม จากการ
2. แตละกลุมออกแบบการทดลอง เรื่อง ปจจัยที่มีผลตอการเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยในแผนการทดลองจะตองมี
องคประกอบ ดังนี้
ทํางานในชั้นเรียน
- ปญหา - สมมติฐาน 5. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต
- ตัวแปรตนและตัวแปรตาม - วัสดุอุปกรณและสารเคมี ความมีวนิ ยั ใฝเรียนรู และมุง มัน่ ในการทํางาน
- วิธีการทดลอง - วิเคราะหและสรุปผลการทดลอง
3. แตละกลุมทําการทดลอง โดยใชวัสดุอุปกรณและสารเคมีในหองปฏิบัติการของโรงเรียน และนําเสนอ
ผลการทดลองหนาชั้นเรียน
Topic Questions
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
1. การเปลี่ยนแปลงลักษณะใดที่แสดงวาสารเกิดปฏิกิริยาขึ้น พรอมยกตัวอยางประกอบ
2. จงเขียนสมการเคมีของปฏิกิริยาตอไปนี้ พรอมดุลสมการเคมีใหถูกตอง
- ปฏิกิริยาระหวางแผนโลหะโซเดียมกับนํ้า ไดผลิตภัณฑเปนโซเดียมไฮดรอกไซด (NaOH) และแกสไฮโดรเจน
- ปฏิกิริยาระหวางแกสโพรเพน (C3H8) กับแกสออกซิเจน ไดผลิตภัณฑเปนแกสคารบอนไดออกไซดและนํ้า
- ปฏิกิริยาระหวางโซเดียมไฮดรอกไซด (NaOH) กับกรดซัลฟวริก (H2SO4) ไดผลิตภัณฑเปนโซเดียมซัลเฟต
(Na2SO4) และนํ้า
3. นําแคลเซียมคารบอเนต (CaCO3) ทําปฏิกิริยากับกรดซัลฟวริก (H2SO4) ไดแคลเซียมซัลเฟต (CaSO4)
แกสคารบอนไดออกไซด และนํ้าเปนผลิตภัณฑ หากปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นในระบบเปด มวลของผลิตภัณฑจะมีคา
แตกตางจากสารตั้งตนหรือไม อยางไร
4. เพราะเหตุใดการเกิดปฏิกิริยาเคมีจึงมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานความรอนอยูเสมอ
5. นําโพแทสเซียมไฮโดรเจนคารบอเนต (KHCO3) ใสลงในสารละลายกรดซัลฟวริกเจือจาง พบวา สารละลาย
กรดซัลฟวริกมีอุณหภูมิลดลง ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเปนปฏิกิริยาดูดความรอนหรือคายความรอน เพราะเหตุใด
ปฏิกิริยาเคมี 149
เพื่อสลายพันธะของสารตั้งตนมากกวาคายพลังงานออกมาเพื่อสราง
พันธะของผลิตภัณฑ สารจึงมีอณ ุ หภูมลิ ดลง
T161
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
4. ใหนักเรียนตรวจสอบความรูของตนเองกอน 1. ปฏิกิริยาเคมีสามารถพบได้ในชีวิตประจ�าวัน
เขาสูการเรียนการสอนจากกรอบ Check for 2. การหายใจและการย่อยอาหารเป็นปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นในร่างกายของมนุษย์
ม ุ ด
Understanding ในหนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช า
น ส
3. ปฏิกิริยาเคมีไม่สามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่จะเกิดขึ้นเมื่อถูกกระตุ้นเท่านั้น
ง ใ
ล
พืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.3 เลม 1
ท ึ ก
4. มนุษย์สามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์จากการเกิดปฏิกิริยาเคมีได้
บ ั น
หน ว ยการเรี ย นรู ที่ 4 เรื่ อ ง ปฏิ กิ ริ ย าเคมี 5. ปฏิกิริยาเคมีก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ
ในชีวิตประจําวัน
5. ใหนกั เรียนทํากิจกรรม Engaging Activity โดย
ใหนักเรียนศึกษาภาพ แลวอธิบายประโยชน
และโทษที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมีในภาพจาก E ngaging พิจารณาภาพที่กา� หนดให้ แล้วอธิบายประโยชน์หรือโทษทีเ่ กิดขึน้ จากปฏิกริ ยิ าเคมี
เหล่านี้
Activity
ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรู ภาพที่ 1 การเผาไหม้เชื้อเพลิงของรถยนต์ ภาพที่ 2 การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
ที่ 4 เรื่อง ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจําวัน
6. เตรียม Flowchart หรือขั้นตอนการทดลอง
ใหกับนักเรียนทุกกลุม
T162
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
เตรียมการทดลอง
Key 3 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจําวัน 7. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น สนทนาเกี่ ย วกั บ
Question รอบ ๆ ตัวเรามีปฏิกริ ยิ าเคมีเกิดขึน้ อยูต ลอดเวลา ปฏิกริ ยิ าเคมี ปฏิกริ ยิ าเคมีทเี่ กิดขึน้ รอบตัวเรา เชน ปฏิกริ ยิ า
ปฏิกริ ยิ าเคมีมคี วามสําคัญ บางชนิดเกิดขึ้นไดเอง แตบางชนิดตองไดรับการกระตุนจึงจะเกิด การเผาไหม ปฏิกิริยาการเกิดฝนกรด การ
ตอการดํารงชีวติ ของมนุษย ปฏิกิริยาได ปฏิกิริยาเคมีหลายชนิดสามารถนํามาใชประโยชน สังเคราะหดวยแสงของพืช
อยางไร ในชีวิตประจําวัน ทั้งดานอุตสาหกรรม ดานเกษตรกรรม และดาน 8. ครูเปดวีดิทัศนเกี่ยวกับปฏิกิริยาการเผาไหม
การแพทย ในทางตรงกันขามปฏิกิริยาเคมีบางชนิดก็สงผลกระทบ ปฏิกิริยาการเกิดฝนกรด และการสังเคราะห
ตอการดํารงชีวิตของมนุษยและสิ่งแวดลอมเชนกัน
ดวยแสงของพืช เพื่อใหนักเรียนศึกษาหรือ
3.1 ชนิดของปฏิกิริยาเคมี ในชีวิตประจําวัน ทบทวนความรูเดิม หรือจาก QR Code เรื่อง
ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจําวันมีหลายชนิด ดังนี้ ปฏิกิริยาการเผาไหม
1. ปฏิกิริยาการเผาไหม (combustion reaction) เปนปฏิกิริยาเคมีระหวางสารกับแกสออกซิเจน สารที่ 9. ครูถามคําถามทบทวนความรูของนักเรียน
เกิดปฏิกิริยาการเผาไหมสวนใหญเปนสารที่มีธาตุคารบอน (C) และไฮโดรเจน (H) เปนองคประกอบ เชน แกสมีเทน • ปฏิกิริยาการเผาไหมแบงออกไดเปน
(CH4) แกสโพรเพน (C3H8) แกสบิวเทน (C4H10) ปฏิกิริยาการเผาไหมแบงออกเปน 2 ประเภท ดังนี้ กี่ประเภท
1) ปฏิกิริยาการเผาไหมแบบสมบูรณ เกิดขึ้นเมื่อการเผาไหมมีปริมาณแกสออกซิเจนมากเพียงพอ (แนวตอบ 2 ประเภท คือ ปฏิกิริยาการเผา
ไดผลิตภัณฑเปนแกสคารบอนไดออกไซด นํ้า และพลังงาน เชน การเผาไหมแกสมีเทนหรือแกสโพรเพนในสภาวะ
ที่มีแกสออกซิเจนเพียงพอ ดังสมการ
ไหมแบบสมบูรณและปฏิกิริยาการเผาไหม
แบบไมสมบูรณ)
CH4 (g) + 2O2 (g) CO2 (g) + 2H2O (l) + พลังงาน
• ฝนกรดเกิดขึ้นไดอยางไร
แกสมีเทน แกสออกซิเจน แกสคารบอนไดออกไซด นํ้า
( แนวตอบ นํ้ า ฝนรวมตั ว กั บ ออกไซด ข อง
C3H8 (g) + 5O2 (g) 3CO2 (g) + 4H2O (l) + พลังงาน ไนโตรเจนหรือออกไซดของซัลเฟอร ทําให
แกสโพรเพน แกสออกซิเจน แกสคารบอนไดออกไซด นํ้า
นํ้าฝนมีสมบัติเปนกรด)
Science in Real Life 10. ครูถามคําถาม Key Question
2) ปฏิกริ ยิ าการเผาไหมแบบไมสมบูรณ เกิดขึน้ เมือ่ การเผาไหม เขม า ควั น จากการเผาไหม แ บบ
มีปริมาณแกสออกซิเจนที1่เขาทําปฏิกิริยาไมเพียงพอ ไดผลิตภัณฑเปน 2 เปนสาเหตุทาํ ให
ไมสมบูรณของเครือ่ งยนต
แกสคารบอนมอนอกไซด นํ้า และพลังงาน รวมทั้งเกิดเขมาควัน เชน เกิดฝุนละออง PM 2.5 เกินคามาตรฐาน
การเผาไหมแกสมีเทนหรือแกสโพรเพนในสภาวะทีม่ แี กสออกซิเจนไมเพียงพอ ซึ่งเปนอันตรายตอสุขภาพของผูที่สูดดม
เขาสูรางกาย เชน เกิดโรคมะเร็งปอด
ดังสมการ
2CH4 (g) + 3O2 (g) 2CO (g) + 4H2O (l) + พลังงาน + เขมาควัน
แกสมีเทน แกสออกซิเจน แกสคารบอนมอนอกไซด นํ้า
แนวตอบ Key Question
2C3H8 (g) + 7O2 (g) 6CO (g) + 8H2O (l) + พลังงาน + เขมาควัน
แกสโพรเพน แกสออกซิเจน แกสคารบอนมอนอกไซด นํ้า การทํางานของระบบในรางกายลวนเกี่ยวของ
กับปฏิกิริยาเคมี และมนุษยยังใชประโยชนจาก
ปฏิ กิ ริ ย าเคมี ใ นด า นอุ ต สาหกรรม การเกษตร
ปฏิกิริยาการเผาไหม ปฏิกิริยาเคมี 151 การแพทย เพื่อตอบสนองตอความตองการ และ
อํานวยความสะดวกตอการดําเนินชีวิตประจําวัน
T163
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ทดลอง
1. ใหนกั เรียนสุม หยิบสลากหมายเลข 1-3 2. การเกิดสนิมของเหล็ก เปนปฏิกิริยาเคมีระหวางเหล็ก นํ้า และแกสออกซิเจน ไดผลิตภัณฑเปนสนิม
ของเหล็ก ดังสมการ
2. นั ก เรี ย นที่ จั บ หมายเลขเดี ย วกั น ให อ ยู ก ลุ ม
เดียวกัน โดยแตละกลุม จะไดรบั มอบหมายให 4Fe (s) + 3O2 (g) + 3H2O (l) 2Fe2O3• 3H2O (s)
เหล็ก แกสออกซิเจน นํ้า สนิมของเหล็ก
ทําการทดลองทีแ่ ตกตางกัน ดังนี้
- หมายเลข 1 ปฏิกริ ยิ าของกรดกับโลหะ
- หมายเลข 2 ปฏิกริ ยิ าของกรดกับเบส กิจกรรม
- หมายเลข 3 ปฏิกริ ยิ าของเบสกับโลหะ การเกิดสนิมของตะปูเหล็ก
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
จุดประสงค - การสังเกต
- การทดลอง
ศึกษาการเกิดสนิมของตะปูเหล็ก - การลงความเห็นจากขอมูล
จิตวิทยาศาสตร
วัสดุอปุ กรณ - ความสนใจใฝรู
- ความรอบคอบ
1. บีกเกอรขนาด 250 cm3 3 ใบ 4. วาสลีน
2. ตะปูเหล็ก 3 ตัว 5. นํ้ากลัน่
3. กระดาษทราย
วิธปี ฏิบตั ิ
1. นําตะปูเหล็กทั้ง 3 ตัว มาขัดผิวใหสะอาดดวยกระดาษทราย
2. นําตะปูเหล็กตัวที่ 1 วางในบีกเกอรเปลา นําตะปูเหล็กตัวที่ 2 มาเคลือบผิวดวยวาสลีน วางลงในบีกเกอร แลวเติมนํ้ากลั่น
ลงไปใหทวมตะปู และนําตะปูเหล็กตัวที่ 3 วางลงในบีกเกอรในแนวตั้งใหหัวตะปูอยูดานบน แลวเติมนํ้ากลั่นลงไปใหทวม
ครึ่งหนึ่งของตะปู
3. ตั้งทิ้งไวประมาณ 1 วัน สังเกตและบันทึกผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
250 250 250 250 250 250 250 250 250 250 250 250
200 200 200 200 200 200 200 200 200 200 200 200
150 150 150 150 150 150 150 150 150 150 150 150
100 100 100 100 100 100 100 100 100 100 100 100
50 50 50 50 50 50 50 50 50 50 50 50
152
T164
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ทดลอง
3. ใหแตละกลุมสงตัวแทน กลุมละ 1-2 คน
คําถามทายกิจกรรม
มาศึ ก ษาตั ว อย า งชุ ด สาธิ ต การทดลอง
1. ตะปูเหล็กในบีกเกอรใดเกิดสนิมบาง และเกิดมากนอยตางกันหรือไม อยางไร
2. ตะปูเหล็กในบีกเกอรใดไมเกิดสนิม เพราะเหตุใด
การเกิดสนิมเหล็ก ออกแบบตาราง และบันทึก
ผลการทดลอง เพื่อนํากลับไปอภิปรายผลกับ
อภิปรายผลกิจกรรม เพื่อนในกลุมของตนเอง
จากกิจกรรม พบวา ตะปูเหล็กทีอ่ ยูใ นบีกเกอรเปลาไมเกิดสนิม ตะปูเหล็กทีท่ าดวยวาสลีนจะไมสมั ผัสกับนํา้ และอากาศจึงไมเกิดสนิม
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
สวนตะปูเหล็กที่แชในนํ้าจะเกิดสนิมบริเวณรอยตอระหวางนํ้ากับอากาศ เนื่องจากตะปูเหล็กทําปฏิกิริยากับนํ้าและแกสออกซิเจน
ในอากาศ ไดผลิตภัณฑเปนสนิมของเหล็ก ดังสมการ 1. ตะปูเหล็กตัวที่ 1 เกิดสนิมเหล็กมากบริเวณรอย
4Fe (s) + 3O2 (g) + 3H2O (l) 2Fe2O3• 3H2O (s) ตอระหวางนํ้าและอากาศ และตะปูเหล็กตัวที่ 3
เหล็ก แกสออกซิเจน นํ้า สนิมของเหล็ก อาจเกิดสนิมเล็กนอย เมือ่ เวลาผานไประยะหนึง่
เนื่องจากตะปูเหล็กตัวที่ 3 ทําปฏิกิริยาเคมีกับ
แกสออกซิเจนและความชื้นในอากาศ
2. ตะปูเหล็กตัวที่ 2 เพราะตะปูเหล็กไมสัมผัสกับ
1. ปฏิกิริยาการเผาไหมแบบไมสมบูรณใหผลิตภัณฑแตกตางจากการเผาไหมแบบสมบูรณ
อยางไร นํ้าและอากาศ
2. ปฏิกิริยาเคมีใดบางที่เกิดจากสารตาง ๆ ทําปฏิกิริยากับแกสออกซิเจน พรอมเขียน
สมการเคมีประกอบ แนวตอบ คําถาม
1. ปฏิ กิ ริ ย าการเผาไหม แ บบไม ส มบู ร ณ เ กิ ด ขึ้ น
Science in Real Life เมื่ อ การเผาไหม มี ป ริ ม าณแก ส ออกซิ เ จน
3. ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ เปนปฏิกิริยาเคมีระหวางกรด สารปรุงรสที่มีสมบัติเปนกรด เชน ไมเพียงพอ กอใหเกิดแกสคารบอนมอนอกไซด
กับโลหะ ไดผลิตภัณฑเปนเกลือของโลหะและแกสไฮโดรเจน เชน นํา้ สมสายชู นํา้ มะนาว ควรบรรจุในภาชนะ และเกิ ด เขม า ขึ้ น แต ป ฏิ กิ ริ ย าการเผาไหม
- ปฏิกิริยาระหวางสังกะสีกับกรดไฮโดรคลอริก ไดผลิตภัณฑ ทีเ่ ปนแกวและหลีกเลีย่ งการบรรจุในภาชนะ
เปนซิงคคลอไรดและแกสไฮโดรเจน ดังสมการ ที่เปนโลหะ เนื่องจากสามารถกัดกรอน แบบสมบูรณจะไมกอใหเกิดเขมาและใหแกส
โลหะ ทําใหมกี ารปนเปอ นโลหะในอาหารได คารบอนไดออกไซด
2. ตัวอยางเชน ปฏิกิริยาการเกิดสนิมของเหล็ก
Zn (s) + 2HCl (aq) ZnCl2 (aq) + H2 (g) สมการเคมี 4Fe (s) + 3O2 (g) + 3H2O (l)
สังกะสี กรดไฮโดรคลอริก ซิงคคลอไรด แกสไฮโดรเจน 2Fe2O3•3H2O (s)
- ปฏิกิริยาระหวางแมกนีเซียมกับกรดไฮโดรคลอริก ไดผลิตภัณฑเปนแมกนีเซียมคลอไรดและ ตัวอยางเชน ปฏิกิริยาการเผาไหมแบบสมบูรณ
แกสไฮโดรเจน ดังสมการ สมการเคมี CH4 (g) + 2O2 (g)
Mg (s) + 2HCl (aq) MgCl2 (aq) + H2 (g) CO2 (g) + 2H2O (l) + พลังงาน
แมกนีเซียม กรดไฮโดรคลอริก แมกนีเซียมคลอไรด แกสไฮโดรเจน ตัวอยางเชน ปฏิกิริยาการเผาไหมแบบไม
สมบูรณ
ปฏิกิริยาเคมี 153
สมการเคมี 2CH4 (g) + 3O2 (g)
2CO (g) + 4H2O (l) + พลังงาน
+ เขมา
T165
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ทดลอง
4. ใหสมาชิกที่เหลือของแตละกลุมสงตัวแทนอีก 4. ปฏิกริ ยิ าของกรดกับเบสหรือปฏิกริ ยิ าการสะเทิน (neutralization reaction) เป็นปฏิกริ ยิ าเคมีระหว่าง
กรดกับเบส ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของโลหะและน�้า เช่น
2 คน มารับอุปกรณและ flowchart แสดง
ขัน้ ตอนการทดลอง - ปฏิกิริยาระหว่างกรดไฮโดรคลอริกกับโซเดียมไฮดรอกไซด์ ได้ผลิตภัณฑ์เป็นโซเดียมคลอไรด์และน�้า
ดังสมการ
5. ใหสมาชิกในกลุมรวมกันวางแผน แบงภาระ
หนาที่ที่ไดรับมอบหมาย รวมทั้งศึกษาขอมูล HCl (aq) + NaOH (aq) NaCl (aq) + H2O (l)
กรดไฮโดรคลอริก โซเดียมไฮดรอกไซด์ โซเดียมคลอไรด์ น�้า
เพิม่ เติมเกีย่ วกับปฏิกริ ยิ าเคมีทกี่ ลุม ของตนเอง
ตองทดลองในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน - ปฏิกิริยาระหว่างกรดไนตริกกับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแคลเซียมไนเตรตและน�้า
วิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3 เล ม 1 ดังสมการ
หนวยการเรียนรูท ี่ 4 เรือ่ ง ชนิดของปฏิกริ ยิ าเคมี 2HNO3 (aq) + Ca(OH)2 (s) Ca(NO3)2 (s) + 2H2O (l)
ในชีวิตประจําวัน หรือแหลงการเรียนรูอื่นๆ กรดไนตริก แคลเซียมไฮดรอกไซด์ แคลเซียมไนเตรต น�้า
เชน อินเทอรเน็ต 1 2
6. ใหสมาชิกในกลุมแลกเปลี่ยนความรูใหเกิด - ปฏิกริ ยิ าระหว่างกรดไฮโดรคลอริกกับแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแอมโมเนียมคลอไรด์
ความเขาใจตรงกันหลังทําการทดลองเสร็จสิน้ และน�้า ดังสมการ
7. ครู สุ ม เรี ย กตั ว แทนกลุ ม ออกมานํ า เสนอผล HCl (aq) + NH4OH (aq) NH4Cl (aq) + H2O (l)
การทดลอง ในระหวางทีต่ วั แทนกลุม นําเสนอ กรดไฮโดรคลอริก แอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ แอมโมเนียมคลอไรด์ น�้า
ใหกลุม อืน่ จดบันทึกผลการทดลอง
5. ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะบางชนิด เป็น แก๊สที่เกิดขึ้นจากการท�าปฏิกิริยา
ปฏิกิริยาเคมีระหว่างเบสกับโลหะบางชนิด เช่น สังกะสี ของกรดหรือเบสกับโลหะ
อะลูมิเนียม ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของโลหะและแก๊ส เป็นแก๊สชนิดใด
ไฮโดรเจน เช่น
- ปฏิกิริยาระหว่างสังกะสีกับโซเดียมไฮดรอกไซด์ ได้ผลิตภัณฑ์เป็นโซเดียมซิงค์เคตและแก๊สไฮโดรเจน
ดังสมการ
Zn (s) + 2NaOH (aq) Na2ZnO2 (s) + H2 (g)
สังกะสี โซเดียมไฮดรอกไซด์ โซเดียมซิงค์เคต แก๊สไฮโดรเจน
T166
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อภิปรายผลการทดลอง
กิจกรรม
8. ให นั ก เรี ย นทุ ก กลุ ม ร ว มกั น อภิ ป รายผลการ
ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ เบสกับโลหะ และกรดกับเบส
ทดลองก อ น แล ว จึ ง ร ว มกั น อภิ ป รายผล
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร กิจกรรมไปพรอมกับครู เพื่อใหไดขอสรุปวา
จุดประสงค - การสังเกต ปฏิกริ ยิ าเคมีระหวางกรดหรือเบสกับโลหะ จะมี
- การทดลอง
ศึกษาการเกิดปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ เบสกับโลหะ และกรดกับเบส - การลงความเห็นจากขอมูล ฟองแกสไฮโดรเจนเกิดขึ้น แตปฏิกิริยาเคมี
จิตวิทยาศาสตร
วัสดุอปุ กรณ - ความสนใจใฝรู ระหวางกรดกับเบส หรือเรียกวา ปฏิกิริยา
1. กระบอกตวง 5. สารละลายกรดซัลฟวริก 0.2 mol/dm3
- ความรอบคอบ
การสะเทิน จะไมมีฟองแกสเกิดขึ้น แตจะได
2. บีกเกอรขนาด 100 cm3 3 ใบ 6. สารละลายกรดไฮโดรคลอริกเขมขน 0.2 mol/dm3 ผลิตภัณฑเปนเกลือ
3. แผนโลหะสังกะสีขนาด 2 ซม. × 2 ซม. 7. สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซดเขมขน 0.2 mol/dm3
4. แผนโลหะแมกนีเซียมขนาด 2 ซม. × 2 ซม. 8. สารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด 0.2 mol/dm3
วิธปี ฏิบตั ิ
1. เตรียมสารละลายในบีกเกอรทั้ง 3 ใบ ดังนี้
บีกเกอรที่ 1 สารละลายกรดไฮโดรคลอริก ปริมาตร 25 ลูกบาศกเซนติเมตร
บีกเกอรที่ 2 สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด ปริมาตร 25 ลูกบาศกเซนติเมตร
บีกเกอรที่ 3 สารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด ปริมาตร 25 ลูกบาศกเซนติเมตร
2. ใสแผนโลหะแมกนีเซียมลงในบีกเกอรที่ 1 แผนโลหะสังกะสีลงในบีกเกอรที่ 2 และเทสารละลายกรดซัลฟวริก ปริมาตร
25 ลูกบาศกเซนติเมตร ลงในบีกเกอรที่ 3
3. สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบีกเกอรทั้ง 3 ใบ
กรดซัลฟวริก
สารละลาย สารละลาย สารละลาย แผนโลหะ แผนโลหะ
กรดไฮโดรคลอริก โซเดียมไฮดรอกไซด แคลเซียมไฮดรอกไซด แมกนีเซียม สังกะสี
ปฏิกิริยาเคมี 155
T167
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. นักเรียนและครูรว มกันสรุปผลการทดลอง ดังนี้
- ผลการศึกษาชุดสาธิตการทดลองการเกิด อภิปรายผลกิจกรรม
สนิ ม ของตะปู เ หล็ ก คื อ ตะปู เ หล็ ก เมื่ อ จากกิจกรรม พบว่า เมื่อใส่แผ่นโลหะแมกนีเซียมลงในบีกเกอร์ที่ 1 ที่บรรจุสารละลายกรดไฮโดรคลอริกจะเกิดฟองแก๊สขึ้น
ทํ า ปฏิ กิ ริ ย ากั บ นํ้ า และแก ส ออกซิ เ จน ซึ่งเกิดจากการท�าปฏิกิริยาของโลหะแมกนีเซียมกับกรดไฮโดรคลอริก ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแมกนีเซียมคลอไรด์และแก๊สไฮโดรเจน
ไดผลิตภัณฑเปนสนิมของเหล็ก ดังสมการ
- ผลการทดลองของกลุมที่ 1 คือ เมื่อใสแผน Mg (s) + 2HCl (aq) MgCl2 (aq) + H2 (g)
โลหะลงในสารละลายกรด จะเกิดฟองแกส แมกนีเซียม กรดไฮโดรคลอริก แมกนีเซียมคลอไรด์ แก๊สไฮโดรเจน
CaCO3 (s) + H2SO4 (aq) CaSO4 (s) + CO2 (g) + H2O (l)
แคลเซียมคาร์บอเนต กรดซัลฟิวริก แคลเซียมซัลเฟต แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น�้า
1
- ปฏิกิริยาระหว่างแมกนีเซียมคาร์บอเนตกับกรดไฮโดรคลอริก ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแมกนีเซียมคลอไรด์
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และน�้า ดังสมการ
MgCO3 (s) + 2HCl (aq) MgCl2 (aq) + CO2 (g) + H2O (l)
แมกนีเซียมคาร์บอเนต กรดไฮโดรคลอริก แมกนีเซียมคลอไรด์ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น�้า
156
T168
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
1. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
7. การเกิดฝนกรด เปนปฏิกิริยาเคมีระหวางนํ้าฝนกับออกไซดของไนโตรเจน (NOX) หรือออกไซด และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง ชนิดของ
ของซัลเฟอร (SOX) ทําใหนํ้าฝนมีสมบัติเปนกรด เชน
ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจําวัน
- ฝนกรดที่เกิดจากออกไซดของไนโตรเจน เชน แกสไนตริกออกไซด (NO) แกสไนโตรเจนไดออกไซด
(NO2) แกสไนตรัสออกไซด (N2O) ทําใหเกิดกรดไนตริก (HNO3) ดังตัวอยาง 2. ตรวจคํ า ตอบ Topic Questions ในสมุ ด
ประจํ า ตั ว นั ก เรี ย น เพื่ อ ประเมิ น ความรู
2NO (g) + O2 (g) 2NO2 (g)
แกสไนตริกออกไซด แกสออกซิเจน แกสไนโตรเจนไดออกไซด ความเขาใจของนักเรียน
3NO2 (g) + H2O (l) 2HNO3 (aq) + NO (g) 3. ตรวจสอบผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม ปฏิกริ ยิ าของ
แกสไนโตรเจนไดออกไซด นํ้า กรดไนตริก แกสไนตริกออกไซด กรดกับโลหะ กรดกับเบส และเบสกับโลหะ
4. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุมจากการทํา
- ฝนกรดทีเ่ กิดจากออกไซดของซัลเฟอร เชน แกสซัลเฟอรไดออกไซด (SO2) แกสซัลเฟอรไตรออกไซด
(SO3) ทําใหเกิดกรดซัลฟวริก (H2SO4) ดังตัวอยาง กิจกรรมและนําเสนอผลการทดลอง
5. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต
2SO2 (g) + O2 (g) 2SO3 (g)
แกสซัลเฟอรไดออกไซด แกสออกซิเจน แกสซัลเฟอรไตรออกไซด ความมีวนิ ยั ใฝเรียนรู และมุง มัน่ ในการทํางาน
SO3 (g) + H2O (l) H2SO4 (aq)
แกสซัลเฟอรไตรออกไซด นํ้า กรดซัลฟวริก
1. การปฏิบัติ
4
เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
3
ระดับคะแนน
2
ทากิจกรรมตามขั้นตอน ทากิจกรรมตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือ
1
ต้องให้ความช่วยเหลือ
ของพืช
ระดับคะแนน กิจกรรม และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม อย่างมากในการทา
ถูกต้อง ถูกต้อง แต่อาจต้อง และการใช้อุปกรณ์ กิจกรรม และการใช้
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน ได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์
4 3 2 1 2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทากิจกรรมเสร็จไม่
1 การปฏิบัติการทากิจกรรม คล่องแคล่ว ในขณะทากิจกรรมโดย ในขณะทากิจกรรมแต่ ในขณะทากิจกรรมจึง ทันเวลา และทา
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม ในขณะปฏิบัติ ไม่ต้องได้รับคาชี้แนะ ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง ทากิจกรรมเสร็จไม่ อุปกรณ์เสียหาย
3 การบันทึก สรุปและนาเสนอผลการทากิจกรรม กิจกรรม และทากิจกรรมเสร็จ ทันเวลา
และทากิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา
รวม ทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ
และนาเสนอผล ทากิจกรรมได้ถูกต้อง ทากิจกรรมได้ถูกต้อง บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
การปฏิบัติ รัดกุม นาเสนอผลการ แต่การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา สรุป และนาเสนอผล
................./................../.................. กิจกรรม ทากิจกรรมเป็นขั้นตอน ทากิจกรรมยังไม่เป็น กิจกรรม การทากิจกรรม
ชัดเจน ขั้นตอน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T169
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
การเกิดหินงอกหินย้อย
เกิดจากปฏิกิริยาของกรดกับสารประกอบคาร์บอเนต เช่น หินปูน
หรือแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ท�าให้เกิด
ความงดงามของธรรมชาติและเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ภาพที่ 4.25 หินงอกหินย้อยเกิดจากปฏิกิริยาของกรดกับสารประกอบคาร์บอเนต
ที่มา : คลังภาพ อจท.
158
T170
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
2. โทษของปฏิกิริยาเคมี ปฏิกิริยาเคมีบางชนิดทําใหเกิดผลิตภัณฑที่กอใหเกิดผลเสียตอสิ่งมีชีวิตและ 4. ครูนําฉลากของผลิตภัณฑสารเคมี เชน นํ้ายา
สิ่งแวดลอม ดังนี้
1 ล า งห อ งนํ้ า มาให นั ก เรี ย นศึ ก ษาคํ า เตื อ น
ฝนกรด วิธีแกไขเบื้องตนเมื่อไดรับอันตรายที่เปนผล
นํ้าฝนที่มีคาเปนกรด เกิดจากแกสบางชนิดในอากาศ มาจากปฏิ กิ ริ ย าเคมี แล ว อภิ ป รายร ว มกั น
เชน แกสซัลเฟอรไดออกไซด (SO2) แกสไนโตรเจน- เพื่อใหไดขอสรุปวา เคมีภัณฑมีทั้งประโยชน
ไดออกไซด (NO2) ทําปฏิกิริยากับนํ้า ทําใหมีสมบัติ
เปนกรด สงผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม และโทษ ดั ง นั้ น นั ก เรี ย นจึ ง จํ า เป น ต อ งมี
เชน เกิดอันตรายตอระบบหายใจและเนื้อเยื่อของ ความรูพื้นฐานเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้น
รางกายสิ่งมีชีวิต ทําลายสิ่งปลูกสรางที่มีโลหะและ เพื่ อ นํ า ไปประยุ ก ต ใ ช ใ ห เ กิ ด ประโยชน แ ละ
หินปูนเปนองคประกอบ ดินขาดความอุดมสมบูรณ หลีกเลี่ยงอันตรายจากปฏิกิริยาเคมี รวมทั้ง
พืชเจริญเติบโตชาและตาย แหลงนํา้ นิง่ มีความเปนกรด ภาพที่ 4.26 การไดรบั ฝนกรดในปริมาณมากทําใหพชื เจริญ สามารถวางแนวทางปองกันอันตรายที่เกิดขึ้น
สงผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู เติบโตชาและตายในที่สุด
ที่มา : คลังภาพ อจท. จากปฏิกิริยาเคมีได
แกสคารบอนมอนอกไซด
เปนแกสทีเ่ กิดจากปฏิกริ ยิ าการเผาไหมแบบไมสมบูรณ
เชน การเผาไหมของเครื่องยนตและเครื่องจักรใน
โรงงานอุต2สาหกรรม เมื่อเขาสูรางกายจะเขาจับกับ
เฮโมโกลบินของเซลลเม็ดเลือดแดง ทําใหประสิทธิภาพ
การลําเลียงแกสออกซิเจนลดลง หากไดรบั ปริมาณมาก
อาจเปนอันตรายถึงชีวิตได
ภาพที่ 4.27 การปลอยเขมาควันจากการเผาไหม
แบบไมสมบูรณ ซึ่งประกอบดวยแกสคารบอนมอนอกไซดและเขมาควัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
สนิมเหล็ก
เกิดจากปฏิกริ ยิ าระหวางโลหะ นํา้ และแกสออกซิเจน
ทํ า ให โ ลหะเกิ ด สนิ ม และผุ ก ร อ นง า ย เช น วั ส ดุ
หรือโครงสรางที่มีเหล็กเปนสวนผสม เมื่อสัมผัส
กั บ ความชื้ น ในอากาศจะทํ า ให เ กิ ด การผุ ก ร อ น
และมีความแข็งแรงลดลง อาจสงผลกระทบตอสิง่ มีชวี ติ
ที่อาศัยอยูบริเวณใกลเคียง หากเกิดการพังทลาย
ของโครงสรางดังกลาว
ภาพที่ 4.28 การเกิดสนิมเหล็กทําใหวัสดุหรือโครงสราง
ที่มีเหล็กเปนองคประกอบผุกรอนงาย
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ปฏิกิริยาเคมี 159
T171
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ให นั ก เรี ย นศึ ก ษาประโยชน แ ละโทษของ ปรากฏการณ์เรือนกระจก
ปฏิกิริยาเคมีในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ปรากฏการณ์ทแี่ ก๊สลอยไปสะสมบนชัน้ บรรยากาศ แก๊สเรือนกระจกทีส่ า� คัญ
วิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3 เล ม 1 ได้แก่ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แก๊สคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs)
แก๊สมีเทน (CH4) และแก๊สไนตรัสออกไซด์ (N2O) ซึ่งเกิดจากกิจ1กรรม
หนวยการเรียนรูที่ 4 เรื่อง ประโยชนและโทษ ของมนุษย์ เมือ่ โลกได้รบั พลังงานจากดวงอาทิตย์ รังสีอลั ตราไวโอเลต (UV)
ของปฏิกิริยาเคมี ที่มีพลังงานสูงจะทะลุผ่านชั้นแก๊สเรือนกระจกมายังโลก 2เมื่อผิวโลกร้อนขึ้น
ภาพที่ 4.29 แก๊สที่เกิดจากโรงงาน
2. ใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนอภิปรายประโยชน จะคายพลังงานความร้อนออกมาในรูปรังสีอินฟราเรดซึ่งมีพลังงานต�่า อุตสาหกรรมเป็นสาเหตุหนึง่ ทีท่ า� ให้
และโทษของปฏิกิริยาเคมีลงในกระดาษ A4 ไม่สามารถทะลุผา่ นชัน้ แก๊สเรือนกระจกออกไปได้ ท�าให้โลกมีอณุ หภูมสิ งู ขึน้ เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
3. ครูสุมเรียกนักเรียน 2-3 คู เสนอตัวอยางของ
ประโยชนและโทษของปฏิกิริยาเคมี หมอกควัน
เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในปริมาณมาก โดยเฉพาะในเขตอุตสาหกรรมและเมืองใหญ่ ๆ ที่มี
การจราจรหนาแน่น รวมถึงควันที่เกิดจากไฟป่า ท�าให้เกิดแก๊สต่าง ๆ เช่น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
(CO2) แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) แก๊สไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2)
ฝุ่นละอองขนาดเล็ก แก๊สเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการด�ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เช่น
การเข้ า จั บ กั บ เฮโมโกลบิ น ของแก๊ ส คาร์ บ อนมอนอกไซด์ ท� า ให้ เ ซลล์ เ ม็ ด เลื อ ดแดงล� า เลี ย ง
แก๊ ส ออกซิ เ จนได้ ล ดลง การรวมตั ว ของแก๊ ส ไนโตรเจนไดออกไซด์
หรื อ แก๊ ส ซั ล เฟอร์ ไ ดออกไซด์ กั บ ไอน�้ า ในอากาศกลายเป็ น ฝนกรด
รวมทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็กที่บดบังการมองเห็นอาจท�าให้เกิดอันตรายต่อ
การจราจรในท้องถนนและบนท้องฟ้า
Science
Focus ผลกระทบจากปรากฏการณ์เรือนกระจก
ปรากฏการณ์เรือนกระจก (greenhouse effect) เป็นปรากฏการณ์ทโี่ ลกมีอณุ หภูมสิ งู ขึน้ เนือ่ งจากพลังงานความร้อนทีเ่ กิดขึน้
จากกิจกรรมต่าง ๆ ภายในโลกไม่สามารถทะลุผ่านชั้นแก๊สเรือนกระจกออกไปได้ ซึ่งเป็นสาเหตุส�าคัญที่ท�าให้เกิดภาวะโลกร้อน
(global warming) อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น
- ระดับน�้าทะเลเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้น ท�าให้น�้าแข็งขั้วโลกละลายและไหลลงสู่มหาสมุทร
แนวตอบ คําถาม มากกว่าปกติ ระดับน�า้ ทะเลจึงเพิม่ สูงขึน้ เกิดการกัดเซาะและพังทลายของชายฝัง่ ส่งผลกระทบต่อแหล่งทีอ่ ยูอ่ าศัยและแหล่งอาหาร
ของสิ่งมีชีวิตบริเวณขั้วโลก
ตัวอยางเชน ปฏิกิริยาการเผาไหม - ปะการังฟอกสี สีของปะการังเกิดจากสาหร่ายเซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการัง เมื่ออุณหภูมิของน�้าเพิ่มขึ้น
ประโยชน : ก อ ให เ กิ ด พลั ง งานในการขั บ เคลื่ อ น ท�าให้สาหร่ายเซลล์เดียวตาย ปะการังจึงตายและกลายเป็นสีขาว
เครื่องยนต
โทษ : กอใหเกิดมลพิษทางอากาศและสงผลกระทบ 160
ตอสิ่งมีชีวิต
T172
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
กิจกรรม
4. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน ทํา
การปองกันและแกไขปญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี
กิจกรรม การปองกันและแกไขปญหาที่เกิด
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
จากปฏิกิริยาเคมี โดยใหสมาชิกภายในกลุม
จุดประสงค - การสังเกต แบงภาระและหนาที่รับผิดชอบ
- การจัดกระทําและสื่อความหมาย
อธิบายและยกตัวอยางปญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจําวัน และบอกแนวทาง ขอมูล 5. ครูสุมตัวแทนกลุมออกมานําเสนอปายนิเทศ
การปองกันและแกไขปญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี จิตวิทยาศาสตร
- ความสนใจใฝรู 6. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม
- ความรับผิดชอบ
- การทํางานรวมกับผูอื่นได เพื่ อ ให ไ ด ข อ สรุ ป ว า ปฏิ กิ ริ ย าเคมี ที่ พ บใน
วิธปี ฏิบตั ิ อยางสรางสรรค
ชี วิ ต ประจํ า วั น มี ทั้ ง ประโยชน แ ละโทษต อ
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน สืบคนขอมูลเกี่ยวกับปญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม ดังนั้น เราจึงตอง
ในชีวิตประจําวัน กลุมละ 1 ปญหา โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- สาเหตุของปญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจําวัน ระมัดระวังผลจากปฏิกิริยาเคมี ตลอดจนรูจัก
- แนวทางการปองกันและแกไขปญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจําวัน วิธปี อ งกันและแกปญ หาทีเ่ กิดจากปฏิกริ ยิ าเคมี
2. นักเรียนแตละกลุมจัดทํารายงานและปายนิเทศ เรื่อง ปญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจําวัน ที่พบในชีวิตประจําวัน รวมทั้งรวมกันรณรงค
3. นักเรียนแตละกลุมนําเสนอปายนิเทศหนาชั้นเรียน และปลูกจิตสํานึกใหคํานึงถึงผลกระทบที่มี
ตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม
คําถามทายกิจกรรม 7. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
นักเรียนมีแนวทางปองกันและแกไขปญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจําวันไดอยางไร
อภิปรายผลกิจกรรม
จากกิจกรรม พบวา ปฏิกิริยาเคมีบางชนิดกอใหเกิดปญหาและผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม จึงควรมีแนวทางแกไข
หรือปองกันปญหาเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมีดังกลาว เชน ปฏิกิริยาการเผาไหมแบบไมสมบูรณเปนปฏิกิริยา แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
ทีเ่ กิดขึน้ จากกิจกรรมตาง ๆ ของมนุษย เชน การเผาไหมในเครือ่ งยนตหรือเครือ่ งจักรในโรงงานอุตสาหกรรม การผลิตกระแสไฟฟา
โดยใชถานหิน การเผาขยะมูลฝอยหรือวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรในที่โลงแจง กิจกรรมเหลานี้เปนการเผาไหมในสภาวะที่มี ตัวอยางสาเหตุของปญหาทีเ่ กิดจากปฏิกริ ยิ าเคมี
แกสออกซิเจนไมเพียงพอ จึงไดผลิตภัณฑเปนแกสคารบอนมอนอกไซดและเขมาควัน ซึ่งสงผลทําใหเกิดมลพิษทางอากาศ ในชีวติ ประจําวันและแนวทางการปองกันและแกไข
เปนอันตรายตอสุขภาพ และเปนสาเหตุสาํ คัญทีท่ าํ ใหเกิดปรากฏการณเรือนกระจก ดังนัน้ จึงควรมีแนวทางปองกันและแกไขปญหา ปญหา
ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมีดังกลาว เชน ใชเครื่องยนตหรือเครื่องจักรที่กอใหเกิดมลพิษนอย สงเสริมการใชระบบขนสงสาธารณะ
สงเสริมการใชพลังงานหมุนเวียน ปรับปรุงระบบการกําจัดขยะมูลฝอยและวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร สนับสนุนการใชเทคโนโลยี 1. การเกิดสนิมของเหล็ก เนื่องจากโลหะที่มี
การเกษตร รณรงคและประชาสัมพันธใหประชาชนมีสวนรวมในการปองกันและแกไขปญหามลพิษทางอากาศ เหล็ ก เป น องค ป ระกอบทํ า ปฏิ กิ ริ ย ากั บ นํ้ า และ
ออกซิ เ จนในอากาศ เพื่ อ ป อ งกั น การเกิ ด สนิ ม
ของเหล็ ก อาจนํ า เหล็ ก มาเคลื อ บผิ ว หรื อ ชุ บ
ดวยโลหะอื่น เชน ดีบุก สังกะสี
2. การกรอนของโลหะเนื่องจากกรดหรือเบส
ปฏิกิริยาเคมี 161 เชน ใชบรรจุภัณฑทําความสะอาดที่เปนพลาสติก
หรือใชบรรจุภัณฑที่เปนแกวบรรจุนํ้าสมสายชู
ขอใดไมใชแนวทางการแกปญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี ตัวอยางการสืบคนขอมูล
1. ใชวัสดุที่ทําจากเหล็กในที่รม แนวทางการปองกัน
สาเหตุ
2. ใชขวดแกวบรรจุสารเคมีที่เปนกรด และแกไขปญหา
3. ใชสารเคมีปรับสภาพดินใหเปนกลาง ฝนกรด เกิ ด จากแก ส ซั ล เฟอร ไ ด ลดปริมาณแกสที่เปนสาเหตุทําใหเกิด
4. ใชพลังงานหมุนเวียนแทนการเผาไหมเชื้อเพลิง ออกไซดหรือแกสไนโตรเจนไดออกไซด ฝนกรด เชน แกสซัลเฟอรไดออกไซด
(วิเคราะหคําตอบ ทุกตัวเลือกเปนแนวทางการแกไขปญหาที่เกิด ที่มาจากโรงงานอุตสาหกรรมรวมกับ ไนโตรเจนไดออกไซดที่ปลอยมาจาก
จากปฏิกริ ยิ าเคมี ยกเวนการใชวสั ดุทที่ าํ จากเหล็กในทีร่ ม เนือ่ งจาก นํ้าฝนในอากาศ ทําใหนํ้าฝนมีสมบัติ โรงงานอุ ต สาหกรรม โรงงานไฟฟ า
เหล็กยังคงสัมผัสอากาศและความชื้นในอากาศ ทําใหเกิดสนิม เปนกรด มีฤทธิก์ ดั กรอน สงผลกระทบ ยานพาหนะ รวมทั้งชวยกันประหยัด
ตอสิง่ ปลูกสราง อาคาร พืชผลทางการ พลังงาน หรือใชพลังงานทดแทน แทน
เหล็กขึ้นได ดังนั้น ตอบขอ 1.)
เกษตร รวมทัง้ เปนอันตรายตอสิง่ มีชวี ติ การใชพลังงานจากการเผาไหมเชือ้ เพลิง
นอกจากนี้ การทาสี ห รื อ ใช ส ารอื่ น ที่
เคลือบทาวัสดุหรือสิง่ ปลูกสราง สามารถ
ปองกันผลกระทบและความเสียหายได
T173
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
8. ให นั ก เรี ย นยกตั ว อย า งการประยุ ก ต ใ ช จากที่กล่าวมา จะเห็นว่า ปฏิกิริยาเคมีหลายชนิดสามารถน�ามาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ�าวันได้
แต่ปฏิกิริยาเคมีบางชนิดก็ส่งผลกระทบต่อการด�ารงชีวิตของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมเช่นกัน ดังนั้น จึงควรมีวิธีการ
ปฏิ กิ ริ ย าเคมี ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น คนละ 1 ควบคุมการเกิดปฏิกิริยาเคมีอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ปฏิ กิ ริ ย า นอกเหนื อ จากในหนั ง สื อ เรี ย น
รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ม.3 เล ม 1 หน ว ยการเรี ย นรู ที่ 4 เรื่ อ ง
Application
Activity
ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจําวัน
9. ครูสุมเรียกนักเรียน 2-3 คน ยกตัวอยางการ นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-7 คน น�าความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีมาบูรณาการกับคณิตศาสตร์
เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ เพือ่ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือสร้างนวัตกรรมทีใ่ ช้แก้ปญั หาทีเ่ กิดขึน้ จากปฏิกริ ยิ าเคมี
ประยุกตใชปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจําวัน โดยมีขั้นตอน ดังนี้
10. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด รายวิ ช าพื้ น ฐาน 1. ระบุปัญหาในชีวิตประจ�าวันที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมี
วิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3 เล ม 1 2. รวบรวมข้อมูลและแนวคิดเกีย่ วกับปฏิกริ ยิ าเคมี เพือ่ น�าไปสูก่ ารปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือสร้างนวัตกรรม
เรื่อง ประโยชนและโทษของปฏิกิริยาเคมี 3. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี โดยปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือสร้างนวัตกรรม
พร้อมเชื่อมโยงกับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์
4. วางแผนและด�าเนินการแก้ปัญหา
5. ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมที่สร้างขึ้น
6. น�าเสนอผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมี
นักเรียนแต่ละกลุ่มจัดท�ารูปเล่มรายงานและป้ายนิเทศเพื่อใช้ประกอบการน�าเสนอหน้าชั้นเรียน
Topic Questions
ค�ำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. การเผาไหม้แก๊สมีเทนในสภาวะที่มีแก๊สออกซิเจนไม่เพียงพอก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
อย่างไร อธิบายพร้อมเขียนสมการเคมีประกอบ
2. วัสดุที่ท�าจากเหล็กจะผุกร่อนง่ายกว่าปกติหากเปียกฝนอยู่บ่อยครั้ง เพราะเหตุใด
3. หินงอกหินย้อยเกิดจากปฏิกิริยาเคมีของสารชนิดใด อธิบายพร้อมเขียนสมการเคมีประกอบ
4. เพราะเหตุใดจึงนิยมใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นแก้วบรรจุน�้าส้มสายชู และหากใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นโลหะจะส่งผลกระทบ
อย่างไร
5. โรงงานผลิตปุ๋ยแห่งหนึ่งใช้กรดซัลฟิวริกในกระบวนการผลิต ท�าให้น�้าทิ้งที่ปล่อยออกมาจากโรงงานมีสมบัติ
เป็นกรด ซึ่งเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม นักเรียนมีวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยใช้ประโยชน์จาก
ปฏิกิริยาเคมีอย่างไร
162
T174
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
F u n
11. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน ทํา
Science Activity ภูเขาไฟระเบิด
กิจกรรม Fun Science Activity เรือ่ ง ภูเขาไฟ
วัสดุอปุ กรณ
ระเบิด โดยใหนกั เรียนแบงภาระและหนาทีก่ นั
1. นํ้าเปลา 7. กระบอกตวง
ภายในกลุม
2. ดินนํ้ามัน 8. สีผสมอาหาร 12. ใหนักเรียนแตละกลุมทํากิจกรรม Fun Sci-
3. นํ้าสมสายชู 9. นํ้ายาลางจาน ence Activity เรื่อง ภูเขาไฟระเบิด
4. กระดาษแข็ง 10. แทงแกวคนสาร
5. ขวดรูปชมพู ขนาด 500 cm3 11. ชอนตักสาร เบอร 1
อธิบายความรู
6. เบกกิงโซดาหรือโซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนต (NaHCO3)
13. ครูสมุ ตัวแทนกลุม ออกมานําเสนอผลกิจกรรม
ภาพที่ 4.31 ภูเขาไฟจําลอง 14. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับลาวา
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ทีอ่ อกมาจากปลองภูเขาไฟ ซึง่ เปนการจําลอง
วิธที าํ การเกิดปฏิกิริยาเคมี
1. นําขวดรูปชมพูมาทําเปนภูเขาไฟ โดยใชดินนํ้ามันกอรอบขวด แลวนํามาวางบน
กระดาษแข็ง 15. ครูถามคําถามสรุปกิจกรรม ดังนี้
2. ผสมเบกกิงโซดา 10 ชอน สีผสมอาหาร นํ้าเปลาปริมาตร 50 ลูกบาศกเซนติเมตร • ลาวาทีพ่ งุ ออกมาจากปลองภูเขาไฟเปนการ
และนํ้ายาลางจานปริมาตร 25 ลูกบาศกเซนติเมตร ใชแทงแกวคนสารใหเขากัน จําลองปฏิกิริยาเคมีชนิดใด
แลวเทลงในปลองภูเขาไฟ
3. เทนํ้าสมสายชูปริมาตร 25 ลูกบาศกเซนติเมตร ลงไปในปลองภูเขาไฟ สังเกต ( แนวตอบ ปฏิ กิ ริ ย าระหว า งกรดกั บ สาร
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ประกอบคารบอเนต ไดผลิตภัณฑเปนเกลือ
ของโลหะ นํา้ และแกสคารบอนไดออกไซด)
ภาพที่ 4.32 จําลองการเกิดภูเขาไฟ
• สารตั้งตนของปฏิกิริยานี้คืออะไร
ที่มา : https://www.youtube.com/ (แนวตอบ เบกกิงโซดาและนํ้าสมสายชู)
watch?v=t0FVaq2LVtE
• จากกิจกรรม ทําไมลาวาจึงพุงออกมาจาก
หลักการทางวิทยาศาสตร
ปลองภูเขาไฟได
ลาวาทีอ่ อกจากปลองภูเขาไฟจําลองเกิดจากปฏิกริ ยิ าเคมีระหวางเบกกิงโซดาหรือโซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนตกับนํา้ สมสายชู
หรือกรดแอซีติก ไดผลิตภัณฑเปนกรดคารบอนิกและโซเดียมแอซิเตต ดังสมการ (แนวตอบ เพราะแกสคารบอนไดออกไซด
NaHCO3 (s) + CH3COOH (aq) H2CO3 (aq) + CH3COONa (aq) ซึ่งเปนผลิตภัณฑ กอใหเกิดแรงดันเพิ่มขึ้น
โซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนต กรดแอซีติก กรดคารบอนิก โซเดียมแอซิเตต ภายในปลองภูเขาไฟ ทําใหลาวาถูกดันและ
แตกรดคารบอนิกไมเสถียร จึงแตกตัวเปนแกสคารบอนไดออกไซดและนํ้า ดังสมการ พุงออกมาจากปลองภูเขาไฟ)
H2CO3 (aq) CO2 (g) + H2O (l)
กรดคารบอนิก แกสคารบอนไดออกไซด นํ้า
แกสคารบอนไดออกไซดท่ีเกิดขึ้นจะสรางแรงดันในขวดรูปชมพูดันของเหลวภายในใหออกมา ซึ่งมีลักษณะคลายลาวา
ของภูเขาไฟ (สีจากสีผสมอาหารและฟองจากนํ้ายาลางจาน)
ปฏิกิริยาเคมี 163
T175
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
16. ใหนักเรียนศึกษา Science in Real Life Science in Real Life
เรื่อง ปฏิกิริยาการสลายตัวของผงฟู จาก ปฏิกิริยาการสลายตัวของผงฟู
หนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าพื้ น ฐานวิ ท ยาศาสตร
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 หนวยการเรียนรู ผงฟู (baking powder) ประกอบดวยโซเดียม-
ไฮโดรเจนคารบอเนต (sodium hydrogen carbonate;
ที่ 4 ปฏิกิริยาเคมี จากนั้นใหนักเรียนสรุป
NaHCO3) สารทีม่ สี มบัตเิ ปนกรด และแปง ผงฟูถกู นํามา
ประโยชน ข องปฏิ กิ ริ ย าเคมี ข องโซเดี ย ม ใชในการทําขนมหลายชนิด เชน ขนมถวยฟู ขนมตาล
ไฮโดรเจนคารบอเนตนอกเหนือจากในหนังสือ ขนมสาลี่ เคก ขนมปง เพื่อทําใหขนมขึ้นฟู โดยเมื่อ
เรียนลงในกระดาษ A4 พรอมนําเสนอหนา ใหความรอนกับผงฟู โซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนต
ชั้นเรียน ในผงฟูจะสลายตัว ไดโซเดียมคารบอเนต (Na2CO3) ภาพที่ 4.33 ผงฟูชว ยทําใหขนมปงขึน้ ฟูดนู า รับประทาน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
17. ใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน หนวย แกสคารบอนไดออกไซด (CO2) และไอนํา้ เปนผลิตภัณฑ
ดังนั้น เมื่อนําขนมที่ใสผงฟูไปอบ แกสคารบอนไดออกไซดที่ไดจากปฏิกิริยาจะขยายตัวและแทรกผานเขาไปใน
การเรียนรูที่ 4 ปฏิกิริยาเคมี เนื้อขนม ทําใหเกิดโพรงอากาศกระจายตัวทั่วทั้งกอนของขนม ขนมจึงขึ้นฟูดูนารับประทาน
18. ใหนักเรียนตรวจสอบความรูของตนเองจาก นอกจากนี้ โซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนตยังถูกนํามาใชในการดับไฟปา โดยเมื่อโปรยผงโซเดียมไฮโดรเจน-
กรอบ Self Check และตอบคําถาม Unit คารบอเนตจากเครือ่ งบินลงเหนือบริเวณทีเ่ กิดไฟปา ความรอนจากไฟปาจะทําใหโซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนตสลายตัว
Questions ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ใหแกสคารบอนไดออกไซดซ่ึงหนักกวาอากาศ และไปปกคลุมไมใหเชื้อเพลิงตาง ๆ ไดรับแกสออกซิเจน จึงชะลอ
วิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี ม.3 เล ม 1 หรือหยุดการเกิดไฟปาได
หนวยการเรียนรูที่ 4 ปฏิกิริยาเคมี ลงใน
สมุดประจําตัวนักเรียน เพื่อประเมินความรู
ความเขาใจของนักเรียน
ป
ขยายความเขาใจ
19. ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม กลุ ม ละ 5-7 คน
เลือกกําหนดปญหาจากปฏิกิริยาเคมีในชีวิต
ประจําวันของตนเอง แลวใหนกั เรียนวิเคราะห
สถานการณ และนําความรู เรื่อง ประโยชน
และโทษของปฏิกิริยาเคมีมาบูรณาการกับ
วิทยาศาสตร คณิตศาสตร เทคโนโลยี และ 2NaHCO3 (s) ความรอน Na2CO3 (s) + H2O (g) + CO2 (g)
วิศวกรรมศาสตร เพื่อวางแผน ออกแบบวิธี โซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนต โซเดียมคารบอเนต นํ้า แกสคารบอนไดออกไซด
T176
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ
Summary ปฏิกิริยาเคมี เพื่อใหไดขอสรุปวา ปฏิกิริยาเคมี
ปฏิกิริยาเคมี เกิดจากการเปลีย่ นแปลงทางเคมีของสารแลวเกิด
สารใหม โดยมนุษยใชประโยชนจากปฏิกิริยาเคมี
¡ÒÃà¡Ô´ »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ ในชี วิ ต ประจํ า วั น เช น ปฏิ กิ ริ ย าการเผาไหม
¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§·Ò§à¤ÁբͧÊÒà ·íÒãËŒà¡Ô´ÊÒÃãËÁ‹·ÕèÁÕÊÁºÑµÔà»ÅÕè¹仨ҡà´ÔÁ เพือ่ เปนแหลงพลังงาน แตในทางกลับกันปฏิกริ ยิ า
เคมีกอใหเกิดโทษตอสิ่งแวดลอมและสิ่งมีชีวิต
ÊÒõÑ駵Œ¹ ¼ÅÔµÀѳ± เชนกัน ดังนั้น จึงควรศึกษาปฏิกิริยาเคมี เพื่อหา
2H2 (g) + O2 (g) 2H2O (l) + วิธปี อ งกันและแกไขปญหาทีเ่ กิดจากปฏิกริ ยิ าเคมี
จากนั้นใหนักเรียนสรุปความรูเปนผังมโนทัศน
á¡ÊäÎâ´Ãਹ á¡ÊÍÍ¡«Ôਹ ¹íÒé ลงในกระดาษ A4 แลวนํามาเสนอหนาชั้นเรียน
»ÃÐàÀ·¢Í§ »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ
»¯Ô¡ÔÃÔÂÒ ´Ù´¤ÇÒÁÌ͹ »¯Ô¡ÔÃÔÂÒ ¤Ò¤ÇÒÁÌ͹
¾Åѧ§Ò¹·Õè´Ù´à¢ŒÒ > ¾Åѧ§Ò¹·Õè¤ÒÂÍÍ¡ ¾Åѧ§Ò¹·Õè´Ù´à¢ŒÒ < ¾Åѧ§Ò¹·Õè¤ÒÂÍÍ¡
¾Åѧ§Ò¹
¾Åѧ§Ò¹
¼ÅÔµÀѳ± ÊÒõÑ駵Œ¹
¼ÅÔµÀѳ±
ÊÒõÑ駵Œ¹
¡ÒôíÒà¹Ô¹ä»¢Í§»¯Ô¡ÔÃÔÂÒ ¡ÒôíÒà¹Ô¹ä»¢Í§»¯Ô¡ÔÃÔÂÒ
ปฏิกิริยาเคมี 165
T177
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน หนวยการเรียนรู »¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ ã¹ªÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ
ที่ 4 ปฏิกิริยาเคมี ª¹Ô´¢Í§»¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ
2. ตรวจแบบฝกหัดรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร
»¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ ÊÒõÑ駵Œ¹ ¼ÅÔµÀѳ±
และเทคโนโลยี ม.3 เลม 1 เรื่อง ประโยชน
ÊÒûÃСͺ·ÕèÁÕ H áÅÐ C á¡Ê¤Òú͹ä´ÍÍ¡ä«´ +
และโทษของปฏิกิริยาเคมี ¡ÒÃà¼ÒäËÁŒáººÊÁºÙó
+ á¡ÊÍÍ¡«Ôਹ (à¾Õ§¾Í) ¹íéÒ + ¾Åѧ§Ò¹
3. ตรวจคําตอบ Topic Questions ในสมุด
¡ÒÃà¼ÒäËÁŒáººäÁ‹ÊÁºÙó ÊÒûÃСͺ·ÕèÁÕ H áÅÐ C á¡Ê¤Òú͹Á͹͡䫴 + ¹íéÒ +
ประจําตัวนักเรียน + á¡ÊÍÍ¡«Ôਹ (äÁ‹à¾Õ§¾Í) ¾Åѧ§Ò¹ + à¢Á‹Ò¤Çѹ
4. ตรวจรายงาน เรือ่ ง ปญหาทีเ่ กิดจากปฏิกริ ยิ า
เคมีในชีวิตประจําวัน ¡ÒÃà¡Ô´Ê¹ÔÁ¢Í§àËÅç¡ àËÅç¡ + ¹íéÒ + á¡ÊÍÍ¡«Ôਹ ʹÔÁ¢Í§àËÅç¡
5. ตรวจป า ยนิ เ ทศ เรื่ อ ง ป ญ หาที่ เ กิ ด จาก
ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจําวัน ¡Ã´¡ÑºâÅËÐ ¡Ã´ + âÅËÐ à¡Å×ͧ͢âÅËÐ + á¡ÊäÎâ´Ãਹ
6. ตรวจผังมโนทัศนปฏิกิริยาเคมี
¡Ã´¡ÑºàºÊ ¡Ã´ + àºÊ à¡Å×ͧ͢âÅËÐ + ¹íÒé
7. ประเมิ น การออกแบบวิ ธีก ารแก ไ ขป ญ หา
ปรับปรุงผลิตภัณฑ หรือสรางนวัตกรรมที่ใช àºÊ¡ÑºâÅËкҧª¹Ô´ àºÊ + âÅËкҧª¹Ô´ (Al Zn) à¡Å×ͧ͢àºÊ + á¡ÊäÎâ´Ãਹ
แกปญหาที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมี
¡Ã´¡ÑºÊÒûÃСͺ ¡Ã´ + ÊÒûÃСͺ¤ÒúÍ๵ à¡Å×ͧ͢âÅËÐ + á¡Ê¤Òú͹ä´ÍÍ¡ä«´
8. ตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม การปองกัน ¤ÒúÍ๵ + ¹íéÒ
และแกไขปญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี
¹íéÒ½¹ + ÍÍ¡ä«´¢Í§ä¹âµÃਹ ¹íéÒ½¹·ÕèÁÕÊÁºÑµÔ໚¹¡Ã´
9. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ¡ÒÃà¡Ô´½¹¡Ã´
ËÃ×ÍÍÍ¡ä«´¢Í§«ÑÅà¿Íà (¡Ã´«ÑÅ¿ÇÃÔ¡ËÃ×͡ô乵ÃÔ¡)
10. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยสังเกต
á¡Ê¤Òú͹ä´ÍÍ¡ä«´ + ¹íéÒ ¹íéÒµÒÅ¡ÅÙâ¤Ê + á¡ÊÍÍ¡«Ôਹ
ความมี วิ นั ย ใฝ เ รี ย นรู และมุ ง มั่ น ในการ ¡ÒÃÊѧà¤ÃÒÐË´ŒÇÂáʧ (ÁÕ¤ÅÍâÿÅÅ´Ù´¡Å×¹¾Åѧ§Ò¹áʧ)
ทํางาน
166
ลาดับที่
4 3
ระดับคุณภาพ
2 1
- ประเภทของปฏิกริ ยิ าเคมี
- ประโยชนและโทษของปฏิกิริยาเคมีที่มีตอสิ่งมีชีวิตและ
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่กาหนด
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ความคิดสร้างสรรค์
4 ความเป็นระเบียบ
รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............../................./................
เกณฑ์ประเมินแผนผังมโนทัศน์
ระดับคะแนน
สิง่ แวดลอม
- แนวทางการปองกันและวิธแี กไขปญหาทีเ่ กิดจากปฏิกริ ยิ าเคมี
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. ผลงานตรงกับ ผล งา น สอดค ล้ องกั บ ผ ล ง า น ส อด ค ล้ อ งกั บ ผลงานสอดคล้ อ งกั บ ผลงานไม่ ส อดคล้ อ ง
จุดประสงค์ที่ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ บ า ง กับจุดประสงค์
กาหนด ประเด็น
2. ผลงานมีความ เนื้ อ หาสาระของผลงาน เนื้ อ หาสาระของผลงาน เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ข อ ง เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ข อ ง
ถูกต้องของ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ผลงานถูกต้องเป็นบาง ผลงานไม่ถูกต้องเป็น
เนื้อหา ประเด็น ส่วนใหญ่
3. ผลงานมีความคิด ผ ล ง า น แ ส ด ง อ อ ก ถึ ง ผลงานมี แ นวคิ ด แปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผ ล ง า น ไ ม่ แ ส ด ง
สร้างสรรค์ ค ว า ม คิ ด ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ใหม่ แ ต่ ยั ง ไม่ เ ป็ น ระบบ แ ต่ ยั ง ไ ม่ มี แ น ว คิ ด แนวคิดใหม่
แปลกใหม่และเป็นระบบ แปลกใหม่
4. ผลงานมีความ ผ ล ง า น มี ค ว า ม เ ป็ น ผลงานส่ ว นใหญ่ มี ค วาม ผลงานมี ค วามเป็ น ผลงานส่ ว นใหญ่ ไ ม่
เป็น ระเบียบ ระเบี ย บแสดงออกถึ ง เ ป็ น ร ะ เ บี ย บ แ ต่ ยั ง มี ร ะ เ บี ย บ แ ต่ มี เป็นระเบียบและมีข้อ
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย ข้อบกพร่องบางส่วน บกพร่องมาก
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 7 ปรับปรุง
T178
นํา สอน สรุป ประเมิน
2. อะตอมของสารตั้งตนบางชนิดจะสูญหายไประหวางเกิดปฏิกิริยา ทําใหอะตอม
1.
ของผลิตภัณฑมีจํานวนเปลี่ยนแปลงไป
4. ถาปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นไดผลิตภัณฑเปนแกสและเกิดในระบบปด มวลของ
1.
สารตั้งตนจะเทากับมวลของผลิตภัณฑเสมอ
ุด
5. ปฏิกริ ยิ าที่ใชพลังงานในการสลายพันธะมากกวาสรางพันธะจะทําใหสงิ่ แวดลอม
สม
2.
ใน
มีอุณหภูมิสูงขึ้น
ลง
ทึ ก
บั น
7. การเผาไหมแบบไมสมบูรณจะไดผลิตภัณฑเปนแกสคารบอนไดออกไซดและนํา้ 3.1
ปฏิกิริยาเคมี 167
T179
นํา สอน สรุป ประเมิน
T180
นํา สอน สรุป ประเมิน
ปฏิกิริยาเคมี 169
T181
นํา สอน สรุป ประเมิน
แนวทางการจัดทํากิจกรรม
STEM Activity
ครูแนะนําเกี่ยวกับวิธีประดิษฐอุปกรณเคลื่อน
S T EM
ยายไขเตาทะเล และภายในอุปกรณตองมีอุณหภูมิ
Activity
ที่เหมาะสมกับไขเตาทะเล ดังนี้ อุปกรณ์เคลื่อนย้ายไข่เต่าทะเล
การเลือกอุปกรณทจี่ ะนํามาประดิษฐอปุ กรณเคลือ่ น เต่าทะเลจัดเป็นสัตว์หายากและใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่ง เนื่องจากมี
ยายไขเตาทะเล มีหลักการเลือก ดังนี้ การบุกรุกท�าลายแหล่งขยายพันธุข์ องเต่าทะเล โดยปกติแม่เต่าทะเลจะขึน้ มา
• ควรเลือกวัสดุทมี่ คี วามแข็งแรง มีนาํ้ หนักเบา วางไข่บนหาดทรายทีเ่ งียบสงบในช่วงกลางคืน ซึง่ จะวางไข่เป็นจ�านวน 70-150
ฟอง (ขึ้นอยู่กับชนิดของเต่าทะเล) และจะฟักตัวโดยอาศัยความร้อนจาก
สามารถรักษาอุณหภูมิภายในใหอยูในชวง แสงอาทิตย์ทอี่ ณุ หภูมใิ นช่วง 25-34 องศาเซลเซียส และความชืน้ ทีเ่ หมาะสม
25-34 องศาเซลเซียส เปนเวลา 30 นาทีได ใต้พนื้ ทราย โดยใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ 50-55 วัน
และปองกันการกระแทกได เชน โฟม ไข่เต่าทะเล
ที่มา : คลังภาพ อจท.
• กอนเลือกสารเคมี ควรพิจารณาวา ภายใน
อุปกรณควรมีอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง สถานการณ์
หากตองการใหภายในอุปกรณมีอุณหภูมิที่ เด็กชายนนท์ไปเที่ยวทะเลกับครอบครัวในช่วงวันหยุด เช้าวันรุ่งขึ้นเด็กชายนนท์พบไข่เต่าทะเลในหลุมทราย
ลดลง ควรเลือกสารเคมีที่เกิดปฏิกิริยาเคมี ที่ไม่ถูกฝังกลบบริเวณชายหาด ซึ่งอาจท�าให้ตัวอ่อนไม่เจริญเติบโตหรือถูกสัตว์ชนิดอื่นกินเป็นอาหาร เด็กชายนนท์
จึงพยายามหาวิธเี คลือ่ นย้ายไข่เต่าทะเลไปยังศูนย์อนุรกั ษ์พนั ธุเ์ ต่าทะเล ซึง่ ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 20-30 นาที
ประเภทดูดความรอน แตถาหากตองการให จากสถานการณ์ข้างต้น เด็กชายนนท์จะออกแบบอุปกรณ์เคลื่อนย้ายไข่เต่าทะเลได้อย่างไร
ภายในอุปกรณมอี ณ ุ หภูมสิ งู ขึน้ ควรเลือกสาร
เคมีทเี่ กิดปฏิกริ ยิ าเคมีประเภทคายความรอน ข้อจ�ากัด เชื่อมโยงสู่ ไอเดีย
อุปกรณ์เคลื่อนย้ายไข่เต่าทะเลต้องมีสมบัติ ดังนี้ Science เมือ่ ละลายสารเคมีในน�า้ จะเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
การเลือกประเภทของปฏิกิริยาและสารเคมีเพื่อให • มีขนาดเหมาะสม น�้าหนักเบา และป้องกันการกระแทกได้ ระหว่างสารเคมีกบั น�า้ ท�าให้สารละลายทีไ่ ด้
ภายในอุปกรณมีอุณหภูมิที่เหมาะสม • อปุ กรณ์เคลือ่ นย้ายสามารถรักษาอุณหภูมใิ ห้อยูใ่ นช่วง 25-34 มีอณุ หภูมเิ ปลีย่ นแปลงไป ซึง่ อาจมีอณุ หภูมิ
ลดลงหรือสูงขึ้น และการเลือกใช้วัสดุที่
• ครูอาจยกตัวอยางปฏิกิริยาเคมีประเภทดูด องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30 นาทีได้ เหมาะสมในการออกแบบอุปกรณ์เคลือ่ นย้าย
ความรอน เชน • อุปกรณ์เคลือ่ นย้ายสามารถบรรจุไข่เต่าทะเลได้อย่างน้อย 10 ฟอง ไข่เต่าทะเล
- ปฏิ กิ ริ ย าระหว า งกรดไฮโดรคลอริ ก กั บ วัสดุอปุ กรณ์ Technology
อุปกรณ์เคลื่อนย้ายไข่เต่าทะเลที่มีอุณหภูมิ
โซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนต 1. สารเคมี เช่น โซเดียมไบคาร์บอเนต โซเดียมไฮดรอกไซด์ เหมาะสม
- ปฏิกิริยาระหวางแคลเซียมไฮดรอกไซดกับ แคลเซียมคลอไรด์ โซเดียมคลอไรด์ Engineering
แอมโมเนียมคลอไรด 2. วัสดุที่ใช้ท�าอุปกรณ์ในการเคลื่อนย้าย เช่น กระดาษลัง ไม้ การออกแบบและประดิษฐ์อุปกรณ์เคลื่อน
พลาสติก โฟม เทปใส เชือก กรรไกร คัตเตอร์ ย้ายไข่เต่าทะเล
- ปฏิกิริยาการรวมตัวระหวางแกสไนโตรเจน
กับแกสออกซิเจน
3. วสั ดุปอ้ งกันการกระแทก เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์ กระดาษ Mathematics
ทิชชู ส�าลี รูปทรงเรขาคณิตที่เลือกใช้ในการออกแบบ
• ครูอาจยกตัวอยางปฏิกิริยาเคมีประเภทคาย 4. น�้า 7. เทอร์มอมิเตอร์ อุปกรณ์เคลื่อนย้ายไข่เต่าทะเล และการ
5. ถ้วยแก้ว 8. ถุงซิปล็อก ค�านวณน�้าหนักโดยรวมของไข่เต่าทะเลที่
ความรอน เชน ถูกเคลื่อนย้ายในแต่ละครั้ง
6. กระบอกตวง 9. ช้อนตักสาร
- ปฏิกิริยาระหวางนํ้ากับโซดาไฟ
- ปฏิกริ ยิ าระหวางโลหะกับกรด หรือปฏิกริ ยิ า 170
ระหวางโลหะกับเบส
- ปฏิกิริยาระหวางกรดกับเบส หรือปฏิกิริยา
การสะเทิน
T182
นํา สอน สรุป ประเมิน
อัตราสวนของสารเคมีที่นํามาผสม
Sci���� Tec���l��� En�i���ri�� M�t���at���
ครูอาจแนะนําวา อัตราสวนของสารเคมีที่นํา
มาผสมมีผลตออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น
จึ ง ควรคํ า นึ ง ถึ ง อั ต ราส ว นของสารเคมี ที่ นํ า มา
1 ระบุปญหา
วิเคราะหสถานการณ และระบุแนวทาง
ผสม เพื่อใหภายในอุปกรณเคลื่อนยายไขเตาทะเล
การแกปญ หา เพือ่ เปนแนวทางในการ มีอุณหภูมิที่เหมาะสม
สรางสรรคชิ้นงาน
ตัวอยางเชน การผสมโซเดียมไบคารบอเนตและ
6 นําเสนอวิธีการแกปญหา 2 รวบรวมขอมูลและแนวคิด
แคลเซียมคลอไรดในปริมาณตางๆ
รวบรวมแนวคิดที่ไดและปญหาทีพ่ บ สืบคนความรูและรวบรวมขอมูล
ในกิ จ กรรม เพื่ อ นํ า เสนอวิ ธี การ ทีน่ าํ ไปแกปญ หา แลวสรุปขอมูล ปริมาณโซเดียมไบคารบอเนต 2.5 ml
แกปญหา ความรูที่ไดมาโดยสังเขป ปริมาณแคลเซียมคลอไรด 0.625 ml
ปริมาณนํ้า 15 ml
อุณหภูมิเริ่มตนของนํ้า 40 องศาเซลเซียส
ขั้นตอน อุณหภูมิเมื่อปฏิกิริยาสิ้นสุด 32 องศาเซลเซียส
การทํากิจกรรม (อุ ณ หภู มิ ข องนํ้ า ที่ เ ปลี่ ย นแปลงไป จะขึ้ น อยู กั บ
อัตราสวนของสารที่นํามาผสม)
5 ทดสอบ ประเมินผล
และปรับปรุงแกไข 3 ออกแบบวิธีการแกปญหา
เกณฑการประเมิน ระดับคุณภาพ
1 2 3 4 5
• มีขนาดเหมาะสม นํ้าหนักเบา และปองกันการกระแทกได
171
T183
บรรณานุ ก รม
ณัฐชยา ค�ำรังษี และเอกรัฐ วงศ์สวัสดิ์. (2561). หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ.
กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์.
พงศธร นันทธเนศ และเปรมวดี จิตย์อารีย์. (2562). หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์กายภาพ 1
(เคมี). กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์.
วรรณทิพา รอดแรงค้า. (2544). การสอนวิทยาศาสตร์ที่เน้นทักษะกระบวนการ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร :
สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ.
ศึกษาธิการ, กระทรวง. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (ม.ป.ป.). คู่มือการใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ส�ำหรับ
หลักสูตรอนาคต ระดับมัธยมศึกษา. กรุงเทพมหานคร : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
Brady, J. E., Russell, J. W. and Uolum, J. R. (2000). Chemistry: Matter and It’ s Change. New York:
John Wiley & Sons.
Brooker, R. J. (2015). Genetics: Analysis & Principles. (5th ed). New York: McGraw-Hill.
Callister, W. D. Jr. and Rethwisch, D. G. (2018). Materials science and engineering: an introduction.
(10th ed) New York: John Wiley & Sons.
Cambell, N. A. et al. (2018). Biology: A global approach. (11th ed). New York: Pearson Education.
Focus Smart Plus Science Textbook Mathayom 3. (2019). Bangkok: Pelangi.
Masterton, W. L. and Hurley, C. N. (2004). Chemistry: Principles and Reactions. (5th ed). Australia:
Brooks/Cole-Thomson Learning.
Miller, G. T. and Spoolman, S. E. (2013). Environmental Science. (14th ed). Pacific Grove: n.p.
Tay, B. et al. (2013). Basic Chemistry. Singapore: Pearson Education.
T184