Professional Documents
Culture Documents
รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์
ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ ๖ เล่ม ๖
ตามผลการเรียนรู้
กลุม
่ สาระการเรียนรูว้ ท
ิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
จัดทำาโดย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ
คำานำา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้รับมอบหมายจากกระทรวง
ศึ ก ษาธิ ก ารในการพั ฒ นามาตรฐานและตั ว ชี้ วั ด ของหลั ก สู ต รกลุ่ ม สาระการเรี ย นรู้ ค ณิ ต ศาสตร์
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และยังมีบทบาทหน้าที่ในการรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดทำาหนังสือเรียน
คูม
่ อ
ื ครู แบบฝึกทักษะ กิจกรรม และสือ
่ การเรียนรู้ ตลอดจนวิธก
ี ารจัดการเรียนรูแ้ ละการวัดและประเมินผล
เพื่อให้การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เล่ม ๖ นี้
จั ด ทำ า ขึ้ น เพื่ อ ประกอบการใช้ ห นั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าเพิ่ ม เติ ม วิ ท ยาศาสตร์ แ ละเทคโนโลยี ฟิ สิ ก ส์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เล่ม ๖ โดยครอบคลุมเนื้อหาตามผลการเรียนรู้และสาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระ
การเรียนรูว้ ท
ิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ในสาระฟิสิกส์ โดยมีตารางวิเคราะห์ผลการเรียนรู้และสาระการ
เรียนรู้ เพื่อการจัดทำาหน่วยการเรียนรู้ในรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีแนวการ
จัดการเรียนรู้ การให้ความรู้เพิ่มเติมที่จำาเป็นสำาหรับครูผู้สอน รวมทั้งการเฉลยคำาถามและแบบฝึกหัด
ในหนังสือเรียน
สสวท. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือครูเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้ และเป็นส่วน
สำาคัญในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กลุม
่ สาระการเรียนรูว้ ท
ิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิบุคลากรทางการศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำาไว้
ณ โอกาสนี้
(ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำานงค์)
ผู้อำานวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
คำาชี้แจง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้จัดทำาตัวชี้วัดและสาระ
การเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเน้นเพื่อต้องการพัฒนา
ผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถที่ทัดเทียมกับนานาชาติ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงความรู้กับ
กระบวนการ ใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้และแก้ปญหาที่หลากหลายมีการทำากิจกรรมด้วยการ
ลงมือป ิบัติเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑
งึ่ ในปีการศึกษา ๒๕๖๑ เป็นต้นไป โรงเรียนจะต้องใช้หลักสูตรกลุม
่ สาระการเรียนรูว้ ท
ิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) สสวท. ได้มีการจัดทำาหนังสือเรียนที่เป็นไปตามมาตรฐาน
หลั ก สู ต รเพื่ อ ให้ โ รงเรี ย นได้ ใ ช้ สำ า หรั บ จั ด การเรี ย นการสอนในชั้ น เรี ย น และเพื่ อ ให้ ค รู ส ามารถ
สอนและจัดกิจกรรมต่าง ๆ ตามหนังสือเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้จัดทำาคู่มือครูสำาหรับใช้
ประกอบหนังสือเรียนดังกล่าว
คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เล่ม ๖ นี้ ได้บอกแนว
การจัดการเรียนการสอนตามเนื้อหาในหนังสือเรียนประกอบด้วยเรื่องคลื่นแม่เหลกไฟฟา ฟิสิกส์
อะตอม ฟิ สิ ก ส์ นิ ว เคลี ย ร์ แ ละฟิ สิ ก ส์ อ นุ ภ าค ึ่ ง ครู ส ามารถนำ า ไปใช้ เ ป็ น แนวทางในการวางแผน
การจั ด การเรี ย นรู้ ใ ห้ บ รรลุ จุ ด ประสงค์ ที่ ตั้ ง ไว้ โดยสามารถนำ า ไปจั ด กิ จ กรรมการเรี ย นรู้ ไ ด้ ต าม
ความเหมาะสมและความพร้ อ มของโรงเรี ย น ในการจั ด ทำ า คู่ มื อ ครู เ ล่ ม นี้ ไ ด้ รั บ ความร่ ว มมื อ เป็ น
อย่างดียิ่ง จากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการอิสระ คณาจารย์ รวมทั้งครู นักวิชาการ จากทั้งภาครัฐและ
เอกชน จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
สสวท. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟิสิกส์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เล่ม ๖ นี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สอน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝาย ที่จะช่วยให้
การจัดการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีข้อเสนอแนะใดที่จะทำาให้คู่มือครู
เล่มนี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โปรดแจ้งสสวท. ทราบด้วย จะขอบคุณยิ่ง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
คำาอธิบายรายวิชาเพิ่มเติม
ฟิสิกส์ เล่ม ๖ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เวลา ๘๐ ชั่วโมง จำานวน ๒ หน่วยกิต
ผลการเรียนร้
. อ บ
ิ ายการเกิดแล ลักษณ เฉพา ของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา แสงไม่โพลาไรส์ แสงโพลาไรส์เชิงเส้น แล แ น
่ โพลารอยด์
รวมทัง้ อ บ
ิ ายการนาคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาในช่วงความถีต
่ า่ ง ไปปร ยุกต์ใช้ แล หลักการทางานของอุปกรณ์ทเี่ กีย่ วข้อง
รวมทั้งหมด ๑๑ ผลการเรียนรู้
ข้อแนะนำาทั่วไปในการใช้คู่มือครู
ผลการเรียนรู้
ลการเรียนร้เปน ลลัพท์ที่ควรเกิดกับนักเรียนทั้งด้านความร้เเล ทักษ ซ่งช่วยให้ครได้ทราบ
เปาหมายของการ ัดการเรียนร้ในแต่ล เนื้อหาแล ออกแบบกิ กรรมการเรียนร้ให้สอดคล้องกับ ลการ
เรียนร้ได้ ทั้งนี้ครอา เพ่ิมเติมเนื้อหาหรือทักษ ตามศักย าพของนักเรียน รวมทั้งอา สอดแทรกเนื้อหาที่
เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น เพื่อให้นักเรียนมีความร้ความเข้าใ มากข้นได้
การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้
การวิเครา ห์ความร้ ทักษ กร บวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษ แห่งศตวรรษที่ 21 ต
ิ วิทยาศาสตร์
ที่เกี่ยวข้องในแต่ล ลการเรียนร้ เพื่อใช้เปนแนวทางในการ ัดการเรียนร้
ผังมโนทัศน์
แ น าพที่เเสดงความสัมพัน ์ร หว่างความคิดหลัก ความคิดรอง แล ความคิดย่อย เพื่อช่วยให้
ครเห็นความเชื่อมโยงของเนื้อหา ายในบทเรียน
สรุปเเนวความคิดสำาคัญ
การสรุปเนื้อหาสาคัญของบทเรียน เพื่อช่วยให้ครเห็นกรอบเนื้อหาทั้งหมด รวมทั้งลาดับของ
เนื้อหาในบทเรียนนั้น
เวลาที่ใช้
เวลาที่ใช้ในการ ัดการเรียนร้ ซ่งครอา ดาเนินการตามข้อเสนอแน ที่กาหนดไว้ หรืออา ปรับ
เวลาได้ตามความเหมา สมกับบริบทของแต่ล ห้องเรียน
ความรู้ก่อนเรียน
คาสาคั ญ หรื อ ข้ อ ความที่ เ ปนความร้ พื้ น าน ซ่ ง นั ก เรี ย นควรมี ก่ อ นที่ เรี ย นร้ เ นื้ อ หาใน
บทเรียนนั้น
การจัดการเรียนรู้ของแต่ละหัวข้อ
การ ัดการเรียนร้ในเเต่ล ข้ออา มีองค์ปร กอบเเตกต่างกัน โดยรายล เอียดเเต่ล องค์ปร กอบ
มีดังนี้
- จุดประสงค์การเรียนรู้
เปาหมายของการ ั ด การเรี ย นร้ ที่ ต้ อ งการให้ นั ก เรี ย นเกิ ด ความร้ ห รื อ ทั ก ษ หลั ง าก ่ า น
กิ กรรมการเรียนร้ในเเต่ล หัวข้อ ซ่งสามารถวัดเเล ปร เมิน ลได้ ทัง้ นีค
้ รอา ตัง้ ด
ุ ปร สงค์
เพิ่มเติม ากที่ให้ไว้ ตามความเหมา สมกับบริบทของแต่ล ห้องเรียน
- ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
เนื้อหาที่นักเรียนอา เกิดความเข้าใ คลาดเคลื่อนที่พบบ่อย ซ่งเปนข้อมลให้ครได้พงร วัง
หรืออา เน้นย้าในปร เด็นดังกล่าวเพื่อปองกันการเกิดความเข้าใ ที่คลาดเคลื่อนได้
- สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
สื่อการเรียนร้ เช่น บัตรคา คลิปวีดิทัศน์ หรือวัสดุแล อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการปร กอบ
การ ัดการเรียนร้ ซ่งครควรเตรียมล่วงหน้าก่อนเริ่มการ ัดการเรียนร้้
- แนวการจัดการเรียนรู้
แนวทางการ ั ด การเรี ย นร้ ที่ ส อดคล้ อ งกั บ ุ ด ปร สงค์ ก ารเรี ย นร้ โดยมี ก ารนาเสนอทั้ ง ใน
ส่วนของเนื้อหาแล กิ กรรมเปนขั้นตอนอย่างล เอียด ทั้งนี้ครอา ปรับหรือเพิ่มเติมกิ กรรม
ากที่ให้ไว้ตามความเหมา สมกับบริบทของแต่ล ห้องเรียน
- กิจกรรม
การป ิบัติที่ช่วยในการเรียนร้เนื้อหาหรือ ก นให้เกิดทักษ ตาม ุดปร สงค์การเรียนร้ของ
บทเรียน โดยอา เปนการทดลอง การสา ิต การสืบค้นข้อมล หรือกิ กรรมอื่น ซ่งควรให้
นักเรียนลงมือป ิบัติด้วยตนเอง โดยองค์ปร กอบของกิ กรรมมีรายล เอียด ดังนี้
ุดปร สงค์
เปาหมายที่ต้องการให้นักเรียนเกิดความร้หรือทักษ หลัง าก ่านกิ กรรมนั้น
วัสดุแล อุปกรณ์
รายการวัสดุ อุปกรณ์ หรือสารเคมีที่ต้องใช้ในการทากิ กรรม ซ่งครควรเตรียมให้เพียงพอ
สาหรับการ ัดกิ กรรม
สิ่งที่ครต้องเตรียม
ข้อมลเกี่ยวกับสิ่งที่ครต้องเตรียมล่วงหน้าสาหรับการ ัดกิ กรรม เช่น การเตรียม
สารล ลายที่มีความเข้มข้นต่าง การเตรียมตัวอย่างสิ่งมีชีวิต
- แนวการวัดและประเมินผล
แนวทางการวัดแล ปร เมิน ลที่สอดคล้องกับ ุดปร สงค์การเรียนร้ ซ่งปร เมินทัง้ ด้านความร้
ทักษ กร บวนทางการวิทยาศาสตร์์ ทักษ เเห่งศตวรรษที่ 21 ปร เมิน ิตวิทยาศาสตร์ของ
นักเรียนที่ควรเกิดข้นหลัง ากได้เรียนร้ในเเต่ล หัวข้อ ลที่ได้ ากการปร เมิน ช่วยให้คร
ทราบถงความสาเร็ ของการ ัดการเรียนร้ รวมทั้งใช้เปนแนวทางในการปรับปรุงแล พั นา
การเรียนร้ให้เหมา สมกับนักเรียน
- แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ เเละเฉลยเบบฝึกหัด
แนวคาตอบของคาถามตรว สอบความเข้าใ แล เฉลยแบบ กหัดท้ายหัวข้อ ทั้งนี้ครควรใช้
คาถามตรว สอบความเข้ า ใ เรี ย นเพื่ อ ตรว สอบความร้ ค วามเข้ า ใ ของนั ก เรี ย นก่ อ นเริ่ ม
เนื้อหาใหม่เพื่อให้สามารถปรับการการ ัดการเรียนร้ให้เหมา สมต่อไป แล ให้แบบ กหัดเพื่อ
ก นทักษ การแก้ปญหาแล ทักษ อื่น
- เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบท
ปร กอบด้วยแนวคาตอบของคาถามท้ายบทเรียนในหนังสือเรียน รวมทั้งเฉลยปญหาแล
เฉลยปญหาท้าทาย ซ่งครควรใช้คาถามแล ปญหาในแบบ กหัดท้ายบทในการตรว สอบว่า
หลัง ากที่นักเรียนเรียน บบทเรียนแล้ว นักเรียนยังขาดความร้ความเข้าใ ในเรื่องใดเพื่อให้
สามารถวางแ นการทบทวนหรือเน้นย้าเนื้อหาให้กับนักเรียนก่อนการทดสอบได้ ส่วนปญหา
ท้าทายเปนปญหาสาหรับนักเรียนที่มีศักย าพสงแล ต้องการโ ทย์ท้าทายเพิ่มเติม
สารบัญ บทที่ 18
บทที่ เนื้อหา หน้า
18
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ลการเรียนร้ 1
การวิเครา ห์ ลการเรียนร้ 1
ังมโนทัศน์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟา 4
สรุปแนวความคิดสาคัญ 5
เวลาที่ใช้ 7
ความร้ก่อนเรียน 7
18.1 การเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟา 8
18.2 สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา 11
18.2.1 คลืน่ วิทยุ 11
18.2.2 ไมโครเวฟ 14
18.2.3 รังสีใต้แดงหรือรังสีอินฟราเรด 15
18.2.4 แสง 17
18.2.5 รังสีเหนือม่วงหรือรังสีอัลตราไวโอเลต 17
18.2.6 รังสีเอกซ์ 19
18.2.7 รังสีแกมมา 19
18.3 โพลาไรเซชันของคลืน ่ แม่เหล็กไฟฟา 21
18.4 การปร ยุกต์ใช้คลืน่ แม่เหล็กไฟฟา 26
18.4.1 เครื่องฉายรังสีเอกซ์ 26
18.4.2 เครื่องถ่าย าพเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ 27
18.4.3 เครื่องควบคุมร ย ไกล 27
18.4.4 เครื่องร บุตาแหน่งบนพื้นโลก 28
18.4.5 เครื่องถ่าย าพการสั่นพ้องของแม่เหล็ก 31
18.5 การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟา 33
18.5.1 การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นวิทยุ 34
18.5.2 การสื่อสารโดยอาศัยไมโครเวฟ 35
18.5.3 การสื่อสารโดยอาศัยแสง 35
18.5.4 สัญญาณแอน ล็อกแล สัญญาณดิ ิทัล 36
เฉลยแบบ กหัดท้ายบทที่ 18 38
สารบัญ บทที่ 19-20
บทที่ เนื้อหา หน้า
19
ฟิสิกส์อะตอม
ลการเรียนร้ 43
การวิเครา ห์ ลการเรียนร้ 43
ังมโนทัศน์ ฟสิกส์อ ตอม 46
สรุปแนวความคิดสาคัญ 47
เวลาที่ใช้ 49
ความร้ก่อนเรียน 49
19.1 สมมติ านของพลังค์แล ท ษ ีอ ตอมของโบร์ 50
19.1.1 การแ ค่ ลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาของวัตถุดา 50
19.1.2 ท ษ อี ตอมของโบร์ 53
19.2 ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก 69
19.2.1 ควอนตัมของแสงแล โฟตอน 69
19.2.2 ฟงก์ชันงานแล พลังงาน ลน์สงสุดของ 70
โฟโตอิเล็กตรอน
19.3 ทวิ าว ของคลืน
่ แล อนุ าค 77
19.3.1 สมมติ านของเดอบรอยล์ 77
19.3.2 กลศาสตร์ควอนตัมแล การนาไปปร ยุกต์ 79
ใช้ปร โยชน์
เฉลยแบบ กหัดท้ายบทที่ 19 83
20
ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค
ลการเรียนร้ 106
การวิเครา ห์ ลการเรียนร้ 106
ังมโนทัศน์ ฟสิกส์นิวเคลียร์แล ฟสิกส์อนุ าค 112
สรุปแนวความคิดสาคัญ 113
เวลาที่ใช้ 116
ความร้ก่อนเรียน 116
20.1 เสถียร าพของนิวเคลียส 117
สารบัญ บทที่ 20 - ภาคผนวก
18
บทที่ คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า
ipst.me/11454
ผลการเรียนรู้
1. อ บ
ิ ายการเกิดแล ลักษณ เฉพา ของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา แสงไม่โพลาไรส์ แสงโพลาไรส์เชิงเส้น
แล แ ่นโพลารอยด์ รวมทั้งอ ิบายการนาคลื่นแม่เหล็กไฟฟาในช่วงความถี่ต่าง ไปปร ยุกต์
ใช้แล หลักการทางานของอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
2. สืบค้นแล อ บ
ิ ายการสือ่ สารโดยอาศัยคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาในการส่ง า่ นสารสนเทศ แล เปรียบเทียบ
การสื่อสารด้วยสัญญาณแอน ล็อกกับสัญญาณดิ ิทัล
การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้
ผลการเรียนรู้
1. อ บ
ิ ายการเกิดแล ลักษณ เฉพา ของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา แสงไม่โพลาไรส์ แสงโพลาไรส์เชิงเส้น
แล แ ่นโพลารอยด์ รวมทั้งอ ิบายการนาคลื่นแม่เหล็กไฟฟาในช่วงความถี่ต่าง ไปปร ยุกต์
ใช้แล หลักการทางานของอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายการเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
2. อ ิบายลักษณ เฉพา ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
3. อ ิบายความหมายของสเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
4. อ ิบายการนาคลื่นแม่เหล็กไฟฟาในช่วงความถี่ต่าง ไปปร ยุกต์ใช้
5. อ ิบายโพลาไรเซชันของแสง แสงไม่โพลาไรส์แล แสงโพลาไรส์เชิงเส้น
6. สังเกตความสว่างของแสงเมื่อ ่านแ ่นโพลารอยด์สองแ ่น
7. ยกตัวอย่างแล อ ิบายหลักการทางานอุปกรณ์บางชนิดที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
- 1. การสื่อสารสารสนเทศแล 1. ความอยากร้อยากเห็น
การร้เท่าทันสือ่ การอ ป
ิ ราย 2. ความรอบคอบ
ร่วมกันแล การนาเสนอ ล
มีการอ้างอิงแหล่งที่มาแล
การเปรียบเทียบความถกต้อง
ของข้อมล ากแหล่งข้อมล
ที่ ห ล า ก ห ล า ย ไ ด้ อ ย่ า ง
สมเหตุสม ล
2. ความร่วมมือการทางานเปน
ทีมแล าว น
้ า
ผลการเรียนรู้
2. สืบค้นแล อ ิบายการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาในการส่ง ่านสารสนเทศ แล
เปรียบเทียบการสื่อสารด้วยสัญญาณแอน ล็อกกับสัญญาณดิ ิทัล
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. สืบค้นแล อ ิบายการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
2. เปรียบเทียบการสื่อสารด้วยสัญญาณแอน ล็อกกับสัญญาณดิ ิทัล
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 3
- 1. การสื่อสารสารสนเทศแล 1. ความอยากร้อยากเห็น
การร้เท่าทันสือ่ การอ ป
ิ ราย 2. ความรอบคอบ
ร่วมกันแล การนาเสนอ ล
มีการอ้างอิงแหล่งที่มาแล
การเปรียบเทียบความถกต้อง
ของข้อมล ากแหล่งข้อมล
ที่ ห ล า ก ห ล า ย ไ ด้ อ ย่ า ง
สมเหตุสม ล
2. ความร่วมมือการทางานเปน
ทีมแล าว น
้ า
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
ผังมโนทัศน์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า
แมกซ์เวลล์เสนอแนวคิด
เกีย
่ วกับคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า นําไปอธิบาย
คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้าเป็น
การเกิดคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า
นําไปสู่ คลืน
่ ตามขวาง
การทดลองการส่งการรับ นําไปอธิบาย
คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้าของเฮิรตซ์ แสดงการเกิด
และตรวจจับ โพลาไรเซชันของ
คลืน
่ วิทยุ คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า
การค้นพบคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า
ในช่วงความถีต่ า่ ง ๆ แผ่นโพลารอยด์
แสดง
นําไปสู่
โพลาไรเซชันของแสง
สเปกตรัมของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า
นําไปสู่
การประยุกต์ใช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า การสือ
่ สารโดยใช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า
กับอุปกรณ์ทเ่ี กีย
่ วข้อง
เกีย
่ วข้องกับ
สัญญาณแอนะล็อกและสัญญาณดิจท
ิ ัล
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 5
สรุปแนวความคิดสำาคัญ
คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาเกิด ากการเหนีย่ วนาอย่างต่อเนือ
่ งร หว่างสนามแม่เหล็กแล สนามไฟฟากล่าว
คือ สนามไฟฟาทีเ่ ปลีย่ นแปลงตามเวลาทาให้เกิดสนามแม่เหล็ก ในขณ เดียวกันสนามแม่เหล็กทีเ่ ปลีย่ นแปลง
ตามเวลาก็ทาให้เกิดสนามไฟฟา คลื่นแม่เหล็กไฟฟา งปร กอบด้วย สนามแม่เหล็กแล สนามไฟฟาที่
เปลีย่ นแปลงตลอดเวลา โดยทัง้ สองสนามมีทศ
ิ ทางตัง้ ฉากกันแล ตัง้ ฉากกับทิศทางของความเร็วในการเคลือ่ นที่
ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา คลื่นแม่เหล็กไฟฟาเปนคลื่นตามขวางที่ไม่อาศัยตัวกลาง สามารถแ ่ออกไปได้ใน
สุญญากาศด้วยอัตราเร็วเท่ากับอัตราเร็วแสงหรือปร มาณ 3 × 108 เมตรต่อวินาที แล มีอัตราเร็วน้อยลง
เมื่อเคลื่อนที่ ่านตัวกลาง โดย มีอัตราเร็วไม่เท่ากันในตัวกลางต่าง ข้นกับตัวกลางแล ชนิดของ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟา
เมื่อต่อแหล่งกาเนิดไฟฟากร แสสลับเข้ากับสายอากาศที่ปร กอบด้วยท่อนโลห ที่อย่ในแนวดิ่ง
อิเล็กตรอนในสายอากาศ เคลือ
่ นทีก
่ ลับไปมาด้วยความเร่งในแนวดิง่ ทาให้เกิดคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแ อ
่ อก
รอบสายอากาศทุกทิศทาง ยกเว้นทิศทางที่อย่ในแนวเส้นตรงเดียวกับสายอากาศ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟามีความถี่ต่าง มากมายต่อเนื่องกันเปนช่วงกว้าง เรียกรวมกันว่า สเปกตรัม
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟาปร กอบด้วย คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ รังสีอินฟราเรด แสง
รังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ แล รังสีแกมมา ในป ุบันคลื่นแม่เหล็กไฟฟาแต่แล ชนิดถกนาไปปร ยุกต์
ใช้ในด้านต่าง
คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาทีม
่ สี นามไฟฟาเปลีย่ นแปลงทิศทางกลับไปมาในร นาบเดียว เรียกคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ลักษณ นี้ว่า คลื่นโพลาไรส์เชิงเส้น
แหล่งกาเนิดคลื่นแสงทั่วไปในชีวิตปร าวัน เช่น ดวงอาทิตย์ หลอดไฟ รวมทั้งแสง ส ท้อน าก
สิง่ ต่าง รอบตัว มีสนามไฟฟาเปลีย่ นแปลงกลับไปมาอย่ในหลายร นาบทีต
่ ง้ั ฉากกับทิศทางการเคลือ
่ นที่
แสง ากแหล่งกาเนิดแสงดังกล่าว งเปนแสงไม่โพลาไรส์
เมื่อแสงไม่โพลาไรส์ ่านแ ่นโพลารอยด์ สนามไฟฟาของแสงที่มีทิศทางตั้งฉากกับแนวโพลาไรส์
ของแ ่ น โพลารอยด์ ถกดดกลื น แต่ ส นามไฟฟาของแสงที่ มี ทิ ศ ทางขนานกั บ แนวโพลาไรส์ ่าน
แ ่ น โพลารอยด์ ไ ด้ ทาให้ ค วามสว่ า งลดลงเมื่ อ เที ย บกั บ ขณ ไม่ มี แ ่ น โพลารอยด์ กั้ น แสงที่ ่ า น
แ ่นโพลารอยด์ออกมา งเปนแสงโพลาไรส์เชิงเส้น สมบัติของแสงลักษณ นี้เรียกว่า โพลาไรเ ชัน
ตัวอย่างอุปกรณ์ ที่ปร ยุกต์ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา ได้แก่ เครื่องฉายรังสีเอกซ์สร้าง าพสองมิติ
อวัยว ายใน เครื่องถ่าย าพเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ใช้รังสีเอกซ์สร้าง าพตัดขวางอวัยว ายในร่ายกาย
แล สามารถสร้างเปน าพสามมิติได้ เครื่องควบคุมร ย ไกลใช้รังสีอินฟราเรดหรือคลื่นวิทยุควบคุม
การทางานของเครื่องใช้ไฟฟา เครื่องร บุตาแหน่งบนพื้นโลกใช้ไมโครเวฟ เครื่องถ่าย าพการสั่นพ้อง
แม่เหล็กใช้คลื่นวิทยุสร้าง าพสามมิติอวัยว ายในร่างกาย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
การสือ
่ สารโดยอาศัยคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาเพือ
่ ส่ง า่ นสารสนเทศ ากทีห
่ น่งไปอีกทีห
่ น่ง สารสนเทศ
ถกแปลงให้อย่ในรปสัญญาณสาหรับส่งไปยังปลายทาง โดยที่ปลายทาง แปลงสัญญาณกลับมาเปน
สารสนเทศที่เหมือนเดิม สัญญาณที่ใช้ในการสื่อสารมีสองชนิดคือ แอน ล็อก แล ดิ ิทัล การส่ง ่าน
สารสนเทศด้วยสัญญาณดิ ิทัลสามารถส่ง ่านได้โดยมีความ ิดพลาดน้อยกว่าสัญญาณแอน ล็อก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 7
เวลาที่ใช้
บทนี้ควรใช้เวลาสอนประมา 22 ชั่วโมง
ความรู้ก่อนเรียน
สมบัตข
ิ องคลืน
่ คลืน
่ กล ไฟฟาสถิต ไฟฟากร แส แม่เหล็กแล ไฟฟา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
8 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
18.1 การเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายการเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
2. อ ิบายลักษณ เฉพา ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
2. คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาอาศัยอากาศเปนตัวกลาง 2. คลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟาไม่ อ าศั ย ตั ว กลาง
ในการส่ง ่านพลังงาน ในการส่ง ่านพลังงาน
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 1 แล 2 ของหัวข้อ 18.1 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.1 โดยใช้คาถามเพื่อทบทวนการเกิดคลื่นกลแล การส่ง ่านพลังงานของ
คลื่นกล ากนั้นตั้งคาถามว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟาเกิดข้นได้อย่างไร แล ส่ง ่านพลังงานออกไปโดยไม่อาศัย
ตัวกลางได้อย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครนาอ ป
ิ รายทบทวนความร้เกีย
่ วกับความสัมพัน ร์ หว่างสนามแม่เหล็กแล สนามไฟฟา ากนัน
้
ตั้งคาถามว่าถ้ามีการเหนี่ยวนาซ่งกันแล กันร หว่างสนามแม่เหล็กกับสนามไฟฟาอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวข้อง
กับการเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟาอย่างไร ากนั้นนาอ ิปรายเกี่ยวกับแนวคิดของแมกซ์เวลล์ นสรุปได้ว่า
สนามไฟฟาทีเ่ ปลีย
่ นแปลงตามเวลาทาให้เกิดสนามแม่เหล็ก แล สนามแม่เหล็กทีเ่ ปลีย
่ นแปลงตามเวลาทา
ให้เกิดสนามไฟฟา การเหนี่ยวนาซ่งกันแล กันนี้ทาให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟาแ ่ออกไปด้วยอัตราเร็ว
3 × 108 เมตรต่อวินาที ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครใช้ ร ป 18.1 นาอ ิ ป รายตั ว อย่ า งการเกิ ด คลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟา ากสายอากาศ นสรุ ป ได้ ว่ า
มีอิเล็กตรอนในสายอากาศเคลื่อนที่กลับไปมาด้วยความเร่งในแนวดิ่ง ทาให้เกิดสนามไฟฟาที่เปลี่ยนแปลง
ตามเวลา ซ่งเหนีย่ วนาให้เกิดสนามแม่เหล็กทีเ่ ปลีย่ นแปลงตามเวลาด้วย เกิดเปนคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแ อ
่ อก
รอบสายอากาศทุกทิศทางในแนวรัศมี ยกเว้นในแนวดิ่งซ่งเปนแนวเส้นตรงเดียวกับสายอากาศ
ครนาอ ิ ป รายทบทวนความร้ เ กี่ ย วกั บ สนามไฟฟาของปร ุ ไ ฟฟา แล สนามแม่ เ หล็ ก ของ
กร แสไฟฟา ากนัน
้ นาอ ป
ิ รายเกีย่ วกับการแ ส่ นามไฟฟาของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา ดังรป 18.2 แล การแ ่
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 9
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
ก. ข.
รูป ทิศทางของกระแสไฟฟ้าในสายอากาศและสนามไฟฟ้าที่แผ่ออก
ทิศทางกร แสไฟฟาในตัวนามีทศ
ิ ทางเดียวกับสนามไฟฟาในตัวนา แต่ ากรป ก. แล รป ข.
สังเกตเห็นว่าทิศทางของกร แสไฟฟา I มีทิศทางตรงข้ามกับสนามไฟฟา E ที่แ ่ออก ากตัวนาที่
ตาแหน่ง P ทั้งนี้เนื่อง ากกร แสไฟฟาในสายอากาศ เกิด ากแหล่งกาเนิดไฟฟากร แสสลับ ซ่ง
ากรป 18.3 ก. กร แสไฟฟา I มีทิศทางลง ทาให้โลห ท่อนล่างมีปร ุบวก ขณ ที่โลห ท่อนบน
มีปร ุลบ ที่ตาแหน่ง P ใกล้สายอากาศ งเกิดสนามไฟฟา E แ ่ออก ายนอกสายอากาศมีทิศทาง
ข้น ากรป ข. พิ ารณาได้ในทานองเดียวกัน กร แสไฟฟา I มีทิศทางข้น สนามไฟฟา E ที่ตาแหน่ง
P มีทิศทางลง เนื่อง ากแหล่งกาเนิดเปนแหล่งกาเนิดไฟฟากร แสสลับ งทาให้การเคลื่อนที่ของ
อิเล็กตรอนในสายอากาศมีลักษณ เปนการเคลื่อนที่แบบสั่นกลับไปกลับมา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
10 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับการเกิดแล ลักษณ เฉพา ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา ากคาถามตรว สอบ
ความเข้าใ 18.1
2. ิตวิทยาศาสตร์ความอยากร้อยากเห็น ากการอ ิปรายร่วมกัน
แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 18.1
B
E
c N
E
B
พื้นโลก
รูป ประกอบแนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจข้อ 2
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 11
18.2 สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายของสเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
2. อ บ
ิ ายการนาคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาในช่วงความถีต
่ า่ ง ไปปร ยุกต์ใช้
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
1. คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาในช่วงคลืน
่ ความถีต
่ า่ ง 1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟาทุกช่วงความถี่มี
มีพ ติกรรมของคลื่นแตกต่างกัน พ ติกรรมของคลื่นเหมือนกัน
แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้ า ส่ หั ว ข้ อ 18.2 โดยตั้ ง คาถามว่ า นอก ากแสงยั ง มี ค ลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟาชนิ ด ใดอี ก บ้ า ง
แต่ล ชนิดแตกต่างกันอย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวัง
คาตอบที่ถกต้อง ากนั้นอ ิปรายร่วมกัน นสรุปได้ว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟามีหลายชนิด เช่น แสง คลื่นวิทยุ
ไมโครเวฟ รังสีเอกซ์แล รังสีแกมมา แต่ล ชนิดแตกต่างกันข้นกับความถี่
ครตั้งคาถามว่า การเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟาเมื่ออนุ าคที่มีปร ุไฟฟาเคลื่อนที่ครบหน่งรอบ เกิด
คลื่นแม่เหล็กไฟฟาแ ่ออกไปกี่ลกคลื่น ใช้เวลากี่คาบ ากนั้นนาอ ิปราย นสรุปความสัมพัน ์อัตราเร็ว
ความยาวคลืน
่ แล ความถี่ ของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟามีความสัมพัน เ์ ช่นเดียวกับคลืน
่ กล ตามสมการ v = fλ
ครใช้รป 18.5 นาอ ิปราย นสรุปได้ว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟามีความถี่ต่อเนื่องเปนช่วงกว้าง ปร กอบ
ด้วยแต่ล ช่วงความถี่ที่มีชื่อเรียกแตกต่าง เรียกรวมกันว่า สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟาโดยพลังงานของ
คลื่ น ข้ น อย่ กั บ ความถี่ คลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟาที่ มี ค วามถี่ ส ง มี พ ลั ง งานสง ากนั้ น ครตั้ ง คาถามว่ า
คลื่ น แต่ ล ความถี่ น าไปใช้ ป ร โยชน์ อ ย่ า งไร ครเปดโอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร
โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นครให้นักเรียนศกษาในหัวข้อต่อไป
18.2.1 คลื่นวิทยุ
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
12 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล 4 ของหัวข้อ 18.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคลื่นวิทยุ ตาม
หนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.2.1 โดยตั้งคาถามว่าคลื่นวิทยุสามารถใช้ส่งสารสนเทศที่เปนเสียงหรือเปน
าพได้อย่างไร นาอ ิปราย นสรุปได้ว่าคลื่นวิทยุสามารถใช้สารสนเทศได้ทั้งเสียงแล าพ โดยแปลงเสียง
หรือ าพเปนสัญญาณไฟฟาแล้ว สมสัญญาณไฟฟากับคลืน
่ วิทยุเปนคลืน
่ สม ากนัน
้ ส่งสัญญาณคลืน
่ สม
เปนคลื่นแม่เหล็กไฟฟา ากสถานีส่งไปยัง ้รับ
ครใช้คลิปเสียงหรือยกตัวอย่างสถานการณ์ คาพดของ ้ ัดรายการวิทยุ ที่นี่สถานีวิทยุเอเอ็ม.........
กิโลเ ริ ตซ์ หรือ ทีน
่ ส่ี ถานีวท
ิ ยุเอฟเอ็ม..........เมก เ ริ ตซ์ แล้วตัง้ คาถามว่า เอฟเอ็ม เอเอ็ม คืออ ไร ครนา
อ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ เปนวิ ี สมสัญญาณไฟฟาของเสียงหรือ าพกับคลืน
่ วิทยุแบบเอเอ็มแล แบบเอฟเอ็ม
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 13
v
=
f
3 108 m/s
=
1000 Hz
= 3 × 105 m
= 300 km
หมายความว่า สายอากาศของทั้งเครื่องส่งแล เครื่องรับ ต้องมีความยาวมาก ซ่งเปนไปไม่ได้
ที่ ทาสายอากาศมี ค วามยาวขนาดนั้ น แต่ ถ้ า ใช้ ค ลื่ น วิ ท ยุ ที่ มี ค วามถี่ ส ง เช่ น 0 7 เ ิ ร ตซ์
ซ่งมีความยาวคลืน
่ 30 เมตร สามารถ ทาสายอากาศส่ง รับ คลืน
่ ทีม
่ ค
ี วามยาวคลืน
่ ขนาดนีไ้ ด้
3. บรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์เปนบรรยากาศชั้นที่โมเลกุลของอากาศอย่ในส าพแตกตัวเปน
ไอออน ทาให้เกิดปร ไุ ฟฟาอิสร มากมาย เมือ
่ คลืน
่ วิทยุทส
ี่ ง่ ากพืน
้ โลกกร ทบบรรยากาศชัน
้
นี้ สนามไฟฟา ากคลืน
่ วิทยุ ส่งแรงกร ทากับปร ุ ทาให้ปร อ
ุ สิ ร เหล่านัน
้ สัน
่ ไปมาเนือ
่ ง าก
ดดกลืนพลังงานไว้ ลของการสั่นของปร ุไฟฟาทาให้อิเล็กตรอนมีความเร่ง งปล่อยคลื่น
แม่เหล็กไฟฟาออกมาโดยมีความถีเ่ ท่ากัน งมี ลเหมือนกับว่าคลืน
่ วิทยุขน
้ ไปบนชัน
้ บรรยากาศ
ไอโอโนสเฟียร์แล้วส ท้อนกลับลงมา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
14 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
18.2.2 ไมโครเวฟ
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
1. ไมโครเวฟใช้สาหรับอุน
่ อาหารแล เครือ่ งดืม
่ 1. ไมโครเวฟนอก ากใช้ในการอุน
่ อาหารแล
เท่านั้น เครื่องดื่มแล้ว ยังใช้ในการสื่อสารได้ด้วย
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล 4 ของหัวข้อ 18.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับไมโครเวฟ ตาม
หนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.2.2 โดยยกสถานการณ์การทาให้อาหารร้อนด้วยเตาไมโครเวฟ ากนั้น
ตั้งคาถามว่าอาหารร้อนข้นได้อย่างไร แล เหตุใด งเรียกว่าเตาไมโครเวฟ ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดง
ความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นนาอ ิปรายเกี่ยวกับสมบัติเบื้องต้นของ
ไมโครเวฟตามรายล เอียดในหนังสือเรียน นสรุปได้ว่า เตาไมโครเวฟ ลิตคลื่นแม่เหล็กไฟฟาในช่วง
ความถี่ไมโครเวฟออกมา โดยความถี่ของคลื่นดังกล่าว พอเหมา ให้โมเลกุลของน้าสั่น นทาให้นาที
้ ่เปน
ส่วนปร กอบของอาหารอุณห มิสงข้น นเดือดได้
ครตัง้ คาถามว่า ไมโครเวฟนอก ากใช้ทาให้อาหารมีอณ
ุ ห มิสงข้นแล้วยังสามารถนาไปใช้ปร โยชน์
อ ไรได้อีก ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วนาอ ิปราย
เกีย่ วกับตัวอย่างของการนาคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาช่วงไมโครเวฟไปปร ยุกต์ใช้ปร โยชน์ดา้ นอืน
่ เช่น การส่ง
สัญญาณเสียงแล าพ ร บบเรดาห์ ร บบร บุตาแหน่งบนพื้นโลก ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 15
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
ข้อควรระวังในการใช้เตาไมโครเวฟ
ห้ามนาโลห เข้าไปในเตาไมโครเวฟ เพรา โลห
ไปทาให้ไมโครเวฟที่ปล่อยออกมา ากแหล่งกาเนิด
คลื่น เกิดการส ท้อนกลับ ทาให้แหล่งกาเนิดคลื่นเกิด
ความเสี ย หายได้ น อก ากนี้ ถ้ า โลห มี ลั ก ษณ บาง
หรื อ มี ป ลายแหลมอา หลอมล ลายแล ทาให้ เ กิ ด
ปร กายไฟข้นในเตาไมโครเวฟ รูป เตาไมโครเวฟ
เรดาร์
เรดาร์ เปนการตรว หาตาแหน่งของวัตถุโดยวิ ีส่งไมโครเวฟออกไป ในลักษณ เปนคลื่นดล
ปร มาณ 200 ถง 300 ครั้ง ายใน 1 วินาที ในทิศทางที่ต้องการตรว สอบ เมื่อคลื่นกร ทบวัตถุ
ส ท้อนกลับมา ทาให้ทราบตาแหน่งแล ความเร็วของวัตถุได้ ตัวอย่างการใช้งานเรดาร์ เช่น ใช้ใน
การควบคุมการ รา รทางอากาศ การหาตาแหน่งของเรือ รวมทั้งการตรว สอบส าพอากาศ
18.2.3 รังสีใต้แดงหรือรังสีอินฟราเรด
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
1. รังสีอน
ิ ฟราเรดมีความยาวคลืน
่ น้อยกว่าแสง 1. รังสีอน
ิ ฟราเรดมีความยาวคลืน
่ มากกว่าแสง
สีแดง สีแดง
2. รังสีอินฟราเรดมีพลังงานสงกว่าแสง 2. รังสีอินฟราเรดมีพลังงานต่ากว่าแสง
สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
การใช้ าพหรือวิดีทัศน์ปร กอบกับการใช้คาถามนาเข้าส่หัวข้อ
าพถ่ายหรือวิดีทัศน์ในเวลากลางคืน ากกล้อง
- ถ่าย าพในที่มืดหรือกล้องวง รปด
- าพถ่ายการคัดกรอง ้ปวยเมื่อเข้าปร เทศด้วยกล้องอินฟราเรด
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
16 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล 4 ของหัวข้อ 18.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรังสีใต้แดง
หรือรังสีอินฟราเรด ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.2.3 โดยใช้รป 18.6 หรือใช้ าพถ่ายหรือวิดีทัศน์ในเวลากลางคืน าก
กล้องถ่าย าพในที่มืดหรือกล้องวง รปด หรือ าพถ่ า ยการคั ด กรอง ้ ป วยเมื่ อ เข้ า ปร เทศด้ ว ยกล้ อ ง
อินฟราเรด แล้วตั้งคาถามว่ากล้องดังกล่าวถ่าย าพในที่มืดได้อย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดง
ความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
นาอ ิ ป ราย นสรุ ป ได้ ว่ า การถ่ า ย าพในที่ มื ด เปนการใช้ รั ง สี อิ น ฟราเรด ตามรายล เอี ย ด
ในหนังสือเรียน
ครนาอ ิปรายเกี่ยวกับตัวอย่างของการนาคลื่นแม่เหล็กไฟฟาช่วงรังสีอินฟราเรดไปปร ยุกต์ใช้
ปร โยชน์ด้านอื่น เช่น เครื่องควบคุมการทางานของอุปกรณ์บางชนิด
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 17
18.2.4 แสง
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-
สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
กรณีครสา ิตกิ กรรมแยกแสงขาวด้วยปริซม
ปริซม
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล 4 ของหัวข้อ 18.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแสง ตาม
หนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.2.4 โดยครใช้ปริซมแยกแสงขาวให้นักเรียนเห็นสเปกตรัมของแสง ากนั้น
ใช้คาถามว่าแสงที่นักเรียนร้ ักมีความถี่แล ความยาวคลื่นอย่ในช่วงใดแล มีแสงสีอ ไรบ้าง ปราก การณ์
อ ไรบ้างที่ทาให้ร้ว่าแสงปร กอบด้วยสีต่าง แสงสีใดมีความยาวคลื่นมากที่สุดแล น้อยที่สุด แล ใช้
ปร โยชน์ ากแสงในด้านใดบ้าง ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวัง
คาตอบที่ถกต้อง ากนั้นร่วมกันอ ิปรายเกี่ยวกับแสงแล การปร ยุกต์ใช้ปร โยชน์ ากแสง นสรุปได้
ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครใช้คาถามว่าเลเซอร์คืออ ไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่
คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นนาอ ิปรายเกี่ยวกับการพั นาแหล่งกาเนิดแสงความถี่เดียวที่เรียกว่า
เลเซอร์ แล การใช้ปร โยชน์ ากเลเซอร์ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
18.2.5 รังสีเหนือม่วงหรือรังสีอัลตราไวโอเลต
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
1. รังสีอลั ตราไวโอเลตเปนรังสีทต
่ี ามองเห็นได้ 1. รังสีอลั ตราไวโอเลตเปนรังสีทต
่ี ามองไม่เห็น
2. แ ส ง สี ม่ ว ง ที่ ม อ ง เ ห็ น า ก ห ล อ ด รั ง สี 2. แ ส ง สี ม่ ว ง ที่ ม อ ง เ ห็ น า ก ห ล อ ด รั ง สี
อัลตราไวโอเลต คือรังสีอัลตราไวโอเลต อัลตราไวโอเลต ไม่ใช่รังสีอัลตราไวโอเลต
สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
บรร ุ ัณฑ์ครีมกันแดดพร้อมฉลาก หรือ าพฉลากของครีมกันแดด
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
18 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล ของหัวข้อ 18.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรังสีเหนือม่วง
หรือรังสีอัลตราไวโอเลต ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อที่ 18.2.5 โดยนาบรร ุ ณ
ั ฑ์ครีมกันแดดพร้อมฉลาก หรือ าพฉลากของครีมกันแดด
ให้นักเรียนสังเกต แล้วตั้งคาถามว่าอักษร UV บนฉลากเกี่ยวข้องกับอ ไรแล มี ลกร ทบกับมนุษย์
อย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้น
นาอ ิปราย นสรุปเกี่ยวกับรังสีอัลตราไวโอเลตตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครให้นก
ั เรียนยกตัวอย่างการปร ยุกต์ใช้รงั สีอลั ตราไวโอเลตเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็น
อย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบทีถ
่ กต้อง แล้วอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ สามารถปร ยุกต์ใช้รงั สีอลั ตราไวโอเลต
ได้หลายด้าน เช่น ด้านการแพทย์ การเกษตร การตรว สอบเอกสาร ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 19
18.2.6 รังสีเอก ์
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-
สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
ฟล์มเอกซ์เรย์
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล 4 ของหัวข้อ 18.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรังสีเอกซ์
ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.2.6 โดยใช้รป 18.7 หรือฟล์มเอกซ์เรย์ หรือยกตัวอย่างสถานการณ์อื่นที่
เกีย่ วข้อง ตัง้ คาถามว่า าพในรป 18.7 ในหนังสือเรียน หรือ าพบนฟล์มเอกซ์เรย์เกิด ากอ ไร ครเปดโอกาส
ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วนาอ ิปรายเพื่อตอบคาถาม
นสรุปได้วา่ าพข้างต้นเกีย่ วข้องกับการถ่าย าพด้วยรังสีเอกซ์ แล้วนาอ ป
ิ รายเกีย่ วกับสมบัตข
ิ องรังสีเอกซ์
แล การนารังสีเอกซ์ไปปร ยุกต์ใช้ด้านอื่น ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
18.2.7 รังสีแกมมา
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล 4 ของหัวข้อ 18.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรังสีแกมมา
ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อที่ 18.2.7 โดยตัง้ คาถามว่า ากสเปกตรัมคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา คลืน
่ ชนิดใดมีชว่ งความถี่
สงที่สุด มีสมบัติอย่างไร แล อันตรายอย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร
โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วให้นักเรียนศกษา ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อื่นแล
นามาใช้ตอบคาถามข้างต้น ากนั้นครนาอ ิปรายเกี่ยวกับช่วงความถี่ สมบัติเบื้องต้น แล อันตรายของ
รังสีแกมมา รวมทัง้ ตัวอย่างของการนารังสีแกมมาไปปร ยุกต์ใช้ปร โยชน์ดา้ นอืน
่ เช่น ด้านอุตสาหกรรม
ด้านการแพทย์ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
20 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกีย่ วกับสเปกตรัมคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแล การปร ยุกต์ใช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาในช่วงต่าง
ากการอ ป
ิ รายร่วมกันแล คาถามตรว สอบความเข้าใ 18.2
2. ทักษ ด้านการสื่อสารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสื่อ ากการอ ิปรายร่วมกัน
3. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความอยากร้อยากเห็น ากการอ ิปรายร่วมกัน
แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 18.2
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 21
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
1. แนวการเรียงตัวของโมเลกุลที่ใช้ทาแ ่น 1. แนวการเรียงตัวของโมเลกุลที่ใช้ทาแ ่น
โพลารอยด์ คื อ แนวโพลาไรส์ ข องแ ่ น โพลารอยด์ ตัง้ ฉากกับแนวโพลาไรส์ของแ น
่
โพลารอยด์ โพลารอยด์
2. แสงที่ า่ นแ น
่ โพลารอยด์เปนแสงโพลาไรส์ 2. แสงที่ า่ นแ น
่ โพลารอยด์เปนแสงโพลาไรส์
ทีม
่ เี ฉพา สนามไฟฟา ทีม
่ ท
ี ง้ั สนามไฟฟาแล สนามแม่เหล็ก
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 5 แล 6 ของหัวข้อ 18.3 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อที่ 18.3 โดยใช้รป 18.8 ตัง้ คาถามว่าทิศทางคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแ อ
่ อกไปตามแนว
แกนใด ทิศทางการเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟาอย่ในแนวแกนใด แล ร นาบการเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟา
อย่ในร นาบใดแล มีกี่ร นาบ ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวัง
คาตอบที่ถกต้อง ากนั้นครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟาแ ่ไปตามแกน x สนามไฟฟามี
การเปลีย่ นแปลงในทิศทางกลับไปกลับมาอย่ในแนวแกน y แนวเดียว มีร นาบการเปลีย่ นแปลงสนามไฟฟา
อย่ในร นาบ xy ร นาบเดียว แล เรียกคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีสนามไฟฟาเปลี่ยนแปลงในร นาบเดียวนี้ว่า
คลื่นโพลาไรส์เชิงเส้น ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครอา ถามคาถามชวนคิดในหน้า 23 แล้วให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน โดยครเปดโอกาสให้นักเรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ากนั้นครนาอ ิปราย นได้แนวคาตอบดังนี้
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
22 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวคำาตอบชวนคิด
c
y
E
B B
E
c x
E
B
B x
z E
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 23
จุดประสงค์
1. เพือ
่ ศกษาความสว่างของแสงเมือ
่ า่ นแ น
่ โพลารอยด์
เวลาที่ใช้ 50 นาที
วัสดุและอุปกร ์
1. แ ่นโพลารอยด์ 2 แ ่น
2. หม้อแปลงโวลต์ต่า 1 เครื่อง
3. สายไฟ 2 เส้น
4. กล่องแสง 1 กล่อง
แนะนำาก่อนทำากิจกรรม
1. การใช้แ ่นโพลารอยด์ ให้ ับที่กรอบกร ดาษแข็ง ไม่แต ต้องโพลารอยด์ เพื่อปองกันไม่ให้
โพลารอยด์เสื่อมคุณ าพได้ง่าย
2. ให้นักเรียนมองแสง ากหลอดไฟด้วยตาเปล่าก่อน แล้ว งมองแสง ากหลอดไฟ ่านแ ่น
โพลารอยด์ เพื่อเปรียบเทียบความสว่าง
3. นักเรียนสามารถใช้แ ่นโพลารอยด์มองแสง ากหลอดไฟที่ติดบนเพดานห้องเรียน แทนการ
มองแสง ากกล่องแสงได้
4. นักเรียนต้องใช้ความร้เรื่องแนวโพลาไรส์ช่วยอ ิบายในการทากิ กรรม
ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม
1. แสงเมื่อ ่านแ ่นโพลารอยด์ สว่างน้อยกว่าแสงขณ ไม่มีแ ่นโพลารอยด์กั้น
2. เมื่อมอง ่านแ ่นโพลารอยด์ 1 แ ่น แล้วหมุน นครบ 1 รอบ มีความสว่างคงตัว
3. แสงที่ า่ นแ น
่ โพลารอยด์ 2 แ น
่ เมือ
่ หมุนแ น
่ โพลารอยด์แ น
่ ทีส
่ องไป นครบ 1 รอบ แสง
มีความสว่างไม่คงตัว โดยความสว่างเปลีย่ นแปลงมากทีส่ ด
ุ ร หว่างสว่างมากทีส่ ด
ุ กับสว่าง
น้อยที่สุด เมื่อหมุนไปเปนมุม 90 องศา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
24 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม
อภิปรายหลังการทำากิจกรรม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 25
ในแนวตั้ ง ฉากกั บ แนวการเรี ย งตั ว ของโมเลกุ ล เรี ย กแนวที่ ต้ั ง ฉากกั บ แนวการเรี ย งตั ว ของโมเลกุ ล ว่ า
แนวโพลาไรส์ของแ ่นโพลารอยด์ ทาให้แสงที่ ่านแ ่นโพลารอยด์ 1 แ ่น มีความสว่างลดลง แล เปนแสง
โพลาไรส์เชิงเส้น เรียกสมบัติของแสงลักษณ นี้ว่าโพลาไรเซชั่น แล เมื่อแสง ่านแ ่นโพลารอยด์ 2 แ ่น
ความสว่างของแสง มากทีส่ ด
ุ ขณ ทีแ่ นวโพลาไรส์ของแ น
่ โพลารอยด์ทงั้ สองแ น
่ ขนานกัน แล ความสว่าง
ของแสง น้ อ ยที่ สุ ด ขณ ที่ แ นวโพลาไรส์ ข องแ ่ น โพลารอยด์ ทั้ ง สองตั้ ง ฉากกั น ตามรายล เอี ย ดใน
หนังสือเรียน แล ครควรย้าว่าแสงที่ ่านแ ่นโพลารอยด์ยังคงปร กอบด้วยสนามไฟฟาแล สนามแม่เหล็ก
ที่มีทิศทางตั้งฉากกันแล ตั้งฉากกับทิศทางของความเร็วเสมอ
ครอา ถามคาถามชวนคิดในหน้า 27 แล้วให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน โดยครเปดโอกาสให้นักเรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ากนั้นครนาอ ิปราย นได้แนวคาตอบดังนี้
แนวคำาตอบชวนคิด
แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับโพลาไรเซชันของแสง แสงไม่โพลาไรส์แล แสงโพลาไรส์เชิงเส้น ากคาถาม
ตรว สอบความเข้าใ 18.3
2. ทักษ การสื่อสารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสื่อ แล ความร่วมมือ การทางานเปนทีมแล
าว ้นา ากการอ ิปรายร่วมกัน แล การทากิ กรรม
3. ิตวิทยาศาสตร์ความรอบคอบ ากการอ ิปรายร่วมกัน แล การทากิ กรรม
แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 18.3
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
26 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
18.4 การประยุกต์ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ยกตัวอย่างแล อ ิบายหลักการทางานอุปกรณ์บางชนิดที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชีแ้ ง ด
ุ ปร สงค์การเรียนร้ของหัวข้อ 18.4 ครนาเข้าส่หวั ข้อ 18.4 โดยครให้นก
ั เรียนยกตัวอย่าง
อุปกรณ์ต่าง ในชีวิตปร าวันที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา ครเปดโอกาสให้นักเรียนยกตัวอย่างโดยอิสร
ากนัน
้ ครนาอ ป
ิ รายเกีย
่ วกับอุปกรณ์ทใี่ ช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาในด้านต่าง เช่น การใช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ในการสื่อสาร การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟาทางการแพทย์ การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟาทางด้านความปลอด ัย
ซ่ง ได้ศกษาต่อไป
18.4.1 เครื่องฉายรังสีเอก ์
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 7 ของหัวข้อ 18.4 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อที่ 18.4.1 โดยตัง้ คาถามว่าใครเคยถ่าย าพด้วยเครือ
่ งฉายรังสีเอกซ์ ถ้าเคยถ่าย าพ
ให้ ต อบต่ อ ว่ า เพื่ อ อ ไร แล มี วิ ี ก ารอย่ า งไร ครเปดโอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร
โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วให้นักเรียนศกษา ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อื่น
แล นาเสนอ ลการศกษา ากนั้นครนานักเรียนอ ิปราย นสรุปส่วนปร กอบของเครื่องฉายรังสีเอกซ์
ได้ดงั รป 18.12 แล 18.13 แล าพเอกซ์เรย์เปน าพขาวดา ดังรป 18.14 เกิดได้ดงั นี้ รังสีเอกซ์ ากหลอด
รังสีเอกซ์เคลื่อนที่ ่านร่างกาย เนื้อเยื่อแล กร ดก ดดกลืนรังสีในปริมาณที่ต่างกัน ส่ง ลให้ปริมาณ
รังสีเอกซ์ที่ไปตกกร ทบอุปกรณ์ตรว วัดรังสีแตกต่างกัน โดยบริเวณที่ดดกลืนรังสีได้มากนั้น ได้ าพ
สีขาว แล บริเวณที่ดดกลืนรังสีได้น้อย ได้ าพสีดา ทาให้สามารถสร้าง าพอวัยว ายในร่างกายเพื่อ
แพทย์ ใช้ปร กอบการวินิ ฉัยเกี่ยวกับอวัยว นั้น ได้ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 27
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 7 ของหัวข้อ 18.4 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.4.2 โดยครนาตัวอย่าง าพถ่ายด้วยเครื่องฉายรังสีเอกซ์รป 18.14 ข.
ากนั้นตั้งคาถามว่า หากต้องการเห็น าพเฉพา อวัยว ายในที่ถกอวัยว อื่นบัง เช่น กร ดกสันหลัง
ให้ ชั ด เ นข้ น ทาได้ ห รื อ ไม่ อย่ า งไร ครเปดโอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร
โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นอ ิปรายร่วมกัน นสรุปได้ว่า าพถ่ายด้วยเครื่องฉายรังสีเอกซ์
ปราก าพทุกอวัยว ซ้อนกัน ทาให้ขาดความชัดเ น โดยในป ุบันได้พั นาอุปกรณ์ที่สามารถถ่าย าพ
ด้วยรังสีเอกซ์ที่มีคุณ าพมากข้น เรียกว่า เครื่องเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์
ากนัน
้ ให้นก
ั เรียนศกษา ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อน
ื่ แล นาเสนอ ลการศกษา
ครนานักเรียนอ ิปราย นสรุปส่วนปร กอบของเครื่องถ่าย าพเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ หรือเรียกสั้น ว่า
ซีทส
ี แกน ดังรป 18.15 โดยมีหลักการทางานดังนี้ แหล่งกาเนิดรังสีเอกซ์ หมุนรอบร่างกาย พร้อมกับฉาย
รังสีเอกซ์ ่านร่างกายบริเวณอวัยว ที่ต้องการตรว สอบความ ิดปกติในแนวต่าง นรอบอวัยว นั้น ไป
ยังอุปกรณ์ตรว วัดรังสีทอ
ี่ ย่ในทิศทางตรงกันข้าม ดังรป 18.16 สัญญาณไฟฟา ากอุปกรณ์ตรว วัดรังสี
ถกสร้างเปน าพ าคตัดขวางด้วยร บบคอมพิวเตอร์เปน าพขาวดา ดังรป 18.17 แล สามารถสร้าง าพ
3 มิติ ได้ โดยสีของ าพแต่ล ุดข้นกับการดดกลืนรังสีเอกซ์ของเนื้อเยื่อแต่ล ชนิด ตามรายล เอียดใน
หนังสือเรียน
18.4.3 เครื่องควบคุมระยะไกล
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 7 ของหัวข้อ 18.4 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.4.3 โดยครสา ิตการทางานเครื่องควบคุมร ย ไกล เช่น การเปดปดเครื่อง
รับโทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ โดยใช้รีโมท หรือ อา ยกสถานการณ์การเปดปดโดยไม่สัม ัสเครื่องรับ
โทรทัศน์ ทาได้โดยใช้อุปกรณ์ใด หลัง ากนักเรียนตอบคาถามครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าว
เรียกว่าเครื่องควบคุมร ย ไกล หรือ รีโมทคอนโทรลเลอร์ หรือ เรียกสั้น ว่า รีโมท
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
28 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
ให้นก
ั เรียนศกษาส่วนปร กอบแล หลักการทางาน ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อน
ื่
แล นาเสนอ ลการศกษา ากนั้นครนาอ ิปรายโดยใช้รป 18.18 อ ิบายส่วนปร กอบ แล ใช้รป 18.19
อ ิ บ ายหลั ก การทางานของรี โ มทดั ง นี้ รี โ มท ทาหน้ า ที่ ป ร มวล ลการกดปุ มเปนรหั ส คาสั่ ง แปลง
เปนสัญญาณไฟฟา ส่งสัญญาณเปนอินฟราเรดไปยังเครือ
่ งใช้ไฟฟา ส่วนรับสัญญาณทีอ
่ ย่ในเครือ
่ งใช้ไฟฟา
แปลงกลับมาเปนสัญญาณไฟฟาแล ส่งต่อไปยังส่วนต่าง ของเครื่องให้ทางานตามคาสั่ง ากรีโมท
ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครตั้งคาถามว่า เครื่องควบคุมร ย ไกล นอก ากใช้อินฟราเรดยังสามารถใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา
ชนิดอื่นได้หรือไม่ เปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ากนั้นนาอ ิปรายเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟาชนิดอื่นในการควบคุมร ย ไกล เช่น คีย์บอร์ด
ไร้สาย เมาส์ไร้สาย แล เครื่องควบคุมโดรน โดยอุปกรณ์ดังกล่าวอา ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟาชนิดอื่นใน
การส่งแล รับสัญญาณ ตามความเหมา สมของการใช้งาน
18.4.4 เครื่องระบุตำาแหน่งบนพื้นโลก
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 7 ของหัวข้อ 18.4 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อที่ 18.4.4 โดยยกสถานการณ์เกีย่ วกับการใช้โทรศัพท์เคลือ
่ นทีใ่ นการบอกตาแหน่ง
ของนักเรียนให้เพื่อนร้ ากนั้นตั้งคาถามว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ สามารถบอกตาแหน่งของนักเรียนได้ด้วย
ร บบอ ไร ครเปดโอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร โดยไม่ ค าดหวั ง คาตอบที่ ถ กต้ อ ง
ร่วมกันอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ โทรศัพท์เคลือ
่ นทีร่ บุตาแหน่งได้ดว้ ยร บบร บุตาแหน่งบนพืน
้ โลกหรือ พ
ี เี อส
ากนั้นตั้งคาถามว่า ีพีเอสมีหลักการทางานอย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น
อย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วให้นักเรียนศกษา ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่ง
ความร้อื่น แล นาเสนอ ลการศกษา ากนั้นครนานักเรียนอ ิปราย นสรุปได้ว่า GPS คือร บบร บุ
ตาแหน่งบนพื้นโลกโดยใช้สัญญาณไมโครเวฟสื่อสารร หว่างเครื่องร บุตาแหน่งบนพื้นโลกกับดาวเทียม
ปร กอบด้วยศนย์ควบคุม าคพื้นดิน เครื่องร บุตาแหน่งบนพื้นโลก แล ดาวเทียมส่งสัญญาณอย่างน้อย
4 ดวง หาตาแหน่งบนพื้นโลก ณ เวลานั้น ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 29
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
การประมวลผลหาตำาแหน่งบนพื้นโลก
เมือ
่ เครือ
่ งร บุตาแหน่งบนพืน
้ โลกได้รบ
ั สัญญาณ ากดาวเทียมดวงที่ 1 S1 แล้วคานวณร ย
ห่างร หว่างดาวเทียมดวงที่ 1 กับตาแหน่งของเครื่องร บุตาแหน่ง ซ่ง ได้ตาแหน่งของเครื่องร บุ
ตาแหน่งบนพื้นโลกเปนตาแหน่งใด บน ิวทรงกลมสีเขียวที่มีดาวเทียมดวงที่ 1 เปนศนย์กลาง
แล เมื่อ ิวทรงกลมตัดกับ ิวโลกตาแหน่งของเครื่องร บุตาแหน่งอย่ที่ตาแหน่งใดตาแหน่งหน่งบน
เส้นรอบวงสีเขียวบน ิวโลก ดังรป ก.
S1
ขณ เดียวกันเครือ
่ งร บุตาแหน่งบนพืน
้ โลกได้รบ
ั สัญญาณ ากดาวเทียมดวงที่ 2 S2 เช่นกัน
แล คานวณร ย ห่างร หว่างดาวเทียมดวงที่ 2 กับตาแหน่งของเครือ่ งร บุตาแหน่งได้เปน วิ ทรงกลม
สีเหลืองทีม
่ ด
ี าวเทียมดวงที่ 2 เปนศนย์กลาง ตาแหน่งของเครือ่ งร บุตาแหน่ง อย่ทต
่ี าแหน่งใดตาแหน่ง
หน่งของรอยตัดร หว่าง วิ ทรงกลมของดาวเทียมทัง้ 2 ดวง บน วิ โลก ซ่งมี 2 ตาแหน่ง ดังรป ข.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
30 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
S1
S2
S1
S2 S3
A
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 31
แต่เนือ
่ ง ากโลกไม่ได้มลี กั ษณ เปน วิ เรียบซ่งมีทงั้ เขาแล หุบเหว ดังนัน
้ ตาแหน่งของเครือ
่ ง
ร บุตาแหน่ง อา ไม่ได้อย่บนพื้นราบของโลก ดังรป ง.
น ื
น ื น
18.4.5 เครื่องถ่ายภาพการสั่นพ้องแม่เหล็ก
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 7 ของหัวข้อ 18.4 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.4.5 โดยครอา นา าพของเครื่อง MRI ขนาดขยายหรือ าพเครื่อง MRI
ดังรป 18.22 ในหนังสือเรียนให้นักเรียนดแล้วตั้งคาถามว่านักเรียนร้ ักเครื่องมือชนิดนี้หรือไม่ เครื่องมือนี้
มี ไ ว้ ส าหรั บ ทาอ ไรแล มี วิ ี ก ารใช้ อ ย่ า งไร ครเปดโอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร
โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วให้นักเรียนศกษา ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อื่น
แล นาเสนอ ลการศกษา ากนัน
้ ครนานักเรียนอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ เครือ
่ งมือดังกล่าวเปนเครือ
่ งถ่าย าพ
าพตัดขวางของอวัยว แล สร้าง าพเปน 3 มิติ โดยใช้คลื่นวิทยุความถี่เหมา สมกับความถี่สั่นพ้อง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
32 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับหลักการทางานอุปกรณ์บางชนิดที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา ากคาถามตรว สอบ
ความเข้าใ 18.4
2. ทักษ ด้านการสื่อสารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสื่อ ากการอ ิปรายร่วมกัน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 33
แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 18.4
18.5 การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. สืบค้นแล อ ิบายการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
2. เปรียบเทียบการสื่อสารด้วยสัญญาณแอน ล็อกกับสัญญาณดิ ิทัล
แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หัวข้อ 18.5 โดยตั้งคาถามว่าให้นักเรียนยกตัวอย่างการสื่อสารโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา
แล ร บุคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่ใช้ในการสื่อสาร รวมทั้งมีการใช้สัญญาณในการสื่อสารแบบใดบ้าง ครเปด
โอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า มี
คลื่นแม่เหล็กไฟฟาหลายชนิดที่ใช้ในการสื่อสารเช่น คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ แสงที่ตามองเห็น แล มีการใช้
สัญญาณในการสื่อสารแบบแอน ล็อกแล ดิ ิทัล ากนั้นให้นักเรียนศกษาหัวข้อต่อไป
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
34 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
18.5.1 การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นวิทยุ
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 8 ของหัวข้อ 18.5 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.5.1 โดยตั้งคาถามว่าการสื่อสารด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาข้างต้นมีขั้นตอน
อย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ครนา
อ ิปราย นสรุปได้ว่า การสื่อสารโดยใช้คลื่นวิทยุมีหลายแบบ แต่ในหัวข้อนี้ กล่าวเฉพา 3 แบบ ตาม
รายล เอียดในหนังสือเรียน ากนัน
้ ให้นกั เรียนศกษาการกร ายสัญญาณเสียงของสถานีวท
ิ ยุ ครให้นกั เรียน
ศกษา ากหนังสือเรียนหรือ ากแหล่งความร้อื่น แล นาเสนอ ลการศกษา
ครใช้ ร ป 18.24 นาอ ิ ป ราย นสรุ ป ได้ ว่ า การกร ายสั ญ ญาณเสี ย งของสถานี วิ ท ยุ แปลง
คลื่นเสียงเปนสัญญาณไฟฟา ากนั้นนาไป สมกับคลื่นวิทยุ ส่งเปนสัญญาณเสียงกร ายออก ากสถานี
วิทยุไปยังเครื่องรับ เครื่องรับ แยกสัญญาณไฟฟาออก ากคลื่นวิทยุ แล้วแปลงสัญญาณไฟฟากลับเปน
คลื่นเสียง ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน ากนั้นครตั้งคาถามว่าการ สมสัญญาณไฟฟากับคลื่นวิทยุ
ทาได้กี่แบบ ให้นักเรียนศกษา ากหนังสือเรียน ครใช้รป 18.25 นาอ ิปรายการ สมสัญญาณไฟฟากับ
คลื่นวิทยุ นสรุปได้ว่าการ สมสัญญาณมี 2 แบบ คือ ร บบวิทยุเอเอ็ม แล ร บบวิทยุเอฟเอ็ม แล แต่ล
แบบต่างก็มีข้อดีแล ข้อด้อย ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครใช้รป 18.26 นาอ ิปราย นสรุปได้ว่า การส่งแล รับสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่มีขั้นตอนคล้าย
การกร ายสัญญาณเสียงของสถานีวท
ิ ยุ แต่มค
ี วามแตกต่างทีก
่ ารแบ่งขอบเขตพืน
้ ทีก
่ ารรับแล ส่งสัญญาณ
หรือ เซลล์ cell ออกเปนพื้นที่ไม่กว้างมาก โดยแต่ล เซลล์มีสถานี าน base station ที่ทาหน้าที่รับแล
ส่งต่อสัญญาณร หว่างกัน เมือ
่ ส่งสัญญาณถงโทรศัพท์ของ ร้ บ
ั สัญญาณ ถกแปลงเปนสัญญาณเสียงหรือ
ข้อมลให้ ้รับ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครนาอ ิปรายเกี่ยวกับการส่งแล รับสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย นสรุปได้ว่า การส่งแล รับ
สัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบไร้สายคล้ายกับการส่งแล รับสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่ ใช้คลื่นความถี่
แตกต่าง ากความถี่ของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อไม่ให้เกิดการรบกวนของสัญญาณ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 35
18.5.2 การสื่อสารโดยอาศัยไมโครเวฟ
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.5.2 โดยตั้งคาถามว่า ไมโครเวฟนอก ากใช้กับเตาไมโครเวฟแล้ว สามารถ
นามาปร ยุกต์ใช้ในด้านสื่อสารได้หรือไม่ อย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร
โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นให้นักเรียนศกษา ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อื่น
แล นาเสนอ ลการศกษา ากนัน
้ ครนานักเรียนอ ป
ิ รายการสือ
่ สารโดยใช้ไมโครเวฟ นสรุปได้วา่ ไมโครเวฟ
สามารถนามาใช้สอ
ื่ สารได้เช่นเดียวกับคลืน
่ วิทยุ า่ นชัน
้ บรรยากาศได้ดก
ี ว่าคลืน
่ วิทยุ แต่ไม่สามารถเคลือ
่ นที่
่านสิ่งกีดขวางได้ดีเท่าคลื่นวิทยุ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
18.5.3 การสื่อสารโดยอาศัยแสง
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-
แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.5.3 โดยตั้งคาถามว่า ในการสื่อสารโดยใช้แสง มีการใช้อุปกรณ์ใดในการรับ
แล ส่งสัญญาณแสง ครเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบทีถ
่ กต้อง
ากนั้นครนาอ ิปรายเกี่ยวกับการใช้เส้นใยนาแสงในการรับส่งสัญญาณ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
36 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 9 ของหัวข้อ 18.5 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.5.4 โดยตั้งคาถามว่า สัญณาณแอน ล็อกแล สัญญาณดิ ิทัลแตกต่างกัน
อย่างไร ครเปดโอกาสให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบทีถ่ กต้อง ครนานักเรียน
อ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ สัญญาณแอน ล็อกเปนสัญญาณทีม
่ ค
ี า่ เปลีย่ นแปลงอย่างต่อเนือ
่ ง ส่วนสัญญาณดิ ท
ิ ลั
เปนสัญญาณที่เปลี่ยนแปลงสองสถาน ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน ครให้นักเรียนศกษา ากหนังสือ
เรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อื่น แล นาเสนอ ลการศกษา ากนั้นครใช้รป 18.30 นานักเรียน
อ ิปราย นสรุปได้ว่า สัญญาณแอน ล็อก เปนสัญญาณที่มีค่าต่าง ของสัญญาณเปลี่ยนแปลงอย่าง
ต่อเนื่องตามเวลา แต่สัญญาณดิ ิทัลเปนสัญญาณที่มีค่าต่าง ของสัญญาณเปลี่ยนแปลงเพียงสองสถาน
เช่น มีหรือไม่มี เปดหรือปด โดยในป ุบันสัญญาณดิ ิทัลได้รับความนิยมเพรา ทาให้เกิดความ ิดพลาด
ในการรับส่งข้อมล น้อยกว่าสัญญาณแอน ล็อก ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 37
แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับความแตกต่างร หว่างการสื่อสารด้วยสัญญาณดิ ิทัลกับสัญญาณแอน ล็อก
รวมทัง้ เปรียบเทียบการสือ่ สารด้วยสัญญาณทัง้ สองปร เ ท ากคาถามตรว สอบความเข้าใ 18.5
2. ทักษ การสื่อสารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสื่อ แล ความร่วมมือ การทางานเปนทีมแล
าว ้นา ากการนาเสนอ แล อ ิปรายร่วมกัน
3. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความอยากร้อยากเห็น แล ความรอบคอบ ากการอ ิปรายร่วมกัน
แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 18.5
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
38 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 18
คำาถาม
N
E O
W E พื้นโลก
S B
รูป ประกอบคำาถามข้อ 3
แหล่งกาเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟานี้อย่ทางทิศใดของตาแหน่ง O
แนวคำาตอบ ทิศเหนือ เพรา เมื่อหาทิศการเคลื่อนที่ด้วยมือขวา ได้ทิศเคลื่อนที่ไปทางใต้ของ
ุด O แสดงว่าแหล่งกาเนิดอย่ทิศหนือของ ุด O ดังรป
N
E O
W E พื้นโลก
c
S B
รูป ประกอบแนวคำาตอบคำาถามข้อ 3
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 39
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
40 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
ปญหา
หาความถี่ของแสง λ = 400 nm าก
v
f =
3 108 m/s
แทนค่า f =
400 10 9 m
= 7.50 × 1014 Hz
หาความถี่ของแสง λ = 700 nm าก
v
f =
3 108 m/s
f =
700 10 9 m
= 4.29 × 1014 Hz
ตอบ ช่วงความถี่ของแสงที่คนมองเห็นคือ 4.29 × 1014 เ ิรตซ์ ถง 7.50 × 1014 เ ิรตซ์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 41
3. ถ้าดวง น
ั ทร์อย่หา่ ง ากโลกเปนร ย ทาง 384 000 กิโลเมตร งหาร ย เวลาทีแ่ สงเคลือ
่ นที่ าก
ดวง ันทร์ถงโลก
s
วิธีทาำ หาร ย เวลาที่แสงเคลื่อนที่ ากดวงv ันทร์ถงโลก ากสมการ t =
v
384 000 103m
แทนค่า t = 384 0
3 108 m/s
= 1.28 s
ตอบ ร ย เวลาที่แสงเคลื่อนที่ ากดวง ันทร์ถงโลก คือ 1.28 วินาที
5. งเรียงลาดับคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาต่อไปนี้ รังสีเอกซ์ อินฟราเรด ไมโครเวฟ วิทยุ รังสีอลั ตราไวโอเลต
ตามความถี่ ากมากไปน้อย
วิธีทาำ ากรป 18.5 สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟา ตามหนังสือเรียน
106 107 108 109 1010 1011 1012 1013 1014 1015 1016 1017 1018 1019 1020 1021 1022 1023
(Hz)
ลืน ก
โ ก
นื
ลืน (m)
104 103 102 101 100 10-1 10-2 10-3 10-4 10-5 10-6 10-7 10-8 10-9 10-1010-1110-1210-1310-1410-15
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
42 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6
6. รังสีเอกซ์กบ
ั รังสีแกมมามีขอ้ เหมือนกันแล ข้อทีแ่ ตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ตอบ ข้อที่เหมือนกัน คือ
ก. เปนคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความถี่สง
ข. มีพลังงานสง มีอานา ท ลุ ่านสง มีอันตรายต่อร บบทางชีว าพมาก
ค. ไม่เบี่ยงเบนในสนามแม่เหล็กแล สนามไฟฟา
ข้อทีแ่ ตกต่างกัน คือ รังสีเอกซ์เกิด ากการเปลีย่ นความเร็วของอิเล็กตรอนแล้วปลดปล่อย
พลังงานในรปรังสีเอกซ์หรืออิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไปชนอ ตอมของ าตุที่เปนเปา ทาให้
อ ตอมของเปาปล่อยพลังงานออกมาในรปของรังสีเอกซ์ แต่รงั สีแกมมาเกิด ากการสลาย
ของ าตุกัมมันตรังสี
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 43
19
บทที่ ฟิสก
ิ ส์อะตอม
ipst.me/11455
ผลการเรียนรู้
การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้
ผลการเรียนรู้
1. อ ิบายสมมติ านของพลังค์ ท ษ ีอ ตอมของโบร์ แล การเกิดเส้นสเปกตรัมของอ ตอม
ไ โดรเ น รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้อง
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายสมมติ านของพลังค์
2. อ ิบายท ษ ีอ ตอมของโบร์แล การเกิดเส้นสเปกตรัมของอ ตอมไ โดรเ น
3. คานวณรัศมีวงโค รของอิเล็กตรอน พลังงานอ ตอมของไ โดรเ น แล ความยาวคลื่นของ
แสงในสเปกตรัมแบบเส้นตามท ษ ีอ ตอมของโบร์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
44 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
ผลการเรียนรู้
2. อ บ
ิ ายปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริกแล คานวณพลังงานโฟตอน พลังงาน ลน์ของโฟโตอิเล็กตรอน
แล ฟงก์ชันงานของโลห
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก
2. อ ิบายแล คานวณพลังงานโฟตอน พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน แล ฟงก์ชัน
งานของโลห
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 45
ผลการเรียนรู้
3. อ บ
ิ ายทวิ าว ของคลืน
่ แล อนุ าค รวมทัง้ อ บ
ิ าย แล คานวณความยาวคลืน
่ เดอบรอยล์
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายแล คานวณความยาวคลื่นเดอบรอยล์
2. อ ิบายทวิ าว ของคลื่นแล อนุ าค
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
46 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
ผังมโนทัศน์ ฟิสิกส์อะตอม
ฟิสก
ิ ส์อะตอม
เกีย
่ วข้องกับ การแผ่คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้าของวัตถุดํา
นําไปสู่
สมมติฐานของพลังค์ กฎการอนุรก
ั ษ์พลังงาน
การค้นพบปรากฏการณ์
โฟโตอิเล็กทริกของเฮิรตซ์
อะตอม
นําไปสู่
อิเล็กตรอน
นําไปสู่
คําอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกของไอนส์ไตน์
แบบจําลองอะตอม
ของทอมสัน คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า นําไปสู่
แบบจําลองอะตอม
การทดลองการเลีย้ วเบน
ของรัทเทอร์ฟอร์ด
ของอิเล็กตรอน
ยืนยัน
การค้นพบสเปกตรัมแบบเส้น อนุภาคมีสมบัตค
ิ ลืน
่
ของอะตอมไฮโดรเจน นําไปสู่
นําไปสู่ ทวิภาวะของคลืน
่
และอนุภาค
ทฤษฎีอะตอมของโบร์ นําไปสู่
อธิบาย
กลศาสตร์ควอนตัม
อนุกรมของสเปกตรัมชุดต่าง ๆ
ของอะตอมไฮโดรเจน แบบจําลองกลุม
่ หมอกของอิเล็กตรอนในอะตอม
นําไปสู่
การประยุกต์ใช้ดา้ นฟิสก
ิ ส์ควอนตัม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 47
สรุปแนวความคิดสำาคัญ
วัตถุดาำ blackbody เปนวัตถุทแ่ี ค
่ ลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแล ดดกลืนคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาได้อย่างสมบรณ์
พลังค์ได้ตั้งสมมติ านเพื่ออ ิบายการแ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟาของวัตถุดา เรียกว่า สมมติ านของพลังค์
Planck’s hypothesis ซ่งมีใ ความว่า พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่วัตถุดาดดกลืนหรือแ ่ออกมามี
ค่าได้เฉพา บางค่าเท่านั้น แล ค่านี้เปน านวนเต็มเท่าของ hf เรียกว่า ควอนตัมของพลังงาน quantum
of energy ตามสมการ E = nhf
สเปกตรัมของแกส เช่น ไ โดรเ นแล นีออน ในช่วงทีต
่ ามองเห็น มีลก
ั ษณ เปนเส้นแยกออก ากกัน
เรียกว่าสเปกตรัมแบบเส้น line spectrum โบร์อ ิบายสเปกตรัมแบบเส้นของแกสไ โดรเ น โดยเสนอ
ท ษ ีอ ตอมของไ โดรเ นมีใ ความว่า อิเล็กตรอนที่โค รรอบนิวเคลียสโดยไม่แ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟานั้น
อย่ในวงโค รเฉพา บางค่า ที่มีโมเมนตัมเชิงมุมตามสมการ mvr = ทาให้มีรัศมีวงโค รตามสมการ
แล มีพลังงานรวมของอิเล็กตรอนในวงโค รตามสมการ
เมื่ออิเล็กตรอนเปลี่ยนวงโค ร มีการรับหรือปล่อยพลังงานบางค่าออกมาในรปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
ตามสมมติ านของพลังค์ ตามสมการ hf = Ei − Ef
ท ษ ี อ ตอมของโบร์ ส ามารถใช้ ค านวณหาพลั ง งานของอ ตอมไ โดรเ นที่ ส ถาน พื้ น มี ค่ า
21.76 10 19 J 13.6
E1 = -21.76 × 10-19 J หรือ -13.6 eV พลังงานทีส่ ถาน ถกกร ตุน
้ ตามสมการ En
n2 n2
10 19 J 13.6 eV
เมือ่ n = 2,3,4... แล นาไปใช้คานวณหาความยาวคลืน ่ ของสเปกตรัมชุดต่าง ของไ โดรเ น
n2 n2
1 1 1
ตามสมการ RH 2
nf ni2
เมื่ อ แสงที่ มี ค วามถี่ เ หมา สมตกกร ทบ ิ ว โลห ทาให้ อิ เ ล็ ก ตรอนหลุ ด าก ิ ว โลห นั้ น ได้
เรียกปราก การณ์นี้ว่า ปราก การ ์โฟโตอิเล็กทริก photoelectric effect โดยเรียกอิเล็กตรอนที่หลุด
าก ิวโลห ว่า โฟโตอิเล็กตรอน photoelectron ซ่ง มี านวนเพิ่มข้นตามความเข้มแสงที่ตกกร ทบ
ไอน์สไตน์ได้เสนอแนวความคิดเพื่ออ ิบายปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริกโดยอาศัยสมมติ านของพลังค์ว่า
แสงมีลักษณ เปนก้อนพลังงานหรือควอนตัมของพลังงาน ซ่งเรียกว่า โฟตอน photon มีพลังงาน hf แล
ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก เกิดข้นได้ ต้องใช้แสงทีม
่ ค
ี วามถีม
่ ากกว่าหรือเท่ากับความถีค
่ า่ หน่งทีเ่ รียก
ว่า ความถี่ขีดเริ่ม threshold frequency ซ่งเปนความถี่ของโฟตอนที่มีพลังงานเท่ากับพลังงานที่โลห
ยดอิเล็กตรอนไว้ เรียกว่า ฟงก์ชน
ั งาน work function ตามสมการ W = hf0 ากก การอนุรก
ั ษ์พลังงาน
ได้ พ ลั ง งาน ลน์ ส งสุ ด ของโฟโตอิ เ ล็ ก ตรอนตามสมการ Ekmax hf W พลั ง งาน ลน์ ส งสุ ด ของ
โฟโตอิเล็กตรอนหาได้ ากการทดลองด้วยการต่อความต่างศักย์ไฟฟาต้านโฟโตอิเล็กตรอน นกร แส
โฟโตอิ เ ล็ ก ตรอนเปนศนย์ พ อดี เรี ย ก ความต่ า งศั ก ย์ ห ยุ ด ยั้ง V s สั ม พั น ์ กับ พลั ง งงาน ลน์ สงสุ ด ของ
โฟโตอิเล็กตรอน ตามสมการ Ekmax = hf
eVs W
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
48 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 49
เวลาที่ใช้
บทนี้ควรใช้เวลาสอนประมา 28 ชั่วโมง
ความรู้ก่อนเรียน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
50 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หัวข้อ 19.1 โดยตั้งคาถามว่า วัตถุที่มีอุณห มิสงหรือวัตถุร้อนแ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟาใด
บ้างเกี่ยวข้องกับอุณห มิแล สมบัติของ ิววัตถุอย่างไร โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น แล
ตอบคาถามอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครนาอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ ความร้ ากฟสิกส์แบบฉบับไม่สามารถอ บ
ิ ายการแ ค
่ ลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ของวัตถุร้อนได้ ครชี้แ งนักเรียนว่าการอ ิบายการแ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟาของวัตถุร้อนได้อย่างไร ศกษาได้
ากหัวข้อต่อไปนี้
19.1.1 การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของวัตถุดาำ
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 51
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ของข้อที่ 1 หัวข้อ 19.1 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 19.1.1 โดยใช้รป 19.1 ในหนังสือเรียน หรือวีดท
ิ ศ
ั น์ทม
่ี ก
ี ารทาวัตถุให้รอ
้ นทีอ
่ ณ
ุ ห มิ
สง เช่น การทาดาบหรือมีดด้วยความร้อน แล้วตัง้ คาถามว่า เมือ
่ เ าวัตถุให้รอ
้ น นักเรียนสังเกตเห็นสีของวัตถุ
ที่เปลี่ยนไปอย่างไร แต่ล บริเวณของวัตถุร้อนมีสีอ ไรบ้าง นักเรียนคิดว่าที่บริเวณใดวัตถุมีอุณห มิสงกว่า
กัน แล วัตถุอื่น ที่ร้อน มีพ ติกรรมเช่นเดียวกันหรือไม่ โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น
อย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครแล นักเรียนร่วมกันอ ิปราย นสรุปได้ว่า วัตถุทุกชนิดที่มีอุณห มิสงกว่า 0 เคลวิน มีการแ ่
คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาเสมอ เรียกว่า การแ ร่ งั สีความร้อน โดยคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาทีแ่ อ
่ อกมามีความถีต
่ อ
่ เนือ
่ ง
เรียกว่า สเปกตรัมต่อเนือ
่ ง แล ความยาวคลืน
่ ทีม
่ ค
ี วามเข้มสงสุดข้นกับอุณห มิของวัตถุนน
ั้ แล มีสเี ปลีย่ น
แปลงไปตามอุณห มิของวัตถุ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครนาอ ป
ิ รายโดยใช้รป 19.2 ในหนังสือเรียน นสรุปได้วา่ วัตถุทอี่ ณ
ุ ห มิหน่ง แ ร่ งั สีความร้อน
โดยมีความสัมพัน ร์ หว่างความเข้มสงสุดกับความยาวคลืน
่ เช่น วัตถุทม
ี่ อ
ี ณ
ุ ห มิ 3000 เคลวิน แ ค
่ ลืน
่
แม่เหล็กไฟฟาทีม
่ ค
ี วามเข้มสงสุดในช่วงอินฟราเรด เมือ
่ อุณห มิสงข้นอีก ความเข้มของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ที่แ ่ออกมามากสุด มีความยาวคลื่นลดลง ตามแนวเส้นปร ในรป 19.2 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครถามคาถามชวนคิดในหน้า 55 ให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความ
คิดเห็นอย่างอิสร แล้วครนาอ ิปราย นได้แนวคาตอบดังนี้
แนวคำาตอบชวนคิด
ากนัน
้ ครนาอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ ความสัมพัน ร์ หว่างความเข้มกับความยาวคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ที่แ ่ออกมา ากวัตถุ ตามรป 19.2 ในหนังสือเรียน ไม่สามารถอ ิบายได้อย่างถกต้องสมบรณ์โดยใช้ฟสิกส์
แบบฉบับ เนื่อง ากฟสิกส์แบบฉบับทานายว่า ยิ่งวัตถุมีอุณห มิสงข้นมากเท่าใด ก็ ยิ่งแ ่คลื่นแม่เหล็ก
ไฟฟาในช่วงความยาวคลื่นสั้นออกมามากเท่านั้น ากความสัมพัน ์ร หว่างความเข้มกับความยาวคลื่นที่
แ ่ออกมา ากวัตถุที่มีอุณห มิค่าหน่ง นักฟสิกส์ชาวเยอรมันชื่อ มักซ์ พลังค์ ได้เสนอสมมติ านเกี่ยวกับ
การแ ่รังสีของวัตถุดา ตาม ลการทดลองในรป 19.3 ในหนังสือเรียน ซ่งสามารถอ ิบายการแ ่รังสีของ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
52 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 53
19.1.2 ท ษ ีอะตอมของโบร์
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
3. ท ษ อี ตอมของโบร์สามารถอ บ
ิ ายอ ตอม 3. ท ษ ีอ ตอมของโบร์ไม่สามารถอ ิบาย
ใด ได้ถกต้องทุกปร การ อ ตอมที่มีหลายอิเล็กตรอน
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ของข้อที่ 2 แล 3 ของหัวข้อ 19.1 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อ 19.1.2 โดยนาอ ิปรายเกี่ยวกับอ ตอมในวิชาเคมี การทดลองของทอมสันเพื่อ
หาค่าปร ุต่อมวลของอิเล็กตรอน การทดลองมิลิแกนเพื่อหาค่าปร ุไฟฟาของอิเล็กตรอน ากนั้นให้
นักเรียนสืบค้นการพั นาแบบ าลองอ ตอมเพือ
่ ใช้อ บ
ิ ายโครงสร้างอ ตอม ตัง้ แต่แบบ าลองอ ตอมของ
ทอมสั น นถงแบบ าลองอ ตอมของรั ท เทอร์ ฟ อร์ ด แล้ ว ให้ นั ก เรี ย นนาเสนอ ลการสื บ ค้ น แล
ร่วมกันอ ิปรายโดยใช้รป 19.4 ในหนังสือเรียน นได้ข้อสรุปตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครอา สา ิตหรือให้นักเรียนทากิ กรรมลองทาดในหนังสือเรียนเพื่อให้นักเรียนทาความเข้าใ ล
การทดลองของไกเกอร์แล มาร์สเดน เกี่ยวกับแนวการเบนของอนุ าคแอลฟาที่ ป ล่ อ ยให้ ต กกร ทบ
แ ่นทองคาบาง นนามาส่การเสนอแบบ าลองอ ตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด ากการทากิ กรรมลองทาด
การเปรียบเทียบการกร เ ิงของอนุ าคแอลฟา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
54 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
จุดประสงค์
1. สังเกตการเคลือ
่ นทีข
่ องแท่งแม่เหล็กเปรียบเทียบลักษณ กับการกร เ งิ ของอนุ าคแอลฟา
เวลาที่ใช้ 30 นาที
วัสดุและอุปกร ์
1. แม่เหล็กแ ่นกลมขนาดเท่ากัน 5 อัน
2. ถาดลดแรงเสียดทาน 1 ถาด
3. เม็ดพลาสติก 1 ถุง
แนะนำาก่อนทำากิจกรรม
1. เน้นกับนักเรียนว่า แรงทีเ่ กีย
่ วข้องกับกิ กรรมลองทาดนีเ้ ปนแรงแม่เหล็ก แตกต่าง ากแรงที่
นิวเคลียสกร ทาต่ออนุ าคแอลฟาในการทดลอง ริง ซ่งเปนแรงไฟฟา
2. กซ้อมในการใช้แรง ลักแม่เหล็ก B นได้ขนาดแรงทีเ่ หมา สม สามารถสังเกตเห็นแนวการ
เบนของแม่เหล็ก B เมื่อเคลื่อนที่เข้าหาแม่เหล็ก A ถ้าใช้ขนาดแรงมากเกินไป อา ทาให้
แม่เหล็ก A หรือ B พลิกกลับด้าน แล ทาให้ ลการทากิ กรรม ไม่สอดคล้องกับ ุดปร สงค์
กิ กรรม
3. ชี้แ งกับนักเรียนว่า กิ กรรมนี้กับการทดลอง ริงมีสิ่งที่แตกต่างกัน คือ ขนาดแล ความเร็ว
ของแท่ ง แม่ เ หล็ ก ไม่ ไ ด้ แ สดงสั ด ส่ ว น ริ ง กั บ ขนาดแล ความเร็ ว ของอนุ าคแอลฟาแล
นิวเคลียส
ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม
รูป ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 55
แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม
อภิปรายหลังการทำากิจกรรม
ครนาอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ แม้แบบ าลองอ ตอมของรัทเทอร์ฟอร์ดสามารถอ บ
ิ าย ลการทดลอง
ของไกเกอร์ แล มาร์สเดนได้ แต่ไม่สามารถอ ิบายเกี่ยวกับเสถียร าพของอ ตอม เนื่อง ากตามแนวคิด
ฟสิกส์แบบฉบับ ขณ อิเล็กตรอนเคลื่อนที่รอบนิวเคลียส มีความเร่งทาให้อิเล็กตรอนแ ่คลื่นแม่เหล็ก
ไฟฟา เกิดการสญเสียพลังงานอย่างต่อเนือ
่ ง ทาให้รศ
ั มีของวงโค รลดลงอย่างต่อเนือ
่ ง นอิเล็กตรอนถกดง
ดดเข้ า ไปรวมกั บ นิ ว เคลี ย ส ซ่ ง อ ตอมใน าว ปกติ ไม่ เ กิ ด เหตุ ก ารณ์ ดั ง กล่ า ว เพรา ใน าว ปกติ
อ ตอมไม่แ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟา โดยนักเรียน ได้ศกษาแนวคิดที่สามารถอ ิบายเสถียร าพของอ ตอม
ต่อไป
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
56 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
จุดประสงค์
1. ศกษาสเปกตรัมทีเ่ กิด ากแกสร้อน
เวลาที่ใช้ 50 นาที
วัสดุและอุปกร ์
1. ชุดสเปกตรัม 1 เครื่อง
2. หลอดบรร ุแกสไ โดรเ น 1 หลอด
3. หลอดบรร ุแกสนีออน 1 หลอด
4. เกรตติง อย่างน้อย 5300 เส้นต่อเซนติเมตร 1 อัน
5. ไม้เมตร 1 อัน
แนะนำาก่อนทำากิจกรรม
1. ใช้หลอดบรร ุแกสอย่างร มัดร วัง เนื่อง ากเปรา บาง แตกง่ายแล มีราคาสง
2. เมื่อเปดสวิตช์ ห้ามแต ที่ขั้วหลอด เนื่อง ากในชุดสเปกตรัมใช้แหล่งกาเนิดไฟฟา
ความต่างศักย์สง งอา เกิดอันตรายได้
3. สเปกตรัมที่เกิด ากหลอดบรร ุแกสนั้นมีความสว่างน้อย งควรทากิ กรรมในที่ซ่งมี
ความสว่างน้อย หรือทาให้บริเวณทีต
่ งั้ ชุดสเปกตรัมมืด โดยใช้กร ดาษดาทีค
่ รเตรียมไว้ให้กน
ั้
ด้านหลังแล ด้านข้างของหลอด
4. หาร ย d ในหน่วยเซนติเมตร ทีใ่ ช้ในสมการ λ = dsinθ าก d = 1 / านวนช่องต่อเซนติเมตร
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 57
ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม
เมือ
่ ใช้เกรตติงทีม
่ ี านวน 5300 ช่องต่อเซนติเมตร d = 1.886 × 10-4 เซนติเมตร แล
ด
ั อุปกรณ์ให้เห็นแถบสว่างก่งกลางอย่ทร่ี ย 50 เซนติเมตร
เสนสเปกตรัม เสนสเปกตรัม
ทางขวา ทางซาย sin
แหลง สีของเสน ระยะเฉลีย่ D2 x2 x d sin
กําเนิด สเปกตรัม x (cm) (cm) D2 x2 (cm)
ตําแหนง ระยะ x ตําแหนง ระยะ x
(cm) (cm) (cm) (cm)
ไฮโดรเจน* สีฟา 77.0 27.0 23.0 27.0 27.0 103.6 0.26 4.9×10-5
สีนา้ํ เงิน 73.0 23.0 26.0 24.0 23.5 102.7 0.23 4.3×10-5
นีออน สีสม 85.5 35.5 14.5 35.5 35.5 106.1 0.33 6.2×10-5
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
58 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม
□ สเปกตรัมจากหลอดบรรจุแก๊สมีลักษณะเหมือนกับสเปกตรัมจากหลอดไฟฟ้าทั่วไปหรือไม่
อย่างไร
แนวคำาตอบ สเปกตรัม ากหลอดบรร ุแกสแตกต่าง ากสเปกตรัม ากหลอดไฟฟาทั่วไป โดย
สเปกตรัม ากหลอดบรร ุแกสเปนสเปกตรัมแบบเส้ น แต่ ส เปกตรั ม หลอดไฟฟาทั่ ว ไปเปน
สเปกตรัมต่อเนื่อง
□ สเปกตรัมจากหลอดบรรจุแก๊สแต่ละชนิดมีลักษณะเหมือนและต่างกันอย่างไร
แนวคำาตอบ สเปกตรัมของแสง ากหลอดบรร ุแกสไ โดรเ น กับหลอดบรร ุแกสนีออน มี
ลักษณ เปนสเปกตรัมแบบเส้นเหมือนกัน แต่มลี ก
ั ษณ ต่างกัน คือ ปร กอบด้วย านวนเส้นแล
แสงสีต่างกัน เช่น แกสไ โดรเ น เห็นสีแดง ฟา แล น้าเงิน ส่วนแกสนีออน เห็นสีแดง ส้ม
แล เหลือง แล เส้นสเปกตรัมมีร ย ห่าง ากหลอดบรร ุแกสต่างกัน
□ สเปกตรัมจากหลอดบรรจุแก๊สไฮโดรเจน ประกอบด้วยแสงที่มีความยาวคลื่นเท่าใดบ้าง
แนวคำาตอบ สเปกตรัม ากหลอดบรร ุแกสไ โดรเ น ปร กอบด้วยแสงที่มีความยาวคลื่น
ปร มาณ 430, 490 แล 660 นาโนเมตร
อภิปรายหลังการทำากิจกรรม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 59
ว่ามีแรงไฟฟาร หว่างอิเล็กตรอนกับโปรตอนทีน
่ วิ เคลียส เปนแรงส่ศนย์กลาง แล ากท ษ อ
ี ตอมของโบร์
ทาให้สามารถหารัศมีวงโค รของอิเล็กตรอนได้ตามสมการ 19.4 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครตัง้ คาถามว่า ขณ อิเล็กตรอนเคลือ่ นทีร่ อบนิวเคลียส อิเล็กตรอนมีพลังงานอ ไรบ้าง โดยเปดโอกาส
ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า
อิเล็กตรอนมีพลังงาน ลน์ในการเคลื่อนที่ แล พลังงานศกย์ไฟฟาที่เกิด ากโปรตอนในนิวเคลียส แล หา
พลังงานรวมของอิเล็กตรอนในวงโค รแต่ล วงได้ตามสมการ 19.5 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครตั้งคาถามว่า ความร้เรื่องร ดับพลังงานของอิเล็กตรอนในอ ตอมไ โดรเ น สามารถอ ิบายการ
เกิดสเปกตรัมแบบเส้นของอ ตอมไ โดรเ นได้อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่าง
อิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า อ ตอมไ โดรเ นปล่อยพลังงานใน
รปคลื่นแม่เหล็กไฟฟา เมื่ออิเล็กตรอนในอ ตอมเปลี่ยนร ดับพลังงาน แล มีความยาวคลื่นสเปกตรัมของ
อ ตอม ตามสมการ 19.6 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครให้นก
ั เรียนศกษาตัวอย่าง 19.4 โดยมีครเปน แ้ น นา ากนัน
้ ตรว สอบความเข้าใ นักเรียนโดย
ให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ 19.1 ข้อ 2 - 3 แล ทาแบบ กหัด 19.1 ข้อ 3 - 6 ทั้งนี้อา
มีการเฉลยคาตอบแล อ ิปรายคาตอบร่วมกัน
ครอา ถามคาถามชวนคิดในหน้า 77 ให้นก
ั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกัน โดยครเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดง
ความคิดเห็นอย่างอิสร แล้วครนาอ ิปราย นได้แนวคาตอบดังนี้
แนวคำาตอบชวนคิด
22 72 4 49
หรือ ความยาวคลื่นเท่ากับ λ = 396.90 × 10-9 m = 396.90 nm ซ่งอย่ในช่วงรังสีเหนือม่วง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
60 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
ประวัติการค้นพบรังสีเอก ์
ในปี พ.ศ. 2438 วินเ ล์ม คอนราด เรินต์เกน Wilhelm Konrad Roentgen นักฟสิกส์ชาว
เยอรมันได้พบรังสีชนิดหน่งโดยบังเอิญ ขณ ศกษาการนากร แสไฟฟา า่ นแกส gaseous discharge
ในหลอดรังสีแคโทด โดยขณ ที่เขาใช้กร ดาษดาคลุมหลอดรังสีแคโทด ในห้องทดลองที่มืดสนิท เขา
สังเกตว่าแร่แบเรียมแพลทิโนไซยาไนด์ที่วางอย่ห่าง ากหลอดรังสีแคโทดปร มาณหน่งเมตร เกิด
การเรืองแสงข้น ซ่งขณ นั้นนักวิทยาศาสตร์ทราบว่าแร่นี้ เรืองแสงได้เมื่อรับรังสีอัลตราไวโอเลต
เท่านั้น แต่ขณ ทดลองไม่มีแหล่งกาเนิดรังสีอัลตราไวโอเลต แล รังสีแคโทดก็ไม่สามารถเดินทาง
ากหลอดสุญญากาศไปยังก้อนแร่ได้ เพรา รังสีแคโทดท ลุ ่านอากาศได้ไกลเพียง 2 – 3 เซนติเมตร
เท่านั้น
เรินต์เกน งสรุปว่า สิ่งที่ทาให้ก้อนแร่ดังกล่าวเรืองแสง ต้องเปนรังสีบางอย่างที่ยังไม่มี ้ใด
ร้ ก
ั มาก่อน แล รังสีนต
้ี อ
้ งมา ากหลอดรังสีแคโทด แล มีอานา ท ลุ า่ นสง นสามารถ า่ นกร ดาษ
ดาไปยังก้อนแร่ได้ เรินต์เกน เรียกรังสีนี้ว่า รังสีเอก ์ X-rays การทดลองในเวลาต่อมาทาให้
ทราบว่า รังสีเอกซ์เปนคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก สามารถท ลุ ่านวัตถุที่ไม่หนา
นเกินไปแล มีความหนาแน่นน้อยได้ เช่น กร ดาษ ไม้ เนื้อเยื่อของคนแล สัตว์
การผลิตรังสีเอก ์
ในการ ลิตรังสีเอกซ์ ปกติใช้ลาอิเล็กตรอนที่มีพลังงานสงพุ่งชนอ ตอมของโลห หนักที่เปน
เปา ดังรป โดยขั้วไฟฟา A ถกทาให้ร้อนด้วยกร แสไฟฟา ากความต่างศักย์ V' อิเล็กตรอนที่หลุด
ากขั้วไฟฟา A ถกเร่งด้วยความต่างศักย์ V0 เข้าชนเปาโลห หนัก B ทาให้เกิดรังสีเอกซ์
อิเลกตรอน
ขั้วไฟฟา A เปาโลหะหนัก B
รังสีเอก ์
V
แหล่งก เนิดไฟฟา
ที่มีความต่างศักย์สูงV0
รูป หลอดรังสีเอก ์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 61
การเกิดรังสีเอกซ์มีสองกร บวนการดังนี้
ก. การเกิดรังสีเอก ์ต่อเนื่อง
อิ เ ล็ ก ตรอนพลั ง งานสงวิ่ ง เข้ า ใกล้ นิ ว เคลี ย สของโลห หนั ก ที่ เ ปนเปา แรงทางไฟฟา าก
นิวเคลียส ทาให้อเิ ล็กตรอนมีความเร็วเปลีย่ นไปอย่างรวดเร็ว พลังงานของอิเล็กตรอนทีล
่ ดลง
ปลดปล่อยออกมาในรปคลื่นแม่เหล็กไฟฟาในช่วงรังสีเอกซ์ ดังรป
อิเลกตรอน
แนวการเคลื่อนที่ของอิเลกตรอน
นิวเคลียส
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
62 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
ร หว่างความเข้มกับความยาวคลื่น เปนดังรป 4
30 kV
2
20 kV
0 ความยาวคลื่น (nm)
0 0.02 0.04 0.06 0.08 0.10
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 63
ความเข้ม
Ka
รังสีเอก ์เฉพาะตัว
K
b
30 kV
รังสีเอก ์ต่อเนื่อง
20 kV
10 kV
ความยาวคลื่น (nm)
0.05 0.1 0.15 0.2 0.25 0.3 0.35
ถงแม้ มีการพบรังสีเอกซ์กอ
่ นทีพ
่ ลังค์ ตัง้ สมมติ านแล โบร์ เสนอท ษ อ
ี ตอม แต่ก็
ไม่มใี ครในขณ นัน
้ สามารถอ บ
ิ ายทีม
่ าของรังสีเอกซ์โดยใช้ท ษ ค
ี ลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาทีม
่ อ
ี ย่ นกร ทัง่
พลังค์ได้ตงั้ สมมติ านเกีย่ วกับควอนตัมของพลังงาน แล โบร์ได้เสนอท ษ อี ตอม งสามารถอ บ
ิ าย
ที่มาของรังสีเอกซ์ได้อย่างถกต้อง กล่าวคือ การเกิดรังสีเอก ์ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะค่าเปน
การยืนยันความถูกต้องของแนวคิดของโบร์ที่ว่า อะตอมมีระดับพลังงานเปนชั้น
ครตัง้ คาถามว่า ท ษ อ
ี ตอมของโบร์ใช้อ บ
ิ ายพ ติกรรมของอิเล็กตรอนในอ ตอมอืน
่ นอก าก
อ ตอมของไ โดรเ นได้ ห รื อ ไม่ อย่ า งไร โดยเปดโอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร
ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า ถงแม้ท ษ ีของอ ตอมของโบร์สามารถ
อ ิบายเสถียร าพของอ ตอมแล การเกิดสเปกตรัมแบบเส้นของอ ตอมไ โดรเ นได้ แต่ก็ยังไม่สามารถ
อ ิบายพ ติกรรมของอิเล็กตรอนในอ ตอมอื่น ได้อย่างถกต้อง
ครตั้งคาถามว่า มีแบบ าลองอ ตอมแบบใดซ่งเปนที่ยอมรับมากที่สุดในป ุบันที่สามารถอ ิบาย
พ ติกรรมของอิเล็กตรอนในอ ตอมได้สมบรณ์กว่าท ษ ีอ ตอมของโบร์ ให้นักเรียนสืบค้นเกี่ยวกับแบบ
าลองอ ตอมตามหลักกลศาสตร์ควอนตัม ากนั้นอ ิปราย นสรุปได้ว่า อิเล็กตรอนในอ ตอมไม่ได้โค ร
รอบนิวเคลียสโดยมีวงโค รที่แน่นอนตามท ษ ีอ ตอมของโบร์ แต่ ทราบได้เพียงความน่า เปนที่
พบอิเล็กตรอนทีม
่ รี ดับพลังงานหน่ง ว่า อย่ในบริเวณใด เปรียบเทียบได้กบ
ั ลักษณ ของกลุม
่ หมอก ตามรป
19.13 ในหนังสือเรียน ซ่งการอ บ
ิ ายฟสิกส์ของอนุ าคหรือร บบทีม
่ ข
ี นาดเล็กมาก ในร ดับอ ตอมหรือ
เล็กกว่า ได้ถกพั นาโดยนักฟสิกส์หลายท่าน นเกิดเปนวิชากลศาสตร์ควอนตัม ที่นักเรียนอา ได้ศกษาใน
ร ดับสงต่อไป
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
64 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับการแ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟาของวัตถุดา สมมติ านของพลังค์ แล ท ษ ีอ ตอม
ของโบร์ ากคาถามตรว สอบความเข้าใ 19.1 แล แบบ กหัด 19.1
2. ทักษ ด้านการสื่อสารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสื่อ ากการอ ิปรายร่วมกัน ทักษ การใช้
านวน ากการคานวณปริมาณต่าง เกี่ยวกับอ ตอมไ โดรเ นตามท ษ ีอ ตอมของโบร์
แล ทักษ ด้านความร่วมมือ การทางานเปนทีมแล าว ้นา ากการทากิ กรรมร่วมกัน
3. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความอยากร้อยากเห็น แล ความรอบคอบ ากการอ ิปรายแล การทา
กิ กรรมร่วมกัน
แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 19.1
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 65
เฉลยแบบฝึกหัด 19.1
3. งหาอัตราเร็วของอิเล็กตรอนในวงโค รที่ n
ke2
วิธีทำา คานวณอัตราเร็วของอิเล็กตรอน าก vn 2 แล rn = 0.529 × 10-10 m) n2
mrn
ke2
โดยแทนค่า vn 2 ke2
mrn
m 0.529 10 10 m n 2
ke2
10
m 0.529 10 m n2
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
66 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
k e
ดังนั้น vn
m 0.529 10 10
m n
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 67
n=3 n=3 l2
n=2 n=2
l1 l3
n=1 n=1
แบบที่หนึ่ง แบบที่สอง
แบบที่หน่ง าก n = 3 ไป n = 1 ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่น λ1
แบบที่สอง าก n = 3 ไป n = 2 ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่น λ2
แล n = 2 ไป n = 1 ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่น λ3
hc
าก E hf
hc
E
ในที่นี้ E คือพลังงานที่ถกปล่อย ากอ ตอม
ากรปแสดงร ดับพลังงานของไ โดรเ น พลังงานที่อ ตอมปลดปล่อย หาได้ดังนี้
าก n = 3 ไป n = 1 ปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีพลังงาน E3 − E1 โดย
19
21.76 10 J
En
n2 19 19
21.76 10 J 21.76 10 J
E3 E1
(3) 2 (1) 2
= 2.42 × 10-19 J − 21.76 × 10-19 J
= 19.34 × 10-19 J
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
68 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 69
แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 19.2 โดยนาอ ป
ิ รายเกีย่ วกับปราก ต่าง ของแสงทีแ่ สดงว่าแสงเปนคลืน
่ ากนัน
้
ชีแ้ งว่า มีปราก การณ์เกีย่ วกับแสงทีไ่ ม่สามารถอ บ
ิ ายด้วยความร้แสงเปนคลืน
่ ตามแนวคิดฟสิกส์แบบฉบับ
ซ่งนักเรียน ได้ศกษาในหัวข้อต่อไปนี้
19.2.1 ควอนตัมของแสงและโฟตอน
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
1. ความถี่ขีดเริ่มของแสงที่ใช้สาหรับการทา 1. ความถี่ขีดเริ่มของแสงที่ใช้สาหรับการทา
ให้เกิดโฟโตอิเล็กตรอน ไม่ข้นอย่กับชนิด ให้เกิดโฟโตอิเล็กตรอน ข้นอย่กบ
ั ชนิดของ
ของโลห แต่ข้นกับความเข้มแสง โลห แต่ไม่ข้นกับความเข้มแสง
4. านวนโฟโตอิเล็กตรอนแปร น
ั ตรงกับความ 4. านวนโฟโตอิเล็กตรอนแปร น
ั ตรงกับความ
ถี่ของแสง เข้มแสง
สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
สื่อเกี่ยวกับปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก เช่น http://physics.ipst.ac.th/?p=2023
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
70 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ของข้อที่ 4 หัวข้อ 19.2 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 19.2.1 โดยใช้รป 19.14 แล้วตัง้ คาถามว่า เมือ
่ ฉายแสงทีม
่ ค
ี วามถีเ่ หมา สมลงบน
วิ โลห เปนอย่างไร โดยเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบทีถ
่ กต้อง
ากนั้นครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า ตามรป 19.14 เปนปราก การณ์ที่แสงทาให้อิเล็กตรอนหลุด ากโลห
ซ่งเรียกว่า ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก แล อิเล็กตรอนทีห
่ ลุดออกมา เรียกว่า โฟโตอิเล็กตรอน โดย เกิด
โฟโตอิเล็กตรอนทันทีเมือ่ แสงมีความถีเ่ หมา สม แม้แสง มีความเข้มต่ามาก ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ซ่งครอา ใช้สื่ออื่น ถ้ามี ปร กอบการอ ิปราย
ากนั้นครตั้งคาถามว่า ากสมมติ านของพลังค์สามารถอ ิบายการแ ่ของวัตถุดา การแ ่ของ
แกสร้อน แล โครงสร้างของอ ตอมได้อย่างถกต้อง ในขณ ที่ฟสิกส์แบบฉบับไม่สามารถอ ิบายได้ นั้น
สมมติ านของพลังค์สามารถนามาอ บ
ิ ายการเกิดโฟโตอิเล็กทริกได้หรือ ไม่อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นกั เรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นครชี้แ งว่า การอ ิบายโฟโตอิเล็กทริก
ศกษาได้ในหัวข้อต่อไป
19.2.2 ฟงก์ชันงานและพลังจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
1. ความถีต
่ าสุ
่ ดของแสงทีใ่ ช้สาหรับทาให้เกิด 1. ความถีต
่ าสุ
่ ดของแสงทีใ่ ช้สาหรับทาให้เกิด
โฟโตอิเล็กตรอน ไม่ขน
้ อย่กบ
ั ชนิดของโลห โฟโตอิเล็กตรอน ข้นอย่กับชนิดของโลห
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ของข้อที่ 5 หัวข้อ 19.2 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 19.2.2 โดยให้นก
ั เรียนสืบค้นนักวิทยาศาสตร์ทา่ นใดสามารถอ บ
ิ ายปราก การณ์
โฟโตอิเล็กทริกแล ให้คาอ บ
ิ ายไว้อย่างไร ให้นก
ั เรียนนาเสนอ ลการสืบค้น แล้วครนาอ ป
ิ รายร่วมกัน โดย
ใช้รป 19.15 นสรุปได้วา่ ไอน์สไตน์ใช้สมมติ านควอนตัมพลังงานแสงของพลังค์ อ บ
ิ ายว่า แสงแสดงสมบัติ
เปนอนุ าค เรียกว่า ควอนตัมของแสง ซ่งต่อมาเรียกว่า โฟตอน โดยแต่ล โฟตอนมีพลังงานเท่ากับ hf
เมื่อโฟตอน 1 โฟตอน ตกกร ทบบน ิวโลห ถ่ายโอนพลังงานทั้งหมดให้กับอิเล็กตรอน 1 อิเล็กตรอน
ถ้าความถี่ของแสงที่ใช้มีค่าเท่ากับความถี่ขีดเริ่ม f0 ก็ เกิดโฟโตอิเล็กตรอนหลุดออก าก ิวโลห พอดี
แล พลังงานของโฟตอน เท่ากับฟงก์ชน
ั งานของโลห หากความถีข
่ องแสงทีใ่ ช้มค
ี า่ มากกว่าความถีข
่ ด
ี เริม
่
อิเล็กตรอนที่หลุด าก ิวโลห มีพลังงาน ลน์ตามสมการ 19.7 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 71
ากนัน
้ ครถามนักเรียนว่า ากสมการ 19.7b หากเปลีย่ นค่าความถีข
่ องแสงทีก
่ ร ทบโลห ใดโลห
หน่ง ได้กราฟความสัมพัน ์ร หว่างพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนกับความถี่แสงมีลักษณ
อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบทีถ่ กต้อง ากนัน
้ ครใช้รป
19.16 นานักเรียนอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ กราฟความสัมพัน ร์ หว่างพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
กับความถี่เปนกราฟเส้นตรงที่มีความชันเท่ากับค่าคงตัวของพลังค์ เมื่อเขียนกราฟของโลห ต่างชนิด
ความชันของกราฟ มีค่าเท่ากัน แต่ ได้ ุดตัดกราฟต่างกัน เปนความถี่ขีดเริ่มแล ฟงก์ชันงานของโลห
แต่ล ชนิด แล หาฟงก์ชันงานได้ตามสมการ 19.8 แล ให้นักเรียนศกษาฟงก์ชันงาน ตามรายล เอียด
ในหนังสือเรียน
ครอา ถามคาถามชวนคิดในหน้า 86 ให้นกั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกัน โดยเปดโอกาสให้นกั เรียนแสดงความ
คิดเห็นอย่างอิสร แล้วครนาอ ิปราย นได้แนวคาตอบดังนี้
แนวคำาตอบชวนคิด
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
72 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
ในวง รนี้ A ทาหน้าที่ ลักอิเล็กตรอน เนื่อง ากบริเวณร หว่างแ ่นโลห ขนาน A แล C มีสนาม
ไฟฟาทาให้เกิดแรงไฟฟากร ทาต่ออิเล็กตรอนในทิศทาง ากขั้วแอโนดไปขั้วแคโทด ดังรป 19.1
+ E
-
โฟโตอิเลกตรอน
F
C A
รูป 19.1 ทิศทางของสนามไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการต่อแหล่งกำาเนิดไฟฟ้า P
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 73
ครอา ให้ความร้เพิม
่ เติมกับนักเรียนเกีย่ วกับปราก การณ์คอมปตันตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ซ่งปราก การณ์นี้ สามารถอ ิบายได้ด้วยการชนแบบยืดหยุ่นร หว่างอนุ าคของแสงหรือโฟตอนกับ
อิเล็กตรอนในอ ตอมของแกรไฟต์ ซ่งเปนการยืนยันว่า คลื่นแสงสามารถแสดงพ ติกรรมของอนุ าคได้
ครนาอ ป
ิ รายได้ขอ
้ สรุปว่า ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก สามารถอ บ
ิ ายโดยใช้สมมติ านของพลังค์
โดยควอนตัมพลังงานของแสง หรือโฟตอน มีพลังงานเท่ากับ hf ดังนัน
้ คลืน
่ แสง งสามารถแสดงพ ติกรรม
ของอนุ าคได้
แนวการวัดและประเมินผล
1. พลังงานของโฟตอน ฟงก์ชันงาน แล พลังงาน ลน์สงสุดของอิเล็กตรอนที่หลุด าก ิวโลห ใน
ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก ากคาถามตรว สอบความเข้าใ 19.2 แล แบบ กหัด 19.2
2. ทักษ ด้านการสื่อสารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสื่อ ากการอ ิปรายร่วมกันแล การนาเสนอ
ล ทักษ การใช้ านวน ากการคานวณปริมาณต่าง เกี่ยวกับปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก
3. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความร่วมมือ การทางานเปนทีมแล าว ้นา ากการอ ิปรายร่วมกัน
แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 19.2
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
74 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
เฉลยแบบฝึกหัด 19.2
W = Wcu − Ek hf - W
max
= 4.8 eV − 2.4 eV
= 2.4 eV
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 75
Ek = 2.95hf - ×W10-19 J
max
3. ฉายแสงทีม
่ ค
ี วามถี่ 1.10 × 1015 เ ริ ตซ์ ไปที่ วิ โลห หน่ง ถ้าความถีข
่ ด
ี เริม
่ มีคา่ เปน 5.69 × 1014
เ ิรตซ์ งหา
ก. ฟงก์ชันงานของโลห นั้น
ข. พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
วิธีทำา ก. หาฟงก์ชันงาน ากสมการ W = hf0
ในที่นี้ h = 6.626 × 10-34 J s แล f0 = 5.69 × 1014 Hz
ได้ W = 6.626 × 10-34 J s 5.69 × 1014 Hz
W = 3.77 × 10-19 J
หรือ W = 2.36 eV
ฟงก์ชันงานของโลห นั้นมีค่าเท่ากับ 2.36 อิเล็กตรอนโวลต์
hf−-WW
ข. หาพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน ากสมการ Ek = hf
max
hf -×W10-19 J
Ek = 3.52
max
hf -eV
หรือ Ek = 2.20 W
max
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
76 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
4. แสงความยาวคลืน
่ 600 นาโนเมตร ตกกร ทบ วิ โพแทสซียมทีม
่ ฟ
ี งก์ชน
ั งาน 2.3 อิเล็กตรอนโวลต์
มีอเิ ล็กตรอนหลุดออกมาหรือไม่ ถ้ามี พลังงานของโฟโตอิเล็กตรอนเหล่านีม
้ ค
ี า่ เท่าใด แล ถ้าไม่มี
พลังงานทีต
่ อ
้ งเพิม
่ มีคา่ อย่างน้อยเท่าใด
วิธีทำา อิเล็กตรอน หลุด าก วิ โพแทสเซียมก็ตอ
่ เมือ
่ โฟตอนของแสงมีพลังงานมากกว่าฟงก์ชน
ั
hc
งานความยาวคลื่น 600 นาโนเมตร มีพลังงาน E hf
(6.626 10 34 J s)(3 108 m/s)
ได้ E
600 10 9 m
E 3.315 10 19 J
3.315 10 19 J
1.6 10 19 J/eV
= 2.07 eV
พลังงานของโฟตอนที่ตกกร ทบ ิวโพแทสเซียมมีค่าน้อยกว่าฟงก์ชันงาน
2.30 eV − 2.07 eV = 0.23 eV งไม่มีอิเล็กตรอนหลุดออกมา แล พลังงานที่ต้อง
เพิ่มมีค่าอย่างน้อยเท่ากับ 0.17 อิเล็กตรอนโวลต์
ตอบ ไม่มี พลังงานที่ต้องเพิ่มมีค่าอย่างน้อย 0.17 อิเล็กตรอนโวลต์์
Ek = 1.6
hf ×-W
10-19 J 3.7 V
max
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 77
19.3 ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายแล คานวณความยาวคลื่นเดอบรอยล์
2. อ ิบายทวิ าว ของคลื่นแล อนุ าค
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ของข้อที่ 6 แล 7 หัวข้อ 19.3 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 19.3.1 โดยนาอ ป
ิ รายเกีย่ วกับปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก ซ่งแสดงว่า คลืน
่ แสง
แสดงพ ติกรรมของอนุ าคได้ ากนัน
้ ตัง้ คาถามว่า อนุ าคสามารถแสดงพ ติกรรมของคลืน
่ ได้หรือไม่ โดย
เปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครนาอ ป
ิ รายว่า นสรุปว่า เดอ เบรย นักฟสิกส์ชาว รัง่ เศสได้เสนอสมมติ านว่า อนุ าค เช่น อิเล็กตรอน
สามารถแสดงสมบัติของคลื่นได้ โดยความสัมพัน ์ร หว่างความยาวคลื่นของอนุ าคกับโมเมนตัม เปนไป
ตามสมการ 19.10 ในหนังสือเรียน สมมติ านดังกล่าวเรียกว่าสมมติ านของเดอบรอยล์
ครนาอ ิปรายเกี่ยวกับการเลี้ยวเบนของคลื่น ่านช่องแคบที่แสดงว่า พ ติกรรมการเลี้ยวเบนของ
คลื่น ่านช่องแคบสังเกตได้ง่าย เมื่อความยาวคลื่นมีค่ามากกว่าหรือใกล้เคียงกับขนาดความกว้างของช่อง
แคบ แล นาอ ิปรายเกี่ยวกับการทดลองของเดวิสสันแล เ อเมอร์ นสรุปว่า อิเล็กตรอนแสดงสมบัติของ
คลืน
่ โดยการเลีย้ วเบน า่ นช่องว่างร หว่างอ ตอมใน ลกนิกเกิล ปราก เปนปราก ลวดลายการแทรกสอด
ในลักษณ คล้ายกับลวดลายการแทรกสอดของคลื่นแสง ตามรป 19.20 ในหนังสือเรียน ซ่งความยาวคลื่น
เดอบรอยล์ของอิเล็กตรอนในการทดลองนี้ ปร มาณ 0.364 นาโนเมตร มีคา่ ใกล้เคียงกับร ย ห่างร หว่าง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
78 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวคำาตอบชวนคิด
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 79
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หัวข้อ 19.3.2 โดยนาอ ิปรายเกี่ยวกับความร้ที่ได้ศกษา ่านมาในบทที่ 19 ากนั้นให้
นักเรียนสืบค้นปร วัติการค้นพบการทดลองแล แนวคิดใหม่ในการพั นากลศาสตร์ควอนตัม ครแล
นักเรียนร่วมกันอ ิปราย นได้ข้อสรุปตามแนวทางในหนังสือเรียน
ครให้นักเรียนศกษาการปร ยุกต์ความร้ด้านกลศาสตร์ควอนตัมในการพั นาเทคโนโลยีตามราย
ล เอียดในหนังสือเรียน ากนั้นครให้นักเรียนสืบคืนการปร ยุกต์ใช้ปร โยชน์ ากความร้ด้านกลศาสตร์
ควอนตัมในด้านต่าง ที่นอกเหนือ ากที่ได้ศีกษาในหนังสือเรียน มาสรุปเปนรายงานหรือนามาอ ิปราย
ร่วมกัน
ครตรว สอบความเข้าใ นักเรียนโดยให้นก
ั เรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ 19.3 ข้อ 5 ทัง้ นี้
อา มีการเฉลยคาตอบแล อ ิปรายคาตอบร่วมกัน
แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับสมมติ านของเดอบรอยล์ ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ แล ทวิ าว ของคลื่น
แล อนุ าค ากคาถามตรว สอบความเข้าใ 19.3 แล แบบ กหัด 19.3
2. ทักษ การใช้ านวน ากการคานวณปริมาณต่าง เกีย่ วกับความยาวคลืน
่ เดอบรอยล์ ทักษ ด้าน
การสือ่ สารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสือ่ ากการอ ป
ิ รายร่วมกันแล การนาเสนอ ล แล ทักษ
ด้านความร่วมมือ การทางานเปนทีมแล าว ้นา ากการอ ิปรายร่วมกัน
3. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความอยากร้อยากเห็น ากการอ ิปรายร่วมกัน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
80 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 19.3
1. ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ข้นอย่กับปริมาณใด
แนวคำาตอบ โมเมนตัมเชิงเส้น
2. วัตถุขนาดใหญ่ที่เราพบเห็นในชีวิตปร าวัน แสดงสมบัติคลื่นให้สังเกตได้หรือไม่ อ ิบาย
แนวคำ า ตอบ วั ต ถุ ข นาดใหญ่ ข ณ เคลื่ อ นที่ ส ามารถปร พ ติ ตั ว เสมื อ นเปนคลื่ น ได้ ตาม
สมมติ านของเดอบรอยล์ แต่คลื่นที่เกิดข้นสังเกตได้ยาก เพรา มีความยาวคลื่นเดอบรอยล์
น้อยมาก นไม่อา วัดได้ด้วยเครื่องมือใด ที่มนุษย์สร้างข้นขณ นี้
3. ตามสมมติ านของเดอบรอยล์ อิเล็กตรอนเปนอนุ าคทีม
่ ป
ี ร แุ ล กาลังเคลือ
่ นทีส่ ามารถแสดง
สมบัติเปนคลื่นได้ กรณีนิวตรอนซ่งเปนอนุ าคที่ไม่มีปร ุแล กาลังเคลื่อนที่ แสดงสมบัติ
เปนคลื่นได้หรือไม่ เพรา เหตุใด
แนวคำาตอบ นิวตรอนที่กาลังเคลื่อนที่สามารถแสดงสมบัติเปนคลื่นได้ แล แสดงปราก การณ์
การเลี้ยวเบนแล การแทรกสอดได้
4. อิเล็กตรอนสามารถแสดงสมบัติความเปนคลื่นหรืออนุ าคได้พร้อมกัน หรือไม่ อ ิบาย
แนวคำาตอบ อิเล็กตรอนไม่สามารถแสดงสมบัตค
ิ วามเปนคลืน
่ หรืออนุ าคได้พร้อม กัน เนือ
่ ง
ากปราก การณ์ต่าง ในอ ตอม อิเล็กตรอน แสดงสมบัติท่เี ด่นชัดว่าเปนคลื่นหรืออนุ าค
เพียงอย่างใดอย่างหน่งเท่านัน
้ ซ่งเราสามารถบอกได้วา่ อิเล็กตรอนเปนคลืน
่ หรืออนุ าคเมือ
่ มีการ
ทดลองให้อเิ ล็กตรอนแสดงพ ติกรรมออกมาเท่านัน
้
5. งยกตัวอย่างการปร ยุกต์ความร้ทางกลศาสตร์ควอนตัมในการนามาใช้ปร โยชน์ 2 ข้อ
แนวคำาตอบ การปร ดิษ ์ตัวนายวดยิ่ง superconductor ซ่งเปนสารที่ มีส าพต้านทาน
ไฟฟาเปนศนย์ เ มื่อ มี อุณ ห มิ ต่ากว่ า ค่ า หน่ ง โดยใช้ ก ลศาสตร์ ค วอนตั ม ในการอ ิ บ าย แล
เทคโนโลยีสารสนเทศควอนตัม Quantum Information Technology เปนการนาสมบัตเิ ชิง
ควอนตัมของอนุ าคตามหลักกลศาสตร์ควอนตัมมาปร ยุกต์เข้ากับการพั นาการใช้งานทางด้าน
เทคโนโลยีสารสนเทศให้มค
ี วามรวดเร็วแล ปลอด ยั มากยิง่ ข้น
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 81
เฉลยแบบฝึกหัด 19.3
1. โปรตอนทีม
่ ม
ี วล 1.67 × 10-27 กิโลกรัม แล กาลังเคลือ่ นทีด
่ ว้ ยอัตราเร็ว 5.00 × 107 เมตรต่อวินาที
มีความยาวคลื่นเดอบรอยล์เท่าใด
h
วิธีทำา ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของอนุ าค หาได้ ากความสัมพัน ์ แล p = mv
h p
ได้ โดย h = 6.626 × 10-34 J s , m = 1.67 × 10-27 kg
mv
แล v = 5.00 × 107 m/s
6.626 10 34 Js
ดังนั้น
(1.67 10 27 kg)(5.00 10 7 m/s)
λ = 7.94 × 10-15 m
ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของโปรตอนเท่ากับ 7.94 × 10-15 เมตร
ตอบ 7.94 × 10-15 เมตร
2. รถแข่งทีม
่ ม
ี วล รวม ข
้ บ
ั 650 กิโลกรัม ขณ กาลังเคลือ
่ นทีด
่ ว้ ยอัตราเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง
มีความยาวคลื่นเดอบรอยล์เท่าใด
h
วิธีทำา ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของอนุ าค หาได้ ากความสัมพัน ์ แล p = mv
h p
ได้ โดย h = 6.626 × 10-34 J s แล m = 650 kg
mv
แล v = 300 km/hr = 83.3 m/s
6.626 10 34 Js
ดังนั้น
(650 kg) 83.3m/s
λ = 1.22 × 10-38 m
ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของรถแข่งเท่ากับ 1.22 × 10-38 เมตร
ตอบ 1.22 × 10-38 เมตร
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
82 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
= 5.1 × 10-6 kg
m = 5.1 mg
ยุงตัวนีม
้ ม
ี วล 5.1 มิลลิกรัม
ตอบ 5.1 มิลลิกรัม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 83
เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 19
คำาถาม
เลขควอนตัม n
n=4
n=3
n=2
n=1
รูป ประกอบคำาถามข้อ 2
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
84 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
ไปยัง n = 1 ดังรป
เลขควอนตัม n
n=4
n=3
n=2
n=1
4. แสงที่ มี ค วามถี่ แ ล ความเข้ ม ค่ า หน่ ง ตกกร ทบ ิ ว โลห ชนิ ด หน่ ง เกิ ด โฟโตอิ เ ล็ ก ตรอน
หลุดออกมา เมื่อเพิ่มความถี่ของแสง ข้อใดต่อไปนี้ถกต้อง เพรา เหตุใด
ก. านวนโฟโตอิเล็กตรอนเพิ่มข้น
ข. พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนเพิ่มข้น
ค. ทั้ง านวนแล พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนเพิ่มข้น
แนวคำาตอบ ข้อ ข. ถกต้อง เพรา พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนสาหรับ ิวโลห ชนิด
หน่ง ข้นกับความถี่ของแสงที่ตกกร ทบตามสมการ Ek hf - W
max
5. แสงที่ มี ค วามถี่ แ ล ความเข้ ม ค่ า หน่ ง ตกกร ทบ ิ ว โลห ชนิ ด หน่ ง เกิ ด โฟโตอิ เ ล็ ก ตรอน
หลุดออกมา เมื่อเพิ่มความเข้มของแสง ข้อใดต่อไปนี้ถกต้อง เพรา เหตุใด
ก. านวนโฟโตอิเล็กตรอนเพิ่มข้น
ข. พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนเพิ่มข้น
ค. ทั้ง านวนแล พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนเพิ่มข้น
แนวคำาตอบ ข้อ ก. ถกต้อง เพรา านวนโฟโตอิเล็กตรอนข้นอย่กับความเข้มแสงที่ตกกร ทบ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 85
มี ลต่อ านวนโฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมา
9. อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ในสนามไฟฟา ดังรป
ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของอิเล็กตรอนมี
การเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร
รูป ประกอบคำาถามข้อ 9
แนวคำาตอบ มีการเปลี่ยนแปลง โดยความยาวคลื่นเดอบรอยล์ มีค่ามากข้น เพรา อัตราเร็ว
ของอิเล็กตรอนมีคา่ ลดลง ในขณ ทีอ่ เิ ล็กตรอนยังคงเคลือ่ นทีใ่ นทิศดังรป โดยมวลของอิเล็กตรอน
ไม่เปลีย่ นแปลง ดังนัน
้ ความยาวคลืน
่ เดอบรอยล์ของอิเล็กตรอนนี้ งมีการเปลีย่ นแปลง โดยมีคา่
h
มากข้น ตามสมการ
mv
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
86 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
ปญหา
1. ถ้าควอนตัมของพลังงานของแสงทีต
่ ามองเห็นได้มพ
ี ลังงาน 3.62 × 10-19 ล แสงทีเ่ ห็นนีม
้ สี อ
ี ไร
วิธีทำา ควอนตัมของพลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟาหรือโฟตอน มีควอนตัมของพลังงานตาม
hc
สมการ hf
hc
ในที่นี้ = hf
3.62 × 10-19 J , h = 6.626 × 10-34 Js แล c = 3 × 108 m/s
34
(6.626 10 J s)(3 108 m/s)
ได้ 3.62 10 19
J
549 10 9 m
549 nm
ความยาวคลื่นนี้อย่ในช่วงของแสงสีเขียว
ตอบ แสงสีเขียว
-2.00 eV E3
-4.00 eV E2
-5.00 eV E1
รูป ประกอบปญหาข้อ 2
เมื่อถกกร ตุ้นแล้ว ปลดปล่อยพลังงานออกมา ทาให้เกิดสเปกตรัมแบบเส้น านวน 3 เส้น
งร บุค่าความยาวคลื่นของสเปกตรัมทั้งสามเส้น
วิธีทำา ากแ น าพร ดับพลังงานของอ ตอม อ ตอมที่ถกกร ตุ้น สามารถปล่อยโฟตอนที่มี
พลังงาน 1.00 อิเล็กตรอนโวลต์ 2.00 อิเล็กตรอนโวลต์ แล 3.00 อิเล็กตรอนโวลต์ ซ่ง
เปล่งออกมาเมื่ออิเล็กตรอนในอ ตอมกลับส่สถาน พื้น ทาให้เกิดเส้นสเปกตรัมทั้งหมด
3 เส้น ดังรป
-2.00 eV E3
-4.00 eV E2
-5.00 eV E1
รูป ประกอบวิธีทำาสำาหรับปญหาข้อ 2
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 87
hc
ความยาวคลื่นสเปกตรัมหาได้ ากสมการ hf
โฟตอนที่มีพลังงาน 1.00 อิเล็กตรอนโวลต์ เมื่อคานวณความยาวคลื่น
34
(6.626 10 J s)(3 108 m/s)
ได้ 1.00 1.6 10 19
J
1.24 10 6 m
1.24 μm
โฟตอนที่มีพลังงาน 2.00 อิเล็กตรอนโวลต์ เมื่อคานวณความยาวคลื่น
(6.626 10 34 J s)(3 108 m/s)
ได้ 2.00 1.6 10 19 J
621 10 9 m
621 nm
โฟตอนที่มีพลังงาน 3.00 อิเล็กตรอนโวลต์ เมื่อคานวณความยาวคลื่น
(6.626 10 34 J s)(3 108 m/s)
ได้ 3.00 1.6 10 19 J
414 10 9 m
414 nm
ตอบ ความยาวคลื่นของสเปกตรัมทั้งสามเส้นมีค่า 1.24 ไมโครเมตร 621 นาโนเมตร แล
414 นาโนเมตร ตามลาดับ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
88 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
-2.00 eV E3
-4.00 eV E2
-5.00 eV E1
ถ้าต้องการกร ตุน
้ อ ตอมนี้ ากสถาน พืน
้ ไปยังสถาน ถกกร ตุน
้ ต้องใช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ที่มีความยาวคลื่นเท่าใด
วิธีทาำ ากแ น าพร ดับพลังงานของอ ตอม ถ้าต้องการกร ตุน
้ อ ตอมนี้ ากสถาน พืน
้ ให้อย่
ในร ดับพลังงาน E2 แล E3 ต้องใช้พลังงาน 1.00 อิเล็กตรอนโวลต์ แล 3.00
อิเล็กตรอนโวลต์ ตามลาดับ ซ่งได้รับพลังงาน ากคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่น
เท่ากับ 1242 nm แล 414 nm ตามลาดับ
hc (6.626 10 34 Js)(3 10 8m/s)
1242 nm
1.00 1.60 10 19 J
hc (6.626 10 34 Js)(3 10 8m/s)
แล 414 nm ตามลาดับ
3.00 1.60 10 19 J
-2.00 eV E3
-4.00 eV E2
-5.00 eV E1
รูป ประกอบวิธีสำาหรับปญหาข้อ 4
วิธีทาำ คานวณความยาวคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาทีแ่ อ
่ อกมา โดยใช้สมการ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 89
0.97547
0.97547
เครื่องหมายเปนลบหมายถงการดดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟา แล คานวณหาความถี่ าก
c
f
3 108 m/s
f
102.52 10 9 m
2.9263 1015 Hz
เมื่ออ ตอมเปลี่ยน ากร ดับพลังงาน าก ni = 6 ไปยัง nf = 3
0.97547
เครื่องหมายเปนบวกหมายถงการเปล่งคลื่นแม่ เหล็กไฟฟา แล คานวณหาความถี่ าก
c
f
3 108 m/s
f
1093.5 10 9 m
0.27435 1015 Hz
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
90 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
ตอบ เมือ
่ อ ตอมเปลีย่ นร ดับพลังงาน าก n = 1 ไปยัง n = 3 ดดกลืนคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ความถี่ 2.9263 × 1015 เ ิรตซ์
เมื่ออ ตอมเปลี่ยนร ดับพลังงาน าก n = 6 ไปยัง n = 3 เปล่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
ความถี่ 0.27435 × 1015 เ ิรตซ์
6. ฉายแสงทีม
่ ค
ี วามยาวคลืน
่ 2.5 × 10-7 เมตร ตกบน วิ ซีเซียมทีม
่ ฟ
ี งก์ชน
ั งาน 2.1 อิเล็กตรอนโวลต์
โฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมามีพลังงาน ลน์สงสุดเท่าใด
hc
วิธีทำา หาพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน ากสมการ Ekmax hf W W
hc
Ekmax W
34
3.0 108 m/s 19
6.626 10 J s 7
2.1 eV 1.60 10 J/eV
2.5 10 m
(7.9512 10 J) (3.3600 10 19 J)
19
4.5912 10 19 J
4.5912 10 19 J
1.60 10 19 J/eV
2.8695 eV
ตอบ พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนเท่ากับ 4.6 × 10-19 ล
หรือเท่ากับ 2.9 อิเล็กตรอนโวลต์
น พล น
f( )
รูป ประกอบปญหาข้อ 7
ลการทดลองนี้ถกต้องหรือไม่ เพรา เหตุใด
วิธีทำา ากสมการโฟโตอิเล็กทริก เมือ
่ เขียนความสัมพัน ร์ หว่างความต่างศักย์หยุดยัง้ กับความถี่
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 91
hW
ของคลื่นแสง ได้ว่า Vs f
e e
h W
แสดงให้เห็นว่าความชันของกราฟแต่ล เส้นVมีs ค่า เท่
f ากัน
e e
ดังนั้น กราฟในโ ทย์ งไม่ถกต้อง เพรา กราฟแต่ล เส้นมีความชันไม่เท่ากัน
ตอบ ไม่ถกต้อง เพรา ความชันของกราฟแต่ล เส้นมีคา่ ไม่เท่ากัน
Vs (โ ล )
A B C
f ( 1015 )
0.25 0.50 1.00
-1.0 V
-2.1 V
-4.1 V
รูป ประกอบวิธีทำาสำาหรับปญหาข้อ 8 ข.
ตอบ ก. 0.25 × 1015 เ ิรตซ์ 0.50 × 1015 เ ิรตซ์ 1.00 × 1015 เ ิรตซ์ ตามลาดับ
ข. กราฟร หว่างความต่างศักย์หยุดยั้งกับความถี่ของโฟตอน ดังรปปร กอบวิ ีทา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 93
19
1.6 10 19 J/eV
E 3.38eV
เมื่อพิ ารณา ากตารางฟงก์ชันงานของแต่ล าตุ พบว่าพลังงานของโฟตอนมากกว่า
ฟงก์ชันงานของแบเรียมเพียง าตุเดียว ดังนั้น าตุที่เกิดปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริกได้
คือ แบเรียม
ตอบ แบเรียม
600 10 9 m 2
หาค่า vmax ได้ vmax = 6.97 × 105 m/s
hc
หาความต่างศักย์หยุดยั้ง าก W eVs
เมื่อแทนค่า ได้
(6.626 10 34 Js)(3.00 108 m/s) 19 19
(1.10 10 J) (1.60 10 C) VS
600 10 9 m
หาค่า Vs ได้ Vs = 1.38 V
ตอบ ความเร็วสงสุดเท่ากับ 6.97 × 105 เมตรต่อวินาที แล ความต่างศักย์หยุดยั้งเท่ากับ
1.38 โวลต์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
94 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 95
ตอบ ก. ความถีข
่ ด
ี เริม
่ ของโลห เท่ากับ 5.0 × 1014 เ ริ ตซ์
ข. 1 คลืน
่ ทีม
่ ค
ี วามยาวคลืน
่ 5.0 × 10-7 เมตร นี้ เมือ
่ กร ทบโลห เกิดปราก การณ์
โฟโตอิเล็กทริกได้
2 คลืน
่ ทีม
่ ค
ี วามถี่ 4.0 × 1014 เ ริ ตซ์ ต่ากว่าความถีข
่ ด
ี เริม
่ เมือ
่ กร ทบโลห ไม่เกิด
ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
96 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
ได้
6.626 10 34 J.s
p
0.20 10 9 m
p = 3.31 × 10-24 kg m/s
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 97
h
พลังงานของโฟตอนหาได้ าก E c เมื่อ c เปนอัตราเร็วของแสง
ในที่นี้ p = 3.31 × 10-24 kg m/s แล c = 3 × 108 m/s
34
6.626 10 kg m/s
ได้ E 9
3 108 m/s
(0.2 10 m)
= 9.94 × 10-16 J
หรือ E = 6.2 keV
พลังงานของโฟตอนมีค่า 6.2 กิโลอิเล็กตรอนโวลต์
p2
พลังงานของอิเล็กตรอนหาได้ ากสมการ E เมื่อ m เปนมวลของอิเล็กตรอน
2m
ในที่นี้ p = 3.31 × 10-24 kg m/s แล m = 9.11 × 10-31 kg
24 2
3.31 10 kg m/s
ได้ E
2 9.11 10 31 kg
= 6.01 × 10-18 J
หรือ E = 37.6 eV
พลังงานของอิเล็กตรอนมีค่า 37.6 อิเล็กตรอนโวลต์
ตอบ โฟตอนแล อิเล็กตรอนมีโมเมนตัม 3.31 × 10-24 กิโลกรัมเมตรต่อวินาที
โฟตอนมีพลังงาน 6.2 กิโลอิเล็กตรอนโวลต์ อิเล็กตรอนมีพลังงาน 37.6 อิเล็กตรอนโวลต์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
98 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
ควอนตัมของพลังงานของอินฟราเรดทีร่ า่ งกายมนุษย์สามารถแ อ
่ อกมามีพลังงานเท่ากับ
2.13 × 10-20 ล หรือ 0.133 อิเล็กตรอนโวลต์
ตอบ 2.13 × 10-20 ล หรือ 0.133 อิเล็กตรอนโวลต์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 99
ปญหาท้าทาย
ได้ hf
hf = 9.28 × 10-19 J
เมื่อ I เปนพลังงานของรังสีอัลตราไวโอเลตที่ตกกร ทบตั้งฉากกับ ิวโลห ต่อหน่ง
E
หน่วยพื้นที่ต่อหน่งหน่วยเวลาหาได้ ากสมการ I
tA
ได้ E = ItA
ในที่นี้ I = 0.0500 W/m2 t = 1 s แล A = 1 cm2 = 10-4 cm2
ได้ E = (0.0500 W/m2)(1s)(10-4 m2)
E = 5.00 × 10-6 J
เมื่อ E เปนพลังงานทั้งหมดของรังสีอัลตราไวโอเลตที่ตกกร ทบตั้งฉากกับ ิวโลห
ากสมการ E = nhf
ในที่นี้ E = 5.00 × 10-6 J แล hf = 9.28 × 10-3 J
ได้ 5.00 × 10-6 J = n 9.28 × 10-3 J)
n = 5.39 × 1012
านวนอิเล็กตรอนที่หลุดออกมา ากพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตรทุก 1 วินาที เท่ากับ
5.39 × 1012 อนุ าค
ตอบ 5.39 × 1012 อนุ าค
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
100 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
21. โฟตอนความยาวคลื่น 320 นาโนเมตร ตกกร ทบ ิ ว โพแทสซี ย มที่มีฟงก์ ชัน งาน 2.30
อิเล็กตรอนโวลต์ มีอเิ ล็กตรอนหลุดออกมาหรือไม่ ถ้ามี พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
มีคา่ เท่าใด แล ถ้าไม่มีพลังงานที่ต้องเพิ่มมีค่าเท่าใด
แนวคิด อิเล็กตรอน หลุด าก วิ โพแทสเซียมก็ตอ่ เมือ่ โฟตอนของแสงทีไ่ ปตกกร ทบมีพลังงาน
เท่ากับหรือมากกว่าฟงก์ชันงานของโพแทสเซียม
hc
โฟตอนความยาวคลื่น 320 นาโนเมตร มีพลังงานตามสมการ E hf
ในที่นี้ h = 6.626 × 10-34 Js c = 3 × 108 m/s แล = 320 × 10-9 m
(6.626 10 34 J s)(3 108 m/s)
ได้ E
320 10 9 m
E = 6.212 × 10-19 J
หรือ E = 3.88 eV
พลังงานของโฟตอนที่ตกกร ทบ ิวโพแทสเซียมมีค่ามากกว่าฟงก์ชันงาน
3.88 eV − 2.30 eV = 1.58 eV งมีอิเล็กตรอนหลุดออกมา โดยมีพลังงาน ลน์
สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนมีค่าเท่ากับ 1.58 อิเล็กตรอนโวลต์
ตอบ 1.58 อิเล็กตรอนโวลต์
เมือ
่ โฟตอนพลังงาน 3.6 × 10-19 ล ตกกร ทบแ น
่ โลห มีอเิ ล็กตรอนหลุดออกมาหรือไม่
วิธีทำา อิเล็กตรอน หลุด าก วิ โลห เมือ่ พลังงานของแสงทีไ่ ปตกกร ทบมีคา่ มากกว่าฟงก์ชน
ั งาน
ากสมการ E = hf − W
eVs = hf − W
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 101
h Wh W
ากสมการ Vs Vfs โดยf เปนร ย ตัดแกนตั้ง
e ee e
h W
Vากกราฟ
s fได้ = 2.5 V
e e
ได้ ฟงก์ชันงาน W = e (2.5 V) = (1.6 v C)(2.5 V) = 4.0 × 10-19 J
เห็นว่า พลังงานโฟตอนมีคา่ น้อยกว่าฟงก์ชน
ั งาน ดังนัน
้ งไม่มอ
ี เิ ล็กตรอนหลุดออกมา
ตอบ ไม่มีอิเล็กตรอนหลุดออกมา
ก. ข.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
102 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
ข. ากสมการโฟโตอิเล็กทริก
E = hf − W
เมือ
่ เขียนกราฟความสัมพัน ร์ หว่างพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน แล
ความถี่ พบว่าความชัน มีคา่ เท่ากับ h เช่นเดิม สาหรับ ด
ุ ตัดแกน x พิ ารณา
เมื่อ
E = 0
หรือ
0 = hf0 − W
W
f0
h
ุดตัดแกน x งมีค่าเท่ากับฟงก์ชันงานของโลห นั้น
ถ้าเคลือบ ิวโลห เดิมด้วยโลห ใหม่ที่มีฟงก์ชันงานเปน 2 เท่าของโลห เดิม
Wnew = 2W ดังนั้น f = 2f0 ุดตัดแกน x ของเส้นกราฟที่ถกต้องในรป ข.
มีค่าเปน 2 เท่าของ ุดตัดแกน x ในรป ก. คาตอบ งเปนเส้นกราฟที่ 3
ตอบ ก. เส้นที่ 2 เพรา พลังงาน ลน์สงสุดข้นอย่กบ ั ความถีข
่ องแสงไม่ได้ขน
้ กับความเข้มแสง
ข. เส้นที่ 3 เพรา กราฟเส้น 3 มีฟงก์ชน ั งานเปน 2 เท่าของกราฟในรป ก แล มีความถี่
ขีดเริม
่ เปน 2 เท่าของกราฟในรป ก ด้วย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 103
Vs (V)
3.0
2.5
2.0
1.5
3.0 V
1.0
0.5
0 f ( x1014 Hz)
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13
-0.5 14
8.0 x 10 Hz
-1.0
-1.5
-2.0
ข. าก eVs + W = hf
W hf
Vs
e e
h hf W
ได้ว่า ความชัน = แล ุดตัดแกน Vs y =
e e e
ากรป กราฟตัดแกนนอนที่ 4.0 × 10 Hz ดังนั้น ความถี่ขีดเริ่ม f0 = 4.0 × 1014 Hz
14
3.0V
ากรป ความชันของเส้นกราฟ 14
3.75 10 -15 Vs
8.0 10 Hz
h
แต่ความชันของกราฟ = = 3.75 × 10-15 Vs
e
ได้ h = 3.75 × 10-15 Vs 1.60 × 10-19 C = 6.0 × 10-34 Js
hf W
ากรป กราฟตัดแกนตั้งที่ – 1.5 V Vs ดังนั้น = −1.5 V
e e
ได้ W = 1.5V 1.60 × 10-19 C = 2.4 × 10-19 J = 1.5 eV
ตอบ ความถีข
่ ด
ี เริม
่ ค่าคงตัวพลังค์แล ฟงก์ชนั งานมีคา่ ปร มาณ 4.0 × 1014 เ ริ ตซ์ ,
6.0 × 10-34 ลวินาที แล 2.4 × 10-19 ล หรือ 1.5 อิเล็กตรอนโวลต์ ตามลาดับ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
104 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 105
h
หรือวิ เี ปรียบเทียบความยาวคลืน
่ ากสมการ p 2mE
2 k
p
แล Ek = qV
เนื่อง ากทั้งอิเล็กตรอนแล ไ โดรเ นมีขนาดปร ุเท่ากัน แล เคลื่อนที่ ่าน
ความต่างศักย์ไฟฟา V เท่ากัน งมีพลังงาน ลน์เท่ากัน เมื่อ ัดรป
e h / pe
H h / pH
pH
pe
2mH Ek
2me Ek
mH
me
แทนค่า ได้
e 1.67 10 27 kg
H 9.11 10 31 kg
42.8
e 42.8 H
ตอบ ความยาวคลืน
่ เดอบรอยล์ของอิเล็กตรอนมีคา่ ปร มาณ 42.8 เท่าของความยาวคลืน
่
เดอบรอยล์ ของนิวเคลียสไ โดรเ น
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
106 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
20
บทที่ ฟิสก
ิ ส์นวิ เคลียร์และฟิสก
ิ ส์อนุภาค
ipst.me/11456
ผลการเรียนรู้
1. อ บ
ิ ายแรงนิวเคลียร์ เสถียร าพของนิวเคลียส แล พลังงานยดเหนีย่ ว รวมทัง้ คานวณปริมาณต่าง
ที่เกี่ยวข้อง
2. อ ิบายกัมมันต าพรังสีแล ความแตกต่างของรังสีแอลฟา บีตาแล แกมมา
3. อ บ
ิ าย แล คานวณกัมมันต าพของนิวเคลียสกัมมันตรังสี รวมทัง้ ทดลอง อ บ
ิ าย แล คานวณ
านวนนิวเคลียสกัมมันต าพรังสีที่เหลือ ากการสลาย แล คร่งชีวิต
4. อ ิบายป ิกิริยานิวเคลียร์ ฟชชัน แล ฟวชัน รวมทั้งคานวณพลังงานนิวเคลียร์
5. อ บ
ิ ายปร โยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์ แล รังสี รวมทัง้ อันตรายแล การปองกันรังสีในด้านต่าง
6. อ ิบายการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค แบบ าลองมาตร าน แล การใช้ปร โยชน์ ากการ
ค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าคในด้านต่าง
การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้
ผลการเรียนรู้
1. อ บ
ิ ายแรงนิวเคลียร์ เสถียร าพของนิวเคลียส แล พลังงานยดเหนีย่ ว รวมทัง้ คานวณปริมาณต่าง
ที่เกี่ยวข้อง
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบาย รรมชาติของแรงนิวเคลียร์
2. อ ิบายความสัมพัน ์ร หว่างแรงนิวเคลียร์กับเสถียร าพของนิวเคลียส
3. อ ิบายความสัมพัน ์ร หว่างพลังงานยดเหนี่ยวกับส่วนพร่องมวล
4. คานวณพลังงานยดเหนี่ยวแล พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน
5. อ ิบายความสัมพัน ์ร หว่างพลังงานยดเหนี่ยวกับเสถียร าพของนิวเคลียส
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 107
ผลการเรียนรู้
2. อ ิบายกัมมันต าพรังสีแล ความแตกต่างของรังสีแอลฟา บีตาแล แกมมา
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายของกัมมันต าพรังสี าตุกัมมันตรังสี แล ไอโซโทปกัมมันตรังสี
2. ร บุชนิดแล บอกสมบัติของรังสีที่แ ่ออกมา าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสี
3. เขียนสมการของการสลายให้รังสีแอลฟา บีตา แล แกมมา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
108 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ผลการเรียนรู้
3. อ บ
ิ าย แล คานวณกัมมันต าพของนิวเคลียสกัมมันตรังสี รวมทัง้ ทดลอง อ บ
ิ าย แล คานวณ
านวนนิวเคลียสกัมมันต าพรังสีที่เหลือ ากการสลาย แล คร่งชีวิต
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายแล คานวณกัมมันต าพ
2. ทดลองเพื่ออ ิบายการสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีแล คร่งชีวิต
3. คานวณ านวนนิวเคลียสกัมมันตรังสีที่เหลือ ากการสลายแล คร่งชีวิต
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 109
ผลการเรียนรู้
4. อ ิบายป ิกิริยานิวเคลียร์ ฟชชัน แล ฟวชัน รวมทั้งคานวณพลังงานนิวเคลียร์
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายของป ิกิริยานิวเคลียร์
2. อ ิบายฟชชันแล ความสัมพัน ์ร หว่างมวลกับพลังงานที่ปลดปล่อยออกมา ากฟชชัน
3. คานวณพลังงานนิวเคลียร์ที่ปลดปล่อยออก ากฟชชัน
4. อ ิบายฟวชันแล ความสัมพัน ์ร หว่างมวลกับพลังงานที่ปลดปล่อยออกมา ากฟวชัน
5. คานวณพลังงานนิวเคลียร์ที่ปลดปล่อยออก ากฟวชัน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
110 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ผลการเรียนรู้
5. อ ิบายปร โยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์ แล รังสี รวมทั้ง อันตรายแล การปองกันรังสีในด้าน
ต่าง
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกแนวทางการนาพลังงานนิวเคลียร์ไปใช้ปร โยชน์
2. ยกตัวอย่างการนารังสีไปใช้ปร โยชน์ในด้านต่าง
3. ยกตัวอย่างอันตราย ากรังสีที่มีต่อร่างกาย
4. บอกวิ ีการปองกันอันตราย ากรังสี
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 111
ผลการเรียนรู้
6. อ บ
ิ ายการค้นคว้าวิ ยั ด้านฟสิกส์อนุ าค แบบ าลองมาตร าน แล การใช้ปร โยชน์ ากการค้น
คว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าคในด้านต่าง
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ยกตัวอย่างการค้นคว้าวิ ัยที่ค้นพบอนุ าคมล าน
2. ร บุชนิดแล สมบัติของอนุ าคมล าน
3. อ ิบายพ ติกรรมแล อันตรกิริยาของอนุ าคมล านโดยอาศัยแบบ าลองมาตร าน
4. ยกตัวอย่างปร โยชน์ที่ได้ ากการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
112 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ผังมโนทัศน์ ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค
ฟิสก
ิ ส์นวิ เคลียร์ ฟิสก
ิ ส์อนุภาค
เกีย
่ วข้องกับ
การค้นพบรังสี เกีย
่ วข้องกับ
เสถียรภาพของนิวเคลียส
จากผลึกแร่
การค้นคว้าวิจย
ั ด้านฟิสก
ิ ส์อนุภาค
ความสัมพันธ์ระหว่าง นําไปสูก
่ ารค้นพบ
มวลและพลังงาน
อนุภาคและปฏิยานุภาค
พลังงานยึดเหนีย
่ ว กัมมันตภาพรังสี มีซอนและ
ของนิวคลีออน มิวออน นิวทริโน ควาร์ก
ขึน
้ กับ เกีย
่ วข้องกับ
แสดงได้ดว้ ย นําไปสู่
พลังงานยึดเหนีย
่ ว การสลายของ
ต่อนิวคลีออน นิวเคลียสกัมมันตรังสี แบบจําลองมาตรฐาน
นําไปอธิบาย เกีย
่ วข้องกับ
สมการการสลาย
นําไปอธิบาย
และคํานวณ
การใช้ประโยชน์ อันตรายจาก
กัมมันตภาพและ อนุภาค
จากรังสี รังสีและ
จํานวนนิวเคลียสที่ สสาร
การป้องกัน
เหลือจากการสลาย
อนุภาค
นําไปอธิบาย สือ
่ แรง
และคํานวณ
ครึง่ ชีวิต
นําไป อนุภาค
ฮิกส์โบซอน
อธิบาย คํานวณ
ปฏิกริ ย
ิ านิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์
นําไปสู่
ฟิชชัน และ ฟิวชัน
การใช้ประโยชน์จากฟิสก
ิ ส์อนุภาค
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 113
สรุปแนวความคิดสำาคัญ
ายในนิ ว เคลี ย สปร กอบด้ ว ยโปรตอนซ่ ง มี ป ร ุ บ วกแล นิ ว ตรอนซ่ ง เปนกลางทางไฟฟา
เรียกอนุ าคทั้งสองว่า นิวคลีออน nucleon การที่นิวคลีออนอย่รวมกันได้ในนิวเคลียสเนื่อง ากมี
แรงนิวเคลียร์ nuclear force ซ่งมีคา่ มากกว่าแรง ลักทางไฟฟายดเหนีย่ วนิวคลีออนไว้ แรงนิวเคลียร์เปน
แรงดงดดทีส่ ง่ ลเฉพา ในร ย ใกล้มาก ไม่ขน
้ กับปร แุ ล มวลของนิวคลีออน การทีน
่ วิ เคลียสของ าตุแล
ไอโซโทปของ าตุหลายชนิดมีเสถียร าพหรือไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลา เนื่อง ากมีแรงนิวเคลียร์ที่มากพอ
การทาให้นวิ คลีออนแยกออก ากกัน ต้องให้พลังงานแก่นวิ เคลียส โดยพลังงานทีพ
่ อดีทาให้นวิ คลีออน
ทัง้ หมดในนิวเคลียสแยกออก ากกัน เรียกว่า พลังงานยึดเหนีย
่ ว binding energy หรือ nuclear binding
energy, E พลังงานยดเหนี่ยวมีค่าเทียบเท่ากับส่วนของมวลที่แตกต่างร หว่างมวลของนิวเคลียสกับมวล
รวมของนิวคลีออนทัง้ หมดในนิวเคลียส เรียกว่า ส่วนพร่องมวล mass defect, Δm ตามสมการ E = Δm c2
การพิ ารณาเสถียร าพของนิวเคลียสสามารถพิ ารณาได้ าก พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน
ของนิวเคลียสของ าตุหรือไอโซโทปของ าตุนั้น เขียนสมการได้เปน E ( m)c 2
A A
าตุทม
่ี น
ี วิ เคลียสไม่เสถียร แ ร่ งั สีออกมาได้เองอย่างต่อเนือ่ ง เรียกปราก การณ์นว้ี า่ กัมมันตภาพรังสี
radioactivity โดยไอโซโทปของ าตุทส
ี่ ามารถแ ร่ งั สีได้เองเรียกว่า ไอโ โทปกัมมันตรังสี radioactive
isotope ส่วน าตุทท
ี่ กุ ไอโซโทปเปนไอโซโทปกัมมันตรังสี เรียกว่า ธาตุกม
ั มันตรังสี radioactive element
รังสีทแี่ อ
่ อกมา าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสีสว่ นใหญ่มี 3 ชนิด ได้แก่ รังสีแอลฟา alpha ray
รังสีบีตา beta ray แล รังสีแกมมา gamma ray ซ่งรังสีแต่ล ชนิดมีองค์ปร กอบ ปร ุไฟฟา มวล
อานา ท ลุ ่าน แล สมบัติอื่น แตกต่างกัน
การแ ่รังสีของ าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสีมีสาเหตุมา ากการที่นิวเคลียสไม่เสถียรมีการเปลี่ยน
แปลงเพื่อให้มีเสถียร าพมากกว่าเดิม โดยอา เปลี่ยนไปเปนนิวเคลียสชนิดใหม่หรือเปลี่ยนไปอย่ในร ดับ
พลังงานต่ากว่าเดิม เรียกกร บวนการเปลี่ยนแปลงนี้กว่า การสลายกัมมันตรังสี radioactive decay
หรือ การสลาย decay
นิวเคลียสที่ไม่เสถียรแล มีการสลายเรียกว่า นิวเคลียสกัมมันตรังสี radioactive nucleus โดย
กร บวนการทีน
่ วิ เคลียสกัมมันตรังสีมก
ี ารสลายแล้วให้อนุ าคแอลฟา อนุ าคบีตา หรือ รังสีแกมมา ออกมา
เรียกว่า การสลายให้แอลฟา alpha decay การสลายให้บีตา beta decay แล การสลายให้แกมมา
gamma decay ตามลาดับ ซ่งแต่ล กร บวนการ สามารถอ ิบายได้ด้วย สมการการสลาย ที่ผลรวมของ
เลขอะตอมและผลรวมของเลขมวลก่อนและหลังการสลายมีค่าเท่ากัน ดังนี้
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
114 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
A A 4 4
การสลายให้แอลฟา ZX Z 2Y 2 He
A A 0
การสลายให้บีตาลบ ZX Z 1Y 1e e
A A 0
การสลายให้บีตาบวก ZX Z 1Y 1e e
A * A
การสลายให้แกมมา ZX ZX
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 115
ในการศกษาองค์ปร กอบพืน
้ านของสสาร นอก าก โปรตอน นิวตรอน แล อิเล็กตรอน นักฟสิกส์
ยังได้มก
ี ารค้นพบอนุ าคอืน
่ อีกเปน านวนมาก โดยอาศัยเครือ
่ งมือทีส่ าคัญ 2 ชนิด คือ เครือ
่ งเร่งอนุภาค
particle accelerator แล เครือ
่ งตรวจวัดอนุภาค particle detector เช่น การใช้เครือ
่ งตรว วัดอนุ าค
ห้องหมอก cloud chamber ค้นพบโพ ิตรอน positron ซ่งเปนป ิยานุภาค antiparticle
ของอิเล็กตรอน หรือ การใช้เครื่องเร่งอนุ าคแนวตรงที่ยาวกว่า 3.2 กิโลเมตรค้นพบควาร์ก quark
อนุ าคที่ นั ก ฟสิ ก ส์ ค้ น พบ มี ทั้ ง อนุ าคที่ ไ ม่ มี อ งค์ ป ร กอบ ายใน เรี ย กว่ า อนุ ภ าคมู ล าน
elementary particle แล อนุ าคทีม
่ อ
ี งค์ปร กอบ ายใน ซ่ง สาขาทางฟสิกส์ทศ
่ี กษาเกีย่ วกับ รรมชาติ
ของอนุ าคต่าง แล อันตรกิรยิ าทีอ
่ นุ าคเหล่านีม
้ ต
ี อ
่ กัน เรียกว่าสาขา ฟิสก
ิ ส์อนุภาค particle physics
แนวคิดแล ท ษ ีต่าง ที่ใช้อ ิบายพ ติกรรมแล อันตรกิริยาร หว่างอนุ าคต่าง ได้รวบรวม
ไว้ในแบบ าลองทีเ่ รียกว่า แบบจำาลองมาตร าน the Standard Model ซ่งได้แบ่งอนุ าคมล านออกเปน
3 กลุ่ม ได้แก่ อนุภาคสสาร matter particle อนุภาคสื่อแรง force-carrier particle แล อนุภาค
ิก ์โบ อน Higgs boson
ในแบบ าลองมาตร าน ายในโปรตอนแล นิวตรอนปร กอบด้วยควาร์ก quark ที่มีการแลก
เปลี่ยนกลูออน gluon ร หว่างกัน ทาให้เกิดแรงเข้ม strong force ที่ยดเหนี่ยวให้ควาร์กอย่รวมกัน
โดย ลข้างเคียงของแรงเข้มร หว่างควาร์กทาให้มีแรงนิวเคลียร์ที่ยดเหนี่ยวนิวคลีออนให้อย่รวมกันใน
นิวเคลียส ส่วนการสลายให้บีตาเปนกร บวนการที่ควาร์กในนิวคลีออนมีการเปลี่ยนชนิด โดยมีแรงอ่อน
weak force มาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ แรงอ่อนมีดับเบิลยูโบ อน W-boson แล ีโบ อน Z-boson เปน
อนุ าคสื่อแรง
การค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค ได้นาไปส่การปร ยุกต์ใช้ในด้าน ต่าง เช่น ด้านการแพทย์
ด้านอุตสาหกรรม ด้านความปลอด ัย แล ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
116 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
เวลาที่ใช้
บทนี้ควรใช้เวลาสอนประมา 30 ชั่วโมง
ความรู้ก่อนเรียน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 117
20.1 เสถียรภาพของนิวเคลียส
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบาย รรมชาติของแรงนิวเคลียร์
2. อ ิบายความสัมพัน ์ร หว่างแรงนิวเคลียร์กับเสถียร าพของนิวเคลียส
3. อ ิบายความสัมพัน ์ร หว่างพลังงานยดเหนี่ยวกับส่วนพร่องมวล
4. คานวณพลังงานยดเหนี่ยวแล พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน
5. อ ิบายความสัมพัน ์ร หว่างพลังงานยดเหนี่ยวกับเสถียร าพของนิวเคลียส
แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้ า ส่ หั ว ข้ อ 20.1 โดยทบทวนความร้ เ กี่ ย วกั บ องค์ ป ร กอบ ายในนิ ว เคลี ย ส ที่ นั ก เรี ย น
ได้เรียนร้มา ากนัน
้ ตัง้ คาถามให้นกั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกันว่า เพรา เหตุใด โปรตอนทีม
่ ป
ี ร ไุ ฟฟาบวกหลาย
อนุ าค งอย่รวมกันได้ ายในนิวเคลียส โดยไม่แยกออก ากกันด้วยแรง ลักทางไฟฟา โดยครเปดโอกาส
ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครชีแ้ ง้ ว่า ในหัวข้อนีน
้ ก
ั เรียน ได้เรียนเกีย่ วกับ แรงนิวเคลียร์แล พลังงานยดเหนีย่ วของนิวเคลียส
ที่เกี่ยวข้องกับเสถียร าพของนิวเคลียส
20.1.1 แรงนิวเคลียร์
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
118 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 1 แล 2 ของหัวข้อ 20.1 ตามหนังสือเรียน
ครให้นักเรียนศกษาการพั นาแนวคิดเกี่ยวกับท ษ ีเกี่ยวกับแรงนิวเคลียร์ แล รรมชาติของ
แรงนิวเคลียร์ ในหนังสือเรียน ากนั้น ครนาอ ิปรายโดยใช้รป 20.1 ปร กอบ นได้ข้อสรุปเกี่ยวกับแรง
นิวเคลียร์ดังนี้
แรงนิวเคลียร์เปนแรงดงดดร หว่างโปรตอนกับโปรตอน นิวตรอนกับนิวตรอน แล โปรตอนกับ
นิวตรอน ในนิวเคลียส
แรงนิวเคลียร์ไม่ข้นกับปร ุแล มวลของนิวคลีออน แรงนิวเคลียร์ร หว่างค่นิวคลีออนเหล่านี้
งมีค่าเท่ากัน
แรงนิวเคลียร์ส่ง ลเฉพา ในร ย ใกล้มาก very short-range force งเปนแรงที่กร ทา
ร หว่างนิวคลีออนที่อย่ติดกันเท่านั้น ไม่ส่ง ลต่อนิวคลีออนอื่น ที่อย่ถัดออกไป
แรงนิวเคลียร์ทาให้นิวเคลียสของ าตุแล ไอโซโทปของ าตุปร มาณ 270 ชนิด มีเสถียร าพ
ครให้นก
ั เรียนศกษาตาราง 20.1 โดยครอา ทบทวนความร้เกีย่ วกับไอโซโทปแล สัญลักษณ์นวิ เคลียร์
เพิ่มเติม แล้วตั้งคาถามให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกันว่า านวนโปรตอนกับ านวนนิวตรอนในนิวเคลียส มี
ความสัมพัน ก
์ บ
ั เสถียร าพของนิวเคลียสหรือไม่ โดยครเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร
ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 119
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
120 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
กราฟระหว่างจำานวนนิวตรอนกับจำานวนโปรตอน
กราฟร หว่าง านวนนิวตรอนกับ านวนโปรตอนของ าตุแล ไอโซโทปที่ได้รับการค้นพบ
หรือสังเครา ห์ได้ในห้องป ิบัติการทั้งหมด มีลักษณ ดังรป
stable
1014 yr
160 1012 yr
1010 yr
140
108 yr
106 yr
120
104 yr
100 yr
100
1 yr
Z=N 106 s
80
104 s
60 100 s
1s
40 10− s
10− s
20
10− s
10−8 s
N no data
Z 20 40 60 80 100
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 121
ไปเปนนิวเคลียสชนิดใหม่ทม
่ี ี านวนโปรตอนเพิม
่ ข้นแต่ านวนนิวตรอนลดลง แล มีเสถียร าพมากกว่า
ส่วนบริเวณที่อย่ใต้แถบเสถียร าพ เปนบริเวณที่นิวเคลียสมีสัดส่วนของ านวนนิวตรอนต่อ
านวนโปรตอนน้อยเกินไป แล มีแนวโน้ม สลายให้บีตาบวก beta-plus decay เพื่อเปลี่ยนไป
เปนนิวเคลียสชนิดใหม่ทม
่ี ี านวนโปรตอนลดลงแต่ านวนนิวตรอนเพิม
่ ข้น แล มีเสถียร าพมากกว่า
รัศมีของนิวเคลียส
นิวเคลียสของอ ตอมส่วนใหญ่มีลักษณ เปนทรงกลมแล มีรัศมีโดยเฉลี่ยข้นกับเลขมวล
ตามสมการ
1
r aA 3
โดยที่ a = 1.2 × 10-15 เมตร แล A คือ เลขมวล
ดังนัน
้ อ ตอมไ โดรเ น ซ่งมีเลขมวลเท่ากับ 1 มีรศ
ั มีของนิวเคลียสปร มาณ 1.2 × 10-15
เมตร ส่วนทองคาซ่งมีเลขมวลเท่ากับ 197 มีรัศมีของนิวเคลียสปร มาณ 7.0 × 10-15 เมตร
ทั้งนี้ เห็นได้ว่า 10-15 เมตร หรือ 1 เฟมโตเมตร เปนค่าที่ใช้กันบ่อยในการศกษาทางด้าน
ฟสิกส์นิวเคลียร์ ดังนั้น เพื่อความส ดวก งได้มีการเรียกชื่อปริมาณดังกล่าวด้วยคาสั้น ว่า แฟร์มี
ตามชื่อของ เอนรีโก แฟร์มี Enrico Fermi ซ่งเปนนักฟสิกส์ชาวอิตาลีที่มี ลงานสาคัญทางด้าน
ฟสิกส์นิวเคลียร์ โดยกาหนดให้
1 fm = 10-15 m
โดยทั่วไป รัศมีของนิวเคลียสของ าตุต่าง มีค่าในร ดับเเฟร์มี ซ่งถือว่าน้อยมากเมื่อ
!
เทียบกับขนาดของอ ตอมซ่งมีค่าปร มาณ 10 -10
เมตร หรือ 1 อังสตรอม A
!
อังสตรอม A เปนหน่วยที่ตั้งข้นตามชื่อของ อังเดร โ นาส อังสรอม Anders Jonas
Ångström นักฟสิกส์ชาวสวีเดน ้ที่ศกษาสเปกตรัมของดวงอาทิตย์แล ได้เสนอให้ใช้หน่วยของ
ความยาวคลื่นของสเปกตรัมของดวงอาทิตย์เปน านวนเท่าของ 10-10 เมตร ซ่งต่อมา หน่วยดังกล่าว
ได้รับการเรียกตามชื่อของเขา
ในการพิ ารณาขนาดของอ ตอม เนือ่ ง ากอิเล็กตรอนทีเ่ คลือ่ นทีอ่ ย่รอบนิวเคลียสของอ ตอม
ไม่มีตาแหน่งที่แน่นอน งไม่สามารถร บุขอบเขตที่ชัดเ นของอ ตอมได้ อีกทั้ง โดยทั่วไป อ ตอม
ไม่อย่เปนอ ตอมเดี่ยว แต่ มีแรงยดเหนี่ยวร หว่างอ ตอมอื่นไว้ตั้งแต่ 1 อ ตอมข้นไป ดังนั้น
ขนาดของอ ตอม งบอกด้วย รัศมีอ ตอม atomic radius ซ่งกาหนดให้มีค่าคร่งหน่งของร ย
ร หว่างนิวเคลียสของอ ตอม 2 อ ตอมที่มีแรงยดเหนี่ยวร หว่างอ ตอมไว้ด้วยกันหรืออย่ชิดกัน
ซ่งโดยทั่วไปอ ตอมมีรัศมีปร มาณ 1 - 2 อังสตรอม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
122 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
20.1.2 พลังงานยึดเหนี่ยว
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
2. นิวเคลียสเสถียรทีม
่ พ
ี ลังงานยดเหนีย่ วมาก 2. นิวเคลียสเสถียรที่มีพลังงานยดเหนี่ยวต่อ
เปนนิวเคลียสที่มีเสถียร าพสง นิวคลีออนมาก เปนนิวเคลียสที่มี
เสถียร าพสง
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชีแ้ ง ด
ุ ปร สงค์การเรียนร้ขอ
้ ที่ 3 - 5 ของหัวข้อ 20.1 ตามหนังสือเรียน ากนัน
้ ครนาเข้าส่หวั ข้อ
20.1.2 โดยตั้งคาถามว่า ากการศกษาเกี่ยวกับฟสิกส์ของอ ตอมในบทที่ ่านมา เราทราบว่าถ้ามีการให้
พลังงานกับอ ตอมมากพอ สามารถทาให้อเิ ล็กตรอนหลุดออกมา ากอ ตอมได้ แล้วถ้ามีการให้พลังงานกับ
นิวเคลียสมากพอ ทาให้นวิ คลีออนแยกออก ากกันได้หรือไม่ โดยครเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิด
เห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครให้นก
ั เรียนศกษาเกีย่ วกับพลังงานยดเหนีย่ ว แล การทดลองฉายรังสีแกมมาไปยังดิวเทอรอนตาม
รายล เอียดในหนังสือเรียน หรือครอา ัดกิ กรรมสา ิต โดยแบ่งนักเรียนออกเปนกลุ่มล 3 คน แล้ว
ให้นักเรียนคนแรกเปนโปรตอน คนที่สองเปนนิวตรอน โดยให้ทั้งสอง ับมือกันไว้ด้วยร ดับความกร ชับ
แตกต่างกัน 3 – 4 ร ดับ เปรียบได้กับโปรตอนกับนิวตรอนในนิวเคลียสที่มีแรงนิวเคลียร์ยดเหนี่ยวกันไว้
แตกต่างกัน ากนั้น ในการ ับมือแต่ล ครั้ง ให้นักเรียนคนที่สามพยายามวิ่งเข้าแทรกเพื่อทาให้มือของ
นักเรียนสองคนแรกแยกออก ากกัน
หลังกิ กรรมสา ิต ครนานักเรียนอ ิปรายโดยตั้งคาถามว่า ถ้าเปรียบเทียบพลังงานที่ต้องทาให้มือ
ของนักเรียนที่ ับกันไว้แยกออก ากกันเปนพลังงานที่ต้องทาให้นิวคลีออนในนิวเคลียสแยกออก ากกัน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 123
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
124 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ก. นิวเคลียสที่มีเลขมวลอย่ร หว่างค่าใดมีพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนสงกว่านิวเคลียสในช่วง
เลขมวลอื่น
แนวคำาตอบ นิวเคลียสที่มีเลขมวลอย่ในช่วงร หว่าง 56 - 72 เปนนิวเคลียสที่มีพลังงานยด
เหนี่ ย วต่ อ นิ ว คลี อ อนมากกว่ า นิ ว เคลี ย สในช่ ว งเลขมวลอื่ น ครอา ชี้ แ งเพิ่ ม เติ ม ว่ า ใน
ความเปน ริงแล้ว าตุทม
่ี พ
ี ลังงานยดเหนีย่ วต่อนิวคลีออนสงกว่า าตุอน
่ื มีเลขมวลอย่ร หว่าง
55 - 70
ข. นิวเคลียสใดมีพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนน้อยที่สุด
แนวคำาตอบ นิวเคลียสของดิวเทอเรียม หรือ ดิวเทอรอน เปนนิวเคลียสที่มีพลังงานยดเหนี่ยว
ต่อนิวคลีออนน้อยที่สุด
ค. นิวเคลียสใดมีพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนมากที่สุด
62
แนวคำาตอบ นิวเคลียสของนิกเกิล 28 Ni เปนนิวเคลียสที่มีพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน
มากที่สุด
ครอา ถามคาถามชวนคิดในหน้า 128 ให้นกั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกัน โดยครเปดโอกาสให้นกั เรียนแสดง
ความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
แนวคำาตอบชวนคิด
56
ากกราฟในรป 20.4 การทาให้นิวคลีออนของเหล็ก 26 Fe แยกออก ากกันง่ายหรือยากกว่าการ
23
ทาให้นิวคลีออนของโซเดียม 11 Na แยกออก ากกัน เพรา เหตุใด
แนวคำาตอบ การทาให้นวิ คลีออนของเหล็กแยกออก ากกันยากกว่าการทาให้นวิ คลีออนของโซเดียม
แยกออก ากกัน เพรา นิวเคลียสของเหล็กมีพลังงานยดเหนีย่ วต่อนิวคลีออนมากกว่านิวเคลียสของ
โซเดียม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 125
แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับ รรมชาติของแรงนิวเคลียร์ ความสัมพัน ์ร หว่างแรงนิวเคลียร์แล พลังงาน
ยดเหนี่ย วกั บ เสถี ย ร าพของนิ ว เคลี ย ส แล ความสั ม พั น ์ ร หว่ า งพลั ง งานยดเหนี่ย วกั บ
ส่วนพร่องมวล ากคาถามตรว สอบความเข้าใ แล แบบ กหัดท้ายหัวข้อ 20.1
2. ทักษ การแก้ปญหาแล การใช้ านวน ากการแก้โ ทย์ปญหาแล การคานวณปริมาณต่าง
เกี่ยวกับส่วนพร่องมวลแล พลังงานยดเหนี่ยว ในแบบ กหัดท้ายหัวข้อ 20.1
3. ต
ิ วิทยาศาสตร์ดา้ นความมีเหตุ ล ากการอ ป
ิ รายร่วมกัน แล ด้านความรอบคอบ ากการทา
แบบ กหัดท้ายหัวข้อ 20.1
แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 20.1
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
126 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
เฉลยแบบฝึกหัด 20.1
คาถามต่อไปนี้ กาหนดให้
มวล 1 u เท่ากับ 1.66 × 10-27 กิโลกรัม ซ่ง เทียบเท่ากับพลังงาน 931.5 MeV
พลังงาน 1 อิเล็กตรอนโวลต์ เท่ากับ 1.66 × 10-19 ล
มวลของโปรตอนเท่ากับ 1.007276 u มวลของนิวตรอนเท่ากับ 1.008665 u
แล มวลของอิเล็กตรอนเท่ากับ 0.000549 u
238
1. กาหนดมวลอ ตอมของยเรเนียม 238 92 U เท่ากับ 238.050788 u งหาปริมาณต่อไปนี้
คาตอบเปนตัวเลขทศนิยม 6 ตาแหน่ง
ก. ส่วนพร่องมวลของ 238
92 U
ข. พลังงานยดเหนี่ยวของ 238
92 U
ค. พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนของ 238
92 U
วิธีทาำ ก. อ ตอมของยเรเนียม 238 ปร กอบด้วยโปรตอน 92 โปรตอน
นิวตรอน 146 นิวตรอน แล อิเล็กตรอน 92 อิเล็กตรอน
มวลรวมขององค์ปร กอบของอ ตอม 238
92 U
= 92mp + 146mn + 92me
= 92 1.007276 u + 146 1.008665 u + 92 0.000549 u
= 239.984990 u
หาส่วนพร่องมวล Δm าก ลต่างร หว่างมวลรวมขององค์ปร กอบของอ ตอม
กับมวลอ ตอม ดังนี้
Δm = มวลรวมขององค์ปร กอบอ ตอม 238 238
92 U − มวลอ ตอม 92 U
= 239.984990 u – 238.050788 u
= 1.934202 u
= 1.934202 u 1.66 × 10-27 kg/u
= 3.210775 × 10-27 kg
ข. หาพลังงานยดเหนี่ยวที่เทียบเท่ากับส่วนพร่องมวลโดยใช้สมการ
E = Δm 931.5 MeV/u
แทนค่า ได้
E = 1.934202 u 931.5 MeV/u
= 1801.709 MeV
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 127
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
128 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ข. หาพลังงานยดเหนี่ยวที่เทียบเท่ากับส่วนพร่องมวลโดยใช้สมการ
E = Δm 931.5 MeV/u
แทนค่า ได้
E = 10.367209 u 931.5 MeV/u
= 342.0552 MeV
= 3.420552 × 102 MeV
ค. นิวเคลียสของแคลเซียม มี านวนนิวคลีออน 40 นิวคลีออน
E
ดังนั้น พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน เท่ากับ
A
E 342.0552 MeV
A 40 nucleons
= 8.551380 MeV/nucleon
ตอบ ก. ส่วนพร่องมวลของแคลเซียม เท่ากับ 0.367209 u หรือ 6.095669 × 10-28 กิโลกรัม
ข. พลังงานยดเหนี่ยวของนิวเคลียสของแคลเซียม เท่ากับ
3.420552 × 102 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
ค. พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนของแคลเซียม เท่ากับ
8.551380 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 129
4. พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนของนิวเคลียสของ ีเลียม 4
2 He มีค่าเท่ากับ
6.82 MeV/nucleon งหาส่วนพร่องมวลของ ีเลียม
วิธีทาำ นิวเคลียสของ ีเลียม มี านวนนิวคลีออนเท่ากับ 4 นิวคลีออน
ดังนั้น นิวเคลียสของ ีเลียมมีพลังงานยดเหนี่ยว
E = 4 nucleon 6.82 MeV/nucleon
= 27.28 MeV
หาส่วนพร่องมวล โดยใช้สมการ E = Δm 931.5 MeV/u
E
ัดรปสมการใหม่ได้เปน m
931.5 MeV/u
27.28 MeV
แทนค่า ได้ m
931.5 MeV/u
= 0.029 u
ตอบ นิวเคลียสของ ีเลียม มีส่วนพร่องมวลเท่ากับ 0.029 u
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
130 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
20.2 กัมมันตภาพรังสี
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายของกัมมันต าพรังสี าตุกัมมันตรังสี แล ไอโซโทปกัมมันตรังสี
2. ร บุชนิดแล บอกสมบัติของรังสีที่แ ่ออกมา าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสี
3. เขียนสมการของการสลายให้แอลฟา บีตา แล แกมมา
4. บอกความหมายแล คานวณกัมมันต าพ
5. ทดลองเพื่ออ ิบายการสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีแล คร่งชีวิต
6. คานวณ านวนนิวเคลียสกัมมันตรังสีที่เหลือ ากการสลายแล คร่งชีวิต
แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 20.2 โดยตัง้ คาถามให้นก
ั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกันว่า ากการศกษาที่ า่ นมา เปนการ
ศกษาเกีย่ วกับนิวเคลียสทีเ่ สถียร ถ้านิวเคลียสไม่เสถียร ทาให้ าตุหรือไอโซโทปมีการเปลีย่ นแปลงอย่างไร
โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครชี้แ ้งว่า ในหัวข้อนี้นักเรียน ได้เรียนเกี่ยวกับการค้นพบกัมมันต าพรังสี รังสีชนิดต่าง
ต้นเหตุของกัมมันต าพรังสี แล ปริมาณต่าง ทีเ่ กีย่ วข้องกับการแ ร่ งั สี เช่น อัตราการแ ร่ งั สี แล คร่งชีวต
ิ
20.2.1 การค้นพบกัมมันตภาพรังสี
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
1. กัมมันต าพรังสี คือ วัตถุที่แ ่รังสีได้เอง 1. กัมมันต าพรังสี คือ ปราก การณ์ที่ าตุ
อย่างต่อเนื่อง หรือไอโซโทปของ าตุแ ่รังสีได้เองอย่าง
ต่อเนื่อง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 131
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชีแ้ ง ด
ุ ปร สงค์การเรียนร้ขอ
้ ที่ 6 ของหัวข้อ 20.2 ตามหนังสือเรียน ากนัน
้ ครให้นก
ั เรียนศกษา
เกี่ยวกับการค้นพบกัมมันต าพรังสีของเเบ็กเกอแรล ในหัวข้อ 20.2.1 ในหนังสือเรียน แล้วตั้งคาถามให้
นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน โดยอา ใช้คาถามดังนี้
ก. การทดลองของเเบ็กเกอแรล มี ุดปร สงค์เพื่อศกษาในเรื่องใด
แนวคำาตอบ การทดลองของเเบ็กเกอแรล มี ด
ุ ปร สงค์เพือ่ ศกษาการเรืองแสงแล ปล่อยรังสีเอกซ์
ของสารเมื่อถกกร ตุ้นด้วยแสงแดด
ข. เหตุใดเเบ็กเกอแรล งใส่ฟล์มถ่ายรปไว้ในซองกร ดาษสีดา ขณ ที่ทาการทดลองกลางแดด
แนวคำาตอบ การใส่ฟล์มถ่ายรปไว้ในซองกร ดาษ เพือ
่ ปองกันไม่ให้แสงแดดตกกร ทบแ น
่ ฟล์ม
ซ่งทาให้ฟล์มมีรอยดาแล ลการทดลองคลาดเคลื่อน
ค. เหตุ ลใดเเบ็กเกอแรล งสรุปว่า สารปร กอบยเรเนียมปล่อยรังสีชนิดหน่งออกมาโดยไม่เกีย่ วข้อง
กับแสงแดด
แนวคำาตอบ ในการทดลองกับสารปร กอบของยเรเนียม ถงแม้แบ็กเกอแรล เก็บชุดอุปกรณ์
ไว้ในลิ้นชักซ่งไม่ถกแสงแดดเปนเวลาหลายวัน แต่เมื่อนาฟล์มที่เก็บไว้ไปล้างพบว่า เกิดรอยดา
บนแ ่นฟล์มมีสีเข้มกว่า เมื่อครั้งที่ทดลองกับแสงแดด
ง. รังสีที่ได้ ากสารปร กอบยเรเนียม มีสมบัติเหมือนแล แตกต่าง ากรังสีเอกซ์อย่างไร
แนวคำาตอบ รังสีทแ่ี อ
่ อกมา ากสารปร กอบของยเรเนียม มีสมบัตบ
ิ างปร การคล้ายรังสีเอกซ์
เช่น สามารถท ลุ ่านวัตถุทบแสง ทาให้อากาศที่รังสีนี้ ่านแตกตัวเปนไอออน แต่รังสีที่ได้ าก
สารปร กอบของยเรเนียมเกิดข้นเองตลอดเวลา ในขณ ที่รังสีเอกซ์เกิดข้นเองตาม รรมชาติไม่
ได้ ต้อง ่านการกร ตุ้น
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
132 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 133
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
134 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 7 ของหัวข้อ 20.2 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อ 20.2.2 โดยอ ิปรายทบทวนความร้เกี่ยวกับการค้นพบกัมมันต าพรังสี ากนั้น
ครตั้งคาถามให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกันว่า รังสีที่แ ่ออกมา าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสีแตกต่าง าก
รังสีที่นักเรียนเคยได้เรียนร้มาหรือไม่ อย่างไร แล รังสีที่แ ่ออกมา าก าตุกัมมันตรังสี มีรังสีชนิดใดบ้าง
โดยครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครทบทวนความร้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับรังสีแคโทด โดยการตั้งคาถามเกี่ยวกับการเบนของรังสี
แคโทดแล อนุ าคมีปร ุไฟฟาในสนามแม่เหล็ก ากที่ได้เรียนมาในบทที่ 15 ากนั้น ให้นักเรียนศกษา
ลการศกษาการเบนของรังสีทแี่ อ
่ อกมา าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสี เมือ
่ ให้ า่ นเข้าไปในบริเวณทีม
่ ี
สนามแม่เหล็ก ดังรป 20.7 ในหนังสือเรียน แล้วอา ใช้คาถามชวนคิดให้นักเรียนอ ิปรายเพื่อหาคาตอบ
ร่วมกัน
แนวคำาตอบชวนคิด
แนวคำาตอบชวนคิด
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 135
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
20.2.3 การสลายและสมการการสลาย
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
1. เมือ
่ าตุหรือไอโซโทปกัมมันตรังสีมก
ี ารแ ่ 1. เมือ
่ าตุหรือไอโซโทปกัมมันตรังสีมก
ี ารแ ่
รังสี ปริมาณเนือ
้ สาร หายไปทีล น้อย น รังสี ปริมาณเนื้อสารทั้งหมดไม่ได้หายไป
กร ทั่งหมดไป เพียงแต่มีการเปลี่ยนไปเปน าตุอีกชนิด
หน่ง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
136 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. ถ้ามีการทากิ กรรมเสนอแน สาหรับคร เกม ับค่ หรือ เกมใบ้คา เพื่อทบทวนคาศัพท์เกี่ยว
กับกัมมันต าพรังสี ให้เตรียมวัสดุแล อุปกรณ์สาหรับการทบทวนคาศัพท์ เช่น บัตรคาแล
บัตร าพสาหรับกิ กรรม ับค่ บัตรคาแล บัตรบอกความหมายสาหรับกิ กรรมใบ้คา
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 8 ของหัวข้อ 20.2 ตามหนังสือเรียน
ครทบทวนความร้เกี่ยวกับกัมมันต าพรังสี โดยอา เลือกทากิ กรรมเสนอแน สาหรับคร เช่น
เกม ับค่ หรือ เกมใบ้คา เพื่อให้นักเรียนทบทวนคาศัพท์เกี่ยวกับกัมมันต าพรังสี
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 137
กิจกรรมเสนอแนะสำาหรับครู เกมจับคู่
จุดประสงค์
1. บอกความหมายของคาศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกัมมันต าพรังสี
เวลาที่ใช้ 10 นาที
วัสดุและอุปกร ์
1. บัตรคา เรื่อง กัมมันต าพรังสี 1 ชุด
2. บัตร าพ เรื่อง กัมมันต าพรังสี 1 ชุด
ดาวน์โหลดบัตรคาแล บัตร าพได้ าก QR Code ปร าบทที่ 20
หรือที่ลิงค์ http://ipst.me/11456
วิธีทำากิจกรรม
1. คล บัตรคาแล บัตร าพแล้วคว่าบัตรลง ากนั้นแ กให้นักเรียนคนล 1 ใบ ถ้า านวน
นักเรียนในห้องเปน านวนคี่ ้สอนอา ร่วมทากิ กรรมด้วย
2. ให้นักเรียนทุกคนยืนข้น แล้วหงายบัตรคาแล บัตร าพที่ถืออย่พร้อมกัน
3. ให้นักเรียนหาเพื่อนร่วมชั้นที่มีบัตรคาหรือบัตร าพที่สอดคล้องกับบัตรที่ตนเองถืออย่ เมื่อ
พบแล้วให้ ับค่กันแล้วนั่งลง โดยค่ที่นั่งลงก่อน ได้นาเสนอก่อน
4. เมื่อนักเรียนทุกคน ับค่ได้ครบแล้ว ให้นักเรียนค่แรกที่นั่งลงยืนข้น แล้วแสดงบัตรคาแล
บัตร าพของค่ตนเองให้นักเรียนค่อื่น เห็น เพื่อพิ ารณาว่า คาแล าพที่ได้สอดคล้องกัน
หรือไม่
5. ถ้านักเรียนทีย่ น
ื ข้น บ
ั ค่ าพกับคาศัพท์ได้ถกต้อง ให้นก
ั เรียนคนใดคนหน่งอ่านคาศัพท์ดงั
แล้วนักเรียนอีกคนบอกความหมายของคา โดยใช้ าพในบัตร าพปร กอบ ากนัน
้ ให้นงั่ ลง
6. ถ้ า นั ก เรี ย นที่ ยื น ข้ น ั บ ค่ าพกั บ คาศั พ ท์ ไ ด้ ไ ม่ ถ กต้ อ ง ให้ ห าค่ ที่ ถ กต้ อ ง แล้ ว ให้ นั ก เรี ย น
ค่ในลาดับถัด ไปนาเสนอก่อน นกร ทั่งนักเรียนได้นาเสนอครบทุกค่
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
138 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ัมมันต ั
(Radioactivity)
อ คาร์บอน-14 คาร์บอน-13
(Isotope)
คาร์บอน-12 คาร์บอน-11
ลั น เ น ว ดิวเทอรอน
(Binding Energy)
นิวตรอน
รูป ตัวอย่างบัตรคำาสำาหรับกิจกรรมทบทวนคำาศัพท์เกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 139
นวเคล
(Nuclear force)
แผ่นกระดาษ
ั อล
(Alpha rays)
แผ่นฟิล์ม
ั มม B
(Gamma rays)
แผ่นตะกั่วหนา แผ่นตะกั่วหนา
รูป ตัวอย่างบัตรคำาสำาหรับกิจกรรมทบทวนคำาศัพท์เกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
140 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
กิจกรรมเสนอแนะสำาหรับครู เกมใบ้คาำ
จุดประสงค์
1. บอกความหมายของคาศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกัมมันต าพรังสีี
เวลาที่ใช้ 10 นาที
วัสดุและอุปกร ์
1. บัตรคา เรื่อง กัมมันต าพรังสี 1 ชุด
ดาวน์โหลดบัตรคาแล บัตร าพได้ าก QR Code ปร าบทที่ 20
หรือที่ลิงค์ http://ipst.me/11456
วิธีทำากิจกรรม
1. แบ่งกลุม
่ นักเรียนเปนกลุม
่ ล 3 – 4 คน ให้แต่ล กลุม
่ เลือกตัวแทน 1 คน ที่ ทาหน้าทีใ่ บ้คา
2. ให้ตัวแทนกลุ่มแรก ออกมาหน้าชั้นเรียน แล้วหันหน้าหานักเรียนคนอื่น โดยให้ ้ใบ้คาอย่
ตาแหน่งที่มองเห็นบัตรคาที่ครแสดงได้ชัดเ น
3. เมือ
่ มีสญ
ั ญาณให้เริม
่ เล่นเกม ให้ ใ้ บ้ดคาทีอ
่ ย่บนบัตรคาทีค
่ รถืออย่ แล้วพยายามอ บ
ิ ายความ
หมายของคาให้นก
ั เรียนคนอืน
่ ทาย โดยไม่พดคานัน
้ หรือส่วนหน่งของคานัน
้ ออกมา ถ้าพด
ให้ ่านคานั้นไปแล ไม่ได้ค แนน
4. นักเรียนที่เปน ้ทาย ให้พยายามบอกคาศัพท์ที่มีความหมายสอดคล้องกับคาอ ิบายที่ ้ใบ้
คาบอก โดยสามารถบอกคาได้เพียง 2 คา ถ้าเปนคาที่ตรงกับที่อย่ในบัตรคา ให้กลุ่มนั้นได้
ค แนน 1 ค แนน แต่ถ้าทั้ง 2 คาไม่ตรงกับที่อย่ในบัตรคา กลุ่มนั้นไม่ได้ค แนน ส่วน ้ใบ้คา
ได้ 1 ค แนน เมื่อนักเรียนที่ทาย สามารถทายได้ถกใน 2 คาแรก
5. หลัง ากการใบ้คา ่านไป 1 คา ลัดให้ตัวแทนกลุ่มในลาดับถัดไปออกมาใบ้คาหน้าชั้นเรียน
แล ทาตามขั้นตอนที่ 2 – 4 นครบทุกกลุ่ม หรือ หมดคาในชุดบัตรคา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 141
ัมมันต ั อ
(Radioactivity) (Isotope)
ลั น เ น ว นวเคล
(Binding Energy) (Nuclear force)
ั อล ั ต
(Alpha rays) (Beta rays)
ั มม ต ัมมันต ั
(Gamma rays) (Radioactive Element)
อ ัมมันต ั นวเคล เ
(Radioactive isotope) (Stable nucleus)
รูป ตัวอย่างบัตรคำาสำาหรับกิจกรรมทบทวนคำาศัพท์เกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
142 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
อนุกรมการสลายของธาตุกัมมันตรังสี
นักวิทยาศาสตร์พบว่าการสลายของ าตุกัมมันตรังสีใน รรมชาติมีทั้งสิ้น 4 อนุกรม คือ
1. อนุกรมทอเรียม thorium series ปร กอบด้วยนิวเคลียสของ าตุเริ่มต้น คือ
ทอเรียม 232 232
90Th นิวเคลียสของ าตุสุดท้าย คือ ต กั่ว 208 208
82 Pb แล เลขมวลของ าตุ
ต่าง ในอนุกรมนี้เปน 4n
2. อนุกรมเนปทูเนียม neptunium series ปร กอบด้วยนิวเคลียสของ าตุเริ่มต้น คือ
พลโทเนียม 241 241
94 Pu นิวเคลียสของ าตุสุดท้ายคือ บิสมัท 209 209
83 Bi แล เลขมวลของ
าตุต่าง ในอนุกรมนี้เปน 4n + 1
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 143
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
อนุกรมทอเรียม 4n 232
90Th
208
82 Pb
232
90Th 1.39 1010
อนุกรมเนปทูเนียม 4n 1 241
94 Pu
209
83 Bi
237
93 Np 2.25 106
อนุกรมยูเรเนียม 4n 2 238
92 U
206
82 Pb
238
92 U 4.51 109
207
อนุกรมแอกทิเนียม 4n 3 235
92 U 82 Pb
235
92 U 7.07 108
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
144 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
20.2.4 กัมมันตภาพ
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
3. การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีมีรป 3. การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีเปน
แบบที่แน่นอน สามารถร บุนิวเคลียสที่ ปราก การณ์ที่เกิดข้นแบบสุ่ม ไม่สามารถ
สลายได้ ร บุนิวเคลียสที่ สลายได้
สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. คลิปวีดท
ิ ศ
ั น์เกีย่ วกับการใช้เครือ่ งนับรังสีแบบไกเกอร์มลเลอร์ ให้เตรียมคลิปล่วงหน้า โดยอา
ใช้คลิป ากลิงค์ต่อไปนี้
1.1. คลิปวิดีทัศน์ Radiation Now ตอน ท้าพิส น์รังสี มีอย่ ริง โดย สถาบันเทคโนโลยี
นิวเคลียร์แห่งชาติ สทน. https://youtu.be/0lxDZXJasV4
1.2. คลิปวิดท
ี ศ
ั น์ เกลือกัมมันตรังสี ากร้านขายของชาใกล้บา้ น Radioactive salt from
your local grocery store https://youtu.be/80uW4fwCRfA
1.3. คลิปวิดีทัศน์ โพแทสเซียม 40 กัมมันต าพรังสีใน รรมชาติ Potassium K-49
radioactivity in nature https://youtu.be/3iy6torpZzI
1.4. คลิปวิดีทัศน์ โพแทสเซียมกัมมันตรังสีใน รรมชาติ Naturally occurring
radioactive potassium https://youtu.be/H8Xsu-YqB9A
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 145
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 9 ของหัวข้อ 20.2 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อ 20.2.4 ทบทวนความร้เกี่ยวกับ กัมมันต าพรังสี รังสี แล การสลาย โดยนา
อ ิปรายหรือ ัดกิ กรรมเสนอแน สาหรับคร เกม ับค่ หรือ เกมใบ้คา ากนั้น ครตั้งคาถามว่า าตุแล
ไอโซโทปกัมมันตรังสีมีการแ ่รังสีออกมามากน้อยแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร แล ถ้า ทาการวัดปริมาณ
รั ง สี ที่ แ ่ อ อกมา มี วิ ี ก ารอย่ า งไร โดยเปดโอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร ไม่
คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครนาอ ิ ป ราย นสรุ ป ได้ ว่ า าตุ แ ล ไอโซโทปกั ม มั น ตรั ง สี มี ก ารแ ่ รั ง สี อ อกมาแตกต่ า งกั น
โดยอัตราการแ ่รังสีในขณ หน่ง เรียกว่า กัมมันตภาพ activity ซ่งการวัดกัมมันต าพ ทาได้ด้วยการ
อาศัยเครื่องมือหลายชนิด โดยหน่งในเครื่องมือที่นิยมใช้คือ เครื่องนับรังสีแบบไกเกอร์มลเลอร์
ครอา สา ิตหรือนาเสนอคลิปวีดิทัศน์เกี่ยวกับการใช้เครื่องนับรังสีแบบไกเกอร์มลเลอร์วัดรังสี าก
วัตถุทม
ี่ อ
ี ต
ั ราการแ ร่ งั สีนอ
้ ย เช่น ต กัว่ บัดกรี ก้อนหินบางชนิด หรือ านกร เบือ
้ งบางใบ โดยในการสา ต
ิ
หรือชมคลิปวีดิทัศน์ ครเน้นให้นักเรียนสังเกตเสียงที่ได้ยิน ากเครื่องนับรังสี แล้วอ ิปรายร่วมกันเกี่ยวกับ
ลักษณ ของเสียงทีไ่ ด้ยน
ิ ซ่งควรสรุปได้วา่ เสียงทีไ่ ด้ยน
ิ เกิดข้นไม่สม่าเสมอ แสดงว่า การสลายของนิวเคลียส
ของ าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสีเปนปราก การณ์ที่เกิดข้นแบบสุ่ม
ข้อเสนอแนะการทำากิจกรรม
ในการทากิ กรรมสา ิตการวัดรังสีด้วยเครื่องนับไกเกอร์ วัตถุที่ใช้ควรเปนวัตถุที่มีอัตราการแ ่
รังสีน้อย เพรา ถ้าวัตถุอัตราการแ ่รังสีมากเกินไป านวนครั้งที่ได้ยินเสียง ากเครื่องนับต่อวินาที ถี่
มาก นทาให้สังเกตหรือนับได้ยาก อีกทั้ง วัตถุที่มีอัตราการแ ่รังสีมากอา เปนอันตรายกับนักเรียน
เพือ
่ ไม่ให้เกิดความเข้าใ คลาดเคลือ
่ น ครควรอ บ
ิ ายว่า ความถีข
่ อง านวนครัง้ ทีไ่ ด้ยน
ิ เสียง าก
เครื่องนับไกเกอร์ต่อหน่งหน่วยเวลาสามารถใช้บอกได้ว่า ปริมาณรังสีที่แ ่ออกมา ากวัตถุที่วัดมีมากหรือ
น้อย แต่ไม่สามารถร บุค่ากัมมันต าพ ากความถี่ของ านวนครั้งที่ได้ยินเสียง ากเครื่องนับไกเกอร์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
146 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ครให้นักเรียนศกษาหลักการทางานของเครื่องนับรังสีแบบไกเกอร์มลเลอร์ตามรายล เอียดใน
หนังสือเรียน ากนั้น ครตั้งคาถามให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกันว่า ถ้า ศกษาเชิงปริมาณเกี่ยวกับรังสี
มีวิ ีการอย่างไร โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครตั้งคาถามให้นักเรียนอ ิปรายว่า การสลายของนิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสีเปนแบบสุ่ม
เทียบกับการโยนเหรียญหรือทอดลกบาศก์ได้อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่าง
อิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครนาเข้าส่กิ กรรม 20.1 โดยตั้งคาถามว่า ถ้าเปรียบการทอดลกบาศก์กับการสลายของนิวเคลียส
กัมมันตรังสี มีวิ ีการอย่างไร
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
เครื่องวัดรังสี
การวัดปริมาณรังสีทาได้โดยอาศัยการวัดปริมาณไอออนของแกสที่แตกตัว ซ่งเกิดข้นเมื่อ
รังสี ่านเครื่องวัด เช่น ในกรณีของ เครื่องตรว วัดอนุ าคแบบห้องหมอก cloud chamber
ปริมาณรังสีข้นอย่กับ านวนรอยทาง track ที่สังเกตได้ ดังรป ก. ซ่งแสดงรอยทางของอนุ าค
แอลฟาแล บีตาทีป
่ ล่อยออกมา ากสารปร กอบทอเรียมทีว่ างอย่ขา้ งในเครือ
่ ง านวนของรอยทาง
ที่เกิดข้นนี้ แปร ันตรงกับปริมาณรังสีที่แ ่ออกมา าก าตุกัมมันตรังสี
รูป ก. ภาพถ่ายของรอยทางของอนุภาคแอลฟาและบีตาในห้องหมอก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 147
รูป ข. เครื่องนับรังสีไกเกอร์แบบต่าง
รูป ค. เครื่องนับรังสีไกเกอร์แบบต่าง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
148 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 149
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
ความน่าจะเปน
ความน่า เปนคือ านวนที่บ่งบอกโอกาสที่เหตุการณ์หน่ง เกิดข้น ซ่งในทางคณิตศาสตร์
มีคาศัพท์แล คาอ ิบายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. การทดลองสุ่มและเหตุการ ์
การทดลองสุ่ม random experiment คือ การทดลองที่ ้ทดลองทราบว่า เกิด ล ลลัพ ์
อ ไรได้บ้าง แต่ไม่สามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่า ในแต่ล ครั้งที่ทดลอง ลที่เกิดข้น เปน
อ ไรใน านวน ลลัพ ์ที่อา เปนไปได้เหล่านั้น เช่น ในการทอดลกบาศก์ที่มี 6 หน้า 1 ครั้ง หน้า
ที่หงายอา เปนหน้าที่แต้มสีไว้ 1 2 3 4 5 หรือ 6 ุด แต่ไม่สามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่า
หงายหน้าใด เรียกการทอดลกบาศก์ดังกล่าวว่า การทดลองสุ่ม
2. เหตุการ ์
ลลัพ ์ที่สนใ ากการทดลองสุ่ม เรียกว่า เหตุการณ์ event เช่น การทอดลกบาศก์ 1 ลก 1
ครั้ง ถ้าสนใ หน้าที่แต้มสีไว้ 6 ุด การที่ลกบาศก์หงายหน้าแต้มสี 6 ุด คือ เหตุการณ์ หรือ ถ้า
สนใ เฉพา หน้าที่แต้มสีไว้มากกว่า 3 ุด เหตุการณ์คือ การที่ลกบาศก์หงายหน้าแต้มสี 4 5
แล 6 ุด
3. ความน่าจะเปน
ถ้าต้องการหาโอกาสที่เหตุการณ์ที่สนใ เกิดข้นมากน้อยเพียงใด เช่น โอกาสที่เหรียญที่เที่ยง
ตรง 1 เหรียญ ข้นหัวเมื่อถกโยนหน่งครั้ง หรือ โอกาสที่ลกบาศก์ 1 ลกที่เที่ยงตรง หงายหน้า
แต้มสีหก ด
ุ เมือ
่ ถกทอดหน่งครัง้ วิ ห
ี น่งทีใ่ ช้หาคาตอบคือ ทาการทดลองสุม
่ นัน
้ ซ้าหลาย ครัง้
เช่น ในการหาโอกาสทีเ่ หรียญ 1 เหรียญ ข้นหัว อา โยนเหรียญ 100 ครัง้ แล ถ้าพบว่า มีเหรียญ
55
ข้นหัว 55 ครั้ง แล ข้นก้อย 45 ครั้ง อัตราส่วน ซ่งเท่ากับ 0.55 หรือ 55% เปนตัวเลข
100
ทีบ
่ อกให้ทราบว่า เหรียญมีโอกาส ข้นหัวมากน้อยเพียงใด แล เมือ
่ ทาการทดลองมากข้น อัตรา
ส่วนทีไ่ ด้ น่าเชือ
่ ถือมากข้น อย่างไรก็ดี วิ น
ี ไี้ ม่สามารถบอกได้แน่นอนว่า ควรทาการทดลองสุม
่
านวนกี่ครั้ง ง เหมา สม อีกทั้ง การทา การทดลองสุ่มหลาย ครั้ง ย่อมเสียเวลามาก แล ไม่
ส ดวก งใช้วิ ีคานวณ ากอัตราส่วน ร หว่าง านวนเหตุการณ์ที่สนใ หารด้วย ลลัพ ์ที่เปน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
150 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 151
จุดประสงค์
1. อ บ
ิ ายค่าคงตัวการสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีเปรียบเทียบกับการทอดลกบาศก์
เวลาที่ใช้ 60 นาที
วัสดุและอุปกร ์
1. กล่องใส่ลกบาศก์ 1 กล่อง
2. ลกบาศก์ 6 หน้า แต้มสี 1 หน้า 50 ลก
3. ถาดหรือ าชน รองรับลกบาศก์ 1 อัน
ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม
จำนวนลูกบาศกที่หงายหนาแตมสี
จำนวนลูกบาศก ของการทอดครั้งที่ ความ
ที่ทอด คาเฉลี่ย นาจะเปน
1 2 3 4 5
30 5 7 4 4 3 4.60 0.15
40 10 6 6 3 11 7.20 0.18
50 8 9 10 5 13 9.00 0.18
แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
152 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
อภิปรายหลังการทำากิจกรรม
ครแล นักเรียนร่วมกันอ ป
ิ ราย ลการทากิ กรรม โดยใช้คาถามท้ายกิ กรรม 20.1 นสรุป
ได้ว่า
ถ้าลกบาศก์มี 6 หน้า แล มีหน้าที่แต้มสีหน่งหน้า โอกาสที่ลกบาศก์แต่ล ลก หงาย
หน้าแต้มสี ใกล้เคียงกับค่าความน่า เปนทางคณิตศาสตร์ คือ 1 ใน 6
านวนลกบาศก์ที่หงายหน้าแต้มสีของการทอดแต่ล ครั้ง ข้นอย่กับ านวนลกบาศก์
ทั้งหมดที่ทอดในครั้งนั้น หลักการดังกล่าวนี้เปนเช่นเดียวกับการสลายของนิวเคลียส
ของ าตุกัมมันตรังสี กล่าวคือทุก นิวเคลียสมีโอกาสในการสลายเท่ากัน แล านวน
นิวเคลียสที่สลายในขณ หน่ง ข้นอย่กับ านวนนิวเคลียสทั้งหมดที่มีอย่ในขณ นั้น
ความน่า เปน หรือโอกาสทีล่ กบาศก์ หงายหน้าแต้มสีในการทอดแต่ล ครัง้ เปรียบได้
กับ ความน่า เปนหรือโอกาสที่นิวเคลียส เกิดการสลายในหน่งหน่วยเวลา
ครนาอ ป
ิ รายเกีย่ วกับค่าคงตัวการสลาย นสรุปได้วา่ ค่าคงตัวการสลายเปนค่าเฉพา ของนิวเคลียส
แต่ล ชนิด นิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสีใดมีค่าคงตัวการสลายมาก แสดงว่า นิวเคลียสนั้นมีโอกาสมากที่
สลายในหน่งหน่วยเวลา ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครอา ถามคาถามชวนคิด แล้วอ ิปรายร่วมกัน โดยครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น
อย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
แนวคำาตอบชวนคิด
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 153
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
หน่วยวัดรังสี
การพิ ารณาว่า รังสี าก าตุกัมมันตรังสี านวนหน่งมีปริมาณของมากน้อยเพียงใด อา
พิ ารณาได้ 2 วิ ี วิ ีแรกคือ พิ ารณา ากอัตราการสลายหรือที่เรียกว่า กัมมันต าพ activity
ของ าตุกัมมันตรังสี านวนนั้น าตุ านวนหน่งที่มีกัมมันต าพสง ย่อมให้ปริมาณรังสีมากกว่า าตุ
อีก านวนหน่งที่มีกัมมันต าพต่าในช่วงเวลาเท่ากัน อีกวิ ีหน่งพิ ารณา ากการเปลี่ยนแปลงของ
สิ่งแวดล้อมหรือสิ่งมีชีวิตเมื่อได้รับรังสี เช่น เมื่อให้รังสีนั้น ่านเข้าไปในอากาศ ทาให้อากาศแตก
ตัวเปนไอออนมากน้อยเพียงใด วิ ีนี้ มีความสัมพัน ์กับปริมาณรังสีที่ าตุกัมมันตรังสีนั้นแ ่ออก
มาโดยตรง งเรียกว่า ปริมาณการได้รับรังสี radiation dose หน่วยการวัดปริมาณรังสี ง าแนก
ออกเปน 2 หน่วยคือ
ก. หน่วยของกัมมันตภาพ ( ) ได้แก่
ครี Ci เปนหน่วยแรกที่ใช้วัดกัมมันต าพ กาหนดว่า ครี คือ กัมมันต าพของ
เรเดียม 226 มวล 1 กรัม ซ่งมีการสลาย 3.7 × 1010 นิวเคลียสต่อวินาที
1 Ci = 3.7 × 1010 s-1
เบ็กเคอเรล Bq เปนหน่วยมาตร านในร บบ เอสไอ กาหนดว่า 1 เบ็กเคอเรลเท่ากับอัตรา
การสลายของนิวเคลียส 1 นิวเคลียสต่อวินาที หรือ 1 disintegration per second dps
1Bq = 1 s-1 = 1 dps
ข. หน่วยของปริมา การได้รับรังสี radiation dose units อา แบ่งได้เปน 3 ปร เ ท ดังนี้
1. ปริมาณรังสีที่ทาให้อากาศแตกตัว exposure dose เปนหน่วยที่กาหนดข้นโดยการวัด
ปริมาณการแตกตัวเปนไอออนของอากาศเมือ
่ ได้รบ
ั รังสี ซ่งในอดีต หน่วยทีใ่ ช้คอ
ื เรินต์เกน
R โดยกาหนดว่า 1 เรินต์เกน คือปริมาณรังสีเอกซ์หรือรังสีแกมมาทีส
่ ามารถทาให้อากาศ
แห้งปริมาตร 1 ลกบาศก์เซนติเมตร ที่ S.T.P แตกตัวเปนไอออนที่มีปร ุไฟฟา
3.33 × 10-10 คลอมบ์ ในป ุบันในร บบเอสไอ หน่วยที่ใช้ร บุปริมาณรังสีที่ทาให้
อากาศแตกตัว คือ คลอมบ์ต่อกิโลกรัม C/kg
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
154 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
หนวยเอสไอ
ปริมาณ หนวยเดิม ในรูป ในรูป
ชื่อ สัญลักษณ
หนวยฐาน หนวยอื่น
กัมมันตภาพ คูรี เบ็กเคอเรล
(activity) (Ci) (Becquerel) Bq s- 1 -
รังสีที่ทำใหอากาศการ คูลอมบตอกิโลกรัม
เรินตเกน (coulomb per
แตกตัวเปนไอออน (R) C/kg kg-1s A -
(exposure) kilogram)
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 155
20.2.5 ครึ่งชีวิต
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
2. คร่ ง ชี วิ ต ของ าตุ กั ม มั น ตรั ง สี ข้ น อย่ กั บ 2. คร่ ง ชี วิ ต ของ าตุ กั ม มั น ตรั ง สี ไม่ ข้ น กั บ
ป ัย ายนอก เช่น อุณห มิ ความดัน ป ัย ายนอก เช่น อุณห มิ ความดัน
าชน ที่บรร ุ าตุกัมมันตรังสี าชน แต่ขน
้ กับชนิดของ าตุกม
ั มันตรังสี
เท่านั้น
3. าตุกม
ั มันตรังสี เริม
่ แ ร่ งั สีเมือ
่ เวลา า่ น 3. าตุกัมมันตรังสีมีการแ ่รังสีตลอดเวลา
ไปเท่ากับคร่งชีวิตเท่านั้น
สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. วัสดุแล อุปกรณ์สาหรับกิ กรรม 20.2
กล่องใส่ลกบาศก์ 1 กล่อง
ลกบาศก์ 6 หน้า แต้มสี 1 หน้า 40 ลก
ปากกาเม ิกหรือชอล์กสี 1 ด้าม
ถาดหรือ าชน รองรับลกบาศก์ 1 อัน
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 10 แล 11 ของหัวข้อ 20.2 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 20.2.5 โดยทบทวนความร้เกีย่ วกับ การสลาย แล กัมมันต าพ ด้วยการอ ป
ิ ราย
หรือใช้กิ กรรมเสนอแน สาหรับคร เกม ับค่ หรือ เกมใบ้คา ดังตัวอย่างที่ได้เสนอมาแล้ว ากนั้น ครตั้ง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
156 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
คาถามให้นก
ั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกันว่า การพิ ารณาว่า าตุกม
ั มันตรังสีใดมีการสลายช้าหรือเร็ว พิ ารณา
ากปริมาณใดบ้าง โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครให้นักเรียนศกษาความหมายของ คร่งชีวิต ในหนังสือเรียน ากนั้น ครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า
คร่งชีวิต คือ ช่วงเวลาที่ าตุกัมมันตรังสีสลาย นกร ทั่งลดลงเหลืออย่คร่งหน่งของปริมาณเริ่มต้น ตาม
รายล เอียดในหนังสือเรียน
ครตั้ ง คาถามให้ นั ก เรี ย นอ ิ ป รายร่ ว มกั น ว่ า คร่ ง ชี วิ ต ของ าตุ กั ม มั น ตรั ง สี มี ค วามสั ม พั น ์ กั บ
ปริมาณใดบ้าง โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครให้นักเรียนทากิ กรรม 20.2
จุดประสงค์
1. อ บ
ิ ายคร่งชีวต
ิ ของนิวเคลียสกัมมันตรังสีเปรียบเทียบกับการทอดลกบาศก์
2. เขียนกราฟความสัมพัน ร์ หว่าง านวนลกบาศก์ทเ่ี หลือกับ านวนครัง้ ทีท
่ อดลกบาศก์
3. หาคร่งชีวต
ิ ากกราฟของลกบาศก์ทแ่ี ต้มสีหน่งหน้าแล แต้มสีสองหน้า
เวลาที่ใช้ 60 นาที
วัสดุและอุปกร ์
1. กล่องใส่ลกบาศก์ 1 กล่อง
2. ลกบาศก์ 6 หน้า แต้มสี 1 หน้า 40 ลก
3. ปากกาเม ิกหรือชอล์กสี 1 อัน
4. ถาดหรือ าชน รองรับลกบาศก์ 1 อัน
แนะนำาก่อนทำาการทำากิจกรรม
1. สาหรับกิ กรรม 20.2 ตอนที่ 2 ควรใช้สเี ม กิ หรือชอล์กสีทล่ี า้ งออกได้งา่ ยแต้มทีห
่ น้าลกบาศก์
หน้าตรงข้ามกับหน้าทีแ่ ต้มสีหน้าแรก เหมือนกันทุกลก
2. การเขียนกราฟทีใ่ ช้คา่ เฉลีย่ ของ านวนลกบาศก์ทเ่ี หลือกับ านวนครัง้ ทีท
่ อดทัง้ 2 ตอน ให้เขียน
บนกราฟเดียวกัน นัน
่ คือ ให้กราฟทัง้ 2 ใช้แกนตัง้ แล แกนนอนเดียวกัน เพือ่ ส ดวกในการ
วิเครา ห์แล เปรียบเทียบ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 157
ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม
ตอนที่ 1 ลกบาศก์แต้มสี 1 หน้า ตอนที่ 2 ลกบาศก์แต้มสี 2 หน้า
1 34 32 34 33.33 1 29 28 25 27.33
2 29 28 29 28.67 2 22 20 18 20.00
3 25 24 23 24.00 3 17 16 14 15.67
4 21 21 19 20.33 4 14 10 11 11.67
5 18 19 15 17.33 5 10 7 6 7.67
6 15 16 11 14.00 6 8 6 6 6.67
7 12 13 10 11.67 7 6 4 5 5.00
8 11 11 9 10.33 8 5 3 4 4.00
9 10 8 8 8.67 9 3 2 2 2.33
10 7 5 6 6.00 10 2 2 2 2.00
11 5 4 6 5.00 11 1 2 1 1.33
12 4 4 5 4.33 12 1 1 1 1.00
13 2 3 4 3.00
14 2 1 3 2.00
15 1 1 1 1.00
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
158 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ตัวอย่างกราฟที่ได้จากผลการทำากิจกรรม
60
50
ค่าเฉลี่ยของ นวนลกบาศก์ที่เหลือ
ตอนที่ 1
40
ตอนที่ 2
30
20
10
0
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16
นวนครั้งที่ทอดลกบาศก์
แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 159
อภิปรายหลังการทำากิจกรรม
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
160 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
N0 A0
เวลา ่านไป ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน แล้วนาอ ิปราย นสรุปได้สมการ N , A
N0 A0 m0 2n 2n
N , A แล m
2n 2n 2n
ครตัง้ คาถามให้นก
ั เรียนพิ ารณาว่า านวนนิวเคลียสทีเ่ วลาคร่งชีวต
ิ เมือ
่ แทนค่าลงในสมการ
20.9a ได้ ลเปนอย่างไร ากนัน
้ ครนานักเรียนอ ป
ิ ราย นได้ สมการ 20.10a แล 20.10b
แล ข้อสรุปที่ว่า คร่งชีวิตของ าตุกัมมันตรังสีมีค่าเปนสัดส่วน ก ันกับค่าคงตัวการสลาย ซ่งสอด
คล้องกับ ลการทากิ กรรม 20.2
ครให้นักเรียนศกษาคร่งชีวิตของ าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสีบางชนิดในตาราง 20.3 โดย
อา ตั้งคาถามให้นักเรียนพิ ารณาความแตกต่างร หว่างคร่งชีวิตของ าตุแล ไอโซโทปแต่ล ชนิด
ครให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 20.8 แล 20.9 โดยมีครแน นา ากนั้น ให้นักเรียนตอบคาถาม
ตรว สอบความเข้าใ 20.2 ข้อ 9 แล ทาแบบ กหัด 20.2 ข้อ 5 6 7 แล 8 ทั้งนี้ อา มีการเฉลย
คาตอบแล อ ิปรายคาตอบร่วมกัน
แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับกัมมันต าพรังสี รังสี การสลาย กัมมันต าพ แล คร่งชีวิต ากคาถามตรว
สอบความเข้าใ 20.2
2. ทักษ การทดลอง การใช้ านวน การ ัดกร ทาแล สื่อความหมายข้อมล การตีความหมาย
ข้อมลแล ลงข้อสรุป ความร่วมมือ การทางานเปนทีมแล าว ้นา ากการทากิ กรรม 20.1
แล 20.2
3. ทักษ การแก้ปญหา ากการแก้โ ทย์ปญหาแล การคานวณปริมาณต่าง เกี่ยวกับสมการ
การสลาย กัมมันต าพ แล คร่งชีวิต ในแบบ กหัด 20.2
4. ต
ิ วิทยาศาสตร์ดา้ นความมีเหตุ ล ความมุง่ มัน
่ อดทน แล ด้านความรอบคอบ ากการอ ป
ิ ราย
ร่วมกัน แล การทากิ กรรม 20.1 แล 20.2
5. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความซื่อสัตย์ ากรายงาน ลการทากิ กรรม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 161
แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 20.2
1. บอกความหมายของคาต่อไปนี้
ก. กัมมันต าพรังสี
ข. ไอโซโทปกัมมันตรังสี
ค. รังสี
ง. การแ ่รังสี
แนวคำาตอบ ก. กัมมันต าพรังสี หมายถง ปราก การณ์ที่ าตุแ ่รังสีได้เอง
ข. ไอโซโทปกัมมันตรังสี หมายถง ไอโซโทปของ าตุที่สามารถแ ่รังสีได้เอง
ค. รังสีในทางฟสิกส์นิวเคลียร์ หมายถง อนุ าคความเร็วสงหรือคลื่นแม่เหล็ก
ไฟฟาความถีส่ งทีเ่ คลือ
่ นทีอ
่ อก ากแหล่งกาเนิด ส่วนรังสีในอีกความหมายหน่ง
หมายถง คลื่นแม่เหล็กไฟฟา ซ่งอา มีความถี่ต่าหรือสง เช่น รังสีอินฟราเรด
รังสีอัลตราไวโอเลต
ง. การแ ่รังสี หมายถง กร บวนการที่มีการปล่อยรังสีออกมาอย่างต่อเนื่อง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
162 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 163
เฉลยแบบฝึกหัด 20.2
ค. 234
91 Pa * A
Z W
วิธีทาำ ก. ในสมการการสลาย ลรวมของเลขอ ตอมแล ลรวมของเลขมวลก่อนแล หลังการ
สลายมีค่าเท่ากัน ดังนั้น หาเลขอ ตอมแล เลขมวลของแต่ล ข้อได้ดังนี้
พิ ารณาเลขอ ตอม
ได้ว่า 84 = Z – 2
ดังนั้น Z = 84 – 2
= 82
พิ ารณาเลขมวล
ได้ว่า 218 = A + 4
ดังนั้น A = 218 – 4
= 214
เขียนเลขอ ตอมแล เลขมวลในสมการการสลายได้ดังนี้
218 214 4
84Po 82 X 2 He
239 239 0
ข. พิ U
ารณาเลขอ Y
92 ตอม e 93 1 e
234 * 234
Paว่า
ได้
91 91 W92 = Z – 1
ดังนั้น Z = 92 + 1
= 93
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
164 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
พิ ารณาเลขมวล
ได้ว่า 239 = A + 0
ดังนั้น A = 239
218 214 4
เขียPo
84 X เลขมวลในสมการการสลายได้
นเลขอ ตอมแล 2 He
82 ดังนี้
239 239 0
92U 93 Y 1 e e
234 * 234
Pa
ค. พิ ารณาเลขอ
91 W
ตอม 91
ได้ว่า 91 = Z + 0
ดังนั้น Z = 91
พิ ารณาเลขมวล
ได้ว่า 234 = A + 0
218 214
ดังนัPo
84 ้น X A =24 He
82 234
239 239
0
เขียU
92 Y เลขมวลในสมการการสลายได้
นเลขอ ตอมแล 1e93 e ดังนี้
234 * 234
91Pa W 91
ตอบ ก. 218
84Po 214
82 X 4
2 He
ข. 239
92U 239
93 Y 0
1 e e
ค. 234
91 Pa * 234
91 W
2. ากสมการการสลายต่อไปนี้ ให้ร บุว่า X เปน าตุใด แล มี A กับ Z เท่าใด
ก. A
Z X 210
83 Bi 0
-1 e e
ข. 220
86 Rn A
Z X 4
2 He
วิธีทาำ ก. ในสมการการสลาย ลรวมของเลขอ ตอมแล ลรวมของเลขมวลก่อนแล หลังการ
สลายมีค่าเท่ากัน ดังนั้น หา A แล Z ของแต่ล ข้อได้ดังนี้
A = 210 + 0 = 210
Z = 83 – 1 = 82
X มีเลขอ ตอมเท่ากับ 82 ากตาราง าตุ แสดงว่า X คือ ต กั่ว Pb
ข. หา A แล Z ของแต่ล ข้อได้ดังนี้
พิ ารณาเลขมวล
ได้ว่า 220 = A + 4
ดังนั้น A = 220 – 4
= 216
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 165
พิ ารณาเลขอ ตอม
ได้ว่า 86 = Z + 2
ดังนั้น Z = 86 – 2
= 84
X มีเลขอ ตอมเท่ากับ 84 ากตาราง าตุ แสดงว่า X คือ พอโลเนียม Po
ตอบ ก. X คือ ต กั่ว โดย A เท่ากับ 210 แล Z เท่ากับ 82
ข. X คือ พอโลเนียม โดย A เท่ากับ 216 แล Z เท่ากับ 84
การสลายต่อให้บต
ี าแล้วเปนนิวเคลียสของไอโซโทป Y งเขียนสมการการสลายทีร่ บุเลขอ ตอม
แล เลขมวล
วิธีทำา หา A แล Z ของ X ได้ดังนี้
A = 232 – 4 = 228
Z = 90 – 2 = 88
หา A แล Z ของ Y ได้ดังนี้
A = 228 – 0 = 228
Z = 88 + 1 = 89
ตอบ ดังนั้น สมการการสลายคือ
232 228 4
90Th 88 X + 2 He
228 228
88 X Y + 01 e
89
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
166 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
5. ฟอสฟอรัส 32 32
15 P มีคร่งชีวิต 14 วัน ใช้เวลานานเท่าใด ง เหลือฟอสฟอรัส 32 ร้อยล
25 ของ านวนเดิม
วิธีทาำ
ln 2 ln 2
วิ ีที่ 1 หาค่าคงตัวการสลาย ากสมการ T1 ซ่ง ัดรปใหม่ได้เปน
2 T1
ln 2
แทนค่า T1 14 day ได้ 2
2 14 day
ให้ 0 เปน านวนนิวเคลียสเริ่มต้นของฟอสฟอรัส 32
เปน านวนนิวเคลียสของฟอสฟอรัส 32 เมื่อเวลา ่านไป t
ากสมการ = 0 e-λt ถ้าที่เวลา t ฟอสฟอรัส 32 ลดลงเหลือร้อยล 25 ของ
25
านวนเดิมหรือ N N0 ได้
100
ln 2
25 (
14 day
)t
N0 N0e
100
ln 2
( )t
e 14 day
4
ln 2
t 2 ln 2
14 day
t = 28 day
วิ ีที่ 2 ให้ 0 เปน านวนนิวเคลียสเริ่มต้นของฟอสฟอรัส 32
เปน านวนนิวเคลียสของฟอสฟอรัส 32 เมื่อเวลา ่านไป t
การสลายของฟอสฟอรัส 32 นเหลือ ร้อยล 25 ของปริมาณเดิม
25
ได้ N N0
100
N0
N
22
เนื่อง าก านวนนิวเคลียสที่เหลือเปนสัดส่วน 22 ของ านวนนิวเคลียสเริ่มต้น
ดังนั้น เวลาที่ ่านไป งต้องเปน านวนเต็ม 2 เท่าของคร่งชีวิต นั่นคือ
t 2T1
2
= 2 14 day
= 28 day
ตอบ ใช้เวลานาน 28 วัน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 167
6. าตุกม
ั มันตรังสีชนิดหน่งมีคร่งชีวต
ิ 10 นาที มี านวนนิวเคลียสเริม
่ ต้นเท่ากับ 8 × 1020 นิวเคลียส
งหาว่า
ก. เมื่อเวลา ่านไป 10 นาที มีนิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสีสลายไปกี่นิวเคลียส
ข. เมื่อเวลา ่านไป 30 นาที มีนิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสีเหลือเท่าใด
วิธีทาำ ก. เมื่อเวลา ่านไป 10 นาที ซ่งเท่ากับคร่งชีวิต าตุกัมมันตรังสี สลายไปคร่งหน่งของ
านวนเริ่มต้น ดังนั้น มี านวนนิวเคลียสที่สลายไปเท่ากับ
1
8 × 1020 = 4.0 × 1020
2
ข. เมื่อเวลา ่านไป 30 นาที ซ่งเท่ากับ 3 เท่าของคร่งชีวิต าตุกัมมันตรังสี สลายไป
1
นเหลือ านวน 3 เท่าของ านวนเริ่มต้น ดังนั้น มี านวนนิวเคลียสที่เหลืออย่
2
เท่ากับ
1
8 × 1020 = 1.0 × 1020
23
ตอบ ก. เมือ
่ เวลา า่ นไป 10 นาที มีนวิ เคลียสของ าตุกม
ั มันตรังสีสลายไป 4 × 1020 นิวเคลียส
ข. เมือ
่ เวลา า่ นไป 30 นาที มีนวิ เคลียสของ าตุกม
ั มันตรังสีเหลืออย่ 1 × 1020 นิวเคลียส
0.693
A0 N0
T1/2
0.693N 0
ได้ T1/2
A0
(0.693)(3.69 1010 nucleus)
แทนค่า T1/2
3.7 1010 Bq
(1 10 6 Ci)
1 Ci
= 6.911 × 105 s
ตอบ คร่งชีวิตของไอโอดีน 131 เท่ากับ 6.91 × 105 วินาที หรือ 8 วัน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
168 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 169
20.3 ป ิกิริยานิวเคลียร์และพลังงานนิวเคลียร์
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายของป ิกิริยานิวเคลียร์
2. อ ิบายฟชชันแล ความสัมพัน ์ร หว่างมวลกับพลังงานที่ปลดปล่อยออกมา ากฟชชัน
3. คานวณพลังงานนิวเคลียร์ที่ปลดปล่อยออก ากฟชชัน
4. อ ิบายฟวชันแล ความสัมพัน ์ร หว่างมวลกับพลังงานที่ปลดปล่อยออกมา ากฟวชัน
5. คานวณพลังงานนิวเคลียร์ที่ปลดปล่อยออก ากฟวชัน
6. บอกแนวทางการนาพลังงานนิวเคลียร์ไปใช้ปร โยชน์
สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. เตรียมคลิปวิดีทัศน์หรือ าพของข่าวเกี่ยวกับการใช้ปร โยชน์ ากพลังงานนิวเคลียร์ โดยอา ใช้คลิป
วิดีทัศน์ ดังนี้
คลิปโรงไฟฟานิวเคลียร์ เช่น คลิปที่ลิงค์ https://youtu.be/MDcJTDUi9DE
หรือ https://youtu.be/_AdA5d_8Hm0
คลิปเรือขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ เช่น คลิปที่ลิงค์
https://youtu.be/6G9B1fyqV4g
2. ถ้ามีการ ัดกิ กรรมโต้วาที เกี่ยวกับโรงไฟฟานิวเคลียร์ในปร เทศไทย ให้เตรียมแหล่งสืบค้นข้อมลให้
พร้อม แล อา ติดต่อครสอนวิชา าษาไทย ในการร่วม ัดกิ กรรมแล ปร เมินการโต้วาที
3. ถ้ามีการทากิ กรรมเสนอแน สาหรับคร แบบ าลองฟชชันแล ฟวชัน ให้เตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อม
ได้แก่
ลกปดสี หรือ ลกแก้ว ที่มีสีแตกต่างกันอย่างน้อย 2 สี 30 อัน
ไหมพรมสีแตกต่างกันอย่างน้อย 2 สี 1 ม้วน
กาว 1 หลอด
กร ดาษเทาขาวแ ่นใหญ่ 1 แ ่น
สีเม ิก 1 ชุด
กร ดาษโน้ตสี 1 ชุด
แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 20.3 โดยให้นก
ั เรียนชมคลิปวิดท
ี ศ
ั น์หรือรปเกีย่ วกับการใช้ปร โยชน์ ากพลังงาน
นิวเคลียร์ เช่น โรงไฟฟานิวเคลียร์ หรือ เรือขนาดใหญ่ทข
ี่ บ
ั เคลือ
่ นด้วยพลังงานนิวเคลียร์ ากนัน
้ ตัง้ คาถาม
ให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกันว่า พลังงานนิวเคลียร์ที่นามาใช้ปร โยชน์นี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของ
อ ไร อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นักเรียนตอบคาถามอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
170 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
20.3.1 ฟิชชัน
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
2. ฟชชันเกิด ากนิวตรอนเคลือ
่ นทีด
่ ว้ ยความ 2. ฟชชันเกิดข้นเมื่อ นิวตรอนที่มีพลังงานต่า
เร็วสงไปชนกับนิวเคลียส ทาให้นิวเคลียส เคลือ่ นทีไ่ ปพบกับนิวเคลียส ทาให้นวิ เคลียส
แตกออก เหมือนกร สุนปนถกยิงไปทีว่ ต
ั ถุ ดดซับนิวตรอนไว้ กลายเปนนิวเคลียส ทีไ่ ม่
ทรงกลม แล้วทาให้วัตถุนั้นแตกออก เสถียร งเกิดการแยกออก ากกัน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 171
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อ 12 - 14 ของหัวข้อ 20.3 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อ 20.3.1 โดยให้นักเรียนศกษาการทดลองของแฟร์มีที่ปล่อยนิวตรอนไปพบกับ
นิวเคลียสของ าตุตา่ ง การวิเครา ห์หาชนิดของ าตุของ าห์นกับสตราสมันน์ แล การอ บ
ิ ายกร บวนการ
ที่เกิดข้นโดยไมท์เนอร์แล ฟริช ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน ากนั้น ให้ครนาอ ิปรายสรุปเกี่ยวกับ
ฟชชัน โดยครควรเน้น ดังนี้
การค้นพบฟชชัน เกิด ากความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ที่พยายาม ลิต าตุใหม่
การที่นักวิทยาศาสตร์ใช้นิวตรอนเปนอนุ าคที่ปล่อยไปพบกับนิวเคลียสของยเรเนียม เพรา
นิวตรอนไม่มป
ี ร ไุ ฟฟา สามารถเคลือ
่ นทีเ่ ข้าไปพบนิวเคลียสของยเรเนียมทีม
่ ป
ี ร บ
ุ วกได้งา่ ย
กว่าอนุ าคที่มีปร ุไฟฟา
การเกิดฟชชัน เกิดข้นกับนิวเคลียสของ าตุหนักแล ทาให้ได้นิวเคลียสใหม่ที่แตกต่างกัน
ครอา ตั้งคาถามให้มีการอ ิปรายเพิ่มเติม เช่น
ก. ฟชชันเกิดข้นได้กับนิวเคลียสของ าตุแบบใด
แนวคำาตอบ าตุหนัก หรือ าตุที่มีเลขมวลมากกว่า 150
ข. ป ิกิริยานิวเคลียร์ต่อไปนี้ เปนฟชชันหรือไม่
2 1 1
1 1H 1H 0n
14 4 17 1
2 7N 2 He 8 O 1H
238 1 239
3 92 U 0n 92 U
แนวคำาตอบ ป ิกิริยานิวเคลียร์ทั้ง 1 2 แล 3 นี้ไม่ ัดเปนฟชชัน เนื่อง ากป ิกิริยา 1 แล
2 มีแต่ าตุเบา ไม่มี าตุหนักเกีย่ วข้อง ส่วนป กิ ริ ยิ า 3 ถงแม้ มี าตุหนักเกีย่ วข้อง แต่นวิ เคลียส
ของ าตุตั้งต้นไม่ได้แยกออกเปนนิวเคลียสใหม่ 2 นิวเคลียสที่มีมวลใกล้เคียงกัน
ค. ล ลิตที่ได้ ากฟชชันของยเรเนียม 235 มีอ ไรบ้าง แล เหมือนกันทุกครั้งหรือไม่
แนวคำาตอบ ล ลิตทีไ่ ด้ ากฟชชัน ได้แก่ พลังงาน นิวตรอนไม่เกิน 3 นิวตรอน แล นิวเคลียส
ใหม่ 2 นิวเคลียส ทีม
่ เี ลขอ ตอมแล เลขมวลน้อยกว่านิวเคลียสตัง้ ต้น โดย ลรวมของเลขอ ตอม
ของนิวเคลียสใหม่ทงั้ สอง เท่ากับเลขอ ตอมของนิวเคลียสตัง้ ต้น ทัง้ นี้ ชนิดของสองนิวเคลียส
ใหม่ที่ได้ ากฟชชันแต่ล ครั้ง อา แตกต่างกันได้หลายแบบ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
172 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ครอา ให้ความร้เพิม
่ เติมว่า ส่วนของมวลทีล่ ดลงหลังการเกิดฟชชันนี้ สามารถเรียกว่า ส่วนพร่องมวล
mass defect ได้เช่นเดียวกับกรณีหวั ข้อพลังงานยดเหนีย่ ว นอก ากนี้ พลังงานส่วนใหญ่ทป
ี่ ลดปล่อยออก
มา ากฟชชัน ปร มาณ 84% เปนพลังงาน ลน์ของนิวเคลียส 2 นิวเคลียสที่แยกออกมา ส่วนที่เหลือ
เปนพลังงาน ลน์ของนิวตรอน พลังงานของรังสีแกมมาแล อนุ าคอื่น
ครให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 20.10 โดยมีครแน นา ากนั้นครแล นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน
เกีย่ วกับ การเปรียบเทียบพลังงานนิวเคลียร์ทไี่ ด้ ากฟชชันของนิวเคลียสยเรเนียม 1 นิวเคลียส กับพลังงาน
ที่ได้ ากป ิกิริยาเคมีของการเ าไหม้คาร์บอน 1 อ ตอม ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน ากนั้น ครนา
อ ิปราย โดยใช้รป 20.23 – 20.24 หรือสื่ออื่นที่คร ัดหามา เพื่อศกษาเกี่ยวกับป ิกิริยาลกโซ่ เครื่อง
ป ิกรณ์นิวเคลียร์ แล การ ลิตไฟฟาของโรงไฟฟานิวเคลียร์ โดยอา ใช้คาถามต่อไปนี้
ก. ถ้าในเครื่องป ิกรณ์นิวเคลียร์ ไม่มีตัวหน่วงความเร็วนิวตรอน เกิดป ิกิริยาลกโซ่ได้หรือไม่
แนวคำาตอบ ไม่ได้ เพรา ตัวหน่วงความเร็วนิวตรอน ช่วยให้นิวตรอนที่ถกปล่อยออกมา าก
ฟชชันมีความเร็วลดลง เหมา สมกับการทาให้เกิดฟชชันในครั้งต่อ ไป
ข. ถ้าการเกิดฟชชันของนิวเคลียสชนิดหน่ง มีการปล่อยนิวตรอนออกมาเพียงอนุ าคเดียวในแต่ล
ครั้ง เราสามารถนานิวเคลียสชนิดนี้ไปสร้างป ิกิริยาลกโซ่อย่างทวีคณได้หรือไม่
แนวคำาตอบ ไม่ได้ เพรา การเกิดฟชชันแต่ล ครั้ง ได้นิวตรอนเพียงอนุ าคเดียว ที่ทาให้
เกิดฟชชันอีกครั้ง แล เปนเช่นนี้ ต่อเนื่องกันไป งเปนฟชชันแบบต่อเนื่อง แต่ไม่ทวีคณ
ค. แท่งควบคุม ช่วยในการควบคุมป ิกิริยาลกโซ่อย่างไร
แนวคำาตอบ แท่งควบคุมดดซับนิวตรอนทีป
่ ล่อยออกมา ากฟชชัน ทาให้อต
ั ราการเกิดป ก
ิ ริ ยิ า
ลกโซ่ลดลง
ง. ไอน้าหรือน้าที่ปล่อยออกมา ากส่วนร บายความร้อนของโรงไฟฟานิวเคลียร์ มีอันตรายหรือไม่
อย่างไร
แนวคำาตอบ ไอน้าหรือน้าทีป
่ ล่อยออกมา ากส่วนร บายความร้อน อย่ในร บบท่อส่งน้าทีแ่ ยก
ออก ากร บบท่อส่งน้าในส่วน ลิตไฟฟาแล ส่วนแลกเปลี่ยนความร้อน ดังนั้น ไอน้าหรือน้าที่
ปล่อยออกมา งไม่อันตราย
ข้อแนะนำาเพิ่มเติมสำาหรับครู
ครอา ัดกิ กรรมโต้วาทีในหัวข้อที่เกี่ยวกับการสร้างโรงไฟฟานิวเคลียร์ในปร เทศไทย เช่น หัวข้อ
เปน ลดี ถ้ า ไทยมี โ รงไฟฟานิ ว เคลี ย ร์ โรงไฟฟานิ ว เคลี ย ร์ กั บ การแก้ ป ญหาการเปลี่ ย นแปลงส าพ
มิอากาศ โดยในการโต้วาที ครสามารถปร เมินทักษ อื่น ที่สาคัญ เช่น ทักษ การสื่อสาร สารสนเทศ
แล การร้เท่าทันสื่อ ทักษ การคิดอย่างมีวิ ารญาณแล การแก้ปญหา ทักษ ด้านความร่วมมือ การทางาน
เปนทีมแล าว ้นา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 173
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
ประเภทของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
เรียบเรียง าก โรงไฟฟานิวเคลียร์ สมาคมนิวเคลียร์แห่งปร เทศไทย
โดย ดร.สมพร องคา แล คุณอารีรัตน์ คอนดวงแก้ว
โรงไฟฟานิวเคลียร์ในป ุบัน แบ่งเปน 3 ปร เ ทดังนี้
1. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบน้าำ ความดันสูง
เครื่องป ิกรณ์นิวเคลียร์
แท่งควบคุม
เครื่องสบน้
แท่งเชื้อเพลิง
กังหัน
เครื่องควบแน่น
เครื่องสบน้ น้ เย็น
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
174 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
2. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบน้าำ เดือด
เครื่องป ิกรณ์นิวเคลียร์
แท่งเชื้อเพลิง เครื่องสบน้
กังหัน
แท่งควบคุม
เครื่องควบแน่น
เครื่องสบน้ น้ เย็น
รูป โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบน้าำ เดือด
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 175
3. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบน้าำ มวลหนักความดันสูง
เครื่องป ิกรณ์นิวเคลียร์
แท่งควบคุม
เครื่องสบน้
กังหัน
แท่งเชื้อเพลิง
เครื่องควบแน่น
เครื่องสบน้ น้ เย็น
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
176 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
20.3.2 ฟิวชัน
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
3. ฟวชันให้พลังงานมากกว่าฟชชันเสมอ 3. ฟวชันให้พลังงานต่อมวลมากกว่าฟชชัน
แต่มีบางกรณีที่ฟวชันให้พลังงานต่อมวล
น้อยกว่าฟชชัน
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 15 แล 16 ของหัวข้อ 20.3 ตามหนังสือเรียน ากนั้น ครนา
เข้าส่หัวข้อ 20.3.2 โดยนาอ ิปรายทบทวนเกี่ยวกับป ิกิริยานิวเคลียร์แล ฟชชัน ถัดมา ครตั้งคาถามให้
นักเรียนอ ป
ิ รายร่วมกันว่า ถ้านิวเคลียสทีม
่ ม
ี วลน้อยมารวมกันเปนนิวเคลียสทีม
่ ม
ี วลมาก เกิดข้นได้หรือไม่
แล มีการให้หรือรับพลังงาน อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวัง
คาตอบที่ถกต้อง
ครให้ นั ก เรี ย นศกษาการพั นาแนวคิ ด เกี่ ย วกั บ ฟวชั น ความหมายของฟวชั น แล พลั ง งาน
นิวเคลียร์ ากฟวชัน ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน แล้วอ ิปรายร่วมกัน นได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการเกิด
ฟวชันแล ความสัมพัน ์ร หว่างส่วนของมวลที่ลดลงกับพลังงานนิวเคลียร์ที่ปลดปล่อยออกมา ากฟวชัน
ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 177
ครอา ให้ความร้เพิม
่ เติมว่า ในบางกรณี พลังงานต่อมวลทีไ่ ด้ ากฟวชัน อา น้อยกว่า พลังงานต่อมวล
ที่ได้ ากฟชชัน
ครควรชี้ให้เห็นว่า เงื่อนไขสาคัญที่ทาให้เกิดฟวชันบนดวงอาทิตย์แล ดาว กษ์ได้นั้น เปนเพรา
อุณห มิของดวงอาทิตย์แล ดาว กษ์สงมาก ทาให้นิวเคลียสของ าตุเบามีความเร็วสงมาก นสามารถ
เคลื่อนที่เข้ามาหลอมรวมกันได้ ถงแม้ มีแรง ลักทางไฟฟาร หว่างนิวเคลียส
ครอา ถามคาถามชวนคิดให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน โดยครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิด
เห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
แนวคำาตอบชวนคิด
การที่ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยพลังงานออกมาตลอดเวลาส่ง ลต่อมวลของดวงอาทิตย์อย่างไร
แนวคำาตอบ พลังงานทีด
่ วงอาทิตย์ปลดปล่อยออกมา มา ากฟวชัน ซ่งมีมวลบางส่วนของนิวเคลียส
ของ าตุบนดวงอาทิตย์ทเ่ี กิดฟวชัน เปลีย่ นไปเปนพลังงาน ดังนัน
้ การปลดปล่อยพลังงานออกมาตลอด
เวลาของดวงอาทิตย์ ทาให้มวลของดวงอาทิตย์ลดลงเรือ
่ ย
กิจกรรมเสนอแนะสำาหรับครู แบบจำาลองฟิชชันและฟิวชัน
จุดประสงค์
1. สร้างแบบ าลองเพื่ออ ิบายฟชชันแล ฟวชัน
เวลาที่ใช้ 30 นาที
วัสดุและอุปกร ์
1. ลกปดสี หรือ ลกแก้ว 30 อัน
ที่มีสีแตกต่างกันอย่างน้อย 2 สี
2. ไหมพรมสีแตกต่างกันอย่างน้อย 2 สี 1 ม้วน
3. กาว 1 หลอด
4. กร ดาษเทาขาวแ ่นใหญ่ 1 แ ่น
5. สีเม ิก 1 ชุด
6. กร ดาษโน้ตสี 1 ชุด
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
178 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
วิธีทำากิจกรรม
แนวทางที่ 1
1. แบ่งนักเรียนออกเปนกลุม
่ กลุม
่ ล ปร มาณ 11 คน หรือมากกว่า โดยให้สมาชิกในกลุม
่ แทน
อนุ าคในนิวเคลียส แล อา ใช้อุปกรณ์อื่น รอบตัวแทนพลังงาน
2. ให้นักเรียนแต่ล กลุ่มปรกษากันเพื่ออุปมาอุปไมยแสดงการเกิดฟชชันของนิวเคลียสของ
าตุที่มีเลขมวล 230 - 240 แล ฟวชันร หว่างนิวเคลียสของ าตุที่มีเลขมวล 2 - 4 ด้วย
การแสดงของนักเรียนในกลุ่ม ากนั้นให้แต่ล กลุ่มนาเสนอ
3. หลังการนาเสนอ ให้นักเรียนในกลุ่มอื่นวิ ารณ์การแสดง
แนวทางที่ 2
1. แบ่งนักเรียนออกเปนกลุม
่ กลุม
่ ล 3 – 4 คน ากนัน
้ ให้นก
ั เรียนแต่ล กลุม
่ สร้างแบบ าลอง
การเกิดฟชชันแล ฟวชันของนิวเคลียสของ าตุบางชนิดบนกร ดาษเทาขาวแ น
่ ใหญ่ โดยใช้
ลกปดสี หรือ ลกแก้ว หรือ กร ดาษตัดเปนวงกลมทีม
่ สี แี ตกต่างกัน แทนนิวตรอนแล โปรตอน
ใช้ไหมพรมเปนเส้นร บุลาดับการเกิดกร บวนการ
2. หลัง ากที่แต่ล กลุ่มสร้างแบบ าลองเสร็ แล้ว ให้นา ลงานไปติดที่ นังห้อง
3. ให้นักเรียนแต่ล กลุ่มเดินหมุนเวียนพิ ารณา ลงานของนักเรียนกลุ่มอื่น แล เขียนแสดง
ความคิดเห็นลงในกร ดาษโน้ตสีแล้วติดไว้ข้าง ลงานของแต่ล กลุ่ม
ครให้นก
ั เรียนศกษาตัวอย่าง 20.11 โดยครเปน ใ้ ห้คาแน นา ากนัน
้ ครให้นก
ั เรียนพิ ารณา
การเปรียบเทียบร หว่างพลังงานต่อมวลที่ปลดปล่อยออกมา ากฟชชันของยเรเนียม 235 กับ
พลังงานต่อมวลที่ปลดปล่อยออกมา ากฟวชันร หว่างดิวเทอเรียมกับทริเทียม ตามรายล เอียดใน
หนังสือเรียน แล้วอ ิปรายร่วมกันเกี่ยวกับข้อดีแล ข้อ ากัด หากสามารถนาพลังงานนิวเคลียร์ าก
ฟวชันมาใช้ปร โยชน์ได้ ซ่งควรสรุปได้ดังนี้
พลังงานต่อมวลทีไ่ ด้ ากฟวชันร หว่างดิวเทอเรียมกับทริเทียมมีมากกว่าพลังงานต่อมวล
ที่ได้ ากฟชชันของยเรเนียม 235 ปร มาณ 4 – 5 เท่า
หากสามารถนาพลังงานนิวเคลียร์ ากฟวชันร หว่างดิวเทอเรียมกับทริเทียมมาใช้ปร โยชน์
ได้ มีข้อดีแล ข้อ ากัด ดังนี้
ข้อดี
สามารถช่วยแก้ปญหาด้านพลังงานได้ เพรา ใช้นาเปนวั
้ ตถุดิบ
ช่วยลดปญหาการเปลีย่ นแปลงส าพ มิอากาศได้ เพรา พลังงานนิวเคลียร์ ากฟวชัน
ไม่มีการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์
กากกัมมันตรังสีอย่ในร ดับที่ไม่เปนอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 179
ข้อ ากัด
มีค่าใช้ ่ายสงในการสร้างส าว ที่เหมา สมเพื่อทาให้เกิดฟวชัน
ตัวอย่างแผนภาพแสดงการเปรียบเทียบฟิชชันกับฟิวชัน
ฟชชัน ฟวชัน
สวนที่เหมือน
ตัวอย่าง แนวคำาตอบ
ฟชชัน ฟวชัน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
180 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกีย่ วกับป ก
ิ ริ ยิ านิวเคลียร์ ฟชชัน ฟวชัน แล พลังงานนิวเคลียร์ ากคาถามตรว สอบ
ความเข้าใ 20.3
2. ทักษ การแก้ปญหาแล การใช้ านวน ากการแก้โ ทย์ปญหาแล การคานวณปริมาณต่าง
เกี่ยวกับ ฟชชัน ฟวชัน แล พลังงานนิวเคลียร์ ในแบบ กหัด 20.3
3. ต
ิ วิทยาศาสตร์ดา้ นความมีเหตุ ล ากการอ ป
ิ รายร่วมกัน แล ด้านความรอบคอบ ากการทา
แบบ กหัด 20.3
แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 20.3
1. งให้ความหมายของป ิกิริยานิวเคลียร์
แนวคำาตอบ ป ิกิริยานิวเคลียร์ คือ กร บวนการที่นิวเคลียสมีการเปลี่ยนแปลงองค์ปร กอบ
ายในเมื่อได้รับการกร ตุ้น
2. ในการเกิดฟชชัน นิวเคลียสมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
แนวคำาตอบ นิวเคลียสของ าตุหนักดด ับนิวตรอนไว้ กลายเปนนิวเคลียสที่อย่ในสถาน
กร ตุ้น ากนั้น แยกออกเปนนิวเคลียส 2 นิวเคลียสที่มีเลขอ ตอมแล มวลน้อยลง
3. นิวเคลียสที่เกิดฟวชันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
แนวคำาตอบ นิวเคลียสของไอโซโทปที่เกิดฟวชันมีการรวมกันเปนนิวเคลียสที่มีมวลมากข้น
4. พลังงานนิวเคลียร์ที่ได้ ากฟชชันแล ฟวชัน มา ากอ ไร
แนวคำาตอบ มา ากมวลที่ลดลงหลังการเกิดฟชชันแล ฟวชัน ซ่งส่วนของมวลที่ลดลงนี้ได้
เปลี่ยนไปเปนพลังงาน ตามความสัมพัน ์ร หว่างมวลกับพลังงานของไอน์สไตน์
5. งยกตัวอย่าง าตุหรือไอโซโทปของ าตุ ที่สามารถทาให้เกิดฟวชันได้มา 3 ชนิด
แนวคำาตอบ ไ โดรเ น ดิวเทอเรียน ทริเทียม
6. เครื่องป ิกรณ์นิวเคลียร์ช่วยให้สามารถนาพลังงานนิวเคลียร์ ากฟชชันมา ลิตไฟฟาได้อย่างไร
แนวคำาตอบ เครื่องป ิกรณ์นิวเคลียร์สามารถสร้างแล ควบคุมป ิกิริยาลกโซ่ให้เกิดข้นใน
อัตราทีเ่ หมา สม สามารถถ่ายโอนพลังงานนิวเคลียร์ให้กบ
ั น้า ทาให้นามี
้ อณุ ห มิสง นกลายเปน
ไอน้า ซ่ง ถกนาไปใช้หมุนกังหันแล เครื่องกาเนิดไฟฟาสาหรับการ ลิตไฟฟาต่อไป
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 181
เฉลยแบบฝึกหัด 20.3
คาถามต่อไปนี้ กาหนดให้
มวล 1 u เท่ากับ 1.66 × 10-27 กิโลกรัม โดยมวล 1 u เทียบเท่ากับพลังงาน 931.5 MeV
พลังงาน 1 อิเล็กตรอนโวลต์ เท่ากับ 1.66 × 10-19 ล แล 1 โมลอ ตอม เท่ากับ
6.02 × 1023 อ ตอม
1. งคานวณพลังงานที่ได้ ากป ิกิริยานิวเคลียร์ต่อไปนี้
14
7 N+ 21 H 15
7 N+ 11 H
กาหนด มวลอ ตอม m14 N เท่
mา2กัHบ 14.003074u
m14 N m 2 H เท่ากับ 2.014102u
7 1 7 1
= 14.003074 u + 2.014102 u
= 16.017176 u
หามวลรวมหลังเกิดป ิกิริยา m2
m2 = m15 N m1 H
7 1
= 15.000108 u + 1.007825 u
= 16.007933 u
หา ลต่างร หว่างมวลก่อนกับหลังเกิดป ิกิริยา
Δm = m2 − m1
= 16.007933 u - 16.017176 u
= 0.009243 u
หาพลังงานที่ได้ ากป ิกิริยานิวเคลียร์ ากพลังงานที่เทียบเท่า ลต่างร หว่างมวลก่อน
กับหลังการเกิดป ิกิริยา โดยมวล 1 u เทียบเท่าพลังงาน 931.5 MeV
E = Δm 931.5 MeV/u
= 0.009243 u 931.5 MeV/u
= 8.609855 MeV
ตอบ พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยานิวเคลียร์นี้เท่ากับ 8.610 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
182 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
2. ากสมการการเกิดฟชชันของยเรเนียม 235
235
92 U + 01 n 140
54 Xe + 94 1
38 Sr + 2 0 n
3. การเกิดฟวชันของนีออน 20 20
10 Ne +2 นิ20
10วNeเคลียส20
10ทาให้
40
Ne
20 Caไ+ด้แ20
คลเซี
10 Neยม 40
20 Ca
ดังสมการ
20 20 40
10 Ne + 10 Ne 20 Ca
งหาพลังงานทีถ่ กปล่อยออกมา กาหนดมวลอ ตอมของ
20 20
20
10 Ne + 10 Neแล
10Ne + 20 40
Ne
1020 Ca เท่า40
กัCa
20 บ 19.992436 u
แล 39.962591 u ตามลาดับ
วิธีทาำ หาพลังงานที่ถกปล่อยออกมา E ได้ ากพลังงานที่เทียบเท่า ลต่างร หว่างมวลรวม
ก่อนฟวชันลบด้วยมวลรวมหลังฟวชัน Δm
หา ลต่างร หว่างมวลก่อนกับหลังฟวชัน
Δm = 19.992436 u + 19.992436 u − 3 . 625 1
= 0.022281 u
หาพลังงานที่เทียบเท่า ลต่างร หว่างมวล ากสมการ
E = Δm 931.5 MeV/u
แทนค่า ได้
E = 0.022281 u 931.5 MeV/u
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 183
= 20.75 MeV
ตอบ พลังงานที่ถกปล่อยออกมาเท่ากับ 20.75 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
งหาพลังงานที่ปลดปล่อยออกมา ากฟวชันนี้
กาหนด มวลอ 4
ตอม
1
1H4 11 H 42 He
4
แล2+012e +
2 He
+ เท่
0
ากับ 1.007825 u 4.002603 u แล 0.000549 u
1 e2+ e2 e
ตามลาดับ แล มวลของนิวทริโนมีค่าน้อยมาก
วิธีทำา หาพลังงานที่ถกปล่อยออกมา E ได้ ากพลังงานที่เทียบเท่า ลต่างร หว่างมวลรวม
ก่อนฟวชันลบด้วยมวลรวมหลังฟวชัน Δm
หา ลต่างร หว่างมวลก่อนกับหลังฟวชัน
Δm = 4 1.007825 u − .002603 − 2 0.000549 u
= 0.027599 u
หาพลังงานที่เทียบเท่า ลต่างร หว่างมวล ากสมการ
E = Δm 931.5 MeV/u
แทนค่า ได้
E = 0.027599 u 931.5 MeV/u
= 25.7 MeV
พลังงานป ิกิริยาเท่ากับ 25.7 MeV
ตอบ พลังงานที่ได้ ากฟวชันเท่ากับ 25.7 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
235
5. โรงไฟฟานิวเคลียร์แห่งหน่ง ใช้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ท่ม
ี ียเรเนียม 235 92 U เปนองค์ปร กอบ
งตอบคาถามต่อไปนี้
ก. ถ้าเริ่มต้นมียเรเนียม 235 มวล 100 มิลลิกรัม หลังการเกิดฟชชัน มวลของยเรเนียม 235
หายไป 0.20% พลังงานนิวเคลียร์ทไ่ี ด้ ากฟชชันของยเรเนียมมีคา่ เท่าใด
ข. ถ้าเปรียบเทียบกับโรงไฟฟาพลังงานความร้อนที่ใช้น้ามันเตา เพื่อให้ได้ความร้อนเท่ากับ
โรงไฟฟานิวเคลียร์ ต้องใช้นามั
้ นเตากีต
่ น
ั
กาหนด การเ าน้ามันเตา 1 ตัน ได้ความร้อน 8.40 × 109 ล
วิธีทำา ก. ให้ Δm เปนมวลของยเรเนียม 235 ทีห
่ ายไปหลังการเกิดฟชชัน แล E เปนพลังงาน
นิวเคลียร์ที่ได้ ากฟชชันของยเรเนียม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
184 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 185
20.4 ประโยชน์และการป้องกันอันตรายจากรังสี
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ยกตัวอย่างการนารังสีไปใช้ปร โยชน์ในด้านต่าง
2. ยกตัวอย่างอันตรายของรังสีที่มีต่อร่างกาย
3. บอกวิ ีการปองกันอันตราย ากรังสี
สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. เตรียมคลิปวิดีทัศน์เกี่ยวกับการใช้ปร โยชน์ ากรังสี ควรเตรียมไว้ให้พร้อม เช่น
คลิปเครื่องมือรังสีรักษา เช่น คลิปที่ลิงค์
https://youtu.be/WRZWNP8w1nc
https://youtu.be/IhuJd_76QLo
คลิปการหาอายุของวัตถุโบราณด้วยเทคโนโลยีทางนิวเคลียร์ เช่น คลิปที่ลิงค์
https://youtu.be/bPzUk_DQwzg
https://youtu.be/puauHNj-1RU
2. ถ้ามีการทากิ กรรมเสนอแน สาหรับคร เกม ับค่ เกมใบ้คา หรือ เกมบิงโก ฟสิกส์นิวเคลียร์ ให้เตรียม
วัสดุอป
ุ กรณ์สาหรับกิ กรรม ได้แก่ กร ดาษ A4 ตาม านวนนักเรียน พร้อมทัง้ บัตรคาศัพท์แล คาถามที่
ใช้ในการทากิ กรรม
3. ถ้ามีการให้นักเรียน ัดทาสื่อสาหรับการนาเสนอ ให้เตรียมวัสดุอุปกรณ์สาหรับการ ัดทาสื่อให้พร้อม
เช่น กร ดาษฟลิปชาร์ท สีเม ิก
แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 20.4 โดยทบทวนความร้เกีย่ วกับ กัมมันต าพรังสี แล ป ก
ิ ริ ยิ านิวเคลียร์ โดยอา
ัดกิ กรรมเสนอแน สาหรับคร เกม ับค่ หรือ เกมใบ้คา ตามที่ได้นาเสนอไว้ในหัวข้อ 20.2 หรือ อา
ัดกิ กรรม เกมบิงโก ที่แสดงตัวอย่างในหน้าถัดไป ากนั้น ตั้งคาถามให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกันว่า เรา
สามารถนาความร้เข้าใ เกีย่ วกับ าตุกม
ั มันตรังสีแล รังสี ไปปร ยุกต์ใช้ปร โยชน์ได้อย่างไร โดยเปดโอกาส
ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ให้นักเรียนชมคลิปวิดีทัศน์หรือรปเกี่ยวกับการใช้ปร โยชน์ ากรังสี เช่น การสร้าง าพ 3 มิติของ
อวัยว ายในร่างกาย ป
้ วยโดยใช้เครือ
่ งฉายรังสีสาหรับการตรว วินิ ฉัยแล รักษาโรค การหาอายุของวัตถุ
โบราณโดยใช้ความร้เกี่ยวกับไอโซโทปกัมมันตรังสี หรือ การศกษาการดดซมปุยของพืชโดยใช้ไอโซโทป
กัมมันตรังสี
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
186 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
จุดประสงค์
1. บอกความหมายของคาศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกัมมันต าพรังสีแล ป ิกิริยานิวเคลียร์
เวลาที่ใช้ 10 - 15 นาที
วัสดุและอุปกร ์
1. แ ่นบิงโก ตาม านวนนักเรียน
หรือดาวน์โหลดแ ่นบิงโกได้ าก QR Code ปร าบทที่ 20 หรือที่ลิงค์
http://ipst.me/11456
2. ดินสอ หรือ ปากกา 1 ด้าม
3. ใบรายการคาศัพท์ 1 ใบ
วิธีทำากิจกรรม
1. แ กแ ่นบิงโกที่มีตารางขนาด 3cm × 3cm านวน 16 ช่อง แล ใบรายการคาศัพท์ให้กับ
นักเรียนคนล ใบ
2. ให้นักเรียนสุ่มเลือกคาศัพท์เกี่ยวกับกัมมันต าพรังสีแล ป ิกิริยานิวเคลียร์ ในรายการด้าน
ล่างตารางบิงโกในแ ่นบิงโกที่ครแ ก แล้วเขียนลงไปในตารางช่องล คา โดยไม่เรียงลาดับ
นครบ 16 ช่อง
3. ครชี้แ งวิ ีการเล่นเกม โดยคร อ่านคาถามทีล คาถาม แล้วให้นักเรียนพิ ารณาคาตอบ
ถ้าในช่องใดของตารางมีคาที่เปนคาตอบของคาถาม ให้กากบาทช่องนั้น แต่ถ้าไม่มีคา
ที่เปนคาตอบ ให้รอฟงคาถามต่อไป โดยไม่ต้องเขียนอ ไรลงไปในตาราง
4. ถ้านักเรียนคนใดกากบาทได้ 4 ช่องเรียงกันในแนวตั้ง แนวนอน หรือ แนวทแยง อย่างใด
อย่างหน่ง ให้พดดัง ว่า บิงโก แล้วนา ลการกากบาทมาตรว คาตอบกับคร
5. นักเรียนได้ช่องที่กากบาท 4 ช่อง เรียงกันแล ได้คาตอบถกต้องทั้ง 4 ช่อง เปน ้ชน
โดยครอา พิ ารณาให้รางวัลนักเรียนที่ได้บิงโก 3 – 4 รางวัลแล อา อ่านคาถามที่เหลือ น
หมด เพื่อเปนการทบทวนความร้ร่วมกันในห้อง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 187
ตัวอย่างคำาศัพท์ในใบรายการคำาศัพท์ ที่นักเรียนเลือกเขียนลงในช่องของตาราง
ตัวอย่างคำาถามสำาหรับครู
1. การสลายให้บีตา เปนการสลายที่ให้อนุ าคอ ไร
2. การรวมกันของนิวเคลียสของ าตุเบาแล้วมีการปลดปล่อยพลังงานออกมาเปนป ิกิริยา
อ ไร
3. กร บวนการทีน
่ วิ เคลียสได้รบ
ั การกร ตุน
้ ด้วยอนุ าคชนิดหน่ง แล้วมีการแยกออกเปน
นิวเคลียสใหม่เปนป ิกิริยาอ ไร
4. ช่วงเวลาที่ าตุกัมมันตรังสีสลาย นกร ทั่งลดลงเหลืออย่คร่งหน่งของปริมาณเริ่มต้น
เรียกว่าอ ไร
5. นิวเคลียสของไอโซโทปที่เปนวัตถุดิบสาหรับการสร้างฟวชัน คืออ ไร
6. อัตราการแ ่รังสีของ าตุกัมมันตรังสี เรียกว่าอ ไร
7. ความน่า เปนที่นิวเคลียส เกิดการสลายในหน่งหน่วยเวลา คืออ ไร
8. การสลายที่นิวเคลียสมีเลขมวลลดลง 4 แล เลขอ ตอมลดลง 2 เปนการสลายให้อนุ าค
อ ไร
9. การสลายที่เกิดข้นแล้ว นิวเคลียสยังเปนนิวเคลียสชนิดเดิม คือการสลายให้อ ไร
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
188 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
20.4.1 การนำารังสีไปใช้ประโยชน์
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
2. การหาอายุของวัตถุโบราณหรือซาก 2. การหาอายุของวัตถุโบราณทีม
่ ซ
ี ากสิง่ มีชวี ต
ิ
สิ่งมีชีวิตโดยใช้วิ ีการหาปริมาณของ ปร กอบโดยใช้วิ ีการหาปริมาณของ
คาร์บอน 14 สามารถใช้ได้กับวัตถุหรือ คาร์บอน 14 สามารถใช้ได้กับวัตถุที่มีซาก
สิ่งมีชีวิตทุกช่วงอายุ สิ่งมีชีวิตเปนส่วนปร กอบที่มีอายุไม่เกิน
70 000 ปี
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 189
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชีแ้ ง ด
ุ ปร สงค์การเรียนร้ขอ้ ที่ 17 ของหัวข้อ 20.4 ตามหนังสือเรียน ากนัน
้ ครแบ่งกลุม
่ นักเรียน
แล ให้แต่ล กลุม
่ เลือกศกษา สืบค้นข้อมล แล นาเสนอเกีย่ วกับการนารังสีไปใช้ปร โยชน์ในด้านใดด้านหน่ง
ต่อไปนี้
1. ด้านการแพทย์
2. ด้านโบราณคดีแล รณีวิทยา
3. ด้านเกษตรกรรม
4. ด้านอุตสาหกรรม
5. ด้านความปลอด ัย
โดยกาหนดปร เด็นหลักในการนาเสนอดังต่อไปนี้
ตัวอย่างการใช้ปร โยชน์
ชนิดของรังสีหรือไอโซโทปกัมมันตรังสีที่ใช้
หลักการที่เกี่ยวข้อง
ทัง้ นี้ นักเรียนอา เลือกหัวข้ออืน
่ ทีก่ ลุม
่ ของนักเรียนสนใ นอก าก 5 หัวข้อข้างต้น แล ถ้าในห้องเรียน
มี านวนนักเรียนมาก บางกลุม
่ อา เลือกหัวข้อทีซ
่ ากั
้ นได้ แต่รวมทุกกลุม
่ ต้องมีการเสนอครอบคลุมทัง้ 5 หัวข้อ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
190 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
คาร์บอน 14 มาจากไหน
คาร์บอนเปน าตุชนิดหน่งที่มีหลายไอโซโทป เช่น 116 C116 C126 C126 C136 C136แล
C146 C146 C116โดย
C 126 C แล136 C 14
6 C
11
6 C 12
6 C 13
6 C เปนไอโซโทปเสถี
14
C
6 ยรที่มีอย่ใน รรมชาติร้อยล 98.90 แล ร้อยล 1.10 ตามลาดับ ส่วน C 11
6
12
6 C 13
6 C
11
6C 12
6C แล
13
C
6
14
6C เปนไอโซโทปกัมมันตรังสีมีคร่งชีวิต 20.39 นาที แล 5730 ปี ตามลาดับ
คาร์บอน 14 มีปริมาณน้อยมากโดยเกิด ากนิวตรอนในรังสีคอสมิก อนุ าค ากอวกาศ
ชนกับนิวเคลียสของไนโตรเ นในบรรยากาศ ทาให้เกิดคาร์บอน 14 แล โปรตอน ดังสมการ
14 1 14 1
7N 0n 6C 1H
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 191
การหาอายุวัตถุและ ากโบรา
การหาอายุวัตถุแล ซากโบราณโดยใช้ความร้เกี่ยวกับคาร์บอน 14 ดังตัวอย่างต่อไปนี้
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
192 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
A = λ 0 e-λt
t N0
e
A
N0
t ln
A
1 N0
t ln
A
แทนค่า ได้
1 (3.83 10 12 s 1 )(5.6 1012 )
t ln
3.83 10 12 s 1 15s 1
= 9.34 × 1010 s
= 2962 ปี
เวลานี้เปนเวลาตั้งแต่สัตว์ตัวนี้ตายถงป บ
ุ ัน
ตอบ กร ดกชิ้นนี้มีอายุปร มาณ 3.0 × 103 ปี
T1 / 2 16 Bq
แทนค่า ได้ t ln
0.693 13 Bq
5730 y
( 0.2076)
0.693
= 1717 year
ตอบ อายุของชิ้นไม้ปร มาณ 1717 ปี
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
194 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
20.4.2 รังสีในธรรมชาติและการป้องกันอันตรายจากรังสี
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. เตรียมคลิปวิดท
ี ศ
ั น์หรือ าพเกีย่ วกับรังสีใน รรมชาติ หรือ ข่าวเกีย่ วกับอันตราย ากรังสีไว้ลว่ งหน้า
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 18 แล 19 ของหัวข้อ 20.4 ตามหนังสือเรียน ากนั้น ครให้
นักเรียนดคลิปวิดท
ี ศ
ั น์หรือรปของพืช อาหาร หรือ สิง่ ก่อสร้าง ทีแ่ สดงรังสีทแี่ อ
่ อกมา ตัวอย่างเช่นรป 20.3
แสดงดอกไม้ชนิดหน่ง ที่มีการแ ่รังสีบีตา เนื่อง ากมีส่วนปร กอบของโพแทสเซียม 40
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 195
การเดินทางโดยเครื่องบินระหวางเมืองโตเกียวกับเมือง 0.19
นิวยอรก ไปและกลับ 1 ครั้ง
การตรวจรางกายโดยใชเครื่องฉายภาพเอกซเรย
6.9
คอมพิวเตอร หรือ CT scan 1 ครัง้
ปริมาณรังสีที่คนหนึ่งคนที่ไดรับจากสิ่งแวดลอมตอ 1 ป 2.2
(คาเฉลี่ยทั่วโลก)
การอาศัยอยูบริเวณที่หางจากโรงไฟฟานิวเคลียรประมาณ 0.05
80 กิโลเมตร เปนเวลา 1 ป
ระดับปริมาณรังสีสูงสุดที่สาธารณชนไมควรไดรับเกิน
5
ภายใน 1 ป
ระดับปริมาณรังสีสูงสุดที่อนุญาตใหผูปฏิบัติงานทางรังสี 50
ไดรับเกินภายใน 1 ป
ปริมาณรังสีที่ไดรับในครั้งเดียวที่สามารถทำใหเกิดอาการ 1000
เจ็บปวยทางรังสี
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
196 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 197
ครแล นักเรียนอ ป
ิ รายร่วมกันเกีย่ วกับรังสี ากสิง่ แวดล้อม นสรุปได้วา่ รังสีมอ
ี ย่ในสิง่ ต่าง รอบ
ตัวเรา หรือแม้แต่ร่างกายของเรามีการรังสีแ ่ออกมาตลอดเวลา แต่ปริมาณรังสีที่ได้รับ ไม่อย่ในร ดับ
ที่เปนอันตราย
ให้นักเรียนสืบค้นข้อมล โดยตั้งปร เด็นว่า ถ้าร่างกายได้รับรังสีในปริมาณที่มากเกินไป ร่างกาย
มี อ าการอย่ า งไร แล ถ้ า บั ง เอิ ญ ไปอย่ ใ นสถานการณ์ ที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ รั ง สี ที่ เ ปนอั น ตราย มี แ นวทาง
ปองกันอย่างไร โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครให้ นั ก เรี ย นดคลิ ป วิ ดี ทั ศ น์ ห รื อ อ่ า นข้ อ ความที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ อั น ตราย ากรั ง สี โดยอา เลื อ ก
สถานการณ์ในข่าวต่อไปนี้
1. ข่าวในช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2562 ที่มีชาวบ้านกลุ่มหน่ง ซื้อบัตรพลังงานไปแกว่งในน้าแล้ว
ดื่มหรือไปแป ตามร่างกาย เพรา เชื่อว่า มีสรรพคุณในการรักษาอาการปวดเมื่อย ซ่ง ากการ
ตรว สอบโดยสานักงานปรมาณเพือ
่ สันติ ปส. พบว่า บัตรมีร ดับรังสีสงกว่าขีด ากัดการได้รบ
ั
ปริมาณรังสีสาหรับปร ชาชนทั่วไปกว่า 350 เท่า
คลิปข่าว
o https://youtu.be/a1ONKzmJ_q0
o https://youtu.be/l2VDgRbuokE
ลิงค์ข่าว
o https://news.mthai.com/special-report/737706.html
2. ข่าวการพบกล่องโลห บรร สุ าร อิรเิ ดียม 192 ในสานักงานร้าง ซ.พหลโย น
ิ 24 กรุงเทพมหานคร
เมื่อปี พ.ศ. 2559
คลิปข่าว https://youtu.be/qICLzHF7Cp8
ลิงค์ข่าว https://www.thairath.co.th/content/619586
3. สารคดีเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรังสีที่ ังหวัดสมุทรปราการ เมื่อปี พ.ศ. 2543
คลิปข่าว https://youtu.be/umERjn6-j9w
ลิงค์ข่าว https://www.thairath.co.th/content/45126
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
198 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ครให้ นั ก เรี ย นศกษาเกี่ ย วกั บ ลกร ทบที่ เ กิ ด กั บ ร่ า งกายเมื่ อ ได้ รั บ รั ง สี ใ นปริ ม าณที่ ม ากเกิ น ไป
แล แนวทางการปองกันรังสี ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน รวมทั้งให้นักเรียนสืบค้นข้อมลเพิ่มเติมเกี่ยว
กับแนวทางการป ิบัติตัวในกรณีพบวัตถุที่ต้องสงสัยว่ามีอันตราย ากรังสี ากนั้น ให้นักเรียนนาเสนอ
ครนาอ ป
ิ รายเพือ
่ สรุปเกีย่ วกับ ลกร ทบของรังสีตอ
่ ร่างกาย แนวทางการปองกันอันตราย ากรังสี
แล คาตอบคาถามข้างต้น ซ่งควรได้คาตอบดังนี้
ก. แนวคำาตอบ การที่ บอกได้วา่ วัตถุทสี่ งสัย อา มีรงั สีทเี่ ปนอันตราย สังเกตได้ ากสัญลักษณ์ดงั รป
20.4 ก. หมายความว่ า วั ต ถุ นั้ น บรร ุ ห รื อ เปนแหล่ ง กาเนิ ด รั ง สี ที่ แ ่ รั ง สี อ อกมาโดยรอบ
แต่ถ้ามีสัญลักษณ์ดังรป 20.4 ข. หมายความว่า วัตถุนั้นบรร ุหรือเปนแหล่งกาเนิดรังสีที่เปน
อันตรายมาก
ก ข
รูป 20.4 ตัวอย่างการทำาภาพประกอบข้อมูลแบบอินโฟกราฟิกแบบที่ 1
ข้อแนะนำาเพิ่มเติมสำาหรับครู
เพื่อการสร้างความเข้าใ ที่ดียิ่งข้น แล เปนการเชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนร้กับการปร ยุกต์ใช้ในชีวิต
ปร าวัน ครอา พานักเรียนไปทัศนศกษาหน่วยงานต่าง ที่ทางานเกี่ยวกับรังสี เช่น แ นกเวชศาสตร์
นิวเคลียร์ในโรงพยาบาล สานักงานปรมาณเพือ
่ สันติ ปส. หรือ สถาบันเทคโนโลยีนวิ เคลียร์แห่งชาติ สทน.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 199
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
ปลอดภัยกับรังสีและพลังงานนิวเคลียร์
าก อย่ปลอด ัยกับอ ตอม อ ตอม...เพื่ออนาคต สื่อความร้เรื่องพลังงานนิวเคลียร์ สานักงาน
ปรมาณเพื่อสันติ
1. ปริมา รังสีเท่าใดจึงจะปลอดภัย
คาว่า ปลอด ัย ในที่นี้หมายถง ปริมาณรังสีที่ได้รับแล้วไม่ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง
กาย าพ แล ไม่ทาให้เกิดความ ิดปกติในร่างกาย
หน่วยที่ใช้วัดปริมาณการได้รับรังสี เรียกว่า ีเวิร์ต sievert, Sv
คณ กรรมการว่าด้วยการปองกันรังสีร หว่างปร เทศ International Commission on
Radiological Protection หรือ ICRP ได้กาหนดขีด ากัดปริมาณรังสี dose limit หรือค่า
กาหนดสงสุดของปริมาณรังสียัง ลที่บุคคลอา ได้รับ ากการดาเนินกิ กรรมทางรังสี สาหรับ
อวัยว ต่าง ดังนี้
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
200 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
เลนสตา อวัยวะ
ไมเกิน 150 มิลลิซีเวิรต ตอป 1 มิลลิซีเวิรต ตอป
สืบพันธุ ไขกระดูก
ผิวหนัง ไทรอยด
ไมเกิน 400 มิลลิซีเวิรต 50 มิลลิซีเวิรต
ตอป
มือ แขน ขา
2. ปริมา รังสีเท่าใดจึงจะปลอดภัย
หากร่างกายไม่ว่าอวัยว ส่วนใดก็ตาม ได้รับปริมาณรังสีเกินกาหนด เกิดอาการทั้งต่อ
ร่างกายของเราโดยตรงแล แบบที่ส่ง ลไปทางพัน ุกรรมได้
ลที่เกิดกับส่วนใดส่วนหน่งของร่างกาย somatic effect ยังข้นอย่กับว่า การรับรังสีนั้น
เปนแบบเฉียบพลัน acute exposure หรือแบบเรื้อรัง chronic exposure
□ ได้รับรังสีแบบเฉียบพลัน เช่น กรณีได้รับอุบัติเหตุ ากรังสี ลคือ ทาให้เกิดความ ิด
ปกติเกี่ยวกับร บบต่าง ในร่างกายโดยมีอาการคลื่นไส้ อาเ ียน ท้องเสีย ร่วมด้วย แล อา ถง
ขั้นชัก ิวหนังเสื่อมส าพ อา เสียชีวิต ายใน 3 วัน
□ ได้รับรังสีแบบเรื้อรัง ร่างกาย ได้รับรังสีไม่สงเท่าแบบเฉียบพลัน แต่ ได้รับรังสีส สม
อย่เรื่อย เช่น การรับรังสีของ ้ทางานเกี่ยวกับรังสี ลคือ ทาให้เกิดโรคม เร็งเม็ดเลือดขาว ม เร็ง
ต่าง ต้อกร ก เปนต้น
ลที่เกิดข้นกับทางพัน ุกรรม genetic effect หมายถง ลที่เกิดข้นในเซลล์สืบพัน ุ์ โดย
ทาให้เปนหมัน หรือเกิดมิวเทชัน mutation ซ่งความ ิดปกตินี้ ไปปราก ในรุ่นลกหลานได้
3. อาการปวยเนื่องจากรังสี
อาการปวยเนื่อง ากรังสีแบ่งเปน 3 ร ย คือ
1. ร ย เตือนล่วงหน้า เปนอาการทีแ่ สดงออกให้เห็น ายหลัง ากถกรังสีในไม่กช
่ี ว่ั โมง ได้แก่
อาการคลื่นเหียน อาเ ียน หายใ ไม่ส ดวก เพลีย หมดแรงทรงตัว ิวหนังแดง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 201
4. การแบ่งระดับความรุนแรงของอุบัติเหตุทางรังสีในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ทบวงการพลังงานปรมาณร หว่างปร เทศ International Atomic Energy Agency,
IAEA ซ่งเปนหน่วยงานด้านนิวเคลียร์ร ดับนานาชาติ อย่ ายใต้องค์การสหปร ชาชาติ ได้ ัดทา
มาตร านร หว่างปร เทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ International Nuclear Event Scale,
INES โดยแบ่งร ดับความรุนแรงของอุบัติเหตุทางรังสีไว้ 8 ร ดับดังนี้
ระดับ 0 การเบี่ยงเบน deviation
เหตุ ก ารณ์ ที่ ค ลาดเคลื่ อ นเล็ ก น้ อ ย ากการเดิ น เครื่ อ งโรงไฟฟานิ ว เคลี ย ร์ ต ามปกติ
ไม่ส่ง ลกร ทบต่อความปลอด ัยต่าง
ระดับ 1 เหตุผิดปกติ anomaly
เหตุการณ์ที่แตกต่าง ากเงื่อนไขตามที่อนุญาตให้เดินเครื่องโรงไฟฟานิวเคลียร์ โดยไม่มี ล
กร ทบต่อความปลอด ัย ไม่มีการปนเปอนสารกัมมันตรังสี หรือ ้ป ิบัติงานไม่ได้รับปริมาณรังสี
เกินกาหนด
ระดับ 2 เหตุขัดข้อง incident
เหตุการณ์ซ่งส่ง ลกร ทบด้านความปลอด ัย แต่ร บบการปองกันอื่น ยังสามารถควบคุม
ส าว ด
ิ ปกติอน
่ื ได้ แล หรือ เหตุการณ์ทท
่ี าให้ ป
้ บ
ิ ต
ั งิ านได้รบ
ั ปริมาณรังสีเกินกาหนด แล หรือ
เหตุการณ์ที่ทาให้เกิดการแพร่กร ายของสารกัมมันตรังสี ายในบริเวณโรงไฟฟานิวเคลียร์ซ่ง
ไม่ได้รับการออกแบบรองรับไว้ แล ต้องดาเนินมาตรการแก้ไข
ระดับ 3 เหตุขัดข้องรุนแรง serious incident
เหตุการณ์ที่ใกล้ต่อการเกิดอุบัติเหตุ ซ่งเหลือเพียงร บบปองกันขั้นสุดท้ายที่ทาให้เกิดการ
แพร่กร ายของสารกัมมันตรังสี ายในบริเวณโรงไฟฟานิวเคลียร์อย่างรุนแรง หรือ ้ป ิบัติงานได้
รับปริมาณรังสีในร ดับทีเ่ ปนอันตรายต่อสุข าพอนามัย แล หรือมีการแพร่กร ายสารกัมมันตรังสี
ปริมาณเล็กน้อยออกส่ ายนอกโรงงานไฟฟานิวเคลียร์ กลุ่มบุคคลที่ล่อแหลมต่อเหตุการณ์ได้รับ
ปริมาณรังสีในช่วงเปนเศษส่วนในสิบของมิลลิซีเวิร์ต
ระดับ 4 อุบัติเหตุที่ไม่มีนัยสำาคัญต่อ (ผลกระทบ) ภายนอกโรงไฟฟ้า
cci ent it o t si ni c nt o site ris
อุบัติเหตุที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถานป ิบัติการนิวเคลียร์ในร ดับสาคัญ เช่น
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
202 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
แกนเครือ
่ งป ก
ิ รณ์นวิ เคลียร์หลอมล ลายบางส่วน แล หรือ ป
้ บ
ิ ต
ั งิ านได้รบ
ั ปริมาณรังสีเกินเกณฑ์
กาหนด ทาให้มีโอกาสเสียชีวิต ากเหตุการณ์ดังกล่าวเปนไปได้สง แล หรือมีการแพร่กร ายของ
สารกัมมันตรังสีออกส่ ายนอกโรงไฟฟา ยัง ลให้บุคคลที่ล่อแหลมต่อเหตุการณ์ได้รับปริมาณรังสี
ในช่วง 2 – 3 มิลลิซีเวิร์ต
ระดับ 5 อุบัติเหตุที่มีผลกระทบถึงภายนอกโรงไฟฟ้า accident with off-site risk
อุบัติเหตุที่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อสถานป ิบัติการนิวเคลียร์ แล หรือมีการแพร่
กร ายของสารกั ม มั น ตรั ง สี อ อกส่ ายนอกโรงไฟฟาในร ดั บ เที ย บเท่ า กั บ กั ม มั น ต าพของ
ไอโอดีน 131 ในช่วง 100 – 1000 เทร เบ็กเคอเรล ทาให้ต้องมีการใช้แ นฉุกเฉินบางส่วน
ระดับ 6 อุบัติเหตุระดับรุนแรง serious accident
อุ บั ติ เ หตุ ที่ ก่ อ ให้ เ กิ ด การแพร่ ก ร ายของสารกั ม มั น ตรั ง สี อ อกส่ ายนอกโรงไฟฟาใน
ปริมาณมากในร ดับเทียบเท่ากับกัมมันต าพของไอโอดีน 131 ในช่วง 1000 – 10 000 เทร
เบ็กเคอเรลแล ต้องดาเนินการตามแ นฉุกเฉินเต็มรปแบบ
ระดับ 7 อุบัติเหตุระดับรุนแรงที่สุด อุบัติเหตุใหญ่หลวง major accident
อุ บั ติ เ หตุ ที่ ก่ อ ให้ เ กิ ด การแพร่ ก ร ายของสารกั ม มั น ตรั ง สี อ อกส่ ายนอกโรงไฟฟาใน
ปริมาณมหาศาลในร ดับเทียบเท่ากับกัมมันต าพของไอโอดีน 131 ที่มากกว่า 10 000 เทร
เบ็กเคอเรล มี ลกร ทบต่อสุข าพอนามัย แล สิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 203
แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกีย่ วกับการนารังสีไปใช้ปร โยชน์ในด้านต่าง อันตราย ากรังสีทม
่ี ต
ี อ่ ร่างกาย แล วิ กี าร
ปองกันอันตราย ากรังสี ากคาถามตรว สอบความเข้าใ 20.4
2. ทักษ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ความร่วมมือแล การทางานเปนทีม ากการสืบค้นข้อมล
แล การนาเสนอ
3. ทักษ การคิดอย่างมีวิ ารณญาณ การสร้างสรรค์แล นวัตกรรมแล การสื่อสาร ากข้อมลที่
นาเสนอแล การนาเสนอ
4. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความอยากร้อยากเห็น ความใ กว้าง แล ความมีเหตุ ล ากการอ ิปราย
ร่วมกัน แล การนาเสนอ
5. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความร่วมมือช่วยเหลือ ากความร่วมมือแล การทางานเปนทีมในการ
สืบค้นข้อมลแล การนาเสนอ
6. ิตวิทยาศาสตร์ด้านการเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ ากการอ ิปรายร่วมกัน แล การนาเสนอ
แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 20.4
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
204 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
20.5 ฟิสิกส์อนุภาค
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ยกตัวอย่างการค้นคว้าวิ ัยที่ค้นพบอนุ าคมล าน
2. ร บุชนิดแล สมบัติของอนุ าคมล าน
3. อ ิบายพ ติกรรมแล อันตรกิริยาของอนุ าคมล านโดยอาศัยแบบ าลองมาตร าน
4. ยกตัวอย่างปร โยชน์ที่ได้ ากการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค
สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. คลิปวิดีทัศน์หรือรปเกี่ยวกับการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค โดยอา ใช้คลิปวิดีทัศน์ ดังนี้
คลิปสารคดี มหัศ รรย์งานสร้าง เครื่องเร่งอนุ าคแอลเอชซี
https://youtu.be/enw-59IiYuc
คลิปข่าวการเดินเครื่องเร่งอนุ าคขนาดใหญ่อีกครั้งของเซิร์น
https://youtu.be/dwT7D9GdUN8
คลิป าลองการเร่งอนุ าคโปรตอนมาชนกันที่พลังงานสง
https://youtu.be/NhXMXiXOWAA
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 205
แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 20.5 โดยให้นก
ั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกันเพือ
่ ทบทวนความร้เดิมเกีย่ วกับอนุ าคต่าง
ที่นักเรียนเคยได้เรียนร้มา ากนั้น ตั้งคาถามว่า อนุ าคที่เล็กที่สุดของอ ตอมคืออ ไรแล อนุ าคเหล่านี้
ยังมีองค์ปร กอบ ายในหรือไม่ อย่างไร แล ถ้ามี มีแนวทางการศกษาอย่างไร โดยเปดโอกาสให้นก
ั เรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครให้ความร้เพิ่มเติมว่า ในป ุบัน นักวิทยาศาสตร์มีการศกษาองค์ปร กอบพื้น านของสสารแล
พลังงานในเอก พในสาขาที่เรียกว่า ฟสิกส์อนุ าค โดยอาศัยเครื่องมือสาคัญ 2 ชิ้นคือ เครื่องเร่งอนุ าค
แล เครื่องตรว วัดอนุ าค ดังตัวอย่างในรป 20.42 ในหนังสือเรียน
ครให้นักเรียนดคลิปวิดีทัศน์หรือรปเกี่ยวกับการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าคที่เตรียมมา ากนั้น
ชี้แ งว่า อุปกรณ์ที่ใช้ศกษาอนุ าคขนาดเล็กในป ุบันมีขนาดใหญ่ แล ต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน
แต่ในอดีต นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างเครื่องมือที่ใช้ตรว วัดอนุ าคแบบที่นักเรียนสามารถสร้างข้นเองได้ใน
ชั้นเรียน เรียกว่า เครื่องตรว วัดอนุ าคแบบห้องหมอก cloud chamber ากนั้น ครอา ทากิ กรรม
เสนอแน สาหรับคร การตรว วัดอนุ าคด้วยเครื่องตรว วัดอนุ าคแบบห้องหมอก โดยอา ทาเปน
กิ กรรมสา ิต หรือ กิ กรรมกลุ่ม
ครตัง้ คาถามเพือ
่ นาเข้าส่การเรียนร้หวั ข้อ 20.5.1 – 20.5 ว่า ากอดีต นถงป บ
ุ น
ั นักวิทยาศาสตร์
ค้นพบอนุ าคอ ไรอีกบ้าง ที่เปนองค์ปร กอบพื้น านของสสารแล พลังงานในเอก พ แล อนุ าคเหล่า
นั้นมีสมบัติอย่างไร อีกทั้ง ความร้ที่ได้ ากการศกษาอนุ าคเหลานี้ นาไปใช้ปร โยชน์ในชีวิตปร าวันได้
อย่างไร
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
206 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
กิจกรรมเสนอแนะสำาหรับครู
กิจกรรมสาธิตการตรวจวัดอนุภาคด้วยเครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องหมอก
จุดประสงค์
1. สังเกตรอยทางการเคลื่อนที่ของอนุ าคในห้องหมอก
เวลาที่ใช้ 60 นาที
วัสดุและอุปกร ์
1. ต้ปลาขนาดเล็ก ปร มาณ 25cm × 13cm × 20 cm 1 ต้
2. ้าสักหลาดหรือฟองน้าขนาดพอดีกับพื้นของต้ปลา 1 ชิ้น
3. เทปกาวใส 1 ม้วน
4. ไฟฉาย LED 1 กร บอก
5. น้าแข็งแห้ง 1 กิโลกรัม
6. ไอโซโพรพานอล isopropanol หรือ 0.5 ลิตร
ไอโซโพรพิลแอลกอ อล์ isopropyl alcohol 90%
7. ขวดสเปรย์ 1 ขวด
8. ดินน้ามันสีดาขนาด 100 กรัม 5 ก้อน
9. ถาดอ ลมิเนียมหรือถาดโลห สีดาขนาดใหญ่กว่าพื้นต้ปลาเล็กน้อย 1 ถาด
10. ถาดพลาสติกขนาดใหญ่กว่าถาดอ ลมิเนียม สาหรับใส่นาแข็
้ งแห้ง 1 ถาด
11. ถุงมือ ้า 1 ค่
12. แว่นตานิร ัย 1 อัน
13. กรรไกร 1 ค่
14. แหล่งกาเนิดรังสี เช่น ลวดเชื่อมทังสเตนที่มีทอเรียม 232 ไส้ต เกียงเ ้าพายุ หินบางชนิด
แนะนำาก่อนทำากิจกรรม
1. อา ใช้ต้พลาสติกใสขนาดใหญ่พอสมควร แทนต้ปลา
2. การ ัดหาไอโซโพรพานอล หรือ ไอโซโพรพิลแอลกอ อล์ 90% อา ติดต่อครวิชาเคมีเกี่ยวกับ
ข้อมลการสั่งซื้อ
3. ร วังไม่ให้ไอโซโพรพิลแอลกอ อล์สัม ัส ิวหนัง เข้าปากหรือเข้าตา ถ้าสัม ัสให้ล้างออก
ด้วยน้าทันที
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 207
วิธีทำากิจกรรม
1. ครอ ิบายหลักการที่อนุ าคทาให้เกิดรอยทาง
ในห้ อ งหมอกที่ สั ง เกตได้ ากนั้ น ให้ นั ก เรี ย น
ทานายว่า รอยทางของอนุ าคที่ปล่อยมา าก
าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสีในห้องหมอก มี
ลักษณ อย่างไร พร้อมให้เหตุ ลปร กอบ
2. ให้นกั เรียนหาคาตอบ ากการสังเกตรอยทางของ
อนุ าคในห้องหมอก รูป ก.
3. ในการสร้ า งห้ อ งหมอก เริ่ ม ต้ น ด้ ว ยวาง ้ า สั ก
หลาดไว้ทพ
ี่ น
ื้ ด้านในของต้ปลา ติดด้วยเทปกาวใส
เพื่อไม่ให้หลุด ดังรป ก.
4. ฉีดหรือพรมแอลกอ อล์ลงบน ้าสักก หลาดที่
ก้นต้ปลา นชุ่ม ดังรป ข.
5. คว่าต้ปลาลงบนถาดอ ลมิเนียมให้ขอบของปาก
รูป ข.
ต้ปลาสัม สั กับพืน
้ ถาดแบบแนบสนิท ากนัน
้ ใช้
ดินน้ามันหรือเทปกาวปดรอยต่อร หว่างต้ปลา
กับถาดอ ลมิเนียมให้สนิท ดังรป ค. เพือ
่ ปองกัน
การร เหยของแอลกอ อล์ออก ากต้ปลา
รูป ค.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
208 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
6. ใส่น้าแข็งแห้งลงในถาดพลาสติกที่เตรียมไว้ดัง
รป ง. ร วังไม่สัม ัสน้าแข็งแห้งโดยตรง ควรใช้
ถุงมือ หรือ ช้อนตัก
7. นาต้ปลาทีต
่ ด
ิ กับถาดอ ลมิเนียมไปวางไว้บนน้า
แข็งแห้งทีอ
่ ย่ในกร บ พลาสติก โดยให้ดา้ นถาด
รูป ง.
อ ลมิเนียมสัม ัสกับน้าแข็งแห้ง ดังรป .
8. รอให้แอลกอ อล์ร เหยปร มาณ 10 - 15 นาที
ถ้าต้ปลาขนาดใหญ่ อา ใช้เวลานานข้น
9. ปดไฟแล ัดให้ห้องมืดสนิท ากนั้นใช้ไฟฉาย
LED ฉายลาแสงไปที่บริเวณที่มีพื้น ิวสีดาของ
ถาดในต้ปลา ดังรป ฉ. สังเกตสิง่ ทีเ่ กิดข้น อ ป
ิ ราย
รูป จ.
รูป ฉ.
ข้อแนะนำาเพิ่มเติมสำาหรับครู
ในกรณีที่ไม่สามารถสังเกตรอยทางของอนุ าค ากรังสีคอสมิกได้ชัดเ น ครอา ใช้แหล่ง
กาเนิดรังสีที่ได้เตรียมไว้ โดยให้วางแหล่งกาเนิดรังสีลงบริเวณตรงกลางของถาดอ ลมิเนียม ในขั้น
ตอนที่ 3 แล ใช้เทปกาวติดให้แหล่งกาเนิดรังสีให้ไม่ขยับไปมา ก่อนทาตามขั้นตอนที่ 4 – 8 ต่อไป
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 209
กิจกรรมเสนอแนะสำาหรับครู กิจกรรมกลุ่มสร้างเครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องหมอก
จุดประสงค์
1. สร้างเครื่องตรว วัดอนุ าคแบบห้องหมอก
2. สังเกตรอยทางการเคลื่อนที่ของอนุ าคในห้องหมอก
3. อ ิบายการเกิดรอยทางการเคลื่อนที่ของอนุ าคในห้องหมอก
เวลาที่ใช้ 60 นาที
วัสดุและอุปกร ์
1. กร ปุกแก้วหรือพลาสติกใสขนาดเส้น ่านศนย์กลางปร มาณ 10 เซนติเมตร 1 อัน
2. ไฟฉาย LED 1 กร บอก
3. น้าแข็งแห้ง ขนาดใหญ่กว่าปากของกร ปุกใส 1 ก้อน
4. หลอดบรร ุไอโซโพรพิลแอลกอ อล์ 90% 200 มิลลิลิตร
5. หลอดหยด 1 หลอด
6. ฟองน้าหนาปร มาณ 1 cm 1 แ ่น
7. แ ่นอ ลมิเนียมหรือสังก สีขนาด A4 1 แ ่น
8. แ ่นกาวอ ลมิเนียม 1 ม้วน
9. ุกคอร์กพลาสติก เส้น ่านศนย์กลางปร มาณ 1 cm 1 ถาด
10. กรรไกร 1 ด้าม
11. ถุงมือ ้า 1 ค่
12. ถาดพลาสติกขนาดใหญ่กว่าปากกร ปุกใส 1 ถาด
13. แหล่งกาเนิดรังสี 1 อัน
14. เทปกาว 2 หน้า 1 ม้วน
แนะนำาก่อนทำากิจกรรม
ควรป ิบัติในแนวทางเดียวกับกิ กรรมสา ิตการตรว วัดอนุ าคด้วยเครื่องตรว วัดอนุ าค
แบบห้องหมอก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
210 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
สิ่งที่ครูต้องเตรียม
1. เตรียมฟองน้าแล แ ่นอ ลมิเนียมสาหรับทากิ กรรม โดยตัดให้เปนแ ่นดิสก์ที่มีเส้น ่าน
ศนย์กลางใหญ่กว่าเส้น ่านศนย์กลางของปากกร ปุกแก้วเล็กน้อยแล้วพ่นหรือทาสีดาด้าน
ใดด้านหน่ง ดังรป
ฟองน้ ตัดเปนวงกลม
กร ปุกใส
รูป การเตรียมวัสดุก่อนทำากิจกรรม
รูป ข.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 211
รูป ฉ.
รูป ช.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
212 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ตัวอย่างใบบันทึกกิจกรรม
เครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องหมอก
อนุ าคทีม
่ แี หล่งกาเนิด ากปราก การณ์ในอวกาศเคลือ
่ นที่ า่ นโลกของเราตลอดเวลา บาง
อนุ าคพุ่งเข้าชนกับอนุ าคในชั้นบรรยากาศ ทาให้เกิดอนุ าคอีกหลากหลายชนิดเคลื่อนที่มายัง
พื้นโลก อนุ าคเหล่านี้ไม่เปนอันตรายแต่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเครื่องตรว วัดอนุ าค
แบบห้องหมอก หรือ เรียกสั้น ว่า ห้องหมอก cloud chamber เปนเครื่องมือที่สามารถช่วยให้
เรามองเห็นรอยทางการเคลื่อนที่ของอนุ าคเหล่านี้ได้
ในห้องหมอก อุณห มิบริเวณด้านบนกับ แอลกอ อล์ที่ซมอย่ด้านบน ร เหยเปนไอ
แล เคลื่อนที่ลงส่ด้านล่าง
ด้านล่าง ต่างกันมาก โดยบริเวณด้านบน มี
แอลกอ อล์ที่ซมอย่ในวัสดุดดซับ ซ่งไอของ
อุณห มิร หว่าง
แอลกอ อล์ทร่ี เหยออกมา เคลือ่ นทีอ่ ย่างช้า ด้านบนแล ด้านล่าง
แตกต่างกันมาก
ลงส่ ด้ า นล่ า งซ่ ง มี อุ ณ ห มิ ต่ ากว่ า ไอของ
แอลกอ อล์ในส าว นี้พร้อมที่ ควบแน่นไป
เปนล อองแอลกอ อล์ทอี่ ย่ในสถาน ของเหลว
รูป 1
ดังรป 1
เมือ่ อนุ าคทีเ่ กิด ากรังสีคอสมิกเคลือ่ น รังสี
ชนกับโมเลกุลของอากาศ ายในห้องหมอก ทา
ให้อเิ ล็กตรอนของโมเลกุลของอากาศหลุดออก
มา เกิดเปนไอออนที่อนุ าคของแอลกอ อล์ ไอออนบวกที่เกิดข้น
อิเล็กตรอน
รอบ เข้าไป บ
ั ทาให้เกิดการควบแน่นของไอ
รูป 2
แอลกอ อล์เปนล อองตามรอยทางการเคลือ
่ น
ทีข
่ องอนุ าคทีส่ งั เกตเห็นเปนรอยทางของกลุม
่
ควัน ายในห้องหมอก ดังรป 2
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 213
แบบบันทึกผลการทำากิจกรรม
1. ถ้าอนุ าคที่ า่ นเข้าไปในห้องหมอกมีเพียง อนุ าคแอลฟา อนุ าคบีตา แล รังสีแกมมา ให้วาด
ลักษณ ของรอยทางอนุ าคแต่ล ชนิดที่คาดว่า สังเกตได้ ากห้องหมอก
2. ากการสังเกตรอยทางการเคลือ่ นทีข
่ องอนุ าคในห้องหมอก ให้วาดลักษณ ของรอยทางทีส่ งั เกต
ได้
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
214 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม
ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม
รูป รอยทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคบีตาและแอลฟาในห้องหมอก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 215
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
e− อ e+
e− อ e+
−
อ +
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
216 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ข้อแนะนำาเพิ่มเติมสำาหรับครู
ในการสังเกตแล ศกษาอนุ าคด้วยห้องหมอก นักเรียน ได้เรียนร้หลักการพื้น านสาคัญ
ของเครื่องตรว วัดอนุ าค แต่มีบางครั้ง ที่อา เกิดปญหาในขั้นตอนต่าง ซ่งในที่นี้ เปนตัวอย่าง
ปญหาแล คาถามที่พบบ่อย พร้อมกับคาอ ิบายแนวทางการแก้ปญหา
นักเรียนไมเห็นรอยทางของ - ปรับมุมการฉายลำแสงของไฟฉายใหฉายไปทีม่ มุ
อนุภาคในหองหมอก อื่น ๆ โดยบริเวณที่มีโอกาสสังเกตเห็นรอยทาง
ของอนุภาคไดชัดที่สุดคือ บริเวณอยูเหนือดาน
ลางของหองหมอกประมาณ 1 เซนติเมตร
- พิจารณาเพิ่มปริมาณแอลกอฮอลในขั้นตอนการ
พนหรือหยดแอลกอฮอลลงบนวัสดุดูดซับ
- ตรวจสอบวา ตูปลาหรือกระปุกใส ปดสนิทหรือ
ไม
บริเวณพื้นดานลางของหอง - อาจเนื่องจากเวนระยะระหวางการปดขอบของ
หมอกมีหมอกสีขาวหนาเต็ม ภาชนะที่ใชทำหองหมอกดวยแผนอะลูมิเนียม
ไปหมด กับการคว่ำลงแลวนำไปวางบนน้ำแข็งแหงนาน
เกินไป อาจตองเริ่มตนวางหองหมอกบน
น้ำแข็งแหงใหมอีกครั้ง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
218 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง
5. แรงโน้มถ่วงเปนแรงที่มีค่าความแรงมากที่ 5. แรงเข้มเปนแรงที่มีค่าความแรงมากที่สุด
สุดในแรงพื้น านทั้ง 4 แรง ในแรงพื้น านทั้ง 4 แรง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 219
สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. รป คลิปวีดท
ิ ศ
ั น์ หรือ อุปกรณ์สา ต
ิ เกีย่ วกับการ ด
ั แสดงนิทรรศการในพิพิ ณ
ั ฑ์ หรือ แหล่งเรียนร้ตา่ ง
โดยอา ใช้ส่วนหน่งของคลิปวิดีทัศน์ต่อไปนี้
1.1 คลิปมหกรรมวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยีแห่งชาติ 2562 เมืองแห่ง าตุ
https://youtu.be/5-8XfJntJQM
1.2 คลิปมหกรรมวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยีแห่งชาติ 2562 วิทยาศาสตร์ติดถ้า
https://youtu.be/pxFd5Q9KRDo
2. ถ้ามีการทากิ กรรมเสนอแน สาหรับคร ให้เตรียมวัสดุแล อุปกรณ์สาหรับการทากิ กรรมให้พร้อม
โดยกิ กรรมสา ต
ิ ให้เตรียมสาหรับการสา ต
ิ 1 ชุด แต่ถา้ เปนกิ กรรมกลุม
่ ให้เตรียมให้ครบตาม านวน
กลุ่มของนักเรียน
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชีแ้ ง ด
ุ ปร สงค์การเรียนร้ขอ้ ที่ 21 - 24 ของหัวข้อ 20.5 ตามหนังสือเรียน ากนัน
้ ครตัง้ คาถามว่า
นอก ากอนุ าคอิเล็กตรอน โปรตอน แล นิวตรอน แล้วยังมีอนุ าคอื่นอีกหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ
อนุ าคชนิดอืน
่ ได้อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นก
ั เรียนตอบคาถามอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบทีถ
่ กต้อง
ครชี้แ งหัวข้อที่นักเรียน ได้เรียนร้ในหัวข้อ 20.5 ทั้ง 3 หัวข้อ ากนั้น ตั้งคาถามว่า โปรตอนแล
นิวตรอนเปนอนุ าคมล านหรือไม่ ครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า อนุ าคมล านหมายถงอนุ าคที่ไม่ได้
ปร กอบข้น ากอนุ าคชนิดอื่น แล ไม่มีโครงสร้างหรือองค์ปร กอบ ายใน แต่โปรตอนแล นิวตรอน
มีองค์ปร กอบ ายใน งไม่เปนอนุ าคมล าน ากนั้น ครใช้รป 20.43 นาอ ิปรายเกี่ยวกับช่วงเวลาของ
การค้นพบอนุ าคมล านต่าง
ครแบ่งกลุ่มให้นักเรียนสืบค้นเกี่ยวกับฟสิกส์อนุ าค โดยให้นักเรียนเลือกศกษาหัวข้อใดหัวข้อหน่ง
ต่อไปนี้
ก. ปร วัติการค้นพบแล สมบัติของอนุ าคมล านอย่างน้อย 5 อนุ าค
ข. การ ัดกลุ่มของอนุ าคมล านในแบบ าลองมาตร าน แล การอ ิบายพ ติกรรมแล
อันตรกิริยาของอนุ าคมล านโดยอาศัยแบบ าลองมาตร าน
ค. ปร โยชน์ที่ได้ ากการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค อย่างน้อย 5 ตัวอย่าง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
220 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ข้อแนะนำาเพิ่มเติมสำาหรับครู
เพื่อการสร้างความเข้าใ ที่ดียิ่งข้น แล เปนการเชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนร้กับชีวิตปร าวัน ครอา พา
นั ก เรี ย นไปทั ศ นศกษาหน่ ว ยงานต่ า ง ที่ ท างานเกี่ ย วกั บ การใช้ เ ครื่ อ งเร่ ง อนุ าค หรื อ ค้ น คว้ า วิ ั ย
ด้านฟสิกส์อนุ าค เช่น สถาบันแสงซินโครตรอน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี หรือ โรงพยาบาลที่มีการ
ใช้เครื่องเร่งอนุ าค
สถาบันวิจัยแสง ินโครตรอน (องค์การมหาชน)
Synchrotron Light Research Institute
อาคารสิริน รวิชโชทัย 111 ถ. มหาวิทยาลัย ต.สุรนารี อ.เมือง .นครราชสีมา 30000
โทรศัพท์: 0-4421-7040 ต่อ 1333, 1444, 1446, 1542
เว็บไซด์ http://www.slri.or.th
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 221
ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู
การค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับนิวทริโน
นิวทริโนเปนอนุ าคมล านที่นักฟสิกส์เชื่อว่ามี านวนมากเปนอันดับสองในเอก พรอง
ากโฟตอน โดยในทุกพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตรบนร่างกายของเรา มีนิวทริโนปร มาณ 1 แสนล้าน
อนุ าคเคลือ
่ นที่ า่ นในทุก 1 วินาที แต่เนือ
่ ง ากนิวทริโนเปนอนุ าคทีม
่ อ
ี น
ั ตรกิรยิ ากับอนุ าคอืน
่
ได้ยากมาก ทาให้การตรว วัดแล ศกษานิวทริโนทาได้ยากมากเช่นกัน นิวทริโน งเปนอนุ าคที่
นักฟสิกส์มีความเข้าใ น้อยที่สุด การพยายามศกษา รรมชาติของนิวทริโน งยังดาเนินการอย่ใน
ห้องป ิบัติทั่วโลก นกร ทั่งป ุบัน เช่น โครงการไอซ์คิวบ์ IceCube หรือ IceCube Neutrino
Observatory ที่ทวีปแอนตาร์กติกาในขั้วโลกใต้ ดังรป
50 m
1450 m
2450 m
แนวคิดเกี่ยวกับอนุภาคสื่อแรง
แนวคิดที่อนุ าคหน่งสามารถรับร้ถงแรงที่อนุ าคหน่งกร ทาโดยการแลกเปลี่ยน
อนุภาคสื่อแรง force-carrier particle หรือ force carrier เปนราก านในการพั นาท ษ ี
ทางฟสิกส์อนุ าคในป บ
ุ น
ั ซ่งอุปมาอุปไมยได้กบ
ั การทีค
่ นใส่รองเท้าสเกตสองคนแทนอนุ าคสอง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
222 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
F F
F F
รูป ก. การโยนและรับลูกบอลระหว่างคนใส่รองเท้าสเกตสองคนเปรียบเสมือน
การแลกเปลี่ยนอนุภาคสื่อแรงที่ทำาให้เกิดแรงผลักระหว่างอนุภาค
F F
F F
รูป ข. การแย่งลูกบอลระหว่างคนใส่รองเท้าสเกตสองคนเปรียบเสมือน
การแลกเปลี่ยนอนุภาคสื่อแรงที่ทาำ ให้เกิดแรงดึงดูดระหว่างอนุภาค
ดังนัน
้ ในกรณีแรง ลักทางไฟฟาร หว่างโปรตอนกับโปรตอนที่มป
ี ร ุบวก เปน ลมา ากมี
การแลกเปลี่ยนโฟตอนร หว่างโปรตอนด้วยกันในลักษณ ดังรป ก. แต่ในกรณีแรงดงดดทางไฟฟา
ร หว่างอิเล็กตรอนที่มีปร ุลบกับโปรตอนที่มีปร ุบวก เปน ลมา ากการแลกเปลี่ยนโฟตอน
ร หว่างอิเล็กตรอนกับโปรตอนในลักษณ ดังรป ข.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 223
แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค อนุ าคมล าน แบบ าลองมาตร าน แล
ปร โยชน์ทไ่ี ด้ ากการค้นคว้าวิ ยั ด้านฟสิกส์อนุ าค ากคาถามตรว สอบความเข้าใ 20.5
2. ทักษ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ความร่วมมือแล การทางานเปนทีม ากการสืบค้นข้อมล
แล การนาเสนอ
3. ทักษ การคิดอย่างมีวิ ารณญาณ การสร้างสรรค์แล นวัตกรรมแล การสื่อสาร ากข้อมลที่
นาเสนอแล การนาเสนอ
4. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความอยากร้อยากเห็น ความใ กว้าง แล ความมีเหตุ ล ากการอ ิปราย
ร่วมกัน แล การนาเสนอ
5. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความร่วมมือช่วยเหลือ ากความร่วมมือแล การทางานเปนทีมในการ
สืบค้นข้อมลแล การนาเสนอ
6. ิตวิทยาศาสตร์ด้านการเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ ากการอ ิปรายร่วมกัน แล การนาเสนอ
แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 20.5
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
224 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 20
คำาถาม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 225
6. นา าตุกม
ั มันตรังสี 3 ชนิดใส่กล่องต กัว่ หมายเลข 1 2 แล 3 กล่องล 1 ชนิด ากนัน
้ ทดลองให้
รังสีทแี่ อ
่ อกมา าก าตุกม
ั มันตรังสี า่ นแ น
่ กร ดาษแล า่ นสนามแม่เหล็ก ได้ ลการทดลอง
ดังตาราง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
226 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
แนวคำาตอบ าตุกม
ั มันตรังสีในกล่องที่ 1 แ ร่ งั สีแกมมา เพรา รังสีแกมมาเปนกลางทางไฟฟา
งไม่เบนในสนามแม่เหล็ก แล สามารถท ลุ า่ นแ น
่ กร ดาษได้
าตุกม
ั มันตรังสีในกล่องที่ 2 แ ร่ งั สีแอลฟา เพรา รังสีแอลฟาไม่สามารถ า่ นแ น
่
กร ดาษได้ แล รังสีแอลฟามีปร ไุ ฟฟา งเบนในสนามแม่เหล็ก
าตุกม
ั มันตรังสีในกล่องที่ 3 แ ร่ งั สีบต
ี า เพรา รังสีบต
ี าสามารถ า่ นแ น
่ กร ดาษ
ได้ แล รังสีบต
ี ามีปร ไุ ฟฟา งเบนในสนามแม่เหล็ก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 227
9. นิวเคลียส 216
84 Po สลายเปน 82 Pb แล นิวเคลียส 79 Au สลายเปน 80 Hg
212 198 198
ส่วนในการสลายของนิวเคลียส 198
79 Au มีการปล่อยอนุ าคบีตาลบออกมา
เนื่อง ากเลขอ ตอมของ 198
80 Hg มากกว่าเลขอ ตอมของ 79 Au อย่ 1
198
ข. 216
84 Po 212
82 Pb + 24 He
198 198
79 Au 80 Hg + 01e e
B
A
C
นวนครั้งที่ทอด
รูป ประกอบคำาถามข้อ 11
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
228 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 229
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
230 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
23. ไอโซโทปกัมมันตรังสีทฉี่ ด
ี เข้าไปในร่างกายเพือ
่ การตรว วินิ ฉัยของแพทย์ ควรมีสมบัตท
ิ ส
ี่ าคัญ
อย่างไร ร บุมา 2 ข้อ
แนวคำาตอบ ไอโซโทปกัมมันตรังสีทฉ่ี ด
ี เข้าไปในร่างกาย ควรมีสมบัตด
ิ งั นี้
1. มีอต
ั ราการแ ร่ งั สีนอ
้ ย ในร ดับทีไ่ ม่เปนอันตรายต่อร่างกาย
2. มีคร่งชีวต
ิ ทีส่ น
้ั ไม่เกิน 2 3 วัน เพือ่ ที่ สลายไป นหมด ายในกีว่ น
ั แล ไม่มกี าร
ตกค้าง ายในร่างกาย
รูป ประกอบคำาถามข้อ 25
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 231
26. ให้อ บ
ิ ายถงความ าเปนทีต่ อ้ งใช้เครือ่ งเร่งอนุ าคในการศกษาอนุ าคมล าน โดยใช้แนวคิดทวิ าว
ของคลืน
่ แล อนุ าคของเดอบรอยล์
แนวคำาตอบ การทีอ
่ นุ าคได้รบ
ั การเร่งให้มค
ี วามเร็วสง ทาให้อนุ าคมีโมเมนตัมสง แล าก
h
สมการความยาวคลื่นเดอบรอยล์ อนุ าคที่มีโมเมนตัมสง มีความยาวคลื่นสั้นมาก
p
งทาให้สามารถใช้ศกษาองค์ปร กอบที่เล็กมากยิ่ง ข้นได้
28. แรงนิวเคลียร์เปนแรงพืน
้ านหรือไม่ งอ บ
ิ าย
แนวคำาตอบ แรงนิวเคลียร์ไม่เปนแรงพืน
้ าน เนือ
่ ง ากแรงนิวเคลียร์เปนแรงร หว่างนิวคลีออน
ในนิวเคลียส ซ่งไม่ใช่อนุ าคมล าน แรงนิวเคลียร์เปน ลข้างเคียงที่เกิด ากแรงเข้มร หว่าง
ควาร์ก ายในนิวคลีออน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
232 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ปญหา
กาหนดให้
มวล 1 u เท่ากับ 1.66 × 10-27 กิโลกรัม
มวล 1 u เทียบเท่ากับพลังงาน 931.5 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
พลังงาน 1 อิเล็กตรอนโวลต์ เท่ากับ 1.6 × 10-19 ล
มวลอ ตอมของไ โดรเ นเท่ากับ 1.007825 u
มวลของโปรตอนเท่ากับ 1.007276 u
มวลของนิวตรอนเท่ากับ 1.008665 u
มวลของอิเล็กตรอนเท่ากับ 0.000549 u
กาหนด 1 ปี เท่ากับ 3.15 × 107 วินาที
ค่าคงตัวอาโวกาโดร A มีค่าเท่ากับ 6.023 × 1023 อ ตอมต่อโมล
กัมมันต าพ 1 ครีเท่ากับ 3.7 × 1010 เบ็กเคอเรล
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 233
นิวตรอน 20 นิวตรอน
หาส่วนพร่องมวล ากสมการ
Δm = [Zmp + (A − Z)mn + Zme − mK-39
แทนค่า ได้
Δm = 1 (1.007276 20(1.008665 1 (0.0005 − 38. 63710
= 0.347834 u
หาพลังงานยดเหนี่ยวที่เทียบเท่าส่วนพร่องมวล
E = 0.347834 u 931.5 MeV/u)
= 324.0074 MeV
นิวเคลียสของโพแทสเซียมมีนิวคลีออน A เท่ากับ 39
ดังนั้นพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนเท่ากับ
E 324.0074 MeV
A 39 nucleons
= 8.308 MeV/nucleons
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
234 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ค. อ ตอมของ 114
48 Cd ปร กอบด้วยโปรตอน 48 โปรตอน อิเล็กตรอน 48 อิเล็กตรอน
แล นิวตรอน 66 นิวตรอน
หาส่วนพร่องมวล ากสมการ
Δm = [Zmp + (A − Z)mn + Zme − mCd-114
แทนค่า ได้
Δm = 8(1.007276 66(1.008665 8(0.0005 − 113. 03361
= 11 . 7 0 − 113. 03361
= 1.044129 u
หาพลังงานยดเหนี่ยวที่เทียบเท่าส่วนพร่องมวล
E = 1.044129 u 931.5 MeV/u)
= 972.606635 MeV
นิวเคลียสของแคดเมียมมีนิวคลีออน A เท่ากับ 114
ดังนั้นพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนเท่ากับ
E 972.6061635 MeV
A 114 nucleon
= 8.53 MeV/nucleons
ตอบ ก. ลิ เ ที ย ม 7 มี ส่ ว นพร่ อ งมวล 0.042130 u มี พ ลั ง งานยดเหนี่ ย ว 39.24 MeV
แล พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน 5.606 MeV ต่อนิวคลีออน
ข. โพแทสเซียม 39 มีส่วนพร่องมวล 0.347834 u พลังงานยดเหนี่ยว 324.0 MeV
แล พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน 8.308 MeV ต่อนิวคลีออน
ค. แคดเมียม 114 มีส่วนพร่องมวล 1.044129 u พลังงานยดเหนี่ยว 972.6 MeV
แล พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน 8.53 MeV ต่อนิวคลีออน
60
2. นิวเคลียสของนิกเกิล 60 28 Ni มีพลังงานยดเหนี่ยว 526.80 เมก อิเล็กตรอนโวลต์ งหามวล
อ ตอมนิกเกิล 60
วิธีทาำ ถ้า EB เปนพลังงานยดเหนี่ยวของ 60
28 Ni แล Δm เปนส่วนพร่องมวล ได้
EB = Δm (931.5 Mev/u)
526.80 MeV
ดังนั้น m
931.5 MeV/u
= 0.565539 u
ถ้า M เปนมวลอ ตอมของ 60
28 Ni ได้
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 235
ก. A แล Z มีค่าเท่าใด
ข. X เปนนิวเคลียสของ าตุใด
วิธีทาำ ก. ากสมการ 210
82 Pb
A
ZX + 0
1e
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
236 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
X เปนนิวเคลียสของ าตุบิสมัท
ตอบ ก. A เท่ากับ 210 แล Z เท่ากับ 83
ข. X เปนนิวเคลียสของ าตุบิสมัท
238
5. ในการสลายของนิวเคลียสยเรเนียม 238 92 U ได้นิวเคลียสสุดท้ายที่เสถียรคือ นิวเคลียส
ของต กั่ว ซ่งการสลายของนิวเคลียสยเรเนียม 238 นี้ ได้อนุ าคแอลฟา 8 อนุ าคแล
อนุ าคบี ต า 6 งหาเลขอ ตอมแล เลขมวลของนิ ว เคลี ย สต กั่ ว ที่ ไ ด้ ากการสลายของ
นิวเคลียสยเรเนียม 238
วิธีทาำ ถ้านิวเคลียสของ าตุกม
ั มันตรังสีสลายให้แอลฟา 42 He ทาให้นวิ เคลียสนัน
้ มีเลขอ ตอม
ลดลง 2 ส่วนเลขมวลลดลง 4 ส่วนนิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสีที่สลายให้บีตา 0
1e
ทาให้นวิ เคลียสนัน
้ มีเลขอ ตอมเพิม
่ ข้น 1 ส่วนเลขมวลคงเดิม ดังนัน
้ นิวเคลียสยเรเนียม 238
สลายให้อนุ าคแอลฟา 8 อนุ าค แล อนุ าคบีตา 6 อนุ าค แล้วได้นวิ เคลียสเสถียรคือ
ต กั่วให้ Z แล A เปนเลขอ ตอมแล เลขมวลของต กั่วตามลาดับ ได้
Z = 2 − (8 2 6
= 82
เลขอ ตอมของต กั่วเท่ากับ 82
A = 238 − (8 0
= 206
เลขมวลของต กั่วเท่ากับ 206
สัญลักษณ์ของนิวเคลียสสุดท้ายก็คือ
ตอบ เลขอ ตอมแล เลขมวลของต กัว่ เท่ากับ 82 แล 206 ตามลาดับ
238
6. ในอนุกรมการสลายของยเรเนียม 238 92 U มีทั้งการสลายให้แอลฟา บีตาแล แกมมา นได้
าตุสุดท้ายเปนต กั่ว 206 206
82 Pb ถ้าในอนุกรมการสลาย พบว่ามีการปล่อยอนุ าคแอลฟา
ออกมา 8 อนุ าค การสลายนี้ มีการปล่อยอนุ าคบีตาออกมากี่อนุ าค
วิธีทาำ ในการปล่อยอนุ าคแอลฟา 1 อนุ าค 42 He เลขมวล A หรือ านวนนิวคลีออน ลดลง
4 แล เลขอ ตอม Z หรือ านวนโปรตอน ลดลง 2 ส่วนการปล่อยอนุ าคบีตา 1
อนุ าค 0
1e มีเลขอ ตอม Z หรือ านวนโปรตอนเพิ่มข้น 1
ถ้าการสลายของยเรเนียม 238 ตลอดอนุกรมมีการปล่อยอนุ าคแอลฟา 8 อนุ าค
ซ่งแต่ล ครั้ง มี านวนโปรตอนลดลง 2 โปรตอน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 237
8. ในการทดลองอุปมาอุปมัยการทอดลกบาศก์กบ
ั การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี ถ้าลกบาศก์มี
20 หน้า แล มีหน้าที่แต้มสีไว้ 3 หน้า
ก. งหาโอกาสที่ลกบาศก์ หงายหน้าที่แต้มสีไว้
ข. ถ้าใช้ลกบาศก์เดียวกันนี้ านวน 200 ลกมาทดลอง แล้วคัดลกบาศก์ที่หงายหน้าแต้มสีออก
งหา านวนครั้งของการทอดที่ทาให้ลกบาศก์เหลือปร มาณ 50 ลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
238 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 239
9. ในการทดลองหาคร่งชีวต
ิ ของ าตุกม
ั มันตรังสี โดยใช้เครือ
่ งนับไกเกอร์วด
ั กัมมันต าพ ได้ ลการ
ทดลองดังข้อมลในตาราง
b
8 min
แทน t = 20 min แล าก b ลงใน a ได้
ln 2
( )(20min)
A (116 s 1)( e 8min
)
-1 -(0.693)(2.5)
= (116 s )(e )
-1 -1.7325
= (116 s )(e )
-1
= (116 s )(0.176842)
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
240 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
= 20.5136 s-1
ตอบ คร่งชีวิตของ าตุกัมมันตรังสีนี้คือ 8 วินาที แล เมื่อเวลา ่านไป 20 นาที ตรว วัด
กัมมันต าพได้ปร มาณ 20.5 ต่อวินาที
10. นาลกบาศก์ทม
ี่ ห
ี น้า 10 หน้า โดยมีหน้าแต้มสี 2 หน้า านวน 60 ลก มาทอดแล้วคัดลกทีห
่ งายหน้า
1
แต้มสีออก ต้องทอดลกบาศก์ปร มาณกีค ่ รัง้ งเหลือลกบาศก์ปร มาณ ของ านวนลกบาศก์
4
เริ่มต้น
วิธีทำา เนื่อง ากลกเหลี่ยมมี 10 หน้า แต่แต้มสีไว้เพียง 2 หน้า ดังนั้นโอกาสในการหงายหน้าที่
2
แต้มสีเท่ากับ นั่นคือ ค่าคงตัวการสลาย = 0.2
10 0.693
ากสมการ T1/ 2
0.693
ได้ T1/ 2
0.2
= 3.5
ากความสัมพัน ์ร หว่าง านวนนิวเคลียสที่เหลืออย่ กับ านวนนิวเคลียสเริ่มต้น
0 เมื่อเวลา ่านไป t = nT1
N0
N
2n
1
เมื่อทอดลกบาศก์ นเหลือลกบาศก์ปร มาณ ได้
4
N0 N0
4 2n
n = 2
ดังนั้น t = nT1
= 2(3.5)
= 7
1
ต้องทอดลกเหลีย่ มชนิด 10 หน้า 7 ครัง้ งเหลือลกเหลีย่ ม ของ านวนลกเหลีย่ มเริม
่ ต้น
4
ตอบ 7 ครั้ง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 241
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
242 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
14. าตุกม
ั มันตรังสี X มี านวนอ ตอม 8 × 1013 อ ตอม แล มีคร่งชีวต
ิ 10 ปี สลายไปเปน าตุ Y
ที่เสถียร หลัง ากเริ่มสลายไปแล้ว 30 ปี าตุ X แล Y มี านวนอ ตอมเปนเท่าใด
วิธีทำา คร่งชีวิตของ าตุกNัมมันตรัNง0 สี XNคือ 10 ปี หรือ T1/2 = 10 ปี
เมื่อเวลา ่านไป t 30 ปีNซ่งเท่31 ากับ( N30 )เท่าของครี่งชีวิตของ าตุ X
0
ได้ t = 3T11/2 32
N ( N0 )
หา านวนอ ตอมที่เหลือ32 เมื่อเวลา ่านไป เท่าของคร่งชีวิต ากสมการ
N0
N
2n
แทนค่า = 1 8 × 10 อN0ตอมแล n = 3 ได้
13
( N0 ) n
32 82 1013
NN N0 3
0
2
2 = 12n× 1013 อ ตอม
5
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
244 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
16. าตุกม
ั มันตรังสีชนิดหน่งมีคร่งชีวต
ิ 10 ชัว่ โมง เริม
่ ต้นมี านวนนิวเคลียส 0 แล เมือ่ เวลา า่ นไป
t นิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสีนี้ สลายให้นิวเคลียสใหม่ ถ้า เปน านวนนิวเคลียสที่เหลือ
N
ก. งหาอัตราส่วนร หว่าง เมื่อeเวลา
0.77
่านไป 0, 10, 20, 30 แล 40 ชั่วโมง
N0
N
ข. งเขียนกราฟแสดงความสัมพัน ์ร หว่าง กับ e เมื ่อเวลา ่านไปนาน 40 ชั่วโมง
0.77
N0
N
ค. ากกราฟที่ได้ในข้อ ก. งปร มาณเวลาที่ทาให้ = e0.400.77
N0
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 245
N
วิธีทำา ก. เมื่อเวลา t = 0 ชั่วโมง 1
N0
N 1
t = 10 ชั่วโมง 0.5
N0 2
N 1
t = 20 ชั่วโมง 0.25
N0 4
N 1
t = 30 ชั่วโมง 0.125
N0 8
N 1
แล t = 40 ชั่วโมง 0.0625
N0 16
N
ข. เขียนกราฟแสดงความสัมพัน ์ร หว่าง กับ t ได้ดังนี้
N0
N/N0
1.0
0.5
0.4
0.25
0.125
t (h)
10 20 30 40
t = 12.5 h
N
ค. ากกราฟ เวลาที่ทาให้ = 0.40 มีค่าปร มาณ 12.5 ชั่วโมง
N0
ตอบ ก. 1, 0.5, 0.25, 0.125 แล 0.0625
ข. เขียนกราฟได้ดังรป
ค. 12.5 ชั่วโมง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
246 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
17. โพแทสเซียม 44 44
19 K มีคร่งชีวต
ิ 20 นาที สลายให้แคลเซียม 44 44
20 Ca ซ่งเปนไอโซโทปเสถียร
ถ้ามีโพแทสเซียม 44 ปริมาณ 10.0 มิลลิกรัม งหาว่า
ก. มีโพแทสเซียม 44 กี่นิวเคลียส
ข. เริ่มต้น โพแทสเซียม 44 มีกัมมันต าพเท่าใด
ค. เมื่อเวลา ่านไป 1 ชั่วโมง โพแทสเซียม 44 มีกัมมันต าพเท่าใด
ง. เมื่อเวลา ่านไป 1 ชั่วโมง อัตราส่วนร หว่างอ ตอมโพแทสเซียม 44 ต่ออ ตอม
แคลเซียม 44 เปนเท่าใด
วิธีทำา ก. โพแทสเซียม 44 านวน 1 โมล มีมวล 44 g แล านวนนิวเคลียส 6.023 × 1023
ดังนั้นโพแทสเซียม 44 ปริมาณ 10 × 10-6 kg มี านวนนิวเคลียส
(6.023 1023 )(10 10 6 kg )
N
44 10 3 kg
= 1.37 × 1020
ข. ากสมการ A =
ln 2
ณ เวลาเริ่มต้น A0 N0
T1/2
0.693
(1.37 1020 )
20 60 s
= 7.91 × 1016 Bq
ค. เมื่อเวลา ่านไปN1 ชั่วโมง
N 0 หรือN60 นาที ได้
t = 3N× 2031นาที ( N0 )
0
= 3T11/2 32
N ( N0 )
หา านวนนิวเคลียสที่เหลื 32ออย่ เมื่อเวลา ่านไปเปน n เท่าของคร่งชีวิตได้ าก
N0
N
2n
แทนค่า n 1=( N3 แล N=0 1.37 × 1020 ได้
0)
32 2n 1020
1.37
NN0 N0 23
5
2 = 0.17 2n × 1020
ln 2
หาค่าคงตัวการสลาย โดย T1/2 เท่ากับ 20 นาที
T1
2
0.693
แทนค่า ได้
20 60 s
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 247
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
248 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ดังนั้น 238
92 U มวล 1 กิโลกรัม มี านวนนิวเคลียส
1
N
27
238(1.66 10 )
= 2.53 × 10 นิวเคลียส
24
238
92 U มีคร่งชีวิต 4.5 × 10 ปี9
0.693
าก
T1/2
0.693 1
9
s
4.5 10 365 24 3600
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 249
0.693
T1/2
0.693
แทนค่า ได้ 9
s 1
4.5 10 365 24 3600
= 4.883 × 10-18 s-1
ากสมการ A =
แทนค่า ได้ A = (4.883 × 10-18)(2.53 × 1024 s-1)
= 1.24 × 107 s-1
ตอบ กัมมันต าพของ 238
92 U เท่ากับ 1.2 × 10 ต่อวินาที หรือ 1.2 × 10 เบ็กเคอเรล
7 7
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
250 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
21. ถ้าแคลเซียม 45 45
20 Ca แ ่รังสีบีตาแล้วกลายเปนสแกนเดียม 45 45
21 Sc โดยเริ่มต้น
แคลเซียม 45 มีกัมมันต าพ 20 มิลลิครี เมื่อเวลา ่านไป 100 วัน มีกัมมันต าพเหลือ
13.14 มิลลิครี งหาคร่งชีวิตของแคลเซียม 45 กาหนด ln 0.657 เท่ากับ 0.42
วิธีทำา ให้ A0 เปนกัมมันต าพเริ่มต้นของ 20
45
Ca
A เปนกัมมันต าพเมื่อเวลา ่านไป t
หาค่าคงตัวการสลายของไอโซโทปกัมมันตรังสี ากสมการ A A0e t
แล
0.693
หาคร่งชีวิต ากสมการ T1/2
ากสมการ A A0e t
เมื่อเวลา ่านไป t 100 วัน กัมมัน าพเริ่มต้น A
ลดลง าก 20 มิลลิครี เหลือกัมมันต าพ A0 13.14 มิลลิครี แทนค่า ได้
(100 d)
13.14 mCi (20 mCi)e
(100 d)
e 0.657
(100 d) ln (0.657)
0.42
4.2 10 3 d 1
a
0.693
ากสมการ T1/2 ได้
0.693
แทนค่า าก a ได้ T1/2
4.2 10 3 d 1
= 165 d
ตอบ คร่งชีวิตของแคลเซียม 45 เท่ากับ 165 วัน
หา านวนนิวเคลียสของ 198
79 Au เมื่อเวลา ่านไป t ากสมการ A0 = 0 แล
0.693
N = N0e t
โดยเริ่ม ากหาค่าคงตัวการสลาย ากสมการ
T1/2
แทนค่าคร่งชีวิต 2.7 วัน วัน โดยแปลงเปนหน่วยวินาที ได้ 0.693
9
s
4.5 10 365 24 3600
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 251
0.693
=
2.7 day (24 60 60)s
= 2.97 × 10-6 s-1 a
หรือ ในหน่วยต่อชั่วโมง ได้ = 1.069 × 10-2 h-1 b
แทนค่า าก a แล กัมมันต าพเริ่มต้น A0 50 ไมโครครี ใน A0 = 0
โดยแปลงหน่วยไมโครครรีเปนเบ็กเคอเรล ได้
10
3.7 10 Bq 6 1
50 10 6 Ci = (2.97 10 s )N0
1 Ci
0 = 6.23 × 1012 c
ากสมการ N = N0e t
ที่เวลา t1 = 10 h เหลือนิวเคลียส 19879 Au คือ 1
าก b แล c ได้
= 6.23 × 1012 e(-0.1069)
= 6.23 × 1012 0.8986
= 5.598 × 1012
ที่เวลา t2 = 15 h เหลือนิวเคลียส 198
79 Au คือ 2 ดังนี้
าก b แล c ได้ N2 = 5
2 = 2.91 × 10 นิวเคลียส
11
1 −
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
252 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
24. คาร์บอน 14 14
6 C มีคร่งชีวต
ิ 5730 ปี ถ้าเริม
่ ต้นมีคาร์บอน 14 านวน 2.00 ไมโครกรัม ขณ นัน
้
กัมมันต าพของคาร์บอน 14 มีค่าเท่าใด
วิธีทำา ค่าคงตัวอาโวกาโดร A = 6.023 × 1023 mol-1
คาร์บอน 14 1 โมล มีมวล 14 g มี านวนนิวเคลียส 6.023 × 1023 นิวเคลียส
ดังนั้น ถ้ามีคาร์บอน 14 2 × 10-6 กรัม มี านวนนิวเคลียส เท่ากับ
(6.023 1023)(2 10 6 g)
N =
(14 g)
= 8.60 × 1016
กัมมันต าพของ าตุกัมมันตรังสี หาได้ ากสมการ A =
0.693 0.693
แต่ ดังนั้น A N
T1/2 T1/ 2
ในที่นี้ T1/2 = 5730 year0.693
ซ่งแปลงให้อย่ในหน่
s 1วยวินาทีได้เปน
9
4.5 10 365 24 3600
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 253
0.693
แทนค่า ได้ = b
80 year
แทน A าก a แล าก b ในสมการ ได้
0.693
A0 80 year
t
= A0e
4
0.693
t
80 year
e =4
0.693
t = ln 4
80 year
80 year
t = (1.3862)
0.693
= 160.02 year
ตอบ ใช้เวลานาน 160 ปี
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
254 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 255
29. ร เบิดทีเอ็นที 1 ตัน เมื่อเกิดการร เบิด ปล่อยพลังงานปร มาณ 4.0 ิก ล ถ้าร เบิด
ปรมาณที่ทิ้งที่ ิโรชิมาได้ ากฟชชันของยเรเนียม 235 ซ่งปล่อยพลังงานเทียบได้กับร เบิด
ทีเอ็นที 2.0 × 104 ตัน งคานวณมวลของยเรเนียม 235 ที่เปลี่ยนไปเปนพลังงาน
กาหนดให้การเกิดฟชชัน 1 ครั้งของยเรเนียม 235 ปลดปล่อยพลังงาน 173.20 MeV
วิธีทำา พลังงานที่ร เบิดปรมาณปล่อยออกมาเท่ากับ 2 × 104 × 4 GJ = 8 × 1013 J
ากโ ทย์ กาหนดให้ ยเรเนียม 235 เกิดฟชชันแล้ว ปลดปล่อยพลังงานออกมาปร มาณ
173.20 MeV ซ่งแปลงเปนหน่วย ลได้เท่ากับ
173.20 × 106 eV × 1.6 × 10-19 J/eV = 2.77 × 10-11 J
ยเรเนียม 235 มีมวลอ ตอม 235 u ดังนั้น สามารถพิ ารณาได้ว่า
พลังงาน 2.77 × 10-11 ล เกิด าก ยเรเนียม 235 มวล 235 u
ดังนั้น พลังงาน 8 × 1013 ล เกิด าก ยเรเนียม 235 คิดเปนมวลเท่ากับ
(235 u)(8 1013 J)
= 6.787 1026 u
2.77 10 11 J
= (6.787 × 1026 u)(1.66 × 10-27 kg/u)
= 1.127 kg
ตอบ มวลของยเรเนียม 235 ที่ใช้เท่ากับ 1.1 กิโลกรัม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
256 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 257
มวลของ ีเลียม 4
2 He เท่ากับ 4.002604 u
วิธีทำา หามวลที่ลดลง Δm ในป ิกิริยาตามสมการ ได้
m = 2m2 H m4 He
1 2
= 2 2.014102 u – 4.002604 u
= 0.025600 u
หาพลังงานที่ได้ ากป ิกิริยานิวเคลียร์ E ที่เทียบเท่ามวลที่ลดลง Δm ได้
E = 0.025600 u 931.5 MeV/u
= 23.8464 MeV
หรือ E = 23.8464 × 106 eV × 1.6 × 10-19 J/eV
= 3.82 × 10-12 J
มวลของดิวเทอเรียม 2 อนุ าค เท่ากับ 2 2.014102 u = 4.028204 u
แปลงเปนหน่วยกิโลกรัม ได้
4.028204 × 1026 u 1.66 × 10-27 kg/u = 6.69 × 10-27 kg
ดังนัน
้ มวลของดิวเทอเรียม 6.69 × 10-27 กิโลกรัม ทาให้ได้พลังงาน ากป กิ ริ ยิ านิวเคลียร์
3.82 10
3.82 × 1014 J ถ้ามีมวลของดิวเทอเรียม 1 kg ได้พลังงานป ิกิริยานิวเคลียร์เปน E ' =
12 6.69
3.82 10 J 1 kg
E' = 27
6.69 10 kg
= 5.71 × 1014 J
ตอบ พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยานิวเคลียร์ของดิวเทอเรียมมวล 1 กิโลกรัมมีค่าเท่ากับ
5.7 × 1014 ล
ขัน
้ ตอนที่ 2 2
1 H+ H1
1
3
2 He +
ขัน
้ ตอนที่ 3 3
2 He + 23 He 4
2 He + 211 H +
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
258 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
งหา
ก. พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 1
ข. พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 2
ค. พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 3
ง. พลังงานที่ได้ 1ากป
H + 11ิกHิริยาการรวมกั นของไ
+ e โดรเ นเปน ีเลียม
1 2 0
1 H + 1e
4
2 He
กาหนดมวลอ ตอมของ
1 21 1
1 H + 11H ,H
+ 11+
H1 H 21
H+, 2301He
11H e21 H, +42e He
++ 1 e +เท่eากับ 1.007825 u, 2.014102 u,
0
ขัน
้ ตอนที
2
่ 311 H
1H + ต้องมี 23 He +
ทาป กิ ริ ยิ ากัน านวน 2 อนุ าค การเกิดป กิ ริ ยิ าขัน
้ ตอนที่ 1
แล 232Heต้อ+งเกิ
3
ดข้น านวน
2 He
4
2 ครั1้ง
2 He + 2 1 H +
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 259
E = 2E1 + 2E2 + E3
= 2 0.930 MeV) + 2 5.49 MeV) + 12.86 MeV
= 25.7 MeV
ตอบ ก. พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 1 เท่ากับ 0.930 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
ข. พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 2 เท่ากับ 5.49 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
ค. พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 3 เท่ากับ 12.86 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
ง. พลังงานของป ิกิริยาของการรวมกันของไ โดรเ นเปน ีเลียม
เท่ากับ 25.7 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
m = 0.390 g
ตอบ ต้องใช้ยเรเนียม 235 มวลเท่ากับ 0.390 กรัม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
260 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
แ ่รังสีแอลฟา
ก. งเขียนสมการการแ ่รังสีแอลฟาของอ เมริเซียม 241
ข. งอ ิบายเหตุ ลที่เครื่องตรว ับควันไฟใช้ าตุกัมมันตรังสีที่แ ่รังสีแอลฟา
วิธีทำา ก. อ เมริเซียม 241 มีเลขมวลเท่ากับ 241 แล เลขอ ตอมเท่ากับ 95
เมื่ออ เมริเซียม 241 สลายให้แอลฟา มีเลขมวลลดลง 4 เหลือ 241 – 4 = 237
แล เลขอ ตอมลดลง 2 เหลือ 95 – 2 = 93
าตุที่มีเลขอ ตอมเท่ากับ 93 คือ เนปทเนียม ดังนั้น สมการการแ ่รังสีแอลฟาของ
อ เมรีเซียม 24 เขียนได้ดังนี้ 241
95 Am 237
93 Np + 42 He
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 261
ตอบ ก. 241
95 Am 237
93 Np + 42 He
ข. ในส าว ปรกติทไ่ี ม่มค
ี วันไฟ เครือ่ งตรว บ
ั ควันไฟ แสดง านวนนับ อนุ าคแอลฟา
ต่อหน่งหน่วยเวลา หรืออัตราการนับ count rate ค่าหน่ง วง ร ไม่สง่ สัญญาณเตือน
แต่ถา้ มีควันไฟลอยมาขวางบริเวณร หว่างแหล่งกาเนิดอนุ าคแอลฟากับเครือ่ งตรว บ
ั
อนุ าคในควันไฟ ช่วยกร เ งิ แล ดดกลืนอนุ าคแอลฟา ทาให้อต
ั ราการนับลดลง
อย่างรวดเร็ว วง ร งแปลงการลดลงนี้เปนสัญญาณเตือนว่ามีควันไฟหรือไฟไหม้
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
262 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
ปญหาท้าทาย
39. ถ้า าตุ X มี านวนอ ตอมเปน 2 เท่าของ าตุ Y แต่มีกัมมันต าพเปน 3 เท่าของ าตุ Y
คร่งชีวิตของ าตุ X เปนกี่เท่าของ าตุ Y
วิธีทำา กัมมันต าพของ าตุกัมมันตรังสี หาได้ ากสมการ A = แล
0.693
ค่าคงตัวการสลายมีค่าตามสมการ T1/2
0.693
ดังนั้น A N
T1/ 2
ให้ าตุ X มี านวนอ ตอม 2 มีกัมมันต าพ 3A แล คร่งชีวิตมีค่าเปน Tx
าตุ Y มี านวนอ ตอม มีกัมมันต าพ A แล คร่งชีวิตมีค่าเปน T
0.693
ดังนั้น สาหรับ าตุ X 3A = (2 N ) 1
TX
0.693
แล สาหรับ าตุ Y A = (N ) 2
TY
TX 2
=
TY 3
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 0.693
บทที่ 20 (2
ฟิสN
ิกส์)นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค
3A = 263
TX
0.693
3A = (2 N ) 0.693
TX A = (N )
TY
0.693T
X( N ) 2
าก 1 แล 2 Aได้= TY T = 3
Y
TX 2
ตอบ คร่งชีวิตของ าตุ X เปน = เท่าของ าตุ Y
TY 3
40. าตุกม
ั มันตรังสี A มีคร่งชีวต
ิ 12 ชัว่ โมง แ ร่ งั สีแล้วกลายเปน าตุกม
ั มันตรังสี B ซ่งมีคร่งชีวต
ิ
20 ชั่วโมง ากนั้น าตุกัมมันตรังสี B แ ่รังสีต่อแล้วกลายเปน าตุ C ที่เสถียร ในขณ ที่
กัมมันต าพของ B คงตัว อัตราส่วนร หว่าง านวนนิวเคลียสของ าตุ A ต่อ B เปนเท่าใด
วิธีทำา กัมมันต าพของ าตุกัมมันตรังสี หาได้ ากสมการ A = แล
0.693
ค่าคงตัวการสลายมีค่าตามสมการ T1/2
0.693
ดังนั้น A N
T1/ 2
ให้ AA เปนกัมมันต าพของ าตุ A แล AB เปนกัมมันต าพของ าตุ B
แล ให้ A เปน านวนนิวเคลียสของ าตุ A แล
B เปน านวนนิวเคลียสของ าตุ B
เมื่อกัมมันต าพของ าตุ B คงตัว แสดงว่า B คงตัว เนื่อง าก AB = B
NA 12 h (20 h) N A
1=
= (12 h)N B
NB 20 h
3 NA 12 h
= =
5 NB 20 h
3
ตอบ อัตราส่วนร หว่าง านวนนิวเคลียสของ าตุ A ต่อ าตุ B เท่ากั=
บ
5
41. ถ้ามี าตุกัมมันตรังสี 3 ชนิด ได้แก่ A B แล C โดยคร่งชีวิตของ A มากกว่า คร่งชีวิตของ
B แล คร่งชีวิตของ B มากกว่าคร่งชีวิตของ C ถ้าที่เวลาเริ่มต้น าตุทั้ง 3 มี านวนนิวเคลียส
เท่ากัน กราฟที่แสดงความสัมพัน ์ร หว่าง านวนนิวเคลียสที่สลายไป Δ กับเวลา (t
คือข้อใด
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
264 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
DN DN DN DN
C B A A B C
C A
B B
A t C t t t
ก. ข. ค. ง.
รูป ประกอบปญหาท้าทาย ข้อ 41
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 265
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
266 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
44. าตุกม
ั มันตรังสีชนิดหน่งแ ร่ งั สีแอลฟาโดยมีกม
ั มันต าพ 3.2 × 109 เบ็กเคอเรล ถ้าอนุ าคแอลฟา
แต่ล อนุ าคมีพลังงานเฉลีย่ 5.2 เมก อิเล็กตรอนโวลต์ แล อนุ าคแอลฟา าก าตุนช
้ี นแ น
่
อ ลมิเนียมบางซ่งมีมวล 2 × 10-4 กิโลกรัม ซ่งสามารถกัน
้ รังสีแอลฟาได้ทง้ั หมด
ก. งหาพลังงานในหน่วย ล ทีแ่ น
่ อ ลมิเนียมดดกลืนไว้ในแต่ล วินาที
ข. หากพลังงานทีแ่ น
่ อ ลมิเนียมได้รบ
ั เปนความร้อน เมือ
่ เวลา า่ นไป 1 นาที
แ น
่ อ ลมิเนียมมีอณ
ุ ห มิสงข้นกีอ
่ งศาเซลเซียส
กาหนด ความร้อน าเพา ของอ ลมิเนียม 900 ลต่อกิโลกรัมเคลวิน
วิธีทำา ก. กัมมันต าพบอกถง านวนนิวเคลียสทีส่ ลายใน 1 วินาที ซ่งก็คอื านวนอนุ าคแอลฟาที่
แ ่ออกมาใน วินาที ในที่นี้ A เท่ากับ 3.2 × 109 เบ็คเกอเรล นั่นคือ ใน 1 วินาที มี
การปล่อยอนุ าคแอลฟาออกมา านวน
= 3.2 × 109 อนุ าค
ให้ E1 เปนพลังงานเฉลี่ยของแต่ล อนุ าค
ในที่นี้ E = 5.2 MeV
หรือ E = 5.2 × 106 × 1.6 × 10-19 J
ดังนั้นใน 1 วินาที พลังงานที่ปล่อยทั้งหมด E มีค่าดังนี้
E = 1
Q = 2.66 × 10-3 J 60
แทนค่า ในสมการ Q = mcΔT ได้
2.66 × 10-3 J 60 = 2 × 10-4 ( 00 ΔT
ΔT = 0.9 K หรือ 0.9 C
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 267
A0
45. ในการสลายของ าตุกม
ั มันตรังสี เมือ
่ เวลา า่ นไป t = nT1 งแสดงให้เห็นว่า A =
แล
m0 2n
m = n โดยที่ A0 คือ กัมมันต าพเริม่ ต้น แล m0 คือ มวลเริม่ ต้น (2.4 102 Bq)
2 A=
วิธีทำา ากสมการความสัมพัน ์ร หว่างกัมมันต าพ A เมื่อเวลา ่านไป t กับกัมมันต าพ26
เริ่มต้น A ตามสมการ
t
A A0e
ln 2
โดย
T1/2
0.693
เมื่อ t = nT1 แทนค่ า ได้
(3.82 24 60 60) s (
ln 2
) nT1/2
T1/2
A = A0 e
n ln 2
A = A0 e
n
A = A0e ln 2
เนื่อง าก eln x = x
A0
ได้ A =
2n
สาหรับความสัมพัน ์ร หว่างมวลที ่เหลือ10
(2.4 อย่2 m เมื่อเวลา ่านไป t กับมวลเริ่มต้น m0
Bq)
A =
ตามสมการ m = m0e t
2 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
268 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 269
E = Δm 931.5 MeV/u
ดังนั้น E = 0.222635 u 931.5 MeV/u
= 207.384503 MeV
ตอบ พลังงานที่ถกปล่อยออกมา ากฟชชันของยเรเนียม 235 เท่ากับ 207 MeV
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
270 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6
าค นวก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 271
ตัวอย่างเครื่องมือวัดและประเมินผล
แบบทดสอบ
การปร เมิ น ลด้ ว ยแบบทดสอบเปนวิ ี ท่ี นิ ย มใช้ กั น อย่ า งแพร่ ห ลายในการวั ด ลสั ม ท ิ ใ น
การเรียนโดยเฉพา ด้านความร้เเล ความสามารถทางสติปญญา ครควรมีความเข้าใ ในลักษณ ของ
แบบทดสอบ รวมทั้งข้อดีแล ข้อ ากัดของแบบทดสอบรปแบบต่าง เพ่ือปร โยชน์ในการสร้างหรือเลือก
ใช้แบบทดสอบให้เหมา สมกับส่ิงที่ต้องการวัด โดยลักษณ ของแบบทดสอบ รวมท้ังข้อดีแล ข้อ ากัดของ
แบบทดสอบรปแบบต่าง เปนดังน้ี
1) แบบทดสอบแบบที่มีตัวเลือก
แบบทดสอบแบบที่มีตัวเลือก ได้แก่ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ แบบทดสอบแบบถกหรือ ิด
แล แบบทดสอบแบบ ับค่ รายล เอียดของแบบทดสอบแต่ล แบบเปนดังนี้
1.1) แบบทดสอบแบบเลือกตอบ
เปนแบบทดสอบที่มีการกาหนดตัวเลือกให้หลายตัวเลือก โดยมีตัวเลือกที่ถกเพียงหน่ง
ตัวเลือก องค์ปร กอบหลักของแบบทดสอบแบบเลือกตอบมี 2 ส่วน คือ คาถามแล ตัวเลือก แต่บางกรณี
อา มีส่วนของสถานการณ์เพิ่มข้นมาด้วย แบบทดสอบแบบเลือกตอบมีหลายรปแบบ เช่น แบบทดสอบ
แบบเลือกตอบคาถามเดี่ยว แบบทดสอบแบบเลือกตอบคาถามชุด แบบทดสอบแบบเลือกตอบคาถาม
2 ชั้น โครงสร้างดังตัวอย่าง
แบบทดสอบแบบเลือกตอบแบบคำาถามเดี่ยวที่ไม่มีสถานการ ์
คาถาม...............................................................................................
ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
272 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6
แบบทดสอบแบบเลือกตอบแบบคำาถามเดี่ยวที่มีสถานการ ์
สถานการณ์.......................................................................................
คาถาม...............................................................................................
ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................
แบบทดสอบแบบเลือกตอบแบบคำาถามเปนชุด
สถานการณ์.......................................................................................
คาถามที่ 1...............................................................................................
ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................
คาถามที่ 2...............................................................................................
ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 273
แบบทดสอบแบบเลือกตอบแบบคำาถาม 2 ชั้น
สถานการณ์.......................................................................................
คาถามที่ 1.........................................................................................
ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................
แบบทดสอบแบบถูกหรือผิด
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
274 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6
แบบทดสอบแบบจับคู่
คำาสั่ง ให้นาตัวอักษรหน้าข้อความในชุดคาตอบมาเติมในช่องว่างหน้าข้อความในชุดคาถาม
ชุดคำาถาม ชุดคำาตอบ
2) แบบทดสอบแบบเขียนตอบ
เปนแบบทดสอบที่ให้นักเรียนคิดคาตอบเอง งมีอิสร ในการแสดงความคิดเห็นแล ส ท้อน
ความคิดออกมาโดยการเขียนให้ อ
้ า่ นเข้าใ โดยทัว่ ไปการเขียนตอบมี 2 แบบ คือ การเขียนตอบแบบเติมคา
หรือการเขียนตอบอย่างสั้น แล การเขียนตอบแบบอ ิบาย รายล เอียดของแบบทดสอบที่มีการตอบ
แต่ล แบบเปนดังน้ี้
2.1) แบบทดสอบเขียนตอบแบบเติมคาหรือตอบอย่างส้ัน
ปร กอบด้วยคาสั่งแล ข้อความที่ไม่สมบรณ์ ซ่ง มีส่วนที่เว้นไว้เพื่อให้เติมคาตอบหรือ
ข้อความสั้น เพื่อให้เติมคาตอบหรือข้อความสั้น ท่ีทาให้ข้อความข้างต้นถกต้องหรือสมบรณ์ นอก ากนี้
แบบทดสอบยั ง อา ปร กอบด้ ว ยสถานการณ์ แ ล คาถามที่ ใ ห้ นั ก เรี ย นตอบโดยการเขี ย นอย่ า งอิ ส ร
แต่สถานการณ์แล คาถาม เปนส่ิงที่กาหนดคาตอบให้มีความถกต้องแล เหมา สม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 275
แบบประเมินทักษะ
เมื่อนักเรียนได้ลงมือป ิบัติกิ กรรม ริง มีหลัก านร่องรอยท่ีแสดงไว้ทั้งวิ ีการป ิบัติแล ล
การป ิบัติ ซ่งหลัก านร่องรอยเหล่านั้นสามารถใช้ในการปร เมินความสามารถ ทักษ การคิด แล ทักษ
ป ิบัติได้เปนอย่างดี
การป ิบัติการทดลองเปนกิ กรรมที่สาคัญที่ใช้ในการ ัดการเรียนร้ทางวิทยาศาสตร์ โดยทั่วไป
ปร เมินได้ 2 ส่วน คือปร เมินทักษ การป บ
ิ ต
ั ก
ิ ารทดลองแล การเขียนรายงานการทดลอง โดยเคร่อ
ื งมือ
ที่ใช้ปร เมินดังตัวอย่าง
ตัวอย่างแบบสำารวจรายการทักษะป ิบัติการทดลอง
ผลการสำารวจ
รายการที่ต้องสำารวจ มี
(ระบุจำานวนครั้ง) ไม่มี
การวางเเ นการทดลอง
การทดลองตามขั้นตอน
การสังเกตการทดลอง
การบันทก ล
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
276 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6
ตัวอย่างแบบประเมินทักษะป ิบัติการทดลอง
ที่ใช้เก ์การให้คะเเนนเเบบเเยกองค์ประกอบย่อย
คะแนน
ทักษะป ิบัติการ
ทดลอง
3 2 1
การเลือกใช้อป
ุ กรณ์ เลือกใช้อุปกรณ์ เลือกใช้อุปกรณ์ เลือกใช้อุปกรณ์
เครื่องมือใน เครือ่ งมือในการทดลอง เครื่องมือในการทดลอง เครือ่ งมือในการทดลอง
การทดลอง ได้ถกต้องเหมา สม ได้ถกต้องเเต่ไม่เหมา สม ไม่ถกต้อง
กับงาน กับงาน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 277
ตัวอย่างแบบประเมินทักษะป ิบัติการทดลอง
ที่ใช้เก ์การให้คะเเนนเเบบมาตรประมา ค่า
ผลการประเมิน
ทักษะที่ประเมิน
ร ดับ 3 ร ดับ 2 ร ดับ 1
ตัวอย่างเเนวทางให้คะเเนนการเขียนรายงานการทดลอง
คะเเนน
3 2 1
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
278 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6
ระดับพ ติกรรมการเเสดงออก
รายการพ ติกรรมการเเสดงออก
ไม่มีการ
มาก ปานกลาง น้อย
เเสดงออก
ด้านความอยากรู้อยากเห็น
1.นักเรียนสอบถาม าก ร้ ห
้ รือไปศกษาค้นคว้าเพิม
่ เติม
เมื่อเกิดความสงสัยในเรื่องราววิทยาศาสตร์
2.นักเรียนชอบไปงานนิทรรศการวิทยาศาสตร์
3.นักเรียนนาการทดลองทีส่ นใ ไปทดลองต่อทีบ
่ า้ น
ด้านความ ื่อสัตย์
1.นักเรียนรายงาน ลการทดลองตามทีท
่ ดลองได้ ริง
2.เมื่อทางานทดลอง ิดพลาด นักเรียน ลอก ล
การทดลองของเพื่อนส่งคร
3.เมื่อครมอบหมายให้ทาชิ้นงานสิ่งปร ดิษ ์
นักเรียน ปร ดิษ ์ตามเเบบที่ปราก อย่ใน
หนังสือ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 279
ระดับพ ติกรรมการเเสดงออก
รายการพ ติกรรมการเเสดงออก
ไม่มีการ
มาก ปานกลาง น้อย
เเสดงออก
ด้านความใจกว้าง
1.แม้ว่านักเรียน ไม่เห็นด้วยกับการสรุป ลการ
ทดลองในกลุ่ม แต่ก็ยอมรับ ลสรุปของสมาชิก
ส่วนใหญ่
2.ถ้าเพื่อนแย่งวิ ีการทดลองนักเรียนแล มีเหตุ ล
ที่ดีกว่า นักเรียนพร้อมที่ นาข้อเสนอเเน ของ
เพื่อนไปปรับปรุงงานของตน
3.เมื่องานที่นักเรียนตั้งใ แล ทุ่มเททาถกตาหนิ
หรือโต้เเย้ง นักเรียน หมดกาลังใ
ด้านความรอบคอบ
1.นักเรียนสรุป ลการทดลองทันทีเมื่อเสร็ สิ้น
การทดลอง
2.นักเรียนทาการทดลองซ้า ก่อนที่ สรุป ล
การทดลอง
3.นักเรียนตรว สอบความพร้อมของอุปกรณ์ก่อน
ทาการทดลอง
ด้านความมุ่งมั่นอดทน
1.ถงแม้ว่างานค้นคว้าที่ทาอย่มีโอกาสสาเร็ ได้ยาก
นักเรียน ยังค้นคว้าต่อไป
2.นักเรียนล้มเลิกการทดลองทันที เมื่อ ลการ
ทดลองที่ได้ขัด ากที่เคยเรียนมา
3.เมื่อทราบว่าชุดการทดลองที่นักเรียนสนใ ต้อง
ใช้ร ย เวลาในการทดลองนาน นักเรียนก็
เปลี่ยนไปศกษาชุดการทดลองที่ใช้เวลาน้อยกว่า
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
280 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6
ระดับพ ติกรรมการเเสดงออก
รายการพ ติกรรมการเเสดงออก
ไม่มีการ
มาก ปานกลาง น้อย
เเสดงออก
เจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์
1.นักเรียนนาความร้ทางวิทยาศาสตร์ มาใช้
เเก้ปญหาในชีวิตปร าวันอย่เสมอ
2.นักเรียนชอบทากิ กรรมที่เกี่ยวข้องกับ
วิทยาศาสตร์
3.นักเรียนสนใ ติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ
วิทยาศาสตร์
วิธีการตรวจให้คะเเนน
ตรว ให้ค เเนนตามเกณฑ์โดยกาหนดน้าหนักของตัวเลขในช่องต่าง เปน 4 3 2 1 ตามลาดับ
ข้อความทีม
่ ค
ี วามหมายเปนทางบวก กาหนดให้ค เเนนเเต่ล ข้อความดังต่อไปนี้
มาก 4
ปานกลาง 3
น้อย 2
ไม่มีการเเสดงออก 1
ส่วนของข้อความทีม
่ ค
ี วามหมายเปนทางลบ กาหนดให้ค
้ เเนนในแต่ล ข้อความมีลก
ั ษณ ตรงข้าม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 281
การประเมินการนำาเสนอผลงาน
การปร เมิ น ลแล ให้ ค แนนการนาเสนอ ลงานอา ใช้ แ นวทางการปร เมิ น เช่ น เดี ย วกั บ
การปร เมิน าร งานอื่น คือ การใช้ค แนนแบบ าพรวม แล การให้ค แนนแบบแยกองค์ปร กอบย่อย
ดังรายล เอียด ต่อไปนี้
1) การให้คะแนนในภาพรวม เปนการให้ค แนนที่ต้องการสรุป าพรวม งปร เมินเฉพา
ปร เด็นหลักที่สาคัญ เช่น การปร เมินความถกต้องของเนื้อหา ความร้แล การปร เมินสมรรถ าพ
ด้านการเขียน โดยใช้เกณฑ์การให้ค แนนแบบ าพรวม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ี
รายการประเมิน ระดับประเมิน
เนื้อหาไม่ถกต้องเปนส่วนใหญ่ ต้องปรับปรุง
เนื้อหาถกต้องเเต่ให้สาร สาคัญน้อยมาก เเล ร บุเเหล่งที่มาของความร้ พอใช้
เนื้อหาถกต้อง มีสาร สาคัญ แต่ยังไม่ครบถ้วน มีการร บุเเหล่งที่มาของความร้ ดี
เนื้อหาถกต้อง มีสาร สาคัญครบถ้วน เเล ร บุเเหล่งที่มาของความร้ชัดเ น ดีมาก
รายการประเมิน ระดับประเมิน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
282 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6
ด้านการวางเเผน
ด้านการดำาเนินการ
ดาเนินการไม่เปนไปตามแ น ใช้อป
ุ กรณ์เเล สือ
่ ปร กอบถกต้องเเต่ไม่คล่องเเคล่ว ต้องปรับปรุง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 283
บรร านุกรม
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
284 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 285
ค ะกรรมการจัดทำาคู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟิสิกส์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 6
ตามผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้น านพุทธศักราช 2551
--------------
ค ะที่ปรึกษา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
286 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6
ค ะบรร าธิการ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 287
ค่าคงตัวและข้อมูลทางกายภาพอืน
่
ค่าคงตัว
ข้อมูลทางกายภาพอื่น
ปริมาณ ค่า
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี