You are on page 1of 301

ตัวอักษรกรีก

ตัวอักษร ตัวอักษร ตัวอักษร ตัวอักษร


ชื่อ ชื่อ
เล็ก ใหญ่ เล็ก ใหญ่
a A alpha แอลฟา n N nu นิว
b B beta บีตา x X xi ไซ
g G gamma แกมมา o O omicron โอไมครอน
´d,0
,∂ D delta เดลตา p P pi พาย
e E epsilon เอปไซลอน r R rho โร
z Z zeta ซีตา s S sigma ซิกมา
h H eta อีตา t T tau เทา
q Q theta ทีตา u U upsilon อิปไซลอน
i I iota ไอโอตา f F phi ฟาย, ฟี
k K kappa แคปปา c C chi ไค
l L lambda แลมบ์ดา y Y psi ซาย
m M mu มิว w W omega โอเมกา

ราชบัณฑิตยสถาน ศัพท์คณิตศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พิมพ์ครั้งที่ ๙ แก้ไขเพิ่มเติม กรุงเทพ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๙.


คู่มือครู

รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี

ฟิสิกส์
ชั้น

มัธยมศึกษาปีที่ ๖ เล่ม ๖
ตามผลการเรียนรู้
กลุม
่ สาระการเรียนรูว้ ท
ิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

จัดทำาโดย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ
คำานำา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้รับมอบหมายจากกระทรวง
ศึ ก ษาธิ ก ารในการพั ฒ นามาตรฐานและตั ว ชี้ วั ด ของหลั ก สู ต รกลุ่ ม สาระการเรี ย นรู้ ค ณิ ต ศาสตร์
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และยังมีบทบาทหน้าที่ในการรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดทำาหนังสือเรียน
คูม
่ อ
ื ครู แบบฝึกทักษะ กิจกรรม และสือ
่ การเรียนรู้ ตลอดจนวิธก
ี ารจัดการเรียนรูแ้ ละการวัดและประเมินผล
เพื่อให้การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟิสิกส์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เล่ม ๖ นี้
จั ด ทำ า ขึ้ น เพื่ อ ประกอบการใช้ ห นั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าเพิ่ ม เติ ม วิ ท ยาศาสตร์ แ ละเทคโนโลยี ฟิ สิ ก ส์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เล่ม ๖ โดยครอบคลุมเนื้อหาตามผลการเรียนรู้และสาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระ
การเรียนรูว้ ท
ิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ในสาระฟิสิกส์ โดยมีตารางวิเคราะห์ผลการเรียนรู้และสาระการ
เรียนรู้ เพื่อการจัดทำาหน่วยการเรียนรู้ในรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีแนวการ
จัดการเรียนรู้ การให้ความรู้เพิ่มเติมที่จำาเป็นสำาหรับครูผู้สอน รวมทั้งการเฉลยคำาถามและแบบฝึกหัด
ในหนังสือเรียน
สสวท. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือครูเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้ และเป็นส่วน
สำาคัญในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กลุม
่ สาระการเรียนรูว้ ท
ิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิบุคลากรทางการศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำาไว้
ณ โอกาสนี้

(ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำานงค์)
ผู้อำานวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
คำาชี้แจง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้จัดทำาตัวชี้วัดและสาระ
การเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเน้นเพื่อต้องการพัฒนา
ผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถที่ทัดเทียมกับนานาชาติ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงความรู้กับ
กระบวนการ ใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้และแก้ปญหาที่หลากหลายมีการทำากิจกรรมด้วยการ
ลงมือป ิบัติเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑
งึ่ ในปีการศึกษา ๒๕๖๑ เป็นต้นไป โรงเรียนจะต้องใช้หลักสูตรกลุม
่ สาระการเรียนรูว้ ท
ิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) สสวท. ได้มีการจัดทำาหนังสือเรียนที่เป็นไปตามมาตรฐาน
หลั ก สู ต รเพื่ อ ให้ โ รงเรี ย นได้ ใ ช้ สำ า หรั บ จั ด การเรี ย นการสอนในชั้ น เรี ย น และเพื่ อ ให้ ค รู ส ามารถ
สอนและจัดกิจกรรมต่าง ๆ ตามหนังสือเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้จัดทำาคู่มือครูสำาหรับใช้
ประกอบหนังสือเรียนดังกล่าว
คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เล่ม ๖ นี้ ได้บอกแนว
การจัดการเรียนการสอนตามเนื้อหาในหนังสือเรียนประกอบด้วยเรื่องคลื่นแม่เหลกไฟฟา ฟิสิกส์
อะตอม ฟิ สิ ก ส์ นิ ว เคลี ย ร์ แ ละฟิ สิ ก ส์ อ นุ ภ าค ึ่ ง ครู ส ามารถนำ า ไปใช้ เ ป็ น แนวทางในการวางแผน
การจั ด การเรี ย นรู้ ใ ห้ บ รรลุ จุ ด ประสงค์ ที่ ตั้ ง ไว้ โดยสามารถนำ า ไปจั ด กิ จ กรรมการเรี ย นรู้ ไ ด้ ต าม
ความเหมาะสมและความพร้ อ มของโรงเรี ย น ในการจั ด ทำ า คู่ มื อ ครู เ ล่ ม นี้ ไ ด้ รั บ ความร่ ว มมื อ เป็ น
อย่างดียิ่ง จากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการอิสระ คณาจารย์ รวมทั้งครู นักวิชาการ จากทั้งภาครัฐและ
เอกชน จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
สสวท. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟิสิกส์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เล่ม ๖ นี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สอน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝาย ที่จะช่วยให้
การจัดการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีข้อเสนอแนะใดที่จะทำาให้คู่มือครู
เล่มนี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โปรดแจ้งสสวท. ทราบด้วย จะขอบคุณยิ่ง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
คำาอธิบายรายวิชาเพิ่มเติม
ฟิสิกส์ เล่ม ๖ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เวลา ๘๐ ชั่วโมง จำานวน ๒ หน่วยกิต

ศกษาการเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟา สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา


การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟา สมมติ านของพลังค์ ท ษ ีอ ตอมของโบร์ ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก
ทวิ าว ของคลื่นแล อนุ าค เสถียร าพของนิวเคลียส กัมมันต าพรังสี ป ิกิริยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์แล
ฟสิ ก ส์ อ นุ าค โดยใช้ ก ร บวนการทางวิ ท ยาศาสตร์ การสื บ เสา หาความร้ การสื บ ค้ น ข้ อ มล การสั ง เกต วิ เ ครา ห์
เปรียบเทียบ อ ิบาย อ ิปราย แล สรุป เพื่อให้เกิดความร้ ความเข้าใ มีความสามารถในการตัดสินใ มีีทักษ ป ิบัติการ
ทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งทักษ แห่งศตวรรษที่ ๒ ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการคิดแล การแก้ปญหา
ด้านการสื่อสาร สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนร้แล นาความร้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มี ิตวิทยาศาสตร์ ริย รรม คุณ รรม
แล ค่านิยมที่เหมา สม

ผลการเรียนร้

. อ บ
ิ ายการเกิดแล ลักษณ เฉพา ของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา แสงไม่โพลาไรส์ แสงโพลาไรส์เชิงเส้น แล แ น
่ โพลารอยด์
รวมทัง้ อ บ
ิ ายการนาคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาในช่วงความถีต
่ า่ ง ไปปร ยุกต์ใช้ แล หลักการทางานของอุปกรณ์ทเี่ กีย่ วข้อง

๒. สืบค้นแล อ ิบายการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาในการส่ง ่านสารสนเทศ แล เปรียบเทียบการสื่อสารด้วย


สัญญาณแอน ล็อกกับสัญญาณดิ ิทัล

. อ ิบายสมมติ านของพลังค์ ท ษ ีอ ตอมของโบร์ แล การเกิดเส้นสเปกตรัมของอ ตอมไ โดรเ น รวมทั้ง


คานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้อง

๔. อ ิบายปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริกแล คานวณพลังงานโฟตอน พลังงาน ลน์ของโฟโตอิเล็กตรอนแล


ฟงก์ชน
ั งานของโลห

๕. อ ิบายทวิ าว ของคลื่นแล อนุ าค รวมทั้งอ ิบายแล คานวณความยาวคลื่นเดอบรอยล์

. อ ิบายกัมมันต าพรังสีแล ความแตกต่างของรังสีแอลฟา บีตาแล แกมมา

. อ ิบายแล คานวณกัมมันต าพของนิวเคลียสกัมมันตรังสี รวมทั้งทดลอง อ ิบาย แล คานวณ านวนนิวเคลียส


กัมมันตรังสีที่เหลือ ากการสลายแล คร่งชีวิต

. อ ิบายแรงนิวเคลียร์ เสถียร าพของนิวเคลียส แล พลังงานยดเหนี่ยว รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้อง

๙. อ ิบายป ิกิริยานิวเคลียร์ ฟชชัน แล ฟวชัน รวมทั้งคานวณพลังงานนิวเคลียร์

. อ ิบายปร โยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์แล รังสี รวมทั้งอันตรายแล การปองกันรังสีในด้านต่าง

. อ ิบายการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค แบบ าลองมาตร าน แล การใช้ปร โยชน์ ากการค้นคว้าวิ ัยด้าน


ฟสิกส์อนุ าคในด้านต่าง

รวมทั้งหมด ๑๑ ผลการเรียนรู้
ข้อแนะนำาทั่วไปในการใช้คู่มือครู

วิทยาศาสตร์มีความเก่ียวข้องกับทุกคนทั้งในชีวิตปร าวันแล การงานอาชีพต่าง รวมทั้ง


มีบทบาทสาคัญในการพั นา ล ลิตต่าง ที่ใช้ในการอานวยความส ดวกทั้งในชีวิต แล การทางาน
นอก ากนี้ วิ ท ยาศาสตร์ ยั ง ช่ ว ยพั นาวิ ี คิ ด แล ทาให้ มี ทั ก ษ ที่ าเปนในการตั ด สิ น ใ แล แก้ ป ญหา
อย่ า งเปนร บบ การ ั ด การเรี ย นร้ เ พื่ อ ให้ นั ก เรี ย นมี ค วามร้ แ ล ทั ก ษ ท่ี ส าคั ญ ตามเปาหมายของ
การ ั ด การเรี ย นร้ วิ ท ยาศาสตร์ งมี ค วามสาคั ญ ยิ่ ง ซ่ ง เปาหมายของการ ั ด การเรี ย นร้ วิ ท ยาศาสตร์
มีดังนี้

1. เพื่อให้เข้าใ หลักการแล ท ษ ีที่เปนพื้น านของวิชาวิทยาศาสตร์


2. เพื่อให้เกิดความเข้าใ ในลักษณ ขอบเขต แล ข้อ ากัดของวิทยาศาสตร์
3. เพื่อให้เกิดทักษ ท่ีสาคัญในการศกษาค้นคว้าแล คิดค้นทางวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
4. เพื่อพั นากร บวนการคิดแล ินตนาการ ความสามารถในการแก้ป ญหาแล การ ัดการ
ทักษ ในการส่ือสารแล ความสามารถในการตัดสินใ
5. เพื่อให้ตร หนักถงความสัมพัน ์ร หว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์แล
ส าพแวดล้อม ในเชิงที่มีอิท ิพลแล ลกร ทบซ่งกันแล กัน
6. เพื่อนาความร้ความเข้าใ เรื่องวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี ไปใช้ให้เกิดปร โยชน์ต่อ
สังคมแล การดารงชีวิตอย่างมีคุณค่า
7. เพื่อให้มี ิตวิทยาศาสตร์ มีคณ
ุ รรม ริย รรม แล ค่านิยมในการใช้ความร้ทาง
วิทยาศาสตร์อย่างสร้างสรรค์

ค่ มื อ ครเปนเอกสารที่ ั ด ทาข้ น ควบค่ กั บ หนั ง สื อ เรี ย น สาหรั บ ให้ ค รได้ ใ ช้ เ ปนแนวทาง


ในการ ั ด การเรี ย นร้ เ พ่ื อ ให้ นั ก เรี ย นได้ รั บ ความร้ แ ล มี ทั ก ษ ที่ ส าคั ญ ตาม ุ ด ปร สงค์ ก ารเรี ย นร้
ในหนังสือเรียน ซ่งสอดคล้องกับ ลการเรียนร้ตามสาร การเรี ยนร้ ส่งเสริ มให้บ รรลุ เป้ าหมายของ
การ ั ด การเรียนร้วิทยาศาสตร์ได้ อย่างไรก็ตาม ครอา พิ ารณาดัดแปลงหรือเพ่ิมเติมการ ัดการเรียนร้
ให้เหมา สมกับบริบทของแต่ล ห้องเรียนได้ โดยค่มือครมีองค์ปร กอบหลักดังต่อไปนี้

ผลการเรียนรู้
ลการเรียนร้เปน ลลัพท์ที่ควรเกิดกับนักเรียนทั้งด้านความร้เเล ทักษ ซ่งช่วยให้ครได้ทราบ
เปาหมายของการ ัดการเรียนร้ในแต่ล เนื้อหาแล ออกแบบกิ กรรมการเรียนร้ให้สอดคล้องกับ ลการ
เรียนร้ได้ ทั้งนี้ครอา เพ่ิมเติมเนื้อหาหรือทักษ ตามศักย าพของนักเรียน รวมทั้งอา สอดแทรกเนื้อหาที่
เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น เพื่อให้นักเรียนมีความร้ความเข้าใ มากข้นได้
การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้
การวิเครา ห์ความร้ ทักษ กร บวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษ แห่งศตวรรษที่ 21 ต
ิ วิทยาศาสตร์
ที่เกี่ยวข้องในแต่ล ลการเรียนร้ เพื่อใช้เปนแนวทางในการ ัดการเรียนร้

ผังมโนทัศน์
แ น าพที่เเสดงความสัมพัน ์ร หว่างความคิดหลัก ความคิดรอง แล ความคิดย่อย เพื่อช่วยให้
ครเห็นความเชื่อมโยงของเนื้อหา ายในบทเรียน

สรุปเเนวความคิดสำาคัญ
การสรุปเนื้อหาสาคัญของบทเรียน เพื่อช่วยให้ครเห็นกรอบเนื้อหาทั้งหมด รวมทั้งลาดับของ
เนื้อหาในบทเรียนนั้น

เวลาที่ใช้
เวลาที่ใช้ในการ ัดการเรียนร้ ซ่งครอา ดาเนินการตามข้อเสนอแน ที่กาหนดไว้ หรืออา ปรับ
เวลาได้ตามความเหมา สมกับบริบทของแต่ล ห้องเรียน

ความรู้ก่อนเรียน
คาสาคั ญ หรื อ ข้ อ ความที่ เ ปนความร้ พื้ น าน ซ่ ง นั ก เรี ย นควรมี ก่ อ นที่ เรี ย นร้ เ นื้ อ หาใน
บทเรียนนั้น

การจัดการเรียนรู้ของแต่ละหัวข้อ
การ ัดการเรียนร้ในเเต่ล ข้ออา มีองค์ปร กอบเเตกต่างกัน โดยรายล เอียดเเต่ล องค์ปร กอบ
มีดังนี้
- จุดประสงค์การเรียนรู้
เปาหมายของการ ั ด การเรี ย นร้ ที่ ต้ อ งการให้ นั ก เรี ย นเกิ ด ความร้ ห รื อ ทั ก ษ หลั ง าก ่ า น
กิ กรรมการเรียนร้ในเเต่ล หัวข้อ ซ่งสามารถวัดเเล ปร เมิน ลได้ ทัง้ นีค
้ รอา ตัง้ ด
ุ ปร สงค์
เพิ่มเติม ากที่ให้ไว้ ตามความเหมา สมกับบริบทของแต่ล ห้องเรียน

- ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
เนื้อหาที่นักเรียนอา เกิดความเข้าใ คลาดเคลื่อนที่พบบ่อย ซ่งเปนข้อมลให้ครได้พงร วัง
หรืออา เน้นย้าในปร เด็นดังกล่าวเพื่อปองกันการเกิดความเข้าใ ที่คลาดเคลื่อนได้
- สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
สื่อการเรียนร้ เช่น บัตรคา คลิปวีดิทัศน์ หรือวัสดุแล อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการปร กอบ
การ ัดการเรียนร้ ซ่งครควรเตรียมล่วงหน้าก่อนเริ่มการ ัดการเรียนร้้

- แนวการจัดการเรียนรู้
แนวทางการ ั ด การเรี ย นร้ ที่ ส อดคล้ อ งกั บ ุ ด ปร สงค์ ก ารเรี ย นร้ โดยมี ก ารนาเสนอทั้ ง ใน
ส่วนของเนื้อหาแล กิ กรรมเปนขั้นตอนอย่างล เอียด ทั้งนี้ครอา ปรับหรือเพิ่มเติมกิ กรรม
ากที่ให้ไว้ตามความเหมา สมกับบริบทของแต่ล ห้องเรียน

- กิจกรรม
การป ิบัติที่ช่วยในการเรียนร้เนื้อหาหรือ ก นให้เกิดทักษ ตาม ุดปร สงค์การเรียนร้ของ
บทเรียน โดยอา เปนการทดลอง การสา ิต การสืบค้นข้อมล หรือกิ กรรมอื่น ซ่งควรให้
นักเรียนลงมือป ิบัติด้วยตนเอง โดยองค์ปร กอบของกิ กรรมมีรายล เอียด ดังนี้
ุดปร สงค์
เปาหมายที่ต้องการให้นักเรียนเกิดความร้หรือทักษ หลัง าก ่านกิ กรรมนั้น

วัสดุแล อุปกรณ์
รายการวัสดุ อุปกรณ์ หรือสารเคมีที่ต้องใช้ในการทากิ กรรม ซ่งครควรเตรียมให้เพียงพอ
สาหรับการ ัดกิ กรรม

สิ่งที่ครต้องเตรียม
ข้อมลเกี่ยวกับสิ่งที่ครต้องเตรียมล่วงหน้าสาหรับการ ัดกิ กรรม เช่น การเตรียม
สารล ลายที่มีความเข้มข้นต่าง การเตรียมตัวอย่างสิ่งมีชีวิต

ข้อเสนอแน การทากิ กรรม


ข้อมลที่ให้ครเเ ้งต่อนักเรียนให้ทราบถงข้อร วัง ข้อควรป ิบัติ หรือข้อมลเพิ่มเติมใน
การทากิ กรรมนั้น

ตัวอย่าง ลการทากิ กรรม


ตัวอย่าง ลการทดลอง การสา ิต การสืบค้นข้อมลหรือกิ กรรมอื่น เพื่อให้ครใช้เปนข้อมล
สาหรับตรว สอบ ลการทากิ กรรมของนักเรียน
อ ิปรายหลังการทากิ กรรม
ตัวอย่างข้อมลที่ควรได้ ากการอ ิปรายเเล สรุป ลการทากิ กรรม ซ่งครอา ใช้ค าถาม
ท้ายกิ กรรมหรือคาถามเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้นักเรียนอ ิปรายในปร เด็นที่ต้องการรวมทั้ง
ช่วยกร ตุ้นให้นักเรียนช่วยกันคิดแล อ ิปรายถงป ัยต่าง ที่ทาให้ ลของกิ กรรมเปนไป
ตามทีค
่ าดหวัง หรืออา ไม่เปนไปตามที่คาดหวัง

นอก ากนี้ อา มีข้อแน นาเพิ่มเติมสาหรับคร ความร้เพิ่มเติมสาหรับคร เพื่อให้ครมีความร้


ความเข้าใ ในเรื่องนั้น เพิ่มข้น ซ่งไม่ควรนาไปเพิ่มเติมให้กับนักเรียน เพรา เปนส่วนเสริม ากเนื้อหาที่มี
ในหนังสือเรียน

- แนวการวัดและประเมินผล
แนวทางการวัดแล ปร เมิน ลที่สอดคล้องกับ ุดปร สงค์การเรียนร้ ซ่งปร เมินทัง้ ด้านความร้
ทักษ กร บวนทางการวิทยาศาสตร์์ ทักษ เเห่งศตวรรษที่ 21 ปร เมิน ิตวิทยาศาสตร์ของ
นักเรียนที่ควรเกิดข้นหลัง ากได้เรียนร้ในเเต่ล หัวข้อ ลที่ได้ ากการปร เมิน ช่วยให้คร
ทราบถงความสาเร็ ของการ ัดการเรียนร้ รวมทั้งใช้เปนแนวทางในการปรับปรุงแล พั นา
การเรียนร้ให้เหมา สมกับนักเรียน

เครื ่ อ งมื อ วั ด แล ปร เมิ น ลมี อย่ห ลายรปแบบ เช่น แบบทดสอบรปแบบต่าง


แบบปร เมินทักษ แบบปร เมินคุณลักษณ ด้าน ิตวิทยาศาสตร์ ซ่งครอา เรียกใช้เครื่องมือ
สาหรับการวัดแล ปร เมิน ล ากเครื่องมือมาตร านที่มี ้พั นาไว้ ดัดเเปลง ากเครื่องมือ
ที่ อ
้ น
่ื ทาไว้เเล้ว หรือสร้างเครือ
่ งมือใหม่ขน
้ เอง ตัวอย่างเครือ
่ งมือวัดแล ปร เมิน ล ดัง าค นวก

- แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ เเละเฉลยเบบฝึกหัด
แนวคาตอบของคาถามตรว สอบความเข้าใ แล เฉลยแบบ กหัดท้ายหัวข้อ ทั้งนี้ครควรใช้
คาถามตรว สอบความเข้ า ใ เรี ย นเพื่ อ ตรว สอบความร้ ค วามเข้ า ใ ของนั ก เรี ย นก่ อ นเริ่ ม
เนื้อหาใหม่เพื่อให้สามารถปรับการการ ัดการเรียนร้ให้เหมา สมต่อไป แล ให้แบบ กหัดเพื่อ
ก นทักษ การแก้ปญหาแล ทักษ อื่น

- เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบท
ปร กอบด้วยแนวคาตอบของคาถามท้ายบทเรียนในหนังสือเรียน รวมทั้งเฉลยปญหาแล
เฉลยปญหาท้าทาย ซ่งครควรใช้คาถามแล ปญหาในแบบ กหัดท้ายบทในการตรว สอบว่า
หลัง ากที่นักเรียนเรียน บบทเรียนแล้ว นักเรียนยังขาดความร้ความเข้าใ ในเรื่องใดเพื่อให้
สามารถวางแ นการทบทวนหรือเน้นย้าเนื้อหาให้กับนักเรียนก่อนการทดสอบได้ ส่วนปญหา
ท้าทายเปนปญหาสาหรับนักเรียนที่มีศักย าพสงแล ต้องการโ ทย์ท้าทายเพิ่มเติม
สารบัญ บทที่ 18
บทที่ เนื้อหา หน้า

18
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ลการเรียนร้ 1
การวิเครา ห์ ลการเรียนร้ 1
ังมโนทัศน์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟา 4
สรุปแนวความคิดสาคัญ 5
เวลาที่ใช้ 7
ความร้ก่อนเรียน 7
18.1 การเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟา 8
18.2 สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา 11
18.2.1 คลืน่ วิทยุ 11
18.2.2 ไมโครเวฟ 14
18.2.3 รังสีใต้แดงหรือรังสีอินฟราเรด 15
18.2.4 แสง 17
18.2.5 รังสีเหนือม่วงหรือรังสีอัลตราไวโอเลต 17
18.2.6 รังสีเอกซ์ 19
18.2.7 รังสีแกมมา 19
18.3 โพลาไรเซชันของคลืน ่ แม่เหล็กไฟฟา 21
18.4 การปร ยุกต์ใช้คลืน่ แม่เหล็กไฟฟา 26
18.4.1 เครื่องฉายรังสีเอกซ์ 26
18.4.2 เครื่องถ่าย าพเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ 27
18.4.3 เครื่องควบคุมร ย ไกล 27
18.4.4 เครื่องร บุตาแหน่งบนพื้นโลก 28
18.4.5 เครื่องถ่าย าพการสั่นพ้องของแม่เหล็ก 31
18.5 การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟา 33
18.5.1 การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นวิทยุ 34
18.5.2 การสื่อสารโดยอาศัยไมโครเวฟ 35
18.5.3 การสื่อสารโดยอาศัยแสง 35
18.5.4 สัญญาณแอน ล็อกแล สัญญาณดิ ิทัล 36
เฉลยแบบ กหัดท้ายบทที่ 18 38
สารบัญ บทที่ 19-20
บทที่ เนื้อหา หน้า

19
ฟิสิกส์อะตอม
ลการเรียนร้ 43
การวิเครา ห์ ลการเรียนร้ 43
ังมโนทัศน์ ฟสิกส์อ ตอม 46
สรุปแนวความคิดสาคัญ 47
เวลาที่ใช้ 49
ความร้ก่อนเรียน 49
19.1 สมมติ านของพลังค์แล ท ษ ีอ ตอมของโบร์ 50
19.1.1 การแ ค่ ลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาของวัตถุดา 50
19.1.2 ท ษ อี ตอมของโบร์ 53
19.2 ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก 69
19.2.1 ควอนตัมของแสงแล โฟตอน 69
19.2.2 ฟงก์ชันงานแล พลังงาน ลน์สงสุดของ 70
โฟโตอิเล็กตรอน
19.3 ทวิ าว ของคลืน
่ แล อนุ าค 77
19.3.1 สมมติ านของเดอบรอยล์ 77
19.3.2 กลศาสตร์ควอนตัมแล การนาไปปร ยุกต์ 79
ใช้ปร โยชน์
เฉลยแบบ กหัดท้ายบทที่ 19 83

20
ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค
ลการเรียนร้ 106
การวิเครา ห์ ลการเรียนร้ 106
ังมโนทัศน์ ฟสิกส์นิวเคลียร์แล ฟสิกส์อนุ าค 112
สรุปแนวความคิดสาคัญ 113
เวลาที่ใช้ 116
ความร้ก่อนเรียน 116
20.1 เสถียร าพของนิวเคลียส 117
สารบัญ บทที่ 20 - ภาคผนวก

บทที่ เนื้อหา หน้า

20.1.1 แรงนิวเคลียร์ 117


20.1.2 พลังงานยดเหนีย่ ว 122
20.2 กัมมันต าพรังสี 130
20.2.1 การค้นพบกัมมันต าพรังสี 130
20.2.2 รังสี าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสี 132
20.2.3 การสลายแล สมการการสลาย 135
20.2.4 กัมมันต าพ 144
20.2.5 คร่งชีวิต 155
20.3 ป กิ ริ ยิ านิวเคลียร์แล พลังงานนิวเคลียร์ 169
20.3.1 ฟชชัน 170
20.3.2 ฟวชัน 176
20.4 ปร โยชน์แล การปองกันอันตราย ากรังสี 185
20.4.1 การนารังสีไปใช้ปร โยชน์ 188
20.4.2 รังสีใน รรมชาติแล การปองกันอันตราย 194
ากรังสี
20.5 ฟสิกส์อนุ าค 204
20.5.1 อนุ าคมล าน 204
20.5.2 แบบ าลองมาตรา าน 204
20.5.3 ปร โยชน์ ากการค้นคว้าวิ ยั ด้านฟสิกส์อนุ าค 204
เฉลยแบบ กหัดท้ายบทที่ 20 224

ภาคผนวก ตัวอย่างเครื่องมือวัดแล ปร เมิน ล 270


แบบทดสอบ 271
แบบปร เมินทักษ 275
แบบปร เมินคุณลักษณ ด้าน ิตวิทยาศาสตร์ 278
การปร เมินการนาเสนอ ลงาน 281
บรรณานุกรม 283
คณ กรรมการ ัดทาค่มอ
ื คร 285
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 1

18
บทที่ คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า

ipst.me/11454

ผลการเรียนรู้

1. อ บ
ิ ายการเกิดแล ลักษณ เฉพา ของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา แสงไม่โพลาไรส์ แสงโพลาไรส์เชิงเส้น
แล แ ่นโพลารอยด์ รวมทั้งอ ิบายการนาคลื่นแม่เหล็กไฟฟาในช่วงความถี่ต่าง ไปปร ยุกต์
ใช้แล หลักการทางานของอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
2. สืบค้นแล อ บ
ิ ายการสือ่ สารโดยอาศัยคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาในการส่ง า่ นสารสนเทศ แล เปรียบเทียบ
การสื่อสารด้วยสัญญาณแอน ล็อกกับสัญญาณดิ ิทัล

การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้

ผลการเรียนรู้
1. อ บ
ิ ายการเกิดแล ลักษณ เฉพา ของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา แสงไม่โพลาไรส์ แสงโพลาไรส์เชิงเส้น
แล แ ่นโพลารอยด์ รวมทั้งอ ิบายการนาคลื่นแม่เหล็กไฟฟาในช่วงความถี่ต่าง ไปปร ยุกต์
ใช้แล หลักการทางานของอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายการเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
2. อ ิบายลักษณ เฉพา ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
3. อ ิบายความหมายของสเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
4. อ ิบายการนาคลื่นแม่เหล็กไฟฟาในช่วงความถี่ต่าง ไปปร ยุกต์ใช้
5. อ ิบายโพลาไรเซชันของแสง แสงไม่โพลาไรส์แล แสงโพลาไรส์เชิงเส้น
6. สังเกตความสว่างของแสงเมื่อ ่านแ ่นโพลารอยด์สองแ ่น
7. ยกตัวอย่างแล อ ิบายหลักการทางานอุปกรณ์บางชนิดที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

- 1. การสื่อสารสารสนเทศแล 1. ความอยากร้อยากเห็น
การร้เท่าทันสือ่ การอ ป
ิ ราย 2. ความรอบคอบ
ร่วมกันแล การนาเสนอ ล
มีการอ้างอิงแหล่งที่มาแล
การเปรียบเทียบความถกต้อง
ของข้อมล ากแหล่งข้อมล
ที่ ห ล า ก ห ล า ย ไ ด้ อ ย่ า ง
สมเหตุสม ล
2. ความร่วมมือการทางานเปน
ทีมแล าว น
้ า

ผลการเรียนรู้
2. สืบค้นแล อ ิบายการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาในการส่ง ่านสารสนเทศ แล
เปรียบเทียบการสื่อสารด้วยสัญญาณแอน ล็อกกับสัญญาณดิ ิทัล

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. สืบค้นแล อ ิบายการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
2. เปรียบเทียบการสื่อสารด้วยสัญญาณแอน ล็อกกับสัญญาณดิ ิทัล

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 3

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

- 1. การสื่อสารสารสนเทศแล 1. ความอยากร้อยากเห็น
การร้เท่าทันสือ่ การอ ป
ิ ราย 2. ความรอบคอบ
ร่วมกันแล การนาเสนอ ล
มีการอ้างอิงแหล่งที่มาแล
การเปรียบเทียบความถกต้อง
ของข้อมล ากแหล่งข้อมล
ที่ ห ล า ก ห ล า ย ไ ด้ อ ย่ า ง
สมเหตุสม ล
2. ความร่วมมือการทางานเปน
ทีมแล าว น
้ า

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

ผังมโนทัศน์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า
แมกซ์เวลล์เสนอแนวคิด
เกีย
่ วกับคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า นําไปอธิบาย
คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้าเป็น
การเกิดคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า
นําไปสู่ คลืน
่ ตามขวาง

การทดลองการส่งการรับ นําไปอธิบาย
คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้าของเฮิรตซ์ แสดงการเกิด
และตรวจจับ โพลาไรเซชันของ
คลืน
่ วิทยุ คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า

การค้นพบคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า
ในช่วงความถีต่ า่ ง ๆ แผ่นโพลารอยด์
แสดง
นําไปสู่
โพลาไรเซชันของแสง
สเปกตรัมของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า

นําไปสู่

การประยุกต์ใช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า การสือ
่ สารโดยใช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า
กับอุปกรณ์ทเ่ี กีย
่ วข้อง
เกีย
่ วข้องกับ
สัญญาณแอนะล็อกและสัญญาณดิจท
ิ ัล

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 5

สรุปแนวความคิดสำาคัญ
คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาเกิด ากการเหนีย่ วนาอย่างต่อเนือ
่ งร หว่างสนามแม่เหล็กแล สนามไฟฟากล่าว
คือ สนามไฟฟาทีเ่ ปลีย่ นแปลงตามเวลาทาให้เกิดสนามแม่เหล็ก ในขณ เดียวกันสนามแม่เหล็กทีเ่ ปลีย่ นแปลง
ตามเวลาก็ทาให้เกิดสนามไฟฟา คลื่นแม่เหล็กไฟฟา งปร กอบด้วย สนามแม่เหล็กแล สนามไฟฟาที่
เปลีย่ นแปลงตลอดเวลา โดยทัง้ สองสนามมีทศ
ิ ทางตัง้ ฉากกันแล ตัง้ ฉากกับทิศทางของความเร็วในการเคลือ่ นที่
ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา คลื่นแม่เหล็กไฟฟาเปนคลื่นตามขวางที่ไม่อาศัยตัวกลาง สามารถแ ่ออกไปได้ใน
สุญญากาศด้วยอัตราเร็วเท่ากับอัตราเร็วแสงหรือปร มาณ 3 × 108 เมตรต่อวินาที แล มีอัตราเร็วน้อยลง
เมื่อเคลื่อนที่ ่านตัวกลาง โดย มีอัตราเร็วไม่เท่ากันในตัวกลางต่าง ข้นกับตัวกลางแล ชนิดของ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟา
เมื่อต่อแหล่งกาเนิดไฟฟากร แสสลับเข้ากับสายอากาศที่ปร กอบด้วยท่อนโลห ที่อย่ในแนวดิ่ง
อิเล็กตรอนในสายอากาศ เคลือ
่ นทีก
่ ลับไปมาด้วยความเร่งในแนวดิง่ ทาให้เกิดคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแ อ
่ อก
รอบสายอากาศทุกทิศทาง ยกเว้นทิศทางที่อย่ในแนวเส้นตรงเดียวกับสายอากาศ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟามีความถี่ต่าง มากมายต่อเนื่องกันเปนช่วงกว้าง เรียกรวมกันว่า สเปกตรัม
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟาปร กอบด้วย คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ รังสีอินฟราเรด แสง
รังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ แล รังสีแกมมา ในป ุบันคลื่นแม่เหล็กไฟฟาแต่แล ชนิดถกนาไปปร ยุกต์
ใช้ในด้านต่าง
คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาทีม
่ สี นามไฟฟาเปลีย่ นแปลงทิศทางกลับไปมาในร นาบเดียว เรียกคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ลักษณ นี้ว่า คลื่นโพลาไรส์เชิงเส้น
แหล่งกาเนิดคลื่นแสงทั่วไปในชีวิตปร าวัน เช่น ดวงอาทิตย์ หลอดไฟ รวมทั้งแสง ส ท้อน าก
สิง่ ต่าง รอบตัว มีสนามไฟฟาเปลีย่ นแปลงกลับไปมาอย่ในหลายร นาบทีต
่ ง้ั ฉากกับทิศทางการเคลือ
่ นที่
แสง ากแหล่งกาเนิดแสงดังกล่าว งเปนแสงไม่โพลาไรส์
เมื่อแสงไม่โพลาไรส์ ่านแ ่นโพลารอยด์ สนามไฟฟาของแสงที่มีทิศทางตั้งฉากกับแนวโพลาไรส์
ของแ ่ น โพลารอยด์ ถกดดกลื น แต่ ส นามไฟฟาของแสงที่ มี ทิ ศ ทางขนานกั บ แนวโพลาไรส์ ่าน
แ ่ น โพลารอยด์ ไ ด้ ทาให้ ค วามสว่ า งลดลงเมื่ อ เที ย บกั บ ขณ ไม่ มี แ ่ น โพลารอยด์ กั้ น แสงที่ ่ า น
แ ่นโพลารอยด์ออกมา งเปนแสงโพลาไรส์เชิงเส้น สมบัติของแสงลักษณ นี้เรียกว่า โพลาไรเ ชัน
ตัวอย่างอุปกรณ์ ที่ปร ยุกต์ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา ได้แก่ เครื่องฉายรังสีเอกซ์สร้าง าพสองมิติ
อวัยว ายใน เครื่องถ่าย าพเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ใช้รังสีเอกซ์สร้าง าพตัดขวางอวัยว ายในร่ายกาย
แล สามารถสร้างเปน าพสามมิติได้ เครื่องควบคุมร ย ไกลใช้รังสีอินฟราเรดหรือคลื่นวิทยุควบคุม
การทางานของเครื่องใช้ไฟฟา เครื่องร บุตาแหน่งบนพื้นโลกใช้ไมโครเวฟ เครื่องถ่าย าพการสั่นพ้อง
แม่เหล็กใช้คลื่นวิทยุสร้าง าพสามมิติอวัยว ายในร่างกาย

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

การสือ
่ สารโดยอาศัยคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาเพือ
่ ส่ง า่ นสารสนเทศ ากทีห
่ น่งไปอีกทีห
่ น่ง สารสนเทศ
ถกแปลงให้อย่ในรปสัญญาณสาหรับส่งไปยังปลายทาง โดยที่ปลายทาง แปลงสัญญาณกลับมาเปน
สารสนเทศที่เหมือนเดิม สัญญาณที่ใช้ในการสื่อสารมีสองชนิดคือ แอน ล็อก แล ดิ ิทัล การส่ง ่าน
สารสนเทศด้วยสัญญาณดิ ิทัลสามารถส่ง ่านได้โดยมีความ ิดพลาดน้อยกว่าสัญญาณแอน ล็อก

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 7

เวลาที่ใช้

บทนี้ควรใช้เวลาสอนประมา 22 ชั่วโมง

18.1 การเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟา 4 ชั่วโมง


18.2 สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา 5 ชั่วโมง
18.3 โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา 4 ชั่วโมง
18.4 การปร ยุกต์ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา 4 ชั่วโมง
18.5 การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟา 5 ชั่วโมง

ความรู้ก่อนเรียน

สมบัตข
ิ องคลืน
่ คลืน
่ กล ไฟฟาสถิต ไฟฟากร แส แม่เหล็กแล ไฟฟา

ครนาเข้าส่บทที่ 18 โดยอา ใช้ าพนาบทตัง้ คาถามว่า ใน าพเปนอุปกรณ์ใช้ทาอ ไร ครนาอ ป


ิ ราย
นสรุปได้ว่าเปนเสาอากาศที่ใช้ส่งวิทยุกร ายเสียงหรือใช้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ากนั้นตั้งคาถามว่า
การสือ
่ สารโดยใช้โทรศัพท์เคลือ
่ นทีม
่ ห
ี ลักการทางานอย่างไร เหมือนกับการกร ายสัญญาณเสียงของสถานี
วิทยุหรือไม่ ครเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบทีถ
่ กต้อง ากนัน

ครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า การสื่อสารโดยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แล การกร ายสัญญาณเสียงของสถานี
วิทยุ อาศัยคลืน
่ วิทยุซง่ เปนคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาในการส่งสารสนเทศ าก ส้ ง่ ไปยัง ร้ บ
ั ครชีแ้ งคาถามสาคัญ
ที่นักเรียน ต้องตอบได้หลัง ากเรียนร้บทที่ 18 แล หัวข้อต่าง ที่ ได้เรียนร้ในบทนี้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
8 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

18.1 การเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายการเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
2. อ ิบายลักษณ เฉพา ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. เมือ่ ปร ไุ ฟฟาเคลือ่ นที่ เกิดคลืน


่ แม่เหล็ก 1. เมื่อปร ุไฟฟาเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง ง
ไฟฟาเสมอ เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟา

2. คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาอาศัยอากาศเปนตัวกลาง 2. คลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟาไม่ อ าศั ย ตั ว กลาง
ในการส่ง ่านพลังงาน ในการส่ง ่านพลังงาน

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 1 แล 2 ของหัวข้อ 18.1 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.1 โดยใช้คาถามเพื่อทบทวนการเกิดคลื่นกลแล การส่ง ่านพลังงานของ
คลื่นกล ากนั้นตั้งคาถามว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟาเกิดข้นได้อย่างไร แล ส่ง ่านพลังงานออกไปโดยไม่อาศัย
ตัวกลางได้อย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครนาอ ป
ิ รายทบทวนความร้เกีย
่ วกับความสัมพัน ร์ หว่างสนามแม่เหล็กแล สนามไฟฟา ากนัน

ตั้งคาถามว่าถ้ามีการเหนี่ยวนาซ่งกันแล กันร หว่างสนามแม่เหล็กกับสนามไฟฟาอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวข้อง
กับการเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟาอย่างไร ากนั้นนาอ ิปรายเกี่ยวกับแนวคิดของแมกซ์เวลล์ นสรุปได้ว่า
สนามไฟฟาทีเ่ ปลีย
่ นแปลงตามเวลาทาให้เกิดสนามแม่เหล็ก แล สนามแม่เหล็กทีเ่ ปลีย
่ นแปลงตามเวลาทา
ให้เกิดสนามไฟฟา การเหนี่ยวนาซ่งกันแล กันนี้ทาให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟาแ ่ออกไปด้วยอัตราเร็ว
3 × 108 เมตรต่อวินาที ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครใช้ ร ป 18.1 นาอ ิ ป รายตั ว อย่ า งการเกิ ด คลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟา ากสายอากาศ นสรุ ป ได้ ว่ า
มีอิเล็กตรอนในสายอากาศเคลื่อนที่กลับไปมาด้วยความเร่งในแนวดิ่ง ทาให้เกิดสนามไฟฟาที่เปลี่ยนแปลง
ตามเวลา ซ่งเหนีย่ วนาให้เกิดสนามแม่เหล็กทีเ่ ปลีย่ นแปลงตามเวลาด้วย เกิดเปนคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแ อ
่ อก
รอบสายอากาศทุกทิศทางในแนวรัศมี ยกเว้นในแนวดิ่งซ่งเปนแนวเส้นตรงเดียวกับสายอากาศ
ครนาอ ิ ป รายทบทวนความร้ เ กี่ ย วกั บ สนามไฟฟาของปร ุ ไ ฟฟา แล สนามแม่ เ หล็ ก ของ
กร แสไฟฟา ากนัน
้ นาอ ป
ิ รายเกีย่ วกับการแ ส่ นามไฟฟาของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา ดังรป 18.2 แล การแ ่

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 9

สนามแม่เหล็กของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา ดังรป 18.3 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน นสรุปได้ว่าการต่อ


สายอากาศกับแหล่งกาเนิดไฟฟากร แสสลับข้างต้น ทาให้เกิดการเหนีย่ วนาต่อเนือ
่ งร หว่างสนามแม่เหล็ก
แล สนามไฟฟา เกิดเปนคลื่นแม่เหล็กไฟฟาแ ่ออก ากสายอากาศ การเปลี่ยนแปลงสนามทั้งสองมีเฟส
ตรงกัน กล่าวคือมีค่าเปนศนย์พร้อมกัน แล มีค่าสงสุดพร้อมกัน
ากนัน
้ ใช้รป 18.4 นาอ ป
ิ รายเกีย่ วกับความสัมพัน ร์ หว่างทิศทางของสนามไฟฟา สนามแม่เหล็ก
แล ทิศทางความเร็วในการเคลือ
่ นทีข
่ องคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา นสรุปได้วา่ ทิศทางของความเร็วในการเคลือ
่ นที่
ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟาหาได้โดยใช้มือขวา ชี้นิ้วทั้งสี่ไปตามทิศทางของสนามไฟฟา ากนั้นวนนิ้วทั้งสี่ไป
หาทิศทางของสนามแม่เหล็ก นิ้วหัวแม่มือ ชี้ทิศทางของความเร็ว ดังนั้นทิศทางสนามไฟฟาแล ทิศทาง
สนามแม่เหล็กตั้งฉากกับทิศทางความเร็ว คลื่นแม่เหล็กไฟฟา งเปนคลื่นตามขวาง

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

การพิ าณากร แสไฟฟาในสายอากาศแล สนามไฟฟาที่แ ่ออก ากสายอากาศเมื่อต่อสาย


อากาศกับแหล่งกาเนิดไฟฟากร แสสลับ
l l
4 4
y y
- E + E
T P 3T
I x t I Q x t
P Q 4 4
+ -

ก. ข.

รูป ทิศทางของกระแสไฟฟ้าในสายอากาศและสนามไฟฟ้าที่แผ่ออก

ทิศทางกร แสไฟฟาในตัวนามีทศ
ิ ทางเดียวกับสนามไฟฟาในตัวนา แต่ ากรป ก. แล รป ข.
สังเกตเห็นว่าทิศทางของกร แสไฟฟา I มีทิศทางตรงข้ามกับสนามไฟฟา E ที่แ ่ออก ากตัวนาที่
ตาแหน่ง P ทั้งนี้เนื่อง ากกร แสไฟฟาในสายอากาศ เกิด ากแหล่งกาเนิดไฟฟากร แสสลับ ซ่ง
ากรป 18.3 ก. กร แสไฟฟา I มีทิศทางลง ทาให้โลห ท่อนล่างมีปร ุบวก ขณ ที่โลห ท่อนบน
มีปร ุลบ ที่ตาแหน่ง P ใกล้สายอากาศ งเกิดสนามไฟฟา E แ ่ออก ายนอกสายอากาศมีทิศทาง
ข้น ากรป ข. พิ ารณาได้ในทานองเดียวกัน กร แสไฟฟา I มีทิศทางข้น สนามไฟฟา E ที่ตาแหน่ง
P มีทิศทางลง เนื่อง ากแหล่งกาเนิดเปนแหล่งกาเนิดไฟฟากร แสสลับ งทาให้การเคลื่อนที่ของ
อิเล็กตรอนในสายอากาศมีลักษณ เปนการเคลื่อนที่แบบสั่นกลับไปกลับมา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
10 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับการเกิดแล ลักษณ เฉพา ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา ากคาถามตรว สอบ
ความเข้าใ 18.1
2. ิตวิทยาศาสตร์ความอยากร้อยากเห็น ากการอ ิปรายร่วมกัน

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 18.1

1. ขณ ที่มีกร แสไฟฟา ่านสายไฟฟาที่ต่อร หว่างแบตเตอรี่กับหลอดไฟฟา เกิดคลื่นแม่เหล็ก


ไฟฟาแ ่ออกมา ากสายไฟฟานั้นหรือไม่ เพรา เหตุใด
แนวคำาตอบ ไม่เกิดคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแ อ่ อกมา ากสายไฟฟา เพรา กร แสไฟฟา ากแบตเตอรี่
ที่ า่ นสายไฟฟาเปนไฟฟากร แสตรงซ่งมีคา่ คงตัว งไม่เกิดการเปลีย่ นแปลงทัง้ สนามไฟฟาแล
สนามแม่เหล็ก
2. ชายคนหน่งอย่ที่เส้นศนย์สตรของโลก ทาให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟาแ ่ขนานกับพื้นไปทาง
ทิศเหนือ แล ตรว พบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่แ ่ออกไปนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟาอย่
ในแนวทิศต วันออก ทิศต วันตก การเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็ก อย่ในแนวใด
แนวคำาตอบ การเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กอย่ในแนวตั้งฉากกับพื้น ดังรป ซ่งหาได้โดย
ใช้มือขวา

B
E
c N

E
B

พื้นโลก

รูป ประกอบแนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจข้อ 2

3. งร บุความแตกต่างร หว่างคลื่นกลแล คลื่นแม่เหล็กไฟฟา


แนวคำาตอบ คลื่นกลส่ง ่านพลังงานโดยอาศัยตัวกลาง แต่คลื่นแม่เหล็กไฟฟาส่ง ่านพลังงาน
โดยไม่อาศัยตัวกลาง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 11

18.2 สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายของสเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
2. อ บ
ิ ายการนาคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาในช่วงความถีต
่ า่ ง ไปปร ยุกต์ใช้

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาในช่วงคลืน
่ ความถีต
่ า่ ง 1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟาทุกช่วงความถี่มี
มีพ ติกรรมของคลื่นแตกต่างกัน พ ติกรรมของคลื่นเหมือนกัน

แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้ า ส่ หั ว ข้ อ 18.2 โดยตั้ ง คาถามว่ า นอก ากแสงยั ง มี ค ลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟาชนิ ด ใดอี ก บ้ า ง
แต่ล ชนิดแตกต่างกันอย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวัง
คาตอบที่ถกต้อง ากนั้นอ ิปรายร่วมกัน นสรุปได้ว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟามีหลายชนิด เช่น แสง คลื่นวิทยุ
ไมโครเวฟ รังสีเอกซ์แล รังสีแกมมา แต่ล ชนิดแตกต่างกันข้นกับความถี่
ครตั้งคาถามว่า การเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟาเมื่ออนุ าคที่มีปร ุไฟฟาเคลื่อนที่ครบหน่งรอบ เกิด
คลื่นแม่เหล็กไฟฟาแ ่ออกไปกี่ลกคลื่น ใช้เวลากี่คาบ ากนั้นนาอ ิปราย นสรุปความสัมพัน ์อัตราเร็ว
ความยาวคลืน
่ แล ความถี่ ของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟามีความสัมพัน เ์ ช่นเดียวกับคลืน
่ กล ตามสมการ v = fλ
ครใช้รป 18.5 นาอ ิปราย นสรุปได้ว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟามีความถี่ต่อเนื่องเปนช่วงกว้าง ปร กอบ
ด้วยแต่ล ช่วงความถี่ที่มีชื่อเรียกแตกต่าง เรียกรวมกันว่า สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟาโดยพลังงานของ
คลื่ น ข้ น อย่ กั บ ความถี่ คลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟาที่ มี ค วามถี่ ส ง มี พ ลั ง งานสง ากนั้ น ครตั้ ง คาถามว่ า
คลื่ น แต่ ล ความถี่ น าไปใช้ ป ร โยชน์ อ ย่ า งไร ครเปดโอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร
โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นครให้นักเรียนศกษาในหัวข้อต่อไป

18.2.1 คลื่นวิทยุ

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. สัญญาณที่ ส่งไปกับคลื่นวิทยุ คือ คลื่น 1. สัญญาณที่ ส่งไปกับคลืน


่ วิทยุ คือ เสียง าพ
เสียงที่เปลี่ยนเปนสัญญาณไฟฟาเท่านั้น แล สารสนเทศทีเ่ ปลีย่ นเปนสัญญาณไฟฟา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
12 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล 4 ของหัวข้อ 18.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคลื่นวิทยุ ตาม
หนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.2.1 โดยตั้งคาถามว่าคลื่นวิทยุสามารถใช้ส่งสารสนเทศที่เปนเสียงหรือเปน
าพได้อย่างไร นาอ ิปราย นสรุปได้ว่าคลื่นวิทยุสามารถใช้สารสนเทศได้ทั้งเสียงแล าพ โดยแปลงเสียง
หรือ าพเปนสัญญาณไฟฟาแล้ว สมสัญญาณไฟฟากับคลืน
่ วิทยุเปนคลืน
่ สม ากนัน
้ ส่งสัญญาณคลืน
่ สม
เปนคลื่นแม่เหล็กไฟฟา ากสถานีส่งไปยัง ้รับ
ครใช้คลิปเสียงหรือยกตัวอย่างสถานการณ์ คาพดของ ้ ัดรายการวิทยุ ที่นี่สถานีวิทยุเอเอ็ม.........
กิโลเ ริ ตซ์ หรือ ทีน
่ ส่ี ถานีวท
ิ ยุเอฟเอ็ม..........เมก เ ริ ตซ์ แล้วตัง้ คาถามว่า เอฟเอ็ม เอเอ็ม คืออ ไร ครนา
อ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ เปนวิ ี สมสัญญาณไฟฟาของเสียงหรือ าพกับคลืน
่ วิทยุแบบเอเอ็มแล แบบเอฟเอ็ม

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

1. สายอากาศเปนส่วนสาคัญที่ใช้ในการส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟา ากเครื่องส่ง แล สายอากาศยังรับ


คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาเข้าเครือ
่ งรับ สายอากาศต้องออกแบบมาให้เหมา สมกับการรับ ส่งคลืน
่ วิทยุ
ความถี่ช่วงใดช่วงหน่งได้ ร บบการสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุแล โทรทัศน์ในป ุบัน มีสายอากาศ
หลายรปแบบ เช่น เปนเส้นตรง เส้นโค้ง านพาราโบลา ข้นอย่กับปร เ ทของการสื่อสาร
สายอากาศของเครื่องรับวิทยุที่ใช้กันทั่วไปมีหลายแบบ เช่น แบบเส้นตรง แบบทาเปนบ่วง
สายอากาศแบบเส้ น ตรง รั บ สนามไฟฟาของคลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟา สายอากาศชนิ ด นี้
รับสัญญาณวิทยุได้ดีที่สุดเมื่อสายอากาศอย่ในแนวขนานกับสนามไฟฟาของคลื่นวิทยุที่เข้ามา
ส่วนสายอากาศแบบบ่วง รับสัญญาณสนามแม่เหล็กของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา สายอากาศชนิด
นี้ รับสัญญาณวิทยุได้ดีที่สุดเมื่อร นาบบ่วงของสายอากาศตั้งฉากกับสนามแม่เหล็กของคลื่น
วิทยุที่เข้ามา
2. ความยาวสายอากาศ ข้นอย่กบ
ั ความยาวคลืน
่ วิทยุ งต้อง สมสัญญาณไฟฟาของเสียงเข้ากับ
คลื่นวิทยุ เรียกว่า การโมดเลต เหตุที่ไม่ใช้คลื่นวิทยุที่มีความถี่ต่าเพรา ว่าถ้าใช้คลื่นวิทยุที่มี
v
ความถี่ต่า มีความยาวคลื่นมาก ทาให้ต้องใช้สายอากาศที่ยาวมาก ตามสมการ = เช่น
f
ถ้าใช้ช่วงความถี่ 1 000 Hz สายอากาศ ต้องส่ง รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่น
300 km ซ่งคานวณได้ าก

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 13

v
=
f
3 108 m/s
=
1000 Hz
= 3 × 105 m
= 300 km
หมายความว่า สายอากาศของทั้งเครื่องส่งแล เครื่องรับ ต้องมีความยาวมาก ซ่งเปนไปไม่ได้
ที่ ทาสายอากาศมี ค วามยาวขนาดนั้ น แต่ ถ้ า ใช้ ค ลื่ น วิ ท ยุ ที่ มี ค วามถี่ ส ง เช่ น 0 7 เ ิ ร ตซ์
ซ่งมีความยาวคลืน
่ 30 เมตร สามารถ ทาสายอากาศส่ง รับ คลืน
่ ทีม
่ ค
ี วามยาวคลืน
่ ขนาดนีไ้ ด้
3. บรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์เปนบรรยากาศชั้นที่โมเลกุลของอากาศอย่ในส าพแตกตัวเปน
ไอออน ทาให้เกิดปร ไุ ฟฟาอิสร มากมาย เมือ
่ คลืน
่ วิทยุทส
ี่ ง่ ากพืน
้ โลกกร ทบบรรยากาศชัน

นี้ สนามไฟฟา ากคลืน
่ วิทยุ ส่งแรงกร ทากับปร ุ ทาให้ปร อ
ุ สิ ร เหล่านัน
้ สัน
่ ไปมาเนือ
่ ง าก
ดดกลืนพลังงานไว้ ลของการสั่นของปร ุไฟฟาทาให้อิเล็กตรอนมีความเร่ง งปล่อยคลื่น
แม่เหล็กไฟฟาออกมาโดยมีความถีเ่ ท่ากัน งมี ลเหมือนกับว่าคลืน
่ วิทยุขน
้ ไปบนชัน
้ บรรยากาศ
ไอโอโนสเฟียร์แล้วส ท้อนกลับลงมา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
14 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

18.2.2 ไมโครเวฟ

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. ไมโครเวฟใช้สาหรับอุน
่ อาหารแล เครือ่ งดืม
่ 1. ไมโครเวฟนอก ากใช้ในการอุน
่ อาหารแล
เท่านั้น เครื่องดื่มแล้ว ยังใช้ในการสื่อสารได้ด้วย

2. เตาไมโครเวฟ ทาให้โมเลกุลอาหารเปลีย่ น 2. เตาไมโครเวฟทาให้โมเลกุลของน้าสั่น น


แปลงเกิดเปนสารอันตรายต่อร่างกายได้ เกิดความร้อน ทาให้อาหารร้อนได้ งไม่
เกิดเปนสารอันตรายต่อร่างกาย

3. ไมโครเวฟ ส สมตกค้างในอาหารทีใ่ ช้กบ


ั 3. ไมโครเวฟไม่ส สมหรือตกค้างในอาหารที่
เตาไมโครเวฟ ใช้กับเตาไมโครเวฟ

4. ไมโครเวฟที่ใช้อุ่นอาหารใช้ทุกความถี่ 4. ไมโครเวฟที่ใช้อุ่นอาหารใช้เฉพา ความถี่


ปร มาณ 2.45 GHz

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล 4 ของหัวข้อ 18.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับไมโครเวฟ ตาม
หนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.2.2 โดยยกสถานการณ์การทาให้อาหารร้อนด้วยเตาไมโครเวฟ ากนั้น
ตั้งคาถามว่าอาหารร้อนข้นได้อย่างไร แล เหตุใด งเรียกว่าเตาไมโครเวฟ ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดง
ความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นนาอ ิปรายเกี่ยวกับสมบัติเบื้องต้นของ
ไมโครเวฟตามรายล เอียดในหนังสือเรียน นสรุปได้ว่า เตาไมโครเวฟ ลิตคลื่นแม่เหล็กไฟฟาในช่วง
ความถี่ไมโครเวฟออกมา โดยความถี่ของคลื่นดังกล่าว พอเหมา ให้โมเลกุลของน้าสั่น นทาให้นาที
้ ่เปน
ส่วนปร กอบของอาหารอุณห มิสงข้น นเดือดได้
ครตัง้ คาถามว่า ไมโครเวฟนอก ากใช้ทาให้อาหารมีอณ
ุ ห มิสงข้นแล้วยังสามารถนาไปใช้ปร โยชน์
อ ไรได้อีก ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วนาอ ิปราย
เกีย่ วกับตัวอย่างของการนาคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาช่วงไมโครเวฟไปปร ยุกต์ใช้ปร โยชน์ดา้ นอืน
่ เช่น การส่ง
สัญญาณเสียงแล าพ ร บบเรดาห์ ร บบร บุตาแหน่งบนพื้นโลก ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 15

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

ข้อควรระวังในการใช้เตาไมโครเวฟ
ห้ามนาโลห เข้าไปในเตาไมโครเวฟ เพรา โลห
ไปทาให้ไมโครเวฟที่ปล่อยออกมา ากแหล่งกาเนิด
คลื่น เกิดการส ท้อนกลับ ทาให้แหล่งกาเนิดคลื่นเกิด
ความเสี ย หายได้ น อก ากนี้ ถ้ า โลห มี ลั ก ษณ บาง
หรื อ มี ป ลายแหลมอา หลอมล ลายแล ทาให้ เ กิ ด
ปร กายไฟข้นในเตาไมโครเวฟ รูป เตาไมโครเวฟ

เรดาร์
เรดาร์ เปนการตรว หาตาแหน่งของวัตถุโดยวิ ีส่งไมโครเวฟออกไป ในลักษณ เปนคลื่นดล
ปร มาณ 200 ถง 300 ครั้ง ายใน 1 วินาที ในทิศทางที่ต้องการตรว สอบ เมื่อคลื่นกร ทบวัตถุ
ส ท้อนกลับมา ทาให้ทราบตาแหน่งแล ความเร็วของวัตถุได้ ตัวอย่างการใช้งานเรดาร์ เช่น ใช้ใน
การควบคุมการ รา รทางอากาศ การหาตาแหน่งของเรือ รวมทั้งการตรว สอบส าพอากาศ

18.2.3 รังสีใต้แดงหรือรังสีอินฟราเรด

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. รังสีอน
ิ ฟราเรดมีความยาวคลืน
่ น้อยกว่าแสง 1. รังสีอน
ิ ฟราเรดมีความยาวคลืน
่ มากกว่าแสง
สีแดง สีแดง

2. รังสีอินฟราเรดมีพลังงานสงกว่าแสง 2. รังสีอินฟราเรดมีพลังงานต่ากว่าแสง

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
การใช้ าพหรือวิดีทัศน์ปร กอบกับการใช้คาถามนาเข้าส่หัวข้อ
าพถ่ายหรือวิดีทัศน์ในเวลากลางคืน ากกล้อง
- ถ่าย าพในที่มืดหรือกล้องวง รปด
- าพถ่ายการคัดกรอง ้ปวยเมื่อเข้าปร เทศด้วยกล้องอินฟราเรด

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
16 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล 4 ของหัวข้อ 18.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรังสีใต้แดง
หรือรังสีอินฟราเรด ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.2.3 โดยใช้รป 18.6 หรือใช้ าพถ่ายหรือวิดีทัศน์ในเวลากลางคืน าก
กล้องถ่าย าพในที่มืดหรือกล้องวง รปด หรือ าพถ่ า ยการคั ด กรอง ้ ป วยเมื่ อ เข้ า ปร เทศด้ ว ยกล้ อ ง
อินฟราเรด แล้วตั้งคาถามว่ากล้องดังกล่าวถ่าย าพในที่มืดได้อย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดง
ความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
นาอ ิ ป ราย นสรุ ป ได้ ว่ า การถ่ า ย าพในที่ มื ด เปนการใช้ รั ง สี อิ น ฟราเรด ตามรายล เอี ย ด
ในหนังสือเรียน
ครนาอ ิปรายเกี่ยวกับตัวอย่างของการนาคลื่นแม่เหล็กไฟฟาช่วงรังสีอินฟราเรดไปปร ยุกต์ใช้
ปร โยชน์ด้านอื่น เช่น เครื่องควบคุมการทางานของอุปกรณ์บางชนิด

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

ร่างกายมนุษย์มีอุณห มิปร มาณ 37 องศาเซลเซียส งสามารถแ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟาในรป


ของรังสีอินฟราเรด การใช้ infrared thermometer วัดอุณห มิของร่างกายได้โดยไม่ต้องให้
เครื่องวัดสัม ัสกับร่างกาย การวัดอุณห มิวิ ีเช่นนี้มีข้อดี คือ ไม่มีการทาให้เครื่องวัดปนเปอนสิ่งส
กปรก ต่าง ากการใช้เทอร์มอมิเตอร์ที่ต้องสัม ัสร่างกาย
การอ่านข้อมลของแ ่นซีดีในช่วงแรกใช้อินฟราเรด โดยมี infrared laser diode เปนตัวส่ง
รังสีอินฟราเรดความเข้มสงไปกร ทบ ิวหน้าของแ ่นซีดี ากนั้น มี infrared photodiode เปน
ตัวอ่านสัญญาณอินฟราเรดที่ส ท้อนมา ทาให้ทราบรหัส 0 หรือ 1 ที่บันทกบนแ ่นซีดี
สาหรับการบันทก ใช้ infrared laser diode กาลังสง ทาให้เกิดรอยรหัส 0 หรือ 1 บน
แ ่นซีดี

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 17

18.2.4 แสง

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
กรณีครสา ิตกิ กรรมแยกแสงขาวด้วยปริซม
ปริซม
แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล 4 ของหัวข้อ 18.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแสง ตาม
หนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.2.4 โดยครใช้ปริซมแยกแสงขาวให้นักเรียนเห็นสเปกตรัมของแสง ากนั้น
ใช้คาถามว่าแสงที่นักเรียนร้ ักมีความถี่แล ความยาวคลื่นอย่ในช่วงใดแล มีแสงสีอ ไรบ้าง ปราก การณ์
อ ไรบ้างที่ทาให้ร้ว่าแสงปร กอบด้วยสีต่าง แสงสีใดมีความยาวคลื่นมากที่สุดแล น้อยที่สุด แล ใช้
ปร โยชน์ ากแสงในด้านใดบ้าง ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวัง
คาตอบที่ถกต้อง ากนั้นร่วมกันอ ิปรายเกี่ยวกับแสงแล การปร ยุกต์ใช้ปร โยชน์ ากแสง นสรุปได้
ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครใช้คาถามว่าเลเซอร์คืออ ไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่
คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นนาอ ิปรายเกี่ยวกับการพั นาแหล่งกาเนิดแสงความถี่เดียวที่เรียกว่า
เลเซอร์ แล การใช้ปร โยชน์ ากเลเซอร์ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

18.2.5 รังสีเหนือม่วงหรือรังสีอัลตราไวโอเลต

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. รังสีอลั ตราไวโอเลตเปนรังสีทต
่ี ามองเห็นได้ 1. รังสีอลั ตราไวโอเลตเปนรังสีทต
่ี ามองไม่เห็น

2. แ ส ง สี ม่ ว ง ที่ ม อ ง เ ห็ น า ก ห ล อ ด รั ง สี 2. แ ส ง สี ม่ ว ง ที่ ม อ ง เ ห็ น า ก ห ล อ ด รั ง สี
อัลตราไวโอเลต คือรังสีอัลตราไวโอเลต อัลตราไวโอเลต ไม่ใช่รังสีอัลตราไวโอเลต

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
บรร ุ ัณฑ์ครีมกันแดดพร้อมฉลาก หรือ าพฉลากของครีมกันแดด

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
18 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล ของหัวข้อ 18.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรังสีเหนือม่วง
หรือรังสีอัลตราไวโอเลต ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อที่ 18.2.5 โดยนาบรร ุ ณ
ั ฑ์ครีมกันแดดพร้อมฉลาก หรือ าพฉลากของครีมกันแดด
ให้นักเรียนสังเกต แล้วตั้งคาถามว่าอักษร UV บนฉลากเกี่ยวข้องกับอ ไรแล มี ลกร ทบกับมนุษย์
อย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้น
นาอ ิปราย นสรุปเกี่ยวกับรังสีอัลตราไวโอเลตตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครให้นก
ั เรียนยกตัวอย่างการปร ยุกต์ใช้รงั สีอลั ตราไวโอเลตเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็น
อย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบทีถ
่ กต้อง แล้วอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ สามารถปร ยุกต์ใช้รงั สีอลั ตราไวโอเลต
ได้หลายด้าน เช่น ด้านการแพทย์ การเกษตร การตรว สอบเอกสาร ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

รังสีอลั ตราไวโอเลตโดยทัว่ ไปทีไ่ ด้ ากแสงอาทิตย์มค


ี วามยาวคลืน
่ ปร มาณ 100 nm - 400 nm
ซ่งเปนรังสีทม
่ี ี ลต่อ วิ หนังของมนุษย์มากทีส่ ด
ุ ปริมาณรังสีทไ่ี ด้รบ
ั มากเกินไป ทาให้ วิ หนังมีสค
ี ล้า
ข้น นอก ากนี้ยังทาลายเนื้อเยื่อคอลลาเ นแล อีลาสติก เปนเหตุให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นหรือ ิวแก่
ก่อนวัย
งมีการคิดค้นครีมปองกันรังสีอัลตราไวโอเลต เพื่อลดปริมาณรังสีที่ท ลุ ่านไปถง ิวหนัง
โดยพิ ารณา ากค่าการปกปองแสงแดด sun protection factor : SPF ซ่งเปนค่าที่ใช้บอกร ดับ
การปองกันรังสีอัลตราไวโอเลตบีที่ตกกร ทบ ิวหนังที่ทาให้ ิวหนังแดงคล้า ตัวเลขที่ร บุแสดง
านวนเท่าของเวลาที่ ิวหนังทนต่อรังสีอัลตราไวโอเลตบีได้ เมื่อทาครีมปองกันรังสีอัลตราไวโอเลต
แล้ว ปกติ ิวหนังที่ไม่ได้ทาครีมปองกันรังอัลตราไวโอเลตได้ปร มาณ 20 - 30 นาที ดังนั้นถ้าทาครีม
ปองกันรังสีอัลตราไวโอเลตที่มีค่า SPF 15 ิวหนัง ทนต่อแสงแดดได้ 20 × 15 = 300 นาที หรือ
5 ชัว่ โมง ข้อควรร วังคือสารเคมีในครีมปองกันรังสีอลั ตราไวโอเลตนัน
้ อา ร คายเคืองต่อ วิ หนังได้
นาคารพาณิ ช ย์ ใช้ รั ง สี อั ล ตราไวโอเลตช่ ว ยในการตรว สอบลายมื อ ชื่ อ ในสมุ ด บั ญ ชี
นาคาร ถ้าลายมือชือ่ นัน
้ มีการขดขีดหรือลบ รังสีอลั ตราไวโอเลต ช่วยให้เห็นร่องรอยเหล่านัน
้ ชัดเ น
ข้น ตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นรังสีอลั ตราไวโอเลตได้โดยตรง แต่รงั สีทไ่ี ปกร ทบกร ดาษ ถ่ายโอน
พลังงานทาให้กร ดาษเรืองแสงข้น

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 19

18.2.6 รังสีเอก ์

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
ฟล์มเอกซ์เรย์

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล 4 ของหัวข้อ 18.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรังสีเอกซ์
ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.2.6 โดยใช้รป 18.7 หรือฟล์มเอกซ์เรย์ หรือยกตัวอย่างสถานการณ์อื่นที่
เกีย่ วข้อง ตัง้ คาถามว่า าพในรป 18.7 ในหนังสือเรียน หรือ าพบนฟล์มเอกซ์เรย์เกิด ากอ ไร ครเปดโอกาส
ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วนาอ ิปรายเพื่อตอบคาถาม
นสรุปได้วา่ าพข้างต้นเกีย่ วข้องกับการถ่าย าพด้วยรังสีเอกซ์ แล้วนาอ ป
ิ รายเกีย่ วกับสมบัตข
ิ องรังสีเอกซ์
แล การนารังสีเอกซ์ไปปร ยุกต์ใช้ด้านอื่น ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

18.2.7 รังสีแกมมา

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล 4 ของหัวข้อ 18.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรังสีแกมมา
ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อที่ 18.2.7 โดยตัง้ คาถามว่า ากสเปกตรัมคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา คลืน
่ ชนิดใดมีชว่ งความถี่
สงที่สุด มีสมบัติอย่างไร แล อันตรายอย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร
โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วให้นักเรียนศกษา ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อื่นแล
นามาใช้ตอบคาถามข้างต้น ากนั้นครนาอ ิปรายเกี่ยวกับช่วงความถี่ สมบัติเบื้องต้น แล อันตรายของ
รังสีแกมมา รวมทัง้ ตัวอย่างของการนารังสีแกมมาไปปร ยุกต์ใช้ปร โยชน์ดา้ นอืน
่ เช่น ด้านอุตสาหกรรม
ด้านการแพทย์ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
20 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

หัวข้อ 18.2 เรื่อง สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟาครอา ใช้วิ ีแบ่งกลุ่ม โดยให้นักเรียน


แต่ล กลุ่มสืบค้นเกี่ยวกับช่วงความถี่หรือความยาวคลื่น คุณสมบัติ อันตราย แล การปร ยุกต์ใช้
คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแต่ล ชนิด แล้วให้นก
ั เรียนนาเสนอ ลการสืบค้น ตามรปแบบทีเ่ หมา สม ากนัน

ครนาอ ิ ป รายสรุ ป เกี่ ย วกั บ สเปกตรั ม ของคลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟาแต่ ล ชนิ ด ตามรายล เอี ย ดใน
หนังสือเรียน

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกีย่ วกับสเปกตรัมคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแล การปร ยุกต์ใช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาในช่วงต่าง
ากการอ ป
ิ รายร่วมกันแล คาถามตรว สอบความเข้าใ 18.2
2. ทักษ ด้านการสื่อสารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสื่อ ากการอ ิปรายร่วมกัน
3. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความอยากร้อยากเห็น ากการอ ิปรายร่วมกัน

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 18.2

1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟาในช่วงใดที่ปร สาทสัม ัสของมนุษย์รับร้ได้


แนวคำาตอบ แสงที่ตามองเห็นสามารถรับร้ได้ด้วยการมองเห็น แล รังสีอินฟราเรดสามารถรับร้
ได้ด้วยกายสัม ัส
2. ไมโครเวฟใช้ปรุงอาหารให้สก
ุ เมือ
่ นามาใช้ในการสือ
่ สารร บบโทรศัพท์เคลือ
่ นที่ เกิดอันตรายต่อ
้ใช้หรือไม่ เพรา อ ไร
แนวคำาตอบ ไม่เปนอันตราย ถ้าหาก ใ้ ช้รบ
ั คลืน
่ นีท
้ ม
่ี ค
ี วามเข้มน้อย เพรา ไม่ทาให้เกิดความเสียหาย
ต่อเนื้อเยื่อ หรือโครงสร้างของดีเอ็นเอได้ แต่ถ้า ้ใช้รับคลื่นนี้ที่มีความเข้มมาก เปนเวลานาน
อา เปนอันตรายได้ หากบริเวณที่ได้รับเปนอวัยว สาคัญ
3. งยกตัวอย่างการใช้ปร โยชน์แล ลกร ทบ ากรังสีเหนือม่วงที่มีต่อมนุษย์
แนวคำาตอบ ตัวอย่างการใช้ปร โยชน์ของรังสีเหนือม่วง เช่น นาไปปร ยุกต์เปนหลักการปร ดิษ ์
หลอดฟลออเรสเซนต์เพื่อให้แสงสว่างหรือหลอด ลิตรังสีเหนือม่วงสาหรับทาให้สารบางชนิด
เรืองแสงหรือใช้ า่ เชือ้ โรค นอก ากนีร้ งั สีเหนือม่วงเมือ่ ตกกร ทบ วิ หนังของมนุษย์ ทาให้รา่ งกาย
สามารถสร้างวิตามินดีได้อีกด้วย
ตัวอย่าง ลกร ทบ ากรังสีเหนือม่วง เช่น หากได้รับรังสีเหนือม่วงมากเกินไป ทาให้ ิวหนัง
ร คายเคือง เกิดความเสียหายกับเซลล์ ิวหนังได้แล อา นาไปส่การเปนม เร็ง ิวหนัง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 21

4. นอก ากการใช้ปร โยชน์ในทางการแพทย์แล้ว เรายังใช้ปร โยชน์ ากรังสีเอกซ์ในด้านใดได้บา้ ง


แนวคำาตอบ ด้านความปลอด ยั ในท่าอากาศยานใช้ในการตรว หาวัตถุอน
ั ตรายในกร เปาเดินทาง
โดยไม่ต้องเปดกร เปา

18.3 โพลาไรเ ชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า


จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายโพลาไรเซชันของแสง แสงไม่โพลาไรส์แล แสงโพลาไรส์เชิงเส้น
2. สังเกตความสว่างของแสงเมือ
่ า่ นแ น
่ โพลารอยด์สองแ น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. แนวการเรียงตัวของโมเลกุลที่ใช้ทาแ ่น 1. แนวการเรียงตัวของโมเลกุลที่ใช้ทาแ ่น
โพลารอยด์ คื อ แนวโพลาไรส์ ข องแ ่ น โพลารอยด์ ตัง้ ฉากกับแนวโพลาไรส์ของแ น

โพลารอยด์ โพลารอยด์

2. แสงที่ า่ นแ น
่ โพลารอยด์เปนแสงโพลาไรส์ 2. แสงที่ า่ นแ น
่ โพลารอยด์เปนแสงโพลาไรส์
ทีม
่ เี ฉพา สนามไฟฟา ทีม
่ ท
ี ง้ั สนามไฟฟาแล สนามแม่เหล็ก

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 5 แล 6 ของหัวข้อ 18.3 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อที่ 18.3 โดยใช้รป 18.8 ตัง้ คาถามว่าทิศทางคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแ อ
่ อกไปตามแนว
แกนใด ทิศทางการเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟาอย่ในแนวแกนใด แล ร นาบการเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟา
อย่ในร นาบใดแล มีกี่ร นาบ ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวัง
คาตอบที่ถกต้อง ากนั้นครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟาแ ่ไปตามแกน x สนามไฟฟามี
การเปลีย่ นแปลงในทิศทางกลับไปกลับมาอย่ในแนวแกน y แนวเดียว มีร นาบการเปลีย่ นแปลงสนามไฟฟา
อย่ในร นาบ xy ร นาบเดียว แล เรียกคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีสนามไฟฟาเปลี่ยนแปลงในร นาบเดียวนี้ว่า
คลื่นโพลาไรส์เชิงเส้น ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครอา ถามคาถามชวนคิดในหน้า 23 แล้วให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน โดยครเปดโอกาสให้นักเรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ากนั้นครนาอ ิปราย นได้แนวคาตอบดังนี้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
22 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวคำาตอบชวนคิด

กรณีสายอากาศอย่ในแนวร ดับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟา เปนคลื่นโพลาไรส์เชิงเส้นในแนวใด


แนวคำาตอบ กรณีสายอากาศอย่ในแนวร ดับ สนามไฟฟาของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา มีการเปลีย่ น
แปลงทิศทางกลับไปมาตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ ซ่ง โพลาไรส์ได้หลายแนวข้นอย่กับทิศทาง
การเคลื่อนที่แต่ยังคงเปลี่ยนแปลงอย่ในร นาบเดียว เช่น ถ้าเสาอากาศอย่ในแนวแกน z พิ ารณา
เฉพา คลื่นที่เคลื่อนที่ในแนวร ดับแล ตั้งฉากกับเสาอากาศในแนวแกน x เปนคลื่นโพลาไรส์
เชิงเส้นในร นาบ xz ถ้าพิ ารณาเฉพา คลื่นที่เคลื่อนที่ในแนวดิ่งแล ตั้งฉากกับเสาอากาศในแนว
แกน y เปนคลื่นโพลาไรส์เชิงเส้นในร นาบ yz
y

c
y
E
B B
E
c x
E
B
B x
z E

ครตั้งคาถามว่า แสง ากแหล่งกาเนิดทั่วไป เช่น ดวงอาทิตย์ หลอดไฟ เปนแสงโพลาไรส์หรือไม่ เปด


โอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วนาอ ิปราย นสรุป
ได้ว่าแสงที่ปร กอบไปด้วยสนามไฟฟาในแนวต่าง หลายแนว ดังรป 18.9 เช่น แสง ากดวงอาทิตย์
แสง ากหลอดไฟ เปนแสงไม่โพลาไรส์ แล้วนาเข้าส่กิ กรรม 18.1 ความสว่างของแสงเมือ่ า่ นแ น
่ โพลารอยด์
ในหนังสือเรียน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 23

กิจกรรม 18.1 ความสว่างของแสงเมื่อผ่านแผ่นโพลารอยด์

จุดประสงค์
1. เพือ
่ ศกษาความสว่างของแสงเมือ
่ า่ นแ น
่ โพลารอยด์

เวลาที่ใช้ 50 นาที

วัสดุและอุปกร ์
1. แ ่นโพลารอยด์ 2 แ ่น
2. หม้อแปลงโวลต์ต่า 1 เครื่อง
3. สายไฟ 2 เส้น
4. กล่องแสง 1 กล่อง

แนะนำาก่อนทำากิจกรรม
1. การใช้แ ่นโพลารอยด์ ให้ ับที่กรอบกร ดาษแข็ง ไม่แต ต้องโพลารอยด์ เพื่อปองกันไม่ให้
โพลารอยด์เสื่อมคุณ าพได้ง่าย
2. ให้นักเรียนมองแสง ากหลอดไฟด้วยตาเปล่าก่อน แล้ว งมองแสง ากหลอดไฟ ่านแ ่น
โพลารอยด์ เพื่อเปรียบเทียบความสว่าง
3. นักเรียนสามารถใช้แ ่นโพลารอยด์มองแสง ากหลอดไฟที่ติดบนเพดานห้องเรียน แทนการ
มองแสง ากกล่องแสงได้
4. นักเรียนต้องใช้ความร้เรื่องแนวโพลาไรส์ช่วยอ ิบายในการทากิ กรรม

ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม
1. แสงเมื่อ ่านแ ่นโพลารอยด์ สว่างน้อยกว่าแสงขณ ไม่มีแ ่นโพลารอยด์กั้น
2. เมื่อมอง ่านแ ่นโพลารอยด์ 1 แ ่น แล้วหมุน นครบ 1 รอบ มีความสว่างคงตัว
3. แสงที่ า่ นแ น
่ โพลารอยด์ 2 แ น
่ เมือ
่ หมุนแ น
่ โพลารอยด์แ น
่ ทีส
่ องไป นครบ 1 รอบ แสง
มีความสว่างไม่คงตัว โดยความสว่างเปลีย่ นแปลงมากทีส่ ด
ุ ร หว่างสว่างมากทีส่ ด
ุ กับสว่าง
น้อยที่สุด เมื่อหมุนไปเปนมุม 90 องศา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
24 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม

□ ความสว่างของแสงซ่ง ่านแ ่นโพลารอยด์ 1 แ ่น ต่าง ากความสว่างของแสงขณ ไม่มีแ ่น


โพลารอยด์กั้นหรือไม่
แนวคำาตอบ แตกต่างกัน มอง ่านแ ่นโพลารอยด์สว่างน้อยกว่า

□ เมื่อหมุนแ ่นโพลารอยด์ 1 แ ่นไป นครบ 1 รอบ ความสว่างของแสงที่ ่านออกมา แต่ล ขณ


เปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร
แนวคำาตอบ ไม่เปลี่ยนแปลง โดยมีความสว่างคงตัว

□ เมือ่ หมุนโพลารอยด์แ น่ ที่ 2 ไป นครบ 1 รอบ ความสว่างของแสงที่ า่ นแ น่ โพลารอยด์ 2 แ น่


แต่ล ขณ เปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร
แนวคำาตอบ เมื่อหมุนโพลารอยด์แ ่นที่ 2 ไป นครบ 1 รอบ ความสว่างของแสงที่ ่านแ ่น
โพลารอยด์ 2 แ ่น มีการเปลี่ยนแปลง ร หว่างสว่างมากที่สุดกับสว่างน้อยที่สุด

□ มุมร หว่างตาแหน่งของแ ่นโพลารอยด์แ ่นที่ 2 ที่แสงมีความสว่างมากที่สุด กับแสงมีความ


สว่างน้อยที่สุด เปนมุมเท่าใด
แนวคำาตอบ เปนมุม 90 องศา

อภิปรายหลังการทำากิจกรรม

หลัง ากให้นักเรียนตอบคาถามท้ายกิ กรรม ครแล นักเรียนร่วมกันอ ิปราย ลการทา


กิ กรรม 18.1 นสรุปได้ว่า แสงที่ ่านแ ่นโพลารอยด์ 1 แ ่น ความสว่าง ลดลง เมื่อหมุนแ ่น
โพลารอยด์ยังมีความสว่างคงตัว เมื่อนาแ ่นโพลารอยด์อีกหน่งแ ่นมาซ้อนแล้วหมุน ตาแหน่งของ
แ ่นโพลารอยด์ที่ 2 ที่แสงมีความสว่างมากที่สุด กับตาแหน่งที่แสงมีความสว่างน้อยที่สุด เปนมุม
ต่างกัน 90 องศา

ครตั้งคาถามว่าเพรา เหตุใด งสังเกตเห็นแสงที่ ่านแ ่นโพลารอยด์ 1 แ ่น มีความสว่างลดลง คร


เปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วให้นักเรียนศกษา
ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อน
ื่ แล นาเสนอ ลการศกษา ากนัน
้ ครนาอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่
แ ่นโพลารอยด์เปนแ ่นพลาสติกที่มีโมเลกุลพอลิไวนิลแอลกอ อล์ โดยดดกลืนองค์ปร กอบสนามไฟฟา
ของแสงในแนวขนานกับแนวการเรียงตัวของโมเลกุล แต่ไม่ดดกลืนองค์ปร กอบสนามไฟฟาของแสง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 25

ในแนวตั้ ง ฉากกั บ แนวการเรี ย งตั ว ของโมเลกุ ล เรี ย กแนวที่ ต้ั ง ฉากกั บ แนวการเรี ย งตั ว ของโมเลกุ ล ว่ า
แนวโพลาไรส์ของแ ่นโพลารอยด์ ทาให้แสงที่ ่านแ ่นโพลารอยด์ 1 แ ่น มีความสว่างลดลง แล เปนแสง
โพลาไรส์เชิงเส้น เรียกสมบัติของแสงลักษณ นี้ว่าโพลาไรเซชั่น แล เมื่อแสง ่านแ ่นโพลารอยด์ 2 แ ่น
ความสว่างของแสง มากทีส่ ด
ุ ขณ ทีแ่ นวโพลาไรส์ของแ น
่ โพลารอยด์ทงั้ สองแ น
่ ขนานกัน แล ความสว่าง
ของแสง น้ อ ยที่ สุ ด ขณ ที่ แ นวโพลาไรส์ ข องแ ่ น โพลารอยด์ ทั้ ง สองตั้ ง ฉากกั น ตามรายล เอี ย ดใน
หนังสือเรียน แล ครควรย้าว่าแสงที่ ่านแ ่นโพลารอยด์ยังคงปร กอบด้วยสนามไฟฟาแล สนามแม่เหล็ก
ที่มีทิศทางตั้งฉากกันแล ตั้งฉากกับทิศทางของความเร็วเสมอ
ครอา ถามคาถามชวนคิดในหน้า 27 แล้วให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน โดยครเปดโอกาสให้นักเรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ากนั้นครนาอ ิปราย นได้แนวคาตอบดังนี้

แนวคำาตอบชวนคิด

แสงที่ ่านแ ่นโพลารอยด์ 1 แ ่นแล้ว มีสนามไฟฟาอย่ในแนวร ดับ ยังมีสนามแม่เหล็กอย่หรือไม่


แล หากมี อย่ในแนวใด
แนวคำาตอบ ยังมีสนามแม่เหล็กอย่ โดยสนามแม่เหล็กอย่ในแนวดิง่

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับโพลาไรเซชันของแสง แสงไม่โพลาไรส์แล แสงโพลาไรส์เชิงเส้น ากคาถาม
ตรว สอบความเข้าใ 18.3
2. ทักษ การสื่อสารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสื่อ แล ความร่วมมือ การทางานเปนทีมแล
าว ้นา ากการอ ิปรายร่วมกัน แล การทากิ กรรม
3. ิตวิทยาศาสตร์ความรอบคอบ ากการอ ิปรายร่วมกัน แล การทากิ กรรม

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 18.3

1. ากกิ กรรม 18.1 ในการส่องดแสง ากแหล่งกาเนิดแสงไม่โพลาไรส์ดว้ ยแ น


่ โพลารอยด์ 2 แ น

ซ้อนกัน หากเปลีย่ นเปนหมุนแ น
่ โพลารอยด์แ น
่ แรก ไป นครบ 1 รอบ ความสว่างของแสงที่ า่ น
แ ่นโพลารอยด์ทั้งสอง ออกมา มีการเปลี่ยนแปลง หรือไม่เพรา เหตุใด
แนวคำาตอบ ความสว่างเปลีย่ นแปลงเช่นเดียวกับการหมุนแ น
่ โพลารอยด์ที่ 2 เพรา ทาให้แนว
โพลาไรส์ของแ ่นโพลารอยด์ทั้งสอง เปลี่ยนแปลงร หว่างอย่ในแนวเดียวกัน สว่างมากที่สุด
แล อย่ในแนวตั้งฉากกัน สว่างน้อยที่สุด

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
26 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

18.4 การประยุกต์ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ยกตัวอย่างแล อ ิบายหลักการทางานอุปกรณ์บางชนิดที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชีแ้ ง ด
ุ ปร สงค์การเรียนร้ของหัวข้อ 18.4 ครนาเข้าส่หวั ข้อ 18.4 โดยครให้นก
ั เรียนยกตัวอย่าง
อุปกรณ์ต่าง ในชีวิตปร าวันที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา ครเปดโอกาสให้นักเรียนยกตัวอย่างโดยอิสร
ากนัน
้ ครนาอ ป
ิ รายเกีย
่ วกับอุปกรณ์ทใี่ ช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาในด้านต่าง เช่น การใช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ในการสื่อสาร การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟาทางการแพทย์ การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟาทางด้านความปลอด ัย
ซ่ง ได้ศกษาต่อไป

18.4.1 เครื่องฉายรังสีเอก ์

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 7 ของหัวข้อ 18.4 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อที่ 18.4.1 โดยตัง้ คาถามว่าใครเคยถ่าย าพด้วยเครือ
่ งฉายรังสีเอกซ์ ถ้าเคยถ่าย าพ
ให้ ต อบต่ อ ว่ า เพื่ อ อ ไร แล มี วิ ี ก ารอย่ า งไร ครเปดโอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร
โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วให้นักเรียนศกษา ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อื่น
แล นาเสนอ ลการศกษา ากนั้นครนานักเรียนอ ิปราย นสรุปส่วนปร กอบของเครื่องฉายรังสีเอกซ์
ได้ดงั รป 18.12 แล 18.13 แล าพเอกซ์เรย์เปน าพขาวดา ดังรป 18.14 เกิดได้ดงั นี้ รังสีเอกซ์ ากหลอด
รังสีเอกซ์เคลื่อนที่ ่านร่างกาย เนื้อเยื่อแล กร ดก ดดกลืนรังสีในปริมาณที่ต่างกัน ส่ง ลให้ปริมาณ
รังสีเอกซ์ที่ไปตกกร ทบอุปกรณ์ตรว วัดรังสีแตกต่างกัน โดยบริเวณที่ดดกลืนรังสีได้มากนั้น ได้ าพ
สีขาว แล บริเวณที่ดดกลืนรังสีได้น้อย ได้ าพสีดา ทาให้สามารถสร้าง าพอวัยว ายในร่างกายเพื่อ
แพทย์ ใช้ปร กอบการวินิ ฉัยเกี่ยวกับอวัยว นั้น ได้ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 27

18.4.2 เครื่องถ่ายภาพเอก ์เรย์คอมพิวเตอร์

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 7 ของหัวข้อ 18.4 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.4.2 โดยครนาตัวอย่าง าพถ่ายด้วยเครื่องฉายรังสีเอกซ์รป 18.14 ข.
ากนั้นตั้งคาถามว่า หากต้องการเห็น าพเฉพา อวัยว ายในที่ถกอวัยว อื่นบัง เช่น กร ดกสันหลัง
ให้ ชั ด เ นข้ น ทาได้ ห รื อ ไม่ อย่ า งไร ครเปดโอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร
โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นอ ิปรายร่วมกัน นสรุปได้ว่า าพถ่ายด้วยเครื่องฉายรังสีเอกซ์
ปราก าพทุกอวัยว ซ้อนกัน ทาให้ขาดความชัดเ น โดยในป ุบันได้พั นาอุปกรณ์ที่สามารถถ่าย าพ
ด้วยรังสีเอกซ์ที่มีคุณ าพมากข้น เรียกว่า เครื่องเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์
ากนัน
้ ให้นก
ั เรียนศกษา ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อน
ื่ แล นาเสนอ ลการศกษา
ครนานักเรียนอ ิปราย นสรุปส่วนปร กอบของเครื่องถ่าย าพเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ หรือเรียกสั้น ว่า
ซีทส
ี แกน ดังรป 18.15 โดยมีหลักการทางานดังนี้ แหล่งกาเนิดรังสีเอกซ์ หมุนรอบร่างกาย พร้อมกับฉาย
รังสีเอกซ์ ่านร่างกายบริเวณอวัยว ที่ต้องการตรว สอบความ ิดปกติในแนวต่าง นรอบอวัยว นั้น ไป
ยังอุปกรณ์ตรว วัดรังสีทอ
ี่ ย่ในทิศทางตรงกันข้าม ดังรป 18.16 สัญญาณไฟฟา ากอุปกรณ์ตรว วัดรังสี
ถกสร้างเปน าพ าคตัดขวางด้วยร บบคอมพิวเตอร์เปน าพขาวดา ดังรป 18.17 แล สามารถสร้าง าพ
3 มิติ ได้ โดยสีของ าพแต่ล ุดข้นกับการดดกลืนรังสีเอกซ์ของเนื้อเยื่อแต่ล ชนิด ตามรายล เอียดใน
หนังสือเรียน

18.4.3 เครื่องควบคุมระยะไกล

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 7 ของหัวข้อ 18.4 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.4.3 โดยครสา ิตการทางานเครื่องควบคุมร ย ไกล เช่น การเปดปดเครื่อง
รับโทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ โดยใช้รีโมท หรือ อา ยกสถานการณ์การเปดปดโดยไม่สัม ัสเครื่องรับ
โทรทัศน์ ทาได้โดยใช้อุปกรณ์ใด หลัง ากนักเรียนตอบคาถามครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าว
เรียกว่าเครื่องควบคุมร ย ไกล หรือ รีโมทคอนโทรลเลอร์ หรือ เรียกสั้น ว่า รีโมท

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
28 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

ให้นก
ั เรียนศกษาส่วนปร กอบแล หลักการทางาน ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อน
ื่
แล นาเสนอ ลการศกษา ากนั้นครนาอ ิปรายโดยใช้รป 18.18 อ ิบายส่วนปร กอบ แล ใช้รป 18.19
อ ิ บ ายหลั ก การทางานของรี โ มทดั ง นี้ รี โ มท ทาหน้ า ที่ ป ร มวล ลการกดปุ มเปนรหั ส คาสั่ ง แปลง
เปนสัญญาณไฟฟา ส่งสัญญาณเปนอินฟราเรดไปยังเครือ
่ งใช้ไฟฟา ส่วนรับสัญญาณทีอ
่ ย่ในเครือ
่ งใช้ไฟฟา
แปลงกลับมาเปนสัญญาณไฟฟาแล ส่งต่อไปยังส่วนต่าง ของเครื่องให้ทางานตามคาสั่ง ากรีโมท
ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครตั้งคาถามว่า เครื่องควบคุมร ย ไกล นอก ากใช้อินฟราเรดยังสามารถใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา
ชนิดอื่นได้หรือไม่ เปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ากนั้นนาอ ิปรายเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟาชนิดอื่นในการควบคุมร ย ไกล เช่น คีย์บอร์ด
ไร้สาย เมาส์ไร้สาย แล เครื่องควบคุมโดรน โดยอุปกรณ์ดังกล่าวอา ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟาชนิดอื่นใน
การส่งแล รับสัญญาณ ตามความเหมา สมของการใช้งาน

18.4.4 เครื่องระบุตำาแหน่งบนพื้นโลก

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 7 ของหัวข้อ 18.4 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อที่ 18.4.4 โดยยกสถานการณ์เกีย่ วกับการใช้โทรศัพท์เคลือ
่ นทีใ่ นการบอกตาแหน่ง
ของนักเรียนให้เพื่อนร้ ากนั้นตั้งคาถามว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ สามารถบอกตาแหน่งของนักเรียนได้ด้วย
ร บบอ ไร ครเปดโอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร โดยไม่ ค าดหวั ง คาตอบที่ ถ กต้ อ ง
ร่วมกันอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ โทรศัพท์เคลือ
่ นทีร่ บุตาแหน่งได้ดว้ ยร บบร บุตาแหน่งบนพืน
้ โลกหรือ พ
ี เี อส
ากนั้นตั้งคาถามว่า ีพีเอสมีหลักการทางานอย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น
อย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วให้นักเรียนศกษา ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่ง
ความร้อื่น แล นาเสนอ ลการศกษา ากนั้นครนานักเรียนอ ิปราย นสรุปได้ว่า GPS คือร บบร บุ
ตาแหน่งบนพื้นโลกโดยใช้สัญญาณไมโครเวฟสื่อสารร หว่างเครื่องร บุตาแหน่งบนพื้นโลกกับดาวเทียม
ปร กอบด้วยศนย์ควบคุม าคพื้นดิน เครื่องร บุตาแหน่งบนพื้นโลก แล ดาวเทียมส่งสัญญาณอย่างน้อย
4 ดวง หาตาแหน่งบนพื้นโลก ณ เวลานั้น ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 29

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

การประมวลผลหาตำาแหน่งบนพื้นโลก
เมือ
่ เครือ
่ งร บุตาแหน่งบนพืน
้ โลกได้รบ
ั สัญญาณ ากดาวเทียมดวงที่ 1 S1 แล้วคานวณร ย
ห่างร หว่างดาวเทียมดวงที่ 1 กับตาแหน่งของเครื่องร บุตาแหน่ง ซ่ง ได้ตาแหน่งของเครื่องร บุ
ตาแหน่งบนพื้นโลกเปนตาแหน่งใด บน ิวทรงกลมสีเขียวที่มีดาวเทียมดวงที่ 1 เปนศนย์กลาง
แล เมื่อ ิวทรงกลมตัดกับ ิวโลกตาแหน่งของเครื่องร บุตาแหน่งอย่ที่ตาแหน่งใดตาแหน่งหน่งบน
เส้นรอบวงสีเขียวบน ิวโลก ดังรป ก.

S1

รูป ก. ดาวเทียม 1 กับโลก

ขณ เดียวกันเครือ
่ งร บุตาแหน่งบนพืน
้ โลกได้รบ
ั สัญญาณ ากดาวเทียมดวงที่ 2 S2 เช่นกัน
แล คานวณร ย ห่างร หว่างดาวเทียมดวงที่ 2 กับตาแหน่งของเครือ่ งร บุตาแหน่งได้เปน วิ ทรงกลม
สีเหลืองทีม
่ ด
ี าวเทียมดวงที่ 2 เปนศนย์กลาง ตาแหน่งของเครือ่ งร บุตาแหน่ง อย่ทต
่ี าแหน่งใดตาแหน่ง
หน่งของรอยตัดร หว่าง วิ ทรงกลมของดาวเทียมทัง้ 2 ดวง บน วิ โลก ซ่งมี 2 ตาแหน่ง ดังรป ข.

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
30 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

S1

S2

รูป ข. ดาวเทียม 1, 2 กับโลก

แล ในทานองเดียวกันเครื่องร บุตาแหน่งบนพื้นโลกได้รับสัญญาณ ากดาวเทียมดวงที่ 3


S3 ด้วย แล คานวณร ย ห่างร หว่างดาวเทียมดวงที่ 3 กับเครื่องร บุตาแหน่งได้เปน ิวทรงกลม
สีฟาทีม
่ ด
ี าวเทียมดวงที่ 3 เปนศนย์กลาง ตาแหน่งของเครือ
่ งร บุตาแหน่งบนพืน
้ โลก เปนตาแหน่ง
ที่เกิด ากการตัดของ ิวทรงกลมของดาวเทียมทั้ง 3 ดวง บน ิวโลก ซ่ง เหลือตาแหน่งเพียง
1 ตาแหน่ง ดังนัน
้ ถ้าเราใช้ขอ
้ มล ากดาวเทียมทัง้ สามบวกกับตาแหน่งของโลกทีม
่ ลี ก
ั ษณ คล้ายทรง
กลมเรา นามาปร มวล ลได้ตาแหน่งของเครื่องร บุตาแหน่งที่ ุด A ดังรป ค.

S1

S2 S3
A

รูป ค. ดาวเทียม 1, 2, 3 กับโลก

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 31

แต่เนือ
่ ง ากโลกไม่ได้มลี กั ษณ เปน วิ เรียบซ่งมีทงั้ เขาแล หุบเหว ดังนัน
้ ตาแหน่งของเครือ
่ ง
ร บุตาแหน่ง อา ไม่ได้อย่บนพื้นราบของโลก ดังรป ง.

น ื

น ื น

รูป ง. ตำาแหน่งของเครื่องระบุตำาแหน่ง อาจไม่ได้อยู่บนผิวโลกจริง

เพื่อให้เกิดความแม่นยาเรา งใช้ดาวเทียมดวงที่ 4 หาร ย ห่างร หว่างเครื่องร บุตาแหน่ง


บนพื้นโลกกับดาวเทียมดวงที่ 4 ทาให้ตาแหน่งของเครื่องร บุตาแหน่งบนพื้นโลกอย่บน ิว
ทรงกลมทีม
่ ด
ี าวเทียมดวงที่ 4 เปนศนย์กลาง แล ตาแหน่งทีต
่ ด
ั กับ วิ ทรงกลมดวงที่ 1 2 แล 3
เปนตาแหน่งของเครื่องร บุตาแหน่ง ริง ณ เวลานั้น

18.4.5 เครื่องถ่ายภาพการสั่นพ้องแม่เหล็ก

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 7 ของหัวข้อ 18.4 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.4.5 โดยครอา นา าพของเครื่อง MRI ขนาดขยายหรือ าพเครื่อง MRI
ดังรป 18.22 ในหนังสือเรียนให้นักเรียนดแล้วตั้งคาถามว่านักเรียนร้ ักเครื่องมือชนิดนี้หรือไม่ เครื่องมือนี้
มี ไ ว้ ส าหรั บ ทาอ ไรแล มี วิ ี ก ารใช้ อ ย่ า งไร ครเปดโอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร
โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วให้นักเรียนศกษา ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อื่น
แล นาเสนอ ลการศกษา ากนัน
้ ครนานักเรียนอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ เครือ
่ งมือดังกล่าวเปนเครือ
่ งถ่าย าพ
าพตัดขวางของอวัยว แล สร้าง าพเปน 3 มิติ โดยใช้คลื่นวิทยุความถี่เหมา สมกับความถี่สั่นพ้อง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
32 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

ของนิวเคลียสไ โดรเ นในเนือ


้ เยือ
่ ทีต
่ อ
้ งการถ่าย าพ เรียกเครือ
่ งมือดังกล่าวว่าเครือ
่ งถ่าย าพการสัน
่ พ้อง
แม่เหล็ก โดยอาศัยสมบัติความเปนแม่เหล็กของนิวเคลียสไ โดรเ น ซ่งเปนองค์ปร กอบสาคัญ ายใน
ร่างกายมนุษย์ เครื่องมือนี้มีลักษณ เปนอุโมงค์ที่มีส่วนปร กอบสาคัญ ดังรป 18.22 มีแหล่งกาเนิด
สนามแม่เหล็กหลักสร้างสนามแม่เหล็กความเข้มสง ัดร เบียบนิวเคลียสของไ โดรเ นของในเนื้อเยื่อ มี
ขดลวดเกรเดี ย นท์ ส ร้ า งสนามแม่ เ หล็ ก ความเข้ ม น้ อ ยเพื่ อ ให้ ไ ด้ ข้ อ มลในการสร้ า ง าพสามมิ ติ
ขดลวดความถี่คลื่นวิทยุ สร้างคลื่นวิทยุความถี่สั่นพ้องกับนิวเคลียสไ โดรเ นในเนื้อเยื่อเพื่อให้พลังงาน
กั บ นิ ว เคลี ย สของไ โดรเ น ตามรายล เอี ย ดในหนั ง สื อ เรี ย น ส่ ง ไปวิ เ ครา ห์ เ พื่ อ สร้ า ง าพ 3 มิ ติ
ดังรป 18.23 คลื่นวิทยุที่ใช้ในการทางานนี้ไม่เปนอันตรายต่อมนุษย์ แตกต่าง ากการตรว ด้วยการใช้
รังสีเอกซ์ อย่างไรก็ตามสตรีมค
ี รร ค
์ วรปรกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการตรว

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

แนวการจัดการเรียนรู้ 18.4.1 – 18.4.5


ในการสอนหัวข้อ 18.4.1 – 18.4.5 ครอา เลือกดาเนินการสอนดังต่อไปนี้
• สอนตามลาดับหัวข้อย่อยในหนังสือเรียน โดยการแบ่งกลุม
่ นักเรียนให้สบ
ื ค้นการปร ยุกต์ใช้
คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแต่ล อุปกรณ์ในหัวข้อย่อยนัน
้ แล ให้นก
ั เรียนนาเสนอ ลการสืบค้น าก
นัน
้ ครนาอ ป
ิ รายสรุปเกีย่ วกับการปร ยุกต์ใช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแล อุปกรณ์ชนิดนัน
้ ตาม
รายล เอียดในหนังสือเรียน
• สอนรวมทุกหัวข้อย่อย โดยกาหนดหัวข้อการสืบค้นตามชนิดอุปกรณ์ 5 ชนิด ตามหนังสือเรียน
แบ่งกลุม
่ นักเรียนโดยให้แต่ล กลุม
่ สืบค้นการปร ยุกต์ใช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาอย่างน้อย 1 ชนิด
แล ให้นักเรียนนาเสนอ ลการสืบค้น ากนั้นครนาอ ิปรายสรุปเกี่ยวกับการปร ยุกต์ใช้
คลื่นแม่เหล็กไฟฟาแต่ล อุปกรณ์แต่ล ชนิด ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับหลักการทางานอุปกรณ์บางชนิดที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา ากคาถามตรว สอบ
ความเข้าใ 18.4
2. ทักษ ด้านการสื่อสารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสื่อ ากการอ ิปรายร่วมกัน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 33

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 18.4

1. าพที่ได้ ากเครื่องถ่าย าพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แตกต่าง าก าพที่ได้ ากเครื่องเอกซ์เรย์


ทั่วไปอย่างไร
แนวคำาตอบ เครื่องถ่าย าพเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์สามารถใช้ในการสร้าง าพ าคตัดขวาง
ต่อเนื่อง แล นามาวางต่อกันสร้างเปน าพ 3 มิติ ได้ ซ่ง าพที่ได้ ากเครื่องเอกซ์เรย์ทั่วไป
เปน าพ 2 มิติเท่านั้น

2. เครื่องถ่าย าพการสั่นพ้องแม่เหล็กใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟาชนิดใดในการสร้าง าพของอวัยว


ายในร่างกาย แล คลื่นนั้นมี ลกับร่ายกาย ้ปวยหรือไม่ อย่างไร
แนวคำาตอบ เครือ
่ งถ่าย าพการสัน
่ พ้องแม่เหล็ก ใช้คลืน
่ วิทยุในการสร้าง าพของอวัยว ายใน
ร่ายกาย โดยคลืน
่ วิทยุทใี่ ช้ไม่มอ
ี น
ั ตรายใด ต่อร่างกายมนุษย์ แต่สตรีมค
ี รร ค
์ วรปรกษาแพทย์
ก่อนเข้ารับการตรว

3. เพรา เหตุใด การถ่าย าพด้วยเครือ


่ งถ่าย าพสัน
่ พ้องแม่เหล็ก งมีอน
ั ตรายน้อยกว่าการถ่าย าพ
ด้วยเครื่องถ่าย าพเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์
แนวคำาตอบ เพรา เครื่องถ่าย าพสั่นพ้องแม่เหล็กใช้คลื่นวิทยุซ่งมีความถี่ต่ากว่ารังสีเอกซ์ที่ใช้
ในเครื่องถ่าย าพเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์

4. ป ัยใดบ้าง ที่มี ลต่อความแม่นยาของการร บุตาแหน่งของเครื่องร บุตาแหน่งบนพื้นโลก


แนวคำาตอบ ความแปรปรวนของชัน
้ บรรยากาศ ความชืน
่ อุณห มิ การหักเหของคลืน
่ สัญญาณ
ทาให้ความแม่นยาลดลง

18.5 การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. สืบค้นแล อ ิบายการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
2. เปรียบเทียบการสื่อสารด้วยสัญญาณแอน ล็อกกับสัญญาณดิ ิทัล
แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หัวข้อ 18.5 โดยตั้งคาถามว่าให้นักเรียนยกตัวอย่างการสื่อสารโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟา
แล ร บุคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่ใช้ในการสื่อสาร รวมทั้งมีการใช้สัญญาณในการสื่อสารแบบใดบ้าง ครเปด
โอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า มี
คลื่นแม่เหล็กไฟฟาหลายชนิดที่ใช้ในการสื่อสารเช่น คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ แสงที่ตามองเห็น แล มีการใช้
สัญญาณในการสื่อสารแบบแอน ล็อกแล ดิ ิทัล ากนั้นให้นักเรียนศกษาหัวข้อต่อไป
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
34 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

18.5.1 การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นวิทยุ

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. คลื่นที่ส่งมา ากสถานีวิทยุเปนคลื่นเสียง 1. คลื่นที่ส่งมา ากสถานีวิทยุเปนคลื่นวิทยุ


ซ่งเปนคลื่นแม่เหล็กไฟฟา

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 8 ของหัวข้อ 18.5 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.5.1 โดยตั้งคาถามว่าการสื่อสารด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาข้างต้นมีขั้นตอน
อย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ครนา
อ ิปราย นสรุปได้ว่า การสื่อสารโดยใช้คลื่นวิทยุมีหลายแบบ แต่ในหัวข้อนี้ กล่าวเฉพา 3 แบบ ตาม
รายล เอียดในหนังสือเรียน ากนัน
้ ให้นกั เรียนศกษาการกร ายสัญญาณเสียงของสถานีวท
ิ ยุ ครให้นกั เรียน
ศกษา ากหนังสือเรียนหรือ ากแหล่งความร้อื่น แล นาเสนอ ลการศกษา
ครใช้ ร ป 18.24 นาอ ิ ป ราย นสรุ ป ได้ ว่ า การกร ายสั ญ ญาณเสี ย งของสถานี วิ ท ยุ แปลง
คลื่นเสียงเปนสัญญาณไฟฟา ากนั้นนาไป สมกับคลื่นวิทยุ ส่งเปนสัญญาณเสียงกร ายออก ากสถานี
วิทยุไปยังเครื่องรับ เครื่องรับ แยกสัญญาณไฟฟาออก ากคลื่นวิทยุ แล้วแปลงสัญญาณไฟฟากลับเปน
คลื่นเสียง ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน ากนั้นครตั้งคาถามว่าการ สมสัญญาณไฟฟากับคลื่นวิทยุ
ทาได้กี่แบบ ให้นักเรียนศกษา ากหนังสือเรียน ครใช้รป 18.25 นาอ ิปรายการ สมสัญญาณไฟฟากับ
คลื่นวิทยุ นสรุปได้ว่าการ สมสัญญาณมี 2 แบบ คือ ร บบวิทยุเอเอ็ม แล ร บบวิทยุเอฟเอ็ม แล แต่ล
แบบต่างก็มีข้อดีแล ข้อด้อย ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครใช้รป 18.26 นาอ ิปราย นสรุปได้ว่า การส่งแล รับสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่มีขั้นตอนคล้าย
การกร ายสัญญาณเสียงของสถานีวท
ิ ยุ แต่มค
ี วามแตกต่างทีก
่ ารแบ่งขอบเขตพืน
้ ทีก
่ ารรับแล ส่งสัญญาณ
หรือ เซลล์ cell ออกเปนพื้นที่ไม่กว้างมาก โดยแต่ล เซลล์มีสถานี าน base station ที่ทาหน้าที่รับแล
ส่งต่อสัญญาณร หว่างกัน เมือ
่ ส่งสัญญาณถงโทรศัพท์ของ ร้ บ
ั สัญญาณ ถกแปลงเปนสัญญาณเสียงหรือ
ข้อมลให้ ้รับ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครนาอ ิปรายเกี่ยวกับการส่งแล รับสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย นสรุปได้ว่า การส่งแล รับ
สัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบไร้สายคล้ายกับการส่งแล รับสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่ ใช้คลื่นความถี่
แตกต่าง ากความถี่ของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อไม่ให้เกิดการรบกวนของสัญญาณ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 35

18.5.2 การสื่อสารโดยอาศัยไมโครเวฟ

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. ไมโครเวฟถกนาไปใช้เฉพา กับเตาไมโครเวฟ 1. ไมโครเวฟถกนามาปร ยุกต์ใช้กบ


ั เตาไมโครเวฟ
แล ใช้ในการสื่อสาร

แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.5.2 โดยตั้งคาถามว่า ไมโครเวฟนอก ากใช้กับเตาไมโครเวฟแล้ว สามารถ
นามาปร ยุกต์ใช้ในด้านสื่อสารได้หรือไม่ อย่างไร ครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร
โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นให้นักเรียนศกษา ากหนังสือเรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อื่น
แล นาเสนอ ลการศกษา ากนัน
้ ครนานักเรียนอ ป
ิ รายการสือ
่ สารโดยใช้ไมโครเวฟ นสรุปได้วา่ ไมโครเวฟ
สามารถนามาใช้สอ
ื่ สารได้เช่นเดียวกับคลืน
่ วิทยุ า่ นชัน
้ บรรยากาศได้ดก
ี ว่าคลืน
่ วิทยุ แต่ไม่สามารถเคลือ
่ นที่
่านสิ่งกีดขวางได้ดีเท่าคลื่นวิทยุ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

18.5.3 การสื่อสารโดยอาศัยแสง

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
-

แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.5.3 โดยตั้งคาถามว่า ในการสื่อสารโดยใช้แสง มีการใช้อุปกรณ์ใดในการรับ
แล ส่งสัญญาณแสง ครเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบทีถ
่ กต้อง
ากนั้นครนาอ ิปรายเกี่ยวกับการใช้เส้นใยนาแสงในการรับส่งสัญญาณ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
36 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

แนวการจัดการเรียนรู้ 18.5.1 – 18.5.3


ในการสอนหัวข้อ 18.5.1 – 18.5.3 ครอา เลือกดาเนินการสอนดังต่อไปนี้
• สอนตามลาดับหัวข้อย่อยในหนังสือเรียน โดยการแบ่งกลุม
่ นักเรียนให้สบ
ื ค้นการสือ
่ สารโดยใช้
คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา ในหัวข้อย่อยนัน
้ แล ให้นก
ั เรียนนาเสนอ ลการสืบค้น ากนัน
้ ครนา
อ ป
ิ รายสรุปเกีย่ วกับการสือ่ สารโดยใช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
• สอนรวมทุกหัวข้อย่อย โดยกาหนดหัวข้อการสืบค้นการใช้คลืน
่ วิทยุ ไมโครเวฟ แล แสงใน
การสือ
่ สาร ตามหนังสือเรียน แบ่งกลุม
่ นักเรียนโดยให้แต่ล กลุม
่ สืบค้นการใช้คลืน
่ แม่เหล็ก
ไฟฟาในการสือ
่ สารอย่างน้อย 1 หัวข้อย่อย แล ให้นก
ั เรียนนาเสนอ ลการสืบค้น ากนัน
้ คร
นาอ ป
ิ รายสรุปเกีย่ วกับการสือ
่ สารโดยใช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

18.5.4 สัญญา แอนะล็อกและสัญญา ดิจิทัล

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. สั ญ ญาณแอน ล็ อ กแล สั ญ ญาณดิ ิ ทั ล 1. สัญญาณแอน ล็อกมีคา่ ต่อเนือ่ ง แต่สญ


ั ญาณ
เปนสัญญาณที่มีค่าต่อเนื่อง ดิ ิทัลมีเพียงสองสถาน เท่านั้น

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 9 ของหัวข้อ 18.5 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 18.5.4 โดยตั้งคาถามว่า สัญณาณแอน ล็อกแล สัญญาณดิ ิทัลแตกต่างกัน
อย่างไร ครเปดโอกาสให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบทีถ่ กต้อง ครนานักเรียน
อ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ สัญญาณแอน ล็อกเปนสัญญาณทีม
่ ค
ี า่ เปลีย่ นแปลงอย่างต่อเนือ
่ ง ส่วนสัญญาณดิ ท
ิ ลั
เปนสัญญาณที่เปลี่ยนแปลงสองสถาน ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน ครให้นักเรียนศกษา ากหนังสือ
เรียนหรือสืบค้น ากแหล่งความร้อื่น แล นาเสนอ ลการศกษา ากนั้นครใช้รป 18.30 นานักเรียน
อ ิปราย นสรุปได้ว่า สัญญาณแอน ล็อก เปนสัญญาณที่มีค่าต่าง ของสัญญาณเปลี่ยนแปลงอย่าง
ต่อเนื่องตามเวลา แต่สัญญาณดิ ิทัลเปนสัญญาณที่มีค่าต่าง ของสัญญาณเปลี่ยนแปลงเพียงสองสถาน
เช่น มีหรือไม่มี เปดหรือปด โดยในป ุบันสัญญาณดิ ิทัลได้รับความนิยมเพรา ทาให้เกิดความ ิดพลาด
ในการรับส่งข้อมล น้อยกว่าสัญญาณแอน ล็อก ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 37

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับความแตกต่างร หว่างการสื่อสารด้วยสัญญาณดิ ิทัลกับสัญญาณแอน ล็อก
รวมทัง้ เปรียบเทียบการสือ่ สารด้วยสัญญาณทัง้ สองปร เ ท ากคาถามตรว สอบความเข้าใ 18.5
2. ทักษ การสื่อสารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสื่อ แล ความร่วมมือ การทางานเปนทีมแล
าว ้นา ากการนาเสนอ แล อ ิปรายร่วมกัน
3. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความอยากร้อยากเห็น แล ความรอบคอบ ากการอ ิปรายร่วมกัน

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 18.5

1. ในการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟา ก่อนที่สัญญาณไฟฟาของข้อมล ถกส่งออก าก


้ส่งไปยัง ้รับ ต้อง ่านกร บวนการใดก่อน
แนวคำาตอบ ต้องนาไป สมกับคลื่นวิทยุ

2. การ ากสัญญาณเสียงไปกับคลื่นในร บบวิทยุแบบเอฟเอ็ม คลื่นวิทยุที่ได้ มีลักษณ อย่างไร


แนวคำาตอบ คลืน
่ วิทยุทไี่ ด้มค
ี วามถีเ่ ปลีย่ นแปลงตามสัญญาณไฟฟาทีน
่ ามา สม โดยแอมพลิ ด
ของคลื่นวิทยุไม่เปลี่ยนแปลง

3. สัญญาณแอน ล็อกแตกต่าง ากสัญญาณดิ ิทัลอย่างไร


แนวคำาตอบ สัญญาณแอน ล็อกเปนสัญญาณที่มีค่าต่าง เช่น สนามไฟฟา เปลี่ยนแปลงอย่าง
ต่อเนือ่ งตามเวลา ส่วนสัญญาณดิ ท
ิ ลั เปนสัญญาณทีม
่ ค
ี า่ ต่าง เช่น สนามไฟฟา เปลีย่ นแปลงเพียง
2 สถาน เช่น มีหรือไม่มี เปลี่ยนแปลงอย่างไม่ต่อเนื่องตามเวลา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
38 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 18

คำาถาม

1. ใช้ลวดตัวนาต่อกับแบตเตอรี่แล หลอดไฟ นครบวง ร ขณ กร แสไฟฟาสม่าเสมอ ลวดตัวนา


นี้ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาได้หรือไม่ เพรา เหตุใด
แนวคำาตอบ ไม่ได้ เพรา ขณ กร แสไฟฟาสม่าเสมอ สนามแม่เหล็กแล สนามไฟฟารอบ
ลวดตัวนาไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลา

2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟาทุกชนิดมีอัตราเร็วเท่ากันในทุกตัวกลาง เท่ากับอัตราเร็วของแสง คากล่าว


ข้างต้นนี้ถกต้องหรือไม่ งอ ิบาย
แนวคำาตอบ ไม่ถกต้อง คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาทุกชนิดมีอต
ั ราเร็วเท่ากันเฉพา ในสุญญากาศ ส่วนใน
ตัวกลางต่าง คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแต่ล ชนิดรวมทัง้ แสงมีอต
ั ราเร็วต่างกันแล น้อยกว่าอัตราเร็ว
แสงในสุญญากาศ

3. คลื่นแม่เหล็กไฟฟาขณ หน่ง ณ ตาแหน่ง O มีสนามไฟฟาขนานกับพื้นโลกชี้ไปทางทิศต วันตก


แล สนามแม่เหล็กมีทิศทางตั้งฉากกับพื้นโลก ดังรป

N
E O
W E พื้นโลก
S B

รูป ประกอบคำาถามข้อ 3

แหล่งกาเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟานี้อย่ทางทิศใดของตาแหน่ง O
แนวคำาตอบ ทิศเหนือ เพรา เมื่อหาทิศการเคลื่อนที่ด้วยมือขวา ได้ทิศเคลื่อนที่ไปทางใต้ของ
ุด O แสดงว่าแหล่งกาเนิดอย่ทิศหนือของ ุด O ดังรป

N
E O
W E พื้นโลก
c
S B

รูป ประกอบแนวคำาตอบคำาถามข้อ 3

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 39

4. การใช้ดาวเทียมสารว การเปลี่ยนแปลงอุณห มิของโลก ต้องใช้เซนเซอร์หรือตัวรับร้ที่ตรว วัด


คลื่นแม่เหล็กไฟฟาในช่วงใด เพรา เหตุใด
แนวคำาตอบ อินฟราเรด เพรา วัตถุต่าง แ ่รังสีอินฟราเรดตลอดเวลา แล สามารถ ่าน
เม หมอกได้ดี

5. ดาว กษ์สีน้าเงินกับดาว กษ์สีเหลือง ดาว กษ์ดวงใดมีอุณ มิสงกว่ากัน


แนวคำาตอบ ดาว กษ์ที่มีสีน้าเงิน มีอุณห มิสงกว่าดาว กษ์ที่มีสีเหลือง เพรา พลังงานของ
แสง ข้นอย่กับความถี่ โดย พลังงานของแสงที่มีความถี่สง มีค่ามาก ความถี่ของแสงสีนาเงิ
้ น
สงกว่าความถี่ของแสงสีเหลือง ดาว กษ์ที่มีสีน้าเงินให้แสงสีน้าเงินซ่งมีพลังงานสง งมีอุณห มิ
สงกว่าดาว กษ์ที่มีสีเหลือง

6. ร บบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟาชนิดใดในการรับส่งสารสนเทศ เพรา เหตุใด


แนวคำาตอบ ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟาชนิด คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ แสง เพรา คลื่นแม่เหล็กไฟฟา
ดังกล่าวสามารถนามา สมกับสัญญาณไฟฟาในการรับส่งสารสนเทศได้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
40 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

ปญหา

1. งพิ ารณาข้อความต่อไปนี้ ข้อใดไม่ถกต้อง


ก. การเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟาทาให้เกิดสนามแม่เหล็ก แล การเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็ก
ทาให้เกิดสนามไฟฟา
ข. สนามไฟฟาแล สนามแม่เหล็กของคลื่นแม่เหล็กไฟฟามีเฟสต่างกัน 90 องศา
ค. สาหรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟา สนามไฟฟาแล สนามแม่เหล็กมีทิศตั้งฉากซ่งกันแล กัน
แล ตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นด้วย
ง. ในตัวกลางเดียวกัน คลื่นแม่เหล็กไฟฟาทุกความถี่มีความเร็วเท่ากัน
วิธีทำา ข้อ ข. ไม่ถกต้อง เพรา สนามไฟฟาแล สนามแม่เหล็กของคลื่นแม่เหล็กไฟฟาใน
สุญญากาศมีเฟสตรงกัน
ข้อ ง. ไม่ถกต้อง เพรา คลืน
่ แม่เหล็กฟาทุกความถีม
่ ค
ี วามเร็วเท่ากัน เฉพา ในสุญญากาศ
ตอบ ข้อ ข. แล ง.

2. แสงที่คนเรามองเห็นมีความยาวคลื่นอย่ในช่วง 400 นาโนเมตร ถง 700 นาโนเมตร งหาช่วง


ความถี่ของแสงที่ตามองเห็น
v
วิธีทำา หาความถี่ได้ ากสมการ f = โดยความเร็วแสงในสุญญากาศเท่ากับ 3 × 108 m/s

หาความถี่ของแสง λ = 400 nm าก
v
f =
3 108 m/s
แทนค่า f =
400 10 9 m
= 7.50 × 1014 Hz
หาความถี่ของแสง λ = 700 nm าก
v
f =
3 108 m/s
f =
700 10 9 m
= 4.29 × 1014 Hz
ตอบ ช่วงความถี่ของแสงที่คนมองเห็นคือ 4.29 × 1014 เ ิรตซ์ ถง 7.50 × 1014 เ ิรตซ์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 41

3. ถ้าดวง น
ั ทร์อย่หา่ ง ากโลกเปนร ย ทาง 384 000 กิโลเมตร งหาร ย เวลาทีแ่ สงเคลือ
่ นที่ าก
ดวง ันทร์ถงโลก
s
วิธีทาำ หาร ย เวลาที่แสงเคลื่อนที่ ากดวงv ันทร์ถงโลก ากสมการ t =
v
384 000 103m
แทนค่า t = 384 0
3 108 m/s
= 1.28 s
ตอบ ร ย เวลาที่แสงเคลื่อนที่ ากดวง ันทร์ถงโลก คือ 1.28 วินาที

4. แสงเคลื่อนที่ ากดาวซิริอุสถงโลกใช้เวลา 8.61 ปี งหาร ย ทาง ากดาวซิริอุสถงโลกในหน่วย


กิโลเมตร
วิธีทาำ หาร ย ทาง ากดาวซิรอ
ิ สุ ถงโลก ากสมการ s = vt
ากเวลาทีแ่ สงเดินทาง ากดาวซิรอ
ิ สุ ถงโลก คือ 8.61 ปี
หรือเท่ากับ 8.61 ปี × 365 วันต่อปี × 24 ชัว่ โมงต่อวัน × 60 นาทีตอ
่ ชัว่ โมง × 60 วินาที
ต่อนาทีซง่ เท่ากับ 271 524 960 วินาที
แทนค่า s = (3 × 108 m/s)(271 524 960 s)
= 8.15 × 1013 km
ตอบ ร ย ทาง ากดาวซิริอุสถงโลกคือ 8.15 × 1013 กิโลเมตร

5. งเรียงลาดับคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาต่อไปนี้ รังสีเอกซ์ อินฟราเรด ไมโครเวฟ วิทยุ รังสีอลั ตราไวโอเลต
ตามความถี่ ากมากไปน้อย
วิธีทาำ ากรป 18.5 สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟา ตามหนังสือเรียน
106 107 108 109 1010 1011 1012 1013 1014 1015 1016 1017 1018 1019 1020 1021 1022 1023
(Hz)
ลืน ก
โ ก
นื

ลืน (m)
104 103 102 101 100 10-1 10-2 10-3 10-4 10-5 10-6 10-7 10-8 10-9 10-1010-1110-1210-1310-1410-15

สามารถเรียงลาดับคลื่นแม่เหล็กไฟฟาตามความถี่ ากมากไปน้อยได้ดังนี้ รังสีเอกซ์


รังสีอัลตราไวโอเลต อินฟราเรด ไมโครเวฟ วิทยุ
ตอบ รังสีเอกซ์ รังสีอัลตราไวโอเลต อินฟราเรด ไมโครเวฟ วิทยุ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
42 บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ เล่ม 6

6. รังสีเอกซ์กบ
ั รังสีแกมมามีขอ้ เหมือนกันแล ข้อทีแ่ ตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ตอบ ข้อที่เหมือนกัน คือ
ก. เปนคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความถี่สง
ข. มีพลังงานสง มีอานา ท ลุ ่านสง มีอันตรายต่อร บบทางชีว าพมาก
ค. ไม่เบี่ยงเบนในสนามแม่เหล็กแล สนามไฟฟา
ข้อทีแ่ ตกต่างกัน คือ รังสีเอกซ์เกิด ากการเปลีย่ นความเร็วของอิเล็กตรอนแล้วปลดปล่อย
พลังงานในรปรังสีเอกซ์หรืออิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไปชนอ ตอมของ าตุที่เปนเปา ทาให้
อ ตอมของเปาปล่อยพลังงานออกมาในรปของรังสีเอกซ์ แต่รงั สีแกมมาเกิด ากการสลาย
ของ าตุกัมมันตรังสี

7. เพรา เหตุใด โทรทัศน์ทใ่ี ช้ร บบรับสัญญาณแบบดิ ท


ิ ลั งให้ าพแล เสียงทีค
่ มชัดกว่าโทรทัศน์
ที่ใช้ร บบสัญญาณแอน ล็อก
ตอบ เนือ
่ ง ากการส่งสัญญาณ าพแล เสียงแบบดิ ท
ิ ลั ถกรบกวน ากสัญญาณ ากสิง่ แวดล้อม
น้อยกว่าการส่งด้วยสัญญาณแอน ล็อก

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 43

19
บทที่ ฟิสก
ิ ส์อะตอม

ipst.me/11455

ผลการเรียนรู้

1. อ ิบายสมมติ านของพลังค์ ท ษ ีอ ตอมของโบร์ แล การเกิดเส้นสเปกตรัมของอ ตอม


ไ โดรเ น รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้อง
2. อ บ
ิ ายปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริกแล คานวณพลังงานโฟตอน พลังงาน ลน์ของโฟโตอิเล็กตรอน
แล ฟงก์ชันงานของโลห
3. อ ิบายทวิ าว ของคลื่นแล อนุ าค รวมทั้งอ ิบาย แล คานวณความยาวคลื่นเดอบรอยล์

การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้

ผลการเรียนรู้
1. อ ิบายสมมติ านของพลังค์ ท ษ ีอ ตอมของโบร์ แล การเกิดเส้นสเปกตรัมของอ ตอม
ไ โดรเ น รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้อง

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายสมมติ านของพลังค์
2. อ ิบายท ษ ีอ ตอมของโบร์แล การเกิดเส้นสเปกตรัมของอ ตอมไ โดรเ น
3. คานวณรัศมีวงโค รของอิเล็กตรอน พลังงานอ ตอมของไ โดรเ น แล ความยาวคลื่นของ
แสงในสเปกตรัมแบบเส้นตามท ษ ีอ ตอมของโบร์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
44 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

1. การใช้ านวน ปริมาณต่าง ที่ 1. การสื่อสารสารสนเทศแล 1. ความอยากร้อยากเห็น


เกีย่ วข้องกับอ ตอมไ โดรเ น การร้เท่าทันสือ่ การอ ป
ิ ราย 2. ความรอบคอบ
ตามท ษ อ
ี ตอมของโบร์ ร่วมกันแล การนาเสนอ ล
มีการอ้างอิงแหล่งที่มาแล
การเปรียบเทียบความถกต้อง
ของข้อมลที่หลากหลายได้
อย่างสมเหตุสม ล
2. ความร่วมมือการทางานเปน
ทีมแล าว น
้ า

ผลการเรียนรู้
2. อ บ
ิ ายปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริกแล คานวณพลังงานโฟตอน พลังงาน ลน์ของโฟโตอิเล็กตรอน
แล ฟงก์ชันงานของโลห

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก
2. อ ิบายแล คานวณพลังงานโฟตอน พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน แล ฟงก์ชัน
งานของโลห

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 45

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

1. การตีความข้อมลแล ลงข้อ 1. การสื่อสารสารสนเทศแล -


สรุป การวิเครา ห์กราฟ การร้เท่าทันสือ่ การอ ป
ิ ราย
ความสัมพัน ร์ หว่างความ ร่วมกันแล การนาเสนอ ล
ต่างศักย์หยุดยั้งกับความถี่ 2. ความร่วมมือการทางานเปน
ของแสง ทีมแล าว น
้ า
2. การใช้ านวน ปริมาณต่าง
ที่เกี่ยวข้องกับปราก การณ์
โฟโตอิเล็กทริก

ผลการเรียนรู้
3. อ บ
ิ ายทวิ าว ของคลืน
่ แล อนุ าค รวมทัง้ อ บ
ิ าย แล คานวณความยาวคลืน
่ เดอบรอยล์

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายแล คานวณความยาวคลื่นเดอบรอยล์
2. อ ิบายทวิ าว ของคลื่นแล อนุ าค

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

1. การใช้ านวน ความยาว 1. การสื่อสารสารสนเทศแล 1. ความอยากร้อยากเห็น


คลื่นเดอบรอยล์ การร้เท่าทันสือ่ การอ ป
ิ ราย
ร่วมกัน มีการอ้างอิงแหล่งที่
มาแล การเปรียบเทียบความ
ถกต้องของข้อมล ากแหล่ง
ข้อมลทีห
่ ลากหลายได้อย่าง
สมเหตุสม ล
2. ความร่วมมือการทางานเปน
ทีมแล าว น
้ า

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
46 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

ผังมโนทัศน์ ฟิสิกส์อะตอม

ฟิสก
ิ ส์อะตอม

เกีย
่ วข้องกับ การแผ่คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้าของวัตถุดํา

นําไปสู่

สมมติฐานของพลังค์ กฎการอนุรก
ั ษ์พลังงาน

การค้นพบปรากฏการณ์
โฟโตอิเล็กทริกของเฮิรตซ์
อะตอม

นําไปสู่
อิเล็กตรอน
นําไปสู่
คําอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกของไอนส์ไตน์
แบบจําลองอะตอม
ของทอมสัน คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้า นําไปสู่

การกระเจิงของ ่ แม่เหล็กไฟฟ้า นําไปสู่


คลืน สมมติฐาน
นําไปสู่
อนุภาคแอลฟา มีสมบัตอ ิ นุภาค อนุภาคแสดงสมบัติ
คลืน
่ ของเดอบรอยล์

แบบจําลองอะตอม
การทดลองการเลีย้ วเบน
ของรัทเทอร์ฟอร์ด
ของอิเล็กตรอน
ยืนยัน

การค้นพบสเปกตรัมแบบเส้น อนุภาคมีสมบัตค
ิ ลืน

ของอะตอมไฮโดรเจน นําไปสู่

นําไปสู่ ทวิภาวะของคลืน

และอนุภาค
ทฤษฎีอะตอมของโบร์ นําไปสู่

อธิบาย
กลศาสตร์ควอนตัม
อนุกรมของสเปกตรัมชุดต่าง ๆ
ของอะตอมไฮโดรเจน แบบจําลองกลุม
่ หมอกของอิเล็กตรอนในอะตอม
นําไปสู่
การประยุกต์ใช้ดา้ นฟิสก
ิ ส์ควอนตัม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 47

สรุปแนวความคิดสำาคัญ
วัตถุดาำ blackbody เปนวัตถุทแ่ี ค
่ ลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแล ดดกลืนคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาได้อย่างสมบรณ์
พลังค์ได้ตั้งสมมติ านเพื่ออ ิบายการแ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟาของวัตถุดา เรียกว่า สมมติ านของพลังค์
Planck’s hypothesis ซ่งมีใ ความว่า พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่วัตถุดาดดกลืนหรือแ ่ออกมามี
ค่าได้เฉพา บางค่าเท่านั้น แล ค่านี้เปน านวนเต็มเท่าของ hf เรียกว่า ควอนตัมของพลังงาน quantum
of energy ตามสมการ E = nhf
สเปกตรัมของแกส เช่น ไ โดรเ นแล นีออน ในช่วงทีต
่ ามองเห็น มีลก
ั ษณ เปนเส้นแยกออก ากกัน
เรียกว่าสเปกตรัมแบบเส้น line spectrum โบร์อ ิบายสเปกตรัมแบบเส้นของแกสไ โดรเ น โดยเสนอ
ท ษ ีอ ตอมของไ โดรเ นมีใ ความว่า อิเล็กตรอนที่โค รรอบนิวเคลียสโดยไม่แ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟานั้น
อย่ในวงโค รเฉพา บางค่า ที่มีโมเมนตัมเชิงมุมตามสมการ mvr = ทาให้มีรัศมีวงโค รตามสมการ

แล มีพลังงานรวมของอิเล็กตรอนในวงโค รตามสมการ

เมื่ออิเล็กตรอนเปลี่ยนวงโค ร มีการรับหรือปล่อยพลังงานบางค่าออกมาในรปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
ตามสมมติ านของพลังค์ ตามสมการ hf = Ei − Ef
ท ษ ี อ ตอมของโบร์ ส ามารถใช้ ค านวณหาพลั ง งานของอ ตอมไ โดรเ นที่ ส ถาน พื้ น มี ค่ า
21.76 10 19 J 13.6
E1 = -21.76 × 10-19 J หรือ -13.6 eV พลังงานทีส่ ถาน ถกกร ตุน
้ ตามสมการ En
n2 n2
10 19 J 13.6 eV
เมือ่ n = 2,3,4... แล นาไปใช้คานวณหาความยาวคลืน ่ ของสเปกตรัมชุดต่าง ของไ โดรเ น
n2 n2
1 1 1
ตามสมการ RH 2
nf ni2
เมื่ อ แสงที่ มี ค วามถี่ เ หมา สมตกกร ทบ ิ ว โลห ทาให้ อิ เ ล็ ก ตรอนหลุ ด าก ิ ว โลห นั้ น ได้
เรียกปราก การณ์นี้ว่า ปราก การ ์โฟโตอิเล็กทริก photoelectric effect โดยเรียกอิเล็กตรอนที่หลุด
าก ิวโลห ว่า โฟโตอิเล็กตรอน photoelectron ซ่ง มี านวนเพิ่มข้นตามความเข้มแสงที่ตกกร ทบ
ไอน์สไตน์ได้เสนอแนวความคิดเพื่ออ ิบายปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริกโดยอาศัยสมมติ านของพลังค์ว่า
แสงมีลักษณ เปนก้อนพลังงานหรือควอนตัมของพลังงาน ซ่งเรียกว่า โฟตอน photon มีพลังงาน hf แล
ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก เกิดข้นได้ ต้องใช้แสงทีม
่ ค
ี วามถีม
่ ากกว่าหรือเท่ากับความถีค
่ า่ หน่งทีเ่ รียก
ว่า ความถี่ขีดเริ่ม threshold frequency ซ่งเปนความถี่ของโฟตอนที่มีพลังงานเท่ากับพลังงานที่โลห
ยดอิเล็กตรอนไว้ เรียกว่า ฟงก์ชน
ั งาน work function ตามสมการ W = hf0 ากก การอนุรก
ั ษ์พลังงาน
ได้ พ ลั ง งาน ลน์ ส งสุ ด ของโฟโตอิ เ ล็ ก ตรอนตามสมการ Ekmax hf W พลั ง งาน ลน์ ส งสุ ด ของ
โฟโตอิเล็กตรอนหาได้ ากการทดลองด้วยการต่อความต่างศักย์ไฟฟาต้านโฟโตอิเล็กตรอน นกร แส
โฟโตอิ เ ล็ ก ตรอนเปนศนย์ พ อดี เรี ย ก ความต่ า งศั ก ย์ ห ยุ ด ยั้ง V s สั ม พั น ์ กับ พลั ง งงาน ลน์ สงสุ ด ของ
โฟโตอิเล็กตรอน ตามสมการ Ekmax = hf
eVs W
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
48 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

เดอ เบรย ได้เสนอสมมติ านว่า อนุ าคสามารถแสดงสมบัติของคลื่นได้ โดยมีความยาวคลื่น ซ่ง


เรียกว่า ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ แล สมมติ านนี้เรียกว่า สมมติ านของเดอบรอยล์
ากแนวคิดของไอน์สไตน์แล เดอ เบรย ทาให้สรุปได้วา่ คลืน
่ แสดงสมบัตข
ิ องอนุ าคได้แล อนุ าค
แสดงสมบัติของคลื่นได้ สมบัติดังกล่าว เรียกว่า ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค wave-particle duality
ซ่งเปนราก านในการพั นา กลศาสตร์ควอนตัม quantum mechanics ทีเ่ ปนสาขาหน่งของวิชาฟสิกส์
ทีศ
่ กษาเกีย
่ วกับ รรมชาติในร ดับอ ตอมแล เล็กกว่าได้อย่างกว้างขวาง นาปร ยุกต์ใช้ปร โยชน์ในหลาก
หลายด้าน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 49

เวลาที่ใช้

บทนี้ควรใช้เวลาสอนประมา 28 ชั่วโมง

19.1 สมมติ านของพลังค์ แล ท ษ ีอ ตอมของโบร์ 12 ชั่วโมง


19.2 ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก 10 ชั่วโมง
19.3 ทวิ าว ของคลื่นแล อนุ าค 6 ชั่วโมง

ความรู้ก่อนเรียน

การเคลื่อนที่แบบวงกลม ก การอนุรักษ์พลังงาน ก คลอมบ์ ไฟฟาแล แม่เหล็ก


คลื่นแม่เหล็กไฟฟา สเปกตรัมแสงของอ ตอม แบบ าลองอ ตอม

ครนาเข้าส่บทที่ 19 โดยใช้รปนาบทหรือสื่ออื่น เกี่ยวกับอนุ าคขนาดเล็ก เช่น เปรียบเทียบ าพ


ที่ได้ ากกล้อง ุลทรรศน์ รรมดากับกล้อง ุลทรรศน์อิเล็กตรอน หรือ าพการเลี้ยวเบนของแสงทั่วไปกับ
การเลี้ยวเบนของอิเล็กตรอน แล้วตั้งคาถามว่า สามารถใช้ความร้ของฟสิกส์แบบฉบับอ ิบายได้หรือไม่
อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็น แล ตอบคาถามอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบทีถ่ กต้อง
ากนัน
้ ครนาอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ การศกษาเกีย่ วกับอนุ าคขนาดเล็ก ร ดับอ ตอม นักวิทยาศาสตร์ได้
พั นาวิชา ฟสิกส์ควอนตัม เพื่อศกษาแล อ ิบาย รรมชาติในร ดับอ ตอมแล เล็กกว่า นสามารถนามา
ปร ยุกต์ใช้ในการสร้างเทคโนโลยีใหม่ เช่น กล้อง ุลทรรศน์อิเล็กตรอนกาลังขยายสง เลเซอร์ อุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์
ครชี้แ งคาถามสาคัญที่นักเรียน ต้องตอบได้หลัง ากการเรียนร้บทที่ 19 แล หัวข้อต่าง ที่
นักเรียน ได้เรียนร้ในบทที่ 19

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
50 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

19.1 สมมติ านของพลังค์ และท ษ ีอะตอมของโบร์


จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายสมมติ านของพลังค์
2. อ ิบายท ษ ีอ ตอมของโบร์แล การเกิดเส้นสเปกตรัมของอ ตอมไ โดรเ น
3. คานวณรัศมีวงโค รของอิเล็กตรอน พลังงานอ ตอมของไ โดรเ น แล ความยาวคลื่นของ
แสงในสเปกตรัมแบบเส้นตามท ษ ีอ ตอมของโบร์

แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หัวข้อ 19.1 โดยตั้งคาถามว่า วัตถุที่มีอุณห มิสงหรือวัตถุร้อนแ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟาใด
บ้างเกี่ยวข้องกับอุณห มิแล สมบัติของ ิววัตถุอย่างไร โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น แล
ตอบคาถามอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครนาอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ ความร้ ากฟสิกส์แบบฉบับไม่สามารถอ บ
ิ ายการแ ค
่ ลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ของวัตถุร้อนได้ ครชี้แ งนักเรียนว่าการอ ิบายการแ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟาของวัตถุร้อนได้อย่างไร ศกษาได้
ากหัวข้อต่อไปนี้

19.1.1 การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของวัตถุดาำ

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. วัตถุที่มีอุณห มิสง แ ่เฉพา คลื่น 1. วัตถุทม


่ี อี ณ
ุ ห มิสง แ ค
่ ลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
แม่เหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่นสั้นเท่านั้น ทัง้ ความยาวคลืน
่ ยาวแล ความยาวคลืน
่ สัน

แต่มคี วามเข้มทีแ่ ตกต่างกัน วัตถุยง่ิ มีอณ
ุ ห มิ
สงข้น ความเข้มสงสุด มีความยาวคลืน
่ สัน

ลง

2. วัตถุที่แ ่แสงสีแดงมีอุณห มิสงกว่าวัตถุที่ 2. วัตถุทแี่ แ่ สงสีแดงมีอณ


ุ ห มิตากว่
่ าวัตถุที่
แ ่แสงสีนาเงิ
้ น แ ่แสงสีน้าเงิน

3. วัตถุดาคือวัตถุที่มีสีดาสนิท 3. วัตถุดาไม่ าเปนต้องมีสีดา แต่เปนวัตถุใน


อุดมคติทด
่ี ดกลืนแล แ ค
่ ลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ได้อย่างสมบรณ์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 51

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ของข้อที่ 1 หัวข้อ 19.1 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 19.1.1 โดยใช้รป 19.1 ในหนังสือเรียน หรือวีดท
ิ ศ
ั น์ทม
่ี ก
ี ารทาวัตถุให้รอ
้ นทีอ
่ ณ
ุ ห มิ
สง เช่น การทาดาบหรือมีดด้วยความร้อน แล้วตัง้ คาถามว่า เมือ
่ เ าวัตถุให้รอ
้ น นักเรียนสังเกตเห็นสีของวัตถุ
ที่เปลี่ยนไปอย่างไร แต่ล บริเวณของวัตถุร้อนมีสีอ ไรบ้าง นักเรียนคิดว่าที่บริเวณใดวัตถุมีอุณห มิสงกว่า
กัน แล วัตถุอื่น ที่ร้อน มีพ ติกรรมเช่นเดียวกันหรือไม่ โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น
อย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครแล นักเรียนร่วมกันอ ิปราย นสรุปได้ว่า วัตถุทุกชนิดที่มีอุณห มิสงกว่า 0 เคลวิน มีการแ ่
คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาเสมอ เรียกว่า การแ ร่ งั สีความร้อน โดยคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาทีแ่ อ
่ อกมามีความถีต
่ อ
่ เนือ
่ ง
เรียกว่า สเปกตรัมต่อเนือ
่ ง แล ความยาวคลืน
่ ทีม
่ ค
ี วามเข้มสงสุดข้นกับอุณห มิของวัตถุนน
ั้ แล มีสเี ปลีย่ น
แปลงไปตามอุณห มิของวัตถุ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครนาอ ป
ิ รายโดยใช้รป 19.2 ในหนังสือเรียน นสรุปได้วา่ วัตถุทอี่ ณ
ุ ห มิหน่ง แ ร่ งั สีความร้อน
โดยมีความสัมพัน ร์ หว่างความเข้มสงสุดกับความยาวคลืน
่ เช่น วัตถุทม
ี่ อ
ี ณ
ุ ห มิ 3000 เคลวิน แ ค
่ ลืน

แม่เหล็กไฟฟาทีม
่ ค
ี วามเข้มสงสุดในช่วงอินฟราเรด เมือ
่ อุณห มิสงข้นอีก ความเข้มของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ที่แ ่ออกมามากสุด มีความยาวคลื่นลดลง ตามแนวเส้นปร ในรป 19.2 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครถามคาถามชวนคิดในหน้า 55 ให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความ
คิดเห็นอย่างอิสร แล้วครนาอ ิปราย นได้แนวคาตอบดังนี้

แนวคำาตอบชวนคิด

ในวิชาศิลป เรามักบอกว่าสีโทนเย็นคือพวกสีฟา สีน้าเงิน ส่วนสีโทนร้อนคือพวกสีส้ม สีแดง


นักเรียนคิดว่า เปลวไฟ ากแกสหุงต้มที่ใช้ตามครัวเรือน ส่วนของเปลวไฟที่เปนสีฟาน้าเงิน หรือ
ส่วนที่เปนสีส้มแดง ส่วนใด ร้อนมากกว่ากัน
แนวคำาตอบ เปลวไฟที่เปนสีฟาน้าเงิน ร้อนมากกว่า อุณห มิสงกว่า ส่วนที่เปนสีส้มแดง

ากนัน
้ ครนาอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ ความสัมพัน ร์ หว่างความเข้มกับความยาวคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ที่แ ่ออกมา ากวัตถุ ตามรป 19.2 ในหนังสือเรียน ไม่สามารถอ ิบายได้อย่างถกต้องสมบรณ์โดยใช้ฟสิกส์
แบบฉบับ เนื่อง ากฟสิกส์แบบฉบับทานายว่า ยิ่งวัตถุมีอุณห มิสงข้นมากเท่าใด ก็ ยิ่งแ ่คลื่นแม่เหล็ก
ไฟฟาในช่วงความยาวคลื่นสั้นออกมามากเท่านั้น ากความสัมพัน ์ร หว่างความเข้มกับความยาวคลื่นที่
แ ่ออกมา ากวัตถุที่มีอุณห มิค่าหน่ง นักฟสิกส์ชาวเยอรมันชื่อ มักซ์ พลังค์ ได้เสนอสมมติ านเกี่ยวกับ
การแ ่รังสีของวัตถุดา ตาม ลการทดลองในรป 19.3 ในหนังสือเรียน ซ่งสามารถอ ิบายการแ ่รังสีของ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
52 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

วัตถุทั่วไปตามรป 19.2 แล ครอ ิบายเพิ่มเติมว่า การที่วัตถุดาสามารถแ ่แล ดดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟา


ได้อย่างสมบรณ์นั้นหมายถง ไม่มีการส่ง ่าน transmission แล การส ท้อน reflectoin ของคลื่น
แม่เหล็กไฟฟา ากวัตถุดา มีเพียงการแ ่ emission แล การดดกลืน absorption คลื่นแม่เหล็กไฟฟา
ากวัตถุดาเท่านั้น โดยเกิดข้นกับทุกความยาวคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
ครให้นก
ั เรียนสืบค้นแนวคิดของพลังค์เกีย่ วกับการแ ร่ งั สีของวัตถุดา แล นาเสนอ ลการสืบค้น าก
นัน
้ ครแล นักเรียนอ ป
ิ รายร่วมกัน นสรุปได้วา่ พลังงานทีว่ ต
ั ถุดาดดกลืนหรือแ อ
่ อกมามีคา่ ได้เฉพา บาง
ค่าเท่านั้น แล ค่านี้ เปน านวนเต็มเท่าของ hf เรียกว่า ควอนตัมของพลังงาน โดยแสงความถี่ f มี
พลังงานที่ดดกลืนหรือแ ่ออกมา ตามสมการ 19.1 ในหนังสือเรียน
ครให้นกั เรียนศกษาตัวอย่าง 19.1 - 19.3 โดยมีครเปน แ้ น นา ากนัน
้ ตรว สอบความเข้าใ นักเรียน
โดยให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ 19.1 ข้อ 1 แล ทาแบบ กหัด 19.1 ข้อ 1 แล 2 ทั้งนี้
อา มีการเฉลยคาตอบแล อ ิปรายคาตอบร่วมกัน
ครตั้งคาถามว่า ากการที่พลังค์เสนอสมมติ านที่เปรียบเสมือนเปนการเบิกทางในการแก้ปญหาที่
ไม่สามารถอ ิบายด้วยฟสิกส์แบบฉบับแล้ว สมมติ านดังกล่าวสามารถนามาต่อยอดในการพั นาความร้
เกี่ยวกับพ ติกรรมของอนุ าคขนาดเล็ก เช่น อนุ าคในร ดับอ ตอมได้หรือไม่ อย่างไร โดยเปดโอกาสให้
นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นครนาอ ิปรายเกี่ยวกับการใช้
สมมติ านของพลังค์นอก ากใช้อ ิบายการแ ่รังสีของวัตถุดาตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 53

19.1.2 ท ษ ีอะตอมของโบร์

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. ตามท ษ อี ตอมของโบร์ รัศมีวงโค รของ 1. ตามท ษ อี ตอมของโบร์ รัศมีวงโค รของ


อิเล็กตรอนรอบนิวเคลียสสามารถมีคา่ ใด อิเล็กตรอนรอบนิวเคลียสสามารถมีค่าได้
ก็ได้ เฉพา บางค่า

2. อิเล็กตรอนในอ ตอม สามารถเปลีย่ นร ดับ 2. อิเล็กตรอนในอ ตอม สามารถเปลีย่ นร ดับ


พลังงาน โดยการดดกลืนหรือปล่อยพลัง พลังงาน โดยการดดกลืนหรือปล่อยพลัง
งานคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแบบเปนค่าใด ก็ได้ งานคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาแบบเปนค่าได้เฉพา
บางค่า

3. ท ษ อี ตอมของโบร์สามารถอ บ
ิ ายอ ตอม 3. ท ษ ีอ ตอมของโบร์ไม่สามารถอ ิบาย
ใด ได้ถกต้องทุกปร การ อ ตอมที่มีหลายอิเล็กตรอน

4. พลังงานรวมของอิเล็กตรอนในอ ตอมมีคา่ 4. พลังงานรวมของอิเล็กตรอนในอ ตอมมีคา่


ติดลบมาก แสดงว่าอิเล็กตรอนถกอ ตอม ติดลบมาก แสดงว่าอิเล็กตรอนถกอ ตอม
ยดไว้ด้วยพลังงานน้อย ยดไว้ด้วยพลังงานมาก

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ของข้อที่ 2 แล 3 ของหัวข้อ 19.1 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อ 19.1.2 โดยนาอ ิปรายเกี่ยวกับอ ตอมในวิชาเคมี การทดลองของทอมสันเพื่อ
หาค่าปร ุต่อมวลของอิเล็กตรอน การทดลองมิลิแกนเพื่อหาค่าปร ุไฟฟาของอิเล็กตรอน ากนั้นให้
นักเรียนสืบค้นการพั นาแบบ าลองอ ตอมเพือ
่ ใช้อ บ
ิ ายโครงสร้างอ ตอม ตัง้ แต่แบบ าลองอ ตอมของ
ทอมสั น นถงแบบ าลองอ ตอมของรั ท เทอร์ ฟ อร์ ด แล้ ว ให้ นั ก เรี ย นนาเสนอ ลการสื บ ค้ น แล
ร่วมกันอ ิปรายโดยใช้รป 19.4 ในหนังสือเรียน นได้ข้อสรุปตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครอา สา ิตหรือให้นักเรียนทากิ กรรมลองทาดในหนังสือเรียนเพื่อให้นักเรียนทาความเข้าใ ล
การทดลองของไกเกอร์แล มาร์สเดน เกี่ยวกับแนวการเบนของอนุ าคแอลฟาที่ ป ล่ อ ยให้ ต กกร ทบ
แ ่นทองคาบาง นนามาส่การเสนอแบบ าลองอ ตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด ากการทากิ กรรมลองทาด
การเปรียบเทียบการกร เ ิงของอนุ าคแอลฟา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
54 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

กิจกรรมลองทำาดู การเปรียบเทียบลักษ ะการกระเจิงของอนุภาคแอลฟา

จุดประสงค์
1. สังเกตการเคลือ
่ นทีข
่ องแท่งแม่เหล็กเปรียบเทียบลักษณ กับการกร เ งิ ของอนุ าคแอลฟา

เวลาที่ใช้ 30 นาที

วัสดุและอุปกร ์
1. แม่เหล็กแ ่นกลมขนาดเท่ากัน 5 อัน
2. ถาดลดแรงเสียดทาน 1 ถาด
3. เม็ดพลาสติก 1 ถุง

แนะนำาก่อนทำากิจกรรม
1. เน้นกับนักเรียนว่า แรงทีเ่ กีย
่ วข้องกับกิ กรรมลองทาดนีเ้ ปนแรงแม่เหล็ก แตกต่าง ากแรงที่
นิวเคลียสกร ทาต่ออนุ าคแอลฟาในการทดลอง ริง ซ่งเปนแรงไฟฟา
2. กซ้อมในการใช้แรง ลักแม่เหล็ก B นได้ขนาดแรงทีเ่ หมา สม สามารถสังเกตเห็นแนวการ
เบนของแม่เหล็ก B เมื่อเคลื่อนที่เข้าหาแม่เหล็ก A ถ้าใช้ขนาดแรงมากเกินไป อา ทาให้
แม่เหล็ก A หรือ B พลิกกลับด้าน แล ทาให้ ลการทากิ กรรม ไม่สอดคล้องกับ ุดปร สงค์
กิ กรรม
3. ชี้แ งกับนักเรียนว่า กิ กรรมนี้กับการทดลอง ริงมีสิ่งที่แตกต่างกัน คือ ขนาดแล ความเร็ว
ของแท่ ง แม่ เ หล็ ก ไม่ ไ ด้ แ สดงสั ด ส่ ว น ริ ง กั บ ขนาดแล ความเร็ ว ของอนุ าคแอลฟาแล
นิวเคลียส

ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม

รูป ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 55

แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม

□ การเคลื่อนที่ของแม่เหล็ก B เป็นอย่างไร ขณะเคลื่อนที่เข้าหาแท่งแม่เหล็ก A ในแต่ละแนว


แนวคำาตอบ เมื่อ ลักแม่เหล็ก B ให้เคลื่อนเข้าหาแม่เหล็ก A ตามแนวที่ 1 แม่เหล็ก B มีแนว
การเคลื่อนที่ย้อนกลับในแนวเดิมหรือย้อนกลับเบนออก ากแนวเดิม
เมื่อ ลักแม่เหล็ก B ให้เคลื่อนเข้าหาแม่เหล็ก A ตามแนวที่ 2 แม่เหล็ก B ไม่ย้อน
กลับทางเดิมแต่เคลื่อนที่เบนออก ากแนวเดิม
เมื่อ ลักแม่เหล็ก B ให้เคลื่อนเข้าหาแม่เหล็ก A ตามแนวที่ 3 แม่เหล็ก B ไม่ย้อน
กลับทางเดิมแต่เคลื่อนที่เบนออก ากแนวเดิมเล็กน้อยโดยน้อยกว่าแนวที่ 2

อภิปรายหลังการทำากิจกรรม

หากครให้นักเรียนทากิ กรรมนี้ ให้ตอบคาถามท้ายกิ กรรม ากนั้นครแล นักเรียนร่วมกัน


อ ิปราย ลการทากิ กรรม นสรุปได้ว่า
1. แรงร หว่างแม่เหล็ก B กับแม่เหล็ก A เปนแรงแบบไม่สม
ั สั แล เปนแรง ลักกร ทาต่อกัน
โดยแรงในกิ กรรมนีเ้ ปนแรงแม่เหล็ก แตกต่าง ากการกร เ งิ ของอนุ าคแอลฟาซ่งเปน
แรงไฟฟา
2. การวางให้ขั้วแม่เหล็กของแม่เหล็ก A แล แม่เหล็ก B ให้เหมือนกันเพื่อให้แม่เหล็ก A
แล B ลักกัน เปรียบได้กับแรง ลักกันของนิวเคลียสของอ ตอมกับอนุ าคแอลฟาซ่ง
มีปร ุไฟฟาบวกเหมือนกัน
3. เส้นทางการเคลือ
่ นทีข
่ องแม่เหล็ก B เปรียบได้กบ
ั เส้นทางการเคลือ
่ นทีข
่ องอนุ าคแอลฟา
เมื่อ ่านอ ตอมของโลห ในแนวต่าง

ครนาอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ แม้แบบ าลองอ ตอมของรัทเทอร์ฟอร์ดสามารถอ บ
ิ าย ลการทดลอง
ของไกเกอร์ แล มาร์สเดนได้ แต่ไม่สามารถอ ิบายเกี่ยวกับเสถียร าพของอ ตอม เนื่อง ากตามแนวคิด
ฟสิกส์แบบฉบับ ขณ อิเล็กตรอนเคลื่อนที่รอบนิวเคลียส มีความเร่งทาให้อิเล็กตรอนแ ่คลื่นแม่เหล็ก
ไฟฟา เกิดการสญเสียพลังงานอย่างต่อเนือ
่ ง ทาให้รศ
ั มีของวงโค รลดลงอย่างต่อเนือ
่ ง นอิเล็กตรอนถกดง
ดดเข้ า ไปรวมกั บ นิ ว เคลี ย ส ซ่ ง อ ตอมใน าว ปกติ ไม่ เ กิ ด เหตุ ก ารณ์ ดั ง กล่ า ว เพรา ใน าว ปกติ
อ ตอมไม่แ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟา โดยนักเรียน ได้ศกษาแนวคิดที่สามารถอ ิบายเสถียร าพของอ ตอม
ต่อไป

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
56 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

ครชี้แ งอีกปญหาหน่งที่แบบ าลองอ ตอมของรัทเทอร์ฟอร์ดไม่สามารถอ ิบายได้เกี่ยวกับการที่


แกสร้อนแ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟาออกมาบางความถี่เท่านั้น ากนั้นครทบทวนเกี่ยวกับสีของเปลวไฟเมื่อเ า
สารต่าง หรืออา สา ิต หรือให้นักเรียนดวีดิทัศน์ การเ าสารต่าง แล้วให้เปลวไฟที่มีสีต่างกัน เช่น
ลิเทียมคลอไรด์ให้เปลวไฟสีแดง โซเดียมคลอไรด์ให้เปลวไฟสีเหลือง หรือโพแทสเซียมคลอไรด์ให้เปลวไฟ
สีม่วง แล ตั้งคาถามว่าเหตุใดเมื่อเ าสารต่าง งได้เปลวไฟที่มีสีต่างกัน โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดง
ความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร ไม่ ค าดหวั ง คาตอบที่ ถ กต้ อ ง ครให้ นั ก เรี ย นสื บ ค้ น หรื อ ศกษา ากกิ กรรม
การศกษาสเปกตรัมของแกสร้อน ากนัน
้ นาเสนอ ล แล้วร่วมกันอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ การแ ค
่ ลืน
่ แม่เหล็ก
ไฟฟาของแกสร้อนที่แ ่ออกมามีเฉพา บางค่าความถี่ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

กิจกรรม 19.1 การศึกษาสเปกตรัมของแกสร้อน

จุดประสงค์
1. ศกษาสเปกตรัมทีเ่ กิด ากแกสร้อน

เวลาที่ใช้ 50 นาที

วัสดุและอุปกร ์
1. ชุดสเปกตรัม 1 เครื่อง
2. หลอดบรร ุแกสไ โดรเ น 1 หลอด
3. หลอดบรร ุแกสนีออน 1 หลอด
4. เกรตติง อย่างน้อย 5300 เส้นต่อเซนติเมตร 1 อัน
5. ไม้เมตร 1 อัน

แนะนำาก่อนทำากิจกรรม
1. ใช้หลอดบรร ุแกสอย่างร มัดร วัง เนื่อง ากเปรา บาง แตกง่ายแล มีราคาสง
2. เมื่อเปดสวิตช์ ห้ามแต ที่ขั้วหลอด เนื่อง ากในชุดสเปกตรัมใช้แหล่งกาเนิดไฟฟา
ความต่างศักย์สง งอา เกิดอันตรายได้
3. สเปกตรัมที่เกิด ากหลอดบรร ุแกสนั้นมีความสว่างน้อย งควรทากิ กรรมในที่ซ่งมี
ความสว่างน้อย หรือทาให้บริเวณทีต
่ งั้ ชุดสเปกตรัมมืด โดยใช้กร ดาษดาทีค
่ รเตรียมไว้ให้กน
ั้
ด้านหลังแล ด้านข้างของหลอด
4. หาร ย d ในหน่วยเซนติเมตร ทีใ่ ช้ในสมการ λ = dsinθ าก d = 1 / านวนช่องต่อเซนติเมตร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 57

ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม
เมือ
่ ใช้เกรตติงทีม
่ ี านวน 5300 ช่องต่อเซนติเมตร d = 1.886 × 10-4 เซนติเมตร แล

ั อุปกรณ์ให้เห็นแถบสว่างก่งกลางอย่ทร่ี ย 50 เซนติเมตร

เสนสเปกตรัม เสนสเปกตรัม
ทางขวา ทางซาย sin
แหลง สีของเสน ระยะเฉลีย่ D2 x2 x d sin
กําเนิด สเปกตรัม x (cm) (cm) D2 x2 (cm)
ตําแหนง ระยะ x ตําแหนง ระยะ x
(cm) (cm) (cm) (cm)

สีแดง 88.0 38.0 14.0 36.0 37.0 106.6 0.35 6.6×10-5

ไฮโดรเจน* สีฟา 77.0 27.0 23.0 27.0 27.0 103.6 0.26 4.9×10-5

สีนา้ํ เงิน 73.0 23.0 26.0 24.0 23.5 102.7 0.23 4.3×10-5

สีแดง 87.0 37.0 13.0 37.0 37.0 106.6 0.35 6.6×10-5

นีออน สีสม 85.5 35.5 14.5 35.5 35.5 106.1 0.33 6.2×10-5

สีเหลือง 83.5 33.5 16.0 34.0 33.75 105.5 0.32 6.0×10-5

หมายเหตุ แสงสีม่วงสาหรับแกสไ โดรเ นอา สังเกตเห็นได้ยาก

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
58 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม

□ สเปกตรัมจากหลอดบรรจุแก๊สมีลักษณะเหมือนกับสเปกตรัมจากหลอดไฟฟ้าทั่วไปหรือไม่
อย่างไร
แนวคำาตอบ สเปกตรัม ากหลอดบรร ุแกสแตกต่าง ากสเปกตรัม ากหลอดไฟฟาทั่วไป โดย
สเปกตรัม ากหลอดบรร ุแกสเปนสเปกตรัมแบบเส้ น แต่ ส เปกตรั ม หลอดไฟฟาทั่ ว ไปเปน
สเปกตรัมต่อเนื่อง
□ สเปกตรัมจากหลอดบรรจุแก๊สแต่ละชนิดมีลักษณะเหมือนและต่างกันอย่างไร
แนวคำาตอบ สเปกตรัมของแสง ากหลอดบรร ุแกสไ โดรเ น กับหลอดบรร ุแกสนีออน มี
ลักษณ เปนสเปกตรัมแบบเส้นเหมือนกัน แต่มลี ก
ั ษณ ต่างกัน คือ ปร กอบด้วย านวนเส้นแล
แสงสีต่างกัน เช่น แกสไ โดรเ น เห็นสีแดง ฟา แล น้าเงิน ส่วนแกสนีออน เห็นสีแดง ส้ม
แล เหลือง แล เส้นสเปกตรัมมีร ย ห่าง ากหลอดบรร ุแกสต่างกัน
□ สเปกตรัมจากหลอดบรรจุแก๊สไฮโดรเจน ประกอบด้วยแสงที่มีความยาวคลื่นเท่าใดบ้าง
แนวคำาตอบ สเปกตรัม ากหลอดบรร ุแกสไ โดรเ น ปร กอบด้วยแสงที่มีความยาวคลื่น
ปร มาณ 430, 490 แล 660 นาโนเมตร

อภิปรายหลังการทำากิจกรรม

ให้ตอบคาถามท้ายกิ กรรม ากนั้นครแล นักเรียนร่วมกันอ ิปราย ลการทากิ กรรม น


สรุปได้ว่า สเปกตรัมของแกสร้อนมีลักษณ เปนเส้น แยก ากกัน เรียกว่า สเปกตรัมแบบเส้น ซ่ง
แตกต่าง ากสเปกตรัมของแสง ากหลอดไฟฟาซ่งเปนสเปกตรัมแบบต่อเนื่อง โดยแกสแต่ล ชนิด
มีชุดสเปกตรัมแบบเส้นที่แตกต่างกัน ซ่งเปนสมบัติเฉพา ตัวของ าตุแต่ล ชนิด

ครนาอ ิปรายเกี่ยวกับแบบ าลองอ ตอมของโบร์โดยตั้งคาถามว่า เหตุใดอ ตอมของไ โดรเ น ง


ปล่อยพลังงานคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาเฉพา บางความยาวคลืน
่ หรือสเปกตรัมแบบเส้น โดยเปดโอกาสให้นกั เรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นครให้นักเรียนสืบค้นเพื่อหาคาตอบ
แล นาเสนอ ลการสืบค้น แล้วครนาอ ิปราย นได้ท ษ ีอ ตอมของโบร์แล สมการ 19.2 แล 19.3
ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครตั้งคาถามว่า ากท ษ ีอ ตอมของโบร์ อิเล็กตรอนโค รอย่รอบนิวเคลียสได้อย่างไร โดยเปด
โอกาสให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบทีถ่ กต้อง ากนัน
้ ครนาอ ป
ิ ราย นสรุปได้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 59

ว่ามีแรงไฟฟาร หว่างอิเล็กตรอนกับโปรตอนทีน
่ วิ เคลียส เปนแรงส่ศนย์กลาง แล ากท ษ อ
ี ตอมของโบร์
ทาให้สามารถหารัศมีวงโค รของอิเล็กตรอนได้ตามสมการ 19.4 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครตัง้ คาถามว่า ขณ อิเล็กตรอนเคลือ่ นทีร่ อบนิวเคลียส อิเล็กตรอนมีพลังงานอ ไรบ้าง โดยเปดโอกาส
ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า
อิเล็กตรอนมีพลังงาน ลน์ในการเคลื่อนที่ แล พลังงานศกย์ไฟฟาที่เกิด ากโปรตอนในนิวเคลียส แล หา
พลังงานรวมของอิเล็กตรอนในวงโค รแต่ล วงได้ตามสมการ 19.5 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครตั้งคาถามว่า ความร้เรื่องร ดับพลังงานของอิเล็กตรอนในอ ตอมไ โดรเ น สามารถอ ิบายการ
เกิดสเปกตรัมแบบเส้นของอ ตอมไ โดรเ นได้อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่าง
อิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า อ ตอมไ โดรเ นปล่อยพลังงานใน
รปคลื่นแม่เหล็กไฟฟา เมื่ออิเล็กตรอนในอ ตอมเปลี่ยนร ดับพลังงาน แล มีความยาวคลื่นสเปกตรัมของ
อ ตอม ตามสมการ 19.6 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครให้นก
ั เรียนศกษาตัวอย่าง 19.4 โดยมีครเปน แ้ น นา ากนัน
้ ตรว สอบความเข้าใ นักเรียนโดย
ให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ 19.1 ข้อ 2 - 3 แล ทาแบบ กหัด 19.1 ข้อ 3 - 6 ทั้งนี้อา
มีการเฉลยคาตอบแล อ ิปรายคาตอบร่วมกัน
ครอา ถามคาถามชวนคิดในหน้า 77 ให้นก
ั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกัน โดยครเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดง
ความคิดเห็นอย่างอิสร แล้วครนาอ ิปราย นได้แนวคาตอบดังนี้

แนวคำาตอบชวนคิด

สเปกตรัมแบบเส้นที่เกิด ากการเปลี่ยนร ดับพลังงาน าก n = 7 ไปยัง n = 2 ของอ ตอมไ โดรเ น


เปนแสงที่ตามองเห็นได้หรือไม่ เพรา เหตุใด
แนวคำาตอบ ไม่สามารถมองเห็นได้ เพรา เมื่อคานวณความยาวคลื่นแม่เหล็กไฟฟา ากสมการ
1 1 1
RH ได้
n2f ni2
1 1 1 1 1
RH 1.0974 107 m 1
0.25195 107 m 1

22 72 4 49
หรือ ความยาวคลื่นเท่ากับ λ = 396.90 × 10-9 m = 396.90 nm ซ่งอย่ในช่วงรังสีเหนือม่วง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
60 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

ประวัติการค้นพบรังสีเอก ์
ในปี พ.ศ. 2438 วินเ ล์ม คอนราด เรินต์เกน Wilhelm Konrad Roentgen นักฟสิกส์ชาว
เยอรมันได้พบรังสีชนิดหน่งโดยบังเอิญ ขณ ศกษาการนากร แสไฟฟา า่ นแกส gaseous discharge
ในหลอดรังสีแคโทด โดยขณ ที่เขาใช้กร ดาษดาคลุมหลอดรังสีแคโทด ในห้องทดลองที่มืดสนิท เขา
สังเกตว่าแร่แบเรียมแพลทิโนไซยาไนด์ที่วางอย่ห่าง ากหลอดรังสีแคโทดปร มาณหน่งเมตร เกิด
การเรืองแสงข้น ซ่งขณ นั้นนักวิทยาศาสตร์ทราบว่าแร่นี้ เรืองแสงได้เมื่อรับรังสีอัลตราไวโอเลต
เท่านั้น แต่ขณ ทดลองไม่มีแหล่งกาเนิดรังสีอัลตราไวโอเลต แล รังสีแคโทดก็ไม่สามารถเดินทาง
ากหลอดสุญญากาศไปยังก้อนแร่ได้ เพรา รังสีแคโทดท ลุ ่านอากาศได้ไกลเพียง 2 – 3 เซนติเมตร
เท่านั้น
เรินต์เกน งสรุปว่า สิ่งที่ทาให้ก้อนแร่ดังกล่าวเรืองแสง ต้องเปนรังสีบางอย่างที่ยังไม่มี ้ใด
ร้ ก
ั มาก่อน แล รังสีนต
้ี อ
้ งมา ากหลอดรังสีแคโทด แล มีอานา ท ลุ า่ นสง นสามารถ า่ นกร ดาษ
ดาไปยังก้อนแร่ได้ เรินต์เกน เรียกรังสีนี้ว่า รังสีเอก ์ X-rays การทดลองในเวลาต่อมาทาให้
ทราบว่า รังสีเอกซ์เปนคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก สามารถท ลุ ่านวัตถุที่ไม่หนา
นเกินไปแล มีความหนาแน่นน้อยได้ เช่น กร ดาษ ไม้ เนื้อเยื่อของคนแล สัตว์
การผลิตรังสีเอก ์
ในการ ลิตรังสีเอกซ์ ปกติใช้ลาอิเล็กตรอนที่มีพลังงานสงพุ่งชนอ ตอมของโลห หนักที่เปน
เปา ดังรป โดยขั้วไฟฟา A ถกทาให้ร้อนด้วยกร แสไฟฟา ากความต่างศักย์ V' อิเล็กตรอนที่หลุด
ากขั้วไฟฟา A ถกเร่งด้วยความต่างศักย์ V0 เข้าชนเปาโลห หนัก B ทาให้เกิดรังสีเอกซ์

อิเลกตรอน

ขั้วไฟฟา A เปาโลหะหนัก B

รังสีเอก ์
V
แหล่งก เนิดไฟฟา
ที่มีความต่างศักย์สูงV0

รูป หลอดรังสีเอก ์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 61

การเกิดรังสีเอกซ์มีสองกร บวนการดังนี้
ก. การเกิดรังสีเอก ์ต่อเนื่อง
อิ เ ล็ ก ตรอนพลั ง งานสงวิ่ ง เข้ า ใกล้ นิ ว เคลี ย สของโลห หนั ก ที่ เ ปนเปา แรงทางไฟฟา าก
นิวเคลียส ทาให้อเิ ล็กตรอนมีความเร็วเปลีย่ นไปอย่างรวดเร็ว พลังงานของอิเล็กตรอนทีล
่ ดลง
ปลดปล่อยออกมาในรปคลื่นแม่เหล็กไฟฟาในช่วงรังสีเอกซ์ ดังรป

อิเลกตรอน

แนวการเคลื่อนที่ของอิเลกตรอน

นิวเคลียส

รูป การเกิดรังสีเอก ์ต่อเนื่อง

เนื่อง ากในกร บวนการเกิดรังสีเอกซ์ เกิด ากการสญเสียพลังงานของอิเล็กตรอน านวน


มากพร้อมกัน ทาให้ได้รงั สีเอกซ์ทม
ี่ พ
ี ลังงานขนาดต่าง งทาให้ความยาวคลืน
่ มีคา่ ต่อเนือ
่ ง เรียกว่า
รังสีเอก ์ต่อเนื่อง continuous X-rays โดยรังสีเอกซ์ต่อเนื่องนี้มีพลังงานมากที่สุดเท่ากับพลัง
งาน ลน์สงสุดของอิเล็กตรอน ซ่งพลังงาน ลน์สงสุดของอิเล็กตรอนหาได้ ากการเร่งอิเล็กตรอน
ด้วยความต่างศักย์ V0 ความยาวคลื่นต่าสุดเปนไปตามก การอนุรักษ์พลังงาน คือ
Ek eV0
max
hf max
hc
min
hc
ดังนั้น min
eV0
เมื่อ c คือ อัตราเร็วของแสงในสุญญากาศ
λmin คือ ความยาวคลื่นต่าสุดของรังสีเอกซ์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
62 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

ความสัมพัน ์นี้แสดงว่า รังสีเอกซ์นอก าก ความเข้ม


10
มีความยาวคลื่นหลายค่าซ่งข้นกับพลังงาน ลน์ 50 kV
เปาโลหะทังสเตน
8
ของอิเล็กตรอนแล้ว ยังมีความยาวคลื่นต่าสุดซ่ง 40 kV

คานวณได้ ากสมการด้านบนด้วย แล ความสัมพัน ์ 6

ร หว่างความเข้มกับความยาวคลื่น เปนดังรป 4
30 kV

2
20 kV
0 ความยาวคลื่น (nm)
0 0.02 0.04 0.06 0.08 0.10

ข. การเกิดรังสีเอก ์เฉพาะตัว รูป กราฟแสดงความเข้มของรังสีเอก ์ต่อเนื่อง

ในกร บวนการนีอ้ เิ ล็กตรอนทีถ่ กเร่ง นมีพลังงานสง เข้าไปในอ ตอมแล ชนกับอิเล็กตรอน


ในวงโค รชัน
้ ในของอ ตอมทีเ่ ปนเปา นอิเล็กตรอนในวงโค รนัน
้ หลุดออกไป อิเล็กตรอนในวงโค ร
ชั้นถัดออกมาซ่งมีร ดับพลังงานสงกว่าวงโค รชั้นใน เข้าไปแทนที่พร้อมกับปลดปล่อยพลังงาน
ส่วนเกินทีม
่ ค
ี วามยาวคลืน
่ เฉพา ค่าออกมาในรปรังสีเอกซ์ ทานองเดียวกับการเกิดสเปกตรัมเส้นของ
อนุกรมบัลเมอร์หรืออนุกรมไลมานของอ ตอมไ โดรเ น ความยาวคลื่นของรังสีเอกซ์ที่เกิดข้น มี
ค่าเฉพา แล แตกต่างกันไปตามชนิดของโลห ที่ใช้ทาเปา เรียกกร บวนการเกิดรังสีเอกซ์วิ ีน้ีว่า
การเรื อ งรั ง สี เ อก X-ray fluorescence แล เรี ย กรั ง สี เ อกซนี้ ว่ า รั ง สี เ อก เฉพาะตั ว
characteristic X-rays รังสีเอกซ์เฉพา ตัวที่เกิดข้น มีพลังงานเท่ากับ ลต่างร หว่างร ดับ
พลังงานที่อิเล็กตรอนเปลี่ยนวงโค รคือ
E = Ei − Ef
หรือ hf = Ei − Ef
เมื่อ E คือ พลังงานของรังสีเอกซ์เฉพา ตัว
Ei คือ พลังงานของอิเล็กตรอนในวงโค รเดิม
Ef คือ พลังงานของอิเล็กตรอนในวงโค รใหม่
ความสัมพัน ์ร หว่างความเข้มกับความยาวคลื่นของรังสีเอกซ์ต่อเนื่องแล รังสีเอกซ์
เฉพา ตัวเปนดังรป

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 63

ความเข้ม
Ka

รังสีเอก ์เฉพาะตัว

K
b
30 kV
รังสีเอก ์ต่อเนื่อง
20 kV

10 kV

ความยาวคลื่น (nm)
0.05 0.1 0.15 0.2 0.25 0.3 0.35

รูป กราฟแสดงรังสีเอก ์เฉพาะตัว ้อนอยู่บนรังสีเอก ์ต่อเนื่อง

ถงแม้ มีการพบรังสีเอกซ์กอ
่ นทีพ
่ ลังค์ ตัง้ สมมติ านแล โบร์ เสนอท ษ อ
ี ตอม แต่ก็
ไม่มใี ครในขณ นัน
้ สามารถอ บ
ิ ายทีม
่ าของรังสีเอกซ์โดยใช้ท ษ ค
ี ลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาทีม
่ อ
ี ย่ นกร ทัง่
พลังค์ได้ตงั้ สมมติ านเกีย่ วกับควอนตัมของพลังงาน แล โบร์ได้เสนอท ษ อี ตอม งสามารถอ บ
ิ าย
ที่มาของรังสีเอกซ์ได้อย่างถกต้อง กล่าวคือ การเกิดรังสีเอก ์ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะค่าเปน
การยืนยันความถูกต้องของแนวคิดของโบร์ที่ว่า อะตอมมีระดับพลังงานเปนชั้น

ครตัง้ คาถามว่า ท ษ อ
ี ตอมของโบร์ใช้อ บ
ิ ายพ ติกรรมของอิเล็กตรอนในอ ตอมอืน
่ นอก าก
อ ตอมของไ โดรเ นได้ ห รื อ ไม่ อย่ า งไร โดยเปดโอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร
ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า ถงแม้ท ษ ีของอ ตอมของโบร์สามารถ
อ ิบายเสถียร าพของอ ตอมแล การเกิดสเปกตรัมแบบเส้นของอ ตอมไ โดรเ นได้ แต่ก็ยังไม่สามารถ
อ ิบายพ ติกรรมของอิเล็กตรอนในอ ตอมอื่น ได้อย่างถกต้อง
ครตั้งคาถามว่า มีแบบ าลองอ ตอมแบบใดซ่งเปนที่ยอมรับมากที่สุดในป ุบันที่สามารถอ ิบาย
พ ติกรรมของอิเล็กตรอนในอ ตอมได้สมบรณ์กว่าท ษ ีอ ตอมของโบร์ ให้นักเรียนสืบค้นเกี่ยวกับแบบ
าลองอ ตอมตามหลักกลศาสตร์ควอนตัม ากนั้นอ ิปราย นสรุปได้ว่า อิเล็กตรอนในอ ตอมไม่ได้โค ร
รอบนิวเคลียสโดยมีวงโค รที่แน่นอนตามท ษ ีอ ตอมของโบร์ แต่ ทราบได้เพียงความน่า เปนที่
พบอิเล็กตรอนทีม
่ รี ดับพลังงานหน่ง ว่า อย่ในบริเวณใด เปรียบเทียบได้กบ
ั ลักษณ ของกลุม
่ หมอก ตามรป
19.13 ในหนังสือเรียน ซ่งการอ บ
ิ ายฟสิกส์ของอนุ าคหรือร บบทีม
่ ข
ี นาดเล็กมาก ในร ดับอ ตอมหรือ
เล็กกว่า ได้ถกพั นาโดยนักฟสิกส์หลายท่าน นเกิดเปนวิชากลศาสตร์ควอนตัม ที่นักเรียนอา ได้ศกษาใน
ร ดับสงต่อไป

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
64 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับการแ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟาของวัตถุดา สมมติ านของพลังค์ แล ท ษ ีอ ตอม
ของโบร์ ากคาถามตรว สอบความเข้าใ 19.1 แล แบบ กหัด 19.1
2. ทักษ ด้านการสื่อสารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสื่อ ากการอ ิปรายร่วมกัน ทักษ การใช้
านวน ากการคานวณปริมาณต่าง เกี่ยวกับอ ตอมไ โดรเ นตามท ษ ีอ ตอมของโบร์
แล ทักษ ด้านความร่วมมือ การทางานเปนทีมแล าว ้นา ากการทากิ กรรมร่วมกัน
3. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความอยากร้อยากเห็น แล ความรอบคอบ ากการอ ิปรายแล การทา
กิ กรรมร่วมกัน

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 19.1

1. งอ ิบายเลขควอนตัมสาหรับอ ตอมไ โดรเ น แล ยกตัวอย่างปร กอบ


แนวคำาตอบ เลขควอนตัมสาหรับอ ตอมไ โดรเ นเปนตัวเลขที่บอกร ดับชั้นของวงโค รของ
อิลก
็ ตรอนหรือบอกร ดับพลังงานของอิเล้กตรอนในอ ตอม โดยมีคา่ บางค่าไม่ตอ
่ เนือ
่ งแล เปน
านวนเต็มบวก ตัวอย่างเช่น ตามท ษ อี ตอมของโบร์ สาหรับอ ตอมไ โดรเ น มีเลขควอนตัม
n เปน 1,2,3,... ซ่งหมายความว่า อิเล็กตรอนในอ ตอมไ โดรเ น อย่ได้เฉพา วงโค รแต่ล
ชั้นตามค่า n โดยที่ n = 1 อย่ในวงโค รที่ใกล้นิวเคลียสที่สุด
2. งอ ิบายความแตกต่างร หว่างแบบ าลองอ ตอมของทอมสันแล แบบ าลองอ ตอมของ
รัทเทอร์ฟอร์ด
แนวคำาตอบ แบบ าลองอ ตอมของทอมสัน เสนอว่า อ ตอมมีลกั ษณ เปนรปทรงกลม ปร กอบ
ด้ ว ยเนื้ อ อ ตอมที่ เ ปนปร ุ บ วกแล มี อิ เ ล็ ก ตรอนซ่ ง เปนปร ุ ล บอย่ ก ร ั ด กร ายอย่ า ง
สม่าเสมอในเนือ้ อ ตอม โดย านวนปร ไุ ฟฟาลบแล ปร ไุ ฟฟาบวกมีปริมาณเท่ากัน ส่วนแบบ
าลองอ ตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด เสนอว่า อ ตอมปร กอบด้วยปร ุไฟฟาบวกรวมกันที่ศนย์
กลาง เรียกว่า นิวเคลียส แล เปนที่รวมของมวลเกือบทั้งหมดของอ ตอมถัด ากนิวเคลียสออก
มาเปนว่าง โดยมีอิเล็กตรอนซ่งมีมวลน้อยมากเคลื่อนที่อย่รอบ นิวเคลียส
3. งอ ิบายความแตกต่างร หว่างสเปกตรัมแบบเส้นแล สเปกตรัมต่อเนื่อง พร้อมกับยกตัวอย่าง
ปราก การณ์ของการเกิดสเปกตรัมในแต่ล แบบ
แนวคำาตอบ สเปกตรัมแบบเส้นทีส
่ งั เกตได้ เปนเส้นสีตา่ ง ส่วนสเปกตรัมต่อเนือ
่ ง ปราก ไม่
เปนเส้น ที่สังเกตได้ เปนแถบสีต่าง เรียงต่อเนื่องกัน ากสีม่วงไปถงสีแดง หรือ ากสีแดง
ไปสีม่วง สเปกตรัมแบบเส้นเกิด ากอ ตอมของแกสปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาออกมาเปนบาง
ค่า เช่น ไ โดรเ นความดันต่าในหลอดบรร แุ กส สเปกตรัมต่อเนือ
่ งเกิด ากการแ ร่ งั สีความร้อน
ของวัตถุอณ
ุ ห มิสง เช่น ไส้หลอดของหลอดไฟฟาทีม
่ ก
ี ร แสไฟฟา า่ น หรือดวงอาทิตย์ เปนต้น

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 65

เฉลยแบบฝึกหัด 19.1

1. แสงที่มีความถี่ 5.0 × 1014 เ ิรตซ์ ควอนตัมพลังงานมีค่าเท่าใด


วิธีทำา คานวณควอนตัมของพลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา าก = hf
แทนค่า f ที่ได้
= hf
= (6.626 × 10-34 J s)(5.0 × 1014 Hz)
= 3.3 × 10-19 J
3.3 10 19 J
19
1.60 10 J/eV
= 2.1 eV
ตอบ 2.1 อิเล็กตรอนโวลต์

2. พลังงาน 1.00 × 10-3 ล ได้ ากแสงความยาวคลื่น 650 นาโนเมตร มี านวนควอนตัมพลังงาน


ของแสงเท่าใด
วิธีทำา หาความถี่ าก
c
f
แทนค่า ได้
3 108 m/s
f
650 10 9 m
= 4.615 × 1014 Hz
หา านวนควอนตัมพลังงาน n ของแสงได้ ากสมการ E = nhf
แทนค่า ได้ 1.00 × 10-3 J = n (6.626 × 10-34 J s)(4.615 × 1014 Hz)
n = 3.27 × 1015
ตอบ านวนควอนตัมพลังงานของแสงเท่ากับ 3.27 × 1015

3. งหาอัตราเร็วของอิเล็กตรอนในวงโค รที่ n
ke2
วิธีทำา คานวณอัตราเร็วของอิเล็กตรอน าก vn 2 แล rn = 0.529 × 10-10 m) n2
mrn
ke2
โดยแทนค่า vn 2 ke2
mrn
m 0.529 10 10 m n 2
ke2
10
m 0.529 10 m n2

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
66 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

k e
ดังนั้น vn
m 0.529 10 10
m n

(8.99 109 N m 2 C 2) (1.602 10 19


C)
31
(9.11 10 kg) 0.529 10 m 10
n
(1.366 1025 m s 1 C 1)(1.602 10 19 C)
n
2.19 106
m/s
n
2.19 106
ตอบ อัตราเร็วของอิเล็กตรอนที่วงโค ร n มีค่าเท่ากับ เมตรต่อวินาที
m/
n
4. ต้องใช้พลังงานอย่างน้อยที่สุดกี่อิเล็กตรอนโวลต์ในการทาให้อิเล็กตรอนในวงโค รที่สอง
n = 2 หลุดออก ากอ ตอมไ โดรเ นเปนอิเล็กตรอนอิสร
13.6 eV
วิธีทำา คานวณพลังงานของร ดับพลังงานที่ n = 2 าก En
13.6 eV n2
En
n2
= -3.40 eV
หากต้องการให้อเิ ล็กตรอนนีห
้ ลุดออก ากอ ตอมเปนอิเล็กตรอนอิสร ต้องใช้พลังงาน
อย่างน้อยที่สุดเท่ากับพลังงานยดเหนี่ยวในวงโค รนั้นซ่งเท่ากับ 3.40 อิเล็กตรอนโวลต์
ตอบ ต้องใช้พลังงานอย่างน้อยที่สุด 3.40 อิเล็กตรอนโวลต์

5. ร ดับพลังงาน 3 ร ดับของอ ตอมหน่ง แสดงดังรป

ถ้าอ ตอมอย่ในสถาน กร ตุ้น n = 2 สามารถปล่อยโฟตอนที่มีพลังงานเท่าใด


วิธีทำา อ ตอมอย่ในสถาน กร ตุ้น n = 2 เมื่อกลับส่สถาน พื้น n = 1 ปล่อยโฟตอนที่มี
พลังงาน ΔE = E − E1 = -3 eV − (-7 eV) = 4 eV ดังนั้นโฟตอนมีพลังงานเท่ากับ
4 อิเล็กตรอนโวลต์
ตอบ 4 อิเล็กตรอนโวลต์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 67

6. อิเล็กตรอนตัวหน่งโค รรอบนิวเคลียสของอ ตอมไ โดรเ น โดยมี n = 3 งหา


ก. รัศมีของวงโค ร
ข. ถ้าอิเล็กตรอนกลับส่สถาน พื้น ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่นเท่าใด
วิธีทำา ก. หารัศมีของวงโค ร าก rn = a n2
a0 คือรัศมีวงโค รของอิเล็กตรอนเมือ่ อ ตอมอย่ ณ สถาน พืน
้ เท่ากับ 0.529 × 10-10 m
r3 = (0.529 × 10-10 m)(32) = 4.78 × 10-10 m
นั่นคือเมื่อ n = 3 รัศมีวงโค รเท่ากับ 4.78 × 10-10 เมตร
ข. หาความยาวคลืน
่ ของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาทีถ
่ กปลดปล่อยเมือ
่ อิเล็กตรอนกลับส่สถาน
พื้น าก n = 3 การกลับส่สถาน พื้น มีได้ 2 แบบ ดังรป

n=3 n=3 l2
n=2 n=2
l1 l3

n=1 n=1

แบบที่หนึ่ง แบบที่สอง

แบบที่หน่ง าก n = 3 ไป n = 1 ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่น λ1
แบบที่สอง าก n = 3 ไป n = 2 ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่น λ2
แล n = 2 ไป n = 1 ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่น λ3
hc
าก E hf
hc
E
ในที่นี้ E คือพลังงานที่ถกปล่อย ากอ ตอม
ากรปแสดงร ดับพลังงานของไ โดรเ น พลังงานที่อ ตอมปลดปล่อย หาได้ดังนี้
าก n = 3 ไป n = 1 ปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีพลังงาน E3 − E1 โดย
19
21.76 10 J
En
n2 19 19
21.76 10 J 21.76 10 J
E3 E1
(3) 2 (1) 2
= 2.42 × 10-19 J − 21.76 × 10-19 J
= 19.34 × 10-19 J

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
68 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

(6.626 10 34 Js)(3.00 108 m/s)


ดังนั้น 1 1.03 10 7m 103 nm
19.34 10 19 J
าก n = 3 ไป n = 2 ปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีพลังงาน
E3 − E2 2.42 × 10-19 J − 5.44 × 10-19 J = 3.02 × 10-19 J
(6.626 10 34 Js)(3.00 108 m/s)
ดังนั้น 2 6.59 10 7m 659 nm
3.02 10 19 J
าก n = 2 ไป n = 1 ปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีพลังงาน
E2 − E1 5.43 × 10-19 J − 21.76 × 10-19 J = 16.33 × 10-19 J
(6.626 10 34 Js)(3.00 108 m/s)
ดังนั้น 3 1.22 10 7m 122 nm
16.33 10 19 J
ตอบ ก. รัศมีของวงโค รมีค่าเท่ากับ 4.8 × 10-10 m
ข. ความยาวคลื่นที่ปล่อยออกมามีค่าเท่ากับ 103 661 แล 122 นาโนโมตร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 69

19.2 ปราก การ ์โฟโตอิเล็กทริก


จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก
2. อ บ
ิ ายแล คานวณพลังงานโฟตอน พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน แล ฟงก์ชน
ั งาน
ของโลห

แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 19.2 โดยนาอ ป
ิ รายเกีย่ วกับปราก ต่าง ของแสงทีแ่ สดงว่าแสงเปนคลืน
่ ากนัน

ชีแ้ งว่า มีปราก การณ์เกีย่ วกับแสงทีไ่ ม่สามารถอ บ
ิ ายด้วยความร้แสงเปนคลืน
่ ตามแนวคิดฟสิกส์แบบฉบับ
ซ่งนักเรียน ได้ศกษาในหัวข้อต่อไปนี้

19.2.1 ควอนตัมของแสงและโฟตอน

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. ความถี่ขีดเริ่มของแสงที่ใช้สาหรับการทา 1. ความถี่ขีดเริ่มของแสงที่ใช้สาหรับการทา
ให้เกิดโฟโตอิเล็กตรอน ไม่ข้นอย่กับชนิด ให้เกิดโฟโตอิเล็กตรอน ข้นอย่กบ
ั ชนิดของ
ของโลห แต่ข้นกับความเข้มแสง โลห แต่ไม่ข้นกับความเข้มแสง

2. การเกิดโฟโตอิเล็กตรอนสาหรับโลห ชนิด 2. การเกิดโฟโตอิเล็กตรอนสาหรับโลห ชนิด


หน่ง ข้นอย่กบ
ั ความเข้มแสง แต่ไม่ขน
้ อย่ หน่ง ไม่ขน
้ อย่กบ
ั ความเข้มแสง แต่ขน
้ อย่
กับความถี่ของแสง กับความถี่ของแสง

3. สาหรับโลห ชนิดหน่ง พลังงาน ลน์สงสุด 3. สาหรับโลห ชนิดหน่ง พลังงาน ลน์สงสุด


ของโฟโตอิเล็กตรอนข้นอย่กบ
ั ความเข้มแสง ของโฟโตอิเล็กตรอนข้นอย่กบ
ั ความถีข่ องแสง

4. านวนโฟโตอิเล็กตรอนแปร น
ั ตรงกับความ 4. านวนโฟโตอิเล็กตรอนแปร น
ั ตรงกับความ
ถี่ของแสง เข้มแสง

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
สื่อเกี่ยวกับปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก เช่น http://physics.ipst.ac.th/?p=2023

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
70 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ของข้อที่ 4 หัวข้อ 19.2 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 19.2.1 โดยใช้รป 19.14 แล้วตัง้ คาถามว่า เมือ
่ ฉายแสงทีม
่ ค
ี วามถีเ่ หมา สมลงบน
วิ โลห เปนอย่างไร โดยเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบทีถ
่ กต้อง
ากนั้นครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า ตามรป 19.14 เปนปราก การณ์ที่แสงทาให้อิเล็กตรอนหลุด ากโลห
ซ่งเรียกว่า ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก แล อิเล็กตรอนทีห
่ ลุดออกมา เรียกว่า โฟโตอิเล็กตรอน โดย เกิด
โฟโตอิเล็กตรอนทันทีเมือ่ แสงมีความถีเ่ หมา สม แม้แสง มีความเข้มต่ามาก ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ซ่งครอา ใช้สื่ออื่น ถ้ามี ปร กอบการอ ิปราย
ากนั้นครตั้งคาถามว่า ากสมมติ านของพลังค์สามารถอ ิบายการแ ่ของวัตถุดา การแ ่ของ
แกสร้อน แล โครงสร้างของอ ตอมได้อย่างถกต้อง ในขณ ที่ฟสิกส์แบบฉบับไม่สามารถอ ิบายได้ นั้น
สมมติ านของพลังค์สามารถนามาอ บ
ิ ายการเกิดโฟโตอิเล็กทริกได้หรือ ไม่อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นกั เรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง ากนั้นครชี้แ งว่า การอ ิบายโฟโตอิเล็กทริก
ศกษาได้ในหัวข้อต่อไป

19.2.2 ฟงก์ชันงานและพลังจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. ความถีต
่ าสุ
่ ดของแสงทีใ่ ช้สาหรับทาให้เกิด 1. ความถีต
่ าสุ
่ ดของแสงทีใ่ ช้สาหรับทาให้เกิด
โฟโตอิเล็กตรอน ไม่ขน
้ อย่กบ
ั ชนิดของโลห โฟโตอิเล็กตรอน ข้นอย่กับชนิดของโลห

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ของข้อที่ 5 หัวข้อ 19.2 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 19.2.2 โดยให้นก
ั เรียนสืบค้นนักวิทยาศาสตร์ทา่ นใดสามารถอ บ
ิ ายปราก การณ์
โฟโตอิเล็กทริกแล ให้คาอ บ
ิ ายไว้อย่างไร ให้นก
ั เรียนนาเสนอ ลการสืบค้น แล้วครนาอ ป
ิ รายร่วมกัน โดย
ใช้รป 19.15 นสรุปได้วา่ ไอน์สไตน์ใช้สมมติ านควอนตัมพลังงานแสงของพลังค์ อ บ
ิ ายว่า แสงแสดงสมบัติ
เปนอนุ าค เรียกว่า ควอนตัมของแสง ซ่งต่อมาเรียกว่า โฟตอน โดยแต่ล โฟตอนมีพลังงานเท่ากับ hf
เมื่อโฟตอน 1 โฟตอน ตกกร ทบบน ิวโลห ถ่ายโอนพลังงานทั้งหมดให้กับอิเล็กตรอน 1 อิเล็กตรอน
ถ้าความถี่ของแสงที่ใช้มีค่าเท่ากับความถี่ขีดเริ่ม f0 ก็ เกิดโฟโตอิเล็กตรอนหลุดออก าก ิวโลห พอดี
แล พลังงานของโฟตอน เท่ากับฟงก์ชน
ั งานของโลห หากความถีข
่ องแสงทีใ่ ช้มค
ี า่ มากกว่าความถีข
่ ด
ี เริม

อิเล็กตรอนที่หลุด าก ิวโลห มีพลังงาน ลน์ตามสมการ 19.7 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 71

ากนัน
้ ครถามนักเรียนว่า ากสมการ 19.7b หากเปลีย่ นค่าความถีข
่ องแสงทีก
่ ร ทบโลห ใดโลห
หน่ง ได้กราฟความสัมพัน ์ร หว่างพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนกับความถี่แสงมีลักษณ
อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบทีถ่ กต้อง ากนัน
้ ครใช้รป
19.16 นานักเรียนอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ กราฟความสัมพัน ร์ หว่างพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
กับความถี่เปนกราฟเส้นตรงที่มีความชันเท่ากับค่าคงตัวของพลังค์ เมื่อเขียนกราฟของโลห ต่างชนิด
ความชันของกราฟ มีค่าเท่ากัน แต่ ได้ ุดตัดกราฟต่างกัน เปนความถี่ขีดเริ่มแล ฟงก์ชันงานของโลห
แต่ล ชนิด แล หาฟงก์ชันงานได้ตามสมการ 19.8 แล ให้นักเรียนศกษาฟงก์ชันงาน ตามรายล เอียด
ในหนังสือเรียน
ครอา ถามคาถามชวนคิดในหน้า 86 ให้นกั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกัน โดยเปดโอกาสให้นกั เรียนแสดงความ
คิดเห็นอย่างอิสร แล้วครนาอ ิปราย นได้แนวคาตอบดังนี้

แนวคำาตอบชวนคิด

เมื่อแสงกร ทบ ิวโลห 3 ชนิด ได้แก่ โซเดียม ทองแดง แล ทองคา ถ้าแสงที่ตกกร ทบมีพลังงาน


เท่ากับ 6 อิเล็กตรอนโวลต์ งเรียงลาดับพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนของโลห ทั้งสาม
ากน้อยไปมาก โดยใช้ข้อมล ากตาราง 19.2
แนวคำาตอบ ากสมการ Ek = hf -W
hf − W แล = hf ได้ Ek = hf −- W
W โดย เปน
max max

ควอนตัมของพลังงานของแสงหรือโฟตอน ซ่งกรณีนี้มีค่า = 6.0 eV แล W คือฟงก์ชันงาน


ของโลห แต่ล ชนิด ากตาราง 19.2 ฟงก์ชันงานของโซเดียม ทองแดง แล ทองคา มีค่า 2.4 4.8
แล 5.3 eV ตามลาดับ
พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน ากโซเดียม Ek = 6.0 - W− 2.4 eV = 3.6 eV
hf eV
max

พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน ากทองแดง Ek = 6.0 - W− 4.8 eV = 1.2 eV


hf eV
max

พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน ากทองคา Ek = 6.0 - W− 5.3 eV = 0.7 eV


hf eV
max

ดังนั้น พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนของโลห ทั้งสามเรียง ากน้อยไปมาก ได้แก่ ทองคา


ทองแดง แล โซเดียม ตามลาดับ

ครใช้รป 19.17 นาอ ิปราย นสรุปว่า การวัดพลังงาน ลน์ของโฟโตอิเล็กตรอน ทาได้โดยการต่อ


แหล่งกาเนิดไฟฟา P ทีป
่ รับความต่างศักย์ได้ ทาให้ศก
ั ย์ไฟฟาของขัว้ แอโนด เปนลบเมือ
่ เทียบกับขัว้ แคโทด
ดังรป 19.17 ในหนังสือเรียน โดยมีรายล เอียดดังนี้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
72 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

ในวง รนี้ A ทาหน้าที่ ลักอิเล็กตรอน เนื่อง ากบริเวณร หว่างแ ่นโลห ขนาน A แล C มีสนาม
ไฟฟาทาให้เกิดแรงไฟฟากร ทาต่ออิเล็กตรอนในทิศทาง ากขั้วแอโนดไปขั้วแคโทด ดังรป 19.1
+ E
-

โฟโตอิเลกตรอน
F

C A
รูป 19.1 ทิศทางของสนามไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการต่อแหล่งกำาเนิดไฟฟ้า P

ถ้าสนามไฟฟานี้มีค่ามากพอ อิเล็กตรอนที่หลุด ากโลห C เคลื่อนที่กลับก่อนที่ ไปถง A ดังรป


19.17 ในหนังสือเรียน ดังนั้นการที่อิเล็กตรอน เคลื่อนที่ไปถง C ได้หรือไม่ ข้นกับว่าอิเล็กตรอน
หลุดออก าก C ด้วยความเร็วต้นหรือพลังงาน ลน์เริ่มต้นมากเพียงใด
ากก การอนุรักษ์พลังงาน ถ้าพลังงาน ลน์ของอิเล็กตรอนที่ออก าก C มากกว่า ลต่างร หว่างพลัง
งานศักย์ไฟฟาของอิเล็กตรอนที่ A แล ที่ C แล้ว อิเล็กตรอน เคลื่อนที่ถง ได้ แต่ถ้าพลังงาน
ดังกล่าวน้อยกว่า อิเล็กตรอน เคลื่อนที่กลับก่อนที่ ไปถง โดยวิ ีนี้ สามารถวัดพลังงาน ลน์สง
สุดของอิเล็กตรอนได้ โดยการเพิ่มความต่างศักย์ นกร ทั่งไม่มีกร แสโฟโตอิเล็กตรอน แล ได้
กราฟดังรป 19.18 ในหนังสือเรียน ซ่งหมายความว่า อิเล็กตรอนตัวที่มีพลังงาน ลน์มากที่สุดเคลื่อนที่
เกือบถง A แต่ไม่ถง แล ในกรณีนี้พลังงาน ลน์สงสุดของอิเล็กตรอน เท่ากับ ลต่างร หว่างพลังงาน
ศักย์ไฟฟาพอดี นัน
่ คือ พลังงานศักย์ไฟฟาทีศ
่ กั ย์หยุดยัง้ มีคา่ เท่ากับพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
แล ศักย์ไฟฟาที่ต่อเข้ากับวง รในขณ นั้น คือ ศักย์หยุดยั้ง
ถ้าทาการทดลองโดยใช้แสงความถี่เท่าเดิม แต่เพิ่มความเข้มแสงที่ตกกร ทบ พบว่ากร แสไฟฟาใน
วง รเพิม
่ ข้น แต่ศก
ั ย์หยุดยัง้ มีคา่ เท่ากัน สามารถเขียนกราฟความสัมพัน ร์ หว่างกร แสไฟฟากับความ
ต่างศักย์ได้ดังรป 19.19 ในหนังสือเรียน

ครให้นกั เรียนศกษาตัวอย่าง 19.5 - 19.6 โดยมีครเปน แ้ น นา ากนัน


้ ตรว สอบความเข้าใ นักเรียน
โดยให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ 19.2 ข้อ 1 - 4 แล ทาแบบ กหัด 19.2 ข้อ 1 - 5 ทั้งนี้
อา มีการเฉลยคาตอบแล อ ิปรายคาตอบร่วมกัน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 73

ครอา ให้ความร้เพิม
่ เติมกับนักเรียนเกีย่ วกับปราก การณ์คอมปตันตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ซ่งปราก การณ์นี้ สามารถอ ิบายได้ด้วยการชนแบบยืดหยุ่นร หว่างอนุ าคของแสงหรือโฟตอนกับ
อิเล็กตรอนในอ ตอมของแกรไฟต์ ซ่งเปนการยืนยันว่า คลื่นแสงสามารถแสดงพ ติกรรมของอนุ าคได้
ครนาอ ป
ิ รายได้ขอ
้ สรุปว่า ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก สามารถอ บ
ิ ายโดยใช้สมมติ านของพลังค์
โดยควอนตัมพลังงานของแสง หรือโฟตอน มีพลังงานเท่ากับ hf ดังนัน
้ คลืน
่ แสง งสามารถแสดงพ ติกรรม
ของอนุ าคได้
แนวการวัดและประเมินผล
1. พลังงานของโฟตอน ฟงก์ชันงาน แล พลังงาน ลน์สงสุดของอิเล็กตรอนที่หลุด าก ิวโลห ใน
ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก ากคาถามตรว สอบความเข้าใ 19.2 แล แบบ กหัด 19.2
2. ทักษ ด้านการสื่อสารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสื่อ ากการอ ิปรายร่วมกันแล การนาเสนอ
ล ทักษ การใช้ านวน ากการคานวณปริมาณต่าง เกี่ยวกับปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก
3. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความร่วมมือ การทางานเปนทีมแล าว ้นา ากการอ ิปรายร่วมกัน

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 19.2

1. ค่าพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนมีค่าคงตัวหรือไม่ สาหรับโลห แต่ล ชนิด


แนวคำาตอบ ไม่ พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนมีคา่ ไม่คงตัวข้นอย่กบ
ั ความถีข
่ องโฟตอน
ที่ตกกร ทบโลห นั้น
2. ในการทดลองปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก ความเข้มของแสงทีต
่ กกร ทบ วิ โลห มี ลต่อความ
ต่างศักย์หยุดยั้งหรือไม่ งอ ิบาย
แนวคำาตอบ ความเข้มของแสงที่ฉายลงบนโลห นั้นไม่มี ลต่อความต่างศักย์หยุดยั้ง เนื่อง าก
ความต่างศักย์หยุดยัง้ นัน
้ ข้นกับพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนซ่งข้นกับความถีข
่ องแสง
แต่ความเข้มของแสงนั้น มี ลต่อ านวนโฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมา
3. ในช่วงการหาค่าความต่างศักย์หยุดยั้ง ขณ ที่ยังอ่านได้ค่ากร แสไฟฟา ากการเคลื่อนที่ของ
โฟโตอิเล็กตรอนในวง ร หากนาค่าความต่างศักย์ขณ นั้น มาหาค่าของพลังงาน ลน์ของโฟโต
อิเล็กตรอน เพื่อสามารถหาค่าฟงก์ชั่นงานที่เปนตัวแปรที่เกี่ยวข้องในสมการโฟโตอิเล็กทริก
ได้หรือไม่
hf−-WWค่าพลังงาน ลน์ในสมการ ต้องเปน
แนวคำาตอบ ากสมการโฟโตอิเล็กทริก Ek = hf
max

ค่าพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน ซ่งเปนสมการทีแ่ สดงว่าพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโต


อิเล็กตรอนที่หลุด าก ิวโลห เท่ากับพลังงานของแสงที่ตกกร ทบ ิวโลห ลบด้วยฟงก์ชันงาน
ของโลห ซ่งเปนพลังงานน้อยที่สุดที่ทาให้อิเล็กตรอนหลุดออก ากอ ตอม หากในวง ร กร แส

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
74 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

ไฟฟายังไม่เปนศนย์ ค่าความต่างศักย์ที่ได้ ยังไม่ใช่ค่าความต่างศักย์ไฟฟาหยุดยั้ง หากนามา


คานวณตามสมการ Ek -W
hfs เพื
= eV ่อนาไปแทนค่าลงในสมการโฟโตอิเล็กทริก ค่าพลังงานที่ได้
max

มีค่าน้อยกว่าพลังงาน ลน์สงสุด ทาให้การหาค่าฟงก์ชันงานเกิดข้อ ิดพลาด


4. ในการทดลองโฟโตอิเล็กทริก ท
้ ดลองฉายแสงทีม
่ ค
ี วามยาวคลืน
่ เฉพา ค่าหน่งไปตกกร ทบ วิ
โลห พบว่าอิเล็กตรอน านวนหน่งหลุดออก าก ิวโลห ถ้าต้องการให้อิเล็กตรอนที่หลุดออก
มา าก วิ โลห นีม
้ ี านวนเพิม
่ ข้น แล พลังงาน ลน์ของอิเล็กตรอนแต่ล อนุ าคเพิม
่ ข้น ท
้ ดลอง
ควรทาอย่างไร
แนวคำาตอบ ถ้าต้องการให้อิเล็กตรอนที่หลุดออกมา าก ิวโลห นี้มี านวนเพิ่มข้น ต้องฉาย
แสงที่มีความเข้มมากข้น แล ถ้าต้องการให้พลังงาน ลน์ของอิเล็กตรอนแต่ล อนุ าคเพิ่มข้น
ต้องฉายแสงที่มีความถี่มากข้น

เฉลยแบบฝึกหัด 19.2

1. ฉายแสงความถี่ค่าหน่งตกกร ทบ ิวโลห ทองแดงซ่งมีฟงก์ชันงาน 4.8 อิเล็กตรอนโวลต์ พบว่า


ความถี่นี้เปนความถี่ขีดเริ่มของโลห ทองแดง ถ้าฉายแสงนี้ไปบนโลห โซเดียม พบว่าความต่าง
ศักย์หยุดยั้งมีค่า 2.4 โวลต์ โลห โซเดียมมีฟงก์ชันงานเท่าใด
วิธีทาำ เมื่อฉายแสงความถี่นี้ตกร ทบ ิวโลห โซเดียม พบว่าความต่างศักย์หยุดยั้ง Vs มีค่า 2.4
โวลต์แสดงว่า พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนมีค่าเปน
hfs -=W2.4 eV
Ek = eV
max

เมื่อฉายแสงความถี่นี้ตกกร ทบ ิวโลห ทองแดง พบว่าความถี่นี้เปนความถี่ขีดเริ่มของ


โลห ทองแดง แสดงว่าควอนตัมของพลังงานของแสงนี้ = hf มีค่าเท่ากับฟงก์ชันงาน
ของโลห ทองแดง Wcu
= hf = Wcu
ดังนั้นสาหรับโลห โซเดียมซ่งมีฟงก์ชันงาน WNa มีความสัมพัน ์ดังสมการ
hf =- W
Ek = hf WNa
max

หรือเขียนได้เปน Ek = Whfcu -−W


WNa
max

W = Wcu − Ek hf - W
max

= 4.8 eV − 2.4 eV
= 2.4 eV

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 75

โลห โซเดียมมีฟงก์ชันงานเท่ากับ 2.4 อิเล็กตรอนโวลต์


ตอบ 2.4 อิเล็กตรอนโวลต์

2. ฉายแสงที่มีความยาวคลื่น 3.0 × 10-7 เมตร ตกบน ิวโพแทสเซียมที่มีฟงก์ชันงาน


2.3 อิเล็กตรอนโวลต์ โฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมามีพลังงาน ลน์สงสุดเท่าใด
c
วิธีทำา พลังงาน ลน์สงสุดหาได้ ากสมการ Ek = hf hf−-WWหรือ Ek h W
max max

ในที่นี้ h = 6.626 × 10-34 J s, c = 3.0 × 108 m/s


แล W = 2.3 eV 1.6 × 10-19 J/eV
= 3.68 × 10-19 J
3 108 m/s
ได้ Ek (6.626 10 J s) 34
7
(3.68 10 19 J)
max
3.0 10 m
hf - W× 10 J − 3.68 × 10-19 J
Ek = 6.626 -19
max

Ek = 2.95hf - ×W10-19 J
max

โฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมามีพลังงาน ลน์สงสุดเท่ากับ 2.95 × 10-19 ล


ตอบ 2.95 × 10-19 ล

3. ฉายแสงทีม
่ ค
ี วามถี่ 1.10 × 1015 เ ริ ตซ์ ไปที่ วิ โลห หน่ง ถ้าความถีข
่ ด
ี เริม
่ มีคา่ เปน 5.69 × 1014
เ ิรตซ์ งหา
ก. ฟงก์ชันงานของโลห นั้น
ข. พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
วิธีทำา ก. หาฟงก์ชันงาน ากสมการ W = hf0
ในที่นี้ h = 6.626 × 10-34 J s แล f0 = 5.69 × 1014 Hz
ได้ W = 6.626 × 10-34 J s 5.69 × 1014 Hz
W = 3.77 × 10-19 J
หรือ W = 2.36 eV
ฟงก์ชันงานของโลห นั้นมีค่าเท่ากับ 2.36 อิเล็กตรอนโวลต์
hf−-WW
ข. หาพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน ากสมการ Ek = hf
max

ในที่นี้ h = 6.626 × 10-34 J s, f = 1.10 × 1015 Hz แล W = 3.77 × 10-19 J


hf - W
ได้Ek = 6.626 × 10-19 J s 1.10 × 1015 Hz − 3.77 × 10-19 J
max

hf -×W10-19 J
Ek = 3.52
max

hf -eV
หรือ Ek = 2.20 W
max

พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนมีค่าเท่ากับ 2.20 อิเล็กตรอนโวลต์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
76 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

ตอบ ก. 3.77 × 10-19 ล หรือ 2.36 อิเล็กตรอนโวลต์


ข. 3.52 × 10-19 ล หรือ 2.20 อิเล็กตรอนโวลต์

4. แสงความยาวคลืน
่ 600 นาโนเมตร ตกกร ทบ วิ โพแทสซียมทีม
่ ฟ
ี งก์ชน
ั งาน 2.3 อิเล็กตรอนโวลต์
มีอเิ ล็กตรอนหลุดออกมาหรือไม่ ถ้ามี พลังงานของโฟโตอิเล็กตรอนเหล่านีม
้ ค
ี า่ เท่าใด แล ถ้าไม่มี
พลังงานทีต
่ อ
้ งเพิม
่ มีคา่ อย่างน้อยเท่าใด
วิธีทำา อิเล็กตรอน หลุด าก วิ โพแทสเซียมก็ตอ
่ เมือ
่ โฟตอนของแสงมีพลังงานมากกว่าฟงก์ชน

hc
งานความยาวคลื่น 600 นาโนเมตร มีพลังงาน E hf
(6.626 10 34 J s)(3 108 m/s)
ได้ E
600 10 9 m
E 3.315 10 19 J
3.315 10 19 J
1.6 10 19 J/eV
= 2.07 eV
พลังงานของโฟตอนที่ตกกร ทบ ิวโพแทสเซียมมีค่าน้อยกว่าฟงก์ชันงาน
2.30 eV − 2.07 eV = 0.23 eV งไม่มีอิเล็กตรอนหลุดออกมา แล พลังงานที่ต้อง
เพิ่มมีค่าอย่างน้อยเท่ากับ 0.17 อิเล็กตรอนโวลต์
ตอบ ไม่มี พลังงานที่ต้องเพิ่มมีค่าอย่างน้อย 0.17 อิเล็กตรอนโวลต์์

5. ในการทดลองปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก เมือ


่ ฉายแสงตกกร ทบ วิ โลห ชนิดหน่ง พบว่าความ
ต่างศักย์หยุดยัง้ ทีใ่ ช้เท่ากับ 3.7 โวลต์ พลังงาน ลน์สงสุดของอิเล็กตรอนมีคา่ เท่าใด ในหน่วย ล
แล ในหน่วยอิเล็กตรอนโวลต์
วิธีทำา ความต่างศักย์หยุดยั้ง Vs สัมพัน ์กับพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน Ek hf - W
max

ตามสมการ Ek = eV - W่นี้ e = 1.6 × 10


hfs ในที -19
J แล Vs = 3.7 V ได้
max

Ek = 1.6
hf ×-W
10-19 J 3.7 V
max

= 3.7 1.6 × 10-19 J


= 5.92 × 10-19 J
พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนมีค่าเท่ากับ 5.92 × 10-19 ล
ในหน่วยของอิเล็กตรอนโวลต์ โดย Vs = 3.7 V ได้ Ek = 3.7 -W
hf eV
max

พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนมีค่าเท่ากับ 3.7 อิเล็กตรอนโวลต์


ตอบ 5.92 × 10-19 ล แล 3.7 อิเล็กตรอนโวลต์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 77

19.3 ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายแล คานวณความยาวคลื่นเดอบรอยล์
2. อ ิบายทวิ าว ของคลื่นแล อนุ าค

19.3.1 สมมติ านของเดอบรอยล์

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. พ ติกรรมของอิเล็กตรอนในร ดับอ ตอม 1. พ ติกรรมของอิเล็กตรอนในร ดับอ ตอม


เปนไปตามฟสิกส์แบบฉบับ คือ มีเส้นทาง เปนไปตามฟสิกส์ควอนตัม คือ มีเส้นทางการ
การเคลือ
่ นที่ ทีส่ ามารถร บุได้ชด
ั เ น งไม่ เคลือ่ นที่ ทีไ่ ม่สามารถร บุได้ชดั เ น งแสดง
แสดงพ ติกรรมของคลื่น พ ติกรรมของคลืน
่ ได้

2. อิเล็กตรอนเปนอนุ าค ไม่แสดงสมบัตเิ ปน 2. อิเล็กตรอนนอก ากเปนอนุ าค ยังแสดง


คลื่น สมบัติเปนคลื่นได้

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ของข้อที่ 6 แล 7 หัวข้อ 19.3 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 19.3.1 โดยนาอ ป
ิ รายเกีย่ วกับปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก ซ่งแสดงว่า คลืน
่ แสง
แสดงพ ติกรรมของอนุ าคได้ ากนัน
้ ตัง้ คาถามว่า อนุ าคสามารถแสดงพ ติกรรมของคลืน
่ ได้หรือไม่ โดย
เปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครนาอ ป
ิ รายว่า นสรุปว่า เดอ เบรย นักฟสิกส์ชาว รัง่ เศสได้เสนอสมมติ านว่า อนุ าค เช่น อิเล็กตรอน
สามารถแสดงสมบัติของคลื่นได้ โดยความสัมพัน ์ร หว่างความยาวคลื่นของอนุ าคกับโมเมนตัม เปนไป
ตามสมการ 19.10 ในหนังสือเรียน สมมติ านดังกล่าวเรียกว่าสมมติ านของเดอบรอยล์
ครนาอ ิปรายเกี่ยวกับการเลี้ยวเบนของคลื่น ่านช่องแคบที่แสดงว่า พ ติกรรมการเลี้ยวเบนของ
คลื่น ่านช่องแคบสังเกตได้ง่าย เมื่อความยาวคลื่นมีค่ามากกว่าหรือใกล้เคียงกับขนาดความกว้างของช่อง
แคบ แล นาอ ิปรายเกี่ยวกับการทดลองของเดวิสสันแล เ อเมอร์ นสรุปว่า อิเล็กตรอนแสดงสมบัติของ
คลืน
่ โดยการเลีย้ วเบน า่ นช่องว่างร หว่างอ ตอมใน ลกนิกเกิล ปราก เปนปราก ลวดลายการแทรกสอด
ในลักษณ คล้ายกับลวดลายการแทรกสอดของคลื่นแสง ตามรป 19.20 ในหนังสือเรียน ซ่งความยาวคลื่น
เดอบรอยล์ของอิเล็กตรอนในการทดลองนี้ ปร มาณ 0.364 นาโนเมตร มีคา่ ใกล้เคียงกับร ย ห่างร หว่าง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
78 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

อ ตอมใน ลกนิกเกิล ปร มาณ 0.352 นาโนเมตร แล เปนการสนับสนุนสมมติ านของเดอบรอยล์


ครตัง้ คาถามว่า วัตถุทเี่ ราพบเห็นทัว่ ไปในชีวต
ิ ปร าวันสามารถแสดงสมบัตข
ิ องคลืน
่ ได้หรือไม่ แล
สามารถสังเกตได้หรือไม่ โดยเปดโอกาสให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบทีถ่ กต้อง
ากนั้นครให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 19.7-19.8 โดยมีครเปน ้แน นา แล้วครนาอ ิปรายเปรียบเทียบ ล
การคานวณที่ได้ ากทั้งสองตัวอย่าง เพื่อให้นักเรียนเห็นความแตกต่างของความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของ
อนุ าคในร ดับอ ตอม เช่น อิเล็กตรอน กับความยาวคลืน
่ เดอบรอยล์ของวัตถุทว่ั ไปทีพ
่ บเห็นในชีวต
ิ ปร า
วัน นได้ข้อสรุปตามข้อสังเกตในหนังสือเรียน
ครอา ถามคาถามชวนคิดในหน้า 96 ให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดง
ความคิดเห็นอย่างอิสร แล้วครนาอ ิปราย นได้แนวคาตอบดังนี้

แนวคำาตอบชวนคิด

งเปรียบเทียบความยาวคลื่นเดอบรอยล์ร หว่างอิเล็กตรอน me = 9.11 × 10-31 kg แล โปรตอน


mp = 1.67 × 10-27 kg ในกรณีต่อไปนี้
ก. อัตราเร็วเท่ากัน
ข. โมเมนตัมเท่ากัน
ค. พลังงาน ลน์เท่ากัน
แนวคำาตอบ ก. เมื่ออนุ าคทั้งสองมีอัตราเร็วเท่ากัน แต่อิเล็กตรอนมีมวลน้อยกว่าดังนั้นอิเล็กตรอน
h
มีโมเมนตัมน้อยกว่าโปรตอน ากสมการ ได้ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของอิเล็กตรอน
p
มีค่ามากกว่าความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของโปรตอน
h
ข. เมื่ออนุ าคทั้งสองมีโมเมนตัมเท่ากัน ากสมการ ได้ความยาวคลื่น
p
เดอบรอยล์ของอิเล็กตรอนมีค่าเท่ากับความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของโปรตอน 2
1 2 1 mv 1 p2
ค. เมื่ออนุ าคทั้งสองมีพลังงาน ลน์เท่ากัน าก Ek mv แล p = mv ได้
2 2 2 m 2 m
1 2 1 mv 1 p2
Ek mv แสดงว่าอิเล็กตรอนซ่งมีมวลน้อยกว่า มีโมเมนตัมน้อย
2 2 m 2 m
h
กว่าโปรตอน ากสมการ ได้ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของอิเล็กตรอนมีค่ามากกว่า
p
ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของโปรตอน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 79

ครตรว สอบความเข้าใ นักเรียนโดยให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ 19.3 ข้อ 1 - 4


แล ทาแบบ กหัด 19.3 ข้อ 1 - 6 ทั้งนี้อา มีการเฉลยคาตอบแล อ ิปรายคาตอบร่วมกัน
ครแล นักเรียนอ ป
ิ รายร่วมกัน นสรุปว่า อนุ าคสามารถแสดงสมบัตข
ิ องคลืน
่ ในทางกลับกัน คลืน

ก็สามารถแสดงสมบัติของอนุ าคได้ สมบัติดังกล่าวเรียกว่า ทวิ าว ของคลื่นแล อนุ าค ซ่งเปนราก าน
ในการพั นาฟสิกส์ควอนตัม เพื่ออ ิบายพ ติกรรมของอนุ าคในร ดับอ ตอมหรือเล็กกว่าอ ตอม

19.3.2 กลศาสตร์ควอนตัม และการนำาไปประยุกต์ใช้

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หัวข้อ 19.3.2 โดยนาอ ิปรายเกี่ยวกับความร้ที่ได้ศกษา ่านมาในบทที่ 19 ากนั้นให้
นักเรียนสืบค้นปร วัติการค้นพบการทดลองแล แนวคิดใหม่ในการพั นากลศาสตร์ควอนตัม ครแล
นักเรียนร่วมกันอ ิปราย นได้ข้อสรุปตามแนวทางในหนังสือเรียน
ครให้นักเรียนศกษาการปร ยุกต์ความร้ด้านกลศาสตร์ควอนตัมในการพั นาเทคโนโลยีตามราย
ล เอียดในหนังสือเรียน ากนั้นครให้นักเรียนสืบคืนการปร ยุกต์ใช้ปร โยชน์ ากความร้ด้านกลศาสตร์
ควอนตัมในด้านต่าง ที่นอกเหนือ ากที่ได้ศีกษาในหนังสือเรียน มาสรุปเปนรายงานหรือนามาอ ิปราย
ร่วมกัน
ครตรว สอบความเข้าใ นักเรียนโดยให้นก
ั เรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ 19.3 ข้อ 5 ทัง้ นี้
อา มีการเฉลยคาตอบแล อ ิปรายคาตอบร่วมกัน

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับสมมติ านของเดอบรอยล์ ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ แล ทวิ าว ของคลื่น
แล อนุ าค ากคาถามตรว สอบความเข้าใ 19.3 แล แบบ กหัด 19.3
2. ทักษ การใช้ านวน ากการคานวณปริมาณต่าง เกีย่ วกับความยาวคลืน
่ เดอบรอยล์ ทักษ ด้าน
การสือ่ สารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสือ่ ากการอ ป
ิ รายร่วมกันแล การนาเสนอ ล แล ทักษ
ด้านความร่วมมือ การทางานเปนทีมแล าว ้นา ากการอ ิปรายร่วมกัน
3. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความอยากร้อยากเห็น ากการอ ิปรายร่วมกัน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
80 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 19.3

1. ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ข้นอย่กับปริมาณใด
แนวคำาตอบ โมเมนตัมเชิงเส้น
2. วัตถุขนาดใหญ่ที่เราพบเห็นในชีวิตปร าวัน แสดงสมบัติคลื่นให้สังเกตได้หรือไม่ อ ิบาย
แนวคำ า ตอบ วั ต ถุ ข นาดใหญ่ ข ณ เคลื่ อ นที่ ส ามารถปร พ ติ ตั ว เสมื อ นเปนคลื่ น ได้ ตาม
สมมติ านของเดอบรอยล์ แต่คลื่นที่เกิดข้นสังเกตได้ยาก เพรา มีความยาวคลื่นเดอบรอยล์
น้อยมาก นไม่อา วัดได้ด้วยเครื่องมือใด ที่มนุษย์สร้างข้นขณ นี้
3. ตามสมมติ านของเดอบรอยล์ อิเล็กตรอนเปนอนุ าคทีม
่ ป
ี ร แุ ล กาลังเคลือ
่ นทีส่ ามารถแสดง
สมบัติเปนคลื่นได้ กรณีนิวตรอนซ่งเปนอนุ าคที่ไม่มีปร ุแล กาลังเคลื่อนที่ แสดงสมบัติ
เปนคลื่นได้หรือไม่ เพรา เหตุใด
แนวคำาตอบ นิวตรอนที่กาลังเคลื่อนที่สามารถแสดงสมบัติเปนคลื่นได้ แล แสดงปราก การณ์
การเลี้ยวเบนแล การแทรกสอดได้
4. อิเล็กตรอนสามารถแสดงสมบัติความเปนคลื่นหรืออนุ าคได้พร้อมกัน หรือไม่ อ ิบาย
แนวคำาตอบ อิเล็กตรอนไม่สามารถแสดงสมบัตค
ิ วามเปนคลืน
่ หรืออนุ าคได้พร้อม กัน เนือ
่ ง
ากปราก การณ์ต่าง ในอ ตอม อิเล็กตรอน แสดงสมบัติท่เี ด่นชัดว่าเปนคลื่นหรืออนุ าค
เพียงอย่างใดอย่างหน่งเท่านัน
้ ซ่งเราสามารถบอกได้วา่ อิเล็กตรอนเปนคลืน
่ หรืออนุ าคเมือ
่ มีการ
ทดลองให้อเิ ล็กตรอนแสดงพ ติกรรมออกมาเท่านัน

5. งยกตัวอย่างการปร ยุกต์ความร้ทางกลศาสตร์ควอนตัมในการนามาใช้ปร โยชน์ 2 ข้อ
แนวคำาตอบ การปร ดิษ ์ตัวนายวดยิ่ง superconductor ซ่งเปนสารที่ มีส าพต้านทาน
ไฟฟาเปนศนย์ เ มื่อ มี อุณ ห มิ ต่ากว่ า ค่ า หน่ ง โดยใช้ ก ลศาสตร์ ค วอนตั ม ในการอ ิ บ าย แล
เทคโนโลยีสารสนเทศควอนตัม Quantum Information Technology เปนการนาสมบัตเิ ชิง
ควอนตัมของอนุ าคตามหลักกลศาสตร์ควอนตัมมาปร ยุกต์เข้ากับการพั นาการใช้งานทางด้าน
เทคโนโลยีสารสนเทศให้มค
ี วามรวดเร็วแล ปลอด ยั มากยิง่ ข้น

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 81

เฉลยแบบฝึกหัด 19.3

1. โปรตอนทีม
่ ม
ี วล 1.67 × 10-27 กิโลกรัม แล กาลังเคลือ่ นทีด
่ ว้ ยอัตราเร็ว 5.00 × 107 เมตรต่อวินาที
มีความยาวคลื่นเดอบรอยล์เท่าใด
h
วิธีทำา ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของอนุ าค หาได้ ากความสัมพัน ์ แล p = mv
h p
ได้ โดย h = 6.626 × 10-34 J s , m = 1.67 × 10-27 kg
mv
แล v = 5.00 × 107 m/s
6.626 10 34 Js
ดังนั้น
(1.67 10 27 kg)(5.00 10 7 m/s)
λ = 7.94 × 10-15 m
ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของโปรตอนเท่ากับ 7.94 × 10-15 เมตร
ตอบ 7.94 × 10-15 เมตร

2. รถแข่งทีม
่ ม
ี วล รวม ข
้ บ
ั 650 กิโลกรัม ขณ กาลังเคลือ
่ นทีด
่ ว้ ยอัตราเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง
มีความยาวคลื่นเดอบรอยล์เท่าใด
h
วิธีทำา ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของอนุ าค หาได้ ากความสัมพัน ์ แล p = mv
h p
ได้ โดย h = 6.626 × 10-34 J s แล m = 650 kg
mv
แล v = 300 km/hr = 83.3 m/s
6.626 10 34 Js
ดังนั้น
(650 kg) 83.3m/s
λ = 1.22 × 10-38 m
ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของรถแข่งเท่ากับ 1.22 × 10-38 เมตร
ตอบ 1.22 × 10-38 เมตร

3. ยุงกาลังบินด้วยอัตราเร็ว 0.05 เมตรต่อวินาที ถ้าความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของยุงมีค่าเท่ากับ


2.60 × 10-27 เมตร ยุงตัวนีม
้ ม
ี วลเท่าใด ตอบในหน่วยมิลลิกรัม
h
วิธีทำา ความยาวคลืน
่ เดอบรอยล์ของอนุ าค หาได้ ากความสัมพัน ์ แล p = mv
p
h
ได้ m โดย λ = 2.60 × 10-27 m แล h = 6.626 × 10-34 J s
v
แล v = 0.05 m/s
6.626 10 34 Js
ดังนัน
้ m
2.60 10 27 m 0.05m

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
82 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

= 5.1 × 10-6 kg
m = 5.1 mg
ยุงตัวนีม
้ ม
ี วล 5.1 มิลลิกรัม
ตอบ 5.1 มิลลิกรัม

4. ลกบอลลกหน่งมีมวล 0.40 กิโลกรัม กาลังเคลือ


่ นทีด
่ ว้ ยอัตราเร็ว 10 เมตรต่อวินาที
ก. งหาความยาวคลืน
่ เดอบรอยล์
ข. ความยาวคลืน ่ เดอบรอยล์ของลกบอลนี้ วัดในห้องทดลองได้หรือไม่ เพรา เหตุใด
h
วิธีทำา ก. ากความยาวคลืน ่ เดอบรอยล์
mv
ในทีน
่ ้ี ลกบอลมีมวล m = 0.40 kg แล v = 10 m/s
6.626 10 34 Js
แทนค่า ได้ 1.7 10 34
m
(0.40 kg )(10 m / s)
ตอบ ก. ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของลกบอลเท่ากับ 1.7 × 10-34 เมตร
ข. ไม่สามารถวัดได้ เนื่อง ากยังไม่มีเครื่องมือใด ที่สามารถตรว สอบคลื่นที่มีความ
ยาวคลื่นสั้นขนาดนี้ได้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 83

เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 19

คำาถาม

1. ากแนวคิดการแ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟาของวัตถุดา นักเรียนไม่สามารถมองเห็นสิ่งของต่าง


ในห้องเรียนที่ ปดมิดชิด แล ไม่มีแสงสว่าง เพรา สิ่ ง ของ ายในห้ อ งเรี ย นนั้ น ไม่ มี ก ารแ ่
คลื่นแม่เหล็กไฟฟา ข้อความดังกล่าวถกต้องหรือไม่ เพรา เหตุใด
แนวคำาตอบ ไม่ถกต้อง เพรา วัตถุอุณห มิสงกว่า 0 เคลวิน มีการแ ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟา
เสมอแต่ที่ไม่สามารถมองเห็น อา เพรา คลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่แ ่ออกมามีความเข้มน้อยเกินไป
หรือมีความถี่ที่ไม่อย่ในช่วงที่ตามองเห็น

2. ากการทดลองปล่อยอนุ าคแอลฟาซ่งมีปร ุบวกไปยังแ ่นทองคาบาง พบว่าอนุ าคแอลฟา


บางส่วนเบี่ยงเบนไป ากแนวเดิม แล บางส่วนส ท้อนกลับออกมา เพรา เหตุใด
แนวคำาตอบ เพรา อนุ าคแอลฟาได้รบ
ั แรง ลัก ากอนุ าคทีม
่ ป
ี ร บ
ุ วกทีร่ วมกันเปนนิวเคลียส
โดยอนุ าคแอลฟาทีเ่ คลือ
่ นทีเ่ ข้าใกล้หรือเฉียดนิวเคลียส ได้รบ
ั แรง ลักทาให้เบีย่ งเบนไป าก
แนวเดิม ส่วนอนุ าคแอลฟาเคลื่อนที่เข้าหานิ ว เคลี ย สโดยตรง ได้ รั บ แรง ลั ก ที่ มี ค่ า มาก
ทาให้ส ท้อนกลับออกมา

3. สมมติให้ร ดับพลังงานต่าง ของอ ตอม เปนดังรป

เลขควอนตัม n
n=4
n=3
n=2

n=1
รูป ประกอบคำาถามข้อ 2

งบอก านวนเส้นสเปกตรัมทัง้ หมดทีอ


่ ตอมนีส
้ ามารถเปล่งออกมาได้ เมือ
่ อ ตอมอย่ในสถาน
ถกกร ตุ้น

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
84 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวคำาตอบ 6 เส้น โดยอ ตอมทีถ


่ กกร ตุน
้ สามารถปลดปล่อยพลังงานในรปของคลืน
่ แม่เหล็ก
ไฟฟา ที่มีความถี่แตกต่างกัน แล้วลดพลังงานลงส่ร ดับพลังงานที่มีค่าน้อยกว่า าก n > 1

ไปยัง n = 1 ดังรป
เลขควอนตัม n
n=4
n=3
n=2

n=1

4. แสงที่ มี ค วามถี่ แ ล ความเข้ ม ค่ า หน่ ง ตกกร ทบ ิ ว โลห ชนิ ด หน่ ง เกิ ด โฟโตอิ เ ล็ ก ตรอน
หลุดออกมา เมื่อเพิ่มความถี่ของแสง ข้อใดต่อไปนี้ถกต้อง เพรา เหตุใด
ก. านวนโฟโตอิเล็กตรอนเพิ่มข้น
ข. พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนเพิ่มข้น
ค. ทั้ง านวนแล พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนเพิ่มข้น
แนวคำาตอบ ข้อ ข. ถกต้อง เพรา พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนสาหรับ ิวโลห ชนิด
หน่ง ข้นกับความถี่ของแสงที่ตกกร ทบตามสมการ Ek hf - W
max

5. แสงที่ มี ค วามถี่ แ ล ความเข้ ม ค่ า หน่ ง ตกกร ทบ ิ ว โลห ชนิ ด หน่ ง เกิ ด โฟโตอิ เ ล็ ก ตรอน
หลุดออกมา เมื่อเพิ่มความเข้มของแสง ข้อใดต่อไปนี้ถกต้อง เพรา เหตุใด
ก. านวนโฟโตอิเล็กตรอนเพิ่มข้น
ข. พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนเพิ่มข้น
ค. ทั้ง านวนแล พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนเพิ่มข้น
แนวคำาตอบ ข้อ ก. ถกต้อง เพรา านวนโฟโตอิเล็กตรอนข้นอย่กับความเข้มแสงที่ตกกร ทบ

6. แสงความถี่ค่าหน่งตกกร ทบ ิวโลห ต่างชนิดกัน ให้โฟโตอิเล็กตรอนที่มีพลังงาน ลน์สงสุด


เท่ากันหรือไม่ เหตุใด งเปนเช่นนั้น
แนวคำาตอบ ให้โฟโตอิเล็กตรอนที่มีพลังงาน ลน์สงสุดไม่เท่ากัน เพรา โลห ต่างชนิดกัน
มีคา่ ความถีข
่ ด
ี เริม
่ ทีต
่ า่ งกัน ฟงก์ชน
ั งาน งมีคา่ ต่างกัน ตามสมการ W = hf0 ทาให้พลังงาน ลน์
สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน ตามสมการ Ek hf - W ต่างกัน
max

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 85

7. ในการทดลองปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก ความเข้มของแสงทีต


่ กกร ทบ วิ โลห มี ลต่อความ
ต่างศักย์หยุดยั้งหรือไม่ อ ิบาย
แนวคำาตอบ ความเข้มของแสงที่ฉายลงบนโลห นั้นไม่มี ลต่อความต่างศักย์หยุดยั้ง เนื่อง าก
ความต่ า งศั ก ย์ ห ยุ ด ยั้ ง V 0 นั้ น ข้ น กั บ พลั ง งาน ลน์ ส งสุ ด ของโฟโตอิ เ ล็ ก ตรอน ตามสมการ
Ek = eV0 ซ่งข้นกับความถี่ของแสง ตามสมการ Ek hf - W แต่ความเข้มของแสงนั้น
max max

มี ลต่อ านวนโฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมา

8. โฟโตอิเล็กตรอน สมการโฟโตอิเล็กทริกแล ฟงก์ชน


ั งาน มีความสัมพัน ก์ น
ั อย่างไรในปราก การณ์
โฟโตอิเล็กทริก งอ ิบาย
แนวคำาตอบ ในปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก เมื่อมีแสงที่มีความถี่เหมา สมตกกร ทบ ิวโลห
มีอิเล็กตรอนหลุดออก าก ิวโลห อิเล็กตรอนที่หลุดออกมา เรียกว่า โฟโตอิเล็กตรอน
โดยพลังงาน ลน์สงสุด Ek ของโฟโตอิเล็กตรอนข้นอย่กับความถี่ f ของแสงที่ตกกร ทบแล
max

ฟงก์ชันงาน W ของโลห ตามสมการ Ek hf - W เรียกว่า สมการโฟโตอิเล็กทริก ซ่ง


max

เปนสมการทีแ่ สดงว่าพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนทีห


่ ลุด าก วิ โลห เท่ากับพลังงาน
ของแสงที่ตกกร ทบ ิวโลห ลบด้วยฟงก์ชันงานของโลห ซ่งเปนพลังงานน้อยที่สุดที่ทาให้
อิเล็กตรอนหลุดออก ากอ ตอม แล เปนค่าเดียวกับพลังงานน้อยที่สุดที่ยดอิเล็กตรอนให้อย่ใน
อ ตอม

9. อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ในสนามไฟฟา ดังรป
ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของอิเล็กตรอนมี
การเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร
รูป ประกอบคำาถามข้อ 9
แนวคำาตอบ มีการเปลี่ยนแปลง โดยความยาวคลื่นเดอบรอยล์ มีค่ามากข้น เพรา อัตราเร็ว
ของอิเล็กตรอนมีคา่ ลดลง ในขณ ทีอ่ เิ ล็กตรอนยังคงเคลือ่ นทีใ่ นทิศดังรป โดยมวลของอิเล็กตรอน
ไม่เปลีย่ นแปลง ดังนัน
้ ความยาวคลืน
่ เดอบรอยล์ของอิเล็กตรอนนี้ งมีการเปลีย่ นแปลง โดยมีคา่
h
มากข้น ตามสมการ
mv

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
86 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

ปญหา

1. ถ้าควอนตัมของพลังงานของแสงทีต
่ ามองเห็นได้มพ
ี ลังงาน 3.62 × 10-19 ล แสงทีเ่ ห็นนีม
้ สี อ
ี ไร
วิธีทำา ควอนตัมของพลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟาหรือโฟตอน มีควอนตัมของพลังงานตาม
hc
สมการ hf
hc
ในที่นี้ = hf
3.62 × 10-19 J , h = 6.626 × 10-34 Js แล c = 3 × 108 m/s
34
(6.626 10 J s)(3 108 m/s)
ได้ 3.62 10 19
J
549 10 9 m
549 nm
ความยาวคลื่นนี้อย่ในช่วงของแสงสีเขียว
ตอบ แสงสีเขียว

2. อ ตอมหน่ง มีร ดับพลังงาน ดังรป

-2.00 eV E3

-4.00 eV E2
-5.00 eV E1
รูป ประกอบปญหาข้อ 2
เมื่อถกกร ตุ้นแล้ว ปลดปล่อยพลังงานออกมา ทาให้เกิดสเปกตรัมแบบเส้น านวน 3 เส้น
งร บุค่าความยาวคลื่นของสเปกตรัมทั้งสามเส้น
วิธีทำา ากแ น าพร ดับพลังงานของอ ตอม อ ตอมที่ถกกร ตุ้น สามารถปล่อยโฟตอนที่มี
พลังงาน 1.00 อิเล็กตรอนโวลต์ 2.00 อิเล็กตรอนโวลต์ แล 3.00 อิเล็กตรอนโวลต์ ซ่ง
เปล่งออกมาเมื่ออิเล็กตรอนในอ ตอมกลับส่สถาน พื้น ทาให้เกิดเส้นสเปกตรัมทั้งหมด
3 เส้น ดังรป

-2.00 eV E3

-4.00 eV E2
-5.00 eV E1

รูป ประกอบวิธีทำาสำาหรับปญหาข้อ 2

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 87

hc
ความยาวคลื่นสเปกตรัมหาได้ ากสมการ hf
โฟตอนที่มีพลังงาน 1.00 อิเล็กตรอนโวลต์ เมื่อคานวณความยาวคลื่น
34
(6.626 10 J s)(3 108 m/s)
ได้ 1.00 1.6 10 19
J
1.24 10 6 m
1.24 μm
โฟตอนที่มีพลังงาน 2.00 อิเล็กตรอนโวลต์ เมื่อคานวณความยาวคลื่น
(6.626 10 34 J s)(3 108 m/s)
ได้ 2.00 1.6 10 19 J
621 10 9 m
621 nm
โฟตอนที่มีพลังงาน 3.00 อิเล็กตรอนโวลต์ เมื่อคานวณความยาวคลื่น
(6.626 10 34 J s)(3 108 m/s)
ได้ 3.00 1.6 10 19 J
414 10 9 m
414 nm
ตอบ ความยาวคลื่นของสเปกตรัมทั้งสามเส้นมีค่า 1.24 ไมโครเมตร 621 นาโนเมตร แล
414 นาโนเมตร ตามลาดับ

3. ถ้าอิเล็กตรอนในแบบ าลองอ ตอมไ โดรเ นของโบร์อย่หา่ ง ากนิวเคลียสเปนร ย 25 เท่าของ


รัศมีโบร์ แสดงว่าอิเล็กตรอนนี้อย่ที่ร ดับพลังงานเท่าใด
วิธีทาำ ในแบบ าลองอ ตอมไ โดรเ นของโบร์ รัศมีวงโค รต่าง มีค่าตามสมการ rn = a0 n2
เมือ
่ a0 คือรัศมีโบร์ ดังนัน
้ เมือ
่ rn = 25a0 ได้ n2 = 25 หรือ n = 5 แสดงว่าอิเล็กตรอน
อย่ที่ร ดับพลังงาน
ตอบ อิเล็กตรอนนี้อย่ที่ร ดับพลังงาน n = 5

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
88 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

4. อ ตอมหน่ง มีร ดับพลังงาน ทาให้เกิดสเปกตรัมเปล่งออก 3 เส้น ที่มีความยาวคลื่น ดังรป

-2.00 eV E3

-4.00 eV E2
-5.00 eV E1

ร ดับพลังงานของอ ตอม สเปกตรัมเปล่งออก


รูป ประกอบปญหาข้อ 4

ถ้าต้องการกร ตุน
้ อ ตอมนี้ ากสถาน พืน
้ ไปยังสถาน ถกกร ตุน
้ ต้องใช้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ที่มีความยาวคลื่นเท่าใด
วิธีทาำ ากแ น าพร ดับพลังงานของอ ตอม ถ้าต้องการกร ตุน
้ อ ตอมนี้ ากสถาน พืน
้ ให้อย่
ในร ดับพลังงาน E2 แล E3 ต้องใช้พลังงาน 1.00 อิเล็กตรอนโวลต์ แล 3.00
อิเล็กตรอนโวลต์ ตามลาดับ ซ่งได้รับพลังงาน ากคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่น
เท่ากับ 1242 nm แล 414 nm ตามลาดับ
hc (6.626 10 34 Js)(3 10 8m/s)
1242 nm
1.00 1.60 10 19 J
hc (6.626 10 34 Js)(3 10 8m/s)
แล 414 nm ตามลาดับ
3.00 1.60 10 19 J
-2.00 eV E3

-4.00 eV E2
-5.00 eV E1
รูป ประกอบวิธีสำาหรับปญหาข้อ 4

ตอบ ต้องใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่น 414 นาโนเมตร แล 1242 นาโนเมตร

5. งหาความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่ถกดดกลืนหรือเปล่งออกมา ากอ ตอมไ โดรเ น เมื่อ


อ ตอมเปลี่ยนร ดับพลังงาน าก n = 1 ไปยัง n = 3 แล าก n = 6 ไปยัง n = 3

วิธีทาำ คานวณความยาวคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาทีแ่ อ
่ อกมา โดยใช้สมการ

เมื่ออ ตอมเปลี่ยน ากร ดับพลังงาน าก ni = 1 ไปยัง nf = 3

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 89

0.97547
0.97547

เครื่องหมายเปนลบหมายถงการดดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟา แล คานวณหาความถี่ าก
c
f
3 108 m/s
f
102.52 10 9 m
2.9263 1015 Hz
เมื่ออ ตอมเปลี่ยน ากร ดับพลังงาน าก ni = 6 ไปยัง nf = 3

0.97547
เครื่องหมายเปนบวกหมายถงการเปล่งคลื่นแม่ เหล็กไฟฟา แล คานวณหาความถี่ าก
c
f
3 108 m/s
f
1093.5 10 9 m
0.27435 1015 Hz

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
90 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

ตอบ เมือ
่ อ ตอมเปลีย่ นร ดับพลังงาน าก n = 1 ไปยัง n = 3 ดดกลืนคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา
ความถี่ 2.9263 × 1015 เ ิรตซ์
เมื่ออ ตอมเปลี่ยนร ดับพลังงาน าก n = 6 ไปยัง n = 3 เปล่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟา
ความถี่ 0.27435 × 1015 เ ิรตซ์

6. ฉายแสงทีม
่ ค
ี วามยาวคลืน
่ 2.5 × 10-7 เมตร ตกบน วิ ซีเซียมทีม
่ ฟ
ี งก์ชน
ั งาน 2.1 อิเล็กตรอนโวลต์
โฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมามีพลังงาน ลน์สงสุดเท่าใด
hc
วิธีทำา หาพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน ากสมการ Ekmax hf W W
hc
Ekmax W

34
3.0 108 m/s 19
6.626 10 J s 7
2.1 eV 1.60 10 J/eV
2.5 10 m
(7.9512 10 J) (3.3600 10 19 J)
19

4.5912 10 19 J
4.5912 10 19 J
1.60 10 19 J/eV
2.8695 eV
ตอบ พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนเท่ากับ 4.6 × 10-19 ล
หรือเท่ากับ 2.9 อิเล็กตรอนโวลต์

7. ในการทดลองโฟโตอิเล็กทริก พบว่าได้ ลการทดลอง ดังรป


Vs (โ ล )

น พล น

f( )
รูป ประกอบปญหาข้อ 7
ลการทดลองนี้ถกต้องหรือไม่ เพรา เหตุใด
วิธีทำา ากสมการโฟโตอิเล็กทริก เมือ
่ เขียนความสัมพัน ร์ หว่างความต่างศักย์หยุดยัง้ กับความถี่

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 91

hW
ของคลื่นแสง ได้ว่า Vs f
e e
h W
แสดงให้เห็นว่าความชันของกราฟแต่ล เส้นVมีs ค่า เท่
f ากัน
e e
ดังนั้น กราฟในโ ทย์ งไม่ถกต้อง เพรา กราฟแต่ล เส้นมีความชันไม่เท่ากัน
ตอบ ไม่ถกต้อง เพรา ความชันของกราฟแต่ล เส้นมีคา่ ไม่เท่ากัน

8. กาหนดให้ โลห A , B แล C มีค่าฟงก์ชันงานเท่ากับ 1.035 อิเล็กตรอนโวลต์ 2.070


อิเล็กตรอนโวลต์ แล 4.140 อิเล็กตรอนโวลต์
ก. งหาความถี่ขีดเริ่มของโลห ทั้ง 3 ชนิด
ข. วาดกราฟร หว่างความต่างศักย์หยุดยัง้ กับความถีข
่ องโฟตอนทีต
่ กกร ทบแ น
่ โลห โดยร บุ
ชนิดของโลห แล ความถี่ขีดเริ่ม ลงในกราฟแต่ล เส้น
วิธีทาำ
ก. ากสมการ W hf 0
W (1.035eV)(1.60 10 19 J/eV)
สาหรับโลห A ได้ f 0 0.25 1015 Hz
h (6.626 10 34 J s)
W (2.070eV)(1.60 10 19 J/eV)
สาหรับโลห B ได้ f 0 0.50 1015 Hz
h (6.626 10 34 J s)
W (4.140eV)(1.60 10 19 J/eV)
สาหรับโลห C ได้ f 0 1.00 1015 Hz
h (6.626 10 34 J s)
ข. ากสมการโฟโตอิเล็กทริก Ek max hf W
แต่ Ek max eVs
ได้ว่า eVs hf W
h W
หรือ f Vs
e e
h W h W
โดยความชันของกราฟมี
Vs ค่า แล
f ุดตัดแกน y หรืVอs Vs มีค่าf
e e e e
สาหรับโลห A ได้
W 1.035eV
Vs 1.0 V
e e
สาหรับโลห B ได้
W 2.070eV
Vs 2.1V
e e
W 4.140eV
Vs 4.1V ทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สถาบันส่งเสริมการสอนวิ
e e
W 1.035eV ฟิส1.0
ิกส์ เล่
92 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม Vs Vม 6
e e
W 2.070eV
Vs 2.1V
e e
W 4.140eV
สาหรับโลห C ได้ Vs 4.1V
e e
เมื่อนาข้อมล f0 ของโลห ทั้งสามแล ุดตัดแกน y ไปเขียนกราฟ ได้กราฟเส้นตรงที่ขนาน
กัน โดยความชันของเส้นกราฟทั้งสามมีค่าเท่ากัน ดังรป

Vs (โ ล )

A B C

f ( 1015 )
0.25 0.50 1.00

-1.0 V

-2.1 V

-4.1 V

รูป ประกอบวิธีทำาสำาหรับปญหาข้อ 8 ข.

ตอบ ก. 0.25 × 1015 เ ิรตซ์ 0.50 × 1015 เ ิรตซ์ 1.00 × 1015 เ ิรตซ์ ตามลาดับ
ข. กราฟร หว่างความต่างศักย์หยุดยั้งกับความถี่ของโฟตอน ดังรปปร กอบวิ ีทา

9. เมื่อฉายแสงที่มีความถี่ 8.15 × 1014 เ ิรตซ์ ไปที่ าตุต่อไปนี้

ธาตุ ฟงกชนั งาน W(eV)


แบเรียม 2.6
อะลูมเิ นียม 4.2
เงิน 4.6
ทองคํา 5.3

เกิดปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริกกับ าตุใด

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 93

วิธีทาำ ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก เกิดข้นก็ต่อเมื่อพลังงานของโฟตอนมีค่าเท่ากับหรือมาก


กว่าฟงก์ชันงานของ าตุโฟตอนของแสงที่มีความถี่ 8.15 × 1014 Hz มีพลังงาน E = hf
34 14
ได้ E (6.626 10 34 J s)(8.15 1014 Hz)
E 5.40 10 19 19
J
19
5.40 10 J 19

19
1.6 10 19 J/eV
E 3.38eV
เมื่อพิ ารณา ากตารางฟงก์ชันงานของแต่ล าตุ พบว่าพลังงานของโฟตอนมากกว่า
ฟงก์ชันงานของแบเรียมเพียง าตุเดียว ดังนั้น าตุที่เกิดปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริกได้
คือ แบเรียม
ตอบ แบเรียม

10. ในการทดลองปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก ถ้าโลห ที่ใช้มีฟงก์ชันงานเท่ากับ 1.10 × 10-19 ล


โฟตอนของแสงที่มีความยาวคลื่น 600 นาโนเมตร ทาให้อิเล็กตรอนหลุด าก ิวโลห นี้มี
ความเร็วสงสุดเท่าใด แล ความต่างศักย์หยุดยั้งของการทดลองนี้มีค่าเท่าใด
1
วิธีทำา หาความเร็วสงสุดของอิเล็กตรอน ากสมการ hf = W + Ek 2
mv max
max 2
1
เนื่อง าก c = f แล Ek 2
mv max
max 2
1 hc2 1 2
เมื่อแทนค่าใน hf = W + Ek ได้ mv max W mvmax
max 2 2
ในที่นี้ = 600 nm = 6.00 × 10-7 m แล W = 1.1 × 10-19 J
hc 1 2
เมื่อแทนค่าใน W mvmax
2
(6.626 10 34 Js)(3.00 108 m/s) 19 1
(1.10 10 J) (9.11 10 31 kg)vmax
2

600 10 9 m 2
หาค่า vmax ได้ vmax = 6.97 × 105 m/s
hc
หาความต่างศักย์หยุดยั้ง าก W eVs
เมื่อแทนค่า ได้
(6.626 10 34 Js)(3.00 108 m/s) 19 19
(1.10 10 J) (1.60 10 C) VS
600 10 9 m
หาค่า Vs ได้ Vs = 1.38 V
ตอบ ความเร็วสงสุดเท่ากับ 6.97 × 105 เมตรต่อวินาที แล ความต่างศักย์หยุดยั้งเท่ากับ
1.38 โวลต์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
94 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

11. คนทีอ่ ย่กลางแดดในตอนกลางวันเปนเวลานาน ทาให้ วิ หนังคล้า ากการศกษาพบว่าพลังงาน


โฟตอนของแสงแดดทีท
่ าให้ วิ หนังคล้า มีคา่ ปร มาณ 3.50 อิเล็กตรอนโวลต์ งหาความยาวคลืน

ของโฟตอนแล ความยาวคลืน
่ ของโฟตอนทีค
่ านวณได้นี้ อย่ในช่วงรังสีชนิดใดในสเปกตรัมคลืน

แม่เหล็กไฟฟา
hc
วิธีทำา หาความยาวคลื่นของโฟตอน าก
E
แทนค่า ได้
(6.626 10 34 Js)(3.00 108 m/s)
3.50 1.60 10 19 J
3.55 10 7 m
355 nm
ความยาวคลื่น 355 นาโนเมตร อย่ในช่วงรังสีอัลตราไวโอเลต
ตอบ ความยาวคลืน
่ ของโฟตอนเท่ากับ 355 นาโนเมตร อย่ในช่วงรังสีอลั ตราไวโอเลต

12. ฟงก์ชันงานของโลห ชนิดหน่งมีค่า 3.3 × 10-19 ล


ก. งหาความถีต
่ าสุ
่ ดของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาทีท
่ าให้เกิดปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริกกับโลห นี้
ข. เมือ
่ ให้คลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาต่อไปนีต
้ กกร ทบโลห เกิดปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริกหรือไม่
1 คลื่นที่มีความยาวคลื่น 5.0 × 10 เมตร
-7

2 คลื่นที่มีความถี่ 4.0 × 1014 เ ิรตซ์


วิธีทำา ก. ความถีต่ าสุ
่ ดของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาทีท
่ าให้เกิดปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก
W
ากสมการ W hf 0 หรือ f 0
h
เนื่อง ากฟงก์ชันงานของโลห W = 3.3 × 10-19 J
3.3 10 19 J
ดังนั้น ความถี่ขีดเริ่มของโลห นี้ f 0 5.0 1014 Hz
6.626 10 34 Js
ข. 1 คลื่นแม่เหล็กไฟฟามีความยาวคลื่น = 5.0 × 10-7 m
c 3.00 108 m / s
มีความถี่ f 6.0 10 14 Hz
5.0 10 7 m
ซ่งมีความถี่สงกว่าความถี่ขีดเริ่ม งทาให้เกิดปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก
2 คลื่นที่มีความถี่ 4.0 × 1014 เ ิรตซ์ ไม่ทาให้เกิดเพรา ความถี่ตากว่
่ าความถี่
ขีดเริ่ม ไม่ทาให้เกิดปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 95

ตอบ ก. ความถีข
่ ด
ี เริม
่ ของโลห เท่ากับ 5.0 × 1014 เ ริ ตซ์
ข. 1 คลืน
่ ทีม
่ ค
ี วามยาวคลืน
่ 5.0 × 10-7 เมตร นี้ เมือ
่ กร ทบโลห เกิดปราก การณ์
โฟโตอิเล็กทริกได้
2 คลืน
่ ทีม
่ ค
ี วามถี่ 4.0 × 1014 เ ริ ตซ์ ต่ากว่าความถีข
่ ด
ี เริม
่ เมือ
่ กร ทบโลห ไม่เกิด
ปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก

13. โฟตอนของรังสีเอกซ์ที่มีความยาวคลื่น 308พิโกเมตร มีความถี่แล พลังงานเท่าใด


c 3.00 10 m / s
วิธีทำา ากสมการ f 6.0 10 14 Hz
5.0 10 7 m
เนื่อง ากความยาวคลื่นของรังสีเอกซ์ = 30 × 10-12 m
3.00 108 m / s
ดังนั้น ความถี่ของรังสีเอกซ์ f 1.0 10 19 Hz
30 10 12 m
เนื่อง ากพลังงานโฟตอน E = hf
ดังนั้น พลังงานโฟตอนของรังสีเอกซ์
E = (6.626 × 10-34 Js) (1.0 × 1019 Hz)
E = 6.626 × 10-15 J
6.626 10 15 J
1.6 10 19 J / eV
E = 41.4 KeV
ตอบ โฟตอนของรังสีเอกซ์มค
ี วามถีเ่ ท่ากับ 1.0 × 1019 เ ริ ตซ์ แล
มีพลังงานเท่ากับ 6.626 × 10-15 ล หรือ 41.4 กิโลอิเล็กตรอนโวลต์

14. โฟตอนของรังสีชนิดหน่งมีพลังงาน 24.8 กิโลอิเล็กตรอนโวลต์ มีความถี่แล ความยาวคลื่น


เท่าใด
E
วิธีทำา ากสมการ E = hf หรือ f
h
เนื่อง ากพลังงานของโฟตอน = 24.8 × 103 eV = (24.8 × 103 eV) (1.60 × 10-19 J/eV)

ดังนั้น ความถี่ของรังสี f 24.8 103 1.60 10 19 J


34
5.98 10 18 Hz
6.626 10 Js
c
ากสมการ
f
3.00 108 m/s
18
1.00 10 10 m 0.10 nm
5.98 10 Hz
ตอบ โฟตอนของรังสีมคี วามถีเ่ ท่ากับ 5.98 × 1018 เ ริ ตซ์ แล มีความยาวคลืน
่ เท่ากับ 0.10 นาโนเมตร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
96 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

15. ฟงก์ชันงานของทองคาเท่ากับ 5.3 อิเล็กตรอนโวลต์ งหาความถี่ขีดเริ่มของแสงที่ทาให้เกิด


โฟโตอิเล็กตรอน ากทองคา แสงทีต
่ ามองเห็น ทาให้เกิดโฟโตอิเล็กตรอน ากทองคาได้หรือไม่
วิธีทำา หาความถี่ขีดเริ่ม ากสมการ W = hf0
W
f0
h
ฟงก์ชันงานของทองคา W = (5.3 eV) × (1.6 × 10-19 J/eV) = 8.5 × 10-19 J
8.5 10 19 J
ความถี่ขีดเริ่มของทองคา f0 1.3 1015 Hz
6.626 10 34 Js
แสงที่ตามองเห็นมีความถี่ 3.8 × 1014 เ ิรตซ์ −9.5 × 1014 เ ิรตซ์ ส่วนทองคามีความถี่
ขีดเริ่มเท่ากับ 1.3 × 1015 เ ิรตซ์ ซ่งสงกว่าความถี่สงสุดของแสงที่ตามองเห็น
ตอบ แสงทีต
่ ามองเห็น ไม่ทาให้เกิดโฟโตอิเล็กตรอน ากทองคาได้

16. พิ ารณา โปรตอน อิเล็กตรอน แล นิวเคลียสของ เี ลียม ทีเ่ คลือ


่ นทีด
่ ว้ ยอัตราเร็วเท่ากัน งเรียง
ลาดับความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของอนุ าคทั้งสาม ากน้อยไปมาก
วิธีทำา ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ สามารถหาได้ าก
h
mv
ดังนั้น เมื่ออัตราเร็วของแต่ล อนุ าคมีค่าเท่ากัน แล มวลของนิวเคลียสของ ีเลียม
โปรตอน แล อิเล็กตรอน ที่มีค่า 6.68 × 10-27 กิโลกรัม 1.67 × 10-27 กิโลกรัม แล
9.10 × 10-31 กิโลกรัม ตามลาดับ ได้ว่า ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของนิวเคลียส
ของ ีเลียมมีค่าน้อยที่สุด แล ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของอิเล็กตรอนมีค่ามากที่สุด
ตอบ นิวเคลียสของ เี ลียม โปรตอน แล อิเล็กตรอน มีความยาวคลืน
่ เดอบรอยล์ ากน้อยไปมาก
ตามลาดับ

17. โฟตอนแล อิเล็กตรอนทีป


่ ร พ ติตวั เปนคลืน
่ มีความยาวคลืน
่ 0.20 นาโนเมตร มีโมเมนตัม
แล พลังงานเท่าใด
วิธีทำา โฟตอนแล อิเล็กตรอนที่มีความยาวคลื่นเท่ากัน งมีโมเมนตัมเท่ากัน ซ่งหาได้ าก
h
สมการ p

ในที่นี้ = 0.20 nm = 0.20 × 10-9 m , h = 6.626 × 10-34 Js

ได้
6.626 10 34 J.s
p
0.20 10 9 m
p = 3.31 × 10-24 kg m/s

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 97

h
พลังงานของโฟตอนหาได้ าก E c เมื่อ c เปนอัตราเร็วของแสง
ในที่นี้ p = 3.31 × 10-24 kg m/s แล c = 3 × 108 m/s
34
6.626 10 kg m/s
ได้ E 9
3 108 m/s
(0.2 10 m)
= 9.94 × 10-16 J
หรือ E = 6.2 keV
พลังงานของโฟตอนมีค่า 6.2 กิโลอิเล็กตรอนโวลต์
p2
พลังงานของอิเล็กตรอนหาได้ ากสมการ E เมื่อ m เปนมวลของอิเล็กตรอน
2m
ในที่นี้ p = 3.31 × 10-24 kg m/s แล m = 9.11 × 10-31 kg
24 2
3.31 10 kg m/s
ได้ E
2 9.11 10 31 kg
= 6.01 × 10-18 J
หรือ E = 37.6 eV
พลังงานของอิเล็กตรอนมีค่า 37.6 อิเล็กตรอนโวลต์
ตอบ โฟตอนแล อิเล็กตรอนมีโมเมนตัม 3.31 × 10-24 กิโลกรัมเมตรต่อวินาที
โฟตอนมีพลังงาน 6.2 กิโลอิเล็กตรอนโวลต์ อิเล็กตรอนมีพลังงาน 37.6 อิเล็กตรอนโวลต์

18. ร่างกายมนุษย์สามารถแ ร่ งั สีอน


ิ ฟราเรดได้ ถ้าความยาวคลืน
่ สงสุดของอินฟราเรดทีแ่ อ
่ อกมา
มีคา่ 9350 นาโนเมตร ควอนตัมของพลังงานของอินฟราเรดทีร่ า่ งกายมนุษย์แ อ่ อกมามีพลังงาน
เท่าใด
วิธีทำา ควอนตัมของพลังงาน หรือโฟตอน ของคลืน ่ แม่เหล็กไฟฟา มีพลังงานตามสมการ E = hf
hc
ควอนตัมของพลังงานของอินฟราเรดทีร่ า่ งกายมนุษย์แ อ่ อกมามีพลังงาน E hf
ในที่นี้ h = 6.626 × 10-34 Js , c = 3 × 108 m/s แล = 30 × 10-12 m
(6.626 10 34 J s)(3 108 m/s)
ได้ E
9.35 10 6 m
E = 0.213 × 10-19 J
หรือ E = 0.133 eV

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
98 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

ควอนตัมของพลังงานของอินฟราเรดทีร่ า่ งกายมนุษย์สามารถแ อ
่ อกมามีพลังงานเท่ากับ
2.13 × 10-20 ล หรือ 0.133 อิเล็กตรอนโวลต์
ตอบ 2.13 × 10-20 ล หรือ 0.133 อิเล็กตรอนโวลต์

19. อิเล็กตรอนในอ ตอมไ โดรเ นอย่ในสถาน พืน


้ ตามท ษ อี ตอมของโบร์ สถาน นี้ มีพลังงาน
-13.6 อิเล็กตรอนโวลต์ พลังงาน ลน์แล พลังงานศักย์ไฟฟาของอิเล็กตรอนที่ร ดับพลังงานนี้
มีค่าเท่าใด
วิธีทำา ากท ษ อ
ี ตอมของโบร์ พลังงาน ลน์หาได้ าก
F Fc
ke2 v2
m
r2 r
2 2 2
mvr
mke2
r
1 2
าก Ek mv
2
1 ke2
ดังนั้น E k 1
2 r
พลังงานศักย์หาได้ ากพลังงานศักย์ไฟฟาของอิเล็กตรอนในวงโค ร
ke2
Ep 2
r
ากสมการ 1 แล 2 ได้
Ep = −2Ek 3
ดังนั้นพลังงานรวม E ของอิเล็กตรอนในอ ตอมไ โดรเ นที่อย่ในสถาน พื้น หาได้ าก
E = Ek + Ep
= −Ek 4
1
Ep 5
2
ถ้าพลังงานรวมของอิเล็กตรอนในอ ตอมไ โดรเ นทีอ่ ย่ในสถาน พืน
้ มีคา่ E = −13.6 eV
ากสมการ 4 แล 5 พบว่า พลังงาน ลน์มค
ี า่ Ek = −E = 13.6 eV แล พลังงานศักย์
มีค่า Ep = 2E = −27.2 eV ตามลาดับ
ตอบ 13.6 อิเล็กตรอนโวลต์ แล −27.2 อิเล็กตรอนโวลต์ ตามลาดับ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 99

ปญหาท้าทาย

20. รังสีอัลตราไวโอเลตความเข้ม 0.0500 วัตต์ต่อตารางเมตร ตกกร ทบตั้งฉากกับ ิวโลห ชนิด


หน่งทีม
่ ฟ
ี งก์ชน
ั งาน 5.30 อิเล็กตรอนโวลต์ แล โฟโตอิเล็กตรอนทีห
่ ลุดออกมามีอต
ั ราเร็วสงสุด
4.20 × 105 เมตรต่อวินาที โฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมา ากพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตร ทุก 1
วินาที มี านวนเท่าใด สมมติว่าโฟตอนของรังสีอัลตราไวโอเลตถกดดกลืนทั้งหมด
วิธีทำา หา hf ากสมการโฟโตอิเล็กทริก
Ek max hf W
1 2
mvmax hf W
2
1 2
hf mvmax W
2
ในที่นี้ m = 9.11 × 10-31 kg , v = 4.2 × 105 m/s
แล W = (5.30 eV)(1.6 × 10-19 J/eV) = 8.48 × 10-19 J

ได้ hf

hf = 9.28 × 10-19 J
เมื่อ I เปนพลังงานของรังสีอัลตราไวโอเลตที่ตกกร ทบตั้งฉากกับ ิวโลห ต่อหน่ง
E
หน่วยพื้นที่ต่อหน่งหน่วยเวลาหาได้ ากสมการ I
tA
ได้ E = ItA
ในที่นี้ I = 0.0500 W/m2 t = 1 s แล A = 1 cm2 = 10-4 cm2
ได้ E = (0.0500 W/m2)(1s)(10-4 m2)
E = 5.00 × 10-6 J
เมื่อ E เปนพลังงานทั้งหมดของรังสีอัลตราไวโอเลตที่ตกกร ทบตั้งฉากกับ ิวโลห
ากสมการ E = nhf
ในที่นี้ E = 5.00 × 10-6 J แล hf = 9.28 × 10-3 J
ได้ 5.00 × 10-6 J = n 9.28 × 10-3 J)
n = 5.39 × 1012
านวนอิเล็กตรอนที่หลุดออกมา ากพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตรทุก 1 วินาที เท่ากับ
5.39 × 1012 อนุ าค
ตอบ 5.39 × 1012 อนุ าค

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
100 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

21. โฟตอนความยาวคลื่น 320 นาโนเมตร ตกกร ทบ ิ ว โพแทสซี ย มที่มีฟงก์ ชัน งาน 2.30
อิเล็กตรอนโวลต์ มีอเิ ล็กตรอนหลุดออกมาหรือไม่ ถ้ามี พลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
มีคา่ เท่าใด แล ถ้าไม่มีพลังงานที่ต้องเพิ่มมีค่าเท่าใด
แนวคิด อิเล็กตรอน หลุด าก วิ โพแทสเซียมก็ตอ่ เมือ่ โฟตอนของแสงทีไ่ ปตกกร ทบมีพลังงาน
เท่ากับหรือมากกว่าฟงก์ชันงานของโพแทสเซียม
hc
โฟตอนความยาวคลื่น 320 นาโนเมตร มีพลังงานตามสมการ E hf
ในที่นี้ h = 6.626 × 10-34 Js c = 3 × 108 m/s แล = 320 × 10-9 m
(6.626 10 34 J s)(3 108 m/s)
ได้ E
320 10 9 m
E = 6.212 × 10-19 J
หรือ E = 3.88 eV
พลังงานของโฟตอนที่ตกกร ทบ ิวโพแทสเซียมมีค่ามากกว่าฟงก์ชันงาน
3.88 eV − 2.30 eV = 1.58 eV งมีอิเล็กตรอนหลุดออกมา โดยมีพลังงาน ลน์
สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนมีค่าเท่ากับ 1.58 อิเล็กตรอนโวลต์
ตอบ 1.58 อิเล็กตรอนโวลต์

22. ในการทดลองปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก โดยการฉายแสงความถี่ f ไปตกกร ทบ ิวโลห


ชนิดหน่ง กราฟความสัมพัน ร์ หว่างความต่างศักย์หยุดยัง้ (Vs) กับความถีแ่ สง ( f ) เปนดังรป

รูป ประกอบปญหาท้าทาย ข้อ 22

เมือ
่ โฟตอนพลังงาน 3.6 × 10-19 ล ตกกร ทบแ น
่ โลห มีอเิ ล็กตรอนหลุดออกมาหรือไม่
วิธีทำา อิเล็กตรอน หลุด าก วิ โลห เมือ่ พลังงานของแสงทีไ่ ปตกกร ทบมีคา่ มากกว่าฟงก์ชน
ั งาน
ากสมการ E = hf − W
eVs = hf − W

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 101

h Wh W
ากสมการ Vs Vfs โดยf เปนร ย ตัดแกนตั้ง
e ee e
h W
Vากกราฟ
s fได้ = 2.5 V
e e
ได้ ฟงก์ชันงาน W = e (2.5 V) = (1.6 v C)(2.5 V) = 4.0 × 10-19 J
เห็นว่า พลังงานโฟตอนมีคา่ น้อยกว่าฟงก์ชน
ั งาน ดังนัน
้ งไม่มอ
ี เิ ล็กตรอนหลุดออกมา
ตอบ ไม่มีอิเล็กตรอนหลุดออกมา

23. ในการทดลองปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริกโดยให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟาที่มีความเข้มคงตัว I0


แต่มีความถีต่ า่ ง ตกกร ทบโลห ชนิดหน่ง พบว่าพลังงาน ลน์สงสุด E ของโฟโตอิเล็กตรอน
แล ความถี่ f ของคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาทีต
่ กกร ทบ มีความสัมพัน ด
์ งั กราฟรป ก. งใช้กราฟรป ข.
ซ่งมีสเกลเดียวกับรป ก ตอบคาถามต่อไปนี้

ก. ข.

รูป ประกอบปญหาท้าทาย ข้อ 23

ก. ถ้าความเข้มเพิ่มเปน 2I0 ความสัมพัน ์ร หว่าง E แล f เปนเส้นใด


ข. ถ้าความเข้มเปน I0 เท่าเดิม แต่เคลือบ ิวโลห เดิมด้วยโลห ใหม่ที่มีฟงก์ชันงานเปน
2 เท่าของโลห เดิม ความสัมพัน ์ร หว่าง E แล f เปนเส้นใด
วิธีทำา ก. ากสมการโฟโตอิเล็กทริก
E = hf − W
เมือ
่ เขียนกราฟความสัมพัน ร์ หว่างพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน แล
ความถี่ พบว่าความเข้มของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความ
สัมพัน ์ดังกล่าว ดังนั้นถ้าความเข้มเพิ่มเปน 2I0 กราฟ เส้นกราฟที่ถกต้องใน
รป ข. ต้องมี ความชันแล ด
ุ ตัดแกนเช่นเดียวกับเส้นกราฟในรป ก. คาตอบ
งเปนเส้นกราฟที่ 2

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
102 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

ข. ากสมการโฟโตอิเล็กทริก
E = hf − W
เมือ
่ เขียนกราฟความสัมพัน ร์ หว่างพลังงาน ลน์สงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน แล
ความถี่ พบว่าความชัน มีคา่ เท่ากับ h เช่นเดิม สาหรับ ด
ุ ตัดแกน x พิ ารณา
เมื่อ
E = 0
หรือ
0 = hf0 − W
W
f0
h
ุดตัดแกน x งมีค่าเท่ากับฟงก์ชันงานของโลห นั้น
ถ้าเคลือบ ิวโลห เดิมด้วยโลห ใหม่ที่มีฟงก์ชันงานเปน 2 เท่าของโลห เดิม
Wnew = 2W ดังนั้น f = 2f0 ุดตัดแกน x ของเส้นกราฟที่ถกต้องในรป ข.
มีค่าเปน 2 เท่าของ ุดตัดแกน x ในรป ก. คาตอบ งเปนเส้นกราฟที่ 3
ตอบ ก. เส้นที่ 2 เพรา พลังงาน ลน์สงสุดข้นอย่กบ ั ความถีข
่ องแสงไม่ได้ขน
้ กับความเข้มแสง
ข. เส้นที่ 3 เพรา กราฟเส้น 3 มีฟงก์ชน ั งานเปน 2 เท่าของกราฟในรป ก แล มีความถี่
ขีดเริม
่ เปน 2 เท่าของกราฟในรป ก ด้วย

24. ในการศกษาปราก การณ์โฟโตอิเล็กทริก ท


้ ดลองได้บน
ั ทกความถี่ f แล ความต่างศักย์หยุดยัง้
Vs ดังตาราง

f ( 1014 Hz) 12.0 9.5 8.2 5.5

Vs (V) 3.00 2.10 1.60 0.50

ก. เขียนกราฟร หว่าง f กับ Vs โดยให้ f อย่บนแกนนอนแล Vs อย่บนแกนตั้ง


ข. ากกราฟในข้อ ก. ความถี่ขีดเริ่ม ค่าคงตัวพลังค์แล ฟงก์ชันงานมีค่าปร มาณเท่าใด
วิธีทำา ก. ากข้อมลในตารางเขียนกราฟร หว่าง Vs กับ f ได้ดงั นี้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 103

Vs (V)

3.0
2.5
2.0
1.5
3.0 V
1.0
0.5

0 f ( x1014 Hz)
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13
-0.5 14
8.0 x 10 Hz
-1.0
-1.5
-2.0

รูป ประกอบวิธีทำาสำาหรับปญหาท้าทาย ข้อ 24 ก.

ข. าก eVs + W = hf
W hf
Vs
e e
h hf W
ได้ว่า ความชัน = แล ุดตัดแกน Vs y =
e e e
ากรป กราฟตัดแกนนอนที่ 4.0 × 10 Hz ดังนั้น ความถี่ขีดเริ่ม f0 = 4.0 × 1014 Hz
14

3.0V
ากรป ความชันของเส้นกราฟ 14
3.75 10 -15 Vs
8.0 10 Hz
h
แต่ความชันของกราฟ = = 3.75 × 10-15 Vs
e
ได้ h = 3.75 × 10-15 Vs 1.60 × 10-19 C = 6.0 × 10-34 Js
hf W
ากรป กราฟตัดแกนตั้งที่ – 1.5 V Vs ดังนั้น = −1.5 V
e e
ได้ W = 1.5V 1.60 × 10-19 C = 2.4 × 10-19 J = 1.5 eV
ตอบ ความถีข
่ ด
ี เริม
่ ค่าคงตัวพลังค์แล ฟงก์ชนั งานมีคา่ ปร มาณ 4.0 × 1014 เ ริ ตซ์ ,
6.0 × 10-34 ลวินาที แล 2.4 × 10-19 ล หรือ 1.5 อิเล็กตรอนโวลต์ ตามลาดับ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
104 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม ฟิสิกส์ เล่ม 6

25. งเปรียบเทียบความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของอิเล็กตรอนแล นิวเคลียสไ โดรเ นที่ถกเร่งด้วย


ความต่างศักย์ไฟฟา 300 โวลต์ เท่ากัน กาหนดให้มวลของนิวเคลียสไ โดรเ นเท่ากับ
1.67 × 10-27 กิโลกรัม
วิธีทำา หาความยาวคลื่นเดอบรอยล์ของอิเล็กตรอน าก
h
e 1
me v e
ในที่นี้ อิเล็กตรอนมีมวล me = 9.11 × 10-31 kg แล ve หาได้ดังนี้
อิเล็กตรอนที่ถกเร่ง ่านความต่างศักย์ V มีพลังงาน ลน์เปน
1
me v e
2
eV
2
1 2
(9.11 10 31 kg ) ve (1.60 10 19 C)(300 V)
2
ve = 1.027 × 107 m/s
แทนค่า me แล ve ใน 1 ได้
6.626 10 34 Js
e
(9.11 10 31 kg)(1.027 107 m/s)
= 7.082 × 10-11 m
หาความยาวคลื่นของนิวเคลียสไ โดรเ น าก
h
H 2
mH v H
ในที่นี้ นิวเคลียสไ โดรเ นมีมวล mH = 1.67 × 10-27 kg แล vH หาได้ดังนี้
นิวเคลียสไ โดรเ นที่ถกเร่ง ่านความต่างศักย์ V มีพลังงาน ลน์เปน
1 2
mH v H qV
2
1 2
(1.67 10 27 kg ) v H (1.60 10 19 C)(300 V)
2
vH = 2.398 × 105 m/s
แทนค่า mH แล H ใน 2 ได้
6.626 10 34 Js
H
(1.67 10 27 kg)(2.398 105 m/s)
1.655 10 12 m
e 7.082 10 11 m
H 1.655 10 12 m
e 42.8 H

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 105

h
หรือวิ เี ปรียบเทียบความยาวคลืน
่ ากสมการ p 2mE
2 k
p
แล Ek = qV
เนื่อง ากทั้งอิเล็กตรอนแล ไ โดรเ นมีขนาดปร ุเท่ากัน แล เคลื่อนที่ ่าน
ความต่างศักย์ไฟฟา V เท่ากัน งมีพลังงาน ลน์เท่ากัน เมื่อ ัดรป
e h / pe
H h / pH
pH
pe
2mH Ek
2me Ek
mH
me
แทนค่า ได้
e 1.67 10 27 kg
H 9.11 10 31 kg
42.8
e 42.8 H
ตอบ ความยาวคลืน
่ เดอบรอยล์ของอิเล็กตรอนมีคา่ ปร มาณ 42.8 เท่าของความยาวคลืน

เดอบรอยล์ ของนิวเคลียสไ โดรเ น

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
106 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

20
บทที่ ฟิสก
ิ ส์นวิ เคลียร์และฟิสก
ิ ส์อนุภาค

ipst.me/11456

ผลการเรียนรู้

1. อ บ
ิ ายแรงนิวเคลียร์ เสถียร าพของนิวเคลียส แล พลังงานยดเหนีย่ ว รวมทัง้ คานวณปริมาณต่าง
ที่เกี่ยวข้อง
2. อ ิบายกัมมันต าพรังสีแล ความแตกต่างของรังสีแอลฟา บีตาแล แกมมา
3. อ บ
ิ าย แล คานวณกัมมันต าพของนิวเคลียสกัมมันตรังสี รวมทัง้ ทดลอง อ บ
ิ าย แล คานวณ
านวนนิวเคลียสกัมมันต าพรังสีที่เหลือ ากการสลาย แล คร่งชีวิต
4. อ ิบายป ิกิริยานิวเคลียร์ ฟชชัน แล ฟวชัน รวมทั้งคานวณพลังงานนิวเคลียร์
5. อ บ
ิ ายปร โยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์ แล รังสี รวมทัง้ อันตรายแล การปองกันรังสีในด้านต่าง
6. อ ิบายการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค แบบ าลองมาตร าน แล การใช้ปร โยชน์ ากการ
ค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าคในด้านต่าง

การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้

ผลการเรียนรู้
1. อ บ
ิ ายแรงนิวเคลียร์ เสถียร าพของนิวเคลียส แล พลังงานยดเหนีย่ ว รวมทัง้ คานวณปริมาณต่าง
ที่เกี่ยวข้อง

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบาย รรมชาติของแรงนิวเคลียร์
2. อ ิบายความสัมพัน ์ร หว่างแรงนิวเคลียร์กับเสถียร าพของนิวเคลียส
3. อ ิบายความสัมพัน ์ร หว่างพลังงานยดเหนี่ยวกับส่วนพร่องมวล
4. คานวณพลังงานยดเหนี่ยวแล พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน
5. อ ิบายความสัมพัน ์ร หว่างพลังงานยดเหนี่ยวกับเสถียร าพของนิวเคลียส

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 107

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

1. การใช้ านวน การคานวณ 1. การแก้ปญหา การทา 1. ด้านความมีเหตุ ล ความ


ปริมาณต่าง ที่เกี่ยวกับ แบบ กหัด รอบคอบ ากการอ ิปราย
พลังงานยดเหนี่ยว แล ร่วมกันแล การทา
พลังงานยดเหนีย่ วต่อ แบบ กหัด
นิวคลีออน

ผลการเรียนรู้
2. อ ิบายกัมมันต าพรังสีแล ความแตกต่างของรังสีแอลฟา บีตาแล แกมมา

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายของกัมมันต าพรังสี าตุกัมมันตรังสี แล ไอโซโทปกัมมันตรังสี
2. ร บุชนิดแล บอกสมบัติของรังสีที่แ ่ออกมา าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสี
3. เขียนสมการของการสลายให้รังสีแอลฟา บีตา แล แกมมา

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

1. การ าแนกปร เ ท การ 1. การสื่อสาร การอ ิปราย 1. ด้านความมีเหตุ ล ความ


าแนกชนิดของรังสี ร่วมกันแล การนา รอบคอบ ากการอ ิปราย
2. การ ัดกร ทาแล สื่อ เสนอ ล ร่วมกันแล การทา
ความหมายข้อมล การเขียน แบบ กหัด
สมการการสลาย
3. การใช้ านวน การคานวณ
ปริมาณต่าง ที่เกี่ยวกับ
เลขมวล เลขอ ตอม แล
ปร ุไฟฟา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
108 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ผลการเรียนรู้
3. อ บ
ิ าย แล คานวณกัมมันต าพของนิวเคลียสกัมมันตรังสี รวมทัง้ ทดลอง อ บ
ิ าย แล คานวณ
านวนนิวเคลียสกัมมันต าพรังสีที่เหลือ ากการสลาย แล คร่งชีวิต

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายแล คานวณกัมมันต าพ
2. ทดลองเพื่ออ ิบายการสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีแล คร่งชีวิต
3. คานวณ านวนนิวเคลียสกัมมันตรังสีที่เหลือ ากการสลายแล คร่งชีวิต

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

1. การใช้ านวน การคานวณ 1. การแก้ปญหา การทา 1. ด้านความซือ่ สัตย์ ความรอบ


กัมมันต าพ คร่งชีวิต แล แบบ กหัด คอบ แล ความเชื่อมั่นต่อ
ปริมาณต่าง ทีเ่ กีย่ วกับการ 2. การสือ
่ สารสารสนเทศแล หลัก าน ากรายงาน ล
สลาย การร้เท่าทันสือ่ การอ ป
ิ ราย การทดลอง
2. การ ัดกร ทาแล สื่อความ ร่วมกันแล การนาเสนอ 2. ด้านความพยายามมุ่งมั่น
หมายข้อมล การเขียนกราฟ ลการทดลอง ความรับ ิดชอบแล ความ
แล บรรยายความสัมพัน ์ 3. ความร่วมมือการทางาน ร่วมมือช่วยเหลือ ากการ
3. การตีความหมายข้อมลแล เปนทีมแล าว น
้ า การ ทาการทดลอง แล การ
ลงข้อสรุป ากการอ ป
ิ ราย ร่วมมือกันทาการทดลอง อ ิปรายร่วมกัน
แล สรุป ลการทดลอง 3. ความอยากร้อยากเห็น าก
การอ ิปรายร่วมกัน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 109

ผลการเรียนรู้
4. อ ิบายป ิกิริยานิวเคลียร์ ฟชชัน แล ฟวชัน รวมทั้งคานวณพลังงานนิวเคลียร์

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายของป ิกิริยานิวเคลียร์
2. อ ิบายฟชชันแล ความสัมพัน ์ร หว่างมวลกับพลังงานที่ปลดปล่อยออกมา ากฟชชัน
3. คานวณพลังงานนิวเคลียร์ที่ปลดปล่อยออก ากฟชชัน
4. อ ิบายฟวชันแล ความสัมพัน ์ร หว่างมวลกับพลังงานที่ปลดปล่อยออกมา ากฟวชัน
5. คานวณพลังงานนิวเคลียร์ที่ปลดปล่อยออก ากฟวชัน

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

1. การใช้ านวน การคานวณ 1. การสื่อสารสารสนเทศ 1. ด้านความมีเหตุ ล ความ


ส่วนพร่องมวล แล พลังงาน แล การร้เท่าทันสื่อ การ รอบคอบ ากการอ ป
ิ ราย
นิวเคลียร์ทป
่ี ลดปล่อยออก อ ิปรายร่วมกันแล การ ร่วมกันแล การทาแบบ
มา ากฟชชันแล ฟวชัน นาเสนอ กหัด
2. การ าแนกปร เ ท การ า 2. ความร่วมมือการทางาน 2. ความอยากร้อยากเห็น
แนกป ก
ิ ริ ยิ านิวเคลียร์แบบ เปนทีมแล าว น
้ า การ ากการอ ิปรายร่วมกัน
ฟชชันกับฟวชัน ร่วมมือกันทากิ กรรม
3. การแก้ปญหา การทา
แบบ กหัด

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
110 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ผลการเรียนรู้
5. อ ิบายปร โยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์ แล รังสี รวมทั้ง อันตรายแล การปองกันรังสีในด้าน
ต่าง

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกแนวทางการนาพลังงานนิวเคลียร์ไปใช้ปร โยชน์
2. ยกตัวอย่างการนารังสีไปใช้ปร โยชน์ในด้านต่าง
3. ยกตัวอย่างอันตราย ากรังสีที่มีต่อร่างกาย
4. บอกวิ ีการปองกันอันตราย ากรังสี

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

- 1. การสือ่ สารสารสนเทศแล 1. ด้านการใช้วิ ารณญาณ


การร้เท่าทันสือ่ การสืบค้น ากข้อมลที่นาเสนอแล
ข้อมล การอ้างอิงแหล่งที่ การนาเสนอ
มาของข้อมล การเปรียบ 2. ด้านความยอมรับความเห็น
เทียบความถกต้องของข้อ ต่าง ความใ กว้าง ากการ
มลการอ ิปรายร่วมกัน อ ิปรายร่วมกัน
แล การนาเสนอ 3. ด้านการเห็นความสาคัญ
2. ความร่วมมือการทางาน แล คุณค่าของวิทยาศาสตร์
เปนทีมแล าว น
้ า การ ากการอ ิปรายร่วมกัน
ร่วมมือกันสืบค้น ัด
กร ทาแล นาเสนอ ล
การสืบค้น

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 111

ผลการเรียนรู้
6. อ บ
ิ ายการค้นคว้าวิ ยั ด้านฟสิกส์อนุ าค แบบ าลองมาตร าน แล การใช้ปร โยชน์ ากการค้น
คว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าคในด้านต่าง

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ยกตัวอย่างการค้นคว้าวิ ัยที่ค้นพบอนุ าคมล าน
2. ร บุชนิดแล สมบัติของอนุ าคมล าน
3. อ ิบายพ ติกรรมแล อันตรกิริยาของอนุ าคมล านโดยอาศัยแบบ าลองมาตร าน
4. ยกตัวอย่างปร โยชน์ที่ได้ ากการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

1. การ าแนกปร เ ท การ 1. การสื่อสารสารสนเทศ 1. ด้านการใช้วิ ารณญาณ


าแนกอนุ าคมล านกับ แล การร้เท่าทันสื่อ การ ากข้อมลที่นาเสนอแล
อนุ าคทีม
่ อ
ี งค์ปร กอบ สืบค้นข้อมล การอ้างอิง การนาเสนอ
ายใน การ ด
ั กลุม
่ อนุ าค แหล่งที่มาของข้อมล การ 2. ด้านความยอมรับความต่าง
ตามแบบ าลองมาตร าน เปรียบเทียบความถกต้อง ความใ กว้าง แล การเห็น
ของข้อมล การอ ิปราย ความสาคัญแล คุณค่าของ
ร่วมกันแล การนาเสนอ วิทยาศาสตร์ ากการ
2. ความร่วมมือการทางาน อ ิปรายร่วมกัน
เปนทีมแล าว น
้ า การ 3. ด้านความพยายามมุ่งมั่น
ร่วมมือกันสืบค้น ด
ั กร ทา ความรับ ด
ิ ชอบ แล ความ
แล นาเสนอ ลการ ร่วมมือช่วยเหลือ ากการ
สืบค้น ร่วมมือสืบค้น ัดทาสื่อ
3. การสร้างสรรค์แล ปร กอบการนาเสนอ แล
นวัตกรรม สื่อปร กอบ การนาเสนอ
การนาเสนอ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
112 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ผังมโนทัศน์ ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค

ฟิสก
ิ ส์นวิ เคลียร์ ฟิสก
ิ ส์อนุภาค

แรงนิวเคลียร์ โปรตอน เครือ


่ งเร่งอนุภาคและ กลศาสตร์
ไอโซโทป
และ นิวตรอน เครือ
่ งตรวจวัดอนุภาค ควอนตัม

เกีย
่ วข้องกับ
การค้นพบรังสี เกีย
่ วข้องกับ
เสถียรภาพของนิวเคลียส
จากผลึกแร่
การค้นคว้าวิจย
ั ด้านฟิสก
ิ ส์อนุภาค

ความสัมพันธ์ระหว่าง นําไปสูก
่ ารค้นพบ
มวลและพลังงาน
อนุภาคและปฏิยานุภาค

นําไปคํานวณ นําไปอธิบาย เกีย


่ วข้องกับการค้นพบ

พลังงานยึดเหนีย
่ ว กัมมันตภาพรังสี มีซอนและ
ของนิวคลีออน มิวออน นิวทริโน ควาร์ก

ขึน
้ กับ เกีย
่ วข้องกับ

แสดงได้ดว้ ย นําไปสู่
พลังงานยึดเหนีย
่ ว การสลายของ
ต่อนิวคลีออน นิวเคลียสกัมมันตรังสี แบบจําลองมาตรฐาน

นําไปอธิบาย เกีย
่ วข้องกับ
สมการการสลาย
นําไปอธิบาย
และคํานวณ
การใช้ประโยชน์ อันตรายจาก
กัมมันตภาพและ อนุภาค
จากรังสี รังสีและ
จํานวนนิวเคลียสที่ สสาร
การป้องกัน
เหลือจากการสลาย
อนุภาค
นําไปอธิบาย สือ
่ แรง
และคํานวณ
ครึง่ ชีวิต
นําไป อนุภาค
ฮิกส์โบซอน
อธิบาย คํานวณ

ปฏิกริ ย
ิ านิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์
นําไปสู่
ฟิชชัน และ ฟิวชัน
การใช้ประโยชน์จากฟิสก
ิ ส์อนุภาค

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 113

สรุปแนวความคิดสำาคัญ
ายในนิ ว เคลี ย สปร กอบด้ ว ยโปรตอนซ่ ง มี ป ร ุ บ วกแล นิ ว ตรอนซ่ ง เปนกลางทางไฟฟา
เรียกอนุ าคทั้งสองว่า นิวคลีออน nucleon การที่นิวคลีออนอย่รวมกันได้ในนิวเคลียสเนื่อง ากมี
แรงนิวเคลียร์ nuclear force ซ่งมีคา่ มากกว่าแรง ลักทางไฟฟายดเหนีย่ วนิวคลีออนไว้ แรงนิวเคลียร์เปน
แรงดงดดทีส่ ง่ ลเฉพา ในร ย ใกล้มาก ไม่ขน
้ กับปร แุ ล มวลของนิวคลีออน การทีน
่ วิ เคลียสของ าตุแล
ไอโซโทปของ าตุหลายชนิดมีเสถียร าพหรือไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลา เนื่อง ากมีแรงนิวเคลียร์ที่มากพอ
การทาให้นวิ คลีออนแยกออก ากกัน ต้องให้พลังงานแก่นวิ เคลียส โดยพลังงานทีพ
่ อดีทาให้นวิ คลีออน
ทัง้ หมดในนิวเคลียสแยกออก ากกัน เรียกว่า พลังงานยึดเหนีย
่ ว binding energy หรือ nuclear binding
energy, E พลังงานยดเหนี่ยวมีค่าเทียบเท่ากับส่วนของมวลที่แตกต่างร หว่างมวลของนิวเคลียสกับมวล
รวมของนิวคลีออนทัง้ หมดในนิวเคลียส เรียกว่า ส่วนพร่องมวล mass defect, Δm ตามสมการ E = Δm c2
การพิ ารณาเสถียร าพของนิวเคลียสสามารถพิ ารณาได้ าก พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน
ของนิวเคลียสของ าตุหรือไอโซโทปของ าตุนั้น เขียนสมการได้เปน E ( m)c 2
A A
าตุทม
่ี น
ี วิ เคลียสไม่เสถียร แ ร่ งั สีออกมาได้เองอย่างต่อเนือ่ ง เรียกปราก การณ์นว้ี า่ กัมมันตภาพรังสี
radioactivity โดยไอโซโทปของ าตุทส
ี่ ามารถแ ร่ งั สีได้เองเรียกว่า ไอโ โทปกัมมันตรังสี radioactive
isotope ส่วน าตุทท
ี่ กุ ไอโซโทปเปนไอโซโทปกัมมันตรังสี เรียกว่า ธาตุกม
ั มันตรังสี radioactive element
รังสีทแี่ อ
่ อกมา าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสีสว่ นใหญ่มี 3 ชนิด ได้แก่ รังสีแอลฟา alpha ray
รังสีบีตา beta ray แล รังสีแกมมา gamma ray ซ่งรังสีแต่ล ชนิดมีองค์ปร กอบ ปร ุไฟฟา มวล
อานา ท ลุ ่าน แล สมบัติอื่น แตกต่างกัน
การแ ่รังสีของ าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสีมีสาเหตุมา ากการที่นิวเคลียสไม่เสถียรมีการเปลี่ยน
แปลงเพื่อให้มีเสถียร าพมากกว่าเดิม โดยอา เปลี่ยนไปเปนนิวเคลียสชนิดใหม่หรือเปลี่ยนไปอย่ในร ดับ
พลังงานต่ากว่าเดิม เรียกกร บวนการเปลี่ยนแปลงนี้กว่า การสลายกัมมันตรังสี radioactive decay
หรือ การสลาย decay
นิวเคลียสที่ไม่เสถียรแล มีการสลายเรียกว่า นิวเคลียสกัมมันตรังสี radioactive nucleus โดย
กร บวนการทีน
่ วิ เคลียสกัมมันตรังสีมก
ี ารสลายแล้วให้อนุ าคแอลฟา อนุ าคบีตา หรือ รังสีแกมมา ออกมา
เรียกว่า การสลายให้แอลฟา alpha decay การสลายให้บีตา beta decay แล การสลายให้แกมมา
gamma decay ตามลาดับ ซ่งแต่ล กร บวนการ สามารถอ ิบายได้ด้วย สมการการสลาย ที่ผลรวมของ
เลขอะตอมและผลรวมของเลขมวลก่อนและหลังการสลายมีค่าเท่ากัน ดังนี้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
114 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

A A 4 4
การสลายให้แอลฟา ZX Z 2Y 2 He
A A 0
การสลายให้บีตาลบ ZX Z 1Y 1e e
A A 0
การสลายให้บีตาบวก ZX Z 1Y 1e e
A * A
การสลายให้แกมมา ZX ZX

อัตราการสลาย หรือ อัตราการแ ร่ งั สีออกมาในขณ หน่งของ าตุกม


ั มันตรังสี เรียกว่า กัมมันตภาพ
activity ซ่งมีคา่ แปร น
ั ตรงกับ านวนนิวเคลียสของ าตุกม
ั มันตรังสีทม
่ี อ
ี ย่ในขณ นัน
้ ตามสมการ A = λ
โดย λ คือค่าคงตัวการสลาย decay constant
ความสัมพัน ร์ หว่าง านวนนิวเคลียสของ าตุกม
ั มันตรังสีทเี่ หลือหลังการสลายกับเวลา เปนไปตาม
สมการ = e- t ซ่งช่วงเวลาที่นิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสีสลาย นเหลือ านวนคร่งหน่งของ านวน
ln 2
เริ่มต้น เรียกว่า ครึ่งชีวิต half-life ของ าตุกัมมันตรังสี เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ T1 โดยคร่งชีวิตของ
2
ln 2
าตุหรือไอโซโทปกัมมันตรังสีข้นอย่กับค่าคงตัวการสลาย ตามสมการ T1
2

กร บวนการที่นิวเคลียสมีการเปลี่ยนแปลงองค์ปร กอบ ายในเมื่อได้รับการกร ตุ้น เรียกว่า


ป ิกิริยานิวเคลียร์ nuclear reaction ซ่งป ิกิริยานิวเคลียร์ที่นิวเคลียสมวลมากแยกออกเปนนิวเคลียส
ที่มีมวลน้อยกว่า เรียกว่า ฟิชชัน ssion ส่วนป ิกิริยาที่นิวเคลียสที่มีมวลน้อยรวมกันเปนนิวเคลียสที่มี
มวลมาก เรียกว่า ฟิวชัน fusion
พลังงานที่ปล่อยออกมา ากฟชชันแล ฟวชัน เรียกว่า พลังงานนิวเคลียร์ nuclear energy ซ่งมี
ค่าเทียบเท่าส่วนของมวลที่หายไปหลังการเกิดฟชชันแล ฟวชัน ตามสมการ E = Δm c2
พลั ง งานนิ ว เคลี ย ร์ ากฟชชั น สามารถนาไปใช้ ลิ ต กร แสไฟฟา โดยมี อุ ป กรณ์ ส าคั ญ คื อ
เครื่องป ิกร ์นิวเคลียร์ nuclear reactor ที่ใช้สร้างแล ควบคุมให้เกิดฟชชันอย่างต่อเนื่องที่เรียกว่า
ป ิกิริยาลูกโ ่ chain reaction เพื่อการปล่อยพลังงานนิวเคลียร์ในปริมาณอย่างเหมา สม ส่วน
พลังงานนิวเคลียร์ ากฟวชัน ยังอย่ในขั้นตอนการศกษาวิ ัยเพื่อการนามาใช้ปร โยชน์
รังสี าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสีสามารถนามาใช้ปร โยชน์ได้หลากหลายด้าน เช่น ด้านการ
แพทย์ ด้านเกษตรกรรม ด้านอุตสาหกรรม ด้านความปลอด ยั แต่ในขณ เดียวกัน ต้องมีการปองกันอันตราย
ากรังสีที่อา เกิดข้น
ถงแม้ร่างกายของมนุษย์ ได้รับรังสี ากสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา แต่มีปริมาณไม่มาก งไม่ทาให้
เกิดอันตราย ถ้าทราบว่า อย่ใกล้บริเวณทีม
่ แี หล่งกาเนิดรังสี หรือ าเปนต้องทางานเกีย่ วกับรังสี ควรปองกัน
อันตรายทีอ
่ า เกิด ากรังสีโดยมีหลักการสาคัญคือ การพยายามอย่หา่ ง ากแหล่งกาเนิดรังสีให้มากทีส่ ด
ุ การ
พยายามใช้เวลาทีอ
่ ย่ใกล้แหล่งกาเนิดรังสีให้นอ
้ ยทีส
่ ด
ุ แล มีการใช้วส
ั ดุกาบังรังสีในกรณีทต
ี่ อ
้ งทางานเกีย่ ว
กับรังสี

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 115

ในการศกษาองค์ปร กอบพืน
้ านของสสาร นอก าก โปรตอน นิวตรอน แล อิเล็กตรอน นักฟสิกส์
ยังได้มก
ี ารค้นพบอนุ าคอืน
่ อีกเปน านวนมาก โดยอาศัยเครือ
่ งมือทีส่ าคัญ 2 ชนิด คือ เครือ
่ งเร่งอนุภาค
particle accelerator แล เครือ
่ งตรวจวัดอนุภาค particle detector เช่น การใช้เครือ
่ งตรว วัดอนุ าค
ห้องหมอก cloud chamber ค้นพบโพ ิตรอน positron ซ่งเปนป ิยานุภาค antiparticle
ของอิเล็กตรอน หรือ การใช้เครื่องเร่งอนุ าคแนวตรงที่ยาวกว่า 3.2 กิโลเมตรค้นพบควาร์ก quark
อนุ าคที่ นั ก ฟสิ ก ส์ ค้ น พบ มี ทั้ ง อนุ าคที่ ไ ม่ มี อ งค์ ป ร กอบ ายใน เรี ย กว่ า อนุ ภ าคมู ล าน
elementary particle แล อนุ าคทีม
่ อ
ี งค์ปร กอบ ายใน ซ่ง สาขาทางฟสิกส์ทศ
่ี กษาเกีย่ วกับ รรมชาติ
ของอนุ าคต่าง แล อันตรกิรยิ าทีอ
่ นุ าคเหล่านีม
้ ต
ี อ
่ กัน เรียกว่าสาขา ฟิสก
ิ ส์อนุภาค particle physics
แนวคิดแล ท ษ ีต่าง ที่ใช้อ ิบายพ ติกรรมแล อันตรกิริยาร หว่างอนุ าคต่าง ได้รวบรวม
ไว้ในแบบ าลองทีเ่ รียกว่า แบบจำาลองมาตร าน the Standard Model ซ่งได้แบ่งอนุ าคมล านออกเปน
3 กลุ่ม ได้แก่ อนุภาคสสาร matter particle อนุภาคสื่อแรง force-carrier particle แล อนุภาค
ิก ์โบ อน Higgs boson
ในแบบ าลองมาตร าน ายในโปรตอนแล นิวตรอนปร กอบด้วยควาร์ก quark ที่มีการแลก
เปลี่ยนกลูออน gluon ร หว่างกัน ทาให้เกิดแรงเข้ม strong force ที่ยดเหนี่ยวให้ควาร์กอย่รวมกัน
โดย ลข้างเคียงของแรงเข้มร หว่างควาร์กทาให้มีแรงนิวเคลียร์ที่ยดเหนี่ยวนิวคลีออนให้อย่รวมกันใน
นิวเคลียส ส่วนการสลายให้บีตาเปนกร บวนการที่ควาร์กในนิวคลีออนมีการเปลี่ยนชนิด โดยมีแรงอ่อน
weak force มาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ แรงอ่อนมีดับเบิลยูโบ อน W-boson แล ีโบ อน Z-boson เปน
อนุ าคสื่อแรง
การค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค ได้นาไปส่การปร ยุกต์ใช้ในด้าน ต่าง เช่น ด้านการแพทย์
ด้านอุตสาหกรรม ด้านความปลอด ัย แล ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
116 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

เวลาที่ใช้

บทนี้ควรใช้เวลาสอนประมา 30 ชั่วโมง

20.1 เสถียร าพของนิวเคลียส 5 ชั่วโมง


20.2 กัมมันต าพรังสี 12 ชั่วโมง
20.3 ป ิกิริยานิวเคลียร์แล พลังงานนิวเคลียร์ 4 ชั่วโมง
20.4 ปร โยชน์ แล การปองกันอันตราย ากรังสี 3 ชั่วโมง
20.5 ฟสิกส์อนุ าค 6 ชั่วโมง

ความรู้ก่อนเรียน

แรง พลังงาน ไฟฟาสถิต แม่เหล็กไฟฟา คลืน


่ แม่เหล็กไฟฟา โครงสร้างอ ตอม

ครนาเข้าส่บทที่ 20 โดยใช้รปนาบท หรือ สื่อต่าง เช่น าพนิ่ง หรือ คลิปวีดิทัศน์ แสดงให้เห็น


ปร โยชน์ของรังสีทางฟสิกส์นวิ เคลียร์หรือปร โยชน์ทไี่ ด้ ากความร้ทางฟสิกส์นวิ เคลียร์ เช่น การใช้รงั สีใน
ด้านอุตสาหกรรมอัญมณีที่ช่วยเพิ่มมลค่าทางเศรษ กิ หรือ การใช้รังสีในการตรว วินิ ฉัยแล รักษาโรค
ม เร็ง ากนัน
้ ตัง้ คาถามให้นก
ั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกันว่า รังสีทางฟสิกส์นวิ เคลียร์แตกต่าง ากรังสีทน
ี่ ก
ั เรียน
เคยได้เรียนร้มาอย่างไร รังสีเกีย่ วข้องกับนิวเคลียสของอ ตอมหรือไม่ อย่างไร โดยครเปดโอกาสให้นก
ั เรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครตั้งคาถามให้นักเรียนอ ิปรายเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงถงความร้เดิมที่นักเรียนเคยได้ศกษามาเกี่ยว
กับโครงสร้างอ ตอมแล พ ติกรรมของอ ตอม เช่น ในนิวเคลียสมีโครงสร้างอย่างไร แล พ ติกรรมต่าง
ของนิวเคลียส เหมือนหรือแตกต่าง ากพ ติกรรมของอ ตอมหรือไม่ โดยครเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดง
ความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครชี้แ งคาถามสาคัญที่นักเรียน ต้องตอบได้หลัง ากการเรียนร้บทที่ 20 รวมทั้งหัวข้อหลักต่าง
ทั้งหมดที่นักเรียน ได้เรียนร้ในบทที่ 20

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 117

20.1 เสถียรภาพของนิวเคลียส
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบาย รรมชาติของแรงนิวเคลียร์
2. อ ิบายความสัมพัน ์ร หว่างแรงนิวเคลียร์กับเสถียร าพของนิวเคลียส
3. อ ิบายความสัมพัน ์ร หว่างพลังงานยดเหนี่ยวกับส่วนพร่องมวล
4. คานวณพลังงานยดเหนี่ยวแล พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน
5. อ ิบายความสัมพัน ์ร หว่างพลังงานยดเหนี่ยวกับเสถียร าพของนิวเคลียส

แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้ า ส่ หั ว ข้ อ 20.1 โดยทบทวนความร้ เ กี่ ย วกั บ องค์ ป ร กอบ ายในนิ ว เคลี ย ส ที่ นั ก เรี ย น
ได้เรียนร้มา ากนัน
้ ตัง้ คาถามให้นกั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกันว่า เพรา เหตุใด โปรตอนทีม
่ ป
ี ร ไุ ฟฟาบวกหลาย
อนุ าค งอย่รวมกันได้ ายในนิวเคลียส โดยไม่แยกออก ากกันด้วยแรง ลักทางไฟฟา โดยครเปดโอกาส
ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครชีแ้ ง้ ว่า ในหัวข้อนีน
้ ก
ั เรียน ได้เรียนเกีย่ วกับ แรงนิวเคลียร์แล พลังงานยดเหนีย่ วของนิวเคลียส
ที่เกี่ยวข้องกับเสถียร าพของนิวเคลียส

20.1.1 แรงนิวเคลียร์

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. แรงนิวเคลียร์สง่ ลได้ไกลเหมือนแรงไฟฟา 1. แรงนิวเคลียร์เปนแรงทีส่ ง่ ลเฉพา ในร ย


แล แรงโน้มถ่วง ใกล้มาก

2. แรงนิวเคลียร์เปนแรงดงดดร หว่างโปรตอน 2. แรงนิวเคลียร์เปนแรงดงดดร หว่างโปรตอน


กับโปรตอนเท่านั้น กั บ โปรตอน นิ ว ตรอนกั บ นิ ว ตรอน แล
โปรตอนกับนิวตรอน

3. แรงนิวเคลียร์ข้นกับขนาดของปร ุไฟฟา 3. แรงนิวเคลียร์ไม่ขน


้ กับขนาดของปร ไุ ฟฟา
แล มวล แล ไม่ข้นกับมวล

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
118 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

4. แรงนิวเคลียร์ทาให้ าตุแล ไอโซโทปของ 4. แรงนิวเคลียร์ทาให้ าตุแล ไอโซโทปของ


าตุทุกชนิดมีเสถียร าพ าตุปร มาณ 270 ชนิด มีเสถียร าพ ยัง
มี าตุแล ไอโซโทปของ าตุอีกหลายร้อย
ชนิ ด ที่ ถ งแม้ มี แ รงนิ ว เคลี ย ร์ แต่ ไ ม่ มี
เสถียร าพ

5. นิวเคลียสที่มี านวนนิวตรอนมากกว่า 5. นิ ว เคลี ย สที่ มี านวนนิ ว ตรอนมากกว่ า


โปรตอน มีเสถียร าพ โปรตอน ใน านวนที่ เ หมา สม งมี
เสถียร าพ ถ้ามีนิวตรอนมากเกินไปหรือ
น้อยเกินไป นิวเคลียส ไม่มีเสถียร าพ

6. แรงนิวเคลียร์เกิดข้นขณ เกิดร เบิด 6. แรงนิวเคลียร์มีอย่ในนิวเคลียสตลอดเวลา


นิวเคลียร์เท่านั้น ทาให้นิวเคลียสมีเสถียร าพ

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 1 แล 2 ของหัวข้อ 20.1 ตามหนังสือเรียน
ครให้นักเรียนศกษาการพั นาแนวคิดเกี่ยวกับท ษ ีเกี่ยวกับแรงนิวเคลียร์ แล รรมชาติของ
แรงนิวเคลียร์ ในหนังสือเรียน ากนั้น ครนาอ ิปรายโดยใช้รป 20.1 ปร กอบ นได้ข้อสรุปเกี่ยวกับแรง
นิวเคลียร์ดังนี้
แรงนิวเคลียร์เปนแรงดงดดร หว่างโปรตอนกับโปรตอน นิวตรอนกับนิวตรอน แล โปรตอนกับ
นิวตรอน ในนิวเคลียส
แรงนิวเคลียร์ไม่ข้นกับปร ุแล มวลของนิวคลีออน แรงนิวเคลียร์ร หว่างค่นิวคลีออนเหล่านี้
งมีค่าเท่ากัน
แรงนิวเคลียร์ส่ง ลเฉพา ในร ย ใกล้มาก very short-range force งเปนแรงที่กร ทา
ร หว่างนิวคลีออนที่อย่ติดกันเท่านั้น ไม่ส่ง ลต่อนิวคลีออนอื่น ที่อย่ถัดออกไป
แรงนิวเคลียร์ทาให้นิวเคลียสของ าตุแล ไอโซโทปของ าตุปร มาณ 270 ชนิด มีเสถียร าพ
ครให้นก
ั เรียนศกษาตาราง 20.1 โดยครอา ทบทวนความร้เกีย่ วกับไอโซโทปแล สัญลักษณ์นวิ เคลียร์
เพิ่มเติม แล้วตั้งคาถามให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกันว่า านวนโปรตอนกับ านวนนิวตรอนในนิวเคลียส มี
ความสัมพัน ก
์ บ
ั เสถียร าพของนิวเคลียสหรือไม่ โดยครเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร
ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 119

ครอา ให้นักเรียนทากิ กรรมลองทาด โดยให้วาด ุดสีดาที่แสดงกับ านวนนิวตรอน N แล


านวนโปรตอน Z ของนิวเคลียสเสถียรของไอโซโทปลงบนกราฟร หว่าง านวนนิวตรอน แล านวน
โปรตอน โดยใช้ขอ
้ มลในตาราง 20.1 ากนัน
้ ให้ลากเส้นสีแดงที่ N = Z ลงบนกราฟ แล้วให้นก
ั เรียนสังเกต
แล อ ิปรายเกี่ยวกับความสัมพัน ์ร หว่าง านวนนิวตรอนกับ านวนโปรตอนของนิวเคลียสที่เสถียร
โดยไม่คาดหวัง ลสรุปที่ถกต้อง
ครให้นักเรียนดรป 20.2 ในหนังสือเรียน แล้ ว ตั้ ง คาถามให้ นั ก เรี ย นอ ิ ป รายร่ ว มกั น โดยอา
ใช้คาถามดังนี้
ก. สาหรับไอโซโทปที่มีมวลน้อย นิวเคลียสที่เสถียรคือนิวเคลียสที่มี านวนนิวตรอนกับ านวน
โปรตอนเปนอย่างไร
แนวคำาตอบ สาหรับไอโซโทปที่มีมวลน้อย หรือมี านวนโปรตอนน้อยกว่า 20 Z < 20
นิวเคลียสที่เสถียรคือนิวเคลียสที่มี านวนนิวตรอนปร มาณเท่ากับ านวนโปรตอน
ข. สาหรับไอโซโทปที่มีมวลมาก นิวเคลียสที่เสถียรคือนิวเคลียสที่มี านวนนิวตรอนกับ านวน
โปรตอนเปนอย่างไร
แนวคำาตอบ สาหรับไอโซโทปที่มี านวนโปรตอนมากกว่า 20 Z > 20 นิวเคลียสที่เสถียรคือ
นิวเคลียสทีม
่ ี านวนนิวตรอนมากกว่าโปรตอน N > Z เนือ่ ง าก านวนนิวตรอนทีเ่ พิม
่ ข้นอย่าง
เหมา สมทาให้มีแรงยดเหนี่ยวทางนิวเคลียร์มากพอสาหรับการทาให้นิวเคลียสมีเสถียร าพ
ทั้งนี้ เมื่อพิ ารณากราฟร หว่าง านวนโปรตอนแล านวนนิวตรอนของไอโซโทปทั้งหมด
พบว่าสาหรับไอโซโทปที่มี านวนโปรตอนมากกว่า 83 Z > 83 ไม่มีนิวเคลียสที่มีเสถียร าพ

ครควรเน้นว่า การมี านวนนิวตรอนในนิวเคลียสอย่างเหมา สม ทาให้มแี รงยดเหนีย่ วทางนิวเคลียร์


มากพอที่ ชดเชยแรง ลักทางไฟฟาร หว่างโปรตอน นิวเคลียส งมีเสถียร าพ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้า านวน
นิวตรอนในนิวเคลียสมีมากเกินไป ทาให้นิวเคลียสไม่เสถียรได้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
120 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

กราฟระหว่างจำานวนนิวตรอนกับจำานวนโปรตอน
กราฟร หว่าง านวนนิวตรอนกับ านวนโปรตอนของ าตุแล ไอโซโทปที่ได้รับการค้นพบ
หรือสังเครา ห์ได้ในห้องป ิบัติการทั้งหมด มีลักษณ ดังรป

stable
1014 yr

160 1012 yr

1010 yr
140
108 yr

106 yr
120
104 yr

100 yr
100
1 yr
Z=N 106 s
80
104 s

60 100 s

1s

40 10− s

10− s
20
10− s

10−8 s
N no data
Z 20 40 60 80 100

รูป กราฟระหว่างจำานวนโปรตอนและจำานวนนิวตรอนของไอโ โทปทั้งหมด

ส่ ว นของกราฟที่ มี ลั ก ษณ เปนแถบยาวสี ด าเปนกลุ่ ม ของ ุ ด ที่ แ ทนนิ ว เคลี ย สที่ เ สถี ย ร


เรียกว่า แถบเสถียร าพ belt of stability
ส่วนบริเวณที่ านวนโปรตอนมากกว่า 83 เปนบริเวณที่ไม่มีนิวเคลียสที่เสถียรโดยนิวเคลียส
เหล่านี้ มีแนวโน้มที่สลายให้แอลฟา alpha decay เพื่อเปลี่ยนไปเปนนิวเคลียสชนิดใหม่ที่มี านวน
โปรตอนแล านวนนิวตรอนลดลงแล มีเสถียร าพมากกว่า
ส่วนบริเวณที่อย่เหนือแถบเสถียร าพ เปนบริเวณที่นิวเคลียสมีสัดส่วนของ านวนนิวตรอน
ต่อ านวนโปรตอนมากเกินไป แล มีแนวโน้ม สลายให้บีตาลบ beta-minus decay เพื่อเปลี่ยน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 121

ไปเปนนิวเคลียสชนิดใหม่ทม
่ี ี านวนโปรตอนเพิม
่ ข้นแต่ านวนนิวตรอนลดลง แล มีเสถียร าพมากกว่า
ส่วนบริเวณที่อย่ใต้แถบเสถียร าพ เปนบริเวณที่นิวเคลียสมีสัดส่วนของ านวนนิวตรอนต่อ
านวนโปรตอนน้อยเกินไป แล มีแนวโน้ม สลายให้บีตาบวก beta-plus decay เพื่อเปลี่ยนไป
เปนนิวเคลียสชนิดใหม่ทม
่ี ี านวนโปรตอนลดลงแต่ านวนนิวตรอนเพิม
่ ข้น แล มีเสถียร าพมากกว่า

รัศมีของนิวเคลียส
นิวเคลียสของอ ตอมส่วนใหญ่มีลักษณ เปนทรงกลมแล มีรัศมีโดยเฉลี่ยข้นกับเลขมวล
ตามสมการ
1
r aA 3
โดยที่ a = 1.2 × 10-15 เมตร แล A คือ เลขมวล
ดังนัน
้ อ ตอมไ โดรเ น ซ่งมีเลขมวลเท่ากับ 1 มีรศ
ั มีของนิวเคลียสปร มาณ 1.2 × 10-15
เมตร ส่วนทองคาซ่งมีเลขมวลเท่ากับ 197 มีรัศมีของนิวเคลียสปร มาณ 7.0 × 10-15 เมตร
ทั้งนี้ เห็นได้ว่า 10-15 เมตร หรือ 1 เฟมโตเมตร เปนค่าที่ใช้กันบ่อยในการศกษาทางด้าน
ฟสิกส์นิวเคลียร์ ดังนั้น เพื่อความส ดวก งได้มีการเรียกชื่อปริมาณดังกล่าวด้วยคาสั้น ว่า แฟร์มี
ตามชื่อของ เอนรีโก แฟร์มี Enrico Fermi ซ่งเปนนักฟสิกส์ชาวอิตาลีที่มี ลงานสาคัญทางด้าน
ฟสิกส์นิวเคลียร์ โดยกาหนดให้
1 fm = 10-15 m
โดยทั่วไป รัศมีของนิวเคลียสของ าตุต่าง มีค่าในร ดับเเฟร์มี ซ่งถือว่าน้อยมากเมื่อ
!
เทียบกับขนาดของอ ตอมซ่งมีค่าปร มาณ 10 -10
เมตร หรือ 1 อังสตรอม A
!
อังสตรอม A เปนหน่วยที่ตั้งข้นตามชื่อของ อังเดร โ นาส อังสรอม Anders Jonas
Ångström นักฟสิกส์ชาวสวีเดน ้ที่ศกษาสเปกตรัมของดวงอาทิตย์แล ได้เสนอให้ใช้หน่วยของ
ความยาวคลื่นของสเปกตรัมของดวงอาทิตย์เปน านวนเท่าของ 10-10 เมตร ซ่งต่อมา หน่วยดังกล่าว
ได้รับการเรียกตามชื่อของเขา
ในการพิ ารณาขนาดของอ ตอม เนือ่ ง ากอิเล็กตรอนทีเ่ คลือ่ นทีอ่ ย่รอบนิวเคลียสของอ ตอม
ไม่มีตาแหน่งที่แน่นอน งไม่สามารถร บุขอบเขตที่ชัดเ นของอ ตอมได้ อีกทั้ง โดยทั่วไป อ ตอม
ไม่อย่เปนอ ตอมเดี่ยว แต่ มีแรงยดเหนี่ยวร หว่างอ ตอมอื่นไว้ตั้งแต่ 1 อ ตอมข้นไป ดังนั้น
ขนาดของอ ตอม งบอกด้วย รัศมีอ ตอม atomic radius ซ่งกาหนดให้มีค่าคร่งหน่งของร ย
ร หว่างนิวเคลียสของอ ตอม 2 อ ตอมที่มีแรงยดเหนี่ยวร หว่างอ ตอมไว้ด้วยกันหรืออย่ชิดกัน
ซ่งโดยทั่วไปอ ตอมมีรัศมีปร มาณ 1 - 2 อังสตรอม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
122 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

20.1.2 พลังงานยึดเหนี่ยว

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. พลั ง งานยดเหนี่ ย วของนิ ว เคลี ย สมี ค่ า 1. พลังงานยดเหนีย่ วของนิวเคลียสมีคา่ เท่ากับ


เท่ากับ พลังงานทีพ
่ อดีทาให้นวิ คลีออนบาง พลังงานที่พอดีทาให้นิวคลีออนทั้งหมดใน
นิวคลีออนในนิวเคลียสแยกออก ากกัน นิวเคลียสแยกออก ากกัน

2. นิวเคลียสเสถียรทีม
่ พ
ี ลังงานยดเหนีย่ วมาก 2. นิวเคลียสเสถียรที่มีพลังงานยดเหนี่ยวต่อ
เปนนิวเคลียสที่มีเสถียร าพสง นิวคลีออนมาก เปนนิวเคลียสที่มี
เสถียร าพสง

3. นิวเคลียสใด ที่มีพลังงานยดเหนี่ยวต่อ 3. นิวเคลียสใด ที่มีพลังงานยดเหนี่ยวต่อ


นิวคลีออนมาก เปนนิวเคลียสที่เสถียร นิวคลีออนมาก อา เปนนิวเคลียสทีเ่ สถียร
หรือไม่เสถียรก็ได้

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชีแ้ ง ด
ุ ปร สงค์การเรียนร้ขอ
้ ที่ 3 - 5 ของหัวข้อ 20.1 ตามหนังสือเรียน ากนัน
้ ครนาเข้าส่หวั ข้อ
20.1.2 โดยตั้งคาถามว่า ากการศกษาเกี่ยวกับฟสิกส์ของอ ตอมในบทที่ ่านมา เราทราบว่าถ้ามีการให้
พลังงานกับอ ตอมมากพอ สามารถทาให้อเิ ล็กตรอนหลุดออกมา ากอ ตอมได้ แล้วถ้ามีการให้พลังงานกับ
นิวเคลียสมากพอ ทาให้นวิ คลีออนแยกออก ากกันได้หรือไม่ โดยครเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิด
เห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครให้นก
ั เรียนศกษาเกีย่ วกับพลังงานยดเหนีย่ ว แล การทดลองฉายรังสีแกมมาไปยังดิวเทอรอนตาม
รายล เอียดในหนังสือเรียน หรือครอา ัดกิ กรรมสา ิต โดยแบ่งนักเรียนออกเปนกลุ่มล 3 คน แล้ว
ให้นักเรียนคนแรกเปนโปรตอน คนที่สองเปนนิวตรอน โดยให้ทั้งสอง ับมือกันไว้ด้วยร ดับความกร ชับ
แตกต่างกัน 3 – 4 ร ดับ เปรียบได้กับโปรตอนกับนิวตรอนในนิวเคลียสที่มีแรงนิวเคลียร์ยดเหนี่ยวกันไว้
แตกต่างกัน ากนั้น ในการ ับมือแต่ล ครั้ง ให้นักเรียนคนที่สามพยายามวิ่งเข้าแทรกเพื่อทาให้มือของ
นักเรียนสองคนแรกแยกออก ากกัน
หลังกิ กรรมสา ิต ครนานักเรียนอ ิปรายโดยตั้งคาถามว่า ถ้าเปรียบเทียบพลังงานที่ต้องทาให้มือ
ของนักเรียนที่ ับกันไว้แยกออก ากกันเปนพลังงานที่ต้องทาให้นิวคลีออนในนิวเคลียสแยกออก ากกัน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 123

นิวคลีออนที่มีแรงยดเหนี่ยวมาก ต้องใช้พลังงานมากหรือน้อย งสามารถทาให้นิวคลีออนในนิวเคลียส


แยกออก ากัน
ครนาอ ป
ิ ราย นสรุปได้วา่ ยิง่ นิวคลีออนในนิวเคลียสมีแรงยดเหนีย่ วกันมาก ยิง่ ต้องให้พลังงานมาก
เพื่อทาให้นิวคลีออนแยก ากกัน
ครนาอ ิปรายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวิเครา ห์ ลต่างร หว่างมวลของดิวเทอรอนกับ ลรวมมวลของ
โปรตอนกับนิวตรอนในดิวเทอรอน แล การหาพลังงานที่เทียบเท่าส่วนต่างของมวลดังกล่าว โดยการ
พิ ารณาพลังงานที่เทียบเท่ามวล 1 u ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน นสรุปได้ว่า

ใน รรมชาติ นิวเคลียสของ าตุแล ไอโซโทปของ าตุทุกชนิด มีมวลน้อยกว่ามวลรวมของ


นิวคลีออนทีอ
่ ย่ ายในนิวเคลียส เนือ
่ ง าก การทีน
่ วิ คลีออน มารวมกันอย่ได้ในนิวเคลียสต้องมี
การเปลีย่ นมวลบางส่วนเปนพลังงาน สาหรับใช้ในการยดเหนีย่ วให้อย่รว่ มกันเพือ
่ ทาให้นวิ เคลียส
มีเสถียร าพ
ส่วนของมวลทีแ่ ตกต่างร หว่างมวลรวมของนิวคลีออนทัง้ หมดในนิวเคลียสกับมวลของนิวเคลียส
นี้ เรียกว่า ส่วนพร่องมวล mass defect, Δm ซ่งเทียบเท่าพลังงานยดเหนีย่ ว E ของนิวเคลียส
ตามสมการ (20.1a แล 20.1b ในหนังสือเรียน

ครนาอ ิปรายเกี่ยวกับการหาส่วนพร่องมวล ากมวลอ ตอม ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน


นสรุปได้วา่ ส่วนพร่องมวลหาได้ าก ลต่างร หว่างมวลรวมขององค์ปร กอบอ ตอมกับมวลอ ตอมตาม
สมการ 20.2a 20.2c ากนั้น ให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 20.1 แล 20.2 โดยมีครเปน ้แน นา
ครตั้ ง คาถามให้ นั ก เรี ย นพิ ารณาเปรี ย บเที ย บร หว่ า งเสถี ย ร าพของนิ ว เคลี ย สที่ มี พ ลั ง งาน
ยดเหนี่ยวมากกับเสถียร าพของนิวเคลียสที่มีพลังงานยดเหนี่ยวน้อย โดยใช้ข้อมลที่ได้ ากตัวอย่าง 20.1
แล ตัวอย่าง 20.2 ปร กอบการอ ิปราย
ให้นักเรียนอ ิปรายเกี่ยวกับความสัมพัน ์ร หว่างเสถียร าพของนิวเคลียสกับพลังงานยดเหนี่ยว
นสรุปได้วา่ พลังงานยดเหนีย่ วมีคา่ มากข้นตาม านวนนิวคลีออนในนิวเคลียสทีม
่ ากข้น แต่เสถียร าพของ
นิวเคลียสไม่ได้ขน
้ กับพลังงานยดเหนีย
่ วเท่านัน
้ แต่ขน
้ กับ พลังงานยดเหนีย
่ วต่อนิวคลีออน ซ่งเปนพลังงาน
เฉลี่ยที่ต้องใช้ในการทาให้นิวคลีออนแต่ล อนุ าคในนิวเคลียสแยกออก ากกัน มีค่าตามสมการ 20.3a
แล 20.3b ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน ากนั้นให้นักเรียนศกษาความสัมพัน ์ร หว่างพลังงานยด
E
เหนี่ยวต่อนิวคลีออน กับเลขมวล A ากกราฟในรป 20.4 ในหนังสือเรียน โดยครอา ตั้งคาถามให้
A
นักเรียนอ ิปรายเกี่ยวกับกราฟ ดังนี้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
124 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ก. นิวเคลียสที่มีเลขมวลอย่ร หว่างค่าใดมีพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนสงกว่านิวเคลียสในช่วง
เลขมวลอื่น
แนวคำาตอบ นิวเคลียสที่มีเลขมวลอย่ในช่วงร หว่าง 56 - 72 เปนนิวเคลียสที่มีพลังงานยด
เหนี่ ย วต่ อ นิ ว คลี อ อนมากกว่ า นิ ว เคลี ย สในช่ ว งเลขมวลอื่ น ครอา ชี้ แ งเพิ่ ม เติ ม ว่ า ใน
ความเปน ริงแล้ว าตุทม
่ี พ
ี ลังงานยดเหนีย่ วต่อนิวคลีออนสงกว่า าตุอน
่ื มีเลขมวลอย่ร หว่าง
55 - 70
ข. นิวเคลียสใดมีพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนน้อยที่สุด
แนวคำาตอบ นิวเคลียสของดิวเทอเรียม หรือ ดิวเทอรอน เปนนิวเคลียสที่มีพลังงานยดเหนี่ยว
ต่อนิวคลีออนน้อยที่สุด
ค. นิวเคลียสใดมีพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนมากที่สุด
62
แนวคำาตอบ นิวเคลียสของนิกเกิล 28 Ni เปนนิวเคลียสที่มีพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน
มากที่สุด
ครอา ถามคาถามชวนคิดในหน้า 128 ให้นกั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกัน โดยครเปดโอกาสให้นกั เรียนแสดง
ความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง

แนวคำาตอบชวนคิด

56
ากกราฟในรป 20.4 การทาให้นิวคลีออนของเหล็ก 26 Fe แยกออก ากกันง่ายหรือยากกว่าการ
23
ทาให้นิวคลีออนของโซเดียม 11 Na แยกออก ากกัน เพรา เหตุใด
แนวคำาตอบ การทาให้นวิ คลีออนของเหล็กแยกออก ากกันยากกว่าการทาให้นวิ คลีออนของโซเดียม
แยกออก ากกัน เพรา นิวเคลียสของเหล็กมีพลังงานยดเหนีย่ วต่อนิวคลีออนมากกว่านิวเคลียสของ
โซเดียม

ครควรเน้นว่า นิวเคลียสที่มีพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนมาก อา เปนนิวเคลียสที่เสถียรหรือไม่


เสถียรก็ได้ เนือ่ ง ากมีป ยั อืน
่ เกีย่ วข้องอีก เช่น นิวเคลียสของยเรเนียม 238 ถงแม้ มีพลังงานยดเหนีย่ ว
ต่อนิวคลีออนปร มาณ 7.57 MeV/nucleon แต่เปนนิวเคลียสที่ไม่เสถียร เมื่อเทียบกับ He หรือ N ที่มี
พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน 6.82 MeV/nucleon แล 7.47 MeV/nucleon ตามลาดับ แต่ทั้ง 2
นิวเคลียสนี้ มีเสถียร าพมากกว่ายเรเนียม 238
ครให้นก
ั เรียนศกษาตัวอย่าง 20.3 ในหนังสือเรียนโดยมีครเปน แ้ น นา ากนัน
้ ครให้นก
ั เรียนตอบ
คาถามตรว สอบความเข้าใ แล ทาแบบ กหัด 20.1

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 125

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับ รรมชาติของแรงนิวเคลียร์ ความสัมพัน ์ร หว่างแรงนิวเคลียร์แล พลังงาน
ยดเหนี่ย วกั บ เสถี ย ร าพของนิ ว เคลี ย ส แล ความสั ม พั น ์ ร หว่ า งพลั ง งานยดเหนี่ย วกั บ
ส่วนพร่องมวล ากคาถามตรว สอบความเข้าใ แล แบบ กหัดท้ายหัวข้อ 20.1
2. ทักษ การแก้ปญหาแล การใช้ านวน ากการแก้โ ทย์ปญหาแล การคานวณปริมาณต่าง
เกี่ยวกับส่วนพร่องมวลแล พลังงานยดเหนี่ยว ในแบบ กหัดท้ายหัวข้อ 20.1
3. ต
ิ วิทยาศาสตร์ดา้ นความมีเหตุ ล ากการอ ป
ิ รายร่วมกัน แล ด้านความรอบคอบ ากการทา
แบบ กหัดท้ายหัวข้อ 20.1

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 20.1

1. เพรา เหตุใดแรง ลักทางไฟฟาร หว่างโปรตอนในนิวเคลียส งไม่สามารถทาให้โปรตอนแยก


ออก ากกัน
แนวคำาตอบ เพรา ร หว่างโปรตอนมีแรงนิวเคลียร์ที่มีขนาดมากกว่าแรงไฟฟา ยดเหนี่ยวให้
โปรตอนอย่รวมกันอย่ในนิวเคลียส
2. เพรา เหตุใดนิวเคลียสของไอโซโทปที่เสถียรแล มีเลขอ ตอมร หว่าง 20 ถง 83 งมี านวน
นิวตรอนมากกว่า านวนโปรตอน
แนวคำาตอบ เพรา การมี านวนนิวตรอนมากกว่า านวนโปรตอนในปริมาณที่เหมา สม ทา
ให้ มี แ รงนิ ว เคลี ย ร์ ม ากพอที่ ชดเชยแรง ลั ก ทางไฟฟาร หว่ า งโปรตอน ทาให้ นิ ว เคลี ย ส
มีเสถียร าพ
3. งให้ความหมายของพลังงานยดเหนี่ยวแล ส่วนพร่องมวล
แนวคำาตอบ
พลังงานยดเหนี่ยว คือ พลังงานที่พอดีทาให้นิวคลีออนทั้งหมดในนิวเคลียสแยกออก ากกัน
ส่วนพร่องมวล คือ ส่วนของมวลทีแ่ ตกต่างร หว่างมวลรวมของนิวคลีออนทัง้ หมดในนิวเคลียส
กับมวลของนิวเคลียส
4. พลังงานยดเหนี่ยวมีความสัมพัน ์กับส่วนพร่องมวลอย่างไร
แนวคำ า ตอบ พลั ง งานยดเหนี่ ย วเท่ า กั บ พลั ง งานที่ เ ที ย บเท่ า ส่ ว นพร่ อ งมวลตามสมการ
ความสัมพัน ์มวลกับพลังงาน E = Δm c2
5. พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนของนิวเคลียสมีความสัมพัน ์กับเสถียร าพของนิวเคลียส
อย่างไร
แนวคำาตอบ สาหรับนิวเคลียสที่เสถียร นิวเคลียสที่มีเสถียร าพมาก มีพลังงานยดเหนี่ยวต่อ
นิวคลีออนมาก แต่สาหรับนิวเคลียสที่ไม่เสถียร พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนไม่สัมพัน ์กับ
เสถียร าพของนิวเคลียส

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
126 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

เฉลยแบบฝึกหัด 20.1

คาถามต่อไปนี้ กาหนดให้
มวล 1 u เท่ากับ 1.66 × 10-27 กิโลกรัม ซ่ง เทียบเท่ากับพลังงาน 931.5 MeV
พลังงาน 1 อิเล็กตรอนโวลต์ เท่ากับ 1.66 × 10-19 ล
มวลของโปรตอนเท่ากับ 1.007276 u มวลของนิวตรอนเท่ากับ 1.008665 u
แล มวลของอิเล็กตรอนเท่ากับ 0.000549 u
238
1. กาหนดมวลอ ตอมของยเรเนียม 238 92 U เท่ากับ 238.050788 u งหาปริมาณต่อไปนี้
คาตอบเปนตัวเลขทศนิยม 6 ตาแหน่ง
ก. ส่วนพร่องมวลของ 238
92 U
ข. พลังงานยดเหนี่ยวของ 238
92 U
ค. พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนของ 238
92 U
วิธีทาำ ก. อ ตอมของยเรเนียม 238 ปร กอบด้วยโปรตอน 92 โปรตอน
นิวตรอน 146 นิวตรอน แล อิเล็กตรอน 92 อิเล็กตรอน
มวลรวมขององค์ปร กอบของอ ตอม 238
92 U
= 92mp + 146mn + 92me
= 92 1.007276 u + 146 1.008665 u + 92 0.000549 u
= 239.984990 u
หาส่วนพร่องมวล Δm าก ลต่างร หว่างมวลรวมขององค์ปร กอบของอ ตอม
กับมวลอ ตอม ดังนี้
Δm = มวลรวมขององค์ปร กอบอ ตอม 238 238
92 U − มวลอ ตอม 92 U
= 239.984990 u – 238.050788 u
= 1.934202 u
= 1.934202 u 1.66 × 10-27 kg/u
= 3.210775 × 10-27 kg
ข. หาพลังงานยดเหนี่ยวที่เทียบเท่ากับส่วนพร่องมวลโดยใช้สมการ
E = Δm 931.5 MeV/u
แทนค่า ได้
E = 1.934202 u 931.5 MeV/u
= 1801.709 MeV

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 127

= 1.801709 × 103 MeV


ค. นิวเคลียสของยเรเนียม 238 มี านวนนิวคลีออน 238 นิวคลีออน
E
ดังนั้น พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน เท่ากับ
A
E 1801.709 MeV
A 238 nucleons
= 7.570206 MeV/nucleon
ตอบ ก. ส่วนพร่องมวลของยเรเนียม 238 เท่ากับ 1.934202 u
หรือ 3.210775 × 10-27 กิโลกรัม
ข. พลังงานยดเหนี่ยวของนิวเคลียสของยเรเนียม 238 เท่ากับ
1.801709 × 103 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
ค. พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนของยเรเนียม 238 เท่ากับ
7.570206 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
40
2. กาหนดมวลของอ ตอมของแคลเซียม 20 Ca เท่ากับ 39.962591 u งหาปริมาณต่อไปนี้
คาตอบเปนตัวเลขทศนิยม 6 ตาแหน่ง
ก. ส่วนพร่องมวลของ 40
20 Ca
ข. พลังงานยดเหนี่ยวของ 40
20 Ca
ค. พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนของ 40
20 Ca
วิธีทาำ ก. อ ตอมของแคลเซียมปร กอบด้วยโปรตอน 20 โปรตอน นิวตรอน 20 นิวตรอน แล
อิเล็กตรอน 20 อิเล็กตรอน
มวลรวมขององค์ปร กอบของอ ตอม 40
20 Ca
= 20mp + 20mn + 20me
= 20 1.007276 u + 20 1.008665 u + 20 0.000549 u
= 40.329800 u
หาส่วนพร่องมวล Δm าก ลต่างร หว่างมวลรวมขององค์ปร กอบของอ ตอม
กับมวลอ ตอม ดังนี้
Δm = มวลรวมขององค์ปร กอบอ ตอม 40 40
20 Ca มวลอ ตอม 20 Ca
= 40.329800 u – 39.962591 u
= 0.367209 u
= 0.367209 u 1.66 × 10-27 kg/u
= 6.095669 × 10-28 kg

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
128 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ข. หาพลังงานยดเหนี่ยวที่เทียบเท่ากับส่วนพร่องมวลโดยใช้สมการ
E = Δm 931.5 MeV/u
แทนค่า ได้
E = 10.367209 u 931.5 MeV/u
= 342.0552 MeV
= 3.420552 × 102 MeV
ค. นิวเคลียสของแคลเซียม มี านวนนิวคลีออน 40 นิวคลีออน
E
ดังนั้น พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน เท่ากับ
A
E 342.0552 MeV
A 40 nucleons
= 8.551380 MeV/nucleon
ตอบ ก. ส่วนพร่องมวลของแคลเซียม เท่ากับ 0.367209 u หรือ 6.095669 × 10-28 กิโลกรัม
ข. พลังงานยดเหนี่ยวของนิวเคลียสของแคลเซียม เท่ากับ
3.420552 × 102 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
ค. พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนของแคลเซียม เท่ากับ
8.551380 เมก อิเล็กตรอนโวลต์

3. ากข้อ 1. แล ข้อ 2. นิวเคลียสของ าตุใดมีเสถียร าพมากกว่า เพรา เหตุใด


วิธีทาำ พิ ารณาเสถียร าพ ากพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนของนิวเคลียส ถ้านิวเคลียสใด
มีพลังงานยดเหนีย่ วต่อนิวคลีออนมาก แสดงว่า นิวเคลียสนัน
้ มีเสถียร าพมากกว่า ซ่งใน
ที่นี้ นิวเคลียสของแคลเซียม มีพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนเท่ากับ 8.551380 เมก
อิเล็กตรอนโวลต์ ซ่งมากกว่า นิวเคลียสของยเรเนียม 238 ซ่งมีพลังงานยดเหนี่ยวต่อ
นิวคลีออนเท่ากับ 7.570206 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
ดังนั้น นิวเคลียสของแคลเซียม งมีเสถียร าพมากกว่า
ตอบ นิวเคลียสของแคลเซียมมีเสถียร าพมากกว่านิวเคลียสของยเรเนียม 238
เพรา มีพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนมากกว่า

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 129

4. พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนของนิวเคลียสของ ีเลียม 4
2 He มีค่าเท่ากับ
6.82 MeV/nucleon งหาส่วนพร่องมวลของ ีเลียม
วิธีทาำ นิวเคลียสของ ีเลียม มี านวนนิวคลีออนเท่ากับ 4 นิวคลีออน
ดังนั้น นิวเคลียสของ ีเลียมมีพลังงานยดเหนี่ยว
E = 4 nucleon 6.82 MeV/nucleon
= 27.28 MeV
หาส่วนพร่องมวล โดยใช้สมการ E = Δm 931.5 MeV/u
E
ัดรปสมการใหม่ได้เปน m
931.5 MeV/u
27.28 MeV
แทนค่า ได้ m
931.5 MeV/u
= 0.029 u
ตอบ นิวเคลียสของ ีเลียม มีส่วนพร่องมวลเท่ากับ 0.029 u

5. โปรตอนแต่ล อนุ าคทีอ


่ ย่ในนิวเคลียสของลิเทียม 73 Li ถกยดเหนีย่ วไว้ดว้ ยพลังงานเฉลีย่ เท่าไร
กาหนดให้มวลอ ตอมของลิเทียมเท่ากับ 7.016005 u
วิธีทาำ หาพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนของลิเทียม 73 Li โดยเริ่ม าก หาส่วนพร่องมวล
อ ตอมของลิ เ ที ย มปร กอบด้ ว ยโปรตอน 3 โปรตอน นิ ว ตรอน 4 นิ ว ตรอน แล
อิเล็กตรอน 3 อิเล็กตรอน หาส่วนพร่องมวล ากสมการ
Δm = [Zmp + A - Z mn + Zme] − mLi-7
แทนค่า ได้
Δm = [3 1.007276 u + 4 1.008665 u + 3 0.000549 u − 7.016005 u
= 0.042130 u
หาพลังงานยดเหนี่ยวที่เทียบเท่ากับส่วนพร่องมวล
E = 0.04213 u 931.5 MeV/u
= 39.244095 MeV
หาพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน เท่ากับ
E 39.244095 MeV
A 7 nucleons
= 5.606299 MeV/nucleon
ตอบ โปรตอนแต่ล อนุ าคในนิวเคลียสของลิเทียม ถกยดเหนี่ยวไว้ด้วยพลังงานเฉลี่ยเท่ากับ
5.606299 เมก อิเล็กตรอนโวลต์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
130 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

20.2 กัมมันตภาพรังสี
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายของกัมมันต าพรังสี าตุกัมมันตรังสี แล ไอโซโทปกัมมันตรังสี
2. ร บุชนิดแล บอกสมบัติของรังสีที่แ ่ออกมา าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสี
3. เขียนสมการของการสลายให้แอลฟา บีตา แล แกมมา
4. บอกความหมายแล คานวณกัมมันต าพ
5. ทดลองเพื่ออ ิบายการสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีแล คร่งชีวิต
6. คานวณ านวนนิวเคลียสกัมมันตรังสีที่เหลือ ากการสลายแล คร่งชีวิต

แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 20.2 โดยตัง้ คาถามให้นก
ั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกันว่า ากการศกษาที่ า่ นมา เปนการ
ศกษาเกีย่ วกับนิวเคลียสทีเ่ สถียร ถ้านิวเคลียสไม่เสถียร ทาให้ าตุหรือไอโซโทปมีการเปลีย่ นแปลงอย่างไร
โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครชี้แ ้งว่า ในหัวข้อนี้นักเรียน ได้เรียนเกี่ยวกับการค้นพบกัมมันต าพรังสี รังสีชนิดต่าง
ต้นเหตุของกัมมันต าพรังสี แล ปริมาณต่าง ทีเ่ กีย่ วข้องกับการแ ร่ งั สี เช่น อัตราการแ ร่ งั สี แล คร่งชีวต

20.2.1 การค้นพบกัมมันตภาพรังสี

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. กัมมันต าพรังสี คือ วัตถุที่แ ่รังสีได้เอง 1. กัมมันต าพรังสี คือ ปราก การณ์ที่ าตุ
อย่างต่อเนื่อง หรือไอโซโทปของ าตุแ ่รังสีได้เองอย่าง
ต่อเนื่อง

2. ไอโซโทปของ าตุทกุ ไอโซโทป เปนไอโซโทป 2. ไอโซโทปของ าตุบางไอโซโทปเปนไอโซโทป


กัมมันตรังสี สามารถแ ร่ งั สีได้เสมอ กัมมันตรังสี บางไอโซโทปเปนไอโซโทป
เสถียร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 131

3. กัมมันต าพรังสีแล กัมมันตรังสีมี 3. คาว่ า กั ม มั น ต าพรั ง สี เปนคานาม


ความหมายเหมือนกัน ใช้แทนกันได้ หมายถงปราก การณ์ชนิดหน่ง แต่คาว่า
กัมมันตรังสี เปนคาคุณศัพท์ ใช้ขยายคา
อื่น เช่น ไอโซโทปกัมมันตรังสี คือ
ไอโซโทปที่แ ่รังสีได้เอง หรือ นิวเคลียส
กัมมันตรังสี คือ นิวเคลียสที่สลายได้เอง
ตาม รรมชาติ

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชีแ้ ง ด
ุ ปร สงค์การเรียนร้ขอ
้ ที่ 6 ของหัวข้อ 20.2 ตามหนังสือเรียน ากนัน
้ ครให้นก
ั เรียนศกษา
เกี่ยวกับการค้นพบกัมมันต าพรังสีของเเบ็กเกอแรล ในหัวข้อ 20.2.1 ในหนังสือเรียน แล้วตั้งคาถามให้
นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน โดยอา ใช้คาถามดังนี้
ก. การทดลองของเเบ็กเกอแรล มี ุดปร สงค์เพื่อศกษาในเรื่องใด
แนวคำาตอบ การทดลองของเเบ็กเกอแรล มี ด
ุ ปร สงค์เพือ่ ศกษาการเรืองแสงแล ปล่อยรังสีเอกซ์
ของสารเมื่อถกกร ตุ้นด้วยแสงแดด
ข. เหตุใดเเบ็กเกอแรล งใส่ฟล์มถ่ายรปไว้ในซองกร ดาษสีดา ขณ ที่ทาการทดลองกลางแดด
แนวคำาตอบ การใส่ฟล์มถ่ายรปไว้ในซองกร ดาษ เพือ
่ ปองกันไม่ให้แสงแดดตกกร ทบแ น
่ ฟล์ม
ซ่งทาให้ฟล์มมีรอยดาแล ลการทดลองคลาดเคลื่อน
ค. เหตุ ลใดเเบ็กเกอแรล งสรุปว่า สารปร กอบยเรเนียมปล่อยรังสีชนิดหน่งออกมาโดยไม่เกีย่ วข้อง
กับแสงแดด
แนวคำาตอบ ในการทดลองกับสารปร กอบของยเรเนียม ถงแม้แบ็กเกอแรล เก็บชุดอุปกรณ์
ไว้ในลิ้นชักซ่งไม่ถกแสงแดดเปนเวลาหลายวัน แต่เมื่อนาฟล์มที่เก็บไว้ไปล้างพบว่า เกิดรอยดา
บนแ ่นฟล์มมีสีเข้มกว่า เมื่อครั้งที่ทดลองกับแสงแดด
ง. รังสีที่ได้ ากสารปร กอบยเรเนียม มีสมบัติเหมือนแล แตกต่าง ากรังสีเอกซ์อย่างไร
แนวคำาตอบ รังสีทแ่ี อ
่ อกมา ากสารปร กอบของยเรเนียม มีสมบัตบ
ิ างปร การคล้ายรังสีเอกซ์
เช่น สามารถท ลุ ่านวัตถุทบแสง ทาให้อากาศที่รังสีนี้ ่านแตกตัวเปนไอออน แต่รังสีที่ได้ าก
สารปร กอบของยเรเนียมเกิดข้นเองตลอดเวลา ในขณ ที่รังสีเอกซ์เกิดข้นเองตาม รรมชาติไม่
ได้ ต้อง ่านการกร ตุ้น

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
132 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ครควรชี้ ใ ห้ เ ห็ น ว่ า การค้ น พบปราก การณ์ แ ่ รั ง สี ข องเเบ็ ก เกอแรล แม้ เปนการบั ง เอิ ญ


แต่เพรา ความเปนคนช่างสังเกต ช่างคิด ปร กอบกับการมีความร้แล ปร สบการณ์ในเรื่องที่ศกษามาพอ
สมควร งทาให้แบ็กเกอแรลสามารถค้นพบปราก การณ์ครั้งปร วัติศาสตร์ที่ได้เปนแรง ลักดันให้นัก
วิทยาศาสตร์อีกหลาย คน เช่น ปีแอร์ กรี แล มารี กรี ได้ทาการทดลองแล ศกษาเพิ่มเติม นทาให้
วิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างมาก ดังนั้น นักเรียน งควรพิ ารณานาไปเปนแบบอย่าง เมื่อ
ทาการทดลองในวิชาฟสิกส์หรือเมื่อต้องศกษาเรื่องใดเรื่องหน่ง
ครให้นักเรียนศกษาความหมายของกัมมันต าพรังสี ไอโซโทปกัมมันตรังสี แล าตุกัมมันตรังสี
ตามรายล เอียดในบทเรียน แล ให้นก
ั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกันเพือ
่ เปรียบเทียบการแ ร่ งั สีของ าตุกม
ั มันตรังสี
กับการให้แสงกับหลอดไฟ โดยครควรเน้นความแตกต่างร หว่างสถานการณ์ทั้งสอง เช่น การแ ่รังสีของ
าตุ กั ม มั น ตรั ง สี ไ ม่ ส ามารถควบคุ ม ได้ แต่ ก ารให้ แ สงของหลอดไฟสามารถควบคุ ม ได้ ด้ ว ยสวิ ต ซ์ หรื อ
การแ ่รังสีของ าตุกัมมันตรังสีเกิดข้นได้เอง แต่การให้แสงของหลอดไฟต้องมีกร แสไฟฟา ่านหลอดไฟ
ครควรเน้นเกี่ยวกับความแตกต่างของการใช้คาว่า กัมมันต าพรังสี กับคาว่า กัมมันตรังสี ซ่งคา
แรกเปนคานามที่หมายถงปราก การณ์ชนิดหน่ง ส่วนอีกคา เปนคาคุณศัพท์ ที่ใช้ขยายคาอื่น เพื่อบอก
ถงสมบัติการแ ่รังสีได้เอง เช่น ไอโซโทปกัมมันตรังสี าตุกัมมันตรังสี

20.2.2 รังสีจากธาตุและไอโ โทปกัมมันตรังสี

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. เมื่อรังสีที่แ ่ออกมา าก าตุกัมมันตรังสี 1. รั ง สี ที่ แ ่ อ อก าก าตุ กั ม มั น ตรั ง สี เปน


เคลื่ อ นที่ ่ า นอากาศแล ไปตกกร ทบ อนุ าคหรือคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟา เมือ
่ รังสีแ ่
วัตถุใดวัตถุหน่ง ทาให้อากาศทีอ
่ ย่รอบ ออก ากแหล่งกาเนิด ถ่ายโอนพลังงาน
แล วัตถุนั้นปนเปอนรังสี ให้ สิ่ ง แวดล้ อ ม แล เมื่ อ รั ง สี ต กกร ทบ
วัตถุใดวัตถุหน่ง พลังงาน ากรังสี ถ่าย
โอนให้กบ
ั วัตถุนน
ั้ ทาให้มก
ี ารเปลีย่ นแปลง
ในร ดั บ โมเลกุ ล หรื อ อ ตอมของวั ต ถุ
แต่ ไ ม่ ท าให้ วั ต ถุ นั้ น หรื อ อากาศที่ อ ย่
รอบ มีการปนเปอนรังสี

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 133

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

2. รั ง สี แ อลฟามี ม วลมากที่ สุ ด งสามารถ 2. รังสีแอลฟามีมวลมากที่สุด เมื่อเคลื่อนที่


ท ลุ ่ า นวั ต ถุ ไ ด้ ม ากที่ สุ ด เมื่ อ เที ย บกั บ ่ า นวั ส ดุ ต่ า ง สญเสี ย พลั ง งานได้
รังสีอื่น มากที่สุด งท ลุ ่านวัตถุได้น้อยที่สุด เมื่อ
เทียบกับรังสีอื่น

3. รังสีบีตา คือ อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ด้วย 3. รังสีบีตา เมื่อ าแนกอย่างล เอียด มีทั้ง


ความเร็วสง รังสีบีตาลบ ที่เปน อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่
ด้วยความเร็วสง แล รังสีบีตาบวก ที่เปน
โพซิตรอนที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสง

4. รังสีบีตาคือรังสีแคโทด 4. รังสีบีตาไม่ใช่รังสีแคโทด เพรา รังสีบีตา


เกิ ด ากการสลายของ าตุ กั ม มั น ตรั ง สี
แต่รังสีแคโทด คือ ลาอิเล็กตรอนที่ถกเร่ง
ด้ ว ยความต่ า งศั ก ย์ ใ นหลอดรั ง สี แ คโทด
ซ่งมีพลังงานต่ากว่ารังสีบีตา

5. รังสีทแี่ ่ าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสี 5. รังสีทแี่ ่ าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสี


มีเพียง 3 ชนิด เท่านัน
้ คือ รังสีแอลฟา บีตา ส่วนใหญ่มี 3 ชนิด คือ รังสีแอลฟา บีตา
แล แกมมา แล แกมมา นอก ากนี้ ยังมีรงั สีชนิดอืน

อีกที่แ ่ออก าก าตุแล ไอโซโทป
กัมมันตรังสี เช่น รังสีนวิ ตรอน รังสีโปรตอน

6. รังสี าก าตุกัมมันตรังสีเปนคลื่นแม่เหล็ก 6. รังสี าก าตุกม


ั มันตรังสี มีทงั้ ทีเ่ ปนอนุ าค
ไฟฟาเท่านั้น เช่น อนุ าคแอลฟา อนุ าคบีตา แล ที่
เปนคลื่นแม่เหล็กไฟฟา ได้แก่ รังสีแกมมา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
134 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 7 ของหัวข้อ 20.2 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อ 20.2.2 โดยอ ิปรายทบทวนความร้เกี่ยวกับการค้นพบกัมมันต าพรังสี ากนั้น
ครตั้งคาถามให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกันว่า รังสีที่แ ่ออกมา าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสีแตกต่าง าก
รังสีที่นักเรียนเคยได้เรียนร้มาหรือไม่ อย่างไร แล รังสีที่แ ่ออกมา าก าตุกัมมันตรังสี มีรังสีชนิดใดบ้าง
โดยครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครทบทวนความร้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับรังสีแคโทด โดยการตั้งคาถามเกี่ยวกับการเบนของรังสี
แคโทดแล อนุ าคมีปร ุไฟฟาในสนามแม่เหล็ก ากที่ได้เรียนมาในบทที่ 15 ากนั้น ให้นักเรียนศกษา
ลการศกษาการเบนของรังสีทแี่ อ
่ อกมา าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสี เมือ
่ ให้ า่ นเข้าไปในบริเวณทีม
่ ี
สนามแม่เหล็ก ดังรป 20.7 ในหนังสือเรียน แล้วอา ใช้คาถามชวนคิดให้นักเรียนอ ิปรายเพื่อหาคาตอบ
ร่วมกัน

แนวคำาตอบชวนคิด

ากแนวการเบนของรังสีในรป 20.7 สามารถสรุปได้ว่ามีรังสีแตกต่างกันอย่างน้อยกี่ชนิด แล รังสี


แต่ล ชนิดมีสมบัติแตกต่างกันอย่างไร
แนวคำาตอบ ากความเข้าใ เกีย่ วกับการเคลือ
่ นทีข
่ องอนุ าคทีม
่ ป
ี ร ไุ ฟฟาในสนามแม่เหล็ก การ
เบนของรังสีในสนามแม่เหล็ก 3 แนว สามารถวิเครา ห์ได้วา่ รังสีมป
ี ร ไุ ฟฟาแตกต่างกัน 3 ชนิด ซ่ง
ปร กอบไปด้วยรังสีทม
่ี ป
ี ร ไุ ฟฟาบวก ปร ไุ ฟฟาลบ แล เปนกลางทางไฟฟา

แนวคำาตอบชวนคิด

ากรป 20.7 แนวการเบนของรังสีแนวใด เปนรังสีแอลฟา บีตา แล แกมมา ตามลาดับ


แนวคำาตอบ แนวที่ 1 เปนแนวของรังสีแอลฟา แนวที่ 2 เปนแนวของรังสีแกมมา แล แนวที่ 3 เปน
แนวของรังสีบต
ี า

ครให้นักเรียนศกษาเกี่ยวกับชนิดแล สมบัติของรังสีที่แ ่ออกมา าก าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสี


ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน แล้วอ ิปรายร่วมกัน นสรุปได้ตามข้อมลในตาราง 20.2

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 135

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

มวลที่แตกต่างกันของรังสีทั้ง 3 ชนิด ทาให้อานา ท ลุ ่านวัสดุแตกต่างกันเพรา รังสีที่มี


มวลมาก เมื่อเคลื่อนที่ ่านตัวกลาง ชนกับอนุ าคของตัวกลางแล สญเสียพลังงานได้มากกว่า
รังสีที่มีมวลน้อย รังสีที่มีมวลมาก งมีอานา ท ลุ ่านต่ากว่ารังสีที่มีมวลน้อยกว่า
การที่รังสีทั้ง 3 ชนิด สามารถทาให้อากาศแตกตัวเปนไอออนได้แตกต่างกันเพรา ความ
สามารถในการทาให้อากาศแตกตัวเปนไอออน ข้นกับขนาดของปร ุไฟฟาของรังสี ดังนั้น รังสี
แอลฟาที่มีปร ุไฟฟา +2e งสามารถทาให้อากาศแตกตัวเปนไอออนได้มากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบ
กับรังสีบต
ี าทีม
่ ป
ี ร ุ 1e ส่วนรังสีแกมมาทีเ่ ปนกลางทางไฟฟาสามารถทาให้อากาศแตกตัวได้ เพรา
มีพลังงานสง

ครควรชีใ้ ห้เห็นว่า เมือ


่ พิ ารณาอย่างล เอียด รังสีบต
ี ามี 2 ชนิด ได้แก่ รังสีบต
ี าบวก แล รังสีบต
ี าลบ
แต่โดยส่วนใหญ่ าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสี แ ร่ งั สีบต
ี าลบ ดังนัน
้ เมือ
่ กล่าวถงรังสีบต
ี า งมักหมายถง
รังสีบีตาลบ นอก ากนี้ ครอา ให้ความร้เพิ่มเติมอีกว่า ถงแม้รังสีบีตาแล รังสีแคโทด เปนลาของอนุ าค
อิเล็กตรอนเหมือนกัน แต่รงั สีบต
ี าไม่ใช่รงั สีแคโทด เพรา อิเล็กตรอนของรังสีบต
ี าเปนอิเล็กตรอนทีม
่ ค
ี วามเร็ว
สงกว่ารังสีแคโทดมาก
ครให้ความร้เพิ่มเติมว่า นอก ากรังสีทั้ง 3 ชนิดที่กล่าวถง าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสียังมีการแ ่
รังสีชนิดอื่นอีก เช่น รังสีนิวตรอน รังสีโปรตอน แต่เกิดข้นใน รรมชาติน้อยมาก ส่วนใหญ่ รังสีนิวตรอนที่
ใช้ทางอุตสาหกรรม มา าก เครื่องป ิกรณ์นิวเคลียร์หรือการเร่งอนุ าค ส่วนรังสีโปรตอนมา ากการเร่ง
อนุ าคเช่นกัน
ครให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ 20.2 ข้อ 1. แล 2. ในหนังสือเรียน

20.2.3 การสลายและสมการการสลาย

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. เมือ
่ าตุหรือไอโซโทปกัมมันตรังสีมก
ี ารแ ่ 1. เมือ
่ าตุหรือไอโซโทปกัมมันตรังสีมก
ี ารแ ่
รังสี ปริมาณเนือ
้ สาร หายไปทีล น้อย น รังสี ปริมาณเนื้อสารทั้งหมดไม่ได้หายไป
กร ทั่งหมดไป เพียงแต่มีการเปลี่ยนไปเปน าตุอีกชนิด
หน่ง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
136 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

2. การแ ่รังสีของ าตุหรือไอโซโทป 2. การแ ่รังสีของ าตุหรือไอโซโทป


กัมมันตรังสี เกิด ากการคายพลังงานของ กัมมันตรังสี เกิด ากการคายพลังงานของ
อ ตอมที่ไม่เสถียร นิวเคลียสที่ไม่เสถียร

3. นิวเคลียสกัมมันตรังสีเปนนิวเคลียสของ 3. นิวเคลียสของ าตุทม


ี่ เี ลขอ ตอมต่า บาง
าตุที่มีเลขอ ตอมสง เท่านั้น าตุเปนนิวเคลียสกัมมันตรังสีเช่น ทริทอน
หรือ นิวเคลียสของคาร์บอน 14

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. ถ้ามีการทากิ กรรมเสนอแน สาหรับคร เกม ับค่ หรือ เกมใบ้คา เพื่อทบทวนคาศัพท์เกี่ยว
กับกัมมันต าพรังสี ให้เตรียมวัสดุแล อุปกรณ์สาหรับการทบทวนคาศัพท์ เช่น บัตรคาแล
บัตร าพสาหรับกิ กรรม ับค่ บัตรคาแล บัตรบอกความหมายสาหรับกิ กรรมใบ้คา

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 8 ของหัวข้อ 20.2 ตามหนังสือเรียน
ครทบทวนความร้เกี่ยวกับกัมมันต าพรังสี โดยอา เลือกทากิ กรรมเสนอแน สาหรับคร เช่น
เกม ับค่ หรือ เกมใบ้คา เพื่อให้นักเรียนทบทวนคาศัพท์เกี่ยวกับกัมมันต าพรังสี

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 137

กิจกรรมเสนอแนะสำาหรับครู เกมจับคู่

จุดประสงค์
1. บอกความหมายของคาศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกัมมันต าพรังสี

เวลาที่ใช้ 10 นาที

วัสดุและอุปกร ์
1. บัตรคา เรื่อง กัมมันต าพรังสี 1 ชุด
2. บัตร าพ เรื่อง กัมมันต าพรังสี 1 ชุด
ดาวน์โหลดบัตรคาแล บัตร าพได้ าก QR Code ปร าบทที่ 20
หรือที่ลิงค์ http://ipst.me/11456

วิธีทำากิจกรรม
1. คล บัตรคาแล บัตร าพแล้วคว่าบัตรลง ากนั้นแ กให้นักเรียนคนล 1 ใบ ถ้า านวน
นักเรียนในห้องเปน านวนคี่ ้สอนอา ร่วมทากิ กรรมด้วย
2. ให้นักเรียนทุกคนยืนข้น แล้วหงายบัตรคาแล บัตร าพที่ถืออย่พร้อมกัน
3. ให้นักเรียนหาเพื่อนร่วมชั้นที่มีบัตรคาหรือบัตร าพที่สอดคล้องกับบัตรที่ตนเองถืออย่ เมื่อ
พบแล้วให้ ับค่กันแล้วนั่งลง โดยค่ที่นั่งลงก่อน ได้นาเสนอก่อน
4. เมื่อนักเรียนทุกคน ับค่ได้ครบแล้ว ให้นักเรียนค่แรกที่นั่งลงยืนข้น แล้วแสดงบัตรคาแล
บัตร าพของค่ตนเองให้นักเรียนค่อื่น เห็น เพื่อพิ ารณาว่า คาแล าพที่ได้สอดคล้องกัน
หรือไม่
5. ถ้านักเรียนทีย่ น
ื ข้น บ
ั ค่ าพกับคาศัพท์ได้ถกต้อง ให้นก
ั เรียนคนใดคนหน่งอ่านคาศัพท์ดงั
แล้วนักเรียนอีกคนบอกความหมายของคา โดยใช้ าพในบัตร าพปร กอบ ากนัน
้ ให้นงั่ ลง
6. ถ้ า นั ก เรี ย นที่ ยื น ข้ น ั บ ค่ าพกั บ คาศั พ ท์ ไ ด้ ไ ม่ ถ กต้ อ ง ให้ ห าค่ ที่ ถ กต้ อ ง แล้ ว ให้ นั ก เรี ย น
ค่ในลาดับถัด ไปนาเสนอก่อน นกร ทั่งนักเรียนได้นาเสนอครบทุกค่

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
138 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ตัวอย่างบัตรคำาและบัตรภาพ เรื่อง กัมมันตภาพรังสี


บัตรควรมีขนาดใหญ่พอสมควร เพื่อให้นักเรียนทั้งห้องมองเห็นชัดเ น

ัมมันต ั
(Radioactivity)

อ คาร์บอน-14 คาร์บอน-13

(Isotope)

คาร์บอน-12 คาร์บอน-11

ลั น เ น ว ดิวเทอรอน

(Binding Energy)
นิวตรอน

รูป ตัวอย่างบัตรคำาสำาหรับกิจกรรมทบทวนคำาศัพท์เกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 139

นวเคล
(Nuclear force)

แผ่นกระดาษ

ั อล
(Alpha rays)

แผ่นฟิล์ม

ั มม B
(Gamma rays)
แผ่นตะกั่วหนา แผ่นตะกั่วหนา

รูป ตัวอย่างบัตรคำาสำาหรับกิจกรรมทบทวนคำาศัพท์เกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
140 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

กิจกรรมเสนอแนะสำาหรับครู เกมใบ้คาำ

จุดประสงค์
1. บอกความหมายของคาศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกัมมันต าพรังสีี

เวลาที่ใช้ 10 นาที

วัสดุและอุปกร ์
1. บัตรคา เรื่อง กัมมันต าพรังสี 1 ชุด
ดาวน์โหลดบัตรคาแล บัตร าพได้ าก QR Code ปร าบทที่ 20
หรือที่ลิงค์ http://ipst.me/11456

วิธีทำากิจกรรม
1. แบ่งกลุม
่ นักเรียนเปนกลุม
่ ล 3 – 4 คน ให้แต่ล กลุม
่ เลือกตัวแทน 1 คน ที่ ทาหน้าทีใ่ บ้คา
2. ให้ตัวแทนกลุ่มแรก ออกมาหน้าชั้นเรียน แล้วหันหน้าหานักเรียนคนอื่น โดยให้ ้ใบ้คาอย่
ตาแหน่งที่มองเห็นบัตรคาที่ครแสดงได้ชัดเ น
3. เมือ
่ มีสญ
ั ญาณให้เริม
่ เล่นเกม ให้ ใ้ บ้ดคาทีอ
่ ย่บนบัตรคาทีค
่ รถืออย่ แล้วพยายามอ บ
ิ ายความ
หมายของคาให้นก
ั เรียนคนอืน
่ ทาย โดยไม่พดคานัน
้ หรือส่วนหน่งของคานัน
้ ออกมา ถ้าพด
ให้ ่านคานั้นไปแล ไม่ได้ค แนน
4. นักเรียนที่เปน ้ทาย ให้พยายามบอกคาศัพท์ที่มีความหมายสอดคล้องกับคาอ ิบายที่ ้ใบ้
คาบอก โดยสามารถบอกคาได้เพียง 2 คา ถ้าเปนคาที่ตรงกับที่อย่ในบัตรคา ให้กลุ่มนั้นได้
ค แนน 1 ค แนน แต่ถ้าทั้ง 2 คาไม่ตรงกับที่อย่ในบัตรคา กลุ่มนั้นไม่ได้ค แนน ส่วน ้ใบ้คา
ได้ 1 ค แนน เมื่อนักเรียนที่ทาย สามารถทายได้ถกใน 2 คาแรก
5. หลัง ากการใบ้คา ่านไป 1 คา ลัดให้ตัวแทนกลุ่มในลาดับถัดไปออกมาใบ้คาหน้าชั้นเรียน
แล ทาตามขั้นตอนที่ 2 – 4 นครบทุกกลุ่ม หรือ หมดคาในชุดบัตรคา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 141

ตัวอย่างบัตรคำาสำาหรับเกมใบ้คาำ เรื่อง กัมมันตภาพรังสี


บัตรควรมีขนาดใหญ่พอสมควร เพื่อให้นักเรียนทั้งห้องมองเห็นชัดเ น

ัมมันต ั อ
(Radioactivity) (Isotope)

ลั น เ น ว นวเคล
(Binding Energy) (Nuclear force)

ั อล ั ต
(Alpha rays) (Beta rays)

ั มม ต ัมมันต ั
(Gamma rays) (Radioactive Element)

อ ัมมันต ั นวเคล เ
(Radioactive isotope) (Stable nucleus)

รูป ตัวอย่างบัตรคำาสำาหรับกิจกรรมทบทวนคำาศัพท์เกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
142 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ครตั้งคาถามให้นักเรียนอ ิปรายว่า ถ้า าตุกัมมันตรังสีมีการแ ่รังสีออกมา นิวเคลียสของ าตุ มี


การเปลี่ยนแปลงอย่างไร โดยครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบ
ที่ถกต้อง
ครใช้รป 20.9 ปร กอบการอ ิปรายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสี
ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน นสรุปได้ว่า การแ ่รังสีเกิด ากการเปลี่ยนส าพของนิวเคลียสที่ไม่
เสถียร แล ปล่อยพลังงานออกมาในรปของอนุ าคความเร็วสงหรือคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟาความถีส่ ง เพือ
่ เปลีย่ น
ไปอย่ในสถาว ที่มีเสถียร าพมากกว่า
ครร่ ว มกั บ นั ก เรี ย นอ ิ ป รายเกี่ ย วกั บ ความหมายของ การสลายของนิ ว เคลี ย สที่ ไ ม่ เ สถี ย ร
นสรุปได้ดังนี้
การสลายกัมมันตรังสี หรือเรียกสั้น ว่า การสลาย คือกร บวนการที่นิวเคลียสไม่เสถียรเปลี่ยน
ไปเปนนิวเคลียสชนิดใหม่หรือนิวเคลียสเดิมที่มีร ดับพลังงานต่ากว่าเดิมโดย รรมชาติ
การสลายให้อนุ าคแอลฟา หรือ อนุ าคบีตา หรือ รังสีแกมมา ออกมา เรียกว่า การสลายให้แอลฟา
การสลายให้บีตา แล การสลายให้แกมมา ตามลาดับ
ลรวมของเลขอ ตอมแล ลรวมของเลขมวลของนิวเคลียสแล อนุ าคต่าง ก่อนแล หลัง
การสลายมีค่าเท่ากัน
ครให้นักเรียนศกษา การสลายให้แอลฟา บีตา แล แกมมา ตามราย เอียดในหนังสือเรียน โดยอา
แบ่งกลุ่มให้ศกษาการสลายแต่ล ชนิด แล้วให้แต่ล กลุ่มนาเสนอ ากนั้น ครแล นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน
นสรุปเกี่ยวกับการสลายแล สมการการสลาย 20.4 20.7 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 20.4 แล 20.5 ากนั้นให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ
20.2 ข้อ 3 แล 4 แล ทาแบบ กหัด 20.2 ข้อ 1 2 แล 3

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

อนุกรมการสลายของธาตุกัมมันตรังสี
นักวิทยาศาสตร์พบว่าการสลายของ าตุกัมมันตรังสีใน รรมชาติมีทั้งสิ้น 4 อนุกรม คือ
1. อนุกรมทอเรียม thorium series ปร กอบด้วยนิวเคลียสของ าตุเริ่มต้น คือ
ทอเรียม 232 232
90Th นิวเคลียสของ าตุสุดท้าย คือ ต กั่ว 208 208
82 Pb แล เลขมวลของ าตุ
ต่าง ในอนุกรมนี้เปน 4n
2. อนุกรมเนปทูเนียม neptunium series ปร กอบด้วยนิวเคลียสของ าตุเริ่มต้น คือ
พลโทเนียม 241 241
94 Pu นิวเคลียสของ าตุสุดท้ายคือ บิสมัท 209 209
83 Bi แล เลขมวลของ
าตุต่าง ในอนุกรมนี้เปน 4n + 1

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 143

3. อนุกรมยูเรเนียม uranium series ปร กอบด้วยนิวเคลียสของ าตุเริ่มต้น คือ


206
ยเรเนียม 238 นิวเคลียสของ าตุสุดท้ายคือ ต กั่ว 206 82 Pb แล เลขมวลของ าตุต่าง ใน
อนุกรมนี้เปน 4n + 2
4. อนุกรมแอกทิเนียม actinium series ปร กอบด้วยนิวเคลียสของ าตุเริ่มต้น คือ
235
แอกทิโนยเรเนียม actinouranium ซ่งเปนไอโซโทปของยเรเนียมที่มีเลขมวล 235 92 U
นิวเคลียสของ าตุสุดท้ายคือ ต กั่ว 207 207
82 Pb แล เลขมวลของ าตุต่าง ในอนุกรมนี้เปน
4n + 3

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

ตาราง อนุกรมการสลายของ าตุกัมมันตรังสี

นิวเคลียส นิวเคลียส นิวเคลียสที่มี ครึ่งชีวิตของ


ชื่อ เลขมวล แม สุดทาย ครึ่งชีวิตนาน นิวเคลียสที่มีครึ่งชีวิต
ที่สุด ยาวนานที่สุด (ป)

อนุกรมทอเรียม 4n 232
90Th
208
82 Pb
232
90Th 1.39 1010

อนุกรมเนปทูเนียม 4n 1 241
94 Pu
209
83 Bi
237
93 Np 2.25 106

อนุกรมยูเรเนียม 4n 2 238
92 U
206
82 Pb
238
92 U 4.51 109
207
อนุกรมแอกทิเนียม 4n 3 235
92 U 82 Pb
235
92 U 7.07 108

ข้อสังเกต เห็นว่า ในอนุกรมหน่ง เลขมวลของ าตุในอนุกรมนั้น มีค่าเปนไปตาม


สมการ A = 4n + a เมื่อ a แทน 0 1 2 แล 3 การแบ่งการสลายของ าตุกัมมันตรังสี งมีแค่
4 อนุกรม เท่านั้น เนื่อง ากการสลายที่ให้รังสีแอลฟา เลขมวล ลดลง 4 เสมอ ส่วนการสลายที่
ให้รังสีบีตาแล แกมมา เลขมวล ไม่เปลี่ยน ดังนั้นถ้าพิ ารณานิวเคลียส แล้ว ัดให้เลขมวลของ
นิวเคลียสอย่ในรป 4n + a แล้วพิ ารณาค่าของ a มีค่าเท่าไร เพื่อ ัดเข้าในอนุกรม หน่ง เมื่อนา
เลขมวลหารด้วย 4 แล้ว พบว่า มีเศษได้ 0 1 2 แล 3 เท่านั้น ทาให้สามารถบอกได้ว่า นิวเคลียส
ใดนิวเคลียสหน่งอย่ในอนุกรมใด เช่น นิวเคลียสทีม
่ เี ศษศนย์ ถก ด
ั อย่ในอนุกรมทอเรียม หรือ
นิวเคลียสที่มีเศษ 1 ถก ัดอย่ในอนุกรมเนปทเนียม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
144 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

20.2.4 กัมมันตภาพ

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. อั ต ราการแ ่ รั ง สี ข อง าตุ แ ล ไอโซโทป 1. อั ต ราการแ ่ รั ง สี ข อง าตุ แ ล ไอโซโทป


กัมมันตรังสี เปนค่าคงตัว กัมมันตรังสีชนิดใดชนิดหน่ง เปลีย่ นแปลง
ไปตาม านวนนิ ว เคลี ย สของ าตุ แ ล
ไอโซโทปกัมมันตรังสีชนิดนั้น ที่มีอย่

2. การแ ่รังสีของ าตุกัมมันตรังสี ข้นอย่กับ 2. การแ ่รังสีของ าตุกัมมันตรังสี ไม่ข้นอย่


ป ัย ายนอก เช่น อุณห มิ แสงแดด กับป ัย ายนอก
ความดัน

3. การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีมีรป 3. การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีเปน
แบบที่แน่นอน สามารถร บุนิวเคลียสที่ ปราก การณ์ที่เกิดข้นแบบสุ่ม ไม่สามารถ
สลายได้ ร บุนิวเคลียสที่ สลายได้

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. คลิปวีดท
ิ ศ
ั น์เกีย่ วกับการใช้เครือ่ งนับรังสีแบบไกเกอร์มลเลอร์ ให้เตรียมคลิปล่วงหน้า โดยอา
ใช้คลิป ากลิงค์ต่อไปนี้
1.1. คลิปวิดีทัศน์ Radiation Now ตอน ท้าพิส น์รังสี มีอย่ ริง โดย สถาบันเทคโนโลยี
นิวเคลียร์แห่งชาติ สทน. https://youtu.be/0lxDZXJasV4
1.2. คลิปวิดท
ี ศ
ั น์ เกลือกัมมันตรังสี ากร้านขายของชาใกล้บา้ น Radioactive salt from
your local grocery store https://youtu.be/80uW4fwCRfA
1.3. คลิปวิดีทัศน์ โพแทสเซียม 40 กัมมันต าพรังสีใน รรมชาติ Potassium K-49
radioactivity in nature https://youtu.be/3iy6torpZzI
1.4. คลิปวิดีทัศน์ โพแทสเซียมกัมมันตรังสีใน รรมชาติ Naturally occurring
radioactive potassium https://youtu.be/H8Xsu-YqB9A

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 145

2. ถ้ามีการสา ิต การใช้เครื่องนับไกเกอร์ ให้เตรียมวัสดุอุปกรณ์ดังนี้


2.1 เครื่องนับไกเกอร์
2.2 ตัวอย่างวัตถุที่มีกัมมันต าพรังสีต่า เช่น ลวดเชื่อมทังสเตน ไส้ต เกียงเ ้าพายุ ลวด
เชื่ อ มทั ง สเตนที่ มี ท อเรี ย ม 232 เกลื อ บางยี่ ห้ อ ก้ อ นหิ น บางชนิ ด านกร เบื้ อ ง
สีส้มบางชนิด
3. วัสดุแล อุปกรณ์สาหรับกิ กรรม 20.1
3.1 กล่องใส่ลกบาศก์ 1 กล่อง
3.2 ลกบาศก์ 6 หน้า แต้มสี 1 หน้า 50 ลก
3.3 ถาดหรือ าชน รองรับลกบาศก์ 1 อัน

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 9 ของหัวข้อ 20.2 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อ 20.2.4 ทบทวนความร้เกี่ยวกับ กัมมันต าพรังสี รังสี แล การสลาย โดยนา
อ ิปรายหรือ ัดกิ กรรมเสนอแน สาหรับคร เกม ับค่ หรือ เกมใบ้คา ากนั้น ครตั้งคาถามว่า าตุแล
ไอโซโทปกัมมันตรังสีมีการแ ่รังสีออกมามากน้อยแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร แล ถ้า ทาการวัดปริมาณ
รั ง สี ที่ แ ่ อ อกมา มี วิ ี ก ารอย่ า งไร โดยเปดโอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ร ไม่
คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครนาอ ิ ป ราย นสรุ ป ได้ ว่ า าตุ แ ล ไอโซโทปกั ม มั น ตรั ง สี มี ก ารแ ่ รั ง สี อ อกมาแตกต่ า งกั น
โดยอัตราการแ ่รังสีในขณ หน่ง เรียกว่า กัมมันตภาพ activity ซ่งการวัดกัมมันต าพ ทาได้ด้วยการ
อาศัยเครื่องมือหลายชนิด โดยหน่งในเครื่องมือที่นิยมใช้คือ เครื่องนับรังสีแบบไกเกอร์มลเลอร์
ครอา สา ิตหรือนาเสนอคลิปวีดิทัศน์เกี่ยวกับการใช้เครื่องนับรังสีแบบไกเกอร์มลเลอร์วัดรังสี าก
วัตถุทม
ี่ อ
ี ต
ั ราการแ ร่ งั สีนอ
้ ย เช่น ต กัว่ บัดกรี ก้อนหินบางชนิด หรือ านกร เบือ
้ งบางใบ โดยในการสา ต

หรือชมคลิปวีดิทัศน์ ครเน้นให้นักเรียนสังเกตเสียงที่ได้ยิน ากเครื่องนับรังสี แล้วอ ิปรายร่วมกันเกี่ยวกับ
ลักษณ ของเสียงทีไ่ ด้ยน
ิ ซ่งควรสรุปได้วา่ เสียงทีไ่ ด้ยน
ิ เกิดข้นไม่สม่าเสมอ แสดงว่า การสลายของนิวเคลียส
ของ าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสีเปนปราก การณ์ที่เกิดข้นแบบสุ่ม

ข้อเสนอแนะการทำากิจกรรม
ในการทากิ กรรมสา ิตการวัดรังสีด้วยเครื่องนับไกเกอร์ วัตถุที่ใช้ควรเปนวัตถุที่มีอัตราการแ ่
รังสีน้อย เพรา ถ้าวัตถุอัตราการแ ่รังสีมากเกินไป านวนครั้งที่ได้ยินเสียง ากเครื่องนับต่อวินาที ถี่
มาก นทาให้สังเกตหรือนับได้ยาก อีกทั้ง วัตถุที่มีอัตราการแ ่รังสีมากอา เปนอันตรายกับนักเรียน
เพือ
่ ไม่ให้เกิดความเข้าใ คลาดเคลือ
่ น ครควรอ บ
ิ ายว่า ความถีข
่ อง านวนครัง้ ทีไ่ ด้ยน
ิ เสียง าก
เครื่องนับไกเกอร์ต่อหน่งหน่วยเวลาสามารถใช้บอกได้ว่า ปริมาณรังสีที่แ ่ออกมา ากวัตถุที่วัดมีมากหรือ
น้อย แต่ไม่สามารถร บุค่ากัมมันต าพ ากความถี่ของ านวนครั้งที่ได้ยินเสียง ากเครื่องนับไกเกอร์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
146 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ครให้นักเรียนศกษาหลักการทางานของเครื่องนับรังสีแบบไกเกอร์มลเลอร์ตามรายล เอียดใน
หนังสือเรียน ากนั้น ครตั้งคาถามให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกันว่า ถ้า ศกษาเชิงปริมาณเกี่ยวกับรังสี
มีวิ ีการอย่างไร โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครตั้งคาถามให้นักเรียนอ ิปรายว่า การสลายของนิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสีเปนแบบสุ่ม
เทียบกับการโยนเหรียญหรือทอดลกบาศก์ได้อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่าง
อิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครนาเข้าส่กิ กรรม 20.1 โดยตั้งคาถามว่า ถ้าเปรียบการทอดลกบาศก์กับการสลายของนิวเคลียส
กัมมันตรังสี มีวิ ีการอย่างไร

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

เครื่องวัดรังสี
การวัดปริมาณรังสีทาได้โดยอาศัยการวัดปริมาณไอออนของแกสที่แตกตัว ซ่งเกิดข้นเมื่อ
รังสี ่านเครื่องวัด เช่น ในกรณีของ เครื่องตรว วัดอนุ าคแบบห้องหมอก cloud chamber
ปริมาณรังสีข้นอย่กับ านวนรอยทาง track ที่สังเกตได้ ดังรป ก. ซ่งแสดงรอยทางของอนุ าค
แอลฟาแล บีตาทีป
่ ล่อยออกมา ากสารปร กอบทอเรียมทีว่ างอย่ขา้ งในเครือ
่ ง านวนของรอยทาง
ที่เกิดข้นนี้ แปร ันตรงกับปริมาณรังสีที่แ ่ออกมา าก าตุกัมมันตรังสี

รูป ก. ภาพถ่ายของรอยทางของอนุภาคแอลฟาและบีตาในห้องหมอก

เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้วัดรังสีโดยทั่วไป ส ดวกต่อการวัดแล เปนแบบที่ง่ายที่สุดได้แก่


เครือ่ งนับรังสีแบบไกเกอร์มลเลอร์ Geiger-Müller Counter หรือ เครือ่ งนับไกเกอร์ GM counter

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 147

มีหัววัดทาด้วยโลห ทองแดงหรือทองเหลือง หรือหลอดแก้วที่มีโลห ฉาบ ิวด้านใน ดังรป ข. มีเส้น


ลวดอย่ตรงกลางหลอดเปนอิเล็กโทรดที่ต่อกับแบตเตอรี่ เพื่อให้มีความต่างศักย์ร หว่างตัวหลอด
แล เส้นลวด ายในหลอดแก้วบรร แุ กสเฉือ่ ย เช่น นีออน ทีม
่ ค
ี วามดันต่า ปร มาณ 0.1 บรรยากาศ
ศักย์ไฟฟาที่ใช้อย่ในช่วง 500 – 1000 โวลต์

รูป ข. เครื่องนับรังสีไกเกอร์แบบต่าง

เมือ่ อนุ าคทีม


่ ป
ี ร ุ า่ นไปในหัววัด ทาให้ สายไฟต่อไปยังตัวเครื่อง
แกสเฉื่อย ายในหลอดแตกตัวเปนไอออน ไอออน ลวดโลห ที่มีปร ุบวก
อิเล็กตรอน
บวก เคลื่อนไปยัง ิวของหลอดซ่งมีศักย์ไฟฟาลบ
ส่วนอิเล็กตรอน วิ่งเข้าส่เส้นลวดซ่งมีศักย์ไฟฟา อ ตอมของแกส

บวก ดังรป ค. ดังนั้นแกสที่อย่ในหลอด ทาหน้า


ที่เปนตัวนาไฟฟาทาให้มีสัญญาณไฟฟาอย่ในวง ร ไอออน
ซ่ ง ต่ อ เข้ า กั บ เครื่ อ งขยายแล เครื่ อ งนั บ สั ญ ญาณ
เครื่องนับนี้ วัดปริมาณของรังสีได้
รังสี

รูป ค. เครื่องนับรังสีไกเกอร์แบบต่าง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
148 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

เครื่ อ งวั ด รั ง สี อี ก แบบหน่ ง ที่ มี ค วามไว อน ค อ ั มม


มากกว่าเครื่องนับไกเกอร์ แล นิยมใช้วัดรังสี ล
แกมมา คือ เครือ่ งนับปร กายแสง scintillation ตค
ตอน ลั นต
counter ซ่งใช้หลักการเปลีย่ นพลังงานของรังสี ตอเล ต อน
แกมมาซ่งเปนโฟตอนพลังงานสงให้อย่ในรป 0V
+200 V
โฟตอนพลังงานต่า เมื่อโฟตอนเข้าไปในหลอด
+400 V
ตรว วัดแสงแบบทวีคณ photomultiplier tube +600 V

ไปตกกร ทบ ลกปร กายแสง scintillation +800 V


crystal ซ่งส่วนใหญ่ใช้ ลกโซเดียมไอโอไดด์ +1000 V

sodium iodide ทาให้อ ตอมใน ลกถก +1200 V


+1400 V
กร ตุ้น แล้วมีการปล่อยโฟตอนออกมา โฟตอน
+1600 V
ไปตกกร ทบอิเล็กโทรด electrode แ ่น ั ข ออ น อเ น
แรกซ่งมีศักย์ไฟฟา 200 โวลต์ ทาให้เกิดโฟโต ั เค อ นั ั
อิเล็กตรอน 2 อิเล็กตรอน ดังรป ง. โฟโต
รูป ง. เครื่องนับประกายแสงโดย
อิเล็กตรอน 2 นี้ ถกเร่ง ่านความต่างศักย์
ใช้ผลึกโ เดียมไอโอไดด์
200 โวลต์ ไปตกกร ทบอิเล็กโทรดแ ่นที่ 2
ที่มีศักย์ไฟฟา 400 โวลต์
ทาให้มีโฟโตอิเล็กตรอน 4 อิเล็กตรอนหลุดออกมา เมื่อโฟโตอิเล็กตรอนนี้ถกเร่ง ่านความ
ต่างศักย์ 200 โวลต์ ไปตกกร ทบอิเล็กโทรดแ ่นที่ 3 4 5... านวนโฟโตอิเล็กตรอน เปน 8 16
32... านวนโฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมา งเปนแบบทวีคณ ในที่สุดเมื่อโฟโตอิเล็กตรอนไปตกก
ร ทบอิเล็กโทรดแ ่นที่ 10 านวนโฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมาเปน 1024 อิเล็กตรอน ซ่งเปน
512 หรือปร มาณ 500 เท่าของ านวนโฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมา ากอิเล็กโทรดแ ่นแรก
เมื่อต่อสัญญาณขาออก output signa ากแ ่นอิเล็กโทรดสุดท้ายไปยังเครื่องนับสัญญาณ เครื่
องนับนี้ วัดปริมาณของรังสีได้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 149

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

เรียบเรียง าก หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร์ ชั้นมั ยมศกษาปีที่ 5 เล่ม 2 ตาม


ลการเรียนร้ กลุ่มสาร การเรียนร้วิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 ตามหลัก
สตรแกนกลางการศกษาขั้นพื้น านพุท ศักราช 2551

ความน่าจะเปน
ความน่า เปนคือ านวนที่บ่งบอกโอกาสที่เหตุการณ์หน่ง เกิดข้น ซ่งในทางคณิตศาสตร์
มีคาศัพท์แล คาอ ิบายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. การทดลองสุ่มและเหตุการ ์
การทดลองสุ่ม random experiment คือ การทดลองที่ ้ทดลองทราบว่า เกิด ล ลลัพ ์
อ ไรได้บ้าง แต่ไม่สามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่า ในแต่ล ครั้งที่ทดลอง ลที่เกิดข้น เปน
อ ไรใน านวน ลลัพ ์ที่อา เปนไปได้เหล่านั้น เช่น ในการทอดลกบาศก์ที่มี 6 หน้า 1 ครั้ง หน้า
ที่หงายอา เปนหน้าที่แต้มสีไว้ 1 2 3 4 5 หรือ 6 ุด แต่ไม่สามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่า
หงายหน้าใด เรียกการทอดลกบาศก์ดังกล่าวว่า การทดลองสุ่ม
2. เหตุการ ์
ลลัพ ์ที่สนใ ากการทดลองสุ่ม เรียกว่า เหตุการณ์ event เช่น การทอดลกบาศก์ 1 ลก 1
ครั้ง ถ้าสนใ หน้าที่แต้มสีไว้ 6 ุด การที่ลกบาศก์หงายหน้าแต้มสี 6 ุด คือ เหตุการณ์ หรือ ถ้า
สนใ เฉพา หน้าที่แต้มสีไว้มากกว่า 3 ุด เหตุการณ์คือ การที่ลกบาศก์หงายหน้าแต้มสี 4 5
แล 6 ุด
3. ความน่าจะเปน
ถ้าต้องการหาโอกาสที่เหตุการณ์ที่สนใ เกิดข้นมากน้อยเพียงใด เช่น โอกาสที่เหรียญที่เที่ยง
ตรง 1 เหรียญ ข้นหัวเมื่อถกโยนหน่งครั้ง หรือ โอกาสที่ลกบาศก์ 1 ลกที่เที่ยงตรง หงายหน้า
แต้มสีหก ด
ุ เมือ
่ ถกทอดหน่งครัง้ วิ ห
ี น่งทีใ่ ช้หาคาตอบคือ ทาการทดลองสุม
่ นัน
้ ซ้าหลาย ครัง้
เช่น ในการหาโอกาสทีเ่ หรียญ 1 เหรียญ ข้นหัว อา โยนเหรียญ 100 ครัง้ แล ถ้าพบว่า มีเหรียญ
55
ข้นหัว 55 ครั้ง แล ข้นก้อย 45 ครั้ง อัตราส่วน ซ่งเท่ากับ 0.55 หรือ 55% เปนตัวเลข
100
ทีบ
่ อกให้ทราบว่า เหรียญมีโอกาส ข้นหัวมากน้อยเพียงใด แล เมือ
่ ทาการทดลองมากข้น อัตรา
ส่วนทีไ่ ด้ น่าเชือ
่ ถือมากข้น อย่างไรก็ดี วิ น
ี ไี้ ม่สามารถบอกได้แน่นอนว่า ควรทาการทดลองสุม

านวนกี่ครั้ง ง เหมา สม อีกทั้ง การทา การทดลองสุ่มหลาย ครั้ง ย่อมเสียเวลามาก แล ไม่
ส ดวก งใช้วิ ีคานวณ ากอัตราส่วน ร หว่าง านวนเหตุการณ์ที่สนใ หารด้วย ลลัพ ์ที่เปน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
150 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ไปได้ทงั้ หมด ากการทดลองสุม


่ ทัง้ นี้ ลลัพ ท
์ เี่ กิดข้น ต้องเปน ลลัพ ท
์ ม
ี่ โี อกาสเกิดข้นได้เท่า
กัน เท่านั้น เรียกอัตราส่วนดังกล่าวว่า ความน่า เปน probability ของเหตุการณ์
ความน่า เปน คือ านวนที่บอกให้ทราบว่า เหตุการณ์ที่สนใ มีโอกาสเกิดข้นมากน้อย
เพียงใด ตัวอย่างเช่น ในการทอดลกบาศก์ที่เที่ยงตรง 2 ลก 1 ครั้ง ถ้าสนใ เหตุการณ์ที่ ลบวก
ของ านวน ุดที่แต้มสีเปน 5 พบว่า เหตุการณ์ที่เปนไปได้คือ ลกที่หน่งหงายหน้าที่แต้มสี
1 2 3 แล 4 ุด ส่วนลกที่สองหงายหน้าที่แต้มสี 4 3 2 แล 1 ุด ตามลาดับ นั่นคือ
านวนเหตุการณ์ที่สนใ มีทั้งหมด 4 เหตุการณ์ ในขณ ที่ ลลัพ ์ที่เกิดข้นได้ทั้งหมดมี านวน
6 × 6 = 36 ดังนั้น โอกาสที่ลกบาศก์ทั้ง 2 ลก หงายหน้าที่ทาให้ ลบวก านวน ุดที่แต้มสี
4 1
ของหน้าที่หงายเปน 5 งเท่ากับ
36 9
ทัง้ นี้ การหาความน่า เปนของเหตุการณ์ทไ่ี ด้กล่าวมาแล้วข้างต้น เปนการหาความน่า เปน
โดยใช้ ความน่า เปนเชิงท ษ ี theoretical probability หรือ ความน่า เปนทางคณิตศาสตร์
ายใต้สมมติ านว่า ลลัพ ท ์ เ่ี กิดข้นทัง้ หมด มีโอกาสเกิดข้นได้เท่ากันเท่านัน ้ แต่อย่างไรก็ดีเหตุการณ์
หลายเหตุการณ์ในชีวิต ริง ไม่สามารถใช้วิ ีการที่กล่าวมาคานวณหาความน่า เปนได้ เช่น การหา
ความน่า เปนที่ มี นตกในแต่ล เดือนของปี ซ่งในแต่ล เดือน โอกาสที่ นตกไม่เท่ากัน หรือ
การหาความน่า เปนทีค ่ นคนหน่ง เปนโรคม เร็งปอด ซ่งโอกาสทีแ่ ต่ล คน เปนโรคม เร็งปอด
ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ข้นอย่กับว่า บุคคลนั้นอย่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ เช่น เปน ้ที่สบบุหรี่เปนปร าหรือไม่
ดังนั้น ในการหาความน่า เปนของเหตุการณ์ดังกล่าว อา ต้องใช้วิ ีการอื่น เช่น ใช้ข้อมลที่ได้ าก
การทดลองซ้าหลาย ครั้ง หรือ ใช้การสุ่มตัวอย่าง ยกตัวอย่างในกรณีการหาความน่า เปนที่สินค้า
ที่ ลิตไม่ได้มาตร าน ากการที่บริษัท ลิตสินค้าได้วันล 100000 ชิ้น อา ใช้วิ ีการสุ่มตัวอย่างเพื่อ
หาว่า ากสินค้าทีส ่ ม
ุ่ มา 100 ชิน ้ มีสน
ิ ค้าทีไ่ ม่ได้มาตร านกีช
่ น
ิ้ ถ้าพบว่า มีสน
ิ ค้า 3 ชิน
้ ทีไ่ ม่ได้มาตร าน
อา สรุปได้ว่า ความน่า เปนที่สินค้า ไม่ได้มาตร านเท่ากับ หรือ 3% ความน่า เปนชนิดนี้
เรียกว่า ความน่า เปนเชิงการทดลอง experimental probability ซ่ง มีความถกต้องแม่นยา
เพียงใด ข้นอย่กับขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เลือกมา รวมถงการสุ่มตัวอย่าง การทดลองซ้าเพื่อให้
เกิดความมั่นใ โดยมักพบความน่า เปนเชิงการทดลองในการสารว ความคิดเห็นของปร ชากร
การทดสอบ ลของยา การทดสอบคุณ าพสินค้า

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 151

กิจกรรม 20.1 สถานการ ์จำาลองการสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี

จุดประสงค์
1. อ บ
ิ ายค่าคงตัวการสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีเปรียบเทียบกับการทอดลกบาศก์

เวลาที่ใช้ 60 นาที

วัสดุและอุปกร ์
1. กล่องใส่ลกบาศก์ 1 กล่อง
2. ลกบาศก์ 6 หน้า แต้มสี 1 หน้า 50 ลก
3. ถาดหรือ าชน รองรับลกบาศก์ 1 อัน

ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม

จำนวนลูกบาศกที่หงายหนาแตมสี
จำนวนลูกบาศก ของการทอดครั้งที่ ความ
ที่ทอด คาเฉลี่ย นาจะเปน
1 2 3 4 5
30 5 7 4 4 3 4.60 0.15
40 10 6 6 3 11 7.20 0.18
50 8 9 10 5 13 9.00 0.18

แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม

□ ความน่า เปน ทีล่ กบาศก์ หงายหน้าแต้มสี ากการทอดลกบาศก์ านวน 30 40 แล 50 ลก


แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
แนวคำาตอบ ความน่า เปนทีล่ กบาศก์ หงายหน้าแต้มสี ากการทอดลกบาศก์ านวน 30 40
แล 50 ลก ใกล้เคียงกัน
□ ถ้าเปรียบเทียบกับค่าความน่า เปนทีล่ กบาศก์ หงายหน้าแต้มสีทางคณิตศาสตร์ ค่าทีไ่ ด้ าก
การทากิ กรรมเปนอย่างไร
แนวคำาตอบ ค่าที่ได้ใกล้เคียงกับค่าความน่า เปนทางคณิตศาสตร์ คือ 1/6 หรือ 0.166

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
152 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

□ ถ้าเพิม่ านวนครัง้ ทีท


่ อดเปน 100 ครัง้ หรือ เพิม
่ านวนลกบาศก์เปน 1000 ลก ความน่า เปน
ที่ได้ ากการทากิ กรรรม แตกต่างไป ากเดิมหรือไม่ อย่างไร
แนวคำาตอบ ความน่า เปนแตกต่าง ากเดิมโดยมีแนวโน้มที่ ได้ค่าที่ใกล้เคียงกับความน่า
เปนทางคณิตศาสตร์มากยิ่งข้น

อภิปรายหลังการทำากิจกรรม

ครแล นักเรียนร่วมกันอ ป
ิ ราย ลการทากิ กรรม โดยใช้คาถามท้ายกิ กรรม 20.1 นสรุป
ได้ว่า
ถ้าลกบาศก์มี 6 หน้า แล มีหน้าที่แต้มสีหน่งหน้า โอกาสที่ลกบาศก์แต่ล ลก หงาย
หน้าแต้มสี ใกล้เคียงกับค่าความน่า เปนทางคณิตศาสตร์ คือ 1 ใน 6
านวนลกบาศก์ที่หงายหน้าแต้มสีของการทอดแต่ล ครั้ง ข้นอย่กับ านวนลกบาศก์
ทั้งหมดที่ทอดในครั้งนั้น หลักการดังกล่าวนี้เปนเช่นเดียวกับการสลายของนิวเคลียส
ของ าตุกัมมันตรังสี กล่าวคือทุก นิวเคลียสมีโอกาสในการสลายเท่ากัน แล านวน
นิวเคลียสที่สลายในขณ หน่ง ข้นอย่กับ านวนนิวเคลียสทั้งหมดที่มีอย่ในขณ นั้น
ความน่า เปน หรือโอกาสทีล่ กบาศก์ หงายหน้าแต้มสีในการทอดแต่ล ครัง้ เปรียบได้
กับ ความน่า เปนหรือโอกาสที่นิวเคลียส เกิดการสลายในหน่งหน่วยเวลา

ครนาอ ป
ิ รายเกีย่ วกับค่าคงตัวการสลาย นสรุปได้วา่ ค่าคงตัวการสลายเปนค่าเฉพา ของนิวเคลียส
แต่ล ชนิด นิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสีใดมีค่าคงตัวการสลายมาก แสดงว่า นิวเคลียสนั้นมีโอกาสมากที่
สลายในหน่งหน่วยเวลา ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครอา ถามคาถามชวนคิด แล้วอ ิปรายร่วมกัน โดยครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น
อย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง

แนวคำาตอบชวนคิด

ถ้ามีลกเหลี่ยม 20 หน้า โดยแต่ล หน้ามีโอกาสหงายได้เท่า กัน แล มีหน้าที่แต้มสีไว้ 1 หน้า


หลังทอดลกเหลี่ยมนี้ออกไป งหาโอกาสที่ลกเหลี่ยมนี้ หงายหน้าที่แต้มสีไว้
แนวคำาตอบ โอกาสทีล่ กเหลีย่ มนี้ หงายหน้าแต้มสี 1 หน้า คือ 1/20

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 153

ครให้นกั เรียนศกษา ความสัมพัน ร์ หว่างกัมมันต าพกับค่าคงตัวการสลาย ากนัน


้ อ ป
ิ รายร่วมกัน
นสรุปได้สมการ 20.8 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 20.6 แล 20.7 ากนั้น ให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ
20.2 ข้อ 5 6 7 แล 8 แล ทาแบบ กหัด 20.2 ข้อ 4. ทั้งนี้ อา มีการเฉลยคาตอบแล อ ิปรายคาตอบ
ร่วมกัน

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

หน่วยวัดรังสี
การพิ ารณาว่า รังสี าก าตุกัมมันตรังสี านวนหน่งมีปริมาณของมากน้อยเพียงใด อา
พิ ารณาได้ 2 วิ ี วิ ีแรกคือ พิ ารณา ากอัตราการสลายหรือที่เรียกว่า กัมมันต าพ activity
ของ าตุกัมมันตรังสี านวนนั้น าตุ านวนหน่งที่มีกัมมันต าพสง ย่อมให้ปริมาณรังสีมากกว่า าตุ
อีก านวนหน่งที่มีกัมมันต าพต่าในช่วงเวลาเท่ากัน อีกวิ ีหน่งพิ ารณา ากการเปลี่ยนแปลงของ
สิ่งแวดล้อมหรือสิ่งมีชีวิตเมื่อได้รับรังสี เช่น เมื่อให้รังสีนั้น ่านเข้าไปในอากาศ ทาให้อากาศแตก
ตัวเปนไอออนมากน้อยเพียงใด วิ ีนี้ มีความสัมพัน ์กับปริมาณรังสีที่ าตุกัมมันตรังสีนั้นแ ่ออก
มาโดยตรง งเรียกว่า ปริมาณการได้รับรังสี radiation dose หน่วยการวัดปริมาณรังสี ง าแนก
ออกเปน 2 หน่วยคือ
ก. หน่วยของกัมมันตภาพ ( ) ได้แก่
ครี Ci เปนหน่วยแรกที่ใช้วัดกัมมันต าพ กาหนดว่า ครี คือ กัมมันต าพของ
เรเดียม 226 มวล 1 กรัม ซ่งมีการสลาย 3.7 × 1010 นิวเคลียสต่อวินาที
1 Ci = 3.7 × 1010 s-1
เบ็กเคอเรล Bq เปนหน่วยมาตร านในร บบ เอสไอ กาหนดว่า 1 เบ็กเคอเรลเท่ากับอัตรา
การสลายของนิวเคลียส 1 นิวเคลียสต่อวินาที หรือ 1 disintegration per second dps
1Bq = 1 s-1 = 1 dps
ข. หน่วยของปริมา การได้รับรังสี radiation dose units อา แบ่งได้เปน 3 ปร เ ท ดังนี้
1. ปริมาณรังสีที่ทาให้อากาศแตกตัว exposure dose เปนหน่วยที่กาหนดข้นโดยการวัด
ปริมาณการแตกตัวเปนไอออนของอากาศเมือ
่ ได้รบ
ั รังสี ซ่งในอดีต หน่วยทีใ่ ช้คอ
ื เรินต์เกน
R โดยกาหนดว่า 1 เรินต์เกน คือปริมาณรังสีเอกซ์หรือรังสีแกมมาทีส
่ ามารถทาให้อากาศ
แห้งปริมาตร 1 ลกบาศก์เซนติเมตร ที่ S.T.P แตกตัวเปนไอออนที่มีปร ุไฟฟา
3.33 × 10-10 คลอมบ์ ในป ุบันในร บบเอสไอ หน่วยที่ใช้ร บุปริมาณรังสีที่ทาให้
อากาศแตกตัว คือ คลอมบ์ต่อกิโลกรัม C/kg

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
154 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

2. ปริมา รังสีที่ถูกดูดกลืน absorbed dose เปนหน่วยที่กาหนดข้น โดยการวัดปริมาณ


พลังงานของรังสีที่ าตุหรือวัตถุดดกลืนไว้ ซ่งในอดีต หน่วยที่ใช้คือ แรด radiation
absorbed dose, rad โดยกาหนดว่า 1 แรด คือ ปริมาณรังสีที่ทาให้วัตถุได้รับพลังงาน
0.01 ลต่อมวล 1 กิโลกรัมของวัตถุนั้น
ในป ุบัน ในร บบเอสไอ หน่วยที่ใช้ร บุปริมาณรังสีที่ถกดดกลืน คือ เกรย์ Gy
3. ปริมา รังสีสมมูล equivalent dose หรือ RBE relative biological effective
ness dose เปนหน่วยที่กาหนดข้น โดยการวัดปริมาณรังสีที่มนุษย์ได้รับโดยเปรียบ
เทียบ ลทางชีววิทยา ซ่งในอดีต หน่วยที่ใช้คือ เรม roentgen equivalent man, rem
โดยกาหนดว่า 1 เรม คือ ปริมาณรังสีใด ที่สามารถก่อให้เกิด ลทางชีววิทยาต่อร่างกาย
เทียบเท่ากับเมื่อได้รับรังสีเอกซ์หรือรังสีแกมมา 1 เรินต์เกน
ในป ุบัน ในร บบเอสไอ หน่วยที่ใช้ร บุปริมาณรังสีสมมลคือ ซีเวิร์ต Sv
หน่วยของการวัดรังสี ในอดีตแล ในร บบเอสไอ ดังแสดงในตารางด้านล่าง

หนวยเอสไอ
ปริมาณ หนวยเดิม ในรูป ในรูป
ชื่อ สัญลักษณ
หนวยฐาน หนวยอื่น
กัมมันตภาพ คูรี เบ็กเคอเรล
(activity) (Ci) (Becquerel) Bq s- 1 -

รังสีที่ทำใหอากาศการ คูลอมบตอกิโลกรัม
เรินตเกน (coulomb per
แตกตัวเปนไอออน (R) C/kg kg-1s A -
(exposure) kilogram)

รังสีที่ถูกดูดกลืนรังสี แรด เกรย


Gy m 2 s- 2 J/kg
(absorbed dose) (rad) (gray)

รังสีสมมูล เรม ซีเวิรต


Sv m 2 s- 2 J/kg
(dose equivalent) (rem) (Sievert)

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 155

20.2.5 ครึ่งชีวิต

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. คร่งชีวิต คือ คร่งหน่งของช่วงเวลาที่ าตุ 1. คร่งชีวต


ิ คือ ช่วงเวลาที่ าตุกม
ั มันตรังสี
กัมมันตรังสี สลายไป นหมด สลายไปเหลือปริมาณคร่งหน่งของปริมาณ
เดิม

2. คร่ ง ชี วิ ต ของ าตุ กั ม มั น ตรั ง สี ข้ น อย่ กั บ 2. คร่ ง ชี วิ ต ของ าตุ กั ม มั น ตรั ง สี ไม่ ข้ น กั บ
ป ัย ายนอก เช่น อุณห มิ ความดัน ป ัย ายนอก เช่น อุณห มิ ความดัน
าชน ที่บรร ุ าตุกัมมันตรังสี าชน แต่ขน
้ กับชนิดของ าตุกม
ั มันตรังสี
เท่านั้น

3. าตุกม
ั มันตรังสี เริม
่ แ ร่ งั สีเมือ
่ เวลา า่ น 3. าตุกัมมันตรังสีมีการแ ่รังสีตลอดเวลา
ไปเท่ากับคร่งชีวิตเท่านั้น

4. าตุกัมมันตรังสี สลาย นหมดไป เมื่อ 4. าตุกัมมันตรังสี สลาย นเหลือ 1 ใน 4


เวลา ่านไปเปนสองเท่าของคร่งชีวิต เท่าของปริมาณเริม
่ ต้น เมือ่ เวลา า่ นไปเปน
สองเท่าของคร่งชีวิต

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. วัสดุแล อุปกรณ์สาหรับกิ กรรม 20.2
กล่องใส่ลกบาศก์ 1 กล่อง
ลกบาศก์ 6 หน้า แต้มสี 1 หน้า 40 ลก
ปากกาเม ิกหรือชอล์กสี 1 ด้าม
ถาดหรือ าชน รองรับลกบาศก์ 1 อัน

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 10 แล 11 ของหัวข้อ 20.2 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 20.2.5 โดยทบทวนความร้เกีย่ วกับ การสลาย แล กัมมันต าพ ด้วยการอ ป
ิ ราย
หรือใช้กิ กรรมเสนอแน สาหรับคร เกม ับค่ หรือ เกมใบ้คา ดังตัวอย่างที่ได้เสนอมาแล้ว ากนั้น ครตั้ง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
156 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

คาถามให้นก
ั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกันว่า การพิ ารณาว่า าตุกม
ั มันตรังสีใดมีการสลายช้าหรือเร็ว พิ ารณา
ากปริมาณใดบ้าง โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครให้นักเรียนศกษาความหมายของ คร่งชีวิต ในหนังสือเรียน ากนั้น ครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า
คร่งชีวิต คือ ช่วงเวลาที่ าตุกัมมันตรังสีสลาย นกร ทั่งลดลงเหลืออย่คร่งหน่งของปริมาณเริ่มต้น ตาม
รายล เอียดในหนังสือเรียน
ครตั้ ง คาถามให้ นั ก เรี ย นอ ิ ป รายร่ ว มกั น ว่ า คร่ ง ชี วิ ต ของ าตุ กั ม มั น ตรั ง สี มี ค วามสั ม พั น ์ กั บ
ปริมาณใดบ้าง โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครให้นักเรียนทากิ กรรม 20.2

กิจกรรม 20.2 สถานการ ์จำาลองครึ่งชีวิต

จุดประสงค์
1. อ บ
ิ ายคร่งชีวต
ิ ของนิวเคลียสกัมมันตรังสีเปรียบเทียบกับการทอดลกบาศก์
2. เขียนกราฟความสัมพัน ร์ หว่าง านวนลกบาศก์ทเ่ี หลือกับ านวนครัง้ ทีท
่ อดลกบาศก์
3. หาคร่งชีวต
ิ ากกราฟของลกบาศก์ทแ่ี ต้มสีหน่งหน้าแล แต้มสีสองหน้า

เวลาที่ใช้ 60 นาที

วัสดุและอุปกร ์
1. กล่องใส่ลกบาศก์ 1 กล่อง
2. ลกบาศก์ 6 หน้า แต้มสี 1 หน้า 40 ลก
3. ปากกาเม ิกหรือชอล์กสี 1 อัน
4. ถาดหรือ าชน รองรับลกบาศก์ 1 อัน

แนะนำาก่อนทำาการทำากิจกรรม
1. สาหรับกิ กรรม 20.2 ตอนที่ 2 ควรใช้สเี ม กิ หรือชอล์กสีทล่ี า้ งออกได้งา่ ยแต้มทีห
่ น้าลกบาศก์
หน้าตรงข้ามกับหน้าทีแ่ ต้มสีหน้าแรก เหมือนกันทุกลก
2. การเขียนกราฟทีใ่ ช้คา่ เฉลีย่ ของ านวนลกบาศก์ทเ่ี หลือกับ านวนครัง้ ทีท
่ อดทัง้ 2 ตอน ให้เขียน
บนกราฟเดียวกัน นัน
่ คือ ให้กราฟทัง้ 2 ใช้แกนตัง้ แล แกนนอนเดียวกัน เพือ่ ส ดวกในการ
วิเครา ห์แล เปรียบเทียบ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 157

ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม
ตอนที่ 1 ลกบาศก์แต้มสี 1 หน้า ตอนที่ 2 ลกบาศก์แต้มสี 2 หน้า

จำนวน จำนวนลูกบาศกที่เหลือของ จำนวน จำนวนลูกบาศกที่เหลือของ


ครั้งที่ การทอดครั้งที่ ครั้งที่ การทอดครั้งที่
ทอด ทอด
1 2 3 เฉลี่ย 1 2 3 เฉลี่ย
0 40 40 40 40.00 0 40 40 40 40.00

1 34 32 34 33.33 1 29 28 25 27.33

2 29 28 29 28.67 2 22 20 18 20.00

3 25 24 23 24.00 3 17 16 14 15.67

4 21 21 19 20.33 4 14 10 11 11.67

5 18 19 15 17.33 5 10 7 6 7.67

6 15 16 11 14.00 6 8 6 6 6.67

7 12 13 10 11.67 7 6 4 5 5.00

8 11 11 9 10.33 8 5 3 4 4.00

9 10 8 8 8.67 9 3 2 2 2.33

10 7 5 6 6.00 10 2 2 2 2.00

11 5 4 6 5.00 11 1 2 1 1.33

12 4 4 5 4.33 12 1 1 1 1.00

13 2 3 4 3.00

14 2 1 3 2.00

15 1 1 1 1.00

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
158 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ตัวอย่างกราฟที่ได้จากผลการทำากิจกรรม

60

50
ค่าเฉลี่ยของ นวนลกบาศก์ที่เหลือ

ตอนที่ 1
40
ตอนที่ 2

30

20

10

0
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16
นวนครั้งที่ทอดลกบาศก์

แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม

□ คร่งชีวติ ของนิวเคลียสกัมมันตรังสีเปรียบได้กบั ปริมาณใดในการทอดลกบาศก์


แนวคำาตอบ านวนครัง้ ทีท
่ อดลกบาศก์แล้วทาให้มลี กบาศก์เหลืออย่คร่งหน่งของ านวนเริม
่ ต้น
□ กราฟที่ได้ ากกิ กรรมทั้ง 2 ตอน มีลักษณ เหมือนแล แตกต่างกันอย่างไร
แนวคำาตอบ กราฟที่ได้ ากกิ กรรมทั้ง 2 ตอน มีลักษณ เหมือนกันคือ เปนเส้นโค้งแล ตัดแกน
y แต่มีลักษณ แตกต่างกันคือ กราฟในตอนที่ 2 านวนครั้งที่ทอดแล้วทาให้มี านวนลกบาศก์
ลดลงเหลือคร่งหน่ง น้อยกว่าตอนที่ 1
□ านวนครั้งที่ทอดลกบาศก์แล้วทาให้ลกบาศก์ลดลง าก 40 ลก เหลือ 20 ลก าก 20 ลก เหลือ
10 ลก แล าก 10 ลก เหลือ 5 ลก ในกิ กรรมตอนที่ 1 แล ตอนที่ 2 มีค่าปร มาณเท่าใดบ้าง
แล มีค่าเปนสัดส่วนกันอย่างไร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 159

แนวคำาตอบ ากกราฟ ในการทดลองทาให้ลกบาศก์ลดลง าก 40 ลก เหลือ 20 ลก าก 20 ลก


เหลือ 10 ลก แล าก 10 ลก เหลือ 5 ลก มี านวนครั้งโดยปร มาณในตอนที่ 1 แล 2 คือ 4
แล 2 ครั้งตามลาดับ สรุป ในตอนที่ 2 ใช้ านวนครั้งเปนคร่งหน่งของตอนที่ 1 โดยปร มาณ

อภิปรายหลังการทำากิจกรรม

ครแล นักเรียนร่วมกันอ ิปราย ลการทากิ กรรม โดยใช้คาถามท้ายกิ กรรม 20.2 น


สรุปได้ว่า
านวนครั้งที่ทอดลกบาศก์แล้วทาให้มีลกบาศก์เหลืออย่คร่งหน่งของ านวนเริ่มทอด
เปรียบได้กบ
ั ช่วงเวลาทีน
่ วิ เคลียสสลาย นกร ทัง่ เหลือนิวเคลียสอย่คร่งหน่งของ านวน
เริ่มต้น หรือ คร่งชีวิตของนิวเคลียสกัมมันตรังสี
การที่กราฟของตอนที่ 1 มีความโค้งน้อยกว่ากราฟตอนที่ 2 เปรียบได้กับ นิวเคลียส
กัมมันตรังสีในตอนที่ 1 มีคร่งชีวิตมากกว่า ในตอนที่ 2 ซ่งในกิ กรรมพบว่า คร่งชีวิตของ
นิวเคลียสกัมมันตรังสีในตอนที่ 1 มีค่ามากกว่าคร่งชีวิตในตอนที่ 2 ปร มาณ 2 เท่า

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

ครควรชี้แ งข้อแตกต่างร หว่างการเปรียบเทียบการสลายของนิวเคลียส กับ กิ กรรมการ


ทอดลกบาศก์ โดยเฉพา การเข้าใ คลาดเคลื่อนที่อา เกิดข้นว่า นิวเคลียสแม่ที่สลาย ได้หายไป
ซ่งแนวคิดที่ถกต้องคือ นิวเคลียสแม่ที่สลาย เปลี่ยนไปเปนนิวเคลียสลก ที่มีองค์ปร กอบหรือ
ร ดับพลังงานแตกต่างไป ากเดิม
ครให้นักเรียนศกษา กราฟของฟงก์ชันเอกโพเนนเชียลเปรียบเทียบกับกราฟการสลายของ
นิวเคลียสในรป 20.18 ในหนังสือเรียน แล้วครนาอ ิปรายเกี่ยวกับการหา านวนนิวเคลียสที่เหลือ
ากการสลาย กัมมันต าพ แล มวลของ าตุหรือไอโซโทปกัมมันตรังสี เมื่อเวลา ่านไป t ใด
นได้สมการ 20.9a 20.9b แล 20.9c ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครให้ความร้เพิ่มเติมว่า ในบางกรณีที่เวลาที่ ่านไปเปน านวนเท่าของคร่งชีวิตของ าตุหรือ
ไอโซโทปกัมมันตรังสี เราสามารถหาปริมาณต่าง ได้อีกวิ ีหน่ง ากนั้นให้นักเรียนศกษากราฟ
ร หว่าง านวนนิวเคลียสที่เหลืออย่กับเวลาในรป 20.20 แล การหา านวนนิวเคลียสที่เหลืออย่เมื่อ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
160 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

N0 A0
เวลา ่านไป ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน แล้วนาอ ิปราย นสรุปได้สมการ N , A
N0 A0 m0 2n 2n
N , A แล m
2n 2n 2n
ครตัง้ คาถามให้นก
ั เรียนพิ ารณาว่า านวนนิวเคลียสทีเ่ วลาคร่งชีวต
ิ เมือ
่ แทนค่าลงในสมการ
20.9a ได้ ลเปนอย่างไร ากนัน
้ ครนานักเรียนอ ป
ิ ราย นได้ สมการ 20.10a แล 20.10b
แล ข้อสรุปที่ว่า คร่งชีวิตของ าตุกัมมันตรังสีมีค่าเปนสัดส่วน ก ันกับค่าคงตัวการสลาย ซ่งสอด
คล้องกับ ลการทากิ กรรม 20.2
ครให้นักเรียนศกษาคร่งชีวิตของ าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสีบางชนิดในตาราง 20.3 โดย
อา ตั้งคาถามให้นักเรียนพิ ารณาความแตกต่างร หว่างคร่งชีวิตของ าตุแล ไอโซโทปแต่ล ชนิด
ครให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 20.8 แล 20.9 โดยมีครแน นา ากนั้น ให้นักเรียนตอบคาถาม
ตรว สอบความเข้าใ 20.2 ข้อ 9 แล ทาแบบ กหัด 20.2 ข้อ 5 6 7 แล 8 ทั้งนี้ อา มีการเฉลย
คาตอบแล อ ิปรายคาตอบร่วมกัน

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับกัมมันต าพรังสี รังสี การสลาย กัมมันต าพ แล คร่งชีวิต ากคาถามตรว
สอบความเข้าใ 20.2
2. ทักษ การทดลอง การใช้ านวน การ ัดกร ทาแล สื่อความหมายข้อมล การตีความหมาย
ข้อมลแล ลงข้อสรุป ความร่วมมือ การทางานเปนทีมแล าว ้นา ากการทากิ กรรม 20.1
แล 20.2
3. ทักษ การแก้ปญหา ากการแก้โ ทย์ปญหาแล การคานวณปริมาณต่าง เกี่ยวกับสมการ
การสลาย กัมมันต าพ แล คร่งชีวิต ในแบบ กหัด 20.2
4. ต
ิ วิทยาศาสตร์ดา้ นความมีเหตุ ล ความมุง่ มัน
่ อดทน แล ด้านความรอบคอบ ากการอ ป
ิ ราย
ร่วมกัน แล การทากิ กรรม 20.1 แล 20.2
5. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความซื่อสัตย์ ากรายงาน ลการทากิ กรรม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 161

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 20.2

1. บอกความหมายของคาต่อไปนี้
ก. กัมมันต าพรังสี
ข. ไอโซโทปกัมมันตรังสี
ค. รังสี
ง. การแ ่รังสี
แนวคำาตอบ ก. กัมมันต าพรังสี หมายถง ปราก การณ์ที่ าตุแ ่รังสีได้เอง
ข. ไอโซโทปกัมมันตรังสี หมายถง ไอโซโทปของ าตุที่สามารถแ ่รังสีได้เอง
ค. รังสีในทางฟสิกส์นิวเคลียร์ หมายถง อนุ าคความเร็วสงหรือคลื่นแม่เหล็ก
ไฟฟาความถีส่ งทีเ่ คลือ
่ นทีอ
่ อก ากแหล่งกาเนิด ส่วนรังสีในอีกความหมายหน่ง
หมายถง คลื่นแม่เหล็กไฟฟา ซ่งอา มีความถี่ต่าหรือสง เช่น รังสีอินฟราเรด
รังสีอัลตราไวโอเลต
ง. การแ ่รังสี หมายถง กร บวนการที่มีการปล่อยรังสีออกมาอย่างต่อเนื่อง

2. ข้อใดเปนสมบัติของรังสีแอลฟา บีตา แล แกมมา


ก. มีอานา ท ลุ ่านน้อยที่สุด
ข. มีความสามารถในการทาให้แกสแตกตัวเปนไอออนได้ดีที่สุด
ค. ต้องใช้วัสดุที่มีความหนามากที่สุดในการกั้นรังสีชนิดนั้น
ง. ไม่เบี่ยงเบนเมื่อ ่านเข้าไปในบริเวณที่มีสนามแม่เหล็ก
. เมื่อเคลื่อนที่ ่านบริเวณที่มีสนามแม่เหล็ก แนวการเคลื่อนที่ เปนแนวโค้งที่มีรัศมี
ความโค้งมากที่สุด
ฉ. อัตราส่วนร หว่างปร ุไฟฟาต่อมวลมีค่ามากที่สุด
แนวคำาตอบ ข้อ ก. ข.แล . เปนสมบัติของรังสีแอลฟา
ข้อ ฉ. เปนสมบัติของรังสีบีตา
ข้อ ค. แล ง. เปนสมบัติของรังสีแกมมา
ทัง้ นี้ ในการพิ ารณารัศมีความโค้ง แนวการเคลือ
่ นที่ ทีม
่ ก
ี ารโค้งน้อยหรือเบนออก
ากแนวก่งกลางน้อย เปนแนวการเคลื่อนที่ที่มีรัศมีความโค้งมาก ดังนั้น แนว
ทางการเคลื่ อ นที่ ข องแอลฟาที่ เ บนออก ากแนวก่ ง กลางน้ อ ยกว่ า รั ง สี บี ต า
งเปนอนุ าคตามสมบัติในข้อ .

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
162 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

3. าตุกัมมันตรังสีชนิดหน่งสลายให้บีตา เลขอ ตอมแล เลขมวลของ าตุใหม่เปลี่ยนไป าก


าตุเดิมเท่าใด
แนวคำาตอบ าตุกัมมันตรังสีที่สลายให้บีตา มีเลขอ ตอมเพิ่มข้น 1 แต่เลขมวลเท่าเดิม

4. เมื่อนิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสีชนิดหน่งสลายให้แกมมาแล้ว นิวเคลียสนั้น เปลี่ยนแปลง


อย่างไร
แนวคำาตอบ เมือ่ นิวเคลียสของ าตุกม
ั มันตรังสีสลายให้แกมมา นิวเคลียสนัน
้ มีร ดับพลังงาน
ลดลง โดยเลขมวลแล เลขอ ตอมคงเดิม

5. ข้อความใดต่อไปนี้เปน รรมชาติการสลายของ าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสี


ก. หลังการสลายของนิวเคลียสแม่ นิวเคลียสลกที่ได้อา เปนนิวเคลียสที่เสถียรหรือสลายต่อไป
ได้อีก
ข. าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสีมีการสลายให้รังสีไม่มีวันหมด
ค. เฉพา การสลายให้แอลฟาหรือบีตาทาให้ได้นิวเคลียสของ าตุใหม่
ง. านวนนิวเคลียสทีส
่ ลายในหน่งหน่วยเวลาข้นอย่กบ
ั านวนนิวเคลียสทีม
่ อ
ี ย่ทงั้ หมดขณ นัน

. การเพิ่มอุณห มิสามารถเพิ่มอัตราการสลายได้
แนวคำาตอบ ข้อ ก. ค. แล ง. เปน รรมชาติของการสลายของ าตุกัมมันตรังสี

6. กัมมันต าพของ าตุกัมมันตรังสีคืออ ไร แล ในทางป ิบัติสามารถวัดได้อย่างไร


แนวคำาตอบ กัมมันต าพของ าตุกม
ั มันตรังสี คือ อัตราการแ ร่ งั สีของ าตุกม
ั มันตรังสีในขณ
หน่ง ซ่งสามารถวัดได้โดยอาศัยเครื่องมือหลายชนิด เช่น เครื่องนับรังสีแบบไกเกอร์

7. ถ้าเปรียบเทียบให้ลกบาศก์ 6 หน้าเปนนิวเคลียสกัมมันตรังสี แล การหงายหน้าแต้มสีเปรียบได้


กับการสลาย ค่าคงตัวการสลายเปรียบได้กับปริมาณใดในการทอดลกบาศก์
แนวคำาตอบ ค่าคงตัวการสลายเปรียบได้กบ
ั ความน่า เปนทีล
่ กบาศก์ หงายหน้าแต้มสี าก
การทอดแต่ล ครั้ง

8. เริ่มต้น มีนิวเคลียสกัมมันตรังสี X แล Y อย่างล 1 ล้านนิวเคลียส เมื่อเวลา ่านไป 1 ชั่วโมง


นิวเคลียส X เหลืออย่ านวน 550 000 นิวเคลียส ส่วนนิวเคลียส Y เหลืออย่ 500 000
นิวเคลียส นิวเคลียสใดมีค่าคงตัวการสลายมากกว่ากัน อ ิบาย
แนวคำาตอบ เมื่อเวลา ่านไปเท่ากัน นิวเคลียส Y มีการสลายไปมากกว่านิวเคลียส X ดังนั้น
ความน่ า เปนที่ นิ ว เคลี ย ส Y สลายในหน่ ง หน่ ว ยเวลา งมากกว่ า ของนิ ว เคลี ย ส X
ค่าคงตัวการสลายของนิวเคลียส Y งมากกว่าของนิวเคลียส X

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 163

9. ไอโซโทปกัมมันตรังสี W มีคร่งชีวิตน้อยกว่า คร่งชีวิตของไอโซโทปกัมมันตรังสี Z แสดงว่า


ไอโซโทปชนิดใดสลายได้เร็วกว่ากัน อ ิบาย
แนวคำาตอบ คร่ ง ชี วิ ต คื อ เวลาที่ ไ อโซโทปกั ม มั น ตรั ง สี ส ลาย นเหลื อ ปริ ม าณคร่ ง หน่ ง ของ
ปริมาณเริ่มต้น ดังนั้น ถ้าไอโซโทป W มีคร่งชีวิตน้อยกว่าไอโซโทป Z แสดงว่า ไอโซโทป W
ใช้เวลาสัน
้ กว่าไอโซโทป Z ในการสลาย นเหลือคร่งหน่งของปริมาณเริม
่ ต้น ดังนัน
้ ไอโซโทป W
เปนไอโซโทปที่สลายได้เร็วกว่าไอโซโทป Z

เฉลยแบบฝึกหัด 20.2

1. งเขียนเลขอ ตอมแล เลขมวลในสมการการสลายต่อไปนี้


ก. 218
84 Po A
Z X 4
2 He
ข. 239
92 U A
Z Y 0
1 e e

ค. 234
91 Pa * A
Z W
วิธีทาำ ก. ในสมการการสลาย ลรวมของเลขอ ตอมแล ลรวมของเลขมวลก่อนแล หลังการ
สลายมีค่าเท่ากัน ดังนั้น หาเลขอ ตอมแล เลขมวลของแต่ล ข้อได้ดังนี้
พิ ารณาเลขอ ตอม
ได้ว่า 84 = Z – 2
ดังนั้น Z = 84 – 2
= 82
พิ ารณาเลขมวล
ได้ว่า 218 = A + 4
ดังนั้น A = 218 – 4
= 214
เขียนเลขอ ตอมแล เลขมวลในสมการการสลายได้ดังนี้
218 214 4
84Po 82 X 2 He
239 239 0
ข. พิ U
ารณาเลขอ Y
92 ตอม e 93 1 e
234 * 234
Paว่า
ได้
91 91 W92 = Z – 1
ดังนั้น Z = 92 + 1
= 93

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
164 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

พิ ารณาเลขมวล
ได้ว่า 239 = A + 0
ดังนั้น A = 239
218 214 4
เขียPo
84 X เลขมวลในสมการการสลายได้
นเลขอ ตอมแล 2 He
82 ดังนี้
239 239 0
92U 93 Y 1 e e
234 * 234
Pa
ค. พิ ารณาเลขอ
91 W
ตอม 91

ได้ว่า 91 = Z + 0
ดังนั้น Z = 91
พิ ารณาเลขมวล
ได้ว่า 234 = A + 0
218 214
ดังนัPo
84 ้น X A =24 He
82 234
239 239
0
เขียU
92 Y เลขมวลในสมการการสลายได้
นเลขอ ตอมแล 1e93 e ดังนี้
234 * 234
91Pa W 91

ตอบ ก. 218
84Po 214
82 X 4
2 He
ข. 239
92U 239
93 Y 0
1 e e

ค. 234
91 Pa * 234
91 W
2. ากสมการการสลายต่อไปนี้ ให้ร บุว่า X เปน าตุใด แล มี A กับ Z เท่าใด
ก. A
Z X 210
83 Bi 0
-1 e e

ข. 220
86 Rn A
Z X 4
2 He
วิธีทาำ ก. ในสมการการสลาย ลรวมของเลขอ ตอมแล ลรวมของเลขมวลก่อนแล หลังการ
สลายมีค่าเท่ากัน ดังนั้น หา A แล Z ของแต่ล ข้อได้ดังนี้
A = 210 + 0 = 210
Z = 83 – 1 = 82
X มีเลขอ ตอมเท่ากับ 82 ากตาราง าตุ แสดงว่า X คือ ต กั่ว Pb
ข. หา A แล Z ของแต่ล ข้อได้ดังนี้
พิ ารณาเลขมวล
ได้ว่า 220 = A + 4
ดังนั้น A = 220 – 4
= 216

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 165

พิ ารณาเลขอ ตอม
ได้ว่า 86 = Z + 2
ดังนั้น Z = 86 – 2
= 84
X มีเลขอ ตอมเท่ากับ 84 ากตาราง าตุ แสดงว่า X คือ พอโลเนียม Po
ตอบ ก. X คือ ต กั่ว โดย A เท่ากับ 210 แล Z เท่ากับ 82
ข. X คือ พอโลเนียม โดย A เท่ากับ 216 แล Z เท่ากับ 84

3. นิวเคลียสของทอเรียม 232 Th สลายให้แอลฟาแล้วเปนนิวเคลียสของไอโซโทป X ซ่งมี


230
90

การสลายต่อให้บต
ี าแล้วเปนนิวเคลียสของไอโซโทป Y งเขียนสมการการสลายทีร่ บุเลขอ ตอม
แล เลขมวล
วิธีทำา หา A แล Z ของ X ได้ดังนี้
A = 232 – 4 = 228
Z = 90 – 2 = 88
หา A แล Z ของ Y ได้ดังนี้
A = 228 – 0 = 228
Z = 88 + 1 = 89
ตอบ ดังนั้น สมการการสลายคือ
232 228 4
90Th 88 X + 2 He
228 228
88 X Y + 01 e
89

4. ต กั่ว 214 214


82 Pb านวน 8.44 × 1010 อ ตอม มีกัมมันต าพ 1 มิลลิครี งหา
ค่าคงตัวการสลาย
วิธีทำา านวนอ ตอมของต กั่ว 214 เท่ากับ 8.44 × 1010 อ ตอม
กัมมันต าพ A 1 ครี เท่ากับ 3.7 × 1010 เบ็กเคอเรล หรือ ต่อวินาที
ดังนั้น กัมมันต าพ 1 มิลลิครี เท่ากับ 3.7 × 1010 เบ็กเคอเรล
แทนค่า แล A ลงในสมการ A = λ ได้
10 10
3.7 × 10 Bq = λ (8.44 × 10 )
3.7 107 s 1
8.44 1010
= 4.38 × 10-4 s-1
ตอบ ค่าคงตัวการสลายของต กั่ว 214 เท่ากับ 4.38 × 10-4 ต่อวินาที

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
166 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

5. ฟอสฟอรัส 32 32
15 P มีคร่งชีวิต 14 วัน ใช้เวลานานเท่าใด ง เหลือฟอสฟอรัส 32 ร้อยล
25 ของ านวนเดิม
วิธีทาำ
ln 2 ln 2
วิ ีที่ 1 หาค่าคงตัวการสลาย ากสมการ T1 ซ่ง ัดรปใหม่ได้เปน
2 T1
ln 2
แทนค่า T1 14 day ได้ 2

2 14 day
ให้ 0 เปน านวนนิวเคลียสเริ่มต้นของฟอสฟอรัส 32
เปน านวนนิวเคลียสของฟอสฟอรัส 32 เมื่อเวลา ่านไป t
ากสมการ = 0 e-λt ถ้าที่เวลา t ฟอสฟอรัส 32 ลดลงเหลือร้อยล 25 ของ
25
านวนเดิมหรือ N N0 ได้
100
ln 2
25 (
14 day
)t
N0 N0e
100
ln 2
( )t
e 14 day
4
ln 2
t 2 ln 2
14 day
t = 28 day
วิ ีที่ 2 ให้ 0 เปน านวนนิวเคลียสเริ่มต้นของฟอสฟอรัส 32
เปน านวนนิวเคลียสของฟอสฟอรัส 32 เมื่อเวลา ่านไป t
การสลายของฟอสฟอรัส 32 นเหลือ ร้อยล 25 ของปริมาณเดิม
25
ได้ N N0
100
N0
N
22
เนื่อง าก านวนนิวเคลียสที่เหลือเปนสัดส่วน 22 ของ านวนนิวเคลียสเริ่มต้น
ดังนั้น เวลาที่ ่านไป งต้องเปน านวนเต็ม 2 เท่าของคร่งชีวิต นั่นคือ
t 2T1
2
= 2 14 day
= 28 day
ตอบ ใช้เวลานาน 28 วัน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 167

6. าตุกม
ั มันตรังสีชนิดหน่งมีคร่งชีวต
ิ 10 นาที มี านวนนิวเคลียสเริม
่ ต้นเท่ากับ 8 × 1020 นิวเคลียส
งหาว่า
ก. เมื่อเวลา ่านไป 10 นาที มีนิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสีสลายไปกี่นิวเคลียส
ข. เมื่อเวลา ่านไป 30 นาที มีนิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสีเหลือเท่าใด
วิธีทาำ ก. เมื่อเวลา ่านไป 10 นาที ซ่งเท่ากับคร่งชีวิต าตุกัมมันตรังสี สลายไปคร่งหน่งของ
านวนเริ่มต้น ดังนั้น มี านวนนิวเคลียสที่สลายไปเท่ากับ
1
8 × 1020 = 4.0 × 1020
2
ข. เมื่อเวลา ่านไป 30 นาที ซ่งเท่ากับ 3 เท่าของคร่งชีวิต าตุกัมมันตรังสี สลายไป
1
นเหลือ านวน 3 เท่าของ านวนเริ่มต้น ดังนั้น มี านวนนิวเคลียสที่เหลืออย่
2
เท่ากับ
1
8 × 1020 = 1.0 × 1020
23
ตอบ ก. เมือ
่ เวลา า่ นไป 10 นาที มีนวิ เคลียสของ าตุกม
ั มันตรังสีสลายไป 4 × 1020 นิวเคลียส
ข. เมือ
่ เวลา า่ นไป 30 นาที มีนวิ เคลียสของ าตุกม
ั มันตรังสีเหลืออย่ 1 × 1020 นิวเคลียส

7. ไอโอดีน 131 131


53 I มี านวนนิวเคลียส 3.69 × 1010 นิวเคลียส แล มีกัมมันต าพ 1 ไมโครครี
งหาคร่งชีวิตของไอโอดีน 131
วิธีทาำ ให้ A0 เปนกัมมันต าพเริ่มต้นของไอโอดีน 131
0 เปน านวนนิวเคลียสเริ่มต้นของไอโอดีน 131
λ เปนค่าคงตัวการสลายของไอโอดีน 131
0.693
หาคร่งชีวิตของไอโอดีน 131 ได้ ากสมการ A0 = λ 0 แล
T1/ 2
าก A0 = λ 0

0.693
A0 N0
T1/2
0.693N 0
ได้ T1/2
A0
(0.693)(3.69 1010 nucleus)
แทนค่า T1/2
3.7 1010 Bq
(1 10 6 Ci)
1 Ci
= 6.911 × 105 s
ตอบ คร่งชีวิตของไอโอดีน 131 เท่ากับ 6.91 × 105 วินาที หรือ 8 วัน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
168 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

8. พอโลเนียม 210 210


84 Po มีคร่งชีวิต 140 วัน เริ่มต้นมี านวน 20.0 กรัม เมื่อเวลา ่านไป
120 วัน เหลือพอโลเนียม 210 อย่กี่กรัม กาหนด e-0.594 เท่ากับ 0.552
วิธีทำา ถ้า m0 เปนมวลเริ่มต้นของโพโลเนียม 210 แล m เปนมวลของโพโลเนียม 210
0.693
ที่เวลา t ใด หามวลของโพโลเนียมที่เหลือ ากสมการ m = m0 e-λt แล
T1/ 2
าก m = m0 e-λt 1
0.693
หา λ ากสมการ
T1/ 2
0.693
t t
T1/2
0.693
(120 day)
140 day
= 0.594 2
แทนค่า λ ากสมการ 2 ในสมการ 1 ได้
m = m0 e-λt
= 20.00 g 0.552
= 11.04 g
ตอบ พอโลเนียม 210 เหลืออย่เท่ากับ 11.0 กรัม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 169

20.3 ป ิกิริยานิวเคลียร์และพลังงานนิวเคลียร์
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายของป ิกิริยานิวเคลียร์
2. อ ิบายฟชชันแล ความสัมพัน ์ร หว่างมวลกับพลังงานที่ปลดปล่อยออกมา ากฟชชัน
3. คานวณพลังงานนิวเคลียร์ที่ปลดปล่อยออก ากฟชชัน
4. อ ิบายฟวชันแล ความสัมพัน ์ร หว่างมวลกับพลังงานที่ปลดปล่อยออกมา ากฟวชัน
5. คานวณพลังงานนิวเคลียร์ที่ปลดปล่อยออก ากฟวชัน
6. บอกแนวทางการนาพลังงานนิวเคลียร์ไปใช้ปร โยชน์

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. เตรียมคลิปวิดีทัศน์หรือ าพของข่าวเกี่ยวกับการใช้ปร โยชน์ ากพลังงานนิวเคลียร์ โดยอา ใช้คลิป
วิดีทัศน์ ดังนี้
คลิปโรงไฟฟานิวเคลียร์ เช่น คลิปที่ลิงค์ https://youtu.be/MDcJTDUi9DE
หรือ https://youtu.be/_AdA5d_8Hm0
คลิปเรือขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ เช่น คลิปที่ลิงค์
https://youtu.be/6G9B1fyqV4g
2. ถ้ามีการ ัดกิ กรรมโต้วาที เกี่ยวกับโรงไฟฟานิวเคลียร์ในปร เทศไทย ให้เตรียมแหล่งสืบค้นข้อมลให้
พร้อม แล อา ติดต่อครสอนวิชา าษาไทย ในการร่วม ัดกิ กรรมแล ปร เมินการโต้วาที
3. ถ้ามีการทากิ กรรมเสนอแน สาหรับคร แบบ าลองฟชชันแล ฟวชัน ให้เตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อม
ได้แก่
ลกปดสี หรือ ลกแก้ว ที่มีสีแตกต่างกันอย่างน้อย 2 สี 30 อัน
ไหมพรมสีแตกต่างกันอย่างน้อย 2 สี 1 ม้วน
กาว 1 หลอด
กร ดาษเทาขาวแ ่นใหญ่ 1 แ ่น
สีเม ิก 1 ชุด
กร ดาษโน้ตสี 1 ชุด

แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 20.3 โดยให้นก
ั เรียนชมคลิปวิดท
ี ศ
ั น์หรือรปเกีย่ วกับการใช้ปร โยชน์ ากพลังงาน
นิวเคลียร์ เช่น โรงไฟฟานิวเคลียร์ หรือ เรือขนาดใหญ่ทข
ี่ บ
ั เคลือ
่ นด้วยพลังงานนิวเคลียร์ ากนัน
้ ตัง้ คาถาม
ให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกันว่า พลังงานนิวเคลียร์ที่นามาใช้ปร โยชน์นี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของ
อ ไร อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นักเรียนตอบคาถามอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
170 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า พลังงานนิวเคลียร์เกิด ากการเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียส ากนั้น คร


ทบทวนเกีย่ วกับการเปลีย่ นแปลงของนิวเคลียสในหัวข้อที่ า่ นมา ซ่งเปนการสลายทีน
่ วิ เคลียสมีการเปลีย่ น
แปลงองค์ปร กอบตาม รรมชาติ ไม่ขน
้ กับป ยั ายนอก เช่น ความดัน อุณห มิ หรือการกร ทาของมนุษย์
ากนัน
้ ครตัง้ คาถามว่า ถ้านิวเคลียสได้รบ
ั การกร ตุน
้ ากการกร ทาของมนุษย์ นิวเคลียส เกิดการเปลีย่ น
แปลงได้หรือไม่ อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นักเรียนตอบคาถามอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครให้ นั ก เรี ย นศกษา การทดลองปล่ อ ยอนุ าคแอลฟาไปชนกั บ นิ ว เคลี ย สของไนโตรเ น 14
ของรัทเทอร์ฟอร์ด แล ลการวิเครา ห์ของแบล็กเกต ตามรป 20. 21 ในหนังสือเรียนรวมทั้ง ความหมาย
ของป ิกิริยานิวเคลียร์ ในหนังสือเรียน ากนั้น ครแล นักเรียนร่วมกันอ ิปรายสิ่งที่ได้ ากการศกษา
ครแล นักเรียนอ ป
ิ รายร่วมกันเกีย่ วกับการเปลีย่ นนิวเคลียสของ าตุหน่งเปนนิวเคลียสของ าตุอน
ื่
เช่นทองคา นาไปส่การค้นพบ าตุใหม่ ที่ไม่มีใน รรมชาติ รวมทั้งการค้นพบป ิกิริยานิวเคลียร์ที่ให้
พลังงานออกมา ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน ากนั้น นานักเรียนเข้าส่หัวข้อ 20.3.1 ฟชชัน

20.3.1 ฟิชชัน

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. นิวตรอนที่ใช้กร ตุ้นทาให้เกิดฟชชันเปน 1. นิวตรอนที่ทาให้เกิดฟชชัน มีพลังงานต่า


นิวตรอนมีพลังงานสง เรียกว่า slow neutron หรือ thermal
neutron

2. ฟชชันเกิด ากนิวตรอนเคลือ
่ นทีด
่ ว้ ยความ 2. ฟชชันเกิดข้นเมื่อ นิวตรอนที่มีพลังงานต่า
เร็วสงไปชนกับนิวเคลียส ทาให้นิวเคลียส เคลือ่ นทีไ่ ปพบกับนิวเคลียส ทาให้นวิ เคลียส
แตกออก เหมือนกร สุนปนถกยิงไปทีว่ ต
ั ถุ ดดซับนิวตรอนไว้ กลายเปนนิวเคลียส ทีไ่ ม่
ทรงกลม แล้วทาให้วัตถุนั้นแตกออก เสถียร งเกิดการแยกออก ากกัน

3. ป ิ กิ ริ ย าลกโซ่ เ กิ ด ข้ น ได้ เ มื่ อ มี นิ ว ตรอน 3. ป ก


ิ ริ ยิ าลกโซ่ เกิดข้นได้ เมือ
่ นิวตรอน าก
พลังงานสง ากฟชชันครั้งแรก พุ่งชนกับ ฟชชันครัง้ แรกถกหน่วงให้มค
ี วามเร็วลดลง
นิวเคลียสอื่น ของ าตุหนักที่อย่รอบ เปนนิวตรอนพลังงานต่า แล้วเคลื่อนที่ไป
พบกั บ นิ ว เคลี ย สอื่ น ของ าตุ ห นั ก ที่
อย่รอบ ทาให้เกิดฟชชัน ครั้งต่อ ไป

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 171

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อ 12 - 14 ของหัวข้อ 20.3 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อ 20.3.1 โดยให้นักเรียนศกษาการทดลองของแฟร์มีที่ปล่อยนิวตรอนไปพบกับ
นิวเคลียสของ าตุตา่ ง การวิเครา ห์หาชนิดของ าตุของ าห์นกับสตราสมันน์ แล การอ บ
ิ ายกร บวนการ
ที่เกิดข้นโดยไมท์เนอร์แล ฟริช ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน ากนั้น ให้ครนาอ ิปรายสรุปเกี่ยวกับ
ฟชชัน โดยครควรเน้น ดังนี้
การค้นพบฟชชัน เกิด ากความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ที่พยายาม ลิต าตุใหม่
การที่นักวิทยาศาสตร์ใช้นิวตรอนเปนอนุ าคที่ปล่อยไปพบกับนิวเคลียสของยเรเนียม เพรา
นิวตรอนไม่มป
ี ร ไุ ฟฟา สามารถเคลือ
่ นทีเ่ ข้าไปพบนิวเคลียสของยเรเนียมทีม
่ ป
ี ร บ
ุ วกได้งา่ ย
กว่าอนุ าคที่มีปร ุไฟฟา
การเกิดฟชชัน เกิดข้นกับนิวเคลียสของ าตุหนักแล ทาให้ได้นิวเคลียสใหม่ที่แตกต่างกัน
ครอา ตั้งคาถามให้มีการอ ิปรายเพิ่มเติม เช่น
ก. ฟชชันเกิดข้นได้กับนิวเคลียสของ าตุแบบใด
แนวคำาตอบ าตุหนัก หรือ าตุที่มีเลขมวลมากกว่า 150
ข. ป ิกิริยานิวเคลียร์ต่อไปนี้ เปนฟชชันหรือไม่
2 1 1
1 1H 1H 0n
14 4 17 1
2 7N 2 He 8 O 1H
238 1 239
3 92 U 0n 92 U
แนวคำาตอบ ป ิกิริยานิวเคลียร์ทั้ง 1 2 แล 3 นี้ไม่ ัดเปนฟชชัน เนื่อง ากป ิกิริยา 1 แล
2 มีแต่ าตุเบา ไม่มี าตุหนักเกีย่ วข้อง ส่วนป กิ ริ ยิ า 3 ถงแม้ มี าตุหนักเกีย่ วข้อง แต่นวิ เคลียส
ของ าตุตั้งต้นไม่ได้แยกออกเปนนิวเคลียสใหม่ 2 นิวเคลียสที่มีมวลใกล้เคียงกัน
ค. ล ลิตที่ได้ ากฟชชันของยเรเนียม 235 มีอ ไรบ้าง แล เหมือนกันทุกครั้งหรือไม่
แนวคำาตอบ ล ลิตทีไ่ ด้ ากฟชชัน ได้แก่ พลังงาน นิวตรอนไม่เกิน 3 นิวตรอน แล นิวเคลียส
ใหม่ 2 นิวเคลียส ทีม
่ เี ลขอ ตอมแล เลขมวลน้อยกว่านิวเคลียสตัง้ ต้น โดย ลรวมของเลขอ ตอม
ของนิวเคลียสใหม่ทงั้ สอง เท่ากับเลขอ ตอมของนิวเคลียสตัง้ ต้น ทัง้ นี้ ชนิดของสองนิวเคลียส
ใหม่ที่ได้ ากฟชชันแต่ล ครั้ง อา แตกต่างกันได้หลายแบบ

ครแล นักเรียนอ ิปรายร่วมกันเกี่ยวกับตัวอย่างการเกิดฟชชันของยเรเนียม 235 ตามรป 20.22


ในหนังสือเรียน แล สมการแทนการเกิดฟชชัน รวมทัง้ พลังงานนิวเคลียร์ แล ความสัมพัน ร์ หว่างพลังงาน
นิวเคลียร์กบ
ั มวลทีล่ ดลงหลังการเกิดฟชชัน นสรุปได้สมการ 20.11 ทัง้ นี้ ครควรเน้นว่า ในการเขียนสมการ
แสดงป ิกิริยานิวเคลียร์ ลรวมของเลขมวลแล ลรวมของเลขอ ตอมก่อนแล หลังป ิกิริยามีค่าเท่ากัน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
172 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ครอา ให้ความร้เพิม
่ เติมว่า ส่วนของมวลทีล่ ดลงหลังการเกิดฟชชันนี้ สามารถเรียกว่า ส่วนพร่องมวล
mass defect ได้เช่นเดียวกับกรณีหวั ข้อพลังงานยดเหนีย่ ว นอก ากนี้ พลังงานส่วนใหญ่ทป
ี่ ลดปล่อยออก
มา ากฟชชัน ปร มาณ 84% เปนพลังงาน ลน์ของนิวเคลียส 2 นิวเคลียสที่แยกออกมา ส่วนที่เหลือ
เปนพลังงาน ลน์ของนิวตรอน พลังงานของรังสีแกมมาแล อนุ าคอื่น
ครให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 20.10 โดยมีครแน นา ากนั้นครแล นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน
เกีย่ วกับ การเปรียบเทียบพลังงานนิวเคลียร์ทไี่ ด้ ากฟชชันของนิวเคลียสยเรเนียม 1 นิวเคลียส กับพลังงาน
ที่ได้ ากป ิกิริยาเคมีของการเ าไหม้คาร์บอน 1 อ ตอม ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน ากนั้น ครนา
อ ิปราย โดยใช้รป 20.23 – 20.24 หรือสื่ออื่นที่คร ัดหามา เพื่อศกษาเกี่ยวกับป ิกิริยาลกโซ่ เครื่อง
ป ิกรณ์นิวเคลียร์ แล การ ลิตไฟฟาของโรงไฟฟานิวเคลียร์ โดยอา ใช้คาถามต่อไปนี้
ก. ถ้าในเครื่องป ิกรณ์นิวเคลียร์ ไม่มีตัวหน่วงความเร็วนิวตรอน เกิดป ิกิริยาลกโซ่ได้หรือไม่
แนวคำาตอบ ไม่ได้ เพรา ตัวหน่วงความเร็วนิวตรอน ช่วยให้นิวตรอนที่ถกปล่อยออกมา าก
ฟชชันมีความเร็วลดลง เหมา สมกับการทาให้เกิดฟชชันในครั้งต่อ ไป
ข. ถ้าการเกิดฟชชันของนิวเคลียสชนิดหน่ง มีการปล่อยนิวตรอนออกมาเพียงอนุ าคเดียวในแต่ล
ครั้ง เราสามารถนานิวเคลียสชนิดนี้ไปสร้างป ิกิริยาลกโซ่อย่างทวีคณได้หรือไม่
แนวคำาตอบ ไม่ได้ เพรา การเกิดฟชชันแต่ล ครั้ง ได้นิวตรอนเพียงอนุ าคเดียว ที่ทาให้
เกิดฟชชันอีกครั้ง แล เปนเช่นนี้ ต่อเนื่องกันไป งเปนฟชชันแบบต่อเนื่อง แต่ไม่ทวีคณ
ค. แท่งควบคุม ช่วยในการควบคุมป ิกิริยาลกโซ่อย่างไร
แนวคำาตอบ แท่งควบคุมดดซับนิวตรอนทีป
่ ล่อยออกมา ากฟชชัน ทาให้อต
ั ราการเกิดป ก
ิ ริ ยิ า
ลกโซ่ลดลง
ง. ไอน้าหรือน้าที่ปล่อยออกมา ากส่วนร บายความร้อนของโรงไฟฟานิวเคลียร์ มีอันตรายหรือไม่
อย่างไร
แนวคำาตอบ ไอน้าหรือน้าทีป
่ ล่อยออกมา ากส่วนร บายความร้อน อย่ในร บบท่อส่งน้าทีแ่ ยก
ออก ากร บบท่อส่งน้าในส่วน ลิตไฟฟาแล ส่วนแลกเปลี่ยนความร้อน ดังนั้น ไอน้าหรือน้าที่
ปล่อยออกมา งไม่อันตราย

ข้อแนะนำาเพิ่มเติมสำาหรับครู
ครอา ัดกิ กรรมโต้วาทีในหัวข้อที่เกี่ยวกับการสร้างโรงไฟฟานิวเคลียร์ในปร เทศไทย เช่น หัวข้อ
เปน ลดี ถ้ า ไทยมี โ รงไฟฟานิ ว เคลี ย ร์ โรงไฟฟานิ ว เคลี ย ร์ กั บ การแก้ ป ญหาการเปลี่ ย นแปลงส าพ
มิอากาศ โดยในการโต้วาที ครสามารถปร เมินทักษ อื่น ที่สาคัญ เช่น ทักษ การสื่อสาร สารสนเทศ
แล การร้เท่าทันสื่อ ทักษ การคิดอย่างมีวิ ารญาณแล การแก้ปญหา ทักษ ด้านความร่วมมือ การทางาน
เปนทีมแล าว ้นา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 173

ทั้งนี้ ครอา พิ ารณาบรณาการกิ กรรมนี้กับวิชา าษาไทย โดยอา เชิญคร าษาไทยมาเปน


กรรมการที่ปรกษา เช่น การปรกษาในการตั้งหัวข้อ กาหนดกติกา ควบคุมการโต้วาที แล ให้ข้อคิดเห็น
กับข้อเสนอแน
หลังการโต้วาที ครนาอ ป
ิ รายแล สรุป ซ่งมีตวั อย่าง ลการสรุปการโต้วาทีการสร้างโรงไฟฟานิวเคลียร์
ในปร เทศไทย ดังนี้
ข้อดี ายเสนอ
สามารถช่วยแก้ปญหาด้านพลังงานได้ เพรา ไม่ใช้เชื้อเพลิงซากดกดาบรรพ์
ช่วยลดปริมาณแกสคาร์บอนไดออกไซด์ ปญหาการเปลี่ยนแปลงส าพ มิอากาศได้ เพรา
โรงไฟฟานิวเคลียร์ ไม่มีการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์
มีต้นทุนของการ ลิตต่าเมื่อคิดในร ย ยาว
สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เพรา โรงไฟฟานิวเคลียร์สามารถ ลิตไฟฟาได้อย่างต่อเนื่อง
ข้อ ากัด ายค้าน
ทาให้เกิดกากกัมมันตรังสี ที่อา มีปญหาเรื่องการ ัดการเรื่องการเก็บ
ถ้าเกิดอุบัติเหตุข้น อา ทาให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงแล ยาวนาน
ต้องใช้เงินลงทุนสงในช่วงเริ่มต้น

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

ประเภทของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
เรียบเรียง าก โรงไฟฟานิวเคลียร์ สมาคมนิวเคลียร์แห่งปร เทศไทย
โดย ดร.สมพร องคา แล คุณอารีรัตน์ คอนดวงแก้ว
โรงไฟฟานิวเคลียร์ในป ุบัน แบ่งเปน 3 ปร เ ทดังนี้
1. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบน้าำ ความดันสูง
เครื่องป ิกรณ์นิวเคลียร์

ไอน้ เครื่องก เนิดไฟฟา

แท่งควบคุม
เครื่องสบน้
แท่งเชื้อเพลิง
กังหัน

เครื่องควบแน่น
เครื่องสบน้ น้ เย็น

รูป โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบน้าำ ความดันสูง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
174 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

โรงไฟฟานิวเคลียร์แบบน้าความดันสง Pressurized Water Reactor : PWR โรงไฟฟา


ชนิดนี้ ถ่ายโอนความร้อน ากแท่งเชื้อเพลิงให้น้า นมีอุณห มิสงปร มาณ 320 องศาเซลเซียส
ายในถังขนาดใหญ่ อัดความดันสงปร มาณ 15 เมก พาสคัล MPa หรือปร มาณ 150 เท่าของ
ความดันบรรยากาศไว้ เพื่อไม่ให้นาเดื
้ อดกลายเปนไอ แล นาน้าส่วนนี้ไปถ่ายโอนความร้อนให้แก่
น้าหล่อเย็นอีกร บบหน่ง เพื่อให้เกิดการเดือดแล กลายเปนไอน้าออกมา เปนการปองกันไม่ให้นา้
ในถังป ิกรณ์ ซ่งมีสารรังสีเ ือปนอย่แพร่กร ายไปยังอุปกรณ์ส่วนอื่น ตลอด นปองกันการรั่ว
ของสารกัมมันตรังสีส่สิ่งแวดล้อม

2. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบน้าำ เดือด

เครื่องป ิกรณ์นิวเคลียร์

ไอน้ เครื่องก เนิดไฟฟา

แท่งเชื้อเพลิง เครื่องสบน้
กังหัน
แท่งควบคุม

เครื่องควบแน่น
เครื่องสบน้ น้ เย็น
รูป โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบน้าำ เดือด

โรงไฟฟานิวเคลียร์แบบน้าเดือด Boiling Water Reactor : BWR สามารถ ลิตไอน้าได้


โดยตรง ากการต้มน้า ายในถังซ่งควบคุมความดัน ายใน ปร มาณ 7 MPa ต่ากว่าโรงไฟฟา
นิวเคลียร์แบบแรก PWR ดังนัน
้ ความ าเปนในการใช้เครือ
่ ง ลิตไอน้า แล แลกเปลีย่ นความร้อน
ปมแล อุปกรณ์ชว่ ยอืน
่ ก็ลดลง แต่ าเปนต้องมีการก่อสร้างอาคารปองกันรังสีไว้ในร บบอุปกรณ์
ส่วนต่าง ของโรงไฟฟา เนือ
่ ง ากไอน้า ากถังป ก
ิ รณ์ ถกส่ง า่ นไปยังอุปกรณ์เหล่านัน
้ โดยตรง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 175

3. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบน้าำ มวลหนักความดันสูง

เครื่องป ิกรณ์นิวเคลียร์

ไอน้ เครื่องก เนิดไฟฟา

แท่งควบคุม
เครื่องสบน้
กังหัน
แท่งเชื้อเพลิง

เครื่องควบแน่น
เครื่องสบน้ น้ เย็น

รูป โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบน้าำ มวลหนักความดันสูงหรือแบบแคนดู

โรงไฟฟาแบบน้ามวลหนักความดันสง Pressurized Heavy Water Reactor : PHWR


โรงไฟฟาแบบนี้ ปร เทศแคนาดาเปน ้พั นา งมักเรียกชื่อว่า CANDU ซ่งย่อมา าก Cana-
dian Deuterium Uranium มีการทางานคล้ายกับแบบ PWR แต่แตกต่างกันที่ มีการ ัดแกน
ป ิกรณ์ในแนวร นาบ แล มีการต้มน้า ายในท่อขนาดเล็ก านวนมากที่มีเชื้อเพลิงบรร ุอย่ แทน
การต้มน้า ายในถังป ิกรณ์ขนาดใหญ่ เนื่อง ากสามารถ ลิตได้ง่ายกว่าการ ลิตถังขนาดใหญ่
โดยใช้น้ามวลหนัก heavy water, D2O มาเปนตัวร บายความร้อน ากแกนป ิกรณ์ นอก ากนี้
ยังมีการแยกร บบใช้น้ามวลหนักเปนตัวหน่วงความเร็วของนิวตรอนด้วย เนื่อง ากน้ามวลหนักมี
การดดกลืนนิวตรอนน้อยกว่าน้า รรมดา ทาให้ป กิ ริ ยิ านิวเคลียร์เกิดข้นได้งา่ ย งสามารถใช้เชือ้ เพลิง
ยเรเนี ย มที่ ส กั ด มา าก รรมชาติ ซ่ ง มี ย เรเนี ย ม 235 ปร มาณร้ อ ยล 0.7 ได้ โ ดยไม่ าเปน
ต้อง า่ นกร บวนการปรับปรุงให้มค
ี วามเข้มข้นสงข้น ทาให้ปริมาณ ลิต ล ากการแตกตัว ssion
product ที่เกิดในแท่งเชื้อเพลิงที่ใช้แล้ว มีน้อยกว่าเครื่องป ิกรณ์แบบใช้นา้ รรมดา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
176 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

20.3.2 ฟิวชัน

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. การเกิดฟวชัน ไม่มี าตุหรือไอโซโทป 1. การเกิดฟวชันมี าตุหรือไอโซโทป


กัมมันตรังสีมาเกี่ยวข้อง กัมมันตรังสีมาเกี่ยวข้อง เช่น ฟวชัน
ร หว่างดิวเทอรอนกับทริทรอน ซ่ง
ทริทอนเปนนิวเคลียสของทริเทียมที่เปน
ไอโซโทปกัมมันตรังสี แล ฟวชันบางชนิด
ทาให้เกิดนิวเคลียสของไอโซโทป
กัมมันตรังสี

2. มวลรวมของอนุ าคต่าง หลังเกิดฟวชัน 2. มวลรวมของอนุ าคต่าง หลังเกิดฟวชัน


มากกว่า มวลรวมก่อนเกิดฟวชัน น้อยกว่า มวลรวมก่อนเกิดฟวชัน เพรา มี
การปลดปล่อยพลังงาน

3. ฟวชันให้พลังงานมากกว่าฟชชันเสมอ 3. ฟวชันให้พลังงานต่อมวลมากกว่าฟชชัน
แต่มีบางกรณีที่ฟวชันให้พลังงานต่อมวล
น้อยกว่าฟชชัน

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 15 แล 16 ของหัวข้อ 20.3 ตามหนังสือเรียน ากนั้น ครนา
เข้าส่หัวข้อ 20.3.2 โดยนาอ ิปรายทบทวนเกี่ยวกับป ิกิริยานิวเคลียร์แล ฟชชัน ถัดมา ครตั้งคาถามให้
นักเรียนอ ป
ิ รายร่วมกันว่า ถ้านิวเคลียสทีม
่ ม
ี วลน้อยมารวมกันเปนนิวเคลียสทีม
่ ม
ี วลมาก เกิดข้นได้หรือไม่
แล มีการให้หรือรับพลังงาน อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวัง
คาตอบที่ถกต้อง
ครให้ นั ก เรี ย นศกษาการพั นาแนวคิ ด เกี่ ย วกั บ ฟวชั น ความหมายของฟวชั น แล พลั ง งาน
นิวเคลียร์ ากฟวชัน ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน แล้วอ ิปรายร่วมกัน นได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการเกิด
ฟวชันแล ความสัมพัน ์ร หว่างส่วนของมวลที่ลดลงกับพลังงานนิวเคลียร์ที่ปลดปล่อยออกมา ากฟวชัน
ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 177

ครอา ให้ความร้เพิม
่ เติมว่า ในบางกรณี พลังงานต่อมวลทีไ่ ด้ ากฟวชัน อา น้อยกว่า พลังงานต่อมวล
ที่ได้ ากฟชชัน
ครควรชี้ให้เห็นว่า เงื่อนไขสาคัญที่ทาให้เกิดฟวชันบนดวงอาทิตย์แล ดาว กษ์ได้นั้น เปนเพรา
อุณห มิของดวงอาทิตย์แล ดาว กษ์สงมาก ทาให้นิวเคลียสของ าตุเบามีความเร็วสงมาก นสามารถ
เคลื่อนที่เข้ามาหลอมรวมกันได้ ถงแม้ มีแรง ลักทางไฟฟาร หว่างนิวเคลียส
ครอา ถามคาถามชวนคิดให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน โดยครเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิด
เห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง

แนวคำาตอบชวนคิด

การที่ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยพลังงานออกมาตลอดเวลาส่ง ลต่อมวลของดวงอาทิตย์อย่างไร
แนวคำาตอบ พลังงานทีด
่ วงอาทิตย์ปลดปล่อยออกมา มา ากฟวชัน ซ่งมีมวลบางส่วนของนิวเคลียส
ของ าตุบนดวงอาทิตย์ทเ่ี กิดฟวชัน เปลีย่ นไปเปนพลังงาน ดังนัน
้ การปลดปล่อยพลังงานออกมาตลอด
เวลาของดวงอาทิตย์ ทาให้มวลของดวงอาทิตย์ลดลงเรือ
่ ย

กิจกรรมเสนอแนะสำาหรับครู แบบจำาลองฟิชชันและฟิวชัน

จุดประสงค์
1. สร้างแบบ าลองเพื่ออ ิบายฟชชันแล ฟวชัน

เวลาที่ใช้ 30 นาที

วัสดุและอุปกร ์
1. ลกปดสี หรือ ลกแก้ว 30 อัน
ที่มีสีแตกต่างกันอย่างน้อย 2 สี
2. ไหมพรมสีแตกต่างกันอย่างน้อย 2 สี 1 ม้วน
3. กาว 1 หลอด
4. กร ดาษเทาขาวแ ่นใหญ่ 1 แ ่น
5. สีเม ิก 1 ชุด
6. กร ดาษโน้ตสี 1 ชุด

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
178 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

วิธีทำากิจกรรม

แนวทางที่ 1
1. แบ่งนักเรียนออกเปนกลุม
่ กลุม
่ ล ปร มาณ 11 คน หรือมากกว่า โดยให้สมาชิกในกลุม
่ แทน
อนุ าคในนิวเคลียส แล อา ใช้อุปกรณ์อื่น รอบตัวแทนพลังงาน
2. ให้นักเรียนแต่ล กลุ่มปรกษากันเพื่ออุปมาอุปไมยแสดงการเกิดฟชชันของนิวเคลียสของ
าตุที่มีเลขมวล 230 - 240 แล ฟวชันร หว่างนิวเคลียสของ าตุที่มีเลขมวล 2 - 4 ด้วย
การแสดงของนักเรียนในกลุ่ม ากนั้นให้แต่ล กลุ่มนาเสนอ
3. หลังการนาเสนอ ให้นักเรียนในกลุ่มอื่นวิ ารณ์การแสดง

แนวทางที่ 2
1. แบ่งนักเรียนออกเปนกลุม
่ กลุม
่ ล 3 – 4 คน ากนัน
้ ให้นก
ั เรียนแต่ล กลุม
่ สร้างแบบ าลอง
การเกิดฟชชันแล ฟวชันของนิวเคลียสของ าตุบางชนิดบนกร ดาษเทาขาวแ น
่ ใหญ่ โดยใช้
ลกปดสี หรือ ลกแก้ว หรือ กร ดาษตัดเปนวงกลมทีม
่ สี แี ตกต่างกัน แทนนิวตรอนแล โปรตอน
ใช้ไหมพรมเปนเส้นร บุลาดับการเกิดกร บวนการ
2. หลัง ากที่แต่ล กลุ่มสร้างแบบ าลองเสร็ แล้ว ให้นา ลงานไปติดที่ นังห้อง
3. ให้นักเรียนแต่ล กลุ่มเดินหมุนเวียนพิ ารณา ลงานของนักเรียนกลุ่มอื่น แล เขียนแสดง
ความคิดเห็นลงในกร ดาษโน้ตสีแล้วติดไว้ข้าง ลงานของแต่ล กลุ่ม

ครให้นก
ั เรียนศกษาตัวอย่าง 20.11 โดยครเปน ใ้ ห้คาแน นา ากนัน
้ ครให้นก
ั เรียนพิ ารณา
การเปรียบเทียบร หว่างพลังงานต่อมวลที่ปลดปล่อยออกมา ากฟชชันของยเรเนียม 235 กับ
พลังงานต่อมวลที่ปลดปล่อยออกมา ากฟวชันร หว่างดิวเทอเรียมกับทริเทียม ตามรายล เอียดใน
หนังสือเรียน แล้วอ ิปรายร่วมกันเกี่ยวกับข้อดีแล ข้อ ากัด หากสามารถนาพลังงานนิวเคลียร์ าก
ฟวชันมาใช้ปร โยชน์ได้ ซ่งควรสรุปได้ดังนี้
พลังงานต่อมวลทีไ่ ด้ ากฟวชันร หว่างดิวเทอเรียมกับทริเทียมมีมากกว่าพลังงานต่อมวล
ที่ได้ ากฟชชันของยเรเนียม 235 ปร มาณ 4 – 5 เท่า
หากสามารถนาพลังงานนิวเคลียร์ ากฟวชันร หว่างดิวเทอเรียมกับทริเทียมมาใช้ปร โยชน์
ได้ มีข้อดีแล ข้อ ากัด ดังนี้
ข้อดี
สามารถช่วยแก้ปญหาด้านพลังงานได้ เพรา ใช้นาเปนวั
้ ตถุดิบ
ช่วยลดปญหาการเปลีย่ นแปลงส าพ มิอากาศได้ เพรา พลังงานนิวเคลียร์ ากฟวชัน
ไม่มีการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์
กากกัมมันตรังสีอย่ในร ดับที่ไม่เปนอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 179

ข้อ ากัด
มีค่าใช้ ่ายสงในการสร้างส าว ที่เหมา สมเพื่อทาให้เกิดฟวชัน

ครให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ แล ทาแบบ กหัด 20.3 ทั้งนี้ ครอา ให้


นักเรียนเขียนแ น าพ เพื่อเปรียบเทียบส่วนที่เหมือนแล ส่วนที่แตกต่างร หว่างฟชชันกับฟวชัน
ดังตัวอย่างแ น าพด้านล่าง

ตัวอย่างแผนภาพแสดงการเปรียบเทียบฟิชชันกับฟิวชัน

ฟชชัน ฟวชัน

สวนที่เหมือน

ตัวอย่าง แนวคำาตอบ

ฟชชัน ฟวชัน

- เกิดกับนิวเคลียส สวนที่เหมือน - เกิดกับนิวเคลียส


ของธาตุหนัก - มีการปลดปลอย ของธาตุเบา
- ตองมีการกระตุน พลังงานออกมา - ไมตองมีการกระตุน
ดวยอนุภาค - นิวเคลียสมีการ ดวยอนุภาคแตตอง
- เปนการแยกกัน เปลี่ยนแปลง กระตุนดวยอุณหภูมิ
ของนิวเคลียส - ผลรวมมวลหลัง สูงและความดันสูง
- เกิดขึ้นไดที่อุณหภูมิ ปฏิกิริยาลดลง - เปนการรวมกัน
ไมสูงมาก ของนิวเคลียส
- เกิดขึ้นไดที่
อุณหภูมิสูง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
180 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกีย่ วกับป ก
ิ ริ ยิ านิวเคลียร์ ฟชชัน ฟวชัน แล พลังงานนิวเคลียร์ ากคาถามตรว สอบ
ความเข้าใ 20.3
2. ทักษ การแก้ปญหาแล การใช้ านวน ากการแก้โ ทย์ปญหาแล การคานวณปริมาณต่าง
เกี่ยวกับ ฟชชัน ฟวชัน แล พลังงานนิวเคลียร์ ในแบบ กหัด 20.3
3. ต
ิ วิทยาศาสตร์ดา้ นความมีเหตุ ล ากการอ ป
ิ รายร่วมกัน แล ด้านความรอบคอบ ากการทา
แบบ กหัด 20.3

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 20.3

1. งให้ความหมายของป ิกิริยานิวเคลียร์
แนวคำาตอบ ป ิกิริยานิวเคลียร์ คือ กร บวนการที่นิวเคลียสมีการเปลี่ยนแปลงองค์ปร กอบ
ายในเมื่อได้รับการกร ตุ้น
2. ในการเกิดฟชชัน นิวเคลียสมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
แนวคำาตอบ นิวเคลียสของ าตุหนักดด ับนิวตรอนไว้ กลายเปนนิวเคลียสที่อย่ในสถาน
กร ตุ้น ากนั้น แยกออกเปนนิวเคลียส 2 นิวเคลียสที่มีเลขอ ตอมแล มวลน้อยลง
3. นิวเคลียสที่เกิดฟวชันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
แนวคำาตอบ นิวเคลียสของไอโซโทปที่เกิดฟวชันมีการรวมกันเปนนิวเคลียสที่มีมวลมากข้น
4. พลังงานนิวเคลียร์ที่ได้ ากฟชชันแล ฟวชัน มา ากอ ไร
แนวคำาตอบ มา ากมวลที่ลดลงหลังการเกิดฟชชันแล ฟวชัน ซ่งส่วนของมวลที่ลดลงนี้ได้
เปลี่ยนไปเปนพลังงาน ตามความสัมพัน ์ร หว่างมวลกับพลังงานของไอน์สไตน์
5. งยกตัวอย่าง าตุหรือไอโซโทปของ าตุ ที่สามารถทาให้เกิดฟวชันได้มา 3 ชนิด
แนวคำาตอบ ไ โดรเ น ดิวเทอเรียน ทริเทียม
6. เครื่องป ิกรณ์นิวเคลียร์ช่วยให้สามารถนาพลังงานนิวเคลียร์ ากฟชชันมา ลิตไฟฟาได้อย่างไร
แนวคำาตอบ เครื่องป ิกรณ์นิวเคลียร์สามารถสร้างแล ควบคุมป ิกิริยาลกโซ่ให้เกิดข้นใน
อัตราทีเ่ หมา สม สามารถถ่ายโอนพลังงานนิวเคลียร์ให้กบ
ั น้า ทาให้นามี
้ อณุ ห มิสง นกลายเปน
ไอน้า ซ่ง ถกนาไปใช้หมุนกังหันแล เครื่องกาเนิดไฟฟาสาหรับการ ลิตไฟฟาต่อไป

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 181

เฉลยแบบฝึกหัด 20.3

คาถามต่อไปนี้ กาหนดให้
มวล 1 u เท่ากับ 1.66 × 10-27 กิโลกรัม โดยมวล 1 u เทียบเท่ากับพลังงาน 931.5 MeV
พลังงาน 1 อิเล็กตรอนโวลต์ เท่ากับ 1.66 × 10-19 ล แล 1 โมลอ ตอม เท่ากับ
6.02 × 1023 อ ตอม
1. งคานวณพลังงานที่ได้ ากป ิกิริยานิวเคลียร์ต่อไปนี้
14
7 N+ 21 H 15
7 N+ 11 H
กาหนด มวลอ ตอม m14 N เท่
mา2กัHบ 14.003074u
m14 N m 2 H เท่ากับ 2.014102u
7 1 7 1

m15 N เท่mากั1 Hบ 15.000108u


m15 N m 1 H เท่ากับ 1.007825u
7 1 7 1

วิธีทาำ หามวลรวมก่อนเกิดป ิกิริยา m1


m1 = m14 N m2 H
7 1

= 14.003074 u + 2.014102 u
= 16.017176 u
หามวลรวมหลังเกิดป ิกิริยา m2
m2 = m15 N m1 H
7 1

= 15.000108 u + 1.007825 u
= 16.007933 u
หา ลต่างร หว่างมวลก่อนกับหลังเกิดป ิกิริยา
Δm = m2 − m1
= 16.007933 u - 16.017176 u
= 0.009243 u
หาพลังงานที่ได้ ากป ิกิริยานิวเคลียร์ ากพลังงานที่เทียบเท่า ลต่างร หว่างมวลก่อน
กับหลังการเกิดป ิกิริยา โดยมวล 1 u เทียบเท่าพลังงาน 931.5 MeV
E = Δm 931.5 MeV/u
= 0.009243 u 931.5 MeV/u
= 8.609855 MeV
ตอบ พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยานิวเคลียร์นี้เท่ากับ 8.610 เมก อิเล็กตรอนโวลต์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
182 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

2. ากสมการการเกิดฟชชันของยเรเนียม 235
235
92 U + 01 n 140
54 Xe + 94 1
38 Sr + 2 0 n

ถ้ามีพลังงานถกปล่อยออกมา 200 MeV งคานวณพลังงานทีไ่ ด้ ากการเกิดฟชชันของ


ยเรเนียม 235 มวล 1 กรัม กาหนดมวลอ ตอมของยเรเนียม 235 เท่ากับ 235.043930 u
วิธีทาำ แปลงมวลอ ตอมของยเรเนียม 235 m235 U ในหน่วย u ให้อย่ในหน่วยกรัม โดยมวล
92
1 u เท่ากับ 1.66 × 10-27 กิโลกรัม ได้
m235 U = 235.043930 u 1.66 × 10-27 kg/u
92
= 3.901729 × 10-25 kg
พิ ารณา อัตราส่วนพลังงานที่ได้ ากฟชชัน 200 MeV ต่อมวลยเรเนียม 235
3.901729 × 10-25 กิโลกรัม เท่ากับ อัตราส่วนพลังงานที่ได้ ากฟชชัน E ต่อมวลของ
ยเรเนียม 235 1 กรัม หรือ 1 × 10-3 กิโลกรัม ดังนั้น
200 MeV
E 25
(1 10 3 kg)
3.901729 10 kg
= 5.125933 × 1023 MeV
ตอบ พลังงานที่ได้ ากการเกิดฟชชันของยเรเนียม 235 มวล 1 กรัม เท่ากับ
5.13 × 1023 เมก อิเล็กตรอนโวลต์

3. การเกิดฟวชันของนีออน 20 20
10 Ne +2 นิ20
10วNeเคลียส20
10ทาให้
40
Ne
20 Caไ+ด้แ20
คลเซี
10 Neยม 40
20 Ca
ดังสมการ
20 20 40
10 Ne + 10 Ne 20 Ca
งหาพลังงานทีถ่ กปล่อยออกมา กาหนดมวลอ ตอมของ
20 20
20
10 Ne + 10 Neแล
10Ne + 20 40
Ne
1020 Ca เท่า40
กัCa
20 บ 19.992436 u
แล 39.962591 u ตามลาดับ
วิธีทาำ หาพลังงานที่ถกปล่อยออกมา E ได้ ากพลังงานที่เทียบเท่า ลต่างร หว่างมวลรวม
ก่อนฟวชันลบด้วยมวลรวมหลังฟวชัน Δm
หา ลต่างร หว่างมวลก่อนกับหลังฟวชัน
Δm = 19.992436 u + 19.992436 u − 3 . 625 1
= 0.022281 u
หาพลังงานที่เทียบเท่า ลต่างร หว่างมวล ากสมการ
E = Δm 931.5 MeV/u
แทนค่า ได้
E = 0.022281 u 931.5 MeV/u

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 183

= 20.75 MeV
ตอบ พลังงานที่ถกปล่อยออกมาเท่ากับ 20.75 เมก อิเล็กตรอนโวลต์

4. ฟวชันบนดวงอาทิตย์แล ดวงดาวส่วนมาก เกิด ากการรวมกันของนิวเคลียสของไ โดรเ น4 11 H 4


2 He + 2
านวน 4 นิวเคลียส กลายเปนนิวเคลียสของ ีเลียม
4 H 1
1
4
2 He + านวน
2 e+0
1
นิวเคลี
12 e
ยส ดังสมการ
4 11 H 4
2 He + 2 01 e + 2 e

งหาพลังงานที่ปลดปล่อยออกมา ากฟวชันนี้
กาหนด มวลอ 4
ตอม
1
1H4 11 H 42 He
4
แล2+012e +
2 He
+ เท่
0
ากับ 1.007825 u 4.002603 u แล 0.000549 u
1 e2+ e2 e

ตามลาดับ แล มวลของนิวทริโนมีค่าน้อยมาก
วิธีทำา หาพลังงานที่ถกปล่อยออกมา E ได้ ากพลังงานที่เทียบเท่า ลต่างร หว่างมวลรวม
ก่อนฟวชันลบด้วยมวลรวมหลังฟวชัน Δm
หา ลต่างร หว่างมวลก่อนกับหลังฟวชัน
Δm = 4 1.007825 u − .002603 − 2 0.000549 u
= 0.027599 u
หาพลังงานที่เทียบเท่า ลต่างร หว่างมวล ากสมการ
E = Δm 931.5 MeV/u
แทนค่า ได้
E = 0.027599 u 931.5 MeV/u
= 25.7 MeV
พลังงานป ิกิริยาเท่ากับ 25.7 MeV
ตอบ พลังงานที่ได้ ากฟวชันเท่ากับ 25.7 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
235
5. โรงไฟฟานิวเคลียร์แห่งหน่ง ใช้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ท่ม
ี ียเรเนียม 235 92 U เปนองค์ปร กอบ
งตอบคาถามต่อไปนี้
ก. ถ้าเริ่มต้นมียเรเนียม 235 มวล 100 มิลลิกรัม หลังการเกิดฟชชัน มวลของยเรเนียม 235
หายไป 0.20% พลังงานนิวเคลียร์ทไ่ี ด้ ากฟชชันของยเรเนียมมีคา่ เท่าใด
ข. ถ้าเปรียบเทียบกับโรงไฟฟาพลังงานความร้อนที่ใช้น้ามันเตา เพื่อให้ได้ความร้อนเท่ากับ
โรงไฟฟานิวเคลียร์ ต้องใช้นามั
้ นเตากีต
่ น

กาหนด การเ าน้ามันเตา 1 ตัน ได้ความร้อน 8.40 × 109 ล
วิธีทำา ก. ให้ Δm เปนมวลของยเรเนียม 235 ทีห
่ ายไปหลังการเกิดฟชชัน แล E เปนพลังงาน
นิวเคลียร์ที่ได้ ากฟชชันของยเรเนียม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
184 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

หลังการเกิดฟชชัน มวลของยเรเนียมหายไป 0.20% ของ 100 มิลลิกรัม หรือ


0.20
m 100mg
100
= 0.2 mg
= 2 × 10-6 kg
หาพลังงานนิวเคลียร์ในหน่วย ลที่เทียบเท่ามวลที่หายไปได้โดยใช้สมการ
E = Δm c2
แทนค่า Δm = 2 × 10-6 kg แล c = 3 × 108 m/s ได้
E = 2 × 10-6 kg 3 × 108 m/s 2
= 1.80 × 1011 J
ข. เปรียบเทียบพลังงานนิวเคลียร์ทไี่ ด้ ากโรงไฟฟานิวเคลียร์กบ
ั พลังงานความร้อนทีไ่ ด้
ากในโรงไฟฟาพลังงานความร้อน
พิ ารณา อัตราส่วน ความร้อน 8.40 × 109 ล ต่อมวลน้ามันเตาที่ใช้ 1 ตัน
เท่ากับ อัตราส่วนความร้อน 1.80 × 1011 ล ต่อมวลน้ามันเตาที่ใช้ x ตัน
ดังนั้น
(1.80 1011 J )(1 ต นั )
x
84 108 J
= 21.43 ตัน
ตอบ ก. พลังงานนิวเคลียร์ที่ได้เท่ากับ 1.80 × 1011 ล
ข. ต้องใช้นามั
้ นเตา 21.4 ตัน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 185

20.4 ประโยชน์และการป้องกันอันตรายจากรังสี
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ยกตัวอย่างการนารังสีไปใช้ปร โยชน์ในด้านต่าง
2. ยกตัวอย่างอันตรายของรังสีที่มีต่อร่างกาย
3. บอกวิ ีการปองกันอันตราย ากรังสี

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. เตรียมคลิปวิดีทัศน์เกี่ยวกับการใช้ปร โยชน์ ากรังสี ควรเตรียมไว้ให้พร้อม เช่น
คลิปเครื่องมือรังสีรักษา เช่น คลิปที่ลิงค์
https://youtu.be/WRZWNP8w1nc
https://youtu.be/IhuJd_76QLo
คลิปการหาอายุของวัตถุโบราณด้วยเทคโนโลยีทางนิวเคลียร์ เช่น คลิปที่ลิงค์
https://youtu.be/bPzUk_DQwzg
https://youtu.be/puauHNj-1RU
2. ถ้ามีการทากิ กรรมเสนอแน สาหรับคร เกม ับค่ เกมใบ้คา หรือ เกมบิงโก ฟสิกส์นิวเคลียร์ ให้เตรียม
วัสดุอป
ุ กรณ์สาหรับกิ กรรม ได้แก่ กร ดาษ A4 ตาม านวนนักเรียน พร้อมทัง้ บัตรคาศัพท์แล คาถามที่
ใช้ในการทากิ กรรม
3. ถ้ามีการให้นักเรียน ัดทาสื่อสาหรับการนาเสนอ ให้เตรียมวัสดุอุปกรณ์สาหรับการ ัดทาสื่อให้พร้อม
เช่น กร ดาษฟลิปชาร์ท สีเม ิก

แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 20.4 โดยทบทวนความร้เกีย่ วกับ กัมมันต าพรังสี แล ป ก
ิ ริ ยิ านิวเคลียร์ โดยอา
ัดกิ กรรมเสนอแน สาหรับคร เกม ับค่ หรือ เกมใบ้คา ตามที่ได้นาเสนอไว้ในหัวข้อ 20.2 หรือ อา
ัดกิ กรรม เกมบิงโก ที่แสดงตัวอย่างในหน้าถัดไป ากนั้น ตั้งคาถามให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกันว่า เรา
สามารถนาความร้เข้าใ เกีย่ วกับ าตุกม
ั มันตรังสีแล รังสี ไปปร ยุกต์ใช้ปร โยชน์ได้อย่างไร โดยเปดโอกาส
ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ให้นักเรียนชมคลิปวิดีทัศน์หรือรปเกี่ยวกับการใช้ปร โยชน์ ากรังสี เช่น การสร้าง าพ 3 มิติของ
อวัยว ายในร่างกาย ป
้ วยโดยใช้เครือ
่ งฉายรังสีสาหรับการตรว วินิ ฉัยแล รักษาโรค การหาอายุของวัตถุ
โบราณโดยใช้ความร้เกี่ยวกับไอโซโทปกัมมันตรังสี หรือ การศกษาการดดซมปุยของพืชโดยใช้ไอโซโทป
กัมมันตรังสี

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
186 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

กิจกรรมเสนอแนะสำาหรับครู เกมบิงโก ฟิสิกส์นิวเคลียร์

จุดประสงค์
1. บอกความหมายของคาศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกัมมันต าพรังสีแล ป ิกิริยานิวเคลียร์

เวลาที่ใช้ 10 - 15 นาที

วัสดุและอุปกร ์
1. แ ่นบิงโก ตาม านวนนักเรียน
หรือดาวน์โหลดแ ่นบิงโกได้ าก QR Code ปร าบทที่ 20 หรือที่ลิงค์
http://ipst.me/11456
2. ดินสอ หรือ ปากกา 1 ด้าม
3. ใบรายการคาศัพท์ 1 ใบ

วิธีทำากิจกรรม
1. แ กแ ่นบิงโกที่มีตารางขนาด 3cm × 3cm านวน 16 ช่อง แล ใบรายการคาศัพท์ให้กับ
นักเรียนคนล ใบ
2. ให้นักเรียนสุ่มเลือกคาศัพท์เกี่ยวกับกัมมันต าพรังสีแล ป ิกิริยานิวเคลียร์ ในรายการด้าน
ล่างตารางบิงโกในแ ่นบิงโกที่ครแ ก แล้วเขียนลงไปในตารางช่องล คา โดยไม่เรียงลาดับ
นครบ 16 ช่อง
3. ครชี้แ งวิ ีการเล่นเกม โดยคร อ่านคาถามทีล คาถาม แล้วให้นักเรียนพิ ารณาคาตอบ
ถ้าในช่องใดของตารางมีคาที่เปนคาตอบของคาถาม ให้กากบาทช่องนั้น แต่ถ้าไม่มีคา
ที่เปนคาตอบ ให้รอฟงคาถามต่อไป โดยไม่ต้องเขียนอ ไรลงไปในตาราง
4. ถ้านักเรียนคนใดกากบาทได้ 4 ช่องเรียงกันในแนวตั้ง แนวนอน หรือ แนวทแยง อย่างใด
อย่างหน่ง ให้พดดัง ว่า บิงโก แล้วนา ลการกากบาทมาตรว คาตอบกับคร
5. นักเรียนได้ช่องที่กากบาท 4 ช่อง เรียงกันแล ได้คาตอบถกต้องทั้ง 4 ช่อง เปน ้ชน
โดยครอา พิ ารณาให้รางวัลนักเรียนที่ได้บิงโก 3 – 4 รางวัลแล อา อ่านคาถามที่เหลือ น
หมด เพื่อเปนการทบทวนความร้ร่วมกันในห้อง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 187

ตัวอย่างคำาศัพท์ในใบรายการคำาศัพท์ ที่นักเรียนเลือกเขียนลงในช่องของตาราง

กัมมันตภาพ คาคงตัว การสลายให


ครึ่งชีวิต การสลาย แอลฟา

การสลายให การสลายให ปฏิกิริยา ฟชชัน


บีตา แกมมา นิวเคลียร

ฟวชัน พลังงาน สวนพรองมวล ปฏิกิริยาลูกโซ


นิวเคลียร

พลังงาน กัมมันตภาพรังสี ดิวเทอรอน อิเล็กตรอน


ยึดเหนี่ยว

ตัวอย่างคำาถามสำาหรับครู
1. การสลายให้บีตา เปนการสลายที่ให้อนุ าคอ ไร
2. การรวมกันของนิวเคลียสของ าตุเบาแล้วมีการปลดปล่อยพลังงานออกมาเปนป ิกิริยา
อ ไร
3. กร บวนการทีน
่ วิ เคลียสได้รบ
ั การกร ตุน
้ ด้วยอนุ าคชนิดหน่ง แล้วมีการแยกออกเปน
นิวเคลียสใหม่เปนป ิกิริยาอ ไร
4. ช่วงเวลาที่ าตุกัมมันตรังสีสลาย นกร ทั่งลดลงเหลืออย่คร่งหน่งของปริมาณเริ่มต้น
เรียกว่าอ ไร
5. นิวเคลียสของไอโซโทปที่เปนวัตถุดิบสาหรับการสร้างฟวชัน คืออ ไร
6. อัตราการแ ่รังสีของ าตุกัมมันตรังสี เรียกว่าอ ไร
7. ความน่า เปนที่นิวเคลียส เกิดการสลายในหน่งหน่วยเวลา คืออ ไร
8. การสลายที่นิวเคลียสมีเลขมวลลดลง 4 แล เลขอ ตอมลดลง 2 เปนการสลายให้อนุ าค
อ ไร
9. การสลายที่เกิดข้นแล้ว นิวเคลียสยังเปนนิวเคลียสชนิดเดิม คือการสลายให้อ ไร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
188 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

10. กร บวนการที่นิวเคลียสมีการเปลี่ยนแปลงองค์ปร กอบ ายในเมื่อได้รับการกร ตุ้น


เรียกว่าอ ไร
11. พลังงานที่ปลดปล่อยออกมา ากป ิกิริยานิวเคลียร์ เรียกว่าอ ไร
12. กร บวนการที่นิวเคลียสมีการแยกออก ากกัน านวนมาก อย่างต่อเนื่อง เรียกว่าอ ไร
13. ส่วนของมวลที่แตกต่างร หว่างมวลรวมของนิวคลีออนทั้งหมดในนิวเคลียสกับมวลของ
นิวเคลียส เรียกว่าอ ไร
14. พลังงานทีส่ สมในนิวเคลียสซ่งมีความสัมพัน ก์ บ
ั เสถียร าพของนิวเคลียส คือพลังงานใด
15. ปราก การณ์ที่ าตุมีการแ ่รังสีออกมาอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าอ ไร
16. การสลายที่เลขอ ตอมของนิวเคลียสลกเพิ่มข้น 1 คือการสลายแบบใด

20.4.1 การนำารังสีไปใช้ประโยชน์

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. เมื่อร่างกาย ่านการฉายรังสีเพื่อวินิ ฉัย 1. รังสีที่ใช้ตรว วินิ ฉัยหรือรักษาโรค


หรือรักษาโรค ทาให้มรี งั สีตกค้างอย่ าย ถ่ายโอนพลังงานให้กับส่วนของร่างกาย
ในร่างกาย ที่ถกฉาย เมื่อหยุดฉายรังสี ไม่มีรังสีตก
ค้างในร่างกาย

2. การหาอายุของวัตถุโบราณหรือซาก 2. การหาอายุของวัตถุโบราณทีม
่ ซ
ี ากสิง่ มีชวี ต

สิ่งมีชีวิตโดยใช้วิ ีการหาปริมาณของ ปร กอบโดยใช้วิ ีการหาปริมาณของ
คาร์บอน 14 สามารถใช้ได้กับวัตถุหรือ คาร์บอน 14 สามารถใช้ได้กับวัตถุที่มีซาก
สิ่งมีชีวิตทุกช่วงอายุ สิ่งมีชีวิตเปนส่วนปร กอบที่มีอายุไม่เกิน
70 000 ปี

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 189

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

3. การหาอายุของวัตถุโบราณโดยใช้วิ กี ารหา 3. การหาอายุของวัตถุโบราณโดยใช้วิ ีการ


ปริมาณของคาร์บอน 14 สามารถใช้ได้ หาปริมาณของคาร์บอน 14 สามารถใช้
กับวัตถุทุกชนิด ได้ กั บ วั ต ถุ ที่ มี ส่ ว นของสิ่ ง มี ชี วิ ต เปนองค์
ปร กอบเช่น วัตถุที่มีส่วนของพืช หรือ
ส่วนของสัตว์ สาหรับการหาอายุของหิน
ใช้ วิ ี ก ารหาปริ ม าณของไอโซโทป
กัมมันตรังสีชนิดอืน
่ เช่น โพแทสเซียม หรือ
รบิเดียม

4. การปรับปรุงพัน ุ์พืชด้วยวิ ีการฉายรังสี 4. การปรับปรุงพัน ์ุพืชด้วยวิ ีการฉายรังสี


ทาให้ พั น ุ์ พื ช มี ลั ก ษณ แล สมบั ติ บ าง อา ทาให้พัน ุ์พืชมีลักษณ แล สมบัติทั้ง
อย่างดีข้นเสมอ ดีแล ไม่ดี าเปนต้องมีการคัดเลือกเพื่อ
ให้ได้เฉพา พัน ุ์ที่ดี

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชีแ้ ง ด
ุ ปร สงค์การเรียนร้ขอ้ ที่ 17 ของหัวข้อ 20.4 ตามหนังสือเรียน ากนัน
้ ครแบ่งกลุม
่ นักเรียน
แล ให้แต่ล กลุม
่ เลือกศกษา สืบค้นข้อมล แล นาเสนอเกีย่ วกับการนารังสีไปใช้ปร โยชน์ในด้านใดด้านหน่ง
ต่อไปนี้
1. ด้านการแพทย์
2. ด้านโบราณคดีแล รณีวิทยา
3. ด้านเกษตรกรรม
4. ด้านอุตสาหกรรม
5. ด้านความปลอด ัย
โดยกาหนดปร เด็นหลักในการนาเสนอดังต่อไปนี้
ตัวอย่างการใช้ปร โยชน์
ชนิดของรังสีหรือไอโซโทปกัมมันตรังสีที่ใช้
หลักการที่เกี่ยวข้อง
ทัง้ นี้ นักเรียนอา เลือกหัวข้ออืน
่ ทีก่ ลุม
่ ของนักเรียนสนใ นอก าก 5 หัวข้อข้างต้น แล ถ้าในห้องเรียน
มี านวนนักเรียนมาก บางกลุม
่ อา เลือกหัวข้อทีซ
่ ากั
้ นได้ แต่รวมทุกกลุม
่ ต้องมีการเสนอครอบคลุมทัง้ 5 หัวข้อ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
190 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ครให้นักเรียนสืบค้นข้อมลในหัวข้อที่เลือก โดยเริ่ม ากหนังสือเรียนแล ควรสืบค้นเพิ่มเติม าก


แหล่งเรียนร้อื่น เช่น อินเทอร์เน็ต นิตยสาร แล้วให้นักเรียนอ ิปรายแล สรุป ายในกลุ่ม พร้อมกับ
เตรี ย มตั ว นาเสนอ โดยอา มี ก ารให้ ท าสื่ อ ปร กอบการนาเสนอในรปแบบต่ า ง ตามความคิ ด สร้ า ง
สรรค์ของนักเรียน เช่น การวาดรปบนกร ดาษแ ่นใหญ่ หรือ การนาเสนอเปน าพนิ่ง แอนิเมชัน หรือ
คลิปวิดีทัศน์ สาหรับแสดง ่านเครื่องฉายหรือโทรทัศน์ ตามแต่เวลา อานวย
ครให้นักเรียนนาเสนอ ลการสืบค้น โดยอา มีการให้นักเรียนกลุ่มอื่น ปร เมินกลุ่มที่นาเสนอ
รวมทั้งอา มีการปร เมินตนเอง แล เมื่อ บการนาเสนอ ทั้งนี้ ครอา ยกตัวอย่างวิ ีการคานวณอายุของ
วัตถุโบราณหรือซากดกดาบรรพ์ ากปริมาณของคาร์บอน 14 ปร กอบ ให้นักเรียนเข้าใ มากข้น ดังแสดง
ในหน้าถัดไป
ากนัน
้ ครนาอ ป
ิ รายเพือ
่ สรุปเกีย
่ วกับการนารังสีไปใช้ปร โยชน์ในด้านต่าง โดยครควรเน้นการ
แก้ความเข้าใ คลาดเคลื่อนที่อา เกิดข้น ตามที่ร บุในตารางความเข้าใ คลาดเคลื่อนของหัวข้อ 20.4.1

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

คาร์บอน 14 มาจากไหน
คาร์บอนเปน าตุชนิดหน่งที่มีหลายไอโซโทป เช่น 116 C116 C126 C126 C136 C136แล
C146 C146 C116โดย
C 126 C แล136 C 14
6 C
11
6 C 12
6 C 13
6 C เปนไอโซโทปเสถี
14
C
6 ยรที่มีอย่ใน รรมชาติร้อยล 98.90 แล ร้อยล 1.10 ตามลาดับ ส่วน C 11
6
12
6 C 13
6 C
11
6C 12
6C แล
13
C
6
14
6C เปนไอโซโทปกัมมันตรังสีมีคร่งชีวิต 20.39 นาที แล 5730 ปี ตามลาดับ
คาร์บอน 14 มีปริมาณน้อยมากโดยเกิด ากนิวตรอนในรังสีคอสมิก อนุ าค ากอวกาศ
ชนกับนิวเคลียสของไนโตรเ นในบรรยากาศ ทาให้เกิดคาร์บอน 14 แล โปรตอน ดังสมการ
14 1 14 1
7N 0n 6C 1H

คาร์บอน 14 ที่เกิดข้นในป ิกิริยานิวเคลียร์ข้างต้น สลายให้ไนโตรเ น 14 ดังสมการ


14 14 0
6 C 7 N 1 e
ดังนั้นการ ลิตคาร์บอน 14 งสมดุลกับการสลายของคาร์บอน 14
ขณ ที่พืชยังมีชีวิต ดดคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 ากอากาศ เพื่อนาไปใช้ในการสร้าง
เนื้อเยื่อ โดยคาร์บอนส่วนใหญ่ อย่ในรปของคาร์บอน 14 แล คาร์บอน 12 สัตว์ที่กินพืช งได้รับ
คาร์บอนทั้งสองไอโซโทปด้วย เนื่อง ากอัตราส่วนร หว่างคาร์บอน 14 แล คาร์บอน 12 มีค่า
ปร มาณ 1.3 × 10-12 เกือบคงตัวตลอดเวลา ดังนั้นอัตราส่วนร หว่างไอโซโทปทั้งสองในร่างกาย
ของสิ่งมีชีวิต งคงตัวด้วย เมื่อสิ่งมีชีวิตตาย การรับคาร์บอนเข้าส่ร่างกาย สิ้นสุด แล คาร์บอน 14
ค่อย สลายไป คาร์บอน 14 ที่อย่ในซากนั้น ลดลงเรื่อย ถ้าวิเครา ห์เพื่อหาอายุของซาก

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 191

สิ่งมีชีวิตชนิดหน่ง แล้วพบว่ามีคาร์บอน 14 เหลืออย่เพียงคร่งหน่ง ก็แสดงว่าสิ่งมีชีวิตนั้นตาย


มาแล้ว ปร มาณ 5730 ปี แล เมื่อเวลา ่านไปอีก 5730 ปี านวนคาร์บอน 14 หายไปอีก
คร่งหน่งของที่เหลืออย่ แล เปนเช่นนี้เรื่อยไป นกร ทั่งคาร์บอน 14 เหลือน้อยมาก นไม่
สามารถวัดปริมาณที่เหลือได้ถกต้อง งใช้หาอายุของซากสิ่งมีชีวิตหรือวัตถุโบราณที่มีอายุไม่เกิน
70 000 ปี ถ้าอายุมากกว่านั้น ต้องใช้วิ ีอื่น

การหาอายุวัตถุและ ากโบรา
การหาอายุวัตถุแล ซากโบราณโดยใช้ความร้เกี่ยวกับคาร์บอน 14 ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ตัวอย่าง 1 ตัวอย่างเศษกร ดกของสัตว์ชนิดหน่งในบริเวณแหล่งสารว ทางโบราณคดีแห่งหน่งมี


คาร์บอน 100 กรัม แล วัดกัมมันต าพ C–14 ได้เท่ากับ 15 เบ็กเคอเรล กร ดกชิ้นนี้มีอายุ
เท่าใด กาหนดให้ เมือ่ สัตว์ยงั มีชวี ต
ิ อย่ อัตราส่วนร หว่าง C–14 กับ C–12 เท่ากับ 1.3 × 10-12
แนวคิด ใช้อัตราส่วนร หว่าง C–14 กับ C–12 เมื่อสัตว์ยังมีชีวิตอย่หา านวนนิวเคลียสของ
C–14 ในกร ดกที่มีคาร์บอนมวล 100 กรัม โดยใช้สมการ 20.9a ากนั้น ใช้คร่ง
ชีวิตของ C–14 5730 ปี หาค่าคงตัวการสลายโดยใช้สมการ 20.10b โดยแปลงให้
อย่ในหน่วยวินาที แล นาตัวเลข 0 แล λ ที่ได้ รวมทั้งค่ากัมมันต าพ 15 เบ็กเคอเรล
ไปแทนค่าในสมการ 20.8 เพื่อหาอายุของชิ้นกร ดก
วิธีทำา เมื่อสัตว์ยังมีชีวิต อัตราส่วนร หว่าง C–14 กับ C–12 ในชิ้นกร ดก เท่ากับ 1.3 × 10-12
แล หา านวนนิวเคลียสของ C–14 ในคาร์บอน 100 กรัม ขณ ยังมีชีวิต มีค่าดังนี้
6.02×1023
N0 (100 g) (1.3×10 -12 )
14 g
= 5.6 × 1012
ากสมการ 20.10b ค่าคงตัวการสลาย
0.693
T1/2
0.693
(5730 year)(3.156 107 s/year)
= 3.83 × 10-12 s-1
ากสมการ 20.8 กัมมันต าพ A = λ
แล ากสมการ 20.9a านวนนิวเคลียสที่เหลืออย่ = 0 e-λt
แทน ากสมการ 20.9a ลงในสมการ 20.8 ได้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
192 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

A = λ 0 e-λt
t N0
e
A
N0
t ln
A
1 N0
t ln
A
แทนค่า ได้
1 (3.83 10 12 s 1 )(5.6 1012 )
t ln
3.83 10 12 s 1 15s 1
= 9.34 × 1010 s
= 2962 ปี
เวลานี้เปนเวลาตั้งแต่สัตว์ตัวนี้ตายถงป บ
ุ ัน
ตอบ กร ดกชิ้นนี้มีอายุปร มาณ 3.0 × 103 ปี

ตัวอย่าง 2 เมื่อนาชิ้นไม้ ากซากเรือโบราณไปทาการวัดกัมมันต าพของ C–14 พบว่า วัดได้เท่ากับ


13 เบ็กเคอเรล อายุของซากเรือโบราณมีค่าเท่าใด ถ้าไม้ชนิดเดียวกับที่ทาเรือโบราณขณ ที่มีชีวิต
อย่ในป ุบัน วัดกัมมันต าพของ C–14 ได้เท่ากับ 16 เบ็กเคอเรล
แนวคิด ขณ ยังมีชีวิต ปริมาณ C–14 ในสิ่งที่มีชีวิต มีค่าคงตัว ดังนั้น งพิ ารณาได้ว่า ก่อน
ที่ชิ้นไม้นี้ ถกตัดมาทาเรือ ต้องมีปริมาณ C–14 เท่ากับต้นไม้ในป ุบัน นั่นคือ
ถ้าทาการวัดกัมมันต าพของ C–14 ในชิน
้ ไม้ในเวลานัน
้ ต้องได้ 16 เบ็กเคอเรลด้วย
ดังนั้น สามารถใช้สมการ 20.9b หาอายุของไม้ โดยใช้กัมมันต าพแล คร่งชีวิต
ของ C–14
วิธีทำา ถ้ากาหนดให้
A เปนกัมมันต าพของ C–14 ที่วัด ากชิ้นไม้ของเรือโบราณ ซ่งเท่ากับ 13 เบ็กเคอเรล
A0 เปนกัมมันต าพของ C–14 ในชิ้นไม้ป ุบัน ซ่งเท่ากับ 16 เบ็กเคอเรล
t เปนอายุของชิ้นไม้นั้น
ากสมการ 20.9b A = A0 e-λt
1 A0
ได้ t ln
A
0.693
าก
T1/2
0.693
(5730 year)(3.156
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 107 s/year)
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 193

T1 / 2 16 Bq
แทนค่า ได้ t ln
0.693 13 Bq
5730 y
( 0.2076)
0.693
= 1717 year
ตอบ อายุของชิ้นไม้ปร มาณ 1717 ปี

ตัวอย่าง 3 ในการหาอายุของเครื่องใช้ไม้เก่าอันหน่ง พบว่าอัตราส่วนร หว่าง C–14 กับ C–12


มีอย่เพียงร้อยล 12.5 ในไม้ที่ยังมีชีวิตอย่ ถ้าคร่งชีวิตของ C–14 เท่ากับ 5730 ปี งหาอายุ
ของเครื่องใช้ไม้เก่านั้น
แนวคิด ใช้อัตราส่วนร หว่าง C–14 กับ C–12 หาอายุของเครื่องใช้ไม้เก่าโดยโดยใช้สมการ
20.9a
วิธีทำา ากสมการ 20.9a = 0 e-λt ัดรปใหม่ ได้
1 N0
t ln
N
12.5 ln 2
ในที่นี้ N N 0 แล
100 T1 / 2
T1 / 2 N0
แทนค่า ได้ t ln
ln 2 12.5
N0
100
T1 / 2
ln 8
ln 2
T1/2
ln 23
ln 2
t 3T1/ 2
= 3(5730 year)
= 17 190 year
ตอบ อายุของเครื่องใช้ไม้เท่ากับ 17 190 ปี

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
194 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

20.4.2 รังสีในธรรมชาติและการป้องกันอันตรายจากรังสี

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. ปริมาณรังสีที่ร่างกายได้รับ ากการตรว 1. ปริมาณรังสีที่ร่างกายได้รับ ากการตรว


ร่างกายด้วยการฉายรังสีเอกซ์ 1 ครั้ง เปน ร่ า งกายด้ ว ยการฉายรั ง สี เ อกซ์ 1 ครั้ ง
อันตรายกับร่างกาย ปร มาณ 0.1 × 10-3 ซีเวิรต
์ น้อยกว่าเกณฑ์
ของปริมาณรังสีทป
่ี ร ชาชนทัว่ ไปควรได้รบ

ซ่งมีค่าปร มาณ 1 × 10-3 ซีเวิร์ตต่อปี

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. เตรียมคลิปวิดท
ี ศ
ั น์หรือ าพเกีย่ วกับรังสีใน รรมชาติ หรือ ข่าวเกีย่ วกับอันตราย ากรังสีไว้ลว่ งหน้า

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 18 แล 19 ของหัวข้อ 20.4 ตามหนังสือเรียน ากนั้น ครให้
นักเรียนดคลิปวิดท
ี ศ
ั น์หรือรปของพืช อาหาร หรือ สิง่ ก่อสร้าง ทีแ่ สดงรังสีทแี่ อ
่ อกมา ตัวอย่างเช่นรป 20.3
แสดงดอกไม้ชนิดหน่ง ที่มีการแ ่รังสีบีตา เนื่อง ากมีส่วนปร กอบของโพแทสเซียม 40

ก. รังสีบีตาที่แผ่ออกมาจากดอกนาร์ ิส ัส ( ) ข. ดอกนาร์ ิส ัสในสภาวะปกติ


เนื่องจากโพแทสเ ียม-40
รูป 20.1 ดอกนา ิส ัส

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 195

ครตั้งคาถามให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกันว่า รอบ ตัวเรา มีอ ไรบ้างที่ปล่อยรังสีออกมา แล้วรังสี


เหล่านี้เปนอันตรายหรือไม่ โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบ
ที่ถกต้อง
ครให้นก
ั เรียนศกษาเกีย่ วกับแหล่งกาเนิดรังสีใน รรมชาติ ตามหัวข้อ 20.4.2 แล หน่วยของปริมาณ
รังสีในหนังสือเรียน ากนั้น ครให้นักเรียนเรียงลาดับแหล่งกาเนิดรังสีในสิ่งแวดล้อมที่แ ่รังสีออกมา าก
ปริมาณที่น้อยที่สุดไปหามากที่สุด โดยครอา ให้ข้อมลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปริมาณรังสี ากแหล่งกาเนิดรังสี
แล วัตถุต่าง ดังข้อมลในตาราง 20.1

ตาราง 20.1 ปริมาณรังสี ากแหล่งกาเนิดรังสีแล กิ กรรมต่าง

กิจกรรมหรือแหลงกำเนิดรังสี ปริมาณรังสีเฉลี่ย (mSv)

การตรวจบริเวณทรวงออกดวยการฉายรังสีเอกซ 1 ครัง้ 0.10

การเดินทางโดยเครื่องบินระหวางเมืองโตเกียวกับเมือง 0.19
นิวยอรก ไปและกลับ 1 ครั้ง
การตรวจรางกายโดยใชเครื่องฉายภาพเอกซเรย
6.9
คอมพิวเตอร หรือ CT scan 1 ครัง้
ปริมาณรังสีที่คนหนึ่งคนที่ไดรับจากสิ่งแวดลอมตอ 1 ป 2.2
(คาเฉลี่ยทั่วโลก)
การอาศัยอยูบริเวณที่หางจากโรงไฟฟานิวเคลียรประมาณ 0.05
80 กิโลเมตร เปนเวลา 1 ป
ระดับปริมาณรังสีสูงสุดที่สาธารณชนไมควรไดรับเกิน
5
ภายใน 1 ป
ระดับปริมาณรังสีสูงสุดที่อนุญาตใหผูปฏิบัติงานทางรังสี 50
ไดรับเกินภายใน 1 ป
ปริมาณรังสีที่ไดรับในครั้งเดียวที่สามารถทำใหเกิดอาการ 1000
เจ็บปวยทางรังสี

ครอา ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเพื่อ ัดทาแ น าพ กราฟ หรือ อินโฟกราฟก infographic สาหรับ


นาเสนอการเปรียบเทียบปริมาณรังสี ากแหล่งกาเนิดแล กิ กรรมต่าง ดังตัวอย่างด้านล่าง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
196 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

รูป 20.2 ตัวอย่างการทำาภาพประกอบข้อมูลแบบอินโฟกราฟิกเกี่ยวกับรังสีแบบที่ 1 (ที่มา www.tint.or.th)

รูป 20.3 ตัวอย่างการทำาภาพประกอบข้อมูลแบบอินโฟกราฟิกเกี่ยวกับรังสีแบบที่ 2


(ที่มา Thainuclearclub. (2014, Dec 06). รังสีในชีวิตประจำาวัน Twitter post]Retrieved
from https://twitter.com/ThaiNuclearclub/status/540923487464869888 )

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 197

ครแล นักเรียนอ ป
ิ รายร่วมกันเกีย่ วกับรังสี ากสิง่ แวดล้อม นสรุปได้วา่ รังสีมอ
ี ย่ในสิง่ ต่าง รอบ
ตัวเรา หรือแม้แต่ร่างกายของเรามีการรังสีแ ่ออกมาตลอดเวลา แต่ปริมาณรังสีที่ได้รับ ไม่อย่ในร ดับ
ที่เปนอันตราย
ให้นักเรียนสืบค้นข้อมล โดยตั้งปร เด็นว่า ถ้าร่างกายได้รับรังสีในปริมาณที่มากเกินไป ร่างกาย
มี อ าการอย่ า งไร แล ถ้ า บั ง เอิ ญ ไปอย่ ใ นสถานการณ์ ที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ รั ง สี ที่ เ ปนอั น ตราย มี แ นวทาง
ปองกันอย่างไร โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง

ครให้ นั ก เรี ย นดคลิ ป วิ ดี ทั ศ น์ ห รื อ อ่ า นข้ อ ความที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ อั น ตราย ากรั ง สี โดยอา เลื อ ก
สถานการณ์ในข่าวต่อไปนี้
1. ข่าวในช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2562 ที่มีชาวบ้านกลุ่มหน่ง ซื้อบัตรพลังงานไปแกว่งในน้าแล้ว
ดื่มหรือไปแป ตามร่างกาย เพรา เชื่อว่า มีสรรพคุณในการรักษาอาการปวดเมื่อย ซ่ง ากการ
ตรว สอบโดยสานักงานปรมาณเพือ
่ สันติ ปส. พบว่า บัตรมีร ดับรังสีสงกว่าขีด ากัดการได้รบ

ปริมาณรังสีสาหรับปร ชาชนทั่วไปกว่า 350 เท่า
คลิปข่าว
o https://youtu.be/a1ONKzmJ_q0
o https://youtu.be/l2VDgRbuokE
ลิงค์ข่าว
o https://news.mthai.com/special-report/737706.html
2. ข่าวการพบกล่องโลห บรร สุ าร อิรเิ ดียม 192 ในสานักงานร้าง ซ.พหลโย น
ิ 24 กรุงเทพมหานคร
เมื่อปี พ.ศ. 2559
คลิปข่าว https://youtu.be/qICLzHF7Cp8
ลิงค์ข่าว https://www.thairath.co.th/content/619586
3. สารคดีเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรังสีที่ ังหวัดสมุทรปราการ เมื่อปี พ.ศ. 2543
คลิปข่าว https://youtu.be/umERjn6-j9w
ลิงค์ข่าว https://www.thairath.co.th/content/45126

ากนั้น ครตั้งคาถามให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน โดยอา ใช้คาถามดังนี้


ก. เรา สังเกตได้อย่างไรว่าวัตถุที่สงสัยอา มีรังสีอันตราย
ข. เราควรป ิบัติอย่างไร เมื่อพบว่าวัตถุที่สงสัยอา มีการแ ่รังสีที่เปนอันตราย

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
198 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ครให้ นั ก เรี ย นศกษาเกี่ ย วกั บ ลกร ทบที่ เ กิ ด กั บ ร่ า งกายเมื่ อ ได้ รั บ รั ง สี ใ นปริ ม าณที่ ม ากเกิ น ไป
แล แนวทางการปองกันรังสี ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน รวมทั้งให้นักเรียนสืบค้นข้อมลเพิ่มเติมเกี่ยว
กับแนวทางการป ิบัติตัวในกรณีพบวัตถุที่ต้องสงสัยว่ามีอันตราย ากรังสี ากนั้น ให้นักเรียนนาเสนอ
ครนาอ ป
ิ รายเพือ
่ สรุปเกีย่ วกับ ลกร ทบของรังสีตอ
่ ร่างกาย แนวทางการปองกันอันตราย ากรังสี
แล คาตอบคาถามข้างต้น ซ่งควรได้คาตอบดังนี้
ก. แนวคำาตอบ การที่ บอกได้วา่ วัตถุทสี่ งสัย อา มีรงั สีทเี่ ปนอันตราย สังเกตได้ ากสัญลักษณ์ดงั รป
20.4 ก. หมายความว่ า วั ต ถุ นั้ น บรร ุ ห รื อ เปนแหล่ ง กาเนิ ด รั ง สี ที่ แ ่ รั ง สี อ อกมาโดยรอบ
แต่ถ้ามีสัญลักษณ์ดังรป 20.4 ข. หมายความว่า วัตถุนั้นบรร ุหรือเปนแหล่งกาเนิดรังสีที่เปน
อันตรายมาก

ก ข
รูป 20.4 ตัวอย่างการทำาภาพประกอบข้อมูลแบบอินโฟกราฟิกแบบที่ 1

ข. แนวคำาตอบ เมื่อพบว่าวัตถุที่สงสัยอา มีการแ ่รังสีที่เปนอันตราย ต้องรีบออกห่าง ากวัตถุนั้น


ให้มากทีส่ ด
ุ แล้วแ ง้ ใ้ หญ่ เช่น คร ป
้ กครอง เ า้ หน้าทีต
่ ารว หรือ เ า้ หน้าทีส่ านักงานปรมาณ
เพือ่ สันติ ปส. กลุม
่ ปร สานงานกรณีฉกุ เฉินทางนิวเคลียร์แล รังสี ซ่งมีชอ่ งทางในการติดต่อดังนี้
โทรศัพท์เคลื่อนที่ 089-200-6243 ติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมง
โทรศัพท์สายตรง 02-596-7699 ติดต่อได้เฉพา เวลาราชการ
ครให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ 20.4 โดยอา มีการเฉลยแล อ ิปรายแนวคาตอบ
ร่วมกัน

ข้อแนะนำาเพิ่มเติมสำาหรับครู
เพื่อการสร้างความเข้าใ ที่ดียิ่งข้น แล เปนการเชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนร้กับการปร ยุกต์ใช้ในชีวิต
ปร าวัน ครอา พานักเรียนไปทัศนศกษาหน่วยงานต่าง ที่ทางานเกี่ยวกับรังสี เช่น แ นกเวชศาสตร์
นิวเคลียร์ในโรงพยาบาล สานักงานปรมาณเพือ
่ สันติ ปส. หรือ สถาบันเทคโนโลยีนวิ เคลียร์แห่งชาติ สทน.

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 199

สำานักงานปรมา ูเพื่อสันติ ( ce o to s or e ce)


เลขที่ 16 ถนนวิ าวดีรังสิต แขวงลาดยาว เขต ตุ ักร กรุงเทพ 10900
โทรศัพท์ 0 2596 7600
เว็บไซด์ http://www.oap.go.th

สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) สำานักงานใหญ่


(Thailand Institute of Nuclear Technology, Public Organization)
เลขที่ 9/9 หม่ที่ 7 ต. ทรายมล อ.องครักษ์ .นครนายก 26120
โทรศัพท์ 0 2401 9889, 0 2401 9885
เว็บไซด์ http://www.tint.or.th

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

ปลอดภัยกับรังสีและพลังงานนิวเคลียร์
าก อย่ปลอด ัยกับอ ตอม อ ตอม...เพื่ออนาคต สื่อความร้เรื่องพลังงานนิวเคลียร์ สานักงาน
ปรมาณเพื่อสันติ

1. ปริมา รังสีเท่าใดจึงจะปลอดภัย
คาว่า ปลอด ัย ในที่นี้หมายถง ปริมาณรังสีที่ได้รับแล้วไม่ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง
กาย าพ แล ไม่ทาให้เกิดความ ิดปกติในร่างกาย
หน่วยที่ใช้วัดปริมาณการได้รับรังสี เรียกว่า ีเวิร์ต sievert, Sv
คณ กรรมการว่าด้วยการปองกันรังสีร หว่างปร เทศ International Commission on
Radiological Protection หรือ ICRP ได้กาหนดขีด ากัดปริมาณรังสี dose limit หรือค่า
กาหนดสงสุดของปริมาณรังสียัง ลที่บุคคลอา ได้รับ ากการดาเนินกิ กรรมทางรังสี สาหรับ
อวัยว ต่าง ดังนี้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
200 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

รางกาย/อวัยวะ สำหรับผูปฏิวัติงานทางรังสี สำหรับประชาชนทั่วไป

ปริมาณรังสียงั ผล ไมเกิน 20 มิลลิซีเวิรต เฉลีย่ ระยะเวลา 5 ป


ทีร่ า งกายไดรับ ติดตอกันโดยในปใดปหนึง่ ตองไดรบั ปริมาณ 1 มิลลิซีเวิรต ตอป
เฉลีย่ ตอป รังสียงั ผลไมเกิน 50 มิลลิซีเวิรต ตอป

เลนสตา อวัยวะ
ไมเกิน 150 มิลลิซีเวิรต ตอป 1 มิลลิซีเวิรต ตอป
สืบพันธุ ไขกระดูก
ผิวหนัง ไทรอยด
ไมเกิน 400 มิลลิซีเวิรต 50 มิลลิซีเวิรต
 ตอป
มือ แขน ขา

การเอ็กซเรย์กร เพา อาหารที่โรงพยาบาลแต่ล ครั้ง ได้รับรังสีปร มาณ 15 ไมโครซีเวิร์ต

2. ปริมา รังสีเท่าใดจึงจะปลอดภัย
หากร่างกายไม่ว่าอวัยว ส่วนใดก็ตาม ได้รับปริมาณรังสีเกินกาหนด เกิดอาการทั้งต่อ
ร่างกายของเราโดยตรงแล แบบที่ส่ง ลไปทางพัน ุกรรมได้
ลที่เกิดกับส่วนใดส่วนหน่งของร่างกาย somatic effect ยังข้นอย่กับว่า การรับรังสีนั้น
เปนแบบเฉียบพลัน acute exposure หรือแบบเรื้อรัง chronic exposure
□ ได้รับรังสีแบบเฉียบพลัน เช่น กรณีได้รับอุบัติเหตุ ากรังสี ลคือ ทาให้เกิดความ ิด
ปกติเกี่ยวกับร บบต่าง ในร่างกายโดยมีอาการคลื่นไส้ อาเ ียน ท้องเสีย ร่วมด้วย แล อา ถง
ขั้นชัก ิวหนังเสื่อมส าพ อา เสียชีวิต ายใน 3 วัน
□ ได้รับรังสีแบบเรื้อรัง ร่างกาย ได้รับรังสีไม่สงเท่าแบบเฉียบพลัน แต่ ได้รับรังสีส สม
อย่เรื่อย เช่น การรับรังสีของ ้ทางานเกี่ยวกับรังสี ลคือ ทาให้เกิดโรคม เร็งเม็ดเลือดขาว ม เร็ง
ต่าง ต้อกร ก เปนต้น
ลที่เกิดข้นกับทางพัน ุกรรม genetic effect หมายถง ลที่เกิดข้นในเซลล์สืบพัน ุ์ โดย
ทาให้เปนหมัน หรือเกิดมิวเทชัน mutation ซ่งความ ิดปกตินี้ ไปปราก ในรุ่นลกหลานได้

3. อาการปวยเนื่องจากรังสี
อาการปวยเนื่อง ากรังสีแบ่งเปน 3 ร ย คือ
1. ร ย เตือนล่วงหน้า เปนอาการทีแ่ สดงออกให้เห็น ายหลัง ากถกรังสีในไม่กช
่ี ว่ั โมง ได้แก่
อาการคลื่นเหียน อาเ ียน หายใ ไม่ส ดวก เพลีย หมดแรงทรงตัว ิวหนังแดง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 201

2. ร ย แอบแ ง เปนร ย ที่สงบ ไม่แสดงออก กาหนดช่วงเวลาไม่ได้ ข้นอย่กับปริมาณรังสี


ที่ได้รับ
3. ร ย ปวย ริง เปนอาการต่อ ากร ย แอบแ ง ได้แก่ มีไข้ เบื่ออาหาร น้าหนักลด
เลือดออก มร่วง ช็อก าอ ไรไม่ได้ หมดความร้สก แล อา เสียชีวิต

4. การแบ่งระดับความรุนแรงของอุบัติเหตุทางรังสีในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ทบวงการพลังงานปรมาณร หว่างปร เทศ International Atomic Energy Agency,
IAEA ซ่งเปนหน่วยงานด้านนิวเคลียร์ร ดับนานาชาติ อย่ ายใต้องค์การสหปร ชาชาติ ได้ ัดทา
มาตร านร หว่างปร เทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ International Nuclear Event Scale,
INES โดยแบ่งร ดับความรุนแรงของอุบัติเหตุทางรังสีไว้ 8 ร ดับดังนี้
ระดับ 0 การเบี่ยงเบน deviation
เหตุ ก ารณ์ ที่ ค ลาดเคลื่ อ นเล็ ก น้ อ ย ากการเดิ น เครื่ อ งโรงไฟฟานิ ว เคลี ย ร์ ต ามปกติ
ไม่ส่ง ลกร ทบต่อความปลอด ัยต่าง
ระดับ 1 เหตุผิดปกติ anomaly
เหตุการณ์ที่แตกต่าง ากเงื่อนไขตามที่อนุญาตให้เดินเครื่องโรงไฟฟานิวเคลียร์ โดยไม่มี ล
กร ทบต่อความปลอด ัย ไม่มีการปนเปอนสารกัมมันตรังสี หรือ ้ป ิบัติงานไม่ได้รับปริมาณรังสี
เกินกาหนด
ระดับ 2 เหตุขัดข้อง incident
เหตุการณ์ซ่งส่ง ลกร ทบด้านความปลอด ัย แต่ร บบการปองกันอื่น ยังสามารถควบคุม
ส าว ด
ิ ปกติอน
่ื ได้ แล หรือ เหตุการณ์ทท
่ี าให้ ป
้ บ
ิ ต
ั งิ านได้รบ
ั ปริมาณรังสีเกินกาหนด แล หรือ
เหตุการณ์ที่ทาให้เกิดการแพร่กร ายของสารกัมมันตรังสี ายในบริเวณโรงไฟฟานิวเคลียร์ซ่ง
ไม่ได้รับการออกแบบรองรับไว้ แล ต้องดาเนินมาตรการแก้ไข
ระดับ 3 เหตุขัดข้องรุนแรง serious incident
เหตุการณ์ที่ใกล้ต่อการเกิดอุบัติเหตุ ซ่งเหลือเพียงร บบปองกันขั้นสุดท้ายที่ทาให้เกิดการ
แพร่กร ายของสารกัมมันตรังสี ายในบริเวณโรงไฟฟานิวเคลียร์อย่างรุนแรง หรือ ้ป ิบัติงานได้
รับปริมาณรังสีในร ดับทีเ่ ปนอันตรายต่อสุข าพอนามัย แล หรือมีการแพร่กร ายสารกัมมันตรังสี
ปริมาณเล็กน้อยออกส่ ายนอกโรงงานไฟฟานิวเคลียร์ กลุ่มบุคคลที่ล่อแหลมต่อเหตุการณ์ได้รับ
ปริมาณรังสีในช่วงเปนเศษส่วนในสิบของมิลลิซีเวิร์ต
ระดับ 4 อุบัติเหตุที่ไม่มีนัยสำาคัญต่อ (ผลกระทบ) ภายนอกโรงไฟฟ้า
cci ent it o t si ni c nt o site ris
อุบัติเหตุที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถานป ิบัติการนิวเคลียร์ในร ดับสาคัญ เช่น

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
202 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

แกนเครือ
่ งป ก
ิ รณ์นวิ เคลียร์หลอมล ลายบางส่วน แล หรือ ป
้ บ
ิ ต
ั งิ านได้รบ
ั ปริมาณรังสีเกินเกณฑ์
กาหนด ทาให้มีโอกาสเสียชีวิต ากเหตุการณ์ดังกล่าวเปนไปได้สง แล หรือมีการแพร่กร ายของ
สารกัมมันตรังสีออกส่ ายนอกโรงไฟฟา ยัง ลให้บุคคลที่ล่อแหลมต่อเหตุการณ์ได้รับปริมาณรังสี
ในช่วง 2 – 3 มิลลิซีเวิร์ต
ระดับ 5 อุบัติเหตุที่มีผลกระทบถึงภายนอกโรงไฟฟ้า accident with off-site risk
อุบัติเหตุที่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อสถานป ิบัติการนิวเคลียร์ แล หรือมีการแพร่
กร ายของสารกั ม มั น ตรั ง สี อ อกส่ ายนอกโรงไฟฟาในร ดั บ เที ย บเท่ า กั บ กั ม มั น ต าพของ
ไอโอดีน 131 ในช่วง 100 – 1000 เทร เบ็กเคอเรล ทาให้ต้องมีการใช้แ นฉุกเฉินบางส่วน
ระดับ 6 อุบัติเหตุระดับรุนแรง serious accident
อุ บั ติ เ หตุ ที่ ก่ อ ให้ เ กิ ด การแพร่ ก ร ายของสารกั ม มั น ตรั ง สี อ อกส่ ายนอกโรงไฟฟาใน
ปริมาณมากในร ดับเทียบเท่ากับกัมมันต าพของไอโอดีน 131 ในช่วง 1000 – 10 000 เทร
เบ็กเคอเรลแล ต้องดาเนินการตามแ นฉุกเฉินเต็มรปแบบ
ระดับ 7 อุบัติเหตุระดับรุนแรงที่สุด อุบัติเหตุใหญ่หลวง major accident
อุ บั ติ เ หตุ ที่ ก่ อ ให้ เ กิ ด การแพร่ ก ร ายของสารกั ม มั น ตรั ง สี อ อกส่ ายนอกโรงไฟฟาใน
ปริมาณมหาศาลในร ดับเทียบเท่ากับกัมมันต าพของไอโอดีน 131 ที่มากกว่า 10 000 เทร
เบ็กเคอเรล มี ลกร ทบต่อสุข าพอนามัย แล สิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง

ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินทางรังสี เ ้าหน้าที่สานักงานปรมาณเพื่อสันติ ปส. กลุ่มปร สาน


งานกรณีฉุกเฉินทางนิวเคลียร์แล รังสี ซ่งมีช่องทางในการติดต่อดังนี้
โทรศัพท์เคลื่อนที่ 089-200-6243 ติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมง
โทรศัพท์สายตรง 02-596-7699 ติดต่อได้เฉพา เวลาราชการ

ครอา สืบค้นข้อมล ติดต่อสอบถาม แล ขอเอกสารเกี่ยวกับรังสีแล เทคโนโลยีนิวเคลียร์


ากหน่วยงานต่อไปนี้
สานักงานปรมาณเพื่อสันติ http://www.oap.go.th
สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ http://www.tint.or.th
ายวิศวกรรมนิวเคลียร์ การไฟฟา าย ลิตแห่งปร เทศไทย
http://www.ned.egat.co.th
กร ทรวงพลังงาน http://www.energy.go.th

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 203

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกีย่ วกับการนารังสีไปใช้ปร โยชน์ในด้านต่าง อันตราย ากรังสีทม
่ี ต
ี อ่ ร่างกาย แล วิ กี าร
ปองกันอันตราย ากรังสี ากคาถามตรว สอบความเข้าใ 20.4
2. ทักษ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ความร่วมมือแล การทางานเปนทีม ากการสืบค้นข้อมล
แล การนาเสนอ
3. ทักษ การคิดอย่างมีวิ ารณญาณ การสร้างสรรค์แล นวัตกรรมแล การสื่อสาร ากข้อมลที่
นาเสนอแล การนาเสนอ
4. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความอยากร้อยากเห็น ความใ กว้าง แล ความมีเหตุ ล ากการอ ิปราย
ร่วมกัน แล การนาเสนอ
5. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความร่วมมือช่วยเหลือ ากความร่วมมือแล การทางานเปนทีมในการ
สืบค้นข้อมลแล การนาเสนอ
6. ิตวิทยาศาสตร์ด้านการเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ ากการอ ิปรายร่วมกัน แล การนาเสนอ

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 20.4

1. งยกตัวอย่างการนารังสี ากไอโซโทปกัมมันตรังสีไปใช้ปร โยชน์ในด้านการแพทย์มาอย่างน้อย


2 ตัวอย่าง
แนวคำาตอบ การใช้รงั สีแกมมา ากโคบอลต์ 60 ในการรักษาม เร็ง แล การใช้รงั สีแกมมา าก
โซเดียม 24 ในการติดตามการหมุนเวียนของเลือดใน ้ปวย
2. นักโบราณคดีใช้ความร้ด้านไอโซโทปกัมมันตรังสีในการหาอายุของวัตถุโบราณอย่างไร
แนวคำาตอบ นักโบราณคดีหาอายุของวัตถุโบราณโดยการวัดปริมาณหรือกัมมันต าพของ
ไอโซโทปกั ม มั น ตรั ง สี ที่ อ ย่ ใ นวั ต ถุ โ บราณชิ้ น นั้ น แล้ ว คานวณเปรี ย บเที ย บกั บ ปริ ม าณหรื อ
กัมมันต าพของไอโซโทปกัมมันตรังสีของสิ่งมีชีวิตนั้นในป ุบัน เช่น วัดปริมาณกัมมันตรังสี
ของคาร์บอน 14 ในซากสิ่งมีชีวิต เปรียบเทียบกับปริมาณกัมมันตรังสีของคาร์บอน 14 ที่
สิ่งมีชีวิตนั้นมีอย่
3. งยกตั ว อย่ า งการนารั ง สี ากไอโซโทปกั ม มั น ตรั ง สี ไ ปใช้ ป ร โยชน์ ใ นด้ า นอุ ต สาหกรรมมา
อย่างน้อย 2 ตัวอย่าง
แนวคำาตอบ การฉายรังสีแกมมาไปยังน้ายางหรือพอลิเมอร์ของพลาสติก ทาให้ ลิต ัณฑ์
ยางหรือพลาสติกมีสมบัตบ
ิ างอย่างดีขน
้ แล การฉายรังสีไปยังอัญมณี ทาให้อญ
ั มณีมม
ี ลค่าเพิม
่ ข้น
4. การฉายรังสีให้กับส่วนของพืช ชักนาให้พืชเกิดมิวเทชันได้อย่างไร
แนวคำาตอบ เมือ่ ฉายรังสีให้กบ
ั ส่วนของพืช เช่น เหง้าหรือหน่อ ทาให้รงั สีทม
่ี อี านา ท ลุ า่ น สามารถ
ท ลุ า่ นเนือ
้ เยือ
่ ไปทาให้เกิดการเปลีย่ นแปลงในร ดับยีนของพืช ชักนาให้พช
ื เกิดมิวเทชันได้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
204 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

5. ในชีวิตปร าวัน เราได้รับรังสี ากไอโซโทปกัมมันตรังสี ากแหล่งใดบ้าง ให้ร บุมาอย่างน้อย


3 อย่าง
แนวคำาตอบ น้า ดิน หิน อากาศ อาหาร
6. ถ้าร่างกายได้รับรังสี ากไอโซโทปกัมมันตรังสีมากเกินไป มีอาการเริ่มต้นที่สังเกตได้อย่างไร
แนวคำาตอบ มีอาการคลื่นเหียนแล อ่อนเพลีย
7. ถ้า าเปนต้องอย่ใกล้บริเวณที่มีรังสี ากไอโซโทปกัมมันตรังสี ควรป ิบัติอย่างไร
แนวคำาตอบ ควรพยายามใช้เวลาอย่ใกล้บริเวณนัน
้ ให้นอ้ ยทีส่ ด
ุ แล ควรใช้วสั ดุกาบัง กัน
้ รังสีนน
้ั
8. ชุดหรืออุปกรณ์ที่นามาสวมใส่เพื่อปองกันรังสี ากไอโซโทปกัมมันตรังสี ควรทา ากวัสดุชนิดใด
แนวคำาตอบ ควรทา ากวัสดุที่รังสีท ลุ ่านได้ยาก เช่น ต กั่ว

20.5 ฟิสิกส์อนุภาค
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ยกตัวอย่างการค้นคว้าวิ ัยที่ค้นพบอนุ าคมล าน
2. ร บุชนิดแล สมบัติของอนุ าคมล าน
3. อ ิบายพ ติกรรมแล อันตรกิริยาของอนุ าคมล านโดยอาศัยแบบ าลองมาตร าน
4. ยกตัวอย่างปร โยชน์ที่ได้ ากการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. คลิปวิดีทัศน์หรือรปเกี่ยวกับการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค โดยอา ใช้คลิปวิดีทัศน์ ดังนี้
คลิปสารคดี มหัศ รรย์งานสร้าง เครื่องเร่งอนุ าคแอลเอชซี
https://youtu.be/enw-59IiYuc
คลิปข่าวการเดินเครื่องเร่งอนุ าคขนาดใหญ่อีกครั้งของเซิร์น
https://youtu.be/dwT7D9GdUN8
คลิป าลองการเร่งอนุ าคโปรตอนมาชนกันที่พลังงานสง
https://youtu.be/NhXMXiXOWAA

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 205

แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 20.5 โดยให้นก
ั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกันเพือ
่ ทบทวนความร้เดิมเกีย่ วกับอนุ าคต่าง
ที่นักเรียนเคยได้เรียนร้มา ากนั้น ตั้งคาถามว่า อนุ าคที่เล็กที่สุดของอ ตอมคืออ ไรแล อนุ าคเหล่านี้
ยังมีองค์ปร กอบ ายในหรือไม่ อย่างไร แล ถ้ามี มีแนวทางการศกษาอย่างไร โดยเปดโอกาสให้นก
ั เรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครให้ความร้เพิ่มเติมว่า ในป ุบัน นักวิทยาศาสตร์มีการศกษาองค์ปร กอบพื้น านของสสารแล
พลังงานในเอก พในสาขาที่เรียกว่า ฟสิกส์อนุ าค โดยอาศัยเครื่องมือสาคัญ 2 ชิ้นคือ เครื่องเร่งอนุ าค
แล เครื่องตรว วัดอนุ าค ดังตัวอย่างในรป 20.42 ในหนังสือเรียน
ครให้นักเรียนดคลิปวิดีทัศน์หรือรปเกี่ยวกับการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าคที่เตรียมมา ากนั้น
ชี้แ งว่า อุปกรณ์ที่ใช้ศกษาอนุ าคขนาดเล็กในป ุบันมีขนาดใหญ่ แล ต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน
แต่ในอดีต นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างเครื่องมือที่ใช้ตรว วัดอนุ าคแบบที่นักเรียนสามารถสร้างข้นเองได้ใน
ชั้นเรียน เรียกว่า เครื่องตรว วัดอนุ าคแบบห้องหมอก cloud chamber ากนั้น ครอา ทากิ กรรม
เสนอแน สาหรับคร การตรว วัดอนุ าคด้วยเครื่องตรว วัดอนุ าคแบบห้องหมอก โดยอา ทาเปน
กิ กรรมสา ิต หรือ กิ กรรมกลุ่ม
ครตัง้ คาถามเพือ
่ นาเข้าส่การเรียนร้หวั ข้อ 20.5.1 – 20.5 ว่า ากอดีต นถงป บ
ุ น
ั นักวิทยาศาสตร์
ค้นพบอนุ าคอ ไรอีกบ้าง ที่เปนองค์ปร กอบพื้น านของสสารแล พลังงานในเอก พ แล อนุ าคเหล่า
นั้นมีสมบัติอย่างไร อีกทั้ง ความร้ที่ได้ ากการศกษาอนุ าคเหลานี้ นาไปใช้ปร โยชน์ในชีวิตปร าวันได้
อย่างไร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
206 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

กิจกรรมเสนอแนะสำาหรับครู
กิจกรรมสาธิตการตรวจวัดอนุภาคด้วยเครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องหมอก

จุดประสงค์
1. สังเกตรอยทางการเคลื่อนที่ของอนุ าคในห้องหมอก

เวลาที่ใช้ 60 นาที

วัสดุและอุปกร ์
1. ต้ปลาขนาดเล็ก ปร มาณ 25cm × 13cm × 20 cm 1 ต้
2. ้าสักหลาดหรือฟองน้าขนาดพอดีกับพื้นของต้ปลา 1 ชิ้น
3. เทปกาวใส 1 ม้วน
4. ไฟฉาย LED 1 กร บอก
5. น้าแข็งแห้ง 1 กิโลกรัม
6. ไอโซโพรพานอล isopropanol หรือ 0.5 ลิตร
ไอโซโพรพิลแอลกอ อล์ isopropyl alcohol 90%
7. ขวดสเปรย์ 1 ขวด
8. ดินน้ามันสีดาขนาด 100 กรัม 5 ก้อน
9. ถาดอ ลมิเนียมหรือถาดโลห สีดาขนาดใหญ่กว่าพื้นต้ปลาเล็กน้อย 1 ถาด
10. ถาดพลาสติกขนาดใหญ่กว่าถาดอ ลมิเนียม สาหรับใส่นาแข็
้ งแห้ง 1 ถาด
11. ถุงมือ ้า 1 ค่
12. แว่นตานิร ัย 1 อัน
13. กรรไกร 1 ค่
14. แหล่งกาเนิดรังสี เช่น ลวดเชื่อมทังสเตนที่มีทอเรียม 232 ไส้ต เกียงเ ้าพายุ หินบางชนิด

แนะนำาก่อนทำากิจกรรม
1. อา ใช้ต้พลาสติกใสขนาดใหญ่พอสมควร แทนต้ปลา
2. การ ัดหาไอโซโพรพานอล หรือ ไอโซโพรพิลแอลกอ อล์ 90% อา ติดต่อครวิชาเคมีเกี่ยวกับ
ข้อมลการสั่งซื้อ
3. ร วังไม่ให้ไอโซโพรพิลแอลกอ อล์สัม ัส ิวหนัง เข้าปากหรือเข้าตา ถ้าสัม ัสให้ล้างออก
ด้วยน้าทันที

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 207

4. ถาดอ ลมิเนียมหรือถาดโลห ที่ใช้ ควรมีสีดา แต่ถ้าหาถาดสีดาไม่ได้ อา ใช้เทปสีดาหรือใช้


สีพ่นด้านในถาด เพื่อการสังเกตรอยทางการเคลื่อนที่ของอนุ าคที่เปนสีขาวให้ชัดเ นมาก
ยิ่งข้น
5. ในกรณีทไี่ ม่สามารถสังเกตรอยทางอนุ าคได้ชด
ั เ น ให้ใช้แหล่งกาเนิดรังสีวางตรงกลางถาด
แล้ว งทาการสังเกตรอยทางอีกครั้ง
6. การสังเกตรอยทางของอนุ าค ต้องทาให้หอ
้ งทีท
่ ากิ กรรมมืดพอสมควร อีกวิ ห
ี น่งคือการใช้
้าสีดาคลุมชุดอุปกรณ์ แล ให้นักเรียนสังเกต ายใต้ ้าที่คลุมอย่
7. ร วังไม่สัม ัสน้าแข็งแห้งด้วยมือเปล่า ควรใช้ถุงมือหรืออุปกรณ์อื่นหยิบ ับ

วิธีทำากิจกรรม
1. ครอ ิบายหลักการที่อนุ าคทาให้เกิดรอยทาง
ในห้ อ งหมอกที่ สั ง เกตได้ ากนั้ น ให้ นั ก เรี ย น
ทานายว่า รอยทางของอนุ าคที่ปล่อยมา าก
าตุแล ไอโซโทปกัมมันตรังสีในห้องหมอก มี
ลักษณ อย่างไร พร้อมให้เหตุ ลปร กอบ
2. ให้นกั เรียนหาคาตอบ ากการสังเกตรอยทางของ
อนุ าคในห้องหมอก รูป ก.
3. ในการสร้ า งห้ อ งหมอก เริ่ ม ต้ น ด้ ว ยวาง ้ า สั ก
หลาดไว้ทพ
ี่ น
ื้ ด้านในของต้ปลา ติดด้วยเทปกาวใส
เพื่อไม่ให้หลุด ดังรป ก.
4. ฉีดหรือพรมแอลกอ อล์ลงบน ้าสักก หลาดที่
ก้นต้ปลา นชุ่ม ดังรป ข.
5. คว่าต้ปลาลงบนถาดอ ลมิเนียมให้ขอบของปาก
รูป ข.
ต้ปลาสัม สั กับพืน
้ ถาดแบบแนบสนิท ากนัน
้ ใช้
ดินน้ามันหรือเทปกาวปดรอยต่อร หว่างต้ปลา
กับถาดอ ลมิเนียมให้สนิท ดังรป ค. เพือ
่ ปองกัน
การร เหยของแอลกอ อล์ออก ากต้ปลา

รูป ค.

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
208 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

6. ใส่น้าแข็งแห้งลงในถาดพลาสติกที่เตรียมไว้ดัง
รป ง. ร วังไม่สัม ัสน้าแข็งแห้งโดยตรง ควรใช้
ถุงมือ หรือ ช้อนตัก
7. นาต้ปลาทีต
่ ด
ิ กับถาดอ ลมิเนียมไปวางไว้บนน้า
แข็งแห้งทีอ
่ ย่ในกร บ พลาสติก โดยให้ดา้ นถาด
รูป ง.
อ ลมิเนียมสัม ัสกับน้าแข็งแห้ง ดังรป .
8. รอให้แอลกอ อล์ร เหยปร มาณ 10 - 15 นาที
ถ้าต้ปลาขนาดใหญ่ อา ใช้เวลานานข้น
9. ปดไฟแล ัดให้ห้องมืดสนิท ากนั้นใช้ไฟฉาย
LED ฉายลาแสงไปที่บริเวณที่มีพื้น ิวสีดาของ
ถาดในต้ปลา ดังรป ฉ. สังเกตสิง่ ทีเ่ กิดข้น อ ป
ิ ราย
รูป จ.

รูป ฉ.

ข้อแนะนำาเพิ่มเติมสำาหรับครู
ในกรณีที่ไม่สามารถสังเกตรอยทางของอนุ าค ากรังสีคอสมิกได้ชัดเ น ครอา ใช้แหล่ง
กาเนิดรังสีที่ได้เตรียมไว้ โดยให้วางแหล่งกาเนิดรังสีลงบริเวณตรงกลางของถาดอ ลมิเนียม ในขั้น
ตอนที่ 3 แล ใช้เทปกาวติดให้แหล่งกาเนิดรังสีให้ไม่ขยับไปมา ก่อนทาตามขั้นตอนที่ 4 – 8 ต่อไป

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 209

กิจกรรมเสนอแนะสำาหรับครู กิจกรรมกลุ่มสร้างเครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องหมอก

จุดประสงค์
1. สร้างเครื่องตรว วัดอนุ าคแบบห้องหมอก
2. สังเกตรอยทางการเคลื่อนที่ของอนุ าคในห้องหมอก
3. อ ิบายการเกิดรอยทางการเคลื่อนที่ของอนุ าคในห้องหมอก

เวลาที่ใช้ 60 นาที

วัสดุและอุปกร ์
1. กร ปุกแก้วหรือพลาสติกใสขนาดเส้น ่านศนย์กลางปร มาณ 10 เซนติเมตร 1 อัน
2. ไฟฉาย LED 1 กร บอก
3. น้าแข็งแห้ง ขนาดใหญ่กว่าปากของกร ปุกใส 1 ก้อน
4. หลอดบรร ุไอโซโพรพิลแอลกอ อล์ 90% 200 มิลลิลิตร
5. หลอดหยด 1 หลอด
6. ฟองน้าหนาปร มาณ 1 cm 1 แ ่น
7. แ ่นอ ลมิเนียมหรือสังก สีขนาด A4 1 แ ่น
8. แ ่นกาวอ ลมิเนียม 1 ม้วน
9. ุกคอร์กพลาสติก เส้น ่านศนย์กลางปร มาณ 1 cm 1 ถาด
10. กรรไกร 1 ด้าม
11. ถุงมือ ้า 1 ค่
12. ถาดพลาสติกขนาดใหญ่กว่าปากกร ปุกใส 1 ถาด
13. แหล่งกาเนิดรังสี 1 อัน
14. เทปกาว 2 หน้า 1 ม้วน

แนะนำาก่อนทำากิจกรรม
ควรป ิบัติในแนวทางเดียวกับกิ กรรมสา ิตการตรว วัดอนุ าคด้วยเครื่องตรว วัดอนุ าค
แบบห้องหมอก

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
210 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

สิ่งที่ครูต้องเตรียม
1. เตรียมฟองน้าแล แ ่นอ ลมิเนียมสาหรับทากิ กรรม โดยตัดให้เปนแ ่นดิสก์ที่มีเส้น ่าน
ศนย์กลางใหญ่กว่าเส้น ่านศนย์กลางของปากกร ปุกแก้วเล็กน้อยแล้วพ่นหรือทาสีดาด้าน
ใดด้านหน่ง ดังรป
ฟองน้ ตัดเปนวงกลม

แ ่นอ ลมิเนียมตัดเปนวงกลมแล พ่นสีด ด้านหน่ง

กร ปุกใส

รูป การเตรียมวัสดุก่อนทำากิจกรรม

2. ใช้เทปใส ติดแหล่งกาเนิดรังสีให้ยดติดกับบริเวณตรงกลางของแ ่นอ ลมิเนียม


แ ่นอ ลมิเนียมตัดเปนวงกลม แหล่งก เนิดรังสี

วิธีทำากิจกรรม ฟองน้ ตัดเปน


รปทรงแล ขนาด
1. ใส่ฟองน้าที่ตัดไว้แล้วที่พื้นด้านในของกร ปุกใส
ตามกร ปุก
ติดด้วยเทปกาว 2 หน้าเพื่อไม่ให้หลุด ดังรป ก.
กร ปุกใส
2. ใช้หลอดหยดดดไอโซโพรพิลแอลกอ อล์ าก
ขวดบรร ุแล้วนาไปหยดลงบนฟองน้าที่อย่ใน
กร ปุกใส ดังรป ข. รูป ก.

รูป ข.

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 211

3. นาแ ่นอ ลมิเนียมหรือแ ่นสังก สีที่ตัดเปนวง


ตัด
กลมขนาดพอดี กั บ ปากของกร ปุ ก ใส ไปปด
ปากกร ปุกใส ดังรป ค. ถ้าใช้แหล่งกาเนิด รังสี
ให้ ติ ด แหล่ ง กาเนิ ด รั ง สี บ นแ ่ น อ ลมิ เ นี ย ม
ด้วยเทปใสก่อน แล้ว งนาไปปดปากกร ปุกใส
4. ติดแ น
่ กาวอ ลมิเนียมติดรอบ ปากของกร ปุก
ใสเพื่ อ ยดติ ด แ ่ น อ ลมิ เ นี ย มให้ ป ดปากของ
รูป ค. รูป ง.
กร ปุกใส นสนิท ดังรป ง. แล .
5. นาน้าแข็งแห้งวางลงในถาดพลาสติก ากนัน
้ นา
กร ปุกใสไปวางบนน้าแข็งแห้ง โดยคว่าให้ด้าน
ที่มีแ ่นอ ลมิเนียมติดกับน้าแข็งแห้ง ดังรป ฉ.
6. รอให้แอลกอ อล์ร เหยปร มาณ 5 - 10 นาที
รูป จ.
7. ปดไฟแล ั ด ให้ ห้ อ งมื ด สนิ ท หรื อ อา ใช้ ้ า
สีดาคลุมชุ ดอุปกรณ์ ากนั้นใช้ไฟฉาย LED
ฉายลาแสงไปที่กร ปุกใส ดังรป ช. สังเกตสิ่ง
ที่เกิดข้น อ ิปราย

รูป ฉ.

รูป ช.

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
212 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ตัวอย่างใบบันทึกกิจกรรม
เครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องหมอก
อนุ าคทีม
่ แี หล่งกาเนิด ากปราก การณ์ในอวกาศเคลือ
่ นที่ า่ นโลกของเราตลอดเวลา บาง
อนุ าคพุ่งเข้าชนกับอนุ าคในชั้นบรรยากาศ ทาให้เกิดอนุ าคอีกหลากหลายชนิดเคลื่อนที่มายัง
พื้นโลก อนุ าคเหล่านี้ไม่เปนอันตรายแต่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเครื่องตรว วัดอนุ าค
แบบห้องหมอก หรือ เรียกสั้น ว่า ห้องหมอก cloud chamber เปนเครื่องมือที่สามารถช่วยให้
เรามองเห็นรอยทางการเคลื่อนที่ของอนุ าคเหล่านี้ได้
ในห้องหมอก อุณห มิบริเวณด้านบนกับ แอลกอ อล์ที่ซมอย่ด้านบน ร เหยเปนไอ
แล เคลื่อนที่ลงส่ด้านล่าง
ด้านล่าง ต่างกันมาก โดยบริเวณด้านบน มี
แอลกอ อล์ที่ซมอย่ในวัสดุดดซับ ซ่งไอของ
อุณห มิร หว่าง
แอลกอ อล์ทร่ี เหยออกมา เคลือ่ นทีอ่ ย่างช้า ด้านบนแล ด้านล่าง
แตกต่างกันมาก
ลงส่ ด้ า นล่ า งซ่ ง มี อุ ณ ห มิ ต่ ากว่ า ไอของ
แอลกอ อล์ในส าว นี้พร้อมที่ ควบแน่นไป
เปนล อองแอลกอ อล์ทอี่ ย่ในสถาน ของเหลว
รูป 1
ดังรป 1
เมือ่ อนุ าคทีเ่ กิด ากรังสีคอสมิกเคลือ่ น รังสี

ที่ า่ นเข้ามาในห้องหมอก อนุ าคเหล่านี้ ไป อนุ าคของแอลกอ อล์

ชนกับโมเลกุลของอากาศ ายในห้องหมอก ทา
ให้อเิ ล็กตรอนของโมเลกุลของอากาศหลุดออก
มา เกิดเปนไอออนที่อนุ าคของแอลกอ อล์ ไอออนบวกที่เกิดข้น
อิเล็กตรอน
รอบ เข้าไป บ
ั ทาให้เกิดการควบแน่นของไอ
รูป 2
แอลกอ อล์เปนล อองตามรอยทางการเคลือ
่ น
ทีข
่ องอนุ าคทีส่ งั เกตเห็นเปนรอยทางของกลุม

ควัน ายในห้องหมอก ดังรป 2

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 213

แบบบันทึกผลการทำากิจกรรม
1. ถ้าอนุ าคที่ า่ นเข้าไปในห้องหมอกมีเพียง อนุ าคแอลฟา อนุ าคบีตา แล รังสีแกมมา ให้วาด
ลักษณ ของรอยทางอนุ าคแต่ล ชนิดที่คาดว่า สังเกตได้ ากห้องหมอก

2. ากการสังเกตรอยทางการเคลือ่ นทีข
่ องอนุ าคในห้องหมอก ให้วาดลักษณ ของรอยทางทีส่ งั เกต
ได้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
214 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม

1. รอยทางของล อองแอลกอ อล์ทส่ี งั เกตได้ มีลก


ั ษณ อย่างไร
แนวคำาตอบ บางรอยเปนเส้นตรง บางแล ยาว บางรอยเปนเส้นตรง หนา แล สั้น
2. เพรา เหตุใด อนุ าคแตกต่างกัน งทาให้รอยทางทีเ่ คลือ
่ นที่ า่ นห้องหมอกมีลก
ั ษณ แตกต่างกัน
แนวคำาตอบ เพรา อนุ าคแต่ล ชนิดมีสมบัติเช่น ปร ุ มวล แล ความเร็ว ทาให้รอยทางที่
เคลื่อนที่ ่านห้องหมอกมีลักษณ แตกต่างกัน เช่น อนุ าคบีตาหรืออิเล็กตรอน เปนอนุ าคที่มี
มวลน้อยกว่าอนุ าคแอลฟา เมื่อเคลื่อนที่ ่านเข้าไปในห้องหมอก มีการชนกับอนุ าคอื่น
แล สญเสียพลังงานน้อยกว่าอนุ าคแอลฟา รอยทางของอนุ าคบีตาในห้องหมอก งมีลก
ั ษณ
ยาวกว่ารอยทางของอนุ าคแอลฟา

ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม

รูป รอยทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคบีตาและแอลฟาในห้องหมอก

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 215

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

ากลักษณ รอยทางที่แตกต่างของอนุ าคที่เคลื่อนที่ ่านห้องหมอก เราสามารถวิเครา ห์


เพื่อร บุชนิดของอนุ าค ดังนี้ รอยทางบางลักษณ อา ไม่ปราก ในการทากิ กรรมในชั้นเรียน
1. ถ้ารอยทางเปนเส้นคดเคี้ยวแล ไม่ตรง แสดงว่า อนุ าคที่เคลื่อนที่ ่านห้องหมอก เปน
อิเล็กตรอน e- หรือ โพซิตรอน e+ ที่มีความเร็วต่า เนื่อง ากอิเล็กตอนแล โพซิตรอน
เปนอนุ าคที่มีมวลน้อยเมื่อเทียบกับอนุ าคอื่น เมื่อเคลื่อนที่ ่านเข้าไปในห้องหมอก
มีการชนกับอนุ าคอื่น แล เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ได้ง่าย

e− อ e+

รูป ลักษ ะของรอยทางที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน


หรือโพ ิตรอนความเร็วต่ำาภายในห้องหมอก

2. ถ้ารอยทางเปนเส้นตรงแล ยาวพอสมควร แสดงว่า อนุ าคที่เคลื่อนที่ ่านห้องหมอก


เปน อิเล็กตรอนหรือโพซิตรอนที่มีความเร็วสง หรือ อา เปนมิวออนความเร็วสง เนื่องด้วย
ความเร็วของอนุ าคทาให้อากาศรอบ แนวทางทีเ่ คลือ
่ นที่ า่ นมีการแตกตัว โดยอนุ าค
ไม่มีการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่

e− อ e+

อ +

รูป ลักษ ะของรอยทางที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนโพ ิตรอน


หรือ มิวออน ความเร็วสูง ภายในห้องหมอก

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
216 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

3. ถ้ารอยทางเปนเส้นตรง สั้น แล หนากว่ารอยทางอื่น อย่างที่สังเกตเห็นได้ชัด แสดงว่า


อนุ าคที่เคลื่อนที่ ่านห้องหมอกนั้น เปนอนุ าคแอลฟา เนื่อง ากอนุ าคแอลฟามีมวล
มากกว่าอนุ าคอื่น มาก งทาให้ร ย ทางการเคลื่อนที่สั้นกว่าอนุ าคอื่น

รูป ลักษ ะของรอยทางของการเคลื่อนที่ของอนุภาคแอลฟาภายในห้องหมอก

ข้อแนะนำาเพิ่มเติมสำาหรับครู
ในการสังเกตแล ศกษาอนุ าคด้วยห้องหมอก นักเรียน ได้เรียนร้หลักการพื้น านสาคัญ
ของเครื่องตรว วัดอนุ าค แต่มีบางครั้ง ที่อา เกิดปญหาในขั้นตอนต่าง ซ่งในที่นี้ เปนตัวอย่าง
ปญหาแล คาถามที่พบบ่อย พร้อมกับคาอ ิบายแนวทางการแก้ปญหา

ปญหา หรือ คำถาม แนวทางแกไข หรือ คำตอบ

นักเรียนไมเห็นรอยทางของ - ปรับมุมการฉายลำแสงของไฟฉายใหฉายไปทีม่ มุ
อนุภาคในหองหมอก อื่น ๆ โดยบริเวณที่มีโอกาสสังเกตเห็นรอยทาง
ของอนุภาคไดชัดที่สุดคือ บริเวณอยูเหนือดาน
ลางของหองหมอกประมาณ 1 เซนติเมตร
- พิจารณาเพิ่มปริมาณแอลกอฮอลในขั้นตอนการ
พนหรือหยดแอลกอฮอลลงบนวัสดุดูดซับ
- ตรวจสอบวา ตูปลาหรือกระปุกใส ปดสนิทหรือ
ไม

ปญหา หรือ คำถาม แนวทางแกไข หรือ คำตอบ

นักเรียนสังเกตเห็นเพียงแต - อาจตองรออีกระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งโดยสวนใหญ


หมอกสีขาว ๆ ตองรอใหแอลกอฮอลระเหยประมาณ 5 นาที
จึงจะเริ่มสังเกตเห็นรอยทางของอนุภาค
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี - ตรวจสอบวา ใชแอลกอฮอลถูกชนิดหรือไมควร
เปนไอโซโพรพิลแอลกอฮอล ความเขมขนมาก
อนุภาคในหองหมอก อื่น ๆ โดยบริเวณที่มีโอกาสสังเกตเห็นรอยทาง
ของอนุภาคไดชัดที่สุดคือ บริเวณอยูเหนือดาน
ลางของหองหมอกประมาณ 1 เซนติเมตร
ฟิสิกส์ เล่ม 6 - พิจารณาเพิบทที
่มปริ่ 20มาณแอลกอฮอล
ฟิสิกส์นิวเคลียร์แใละฟิ
นขั้นสิกตอนการ
ส์อนุภาค 217
พนหรือหยดแอลกอฮอลลงบนวัสดุดูดซับ
- ตรวจสอบวา ตูปลาหรือกระปุกใส ปดสนิทหรือ
ไม

ปญหา หรือ คำถาม แนวทางแกไข หรือ คำตอบ

นักเรียนสังเกตเห็นเพียงแต - อาจตองรออีกระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งโดยสวนใหญ


หมอกสีขาว ๆ ตองรอใหแอลกอฮอลระเหยประมาณ 5 นาที
จึงจะเริ่มสังเกตเห็นรอยทางของอนุภาค
- ตรวจสอบวา ใชแอลกอฮอลถูกชนิดหรือไมควร
เปนไอโซโพรพิลแอลกอฮอล ความเขมขนมาก
กวา 90%
นักเรียนสังเกตเห็นกลุมหมอก - ขอบของภาชนะที่ใชทำเปนหองหมอกอาจถูก
หนาบริเวณขอบดานลางของ ป ด ไม ส นิ ท ให ป  ด ปากของภาชนะด ว ยแผ น
หองหมอก อะลูมิเนียมกาวหรือดินน้ำมันใหสนิท

บริเวณพื้นดานลางของหอง - อาจเนื่องจากเวนระยะระหวางการปดขอบของ
หมอกมีหมอกสีขาวหนาเต็ม ภาชนะที่ใชทำหองหมอกดวยแผนอะลูมิเนียม
ไปหมด กับการคว่ำลงแลวนำไปวางบนน้ำแข็งแหงนาน
เกินไป อาจตองเริ่มตนวางหองหมอกบน
น้ำแข็งแหงใหมอีกครั้ง

ครให้นักเรียนศกษาหัวข้อ 20.5.1 อนุ าคมล าน 20.5.2 แบบ าลองมาตร าน แล 20.5.3


ปร โยชน์ ากการค้นคว้าวิ ยั ด้านฟสิกส์อนุ าค โดยการสืบค้นแล นาเสนอตามแนวการ ด
ั การเรียนร้ตอ่ ไปนี้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
218 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. โปรตอนแล นิวตรอนเปนอนุ าคมล าน 1. โปรตอนแล นิวตรอนไม่เปนอนุ าค


มล าน เพรา ปร กอบด้วยควาร์ก ซ่งเปน
อนุ าคมล าน

2. ป ิยานุ าคของอนุ าคที่เปนกลางทาง 2. ป ิ ย านุ าคของอนุ าคที่ เ ปนกลางทาง


ไฟฟา มีสมบัติเหมือนค่อนุ าคทุกปร การ ไฟฟา ยังคงเปนกลางทางไฟฟาเช่นเดียว
กัน แต่มีสมบัติทางควอนตัมบางอย่าง ที่
แตกต่าง ากค่อนุ าค

3. แรงเข้มคือแรงนิวเคลียร์ 3. แรงเข้มไม่ใช่แรงนิวเคลียร์ แต่เปนแรงทีย่ ด


เหนี่ยวควาร์กให้อย่รวมกันในนิวคลีออน
ส่ ว นแรงนิ ว เคลี ย ร์ เ ปนแรงยดเหนี่ ย วให้
นิ ว คลี อ อนอย่ ร วมกั น ในนิ ว เคลี ย ส โดย
แรงนิ ว เคลี ย ร์ เ ปน ลข้ า งเคี ย งที่ เ กิ ด าก
แรงเข้ม

4. แรงอ่อนเปนแรงนิวเคลียร์ชนิดหน่ง 4. แรงอ่ อ นไม่ เ ปนแรงนิ ว เคลี ย ร์ เพรา ไม่


เกี่ ย วข้ อ งกั บ การยดเหนี่ ย วกั น ร หว่ า ง
นิวคลีออนในนิวเคลียส แต่เปนแรงที่เกี่ยว
ข้องกับการสลายให้บีตา

5. แรงโน้มถ่วงเปนแรงที่มีค่าความแรงมากที่ 5. แรงเข้มเปนแรงที่มีค่าความแรงมากที่สุด
สุดในแรงพื้น านทั้ง 4 แรง ในแรงพื้น านทั้ง 4 แรง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 219

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. รป คลิปวีดท
ิ ศ
ั น์ หรือ อุปกรณ์สา ต
ิ เกีย่ วกับการ ด
ั แสดงนิทรรศการในพิพิ ณ
ั ฑ์ หรือ แหล่งเรียนร้ตา่ ง
โดยอา ใช้ส่วนหน่งของคลิปวิดีทัศน์ต่อไปนี้
1.1 คลิปมหกรรมวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยีแห่งชาติ 2562 เมืองแห่ง าตุ
https://youtu.be/5-8XfJntJQM
1.2 คลิปมหกรรมวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยีแห่งชาติ 2562 วิทยาศาสตร์ติดถ้า
https://youtu.be/pxFd5Q9KRDo
2. ถ้ามีการทากิ กรรมเสนอแน สาหรับคร ให้เตรียมวัสดุแล อุปกรณ์สาหรับการทากิ กรรมให้พร้อม
โดยกิ กรรมสา ต
ิ ให้เตรียมสาหรับการสา ต
ิ 1 ชุด แต่ถา้ เปนกิ กรรมกลุม
่ ให้เตรียมให้ครบตาม านวน
กลุ่มของนักเรียน

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชีแ้ ง ด
ุ ปร สงค์การเรียนร้ขอ้ ที่ 21 - 24 ของหัวข้อ 20.5 ตามหนังสือเรียน ากนัน
้ ครตัง้ คาถามว่า
นอก ากอนุ าคอิเล็กตรอน โปรตอน แล นิวตรอน แล้วยังมีอนุ าคอื่นอีกหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ
อนุ าคชนิดอืน
่ ได้อย่างไร โดยเปดโอกาสให้นก
ั เรียนตอบคาถามอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบทีถ
่ กต้อง
ครชี้แ งหัวข้อที่นักเรียน ได้เรียนร้ในหัวข้อ 20.5 ทั้ง 3 หัวข้อ ากนั้น ตั้งคาถามว่า โปรตอนแล
นิวตรอนเปนอนุ าคมล านหรือไม่ ครนาอ ิปราย นสรุปได้ว่า อนุ าคมล านหมายถงอนุ าคที่ไม่ได้
ปร กอบข้น ากอนุ าคชนิดอื่น แล ไม่มีโครงสร้างหรือองค์ปร กอบ ายใน แต่โปรตอนแล นิวตรอน
มีองค์ปร กอบ ายใน งไม่เปนอนุ าคมล าน ากนั้น ครใช้รป 20.43 นาอ ิปรายเกี่ยวกับช่วงเวลาของ
การค้นพบอนุ าคมล านต่าง
ครแบ่งกลุ่มให้นักเรียนสืบค้นเกี่ยวกับฟสิกส์อนุ าค โดยให้นักเรียนเลือกศกษาหัวข้อใดหัวข้อหน่ง
ต่อไปนี้
ก. ปร วัติการค้นพบแล สมบัติของอนุ าคมล านอย่างน้อย 5 อนุ าค
ข. การ ัดกลุ่มของอนุ าคมล านในแบบ าลองมาตร าน แล การอ ิบายพ ติกรรมแล
อันตรกิริยาของอนุ าคมล านโดยอาศัยแบบ าลองมาตร าน
ค. ปร โยชน์ที่ได้ ากการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค อย่างน้อย 5 ตัวอย่าง

ทั้งนี้ ถ้าในห้องเรียนมี านวนนักเรียนมาก บางกลุ่มอา เลือกหัวข้อที่ซ้ากันได้ แต่รวมทุกกลุ่ม


ต้องมีการเสนอครอบคลุมทั้ง 3 หัวข้อ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
220 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

เพือ่ การสร้างรปแบบการนาเสนอทีส่ ร้างสรรค์ น่าสนใ แล เข้าใ ง่าย ครให้นกั เรียน ชมคลิปวีดท


ิ ศ
ั น์
หรือรปเกี่ยวกับตัวอย่างของการ ัดแสดงนิทรรศการให้ความร้ในพิพิ ัณฑ์หรือแหล่งเรียนร้ต่าง เช่น
การ ัดแสดงให้ความร้ด้านวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยีในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ หรือ การ ัดแสดงเพื่อ
ให้ความร้ทางปร วัติศาสตร์ในแหล่งเรียนร้ ทั้งในแล ต่างปร เทศ ากนั้น ครนาอ ิปราย นสรุปได้เกี่ยว
กับรปแบบการนาเสนอแล การ ัดแสดงนิทรรศการ ที่น่าสนใ แล ้เข้าชมเข้าใ ง่าย ได้ความร้
ครชี้แ งว่า นักเรียนสามารถนาเสนอ ลการสืบค้นในรปแบบต่าง เช่น ปายแสดงนิทรรศการ
คลิปวิดีทัศน์ ล ครเวที อา แต่งเพลงปร กอบดนตรี แต่งกลอนปร กอบการอ ิบาย หรือ สื่ออื่น โดยให้
คานงถงลักษณ ของสื่อที่ดีที่ได้อ ิปรายแล สรุปร่วมกัน ทั้งนี้ ก่อนให้นักเรียนเริ่มการสืบค้น ครควรชี้แ ง
เกณฑ์ที่ ใช้ปร เมินการนาเสนอของนักเรียน โดยอา ให้นก
ั เรียนมีสว่ นร่วมในการกาหนดเกณฑ์แล เปน
้ปร เมินขณ เปน ้เข้าชมด้วย
ครให้ นั ก เรี ย นสื บ ค้ น ข้ อ มลในหั ว ข้ อ ที่ เ ลื อ ก แล้ ว ให้ นั ก เรี ย นอ ิ ป รายแล สรุ ป ายในกลุ่ ม
แล้วเตรียมตัวนาเสนอ ากนั้น ให้นักเรียนนาเสนอ ลการสืบค้น โดยครอา ัดให้มีการนาเสนอในห้อง
เรียน หรือ การเสนอเปนงานนิทรรศการของโรงเรียน ตามความเหมา สม
ายหลังการนาเสนอของแต่ล กลุ่ม ครแล นักเรียนร่วมกันอ ิปรายเพื่อสรุปเกี่ยวกับการค้นคว้า
วิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค อนุ าคมล าน แบบ าลองมาตร าน แล ปร โยชน์ที่ได้ ากการค้นคว้าวิ ัยด้าน
ฟสิกส์อนุ าคตามรายล เอียดในหนังสือเรียน ากนั้น ครให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ
ท้ายหัวข้อ 20.5

ข้อแนะนำาเพิ่มเติมสำาหรับครู
เพื่อการสร้างความเข้าใ ที่ดียิ่งข้น แล เปนการเชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนร้กับชีวิตปร าวัน ครอา พา
นั ก เรี ย นไปทั ศ นศกษาหน่ ว ยงานต่ า ง ที่ ท างานเกี่ ย วกั บ การใช้ เ ครื่ อ งเร่ ง อนุ าค หรื อ ค้ น คว้ า วิ ั ย
ด้านฟสิกส์อนุ าค เช่น สถาบันแสงซินโครตรอน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี หรือ โรงพยาบาลที่มีการ
ใช้เครื่องเร่งอนุ าค
สถาบันวิจัยแสง ินโครตรอน (องค์การมหาชน)
Synchrotron Light Research Institute
อาคารสิริน รวิชโชทัย 111 ถ. มหาวิทยาลัย ต.สุรนารี อ.เมือง .นครราชสีมา 30000
โทรศัพท์: 0-4421-7040 ต่อ 1333, 1444, 1446, 1542
เว็บไซด์ http://www.slri.or.th

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 221

ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู

การค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับนิวทริโน
นิวทริโนเปนอนุ าคมล านที่นักฟสิกส์เชื่อว่ามี านวนมากเปนอันดับสองในเอก พรอง
ากโฟตอน โดยในทุกพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตรบนร่างกายของเรา มีนิวทริโนปร มาณ 1 แสนล้าน
อนุ าคเคลือ
่ นที่ า่ นในทุก 1 วินาที แต่เนือ
่ ง ากนิวทริโนเปนอนุ าคทีม
่ อ
ี น
ั ตรกิรยิ ากับอนุ าคอืน

ได้ยากมาก ทาให้การตรว วัดแล ศกษานิวทริโนทาได้ยากมากเช่นกัน นิวทริโน งเปนอนุ าคที่
นักฟสิกส์มีความเข้าใ น้อยที่สุด การพยายามศกษา รรมชาติของนิวทริโน งยังดาเนินการอย่ใน
ห้องป ิบัติทั่วโลก นกร ทั่งป ุบัน เช่น โครงการไอซ์คิวบ์ IceCube หรือ IceCube Neutrino
Observatory ที่ทวีปแอนตาร์กติกาในขั้วโลกใต้ ดังรป

ห้องป ิบัติการ Ice Cube

50 m

1450 m

2450 m

รูป เครื่องตรวจวัดนิวทริโนของโครงการ IceCube ติดตั้งตัวรับรู้ (sensor) กว่า 5 พันชิ้น


ภายในหลุมที่เจาะลงไปใต้ผืนน้ำาแข็งกว่า 2.45 กิโลเมตร จำานวน 86 หลุม

แนวคิดเกี่ยวกับอนุภาคสื่อแรง
แนวคิดที่อนุ าคหน่งสามารถรับร้ถงแรงที่อนุ าคหน่งกร ทาโดยการแลกเปลี่ยน
อนุภาคสื่อแรง force-carrier particle หรือ force carrier เปนราก านในการพั นาท ษ ี
ทางฟสิกส์อนุ าคในป บ
ุ น
ั ซ่งอุปมาอุปไมยได้กบ
ั การทีค
่ นใส่รองเท้าสเกตสองคนแทนอนุ าคสอง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
222 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

อนุ าคโยนลกบอลซ่งแทนอนุ าคสื่อของแรงให้กันไปมา ทาให้เกิดแรง ลักกันร หว่างคนทั้งสอง


ให้เคลือ
่ นทีห
่ า่ งออก ากกัน ดังรป ก. แล ถ้าคนสองคนนัน
้ พยายามแย่งลกบอลทีอ
่ ย่ในมืออีกคน
ทาให้เกิดแรงดงดดทาให้ทั้งสองเคลื่อนที่เข้าหากัน ดังรป ข.

F F
F F

รูป ก. การโยนและรับลูกบอลระหว่างคนใส่รองเท้าสเกตสองคนเปรียบเสมือน
การแลกเปลี่ยนอนุภาคสื่อแรงที่ทำาให้เกิดแรงผลักระหว่างอนุภาค

F F
F F

รูป ข. การแย่งลูกบอลระหว่างคนใส่รองเท้าสเกตสองคนเปรียบเสมือน
การแลกเปลี่ยนอนุภาคสื่อแรงที่ทาำ ให้เกิดแรงดึงดูดระหว่างอนุภาค

ดังนัน
้ ในกรณีแรง ลักทางไฟฟาร หว่างโปรตอนกับโปรตอนที่มป
ี ร ุบวก เปน ลมา ากมี
การแลกเปลี่ยนโฟตอนร หว่างโปรตอนด้วยกันในลักษณ ดังรป ก. แต่ในกรณีแรงดงดดทางไฟฟา
ร หว่างอิเล็กตรอนที่มีปร ุลบกับโปรตอนที่มีปร ุบวก เปน ลมา ากการแลกเปลี่ยนโฟตอน
ร หว่างอิเล็กตรอนกับโปรตอนในลักษณ ดังรป ข.

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 223

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าค อนุ าคมล าน แบบ าลองมาตร าน แล
ปร โยชน์ทไ่ี ด้ ากการค้นคว้าวิ ยั ด้านฟสิกส์อนุ าค ากคาถามตรว สอบความเข้าใ 20.5
2. ทักษ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ความร่วมมือแล การทางานเปนทีม ากการสืบค้นข้อมล
แล การนาเสนอ
3. ทักษ การคิดอย่างมีวิ ารณญาณ การสร้างสรรค์แล นวัตกรรมแล การสื่อสาร ากข้อมลที่
นาเสนอแล การนาเสนอ
4. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความอยากร้อยากเห็น ความใ กว้าง แล ความมีเหตุ ล ากการอ ิปราย
ร่วมกัน แล การนาเสนอ
5. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความร่วมมือช่วยเหลือ ากความร่วมมือแล การทางานเปนทีมในการ
สืบค้นข้อมลแล การนาเสนอ
6. ิตวิทยาศาสตร์ด้านการเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ ากการอ ิปรายร่วมกัน แล การนาเสนอ

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 20.5

1. โปรตอนแล นิวตรอนเปนอนุ าคมล านหรือไม่ งอ ิบาย


แนวคำาตอบ โปรตอนแล นิวตรอนไม่เปนอนุ าคมล าน เพรา โปรตอนแล นิวตรอนต่าง
ปร กอบไปด้วยควาร์ก โดยโปรตอนปร กอบไปด้วยควาร์กอัพ 2 อนุ าค แล ควาร์กดาวน์
1 อนุ าค ส่วนนิวตรอนปร กอบด้วยควาร์กอัพ 1 อนุ าค แล ควาร์กดาวน์ 2 อนุ าค
2. หลัก านที่ยืนยันการค้นพบป ิยานุ าคของอิเล็กตรอนคืออ ไร
แนวคำาตอบ หลัก านทีย่ น
ื ยันการค้นพบโพซิตรอน ซ่งเปนป ยิ านุ าคของอิเล็กตรอน คือ าพ
แสดงรอยทางของการเคลื่อนที่ของโพซิตรอนในเครื่องตรว วัดอนุ าคแบบห้องหมอก ซ่งมี
ลักษณ เปนแนวโค้ง
3. เพรา เหตุใดนักฟสิกส์ งทานายว่ามีนิวทริโนอย่ใน รรมชาติ
แนวคำาตอบ เพรา ในการสลายให้บีตา มีพลังงานส่วนหน่งหายไป นักฟสิกส์ งได้ทานายว่า
มีอนุ าคชนิดใหม่ นาพลังงานส่วนนี้ออกไป ซ่งอนุ าคชนิดใหม่นี้ ได้รับการให้ชื่อเรียกว่า
นิวทริโน
4. ในแบบ าลองมาตร าน มีการ ัดกลุ่มอนุ าคมล านออกเปนกี่กลุ่ม อ ไรบ้าง
แนวคำาตอบ ในแบบ าลองมาต าน ได้ ัดกลุ่มอนุ าคมล านออกเปน 3 กลุ่ม ได้แก่ อนุ าค
สสาร อนุ าคสื่อแรง แล อนุ าค ิกส์โบซอน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
224 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

5. การยดเหนี่ยวกันของควาร์กเกี่ยวข้องกับอนุ าคสื่อแรงชนิดใดแล แรงพื้น านแรงใด


แนวคำาตอบ การยดเหนีย่ วกันของควาร์กเกีย่ วข้องกับอนุ าคสือ
่ แรงชือ
่ กลออน แล เกีย่ วข้อง
กับแรงเข้ม
6. ในแบบ าลองมาตร าน การสลายให้บีตาทาให้ควาร์กมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร แล เกี่ยวข้อง
กับอนุ าคสื่อแรงชนิดใด
แนวคำาตอบ ในแบบ าลองมาตร าน การสลายให้บีตาทาให้ควาร์กมีการเปลี่ยนชนิด าก
ควาร์กดาวน์เปลี่ยนไปเปนควาร์กอัพ ซ่งเกี่ยวข้องกับอนุ าคสื่อแรงชื่อดับเบิลยโบซอนลบ
7. งยกตัวอย่างปร โยชน์ที่ได้ ากค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าคมาอย่างน้อย 2 ตัวอย่าง
แนวคำาตอบ
1. การใช้โปรตอนพลังงานสงในการรักษาโรคม เร็งที่เรียกว่าการบาบัดด้วยโปรตอน
2. การใช้เครื่องเร่งอนุ าคในการ ลิตชิปในคอมพิวเตอร์ให้มีคุณ าพดีข้น

เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 20

คำาถาม

1. แรงนิวเคลียร์เปนแรงที่กร ทาร หว่างอนุ าคค่ใดบ้าง


แนวคำาตอบ แรงนิวเคลียร์เปนแรงที่กร ทาร หว่างโปรตอนกับโปรตอน นิวตรอนกับนิวตรอน
แล โปรตอนกับนิวตรอน

2. นิวเคลียสของไอโซโทปของ าตุเดียวกัน ทีม


่ ี านวนนิวตรอนต่างกัน มีเสถียร าพต่างกันหรือไม่
อย่างไร
แนวคำาตอบ นิวเคลียสของไอโซโทปทีม
่ ี านวนนิวตรอนมากกว่า มีเสถียร าพมากกว่านิวเคลียส
ของไอโซโทปทีม
่ ี านวนนิวตรอนน้อยกว่า เพรา านวนนิวตรอนทีเ่ พิม
่ ข้น ทาให้นวิ เคลียสมีแรง
นิวเคลียร์เพิ่มข้น การชดเชยแรง ลักทางไฟฟาด้วยแรงยดเหนี่ยวทางนิวเคลียร์ งมีมากกว่า
แต่อย่างไรก็ตาม านวนนิวตรอนทีเ่ พิม
่ ข้น ถ้ามากเกินไป ทาให้นวิ เคลียสไม่มเี สถียร าพ

3. เพรา เหตุใด มวลของนิวเคลียส งน้อยกว่ามวลรวมของนิวคลีออนในนิวเคลียส


แนวคำาตอบ เพรา การทีน
่ วิ คลีออน สามารถมารวมกันอย่ได้ ายในนิวเคลียส ต้องมีการเปลีย่ น
มวลบางส่วนเปนพลังงาน สาหรับใช้ในการยดเหนีย่ วให้อย่รวมกัน เพือ่ ทาให้นวิ เคลียสมีเสถียร าพ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 225

4. นิวเคลียสที่มีพลังงานยดเหนี่ยวสง มีเสถียร าพมากกว่านิวเคลียสที่มีพลังงานยดเหนี่ยว


ต่ากว่าหรือไม่ เพรา เหตุใด
แนวคำาตอบ ไม่ เพรา พลังงานยดเหนีย่ วข้นกับ านวนนิวคลีออนในนิวเคลียส ยิง่ นิวเคลียสมี านวน
นิวคลีออนมาก ยิง่ มีพลังงานยดเหนีย่ วมาก การพิ ารณาเสถียร าพของนิวเคลียสต้องพิ ารณา
พลังงานยดเหนีย่ วต่อนิวคลีออน

5. ใช้สมบัติต่อไปนี้เรียงลาดับของรังสีที่แ ่ออกมา าก าตุกัมมันตรังสี ากมากไปน้อย


ก. มวล
ข. อานา ท ลุ ่าน
ค. ความสามารถในการทาให้อากาศแตกตัวเปนไอออน
แนวคำาตอบ ก. เรียงลาดับ ากรังสีทม
่ี ม
ี วลมากไปน้อย
รังสีแอลฟา รังสีบต
ี า รังสีแกมมา
ข. เรียงลาดับ ากรังสีทม
่ี อ
ี านา ท ลุ า่ นมากไปน้อย
รังสีแกมมา รังสีบต
ี า รังสีแอลฟา
ค. เรียงลาดับรังสีทม
่ี ค
ี วามสามารถในการทาให้อากาศแตกตัวเปนไอออนมากไปน้อย
รังสีแอลฟา รังสีบต
ี า รังสีแกมมา

6. นา าตุกม
ั มันตรังสี 3 ชนิดใส่กล่องต กัว่ หมายเลข 1 2 แล 3 กล่องล 1 ชนิด ากนัน
้ ทดลองให้
รังสีทแี่ อ
่ อกมา าก าตุกม
ั มันตรังสี า่ นแ น
่ กร ดาษแล า่ นสนามแม่เหล็ก ได้ ลการทดลอง
ดังตาราง

รังสีจากกลอง การทะลุผา น การเบน


ตะกัว่
1 ผานกระดาษได ไมเบนในสนามแมเหล็ก
2 ผานกระดาษไมได เบนในสนามแมเหล็ก
3 ผานกระดาษได เบนในสนามแมเหล็ก
ถ้า าตุในกล่องต กั่วแต่ล ใบแ ่รังสีเพียงชนิดเดียว าตุกัมมันตรังสีในกล่องแต่ล ใบแ ่รังสี
ชนิดใด อ ิบาย

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
226 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวคำาตอบ าตุกม
ั มันตรังสีในกล่องที่ 1 แ ร่ งั สีแกมมา เพรา รังสีแกมมาเปนกลางทางไฟฟา
งไม่เบนในสนามแม่เหล็ก แล สามารถท ลุ า่ นแ น
่ กร ดาษได้
าตุกม
ั มันตรังสีในกล่องที่ 2 แ ร่ งั สีแอลฟา เพรา รังสีแอลฟาไม่สามารถ า่ นแ น

กร ดาษได้ แล รังสีแอลฟามีปร ไุ ฟฟา งเบนในสนามแม่เหล็ก
าตุกม
ั มันตรังสีในกล่องที่ 3 แ ร่ งั สีบต
ี า เพรา รังสีบต
ี าสามารถ า่ นแ น
่ กร ดาษ
ได้ แล รังสีบต
ี ามีปร ไุ ฟฟา งเบนในสนามแม่เหล็ก

7. เมื่อนิวเคลียสมีการสลายแล ให้อนุ าคหรือรังสีต่อไปนี้ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร


ก. อนุ าคแอลฟา
ข. อนุ าคบีตา
ค. รังสีแกมมา
แนวคำาตอบ ก. นิวเคลียสทีส่ ลายให้อนุ าคแอลฟา มีเลขมวลลดลง 4 แล เลขอ ตอมลดลง 2
ข. นิวเคลียสที่สลายให้อนุ าคบีตา มีเลขมวลเท่าเดิม แต่เลขอ ตอมเพิ่มข้น 1
ค. นิวเคลียสที่สลายให้รังสีแกมมา มีเลขมวลแล เลขอ ตอมเท่าเดิม แต่มีร ดับ
พลังงานลดลง

8. สาหรับการแ ร่ งั สีของ าตุกม


ั มันตรังสี ข้อความต่อไปนี้ ข้อใดถกต้อง
ก. าตุกม
ั มันตรังสีเมือ
่ แ ร่ งั สีแล กลายเปน าตุใหม่ าตุใหม่นอ
้ี า เปน าตุกม
ั มันตรังสีหรือเปน
าตุเสถียรก็ได้
ข. าตุกัมมันตรังสีมีการแ ่รังสีแอลฟา รังสีบีตา แล แกมมา ออกมาพร้อมกัน
ค. รังสีที่แ ่ออกมา าก าตุกัมมันตรังสีทุกชนิด เบี่ยงเบนในสนามแม่เหล็ก
ง. าตุที่เกิด ายหลังการแ ่รังสี มีเลขอ ตอมลดลง
แนวคำาตอบ
ข้อ ก. ถกต้อง
ข้อ ข. ไม่ถกต้อง เพรา าตุกม
ั มันตรังสี หลาย าตุสามารถสลายได้หลายทาง โดยอา
สลายให้รังสีชนิดเดียว หรือ อา สลายให้รังสี 2 ชนิดพร้อมกัน
ข้อ ค. ไม่ถกต้อง รังสีทแ่ี อ่ อกมา าก าตุกม
ั มันตรังสีไม่เบีย่ งเบนในสนามแม่เหล็ก เช่น
รังสีแกมมา
ข้อ ง. ไม่ถกต้อง เพรา าตุทเี่ กิด ายหลังการแ ร่ งั สีบางชนิด มีเลขอ ตอมเพิม
่ ข้น
เช่น าตุที่เกิด ายหลังการแ ่รังสีบีตา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 227

9. นิวเคลียส 216
84 Po สลายเปน 82 Pb แล นิวเคลียส 79 Au สลายเปน 80 Hg
212 198 198

ก. ในการสลายของแต่ล นิวเคลียสมีอนุ าคใดถกปล่อยออกมา


ข. งเขียนสมการการสลายของนิวเคลียสแต่ล นิวเคลียส
แนวคำาตอบ ก. ในการสลายของ 216
84 Po มีการปล่อยอนุ าคแอลฟาออกมา เนื่อง ากเลขมวล
ของ 212
82 Pb น้อยกว่าเลขมวลของ 84 Po อย่ 4
216

ส่วนในการสลายของนิวเคลียส 198
79 Au มีการปล่อยอนุ าคบีตาลบออกมา
เนื่อง ากเลขอ ตอมของ 198
80 Hg มากกว่าเลขอ ตอมของ 79 Au อย่ 1
198

ข. 216
84 Po 212
82 Pb + 24 He
198 198
79 Au 80 Hg + 01e e

10. โรงพยาบาลต่าง ใช้โคบอลต์ 60 (27


60
Co ในการฉายรังสียับยั้งเซลล์ม เร็ง เมื่อโคบอลต์ 60
แ ่รังสีแล้ว กลายเปนนิกเกิล 60 (60
28 Ni ซ่ง แ ่รังสีแกมมาต่อไปอีก
ก. งเขียนสมการนิวเคลียร์แสดงการสลายของโคบอลต์ 60 ไปเปนนิกเกิล 60
ข. รังสีที่ได้ ากการแ ่รังสีของโคบอลต์ 60 คือรังสีใด แล มีสมบัติอย่างไร
แนวคำาตอบ ก. 27
60
Co 60
28 Ni + 0
1 e e

ข. รังสีทไ่ี ด้ ากการแ ร่ งั สีของโคบอลต์ 60 คือรังสีบตี า มีปร ไุ ฟฟา 1e มีอานา ท ลุ


า่ นแ น
่ กร ดาษบาง ได้ แต่ท ลุ า่ นแ น
่ โลห บางไม่ได้ นอก ากนี้ ยังสามารถ
ทาให้อากาศแตกตัวเปนไอออนได้อก
ี ด้วย

11. ในกิ กรรม าลองการสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีด้วยการทอดลกบาศก์ โดยใช้ลกบาศก์


6 หน้าแต้มสีไว้ 2 หน้า เมื่อเขียนกราฟร หว่าง านวนลกบาศก์ที่เหลือกับ านวนครั้งที่ทอด
ได้กราฟ A ถ้าลกบาศก์นน
ั้ แต้มสีไว้เพียงหน้าเดียว กราฟทีไ่ ด้ เปนกราฟ B หรือ C งอ บ
ิ าย
นวนลกบาศก์

B
A
C
นวนครั้งที่ทอด
รูป ประกอบคำาถามข้อ 11

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
228 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

แนวคำาตอบ กราฟ B เพรา โอกาสที่ลกบาศก์ หงายหน้าแต้มสีน้อยลง การลดลงของ านวน


ลกบาศก์ที่เหลืออย่ งลดลงในอัตราที่ช้ากว่าในกรณีที่แต้มสีไว้ 2 หน้า

12. ถ้าเปรียบเทียบให้ลกบาศก์ 6 หน้าเปนนิวเคลียสของ าตุกม


ั มันตรังสี แล การหงายหน้าแต้มสีเปรียบ
ได้กบ
ั การสลายของนิวเคลียส งตอบคาถามต่อไปนี้
ก. คร่งชีวต
ิ ของ าตุกม
ั มันตรังสีเปรียบได้กบ
ั ปริมาณใดในการทอดลกบาศก์
ข. ถ้าลกบาศก์ชด
ุ หน่งมีการแต้มสี 2 หน้า ส่วนอีกชุดมีการแต้มสี 3 หน้า ลกบาศก์ชด
ุ ใด มีคร่งชีวต

มากกว่า เพรา เหตุใด
แนวคำาตอบ ก. คร่งชีวต
ิ ของ าตุกม
ั มันตรังสีเปรียบได้กบ
ั านวนครัง้ ทีท
่ อดลกบาศก์แล้วทาให้
เหลือลกบาศก์อย่ านวนคร่งหนีง่ ของ านวนเริม
่ ต้น
ข. ลกบาศก์ชุดที่มีการแต้มสี 2 หน้า มีคร่งชีวิตมากกว่าลกบาศก์ชุดมีการแต้มสี
3 หน้า เพรา ลกบาศก์ชุดที่มีการแต้มสี 2 หน้ามีโอกาสที่ สลายน้อยกว่า
ลกบาศก์ชด
ุ ทีม
่ ก
ี ารแต้มสี 3 หน้า อัตราการสลาย งช้ากว่า ทาให้เวลาทีใ่ ช้ใน
การลดลงเหลือคร่งหน่งของ านวนเริม
่ ต้นมากกว่า

13. ถ้าเปรียบเทียบให้เหรียญ 1 บาทเปนนิวเคลียสของ าตุกม


ั มันตรังสี แล การหงายด้านก้อยเปรียบ
ได้กบ
ั การสลาย ให้ตอบคาถามต่อไปนี้
ก. ค่าคงตัวการสลายหาได้ ากปริมาณใด
ข. ค่าคงตัวการสลาย มีคา่ เท่าใด
แนวคำาตอบ ก. ค่าคงตัวการสลายหาได้ ากโอกาสที่เหรียญ หงายด้านก้อยเมื่อโยนเหรียญ
ซ่งเท่ากับ านวนหน้าที่หงายด้านก้อยหารด้วย านวนหน้าทั้งหมดของเหรียญ
ข. ค่าคงตัวการสลาย มีค่า 1/2 หรือ 0.5

14. กัมมันต าพของ าตุกัมมันตรังสี มีความสัมพัน ์กับคร่งชีวิตอย่างไร


แนวคำาตอบ ยิง่ าตุกม
ั มันตรังสีมก
ี ม
ั มันต าพมาก ยิง่ มีคร่งชีวต
ิ สัน
้ เนือ
่ ง าก การมีกม
ั มันต าพ
มากแสดงว่ามีอัตราการแ ่รังสีมาก ดังนั้น งใช้เวลาในการแ ่รังสี นลดลงเหลือคร่งหน่งของ
ปริมาณเดิมได้เร็ว

15. ร บุป ัยที่มี ลต่ออัตราการแ ่รังสีของ าตุกัมมันตรังสีชนิดใดชนิดหน่ง


แนวคำาตอบ ป ัยที่มี ลต่ออัตราการแ ่รังสีของ าตุกัมมันตรังสีชนิดใดชนิดหน่งคือ ค่าคงตัว
การสลายแล านวนนิวเคลียสที่มีอย่ในขณ นั้น

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 229

16. งอ ิบายความแตกต่างร หว่างฟชชันกับฟวชัน


แนวคำาตอบ ฟชชันเปนการแยกออก ากกันของนิวเคลียสของ าตุหนัก ส่วนฟวชันเปนการรวมกัน
ของนิวเคลียสของ าตุเบา ทั้งนี้ ฟชชันต้องได้รับการกร ตุ้น ากอนุ าคอื่น แล สามารถเกิด
ข้นได้ในส าว อุณห มิแล ความดันปกติ ส่วนฟวชันไม่ตอ
้ งอาศัยอนุ าคอืน
่ มากร ตุน
้ แต่ตอ
้ ง
อาศัยส าว ที่มีอุณห มิแล ความดันสงมาก

17. งเติมสัญลักษณ์นิวเคลียร์ของ าตุ ไอโซโทปของ าตุ หรืออนุ าคที่เหมา สมลงในวงเล็บ เพื่อ


ทาให้ป ิกิริยานิวเคลียร์สมดุล
23 4 1
ก. 5 B ข.
10 4 1
2 He 1 H 11
Na 2
He 1
H
ค. ง.
4 35 1 4 40 1
2 He 17 Cl 1 H 2 He 20 Ca 1 H
. 4 Be ฉ. 4 Be
9 1 4 9 1 2
1
H 2
He 1
H 1
H
แนวคำาตอบ ก. 136 C Cข. 26
12 Mg Mgค. 32
16 S Sง. 37
19 K K . 63 Li Liฉ. 48 Be

18. พลังงานนิวเคลียร์ต่อมวลที่ได้ ากฟวชันร หว่างดิวเทอรอนกับทริทอนแตกต่าง ากพลังงาน


นิวเคลียร์ต่อมวลที่ได้ ากฟชชันของยเรเนียม 235 อย่างไร
แนวคำาตอบ พลังงานนิวเคลียร์ตอ่ มวลทีไ่ ด้ ากฟวชันร หว่างดิวเทอรอนกับทริทอน มีคา่ มากกว่า
พลังงานนิวเคลียร์ต่อมวลที่ได้ ากฟชชันของยเรเนียม 235 ปร มาณ เท่า

19. เหตุใด การทาให้เกิดฟวชันข้นบนโลก งยากกว่า ฟชชัน


แนวคำาตอบ เพรา การทาให้เกิดฟวชัน ต้องสร้างส าว ทีม
่ อ
ี ณ
ุ ห มิสงหลายล้านองศาเซลเซียส
หรือมีความดันมหาศาลมากกว่าความดันบรรยกาศหลายล้านเท่า งสามารถทาให้นวิ เคลียสของ
าตุเบาเคลือ
่ นทีเ่ ข้าหากันแล รวมกันได้ ในขณ ที่ การทาให้เกิดฟชชัน สามารถทาได้ในส าว
อุณห มิแล ความดันปกติิ

20. ถ้ามนุษย์สามารถควบคุมพลังงานนิวเคลียร์ ากฟวชันให้เปลีย


่ นเปนพลังงานไฟฟาในรปแบบที่
ใช้ปร โยชน์ได้ ช่วยแก้ปญหาด้านพลังงานแล สิ่งแวดล้อมได้อย่างไร
แนวคำาตอบ เนือ
่ ง ากการสร้างฟวชัน ใช้วต
ั ถุดิบที่หาได้ ากส่วนปร กอบของน้า ปญหาการ
ขาดแคลนแหล่งพลังงาน งได้รบ
ั การแก้ไข อีกทัง้ ฟวชันไม่มก
ี ารปล่อยแกสเรือนกร ก มลพิษ
หรือกากกัมมันตรังสี งสามารถช่วยแก้ปญหาด้านสิง่ แวดล้อม ากการ ลิตไฟฟาด้วยเชือ
้ เพลิง
ซากดกดาบรรพ์ได้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
230 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

21. อาหารที่ ่านการฉายรังสี มีอันตรายหรือไม่ อ ิบาย


แนวคำาตอบ อาหารที่ า่ นการฉายรังสีไม่มอ
ี น
ั ตราย เพรา เมือ
่ รังสีตกกร ทบอาหาร ถ่ายโอน
พลังงานให้กบ
ั โมเลกุลของอาหาร ไม่มก
ี ารตกค้างหรือปนเปอน เนือ
่ ง ากอาหารไม่มก
ี ารสัม สั กับ
าตุหรือไอโซโทปกัมมันตรังสี

22. รังสีที่มากเกินไป ทาให้เกิดความเสียหายทางชีว าพกับร่างกายมนุษย์อย่างไร


แนวคำาตอบ รังสีทม
่ี ากเกินไป สามารถไปทาลายโครงสร้างโมเลกุลของดีเอ็นเอในร่างกาย ซ่งส่ง ล
ให้ดเี อ็นเอ ด
ิ ปกติหรืออา ทาให้เซลล์ตายได้

23. ไอโซโทปกัมมันตรังสีทฉี่ ด
ี เข้าไปในร่างกายเพือ
่ การตรว วินิ ฉัยของแพทย์ ควรมีสมบัตท
ิ ส
ี่ าคัญ
อย่างไร ร บุมา 2 ข้อ
แนวคำาตอบ ไอโซโทปกัมมันตรังสีทฉ่ี ด
ี เข้าไปในร่างกาย ควรมีสมบัตด
ิ งั นี้
1. มีอต
ั ราการแ ร่ งั สีนอ
้ ย ในร ดับทีไ่ ม่เปนอันตรายต่อร่างกาย
2. มีคร่งชีวต
ิ ทีส่ น
้ั ไม่เกิน 2 3 วัน เพือ่ ที่ สลายไป นหมด ายในกีว่ น
ั แล ไม่มกี าร
ตกค้าง ายในร่างกาย

24. งบอกแนวทางปองกันอันตราย ากรังสีมาอย่างน้อย 3 แนวทาง


แนวคำาตอบ 1. เมื่อ าเปนต้องอย่ในบริเวณที่มีแหล่งกาเนิดรังสี ให้ใช้เวลาให้สั้นที่สุด
2. เมือ
่ ทราบว่า มีแหล่งกาเนิดรังสีในบริเวณใกล้เคียง ให้พยายามอย่หา่ ง ากแหล่ง
กาเนิดรังสีให้มากที่สุดเท่าที่ มากได้
3. ถ้า าเปนต้องอย่ใกล้แหล่งกาเนิดรังสีเปนเวลานาน ควรใช้วสั ดุทรี่ งั สีท ลุ า่ นได้
ยากมาเปนอุปกรณ์กาบังรังสี

25. สัญลักษณ์เตือน ัย ากรังสีทั้งสองดังรป มีความหมายแตกต่างกันอย่างไร

รูป ประกอบคำาถามข้อ 25

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 231

แนวคำาตอบ รปด้านซ้ายมือ แ ้งให้ ้พบเห็นทราบว่า มีแหล่งกาเนิดรังสีหรือรังสีในบริเวณนั้น


ควรร มัดร วังป ิบัติตามแนวทางปองกันรังสี ส่วนรปด้านขวามือ แ ้งให้ ้พบเห็นทราบว่า มี
แหล่งกาเนิดรังสีที่เปนอันตรายสงอย่ในบริเวณนั้น ควรรีบออกห่างทันทีี

26. ให้อ บ
ิ ายถงความ าเปนทีต่ อ้ งใช้เครือ่ งเร่งอนุ าคในการศกษาอนุ าคมล าน โดยใช้แนวคิดทวิ าว
ของคลืน
่ แล อนุ าคของเดอบรอยล์
แนวคำาตอบ การทีอ
่ นุ าคได้รบ
ั การเร่งให้มค
ี วามเร็วสง ทาให้อนุ าคมีโมเมนตัมสง แล าก
h
สมการความยาวคลื่นเดอบรอยล์ อนุ าคที่มีโมเมนตัมสง มีความยาวคลื่นสั้นมาก
p
งทาให้สามารถใช้ศกษาองค์ปร กอบที่เล็กมากยิ่ง ข้นได้

27. อนุ าคใดต่อไปนี้ เปนอนุ าคมล าน


ก. บีตาลบ ข. ดิวเทอรอน ค. โปรตอน ง. เลปตอน . มีซอน ฉ. ดับเบิลยโบซอน
แนวคำาตอบ ก. แล ฉ. เปนอนุ าคมล าน ส่วน ง. เปนชือ
่ ของกลุม
่ อนุ าคมล าน

28. แรงนิวเคลียร์เปนแรงพืน
้ านหรือไม่ งอ บ
ิ าย
แนวคำาตอบ แรงนิวเคลียร์ไม่เปนแรงพืน
้ าน เนือ
่ ง ากแรงนิวเคลียร์เปนแรงร หว่างนิวคลีออน
ในนิวเคลียส ซ่งไม่ใช่อนุ าคมล าน แรงนิวเคลียร์เปน ลข้างเคียงที่เกิด ากแรงเข้มร หว่าง
ควาร์ก ายในนิวคลีออน

29. ในแบบ าลองมาตร าน อันตรกิริยาร หว่างอนุ าคมล านเกิดข้นได้อย่างไร


แนวคำาตอบ อันตรกิริยาร หว่างอนุ าคมล านเกิด ากการแลกเปลี่ยนอนุ าคสื่อแรง

30. อันตรกิริยาต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับอนุ าคสื่อแรงชนิดใด


ก. การยดเหนี่ยวกันของควาร์กในไพออน
ข. การที่ควาร์กเปลี่ยนชนิดในการสลายให้บีตาลบ
ค. การ ลักกันร หว่างอนุ าคแอลฟากับนิวเคลียส
ง. การยดเหนี่ยวกันร หว่างนิวคลีออนในนิวเคลียส
แนวคำาตอบ ก. กลออน
ข. ดับเบิลยโบซอนลบ
ค. โฟตอน
ง. มีซอน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
232 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

31. การรักษาม เร็งด้วยวิ ีการบาบัดด้วยโปรตอน มีข้อดีอย่างไร ให้ร บุมา 2 ข้อ


แนวคำาตอบ การรักษาม เร็งด้วยวิ ีการบาบัดโปรตอนทาให้เนื้อเยื่อดีบริเวณใกล้เซลล์ม เร็ง
ได้รบ
ั ลข้างเคียงน้อยกว่า แล เนือ้ เยือ่ ดีสว่ นทีไ่ ด้รบ
ั รังสีมป
ี ริมาณน้อยกว่า การรักษาด้วยรังสีเอกซ์

32. ยกตัวอย่าง ปร โยชน์ที่ได้ ากการค้นคว้าวิ ัยด้านฟสิกส์อนุ าคในด้านอุตสาหกรรมแล ด้าน


ความปลอด ัยมาอย่างน้อยด้านล 1 ตัวอย่าง
แนวคำาตอบ ด้านอุตสาหกรรม เช่น การ ลิตชิปในคอมพิวเตอร์ทม
ี่ ป
ี ร สิท ิ าพสงข้นแต่ราคา
ต่าลง ส่วนด้านความปลอด ัย เช่น การตรว วัตถุอันตรายด้วยรังสีเอกซ์ที่กาเนิดมา ากการเร่ง
อนุ าค

ปญหา

กาหนดให้
มวล 1 u เท่ากับ 1.66 × 10-27 กิโลกรัม
มวล 1 u เทียบเท่ากับพลังงาน 931.5 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
พลังงาน 1 อิเล็กตรอนโวลต์ เท่ากับ 1.6 × 10-19 ล
มวลอ ตอมของไ โดรเ นเท่ากับ 1.007825 u
มวลของโปรตอนเท่ากับ 1.007276 u
มวลของนิวตรอนเท่ากับ 1.008665 u
มวลของอิเล็กตรอนเท่ากับ 0.000549 u
กาหนด 1 ปี เท่ากับ 3.15 × 107 วินาที
ค่าคงตัวอาโวกาโดร A มีค่าเท่ากับ 6.023 × 1023 อ ตอมต่อโมล
กัมมันต าพ 1 ครีเท่ากับ 3.7 × 1010 เบ็กเคอเรล

1. งคานวณส่วนพร่องมวล พลังงานยดเหนีย่ ว แล พลังงานยดเหนีย่ วต่อนิวคลีออน ของนิวเคลียส


ของ าตุแล ไอโซโทปต่อไปนี้
ก. ลิเทียม 7 73 Li มวลอ ตอมเท่ากับ 7.016005 u
ข. โพแทสเซียม 39 39
19 K มวลอ ตอมเท่ากับ 38.963710 u
ค. แคดเมียม 114 114
48Cd มวลอ ตอมเท่ากับ 113.903361 u

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 233

วิธีทาำ ก. อ ตอมของ 73 Li ปร กอบด้วยโปรตอน 3 โปรตอน อิเล็กตรอน 3 อิเล็กตรอน แล


นิวตรอน 4 นิวตรอน
หาส่วนพร่องมวล ากสมการ
Δm = [Zmp + (A − Z)mn + Zme − mLi-7
แทนค่า ได้
Δm = 3(1.007276 (1.008665 3(0.0005 − 7.016005
= 0.042130 u
หาพลังงานยดเหนี่ยวที่เทียบเท่ากับส่วนพร่องมวล
E = 0.04213 u 931.5 MeV/u)
= 39.244095 MeV
นิวเคลียสของลิเทียมมีนิวคลีออน A เท่ากับ 7
ดังนั้นพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนเท่ากับ
E 39.244095 MeV
A 7 nucleons
= 5.606299 MeV/nucleons
ข. อ ตอมของ 39
19 K ปร กอบด้วยโปรตอน 19 โปรตอน อิเล็กตรอน 19 อิเล็กตรอน แล

นิวตรอน 20 นิวตรอน
หาส่วนพร่องมวล ากสมการ
Δm = [Zmp + (A − Z)mn + Zme − mK-39
แทนค่า ได้
Δm = 1 (1.007276 20(1.008665 1 (0.0005 − 38. 63710
= 0.347834 u
หาพลังงานยดเหนี่ยวที่เทียบเท่าส่วนพร่องมวล
E = 0.347834 u 931.5 MeV/u)
= 324.0074 MeV
นิวเคลียสของโพแทสเซียมมีนิวคลีออน A เท่ากับ 39
ดังนั้นพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนเท่ากับ
E 324.0074 MeV
A 39 nucleons
= 8.308 MeV/nucleons

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
234 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ค. อ ตอมของ 114
48 Cd ปร กอบด้วยโปรตอน 48 โปรตอน อิเล็กตรอน 48 อิเล็กตรอน
แล นิวตรอน 66 นิวตรอน
หาส่วนพร่องมวล ากสมการ
Δm = [Zmp + (A − Z)mn + Zme − mCd-114
แทนค่า ได้
Δm = 8(1.007276 66(1.008665 8(0.0005 − 113. 03361
= 11 . 7 0 − 113. 03361
= 1.044129 u
หาพลังงานยดเหนี่ยวที่เทียบเท่าส่วนพร่องมวล
E = 1.044129 u 931.5 MeV/u)
= 972.606635 MeV
นิวเคลียสของแคดเมียมมีนิวคลีออน A เท่ากับ 114
ดังนั้นพลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนเท่ากับ
E 972.6061635 MeV
A 114 nucleon
= 8.53 MeV/nucleons
ตอบ ก. ลิ เ ที ย ม 7 มี ส่ ว นพร่ อ งมวล 0.042130 u มี พ ลั ง งานยดเหนี่ ย ว 39.24 MeV
แล พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน 5.606 MeV ต่อนิวคลีออน
ข. โพแทสเซียม 39 มีส่วนพร่องมวล 0.347834 u พลังงานยดเหนี่ยว 324.0 MeV
แล พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน 8.308 MeV ต่อนิวคลีออน
ค. แคดเมียม 114 มีส่วนพร่องมวล 1.044129 u พลังงานยดเหนี่ยว 972.6 MeV
แล พลังงานยดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน 8.53 MeV ต่อนิวคลีออน
60
2. นิวเคลียสของนิกเกิล 60 28 Ni มีพลังงานยดเหนี่ยว 526.80 เมก อิเล็กตรอนโวลต์ งหามวล
อ ตอมนิกเกิล 60
วิธีทาำ ถ้า EB เปนพลังงานยดเหนี่ยวของ 60
28 Ni แล Δm เปนส่วนพร่องมวล ได้
EB = Δm (931.5 Mev/u)
526.80 MeV
ดังนั้น m
931.5 MeV/u
= 0.565539 u
ถ้า M เปนมวลอ ตอมของ 60
28 Ni ได้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 235

Δm = มวลขององค์ปร กอบของอ ตอม 60


28 Ni − M

0.565539 u = 28 1.044129 u (60 −28 (1.008665 28(0.0005 8 −M


M = 28.203728 32.27728 0.015372 − 0.56553
= 59.930841 u

ตอบ มวลอ ตอม 60


28 Ni เท่ากับ 59.930841 u

3. พลั ง งานยดเหนี่ ย วต่ อ นิ ว คลี อ อนของนิ ว เคลี ย สแมกนี เ ซี ย ม 24 24


12 Mg เท่ า กั บ 8.26
เมก อิเล็กตรอนโวลต์ต่อนิวคลีออน งหาส่วนพร่องมวลของนิวเคลียสแมกนีเซียม 24
วิธีทาำ นิวเคลียสของแมกนีเซียม 24 มีนิวคลีออน A เท่ากับ 24
ดังนั้น นิวเคลียสของแมกนีเซียม 24 มีพลังงานยดเหนี่ยวเท่ากับ
E = 8.26 MeV/nucleon)(24)
= 198.24 MeV
หาพลังงานยดเหนี่ยวที่เทียบเท่าส่วนพร่องมวล ากสมการ
E = Δm)(931.5 MeV/u)
ัดรปใหม่ แล แทนค่า ได้
198.24 MeV
m
931.5 MeV/u
= 0.212828 u
ตอบ ส่วนพร่องมวลของนิวเคลียสแมกนีเซียม 24 เท่ากับ 0.213 u

4. สมการต่อไปนี้แสดงการสลายของต กั่ว 210


210 A 0
82 Pb ZX + 1e

ก. A แล Z มีค่าเท่าใด
ข. X เปนนิวเคลียสของ าตุใด
วิธีทาำ ก. ากสมการ 210
82 Pb
A
ZX + 0
1e

เนื่อง าก ลรวมของเลขมวลก่อนป ิกิริยาแล หลังป ิกิริยาเท่ากัน


ดังนั้น 210 = A + 0
A = 210
แล ลรวมของเลขอ ตอมก่อนป ิกิริยาแล หลังป ิกิริยาเท่ากัน
ดังนั้น 82 = −1
Z = 83

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
236 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ข. ากตาราง าตุ X เปนนิวเคลียสของ าตุบิสมัท 210


83 Bi

X เปนนิวเคลียสของ าตุบิสมัท
ตอบ ก. A เท่ากับ 210 แล Z เท่ากับ 83
ข. X เปนนิวเคลียสของ าตุบิสมัท
238
5. ในการสลายของนิวเคลียสยเรเนียม 238 92 U ได้นิวเคลียสสุดท้ายที่เสถียรคือ นิวเคลียส
ของต กั่ว ซ่งการสลายของนิวเคลียสยเรเนียม 238 นี้ ได้อนุ าคแอลฟา 8 อนุ าคแล
อนุ าคบี ต า 6 งหาเลขอ ตอมแล เลขมวลของนิ ว เคลี ย สต กั่ ว ที่ ไ ด้ ากการสลายของ
นิวเคลียสยเรเนียม 238
วิธีทาำ ถ้านิวเคลียสของ าตุกม
ั มันตรังสีสลายให้แอลฟา 42 He ทาให้นวิ เคลียสนัน
้ มีเลขอ ตอม
ลดลง 2 ส่วนเลขมวลลดลง 4 ส่วนนิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสีที่สลายให้บีตา 0
1e

ทาให้นวิ เคลียสนัน
้ มีเลขอ ตอมเพิม
่ ข้น 1 ส่วนเลขมวลคงเดิม ดังนัน
้ นิวเคลียสยเรเนียม 238
สลายให้อนุ าคแอลฟา 8 อนุ าค แล อนุ าคบีตา 6 อนุ าค แล้วได้นวิ เคลียสเสถียรคือ
ต กั่วให้ Z แล A เปนเลขอ ตอมแล เลขมวลของต กั่วตามลาดับ ได้
Z = 2 − (8 2 6
= 82
เลขอ ตอมของต กั่วเท่ากับ 82
A = 238 − (8 0
= 206
เลขมวลของต กั่วเท่ากับ 206
สัญลักษณ์ของนิวเคลียสสุดท้ายก็คือ
ตอบ เลขอ ตอมแล เลขมวลของต กัว่ เท่ากับ 82 แล 206 ตามลาดับ
238
6. ในอนุกรมการสลายของยเรเนียม 238 92 U มีทั้งการสลายให้แอลฟา บีตาแล แกมมา นได้
าตุสุดท้ายเปนต กั่ว 206 206
82 Pb ถ้าในอนุกรมการสลาย พบว่ามีการปล่อยอนุ าคแอลฟา
ออกมา 8 อนุ าค การสลายนี้ มีการปล่อยอนุ าคบีตาออกมากี่อนุ าค
วิธีทาำ ในการปล่อยอนุ าคแอลฟา 1 อนุ าค 42 He เลขมวล A หรือ านวนนิวคลีออน ลดลง
4 แล เลขอ ตอม Z หรือ านวนโปรตอน ลดลง 2 ส่วนการปล่อยอนุ าคบีตา 1
อนุ าค 0
1e มีเลขอ ตอม Z หรือ านวนโปรตอนเพิ่มข้น 1
ถ้าการสลายของยเรเนียม 238 ตลอดอนุกรมมีการปล่อยอนุ าคแอลฟา 8 อนุ าค
ซ่งแต่ล ครั้ง มี านวนโปรตอนลดลง 2 โปรตอน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 237

ดังนั้น านวนโปรตอนทั้งหมดที่ลดลง = 8 × 2 = 16 ตัว


หลัง ากยเรเนียม 238 ปล่อยอนุ าคแอลฟา 8 อนุ าค
เหลือโปรตอน = 92 – 16 = 76 อนุ าค
แต่ าตุสุดท้ายเปนต กั่ว 206 206
82 Pb ซ่งมี านวนโปรตอน 82 อนุ าค
แสดงว่าในการเปลี่ยนเปนต กั่ว 206 ต้องมี านวนโปรตอนเพิ่มข้น
82 – 76 = 6 อนุ าค
นั่นคือ ต้องมีการปลดปล่อยอนุ าคบีตา 6 อนุ าค
ในอนุกรมการสลายนี้ มีการปลดปล่อยอนุ าคบีตา 6 อนุ าค
ตอบ การสลายนี้ มีการปล่อยอนุ าคบีตาออกมา 6 อนุ าค

7. สมการการสลายต่อไปนี้ เปนบางส่วนของอนุกรมการสลายของทอเรียม 232


232 A1 A2 A3 A4 A5
90Th Z1 Ra Z2 Ac Z3 X Z4Y Z5 Rn ...

งหา ค่า A1 ถง A5 แล Z1 ถง Z5 พร้อมทั้งร บุว่า X แล Y เปนนิวเคลียสของ าตุใด


วิธีทาำ การสลายให้อนุ าคแอลฟา เลขอ ตอมลดลง 2 แล เลขมวลลดลง 4 ส่วนการสลายให้
อนุ าคบีตา เลขอ ตอมเพิม
่ ข้น 1 แล เลขมวลไม่เปลีย่ นแปลง ดังนัน
้ ากสมการการสลาย
ข้างต้น ได้
232 228 228 228 224 220
90Th 88 Ra 89 Ac 90 X 88Y 86 Rn ...

ากตาราง าตุ าตุทม


่ี เี ลขอ ตอม 90 แล 88 คือทอเรียม Th แล เรเดียม Ra ตามลาดับ
ดังนั้น X คือ นิวเคลียสของ าตุทอเรียม แล Y คือ นิวเคลียสของ าตุเรเดียม
ตอบ A1 เท่ากับ 228 A2 เท่ากับ 228 A3 เท่ากับ 228
A4 เท่ากับ 224 A5 เท่ากับ 220
Z1 เท่ากับ 88 Z2 เท่ากับ 89 Z3 เท่ากับ 90
Z4 เท่ากับ 88 Z5 เท่ากับ 86
X เปนนิวเคลียสของ าตุทอเรียม แล Y เปนนิวเคลียสของ าตุเรเดียม

8. ในการทดลองอุปมาอุปมัยการทอดลกบาศก์กบ
ั การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี ถ้าลกบาศก์มี
20 หน้า แล มีหน้าที่แต้มสีไว้ 3 หน้า
ก. งหาโอกาสที่ลกบาศก์ หงายหน้าที่แต้มสีไว้
ข. ถ้าใช้ลกบาศก์เดียวกันนี้ านวน 200 ลกมาทดลอง แล้วคัดลกบาศก์ที่หงายหน้าแต้มสีออก
งหา านวนครั้งของการทอดที่ทาให้ลกบาศก์เหลือปร มาณ 50 ลก

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
238 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

วิธีทาำ ก. โอกาสทีล่ กบาศก์ หงายหน้าทีแ่ ต้มสีหาได้ ากอัตราส่วนร หว่าง านวนหน้าทีแ่ ต้มสี


กับ านวนหน้าทั้งหมดของลกบาศก์ 2
ดังนั้น โอกาสที่ลกบาศก์ หงายหน้าที่แต้มสี
17 เท่ากับ 3 17 17
N0 N0 N0
20 20 20 20
ข. ถ้าเดิมมีลกบาศก์ 0 ลก 2
17 3 17 17
ทอดครั้งแรก ลกบาศก์ที่ถกคัดออกปรNมาณ 0 0 N 0 N0
20 20 20 2 20
17 3 17 17
ทอดไป 1 ครั้ง เหลือลกบาศก์
N 0 ปร มาณ N0 0 N0
20 20 20 20 2
17 3 17 17
ทอดครั้งที่สอง ลกบาศก์ที่ถกคัดออกปร มาณN0 N0 N0
20 20 20 20
2
17 3 17 17
ทอดไป 2 ครั้ง เหลือลกบาศก์ปร มาณ N0 N0 N0
20 20 20 20
t
17
ดังนั้น ทอดไป t ครั้ง เหลือลกบาศก์ปร มาณ N N0 a
20
หา านวนครั้งของการทอดที่ทาให้ลกบาศก์เหลือปร มาณ 50 ลก
1 1
ซ่ง 50 200
2 2
เห็นว่า ถ้าให้ T1/2 เปน านวนครัง้ ทีท
่ อดแล้วทาให้เหลือลกบาศก์ปร มาณคร่งหน่ง
N0
ของ านวนที่เริ่มทอด หรือ
2
การทอดลกบาศก์เปน านวน 2T1/2 ครัง้ โดยทีเ่ ริม ่ ต้นมีลกบาศก์ 200 ลก ทาให้เหลือ
1 1
ลกบาศก์ปร มาณ 200 50 ลก
2 2
หา T1/2 โดยใช้สมการ a
N0
ถ้าทอดไป T1/2 ครั้ง ทาให้เหลือลกบาศก์ปร มาณคร่งหน่งของ านวนที่เริ่มทอด
2
แทนลงในสมการ a ได้
T1 / 2
N0 17
N0
2 20
T1 / 2
20
2
17
20
T1 / 2 log log 2
17
log 2
T1 / 2
log 20 log17
T1 / 2 4.265

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 239

ดังนั้น านวนครั้งที่ทอดที่ทาให้ลกบาศก์เหลือปร มาณ 50 ลก


t = 2T1/2
= 2(4.265) = 8.5 ครั้ง 2
17 3 17 17
ตอบ ก. โอกาสที่ลกบาศก์หงายหน้าที่แต้มสีไว้นั้นN
เท่0ากับ N0 N0
20 20 20 20
ข. โดยเฉลี่ยต้องทอดลกบาศก์ 9 ครั้ง ง เหลือลกบาศก์ปร มาณ 50 ลก

9. ในการทดลองหาคร่งชีวต
ิ ของ าตุกม
ั มันตรังสี โดยใช้เครือ
่ งนับไกเกอร์วด
ั กัมมันต าพ ได้ ลการ
ทดลองดังข้อมลในตาราง

เวลาวัดจากเริม่ ตน (นาที) 0 2 4 6 8 10 12

กัมมันตภาพทีว่ ดั ได (ตอวินาที) 116 96 80 69 58 50 44

คร่งชีวิตของ าตุกัมมันตรังสีนี้มีค่าปร มาณเท่าใด แล เมื่อเวลา ่านไป 20 นาที ตรว วัด


กัมมันต าพได้ปร มาณเท่าใด
วิธีทาำ เริ่มต้นที่เวลา t = 0 s กัมมันต าพ A0 = 116 s-1
เมื่อเวลา ่านไปเท่ากับคร่งชีวิต t = T1/2 กัมมันต าพ ลดลงเหลือคร่งหน่งของ
A0 116 s-1
กัมมันต าพเริ่มต้น หรือ A ซ่งในที่นี้ A 58 s-1
2 2
ากตาราง กัมมันต าพที่วัดได้เหลือ 58 ต่อวินาที เมื่อเวลา ่านไป 8 นาที
ดังนั้น คร่งชีวิตของ าตุกัมมันตรังสีนี้คือ 8 นาที
แล เมื่อเวลา ่านไป 20 นาที หากัมมันต าพได้โดยพิ ารณาได้ดังนี้
t
A A0e a
ln 2
หาค่าคงตัวการสลาย ากสมการ
T1
ln 2
2

b
8 min
แทน t = 20 min แล าก b ลงใน a ได้
ln 2
( )(20min)
A (116 s 1)( e 8min
)
-1 -(0.693)(2.5)
= (116 s )(e )
-1 -1.7325
= (116 s )(e )
-1
= (116 s )(0.176842)

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
240 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

= 20.5136 s-1
ตอบ คร่งชีวิตของ าตุกัมมันตรังสีนี้คือ 8 วินาที แล เมื่อเวลา ่านไป 20 นาที ตรว วัด
กัมมันต าพได้ปร มาณ 20.5 ต่อวินาที

10. นาลกบาศก์ทม
ี่ ห
ี น้า 10 หน้า โดยมีหน้าแต้มสี 2 หน้า านวน 60 ลก มาทอดแล้วคัดลกทีห
่ งายหน้า
1
แต้มสีออก ต้องทอดลกบาศก์ปร มาณกีค ่ รัง้ งเหลือลกบาศก์ปร มาณ ของ านวนลกบาศก์
4
เริ่มต้น
วิธีทำา เนื่อง ากลกเหลี่ยมมี 10 หน้า แต่แต้มสีไว้เพียง 2 หน้า ดังนั้นโอกาสในการหงายหน้าที่
2
แต้มสีเท่ากับ นั่นคือ ค่าคงตัวการสลาย = 0.2
10 0.693
ากสมการ T1/ 2
0.693
ได้ T1/ 2
0.2
= 3.5
ากความสัมพัน ์ร หว่าง านวนนิวเคลียสที่เหลืออย่ กับ านวนนิวเคลียสเริ่มต้น
0 เมื่อเวลา ่านไป t = nT1
N0
N
2n
1
เมื่อทอดลกบาศก์ นเหลือลกบาศก์ปร มาณ ได้
4
N0 N0
4 2n
n = 2
ดังนั้น t = nT1
= 2(3.5)
= 7
1
ต้องทอดลกเหลีย่ มชนิด 10 หน้า 7 ครัง้ งเหลือลกเหลีย่ ม ของ านวนลกเหลีย่ มเริม
่ ต้น
4
ตอบ 7 ครั้ง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 241

11. การฉายรังสีเพื่อรักษาโรคม เร็งต้องใช้โคบอลต์ 60 60


27 Co ที่มีกัมมันต าพ 0.1 มิลลิครี
งหามวลของ โคบอลต์ 60 กาหนดคร่งชีวิตของโคบอลต์ 60 เท่ากับ 5.26 ปี
ln 2
วิธีทำา หาค่าคงตัวการสลายของโคบอลต์ 60 ากสมการ T1/2
ัดรปสมการ แล แทนค่า T1/2 = 5.26 ปี ได้
ln 2
T1/2
0.693
5.26 year
0.693
(5.26 365 24 60 60) s
4.2 10 9 s 1
โคบอลต์ 60 มีกัมมันต าพ A เท่ากับ 0.1 mCi = 3.7 × 106 Bq
ากสมการ A =
ในที่นี้ A = 3.7 × 106 Bq , = 4.2 × 10-9s-1
แทนค่า ได้ 3.7 × 106 s-1 = 4.2 × 10-9s-1
= 8.81 × 1014
ากค่าคงตัวอาโวกาโดร = 6.023 × 1023 mol-1
ดังนั้นโคบอลต์ 60 านวน 1 โมล หรือ 6.023 × 1023 อนุ าค มีมวล 60 กรัม
หรือ 60 × 10-3 kg
นั้นคือ ถ้าโคบอลต์ 60 านวน 8.81 × 1014 อนุ าค มีมวล m เท่ากับ
(8.81 1014 )(60 10 3 kg)
m
6.023 10 23
8.78 10 11 kg
8.78 10 8 g
ตอบ มวลของโคบอลต์ 60 เท่ากับ 8.78 × 10-8 กรัม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
242 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

12. เรดอน 222 222


86 Rn มีคร่งชีวิต 3.82 วัน ถ้าเริ่มต้นมีเรดอน 222 ปริมาณ 1.0 มิลลิกรัม
กัมมันต าพของเรดอนมีค่าเท่าใด
วิธีทำา เรดอน 222 1 โมล มีมวล 222 กรัม แล านวนอ ตอม 6.023 × 1023
ดังนั้น เรดอน 222 1 มิลลิกรัม มี านวนอ ตอม
(6.023 10 23)(1 10 6 kg)
N
222 10 3 kg
= 2.71 × 1018
ln 2
หาค่าคงตัวการสลาย าก
T1
2

แทนค่า T1/2 = 3.82 วัน โดยแปลงให้อย่ในหน่วยวินาที ได้


ln 2
T1/2
0.693
(3.82 24 60 60) s
ากสมการ A =
แทนค่า = 2.71 × 1018 แล ข้างต้น ได้
0.693
A (2.71 1018 )
(3.82 24 60 60) s
= 5.69 × 1012 s-1
= 5.69 × 1012 Bq
ตอบ กัมมันต าพของเรดอนมีค่า 5.7 × 1012 เบ็กเคอเรล
31
13. าตุกัมมันตรังสีปริมาณหน่ง เมื่อทิ้งไว้ 6 ชั่วโมง พบว่าสลายไป
N (เท่
N0า)ของปริมาณเดิม งหา
32
คร่งชีวิตของ าตุกัมมันตรังสีนี้
วิธีทำา หาคร่งชีวิตของ าตุกัมมันตรังสีเมื่อเวลา ่านไป t ใด ากสมการ t = nT1/2
ให้ 0 เปน านวนนิวเคลียสกัมมันตรังสีในตอนเริ่มต้น
31
Δ เปนนิวเคลียสกัมมันตรังสีที่สลาย N ( N0 )
32
เปน านวนนิวเคลียสเหลืออย่ เมื่อเวลา ่านไป t
ได้ N N0 N
31
N0 ( N0 )
32
1
N ( N0 ) a
32
N0
N
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2n
1 N0
ฟิสิกส์ เล่ม 6 N N่ 20
บทที 0 ฟิN
สิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 243
31
N0 ( N0 )
32
1
N ( N0 )
32
N0
ากสมการ N
2n
1 N0
แทนค่า าก a ได้ ( N0 )
32 2n
N0 N0
25 2n
ดังนั้น n = 5
ากสมการ t = nT1/2
ในที่นี้ t = 6 h , n = 5
แทนค่า ได้ 6 = 5(T1/2)
T1/2 = 1.2 h
60min
(1.2 h)( )
1h
= 72 min
ตอบ คร่งชีวิตของสารกัมมันตรังสีเท่ากับ 72 นาที

14. าตุกม
ั มันตรังสี X มี านวนอ ตอม 8 × 1013 อ ตอม แล มีคร่งชีวต
ิ 10 ปี สลายไปเปน าตุ Y
ที่เสถียร หลัง ากเริ่มสลายไปแล้ว 30 ปี าตุ X แล Y มี านวนอ ตอมเปนเท่าใด
วิธีทำา คร่งชีวิตของ าตุกNัมมันตรัNง0 สี XNคือ 10 ปี หรือ T1/2 = 10 ปี
เมื่อเวลา ่านไป t 30 ปีNซ่งเท่31 ากับ( N30 )เท่าของครี่งชีวิตของ าตุ X
0
ได้ t = 3T11/2 32
N ( N0 )
หา านวนอ ตอมที่เหลือ32 เมื่อเวลา ่านไป เท่าของคร่งชีวิต ากสมการ
N0
N
2n
แทนค่า = 1 8 × 10 อN0ตอมแล n = 3 ได้
13
( N0 ) n
32 82 1013
NN N0 3
0
2
2 = 12n× 1013 อ ตอม
5

นั่นคือ าตุ X มี านวนอ ตอมเหลือ 1 × 1013 อ ตอม


ดังนั้น มี าตุ Y เกิดข้น านวน 8 × 1013 − 1 × 1013 = 7 × 1013
ตอบ หลัง ากสลายไป 30 ปี มี าตุกัมมันตรังสี X เหลือ 1 × 1013 อ ตอม
มี าตุ Y เกิดข้น 7 × 1013 อ ตอม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
244 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

15. ซีนอน 135 135


54 Xe เปน าตุกัมมันตรังสีซ่งมีคร่งชีวิต 9 ชั่วโมง เมื่อเวลา ่านไป 10 ชั่วโมง
เหลือ านวนนิวเคลียสซีนอน 135 เท่าใดของ านวนเริ่มต้น กาหนด e-0.77 เท่ากับ 0.463
วิธีทำา ถ้า 0 เปน านวนนิวเคลียสซีนอน 135 ตอนเริ่มต้น แล เปน านวนนิวเคลียส
ซีนอน 135 หลังการสลาย
ากสมการการสลาย N = N0e t ได้
N t
e a
N0
0.693
ากสมการ
T1/2
0.693
ได้
T1/2
0.693
9h
= 0.077 h-1
แล t = (0.077 h-1)(10h)
= 0.77
แทนค่า t ในสมการ a ได้
N 0.77
e
N0
= 0.463
= 0.463 0

ตอบ เหลือ านวนนิวเคลียสซีนอน 135 เท่ากับ 0.463 เท่าของ านวนเริ่มต้น

16. าตุกม
ั มันตรังสีชนิดหน่งมีคร่งชีวต
ิ 10 ชัว่ โมง เริม
่ ต้นมี านวนนิวเคลียส 0 แล เมือ่ เวลา า่ นไป
t นิวเคลียสของ าตุกัมมันตรังสีนี้ สลายให้นิวเคลียสใหม่ ถ้า เปน านวนนิวเคลียสที่เหลือ
N
ก. งหาอัตราส่วนร หว่าง เมื่อeเวลา
0.77
่านไป 0, 10, 20, 30 แล 40 ชั่วโมง
N0
N
ข. งเขียนกราฟแสดงความสัมพัน ์ร หว่าง กับ e เมื ่อเวลา ่านไปนาน 40 ชั่วโมง
0.77

N0
N
ค. ากกราฟที่ได้ในข้อ ก. งปร มาณเวลาที่ทาให้ = e0.400.77

N0

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 245

N
วิธีทำา ก. เมื่อเวลา t = 0 ชั่วโมง 1
N0
N 1
t = 10 ชั่วโมง 0.5
N0 2
N 1
t = 20 ชั่วโมง 0.25
N0 4
N 1
t = 30 ชั่วโมง 0.125
N0 8
N 1
แล t = 40 ชั่วโมง 0.0625
N0 16
N
ข. เขียนกราฟแสดงความสัมพัน ์ร หว่าง กับ t ได้ดังนี้
N0
N/N0
1.0

0.5

0.4
0.25

0.125
t (h)
10 20 30 40
t = 12.5 h

N
ค. ากกราฟ เวลาที่ทาให้ = 0.40 มีค่าปร มาณ 12.5 ชั่วโมง
N0
ตอบ ก. 1, 0.5, 0.25, 0.125 แล 0.0625
ข. เขียนกราฟได้ดังรป
ค. 12.5 ชั่วโมง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
246 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

17. โพแทสเซียม 44 44
19 K มีคร่งชีวต
ิ 20 นาที สลายให้แคลเซียม 44 44
20 Ca ซ่งเปนไอโซโทปเสถียร
ถ้ามีโพแทสเซียม 44 ปริมาณ 10.0 มิลลิกรัม งหาว่า
ก. มีโพแทสเซียม 44 กี่นิวเคลียส
ข. เริ่มต้น โพแทสเซียม 44 มีกัมมันต าพเท่าใด
ค. เมื่อเวลา ่านไป 1 ชั่วโมง โพแทสเซียม 44 มีกัมมันต าพเท่าใด
ง. เมื่อเวลา ่านไป 1 ชั่วโมง อัตราส่วนร หว่างอ ตอมโพแทสเซียม 44 ต่ออ ตอม
แคลเซียม 44 เปนเท่าใด
วิธีทำา ก. โพแทสเซียม 44 านวน 1 โมล มีมวล 44 g แล านวนนิวเคลียส 6.023 × 1023
ดังนั้นโพแทสเซียม 44 ปริมาณ 10 × 10-6 kg มี านวนนิวเคลียส
(6.023 1023 )(10 10 6 kg )
N
44 10 3 kg
= 1.37 × 1020
ข. ากสมการ A =
ln 2
ณ เวลาเริ่มต้น A0 N0
T1/2
0.693
(1.37 1020 )
20 60 s
= 7.91 × 1016 Bq
ค. เมื่อเวลา ่านไปN1 ชั่วโมง
N 0 หรือN60 นาที ได้
t = 3N× 2031นาที ( N0 )
0
= 3T11/2 32
N ( N0 )
หา านวนนิวเคลียสที่เหลื 32ออย่ เมื่อเวลา ่านไปเปน n เท่าของคร่งชีวิตได้ าก
N0
N
2n
แทนค่า n 1=( N3 แล N=0 1.37 × 1020 ได้
0)
32 2n 1020
1.37
NN0 N0 23
5
2 = 0.17 2n × 1020
ln 2
หาค่าคงตัวการสลาย โดย T1/2 เท่ากับ 20 นาที
T1
2

0.693
แทนค่า ได้
20 60 s

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 247

หากัมมันต าพเมื่อเวลา ่านไป 20 นาที ากสมการ A =


แทนค่า ได้
0.693
A = (0.17 1020 )
20 60 s
= 9.82 × 1015 Bq
ง. วิ ีที่ 1 ากข้อ ค. เมื่อเวลา ่านไป 1 ชั่วโมง อ ตอมโพแทสเซียมที่เหลือเท่ากับ
0.17 × 1020 ดังนั้น อ ตอมแคลเซียมซ่งเกิดข้นใหม่มี านวน
1.37 × 1020 – 0.17 × 1020 = 1.20 × 1020
นั่นคือ อัตราส่วนร หว่างอ ตอมโพแทสเซียมต่ออ ตอมแคลเซียมเท่ากับ
0.17 1020 1
20 = 7
1.20 10
วิ ีที่ 2 เมื่อเวลา ่านไป 1 ชั่วโมงหรือ 3T1/2 ได้
N0 N0
N
2 3
8
แสดงว่าอ ตอมแคลเซียมที่เกิดใหม่หรือ
N0 7
N Ca N 0 N0
8 8
นั่นคือ อัตราส่วนร หว่างอ ตอมโพแทสเซียมต่ออ ตอมแคลเซียมเท่ากับ
N0
8 1
7 7
N0
8
ตอบ ก. มีโพแทสเซียม 44 านวน 1.37 × 1020 นิวเคลียส
ข. เริ่มต้น โพแทสเซียม 44 มีกัมมันต าพ 7.91 × 1016 เบ็กเคอเรล
ค. เมื่อเวลา ่านไป 1 ชั่วโมง โพแทสเซียม 44 มีกัมมันต าพ 9.82 × 1015 เบ็กเคอเรล
ง.Nเมื
0 อ ่ เวลา า่ นไป 1 ชัว่ โมง อัตราส่วนร หว่างอ ตอมโพแทสเซียมต่ออ ตอมแคลเซียม
8เท่ากับ 1
7 7
N0
8

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
248 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

18. ไอโอดีน 125 125


53 I เปนไอโซโทปที่ใช้มากในทางการแพทย์ มีคร่งชีวิต 60 วัน แล ถ้าเริ่มต้น
ไอโอดีน 125 มีกัมมันต าพ 4 เมก เบ็กเคอเรล ต้องใช้เวลานานเท่าใดเพื่อให้ไอโอดีน 125
งสลายไปร้อยล 75 ของปริมาณเริ่มต้น
วิธีทำา เมื่อ านวนนิวเคลียสที่เหลือเปน านวน เท่าของ านวนเริ่มต้น สามารถหา
A0
กัมมันต าพได้ ากสมการ A
2n
ให้ A0 เปนกัมมันต าพของไอโอดีน 125 ในตอนเริ่มต้น
A เปนกัมมันต าพที่เหลืออย่ เมื่อเวลา ่านไป t
25
ได้ A ( A0 )
100
A0
แทนค่าในสมการ A
2n
25 A0
ได้ ( A0 )
100 2n
n = 2
สามารถหาเวลาที่ใช้ในการสลายของสารกัมมันตรังสีหาได้ ากสมการ t = nT1/2
หาเวลาที่ไอโอดีน 125 ใช้ในการสลาย ากสมการ
t = nT1/2
ในที่นี้ T1/2 = 60 วัน แล n = 2
ได้ t = 2(60 d)
t = 120 d
ตอบ ไอโอดีน 125 ใช้เวลาในการสลายนาน 120 วัน
238
19. ยเรเนียม 238 92 U มวล 1 กิโลกรัม แ ่รังสีแอลฟา โดยมีคร่งชีวิต 4.5 × 109 ปี
งหากัมมันต าพของยเรเนียม 238 นี้
วิธีทำา 238
92 U 1 นิวเคลียส มีมวล 238 u = 238(1.66 × 10 kg)
-27

ดังนั้น 238
92 U มวล 1 กิโลกรัม มี านวนนิวเคลียส
1
N
27
238(1.66 10 )
= 2.53 × 10 นิวเคลียส
24

238
92 U มีคร่งชีวิต 4.5 × 10 ปี9

0.693
าก
T1/2
0.693 1
9
s
4.5 10 365 24 3600
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 249

0.693
T1/2
0.693
แทนค่า ได้ 9
s 1
4.5 10 365 24 3600
= 4.883 × 10-18 s-1
ากสมการ A =
แทนค่า ได้ A = (4.883 × 10-18)(2.53 × 1024 s-1)
= 1.24 × 107 s-1
ตอบ กัมมันต าพของ 238
92 U เท่ากับ 1.2 × 10 ต่อวินาที หรือ 1.2 × 10 เบ็กเคอเรล
7 7

20. ทอเรียม 230 230


90Th มีมวล 0.1 มิลลิกรัม แล กัมมันต าพ 7.20 × 104 เบ็กเคอเรล คร่งชีวต

ของทอเรียม 230 มีค่ากี่ปี
วิธีทำา เนื่อง ากทอเรียม 230 ปริมาณ 1 โมล มีมวลปร มาณ 230 กรัม แล
มี านวนนิวเคลียส 6.023 × 1023
ดังนั้น ถ้ามีทอเรียม 230 มวล 0.1 มิลลิกรัม มี านวนนิวเคลียส ดังนี้
(6.023 1023)(0.1 10 3g)
N
(230 g)
= 2.62 × 1017
0.693
ากสมการ A = แล ได้
T1/2
0.693 0.693 1
A N 9 s
T1/ 2 4.5 10 365 24 3600
ในที่นี้ A = 7.20 × 104 Bq แล = 2.62 × 1017
แทนค่า ได้
0.693
7.20 104 Bq (2.62 1017 )
T1/ 2
T1/2 = 2.52 × 1012 s
T1/2 = 8.0 × 104 year
ตอบ คร่งชีวิตของทอเรียม 230 เท่ากับ 8 × 104 ปี

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
250 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

21. ถ้าแคลเซียม 45 45
20 Ca แ ่รังสีบีตาแล้วกลายเปนสแกนเดียม 45 45
21 Sc โดยเริ่มต้น
แคลเซียม 45 มีกัมมันต าพ 20 มิลลิครี เมื่อเวลา ่านไป 100 วัน มีกัมมันต าพเหลือ
13.14 มิลลิครี งหาคร่งชีวิตของแคลเซียม 45 กาหนด ln 0.657 เท่ากับ 0.42
วิธีทำา ให้ A0 เปนกัมมันต าพเริ่มต้นของ 20
45
Ca
A เปนกัมมันต าพเมื่อเวลา ่านไป t
หาค่าคงตัวการสลายของไอโซโทปกัมมันตรังสี ากสมการ A A0e t
แล
0.693
หาคร่งชีวิต ากสมการ T1/2

ากสมการ A A0e t
เมื่อเวลา ่านไป t 100 วัน กัมมัน าพเริ่มต้น A
ลดลง าก 20 มิลลิครี เหลือกัมมันต าพ A0 13.14 มิลลิครี แทนค่า ได้
(100 d)
13.14 mCi (20 mCi)e
(100 d)
e 0.657
(100 d) ln (0.657)
0.42
4.2 10 3 d 1
a
0.693
ากสมการ T1/2 ได้
0.693
แทนค่า าก a ได้ T1/2
4.2 10 3 d 1

= 165 d
ตอบ คร่งชีวิตของแคลเซียม 45 เท่ากับ 165 วัน

22. ทองคา 198 198


79 Au มีคร่งชีวิต 2.7 วัน แล มีกัมมันต าพเริ่มต้น 50 ไมโครครี งหา านวน
นิวเคลียสของทองคา 198 ที่สลายไปในช่วงเวลา 10 – 15 ชั่วโมง
กาหนด e-0.1069 เท่ากับ 0.8986 แล e-0.16035 เท่ากับ 0.8518
วิธีทำา ให้ A0 เปนกัมมันต าพเริ่มต้น เมื่อเวลา t = 0
0 เปน านวนนิวเคลียส เมื่อเวลา t = 0
เปนค่าคงตัวการสลายของ 198
79 Au

หา านวนนิวเคลียสของ 198
79 Au เมื่อเวลา ่านไป t ากสมการ A0 = 0 แล
0.693
N = N0e t
โดยเริ่ม ากหาค่าคงตัวการสลาย ากสมการ
T1/2
แทนค่าคร่งชีวิต 2.7 วัน วัน โดยแปลงเปนหน่วยวินาที ได้ 0.693
9
s
4.5 10 365 24 3600

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 251

0.693
=
2.7 day (24 60 60)s
= 2.97 × 10-6 s-1 a
หรือ ในหน่วยต่อชั่วโมง ได้ = 1.069 × 10-2 h-1 b
แทนค่า าก a แล กัมมันต าพเริ่มต้น A0 50 ไมโครครี ใน A0 = 0

โดยแปลงหน่วยไมโครครรีเปนเบ็กเคอเรล ได้
10
3.7 10 Bq 6 1
50 10 6 Ci = (2.97 10 s )N0
1 Ci
0 = 6.23 × 1012 c
ากสมการ N = N0e t
ที่เวลา t1 = 10 h เหลือนิวเคลียส 19879 Au คือ 1

าก b แล c ได้
= 6.23 × 1012 e(-0.1069)
= 6.23 × 1012 0.8986
= 5.598 × 1012
ที่เวลา t2 = 15 h เหลือนิวเคลียส 198
79 Au คือ 2 ดังนี้

าก b แล c ได้ N2 = 5

= 6.23 × 1012 e(-0.16035)


= 6.23 × 1012 0.8518
= 5.307 × 1012
านวนนิวเคลียส 198
79 Au ที่สลายในช่วงเวลา 10 − 15

2 = 2.91 × 10 นิวเคลียส
11
1 −

ตอบ ในช่วงเวลา 10 − 15 ชั่วโมง านวนนิวเคลียสที่สลายไปเท่ากับ 2.9 × 1011 นิวเคลียส

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
252 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

23. เรเดียม 224 224


88 Ra มีคร่งชีวิต 3.5 วัน แล มีอัตราการสลาย 2.4 × 102 เบ็กเคอเรล เมื่อเวลา
่านไป 21 วัน เรเดียม 224 มีกัมมันต าพเท่าใดในหน่วยไมโครครี
วิธีทำา ให้ A0 เปนกัมมันต าพเริ่มต้นของเรเดียม 224 แล
A เปนกัมมันต าพของเรเดียม 224 เมื่อเวลา ่านไป t
ในที่นี้ เวลาที่ ่านไปเท่ากับ 21 วัน แล คร่งชีวิตของเรเดียม 224 เท่ากับ 3.5 วัน
ได้
t 21 d
=
T1 3.5 d
2
= 6
เมื่อเวลาที่ ่านไปเปน านวนเท่าของคร่งชีวิต หรือ t = nT1/2
หากัมมันต าพของเรเดียมได้ ากสมการ
A
A = n0
2
(2.4 102 Bq)
แทนค่า A0 แล n ได้ A=
26
= 3.75 Bq
= 1.01 × 10-4 i
ตอบ เรเดียม 224 มีกัมมันต าพเท่ากับ 1.0 × 10-4 ไมโครครี

24. คาร์บอน 14 14
6 C มีคร่งชีวต
ิ 5730 ปี ถ้าเริม
่ ต้นมีคาร์บอน 14 านวน 2.00 ไมโครกรัม ขณ นัน

กัมมันต าพของคาร์บอน 14 มีค่าเท่าใด
วิธีทำา ค่าคงตัวอาโวกาโดร A = 6.023 × 1023 mol-1
คาร์บอน 14 1 โมล มีมวล 14 g มี านวนนิวเคลียส 6.023 × 1023 นิวเคลียส
ดังนั้น ถ้ามีคาร์บอน 14 2 × 10-6 กรัม มี านวนนิวเคลียส เท่ากับ
(6.023 1023)(2 10 6 g)
N =
(14 g)
= 8.60 × 1016
กัมมันต าพของ าตุกัมมันตรังสี หาได้ ากสมการ A =
0.693 0.693
แต่ ดังนั้น A N
T1/2 T1/ 2
ในที่นี้ T1/2 = 5730 year0.693
ซ่งแปลงให้อย่ในหน่
s 1วยวินาทีได้เปน
9
4.5 10 365 24 3600

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 253

T1/2 = (5730 × 365 ×24 ×60 ×60) s


= 1.807 × 1011 s
แทนค่า T1/2 = 1.807 × 1011 s แล = 8.60 × 1016 ในสมการ A =
ได้
0.693
A= 11
(8.60 1016 )
(1.81 10 s)
= 3.29 × 105 Bq
ตอบ คาร์บอน 14 มีกัมมันต าพ 3.29 × 105 เบ็กเคอเรล

25. าตุกัมมันตรังสีชนิดหน่งมีคร่งชีวิต 80 ปี ใช้เวลานานเท่าใด กัมมันต าพ งลดลงเหลือ


ร้อยล 25 ากปริมาณเริ่มต้น
วิธีทำา หากัมมันต าพเมื่อเวลา ่านไป t ากสมการ A A0e t

เมื่อเวลา ่านไป t แล้ว าตุกัมมันตรังสีมีกัมมันต าพลดลงเหลือร้อยล 25 หรือ


25
A= A0
100
A0
A= a
4
ln 2
ากสมการ
T1
2

0.693
แทนค่า ได้ = b
80 year
แทน A าก a แล าก b ในสมการ ได้
0.693
A0 80 year
t
= A0e
4
0.693
t
80 year
e =4
0.693
t = ln 4
80 year
80 year
t = (1.3862)
0.693
= 160.02 year
ตอบ ใช้เวลานาน 160 ปี

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
254 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

26. ากป ิกิริยานิวเคลียร์ 42 He 9


4 Be 12
6 C X งหาว่า X คืออ ไร
วิธีทำา ในป ก
ิ ริ ยิ านิวเคลียร์ ลรวมของเลขมวลแล เลขอ ตอมของอนุ าคต่าง ก่อนแล หลัง
เกิดป ิกิริยานิวเคลียร์มีค่าเท่ากัน
ในที่นี้ ให้ A เปนเลขมวลของ X
เลขมวลก่อนป ิกิริยาเท่ากับ 4 + 9 = 13
เลขมวลหลังป ิกิริยาเท่ากับ 12 + A
ดังนั้น ได้ 13 = 12 + A
A = 1
ให้ Z เปนเลขอ ตอมของ X
เลขอ ตอมก่อนป ิกิริยานิวเคลียร์ 2 + 4 = 6
เลขอ ตอมหลังป ิกิริยาเท่ากับ 6 + Z
ดังนั้น ได้ 6 = 6+Z
Z = 0
X มีเลขมวลเท่ากับ 1 แล เลขอ ตอมเท่ากับ 0
ดังนั้น X คือนิวตรอน หรือ 01 n
ตอบ X คือนิวตรอน หรือเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ 01 n

27. ากสมการป ิกิริยานิวเคลียร์ 33


16 S + 01 n 33
15 P + 11 H ซ่งเปนป ิกิริยาที่ให้พลังงาน
0.533 เมก อิเล็กตรอนโวลต์ ถ้ามวลอ ตอมของ 16
33
S มีค่า 32.97146 u มวลอ ตอมของ 15
33
P
มีค่าเท่าใด
วิธีทำา พลังงาน ากป ิกิริยานิวเคลียร์เท่ากับพลังงานที่เทียบเท่า ลต่างของมวลในป ิกิริยา
ากป ิกิริยานิวเคลียร์ 33
16 S + 01 n 33
15 P + 11 H
มวลรวมก่อนเกิดป ิกิริยา = มวลอ ตอมของ 16
33
S + มวลของ 01 n
= 32.97146 u + 1.008665 u
= 33.980125 u
มวลรวมหลังเกิดป ิกิริยา = มวลอ ตอมของ 15
33
P + มวลของ 11 H
= มวลอ ตอมของ 15
33
P + 1.007825 u
หาส่วนพร่องมวล Δm าก
Δm = มวลรวมก่อนเกิดป ิกิริยา − มวลรวมหลังเกิดป ิกิริยา
= 33.980125 u − มวลอ ตอมของ 15
33
P + 1.007825u
= 32.9723 u − มวลอ ตอมของ 15
33
P

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 255

พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยานิวเคลียร์ E เท่ากับ 0.533 MeV เทียบเท่าส่วนของมวล


ที่ลดลงซ่งหาได้ ากสมการ E = Δm 931.5 MeV/u
แทนค่า ได้
0.533 MeV = [32.9723 u มวลอ ตอมของ 15
33
P 931.5 MeV/u
มวลอ ตอมของ 15
33
P = 32.97173 u
ตอบ มวลอ ตอมของ 15
33
P เท่ากับ 32.97173 u

28. ในการทดลองร เบิดนิวเคลียร์โดยใช้ยเรเนียม 235 ทาให้เกิดฟชชัน ได้พลังงานทั้งสิ้น


9.0 × 1012 ล พลังงาน านวนนี้เกิด ากส่วนพร่องมวลเท่าใด
วิธีทำา หาส่วนพร่องมวลได้ ากสมการ E = Δm c2
ในที่นี้ E = 9.0 × 1012 J , c = 3.0 × 108 m/s
แทนค่า ได้ 9.0 × 1012 J = Δm 3.0 × 108 m/s 2
Δm = 1 × 10-4 kg
= 0.1 g
ตอบ ส่วนพร่องมวลมีค่า 0.1 กรัม

29. ร เบิดทีเอ็นที 1 ตัน เมื่อเกิดการร เบิด ปล่อยพลังงานปร มาณ 4.0 ิก ล ถ้าร เบิด
ปรมาณที่ทิ้งที่ ิโรชิมาได้ ากฟชชันของยเรเนียม 235 ซ่งปล่อยพลังงานเทียบได้กับร เบิด
ทีเอ็นที 2.0 × 104 ตัน งคานวณมวลของยเรเนียม 235 ที่เปลี่ยนไปเปนพลังงาน
กาหนดให้การเกิดฟชชัน 1 ครั้งของยเรเนียม 235 ปลดปล่อยพลังงาน 173.20 MeV
วิธีทำา พลังงานที่ร เบิดปรมาณปล่อยออกมาเท่ากับ 2 × 104 × 4 GJ = 8 × 1013 J
ากโ ทย์ กาหนดให้ ยเรเนียม 235 เกิดฟชชันแล้ว ปลดปล่อยพลังงานออกมาปร มาณ
173.20 MeV ซ่งแปลงเปนหน่วย ลได้เท่ากับ
173.20 × 106 eV × 1.6 × 10-19 J/eV = 2.77 × 10-11 J
ยเรเนียม 235 มีมวลอ ตอม 235 u ดังนั้น สามารถพิ ารณาได้ว่า
พลังงาน 2.77 × 10-11 ล เกิด าก ยเรเนียม 235 มวล 235 u
ดังนั้น พลังงาน 8 × 1013 ล เกิด าก ยเรเนียม 235 คิดเปนมวลเท่ากับ
(235 u)(8 1013 J)
= 6.787 1026 u
2.77 10 11 J
= (6.787 × 1026 u)(1.66 × 10-27 kg/u)
= 1.127 kg
ตอบ มวลของยเรเนียม 235 ที่ใช้เท่ากับ 1.1 กิโลกรัม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
256 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

30. ในการเกิดฟชชันแต่ล ครัง้ ของนิวเคลียสกัมมันตรังสีชนิดหน่งทีใ่ ช้เปนเชือ


้ เพลิงนิวเคลียร์ พบว่า
ส่วนพร่องมวลมีค่า 0.025 u ต้องเกิดฟชชันกี่ครั้งต่อวินาที ง ได้กาลัง 1000 วัตต์
วิธีทำา ในการเกิดป ิกิริยานิวเคลียร์แต่ล ครั้งพลังงาน ากป ิกิริยานิวเคลียร์มีค่าเท่ากับ
พลังงานที่เทียบเท่ากับส่วนพร่องมวลหรือส่วนของมวลที่ลดลงในป ิกิริยา ตามสมการ
E = Δm 931.5 MeV/u
แทนค่า ส่วนพร่องมวล ได้
E = 0.025 u 931.5 MeV/u
E = 23.288 MeV
หรือ E = 23.288 × 106 eV × 1.6 × 10-19 J/eV
= 3.73 × 10-12 MeV
ให้ n เปน านวนครั้งที่เกิดป ิกิริยาในเวลา 1 วินาที เพื่อให้ได้กาลัง 1000 วัตต์
1000 J/s
ดังนั้น n =
3.73 10-12 J
= 2.68 × 1014 ครั้งต่อวินาที
ตอบ านวนป ิกิริยานิวเคลียร์เกิดข้น 2.7 × 1014 ครั้งต่อวินาที

31. งหาพลังงานปลดปล่อยออกมา ากป ิกิริยานิวเคลียร์ตามสมการ


9
4 Be + 21 H 10
4 Be + 11 H
กาหนดมวลอ ตอมของเบริลเลียม 9 9
4 Be +เท่
2
1H ากับ 9.012183
4 Be + 1 Hu แล
10 1
มวลอ ตอม ของ
เบริลเลียม 10 เท่ากับ 10.013535 u
วิธีทำา พลังงาน ากป ิกิริยา E หาได้ ากพลังงานที่เทียบเท่าส่วนพร่องมวล Δm
ตามสมการ E = Δm 931.5 MeV/u
ให้ Δm1 เปนส่วนพร่องมวลของสมการป ิกิริยานิวเคลียร์ที่กาหนด ได้
Δm1 = 9.012183 u + 2.014102 u − 10.013535 u + 1.007825 u)
= 4.925 × 10-3 u
หาพลังงานที่เทียบเท่าส่วนพร่องมวล Δm1 ได้
E = 4.925 × 10-3 u 931.5 MeV/u
= 4.59 MeV
ตอบ ป ิกิริยานิวเคลียร์ตามสมการที่กาหนดปลดปล่อยพลังงาน 4.59 เมก อิเล็กตรอนโวลต์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 257

32. งคานวณพลังงานที่ได้เมื่อดิวเทอเรียมมวล 1 กิโลกรัม เกิดป ิกิริยานิวเคลียร์ตามสมการ


2
1 H + 21 H 4
2 He
กาหนด มวลของดิวเทอเรียม H +เท่าH
กับ 2.014102
2
He u
1
2
1
4
2

มวลของ ีเลียม 4
2 He เท่ากับ 4.002604 u
วิธีทำา หามวลที่ลดลง Δm ในป ิกิริยาตามสมการ ได้
m = 2m2 H m4 He
1 2

= 2 2.014102 u – 4.002604 u
= 0.025600 u
หาพลังงานที่ได้ ากป ิกิริยานิวเคลียร์ E ที่เทียบเท่ามวลที่ลดลง Δm ได้
E = 0.025600 u 931.5 MeV/u
= 23.8464 MeV
หรือ E = 23.8464 × 106 eV × 1.6 × 10-19 J/eV
= 3.82 × 10-12 J
มวลของดิวเทอเรียม 2 อนุ าค เท่ากับ 2 2.014102 u = 4.028204 u
แปลงเปนหน่วยกิโลกรัม ได้
4.028204 × 1026 u 1.66 × 10-27 kg/u = 6.69 × 10-27 kg
ดังนัน
้ มวลของดิวเทอเรียม 6.69 × 10-27 กิโลกรัม ทาให้ได้พลังงาน ากป กิ ริ ยิ านิวเคลียร์
3.82 10
3.82 × 1014 J ถ้ามีมวลของดิวเทอเรียม 1 kg ได้พลังงานป ิกิริยานิวเคลียร์เปน E ' =
12 6.69
3.82 10 J 1 kg
E' = 27
6.69 10 kg
= 5.71 × 1014 J
ตอบ พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยานิวเคลียร์ของดิวเทอเรียมมวล 1 กิโลกรัมมีค่าเท่ากับ
5.7 × 1014 ล

33. ฟวชันในดวงอาทิตย์แล ดาว กษ์ส่วนมาก เกิด ากการรวมกันของไ โดรเ นเปน ีเลียม มี


ขั้นตอนดังนี้
ขัน
้ ตอนที่ 1 1
1 H + 11 H 2
1 H + 01e + e

ขัน
้ ตอนที่ 2 2
1 H+ H1
1
3
2 He +
ขัน
้ ตอนที่ 3 3
2 He + 23 He 4
2 He + 211 H +

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
258 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

งหา
ก. พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 1
ข. พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 2
ค. พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 3
ง. พลังงานที่ได้ 1ากป
H + 11ิกHิริยาการรวมกั นของไ
+ e โดรเ นเปน ีเลียม
1 2 0
1 H + 1e
4
2 He

กาหนดมวลอ ตอมของ
1 21 1
1 H + 11H ,H
+ 11+
H1 H 21
H+, 2301He
11H e21 H, +42e He
++ 1 e +เท่eากับ 1.007825 u, 2.014102 u,
0

3.016029 u แล21 H4.002603


+2311He
H2
1H++23u23He
1
ตามลาดั
1He
H บ + 211 H +
+ 243 He
วิธีทำา ก. หาพลัง23งานที
He +่ปลดปล่
33
He +อยออกมา
22He
34
22HeHe + 224ากป
1
H ++ิก2ิริย11 H
1He
าที+่เทียบเท่ามวลที่ลดลง Δm
ให้ E1 เปนพลังงานที่ได้ ากป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 1 ซ่งหาได้ าก Δm1
Δm1 = 1.007825 u + 1.007825 u − 2.014102 u − 0.000549 u
= 0.000999 u
หาพลังงานที่เทียบเท่ามวลที่ลดลง
E1 = 0.000999 u 931.5 MeV/u
= 0.930 MeV
ข. ให้ E2 เปนพลังงานของป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 2 ซ่งหาได้ าก Δm2
Δm2 = 2.014102 u + 1.007825 u − 3.016029 u
= 0.005898 u
หาพลังงานที่เทียบเท่ามวลที่ลดลง
E2 = 0.005898 u 931.5 MeV/u
= 5.49 MeV
ค. ให้ E3 เปนพลังงานของป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 3 ซ่งหาได้ าก Δm3
Δm3 = 3.016029 u + 3.016029 u − 4.002603 u + 2 × 1.007825 u)
= 0.013805 u
หาพลังงานที่เทียบเท่ามวลที่ลดลง
E3 = 0.013805 u 931.5 MeV/u
= 12.86 MeV
ง. ถ้า E H
เปนพลั
+ 11 Hงงานของป
1 H + 1ก
ิ eริ +
ยิ าของการรวมกั
นของไ โดรเ นเปน เี ลียม เนือ
่ ง ากใน
1 2 0
1 e

ขัน
้ ตอนที
2
่ 311 H
1H + ต้องมี 23 He +
ทาป กิ ริ ยิ ากัน านวน 2 อนุ าค การเกิดป กิ ริ ยิ าขัน
้ ตอนที่ 1
แล 232Heต้อ+งเกิ
3
ดข้น านวน
2 He
4
2 ครั1้ง
2 He + 2 1 H +

ดังนั้น พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยาการรวมกันของไ โดรเ นเปน ีเลียม เท่ากับ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 259

E = 2E1 + 2E2 + E3
= 2 0.930 MeV) + 2 5.49 MeV) + 12.86 MeV
= 25.7 MeV
ตอบ ก. พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 1 เท่ากับ 0.930 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
ข. พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 2 เท่ากับ 5.49 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
ค. พลังงานที่ได้ ากป ิกิริยาในขั้นตอนที่ 3 เท่ากับ 12.86 เมก อิเล็กตรอนโวลต์
ง. พลังงานของป ิกิริยาของการรวมกันของไ โดรเ นเปน ีเลียม
เท่ากับ 25.7 เมก อิเล็กตรอนโวลต์

34. ในโรงไฟฟาที่ใช้ถ่านหิน ต้องเ าถ่านหิน 1 ตัน ง ให้ความร้อน 3.20 × 1010 ล สาหรับ


โรงไฟฟานิวเคลียร์แห่งหน่ง ความร้อนมา ากฟชชันของยเรเนียม 235 ซ่งการเกิดฟชชันแต่
ล ครั้ง ให้ความร้อนปร มาณ 200 เมก อิเล็กตรอนโวลต์ โรงไฟฟานิวเคลียร์แห่งนี้ต้องมี
ยเรเนียม 235 ทีเ่ กิดฟชชันเปนมวลเท่าใดในหน่วยกรัม ง ให้ความร้อนเท่ากับถ่านหิน 1 ตัน
วิธีทำา ถ้า m เปนมวลในหน่วยกรัมของยเรเนียม 235 ที่ต้องใช้ เพื่อให้ได้ความร้อนเท่ากับ
ถ่านหิน 1 ตัน
ยเรเนียม 235 มวล m มี านวนอ ตอม n ดังนี้
m(6.023 1023 atoms/mol)
n =
235 g/mol
= m(2.56 1021 ) g 1

การเกิดฟชชันแต่ล ครั้ง ให้ความร้อนปร มาณ 200 เมก อิเล็กตรอนโวลต์


ถ้า E เปนพลังงานที่เกิด ากฟชชัน n อ ตอมหรือ n ครั้ง ได้
E = 200 × 1.6 × 10-13 J m 2.56 × 1021 g-1]
การเกิดฟชชัน ที่ให้พลังงานเท่ากับถ่านหิน ตัน ซ่งให้ความร้อน 3.20 × 1010 ล
แทนค่า ได้
3.20 × 10 J = 200 × 1.6 × 10-13 J m 2.56 × 1021 g-1]
10

m = 0.390 g
ตอบ ต้องใช้ยเรเนียม 235 มวลเท่ากับ 0.390 กรัม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
260 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

35. โรงไฟฟานิวเคลียร์ขนาดเล็กแห่งหน่ง ลิตไฟฟาได้ 10 เมก วัตต์ โดยใช้พลังงาน ากฟชชันของ


พลโทเนียม 239 ถ้าพลังงาน ากฟชชันแต่ล ครั้งมีค่า 3.3 × 10-11 ล แล ถ้าเพียง 1 ใน 5 ของ
พลั ง งานที่ ไ ด้ ากฟชชั น เท่ า นั้ น ที่ ส ามารถเปลี่ ย นเปนพลั ง งานไฟฟาได้ ในแต่ ล วั น ต้ อ งมี
พลโทเนียม 239 เกิดฟชชันกี่กรัม
กาหนดมวลอ ตอมของพลโทเนียม 239 เท่ากับ 239.052163 u
วิธีทำา โรงไฟฟานิวเคลียร์ขนาดเล็กแห่งหน่ง ลิตไฟฟาได้ 10 เมก วัตต์ แสดงว่า
ในเวลา 1 วินาที พลังงานไฟฟาที่ ลิตได้ 10 เมก ล หรือ 10 × 106 ล
1
แต่พลังงานไฟฟา 10 × 106 ล มา าก ของพลังงาน ากฟชชัน
5
ดังนั้น ใน 1 วินาที ใช้พลังงาน ากฟชชันเท่ากับ 5 10 × 106
นั่นคือ ใน 1 วัน ใช้พลังงาน ากฟชชันเท่ากับ
5 10 × 106 24 × 60 × 60 s = 4.32 × 1012 J
แต่พลโทเนียม 239 านวน 1 นิวเคลียส ให้พลังงานเท่ากับ 3.2 × 10-11 J
ดังนั้นต้องใช้ านวนนิวเคลียสทั้งหมดเท่ากับ
4.32 1012
= 1.35 1023 นิวเคลียส
3.2 10 11
เนื่อง ากพลโทเนียม 1 โมล หรือ 6.023 × 1023 นิวเคลียส มีมวล 239 กรัม
ดังนั้นพลโทเนียม 239 านวน 1.35 × 1023 นิวเคลียส มีมวล
(239 g)(1.35 1023 )
= 53.6 g
6.023 10 23
ตอบ ในแต่ล วัน ต้องใช้พลโทเนียม 239 เท่ากับ 53.6 กรัม

36. ในอาคารใหญ่ มัก ติดตั้งเครื่องตรว ับควันไฟที่เพดานห้องเพื่อร วังปองกันอัคคี ัย ถ้า


อาคารแห่งหน่งใช้เครื่องตรว ับควันไฟแบบที่ใช้ าตุกัมมันตรังสีอ เมริเซียม 241
95 Am ที่ 237 4
93 Np + 2 H

แ ่รังสีแอลฟา
ก. งเขียนสมการการแ ่รังสีแอลฟาของอ เมริเซียม 241
ข. งอ ิบายเหตุ ลที่เครื่องตรว ับควันไฟใช้ าตุกัมมันตรังสีที่แ ่รังสีแอลฟา
วิธีทำา ก. อ เมริเซียม 241 มีเลขมวลเท่ากับ 241 แล เลขอ ตอมเท่ากับ 95
เมื่ออ เมริเซียม 241 สลายให้แอลฟา มีเลขมวลลดลง 4 เหลือ 241 – 4 = 237
แล เลขอ ตอมลดลง 2 เหลือ 95 – 2 = 93
าตุที่มีเลขอ ตอมเท่ากับ 93 คือ เนปทเนียม ดังนั้น สมการการแ ่รังสีแอลฟาของ
อ เมรีเซียม 24 เขียนได้ดังนี้ 241
95 Am 237
93 Np + 42 He

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 261

ตอบ ก. 241
95 Am 237
93 Np + 42 He
ข. ในส าว ปรกติทไ่ี ม่มค
ี วันไฟ เครือ่ งตรว บ
ั ควันไฟ แสดง านวนนับ อนุ าคแอลฟา
ต่อหน่งหน่วยเวลา หรืออัตราการนับ count rate ค่าหน่ง วง ร ไม่สง่ สัญญาณเตือน
แต่ถา้ มีควันไฟลอยมาขวางบริเวณร หว่างแหล่งกาเนิดอนุ าคแอลฟากับเครือ่ งตรว บ

อนุ าคในควันไฟ ช่วยกร เ งิ แล ดดกลืนอนุ าคแอลฟา ทาให้อต
ั ราการนับลดลง
อย่างรวดเร็ว วง ร งแปลงการลดลงนี้เปนสัญญาณเตือนว่ามีควันไฟหรือไฟไหม้

37. ฟวชันในดวงอาทิตย์เปลี่ยนไ โดรเ น านวนมากให้เปนพลังงานที่แ ่ออกมาทุก วินาที ถ้า


แต่ล วินาทีพลังงานที่แ ่ออกมาเท่ากับ 3.90 × 10 26
ล มวลของดวงอาทิตย์ เปลี่ยนแปลง
อย่างไร ด้วยอัตราเท่าใด
วิธีทำา ใน 1 วินาที ดวงอาทิตย์แ ่พลังงานออกมาเท่ากับ 3.90 × 1026 ล
อัตราเร็วแสง c เท่ากับ 3.0 × 108 เมตรต่อวินาที
ากสมการ E = mc2
แทนค่า ได้ 3.90 × 1026 J = 3.0 × 108 m/s 2
m = 4.3 × 108 kg
ตอบ มวลของดวงอาทิตย์ลดลงในอัตรา 4.3 × 108 kg กิโลกรัมต่อวินาที

38. งหาพลังงานที่เกิด ากการปร ลัยของค่อนุ าคกับป ิยานุ าคต่อไปนี้ โดยไม่พิ ารณา


พลังงาน ลน์เริ่มต้น
ก. อิเล็กตรอนกับโพซิตรอน
ข. โปรตอนกับแอนติโปรตอน
วิธีทำา ก. อิเล็กตรอนมีมวลปร มาณ 9.1 × 10-31 กิโลกรัม ซ่งเท่ากับมวลของโพซิตรอน
เมือ
่ อิเล็กตรอนมาพบกับโพซิตรอน เกิดการปร ลัยทีท
่ าให้มวลทัง้ หมดของอนุ าค
ทั้งสองเปลี่ยนไปเปนพลังงานตามสมการ E = mc2
ให้อัตราเร็วแสง c เท่ากับ 3.0 × 108 เมตรต่อวินาที แทนค่าในสมการ ได้
E = 2 × 9.1 × 10-31 kg 3.0 × 108 m/s 2
= 1.6 × 10-13 J
หรือในหน่วยอิเล็กตรอนโวลต์
1.6 10 13 J
E =
1.6 10 19 J/eV
= 1 × 106 eV
= 1 MeV

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
262 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ข. โปรตอนมีมวลปร มาณ 1.67 × 10-27 กิโลกรัม ซ่งเท่ากับมวลของแอนติโปรตอน


พลังงานที่เกิด ากการปร ลัยร หว่างโปรตอนกับแอนติโปรตอน มีค่าตามสมการ
E = mc2 แทนค่าในสมการ ได้
E = 2 × 1.67 × 10-27 3.0 × 108 m/s 2
= 3.0 × 10-10 J
หรือในหน่วยอิเล็กตรอนโวลต์
3.0 10 10 J
E =
1.6 10 19 J/eV
= 1.878 × 109 eV
= 1878 MeV
ตอบ ก. พลังงานที่เกิด ากการปร ลัยของค่อนุ าคอิเล็กตรอนกับโพซิตรอนเท่ากับ
1.6 × 10-13 ล หรือ 1 MeV
ข. พลังงานที่เกิด ากการปร ลัยของค่อนุ าคโปรตอนกับแอนติโปรตอนเท่ากับ
3.0 × 10-10 ล หรือ 1.9 GeV

ปญหาท้าทาย

39. ถ้า าตุ X มี านวนอ ตอมเปน 2 เท่าของ าตุ Y แต่มีกัมมันต าพเปน 3 เท่าของ าตุ Y
คร่งชีวิตของ าตุ X เปนกี่เท่าของ าตุ Y
วิธีทำา กัมมันต าพของ าตุกัมมันตรังสี หาได้ ากสมการ A = แล
0.693
ค่าคงตัวการสลายมีค่าตามสมการ T1/2
0.693
ดังนั้น A N
T1/ 2
ให้ าตุ X มี านวนอ ตอม 2 มีกัมมันต าพ 3A แล คร่งชีวิตมีค่าเปน Tx
าตุ Y มี านวนอ ตอม มีกัมมันต าพ A แล คร่งชีวิตมีค่าเปน T
0.693
ดังนั้น สาหรับ าตุ X 3A = (2 N ) 1
TX
0.693
แล สาหรับ าตุ Y A = (N ) 2
TY
TX 2
=
TY 3
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 0.693
บทที่ 20 (2
ฟิสN
ิกส์)นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค
3A = 263
TX
0.693
3A = (2 N ) 0.693
TX A = (N )
TY
0.693T
X( N ) 2
าก 1 แล 2 Aได้= TY T = 3
Y
TX 2
ตอบ คร่งชีวิตของ าตุ X เปน = เท่าของ าตุ Y
TY 3
40. าตุกม
ั มันตรังสี A มีคร่งชีวต
ิ 12 ชัว่ โมง แ ร่ งั สีแล้วกลายเปน าตุกม
ั มันตรังสี B ซ่งมีคร่งชีวต

20 ชั่วโมง ากนั้น าตุกัมมันตรังสี B แ ่รังสีต่อแล้วกลายเปน าตุ C ที่เสถียร ในขณ ที่
กัมมันต าพของ B คงตัว อัตราส่วนร หว่าง านวนนิวเคลียสของ าตุ A ต่อ B เปนเท่าใด
วิธีทำา กัมมันต าพของ าตุกัมมันตรังสี หาได้ ากสมการ A = แล
0.693
ค่าคงตัวการสลายมีค่าตามสมการ T1/2
0.693
ดังนั้น A N
T1/ 2
ให้ AA เปนกัมมันต าพของ าตุ A แล AB เปนกัมมันต าพของ าตุ B
แล ให้ A เปน านวนนิวเคลียสของ าตุ A แล
B เปน านวนนิวเคลียสของ าตุ B
เมื่อกัมมันต าพของ าตุ B คงตัว แสดงว่า B คงตัว เนื่อง าก AB = B

แล เนื่อง าก าตุ A สลายไปเปน าตุ B แสดงว่า AB = AA


ดังนั้น ได้
AA
NA A
=
AB
B NB
AA NA
(20 h) N A = A
1= AB
(12 h)N B B NB

NA 12 h (20 h) N A
1=
= (12 h)N B
NB 20 h
3 NA 12 h
= =
5 NB 20 h
3
ตอบ อัตราส่วนร หว่าง านวนนิวเคลียสของ าตุ A ต่อ าตุ B เท่ากั=

5
41. ถ้ามี าตุกัมมันตรังสี 3 ชนิด ได้แก่ A B แล C โดยคร่งชีวิตของ A มากกว่า คร่งชีวิตของ
B แล คร่งชีวิตของ B มากกว่าคร่งชีวิตของ C ถ้าที่เวลาเริ่มต้น าตุทั้ง 3 มี านวนนิวเคลียส
เท่ากัน กราฟที่แสดงความสัมพัน ์ร หว่าง านวนนิวเคลียสที่สลายไป Δ กับเวลา (t
คือข้อใด

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
264 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

DN DN DN DN
C B A A B C

C A
B B
A t C t t t
ก. ข. ค. ง.
รูป ประกอบปญหาท้าทาย ข้อ 41

วิธีทำา เริ่มต้น าตุทั้ง 3 มี านวนนิวเคลียสเท่ากัน เมื่อเวลา ่านไป านวนนิวเคลียสที่สลาย


เพิ่มข้นเรื่อย ดังนั้น กราฟที่เปนไปได้มีเพียงกราฟในข้อ ค. แล ข้อ ง.
ากนั้น พิ ารณากราฟของ าตุที่มีอัตราการสลายสง เปนกราฟที่มี านวนนิวเคลียสที่
สลายเพิม
่ ข้นเร็วกว่า าตุทม
่ี อี ต
ั ราการสลายต่า ดังนัน
้ กราฟของ าตุทม
่ี อี ต
ั ราการสลายสง
ควรมีความชันมากกว่า าตุที่มีอัตราการสลายต่า
อัตราการสลายแปร ก ันกับคร่งชีวิต ดังนั้น กราฟที่มีอัตราการสลายสงคือกราฟของ
าตุที่มีคร่งชีวิตสั้น ซ่งในที่นี้ได้แก่ าตุ C
ดังนั้น กราฟของ าตุ C ควรมีความชันมากที่สุดเมื่อเทียบกับกราฟของ าตุอื่น ส่วน
กราฟของ าตุทม
่ี ค
ี วามชันน้อยทีส่ ด
ุ คือกราฟของ าตุทม
่ี ค
ี ร่งชีวต
ิ มากทีส่ ด
ุ ซ่งได้แก่ าตุ
ดังนั้น กราฟที่แสดงความสัมพัน ์ร หว่าง านวนนิวเคลียสที่สลายไปกับเวลาของ าตุ
ทั้ง 3 คือ กราฟในข้อ ค.
ตอบ ข้อ ค.

42. ในอนุกรมการสลายของเรดอน 222 222


86 Rn มีท้งั การสลายให้แอลฟาแล การสลายให้บีตา
นได้บสิ มัท 214 214
83 Bi ในอนุกรมการสลายนี้ มีการปล่อยอนุ าคแอลฟาแล อนุ าคบีตา
ออกมาอย่างล กีอ
่ นุ าค
วิธีทำา ในการปล่อยอนุ าคแอลฟา 1 อนุ าค 42 He เลขมวล A หรือ านวนนิวคลีออน ลดลง 4
แล เลขอ ตอม Z หรือ านวนโปรตอน ลดลง 2 ส่วนการปล่อยอนุ าคบีตา 1
อนุ าค 0
1e มีเลขอ ตอม Z หรือ านวนโปรตอนเพิ่มข้น
ในการแ ่รังสีของเรดอน 222 222
86 Rn ได้ นได้บิสมัท 21 214
83 Bi

มี านวนนิวคลีออนลดลง 222 – 214 = 8 นิวคลีออน


ดังนั้น อย่างน้อย ในอนุกรมการสลายนี้ ต้องมีการปล่อยอนุ าคแอลฟาออกมา
2 อนุ าค งทาให้ านวนนิวคลีออนลดลง 8 = 2 × 4
แต่เมื่อมีการปล่อยอนุ าคแอลฟาออกมา 2 อนุ าค
านวนโปรตอนลดลง 2 × 2 = 4 โปรตอน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 265

ทาให้ เลขอ ตอมของ าตุเริ่มต้นลดลง 86 – 4 = 82 ซ่งยังไม่เท่ากับ 83 ที่เปน


เลขอ ตอมของบิสมัท 214
การที่อนุกรมการสลาย ให้ าตุสุดท้ายเปน บิสมัท 214 ต้องเปนการสลายที่ทาให้
เลขอ ตอมเพิ่มข้นอีก 1 ซ่งเปนการสลายให้บีตา 1 อนุ าค
ดังนัน
้ การสลายนี้ มีการปล่อยอนุ าคแอลฟาออกมา 2 อนุ าค แล ปล่อยอนุ าคบีตา
ออกมา 1 อนุ าค
ตอบ การสลายของเรดอน 222 นได้บิสมัท 214 ต้องมีการปลดปล่อยอนุ าคแอลฟา
ออกมา 2 อนุ าค แล อนุ าคบีตา 1 อนุ าค

43. ถ้าให้อนุ าคแอลฟา 4


2 He มวล 4.002603 u แล ปร ุ +2e เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว
1.5 × 10 เมตรต่อวินาที ไปยังศนย์กลางนิวเคลียสของโ โลเนียม 165
7 165
67 Ho ซ่งถกตรงไว้ ง
หาร ย ทีอ
่ นุ าคแอลฟาเข้าใกล้นวิ เคลียสของโ โลเนียม 165 ได้มากทีส่ ด

วิธีทำา ถ้ายิงอนุ าคแอลฟามวล m ปร ุ Q1 ด้วยความเร็ว v ไปยังศนย์กลางของนิวเคลียส
โ โลเนียม ซ่งมีปร ุ Q2 แรง ลักของนิวเคลียสโ โลเนียม ทาให้อนุ าคแอลฟา
เคลื่อนที่เข้าใกล้นิวเคลียสโ โลเนียมเปนร ย d ก่อนที่ วกกลับ ดังรป
v
a 165
67 Ho

ทีร่ ย ห่าง d นี้ พลังงาน ลน์เริม


่ ต้นของอนุ าคแอลฟามีคา่ เท่ากับพลังงานศักย์ไฟฟา
Ek = Ep
1 2 QQ
mv = k 1 2
2 r
Q1Q2
r = 2k
mv 2
2(9 109 N m2 /C2 )(2 1.60 10 19 C)(67 1.60 10 19
C)
d =
(4.002603 1.66 10 27 kg)(1.5 107 m/s)2
d = 4.13 10 14 m
ตอบ ร ย ที่อนุ าคแอลฟาเข้าใกล้นิวเคลียสโ โลเนียมมากที่สุดเท่ากับ 4.1 × 10-14 เมตร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
266 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

44. าตุกม
ั มันตรังสีชนิดหน่งแ ร่ งั สีแอลฟาโดยมีกม
ั มันต าพ 3.2 × 109 เบ็กเคอเรล ถ้าอนุ าคแอลฟา
แต่ล อนุ าคมีพลังงานเฉลีย่ 5.2 เมก อิเล็กตรอนโวลต์ แล อนุ าคแอลฟา าก าตุนช
้ี นแ น

อ ลมิเนียมบางซ่งมีมวล 2 × 10-4 กิโลกรัม ซ่งสามารถกัน
้ รังสีแอลฟาได้ทง้ั หมด
ก. งหาพลังงานในหน่วย ล ทีแ่ น
่ อ ลมิเนียมดดกลืนไว้ในแต่ล วินาที
ข. หากพลังงานทีแ่ น
่ อ ลมิเนียมได้รบ
ั เปนความร้อน เมือ
่ เวลา า่ นไป 1 นาที
แ น
่ อ ลมิเนียมมีอณ
ุ ห มิสงข้นกีอ
่ งศาเซลเซียส
กาหนด ความร้อน าเพา ของอ ลมิเนียม 900 ลต่อกิโลกรัมเคลวิน
วิธีทำา ก. กัมมันต าพบอกถง านวนนิวเคลียสทีส่ ลายใน 1 วินาที ซ่งก็คอื านวนอนุ าคแอลฟาที่
แ ่ออกมาใน วินาที ในที่นี้ A เท่ากับ 3.2 × 109 เบ็คเกอเรล นั่นคือ ใน 1 วินาที มี
การปล่อยอนุ าคแอลฟาออกมา านวน
= 3.2 × 109 อนุ าค
ให้ E1 เปนพลังงานเฉลี่ยของแต่ล อนุ าค
ในที่นี้ E = 5.2 MeV
หรือ E = 5.2 × 106 × 1.6 × 10-19 J
ดังนั้นใน 1 วินาที พลังงานที่ปล่อยทั้งหมด E มีค่าดังนี้
E = 1

= 3.2 × 109)(5.2 × 106 × 1.6 × 10-19 J)


= 2.66 × 10-3 J
ข. อุณห มิของอ ลมิเนียมที่เปลี่ยนไปเมื่อได้รับพลังงานความร้อนหาได้ ากสมการ
Q = mcΔT
ในที่นี้ m = 2 × 10 c = 900 J/kg K แล ในเวลา 1 นาที
-4

Q = 2.66 × 10-3 J 60
แทนค่า ในสมการ Q = mcΔT ได้
2.66 × 10-3 J 60 = 2 × 10-4 ( 00 ΔT
ΔT = 0.9 K หรือ 0.9 C

ตอบ ก. พลังงานที่แ ่นอ ลมิเนียมดดกลืนไว้ในแต่ล วินาทีเท่ากับ 2.66 × 10-3 ล


ข. เมื่อเวลา ่านไป 1 นาที แ ่นอ ลมิเนียมมีอุณห มิสงข้น 0.9 C

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 267

A0
45. ในการสลายของ าตุกม
ั มันตรังสี เมือ
่ เวลา า่ นไป t = nT1 งแสดงให้เห็นว่า A =
แล
m0 2n
m = n โดยที่ A0 คือ กัมมันต าพเริม่ ต้น แล m0 คือ มวลเริม่ ต้น (2.4 102 Bq)
2 A=
วิธีทำา ากสมการความสัมพัน ์ร หว่างกัมมันต าพ A เมื่อเวลา ่านไป t กับกัมมันต าพ26
เริ่มต้น A ตามสมการ
t
A A0e
ln 2
โดย
T1/2
0.693
เมื่อ t = nT1 แทนค่ า ได้
(3.82 24 60 60) s (
ln 2
) nT1/2
T1/2
A = A0 e
n ln 2
A = A0 e
n
A = A0e ln 2
เนื่อง าก eln x = x
A0
ได้ A =
2n
สาหรับความสัมพัน ์ร หว่างมวลที ่เหลือ10
(2.4 อย่2 m เมื่อเวลา ่านไป t กับมวลเริ่มต้น m0
Bq)
A =
ตามสมการ m = m0e t
2 6

เมื่อ t = nT1 สามารถพิ ารณาได้โดยใช้แนวทางเดียวกัน ได้


m
m = n0
2
235
46. ในเครือ
่ งป ก
ิ รณ์นวิ เคลียร์ เมือ
่ ให้นวิ ตรอนไปชนกับนิวเคลียสของยเรเนียม 235 92 U แล้ว
เกิดฟชชัน มีพลังงานถกปล่อยออกมา 200 เมก อิเล็กตรอนโวลต์ตอ
่ ครัง้ ถ้าเครือ
่ งป ก
ิ รณ์
นิวเคลียร์นม
้ี ก
ี าลัง 800 เมก วัตต์ แล มีปร สิท ิ าพร้อยล 25 เครือ
่ งป ก
ิ รณ์นวิ เคลียร์เครือ
่ ง
นีส้ ามารถทาให้ยเรเนียม 235 เกิดฟชชันกีค
่ รัง้ ต่อวัน
วิธีทำา ถ้า W เปนพลังงานที่ได้ ากฟชชันของยเรเนียม 235 หน่งครั้งที่ถกนาไปใช้ได้
ซ่งมีเพียงร้อยล 25 หรือ 0.25 เท่าของพลังงานที่ถกปล่อยออกมา ดังนั้น
W = 200 × 1.60 × 10-13 J)(0.25)
= 8.0 × 10-12 J
ถ้า P เปนกาลังของเครื่องป ิกรณ์นิวเคลียร์
P = 800 × 106 W
= 800 × 106 J/s

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
268 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ เล่ม 6

ถ้า n เปน านวนครั้งที่เกิดฟชชันต่อหน่งหน่วยเวลา ได้


P
n =
W
800 106 J/s
=
8.0 10 12 J
3600 s 24 h
= (100 1018 s 1 )
1h 1d
24 1
= 8.64 10 d
ตอบ ยเรเนียม 235 เกิดฟชชัน 8.64 × 1024 ครั้งต่อวัน

47. ในการให้นิวตรอนไปชนกับนิวเคลียสของยเรเนียม 235 235


92 U + 01 nทาให้236
ไ92ด้น
Uิว*เคลีย42
สของ
98
Mo 136
54 Xe 2 01
ยเรเนียม 236 ในสถาน
92 U +กร
235
0 nตุ้น
1 236
92 U* ดังสมการ
98
42 Mo
136
54 Xe 2 01 n + 4 01e
235
92 U + 01 n 236
92 U* 98
42 Mo 136
54 Xe 2 01 n + 4 01e
ากนั้น นิวเคลียสของยเรเนียม 236 เกิดฟชชัน ทาให้ได้นิวเคลียสลกคือโมลิบดินัม 98
+ 01 n 92แล ซีนอน 1 e พร้
2 0อ1 nมทั+้ง4
มีน01ิวeตรอนถกปล่อยออกมา 2 อนุ าค แล บีตา 4
236
235 *
UU + 01 n42
9292
98
Mo236 136*
U54 Xe
98 1
422
Mo 136 0
0n + 4
136 54 Xe

อนุ าค งคานวณพลั ง งานที่ ถ กปล่ อ ยออกมา ากฟชชั น ของยเรเนี ย ม 235 โดยไม่ คิ ด


พลังงานของอนุ าคบีตา
กาหนด
U +U01+nมวลของ
235 235
92 92
1 236 236
0 n 92 U
235
* * 98 1 98
9292UU +42 0Mo แล136
n42 Mo U54 Xe2 เท่
236 136*
92 Xe
54
98
1 1
0n
42 า0+
2Moกัnบ4+235.043925
0136 0
14e54 Xe
1e 2 01 nu+ 4 0
1e
97.905405 u
แล 135.907220 u ตามลาดับ
วิธีทำา ถ้า E เปนพลังงานที่ปล่อยออกมา ากฟชชัน สามารถหา E ได้ ากพลังงานที่เทียบเท่า
ส่วนของมวลที่ลดลง Δm ตามสมการ
E = Δm 931.5 MeV/u
ากฟชชันที่เกิดข้น สามารถเขียนสมการได้เปน
235 1 236 * 98 136
92 U + 0 n 92 U 42 Mo 54 Xe 2 01 n + 4 01e
เมื่อไม่คิดพลังงานของอนุ าคบีตา หาส่วนของมวลที่ลดลง าก ลต่างร หว่าง ลรวม
มวลก่อนกับหลังเกิดฟชชันได้ดังนี้
Δm = 235.043925 u + 1.008665 u
− 97.905405 u + 135.907220 u + 2 × 1.008665 u
= 236.0525 0 − 235.82 55
= 0.222635 u
หาพลังงานที่เทียบเท่าส่วนของมวลที่ลดลง ากสมการ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค 269

E = Δm 931.5 MeV/u
ดังนั้น E = 0.222635 u 931.5 MeV/u
= 207.384503 MeV
ตอบ พลังงานที่ถกปล่อยออกมา ากฟชชันของยเรเนียม 235 เท่ากับ 207 MeV

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
270 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6

าค นวก

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 271

ตัวอย่างเครื่องมือวัดและประเมินผล
แบบทดสอบ
การปร เมิ น ลด้ ว ยแบบทดสอบเปนวิ ี ท่ี นิ ย มใช้ กั น อย่ า งแพร่ ห ลายในการวั ด ลสั ม ท ิ ใ น
การเรียนโดยเฉพา ด้านความร้เเล ความสามารถทางสติปญญา ครควรมีความเข้าใ ในลักษณ ของ
แบบทดสอบ รวมทั้งข้อดีแล ข้อ ากัดของแบบทดสอบรปแบบต่าง เพ่ือปร โยชน์ในการสร้างหรือเลือก
ใช้แบบทดสอบให้เหมา สมกับส่ิงที่ต้องการวัด โดยลักษณ ของแบบทดสอบ รวมท้ังข้อดีแล ข้อ ากัดของ
แบบทดสอบรปแบบต่าง เปนดังน้ี
1) แบบทดสอบแบบที่มีตัวเลือก
แบบทดสอบแบบที่มีตัวเลือก ได้แก่ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ แบบทดสอบแบบถกหรือ ิด
แล แบบทดสอบแบบ ับค่ รายล เอียดของแบบทดสอบแต่ล แบบเปนดังนี้
1.1) แบบทดสอบแบบเลือกตอบ
เปนแบบทดสอบที่มีการกาหนดตัวเลือกให้หลายตัวเลือก โดยมีตัวเลือกที่ถกเพียงหน่ง
ตัวเลือก องค์ปร กอบหลักของแบบทดสอบแบบเลือกตอบมี 2 ส่วน คือ คาถามแล ตัวเลือก แต่บางกรณี
อา มีส่วนของสถานการณ์เพิ่มข้นมาด้วย แบบทดสอบแบบเลือกตอบมีหลายรปแบบ เช่น แบบทดสอบ
แบบเลือกตอบคาถามเดี่ยว แบบทดสอบแบบเลือกตอบคาถามชุด แบบทดสอบแบบเลือกตอบคาถาม
2 ชั้น โครงสร้างดังตัวอย่าง

แบบทดสอบแบบเลือกตอบแบบคำาถามเดี่ยวที่ไม่มีสถานการ ์

คาถาม...............................................................................................

ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
272 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6

แบบทดสอบแบบเลือกตอบแบบคำาถามเดี่ยวที่มีสถานการ ์

สถานการณ์.......................................................................................

คาถาม...............................................................................................

ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................

แบบทดสอบแบบเลือกตอบแบบคำาถามเปนชุด

สถานการณ์.......................................................................................

คาถามที่ 1...............................................................................................

ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................

คาถามที่ 2...............................................................................................

ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 273

แบบทดสอบแบบเลือกตอบแบบคำาถาม 2 ชั้น

สถานการณ์.......................................................................................

คาถามที่ 1.........................................................................................

ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................

คาถามที่ 2... ถามเหตุ ลของการตอบคาถามที่ 1 ...


.........................................................................................................
.........................................................................................................

แบบทดสอบแบบเลือกตอบมีข้อดีคือ สามารถใช้ ลสัม ท ิของนักเรียนได้ครอบคลุม


เน้ือหาตาม ุดปร สงค์ สามารถตรว ให้ค แนนแล แปล ลค แนนได้ตรงกัน แต่มีข้อ ากัดคือ ไม่เปด
โอกาสให้นักเรียนได้แสดงออกอย่างอิสร งไม่สามารถวัดความคิดร ดับสง เช่น ความคิดสร้างสรรค์ได้
นอก ากนี้นักเรียนที่ไม่มีความร้สามารถเดาคาตอบได้
1.2) แบบทดสอบแบบถกหรือ ิด
เปนแบบทดสอบท่ม
ี ต
ี วั เลือกถกแล ด
ิ เท่านัน
้ มีองค์ปร กอบ 2 ส่วน คือ คาสัง่ แล ข้อความ
ให้นักเรียนพิ ารณาว่าถกหรือ ิด ดังตัวอย่าง

แบบทดสอบแบบถูกหรือผิด

คำาสั่ง ให้พิ ารณาว่าข้อความต่อไปนี้ถกหรืือ ิด เเล้วใส่เครื่องหมาย หรือ หน้าข้อความ


................ 1. ข้อความ............................................................................
................ 2. ข้อความ............................................................................
................ 3. ข้อความ............................................................................
................ 4. ข้อความ............................................................................
................ 5. ข้อความ............................................................................

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
274 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6

แบบทดสอบรปแบบนี้สามารถสร้างได้ง่าย รวดเร็ว เเล ครอบคลุมเนื้อหา สามารถตรว


ได้รวดเร็วเเล ให้ค เเนนได้ตรงกัน แต่นักเรียนมีโอกาสเดาได้มาก แล การสร้างข้อความเปน ริงหรือ
เปนเท็ โดยสมบรณ์ในบางเนื้อทาได้ยาก
1.3) แบบทดสอบแบบ ับค่
ปร กอบด้วยส่วนที่เปนคาสั่ง แล ข้อความสองชุดที่ให้ ับค่กัน โดยข้อความชุดที่ 1
อา เปนคาถาม แล ข้อความชุดท่ี 2 อา เปนคาตอบหรือตัวเลือก โดย านวนข้อความในชุดท่ี 2 อา มี
มากกว่าในชุดท่ี 1 ดังตัวอย่าง

แบบทดสอบแบบจับคู่

คำาสั่ง ให้นาตัวอักษรหน้าข้อความในชุดคาตอบมาเติมในช่องว่างหน้าข้อความในชุดคาถาม

ชุดคำาถาม ชุดคำาตอบ

............ 1. ข้อความ.............................. ก. ข้อความ..............................


............ 2. ข้อความ.............................. ข. ข้อความ..............................
............ 3. ข้อความ.............................. ค. ข้อความ..............................
ง. ข้อความ..............................

แบบทดสอบรปแบบน้ีสร้างได้ง่าย ตรว ให้ค แนนได้ตรงกัน แล เดาคาตอบได้ยาก


เหมา สาหรับวัดความสามารถในการหาความสัมพัน ์ร หว่างคาหรือข้อความ 2 ชุด แต่ในกรณีที่นักเรียน
ับค่ ิดไปแล้ว ทาให้มีการ ับค่ ิดในค่อื่น ด้วย

2) แบบทดสอบแบบเขียนตอบ
เปนแบบทดสอบที่ให้นักเรียนคิดคาตอบเอง งมีอิสร ในการแสดงความคิดเห็นแล ส ท้อน
ความคิดออกมาโดยการเขียนให้ อ
้ า่ นเข้าใ โดยทัว่ ไปการเขียนตอบมี 2 แบบ คือ การเขียนตอบแบบเติมคา
หรือการเขียนตอบอย่างสั้น แล การเขียนตอบแบบอ ิบาย รายล เอียดของแบบทดสอบที่มีการตอบ
แต่ล แบบเปนดังน้ี้
2.1) แบบทดสอบเขียนตอบแบบเติมคาหรือตอบอย่างส้ัน
ปร กอบด้วยคาสั่งแล ข้อความที่ไม่สมบรณ์ ซ่ง มีส่วนที่เว้นไว้เพื่อให้เติมคาตอบหรือ
ข้อความสั้น เพื่อให้เติมคาตอบหรือข้อความสั้น ท่ีทาให้ข้อความข้างต้นถกต้องหรือสมบรณ์ นอก ากนี้
แบบทดสอบยั ง อา ปร กอบด้ ว ยสถานการณ์ แ ล คาถามที่ ใ ห้ นั ก เรี ย นตอบโดยการเขี ย นอย่ า งอิ ส ร
แต่สถานการณ์แล คาถาม เปนส่ิงที่กาหนดคาตอบให้มีความถกต้องแล เหมา สม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 275

แบบทดสอบรปแบบน้ีสร้างได้ง่าย มีโอกาสเดาได้ยาก แล สามารถวินิ ฉัยคาตอบที่


นักเรียนตอบ ิด เพื่อให้ทราบถงข้อบกพร่องทางการเรียนร้หรือความเข้าใ ที่คลาดเคลื่อนได้ แต่การ ากัด
คาตอบให้นักเรียนตอบเปนคา วลี หรือปร โยคได้ยาก ตรว ให้ค แนนได้ยากเนื่อง ากบางคร้ังมีคาตอบ
ถกต้องหรือยอมรับได้หลายคาตอบ
2.2) แบบทดสอบเขียนตอบแบบอ ิบาย
เปนแบบทดสอบที่ต้องการให้นักเรียนตอบอย่างอิสร ปร กอบด้วยสถานการณ์แล
คาถามที่สอดคล้องกัน โดยคาถามเปนคาถามแบบปลายเปด
แบบทดสอบรปแบบนี้ในการตอบ งสามารถใช้วัดความคิดร ดับสงได้ แต่เนื่อง าก
นักเรียนต้องใช้เวลาในการคิดแล เขียนคาตอบมาก ทาให้ถามได้น้อยข้อ งอา ทาให้วัดได้ไม่ครอบคลุม
เนื้อหาทั้งหมด รวมทั้งตรว ให้ค แนนยาก แล การตรว ให้ค แนนอา ไม่ตรงกัน

แบบประเมินทักษะ
เมื่อนักเรียนได้ลงมือป ิบัติกิ กรรม ริง มีหลัก านร่องรอยท่ีแสดงไว้ทั้งวิ ีการป ิบัติแล ล
การป ิบัติ ซ่งหลัก านร่องรอยเหล่านั้นสามารถใช้ในการปร เมินความสามารถ ทักษ การคิด แล ทักษ
ป ิบัติได้เปนอย่างดี
การป ิบัติการทดลองเปนกิ กรรมที่สาคัญที่ใช้ในการ ัดการเรียนร้ทางวิทยาศาสตร์ โดยทั่วไป
ปร เมินได้ 2 ส่วน คือปร เมินทักษ การป บ
ิ ต
ั ก
ิ ารทดลองแล การเขียนรายงานการทดลอง โดยเคร่อ
ื งมือ
ที่ใช้ปร เมินดังตัวอย่าง

ตัวอย่างแบบสำารวจรายการทักษะป ิบัติการทดลอง

ผลการสำารวจ
รายการที่ต้องสำารวจ มี
(ระบุจำานวนครั้ง) ไม่มี

การวางเเ นการทดลอง

การทดลองตามขั้นตอน

การสังเกตการทดลอง

การบันทก ล

การอ ิปราย ลการทดลองก่อนลงข้อสรุป

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
276 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6

ตัวอย่างแบบประเมินทักษะป ิบัติการทดลอง
ที่ใช้เก ์การให้คะเเนนเเบบเเยกองค์ประกอบย่อย

คะแนน
ทักษะป ิบัติการ
ทดลอง
3 2 1

การเลือกใช้อป
ุ กรณ์ เลือกใช้อุปกรณ์ เลือกใช้อุปกรณ์ เลือกใช้อุปกรณ์
เครื่องมือใน เครือ่ งมือในการทดลอง เครื่องมือในการทดลอง เครือ่ งมือในการทดลอง
การทดลอง ได้ถกต้องเหมา สม ได้ถกต้องเเต่ไม่เหมา สม ไม่ถกต้อง
กับงาน กับงาน

การใช้อุปกรณ์ เลือกใช้อุปกรณ์ ใช้อุปกรณ์ เครื่องมือใน ใช้อุปกรณ์ เครือ่ งมือใน


เครื่องมือใน เครือ่ งมือในการทดลอง การทดลองได้ถกต้องตาม การทดลองไม่ถกต้อง
การทดลอง ได้อย่างคล่องเเคล่ว หลักการป ิบัติ แต่ไม่
แล ถกต้องตามหลัก คล่องเเคล่ว
การป ิบัติ

การทดลองตาม ทดลองตามวิ ีการเเล ทดลองตามวิ ีการเเล ทดลองตามวิ ีการเเล


เเ นที่กาหนด ขั้นตอนที่กาหนดไว้ ขั้นตอนที่กาหนดไว้ มี ขั้นตอนที่กาหนดไว้หรือ
อย่างถกต้อง มีการปรับ การปรับปรุงเเก้ไขบ้าง ดาเนินการข้ามขั้นตอน
ปรุงเเก้ไขเปนร ย ที่กาหนดไว้ ไม่มีการ
ปรับปรุงแก้ไข

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 277

ตัวอย่างแบบประเมินทักษะป ิบัติการทดลอง
ที่ใช้เก ์การให้คะเเนนเเบบมาตรประมา ค่า

ผลการประเมิน
ทักษะที่ประเมิน
ร ดับ 3 ร ดับ 2 ร ดับ 1

1.วางแ นการทดลองอย่างเปนขั้นตอน ร ดับ 3 ร ดับ 2 ร ดับ 1


2.ป ิบัติการทดลองได้อย่างคล่องเเคล่ว สามารถ หมายถง หมายถง หมายถง
เลือกใช้อุปกรณ์ได้ถกต้อง เหมา สมเเล ัดวาง ป ิบัติได้ทั้ง ป ิบัติได้ ป ิบัติได้
อุปกรณ์เปนร เบียบ ส ดวกต่อการใช้งาน 3 ข้อ 2 ข้อ 1 ข้อ
3.บันทก ลการทดลองได้ถกต้องเเล ครบถ้วน
สมบรณ์

ตัวอย่างเเนวทางให้คะเเนนการเขียนรายงานการทดลอง

คะเเนน

3 2 1

เขียนรายการตามลาดับ เขียนรายงานการทดลองตาม เขียนรายงานโดยลาดับขั้นตอน


ขั้นตอน ลการทดลองตรง ลาดับ เเต่ไม่สื่อความหมาย ไม่สอดคล้องกัน เเล สื่อ
ตามส าพ ริงเเล สื่อ ความหมาย
ความหมาย

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
278 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6

แบบประเมินคุ ลักษ ะด้านจิตวิทยาศาสตร์


..การปร เมิ น ิ ต วิ ท ยาศาสตร์ ไ ม่ ส ามารถทาได้ โ ดยตรงโดยท่ั ว ไปทาโดยการตรว สอบ
พ ติ ก รรม ายนอกที่ ป ราก ให้ เ ห็ น ในลั ก ษณ ของคาพด การแสดงความคิ ด เห็ น การป ิ บั ติ ห รื อ
พ ติ ก รรมบ่ ง ชี้ ที่ ส ามารถสั ง เกตหรื อ วั ด ได้ แล แปล ลไปถง ิ ต วิ ท ยาศาสตร์ ซ่ ง เปนสิ่ ง ท่ี ส่ ง ลให้ เ กิ ด
พ ติกรรมดังกล่าว เครื่องมือที่ใช้ปร เมินคุณลักษณ ด้าน ิตวิทยาศาสตร์ ดังตัวอย่าง

ตัวอย่างแบบประเมินคุ ลักษ ะด้านจิตวิทยาศาสตร์

คำาชี้เเจง งทาเครื่องหมาย ลงในช่องว่างที่ตรงกับคุณลักษณ ที่นักเรียนเเสดงออก โดย าเเนกร ดับ


พ ติกรรมการเเสดงออกเปน 4 ร ดับ ดังนี้

มาก หมายถง นักเรียนเเสดงออกในพ ติกรรมเหล่านั้นอย่างสม่าเสมอ


ปานกลาง หมายถง นักเรียนเเสดงออกในพ ติกรรมเหล่านั้นเปนครั้งคราว
น้อย หมายถง นักเรียนเเสดงออกในพ ติกรรมเหล่านั้นน้อยครั้ง
ไม่มีการเเสดงออก หมายถง นักเรียนเเสดงออกในพ ติกรรมเหล่านั้นเลย

ระดับพ ติกรรมการเเสดงออก
รายการพ ติกรรมการเเสดงออก
ไม่มีการ
มาก ปานกลาง น้อย
เเสดงออก

ด้านความอยากรู้อยากเห็น
1.นักเรียนสอบถาม าก ร้ ห
้ รือไปศกษาค้นคว้าเพิม
่ เติม
เมื่อเกิดความสงสัยในเรื่องราววิทยาศาสตร์
2.นักเรียนชอบไปงานนิทรรศการวิทยาศาสตร์
3.นักเรียนนาการทดลองทีส่ นใ ไปทดลองต่อทีบ
่ า้ น

ด้านความ ื่อสัตย์
1.นักเรียนรายงาน ลการทดลองตามทีท
่ ดลองได้ ริง
2.เมื่อทางานทดลอง ิดพลาด นักเรียน ลอก ล
การทดลองของเพื่อนส่งคร
3.เมื่อครมอบหมายให้ทาชิ้นงานสิ่งปร ดิษ ์
นักเรียน ปร ดิษ ์ตามเเบบที่ปราก อย่ใน
หนังสือ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 279

ระดับพ ติกรรมการเเสดงออก
รายการพ ติกรรมการเเสดงออก
ไม่มีการ
มาก ปานกลาง น้อย
เเสดงออก

ด้านความใจกว้าง
1.แม้ว่านักเรียน ไม่เห็นด้วยกับการสรุป ลการ
ทดลองในกลุ่ม แต่ก็ยอมรับ ลสรุปของสมาชิก
ส่วนใหญ่
2.ถ้าเพื่อนแย่งวิ ีการทดลองนักเรียนแล มีเหตุ ล
ที่ดีกว่า นักเรียนพร้อมที่ นาข้อเสนอเเน ของ
เพื่อนไปปรับปรุงงานของตน
3.เมื่องานที่นักเรียนตั้งใ แล ทุ่มเททาถกตาหนิ
หรือโต้เเย้ง นักเรียน หมดกาลังใ

ด้านความรอบคอบ
1.นักเรียนสรุป ลการทดลองทันทีเมื่อเสร็ สิ้น
การทดลอง
2.นักเรียนทาการทดลองซ้า ก่อนที่ สรุป ล
การทดลอง
3.นักเรียนตรว สอบความพร้อมของอุปกรณ์ก่อน
ทาการทดลอง

ด้านความมุ่งมั่นอดทน
1.ถงแม้ว่างานค้นคว้าที่ทาอย่มีโอกาสสาเร็ ได้ยาก
นักเรียน ยังค้นคว้าต่อไป
2.นักเรียนล้มเลิกการทดลองทันที เมื่อ ลการ
ทดลองที่ได้ขัด ากที่เคยเรียนมา
3.เมื่อทราบว่าชุดการทดลองที่นักเรียนสนใ ต้อง
ใช้ร ย เวลาในการทดลองนาน นักเรียนก็
เปลี่ยนไปศกษาชุดการทดลองที่ใช้เวลาน้อยกว่า

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
280 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6

ระดับพ ติกรรมการเเสดงออก
รายการพ ติกรรมการเเสดงออก
ไม่มีการ
มาก ปานกลาง น้อย
เเสดงออก

เจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์
1.นักเรียนนาความร้ทางวิทยาศาสตร์ มาใช้
เเก้ปญหาในชีวิตปร าวันอย่เสมอ
2.นักเรียนชอบทากิ กรรมที่เกี่ยวข้องกับ
วิทยาศาสตร์
3.นักเรียนสนใ ติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ
วิทยาศาสตร์

วิธีการตรวจให้คะเเนน
ตรว ให้ค เเนนตามเกณฑ์โดยกาหนดน้าหนักของตัวเลขในช่องต่าง เปน 4 3 2 1 ตามลาดับ
ข้อความทีม
่ ค
ี วามหมายเปนทางบวก กาหนดให้ค เเนนเเต่ล ข้อความดังต่อไปนี้

ระดับพ ติกรรมการเเสดงออก คะเเนน

มาก 4

ปานกลาง 3

น้อย 2

ไม่มีการเเสดงออก 1

ส่วนของข้อความทีม
่ ค
ี วามหมายเปนทางลบ กาหนดให้ค
้ เเนนในแต่ล ข้อความมีลก
ั ษณ ตรงข้าม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 281

การประเมินการนำาเสนอผลงาน
การปร เมิ น ลแล ให้ ค แนนการนาเสนอ ลงานอา ใช้ แ นวทางการปร เมิ น เช่ น เดี ย วกั บ
การปร เมิน าร งานอื่น คือ การใช้ค แนนแบบ าพรวม แล การให้ค แนนแบบแยกองค์ปร กอบย่อย
ดังรายล เอียด ต่อไปนี้
1) การให้คะแนนในภาพรวม เปนการให้ค แนนที่ต้องการสรุป าพรวม งปร เมินเฉพา
ปร เด็นหลักที่สาคัญ เช่น การปร เมินความถกต้องของเนื้อหา ความร้แล การปร เมินสมรรถ าพ
ด้านการเขียน โดยใช้เกณฑ์การให้ค แนนแบบ าพรวม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ี

ตัวอย่างเก ์การประเมินความถูกต้องของเนื้อหาความรู้ (แบบภาพรวม)

รายการประเมิน ระดับประเมิน

เนื้อหาไม่ถกต้องเปนส่วนใหญ่ ต้องปรับปรุง
เนื้อหาถกต้องเเต่ให้สาร สาคัญน้อยมาก เเล ร บุเเหล่งที่มาของความร้ พอใช้
เนื้อหาถกต้อง มีสาร สาคัญ แต่ยังไม่ครบถ้วน มีการร บุเเหล่งที่มาของความร้ ดี
เนื้อหาถกต้อง มีสาร สาคัญครบถ้วน เเล ร บุเเหล่งที่มาของความร้ชัดเ น ดีมาก

ตัวอย่างเก ์การประเมินสมรรถภาพด้านการเขียน (แบบภาพรวม)

รายการประเมิน ระดับประเมิน

เขียนสับสน ไม่เปนร บบ ไม่บอกปญหาแล ุดปร สงค์ ขาดการเชื่อมโยง ต้องปรับปรุง


เนื้อหาบางส่วนไม่ถกต้องหรือไม่สมบรณ์ ใช้ าษาไม่เหมา สมเเล ส กดคาไม่
ถกต้อง ไม่อ้างอิงเเหล่งที่มาของความร้

เขียนเปนร บบเเต่ไม่ชัดเ น บอก ุดปร สงค์ไม่ชัดเ น เนื้อหาถกต้องเเต่มี พอใช้


รายล เอียดไม่เพียงพอ เนื้อหาบางตอนไม่สัมพัน ์กัน การเรียบเรียงเนื้อหาไม่
ต่อเนื่อง ใช้ าษาถกต้อง อ้างอิงแหล่งที่มาของความร้

เขียนเปนร บบ แสดงให้เห็นโครงสร้างของเรื่อง บอกความสาคัญเเล ที่มาของ ดี


ปญหา ุดปร สงค์ เเนวคิดหลักไม่ครอบคุมปร เด็นสาคัญทั้งหมด เนื้อหาบาง
ตอนเรียบเรียงไม่ต่อเนื่อง ใช้ าษาถกต้อง มีการยกตัวอย่าง รป าพเเ น าพ
ปร กอบ อ้างอิงเเหล่งที่มาของความร้
เขียนเปนร บบ แสดงให้เห็นโครงสร้างของเรื่อง บอกความสาคัญเเล ที่มาของ ดีมาก
ปญหา ุดปร สงค์ เเนวคิดหลักได้ครอบคุมปร เด็นสาคัญทั้งหมด เรียบเรียง
เนื้อหาได้ต่อเนื้องต่อเนื่อง ใช้ าษาถกต้อง ชัดเ นเข้าใ ง่าย รป าพเเ น าพ
ปร กอบ อ้างอิงเเหล่งที่มาของความร้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
282 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6

2) การให้คะแนนแบบแยกองค์ประกอบย่อย เปนการปร เมินเพื่อต้องการนา ลการปร เมิน


ไปใช้พั นางานให้มค
ี ณ
ุ าพ า่ นเกณฑ์ แล พั นาคุณ าพให้สงข้นกว่าเดิมอย่างต่อเนือ่ ง โดยใช้เกณฑ์ยอ่ ย
ในการปร เมินเพื่อทาให้ร้ทั้ง ุดเด่นที่ควรส่งเสริมแล ุดด้อยที่ควรแก้ไขปรับปรุงการทางานในส่วนนั้น
เกณฑ์การให้ค แนนแบบแยกองค์ปร กอบย่อย มีตัวอย่างดังนี้
ตัวอย่างเก ์การประเมินสมรรถภาพ (แบบแยกองค์ประกอบย่อย)

รายการประเมิน ระดับคุ ภาพ

ด้านการวางเเผน

ไม่สามารถออกเเบบได้ หรือออกเเบบได้เเต่ไม่ตรงกับปร เด็นปญหาทีต


่ อ
้ งการเรียนร้ ต้องปรับปรุง

ออกเเบบการได้ตามปร เด็นสาคัญของปญหาบางส่วน พอใช้

ออกเเบบครอบคลุมปร เด็นสาคัญของปญหาเปนส่วนใหญ่ เเต่ยังไม่ชัดเ น ดี

ออกเเบบได้ครอบคลุมปร เด็นสาคัญของปญหาอย่างเปนขั้นตอนที่ชัดเ น ดีมาก


เเล ตรงตาม ุดปร สงค์ที่ต้องการ

ด้านการดำาเนินการ

ดาเนินการไม่เปนไปตามแ น ใช้อป
ุ กรณ์เเล สือ
่ ปร กอบถกต้องเเต่ไม่คล่องเเคล่ว ต้องปรับปรุง

ดาเนินการตามแ นทีว่ างไว้ ใช้อป


ุ กรณืเเล สือ
่ ปร กอบถกต้องเเต่ไม่คล่องเเคล่ว พอใช้

ดาเนินการตามแ นที่วางไว้ ใช้อุปกรณ์เเล สื่อปร กอบการสา ิตได้อย่าง ดี


คล่องเเคล่วแล เสร็ ทันเวลา ลงานในบางขั้นตอนไม่เปนไปตาม ุดปร สงค์
ดาเนินการตามแ นที่วางไว้ ใช้อุปกรณ์เเล สื่อปร กอบได้ถกต้อง คล่องเเคล่ว ดีมาก
เเล เสร็ ทันเวลา ลงานทุกขั้นตอนเปนไปตาม ุดปร สงค์
ด้านการอธิบาย
อ ิบายไม่ถกต้อง ขัดเเย้งกับเเนวคิดหลักทางวิทยาศาสตร์ ต้องปรับปรุง
อ ิบายโดยอาศัยเเนวคิดหลักทางวิทยาศาสตร์ เเต่การอ ิบายเปนเเนวพรรณนา พอใช้
ทั่วไป ซ่งไม่คานงถงการเชื่อมโยงกับปญหาทาให้เข้าใ ยาก
อ ิบายโดยอาศัยเเนวคิดหลักทางวิทยาศาสตร์ ตรงตามปร เด็นของปญหา ดี
เเต่ข้ามไปในบางขั้นตอน ใช้ าษาได้ถกต้อง
อ ิบายโดยอาศัยเเนวคิดหลักทางวิทยาศาสตร์ ตรงตามปร เด็นของปญหาเเล ดีมาก
ุดปร สงค์ ใช้ าษาได้ถกต้องเข้าใ ง่าย สื่อความหมายให้ชัดเ น

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 283

บรร านุกรม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี. (2554). คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ เล่ม 4.


กรุงเทพ : โรงพิมพ์คุรุส า ลาดพร้าว.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี. (2559). คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ เล่ม 5.
(พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี. (2562). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมค ิตศาสตร์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 2. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพ : สานักพิมพ์ ุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุรศักดิ พงศ์พน
ั ส์ุ ข
ุ , สุชาดา พงษ์พั น์ แล กรรณิกา มณีวรรณ์. (2550). อยู่ปลอดภัยกับอะตอม.
กรุงเทพ : สานักงานปรมาณเพื่อสันติ.
สานักงานปรมาณเพือ
่ สันติ. (2552). ศัพทานุกรมนิวเคลียร์. กรุงเทพ : สานักงานปรมาณเพื่อสันติ.
สานักงานราชบัณฑิตยส า. 2546 . ศัพท์วท
ิ ยาศาสตร์ อังก ษ-ไทย ไทย-อังก ษ ฉบับราชบั ต
ิ ยสถาน.
(พิมพ์ครั้งที่ 5 แก้ไขเพิ่มเติม). กรุงเทพ : อรุณการพิมพ์.
Charley, S. (2015). How to build your own particle detector. Symmetry Magazine.
Retrieved January 30, 2020 from https://www.symmetrymagazine.org/article/
january-2015/how-to-build-your-own-particle-detector
Giancoli, D. C. (2014). Physics: Principles with Applications. (7th ed.). Pearson.
Halliday, D., Resnick, R., Walker, J. (2013). Fundamentals of Physics. (10th ed.).
John Wiley & Sons, Inc.
International Commission on Radiological Protection. (2007). ICRP Publication 103:
The 2007 Recommendations of the International Commission on Radiological
Protection. Retrieved January 15, 2019 from
https://journals.sagepub.com/doi/pdf/10.1177/ANIB_37_2-4
Sang, D., Jones, G., Chadha G., Woodside R. (2014). Cambridge International AS and
A Level Physics Coursebook. (2th ed). Cambridge University Press.
Serway, R. A., Jewett, Jr., J. W. (2014). Physics for Scientists and Engineers with
Modern Physics. (10th ed.). Brooks/Cole.

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
284 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6

Watanabe, Y., Shimada, M. Yamashita, K. (2015). Let’s Start Learning Radiation:


Supplementary Material on Radiation for Secondary School Students.
Japan Atomic Energy Agency.
Woithe, J. (2016). CLOUD CHAMBER. Do-it-yourself manual. Retrieved
January 30, 2020 from https://scoollab.web.cern.ch/sites/scoollab. web.cern.ch/
es oc ents oo o er n 2018 6. .

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 285

ค ะกรรมการจัดทำาคู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟิสิกส์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 6
ตามผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้น านพุทธศักราช 2551
--------------
ค ะที่ปรึกษา

1. ศ.ดร.ชกิ ลิมป านงค์ ้อานวยการ


สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
2. ดร.วนิดา นปร โยชน์ศักดิ ้ช่วย ้อานวยการ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยีี

ค ะผู้จัดทำาคู่มือครู รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟิสิกส์


ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 6

1. นายบุญชัย ตันไถง ้ชานาญ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก


สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
2. นายวั น มากชื่น ้ชานาญ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
3. นายโ สิต สิงหสุต ้ชานาญ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
4. นายสุมิตร สวนสุข โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร
5. นายรักษพล นานุวงศ์ นักวิชาการอาวุโส สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
6. ดร.กวิน เชื่อมกลาง นักวิชาการอาวุโส สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
7. ดร.ปรีดา พัชรมณีปกรณ์ นักวิชาการ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
8. ดร. าเริญตา ปริญญา ารมาศ นักวิชาการ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
9. นาย อมพรรค นวลดี นักวิชาการ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
10. นายสร ิตต์ อารีรัตน์ นักวิชาการ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
286 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 6

11. นาย น รัชต์ คัณทักษ์ นักวิชาการ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก


สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี

ค ะผู้ร่วมพิจาร าหนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟิสิกส์


ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 6 (ฉบับร่าง)

1. ศ.ดร.บุรินทร์ อัศวพิ พ ุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย


2. นายปร สิท ิ สลัดทุกข์ ข้าราชการเกษียณ .ตรัง
3. ดร.มิญช์ เม ีสุวกุล โรงเรียนกาเนิดวิทย์ .ร ยอง
4. นายพลพิพั น์ วั นเศรษ านุกุล สานักงานเขตพื้นที่การศกษามั ยมศกษาเขต 2 กรุงเทพ
5. นายชรินทร์ มีแก้ว โรงเรียนพร ป มวิทยาลัย .นครป ม
6. นางสาวสายชล สุขโข โรงเรียน ่านกร้อง . พิษณุโลก
7. นายสงกรานต์ บุตต วงศ์ โรงเรียนวิทยาศาสตร์ ุ า รณราชวิทยาลัย .เลย
8. นายกชกร โย าทิพย์ โรงเรียนศรีมหาโพ ิ .ปรา ีนบุรี
9. นายเทพนคร แสงหัวช้าง นักวิชาการ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
10. นาง ทัย เพลงวั นา ้ชานาญ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
11. นายวินัย เลิศเกษมสันต์ ้ชานาญ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
12. ดร.นันท์น ัส ลิ้มสันติ รรม ้ชานาญ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี

ค ะบรร าธิการ

1. นายบุญชัย ตันไถง ้ชานาญ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก


สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
2. นายวั น มากชื่น ้ชานาญ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
3. นายโ สิต สิงหสุต ้ชานาญ สาขาฟสิกส์แล วิทยาศาสตร์โลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
4. นางกิ่งแก้ว คอมรพั น นักวิชาการอิสร
5. นายนัท ี สามารถ นักวิชาการอิสร
6. ดร.ศักดิ สุวรรณฉาย นักวิชาการอิสร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 6 ภาคผนวก 287

ค่าคงตัวและข้อมูลทางกายภาพอืน

ค่าคงตัว

ปริมาณ สัญลักษณ์ ค่าปร มาณ

อัตราเร็วของแสง c , c0 3.0 × 108 m s-1


ค่าคงตัวโน้มถ่วง G 6.6726 × 10-11 m3 kg-1 s-2
ค่าคงตัวพลังค์ h 6.6261 × 10-34 J s
ปร ุมล าน e 1.6022 × 10-19 C
ค่าคงตัวริดเบิร์ก R 1.0974 × 107 m-1
รัศมีโบร์ a0 5.2918 × 10-11 m
มวลอิเล็กตรอน me 9.1094 × 10-31 kg
มวลโปรตอน mp 1.6726 × 10-27 kg
มวลนิวตรอน mn 1.6749 × 10-27 kg
มวลดิวเทอรอน md 3.3436 × 10-27 kg
ค่าคงตัวอาโวกาโดร NA , L 6.0221 × 1023 mol-1
ค่าคงตัวมวลอ ตอม mu 1.6605 × 10-27 kg
ค่าคงตัวแกส R 8.3145 J mol-1 K-1
ค่าคงตัวโบลต์ซมันน์ kB 1.3807 × 10-23 J K-1

ข้อมูลทางกายภาพอื่น

ปริมาณ ค่า

มวลของโลก 5.97 × 1024 kg


มวลของดวง ันทร์ 7.36 × 1022 kg
มวลของดวงอาทิตย์ 1.99 × 1030 kg
รัศมีของโลก เฉลี่ย 6.38 × 103 km
รัศมีของดวง ันทร์ เฉลี่ย 1.74 × 103 km
รัศมีของดวงอาทิตย์ เฉลี่ย 6.96 × 105 km
ร ย ทางร หว่างโลกแล ดวง ันทร์ เฉลี่ย 3.84 × 105 km
ร ย ทางร หว่างโลกแล ดวงอาทิตย์ เฉลี่ย 1.496 × 108 km

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

You might also like