Professional Documents
Culture Documents
Teacher Script
คณิตศาสตร์ ม. 1
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1
ตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด เล่ม 1
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผูเรียบเรียงคูมือครู บรรณาธิการคูมือครู
นางสาวจันทรเพ็ญ ชุมคช นางสาววรรณทัศน เลิศอภิสิทธิ
นางสาวทองดี กุลแกวสวางวงศ นายปรัชญา เปรมมะ
พิมพครั้งที่ 5
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา 2146032
ค� ำ แนะน� ำ กำรใช้
คูม่ อื ครู รายวิชาพืน้ ฐาน คณิตศาสตร์ ม.1 เล่มนี ้ จัดท�าขึน้ ส�าหรับ
ให้ครูผสู้ อนใช้เป็นแนวทางวางแผนการจัดการเรียนการสอน เพือ่ พัฒนา
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการประกันคุณภาพผู้เรียนตามนโยบาย
ของส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
ซึ่งครอบคลุมตัวชี้วัดตามที่หลักสูตรก�าหนด 1. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ
2. ครู ก ระตุ น ความสนใจของนั ก เรี ย น โดยให
นั ก เรี ย นดู ภ าพหน า หน ว ย จากนั้ น ครู ย ก
สถานการณของทวีปแอนตารกติกา
1 ระบบจ�านวนเต็ม
ิ่ม Pedagogy ช่วยสร้างความเข้าใจในกระบวนการออกแบบ 3. ครูถามคําถามในหนังสือเรียน หนา 2 วา
เพ Chapter Overview ช่วยสร้างความเข้าใจและเห็นภาพรวม เฉลย คําถามในหนังสือเรียน หนา 2 ฤดูหนาว อุณหภูมสิ งู สุดทีไ่ ด้บนั ทึกไว้ เมือ่ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2558
อยู่ที่ 17.5 ํC และอุณหภูมิตํ่าสุดที่ได้บันทึกไว้เมื่อเดือนสิงหาคม
จากอุ ณ หภู มิ สู ง สุ ด ที่ ไ ด บั น ทึ ก ไว ข องทวี ป พ.ศ. 2553 อยู่ที่ -94.7 ํC1
ในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละหน่วย แอนตารกติกา เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2558 อยู
ที่ 17.5 ํC และอุณหภูมิตํ่าสุดที่ไดบันทึกไวเมื่อ
ตัวชี้วัด
• เข้าใจจ�านวนตรรกยะและความสัมพันธ์ของจ�านวนตรรกยะ
Q. จากสถานการณ์
และใช้สมบัติของจ�านวนตรรกยะในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ข้างต้น นักเรียนคิดว่า
เดือนสิงหาคม อยูที่ -94.7 ํC ซึ่งจะเห็นวามีความ และปัญหาในชีวิตจริง (ค 1.1 ม.1/1) อุณหภูมิที่ได้บันทึกไว้
ิ่ม ข้อสอบเน้นการคิด/ข้อสอบแนว O-NET เพื่อเตรียม แตกตางกันมาก โดยอุณหภูมิที่ไดบันทึกไวมีคา สาระการเรียนรู้แกนกลาง
เพ
• จ�านวนเต็ม
ของทวีปแอนตาร์กติกา
ตางกัน 112.2 ํC • สมบัติของจ�านวนเต็ม ต่างกันอย่างไร
ความพร้อมของผู้เรียนสู่การสอบในระดับต่าง ๆ 1 Antarctica sets record for coldest temperature on Earth. Retrieved October 17, 2017, from http://www.pbs.org/
newshour/nation/antarctica-sets-record-for-coldest-temperature-on-earth
โซน 3
โซน 2
T6
ตัวชี้วัด
ค 1.1 ม.1/1 เข้าใจจ�ำนวนตรรกยะและความสัมพันธ์ของจ�ำนวนตรรกยะ และใช้สมบัตขิ องจ�ำนวนตรรกยะในการแก้ปญั หา
คณิตศาสตร์และปัญหาในชีวิตจริง
ค 1.1 ม.1/2 เข้าใจและใช้สมบัตขิ องเลขยกก�ำลังทีม่ เี ลขชีก้ ำ� ลังเป็นจ�ำนวนเต็มบวกในการแก้ปญั หาคณิตศาสตร์และปัญหา
ในชีวิตจริง
ค 1.3 ม.1/1 เข้าใจและใช้สมบัติของการเท่ากันและสมบัติของจ�ำนวน เพื่อวิเคราะห์และแก้ปัญหาโดยใช้สมการเชิงเส้น
ตัวแปรเดียว
ค 2.2 ม.1/2 เข้าใจและใช้ความรูท้ างเรขาคณิตในการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างรูปเรขาคณิตสองมิตแิ ละรูปเรขาคณิต
สามมิติ
รวม 4 ตัวชี้วัด
Pedagogy
คู่มือครู รายวิชาพื้นฐาน
คณิ ตศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 รวมถึงสื่อการเรียนรู้รายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ชั้น ม.1 เล่ม 1 ผู้จัดท�ำได้
ออกแบบการสอน (Instructional Design) อันเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้และเทคนิคการสอนที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพและ
มีความหลากหลายให้กบั ผูเ้ รียน เพือ่ ให้ผเู้ รียนสามารถบรรลุผลสัมฤทธิต์ ามมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตัวชีว้ ดั รวมถึงสมรรถนะ
และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนที่หลักสูตรก�ำหนดไว้ โดยครูสามารถน�ำไปใช้ส�ำหรับจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน
ได้อย่างเหมาะสม ส�ำหรับ Pedagogy หลักที่นำ� มาใช้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบด้วย
ขั้นการใช้ความรู้เดิมเชื่อมโยงความรู้ใหม่ ขั้นเข้าใจ
ขั้นรู้ ขั้นลงมือท�ำ
เลือกใช้เทคนิคการสอนทีห่ ลากหลายและเหมาะสมกับเรือ่ งทีเ่ รียน เช่น การใช้คำ� ถาม การใช้ตวั อย่างกระตุน้ ความคิด
การใช้แผนภาพ และการใช้ส่ือการเรียนรู้ที่น่าสนใจ เป็นต้น เพื่อส่งเสริมวิธีการสอนและรูปแบบการสอนให้มีประสิทธิภาพ
ในการจัดการเรียนรู้ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข และสามารถฝึกฝนทักษะการเรียนรู้
ในศตวรรษที่ 21 ได้
Teacher Guide Overview
คณิ ต ศาสตร์ ม.1 เล่ ม 1
หน่วย
ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน
Chapter Teacher
Chapter Title Overview Script
หน่วยการเรียนรู้ท
ี่ 1 ระบบจ�ำนวนเต็ม T2 - T5 T6 - T43
1.1 จ�ำนวนเต็ม T8
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 T40 - T43
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 T108 - T113
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 T146 - T149
Chapter Teacher
Chapter Title Overview Script
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 มิติสัมพันธ์ของรูปเรขำคณิต T150 - T151 T152 - T187
บรรณำนุกรม T240
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. ระบุหรือยกตัวอย่าง Concept - ตรวจใบงานที่ 1.1 - ทักษะการ 1. มีวินัย
จ�ำนวนเต็มและ พืน้ ฐาน คณิตศาสตร์ จ�ำนวนเต็มบวก Based เรื่อง การเปรียบเทียบ เปรียบเทียบ 2. ใฝ่เรียนรู้
การเปรียบเทียบ ม.1 เล่ม 1 จ�ำนวนเต็มลบ Teaching จ�ำนวนเต็ม 3. มุ่งมั่น
จ�ำนวนเต็ม
- แบบฝึกหัด และศูนย์ได้ (K) - ตรวจใบงานที่ 1.2 ในการท�ำงาน
คณิตศาสตร์ 2. เรียงล�ำดับจ�ำนวน เรือ่ ง แบบรูปของ
2 ม.1 เล่ม 1 จากมากไปน้อย หรือ จ�ำนวน
ชั่วโมง
- ใบงานที่ 1.1 เรื่อง น้อยไปมากได้ (K) - ตรวจใบงานที่ 1.3
การเปรียบเทียบ 3. ใช้เส้นจ�ำนวน เรื่อง การเรียงล�ำดับ
จำ�นวนเต็ม ในการเปรียบเทียบ จ�ำนวน
- ใบงานที่ 1.2 เรื่อง จ�ำนวนเต็มได้ (P) - ตรวจแบบฝึกทักษะ
แบบรูปของจำ�นวน 4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ 1.2
- ใบงานที่ 1.3 เรื่อง ที่ได้รับมอบหมาย (A) - ตรวจ Exercise 1.1
การเรียงลำ�ดับจำ�นวน - ประเมินการน�ำเสนอ
ผลงาน
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. บอกจ�ำนวนตรงข้าม Concept - ตรวจใบงานที่ 1.4 - ทักษะการ 1. มีวินัย
จ�ำนวนตรงข้าม พื้นฐาน คณิตศาสตร์ ของจ�ำนวนเต็มได้ (K) Based เรื่อง จ�ำนวนตรงข้าม เปรียบเทียบ 2. ใฝ่เรียนรู้
และค่าสัมบูรณ์ ม.1 เล่ม 1 2. บอกค่าสัมบูรณ์ Teaching ของจ�ำนวนเต็ม 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัด ของจ�ำนวนเต็มได้ (K) - ตรวจใบงานที่ 1.5 ในการท�ำงาน
1 คณิตศาสตร์ 3. ใช้เส้นจ�ำนวนอธิบาย เรื่อง ค่าสัมบูรณ์
ชั่วโมง ม.1 เล่ม 1 จ�ำนวนตรงข้าม ของจ�ำนวนเต็ม
- ใบงานที่ 1.4 เรื่อง และค่าสัมบูรณ์ของ - ตรวจแบบฝึกทักษะ
จำ�นวนตรงข้าม จ�ำนวนเต็มได้ (P) 1.3
ของจำ�นวนเต็ม 4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - ตรวจ Exercise 1.3
- ใบงานที่ 1.5 เรื่อง ที่ได้รับมอบหมาย (A) - ประเมินการน�ำเสนอ
ค่าสัมบูรณ์ ผลงาน
ของจำ�นวนเต็ม - สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T2
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. ค�ำนวณผลบวกของ โมเดลซิปปา - ตรวจใบงานที่ 1.6 - ทักษะการคิด 1. มีวินัย
การบวก พื้นฐาน คณิตศาสตร์ จ�ำนวนเต็มได้ (K) (CIPPA เรื่อง การบวก หลากหลาย 2. ใฝ่เรียนรู้
และการลบ
จ�ำนวนเต็ม ม.1 เล่ม 1 2. ค�ำนวณผลลบของ Model) จ�ำนวนเต็มบวก - ทกั ษะการคิด 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัด จ�ำนวนเต็มได้ (K) และการบวก คล่อง ในการท�ำงาน
4 คณิตศาสตร์ 3. เขียนแสดงขั้นตอน จ�ำนวนเต็มลบ
ชั่วโมง ม.1 เล่ม 1 วิธีการหาผลบวกและ - ตรวจใบงานที่ 1.7
- ใบงานที่ 1.6 เรื่อง ผลลบของจ�ำนวนเต็ม เรื่อง การบวก
การบวก ได้ (P) จ�ำนวนเต็ม
จำ�นวนเต็มบวก 4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - ตรวจใบงานที่ 1.8
และการบวก ที่ได้รับมอบหมาย (A) เรื่อง การลบ
จำ�นวนเต็มลบ จำ�นวนเต็ม
- ใบงานที่ 1.7 เรื่อง - ตรวจแบบฝึกทักษะ
การบวกจำ�นวนเต็ม 1.4
- ใบงานที่ 1.8 เรื่อง - ตรวจ Exercise 1.4
การลบจำ�นวนเต็ม - ประเมินการน�ำเสนอ
- บัตรตัวเลข 1 และ -1 ผลงาน
- QR Code - สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T3
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. ค�ำนวณผลคูณของ Concept - ตรวจใบงานที่ 1.9 - ทักษะการคิด 1. มีวินัย
การคูณ พื้นฐาน คณิตศาสตร์ จ�ำนวนเต็มได้ (K) Based เรื่อง การคูณ หลากหลาย 2. ใฝ่เรียนรู้
และการหาร
จ�ำนวนเต็ม ม.1 เล่ม 1 2. ค�ำนวณผลหารของ Teaching จ�ำนวนเต็มบวกด้วย - ทกั ษะการคิด 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัด จ�ำนวนเต็มได้ (K) จ�ำนวนเต็มลบ คล่อง ในการท�ำงาน
4 คณิตศาสตร์ 3. เขียนแสดงขั้นตอน - ตรวจใบงานที่ 1.10
ชั่วโมง ม.1 เล่ม 1 วิธีการหาผลคูณและ เรื่อง การคูณ
- ใบงานที่ 1.9 เรื่อง ผลหารของจ�ำนวนเต็ม จ�ำนวนเต็ม
การคูณ ได้ (P) - ตรวจใบงานที่ 1.11
จำ�นวนเต็มบวก 4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ เรื่อง การหาร
ด้วยจำ�นวนเต็มลบ ที่ได้รับมอบหมาย (A) จ�ำนวนเต็ม
- ใบงานที่ 1.10 เรื่อง - ตรวจแบบฝึกทักษะ
การคูณจำ�นวนเต็ม 1.5
- ใบงานที่ 1.11 เรื่อง - ตรวจ Exercise 1.5
การหารจำ�นวนเต็ม ข้อ 1-2
- ประเมินการน�ำเสนอ
ผลงาน
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T4
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 5 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายสมบัติของ Concept - ตรวจใบงานที่ 1.12 - ทักษะการ 1. มีวินัย
สมบัติของ พื้นฐาน คณิตศาสตร์ จ�ำนวนเต็มในการบวก Based เรื่อง สมบัติของ ประยุกต์ใช้ 2. ใฝ่เรียนรู้
จ�ำนวนเต็ม ม.1 เล่ม 1 การลบ การคูณ และ Teaching จ�ำนวนเต็ม ความรู้ 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัด การหารได้ (K) - ตรวจแบบฝึกทักษะ ในการท�ำงาน
1 คณิตศาสตร์ 2. เขียนแสดงขั้นตอน 1.6
ชั่วโมง ม.1 เล่ม 1 การด�ำเนินการของ - ตรวจ Exercise 1.6
- ใบงานที่ 1.12 เรื่อง จ�ำนวนเต็มต่าง ๆ - สังเกตพฤติกรรม
สมบัติของจำ�นวนเต็ม โดยใช้สมบัติของ การท�ำงานรายบุคคล
จ�ำนวนเต็มได้ (P) - สังเกตคุณลักษณะ
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ อันพึงประสงค์
ที่ได้รับมอบหมาย (A)
แผนฯ ที่ 6 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายการน�ำความรู้ Concept - ตรวจใบงานที่ 1.13 - ทักษะการ 1. มีวินัย
การน�ำความรู้ พื้นฐาน คณิตศาสตร์ เกี่ยวกับจ�ำนวนเต็ม Based เรื่อง การน�ำความรู้ ประยุกต์ใช้ 2. ใฝ่เรียนรู้
เกี่ยวกับ ม.1 เล่ม 1 ไปใช้แก้ปัญหา Teaching เกี่ยวกับจ�ำนวนเต็ม ความรู้ 3. มุ่งมั่น
จ�ำนวนเต็ม
ไปใช้ ในชีวิตจริง - แบบฝึกหัด คณิตศาสตร์และ ไปใช้ในชีวิตจริง ในการท�ำงาน
คณิตศาสตร์ ปัญหาในชีวิตจริง (K) - ตรวจแบบฝึกทักษะ
2 ม.1 เล่ม 1 2. เขียนแสดงขั้นตอน 1.7
ชั่วโมง - ใบงานที่ 1.13 วิธีการแก้ปัญหาทาง - ตรวจ Exercise 1.7
เรื่อง การนำ�ความรู้ คณิตศาสตร์เกี่ยวกับ - ตรวจแบบฝึกทักษะ
เกี่ยวกับจำ�นวนเต็ม จ�ำนวนเต็มได้ (P) ประจ�ำหน่วยการเรียนรู้
ไปใช้ในชีวิตจริง 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ ที่ 1
ที่ได้รับมอบหมาย (A) - ตรวจผังมโนทัศน์
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1
ระบบจ�ำนวนเต็ม
- ประเมินการน�ำเสนอ
ผลงาน
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T5
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T6
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
การใชความรูเ ดิมฯ (Prior Knowledge)
ควรรูก้ ่อนเรียน 4. ครูใหนกั เรียนดูรปู เทอรโมมิเตอรแสดงอุณหภูมิ
โดยเฉลี่ยของเมืองหลวง 5 ประเทศ ในทวีป
นักวิทยาศาสตร์ได้ประดิษฐ์และพัฒนาเครื่องวัดอุณหภูมิขึ้นมา เรียกว่า เทอร์โมมิเตอร์ เอเชีย ในหนังสือเรียน หนา 3 จากนั้นให
ที่ท�าจากหลอดแก้วซึ่งภายในบรรจุของเหลวประเภทปรอทหรือแอลกอฮอล์ โดยของเหลวภายใน นักเรียนเขียนแสดงอุณหภูมิของเมืองหลวง
หลอดแก้วจะหดตัวเมื่อได้รับความเย็นและขยายตัวเมื่อได้รับความร้อน นอกจากนี้บนหลอดแก้ว 5 ประเทศ บนเสนจํานวนลงสมุด แลวถาม
จะมีสเกลที่ระบุตัวเลขส�าหรับบอกระดับอุณหภูมิต่าง ๆ อีกด้วยเช่น อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในเดือน คําถาม ดังนี้
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 ณ เมืองหลวงของประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชีย ซึ่งแสดงอุณหภูมิด้วย • เสนจํานวนที่นักเรียนเขียน แสดงจํานวน
เทอร์โมมิเตอร์ ดังรูปต่อไปนี้ ชนิดใดบาง
50 50 50 50 50 50 50 50 50 50 (แนวตอบ จํานวนนับและศูนย)
40 40 40 40 40 40 40 40 40 40 • เรียงลําดับอุณหภูมิจากสูงสุดไปตํ่าสุดได
30 30 30 30 30 30 30 30 30 30
20 20 20 20 20 20 20 20 20 20 อยางไร
10 10 10
0
10
0
10
0
10
0
10
0
10
0
10
0
10
0
(แนวตอบ 29, 27, 20, 17, 7)
0 0
10 10 10 10 10 10 10 10 10 10 • บนเสนจํานวน จํานวนทีอ่ ยูท างขวาหรือซาย
20 20 20 20 20 20 20 20 20 20
30 30 30 30 30 30 30 30 30 30 มีคามากกวากัน
40 40 40 40 40 40 40 40 40 40 ( แนวตอบ จํ า นวนที่ อ ยู ท างขวาจะมี ค า
50 50 50 50 50 50 50 50 50 50
มากกวาจํานวนที่อยูทางซาย)
C
° C
° °
C C
° °
C
5. ครูถามคําถาม ดังนี้
กรุงเทพฯ จาการ์ตา โตเกียว ไทเป ฮานอย • นักเรียนเคยดูขาวพยากรณอากาศของกรม
ประเทศไทย ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศญี่ปุน ประเทศไต้หวัน ประเทศเวียดนาม อุตนุ ยิ มวิทยาหรือไม ตัวเลขทีแ่ สดงอุณหภูมิ
ที่มา : https://www.timeanddate.com/weather ของประเทศตางๆ ในทวีปยุโรปเหมือนกัน
จากรูปแสดงอุณหภูมิ จะได้ว่า หรื อ แตกต า งจากประเทศไทยหรื อ ไม
1. เมืองหลวงของประเทศที่มีอากาศร้อนที่สุด คือ กรุงเทพฯ ประเทศไทย อยางไร
2. เมืองหลวงของประเทศที่มีอากาศหนาวที่สุด คือ โตเกียว ประเทศญี่ปุน (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย
3. อุณหภูมิของกรุงเทพฯ สูงกว่าอุณหภูมิของจาการ์ตา อยู่ 2 �C ตามพื้นฐานความรู เชน เหมือนกัน เพราะ
4. อุณหภูมิของจาการ์ตา สูงกว่าอุณหภูมิของโตเกียว อยู่ 20 �C แสดงโดยใชจํานวนนับ หรือแตกตางกัน
5. อุณหภูมิของโตเกียว ต�่ากว่าอุณหภูมิของไทเป อยู่ 10 �C เพราะอุณหภูมใิ นฤดูหนาวของทวีปยุโรปจะ
6. อุณหภูมิของไทเป ต�่ากว่าอุณหภูมิของฮานอย อยู่ 3 �C แสดงโดยใชจาํ นวนนับทีม่ เี ครือ่ งหมายลบอยู
นักเรียนจะพบว่า ตัวเลขที่แสดงระดับอุณหภูมิ ณ เมืองหลวงของประเทศต่าง ๆ ได้แก่ 29, ขางหนา เปนตน)
27, 7, 17 และ 20 เป็น “จ�านวนนับ” ซึ่งเรียงจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้ 29, 27, 20, 17 และ 7
T7
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูใหนกั เรียนจับคูศ กึ ษาเนือ้ หาในหนังสือเรียน 1.1 จ�านวนเต็ม
หนา 4 หัวขอ 1.1 จํานวนเต็ม แลวแลกเปลี่ยน
ในระดับชั้นประถมศึกษานักเรียนรู้จักจ�านวนมาแล้ว ได้แก่ 0 และ 1, 2, 3, 4, … ซึ่งเรียก
ความรูกับคูของตนเอง จากนั้นครูถามคําถาม
ดังนี้ 1 บ หรือเรียกอีกชือ่ หนึง่ ว่า “จํานวนเต็มบวก” แต่ในชีวติ ประจ�าวัน
จ�านวน 1, 2, 3, 4, … ว่า จ�านวนนั
นักเรียนจะพบว่ามีการใช้ตวั เลขแสดงระดับอุณหภูม ิ เช่น อุณหภูมทิ ปี่ กั กิง่ ประเทศจีน เท่ากับ -10 �C
• จํานวนเต็มที่อยูทางขวาของศูนย คือ อ่านว่า ลบสิบองศาเซลเซียส ซึง่ เป็นอุณหภูมติ า�่ กว่าจุดเยือกแข็ง นักคณิตศาสตร์จงึ ก�าหนดตัวเลข
(แนวตอบ จํานวนเต็มบวก) แสดงจ�านวนอีกชนิดหนึง่ เป็นจ�านวนทีม่ คี า่ น้อยกว่าศูนย์ เช่น -1, -2, -3, -4, … ขึน้ มาและเรียกว่า
• จํานวนเต็มที่อยูทางซายของศูนย คือ “จํานวนเต็มลบ”
(แนวตอบ จํานวนเต็มลบ) 2
ดังนั้น จ�านวนเต็มประกอบด้วย จ�านวนเต็มบวก จ�านวนเต็มลบ และศูนย์
• จากคณิตนารู นักเรียนจะสังเกตไดอยางไรวา นักเรียนสามารถแสดงจ�านวนเต็ม โดยใช้เส้นจ�านวนได้ดังนี้
ทําไม “ศูนย” จึงไมเปนทั้งจํานวนเต็มบวก
และจํานวนเต็มลบ ศูนย์
(แนวตอบ สังเกตจากเสนจํานวน จะพบวา จ�านวนเต็มลบ จ�านวนเต็มบวก
ศูนยอยูตรงกลางระหวางจํานวนเต็มบวก
-6 -5 -4 -3 -2 -1 0 1 2 3 4 5 6
กับจํานวนเต็มลบ ดังนั้น ศูนยจึงไมเปน
ทั้งจํานวนเต็มบวกและจํานวนเต็มลบ) จากเส้นจ�านวน จะเห็นว่า คณิตน่ารู้
2. ครูยกตัวอยางเสนจํานวนบนกระดาน แลวให • จ�านวนเต็มบวกทุกจ�านวนจะอยู่ทางขวาของศูนย์ “ศูนย์” ไม่เป็นทั้งจ�านวนเต็มบวก
นักเรียนสังเกตตําแหนงของ 2 กับ -3 และ -5 ซึ่งเพิ่มขึ้นทีละ 1 และมีค่ามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด และจ�านวนเต็มลบ และศูนย์อาจ
กับ -3 จากนั้นอธิบายวา 2 อยูทางขวาของ -3 • จ�านวนเต็มลบทุกจ�านวนจะอยู่ทางซ้ายของศูนย์ จะไม่แสดงความไม่มีค่าเสมอไป
แสดงวา -3 มีคานอยกวา 2 หรือ 2 มากกวา ซึ่งลดลงทีละ 1 และมีค่าน้อยลงเรื่อย ๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด เช่ น อุ ณ หภู มิ 0 องศา คื อ
การแสดงระดั บ ของอุ ณ หภู มิ ท่ี
-3 ใชสัญลักษณ 2 > -3 และ -3 อยูทางขวา จุดเยือกแข็ง
ของ -5 แสดงวา -3 มากกวา -5 หรือ -5 1.2 การเปรียบเทียบจ�านวนเต็ม
นอยกวา -3 ใชสัญลักษณ -5 < -3
3. ครูถามคําถาม ดังนี้ พิจารณาต�าแหน่งของจ�านวนเต็มบนเส้นจ�านวน จะเห็นว่า
• นั ก เรี ย นสามารถอธิ บ ายการเปรี ย บเที ย บ
-5 -4 -3 -2 -1 0 1 2 3 4 5
จํานวนเต็มบนเสนจํานวนวาจํานวนใดมีคา
มากกวาไดอยางไร 2 อยู่ทางขวาของ -3 แสดงว่า 2 มากกว่า -3 ใช้สัญลักษณ์ 2 > -3
(แนวตอบ บนเสนจํานวน จํานวนเต็มที่อยู -5 อยู่ทางซ้ายของ -3 แสดงว่า -5 น้อยกว่า -3 ใช้สัญลักษณ์ -5 < -3
ทางขวาจะมี ค า มากกว า จํ า นวนเต็ ม ที่ อ ยู
ทางซาย)
4. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.1 ในแบบฝกหัด
4
คณิตศาสตรเปนการบาน
T8
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
จากหัวข้อที่ 1.1 นักเรียนทราบแล้วว่า จ�านวนเต็มบวกอยู่ทางขวาของศูนย์ และจ�านวน 1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 1 ใน
เต็มลบอยู่ทางซ้ายของศูนย์ ดังนั้น หนังสือเรียน หนา 5 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูของตนเอง จากนั้นใหนักเรียนแตละคน
บนเส้นจ�านวน จ�านวนเต็มที่อยู่ทางขวาจะมีค่ามากกว่าจ�านวนเต็มที่อยู่ทางซ้ายเสมอ
ทํา “ลองทําดู” และใบงานที่ 1.1 เรื่อง การ
ตัวอย่างที่ 1
เปรียบเทียบจํานวนเต็ม จากนัน้ ครูและนักเรียน
รวมกันเฉลยคําตอบ
จงเติมเครื่องหมาย > หรือ < ลงใน
2. ครูยกตัวอยางจํานวนเต็มบวก 5 จํานวน ไดแก
1) -7 5 2) -2 -4 1, 2, 3, 4, 5 และจํานวนเต็มลบ 5 จํานวน
วิธีทํา -8 -7 -6 -5 -4 -3 -2 -1 0 1 2 3 4 5 6 7 8 ไดแก -2, -4, -6, -8, -10 บนกระดาน แลวให
นักเรียนสังเกตการเรียงของจํานวนทีก่ าํ หนดให
จากเส้นจ�านวน
จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้
1) -7 อยู่ทางซ้ายของ 5 แสดงว่า -7 < 5
• จากชุดของจํานวน 1, 2, 3, 4, 5 จํานวน
2) -2 อยู่ทางขวาของ -4 แสดงว่า -2 > -4 ตอบ
แตละคูท อี่ ยูต ดิ กันมีความสัมพันธกนั อยางไร
ลองทําดู และจํานวนถัดไปอีก 2 จํานวน คือจํานวนใด
จงเติมเครื่องหมาย > หรือ < ลงใน ตามลําดับ
1) 9 -3 2) -6 -2 ( แนวตอบ จํ า นวนที่ อ ยู ติ ด กั น จะเพิ่ ม ขึ้ น
ครั้งละ 1 และจํานวนถัดไปอีก 2 จํานวน
ตัวอย่างที่ 2
คือ 6 และ 7 ตามลําดับ)
1 • จากชุดของจํานวน -2, -4, -6, -8, -10
จงหาจํานวนเต็มอีก 3 จํานวนต่อจากแบบรูปที่กําหนดให้ต่อไปนี้
จํานวนแตละคูท อี่ ยูต ดิ กันมีความสัมพันธกนั
1) -1, -3, -5, -7, … 2) -9, -6, -3, … อยางไร และจํานวนถัดไปอีก 2 จํานวน คือ
2
วิธีทํา 1) -1, -3, -5, -7, … จะสังเกตว่าการเรียงของจ�านวนที่ก�าหนดให้แต่ละคู่ จํานวนใดตามลําดับ
ที่อยู่ติดกัน ลดลงทีละ 2 (แนวตอบ จํานวนที่อยูติดกันจะลดลงครั้งละ
ดังนั้น จ�านวนเต็มอีก 3 จ�านวน คือ -9, -11, -13 2 และจํานวนถัดไปอีก 2 จํานวน คือ -12
3
2) -9, -6, -3, … จะสังเกตว่าการเรียงของจ�านวนที่ก�าหนดให้แต่ละคู่ที่อยู่ติดกัน และ -14 ตามลําดับ)
เพิ่มขึ้นทีละ 3 3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 2 ใน
ดังนั้น จ�านวนเต็มอีก 3 จ�านวน คือ 0, 3, 6 ตอบ หนังสือเรียน หนา 5 แลวแลกเปลี่ยนความรู
ลองทําดู กับคูข องตนเอง จากนัน้ ใหนกั เรียนแตละคนทํา
“ลองทําดู” และรวมกันเฉลยคําตอบ
จากแบบรูปที่กําหนดให้ต่อไปนี้ จงหาจํานวนเต็มอีก 3 จํานวนต่อจากแบบรูปที่กําหนดให้
1) -2, -5, -8, -11, … 2) -12, -7, -2, … 4. ครูแจกใบงานที่ 1.2 เรื่อง แบบรูปของจํานวน
ใหนักเรียนทํา จากนั้นรวมกันเฉลยคําตอบ
5
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก ทั ก ษะ 1.2 เป น
การบาน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ แบบฝึกทักษะ 1.2
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
ระดับ พื้นฐาน
• ครูแจกใบงานที่ 1.3 เรื่อง การเรียงลําดับ
จํานวน ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันทํา 1. ข้อความต่อไปนี้เป็นจริงหรือเท็จ
• ใหสมาชิกภายในกลุม คิดจํานวนเต็มคนละ 2 1) -2 เป็นจ�านวนเต็ม 2) 93 เป็นจ�านวนเต็ม
จํานวน แลวเขียนเรียงลําดับจํานวนจากนอย 3) 32 เป็นจ�านวนเต็มบวก 4) 0 เป็นจ�านวนเต็มบวก
ไปมาก และมากไปนอย ลงในใบงานที่ 1.3 5) 1.8 เป็นจ�านวนเต็ม 6) จ�านวนนับเป็นจ�านวนเต็มบวก
• สงตัวแทนกลุมละ 2 คน ออกมานําเสนอ
2. จงเติมเครื่องหมาย > หรือ < ลงใน ให้ถูกต้อง
ขัน้ สรุป 1) 7 -4 2) -125 3
1. ครูใหนกั เรียนเขียนแผนผังความรูร วบยอด เรือ่ ง 3) -3 -12 4) -12 -10
จํานวนเต็มและการเปรียบเทียบจํานวนเต็ม 3. จงหาจ�านวนเต็มอีก 5 จ�านวนต่อจากแบบรูปที่ก�าหนดให้ต่อไปนี้
ลงสมุด 1) -4, -3, -2, -1, 0, … 2) -6, -3, 0, 3, …
2. ครูถามคําถาม ดังนี้ 3) -7, -10, -13, … 4) 1, -1, -3, …
• จํานวนเต็มประกอบดวยอะไรบาง ระดับ กลาง
(แนวตอบ จํานวนเต็มบวก จํานวนเต็มลบ
และศูนย) 4. จงเรียงล�าดับจ�านวนที่ก�าหนดให้จากมากไปน้อย
• การเปรียบเทียบจํานวนเต็มบนเสนจํานวน 1) 3, 9, -4, 7, 2 2) -22, 22, -3, 4, 0
มีหลักการอยางไร 3) 2, -4, 8, -6, 10, -11 4) 9, 8, -8, 7, 1, -2, 10
(แนวตอบ บนเสนจํานวน จํานวนเต็มที่อยู 5) 8, -6, -5, -1, 1, -10 6) 1, -11, -10, 9, 8, -7, 7
ทางขวาจะมีคามากกวาจํานวนเต็มที่อยู 5. จงเรียงล�าดับจ�านวนที่ก�าหนดให้จากน้อยไปมาก
ทางซาย) 1) 11, -6, 5, 0, -14, -2 2) 30, 0, -100, 20, -70, -10
3) -12, 9, -15, 4, -10 4) -12, 0, -7, 48, -56, 9
ขัน้ ประเมิน 5) 1, 3, -3, 10, -11, 12 6) 7, -7, 6, 5, -5, 4, 3
1. ครูตรวจใบงานที่ 1.1-1.3 ระดับ ท้าทาย
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.2
6. ข้อความต่อไปนี้เป็นจริงหรือเท็จ จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
3. ครูตรวจ Exercise 1.1
1) ถ้า a เป็นจ�านวนเต็มลบแล้ว ไม่สามารถหาจ�านวนเต็มลบที่น้อยกว่า a ได้
4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
2) ถ้า a เป็นจ�านวนเต็มแล้ว ไม่สามารถหาจ�านวนเต็มที่มากกว่า a ได้
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
7. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
6
T10
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T11
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
4. ครูถามคําถาม ดังนี้ ในหัวข้อที่ผ่านมา นักเรียนทราบแล้วว่าจ�านวนตรงข้ามของ 3 เท่ากับ -3 ให้1นักเรียน
• คาสัมบูรณของจํานวนเต็ม a และ -a มีคา ลองพิจารณาระยะห่างระหว่าง 3 กับ 0 และระยะห่างระหว่าง -3 กับ 0 โดยใช้เส้นจ�านวนต่อไปนี้
เทาไร และเทากันหรือไม 3 หน่วย 3 หน่วย
(แนวตอบ คาสัมบูรณของ a เทากับ a และ -6 -5 -4 -3 -2 -1 0 1 2 3 4 5 6
คาสัมบูรณของ -a เทากับ a ซึง่ มีคา เทากัน)
• คาสัมบูรณของจํานวนเต็มใดๆ เปนจํานวน จากเส้นจ�านวน จะเห็นว่า
เต็มลบไดหรือไม เพราะเหตุใด 3 อยู่ห่างจาก 0 เป็นระยะ 3 หน่วย จะกล่าวว่า ค่าสัมบูรณ์ของ 3 เท่ากับ 3
(แนวตอบ ไมได เพราะคาสัมบูรณเปนคาของ -3 อยู่ห่างจาก 0 เป็นระยะ 3 หน่วย จะกล่าวว่า ค่าสัมบูรณ์ของ -3 เท่ากับ 3
ระยะหาง จึงไมสามารถเปนลบได) เมื่อ a เป็นจ�านวนเต็มใด ๆ เขียนแทนค่าสัมบูรณ์ของ a ด้วยสัญลักษณ์ ∙a∙
เขาใจ (Understanding) เช่น ค่าสัมบูรณ์ของ 3 เท่ากับ 3 เขียนได้เป็น ∙3∙ = 3
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 3 ใน ค่าสัมบูรณ์ของ -3 เท่ากับ 3 เขียนได้เป็น ∙-3∙ = 3
หนังสือเรียน หนา 8 แลวแลกเปลี่ยนความรู ค่าสัมบูรณ์ของ 0 เท่ากับ 0 เขียนได้เป็น ∙0∙ = 0
กับคูของตนเอง จากนั้นใหนักเรียนแตละคน ค่าสัมบูรณ์ของจ�านวนเต็มใด ๆ ที่ไม่ใช่ศูนย์จะเป็นจ�านวนเต็มบวก และค่าสัมบูรณ์
ทํา “ลองทําดู” ของศูนย์เท่ากับศูนย์เสมอ
2. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.3 ในแบบฝกหัด
คณิตศาสตร จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน ตัวอย่างที่ 3
เฉลยคําตอบ จงหาค่าต่อไปนี้
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก ทั ก ษะ 1.3 เป น 1) ∙17∙ 2) ∙-17∙ 3) -∙17∙ 4) -∙-17∙
การบาน วิธีทํา 1) ∙17∙ = 17
2) ∙-17∙ = 17
3) -∙17∙ = -17
4) -∙-17∙ = -17 ตอบ
ลองทําดู
จงหาค่าต่อไปนี้
1) ∙5∙ 2) ∙-15∙ 3) -∙24∙ 4) -∙-19∙
T12
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
แบบฝึกทักษะ 1.3 ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
ระดับ พื้นฐาน
• ครูแจกใบงานที่ 1.5 เรื่อง คาสัมบูรณของ
1. จงเขียนจ�านวนตรงข้าม และค่าสัมบูรณ์ของจ�านวนต่อไปนี้ จํานวนเต็ม ใหนกั เรียนแตละกลุม รวมกันทํา
1) 4 2) 7 3) -2 • ใหสมาชิกภายในกลุมคิดจํานวนเต็มคนละ
4) -10 5) -56 6) -108 2 จํานวน แลวหาคาสัมบูรณ จากนั้นนํามา
7) 511 8) -635 9) -702 เปรียบเทียบกันอยางเชนขอ 2 ในใบงานที่
2. จงหาค่าต่อไปนี้ 1.5 โดยเขียนเปนขอ 3 ลงใบงานที่ 1.5
1) -∙-3∙ 2) ∙-3∙ 3) -∙-4∙ • สงตัวแทนกลุมละ 2 คน ออกมานําเสนอ
4) ∙-9∙ 5) -∙22∙ 6) -∙-24∙
ระดับ กลาง ขัน้ สรุป
3. จงเติมเครื่องหมาย > < หรือ = ลงใน ให้ถูกต้อง ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
1) ∙4∙ ∙-8∙ 2) ∙-38∙ ∙-40∙
• จํานวนตรงขาม คืออะไร
3) ∙-33∙ ∙33∙ 4) ∙-6∙ -∙6∙ (แนวตอบ คือ จํานวนที่อยูหางจาก 0 เปน
5) ∙-2∙ -∙-5∙ 6) -∙-9∙ ∙9∙ ระยะเทากัน และอยูคนละดานของ 0 บน
7) -∙-48∙ -∙-50∙ 8) -∙-795∙ -∙-793∙ เสนจํานวน)
• คาสัมบูรณของจํานวนเต็ม คืออะไร
4. จงเติมค�าตอบลงในช่องว่างให้ถูกต้อง (แนวตอบ คือ ระยะหางระหวางจํานวนเต็ม
1) ค่าสัมบูรณ์ของ 28 และ -28 เท่ากับ ………………………………….
นั้นกับศูนยบนเสนจํานวน)
2) ค่าสัมบูรณ์ของ …………………………………. และ -50 เท่ากับ 50
3) ค่าสัมบูรณ์ของ …………………………………. และ …………………………………. เท่ากับ 132
4) 178 เป็นค่าสัมบูรณ์ของ …………………………………. และ …………………………………. ขัน้ ประเมิน
5) …………………………………. เป็นค่าสัมบูรณ์ของ …………………………………. และ -479 1. ครูตรวจใบงานที่ 1.4-1.5
6) …………………………………. เป็นค่าสัมบูรณ์ของ 2,810 และ …………………………………. 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.3
5. จงหาค่าของจ�านวนต่อไปนี้ 3. ครูตรวจ Exercise 1.3
1) -(-17) 2) -(-42) 3) -(-54) 4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
4) -(-89) 5) -(16) 6) -(560) 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
7. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
9
T13
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T14
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การแสวงหาความรูใหม
ตัวอย่างที่ 4 2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 4 ใน
จงหาผลบวกของจํานวนต่อไปนี้ หนังสือเรียน หนา 11 แลวแลกเปลี่ยนความรู
1) (-3) + (-13) 2) [(-6) + (-2)] + (-8) กับคูของตนเอง จากนั้นใหนักเรียนแตละคน
วิธีทํา 1) (-3) + (-13) = -(∙-3∙ + ∙-13∙) ทํา “ลองทําดู” แลวรวมกันเฉลย
คณิตน่ารู้ 3. ครูใหนักเรียนทําใบงานที่ 1.6 เรื่อง การบวก
= -(3 + 13) ให้ a, b แทนจ�านวนเต็มบวกใด ๆ 1 จํานวนเต็มบวกและการบวกจํานวนเต็มลบ
= -16 จะได้ว่า (-a) + (-b) = -(a + b)
แลวรวมกันเฉลยคําตอบ
2) [(-6) + (-2)] + (-8) = -(∙-6∙ + ∙-2∙) + (-8)
= -(6 + 2) + (-8) การศึกษาทําความเขาใจขอมูล/ความรูใหมฯ
= (-8) + (-8)
= -(∙-8∙ + ∙-8∙) 1. ครูยกตัวอยางการหาผลบวกของ 5 กับ (-2)
= -16 ตอบ โดยใชเสนจํานวน บนกระดาน จากนั้นครู
ถามคําถาม ดังนี้
ลองทําดู • การหาผลบวกของ 5 กับ -2 เขียนเปน
จงหาผลบวกของจํานวนต่อไปนี้ ประโยคสัญลักษณไดอยางไร
1) (-9) + (-16) 2) [(-11) + (-21)] + (-8) (แนวตอบ 5 + (-2) = □)
• จากประโยคสัญลักษณ จํานวนใดเปนตัวตัง้
3) การบวกจํานวนเต็มบวกด้วยจํานวนเต็มลบ และการบวกจํานวนเต็มลบด้วย
และจํานวนใดเปนตัวบวก
จํานวนเต็มบวก
(แนวตอบ 5 เปนตัวตั้งและ -2 เปนตัวบวก)
(1) พิจารณาการหาผลบวกของ 5 กับ -2 โดยใช้เส้นจ�านวน ดังนี้
2. ครูอธิบาย ดังนี้ จากเสนจํานวนใหเริ่มตนที่ 0
เริ่มต้นที่ 0 นับไปทางขวา 5 หน่วย แล้วนับ นั บ ไปทางขวา 5 หน ว ย เพราะตั ว ตั้ ง มี
ลดไปทางซ้าย 2 หน่วย จะสิ้นสุดที่ 3 เครือ่ งหมายเปนบวก จากนัน้ นับลดไปทางซาย
เริ่ม จบ 2 หนวย เพราะตัวบวกมีเครื่องหมายเปนลบ
-4 -3 -2 -1 0 1 2 3 4 5 6 หลังจากนับแลวจะเห็นวาไปสิน้ สุดที่ 3 แสดงวา
3 หน่วย ผลบวกของ 5 กับ -2 เทากับ 3
ดังนั้น 5 + (-2) = 3
3. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม ว า นอกจากการบวก
พิจารณาการหาผลบวกของ 5 กับ -2 โดยใช้ค่าสัมบูรณ์ ดังนี้ จํ า นวนเต็ ม บวกด ว ยจํ า นวนเต็ ม ลบโดยใช
ค่าสัมบูรณ์ของ 5 เท่ากับ 5 หรือ ∙5∙ = 5
เสนจํานวนแลว เรายังสามารถใชความรูเรื่อง
ค่าสัมบูรณ์ของ -2 เท่ากับ 2 หรือ ∙-2∙ = 2
คาสัมบูรณ มาชวยในการหาผลบวกไดอกี ดวย
จะเห็นว่า ถ้าน�าค่าสัมบูรณ์ของ 5 ลบด้วยค่าสัมบูรณ์ของ -2 นั่นคือ 4. ครูใหนักเรียนศึกษาการหาผลบวกของ 5 กับ
∙5∙ - ∙-2∙ = 5 - 2 แล้วจะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 3 เช่นเดียวกับการหาผลบวกโดยใช้เส้นจ�านวน
-2 โดยใชคาสัมบูรณ ในหนังสือเรียน หนา 11
11
T15
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การแลกเปลีย่ นความรูค วามเขาใจกับกลุม
1. ครูใหนักเรียนจัดกลุม กลุมละ 4 คน คละ (2) พิจารณาการหาผลบวกของ -4 กับ 6 โดยใช้เส้นจ�านวน ดังนี้
ความสามารถทางคณิตศาสตร แลวศึกษา
เริ่มต้นที่ 0 นับไปทางซ้าย 4 หน่วย แล้วนับ
เนื้อหาในหนังสือเรียน หนา 12-13 จากนั้น เพิ่มไปทางขวา 6 หน่วย จะสิ้นสุดที่ 2
แลกเปลี่ยนความรูกันภายในกลุมของตนเอง เริ่ม จบ
2. ครูสุมถามนักเรียนแตละกลุม แลวใหตัวแทน -5 -4 -3 -2 -1 0 1 2 3 4 5
กลุมมาอธิบายคําตอบบนกระดาน ดังนี้ 2 หน่วย
• การหาผลบวกของ -4 กับ 6 เขียนเปน ดังนั้น (-4) + 6 = 2
ประโยคสัญลักษณไดอยางไร พิจารณาการหาผลบวกของ -4 กับ 6 โดยใช้ค่าสัมบูรณ์ ดังนี้
(แนวตอบ (-4) + 6 = □) ค่าสัมบูรณ์ของ -4 เท่ากับ 4 หรือ ∙-4∙ = 4
ค่าสัมบูรณ์ของ 6 เท่ากับ 6 หรือ ∙6∙ = 6
• จากประโยคสัญลักษณ จํานวนใดเปนตัวตัง้
จะเห็นว่า ถ้าน�าค่าสัมบูรณ์ของ 6 ลบด้วยค่าสัมบูรณ์ของ -4 นั่นคือ
และจํานวนใดเปนตัวบวก
∙6∙ - ∙-4∙ = 6 - 4 แล้วจะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 2 เช่นเดียวกับการหาผลบวกโดยใช้เส้นจ�านวน
(แนวตอบ -4 เปนตัวตั้งและ 6 เปนตัวบวก)
• ถาหาผลบวกของ -4 กับ 6 โดยใชเสนจํานวน
(3) พิจารณาการหาผลบวกของ 3 กับ -7 โดยใช้ค่าสัมบูรณ์ ดังนี้
ตองนับอยางไร และไดผลบวกเทาไร เริ่มต้นที่ 0 นับไปทางขวา 3 หน่วย แล้วนับ
(แนวตอบ เริม่ ตนที่ 0 นับไปทางซาย 4 หนวย ลดไปทางซ้าย 7 หน่วย จะสิ้นสุดที่ -4
เพราะตัวตั้งมีเครื่องหมายเปนลบ จากนั้น จบ เริ่ม
นับเพิ่มไปทางขวา 6 หนวย เพราะตัวบวก -5 -4 -3 -2 -1 0 1 2 3 4 5
4 หน่วย
มี เ ครื่ อ งหมายเป น บวก หลั ง จากนั บ แล ว
จะเห็นวาไปสิน้ สุดที่ 2 แสดงวา ผลบวกของ
ดังนั้น 3 + (-7) = -4
-4 กับ 6 เทากับ 2) พิจารณาการหาผลบวกของ 3 กับ -7 โดยใช้ค่าสัมบูรณ์ ดังนี้
ค่าสัมบูรณ์ของ 3 เท่ากับ 3 หรือ ∙3∙ = 3
• ถาหาผลบวกของ -4 กับ 6 โดยใชคา สัมบูรณ ค่าสัมบูรณ์ของ -7 เท่ากับ 7 หรือ ∙-7∙ = 7
จะตองทําอยางไร และผลบวกที่ไดเทากับ
จะเห็นว่า ถ้าน�าค่าสัมบูรณ์ของ -7 ลบด้วยค่าสัมบูรณ์ของ 3 แล้วเขียนผลลัพธ์เป็น
การหาผลบวกโดยใชเสนจํานวนหรือไม จ�านวนเต็มลบ ซึ่งเท่ากับ -4 เช่นเดียวกับการหาผลบวกโดยใช้เส้นจ�านวน
( แนวตอบ นํ า ค า สั ม บู ร ณ ข อง 6 ลบด ว ย
(4) พิจารณาการหาผลบวกของ -6 กับ 3 โดยใช้เส้นจ�านวน ดังนี้
คาสัมบูรณของ -4 ดังนี้
6 - -4 = 6 - 4 = 2 แสดงวา ผลบวกของ เริ่มต้นที่ 0 นับไปทางซ้าย 6 หน่วย แล้วนับ
เพิ่มไปทางขวา 3 หน่วย จะสิ้นสุดที่ -3
-4 กับ 6 เทากับ 2 ซึ่งเทากับการหาผลบวก
โดยใชเสนจํานวน) จบ เริ่ม
• ผลบวกของ -4 กับ 6 และ -6 กับ 3 มี -7 -6 -5 -4 -3 -2 -1 0 1 2 3 4
3 หน่วย
เครื่องหมายเหมือนจํานวนใด ดังนั้น (-6) + 3 = -3
12
(แนวตอบ ผลบวกที่ไดมีเครื่องหมายเหมือน
จํานวนที่มีคาสัมบูรณมากกวา)
T16
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การแลกเปลีย่ นความรูค วามเขาใจกับกลุม
พิจารณาการหาผลบวกของ -6 กับ 3 โดยใช้ค่าสัมบูรณ์ ดังนี้ 3. ครูใหนักเรียนแตละกลุมศึกษาตัวอยางที่ 5
ค่าสัมบูรณ์ของ -6 เท่ากับ 6 หรือ ∙-6∙ = 6 ในหนังสือเรียน หนา 13 แลวแลกเปลี่ยน
ค่าสัมบูรณ์ของ 3 เท่ากับ 3 หรือ ∙3∙ = 3 ความรูกันภายในกลุมของตนเอง จากนั้นให
จะเห็นว่า ถ้าน�าค่าสัมบูรณ์ของ -6 ลบด้วยค่าสัมบูรณ์ของ 3 แล้วเขียนผลลัพธ์เป็น นักเรียนแตละคนทํา “ลองทําดู”
จ�านวนเต็มลบ ซึ่งเท่ากับ -3 เช่นเดียวกับการหาผลบวกโดยใช้เส้นจ�านวน 4. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
5. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา เมื่อนําจํานวนตรงขาม
การบวกจ�านวนเต็มบวกด้วยจ�านวนเต็มลบ และการบวกจ�านวนเต็มลบด้วยจ�านวนเต็ม มาบวกกั น ผลบวกที่ ไ ด จ ะมี ค า เป น ศู น ย
บวกให้น�าค่าสัมบูรณ์ของจ�านวนที่มากกว่า ลบด้วยค่าสัมบูรณ์ของจ�านวนที่น้อยกว่า
เช น เดี ย วกั น ในกรณี ที่ ค า สั ม บู ร ณ เ ท า กั น
แล้วเขียนผลลัพธ์เป็นจ�านวนเต็ม ตามจ�านวนที่มีค่าสัมบูรณ์มากกว่า
ผลบวกที่ไดก็จะมีคาเทากับศูนยเสมอ
(5) กรณีที่ค่าสัมบูรณ์เท่ากัน สามารถเลือกจ�านวนใดเป็นตัวตั้งก็ได้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้
จะมีค่าเท่ากับศูนย์เสมอ เช่น (-5) + 5 = ∙-5∙ - ∙5∙ = 0 การสรุปและจัดระเบียบความรู
5 + (-5) = ∙5∙ - ∙-5∙ = 0 ครูและนักเรียนรวมกันสรุปการบวกจํานวนเต็ม
ตัวอย่างที่ 5 โดยใชการถาม-ตอบ ดังนี้
จงหาผลบวกของจํานวนต่อไปนี้ • การบวกจํานวนเต็มลบดวยจํานวนเต็มลบ
1) 25 + (-11) 2) (-16) + 9 ผลบวกที่ไดเปนจํานวนอะไร
วิธีทํา 1) 25 + (-11) = ∙25∙ - ∙-11∙ (แนวตอบ เปนจํานวนเต็มลบ)
= 25 - 11 • การบวกจํานวนเต็มลบดวยจํานวนเต็มลบ
= 14 โดยใชคาสัมบูรณทําอยางไร
2) (-16) + 9 = -(∙-16∙ - ∙9∙) (แนวตอบ ใหนําคาสัมบูรณมาบวกกัน แลว
= -(16 - 9) เขียนผลบวกเปนจํานวนเต็มลบ)
= -7 ตอบ • การบวกจํานวนเต็มบวกดวยจํานวนเต็มลบ
และการบวกจํ า นวนเต็ ม ลบด ว ยจํ า นวน
ลองทําดู
เต็มบวก โดยใชคาสัมบูรณทําอยางไร
จงหาผลบวกของจํานวนต่อไปนี้ ( แนวตอบ ให นํ า ค า สั ม บู ร ณ ข องจํ า นวนที่
1) 12 + (-23) 2) (-9) + 17 มากกวาลบดวยคาสัมบูรณของจํานวนที่
คณิตน่ารู้ นอยกวา แลวเขียนผลลัพธเปนจํานวนเต็ม
ให้ a, b แทนจ�านวนเต็มบวกใด ๆ แล้ว a + (-b) = a - b เมื่อ a ≥ b
ตามจํานวนที่มีคาสัมบูรณมากกวา)
a + (-b) = -(b - a) เมื่อ b > a
(-a) + b = -(a - b) เมื่อ a ≥ b
(-a) + b = b - a เมื่อ b > a
13
T17
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การปฏิบตั ิ และ/หรือการแสดงผลงาน
1. ครูใหนักเรียนจับคูกัน แลวชวยกันทํากิจกรรม กิจกรรม คณิตศาสตร์
คณิตศาสตร ในหนังสือเรียน หนา 14 ดังนี้
• ครูแจกบัตรตัวเลข 1 และ -1 จํานวน ให้นกั เรียนจับคูก่ บั เพือ่ นแล้วช่วยกันหาผลบวกของจÓนวนเต็มโดยใช้บตั รตัวเลข 1 และ -1
อยางละ 10 ใบ ใหนักเรียนแตละคู ข้อตกลง 1) ให้ 1 แทนตัวเลขแสดงจ�านวน 1 และ -1 แทนตัวเลขแสดงจ�านวน -1
• ครู อ ธิ บ ายข อ ตกลงการใช บั ต รตั ว เลข 2) ใช้บัตรตัวเลขแสดงจ�านวนเต็มต่าง ๆ เช่น
จากนั้นใหนักเรียนศึกษาตัวอยางการบวก 1 1 1 หมายถึง 1 + 1 + 1 = 3
จํานวนเต็มขอ 1. แลวแลกเปลี่ยนความรู
-1 -1 -1 หมายถึง (-1) + (-1) + (-1) = -3
กับคูของตนเอง
1 -1 หมายถึง 1 + (-1) = 0
• ให นั ก เรี ย นแสดงการหาผลบวกของ
จํ า นวนเต็ ม สองจํ า นวนที่ มี เ ครื่ อ งหมาย 1. การบวกจํานวนเต็มสองจํานวนที่มีเครื่องหมายเหมือนกัน
เหมือนกัน โดยใชบัตรตัวเลข แลวเขียน
ผลบวกที่ไดลงในสมุดของตนเอง ตัวอย่าง จงหาผลบวกของ (-2) + (-3)
• ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งการบวก -1 -1
-1 -1 -1 -1 -1
จํานวนเต็มขอ 2. แลวแลกเปลี่ยนความรู -1 -1 -1
กับคูของตนเอง ดังนั้น (-2) + (-3) = -5
• ให นั ก เรี ย นแสดงการหาผลบวกของ
จํ า นวนเต็ ม สองจํ า นวนที่ มี เ ครื่ อ งหมาย จงหาผลบวกของจ�านวนต่อไปนี้
ตางกัน โดยใชบตั รตัวเลข แลวเขียนผลบวก 1) 2 + 4 2) 6 + 3 3) (-3) + (-4) 4) (-5) + (-2)
ที่ไดลงในสมุดของตนเอง 2. การบวกจํานวนเต็มสองจํานวนที่มีเครื่องหมายต่างกัน
• ครูใหนักเรียนคิดโจทยการหาผลบวกของ
จํานวนเต็ม มาคูละ 2 โจทย โดยนักเรียน ตัวอย่าง จงหาผลบวกของ 5 + (-2)
สามารถยื ม บั ต รตั ว เลขของเพื่ อ นคู อื่ น ได 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1
1 1 1
จากนั้นออกมานําเสนอการหาผลบวกบน -1 -1 -1 -1
กระดานโดยใชบัตรตัวเลข จ�านวนตรงข้าม
2. ครูสแกน QR Code เรื่อง การหาผลบวก บวกกันเท่ากับศูนย์
ของจํานวนเต็มโดยใชบตั รตัวเลข ใหนกั เรียนดู ดังนั้น 5 + (-2) = 3
3. ครูแจกใบงานที่ 1.7 เรื่อง การบวกจํานวนเต็ม จงหาผลบวกของจ�านวนต่อไปนี้
ใหนักเรียนทํา จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน 1) 7 + (-3) 2) (-5) + 8 3) 4 + (-9) 4) (-8) + 2
เฉลยคําตอบ
14 การหาผลบวกของจ�านวนเต็มโดยใช้บัตรตัวเลข
เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร
ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET
1. การบวกจํานวนเต็มสองจํานวนที่มีเครื่องหมายเหมือนกัน
ผลลัพธในขอใดมีคามากที่สุด
1) 6 2) 9 3) -7 4) -7
1. [(-19) + 13] + (-4)
2. การบวกจํานวนเต็มสองจํานวนที่มีเครื่องหมายตางกัน
2. [(-12) + 8] + 2
1) 4 2) 3 3) -5 4) -6
3. [11 + (-18)] + 3
4. [(-23) + 17] + (-7)
สื่อ Digital (เฉลยคําตอบ 1. [(-19) + 13] + (-4) = -10
2. [(-12) + 8] + 2 = -2
ครูเปดสื่อการเรียนรูเรื่อง การหาผลบวกของจํานวนเต็มโดยใชบัตรตัวเลข 3. [11 + (-18)] + 3 = -4
จากหนังสือเรียน หนา 14 ดวยการสแกน QR Code 4. [(-23) + 17] + (-7) = -13
คาที่มากที่สุด คือ -2
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)
T18
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การศึกษาทําความเขาใจขอมูล/ความรูใหมฯ
2. การลบจ�านวนเต็ม 1. ครูใหนกั เรียนจับคูศ กึ ษาเนือ้ หาในหนังสือเรียน
จงพิจารณาผลลบและผลบวกของจ�านวนเต็มต่อไปนี้ หนา 15 แลวแลกเปลีย่ นความรูก บั คูข องตนเอง
3 - 2 = 1 และ 3 + (-2) = 1 จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้
จะเห็นว่า 3 - 2 = 3 + (-2) • จาก 3 - 2 = 1 และ 3 + (-2) = 1 มีอะไร
4 - 2 = 2 และ 4 + (-2) = 2 ที่เหมือนกัน
จะเห็นว่า 4 - 2 = 4 + (-2) (แนวตอบ มี 3 เปนตัวตั้ง และมีผลลบและ
การลบจ�านวนเต็มใช้ข้อตกลง ดังนี้ ผลบวกเหมือนกัน คือ 1)
ตัวตั้ง - ตัวลบ = ตัวตั้ง + จ�านวนตรงข้ามของตัวลบ • จาก 3 - 2 = 1 และ 3 + (-2) = 1
มีความสัมพันธกันอยางไร
นั่นคือ ถ้าก�าหนดให้ a และ b แทนจ�านวนเต็มใด ๆ (แนวตอบ 3 - 2 = 1 สามารถเขียนอยูใน
a - b = a + จ�านวนตรงข้ามของ b
รูปการบวกไดเปน 3 + (-2) = 1)
หรือ a - b = a + (-b)
2. ครูอธิบายเพิ่มเติม ดังนี้ นักเรียนจะสังเกต
ตัวอย่างที่ 6
เห็นวาเมื่อเขียน 3 - 2 ใหอยูในรูปการบวก
จงหาผลลบของจํานวนต่อไปนี้ จํ า นวนที่ นํ า มาบวกจะเป น จํ า นวนตรงข า ม
1) 3 - 7 2) (-2) - 4 3) 5 - (-2) 4) (-3) - (-8) ของ 2 ที่เปนตัวลบ แลวครูถามคําถาม ดังนี้
วิธีทํา 1) 3 - 7 = 3 + จ�านวนตรงข้ามของ 7 • จากขอสังเกตดังกลาวขางตนสามารถสรุป
= 3 + (-7) เปนขอตกลงของการลบจํานวนเต็ม โดย
= -4
อาศัยการบวกไดอยางไร
2) (-2) - 4 = (-2) + จ�านวนตรงข้ามของ 4
= (-2) + (-4) T hinking Time (แนวตอบ ตัวตั้ง ลบ ตัวลบ เทากับ ตัวตั้ง
= -6 จงหาผลลัพธ์ของ (-33) + 78 - 96 บวก จํานวนตรงขามของตัวลบ)
3) 5 - (-2) = 5 + จ�านวนตรงข้ามของ -2 การแลกเปลีย่ นความรูค วามเขาใจกับกลุม
= 5 + 2
= 7 1. ครูใหนักเรียนจัดกลุม กลุมละ 4 คน คละ
4) (-3) - (-8) = (-3) + จ�านวนตรงข้ามของ -8 ความสามารถทางคณิตศาสตร แลวศึกษา
= (-3) + 8 ตัวอยางที่ 6 ในหนังสือเรียน หนา 15 แลว
= 5 ตอบ แลกเปลี่ ย นความรู ภ ายในกลุ ม ของตนเอง
จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมทํา “ลองทําดู”
ลองทําดู
และ “Thinking Time” โดยเขียนวิธีทําลงใน
จงหาผลลบของจํานวนต่อไปนี้ สมุดของตนเอง
1) 15 - 28 2) (-6) - 3 3) 3 - (-10) 4) (-12) - (-4) 2. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
15 และ “Thinking Time”
T19
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
การสรุปและจัดระเบียบความรู
ครูและนักเรียนรวมกันสรุปการลบจํานวนเต็ม กิจกรรม คณิตศาสตร์
โดยใชการถาม-ตอบ ดังนี้
• นักเรียนคิดวา a - b เปนจํานวนเต็มบวก ให้นกั เรียนจับคูก่ บั เพือ่ นแล้วช่วยกันหาผลลบของจÓนวนเต็มโดยใช้บตั รตัวเลข 1 และ -1
ไดหรือไม ถาได a และ b ตองเปนอยางไร ข้อตกลง เมื่อใช้บัตรตัวเลขแสดงจ�านวนเต็มต่าง ๆ เราสามารถหาจ�านวนตรงข้ามได้ เช่น
(แนวตอบ ได เมื่อ a มีคามากกวา b) - -1 -1 -1 1 1 1
• นักเรียนคิดวา a - b เปนจํานวนเต็มลบได -(-3) = 3
หรือไม ถาได a และ b ตองเปนอยางไร 1. การลบจํานวนเต็มด้วยจํานวนเต็มบวก
(แนวตอบ ได เมื่อ a มีคานอยกวา b) ตัวอย่างที่ 1 จงหาผลลบของ 4 - 6
1 1 1 1 1 1 1 1 -1 -1
การปฏิบตั ิ และ/หรือการแสดงผลงาน
-1 -1 -1 -1 -1 -1 -1 -1 -1 -1 -1 -1
1. ครูใหนักเรียนจับคูกัน แลวชวยกันทํากิจกรรม 4 - 6 สามารถเขียน
จ�านวนตรงข้ามบวกกันเท่ากับศูนย์ เป็น 4 + (-6) ได้
คณิตศาสตร ในหนังสือเรียน หนา 16 ดังนี้ ดังนั้น 4 - 6 = -2
• ครูแจกบัตรตัวเลข 1 และ -1 จํานวน ตัวอย่างที่ 2 จงหาผลลบของ (-5) - 2
อยางละ 10 ใบ ใหนักเรียนแตละคู -1 -1 -1 -1 -1 (-5) - 2 สามารถเขียน
-1 -1 -1 -1 -1 -1 -1
• ครู อ ธิ บ ายข อ ตกลงการใช บั ต รตั ว เลข -1 -1 เป็น (-5) + (-2) ได้
ใหนักเรียนฟง จากนั้นใหนักเรียนศึกษา ดังนั้น (-5) - 2 = -7
ตั ว อย า งการลบจํ า นวนเต็ ม ข อ 1. แล ว จงหาผลลบของจ�านวนต่อไปนี้
แลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง 1) 7 - 4 2) 3 - 6 3) (-2) - 4 4) (-5) - 4
• ให นั ก เรี ย นแสดงการลบจํ า นวนเต็ ม ด ว ย 2. การลบจํานวนเต็มด้วยจํานวนเต็มลบ
จํานวนเต็มบวก โดยใชบตั รตัวเลข แลวเขียน
ผลลบที่ไดลงในสมุดของตนเอง ตัวอย่างที่ 3 จงหาผลลบของ 3 - (-2)
• ใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางการลบจํานวนเต็ม 1 1 1 1 1 1
1 1 1 1 1 1 1 3 - (-2) สามารถ
ข อ 2. แล ว แลกเปลี่ ย นความรู กั บ คู ข อง
- -1 -1 เขียนเป็น 3 + 2 ได้
ตนเอง ดังนั้น 3 - (-2) = 5
• ให นั ก เรี ย นแสดงการลบจํ า นวนเต็ ม ด ว ย ตัวอย่างที่ 4 จงหาผลลบของ (-3) - (-4)
จํานวนเต็มลบ โดยใชบัตรตัวเลข แลวเขียน -1 -1 -1 -1 -1 -1 1
ผลลบที่ไดลงในสมุดของตนเอง - -1 -1 -1 -1 1 1 1 1 (-3) - (-4) สามารถ
2. ครูแจกใบงานที่ 1.8 เรื่อง การลบจํานวนเต็ม ดังนั้น (-3) - (-4) = 1 เขียนเป็น (-3) + 4 ได้
ใหนักเรียนทํา จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน จงหาผลลบของจ�านวนต่อไปนี้
เฉลยคําตอบ 1) 7 - (-2) 2) 4 - (-5) 3) (-4) - (-8) 4) (-9) - (-5)
16
เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร
กิจกรรม 21st Century Skills
1. การลบจํานวนเต็มดวยจํานวนเต็มบวก
1. ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน แลวชวยกันคิดโจทยการหา
1) 3 2) -3 3) -6 4) -9
ผลลบของจํานวนเต็ม มากลุมละ 2 โจทย จากนั้นแสดงการหา
2. การลบจํานวนเต็มดวยจํานวนเต็มลบ
ผลลบโดยใชบตั รตัวเลขลงกระดาษ A4 พรอมตกแตงใหสวยงาม
1) 9 2) 9 3) 4 4) -4
2. กอนทํากิจกรรมใหนักเรียนแตละกลุมประชุมเพื่อแบงหนาที่
ในการทํางาน
3. นักเรียนแตละกลุม ลงมือทํากิจกรรม โดยสมาชิกในกลุม ทําหนาที่
ตามที่ประชุมกันไว
4. นักเรียนแตละกลุมนําเสนอผลงาน
T20
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ประยุกตใชความรู
แบบฝึกทักษะ 1.4 ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก ทั ก ษะ 1.4 และ
Excercise 1.4 ในแบบฝกหัดคณิตศาสตรเปน
ระดับ พื้นฐาน
การบาน
1. จงหาผลลัพธ์ในแต่ละข้อต่อไปนี้
1) (-5) + 17 2) (-12) + (-25) 3) (-60) + 28 ขัน้ สรุป
4) 54 + (-46) 5) 7 - 16 6) (-12) - 23
7) 15 - (-9) 8) (-4) - (-18) 9) (-28) - (-11) ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
ระดับ กลาง • การบวกจํานวนเต็มลบดวยจํานวนเต็มลบ
2. จงหาผลลัพธ์ในแต่ละข้อต่อไปนี้ จะไดผลบวกเปนจํานวนอะไร
1) 55 + (-19) + 30 2) 34 + (-27) + (-51) 3) (-61) + (-9) + (-32) (แนวตอบ จํานวนเต็มลบ)
4) 23 - 46 - 11 5) (-25) - (-17) - 15 6) 35 - (-18) + (-21) • การบวกจํานวนเต็มบวกดวยจํานวนเต็มลบ
3. จงเติมจ�านวนลงใน ให้ถูกต้อง และการบวกจํ า นวนเต็ ม ลบด ว ยจํ า นวน
1) 5 - = 12 2) 7 - = -13 3) (-9) - = -15 เต็มบวก โดยใชคาสัมบูรณทําอยางไร
4) (-8) + = 6 5) + 7 = 3 6) + (-13) = -14 ( แนวตอบ ให นํ า ค า สั ม บู ร ณ ข องจํ า นวนที่
4. จงหาผลลัพธ์ในแต่ละข้อต่อไปนี้ มากกวาลบดวยคาสัมบูรณของจํานวนที่
1) ∙6 + (-8)∙ 2) -∙(-5) + 17∙ 3) ∙(-13) - (-7)∙ นอยกวา แลวเขียนผลลัพธเปนจํานวนเต็ม
4) -∙-38∙ + (-51) 5) -∙-59∙ + ∙28∙ 6) 46 - ∙-25∙ ตามจํานวนที่มีคาสัมบูรณมากกวา)
• ขอตกลงของการลบจํานวนเต็มโดยอาศัย
ระดับ ท้าทาย การบวก เปนอยางไร
5. จงเติมจ�านวนเต็มใด ๆ ที่ไม่ใช่ศูนย์ลงในตารางต่อไปนี้ โดยที่สัญลักษณ์ที่เหมือนกัน (แนวตอบ ตัวตั้ง ลบ ตัวลบ เทากับ ตัวตั้ง
เป็นจ�านวนเดียวกัน บวก จํานวนตรงขามของตัวลบ)
ข้อ ช่องที่ 1 ช่องที่ 2
+ +
ขัน้ ประเมิน
1
1. ครูตรวจใบงานที่ 1.6-1.8
2 ( + ) + + ( + )
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.4
3 - -
3. ครูตรวจ Exercise 1.4
4 ( - )- -( - ) 4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
1) จงหาค่าผลลัพธ์จากตารางในช่องที่ 1 และช่องที่ 2 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
2) จงเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่ได้จากตารางในช่องที่ 1 และช่องที่ 2 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
7. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
17
T22
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
ตัวอย่างที่ 7 1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 7 ใน
จงหาผลคูณของจํานวนต่อไปนี้ หนังสือเรียน หนา 19 แลวแลกเปลี่ยนความรู
1) 3 × (-5) 2) 5 × (-3) กับคูของตนเอง จากนั้นใหนักเรียนแตละคน
3) 9 × (-11) 4) 11 × (-9) ทํา “ลองทําดู” แลวรวมกันเฉลยคําตอบ
2. ครู ส รุ ป การคู ณ จํ า นวนเต็ ม บวกด ว ยจํ า นวน
วิธีทํา 1) 3 × (-5) = -(∙3∙ × ∙-5∙) คณิตน่ารู้ เต็มลบเปนกรณีทั่วไปดังกรอบ “คณิตนารู”
= -(3 × 5) ในหนังสือเรียน หนา 19 ใหนักเรียนไดสังเกต
ให้ a, b แทนจ�านวนเต็มบวกใด ๆ
= -15 จะได้ว่า a × (-b) = -(a × b) 3. ครูแจกใบงานที่ 1.9 เรื่อง การคูณจํานวน
2) 5 × (-3) = -(∙5∙ × ∙-3∙) เต็มบวกดวยจํานวนเต็มลบ ใหนักเรียนทํา
= -(5 × 3) จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
= -15
3) 9 × (-11) = -(∙9∙ × ∙-11∙) รู (Knowing)
= -(9 × 11) 1. ครูอธิบายการคูณจํานวนเต็มลบดวยจํานวน
= -99 เต็มบวก โดยอธิบายวา “เราไมสามารถหา
4) 11 × (-9) = -(∙11∙ × ∙-9∙) ผลคูณโดยใชการบวกจํานวนซํ้าๆ ได ดังนั้น
= -(11 × 9) เราจึงใชสมบัติการสลับที่สําหรับการคูณมา
= -99 ตอบ ชวยในการหาผลคูณ” แลวยกตัวอยางโจทย
การคูณในหนังสือเรียน หนา 19 บนกระดาน
ลองทําดู จากนั้ น ให นั ก เรี ย นสั ง เกตผลคู ณ แล ว ถาม
คําถาม ดังนี้
จงหาผลคูณของจํานวนต่อไปนี้
• การคูณจํานวนเต็มลบดวยจํานวนเต็มบวก
1) 8 × (-12) 2) 6 × (-4)
ผลคูณที่ไดเปนจํานวนอะไร
(แนวตอบ จํานวนเต็มลบ)
3) การคูณจํานวนเต็มลบด้วยจํานวนเต็มบวก นักเรียนไม่สามารถหาผลคูณโดยใช้ 2. ครูยกตัวอยางโจทย (-3) × 4 = บน
การบวกจ�านวนซ�้า ๆ ได้ ดังนั้น จึงน�าสมบัติการสลับที่ส�าหรับการคูณมาช่วยในการหาผลคูณ เช่น กระดาน แลวถามคําถาม ดังนี้
(-3) × 4 = 4 × (-3) = -12 • คาสัมบูรณของ -3 และคาสัมบูรณของ 4
พิจารณาการหาผลคูณของ -3 กับ 4 โดยใช้ค่าสัมบูรณ์ ดังนี้ เทากับเทาไร
ค่าสัมบูรณ์ของ -3 เท่ากับ 3 หรือ ∙-3∙ = 3 (แนวตอบ -3 = 3 และ 4 = 4)
ค่าสัมบูรณ์ของ 4 เท่ากับ 4 หรือ ∙4∙ = 4 • คาสัมบูรณของ -3 คูณกับคาสัมบูรณของ 4
เทากับเทาไร
(แนวตอบ -3 × 4 = 12)
19
• ถาเขียนผลคูณทีไ่ ดเปนจํานวนเต็มลบ จะได
จํานวนใด
(แนวตอบ -12)
T23
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
3. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา “หลังจากนําคาสัมบูรณ จะเห็นว่า ถ้าน�าค่าสัมบูรณ์ของ -3 คูณด้วยค่าสัมบูรณ์ของ 4 แล้วเขียนผลคูณเป็น
ของ -3 คูณกับคาสัมบูรณของ 4 แลวเขียน จ�านวนเต็มลบ จะได้ผลคูณเท่ากับ -12 เช่นเดียวกับการหาผลคูณโดยใช้สมบัติการสลับที่ส�าหรับ
ผลคูณที่ไดเปนจํานวนเต็มลบ จะไดผลคูณ การคูณ
เทากับ -12 ซึ่งเทากับการหาผลคูณโดยใช
สมบัติการสลับที่สําหรับการคูณมาชวย”
การคูณจ�านวนเต็มลบด้วยจ�านวนเต็มบวก ให้น�าค่าสัมบูรณ์ของจ�านวนทั้งสอง
มาคูณกัน แล้วเขียนผลคูณเป็นจ�านวนเต็มลบ
4. ครูและนักเรียนรวมกันสรุป ดังนี้ “การคูณ
จํ า นวนเต็ ม ลบด ว ยจํ า นวนเต็ ม บวก ให นํ า
ตัวอย่างที่ 8
คาสัมบูรณของจํานวนทั้งสองมาคูณกัน แลว
เขียนผลคูณเปนจํานวนเต็มลบ” จงหาผลคูณของจํานวนต่อไปนี้
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 8 ใน 1) (-1) × 3 2) (-2) × 5
หนังสือเรียน หนา 20 แลวแลกเปลี่ยนความรู 3) (-3) × 2 4) (-4) × 6
กับคูข องตนเอง จากนัน้ ใหนกั เรียนแตละคนทํา วิธีทํา 1) (-1) × 3 = -(∙-1∙ × ∙3∙) คณิตน่ารู้
“ลองทําดู” แลวรวมกันเฉลยคําตอบ = -(1 × 3)
ให้ a, b แทนจ�านวนเต็มบวกใด ๆ
6. ครู ส รุ ป การคู ณ จํ า นวนเต็ ม ลบด ว ยจํ า นวน = -3 จะได้ว่า (-a) × b = -(a × b)
เต็มบวกเปนกรณีทั่วไปดังกรอบ “คณิตนารู” 2) (-2) × 5 = -(∙-2∙ × ∙5∙)
ในหนังสือเรียน หนา 20 ใหนักเรียนไดสังเกต = -(2 × 5)
= -10
3) (-3) × 2 = -(∙-3∙ × ∙2∙)
= -(3 × 2)
= -6
4) (-4) × 6 = -(∙-4∙ × ∙6∙)
= -(4 × 6)
= -24 ตอบ
ลองทําดู
จงหาผลคูณของจํานวนต่อไปนี้
1) (-4) × 13
2) (-8) × 7
20
T24
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
4) การคูณจํานวนเต็มลบด้วยจํานวนเต็มลบ 7. ครู ย กตั ว อย า งการคู ณ จํ า นวนเต็ ม ลบด ว ย
พิจารณาการหาผลคูณของ -3 กับ -4 ดังนี้ จํานวนเต็มลบโดยใชสมบัติการแจกแจง ใน
เนื่องจาก (-4) + 4 = 0 หนังสือเรียน หนา 21 บนกระดาน จากนัน้ ให
1
น�า -3 คูณเข้าทั้งสองข้าง (-3) × [(-4) + 4] = (-3) × 0 นักเรียนสังเกตผลคูณ แลวถามคําถาม ดังนี้
จากสมบัติการแจกแจง [(-3) × (-4)] + [(-3) × 4] = 0 • การคูณจํานวนเต็มลบดวยจํานวนเต็มลบ
นั่นคือ [(-3) × (-4)] + (-12) = 0 ผลคูณที่ไดเปนจํานวนอะไร
แสดงว่า (-3) × (-4) กับ -12 ต้องเป็นจ�านวนตรงข้ามกัน ซึ่งจ�านวนตรงข้ามของ -12 (แนวตอบ จํานวนเต็มบวก)
คือ 12 8. ครูยกตัวอยางโจทย (-3) × (-4) = บน
ดังนั้น (-3) × (-4) = 12 กระดาน แลวถามคําถาม ดังนี้
• คาสัมบูรณของ -3 และคาสัมบูรณของ -4
พิจารณาการหาผลคูณของ -3 กับ -4 โดยใช้ค่าสัมบูรณ์ ดังนี้
เทากับเทาไร
ค่าสัมบูรณ์ของ -3 เท่ากับ 3 หรือ ∙-3∙ = 3 (แนวตอบ -3 = 3 และ -4 = 4)
ค่าสัมบูรณ์ของ -4 เท่ากับ 4 หรือ ∙-4∙ = 4 • คาสัมบูรณของ -3 คูณกับคาสัมบูรณของ
จะเห็นว่า ถ้าน�าค่าสัมบูรณ์ของ -3 คูณด้วยค่าสัมบูรณ์ของ -4 จะได้ผลคูณเป็นจ�านวน -4 เทากับเทาไร
เต็มบวก ซึ่งเท่ากับ 12 เช่นเดียวกับการหาผลคูณโดยใช้สมบัติการแจกแจง (แนวตอบ -3 × -4 = 12)
9. ครูอธิบายเพิม่ เติมวา “หลังจากนําคาสัมบูรณ
การคูณจ�านวนเต็มลบด้วยจ�านวนเต็มลบ ให้น�าค่าสัมบูรณ์ของจ�านวนทั้งสอง ของ -3 คูณกับคาสัมบูรณของ -4 นักเรียน
มาคูณกัน จะได้ผลคูณเป็นจ�านวนเต็มบวก จะเห็นวา ผลคูณที่ไดเปนจํานวนเต็มบวก
เทากับ 12 ซึ่งเทากับการหาผลคูณโดยใช
ตัวอย่างที่ 9 สมบัติการแจกแจงมาชวย”
จงหาผลคูณของจํานวนต่อไปนี้ 10. ครูและนักเรียนรวมกันสรุป ดังนี้ “การคูณ
1) (-4) × (-3) 2) (-6) × (-5) จํ า นวนเต็ ม ลบด ว ยจํ า นวนเต็ ม ลบ ให นํ า
3) (-8) × (-11) 4) (-23) × (-5) คาสัมบูรณของจํานวนทัง้ สองมาคูณกัน จะได
วิธีทํา 1) (-4) × (-3) =
∙-4∙ × ∙-3∙ ผลคูณเปนจํานวนเต็มบวก”
คณิตน่ารู้
=
4 × 3 เขาใจ (Understanding)
ให้ a, b แทนจ�านวนเต็มบวกใด ๆ
=
12 จะได้ว่า (-a) × (-b) = a × b
2) (-6) × (-5) =
∙-6∙ × ∙-5∙ 1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 9 ใน
=
6 × 5 หนังสือเรียน หนา 21-22 แลวแลกเปลี่ยน
=
30 ความรูกับคูของตนเอง จากนั้นใหนักเรียน
แตละคนทํา “ลองทําดู” แลวรวมกันเฉลย
คําตอบ
21 2. ครู ส รุ ป การคู ณ จํ า นวนเต็ ม ลบด ว ยจํ า นวน
เต็มลบเปนกรณีทั่วไปดังกรอบ “คณิตนารู”
ในหนังสือเรียน หนา 21 ใหนักเรียนไดสังเกต
T25
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
3. ครูยกตัวอยางที่ 10 ในหนังสือเรียน หนา 22 3) (-8) × (-11) = ∙-8∙ × ∙-11∙
พรอมทั้งอธิบายวิธีการหาผลคูณ 2 ขั้นตอน = 8 × 11
หลังจากนั้นครูถามคําถาม “Thinking Time” = 88
ใหนักเรียนชวยกันหาคําตอบพรอมทั้งบอก 4) (-23) × (-5) = ∙-23∙ × ∙-5∙
เหตุผล = 23 × 5
(แนวตอบ ผลคูณเหมือนกับผลคูณในตัวอยาง = 115 ตอบ
ที่ 10 เพราะการหาผลคูณ 2 ขั้นตอน ทําได
โดยนํ า สองจํ า นวนใดๆ คู ณ กั น ก อ นก็ ไ ด ลองทําดู Thinking Time
แล ว นํ า ผลคู ณ ที่ ไ ด ไ ปคู ณ กั บ จํ า นวนที่ เ หลื อ จงหาผลคูณของจํานวนต่อไปนี้ นักเรียนคิดว่า ผลคูณของ
สวนเครื่องหมายของผลคูณอาจใชหลักการ 1) (-3) × (-12) 2) (-7) × (-6) 2 × (-2) × 3 เหมือนกับ
ผลคูณในตัวอย่างที่ 10 หรือไม่
พิจารณาที่จํานวนของเครื่องหมายลบ ถามี เพราะเหตุใด
เครื่องหมายลบเปนจํานวนคู ผลคูณที่ไดจะ ตัวอย่างที่ 10
22
T26
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. การหารจ�านวนเต็ม 1. ครูทบทวนความรูเรื่องความสัมพันธของการ
ในหน่วยการเรียนรู้นี้นักเรียนจะเรียนการหารจ�านวนเต็มด้วยจ�านวนเต็มที่เป็นการหาร คูณและการหารที่นักเรียนไดเรียนมาแลวใน
ระดับชั้นประถมศึกษา คือ
ลงตัวโดยใช้ความสัมพันธ์ของการคูณและการหาร ดังนี้
ตัวตั้ง = ตัวหาร × ผลหาร
ตัวตั้ง = ตัวหาร × ผลหาร 2. ครูยกตัวอยางการหารจํานวนเต็มบวกดวย
จํานวนเต็มบวก ในหนังสือเรียน หนา 23 แสดง
1) การหารจํานวนเต็มบวกด้วยจํานวนเต็มบวก ใหนักเรียนเห็นถึงความสัมพันธของการคูณ
พิจารณาการหาผลหารของ 12 กับ 4 โดยใช้ความสัมพันธ์ของการคูณและการหาร ดังนี้ และการหารจากที่กลาวไวขางตน จากนั้นให
เนื่องจาก 12 = 4 × 3 นักเรียนสังเกตผลหาร แลวถามคําถาม ดังนี้
ดังนั้น 12 ÷ 4 = 3 • การหารจํานวนเต็มบวกดวยจํานวนเต็มบวก
ผลหารที่ไดเปนจํานวนอะไร
การหารจ�านวนเต็มบวกด้วยจ�านวนเต็มบวก จะได้ผลหารเป็นจ�านวนเต็มบวก (แนวตอบ จํานวนเต็มบวก)
3. ครูอธิบายการหารจํานวนเต็มลบดวยจํานวน
2) การหารจํานวนเต็มลบด้วยจํานวนเต็มลบ เต็มลบวา “เราสามารถหาผลหารไดโดยใช
พิจารณาการหาผลหารของ -12 กับ -4 โดยใช้ความสัมพันธ์ของการคูณและการหาร ความสัมพันธของการคูณและการหาร” แลว
ดังนี้ ยกตั ว อย า งโจทย ก ารหารในหนั ง สื อ เรี ย น
เนื่องจาก -12 = (-4) × 3 หนา 23 บนกระดาน จากนัน้ ใหนกั เรียนสังเกต
ดังนั้น (-12) ÷ (-4) = 3 ผลหาร แลวถามคําถาม ดังนี้
พิจารณาการหาผลหารของ -12 กับ -4 โดยใช้ค่าสัมบูรณ์ ดังนี้ • การหารจํานวนเต็มลบดวยจํานวนเต็มลบ
ผลหารที่ไดเปนจํานวนอะไร
ค่าสัมบูรณ์ของ -12 เท่ากับ 12 หรือ ∙-12∙ = 12
(แนวตอบ จํานวนเต็มบวก)
ค่าสัมบูรณ์ของ -4 เท่ากับ 4 หรือ ∙-4∙ = 4 4. ครูยกตัวอยางโจทย (-12) ÷ (-4) = บน
จะเห็นว่า ถ้าน�าค่าสัมบูรณ์ของ -12 หารด้วยค่าสัมบูรณ์ของ -4 จะได้ผลหารเป็น กระดาน แลวถามคําถาม ดังนี้
จ�านวนเต็มบวก ซึ่งเท่ากับ 3 เช่นเดียวกับการหาผลหารโดยใช้ความสัมพันธ์ของการคูณและ • คาสัมบูรณของ -12 หารดวยคาสัมบูรณ
การหาร ของ -4 เทากับเทาไร
(แนวตอบ -12 ÷ -4 = 3)
การหารจ�านวนเต็มลบด้วยจ�านวนเต็มลบ ให้น�าค่าสัมบูรณ์ของจ�านวนทั้งสอง 5. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา “หลังจากนําคาสัมบูรณ
มาหารกัน จะได้ผลหารเป็นจ�านวนเต็มบวก ของ -12 หารดวยคาสัมบูรณของ -4 นักเรียน
จะเห็ น ว า ผลหารที่ ไ ด เ ท า กั บ 3 ซึ่ ง เท า กั บ
การหาผลหารโดยใชความสัมพันธของการคูณ
และการหาร”
6. ครูและนักเรียนรวมกันสรุป ดังนี้ “การหาร
23 จํานวนเต็มลบดวยจํานวนเต็มลบ ใหนําคา
สัมบูรณมาหารกัน จะไดผลหารเปนจํานวน
เต็มบวก”
T27
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 11 ใน ตัวอย่างที่ 11
หนังสือเรียน หนา 24 แลวแลกเปลี่ยนความรู จงหาผลหารของจํานวนต่อไปนี้
กับคูของตนเอง จากนั้นใหนักเรียนแตละคน 1) (-30) ÷ (-5) 2) (-144) ÷ (-8)
ทํา “ลองทําดู” แลวครูและนักเรียนรวมกัน
เฉลยคําตอบ วิธีทํา 1) (-30) ÷ (-5) = ∙-30∙ ÷ ∙-5∙ คณิตน่ารู้
2. ครู ส รุ ป การหารจํ า นวนเต็ ม ลบด ว ยจํ า นวน = 30 ÷ 5
ให้ a, b แทนจ�านวนเต็มบวกใด ๆ
เต็มลบเปนกรณีทั่วไปดังกรอบ “คณิตนารู” = 6 จะได้ว่า (-a) ÷ (-b) = a ÷ b
ในหนังสือเรียน หนา 24 ใหนักเรียนไดสังเกต 2) (-144) ÷ (-8) = ∙-144∙ ÷ ∙-8∙
จากนั้นใหนักเรียนจับคูชวยกันทํา “Thinking = 144 ÷ 8
Time” แลวรวมกันเฉลยคําตอบ = 18 ตอบ
T28
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
4) การหารจํานวนเต็มบวกด้วยจํานวนเต็มลบ 5. ครูอธิบายการหารจํานวนเต็มบวกดวยจํานวน
พิจารณาการหาผลหารของ 12 กับ -4 โดยใช้ความสัมพันธ์ของการคูณและการหาร เต็มลบวา “เราสามารถหาผลหารไดโดยใช
ดังนี้ ความสัมพันธของการคูณและการหาร” แลว
เนื่องจาก 12 = (-4) × (-3) ยกตั ว อย า งโจทย ก ารหารในหนั ง สื อ เรี ย น
ดังนั้น 12 ÷ (-4) = -3 หนา 25 บนกระดาน จากนัน้ ใหนกั เรียนสังเกต
พิจารณาการหาผลหารของ 12 กับ -4 โดยใช้ค่าสัมบูรณ์ ดังนี้ ผลหาร แลวถามคําถาม ดังนี้
ค่าสัมบูรณ์ของ 12 เท่ากับ 12 หรือ ∙12∙ = 12 • การหารจํานวนเต็มบวกดวยจํานวนเต็มลบ
ค่าสัมบูรณ์ของ -4 เท่ากับ 4 หรือ ∙-4∙ = 4 ผลหารที่ไดเปนจํานวนอะไร
จะเห็นว่า ถ้าน�าค่าสัมบูรณ์ของ 12 หารด้วยค่าสัมบูรณ์ของ -4 แล้วเขียนผลหารเป็น (แนวตอบ จํานวนเต็มลบ)
จ�านวนเต็มลบ จะได้ผลหารเท่ากับ -3 เช่นเดียวกับการหาผลหารโดยใช้ความสัมพันธ์ของการคูณ 6. ครูยกตัวอยางการหาผลหารของ 12 กับ -4
และการหาร โดยใชคาสัมบูรณ บนกระดาน แลวอธิบาย
เพิ่มเติมวา “หลังจากนําคาสัมบูรณของ 12
การหารจ�านวนเต็มบวกด้วยจ�านวนเต็มลบ ให้น�าค่าสัมบูรณ์ของจ�านวนทั้งสอง
มาหารกัน แล้วเขียนผลหารเป็นจ�านวนเต็มลบ หารดวยคาสัมบูรณของ -4 แลวเขียนผลหาร
เปนจํานวนเต็มลบ จะไดผลหารเทากับ -3 ซึ่ง
เทากับการหาผลหารโดยใชความสัมพันธของ
ตัวอย่างที่ 12 การคูณและการหาร”
จงหาผลหารของจํานวนต่อไปนี้ 7. ครูและนักเรียนรวมกันสรุป ดังนี้ “การหาร
1) (-36) ÷ 3 2) 45 ÷ (-5) จํ า นวนเต็ ม บวกด ว ยจํ า นวนเต็ ม ลบ ให นํ า
วิธีทํา 1) (-36) ÷ 3 = -(∙-36∙ ÷ ∙3∙) คาสัมบูรณของจํานวนทั้งสองมาหารกัน แลว
คณิตน่ารู้ เขียนผลหารเปนจํานวนเต็มลบ”
= -(36 ÷ 3)
ให้ a, b แทนจ�านวนเต็มบวกใด ๆ
= -12 จะได้ว่า (-a) ÷ b = -(a ÷ b) เขาใจ (Understanding)
2) 45 ÷ (-5) = -(∙45∙ ÷ ∙-5∙) และ a ÷ (-b) = -(a ÷ b)
= -(45 ÷ 5) 1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 12 ใน
= -9 ตอบ หนังสือเรียน หนา 25 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูของตนเอง จากนั้นใหนักเรียนแตละคน
ลองทําดู ทํา “ลองทําดู” แลวรวมกันเฉลยคําตอบ
จงหาผลหารของจํานวนต่อไปนี้ 2. ครูสรุปการหารจํานวนเต็มบวกดวยจํานวน
1) (-54) ÷ 6 2) 108 ÷ (-6) เต็มลบเปนกรณีทั่วไปดังกรอบ “คณิตนารู”
ในหนังสือเรียน หนา 25 ใหนักเรียนไดสังเกต
25
T29
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.5 ขอ 2. ใน แบบฝึกทักษะ 1.5
แบบฝกหัดคณิตศาสตร และทําแบบฝกทักษะ
ระดับ พื้นฐาน
1.5 ขอ 2.-5. เปนการบาน โดยครูกลาวชี้แนะ
และทบทวนความรูวา “ถาโจทยที่กําหนดให 1. จงหาผลคูณในแต่ละข้อต่อไปนี้
ไมไดใสวงเล็บ นักเรียนควรเริม่ ดําเนินการจาก 1) 3 × 17 2) 8 × (-9)
การคูณหรือหารโดยเริ่มจากซายไปขวา และ 3) (-6) × 7 4) (-7) × (-5)
ดําเนินการบวกหรือลบโดยเริ่มจากซายไปขวา 5) (-2) × 3 × 15 6) 3 × (-6) × 2
เปนลําดับสุดทาย” 2. จงหาผลหารในแต่ละข้อต่อไปนี้
1) 65 ÷ 5 2) (-38) ÷ (-2)
ลงมือทํา (Doing)
3) (-57) ÷ 3 4) 132 ÷ (-11)
1. ครูแจกใบงานที่ 1.11 เรือ่ ง การหารจํานวนเต็ม 5) 60 ÷ (-4) 6) (-48) ÷ (-8)
ใหนักเรียนทํา จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน
เฉลยคําตอบ ระดับ กลาง
2. ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ
3. จงหาผลลัพธ์ในแต่ละข้อต่อไปนี้
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
1) (-2) + (3 × 15) 2) [(-5) + (-2)] × (-3)
• ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ช ว ยกั น ทํ า แบบฝ ก
3) [(-5) × 6] × (-4) 4) 8 × [(-4) × (-7)]
ทักษะ 1.5 ขอ 6. โดยเขียนลงในสมุดของ
5) (-12) ÷ [4 - (-2)] 6) [(-12) + 2] ÷ (-5)
ตนเอง
• จากนัน้ ใหนกั เรียนแลกเปลีย่ นความรูภ ายใน
7) [(-48) ÷ (-3)] - 7 8) (-5) + [54 ÷ (-6)]
กลุมของตนเอง เกี่ยวกับคําตอบของขอ 1) 9) (-78) + 14 × 4 10) 40 + (-36) ÷ 9
และขอ 2) จนเปนที่เขาใจรวมกัน 11) 63 ÷ (-9) + (-2) × (-10) 12) (-8) × (-5) - (-36) ÷ 9
1
• ให นั ก เรี ย นส ง ตั ว แทนกลุ ม มานํ า เสนอ 4. จงเติมจ�านวนลงใน ให้ถูกต้อง
คําตอบหนาชั้นเรียน 1) 2 × (-3) × = -48 2) (-3) × × (-2) = 24
3) × (-4) × (-3) = -60 4) ÷ (-2) = -72
5) ÷ 8 = -83 6) (-672) ÷ = 96
7) 180 ÷ × (-22) = 132 8) ÷ 7 × 9 = -675
26
T30
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
5. จงเติมจ�านวนลงในตารางให้ถกู ต้อง เมือ่ ก�าหนดจ�านวนทีอ่ ยูใ่ นแนวนอนเป็นตัวตัง้ และจ�านวน • การคูณจํานวนเต็มบวกดวยจํานวนเต็มลบ
ที่อยู่ในแนวตั้งเป็นตัวหาร หรื อ การคู ณ จํ า นวนเต็ ม ลบด ว ยจํ า นวน
เต็มบวก ผลคูณที่ไดเปนจํานวนอะไร
ตัวหาร ตัวตั้ง 12 -12 (แนวตอบ จํานวนเต็มลบ)
-6 -2 • การคูณจํานวนเต็มลบดวยจํานวนเต็มลบ
4 ผลคูณที่ไดเปนจํานวนอะไร
-12 3 (แนวตอบ จํานวนเต็มบวก)
3 • การหารจํานวนเต็มลบดวยจํานวนเต็มลบ
ผลหารที่ไดเปนจํานวนอะไร
(แนวตอบ จํานวนเต็มบวก)
ระดับ ท้าทาย • การหารจํานวนเต็มลบดวยจํานวนเต็มบวก
6. จงเติมจ�านวนเต็มใด ๆ ที่ไม่ใช่ศูนย์ลงในตารางต่อไปนี้ โดยที่สัญลักษณ์ที่เหมือนกัน หรื อ การหารจํ า นวนเต็ ม บวกด ว ยจํ า นวน
เป็นจ�านวนเดียวกัน เต็มลบ ผลหารที่ไดเปนจํานวนอะไร
(แนวตอบ จํานวนเต็มลบ)
ข้อ ช่องที่ 1 ช่องที่ 2
1 × × ขัน้ ประเมิน
2 ( × )× × ( × ) 1. ครูตรวจใบงานที่ 1.9-1.11
3 ÷ ÷ 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.5
4 ( ÷ )÷ ÷ ( ÷ ) 3. ครูตรวจ Exercise 1.5
4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
1) จงหาค่าผลลัพธ์จากตารางในช่องที่ 1 และช่องที่ 2 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
2) จงเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่ได้จากตารางในช่องที่ 1 และช่องที่ 2 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
7. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
27
(เฉลยคําตอบ
4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย
4 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ
รวม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
เต็มลบคูณจํานวนเต็มบวก จะไดจํานวนเต็มลบ
ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องมาก ให้ 1 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
T31
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T32
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
(2) จ�านวนเต็มใด ๆ หารด้วยหนึ่ง จะได้ผลหารเท่ากับจ�านวนนั้น เช่น 6. ครูถามคําถามวา
3 ÷ 1 = 3 • ผลหารของ 3 ÷ 1 และ (-5) ÷ 1 เทากับ
(-5) ÷ 1 = -5 เทาไร
a ÷ 1 = a เมื่อ a แทนจ�านวนเต็มใด ๆ (แนวตอบ เทากับ 3 และ -5 ตามลําดับ)
แลวรวมกันสรุปเปนกรณีทั่วไปวา “การหาร
ตัวอย่างที่ 13 จํานวนเต็มใดๆ ดวยหนึ่ง จะไดผลหารเทากับ
จงหาผลลัพธ์ของจํานวนต่อไปนี้ จํานวนเต็มนั้น”
1) (18 - 17) × (-9) 2) 6 ÷ [(-4) + 5]
เขาใจ (Understanding)
วิธีทํา 1) (18 - 17) × (-9) = 1 × (-9) 2) 6 ÷ [(-4) + 5] = 6 ÷ 1
= -9 = 6 ตอบ 1. ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 13 ใน
หนังสือเรียน หนา 29 แลวแลกเปลี่ยนความรู
ลองทําดู กับคูข องตนเอง จากนัน้ ใหนกั เรียนแตละคนทํา
จงหาผลลัพธ์ของจํานวนต่อไปนี้ “ลองทําดู” แลวรวมกันเฉลยคําตอบ
1) (12 - 11) × (-7) 2) 9 ÷ [23 + (-22)] 2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นคู เ ดิ ม ศึ ก ษาสมบั ติ ก ารสลั บ ที่
ในหนังสือเรียน หนา 29 แลวแลกเปลีย่ นความรู
2. สมบัติเกี่ยวกับการบวกและการคูณจ�านวนเต็ม กับคูของตนเอง จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้
1
1) สมบัติการสลับที่ • ผลบวกของ 3 + (-5) และ (-5) + 3 เทากับ
(1) การบวกจ�านวนเต็มสองจ�านวน เราสามารถสลับที่ระหว่างตัวตั้งและตัวบวกได้ เทาไร
โดยที่ผลบวกยังคงเท่ากัน เช่น 3 + (-5) = (-5) + 3 = -2 (แนวตอบ เทากับ -2)
• ผลคูณของ 3 × (-5) และ (-5) × 3 เทากับ
ถ้า a และ b แทนจ�านวนเต็มใด ๆ แล้ว a + b = b + a
เทาไร
(2) การคูณจ�านวนเต็มสองจ�านวน เราสามารถสลับทีร่ ะหว่างตัวตัง้ และตัวคูณได้ โดยที่ (แนวตอบ เทากับ -15)
ผลคูณยังคงเท่ากัน เช่น 3 × (-5) = (-5) × 3 = -15 แล ว ร ว มกั น สรุ ป เป น กรณี ทั่ ว ไปเหมื อ นใน
ถ้า a และ b แทนจ�านวนเต็มใด ๆ แล้ว a × b = b × a หนังสือเรียน หนา 29 และเรียกวา “สมบัติการ
สลับที่สําหรับการบวก และสมบัติการสลับที่
2) สมบัติการเปลี่ยนหมู่ สําหรับการคูณ ตามลําดับ”
(1) สมบั ติ ก ารเปลี่ ย นหมู ่ ส� า หรั บ การบวก เมื่ อ มี จ� า นวนเต็ ม สามจ� า นวนบวกกั น 3. ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมศึกษาสมบัตกิ ารเปลีย่ นหมู
นักเรียนสามารถบวกจ�านวนเต็มคู่แรกหรือคู่หลังก่อนได้ โดยที่ผลบวกสุดท้ายยังคงเท่ากัน เช่น ในหนังสือเรียน หนา 29-30 แลวแลกเปลี่ยน
[2 + (-7)] + (-3) = 2 + [(-7) + (-3)] = -8 ความรูกับคูของตนเอง จากนั้นรวมกันสรุป
เปนกรณีทั่วไปเหมือนในหนังสือเรียน หนา 30
29
และเรี ย กว า “สมบั ติ ก ารเปลี่ ย นหมู สํ า หรั บ
การบวก”
T33
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
4. ครูถามคําถามวา ถ้า a, b และ c แทนจ�านวนเต็มใด ๆ แล้ว (a + b) + c = a + (b + c)
• ผลคูณของ [2 × (-7)] × (-3) และ 2 ×
[(-7) × (-3)] เทากับเทาไร (2) สมบัติการเปลี่ยนหมู่ส�าหรับการคูณ เมื่อมีจ�านวนเต็มสามจ�านวนคูณกัน นักเรียน
(แนวตอบ เทากับ 42) สามารถคูณจ�านวนเต็มคู่แรกหรือคู่หลังก่อนได้ โดยที่ผลคูณสุดท้ายยังคงเท่ากัน เช่น
แลวครูและนักเรียนรวมกันสรุปเปนกรณีทวั่ ไป [2 × (-7)] × (-3) = 2 × [(-7) × (-3)] = 42
เหมือนในหนังสือเรียน หนา 30 และเรียกวา ถ้า a, b และ c แทนจ�านวนเต็มใด ๆ แล้ว (a × b) × c = a × (b × c)
“สมบัติการเปลี่ยนหมูสําหรับการคูณ”
5. ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 14 และ 3) สมบัติการแจกแจง เป็นสมบัติที่เกี่ยวข้องระหว่างการบวกและการคูณ เช่น
ตัวอยางที่ 15 ในหนังสือเรียน หนา 30 แลว 3 × [4 + (-6)] = (3 × 4) + [3 × (-6)] = -6
แลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง จากนั้น [(-2) + 8] × (-3) = [(-2) × (-3)] + [8 × (-3)] = -18
ใหนักเรียนแตละคนทํา “ลองทําดู” 1
ถ้า a, b และ c แทนจ�านวนเต็มใด ๆ แล้2ว a × (b + c) = (a × b) + (a × c)
6. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลยคํ า ตอบ “ลอง และ (b + c) × a = (b × a) + (c × a)
ทําดู”
7. ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาสมบัติการแจกแจง ตัวอย่างที่ 14
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
ตัวอย่างที่ 16 8. ครูยกตัวอยางการหาผลคูณของตัวอยางที่ 16
จงหาผลคูณของ 123 × (-15) ในหนังสือเรียน หนา 31 พรอมแสดงวิธีทํา
วิธีทํา 123 × (-15) = 123 × [(-10) + (-5)] อยางละเอียดบนกระดาน จากนั้นใหนักเรียน
= [123 × (-10)] + [123 × (-5)] (สมบัติการแจกแจง) ทํา “ลองทําดู” แลวรวมกันเฉลยคําตอบ
= (-1,230) + (-615) 9. ครู แ จกใบงานที่ 1.12 เรื่ อ ง สมบั ติ ข อง
= -1,845 ตอบ จํานวนเต็ม ใหนกั เรียนทํา แลวครูและนักเรียน
รวมกันเฉลยคําตอบ
ลองทําดู
จงหาผลคูณของ 213 × (-26) ลงมือทํา (Doing)
1. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.6 จากนั้น
ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบแบบฝก
แบบฝึกทักษะ 1.6 ทักษะ 1.6
ระดับ พื้นฐาน 2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.6 ในแบบฝกหัด
1. จงหาผลลัพธ์ในแต่ละข้อต่อไปนี้ คณิตศาสตรเปนการบาน
1) 0 + (-23) 2) (-9) - 0 3) (-58) ×1 0 4) 0 ÷ (-36)
5) 1 × (-11) 6) (-49) ÷ 1 7) 1 × a3 8) (a × b) ÷ 1
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
ระดับ กลาง นักเรียน ดังนี้
2. จงเติมจ�านวนเต็มใด ๆ ใน และ เพื่อท�าให้แต่ละประโยคต่อไปนี้เป็นจริง • จํานวนเต็มใดๆ คูณดวยศูนย หรือศูนยคูณ
1) + 13 = 13 + (-29) ดวยจํานวนเต็มใดๆ จะไดผลคูณเทากับ
2) (-5) × = 7 × (-5) (แนวตอบ ผลคูณเทากับศูนย)
3) (6 + 2) + (-3) = + [2 + (-3)] • จํานวนเต็มใดๆ หารดวยหนึ่ง จะไดผลหาร
4) ( × 7) × (-4) = 8 × [7 × (-4)] เทากับ
5) (-5) + = (-2) + (แนวตอบ ผลหารเทากับจํานวนนั้นๆ)
2
6) (-4) × (32 × ) = ( × 32) × (-7)
ขัน้ ประเมิน
7) (8 × 11) + (8 × ) = × [11 + (-5)]
1. ครูตรวจใบงานที่ 1.12
3. จงหาผลคูณในแต่ละข้อต่อไปนี้โดยใช้สมบัติของจ�านวนเต็ม 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.6
1) 18 × 74 2) 138 × (-65) 3) 123 × 996 3. ครูตรวจ Exercise 1.6
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
31
5. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
T35
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
ลองทําดู 5. ครูยกตัวอยางที่ 19 ในหนังสือเรียน หนา 33
1
แม่ค้าขายขนมทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองได้กําไร 525 บาท 417 บาท และ 415 บาท พรอมแสดงวิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน
2 ทั้ง 2 วิธี จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้
ตามลําดับ แต่ช่วงบ่ายฝนตกส่งผลให้ขายขนมถ้วยฟูขาดทุน 207 บาท อยากทราบว่าแม่ค้า
ขายขนมไทยทั้งสี่ชนิดนี้ได้กําไรกี่บาท • วิธีที่ 1 ใชสมบัติใดบาง
(แนวตอบ สมบัติการสลับที่สําหรับการคูณ
ตัวอย่างที่ 19
และสมบัติการแจกแจง)
• วิธีที่ 2 ใชสมบัติใดบาง
มินตราซื้อเสื้อราคาขายส่งตัวละ 179 บาท จํานวน 95 ตัว มินตราซื้อเสื้อทั้งหมดกี่บาท
(แนวตอบ สมบัติการสลับที่สําหรับการคูณ
วิธีทํา วิธีคิดราคาเสื้อ อาจคิดได้หลายวิธี เช่น
และสมบัติการแจกแจง)
วิธีที่ 1 มินตราซื้อเสื้อทั้งหมดเป็นเงิน 95 × 179 บาท
• นักเรียนคิดวาวิธใี ดหาผลลัพธไดงา ยกวากัน
= 179 × 95 บาท (สมบัติการสลับที่ส�าหรับการคูณ)
= 179 × (100 - 5) บาท เพราะเหตุใด
= (179 × 100) - (179 × 5) บาท (สมบัติการแจกแจง) (แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวาวิธีที่ 1 เพราะ
= 17,900 - 895 บาท การหาผลคูณของ 179 × 100 งายกวา
= 17,005 บาท การหาผลคูณของ 180 × 95 หรือนักเรียน
ดังนั้น มินตราซื้อเสื้อทั้งหมดเป็นเงิน 17,005 บาท อาจตอบวาวิธีที่ 2 เพราะการหาผลคูณของ
วิธีที่ 2 มินตราซื้อเสื้อทั้งหมดเป็นเงิน 95 × 179 บาท 1 × 95 งายกวาการหาผลคูณของ 179 × 5)
= 179 × 95 บาท (สมบัติการสลับที่ส�าหรับการคูณ) จากนั้ น ครู ส รุ ป ว า “ไม ว า นั ก เรี ย นจะเลื อ ก
= (180 - 1) × 95 บาท ทํ า วิ ธีใ ดก็ ต าม ขึ้ น อยู กั บ ความสะดวกของ
= (180 × 95) - (1 × 95) บาท (สมบัติการแจกแจง) แตละคน ผลลัพธที่ไดจะเทากัน”
= 17,100 - 95 บาท 6. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู แ ลกเปลี่ ย นความรู กั น
= 17,005 บาท แลวทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียนหนา 33
ดังนั้น มินตราซื้อเสื้อทั้งหมดเป็นเงิน 17,005 บาท ตอบ โดยครูคอยตรวจสอบความถูกตอง จากนั้นครู
และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
ลองทําดู
สินีขายสมุด 256 เล่ม ราคาเล่มละ 37 บาท สินีได้รับเงินทั้งหมดกี่บาท
33
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
7. ครูยกตัวอยางที่ 20 ในหนังสือเรียน หนา 34 ตัวอย่างที่ 20
พรอมแสดงวิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน ขวัญข้าวซื้อสมุดปกแข็ง ราคาโหลละ 157 บาท จํานวน 95 โหล สมุดปกอ่อนราคาโหลละ
จากนั้นนักเรียนจับคูชวยกันหาผลลัพธของ 106 บาท จํานวน 90 โหล ขวัญข้าวต้องจ่ายเงินทั้งหมดกี่บาท
โจทยขอนี้โดยใชวิธีคิดคํานวณอื่นๆ แลวสง วิธีทํา คิดเงินจากสมุดปกแข็งและสมุดปกอ่อน จ�านวน 90 โหลก่อน และคิดเงินจาก
ตัวแทนออกมาแสดงวิธีทําบนกระดาน สมุดปกแข็งที่เหลืออีก 5 โหล แล้วน�าเงินมาบวกกัน
( แนวตอบ นักเรียนอาจจะคิดจาก ประโยค จะได้จ�านวนเงิน เท่ากับ [(90 × 157) + (90 × 106)] + (5 × 157) บาท
สัญลักษณ (157 × 95) + (106 × 90) = = [(157 × 90) + (106 × 90)] + (157 × 5) บาท (สมบัติการสลับที่ส�าหรับการคูณ)
หรือประโยคสัญลักษณ [157 × (100 - 5)] + = [(157 + 106) × 90] + 785 บาท (สมบัติการแจกแจง)
[(100 + 6) × 90] = ) = [263 × (9 × 10)] + 785 บาท
หมายเหตุ : ถานักเรียนหาผลลัพธของโจทย = [(263 × 9) × 10] + 785 บาท (สมบัตกิ ารเปลีย่ นหมูส่ า� หรับการคูณ)
ปญหานีโ้ ดยใชวธิ คี ดิ คํานวณอืน่ ๆ ทีห่ ลากหลาย = (2,367 × 10) + 785 บาท
กวานี้ ใหออกมาเขียนแสดงวิธีทําบนกระดาน = 23,670 + 785 บาท
ทุกวิธี = 24,455 บาท
8. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ดังนั้น ขวัญข้าวต้องจ่ายเงินทั้งหมด 24,455 บาท ตอบ
หนา 34 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
ลองทําดู
คําตอบ
วีณาซื้อปากกานํ้าเงินราคาโหลละ 192 บาท จํานวน 68 โหล ดินสอราคาโหลละ 146 บาท
เขาใจ (Understanding)
จํานวน 60 โหล วีณาต้องจ่ายเงินทั้งหมดกี่บาท
1. ครูใหนกั เรียนแบงเปน 4 กลุม เทาๆ กัน จากนัน้
รวมกันวิเคราะห “H.O.T.S. คําถามทาทายการ
คิดขั้นสูง” ในหนังสือเรียน หนา 34 แลวเขียน
คํ า ตอบจากการวิ เ คราะห ล งในสมุ ด ตนเอง คําถามท้าทายการคิดขัน
้ สูง
จากนั้นสงตัวแทนกลุมละ 2 คน มานําเสนอ 1. นักเรียนคิดว่า
คําตอบหนาชั้นเรียน 1) ท�าไมจึงควรใช้สมบัติการสลับที่ เพื่อเปลี่ยนอันดับที่ของการบวกจ�านวนเต็ม
2. ครูแจกใบงานที่ 1.13 เรื่อง การนําความรู ต่อไปนี้ก่อนหาผลบวก (-75) + (-173) + (-20)
เกีย่ วกับจํานวนเต็มไปใชในชีวติ จริง ใหนกั เรียน 2) เพราะอะไรจึงสลับที่จ�านวนเต็มสองจ�านวนนั้น
ทํา จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 2. ค่าสัมบูรณ์ของผลรวมของจ�านวนเต็มสองจ�านวนทีแ่ ตกต่างกัน และมีเครือ่ งหมาย
เหมือนกันเท่ากับ 8 ถ้าสินีบอกว่ามีจ�านวนเต็มสามคู่ที่ตรงกับค�าอธิบายดังกล่าว นักเรียน
เห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด
34
T38
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
แบบฝึกทักษะ 1.7 3. ครูทบทวนวิธกี ารแกโจทยปญ หา โดยยกตัวอยาง
แบบฝกทักษะ 1.7 ขอ 5 ในหนังสือเรียน หนา 35
ระดับ พื้นฐาน
1 มาอธิบายขัน้ ตอนการแสดงวิธที าํ อยางละเอียด
1. แม่ค้าร้านอาหารแห่งหนึ่งซื้อกุ้ง ปลา ปู และเนื้อไก่อย่างละ 25 กิโลกรัม 86 กิโลกรัม บนกระดาน
18 กิโลกรัม และ 94 กิโลกรัม ตามล�าดับ อยากทราบว่าแม่คา้ ซือ้ อาหารสดทัง้ หมดกีก่ โิ ลกรัม 4. ครูใหนักเรียนแตละคนทําแบบฝกทักษะ 1.7
2
2. พ่อมีไม้ 4 ท่อน ท่อนแรกยาว 229 เซนติเมตร ท่อนที่สองยาว 134 เซนติเมตร ท่อนที่สาม ขอ 6-7 ในหนังสือเรียน หนา 35 เพือ่ ตรวจสอบ
ยาว 221 เซนติเมตร และท่อนที่สี่ยาว 178 เซนติเมตร ถ้าพ่อน�าไม้ทั้งสี่ท่อนมาวางต่อกัน ความเขาใจโดยครูคอยเดินดูเพื่อตรวจสอบ
จะมีความยาวทั้งหมดกี่เซนติเมตร ความถูกตอง
3. นิธิศขายจาน ชาม และแก้วเซรามิคได้ก�าไร 1,567 บาท 1,482 บาท และ 973 บาท 5. ครูใหนกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 1.7 (ขอทีเ่ หลือ)
ตามล�าดับ แต่นิธิศท�าถ้วยเซรามิคแตกเสียหายบางส่วน ท�าให้ขายถ้วยเซรามิคขาดทุน ในหนังสือเรียน หนา 35 จากนัน้ ครูและนักเรียน
642 บาท อยากทราบว่านิธิศขายสินค้าเซรามิคทั้งสี่ชนิดนี้ได้ก�าไรกี่บาท รวมกันเฉลยคําตอบแบบฝกทักษะ 1.7
4. สมปองขายแก้วน�้า 368 ใบ ราคาใบละ 45 บาท สมปองได้รับเงินทั้งหมดกี่บาท
5. ธิดาซื้อเสื้อตัวละ 89 บาท จ�านวน 4 ตัว และกระโปรงตัวละ 90 บาท จ�านวน 3 ตัว
ธิดาต้องจ่ายเงินทั้งหมดกี่บาท
ระดับ กลาง
35
T39
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
1. ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ คณิตศาสตร์ในชีวิตจริง
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
• ให แ ต ล ะกลุ ม ส ง ตั ว แทนมาตกลงกั น ว า ในชีวติ จริงเราได้นา� ความรูเ้ กีย่ วกับจ�านวนเต็มและสมบัตขิ องจ�านวนเต็มมาใช้ในสถานการณ์
จะเลื อ กแก ป ญ หาสถานการณ ใ ดจาก ต่าง ๆ เช่น
“คณิตศาสตรในชีวิตจริง” ในหนังสือเรียน สถานการณ์ที่ 1 วายุฝากเงินทีธ่ นาคารพาณิชย์แห่งหนึง่ ทุกเดือน เดือนละ 1,355 บาท จ�านวน
หนา 36 12 เดือน ซึ่งได้ดอกเบี้ยร้อยละ 0.5 ต่อป1 ถ้าในวันที่ 1 ของเดือนที่ 13 วายุถอนเงินออกมาจาก
• นักเรียนแตละคนวิเคราะหวาสถานการณ
บัญชีธนาคารจ�านวน 12,500 บาท อยากทราบว่าวายุเหลือเงินในบัญชีธนาคารกี่บาท
ที่กลุมของตนเองเลือกมีวิธีการแกปญหา
อย า งไร จากนั้ น แลกเปลี่ ย นคํ า ตอบกั น
ภายในกลุม สนทนาซักถามจนเปนที่เขาใจ
รวมกัน
• นักเรียนแตละคนเขียนขั้นตอนแสดงวิธีคิด
ของกลุม ตนเองอยางละเอียดลงในสมุดของ
ตนเอง
• ครูคอยตรวจสอบความถูกตอง
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.7 (เฉพาะขอคู)
ในแบบฝกหัดคณิตศาสตรเปนการบาน สถานการณ์ที่ 2 ร้านขายรองเท้าแห่งหนึ่งแม่ค้าติดราคาขายรองเท้าไว้คู่ละ 399 บาท ถ้าซื้อ
2 คู่ แม่ค้าลดราคาให้ 25 บาท ดาวิกาต้องการซื้อรองเท้า 5 คู่ เพื่อน�าไปฝากเพื่อน 3 คน คนละ
1 คู่ และอีก 2 คู่ส�าหรับตนเอง อยากทราบว่าดาวิกาต้องจ่ายเงินทั้งหมดกี่บาท
1
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสําหรับบุคคลธรรมดาของธนาคารพาณิชย์. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2560, จาก http://www.bot.or.th/
thai/statistics/_layouts/application/interest_rate/in_rate.aspx
36
= 16,341.3 บาท
วายุถอนเงินออกมาจากบัญชีธนาคาร 12,500 บาท
ดังนั้น วายุเหลือเงินในบัญชีธนาคาร 16,341.3 - 12,500 = 3,841.3 บาท
สถานการณที่ 2 ดาวิกาตองจายเงินทั้งหมด เทากับ (399 × 5) - (25 × 2) บาท
= 1,995 - 50 บาท
= 1,945 บาท
ดังนั้น ดาวิกาตองจายเงินทั้งหมด 1,945 บาท
T40
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครูใหนกั เรียนอานและศึกษา “สรุปแนวคิดหลัก”
สรุปแนวคิดหลัก ในหนังสือเรียน หนา 37-38 แลวเขียนผัง
มโนทัศน หนวยการเรียนรูท ี่ 1 ระบบจํานวนเต็ม
จํานวนเต็ม ลงในกระดาษ A4
2. ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
จ�านวนเต็มลบ ศูนย์ จ�านวนเต็มบวก • จํานวนเต็มประกอบดวยอะไรบาง
-1, -2, -3, … 0 1, 2, 3, … (แนวตอบ จํานวนเต็มบวก จํานวนเต็มลบ
และศูนย)
เส้นจํานวน • จํานวนตรงขามของ a คืออะไร
-3 -2 -1 0 1 2 3 (แนวตอบ จํานวนตรงขามของ a คือ -a)
บนเส้นจ�านวน จ�านวนเต็มที่อยู่ทางขวาจะมีค่ามากกว่าจ�านวนเต็มที่อยู่ทางซ้ายเสมอ • คาสัมบูรณของจํานวนเต็ม คืออะไร
(แนวตอบ คาสัมบูรณของจํานวนเต็ม คือ
จํานวนตรงข้ามและค่าสัมบูรณ์ ระยะหางระหวางจํานวนเต็มนั้นกับศูนยบน
เมื่อ a เป็นจ�านวนเต็มใด ๆ เสนจํานวน)
• เขียนแทนจ�านวนตรงข้ามของ a ด้วยสัญลักษณ์ -a เช่น • การบวกจํานวนเต็มลบดวยจํานวนเต็มลบ
จ�านวนตรงข้ามของ 3 เขียนแทนด้วย -3 ผลบวกที่ไดเปนจํานวนอะไร
จ�านวนตรงข้ามของ -3 เขียนแทนด้วย -(-3) (แนวตอบ ผลบวกที่ไดเปนจํานวนเต็มลบ)
• เขียนแทนค่าสัมบูรณ์ของ a ด้วยสัญลักษณ์ ∙a∙ เช่น • การบวกจํานวนเต็มบวกดวยจํานวนเต็มลบ
ค่าสัมบูรณ์ของ 3 เขียนแทนด้วย ∙3∙ และการบวกจํ า นวนเต็ ม ลบด ว ยจํ า นวน
ค่าสัมบูรณ์ของ -3 เขียนแทนด้วย ∙-3∙ เต็มบวก จะไดผลบวกเปนจํานวนอะไร
การบวกและการลบจํานวนเต็ม (แนวตอบ จะไดผลบวกเปนจํานวนเต็มตาม
1) การบวกจํานวนเต็ม จํานวนที่มีคาสัมบูรณมากกวา)
ก�าหนดให้ a และ b แทนจ�านวนเต็มบวกใด ๆ จะได้ว่า
a + b = a + b
(-a) + (-b) = -(a + b)
a + (-b) = a - b เมื่อ a ≥ b
a + (-b) = -(b - a) เมือ่ b > a
(-a) + b = -(a - b) เมือ่ a ≥ b
(-a) + b = b - a เมือ่ b > a
37
T41
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
3. ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
• ขอตกลงของการลบจํานวนเต็มโดยอาศัย
การบวก เปนอยางไร 2) การลบจํานวนเต็ม
(แนวตอบ ตัวตั้ง ลบ ตัวลบ เทากับ ตัวตั้ง ก�าหนดให้ a และ b แทนจ�านวนเต็มใด ๆ
บวก จํานวนตรงขามของตัวลบ) a - b = a + จ�านวนตรงข้ามของ b นั่นคือ a - b = a + (-b)
• การคูณจํานวนเต็มบวกดวยจํานวนเต็มบวก การคูณและการหารจํานวนเต็ม
และการคู ณ จํ า นวนเต็ ม ลบด ว ยจํ า นวน ก�าหนดให้ a และ b แทนจ�านวนเต็มบวกใด ๆ
เต็มลบ ผลคูณที่ไดเปนจํานวนอะไร 1) การคูณจํานวนเต็ม
(แนวตอบ จํานวนเต็มบวก) a × b = a × b
• การคูณจํานวนเต็มบวกดวยจํานวนเต็มลบ a × (-b) = -(a × b)
และการคู ณ จํ า นวนเต็ ม ลบด ว ยจํ า นวน (-a) × b = -(a × b)
เต็มบวก ผลคูณที่ไดเปนจํานวนอะไร (-a) × (-b) = a × b
(แนวตอบ จํานวนเต็มลบ) 2) การหารจํานวนเต็ม
• การหารจํานวนเต็มบวกดวยจํานวนเต็มบวก a ÷ b = a ÷ b
และการหารจํ า นวนเต็ ม ลบด ว ยจํ า นวน (-a) ÷ (-b) = a ÷ b
เต็มลบ ผลหารที่ไดเปนจํานวนอะไร (-a) ÷ b = -(a ÷ b)
(แนวตอบ จํานวนเต็มบวก) a ÷ (-b) = -(a ÷ b)
• การหารจํานวนเต็มลบดวยจํานวนเต็มบวก
สมบัติของจํานวนเต็ม
และการหารจํ า นวนเต็ ม บวกด ว ยจํ า นวน
ก�าหนดให้ a, b และ c แทนจ�านวนเต็มใด ๆ
เต็มลบ ผลหารที่ไดเปนจํานวนอะไร
1) สมบัติของศูนย์ 4) สมบัติการเปลี่ยนหมู่
(แนวตอบ จํานวนเต็มลบ)
a + 0 = 0 + a = a (a + b) + c = a + (b + c)
• จํานวนเต็มใดๆ คูณดวยศูนย หรือศูนยคูณ a × 0 = 0 × a = 0 (a × b) × c = a × (b × c)
ดวยจํานวนเต็มใดๆ จะไดผลคูณเทากับ
2) สมบัติของหนึ่ง 5) สมบัติการแจกแจง
(แนวตอบ ผลคูณเทากับศูนย)
a × 1 = 1 × a = a a × (b + c) = (a × b) + (a × c)
• ศูนยหารดวยจํานวนเต็มใดๆ ที่ไมใชศูนย a ÷ 1 = a และ (b + c) × a = (b × a) + (c × a)
จะไดผลหารเทากับ
3) สมบัติการสลับที่
(แนวตอบ ผลหารเทากับศูนย) a + b = b + a
• จํานวนเต็มใดๆ คูณดวยหนึ่ง หรือหนึ่งคูณ และ a × b = b × a
ดวยจํานวนเต็มใดๆ จะไดผลคูณเทากับ
(แนวตอบ ผลคูณเทากับจํานวนนั้นๆ)
38
3. [180 ÷ (-6)] × [(-11) + 11] = 120 ÷ [60 - (30 + (-30))] 4. [4 × (-6)] ÷ [(-3) × (-8)] = 1
(เฉลยคําตอบ
1. ผิด เพราะ [(-63) ÷ 7] ÷ (-9) -36 + [(-7) × (-5)] 0 × 54
2. ถูก เพราะ (-100) = 72 45- 72 = 0
× (-1)
1 -1
120 2
3. ผิด เพราะ (180
-6 ) × 0 60 4. ผิด เพราะ -24
24 1
0 2 -1 1
T42
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
4. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําถามในหนังสือ
แบบฝึ ก ทั ก ษะ
ประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรียน หนา 2 ที่ไดถามไวในชั่วโมงแรกของ
การเรียนในหนวยการเรียนรูที่ 1
( แนวตอบ จากอุ ณ หภู มิ สู ง สุ ด ที่ ไ ด บั น ทึ ก ไว
1. จงเขียนจ�านวน 3 จ�านวน ต่อจาก -20 โดยเพิ่มขึ้นทีละ 4 ของทวี ป แอนตาร ก ติ ก า เมื่ อ เดื อ นมี น าคม
2. จงเติมเครื่องหมาย < หรือ > ในช่องว่างที่ก�าหนดให้ เพื่อท�าให้ประโยคต่อไปนี้เป็นจริง พ.ศ. 2558 อยูที่ 17.5 ํC และอุณหภูมิตํ่าสุด
1) -7 -2 2) -11 -14 ที่ไดบันทึกไวเมื่อเดือนสิงหาคม อยูที่ -94.7 ํC
3) -1,243 -1,234 4) -24,872 -24,882 ซึ่ ง จะเห็ น ว า มี ค วามแตกต า งกั น มาก โดย
3. จงเติมจ�านวนใด ๆ ใน และ เพื่อท�าให้ประโยคต่อไปนี้เป็นจริง อุณหภูมิที่ไดบันทึกไวมีคาตางกัน 112.2 ํC)
1) (-3) + = (-4) + (-3) 5. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะประจําหนวย
2) (-2) × (-3) = × (-2) การเรียนรูที่ 1 เปนการบาน
3) (-3) + [ + (-4)] = [(-3) + 5] + (-4)
4) × (3 + 4) = [(-7) × 3] + [(-7) × ] ขัน้ ประเมิน
5) × 13 = [(-2) × 8] + [(-2) × 2] + ( × 3) 1. ครูตรวจใบงานที่ 1.13
4. จงหาผลลัพธ์ในแต่ละข้อต่อไปนี้ 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.7
1) [(-5) - (-7)] × (-1) 2) [-(-12) - 8] ÷ (-4) 3. ครูตรวจ Exercise 1.7
3) [-∙-8∙ + ∙-5∙] - (-2) 4) [-∙(-3) - (-6)∙ × (-8)] × [-∙(-4) - (-1)∙] 4. ครูตรวจแบบฝกทักษะประจําหนวยการเรียนรู
5. จงหาผลลบของ -[56 - (-23)] - (-12) ที่ 1
5. ครูตรวจผังมโนทัศน หนวยการเรียนรูท ี่ 1 ระบบ
6. จงหาผลลัพธ์ของ (-45) - (-53) + (-73)
จํานวนเต็ม
7. จงหาผลลัพธ์ของ ∙(-35) + (-49)∙ - [27 - 12 × [(-6) + 9]] 6. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
8. จงหาผลลัพธ์ของ [-∙24 - 32∙ - ∙19 + (-36)∙] ÷ [-(9 - 14)] 7. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
9. จงหาผลลัพธ์ของ [(-12) (-12) × [(-13) - (-15)]
× (-13)] - [(-15) × (-12)]
8. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
9. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
10. สินีขายผักบุ้งจีน ฟักเขียว และมะระจีนได้ก�าไร 542 บาท 345 บาท และ 568 บาท
ตามล�าดับ แต่มมี ะเขือเทศสีดาบางส่วนเน่าเสียจึงท�าให้ขายมะเขือเทศสีดาขาดทุน 125 บาท
อยากทราบว่าสินีขายผักทั้งสี่ชนิดนี้ได้ก�าไรกี่บาท
11. กุลธิดาซื้อหนังสือเล่มละ 82 บาท จ�านวน 8 เล่ม และกรอบรูปอันละ 139 บาท
จ�านวน 8 อัน กุลธิดาต้องจ่ายเงินทั้งหมดกี่บาท
12. ลินดาขายตุ๊กตาหมีราคาตัวละ 785 บาท จ�านวน 15 ตัว ลินดาจะได้รับเงินกี่บาท
39
T43
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. ระบุหรือจ�ำแนก Concept - ตรวจใบงานที่ 2.1 - ทักษะการ 1. มีวินัย
เศษส่วนและ พื้นฐาน คณิตศาสตร์ เศษส่วนได้ (K) Based เรื่อง จ�ำนวนตรงข้าม เปรียบเทียบ 2. ใฝ่เรียนรู้
การเปรียบเทียบ ม.1 เล่ม 1 2. เปรียบเทียบและ Teaching ของเศษส่วน 3. มุ่งมั่น
เศษส่วน - แบบฝึกหัด เรียงล�ำดับเศษส่วนได้ - ตรวจใบงานที่ 2.2 ในการท�ำงาน
คณิตศาสตร์ ม.1 (K) เรื่อง การเปรียบเทียบ
2 เล่ม 1 3. ใช้ความรู้ ทักษะ เศษส่วน
ชั่วโมง - ใบงานที่ 2.1 เรื่อง และกระบวนการ - ตรวจใบงานที่ 2.3
จำ�นวนตรงข้าม ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง การเรียงล�ำดับ
ของเศษส่วน ในการแก้ปัญหาได้ เศษส่วน
- ใบงานที่ 2.2 เรื่อง (P) - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.1 ก
การเปรียบเทียบ 4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - ตรวจ Exercise 2.1A
เศษส่วน ที่ได้รับมอบหมาย (A) - ประเมินการน�ำเสนอ
- ใบงานที่ 2.3 เรื่อง ผลงาน
การเรียงลำ�ดับ - สังเกตพฤติกรรม
เศษส่วน การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. ค�ำนวณผลบวกของ Concept - ตรวจใบงานที่ 2.4 - ทักษะ 1. มีวินัย
การบวกและ พื้นฐาน คณิตศาสตร์ เศษส่วนได้ (K) Based เรื่อง การบวกและการลบ การคิด 2. ใฝ่เรียนรู้
การลบเศษส่วน ม.1 เล่ม 1 2. ค�ำนวณผลลบของ Teaching เศษส่วนที่มีตัวส่วน หลากหลาย 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัด เศษส่วนได้ (K) ไม่เท่ากัน - ทักษะการ ในการท�ำงาน
2 คณิตศาสตร์ ม.1 3. เขียนแสดงขั้นตอน - ตรวจใบงานที่ 2.5 คิดคล่อง
ชั่วโมง เล่ม 1 วิธีการค�ำนวณผลบวก เรื่อง การบวก ลบระคน
- ใบงานที่ 2.4 เรื่อง และผลลบของ ของเศษส่วน
การบวกและการลบ เศษส่วนได้ (P) - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.1 ข
เศษส่วนที่มีตัวส่วน 4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - ตรวจ Exercise 2.1B
ไม่เท่ากัน ที่ได้รับมอบหมาย (A) - ประเมินการน�ำเสนอ
- ใบงานที่ 2.5 เรื่อง ผลงาน
การบวก ลบระคน - สังเกตพฤติกรรม
ของเศษส่วน การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T44
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. ค�ำนวณผลคูณ Concept - ตรวจใบงานที่ 2.6 - ทักษะ 1. มีวินัย
การคูณและ พืน้ ฐาน คณิตศาสตร์ ของเศษส่วนได้ (K) Based เรื่อง การคูณเศษส่วน การคิด 2. ใฝ่เรียนรู้
การหารเศษส่วน ม.1 เล่ม 1 2. ค�ำนวณผลหาร Teaching - ตรวจใบงานที่ 2.7 หลากหลาย 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัด ของเศษส่วนได้ (K) เรื่อง การหารเศษส่วน - ทักษะการ ในการท�ำงาน
3 คณิตศาสตร์ ม.1 3. เขียนแสดงขั้นตอน - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.1 ค คิดคล่อง
ชั่วโมง เล่ม 1 วิธีการค�ำนวณผลคูณ - ตรวจ Exercise 2.1C
- ใบงานที่ 2.6 เรื่อง และผลหารของ - ประเมินการนำ�เสนอ
การคูณเศษส่วน เศษส่วนได้ (P) ผลงาน
- ใบงานที่ 2.7 เรื่อง 4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - สังเกตพฤติกรรม
การหารเศษส่วน ที่ได้รับมอบหมาย (A) การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายการน�ำความรู้ Concept - ตรวจใบงานที่ 2.8 - ทักษะการ 1. มีวินัย
การน�ำความรู้ พื้นฐาน คณิตศาสตร์ เกีย่ วกับเศษส่วนไปใช้ Based เรื่อง การนำ�ความรู้ ประยุกต์ใช้ 2. ใฝ่เรียนรู้
เกี่ยวกับเศษส่วน ม.1 เล่ม 1 แก้ปัญหาคณิตศาสตร์ Teaching เกี่ยวกับเศษส่วนไปใช้ ความรู้ 3. มุ่งมั่น
ไปใช้ ในชีวิตจริง - แบบฝึกหัด และปัญหาในชีวิตจริง ในชีวิตจริง ในการท�ำงาน
คณิตศาสตร์ ม.1 (K) - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.1 ง
2 เล่ม 1 2. เขียนแสดงขั้นตอน - ตรวจ Exercise 2.1D
ชั่วโมง - ใบงานที่ 2.8 เรื่อง วิธีการแก้ปัญหาทาง - ประเมินการนำ�เสนอ
การนำ�ความรู้เกี่ยวกับ คณิตศาสตร์เกี่ยวกับ ผลงาน
เศษส่วนไปใช้ใน เศษส่วนได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
ชีวิตจริง 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ การทำ�งานรายบุคคล
ที่ได้รับมอบหมาย (A) - สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 5 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. บอกค่าประจ�ำหลัก Concept - ตรวจใบงานที่ 2.9 - ทักษะการ 1. มีวินัย
ทศนิยมและ พื้นฐาน คณิตศาสตร์ และค่าของเลขโดด Based เรื่อง ค่าของเลขโดด เปรียบเทียบ 2. ใฝ่เรียนรู้
ค่าประจ�ำหลัก ม.1 เล่ม 1 ของทศนิยม Teaching ในแต่ละหลักของทศนิยม 3. มุ่งมั่น
ของทศนิยม - แบบฝึกหัด ในแต่ละหลักได้ (K) - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.2 ก ในการท�ำงาน
คณิตศาสตร์ ม.1 2. เขียนทศนิยมในรูป ข้อ 1. และ 3.
1 เล่ม 1 กระจายได้อย่าง - ตรวจ Exercise 2.2 A
ชั่วโมง - ใบงานที่ 2.9 เรื่อง คล่องแคล่ว (P) ข้อ 1-3
ค่าของเลขโดด 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - สังเกตพฤติกรรม
ในแต่ละหลัก ที่ได้รับมอบหมาย (A) การทำ�งานรายบุคคล
ของทศนิยม - สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T45
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 6 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. เปรียบเทียบทศนิยม Concept - ตรวจใบงานที่ 2.10 - ทักษะการ 1. มีวินัย
การเปรียบเทียบ พืน้ ฐาน คณิตศาสตร์ ได้ (K) Based เรื่อง การเปรียบเทียบ เปรียบเทียบ 2. ใฝ่เรียนรู้
ทศนิยม ม.1 เล่ม 1 2. เรียงล�ำดับทศนิยมได้ Teaching และเรียงล�ำดับทศนิยม 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัด (K) - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.2 ก ในการท�ำงาน
1 คณิตศาสตร์ ม.1 3. เชื่อมโยงเรื่อง - ตรวจ Exercise 2.2A
ชั่วโมง เล่ม 1 ค่าสัมบูรณ์ของ ข้อ 4.-6.
- ใบงานที่ 2.10 เรื่อง ทศนิยมกับการ - สังเกตพฤติกรรม
การเปรียบเทียบและ เปรียบเทียบและ การท�ำงานรายบุคคล
เรียงลำ�ดับทศนิยม เรียงล�ำดับทศนิยมได้ - สังเกตพฤติกรรม
(P) การท�ำงานกลุ่ม
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - สังเกตคุณลักษณะ
ที่ได้รับมอบหมาย (A) อันพึงประสงค์
T46
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 9 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. เขียนเศษส่วนในรูป Concept - ตรวจใบงานที่ 2.15 - ทักษะการ 1. มีวินัย
ความสัมพันธ์ พื้นฐาน คณิตศาสตร์ ทศนิยมและเขียน Based เรื่อง ความสัมพันธ์ เชื่อมโยง 2. ใฝ่เรียนรู้
ของเศษส่วน ม.1 เล่ม 1 ทศนิยมในรูปเศษส่วน Teaching ของเศษส่วนกับทศนิยม 3. มุ่งมั่น
กับทศนิยม - แบบฝึกหัด ได้ (K) - ตรวจแบบฝึกทักษะ ในการท�ำงาน
คณิตศาสตร์ ม.1 2. ใช้ความสัมพันธ์ของ 2.2 ค ข้อ 1.-2.
1 เล่ม 1 เศษส่วนกับทศนิยม - ตรวจ Exercise 2.2C
ชั่วโมง - ใบงานที่ 2.15 เรื่อง ช่วยในการแก้ปัญหา ข้อ 1.-2.
ความสัมพันธ์ของ ได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
เศษส่วนกับทศนิยม 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ การท�ำงานรายบุคคล
ที่ได้รับมอบหมาย (A) - สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 10 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายการน�ำความรู้ Concept - ตรวจใบงานที่ 2.16 - ทักษะการ 1. มีวินัย
การน�ำความรู้ พื้นฐาน คณิตศาสตร์ เกีย่ วกับทศนิยมไปใช้ Based เรื่อง การน�ำความรู้ ประยุกต์ใช้ 2. ใฝ่เรียนรู้
เกี่ยวกับทศนิยม ม.1 เล่ม 1 แก้ปัญหาคณิตศาสตร์ Teaching เกี่ยวกับทศนิยมไปใช้ ความรู้ 3. มุ่งมั่น
ไปใช้ ในชีวิตจริง - ใบงานที่ 2.16 เรื่อง และปัญหาในชีวิตจริง ในชีวิตจริง ในการท�ำงาน
การนำ�ความรู้เกี่ยวกับ (K) - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.2 ค
1 ทศนิยมไปใช้ใน 2. เขียนอธิบายขั้นตอน ข้อ 3.-10.
ชั่วโมง ชีวิตจริง วิธีการแก้ปญั หาทาง - ประเมินการน�ำเสนอ
คณิตศาสตร์เกี่ยวกับ ผลงาน
ทศนิยมได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ การท�ำงานรายบุคคล
ที่ได้รับมอบหมาย (A) - สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 11 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายการน�ำความรู้ Concept - ตรวจใบงานที่ 2.17 เรื่อง - ทักษะการ 1. มีวินัย
จ�ำนวนตรรกยะ พื้นฐาน คณิตศาสตร์ เกี่ยวกับสมบัติของ Based สมบัติของจ�ำนวนตรรกยะ ประยุกต์ใช้ 2. ใฝ่เรียนรู้
และสมบัติของ ม.1 เล่ม 1 จ�ำนวนตรรกยะ Teaching - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.3 ความรู้ 3. มุ่งมั่น
จ�ำนวนตรรกยะ - แบบฝึกหัด ในการบวก การลบ - ตรวจ Exercise 2.3 ข้อ 1. ในการท�ำงาน
คณิตศาสตร์ ม.1 การคูณ และการหาร - ตรวจแบบฝึกทักษะ
2 เล่ม 1 ไปใช้ในการแก้ปัญหา ประจ�ำหน่วยการเรียนรู้ที่ 2
ชั่วโมง - ใบงานที่ 2.17 เรื่อง ได้ (K) - ประเมินการน�ำเสนอ
สมบัติของจำ�นวน 2. เขียนขั้นตอนการ ผลงาน
ตรรกยะ ด�ำเนินการของจ�ำนวน - ตรวจผังมโนทัศน์
โดยใช้สมบัติของ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2
จ�ำนวนตรรกยะได้ (P) จ�ำนวนตรรกยะ
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - สังเกตพฤติกรรม
ที่ได้รับมอบหมาย (A) การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T47
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
นิธิศเข้ำร่วมกำรแข่งขันจักรยำนทำงไกล โดยเริ่มออกจำก
กรุงเทพมหำนครไปเข้ำเส้นชัยที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันแรกนิธิศ
ปนจักรยำนได้ 38 ของระยะทำงทั้งหมด วันที่สองปนจักรยำน
ได้อีก 25 ของระยะทำงที่เหลือ ซึ่งวันที่สองนิธิศปนจักรยำนได้
ระยะทำง 236.25 กิโลเมตร
ตัวชี้วัด Q. นักเรียนคิดว่ำ
• เข้าใจจ�านวนตรรกยะและความสัมพันธ์ของจ�านวนตรรกยะ
และใช้สมบัติของจ�านวนตรรกยะในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์
และปัญหาในชีวิตจริง (ค 1.1 ม.1/1) นิธิศต้อง»˜›¹¨Ñ¡ÃÂÒ¹
สาระการเรียนรู้แกนกลาง ·Ñé§ËÁ´¡Õè¡Ô âÅàÁµÃ
• ทศนิยมและเศษส่วน จึงจะถึงเส้นชัย
• จ�านวนตรรกยะและสมบัติของจ�านวนตรรกยะ
วันแรกที่ปนได ระยะทางที่เหลือจากวันแรก
236.25 กิโลเมตร
จากภาพ จะไดวา 2 หนวย เทากับ 236.25 กิโลเมตร
1 หนวย เทากับ 236.25
2 = 118.125 กิโลเมตร
ดังนั้น 8 หนวย เทากับ 8 × 118.125 = 945 กิโลเมตร
นั่นคือ นิธิศตองปนจักรยานทั้งหมด 945 กิโลเมตร จึงจะถึงเสนชัย
T48
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
การใช้ความรูเ้ ดิมฯ (Prior Knowledge)
ควรรูก ่อนเรียน 4. ครูทบทวนความรูเรื่องเศษสวนที่เคยเรียนมา
แลวในชั้นประถม โดยใหนักเรียนดูภาพแสดง
เศษส่วนที่เท่ำกัน เศษสวนที่เทากันในหนังสือเรียน หนา 41
การแสดงเศษส่วนที่เท่ากัน อาจท�าได้โดยน�าจ�านวนที่เท่ากันที่ไม่ใช่ศูนย์มาคูณหรือหาร แลวถามคําถาม ดังนี้
ทั้งตัวเศษและตัวส่วน • รูปแสดงเศษสวนรูปที่ 1 และรูปที่ 2 ของ
สวนที่ระบายสีของแตละรูปมีพื้นที่เทากัน
หรือไม
(แนวตอบ เทากัน)
จากรูปจะได้ 4 = 8 = 12 • การทําเศษสวนใหเทากัน ทําไดโดยวิธีใด
5 10 15
หรือ 4
5 = 4×2
5×2 = 4×3
5×3
(แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวา นําจํานวน
ที่ เ ท า กั น ที่ ไ ม เ ป น ศู น ย ม าคู ณ หรื อ หารทั้ ง
ตัวเศษและตัวสวน)
5. ครูใหนักเรียนศึกษาการเขียนเศษเกินในรูป
12 6 3 จํานวนคละ และศึกษาหลัก และคาประจําหลัก
จากรูปจะได้ = =
24 12 6 ของทศนิยมในหนังสือเรียน หนา 41 จากนั้น
หรือ 12 = 12 ÷ 2 = 12 ÷ 4
24 24 ÷ 2 24 ÷ 4 ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “การเขียนจํานวน
คละในรูปเศษเกิน” ดังนี้
กำรเขียนเศษเกินในรูปจ�ำนวนคละ จํานวนคละ a bc เมื่อ c 0 เขียนในรูป
พิจารณาการเขียน 135 ให้อยู่ในรูปจ�านวนคละ ดังนี้
เศษเกิน ไดเปน a bc = (a × cc) + b
จากรูปจะได้ว่า 135 = 55 + 55 + 35
จากนัน้ ครูยกตัวอยางการเขียนจํานวนคละ 2 35
= 1 + 1 + 35
ในรูปเศษเกินบนกระดาน ดังนี้
= 2 + 35
13
5 2 35 = (2 × 55) + 3 = 10 5+ 3 = 13 5
= 2 35
หลักและค่ำประจ�ำหลักของทศนิยม
หลัก ... พัน ร้อย สิบ หน่วย ส่วนสิบ ส่วนร้อย ส่วนพัน ...
1 1 1
ค่ำประจ�ำหลัก … 1,000 100 10 1 10 = 0.1 100 = 0.01 1,000 = 0.001 …
41
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1. ครู ก ล า วทบทวนเรื่ อ งเศษส ว นแท เศษเกิ น 2.1 เศษส่วน
และจํานวนคละที่เปนจํานวนบวก และบอก
นักเรียนวา ในระดับชั้นนี้นักเรียนจะไดเรียนรู 1. เศษส่วน
เศษส ว นที่ เ ป น จํ า นวนลบ แล ว ยกตั ว อย า ง ในระดับชั้นประถมศึกษานักเรียนได้เรียนรู้เศษส่วนมาแล้ว ได้แก่
เศษสวนแท เศษเกิน และจํานวนคละที่เปน เศษส่วนแท้ คือ เศษส่วนที่มีตัวเศษน้อยกว่าตัวส่วน เช่น 12, 34, 45, 128
จํ า นวนลบตามหนั ง สื อ เรี ย น หน า 42 ให เศษเกิน คือ เศษส่วนที่มีตัวเศษมากกว่าหรือเท่ากับตัวส่วน เช่น 32, 77, 54
นักเรียนดู
จ�ำนวนคละ คือ เศษส่วนที่เขียนในรูปของจ�านวนเต็มกัับเศษส่วนแท้ เช่น 5 12, 3 25, 1 37
2. ครูทบทวนเรือ่ งเสนจํานวน ดังนี้ “บนเสนจํานวน
ประกอบดวยศูนย จํานวนลบ และจํานวนบวก นักเรียนจะพบว่าเศษส่วนทีก่ ล่าวไปข้างต้นเป็นจ�านวนบวกทัง้ หมด แต่ในระดับชัน้ นีน้ กั เรียน
ซึ่งนักเรียนทราบแลววา จํานวนเต็มสามารถ จะได้เรียนรูเ้ ศษส่วนทีเ่ ป็นจ�านวนลบ เช่น - 13 อ่านว่า ลบเศษหนึง่ ส่วนสาม, - 32 อ่านว่า ลบเศษสาม
แสดงไดดวยจุดบนเสนจํานวน และในทํานอง ส่วนสอง ซึ่ง - 32 เป็นเศษเกิน สามารถเขียนในรูปของจ�านวนคละได้เป็น -1 12 อ่านว่า ลบหนึ่ง
เดียวกันเราก็สามารถแสดงเศษสวนดวยจุด เศษหนึ่งส่วนสอง
บนเสนจํานวนไดเชนเดียวกัน ซึ่งทําไดโดย
แบงความยาวใน 1 หนวยของเสนจํานวน จ�านวนที่เขียนในรูป ab เมื่อ a และ b เป็นจ�านวนเต็มใด ๆ โดยที่ b ≠ 0 เรียกว่า
ใหเทาๆ กัน ซึ่งในการแบงความยาวใน 1 “เศษส่วน” และเรียก a ว่า “ตัวเศษ” เรียก b ว่า “ตัวส่วน” ของเศษส่วน ab
หนวยนัน้ จะพิจารณาจากตัวสวนของเศษสวน
ทีก่ าํ หนดให” จากนัน้ ครูยกตัวอยางเสนจํานวน นักเรียนเคยทราบมาแล้วว่าจ�านวนเต็มสามารถแสดงได้ด้วยจุดบนเส้นจ�านวน ในท�านอง
3. ครูถามคําถาม ดังนี้ เดียวกันสามารถแสดงเศษส่วนด้วยจุดบนเส้นจ�านวนได้เช่นเดียวกับจ�านวนเต็ม โดยแบ่งความยาว
ใน 1 หน่วยของเส้นจ�านวนให้เท่า ๆ กัน ซึง่ จะพิจารณาจากตัวส่วนของเศษส่วนทีก่ า� หนดให้ ส�าหรับ
-1 0 1 เศษส่วนที่เป็นลบสามารถเขียนแสดงด้วยจุดบนเส้นจ�านวนทางซ้ายของศูนย์
1
• ถาตองการแสดงเศษสวน 3 ดวยจุดบน จงพิจารณาจุดบนเส้นจ�านวนต่อไปนี้
เสนจํานวน จะตองแบงความยาว 1 หนวย
C B A
ของเสนจํานวนออกเปนกี่สวนเทาๆ กัน -2 -1 0 1 2
(แนวตอบ 3 สวนเทาๆ กัน)
จากเส้นจ�านวน ซึ่งได้แบ่งความยาวใน 1 หน่วย ออกเป็น 5 ส่วนเท่า ๆ กัน จะเห็นว่า
• เศษสวน 13 อยูที่ตําแหนงใดเมื่อเทียบกับ 0
บนเสนจํานวน จุด A อยู่ทางซ้ายของ 0 มีระยะห่างเท่ากับ 15 จะได้จุด A แทน - 15
(แนวตอบ เมื่อแบงความยาว 1 หนวย ออก จุด B อยู่ทางซ้ายของ 0 มีระยะห่างเท่ากับ 35 จะได้จุด B แทน - 35
เปน 3 สวนเทาๆ กัน 13 จะอยูที่ขีดแรก จุด C อยู่ทางซ้ายของ 0 มีระยะห่างเท่ากับ 95 จะได้จุด C แทน - 95
ถัดจาก 0 ไปทางขวา) พิจารณาจุด C จะเห็นว่าอยู่ระหว่าง -2 กับ -1 และมีระยะห่างจาก 0 ไปทางซ้าย 1 หน่วย
• เศษสวน - 13 อยูที่ตําแหนงใดเมื่อเทียบกับ กับอีก 4 ส่วน จากทั้งหมด 5 ส่วน จะได้จุด C แทน -1 45
0 บนเสนจํานวน
(แนวตอบ เมื่อแบงความยาว 1 หนวย ออก 42
เปน 3 สวนเทาๆ กัน - 13 จะอยูที่ขีดแรก
ถัดจาก 0 ไปทางซาย)
T50
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1
เนื่องจากจ�านวนคละเขียนในรูปการบวกของจ�านวนเต็มกับเศษส่วนแท้ได้ ดังนั้น นักเรียน 4. ครูใหนักเรียนศึกษาการแสดงเศษสวนดวยจุด
สามารถเขียน -1 45 ในรูป - (1 + 45) หรือ (-1) + (- 45) บนเสนจํานวนตามตัวอยางในหนังสือเรียน
หนา 42
จึงได้ว่า - 95 = -1 45 = (-1) + (- 45) 5. ครูทบทวนจํานวนคละวา “จํานวนคละ คือ
จ�ำนวนตรงข้ำมของเศษส่วน จํานวนที่เขียนในรูปการบวกของจํานวนเต็ม
นักเรียนทราบแล้วว่าจ�านวนเต็มมีจ�านวนตรงข้ามเสมอ นั่นคือ เมื่อ a เป็นจ�านวนเต็มใด ๆ กับเศษสวนแทได” จากนั้นยกตัวอยางจํานวน
จะมี -a เป็นจ�านวนตรงข้ามของ a นักคณิตศาสตร์ได้ใช้หลักการข้างต้นก�าหนดจ�านวนตรงข้าม คละที่เปนลบ -1 45 เขียนในรูปการบวกของ
ของเศษส่วนด้วย จํานวนเต็มกับเศษสวนแทไดเปน - (1 + 45 )
จงพิจารณาจุดบนเส้นจ�านวนต่อไปนี้
หรือ (-1) + (- 45 ) ดังตัวอยางในหนังสือเรียน
หนา 43
6. ครูกลาวทบทวนจํานวนตรงขามของจํานวนเต็ม
-2 -1 2
3
-1 - 13 0 1
3
1 1 23 2 ดังนี้ “เมื่อ a เปนจํานวนเต็มใดๆ จะมี -a
จะเห็นว่า เปนจํานวนตรงขามของ a เราสามารถหา
1 และ - 13 อยู่ห่างจาก 0 เป็นระยะเท่ากัน จํ า นวนตรงข า มของเศษส ว นได ใ นทํ า นอง
3
1 23 และ -1 23 อยู่ห่างจาก 0 เป็นระยะเท่ากัน เดียวกันคือ “เมื่อ ab เปนเศษสวนใดๆ ที่
1 b 0 จะมี - ab เปนจํานวนตรงขามของ ab ”
แสดงว่า 3 เป็นจ�านวนตรงข้ามของ - 13 และ - 13 เป็นจ�านวนตรงข้ามของ 13
13 2 เป็นจ�านวนตรงข้ามของ -1 23 และ -1 23 เป็นจ�านวนตรงข้ามของ 1 23 เข้าใจ (Understanding)
เรียก 1 และ - 13 ว่าเป็นจ�านวนตรงข้ามซึ่งกันและกัน 1. ครูใหนักเรียนศึกษาการแสดงเศษสวนและ
3
1 23 และ -1 23 ว่าเป็นจ�านวนตรงข้ามซึ่งกันและกัน จํานวนตรงขามของเศษสวนนั้นดวยจุดบน
เส น จํ า นวนตามตั ว อย า งในหนั ง สื อ เรี ย น
เมื่อ a และ b เป็นจ�านวนเต็มใด ๆ โดยที่ b ≠ 0 เขียนแทนจ�านวนตรงข้ามของ ab หนา 43
ด้วยสัญลักษณ์ - ab 2. ครูแจกใบงานที่ 2.1 เรื่อง จํานวนตรงขามของ
เศษสวน ใหนกั เรียนทํา จากนัน้ ครูและนักเรียน
เช่น จ�านวนตรงข้ามของ 13 เขียนแทนด้วย - 13 หรือ - (13) รวมกันเฉลยคําตอบใบงานที่ 2.1
จ�านวนตรงข้ามของ - 13 เขียนแทนด้วย - (- 13) 3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 2.1A ขอ 1.-2. ใน
และเนื่องจากจ�านวนตรงข้ามของ - 13 คือ 13 แบบฝกหัดคณิตศาสตรเปนการบาน
ดังนั้น - (- 13) = 13
43
T51
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ Exercise 2. การเปรียบเทียบเศษส่วน
2.1A ขอ 1.-2. ในแบบฝกหัดคณิตศาสตร 1) เศษส่วนที่เท่ำกัน
2. ครูใหนกั เรียนจับคูศ กึ ษาตัวอยางที่ 1 ในหนังสือ
กำรหำเศษส่วนที่เท่ำกันโดยกำรคูณ
เรียน หนา 44 แลวแลกเปลี่ยนความรูกับคู
ของตนเอง ก�าหนดเศษส่วน ab โดยที่ b ≠ 0 ถ้าน�าจ�านวนเต็ม c ที่ไม่เท่ากับศูนย์คูณทั้งตัวเศษ
3. ครู อ ธิ บ ายรายละเอี ย ดตั ว อย า งที่ 1 ใน และตัวส่วน จะได้เศษส่วนที่เท่ากับ ab
หนั ง สื อ เรี ย น หน า 44 การหาเศษส ว นที่ นั่นคือ ab = ab ×× cc
เทากับเศษสวนที่กําหนดให (เมื่อเศษสวนนั้น
เปนจํานวนลบ) โดยการคูณ พรอมทั้งแสดง เนือ่ งจากตามความหมายของเศษส่วน ตัวเศษและตัวส่วนต้องเป็นจ�านวนเต็ม และตัวส่วน
วิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน ต้องไม่เท่ากับศูนย์ ดังนั้น จึงก�าหนดให้ c ที่น�าไปคูณเป็นจ�านวนเต็มใด ๆ โดยที่ c ≠ 0
ตัวอย่างที่ 1
จงหำเศษส่วนที่เท่ำกับเศษส่วนที่ก�ำหนดให้มำข้อละ 3 จ�ำนวน
1) - 56 2) -1 23
วิธีท�ำ 1) - 56 = - ( 56 ×× 22 )
= - 10
12
- 6 = - ( 56 ×× 33 )
5
= - 15
18
- 6 = - ( 56 ×× 44 )
5
= - 20
24
ดังนั้น - 6 = - 10
5 15
12 = - 18 = - 24
20
2) -1 23 = (-1) + (- 23)
= (-1) + [-( 23 ×× 22 )]
= (-1) + (- 46)
= -1 46
44
T52
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
-1 23 = (-1) + (- 23) 4. ครูใหนักเรียนทําหัวขอ “ลองทําดู” จากนั้นครู
และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
= (-1) + [-( 23 ×× 33 )]
5. ครูทบทวนเรื่อง เศษสวนที่เทากัน โดยอธิบาย
= (-1) + (- 69) วา เราสามารถหาเศษสวนที่เทากับเศษสวน
= -1 69 ที่ กํ า หนดให ไ ด โ ดยนํ า จํ า นวนเต็ ม ใดๆ ที่
-1 23 = (-1) + (- 23) ไมเทากับศูนยมาหารทั้งตัวเศษและตัวสวน
จะไดวา
= (-1) + [-( 23 ×× 44 )] 12 = 12 ÷ 2 = 6
24 24 ÷ 2 12
= (-1) + (- 128 )
และ 24 = 24 ÷ 4 = 36
12 12 ÷4
= -1 128
จากนั้ น ครู ส รุ ป เป น กรณี ทั่ ว ไปตามกรอบใน
ดังนั้น -1 23 = -1 46 = -1 69 = -1 128 ตอบ หนังสือเรียน หนา 45
ลองท�าดู
จงหำเศษส่วนที่เท่ำกับเศษส่วนที่ก�ำหนดให้มำข้อละ 3 จ�ำนวน
1) - 49
2) -2 35
กำรหำเศษส่วนที่เท่ำกันโดยกำรหำร
การหาเศษส่วนที่เท่ากับเศษส่วนที่ก�าหนดให้ นอกจากใช้วิธีการคูณ1แล้วยังหาได้โดยใช้
วิธีการหารอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งวิธีนี้จะใช้กับเศษส่วนที่ตัวเศษและตัวส่วนมีตัวหารร่วม มีหลักการดังนี้
เนื่องจากตามความหมายของเศษส่วนตัวเศษและตัวส่วนต้องเป็นจ�านวนเต็ม และตัวส่วน
ต้องไม่เท่ากับศูนย์ ดังนั้น จึงก�าหนดให้ c ที่น�าไปหารเป็นจ�านวนเต็มบวกใด ๆ โดยที่ c ≠ 0
45
(เฉลยคําตอบ 32 ÷ 4 8
28 ÷ 4 = 7
72 ÷ 9 = 8
63 ÷ 9 7
112 ÷ 14 = 8
98 ÷ 14 7
จะไดวา 28 = 72
32 112
63 = 98
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
T53
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
6. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 2 ใน ตัวอย่างที่ 2
หนังสือเรียน หนา 46 แลวแลกเปลี่ยนความรู จงหำเศษส่วนที่เท่ำกับ - 48
กับคูของตนเอง 84 มำ 3 จ�ำนวน
วิธีท�ำ เนื่องจาก 48 และ 84 มีตัวหารร่วมหลายจ�านวน เช่น 2, 3, 4 และ 6 เป็นต้น
7. ครูอธิบายตัวอยางที่ 2 ในหนังสือเรียน หนา 46
จึงใช้การหาเศษส่วนที่เท่ากันโดยการหาร ดังนี้
เรื่ อ ง การหาเศษส ว นที่ เ ท า กั บ เศษส ว นที่
กําหนดให (เมื่อเศษสวนนั้นเปนจํานวนลบ) - 48 48 ÷ 2
84 = - ( 84 ÷ 2 )
โดยการหาร พรอมทัง้ แสดงวิธที าํ อยางละเอียด = - 2442
บนกระดาน 48 48 ÷ 3 )
- 84 = - ( 84 ÷ 3
8. ครูใหนักเรียนทําหัวขอ “ลองทําดู” เมื่อเสร็จ
แลวครูอธิบายความหมายของเศษสวนอยางตํา่ = - 1628
และนักเรียนรวมกันเฉลย 48
- 84 = - ( 84 48 ÷ 4 )
÷ 4
= - 1221
ดังนั้น - 48 24 16
84 = - 42 = - 28 = - 21
12 ตอบ
ลองท�าดู
จงหำเศษส่วนที่เท่ำกับ - 168
210 มำ 3 จ�ำนวน
จงพิจารณาการหาเศษส่วนที่เท่ากันต่อไปนี้
120 = 120 ÷ 10 Thinking Time
150 150 ÷ 10 78
จงหาเศษส่วนอย่างต�่าของ - 108
12 ÷
= 15 ÷ 3 3
= 45
จะพบว่า 45 เป็นเศษส่วนที่ตัวหารร่วมมากของตัวเศษและตัวส่วนเป็น 1
T54
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ข้อตกลง การเขียนเศษส่วนทีเ่ ท่ากันและเป็นจ�านวนลบ สามารถเขียนได้ 3 รูปแบบ เมือ่ ก�าหนด 9. ครู อ ธิ บ ายข อ ตกลงของการเขี ย นเศษส ว น
เศษส่วน ab โดยที่ b ≠ 0 ดังนี้ ทีเ่ ปนจํานวนลบวา สามารถเขียนได 3 รูปแบบ
1. - ab เช่น - 13 อ่านว่า ลบเศษหนึ่งส่วนสาม ดังตัวอยางในหนังสือเรียน หนา 47
10. ครูอธิบายหลักการเปรียบเทียบเศษสวนที่มี
2. -ab เช่น -13 อ่านว่า เศษลบหนึ่งส่วนสาม
ตัวสวนเทากันที่เปนจํานวนลบวา “ตองทํา
3. -ba เช่น -31 อ่านว่า เศษหนึ่งส่วนลบสาม ตัวสวนใหเปนจํานวนเต็มบวกกอน แลวจึง
2) กำรเปรียบเทียบเศษส่วน เปรียบเทียบทีต่ วั เศษ โดยเศษสวนใดมีตวั เศษ
(1) กำรเปรียบเทียบเศษส่วนที่มีตัวส่วนเท่ำกัน มากกวา เศษสวนนั้นจะมีคามากกวาอีกเศษ
ส�าหรับเศษส่วนทีเ่ ป็นลบ ให้ทา� ตัวส่วนเป็นจ�านวนเต็มบวกก่อน จากนัน้ ให้พจิ ารณา สวนหนึ่ง”
ที่ตัวเศษ ดังนี้ 11. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 3 ใน
1. เศษส่วนใดมีตัวเศษมากกว่า เศษส่วนนั้นมีค่ามากกว่า หนังสือเรียน หนา 47 แลวแลกเปลี่ยนความรู
2. ถ้าตัวเศษของทั้งสองเศษส่วนเท่ากัน แสดงว่าเศษส่วนทั้งสองมีค่าเท่ากัน กับคูของตนเอง
ตัวอย่างที่ 3
12. ครูอธิบายตัวอยางที่ 3 ในหนังสือเรียน หนา
47 การเปรี ย บเที ย บเศษส ว นที่ กํ า หนดให
จงเปรียบเทียบเศษส่วน - 47 และ - 37
(เมื่อตัวสวนเทากัน จะพิจารณาตัวเศษที่เปน
วิธีท�ำ เนื่องจาก - 47 = -47 และ - 37 = -37 จํานวนลบ) โดยการเปรียบเทียบวาจํานวนลบ
น�าตัวเศษ -4 และ -3 มาเปรียบเทียบกัน ตั ว ไหนที่ มี ค า มากกว า กั น พร อ มทั้ ง แสดง
จะได้ -4 < -3 วิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน
ดังนั้น -47 < -37 13. จากนัน้ ครูใหนกั เรียนทําหัวขอ “ลองทําดู” เมือ่
นั่นคือ - 47 < - 37 ตอบ เสร็จแลวครูอธิบายและนักเรียนรวมกันเฉลย
T55
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
2. ครูใหนกั เรียนจับคูศ กึ ษาตัวอยางที่ 4 ในหนังสือ ตัวอย่างที่ 4
เรียน หนา 48 แลวแลกเปลี่ยนความรูกับคู จงเปรียบเทียบเศษส่วน - 23 และ - 25
ของตนเอง วิธีท�ำ เขียนเศษส่วนให้ตัวส่วนเป็นจ�านวนเต็มบวก และหา ค.ร.น. ของ 3 และ 5 ได้ 15
3. ครูใหนักเรียนแตละคนทําหัวขอ “ลองทําดู” ท�าตัวส่วนของเศษส่วนทั้งสองให้เท่ากับ 15
และใบงานที่ 2.2 เรื่ อ ง การเปรี ย บเที ย บ จะได้ - 23 = -23
เศษสวน เมื่อเสร็จแลวครูและนักเรียนรวมกัน
เฉลยคําตอบ = (-2)
3×5
× 5
การเรียงลําดับเศษสวน เมื่อนักเรียนทุกคน -6
= 15
ทําเสร็จครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ เปรียบเทียบตัวเศษจะได้ว่า -10 < -6
ดังนั้น -1015 < 15
-6
นั่นคือ - 23 < - 25 หรือ - 25 > - 23 ตอบ
ลองท�าดู
จงเปรียบเทียบเศษส่วน - 28 และ - 75
ตัวอย่างที่ 5
= 105-70
48
T56
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
เนื่องจาก 105 ÷ 5 = 21 ดังนั้น คูณ -35 ด้วย 21
21 1. ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ
3 (-3) × 21 สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
จะได้ - 5 = 5 × 21
- ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ช ว ยกั น ทํ า แบบฝ ก
-63
= 105 ทักษะ 2.1 ก ขอ 6. โดยเขียนลงในสมุด
เนื่องจาก 105 ÷ 7 = 15 ดังนั้น คูณ -57 ด้วย 15
15 ของตนเอง
5 (-5)
จะได้ - 7 = 7 × 15 × 15 - ใหนักเรียนแลกเปลี่ยนความรูภายในกลุม
ของตนเอง และสนทนาซั ก ถามเกี่ ย วกั บ
-75
= 105 วิธีการหาคําตอบ จนเปนที่เขาใจรวมกัน
เปรียบเทียบตัวเศษจะได้ว่า -75 < -70 < -63 - ใหตัวแทนกลุมมานําเสนอคําตอบหนาชั้น
ดังนั้น 105-75 < -70 < -63 เรียน โดยเพื่อนกลุมที่เหลือคอยตรวจสอบ
105 105 ความถูกตอง
เขียนเรียงจ�านวนจากน้อยไปมากได้เป็น - 57 , - 23 , - 35 ตอบ 2. ครูใหนกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 2.1 ก ขอ 2.-4.
และ Exercise 2.1A ขอ 3.-8. ในแบบฝกหัด
ลองท�าดู
คณิตศาสตรเปนการบาน
จงเรียงล�ำดับจ�ำนวนต่อไปนี้จำกน้อยไปมำก - 34 , - 78 , - 56
แบบฝึกทักษะ 2.1 ก
ระดับ พื้นฐาน
1. จงหาเศษส่วนที่เท่ากับเศษส่วนที่ก�าหนดให้มาข้อละ 3 จ�านวน
1) - 37 48
2) - 108
2. จงเติมเครื่องหมาย < > หรือ = ลงใน ให้ถูกต้อง
1) 58 - 12
2) - 67 2
3
3) - 76 - 19
21
4) - 163 - 11
20
49
- 32 > - 53 > - 11 6
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)
T57
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
• การเปรียบเทียบเศษสวนที่มีตัวสวนเทากัน 3. จงเรียงล�าดับจ�านวนในแต่ละข้อต่อไปนี้จากน้อยไปมาก
ที่เปนจํานวนลบ สามารถทําไดอยางไร 1) - 48, - 34, - 322
( แนวตอบ ต อ งทํ า ตั ว ส ว นให เ ป น จํ า นวน
2) - 12, - 35, - 58
เต็มบวกกอน แลวจึงเปรียบเทียบที่ตัวเศษ
โดยเศษสวนใดมีตัวเศษมากกวา เศษสวน ระดับ กลาง
นั้นจะมีคามากกวาอีกเศษสวนหนึ่ง)
4. จงเติมจ�านวนลงใน เพื่อท�าให้เศษส่วนทั้งสองเป็นเศษส่วนที่เท่ากัน
• การเปรี ย บเที ย บเศษส ว นที่ มี ตั ว ส ว น
ไมเทากัน สามารถทําไดอยางไร 1) 27 = 35 2) - 49 = - 24
(แนวตอบ ตองใชความรู เรื่อง การคูณ การ
หาร และตัวคูณรวมนอย เพื่อทําใหตัวสวน 3) 116 = 132 4) - 16 1
80 = -
เทากัน แลวจึงเปรียบเทียบที่ตัวเศษ โดย
เศษสวนใดมีตัวเศษมากกวา เศษสวนนั้น 5) 51
63 = 21
99 = - 9
6) - 121
จะมีคามากกวาอีกเศษสวนหนึ่ง)
5. จงหาเศษส่วนอย่างต�่าของจ�านวนต่อไปนี้
ขัน้ ประเมิน 1) 21
28 2) - 48
72
1. ครูตรวจใบงานที่ 2.1-2.3 3) - 56 72
4) - 132
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.1 ก 70
36
5) - 108
3. ครูตรวจ Exercise 2.1A
4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
ระดับ ท้าทาย
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม 6. โนรีต้องการตักน�้าใส่โอ่งโดยใช้ถังที่มีอยู่ 2 ใบ ดังนี้ ถังใบที่ 1 ใช้ตักน�้าได้ 18 ของความจุโอ่ง
7. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค และถังใบที่ 2 ใช้ตกั น�้าได้ 163 ของความจุโอ่ง ถ้าในการตักน�้าใส่โอ่งแต่ละครัง้ โนรีไม่ท�าน�้าหก
โนรีควรเลือกใช้ถังใบใดตักน�้าจึงจะได้น�้าเต็มโอ่งก่อนกัน เพราะเหตุใด
50
T59
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
3. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” และจับคูศึกษา วิธีที่ 2 เขียนจ�านวนคละในรูปการบวกของจ�านวนเต็มกับเศษส่วน แล้วหาผลบวก
ตั ว อย า งในหนั ง สื อ เรี ย น หน า 52 แสดง ของจ�านวนเต็มกับจ�านวนเต็ม และเศษส่วนบวกกับเศษส่วน
การบวกเศษสวนทีเ่ ปนจํานวนคละบนกระดาน (-1 49) + (-2 56) = [(-1) + (- 49 )] + [(-2) + (- 56 )]
โดยบอกนักเรียนวา เราสามารถหาผลบวกได = [(-1) + (-2)] + [(- 49 ) + (- 56 )]
2 วิธี ดังนี้
วิธีที่ 1 เขียนจํานวนคละใหอยูในรูปเศษเกิน = (-3) + (-8) +18(-15) มำจำก
= (-3) + ( -23 ((-4) × 2 (-5) × 3
9 × 2 )+ ( 6 × 3 )
แลวนําจํานวนทั้งสองมาบวกกัน 18 )
วิธีที่ 2 เขียนจํานวนคละในรูปการบวกของ = (-3) + (-1 185 )
จํานวนเต็มกับเศษสวนแท แลวหาผลบวกของ = (-3) + (-1) + (- 185 )
จํานวนเต็มกับจํานวนเต็ม และเศษสวนบวก
= -4 185 ตอบ
กับเศษสวน
ลองท�าดู
เข้าใจ (Understanding)
จงหำผลบวกของจ�ำนวนต่อไปนี้
1. ครูกลาวทบทวนวา “เศษสวนมีสมบัติการบวก
1) (- 75 ) + 118 2) (-1 107 ) + (-2 158 )
ดวยศูนย สมบัตกิ ารสลับทีส่ าํ หรับการบวก และ
สมบัติการเปลี่ยนหมูสําหรับการบวกเหมือน เศษส่วนมีสมบัตกิ ารบวกด้วยศูนย์ สมบัตกิ ารสลับทีส่ า� หรับการบวก และสมบัตกิ ารเปลีย่ นหมู่
กับจํานวนเต็ม ดังนัน้ เพือ่ ความรวดเร็วในการ ส�าหรับการบวกเหมือนกับจ�านวนเต็ม ซึง่ นักเรียนสามารถใช้สมบัตดิ งั กล่าวมาช่วยในการหาผลบวก
หาผลลัพธ เราสามารถใชสมบัติดังกลาวนี้ ของเศษส่วน ดังตัวอย่าง
มาช ว ยในการคํ า นวณได ” จากนั้ น ครู ย ก
ตัวอย่างที่ 8
ตัวอยางที่ 8 ในหนังสือเรียน หนา 52 แสดง
การหาผลบวกของเศษส ว นสามจํ า นวนที่ มี จงหำผลบวกของ (- 37) + 52 + 23
มำจำก
ตัวสวนไมเทากันบนกระดาน วิธีท�ำ (- 37 ) + 52 + 23 = ( -37 ) + (52 + 23) ( 25 ×× 33 ) + ( 32 ×× 22 )
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 2.1B ขอ 1. ใน
= ( -37 ) + (15 6+ 4)
แบบฝกหัดคณิตศาสตรเปนการบาน
= ( -37 ) + 196
มำจำก
= (-18)42+ 133
( (-3) × 6 19 × 7
7 × 6 )+ (6 × 7)
= 115
42
= 2 3142 ตอบ
52
T60
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
ลองท�าดู 1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
จงหำผลบวกของ (- 78) + 92 + 113 หนา 53 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ
2) กำรลบเศษส่วน 2. ครูทบทวนหลักการลบจํานวนเต็มวาใชการ
การลบเศษส่วน ใช้หลักการเดียวกันกับการลบจ�านวนเต็ม คือ บวกดวยจํานวนตรงขาม และการลบเศษสวน
ก็ใชหลักการเดียวกันกับการลบจํานวนเต็ม คือ
ตัวตั้ง - ตัวลบ = ตัวตั้ง + จ�านวนตรงข้ามของตัวลบ ตัวตั้ง - ตัวลบ = ตัวตั้ง + จํานวนตรงขามของ
แล้วหาผลบวกโดยใช้ความรูก้ ารบวกเศษส่วน ถ้าตัวส่วนไม่เท่ากัน นักเรียนต้องท�าตัวส่วน ตัวลบ
ของทุกเศษส่วนให้เท่ากันก่อน แล้วจึงหาผลบวก 3. ครู อ ธิ บ ายขั้ น ตอนการลบเศษส ว นที่ เ ป น ลบ
ตัวอย่างที่ 9
และมีตัวสวนไมเทากัน ดังนี้
- เขี ย นการลบในรู ป การบวกด ว ยจํ า นวน
จงหำผลลบของ 56 - (- 127 ) ตรงขามกอน
วิธีท�ำ ค.ร.น. ของ 6 และ 12 คือ 12 - ทําตัวสวนของทุกเศษสวนใหเทากัน โดย
5 - (- 7 ) = 5 + 7 จ�านวนตรงข้ามของ - 127 คือ 127 นิยมทําตัวสวนใหเทากับ ค.ร.น. ของตัวสวน
6 12 6 12
= 1012+ 7 ของเศษสวนที่นํามาลบกัน
- นําตัวเศษมาบวกหรือลบกันตามเครือ่ งหมาย
= 17
12 ทีป่ รากฏสุดทาย โดยทีต่ วั สวนยังคงเทาเดิม
= 1 125 ตอบ 4. ครูยกตัวอยางที่ 9 และ 10 ในหนังสือเรียน
หนา 53 บนกระดาน
ตัวอย่างที่ 10 5. ครูและนักเรียนลองศึกษาตัวอยางที่ 10 และ
จงหำผลลบของ (- 14) - 2 59 ครู จ ะแสดงวิ ธีก ารลบเศษส ว น ให นั ก เรี ย น
ศึกษาและสังเกต
วิธีท�ำ (- 14) - 2 59 = ( -14 ) + (-2 59) จ�านวนตรงข้ามของ 2 59 คือ -2 59
= ( -14 ) + [(-2) + ( -59 )]
= (-2) + [( -14 ) + ( -59 )]
= (-2) + (-9) +36(-20)
= (-2) + (-2936 )
= -2 3629 ตอบ
53
T61
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 11 ใน ตัวอย่างที่ 11
หนั ง สื อ เรี ย น หน า 54 แล ว แลกเปลี่ ย น จงหาผลลบของ (-2 107 ) - (-1 158 )
ความรูกับคูของตนเอง จากนั้นใหนักเรียน
วิธีท�า (-2 107 ) - (-1 158 ) = (-2 107 ) + 1 158 จ�ำนวนตรงข้ำมของ -1 158 คือ 1 158
แต ล ะคนทํ า “ลองทํ า ดู ” พร อ มทั้ ง ครู แ ละ
= [(-2) + (10-7)] + (1 + 8 )
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 15
2. ครูแจกใบงานที่ 2.4 เรื่อง การบวกและการ = [(-2) + 1] + [(10 -7) + 8 ]
15
ลบเศษสวนทีม่ ตี วั สวนไมเทากัน ใหนกั เรียนทํา (-21) + 16
= (-1) + 30
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ -5)
3. ครู อ ธิ บ ายการลบเศษส ว น 2 ขั้ น ตอน ที่ มี = (-1) + (30
ตัวสวนไมเทากัน โดยแสดงวิธีหาผลลบของ = -1 305
เศษสวนสามจํานวนจากตัวอยางที่ 12 ใน = -1 16 ตอบ
หนั ง สื อ เรี ย น หน า 54 อย า งละเอี ย ดบน
กระดาน และในระหวางแสดงวิธีทํา จากนั้น ลองทําดู
ใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” จงหาผลลบของจ�านวนต่อไปนี้
4. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ และครู 1) (- 27) - 3 34 2) 12 16
15 - (- 45) 3) (-10 112 ) - (-7 59)
แจกใบงานที่ 2.5 เรื่อง การบวก ลบระคน
ของเศษสวน ใหนักเรียนทํา จากนั้นครูและ ตัวอย่างที่ 12
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
แบบฝึกทักษะ 2.1 ข 2. ครูใหนกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 2.1 ข ขอ 1.-4.
และ Exercise 2.1B ขอ 2. ในแบบฝกหัด
ระดับ พื้นฐาน
คณิตศาสตร เปนการบาน
1. จงหาผลลัพธ์ของจ�านวนต่อไปนี้
1) 79 + (- 108) 2) (- 95) + 113 3) (-1 35) + (-3 14) ขัน้ สรุป
4) 207 - (- 56) 5) (-4 35) - 87 6) (-3 37) + (-4 116 ) ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
2. จงหาผลลัพธ์ของจ�านวนต่อไปนี้
• การบวกเศษส ว นที่ เ ป น ลบและมี ตั ว ส ว น
1) (- 114) + (78 + 13) 2) [(- 78) + 83] + 37 ไมเทากัน ทําอยางไร
3) 47 - (218 + 145 ) 4) (5 23 - 78) - (-2 49) (แนวตอบ เขียนตัวสวนของเศษสวนทีเ่ ปนลบ
ใหเปนจํานวนเต็มบวกกอน จากนัน้ ทําตัวสวน
ระดับ กลาง ของทุกเศษสวนใหเทากัน โดยนิยมทําตัวสวน
3. จงหาผลลัพธ์ของจ�านวนต่อไปนี้ ใหเทากับ ค.ร.น. ของตัวสวนของเศษสวน
1) (-2) - (-3 67) 2) (-3) - (- 56) 3) (-5) - (- 29) ที่นํามาบวกกัน แลวนําตัวเศษมาบวกกัน
4. จงหาผลลัพธ์ของจ�านวนต่อไปนี้ โดยที่ตัวสวนยังคงเทาเดิม)
• ข อ ตกลงของการลบเศษส ว นโดยอาศั ย
1) 37 - 78 - 1 12 2) 5 12 + 3 13 + (-4 16) การบวก เปนอยางไร
3) 3 45 + (-2 101 ) + 6 103 4) 9 78 + (-6 45) + 3 12 (แนวตอบ ตัวตั้ง - ตัวลบ = ตัวตั้ง + จํานวน
5) 5 23 + (-3 16) + (-2 49) 6) (-5 14) + (-2 23) + (-1 12) ตรงขามของตัวลบ)
7) (-1 14) - 2 56 - 4 58 8) (-3 34) - (-1 125 ) - 4 38 ขัน้ ประเมิน
9) (-1 58) - 2 247 - (-3 16) 10) (-3 12) - 3 57 - (-4 13) 1. ครูตรวจใบงานที่ 2.4-2.5
ระดับ ท้าทาย
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.1 ข
3. ครูตรวจ Exercise 2.1B
5. ถ้าน�าเศษส่วนหนึ่งจ�านวนมาบวกกับ (- 47) - (- 79) แล้วได้ผลลัพธ์เป็นจ�านวนเต็มบวกที่มีค่า 4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
น้อยที่สุด อยากทราบว่าเศษส่วนที่น�ามาบวกเท่ากับเท่าไร 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
6. จงหาว่า [17 3 4 5 6
20 + (4 - 1 5)] บวกหรือลบกับ [6 - (- 21)] แล้วท�าให้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเศษส่วน 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
ที่เป็นลบ และผลลัพธ์เท่ากับเท่าไร 7. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
55
T63
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing) ตัวอย่างที่ 13
T64
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2) (-1 12) × (-7 15) = (- 32) × (- 365) • จากโจทยขอ 2) ผลคูณที่ไดมีเครื่องหมาย
-18 เปนบวกหรือลบ เพราะเหตุใด
= (-3)2 ×× (-36) (แนวตอบ ผลคูณที่ไดมีเครื่องหมายเปนบวก
1 5
= (-3)1 ×× (-18)
5
เพราะจํานวนทีม่ เี ครือ่ งหมายเหมือนกันเมือ่
54 นํามาคูณกัน ผลคูณที่ไดจะมีเครื่องหมาย
= 5
เปนบวก)
= 10 45 ตอบ 3. ครูกลาวเพิม่ เติมวา “ถาผลลัพธทไี่ ดเปนเศษเกิน
ควรเขียนใหอยูในรูปจํานวนคละ และตอบ
ลองท�าดู
ในรูปเศษสวนอยางตํ่า” จากนั้นใหนักเรียนทํา
จงหำผลคูณของจ�ำนวนต่อไปนี้
“ลองทําดู” ในหนังสือเรียน หนา 57 เมื่อเสร็จ
1) (-5 58) × 49 2) (-4 16) × (-2 15)
แลวครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบหัวขอ
“ลองทําดู”
เศษส่วนมีสมบัติการคูณด้วยศูนย์ สมบัติการคูณด้วยหนึ่ง สมบัติการสลับที่การคูณ สมบัติ
การเปลี่ยนหมู่ส�าหรับการคูณ ยังมีสมบัติการแจกแจงที่แสดงความเกี่ยวข้องระหว่างการบวกและ 4. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.1 ค ขอ 1.
การคูณเศษส่วนดังตัวอย่างต่อไปนี้ (ขอยอย 1)-3)) จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกัน
เฉลยคําตอบ
ตัวอย่างที่ 14
T65
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
4. ครูยกตัวอยางที่ 15 ในหนังสือเรียน หนา 58 ตัวอย่างที่ 15
โดยแสดงวิ ธีทํ า อย า งละเอี ย ดบนกระดาน จงหำผลลัพธ์ของ [32 × (- 58)] + [43 × (- 58)]
จากนั้นใหนักเรียนทําหัวขอ “ลองทําดู”
5. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู” วิธีท�ำ [32 × (- 58)] + [43 × (- 58)] = (32 + 43) × (- 58)
6. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.1 ค ขอ 1.
= 9 +6 8 × (-58 )
(ขอยอย 7)) และ Exercise 2.1C ขอ 1. ใน
แบบฝกหัดคณิตศาสตรเปนการบาน = 176 × (-58 )
รู้ (Knowing) = 176 ×× (-5)
8
1. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบแบบฝก = -85
48
ทักษะ 2.1 ค ขอ 1. (ขอยอย 7)) และ Exercise
2.1C ขอ 1. = -1 37
48 ตอบ
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นพิ จ ารณาการหาผลหารของ ลองท�าดู
2 ÷ 3 ในหนังสือเรียน หนา 58 จากนั้น
4 4 จงหำผลลัพธ์ของ [(- 37) × 25] + [27 × 25]
อธิบาย ดังนี้ จากการหาผลหารของ 24 ÷ 34
เราจะคูณตัวเศษและตัวสวนดวย 43 เพื่อทํา
2) กำรหำรเศษส่วน
ใหตัวสวนเปน 1 นักเรียนจะสังเกตเห็นวา
จงพิจารณาการหาผลหารต่อไปนี้
จํานวนที่นํามาคูณเปนสวนกลับของเศษสวน 2
2÷3 = 4
ที่เปนตัวหาร 4 4 3
4
2×4
= 43 34
4×3
คูณตัวเศษและตัวส่วน
2×4
= 413 ด้วย 43 เพื่อท�าให้
ตัวส่วนเป็น 1
= 24 × 43
= 23
58
(เฉลยคําตอบ 1. ไมเทากัน 45 × 20 3 4 8
6 2×3 ; 3 2
9 × 60 8 × 25 ; 1 5
2. ไมเทากัน 16 135 5 32 4 4
3. เทากัน (- 85 8 3 3 5 8 5 5
12 ) × (- 17 ) × 18 = 4 × (- 6 ) × (- 9 ) ; 9 = 9
4. ไมเทากัน (- 15 48 11 9 60 9
4 ) × 5 × (- 9 ) 2 × 27 × 4 ; 44 2
45
T66
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
3 3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นพิ จ ารณาการหาผลหารของ
และ 3÷2 = 4
4 4 2 3 ÷ 2 ในหนังสือเรียน หนา 59 จากนั้น
4 4 4
3×4 อธิบาย ดังนี้ จากการหาผลหารของ 34 ÷ 24
= 42 24 เราจะคูณตัวเศษและตัวสวนดวย 42 เพื่อทําให
4×2
คูณตัวเศษและตัวส่วน ตัวสวนเปน 1 นักเรียนจะสังเกตเห็นวา จํานวน
3×4
= 412 ด้วย 42 เพื่อท�าให้ ที่นํามาคูณเปนสวนกลับของเศษสวนที่เปน
= 34 × 42
ตัวส่วนเป็น 1 ตัวหารเชนกัน
4. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา “การหาผลหาร
= 32
ของเศษสวน คือ ผลคูณของเศษสวน โดย
จากการหาผลหารจะเห็นว่า 24 ÷ 34 ≠ 34 ÷ 24
เศษสวนที่เปนตัวคูณตองเปนสวนกลับของ
แสดงว่า การหารจ�านวนที่เป็นเศษส่วนไม่มีสมบัติการสลับที่
ตัวหาร”
จากการหาผลหารข้างต้น เมื่อก�าหนดให้ ab และ dc แทนเศษส่วนใด ๆ ซึ่ง b ≠ 0,
5. ครูใหนักเรียนพิจารณาผลหารของ 24 ÷ 34
c ≠ 0 และ d ≠ 0 พิจารณาผลหารที่เกิดจากการหาร ab ด้วย dc ดังนี้
a และ 34 ÷ 24 พรอมทั้งอธิบายวา “นักเรียน
a÷c = b จะเห็นวามีผลหารไมเทากัน ดังนั้น การหาร
b d c
d จํานวนที่เปนเศษสวนไมมีสมบัติการสลับที่”
a×d
= bc dc
d×c
a×d
= b1c
= ab × dc
ดังนั้น ab ÷ dc = ab × dc
59
T67
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 16 ใน ตัวอย่างที่ 16
หนังสือเรียน หนา 60 แลวแลกเปลี่ยนความรู จงหำผลหำรของ (- 14 2
15) ÷ 3
กับคูของตนเอง จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้
• การหารเศษสวนทีเ่ ปนลบดวยเศษสวนทีเ่ ปน วิธีท�ำ (- 14 2 14 3
15) ÷ 3 = (- 15) × 2
-7 1
บวก จะไดผลหารเปนจํานวนบวกหรือลบ = (-14) × 3
155× 2 1
(แนวตอบ ไดผลหารเปนจํานวนลบ)
2. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” จากนั้นครูและ = (-7)
5×1
× 1
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ตัวอย่างที่ 18 10. ครูกลาวถึงการหารทีม่ ี 2 ขัน้ ตอนวา “ถาโจทย
จงหำผลหำรของ (-2 14) ÷ (-1 56) การหารมีเครื่องหมายวงเล็บ ใหหาผลหาร
ในวงเล็บกอน แลวจึงนําผลหารที่ไดไปหา
วิธีท�ำ (-2 14) ÷ (-1 56) = (- 94) ÷ (- 116) ผลหารกับเศษสวนที่เหลือ” แลวยกตัวอยาง
= ( -94 ) × (11-6 ) ที่ 19 ในหนังสือเรียน หนา 61
-3 11. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” จากนั้นครูและ
= (-9)4 ×× 11(-6) นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
2
= 27
22 12. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.1 ค ขอ 1.
= 1 225 ตอบ (ขอยอย 8)) และ Exercise 2.1C ขอ 2.
(ขอยอย 6)-10)) จากนั้นครูและนักเรียน
ลองท�าดู รวมกันเฉลยคําตอบ
13. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า “Thinking Time” ใน
จงหำผลหำรของ (-2 56) ÷ (-1 35)
หนังสือเรียน หนา 61
14. ครูแจกใบงานที่ 2.7 เรื่อง การหารเศษสวน
ตัวอย่างที่ 19
ใหนกั เรียนทํา จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกัน
จงหำผลหำรของ [(-7 15) ÷ 34] ÷ 92 เฉลยคําตอบ
วิธีท�ำ [(-7 15) ÷ 34] ÷ 92 = [(- 365) ÷ 34] ÷ 92
= (-36
5)×3×9
4 2 Thinking Time
-4 จงหาผลหาร (-1 13 ) ÷ (-2 25 ) ÷ (-2 13 )
= (-36) × 4 × 2
5 × 3 × 91
= (-4)
5×3×1
× 4 × 2
เฉลย Thinking Time
= -32
15 (-1 13 ) ÷ (-2 25 ) ÷ (-2 13 )
= - 32
15 = [(-1 13 ) ÷ (-2 25 )] ÷ (-2 13 )
= -2 152 ตอบ
= [(- 43 ) ÷ (- 12 7
5 )] ÷ (- 3 )
ลองท�าดู
จงหำผลหำรของ [(-2 58) ÷ 127 ] ÷ 145 = [(- 43 ) × (- 12
5 × -3
)] ( 7 )
= (- 43 ) × (- 12
5 × -3
) ( 7)
61
5
= - 21
= (- 17 4
1 ) × (- 37 )
= 68
37
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)
T69
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
1. ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ แบบฝึกทักษะ 2.1 ค
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
ระดับ พื้นฐาน
- ใหแตละกลุมสงตัวแทนมาตกลงกันวาจะ
เลือกแกปญหาแบบฝกทักษะ 2.1 ค ขอ 4. 1. จงหาผลลัพธ์ของจ�านวนต่อไปนี้
หรือขอ 5. 1) (- 125 ) × (- 11
18) 2) 58 × (-6 27)
- นักเรียนแตละคนเขียนขั้นตอนแสดงวิธีคิด 3) (-3 6) × (-8 14)
5 4) 37 ÷ (- 109 )
ของกลุมตนเองอยางละเอียดลงในสมุด
5) (-2 58) ÷ 127 6) (-8 45) ÷ (-2 34)
- ใหตัวแทนกลุมมานําเสนอคําตอบหนาชั้น
เรียน โดยเพื่อนกลุมที่เหลือคอยตรวจสอบ 7) (165 × 368) × (-3 124 ) 8) [13 ÷ (-2 35)] ÷ 116
ความถูกตอง
2. ครูใหนกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 2.1 ค ขอ 2.-3. ระดับ กลาง
T70
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
3. ครูยกตัวอยางที่ 21 ในหนังสือเรียน หนา 63-64 รวมสองวันขับรถได้ระยะทาง 35 + 14 = 17 20 ของระยะทางทั้งหมด
บนกระดาน จากนั้นใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” 17
นั่นคือ รวมสองวันขับรถได้ 20 ของระยะทางทั้งหมด คิดเป็นระยะทาง 629 กิโลเมตร
ในหนังสือเรียน หนา 64
หมายความว่า ระยะทาง 17 ส่วน คิดเป็น 629 กิโลเมตร
4. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
5. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 22 ใน ระยะทาง 20 ส่วน คิดเป็น 62917× 20 = 740 กิโลเมตร
หนังสือเรียน หนา 64 แลวถามคําถามเพื่อ ดังนั้น ระยะทางจากบ้านของวิชาญถึงจังหวัดเชียงรายเท่ากับ 740 กิโลเมตร ตอบ
ใหนักเรียนวิเคราะหโจทย ดังนี้ ลองท�าดู
• โจทยถามอะไร
รวีอ่ำนหนังสือเล่มหนึ่ง โดยวันแรกอ่ำนได้ 203 ของจ�ำนวนหน้ำหนังสือทั้งหมด วันที่สองอ่ำน
(แนวตอบ พอคาติดราคาขายกีตารไวกี่บาท)
• สิ่งที่โจทยกําหนดใหมีอะไรบาง ได้อีก 10
17 ของจ�ำนวนหน้ำที่เหลือ ถ้ำรวมสองวันรวีอ่ำนหนังสือได้ 416 หน้ำ จงหำว่ำหนังสือ
( แนวตอบ ร า นขายเครื่ อ งดนตรี ป ระกาศ เล่มนี้มีจ�ำนวนทั้งหมดกี่หน้ำ
ลดราคากีตาร 10 1 ของราคาขายที่ติดไว
ตัวอย่างที่ 22
ถาผูซื้อจายเงินสดพอคาจะลดราคากีตาร
ลงอีก 15 1 ของราคาขายที่ลดลงครั้งแรก ร้านขายเครื่องดนตรีแห่งหนึ่งประกาศลดราคากีตาร์ 101 ของราคาขายที่ติดไว้ และถ้าผู้ซื้อจ่าย
และผูซื้อจายเงินสดซื้อกีตารเปนเงิน 4,872 เงินสด พ่อค้าจะลดราคากีตาร์ลงอีก 151 ของราคาขายที่ลดครั้งแรก ถ้าผู้ซื้อจ่ายเงินสดซื้อกีตาร์
บาท) เป็นเงิน 4,872 บาท อยากทราบว่าพ่อค้าติดราคาขายกีตาร์ไว้กี่บาท
จากนัน้ ครูแสดงวิธที าํ อยางละเอียดใหนกั เรียน วิธีท�ำ ร้านขายเครื่องดนตรีประกาศลดราคากีตาร์ 101 ของราคาขายที่ติดไว้
ไดศึกษาและสังเกต แลวถามคําถาม ดังนี้
แสดงว่า ราคาขายหลังจากการลดราคาครั้งแรกเป็น 109 ของราคาขายที่ติดไว้
• ใชการดําเนินการใดในการแกโจทยปญหา
ถ้าผู้ซื้อจ่ายเงินสด พ่อค้าจะลดราคาอีก 151 ของราคาขายที่ลดครั้งแรก
(แนวตอบ วิธคี ณู วิธลี บ และการเทียบบัญญัติ
ไตรยางศ) หรือคิดเป็น 151 × 109 = 503 ของราคาขายที่ติดไว้
• ไดคําตอบเทาไร ผู้ซื้อจ่ายเงินสดซื้อกีตาร์ราคา 109 - 503 = 4250 ของราคาขายที่ติดไว้
(แนวตอบ พอคาติดราคาขายกีตารไว 5,800 นั่นคือ ถ้าซื้อเงินสดพ่อค้าจะขายกีตาร์ให้ราคา 42
บาท) 50 ของราคาขายที่ติดไว้
คิดเป็นเงิน 4,872 บาท
หมายความว่า 42 ส่วนของราคาขายที่ติดไว้ คิดเป็นเงิน 4,872 บาท
50 ส่วนของราคาขายที่ติดไว้ คิดเป็นเงิน 4,87242× 50
= 5,800 บาท
ดังนั้น พ่อค้าติดราคาขายกีตาร์ ไว้เป็นเงิน 5,800 บาท ตอบ
64
T72
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ลองท�าดู 6. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
พ่อค้ำติดประกำศลดรำคำไวโอลิน 17 ของรำคำขำยที่ติดไว้ และถ้ำผู้ซื้อจ่ำยเงินสดพ่อค้ำจะ หนา 65 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
ลดรำคำไวโอลินลงอีก 103 ของรำคำขำยที่ลดครั้งแรก ถ้ำผู้ซื้อจ่ำยเงินสดซื้อไวโอลินเป็นเงิน คําตอบ “ลองทําดู”
1,854 บำท อยำกทรำบว่ำพ่อค้ำติดรำคำขำยไวโอลินไว้กี่บำท
เข้าใจ (Understanding)
T73
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ กิจกรรม คณิตศาสตร์
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
- ใหนกั เรียนแตละกลุม รวมกันศึกษากิจกรรม ให้นกั เรียนแก้โจทย์ปญ
ั หาโดยใช้บาร์โมเดล (Bar model)
คณิตศาสตร “การแกโจทยปญหาโดยใช ตัวอย่าง ตะวันต้องการซื้อกลอง 1 ชุด จากร้านขายเครื่องดนตรีแห่งหนึ่ง ซึ่งพ่อค้าติดประกาศ
บารโมเดล (Bar model)” ในหนังสือเรียน ลดราคากลอง 13 ของราคาขายที่ติดไว้ และถ้าผู้ซื้อจ่ายเงินสดจะลดราคากลองลงอีก 37 ของราคา
หนา 66 ขายที่ลดครั้งแรก ถ้าตะวันซื้อกลองด้วยเงินสดจะต้องจ่ายเงิน 14,888 บาท อยากทราบว่าพ่อค้า
- นักเรียนแตละคนเขียนขั้นตอนแสดงวิธีหา ติดราคาขายกลองไว้กี่บาท
คําตอบของกลุมตนเองอยางละเอียด ราคาขายกลองที่ติดประกาศไว้
- ใหตัวแทนกลุมมานําเสนอคําตอบหนาชั้น
เรียน โดยเพื่อนกลุมที่เหลือคอยตรวจสอบ ภาพที่ 1
ความถูกตอง ราคาที่ลดครั้งแรก ราคาขายหลังจากลดราคาครั้งแรก
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ ภาพที่ 2
นักเรียน ดังนี้ ราคาที่ลด 14,888
• ขัน้ ตอนการวิเคราะหโจทยปญ หา มีอะไรบาง เมื่อจ่ายเงินสด
( แนวตอบ 1) อ า นโจทย ใ ห เ ข า ใจ แล ว จากภาพที่ 2 จะได้ว่า
พิจารณาวาโจทยถามอะไร 2) สิ่งที่โจทย 4 หน่วย เท่ากับ 14,888 บาท
กําหนดใหมีอะไรบาง 3) เลือกวิธีดําเนิน 1 หน่วย เท่ากับ 14,888
4 = 3,722 บาท
การที่จะแกโจทยปญหา 4) หาคําตอบ) ดังนั้น ราคาขายกลองหลังจากลดราคาครั้งแรก คือ
• การดํ า เนิ น การในการแก โ จทย ป ญ หา 7 หน่วย เท่ากับ 3,722 × 7 = 26,054 บาท
เกี่ยวกับเศษสวน มีอะไรบาง จากภาพที่ 1 จะได้ว่า
(แนวตอบ การบวก การลบ การคูณ การหาร 2 หน่วย เท่ากับ 26,054 บาท
และการเทียบบัญญัติไตรยางศ) 1 หน่วย เท่ากับ 26,054
2 = 13,027 บาท
ขัน้ ประเมิน ดังนั้น ราคาขายกลองที่ติดประกาศไว้ คือ
3 หน่วย เท่ากับ 13,027 × 3 = 39,081 บาท
1. ครูตรวจใบงานที่ 2.8
ค�าถาม
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.1 ง
3. ครูตรวจ Exercise 2.1D วายุขับรถยนต์จากบ้านไปจังหวัดภูเก็ต โดยวันแรกขับรถได้ 25 ของระยะทางทั้งหมด
4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน วันที่สองขับรถได้อีก 18 ของระยะทางที่เหลือ ถ้าวันที่สองวายุขับรถได้ระยะทาง 455 กิโลเมตร
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล อยากทราบว่าวายุขับรถจากบ้านถึงภูเก็ตเป็นระยะทางกี่กิโลเมตร
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
66
7. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร์
ระยะทางทั้งหมด
ภาพที่ 1
วันแรกขับรถได ระยะทางที่เหลือของวันแรก
วันที่สองขับรถได 55 กิโลเมตร
ภาพที่ 2
ระยะทางที่เหลือของวันแรก
จากภาพที่ 2 จะไดวา 1 หนวย เทากับ 55 กิโลเมตร นั่นคือ 8 หนวย เทากับ 8 × 55 = 440 กิโลเมตร
ดังนั้น ระยะที่เหลือของวันแรก เทากับ 440 กิโลเมตร
จะไดวา 5 หนวย เทากับ 5 ×3440 = 733.33 กิโลเมตร
ดังนั้น วายุตองขับรถจากบานถึงภูเก็ตเปนระยะทาง 733.33 กิโลเมตร
T74
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
67
T75
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นคู เ ดิ ม ศึ ก ษาจํ า นวนตรงข า ม จงพิจารณาทศนิยมบนเส้นจ�านวนต่อไปนี้
ของทศนิยม ในหนังสือเรียน หนา 68 แลว จ�านวนตรงข้าม
แลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง จากนั้นครู
ยกตัวอยางทศนิยมที่เปนบวกมา 1 จํานวน -3 -2.5 -2 -1.5 -1 -0.5 0 0.5 1 1.5 2 2.5 3
และทศนิ ย มที่ เ ป น ลบมา 1 จํ า นวน แล ว จ�านวนตรงข้าม
ให นั ก เรี ย นเขี ย นแสดงทศนิ ย มและจํ า นวน จากเส้นจ�านวน จะเห็นว่า
ตรงข า มของทศนิ ย มนั้ น บนเส น จํ า นวนลง -1.5 เป็นจ�านวนตรงข้ามของ 1.5 และ 1.5 เป็นจ�านวนตรงข้ามของ -1.5
ในสมุด นั่นคือ -1.5 = -(1.5) และ 1.5 = -(-1.5)
3. ครูใหนักเรียนศึกษาคาสัมบูรณของทศนิยม -2.5 เป็นจ�านวนตรงข้ามของ 2.5 และ 2.5 เป็นจ�านวนตรงข้ามของ -2.5
ในหนั ง สื อ เรี ย น หน า 68 จากนั้ น ครู ถ าม นั่นคือ -2.5 = -(2.5) และ 2.5 = -(-2.5)
คําถาม ดังนี้ ค่ำสัมบูรณ์ของทศนิยม
• คาสัมบูรณของทศนิยม หมายถึงอะไร นักเรียนทราบมาแล้วว่า ค่าสัมบูรณ์ของจ�านวนเต็มใด ๆ คือ ระยะห่างระหว่างจ�านวนเต็มนัน้
(แนวตอบ หมายถึง ระยะหางระหวางทศนิยม กับศูนย์บนเส้นจ�านวน ส�าหรับค่าสัมบูรณ์ของทศนิยมใช้หลักการเดียวกันกับค่าสัมบูรณ์ของ
นั้นกับศูนยบนเสนจํานวน) จ�านวนเต็ม กล่าวคือ ค่าสัมบูรณ์ของทศนิยมใด ๆ หมายถึง ระยะห่างระหว่างทศนิยมนั้นกับศูนย์
• เมือ่ a เปนทศนิยมใดๆ เขียนแทนคาสัมบูรณ บนเส้นจ�านวน
ของ a ไดอยางไร
(แนวตอบ a) เมื่อ a เป็นทศนิยมใด ๆ เขียนแทนค่าสัมบูรณ์ของ a ด้วยสัญลักษณ์ ∙a∙
4. ครูยกตัวอยางทศนิยมที่เปนบวกมา 1 จํานวน
และทศนิยมที่เปนลบมา 1 จํานวน แลวให จงพิจารณาทศนิยมบนเส้นจ�านวนต่อไปนี้
นักเรียนสงตัวแทน 2 คน ออกมาเขียนคา
สัมบูรณของทศนิยมนั้น -1.5 -1.25 -1 -0.75 -0.5 -0.25 0 0.25 0.5 0.75 1 1.25 1.5
จากเส้นจ�านวน จะเห็นว่า
1.25 อยู่ห่างจาก 0 เป็นระยะ 1.25 หน่วย กล่าวได้ว่า ค่าสัมบูรณ์ของ 1.25
เท่ากับ 1.25
นั่นคือ ∙1.25∙ = 1.25
-1.25 อยู่ห่างจาก 0 เป็นระยะ 1.25 หน่วย กล่าวได้ว่า ค่าสัมบูรณ์ของ -1.25
เท่ากับ 1.25
นั่นคือ ∙-1.25∙ = 1.25
68
T76
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
1
1. ค่าประจ�าหลักทศนิยม 1. ครูใหนักเรียนพิจารณาตารางแสดงคาประจํา
นักเรียนทราบค่าประจ�าหลักของเลขโดดในหลักต่าง ๆ ของจ�านวนเต็มมาแล้ว เช่น หลักหน่วย หลักของเลขโดดในหลักตางๆ ของจํานวนเต็ม
มีค่าประจ�าหลักเป็น 1 หลักสิบมีค่าประจ�าหลักเป็น 10 เป็นต้น เพื่อเป็นการเชื่อมโยงให้เห็น และทศนิยมในหนังสือเรียน หนา 69
ค่าประจ�าหลักของจ�านวนเต็มและทศนิยม ให้นักเรียนพิจารณาตารางแสดงค่าประจ�าหลักของ 2. ครูยกตัวอยางที่ 23-24 ในหนังสือเรียน หนา
เลขโดดในหลักต่าง ๆ ของจ�านวนเต็ม และทศนิยมต่อไปนี้ 69 และใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” จากนั้นครู
และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
ค่ำประจ�ำหลัก
จ�ำนวนเต็ม ทศนิยม ลงมือทํา (Doing)
... หลักร้อย หลักสิบ หลักหน่วย หลักส่วนสิบ หลักส่วนร้อย หลักส่วนพัน หลักส่วนหมื่น ... 1. ครูแจกใบงานที่ 2.9 เรื่อง คาของเลขโดด
... 100 10 1 1 1 1 1 ... ในแต ล ะหลั ก ของทศนิ ย ม ให นั ก เรี ย นทํ า
10 100 1,000 10,000
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 2.2A ขอ 1.-3.
ตัวอย่างที่ 23
ในแบบฝ ก หั ด คณิ ต ศาสตร จากนั้ น ครู แ ละ
จงเขียน 275.75 ให้อยู่ในรูปกระจำย นักเรียนรวมกันเฉลย Exercise 2.2A ขอ 1.-3.
วิธีท�ำ 275.75 = (2 × 100) + (7 × 10) + (5 × 1) + (7 × 101 ) + (5 × 100
1 ) ตอบ 3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.2 ก ขอ 1.
และขอ 3. เปนการบาน
ลองท�าดู
ขัน้ สรุป
จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปกระจำย
1) 132.84 2) 372.346 ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
• จาก 0.5 เลขโดด 5 อยูในหลักใด และมีคา
ตัวอย่างที่ 24
ประจําหลักเทาไร
จงเขียน (3 × 100) + (5 × 10) + (5 × 101 ) + (7 × 100
1 ) ให้อยู่ในรูปทศนิยม (แนวตอบ อยูใ นหลักสวนสิบ มีคา ประจําหลัก
1 หรือ 0.1)
เปน 10
วิธีท�ำ (3 × 100) + (5 × 10) + (5 × 101 ) + (7 × 100
1 ) = 350.57 ตอบ
• ทศนิยมเขียนในรูปกระจายไดอยางไร
(แนวตอบ เขียนในรูปการบวกของเลขโดด
ลองท�าดู
ในหลักตางๆ คูณกับคาประจําหลัก)
จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปทศนิยม
1) (5 × 100) + (3 × 10) + (7 × 101 ) + (4 × 100
1) ขัน้ ประเมิน
2) (7 × 1,000) + (2 × 100) + (6 × 10) + (2 × 1001 ) + (3 × 1 ) 1. ครูตรวจใบงานที่ 2.9
1,000 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.2 ก
3. ครูตรวจ Exercise 2.2A
69 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
5. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
T77
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T78
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
ตัวอย่างที่ 25 4. ครูอธิบายวิธีการเปรียบเทียบทศนิยมที่เปน
จงเปรียบเทียบทศนิยม 0.12853 กับ 0.1292 จํานวนบวก ดังนี้
วิธีท�ำ ขั้นที่ 1 เขียนทศนิยมไว้บรรทัดละ 1 จ�านวน โดยให้จุดทศนิยมตรงกัน 1) ถ า จํ า นวนเต็ ม หน า ทศนิ ย มไม เ ท า กั น
0.12853 สามารถสรุปไดวา ทศนิยมใดมีคา มากกวา
0.1292 หรือมีคานอยกวากัน
ขั้นที่ 2 พิจารณาเลขโดดแต่ละคู่จากซ้ายไปขวา 2) ถ า จํ า นวนเต็ ม หน า ทศนิ ย มเท า กั น ให
0. 1 2 8 5 3 เปรียบเทียบเลขโดดคู่แรกที่ไม่เท่ากัน เปรี ย บเที ย บส ว นที่ เ ป น ทศนิ ย ม โดยมี
0. 1 2 9 2 จ�านวนใดที่เลขโดดมีค่ามากกว่าจะเป็น หลักการเปรียบเทียบ ดังนี้
ขั้นที่ 3 เปรียบเทียบจ�านวนทั้งสอง จ�านวนที่มากกว่า ขั้นที่ 1 เขียนจํานวนทั้งสองไวบรรทัดละ
จะได้ว่า 8 < 9 1 จํานวน โดยใหจุดทศนิยมของแตละ
ดังนั้น 0.12853 < 0.1292 ตอบ
จํานวนตรงกัน
ลองท�าดู ขั้นที่ 2 เปรียบเทียบเลขโดดในตําแหนง
จงเปรียบเทียบทศนิยมในแต่ละข้อต่อไปนี้ เดียวกันจากซายไปขวา เลขโดดคูแรกที่
1) 15.36 กับ 16.34 ไมเทากัน เลขโดดใดมีคา มากกวา ทศนิยม
2) 0.53478 กับ 0.53468 นั้นจะมีคามากกวา
5. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 25 ใน
2) กำรเปรียบเทียบทศนิยมทีเ่ ป็นจ�ำนวนลบ ให้พจิ ารณาค่าสัมบูรณ์ของทศนิยมทัง้ สอง หนังสือเรียน หนา 71 แสดงวิธกี ารเปรียบเทียบ
จ�านวน ดังนี้ เศษสวนของทศนิยม โดยบอกขั้นตอนในการ
(1) ทศนิยมใดมีคา่ สัมบูรณ์มากกว่า ทศนิยมนัน้ จะมีคา่ น้อยกว่าทศนิยมอีกจ�านวนหนึง่ เปรียบเทียบอยางละเอียดบนกระดาน จากนัน้
(2) ถ้าค่าสัมบูรณ์ของทั้งสองทศนิยมเท่ากัน แสดงว่าทศนิยมทั้งสองเท่ากัน ใหนักเรียนทําหัวขอ “ลองทําดู” เมื่อเสร็จแลว
ตัวอย่างที่ 26 ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
จงเปรียบเทียบทศนิยมในแต่ละข้อต่อไปนี้ 6. ครูอธิบายหลักการเปรียบเทียบทศนิยมที่เปน
1) -0.234 กับ -0.243 จํานวนลบ ดังนี้
2) -2.5734 กับ -2.5735 1) ทศนิยมใดทีม่ คี า สัมบูรณมากกวา ทศนิยม
นั้นจะมีคานอยกวา
วิธีท�ำ 1) ค่าสัมบูรณ์ของ -0.234 คือ 0.234
ค่าสัมบูรณ์ของ -0.243 คือ 0.243 2) ถ า ค า สั ม บู ร ณ ข องทศนิ ย มทั้ ง สองมี ค า
ซึ่งพบว่า 0.243 > 0.234 เทากัน แสดงวาทศนิยมทัง้ สองมีคา เทากัน
ดังนั้น -0.243 < -0.234
เขาใจ (Understanding)
1. ครูยกตัวอยางที่ 26 ขอ 1) ในหนังสือเรียน
71
หนา 71
T79
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
2. ครูยกตัวอยางที่ 26 ขอ 2) ในหนังสือเรียน 2) ค่าสัมบูรณ์ของ -2.5734 คือ 2.5734
หนา 72 จากนั้นใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ใน ค่าสัมบูรณ์ของ -2.5735 คือ 2.5735
หนังสือเรียน หนา 72 เมื่อเสร็จแลวครูและ ซึ่งพบว่า 2.5734 < 2.5735
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู” ดังนั้น -2.5734 > -2.5735 ตอบ
3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.2 ก ขอ 2.
แลวครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ ลองท�าดู
4. ครูกลาวถึงการเรียงลําดับทศนิยมวา สามารถ จงเปรียบเทียบทศนิยมในแต่ละข้อต่อไปนี้
ทําไดโดยใชการเปรียบเทียบทศนิยมทีละคู 1) -0.747 กับ -0.743
จากนั้ น ยกตั ว อย า งที่ 27 ในหนั ง สื อ เรี ย น 2) -7.3216 กับ -7.3246
หน า 72 บนกระดาน แล ว เปรี ย บเที ย บ
ทศนิยมทีละคู
ตัวอย่างที่ 27
5. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” จากนั้นครูและ
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู” จงเรียงล�ำดับจ�ำนวนต่อไปนี้จำกน้อยไปมำก -1.106, -1.116, -1.108
วิธีท�ำ เนื่องจาก 1.106 < 1.108 < 1.116
ลงมือทํา (Doing) จะได้ว่า -1.106 > -1.108 > -1.116
1. ครูแจกใบงานที่ 2.10 เรื่อง การเปรียบเทียบ ดังนั้น เขียนเรียงล�าดับจ�านวนจากน้อยไปมาก ได้ดังนี้
และเรียงลําดับทศนิยม ใหนกั เรียนทํา จากนัน้ -1.116, -1.108, -1.106 ตอบ
ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบใบงานที่
ลองท�าดู
2.10
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 2.2A ขอ 4.-6. จงเรียงล�ำดับจ�ำนวนต่อไปนี้จำกน้อยไปมำก
ในแบบฝ ก หั ด คณิ ต ศาสตร จากนั้ น ครู แ ละ 1) -0.07, -0.069, -0.073
นักเรียนรวมกันเฉลย Exercise 2.2A ขอ 4.-6. 2) -12.34, -21.53, -12.71
3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.2 ก ขอ 4.
เปนการบาน
72
T80
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
แบบฝึกทักษะ 2.2 ก นักเรียน ดังนี้
• การเปรี ย บเที ย บทศนิ ย มบนเส น จํ า นวน
ระดับ พื้นฐาน
มีหลักการอยางไร
1. จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปทศนิยม (แนวตอบ บนเสนจํานวน ทศนิยมทีอ่ ยูท างขวา
1) (8 × 1,000) + (6 × 1) + (3 × 101 ) + (1 × 1,000
1 ) จะมีคามากกวาทศนิยมที่อยูทางซายเสมอ)
2) (4 × 10,000) + (1 × 1,000) + (5 × 1001 ) + (7 × 1 ) + (3 × 1 ) • การเปรียบเทียบทศนิยมทีเ่ ปนบวก มีหลักการ
1,000 100,000 อยางไร
3) (3 × 100) + (2 × 10) + (6 × 101 ) + (4 × 10,000
1 ) + (5 × 1 )
100,000 (แนวตอบ ขั้ น ที่ 1 เขี ย นจํ า นวนทั้ ง สองไว
2. จงเติมเครื่องหมำย < หรือ > ลงใน ที่ก�ำหนดให้ เพื่อท�ำให้ประโยคเป็นจริง บรรทัดละ 1 จํานวน โดยใหจุดทศนิยมของ
แตละจํานวนตรงกัน
1) -5.072 -5.063
ขั้นที่ 2 เปรียบเทียบเลขโดดใน
2) -24.923 -24.913 ตําแหนงเดียวกันจากซายไปขวา เลขโดด
3) -38.69 -38.68 คูแรกที่ไมเทากัน เลขโดดใดมีคามากกวา
4) -101.01 -110.10 ทศนิยมนั้นจะมีคามากกวา)
• การเปรียบเทียบทศนิยมทีเ่ ปนลบ มีหลักการ
ระดับ กลาง
อยางไร
3. จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปทศนิยม (แนวตอบ 1. ทศนิ ย มใดที่ มี ค า สั ม บู ร ณ
1) (5 × 101 ) + (6 × 1,000
1 ) + (2 × 1 )
100,000 มากกวา ทศนิยมนั้นจะมีคานอยกวา
1 1
2) (7 × 10) + (2 × 100) + (3 × 1,000 1 ) + (6 × 1 ) 2. ถ า ค า สั ม บู ร ณ ข องทศนิ ย ม
10,000
ทั้งสองมีคาเทากัน แสดงวาทศนิยมทั้งสอง
4. จงเรียงล�ำดับจ�ำนวนต่อไปนี้จำกน้อยไปมำก มีคาเทากัน)
1) -0.0303, -0.003, -0.033
2) -18.72, -19.15, -91.24 ขัน้ ประเมิน
3) -0.6, -0.4, -0.7 1. ครูตรวจใบงานที่ 2.10
4) -0.04, -0.045, -0.054 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.2 ก
5) -15.62, -15.79, -15.74 3. ครูตรวจ Exercise 2.2A
6) -28.73, -28.74, -28.72 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
6. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
73
T81
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T82
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
(3) กำรบวกทศนิยมทีเ่ ป็นจ�ำนวนบวกด้วยทศนิยมทีเ่ ป็นจ�ำนวนลบหรือกำรบวกทศนิยม 5. ครูกลาวถึงหลักการบวกทศนิยมที่เปนบวก
ที่เป็นจ�ำนวนลบด้วยทศนิยมที่เป็นจ�ำนวนบวก ดวยทศนิยมที่เปนลบ หรือการบวกทศนิยม
การบวกทศนิยมในหัวข้อนี้ ใช้หลักการเดียวกับการหาผลบวกของจ�านวนเต็ม ที่เปนลบดวยทศนิยมที่เปนบวกวา “ใหนํา
กล่าวคือ การบวกทศนิยมทีเ่ ป็นจ�านวนบวกด้วยทศนิยมทีเ่ ป็นจ�านวนลบหรือการบวกทศนิยมทีเ่ ป็น ทศนิ ย มที่ มี ค า สั ม บู ร ณ ม ากกว า ลบด ว ย
จ�านวนลบด้วยทศนิยมที่เป็นจ�านวนบวก ให้น�าทศนิยมที่มีค่าสัมบูรณ์มากกว่าลบด้วยทศนิยมที่มี ทศนิยมที่มีคาสัมบูรณนอยกวา แลวเขียน
ค่าสัมบูรณ์น้อยกว่า แล้วเขียนผลลัพธ์ตามทศนิยมที่มีค่าสัมบูรณ์มากกว่า ผลลัพธตามทศนิยมที่มีคาสัมบูรณมากกวา”
6. ครูยกตัวอยางที่ 30 ขอ 1) ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 30 หนา 75 บนกระดาน
จงหำผลบวกของทศนิยมในแต่ละข้อต่อไปนี้ 7. ครูอธิบายเพิม่ เติมวา “หลังจากนําคาสัมบูรณ
1) 29.754 + (-12.61) ของ 29.754 ลบดวยคาสัมบูรณของ -12.61
2) (-29.754) + 12.61 จะไดผลลัพธเทากับ 17.144” จากนั้นให
นั ก เรี ย นตรวจสอบผลบวกที่ ไ ด ใ นหนั ง สื อ
วิธีท�ำ 1) เนื่องจาก ∙29.754∙ = 29.754 และ ∙-12.61∙ = 12.61
เรียน หนา 75
29.754
- 8. ครูยกตัวอยางที่ 30 ขอ 2) ในหนังสือเรียน
12.610
หนา 75 บนกระดาน
17.144
9. ครูอธิบายเพิม่ เติมวา “หลังจากนําคาสัมบูรณ
ดังนั้น 29.754 + (-12.61) = 17.144 ของ -29.754 ลบดวยคาสัมบูรณของ 12.61
2) เนื่องจาก ∙-29.754∙ = 29.754 และ ∙12.61∙ = 12.61 แลวเขียนผลลัพธที่ไดเปนจํานวนลบ จะได
29.754 ผลลัพธเปน -17.144” จากนั้นใหนักเรียน
-
12.610 ตรวจสอบผลบวกทีไ่ ดในหนังสือเรียน หนา 75
17.144 10. ครูใหนักเรียนสังเกตเครื่องหมายของผลลัพธ
ดังนั้น 12.61 + (-29.754) = -17.144 ตอบ เครื่องหมายของตัวตั้ง และเครื่องหมายของ
ตั ว บวก จากตั ว อย า งที่ ค รู แ สดงวิ ธีทํ า ว า
ลองท�าดู มีความสัมพันธกันอยางไร แลวใหนักเรียน
จงหำผลบวกของทศนิยมในแต่ละข้อต่อไปนี้ สงตัวแทนมา 3 คน ออกมาแสดงความคิดเห็น
1) (-17.65) + 86.723 หนาหองวาเหมือนหรือตางกันอยางไร
2) (-25.762) + 18.37 ( แนวตอบ ผลลั พ ธ ที่ ไ ด จ ะมี เ ครื่ อ งหมาย
เหมือนกับทศนิยมที่มีคาสัมบูรณมากกวา)
11. ใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” จากนั้นครูและ
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
75
T83
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
1. ครูสรุปเปนกรณีทั่วไปสําหรับการบวกทศนิยม ¤³Ôµน‹ารÙ้
ที่เปนบวกดวยทศนิยมที่เปนลบ หรือการบวก
ให้ a, b แทนทศนิยมบวกใด ๆ แล้ว a + (-b) = a - b เมื่อ a ≥ b
ทศนิ ย มที่ เ ป น ลบด ว ยทศนิ ย มที่ เ ป น บวกดั ง a + (-b) = -(b - a) เมื่อ b > a
ในกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน หนา 76 (-a) + b = b - a เมื่อ b > a
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.2 ข ขอ 1. (-a) + b = -(a - b) เมื่อ a ≥ b
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
2) กำรลบทศนิยม
3. ครูแจกใบงานที่ 2.11 เรื่อง การบวกทศนิยม
ใหนักเรียนทําเปนการบาน การหาผลลบของทศนิยมใด ๆ ใช้ข้อตกลงเดียวกับการหาผลลบของจ�านวนเต็ม คือ
ตัวตั้ง - ตัวลบ = ตัวตั้ง + จ�านวนตรงข้ามของตัวลบ
รู้ (Knowing)
1. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบใบงานที่ ตัวอย่างที่ 31
T84
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
ตัวอย่างที่ 32 1. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.2 ข ขอ 2.
จงหำผลลัพธ์ของ (51.4 + 325.87) - (-248.71) และขอ 5. จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน
วิธีท�ำ (51.4 + 325.87) - (-248.71) = (51.4 + 325.87) + 248.71 เฉลยคําตอบ
51.40 2. ครูแจกใบงานที่ 2.12 เรื่อง การลบทศนิยม
+ ¤³Ôµน‹ารÙ้ ใหนักเรียนทําเปนการบาน
325.87
377.27 ให้ a, b แทนทศนิยมบวกใด ๆ
248.71
+ แล้ว a - b = a + (-b) ขัน้ สรุป
625.98 ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
ดังนั้น (51.4 + 325.87) - (-248.71) = 625.98 ตอบ นักเรียน ดังนี้
• การบวกและการลบทศนิ ย ม มี ห ลั ก การ
ลองท�าดู สําคัญอยางไร
จงหำผลลัพธ์ของ (42.08 + 349.23) - (-193.47) (แนวตอบ ตองตั้งจุดทศนิยมของตัวตั้งและ
ตั ว บวกหรื อ ตั ว ลบให ต รงกั น จากนั้ น นํ า
3) กำรคูณทศนิยม ทศนิยมที่อยูตําแหนงเดียวกันมาบวกหรือ
(1) กำรคูณทศนิยมที่เป็นจ�ำนวนบวก ลบกัน)
เนือ่ งจากเศษส่วนและทศนิยมมีความสัมพันธ์กนั ให้นกั เรียนพิจารณาการหาผลคูณ • ข อ ตกลงของการลบทศนิ ย มโดยอาศั ย
ของ 0.2 และ 0.13 ดังนี้ การบวก เปนอยางไร
0.2 × 0.13 = 102 × 100
13 (แนวตอบ ตัวตั้ง - ตัวลบ = ตัวตั้ง + จํานวน
26
= 1,000 ตรงขามของตัวลบ)
= 0.026 ขัน้ ประเมิน
จากการคูณทศนิยมข้างต้น จะเห็นว่า 1. ครูตรวจใบงานที่ 2.11-2.12
จ�านวนต�าแหน่งทศนิยมของตัวตั้ง 0.2 เป็น 1 ต�าแหน่ง 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.2 ข
จ�านวนต�าแหน่งทศนิยมของตัวคูณ 0.13 เป็น 2 ต�าแหน่ง 3. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
จ�านวนต�าแหน่งทศนิยมของผลคูณ 0.026 เป็น 3 ต�าแหน่ง
4. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
นักเรียนจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างจ�านวนต�าแหน่งทศนิยมของตัวตั้ง ตัวคูณ
และผลคูณ ดังนี้ ขัน้ นํา
จ�านวนต�าแหน่งทศนิยมของผลคูณ เท่ากับผลบวกของจ�านวนต�าแหน่งทศนิยมของ การใช้ความรูเ้ ดิมฯ (Prior Knowledge)
ตัวตั้งกับตัวคูณ 1. ครูทบทวนการคูณทศนิยมดวยทศนิยม
2. จากนัน้ ครูอธิบายวา “จํานวนตําแหนงทศนิยม
77 ของผลคูณ เทากับ ผลบวกของจํานวนตําแหนง
ทศนิยมของตัวตั้งกับตัวคูณ”
T85
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1. ครูอธิบายวิธีการหาผลคูณของทศนิยมที่เปน การหาผลคูณของทศนิยมที่เป็นจ�านวนบวก มีวิธีดังนี้
บวก ดังนี้ 1. หาผลคูณของทศนิยมที่ก�าหนดให้ เช่นเดียวกับการหาผลคูณของจ�านวนเต็มโดยที่ยัง
1) หาผลคูณของทศนิยม เชนเดียวกับการ ไม่ใส่จุดทศนิยม
หาผลคูณของจํานวนเต็ม โดยที่ยังไมใส 2. ใส่จดุ ทศนิยมในผลคูณ โดยให้จา� นวนต�าแหน่งทศนิยมเท่ากับผลบวกของจ�านวนต�าแหน่ง
จุดทศนิยม ทศนิยมของตัวตั้งกับตัวคูณ ซึ่งผลคูณที่ได้เป็นจ�านวนบวก
2) ใส จุ ด ทศนิ ย มในผลคู ณ โดยให จํ า นวน
ตําแหนงทศนิยมเทากับผลบวกของจํานวน ตัวอย่างที่ 33
78
T86
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ตัวอย่างที่ 34 5. ครูยกตัวอยางที่ 34 ในหนังสือเรียน หนา 79
จงหำผลคูณของ (-2.39) × (-0.012) บนกระดาน
วิธีท�ำ เนื่องจาก ∙-2.39∙ = 2.39 และ ∙-0.012∙ = 0.012 6. ครูสรุปเปนกรณีทั่วไปสําหรับการคูณทศนิยม
239 × ¤³Ôµน‹ารÙ้ ที่เปนจํานวนลบดวยทศนิยมที่เปนจํานวนลบ
212 ให้ a, b แทนทศนิยมบวกใด ๆ ดังในกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน หนา
478 แล้ว (-a) × (-b) = a × b 79 แลวใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” จากนั้นครู
2399 และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
2868 7. ครูใหนกั เรียนศึกษาการคูณทศนิยมทีเ่ ปนบวก
ดังนั้น (-2.39) × (-0.012) = 0.02868 ตอบ ดวยทศนิยมที่เปนลบ หรือการคูณทศนิยม
ลองท�าดู
ที่เปนลบดวยทศนิยมที่เปนบวกจากตัวอยาง
ที่ 35 ขอ 1) ในหนังสือเรียน หนา 79
จงหำผลคูณของ (-5.36) × (-0.021)
8. ครูสรุปเปนกรณีท่ัวไปสําหรับการคูณทศนิยม
(3) กำรคูณทศนิยมที่เป็นจ�ำนวนบวกด้วยทศนิยมที่เป็นจ�ำนวนลบหรือกำรคูณทศนิยม ทีเ่ ปนจํานวนบวกดวยทศนิยมทีเ่ ปนจํานวนลบ
ที่เป็นจ�ำนวนลบด้วยทศนิยมที่เป็นจ�ำนวนบวก หรื อ การคู ณ ทศนิ ย มที่ เ ป น จํ า นวนลบด ว ย
การคูณทศนิยมในหัวข้อนี้ ใช้หลักการเดียวกับการคูณจ�านวนเต็ม ดังนี้ ทศนิยมที่เปนจํานวนบวกดังในกรอบ “คณิต
การคูณทศนิยมที่เป็นจ�านวนบวกด้วยทศนิยมที่เป็นจ�านวนลบหรือการคูณทศนิยม นารู” ในหนังสือเรียน หนา 79
ที่เป็นจ�านวนลบด้วยทศนิยมที่เป็นจ�านวนบวก ให้น�าค่าสัมบูรณ์ของทศนิยมทั้งสอง
มาคูณกัน แล้วเขียนผลคูณเป็นจ�านวนลบ ใส่ต�าแหน่งจุดทศนิยม โดยให้จ�านวน
ต�าแหน่งทศนิยมของผลคูณเท่ากับผลบวกของจ�านวนต�าแหน่งทศนิยมของตัวตั้งกับ
ตัวคูณทศนิยมซึ่งนับจากขวาไปซ้าย
ตัวอย่างที่ 35
จงหำผลคูณของทศนิยมในแต่ละข้อต่อไปนี้
1) (-0.051) × 0.23 2) 2.96 × (-0.014)
วิธีท�ำ 1) เนื่องจาก ∙-0.051∙ = 0.051 และ ∙0.23∙ = 0.23
51 × ¤³Ôµน‹ารÙ้
23 ให้ a, b แทนทศนิยมบวกใด ๆ
153 แล้ว (-a) × b = -(a × b)
1029 และ a × (-b) = -(a × b)
1173
ดังนั้น (-0.051) × 0.23 = -0.01173 79
T87
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
9. ครูใหนกั เรียนศึกษาการคูณทศนิยมทีเ่ ปนบวก 2) เนื่องจาก ∙2.96∙ = 2.96 และ ∙-0.014∙ = 0.014
ดวยทศนิยมที่เปนลบ หรือการคูณทศนิยม 296 ×
ที่เปนลบดวยทศนิยมที่เปนบวกจากตัวอยางที่ 14
35 ขอ 2) ในหนังสือเรียน หนา 80 1184
2969
เข้าใจ (Understanding) 4144
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ดังนั้น 2.96 × (-0.014) = -0.04144 ตอบ
หนา 80 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย ลองท�าดู
คําตอบ จงหำผลคูณของทศนิยมในแต่ละข้อต่อไปนี้
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.2 ข ขอ 3. 1) (-0.049) × 0.34
แลวครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 2) 4.95 × (-0.018)
3. ครูแจกใบงานที่ 2.13 เรื่อง การคูณทศนิยม
ใหนักเรียนทําเปนการบาน 4) กำรหำรทศนิยม
(1) กำรหำรทศนิยมที่เป็นจ�ำนวนบวก
รู้ (Knowing) ในระดับชัน้ ประถมศึกษานักเรียนได้เรียนรูก้ ารหารทศนิยมทีเ่ ป็นบวกด้วยจ�านวนนับ
1. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบใบงานที่ และการหารทศนิยมที่เป็นจ�านวนบวกด้วยทศนิยมที่เป็นจ�านวนบวกมาแล้ว ซึ่งผลหารที่ได้จะเป็น
2.13 เรื่อง การคูณทศนิยม ทศนิยมหรือจ�านวนเต็มบวก ดังต่อไปนี้
2. ครูกลาวถึงการหารทศนิยมดวยจํานวนนับที่ กำรหำรทศนิยมด้วยจ�ำนวนนับ
นักเรียนไดเรียนในระดับประถมแลววา “ใชวิธี การหารทศนิยมที่เป็นจ�านวนบวกด้วยจ�านวนนับโดยการตั้งหาร นิยมเขียนจุดทศนิยมของ
ตัง้ หารยาวหรือหารสัน้ และถาการหารไมลงตัว ตัวตั้งและผลหารเท่านั้น โดยต�าแหน่งของจุดทศนิยมของผลหารจะอยู่ตรงกับต�าแหน่งจุดทศนิยม
มีเศษเหลือใหใสจุดทศนิยมไวทายตัวตั้งแลว ของตัวตั้งเสมอ ส่วนจุดทศนิยมอื่น ๆ อาจไม่เขียนก็ได้ เช่น การหาผลหาร 363.15 ÷ 15 ดังนี้
เติม 0 หลังจุดทศนิยมนั้น (เติม 0 กี่ตัวก็ได 24.21
15 363.15
เพราะไมทําใหคาของทศนิยมเปลี่ยนแปลง) 30
แลวจึงทําการหารตอไปจนถึงตําแหนงของ 63
ทศนิยมที่ตองการ” จากนั้นใหนักเรียนศึกษา 60
การหารทศนิยมดวยจํานวนนับในหนังสือเรียน 31
30
หนา 80 0 15
0 15
0
ดังนั้น 363.15 ÷ 15 = 24.21
80
T88
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
ในบางกรณีทกี่ ารหารมีเศษทีย่ งั ไม่เป็นศูนย์ ให้เติมศูนย์ทตี่ วั ตัง้ แล้วหารต่อไปจนเศษเป็นศูนย์ 3. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 36 ในหนังสือ
ดังตัวอย่างต่อไปนี้ เรียน หนา 81 แลวทํา “ลองทําดู” จากนั้นครู
ตัวอย่างที่ 36 และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ และครูถาม
จงหำผลหำรของ 35.01 ÷ 18 คําถาม ดังนี้
1.945 • การทํ า ตั ว หารให เ ป น จํ า นวนเต็ ม ทํ า ได
วิธีท�ำ 18 35.010 อยางไร
18 (แนวตอบ ถาตัวหารเปนทศนิยมหนึง่ ตําแหนง
17 0
16 2 ใหนํา 10 คูณที่ตัวหาร
81 ถาตัวหารเปนทศนิยมสองตําแหนง
72 ใหนํา 100 คูณที่ตัวหาร
90
90 ถาตัวหารเปนทศนิยมสามตําแหนง
0 ใหนํา 1,000 คูณที่ตัวหาร เปนเชนนี้ไป
ดังนั้น 35.01 ÷ 18 = 1.945 ตอบ เรื่อยๆ)
4. ครูอธิบายวิธีการหารทศนิยมที่เปนบวกดวย
ลองท�าดู
ทศนิ ย มที่ เ ป น บวก “ต อ งทํ า ตั ว หารให เ ป น
จงหำผลหำรของ 31.839 ÷ 15
จํานวนนับกอน โดยนํา 10, 100, 1000, …
กำรหำรทศนิยมด้วยทศนิยม คูณทั้งตัวตั้งและตัวหาร แลวใชหลักการหาร
การหารทศนิยมที่เป็นจ�านวนบวกด้วยทศนิยมที่เป็นจ�านวนบวก ต้องท�าตัวหารให้เป็น ทศนิยมดวยจํานวนนับ”
จ�านวนนับก่อน โดยน�า 10, 100, 1000, ... คูณทัง้ ตัวตัง้ และตัวหาร แล้วใช้หลักการหารทศนิยม 5. ครูยกตัวอยางที่ 37 ในหนังสือเรียน หนา 81
ด้วยจ�านวนนับ ซึง่ ผลหารที่ได้จะเป็นจ�านวนบวก ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่างที่ 37
T89
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
6. ครูยกตัวอยางที่ 38 ในหนังสือเรียน หนา 82 ลองท�าดู
บนกระดาน จงหำผลหำรของ 34.32 ÷ 0.24
7. ครูสรุปวา “การหารทศนิยมที่เปนจํานวนบวก
ดวยทศนิยมที่เปนจํานวนบวก จะไดผลหาร
ตัวอย่างที่ 38
เปนจํานวนบวก”
8. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” (ทายตัวอยางที่ จงหำผลหำรของ 2.975 ÷ 8.5
37 และ 38) ในหนังสือเรียน หนา 82 จากนั้น วิธีท�ำ 2.975 × 10
8.5 × 10 = 85
29.75
ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
0.35
85 29.75
255
425
425
0
ดังนั้น 2.975 ÷ 8.5 = 0.35 ตอบ
ลองท�าดู
จงหำผลหำรของ 6.279 ÷ 0.23
(2) กำรหำรทศนิยมที่เป็นจ�ำนวนลบด้วยทศนิยมที่เป็นจ�ำนวนลบ
การหารทศนิยมที่เป็นจ�านวนลบด้วยทศนิยมที่เป็นจ�านวนลบ ต้องท�าตัวหารให้
เป็นจ�านวนนับก่อน แล้วใช้หลักการหารทศนิยมด้วยจ�านวนนับ ดังนี้
การหารทศนิยมที่เป็นจ�านวนลบด้วยทศนิยมที่เป็นจ�านวนลบ ให้น�าค่าสัมบูรณ์ของ
ตัวตัง้ หารด้วยค่าสัมบูรณ์ของตัวหาร แล้วเขียนผลหารเป็นจ�านวนบวก และใส่จดุ ทศนิยม
ที่ผลหารให้ตรงกับจุดทศนิยมของตัวตั้ง
82
T90
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
ตัวอย่างที่ 39 9. ครูยกตัวอยางที่ 39 ในหนังสือเรียน หนา 83
จงหำผลหำรของ (-3.598) ÷ (-0.07) บนกระดาน แลวอธิบายวา “กอนที่จะทํา
ตัวสวนใหเปนจํานวนนับเพื่อตั้งหาร ใหหา
วิธีท�ำ (-3.598) ÷ (-0.07) = ∙-3.598∙
∙-0.07∙ คาสัมบูรณของทศนิยมที่เปนจํานวนลบกอน
= 3.598
0.07 ¤³Ôµน‹ารÙ้ เพือ่ ความสะดวกในการหาผลหาร” พรอมกับ
ให้ a, b แทนทศนิยมบวกใด ๆ ถามคําถาม ดังนี้
= 3.598 × 100
0.07 × 100 แล้ว (-a) ÷ (-b) = a ÷ b • คาสัมบูรณของ -3.598 และคาสัมบูรณ
= 359.8 ของ -0.07 เทากับเทาไร
7 (แนวตอบ -3.598 = 3.598 และ -0.07
51.4
7 359.8 = 0.07)
35 • ตัวหารเปนทศนิยมกี่ตําแหนง
09 (แนวตอบ 2 ตําแหนง)
7 • ทําตัวหารใหเปนจํานวนนับไดอยางไร
28 (แนวตอบ นํา 100 คูณทั้งตัวตั้งและตัวหาร)
28
จากนั้ น ครู แ สดงวิ ธีทํ า อย า งละเอี ย ดบน
0
กระดาน แลวสรุปวา “การหารทศนิยมที่เปน
ดังนั้น (-3.598) ÷ (-0.07) = 51.4 ตอบ
จํานวนลบดวยทศนิยมทีเ่ ปนจํานวนลบ จะได
ลองท�าดู
ผลหารเปนจํานวนบวก”
จงหำผลหำรของทศนิยมในแต่ละข้อต่อไปนี้ 10. ครูสรุปเปนกรณีทวั่ ไปสําหรับการหารทศนิยม
1) (-2.776) ÷ (-0.04) ที่เปนจํานวนลบดวยทศนิยมที่เปนจํานวนลบ
2) (-7.845) ÷ (-0.15) ดั ง ในกรอบ “คณิ ต น า รู ” ในหนั ง สื อ เรี ย น
หน า 83 แล ว ให นั ก เรี ย นทํ า “ลองทํ า ดู ”
(3) กำรหำรทศนิยมทีเ่ ป็นจ�ำนวนบวกด้วยทศนิยมทีเ่ ป็นจ�ำนวนลบหรือกำรหำรทศนิยม จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ที่เป็นจ�ำนวนลบด้วยทศนิยมที่เป็นจ�ำนวนบวก
การหารทศนิยมในหัวข้อนี้ ต้องท�าตัวหารให้เป็นจ�านวนเต็มก่อน แล้วใช้หลัก
การหารทศนิยมด้วยจ�านวนนับ ดังนี้
83
T91
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
11. ครูใหนกั เรียนศึกษาการหารทศนิยมทีเ่ ปนลบ
การหารทศนิยมที่เป็นจ�านวนบวกด้วยทศนิยมที่เป็นจ�านวนลบ หรือการหารทศนิยม
ดวยทศนิยมที่เปนบวกจากตัวอยางที่ 40 ใน ที่เป็นจ�านวนลบด้วยทศนิยมที่เป็นจ�านวนบวก ให้น�าค่าสัมบูรณ์ของตัวตั้งหารด้วย
หนังสือเรียน หนา 84 จากนัน้ ครูและนักเรียน ค่าสัมบูรณ์ของตัวหาร แล้วเขียนผลหารเป็นจ�านวนลบ และใส่จุดทศนิยมที่ผลหาร
รวมกันสรุปเปนกรณีทั่วไปสําหรับการหาร ให้ตรงกับจุดทศนิยมของตัวตั้ง
ทศนิยมที่เปนลบดวยทศนิยมที่เปนบวกดัง
ในกรอบ “คณิตนารู” ตัวอย่างที่ 40
12. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” จากนั้นครูและ จงหำผลหำรของ (-0.299) ÷ 1.3
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 1
วิธีท�ำ (-0.299) ÷ 1.3 = ∙-0.299∙
13. ครูใหนักเรียนศึกษาการหารทศนิยมที่เปน ∙1.3∙
บวกดวยทศนิยมที่เปนลบจากตัวอยางที่ 41 = 0.299 × 10
1.3 × 10 ¤³Ôµน‹ารÙ้
ในหนังสือเรียน หนา 84-85 จากนั้นครูและ ให้ a, b แทนทศนิยมบวกใด ๆ
นักเรียนรวมกันสรุปเปนกรณีทั่วไปสําหรับ = 2.99
13 แล้ว (-a) ÷ b = -(a ÷ b)
การหารทศนิ ย มที่ เ ป น บวกด ว ยทศนิ ย มที่ 0.23
เปนลบดังในกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือ 13 2.99
26
เรียน หนา 85 39
39
0
ดังนั้น (-0.299) ÷ 1.3 = -0.23 ตอบ
ลองท�าดู
จงหำผลหำรของ (-0.594) ÷ 1.8
ตัวอย่างที่ 41
= 2.208 × 100
0.12 × 100
= 220.8
12
84
T92
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
18.4 1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” (ทายตัวอยาง
12 220.8 ¤³Ôµน‹ารÙ้ ที่ 41) ในหนังสือเรียน หนา 85 จากนั้นครู
12 ให้ a, b แทนทศนิยมบวกใด ๆ และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
100 แล้ว a ÷ (-b) = -(a ÷ b)
996 2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.2 ข ขอ 4.
48 และใบงานที่ 2.14 เรื่ อ ง การหารทศนิ ย ม
48 เปนการบาน
0 3. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบแบบฝก
ดังนั้น 2.208 ÷ (-0.12) = -18.4 ตอบ ทักษะ 2.2 ข ขอ 4. และใบงานที่ 2.14
4. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 42 ใน
ลองท�าดู หนังสือเรียน หนา 85 แลวแลกเปลี่ยนความรู
จงหำผลหำรของทศนิยมในแต่ละข้อต่อไปนี้ กับคูของตนเอง
1) 5.904 ÷ (-0.72) 2) 7.812 ÷ (-0.63) 5. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” จากนั้นครูและ
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
ตัวอย่างที่ 42
= (-0.35) × 124
(-14) -0.35 ได้ผลหารเป็นจ�านวนบวก
-14
= 0.35 14× 124
0.35 × 124 62
= 0.35 7× 62 14 7
0.05
= 0.05 × 62 0.35 × 62
71
= 3.1
ดังนั้น (-0.35) × 12.4
(-1.4) = 3.1 ตอบ
ลองท�าดู
85
T93
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
1. ครูใหนกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 2.2 ข ขอ 6.-8. แบบฝึกทักษะ 2.2 ข
เปนการบาน
ระดับ พื้นฐาน
2. ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้ 1. จงหาผลบวกของทศนิยมในแต่ละข้อต่อไปนี้
- ใหแตละกลุมสงตัวแทนมาตกลงกันวาจะ 1) (-18.76) + (-13.23) 2) (-29.91) + (-21.27)
เลือกแกปญหาแบบฝกทักษะ 2.2 ข ขอ 9. 3) (-15.67) + 17.23 4) 28.56 + (-38.78)
หรือขอ 10. 2. จงหาผลลบของทศนิยมในแต่ละข้อต่อไปนี้
- นั กเรี ยนแต ล ะคนวิ เ คราะห ว า ป ญ หาการ 1) 68.49 - (-27.835) 2) (-43.781) - (-16.93)
หารทศนิยมทีเ่ ปนบวกดวยทศนิยมทีเ่ ปนลบ 3) (-39.72) - 24.031 4) 25.38 - 44.297
หรือการหารทศนิยมที่เปนลบดวยทศนิยม 3. จงหาผลคูณของทศนิยมในแต่ละข้อต่อไปนี้
ทีเ่ ปนบวก จะไดผลหารเปนจํานวนบวกหรือ 1) (-17.4) × (-0.96) 2) (-4.18) × (-6.43)
ลบทีก่ ลุม ของตนเองเลือกมีวธิ กี ารแกอยางไร 3) (-7.421) × 0.56 4) 6.72 × (-9.03)
จากนั้นแลกเปลี่ยนคําตอบกันภายในกลุม
4. จงหาผลหารของทศนิยมในแต่ละข้อต่อไปนี้
สนทนาซักถามจนเปนที่เขาใจรวมกัน
- นักเรียนแตละคนเขียนขั้นตอนการแสดงวิธี 1) (-0.3375) ÷ (-0.25) 2) (-0.5451) ÷ (-0.023)
คิดของกลุมตนเองอยางละเอียดลงในสมุด 3) (-9.13) ÷ (-1.1) 4) (-10.521) ÷ (-2.1)
- ใหตัวแทนกลุมมานําเสนอคําตอบหนาชั้น ระดับ กลาง
เรียน โดยเพื่อนกลุมที่เหลือคอยตรวจสอบ 5. จงหาผลลัพธ์ในแต่ละข้อต่อไปนี้
ความถูกตอง 1) (2.47 - 7.49) - (1.14 + 1.59) 2) [(-8.87) + 5.45] - [(-2.11) + 1.67]
3) (75.68 - 16.49) - (-11.73) 4) [(-5.76) + 12.77] - [(-14.65) - 13.21]
ขัน้ สรุป 5) [(-79.71) + 24.45] - (-17.68) 6) (-23.45) - [(-11.15) - 37.99]
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ 6. จงหาผลลัพธ์ในแต่ละข้อต่อไปนี้
นักเรียน ดังนี้ 1) (2.8 × 4.6) ÷ (-2.3) 2) [0.5 × (-3.5)] ÷ 3.2
• การคู ณ ทศนิ ย มที่ เ ป น ลบด ว ยทศนิ ย มที่ 3) [(-6.25) × 5.5] ÷ 2.5 4) [(-7.49) × (-3)] ÷ 9.6
เปนลบ จะไดผลคูณเปนจํานวนบวกหรือลบ 5) [13.78 ÷ (-0.52)] × (-0.65) 6) [(-13.56) ÷ (-2.4)] × (0.72)
(แนวตอบ ไดผลคูณเปนจํานวนบวก) 7. จงหาผลลัพธ์ในแต่ละข้อต่อไปนี้
• หลักการหารทศนิยมดวยทศนิยม คืออะไร
1) 4.075 + (4.05 × 0.8)
(แนวตอบ ตองทําตัวหารใหเปนจํานวนนับ
2) [(-5.2) × 3.08] - 0.42
กอน โดยนํา 10, 100, 1000, … คูณทั้ง 3) (-8.5) - (6.2 ÷ 2.5)
ตัวตั้งและตัวหาร)
• การหารทศนิ ย มที่ เ ป น ลบด ว ยทศนิ ย มที่ 86
เปนลบ จะไดผลหารเปนจํานวนบวกหรือลบ
(แนวตอบ ไดผลหารเปนจํานวนบวก)
T94
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
1. ครูตรวจใบงานที่ 2.13-2.14
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.2 ข
8. จงหาผลลัพธ์ในแต่ละข้อต่อไปนี้ 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
1) (8.125 × 1.2) - (3.12 ÷ 0.6) 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
2) (9.018 - 15.776) + (1.88 × 7) 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
3) [(-1.63) × 2.5] + [3.24 ÷ (-0.8)] 6. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
4) [(-0.322) ÷ 0.02] - [(-5.2) × 3.08]
ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)
ระดับ ท้าทาย
การใชความรูเ ดิมฯ (Prior Knowledge)
9. ถ้าน�าทศนิยมหนึ่งจ�านวนมาบวกกับ (-0.05) ÷ (-0.08) แล้วได้ผลลัพธ์เป็นจ�านวนเต็มลบ
1. ครูกลาววา “เราทราบมาแลววาเศษสวนที่มี
ที่มีค่ามากที่สุด อยากทราบว่าทศนิยมที่น�ามาบวกเท่ากับเท่าไร
ตัวสวนเปน 10, 100, 1000, … สามารถเขียน
10. จงหาว่า (-0.875) × 3.4 บวกหรือลบกับ (-1.75) × (-1.8) แล้วได้ผลลัพธ์เป็นจ�านวนบวก ใหอยูในรูปทศนิยมหนึ่งตําแหนง ทศนิยมสอง
และมีผลลัพธ์เท่ากับเท่าไร ตําแหนง ทศนิยมสามตําแหนง ... ได และใน
ทํานองเดียวกัน เศษสวนที่มีตัวสวนไมเทากับ
4. ความสัมพันธ์ของเศษส่วนกับทศนิยม 10, 100, 1000, … ก็สามารถเขียนใหอยูในรูป
นักเรียนทราบมาแล้วว่า เศษส่วนที่มีตัวส่วนเป็น 10, 100, 1000, ... สามารถเขียนให้อยู่ ทศนิยมไดเชนเดียวกัน”
ในรูปทศนิยมได้ดังตัวอย่างที่กล่าวไปแล้วในตอนต้นของเรื่องทศนิยม และในท� านองเดียวกัน 2. ครูทบทวนการหาเศษสวนใหเทากับเศษสวน
เศษส่วนทีม่ ตี วั ส่วนไม่เท่ากับ 10, 100, 1000, ... ก็สามารถเขียนให้อยู่ในรูปทศนิยมได้เช่นเดียวกัน ที่กําหนดให
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่างที่ 43
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
จงเขียนเศษส่วนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปทศนิยม
1. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 43 ขอ 1) ใน
1) - 25 2) -2 34
หนังสือเรียน หนา 87
วิธีท�ำ 1) - 25 = - ( 25 ×× 22 )
= - 104
= -0.4
ดังนั้น - 25 = -0.4
87
T95
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 43 ขอ 2) ใน 2) -2 34 = - 114
หนังสือเรียน หนา 88 จากนั้นทํา “ลองทําดู” = - 114 ×× 2525
ในหนังสือเรียน หนา 88 แลวครูและนักเรียน
รวมกันเฉลยคําตอบ = - 275
100
3. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 44 ในหนังสือ = -2.75
เรียน หนา 88 จากนั้นใหนักเรียนทํา “ลอง ดังนั้น -2 34 = -2.75 ตอบ
ทําดู” แลวครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ลองท�าดู
จงเขียนเศษส่วนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปทศนิยม
1) - 12
25 2) -3 25
จงเขียน - 28
16 ให้อยู่ในรูปทศนิยม
วิธีท�ำ - 28
16 เขียนให้อยู่ในรูปทศนิยมได้ โดยน�า 16 ไปหาร 28 ดังนี้
1.75
16 28.00
16
12 0
11 2
80
80
0
28
จะได้ว่า 16 = 1.75
ดังนั้น - 28
16 = -1.75 ตอบ
ลองท�าดู
จงเขียน - 87
40 ให้อยู่ในรูปทศนิยม
88
T96
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ตัวอย่างที่ 45 4. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 45 ขอ 1)-2)
จงเขียนทศนิยมต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปเศษส่วน ในหนังสือเรียน หนา 89 จากนั้นทํา “ลอง
1) -3.8 2) -4.13 ทําดู” ในหนังสือเรียน หนา 89 แลวครูและ
8 นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
วิธีท�ำ 1) -3.8 = - 3810 = -3 10
2) -4.13 = - 413 13 เข้าใจ (Understanding)
100 = -4 100 ตอบ
1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาการเขียนเศษสวน 17 9
ลองท�าดู
ในรูปทศนิยม ในหนังสือเรียน หนา 89 แลว
จงเขียนทศนิยมต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปเศษส่วน แลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเองจากนั้นครู
1) -4.75 2) -6.254
ถามคําถาม ดังนี้
• ทศนิยม 1.888… เรียกวาอะไร แลวถาเปน
ให้นักเรียนพิจารณาการเขียนเศษส่วน เช่น 179 ในรูปทศนิยมต่อไปนี้
ทศนิยมซํ้าคือเลขใด
1.888… (แนวตอบ ทศนิยมซํ้า, ซํ้าเลข 8)
9 17.000
9 2. ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางทศนิยมซํ้า
80 อืน่ ๆ ในหนังสือเรียน หนา 90 แลวแลกเปลีย่ น
72 ความรูกับคูของตนเอง
การหารแต่ละครั้ง 80
เหลือเศษ 8 3. ครูกลาวสรุปวา “เศษสวนทีต่ วั เศษและตัวสวน
72 เปนจํานวนเต็ม ไมวาจะเปนจํานวนลบหรือ
80
72 จํ า นวนบวก ก็ ส ามารถเขี ย นให อ ยู ใ นรู ป
8 ทศนิยมซํ้าได และในทางกลับกันก็สามารถ
เขียนทศนิยมซํ้าศูนยใหอยูในรูปเศษสวนได”
นักเรียนจะพบว่า การหารที่ได้นั้นไม่ลงตัวและไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งมีเศษจากการหารเท่ากับ
8 ทุกครั้ง ท�าให้ผลหารในต�าแหน่งถัดไปเป็น 8 เสมอ จึงท�าให้ทศนิยมที่ได้เป็นทศนิยมซ�้ำ ลงมือทํา (Doing)
นั่นคือ 179 = 1.888... เรียกทศนิยมนี้ว่า ทศนิยมซ�้า และเขียนแทนด้วย 1.8 อ่านว่า
•
1. ครูแจกใบงานที่ 2.15 ใหนักเรียนทํา แลวครู
หนึ่งจุดแปด แปดซ�้า และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ตัวอย่างทศนิยมซ�้าอื่น ๆ เช่น 2. ครูใหนกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 2.2 ค ขอ 1.-2.
- 334 = -0.121212... ทศนิยมนี้ซ�้าด้วย 12 ไม่สิ้นสุด จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
• •
เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์เป็น -0.12 อ่านว่า ลบศูนย์จุดหนึ่งสอง หนึ่งสองซ�้า 3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 2.2C ขอ 1.-2.
• •
หรือเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ -0.121 อ่านว่า ลบศูนย์จุดหนึ่งสองหนึ่ง สองหนึ่งซ�้า ในแบบฝกหัดคณิตศาสตรเปนการบาน
89
T97
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้ - 137
330 = -0.4151515... ทศนิยมนี้ซ�้าด้วย 15 ไม่สิ้นสุด
• เศษสวนทีต่ วั เศษและตัวสวนเปนจํานวนเต็ม • •
เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์เป็น - 0.415 อ่านว่า ลบศูนย์จุดสี่หนึ่งห้า หนึ่งห้าซ�้า
สามารถเขียนใหอยูใ นรูปทศนิยมไดอยางไร 49
111 = 0.441441441... ทศนิยมนี้ซ�้าด้วย 441 ไม่สิ้นสุด
(แนวตอบ ใชวิธีทําตัวสวนใหเทากับ 10, 100, • •
เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์เป็น 0.441 อ่านว่า ศูนย์จุดสี่สี่หนึ่ง สี่สี่หนึ่งซ�้า
1000, ... หรือใชวิธีการตั้งหาร) • •
หรือเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ 0.4414 อ่านว่า ศูนย์จุดสี่สี่หนึ่งสี่ สี่หนึ่งสี่ซ�้า
• ทศนิยมซํ้า สามารถเขียนใหอยูในรูปใดได
ให้นักเรียนพิจารณาการเปลี่ยนเศษส่วน 12 เป็นทศนิยม ดังนี้
(แนวตอบ เศษสวน)
1 = 0.5
2
ขัน้ ประเมิน ทศนิยม เช่น 0.5 จัดว่าเป็นทศนิยมซ�้าเช่นเดียวกัน เพราะ 0.5 = 0.5000... ทศนิยมนี้
•
1. ครูตรวจใบงานที่ 2.15 ซ�้าด้วย 0 ไม่สิ้นสุด เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์เป็น 0.50 อ่านว่า ศูนย์จุดห้าศูนย์ ศูนย์ซ�้า แต่
•
T98
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ลองท�าดู 3. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
กัลยำมีเงิน 250 บำท น�ำไปซื้อแฟมศิลปะ 30.25 บำท สีเทียน 65.75 บำท และสีน�้ำ หน า 91 แล วครู แ ละนั ก เรีย นร ว มกั น เฉลย
80.75 บำท กัลยำจะเหลือเงินกี่บำท คําตอบ
4. ครูยกตัวอยางที่ 47 ในหนังสือเรียน หนา 91
ตัวอย่างที่ 47 บนกระดาน และจากนั้นทํา “ลองทําดู” ใน
แม่ค้ำขำยน�้ำผลไม้จ�ำนวน 15 ขวด รำคำขวดละ 11.25 บำท ให้กับลูกค้ำคนหนึ่ง ถ้ำลูกค้ำคนนี้ หนังสือเรียน หนา 91 แลวครูและนักเรียน
จ่ำยเงินมำ 200 บำท อยำกทรำบว่ำแม่ค้ำต้องทอนเงินให้ลูกค้ำกี่บำท รวมกันเฉลยคําตอบ
วิธีท�ำ แม่ค้าขายน�้าผลไม้จ�านวน 15 ขวด
เข้าใจ (Understanding)
ราคาขวดละ 11.25 บาท
จะได้ ราคาน�้าผลไม้ทั้งหมด เท่ากับ 15 × 11.25 บาท 1. ครูแจกใบงานที่ 2.16 เรื่อง การนําความรู
= 168.75 บาท เกี่ยวกับทศนิยมไปใชในชีวิตจริง ใหนักเรียน
ลูกค้าจ่ายเงินมา 200 บาท ทํ า จากนั้ น ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลย
แม่ค้าต้องทอนเงินให้ลูกค้า เท่ากับ 200 - 168.75 บาท คําตอบใบงานที่ 2.16
= 31.25 บาท 2. ครูใหนักเรียนจับคูกันแลววิเคราะห “H.O.T.S.
ดังนั้น แม่ค้าต้องทอนเงินให้ลูกค้าเท่ากับ 31.25 บาท ตอบ คําถามทาทายการคิดขั้นสูง” ในหนังสือเรียน
หนา 91 จากนัน้ เขียนคําตอบจากการวิเคราะห
ลองท�าดู
ลงในสมุดของตนเอง จากนั้นครูและนักเรียน
สิตำมีเงินอยู่ 245 บำท น�ำเงินไปซื้อปำกกำ 15 ด้ำม รำคำด้ำมละ 15.25 บำท รวมกันเฉลยคําตอบ “H.O.T.S. คําถามทาทาย
อยำกทรำบว่ำสิตำเหลือเงินกี่บำท การคิดขั้นสูง”
ค�าถามทาทายการคิดขัน
้ สูง
จงพิจารณาประโยคต่อไปนี้ว่าเป็นจริงหรือเท็จ เพราะเหตุใด
1. ถ้า a และ b เป็นทศนิยมใด ๆ แล้ว
a÷b=b÷a
2. ถ้า a, b และ c เป็นทศนิยมใด ๆ แล้ว
(a ÷ b) ÷ c = a ÷ (b ÷ c)
91
T99
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
1. ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ กิจกรรม คณิตศาสตร์
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
- แตละกลุม รวมกันศึกษากิจกรรมคณิตศาสตร ให้นกั เรียนแก้โจทย์ปญ ั หาโดยใช้บาร์โมเดล (Bar model)
“การแกโจทยปญหาโดยใชบารโมเดล (Bar ตัวอย่าง ฟ้าใสปั่นจักรยานทางไกลไปท่องเที่ยวกับเพื่อน ๆ ที่จังหวัดนครนายก โดยในวันแรก
model)” ในหนังสือเรียน หนา 92 ปัน่ จักรยานได้ 49 ของระยะทางทัง้ หมด วันทีส่ องปัน่ จักรยานได้อกี 25 ของระยะทางทีเ่ หลือ ถ้ารวม
- นักเรียนแตละคนวิเคราะหวา ปญหาจาก สองวันฟ้าใสและเพือ่ น ๆ ปัน่ จักรยานได้ 73.8 กิโลเมตร จงหาว่าฟ้าใสและเพือ่ น ๆ ต้องปัน่ จักรยาน
คํ า ถามมี วิ ธีก ารแก อ ย า งไร จากนั้ น แลก ทั้งหมดกี่กิโลเมตรจึงจะถึงจังหวัดนครนายก
เปลี่ ย นคํ า ตอบกั น ภายในกลุ ม สนทนา ระยะทางทั้งหมดที่ต้องปั่นจักรยานถึงจังหวัดนครนายก
ซักถามจนเปนที่เขาใจรวมกัน ภาพที่ 1
- นักเรียนแตละคนเขียนขั้นตอนแสดงวิธีคิด ระยะทางที่ปั่นจักรยานวันแรก ระยะทางที่เหลือ
ของกลุมตนเองอยางละเอียดลงในสมุด ระยะทางที่เหลือ
- ใหตัวแทนกลุมมานําเสนอคําตอบหนาชั้น ภาพที่ 2
เรียน โดยเพื่อนกลุมที่เหลือคอยตรวจสอบ
ระยะทางที่ปั่นจักรยานวันที่สอง
ความถูกตอง
จากภาพที่ 1 และภาพที่ 2 จะได้ว่า
ระยะทางทั้งหมดที่ต้องปั่นจักรยานถึงจังหวัดนครนายก
73.8
ภาพที่ 3
ระยะทางที่ปั่นจักรยานวันแรก ระยะทางที่
ปั่นจักรยานวันที่สอง
จากภาพที่ 3 จะได้ว่า
6 หน่วย เท่ากับ 73.8 กิโลเมตร
1 หน่วย เท่ากับ 73.86 = 12.3 กิโลเมตร
ดังนั้น ระยะทางทั้งหมดที่ฟ้าใสและเพื่อน ๆ ต้องปั่นจักรยานจนถึงจังหวัดนครนายก คือ
9 หน่วย เท่ากับ 12.3 × 9 = 110.70 กิโลเมตร
ค�าถาม
ต้นกล้าเข้าร่วมการแข่งขันปั่นจักรยานทางไกลจากกรุงเทพฯ ไปถึงจังหวัดเชียงใหม่ โดย
ในวันแรกปั่นจักรยานได้ 15 ของระยะทางทั้งหมด วันที่สองปั่นจักรยานได้อีก 125 ของระยะทาง
ที่เหลือ ถ้ารวมสองวันต้นกล้าปั่นจักรยานได้ระยะทาง 415.20 กิโลเมตร จงหาว่าในการแข่งขัน
จักรยานทางไกลครั้งนี้มีระยะทางทั้งหมดกี่กิโลเมตร
92
เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร์
ระยะทางทั้งหมด
ภาพที่ 1
วันแรกปนได 15 ระยะทางที่เหลือจากวันแรก
ภาพที่ 2
5
วันที่สองปนได 12 ระยะทางที่เหลือจากวันที่สอง
จากภาพที่ 1 และภาพที่ 2 จะไดวา
ระยะทางทั้งหมด
ภาพที่ 3
วันแรกปนได วันที่สองปนได
จากภาพที่ 3 จะไดวา 8 หนวย เทากับ 415.20 กิโลเมตร
1 หนวย เทากับ 415.20
8 = 51.9 กิโลเมตร
T100 ดังนั้น ระยะทางทั้งหมดตนกลาเขารวมการแขงขัน คือ 51.9 × 15 = 778.5 กิโลเมตร
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
แบบฝึกทักษะ 2.2 ค 2. ครูใหนกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 2.2 ค ขอ 3.-10.
เปนการบาน โดยครูและนักเรียนวิเคราะห
ระดับ พื้นฐาน
แนวทางการดําเนินการแกโจทยปญ หารวมกัน
1. จงเขียนเศษส่วนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปทศนิยม กอน
1) - 38 2) -4 34
3) - 118 4) - 379 ขัน้ สรุป
2. จงเขียนทศนิยมต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปเศษส่วน ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
1) -0.78 2) -12.84 นักเรียน ดังนี้
• ขัน้ ตอนการวิเคราะหโจทยปญ หา มีอะไรบาง
ระดับ กลาง
(แนวตอบ
3. จรวดล�าหนึง่ ถูกส่งขึน้ สูว่ งโคจรรอบโลกด้วยอัตราเร็ววินาทีละ 11.2 กิโลเมตร1 อยากทราบว่า 1) อานโจทยใหเขาใจ แลวพิจารณาวาโจทย
เมื่อเวลาผ่านไป 59.4 วินาที จรวดล�านี้จะเคลื่อนที่ได้ระยะทางกี่กิโลเมตร
ถามอะไร
4. วิภามีริบบิ้นยาว 50 เมตร ต้องการตัดเป็นเส้นสั้น ๆ ยาวเส้นละ 7.5 เมตร จงหาว่าวิภาตัด 2) สิ่งที่โจทยกําหนดใหมีอะไรบาง
ริบบิ้นได้ทั้งหมดกี่เส้น และจะเหลือริบบิ้นกี่เมตร
3) เลือกวิธีดําเนินการที่จะแกโจทยปญหา
5. กล่องบรรจุหนังสือใบหนึง่ เมือ่ ชัง่ รวมทัง้ กล่องและหนังสือจ�านวน 8 เล่ม จะหนัก 3.7 กิโลกรัม
แลวเขียนประโยคสัญลักษณ
ชั่งเฉพาะกล่องจะหนัก 0.5 กิโลกรัม ถ้าหนังสือแต่ละเล่มหนักเท่า ๆ กัน จงหาว่าหนังสือ
แต่ละเล่มหนักเล่มละกี 4) หาคําตอบ)
1 ่กิโลกรัม • การดํ า เนิ น การในการแก โ จทย ป ญ หา
6. อารีขายหนังสือพิมพ์เก่า 103.5 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 1.50 บาท อารีน�าเงินที่ขายได้
ทั้งหมดมาซื้อหนังสือพิมพ์ใหม่วันละหนึ่งฉบับ ราคาฉบับละ 10 บาท จงหาว่าอารีจะซื้อ เกี่ยวกับทศนิยม มีอะไรบาง
หนังสือพิมพ์ได้กี่ฉบับและมีเงินเหลือกี่บาท (แนวตอบ การบวก การลบ การคูณ และ
7. ถ้าราคาขายส่งไข่ไก่ลดลงจากฟองละ 2.83 บาท เหลือฟองละ 2.75 บาท จงหาว่าถ้าขายไข่ การหาร)
ขนาดเดียวกันจ�านวน 1,155 ฟอง เมื่อราคาขายลดลงแล้วจะได้เงินน้อยกว่าเดิมกี่บาท
8. สนามรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปหนึ่งมีความยาวรอบรูปเป็น 74.6 เมตร จงหาว่าแต่ละด้านของ ขัน้ ประเมิน
รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสนี้ ยาวด้านละกี่เมตร 1. ครูตรวจใบงานที่ 2.16
9. สุดาหนัก 42.8 กิโลกรัม จงหา 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.2 ค
1) น�้าหนักของแม่ของสุดา ซึ่งหนักมากกว่าสุดา 21.2 กิโลกรัม 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
2) น�้าหนักของพ่อของสุดา ซึ่งมีน�้าหนักเป็น 1.5 เท่าของน�้าหนักสุดา 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
10. ปูนน�้าหนักน้อยกว่าปอน 29.7 กิโลกรัม ถ้าทั้งสองคนมีน�้าหนักรวมกัน 115.9 กิโลกรัม 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
จงหาน�้าหนักของปูนและปอน 6. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
1
จรวด. สืบค้นเมื่อ 10 มกราคม 2561, จาก http://www.lesa.biz/space-technology/rocket
93
T101
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
(-1 37)
3. 0 4. (-1 37) × (-1)
T102
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
3. ศูนย์หารด้วยจ�านวนตรรกยะใด ๆ ที่ไม่ใช่ศูนย์ จะได้ผลหารเท่ากับศูนย์ เช่น 5. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางสมบัติของศูนย
0 ขอ 3. ในหนังสือเรียน หนา 95
-5 = 0 6. ครูอธิบายเพิ่มเติม ดังนี้ “นักเรียนจะสังเกต
0 ÷ 47 = 0
เห็นวา ศูนยหารดวยจํานวนตรรกยะใดๆ ที่
0 ÷ (-2.5) = 0 ไมใชศูนย จะไดผลหารเทากับศูนย” แลวสรุป
0 = 0 เมื่อ a แทนจ�านวนตรรกยะใด ๆ โดยที่ a ≠ 0 เปนกรณีทั่วไปเหมือนในหนังสือเรียน หนา 95
a
สมบัติของศูนย ขอ 3. และครูกลาวเนนยํ้า
4. ถ้าผลคูณของจ�านวนตรรกยะสองจ�านวนใด ๆ เท่ากับศูนย์ แล้วจ�านวนใดจ�านวน วาตัวหารตองไมเปนศูนย เพราะ a0 ไมมี
หนึ่งต้องเท่ากับศูนย์ กล่าวคือ ความหมายทางคณิ ต ศาสตร “นั ก เรี ย นจะ
เห็นวา การคูณจํานวนตรรกยะสองจํานวน
ถ้า a และ b แทนจ�านวนตรรกยะใด ๆ และ a × b = 0 แล้วจะได้ว่า a = 0 หรือ ใดๆ ถาผลคูณของจํานวนตรรกยะสองจํานวน
b=0 ใดๆ เทากับศูนย แลวจํานวนใดจํานวนหนึ่ง
(2) สมบัติของหนึ่ง ต อ งเท า กั บ ศู น ย ” แล ว สรุ ป เป น กรณี ทั่ ว ไป
เหมือนในหนังสือเรียน หนา 95 สมบัติของ
1. จ�านวนตรรกยะใด ๆ คูณด้วยหนึ่ง หรือหนึ่งคูณด้วยจ�านวนตรรกยะใด ๆ จะได้
ผลคูณเท่ากับจ�านวนนั้น เช่น ศูนย ขอ 4.
7. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางสมบัติของหนึ่ง
(-5) × 1 = 1 × (-5) = -5
ข อ 1. ในหนั ง สื อ เรี ย น หน า 95 จากนั้ น
3×1 = 1×3 = 35
5 5 ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น สรุ ป ว า “การคู ณ
(-2.46) × 1 = 1 × (-2.46) = -2.46 จํานวนตรรกยะใดๆ ดวยหนึ่ง หรือหนึ่งคูณ
ดวยจํานวนตรรกยะใดๆ จะไดผลคูณเทากับ
a × 1 = 1 × a = a เมื่อ a แทนจ�านวนตรรกยะใด ๆ
จํานวนนัน้ ” และขอ 2. ในหนังสือเรียน หนา 95
2. จ�านวนตรรกยะใด ๆ หารด้วยหนึ่ง จะได้ผลหารเท่ากับจ�านวนตรรกยะนั้น เช่น จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา “การหาร
(-5) ÷ 1 = -5 จํานวนตรรกยะใดๆ ดวยหนึ่ง จะไดผลหาร
3÷1 = 3 เทากับจํานวนตรรกยะนั้น”
5 5
(-2.46) ÷ 1 = -2.46
a ÷ 1 = a เมื่อ a แทนจ�านวนตรรกยะใด ๆ
95
T103
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
8. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางสมบัติการสลับที่ 2) สมบัติเกี่ยวกับการบวกและการคูณจ�านวนตรรกยะ
ในหนังสือเรียน หนา 96 จากนั้นครูสรุปวา (1) สมบัติการสลับที่
“จํ า นวนตรรกยะมี ส มบั ติ ก ารสลั บ ที่ สํ า หรั บ 1. จ�ำนวนตรรกยะมีสมบัติสลับที่ส�ำหรับกำรบวก เช่น
การบวกและสมบัติการสลับที่สําหรับการคูณ” (-5) + 3 = 3 + (-5) = -2
9. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งสมบั ติ ก าร
3 + (- 25 ) = (- 25 ) + 3 = 135
เปลี่ยนหมู ในหนังสือเรียน หนา 96 ขอ 1.
จากนั้นครูสรุปวา “จํานวนตรรกยะมีสมบัติ 7 + (- 1 ) = (- 1 ) + 7 = 65
5 5 5 5
การเปลี่ ย นหมู สํ า หรั บ การบวกและสมบั ติ (-2.36) + (-1.4) = (-1.4) + (-2.36) = -3.76
การเปลี่ยนหมูสําหรับการคูณ”
ถ้ำ a และ b แทนจ�ำนวนตรรกยะใด ๆ แล้ว a + b = b + a
2. จ�ำนวนตรรกยะมีสมบัติสลับที่ส�ำหรับกำรคูณ เช่น
(-5) × 3 = 3 × (-5) = -15
2 2
3 × (- 5 ) = (- 5 ) × 3 = - 65
7 × (- 1 ) = (- 1 ) × 7 = - 257
5 5 5 5
(-2.36) × (-1.4) = (-1.4) × (-2.36) = 3.304
ถ้ำ a และ b แทนจ�ำนวนตรรกยะใด ๆ แล้ว a × b = b × a
(2) สมบัติการเปลี่ยนหมู่
1. จ�ำนวนตรรกยะมีสมบัติกำรเปลี่ยนหมู่ส�ำหรับกำรบวก เช่น
[4 + (-7)] + (-3) = 4 + [(-7) + (-3)] =
-6
2 3 2
[2 + (- 5 )] + 5 = 2 + [(- 5 ) + 5 ] 3 115
=
[75 + (- 15 )] + (- 25 ) = 75 + [(- 15 ) + (- 25 )] 45
=
[(-1.2) + (-3.5)] + (-4.5) = (-1.2) + [(-3.5) + (-4.5)] = -9.2
ถ้ำ a, b และ c แทนจ�ำนวนตรรกยะใด ๆ แล้ว (a + b) + c = a + (b + c)
96
T104
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. จ�านวนตรรกยะมีสมบัติการเปลี่ยนหมู่ส�าหรับการคูณ เช่น 10. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งสมบั ติ ก าร
[4 × (-7)] × (-3) = 4 × [(-7) × (-3)] = 84 เปลี่ยนหมู ในหนังสือเรียน หนา 97 ขอ 2.
11. ครู ส รุ ป ว า “จํ า นวนตรรกยะมี ส มบั ติ ก าร
[2 × (- 25 )] × 35 = 2 × [(- 25 ) × 35 ] = - 12
25 เปลี่ ย นหมู สํ า หรั บ การบวกและสมบั ติ ก าร
[75 × (- 15 )] × (- 25 ) = 75 × [(- 15 ) × (- 25 )] 14
= 125 เปลี่ยนหมูสําหรับการคูณ”
[(-1.2) × (-3.5)] × (-4.5) = (-1.2) × [(-3.5) × (-4.5)] = -18.9 12. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งของสมบั ติ
เกี่ยวกับการบวกและการคูณจํานวนตรรกยะ
ถ้า a, b และ c แทนจ�านวนตรรกยะใด ๆ แล้ว (a × b) × c = a × (b × c) ในหัวขอสมบัติการแจกแจง หนา 97
13. ครู แ ละนั ก เรี ย นช ว ยกั น สรุ ป ว า “จํ า นวน
(3) สมบัติกำรแจกแจง ตรรกยะมีสมบัตกิ ารแจกแจงระหวางการบวก
จ�านวนตรรกยะมีสมบัติการแจกแจงระหว่างการบวกและการคูณ เช่น และการคูณ”
3 × [4 + (-6)] = (3 × 4) + [3 × (-6)] = -6
2 3 3 2 3 24 เขาใจ (Understanding)
[2 + (- 5 )] × 5 = (2 × 5 ) + [(- 5 ) × 5 ] = 25
1 × [(- 1 ) + (- 2 )] = [1 × (- 1 )] + [1 × (- 2 )] 1. ครูแจกใบงานที่ 2.17 เรื่อง สมบัติของจํานวน
4 3 5 4 3 4 5 = - 11
60 ตรรกยะ ใหนกั เรียนทํา จากนัน้ ครูและนักเรียน
[2.3 + (-5.2)] × (-1.2) = [2.3 × (-1.2)] + [(-5.2) × (-1.2)] = 3.48 รวมกันเฉลยคําตอบใบงานที่ 2.17
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.3 ขอ 1. และ
ถ้า a, b และ c แทนจ�านวนตรรกยะใด ๆ แล้ว a × (b + c) = (a × b) + (a × c) Exercise 2.3 ขอ 1. ในแบบฝกหัดคณิตศาสตร
และ (b + c) × a = (b × a) + (c × a)
เปนการบาน
การหาผลลัพธ์การด�าเนินการทางคณิตศาสตร์ นักเรียนอาจจะเลือกใช้สมบัติใดสมบัติหนึ่ง 3. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบแบบฝก
ของจ�านวนตรรกยะ เพื่อท�าให้การค�านวณสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ทักษะ 2.3 ขอ 1. และ Exercise 2.3 ขอ 1.
4. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 48 ใน
ตัวอย่างที่ 48
หนังสือเรียน หนา 97 แลวแลกเปลี่ยนความรู
จงหำผลบวกของ (-8.5) + (-36.21) + (-13.5) กับคูของตนเอง จากนั้นใหนักเรียนแตละคน
วิธีท�ำ (-8.5) + (-36.21) + (-13.5) ทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน หนา 98
= (-8.5) + (-13.5) + (-36.21) (สมบัติการสลับที่ส�าหรับการบวก)
= [(-8.5) + (-13.5)] + (-36.21)
= (-22) + (-36.21)
= -58.21 ตอบ
97
T105
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
5. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลยคํ า ตอบ “ลอง ลองท�าดู
ทําดู” จงหำผลบวกของ (-16.75) + (-42.38) + (-14.25)
6. ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 49 ใน
หนังสือเรียน หนา 98 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูข องตนเอง จากนัน้ ใหนกั เรียนแตละคนทํา ตัวอย่างที่ 49
ตัวอย่างที่ 50
98
3. 2.5 ÷ (3.12 2
0.8 - 1 5) 4. (7.5 × 34) - 1 78
(เฉลยคําตอบ 1. (3 14 × 4.5) ÷ (1 15 - 0.75) = (3.25 × 4.5) ÷ (1.2 - 0.75) = 14.625 0.45 = 32.5
2. (2 12 ÷ 1 14 ) × (1 18 + 0.8) = (1.25
2.5 × (1.125 + 0.8) = 2 × 1.925 = 3.85
)
3. 2.5 ÷ (3.9 - 1.4) = 2.5
2.5 = 1
4. (7.5 × 34 ) - 1 78 = 5.625 - 1.875 = 3.75
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
T106
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
แบบฝึกทักษะ 2.3 9. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.3 ขอ 2.-4.
10. จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ระดับ พื้นฐาน
แบบฝกทักษะ 2.3 ขอ 2.-4.
1. จงหาผลลัพธ์ในแต่ละข้อต่อไปนี้
1) (-12) + 0 2) 0 + (- 79 ) 3) 0.539 - 0
4) (-7 78 ) × 0 5) 0 ÷ 0.8905 6) 1 × (-21)
7) (- 258 ) ÷ 1 8) 1 × 5.481 9) (-19.28) ÷ 1
ระดับ กลาง
2. จงหาผลลัพธ์ในแต่ละข้อต่อไปนี้
1) 43 + (-3 15 ) + (- 23 )
2) 12.5 × (-23.12) × 8
3) [(-36) × (-12)] + [(-36) × (-28)]
4) [(-17.8) × 15.36] + [(-17.8) × (-18.34)]
1
3. จงเติมจ�านวนตรรกยะใด ๆ ใน และ เพื่อให้แต่ละประโยคต่อไปนี้เป็นจริง
1) (-1.3) + (11.28 + 0.46) = (11.28 - ) + 0.46
2) (- 23 ) × (35 - ) = [(- 23 ) × 35 ] - [(- 23 ) × 14 ]
3) (-25) × 148 = [(-25) × ] - [(-25) × 2]
4) 57 × (-9.3) = (-9.3) × (67 + )
5) ( × 59 ) + [(-1.7) × ] = (-1.7) × 1
6) ( × 2.53) = [(- 112 ) × 2] + [(- 112 ) × ] + [(- 112 ) × 0.03]
99
T107
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ คณิตศาสตรในชีวิตจริง
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
- ใหแตละกลุม ศึกษาสถานการณจาก “คณิต- นิสำสังเกตใบแจ้งค่ำไฟฟำเดือนกันยำยนพบว่ำ ใช้ไฟฟำจ�ำนวน 563 หน่วย คิดเปนค่ำ
ศาสตรในชีวิตจริง” ในหนังสือเรียน หนา พลังงำนไฟฟำ 2,367.00 บำท ซึ่งค่ำพลังงำนไฟฟำแต่ละหน่วยไม่เท่ำกัน ดังนี้
100 150 หน่วยแรก (1 - 150) เท่ำกับ 487.26 บำท
- จากนั้นใหนักเรียนแตละคนวิเคราะหวามี 250 หน่วยต่อไป (151 - 400) เท่ำกับ 1,055.45 บำท
วิธีการแกปญหาจาก “คณิตศาสตรในชีวิต และเกินกว่ำ 400 หน่วย (401 เปนต้นไป) เท่ำกับ 720.74 บำท
จริง” อยางไร แลวแลกเปลี่ยนคําตอบกัน อยำกทรำบว่ำ ถ้ำในเดือนตุลำคมนิสำใช้ไฟฟำจ�ำนวน 583 หน่วย นิสำจะเสียค่ำพลังงำน
ภายในกลุม สนทนาซักถามจนเปนที่เขาใจ ไฟฟำกี่บำท (ดูรูปใบแจ้งค่ำไฟฟำประกอบ)
รวมกัน
- นักเรียนแตละคนเขียนขั้นตอนแสดงวิธีคิด
ของกลุมตนเองอยางละเอียดลงในสมุด ใบแจงค่าไฟฟา ไม่ใช่ใบเสร็จรับเงิน
- สงตัวแทนกลุมมานําเสนอคําตอบหนาชั้น การไฟฟานครหลวงเขตบางใหญ่ (ติดต่อสอบถาม โทร. 1130 (Call Center) หรือ 0-2832-5274, 0-2832-5374)
สถำนที่ใช้ไฟฟำ 36/375 ม.8 ซ.เสนำสฤษดิ์เดช ถ.กท-นนท อ.เมือง
เรียน โดยเพื่อนกลุมที่เหลือคอยตรวจสอบ โปรดน�าเขาบัญชีก่อนวันที่ บัญชีธนาคาร/บัตรเครดิต เลขที่ รหัสเครื่องวัดฯ
ความถูกตอง 14 / 09 / 60 030210XXXX 94-026900-1
เลขที่ ประเภท ตัวคูณ วันที่จดเลขที่อ่ำน เลขอ่ำนครั้งหลัง เลขอ่ำนครั้งก่อน อัตรำค่ำไฟฟำผันแปร (Ft) สต./หน่วย
04988998 1.2 01 / 09 / 60 36 9473 -15.90
ค่าไฟฟาเดือนปจจุบัน
ค่าพลังงานไฟฟา 2,263.45 บำท จ�ำนวน 563 หน่วย
ค่ำบริกำร 38.22 บำท
(รวมค่ำไฟฟำและบริกำรฯ 2,301.67 บำท) ค่าพลังงานไฟฟา
ค่ำไฟฟำผันแปร (Ft) -89.52 บำท 150 หน่วยแรก (1 - 150) 487.26 บำท
ค่ำไฟฟำรวม 2,212.15 บำท 250 หน่วยต่อไป (151 - 400) 1,055.45 บำท
ภำษีมูลค่ำเพิ่ม 7% 154.85 บำท เกินกว่ำ 400 หน่วย (401 เปนต้นไป) 720.74 บำท
รวมเงิน 2,367.00 บำท รวมเปนเงิน 2,263.45 บาท
รวมเงิน 2,367.00 บาท
100
T108
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครูใหนกั เรียนอานและศึกษา “สรุปแนวคิดหลัก”
สรุปแนวคิดหลัก ของหัวขอหลัก ในหนังสือเรียน หนา 101
2. ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
เศษส่วน นักเรียน ดังนี้
จ�านวนทีเ่ ขียนในรูป ab เมือ่ a และ b เป็นจ�านวนเต็มใด ๆ โดยที่ b ≠ 0 เรียกว่า “เศษส่วน” • การบวกเศษสวนมีขั้นตอนอยางไร
(แนวตอบ เขียนตัวสวนของเศษสวนที่เปน
จ�ำนวนตรงข้ำมของเศษส่วน
ลบใหเปนจํานวนเต็มบวกกอน จากนั้นทํา
เมื่อ a และ b เป็นจ�านวนเต็มใด ๆ โดยที่ b ≠ 0 เขียนแทนจ�านวนตรงข้ามของ ab
ด้วยสัญลักษณ์ - ab ตัวสวนของทุกเศษสวนใหเทากัน แลวนํา
ตั ว เศษมาบวกกั น โดยที่ ตั ว ส ว นยั ง คง
เศษส่วนที่เท่ำกัน เทาเดิม)
ก�าหนดเศษส่วน ab โดยที่ b ≠ 0 เราสามารถหาเศษส่วนที่เท่ากันได้โดย • การบวกเศษสวนที่เปนลบดวยเศษสวนที่
1. การคูณ นั่นคือ ab = ab ×× cc เมื่อ c เป็นจ�านวนเต็มที่ไม่เท่ากับศูนย์ เปนลบ จะไดผลบวกเปนจํานวนบวกหรือลบ
2. การหาร นั่นคือ ab = ba ÷÷ cc เมื่อ c เป็นจ�านวนเต็มบวกที่เป็นตัวหารร่วมของ (แนวตอบ ไดผลบวกเปนจํานวนลบ)
a และ b • ข อ ตกลงของการลบเศษส ว น โดยอาศั ย
กำรบวก กำรลบ กำรคูณ และกำรหำรเศษส่วน การบวก เปนอยางไร
1. การบวกเศษส่วน มีขั้นตอนดังนี้ (แนวตอบ ตัวตั้ง - ตัวลบ = ตัวตั้ง + จํานวน
1) เขียนตัวส่วนของเศษส่วนที่เป็นลบให้เป็นจ�านวนเต็มบวกก่อน ตรงขามของตัวลบ)
2) ท�าตัวส่วนของทุกเศษส่วนให้เท่ากัน • ทศนิยมเขียนในรูปกระจายไดอยางไร
3) น�าตัวเศษมาบวกกัน โดยที่ตัวส่วนยังคงเท่าเดิม (แนวตอบ เขียนในรูปการบวกของเลขโดด
2. การลบเศษส่วน ใช้หลักการเดียวกับการลบจ�านวนเต็ม คือ ในหลักตางๆ คูณกับคาประจําหลัก)
ตัวตั้ง - ตัวลบ = ตัวตั้ง + จ�านวนตรงข้ามของตัวลบ
3. ก�าหนด ab และ dc เป็นเศษส่วน โดยที่ b, d ≠ 0
แล้ว ab × dc = ba ×× dc
และ ab ÷ dc = ab × dc เมื่อ c ≠ 0
ค่ำประจ�ำหลักของทศนิยม
ค่ำประจ�ำหลัก
จ�ำนวนเต็ม ทศนิยม
... หลักร้อย หลักสิบ หลักหน่วย หลักส่วนสิบ หลักส่วนร้อย หลักส่วนพัน หลักส่วนหมื่น ...
... 100 10 1 1 1 1 1 ...
10 100 1,000 10,000
101
T109
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
3. ครูใหนกั เรียนอานและศึกษา “สรุปแนวคิดหลัก”
ของหัวขอหลัก ในหนังสือเรียน หนา 102
4. ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
• การเปรียบเทียบทศนิยมทีเ่ ปนบวก มีหลักการ กำรเปรียบเทียบทศนิยม
อยางไร กำรเปรียบเทียบทศนิยมที่เป็นจ�ำนวนบวก
(แนวตอบ 1. เขียนจํานวนทั้งสองไวบรรทัด 1. เขียนจ�านวนทั้งสองไว้บรรทัดละ 1 จ�านวน โดยให้จุดทศนิยมของแต่ละจ�านวนตรงกัน
ละ 1 จํานวน โดยใหจุดทศนิยมของแตละ 2. เปรียบเทียบเลขโดดในต�าแหน่งเดียวกันจากซ้ายไปขวา จ�านวนทีเ่ ลขโดดในต�าแหน่งนัน้
จํานวนตรงกัน มีค่ามากกว่าจะเป็นจ�านวนที่มากกว่า
กำรเปรียบเทียบทศนิยมที่เป็นจ�ำนวนลบ
2. เปรียบเทียบเลขโดดในตําแหนง ให้พิจารณาค่าสัมบูรณ์ของทศนิยมทั้งสองจ�านวน ดังนี้
เดียวกันจากซายไปขวา เลขโดดคูแรกที่ 1. ทศนิยมใดมีค่าสัมบูรณ์มากกว่า ทศนิยมนั้นจะมีค่าน้อยกว่าทศนิยมอีกจ�านวนหนึ่ง
ไมเทากันเลขโดดใดมีคา มากกวา ทศนิยมนัน้ 2. ถ้าค่าสัมบูรณ์ของทั้งสองทศนิยมเท่ากัน แสดงว่าทศนิยมทั้งสองเท่ากัน
จะมีคามากกวา) กำรบวก กำรลบ กำรคูณ และกำรหำรทศนิยม
• การเปรียบเทียบทศนิยมทีเ่ ปนลบ มีหลักการ
1) กำรบวกทศนิยม
อยางไร ก�าหนดให้ a และ b แทนทศนิยมบวกใด ๆ จะได้
(แนวตอบ 1. ทศนิ ย มใดที่ มี ค า สั ม บู ร ณ a+b=a+b
มากกวา ทศนิยมนั้นจะมีคานอยกวา (-a) + (-b) = -(a + b)
2. ถ า ค า สั ม บู ร ณ ข องทศนิ ย ม a + (-b) = a - b เมื่อ a ≥ b
ทั้งสองมีคาเทากัน แสดงวาทศนิยมทั้งสอง a + (-b) = -(b - a) เมื่อ b > a
มีคาเทากัน) (-a) + b = -(a + b) เมื่อ a ≥ b
• การบวกและการลบทศนิ ย ม มี ห ลั ก การ (-a) + b = b - a เมื่อ b > a
สําคัญอยางไร 2) กำรลบทศนิยม
( แนวตอบ ต อ งตั้ ง จุ ด ทศนิ ย มของตั ว ตั้ ง ก�าหนดให้ a และ b แทนทศนิยมบวกใด ๆ จะได้
และตัวบวกหรือตัวลบใหตรงกัน จากนั้น a - b = a + จ�านวนตรงข้ามของ b นั่นคือ a - b = a + (-b)
นํ า ทศนิ ย มที่ อ ยู ตํ า แหน ง เดี ย วกั น มาบวก 3) กำรคูณและกำรหำรทศนิยม
หรือลบกัน) ก�าหนดให้ a และ b แทนทศนิยมบวกใด ๆ จะได้
a×b=a×b a÷b=a÷b
(-a) × (-b) = a × b (-a) ÷ (-b) = a ÷ b
a × (-b) = -(a × b) a ÷ (-b) = -(a ÷ b)
(-a) × b = -(a × b) (-a) ÷ b = -(a ÷ b)
102
กิจกรรม ทาทาย
ใหนักเรียนจับคูสรางโจทยปญหาคณิตศาสตรที่เกี่ยวของกับ
การดําเนินชีวิตโดยใชความรูเรื่องทศนิยมที่ตองใชการดําเนินทั้ง
การบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยม ในการดําเนินการ
คนละ 5 ขอ พรอมทัง้ แสดงวิธที าํ โดยละเอียดและสงใหเพือ่ นทีเ่ ปน
คูของตนเองตรวจสอบความถูกตอง หลังจากนั้นใหเพื่อนนําสงครู
และอธิบายกับครูวา เพือ่ นทําถูกตองหรือไม และผิดอยางไร ถาผิด
จะแกไขใหถูกตองไดอยางไร
T110
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
5. ครูใหนกั เรียนอานและศึกษา “สรุปแนวคิดหลัก”
ของหัวขอหลัก ในหนังสือเรียน หนา 103
6. ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
จ�ำนวนตรรกยะ • จํานวนตรรกยะใดๆ บวกดวยศูนย หรือศูนย
จ�านวนตรรกยะ หมายถึง จ�านวนที่สามารถเขียนในรูปทศนิยมซ�้าหรือเศษส่วน ab บวกดวยจํานวนตรรกยะใดๆ จะไดผลบวก
เมื่อ a และ b เป็นจ�านวนเต็ม โดยที่ b ≠ 0 เทากับ
สมบัติของจ�ำนวนตรรกยะ (แนวตอบ ผลบวกเทากับจํานวนนั้นๆ)
1. สมบัติของหนึ่งและศูนย์ • จํานวนตรรกยะใดๆ คูณดวยศูนย หรือศูนย
ก�าหนดให้ a และ b แทนจ�านวนตรรกยะใด ๆ คูณดวยจํานวนตรรกยะใดๆ จะไดผลคูณ
1) สมบัติของศูนย์ เทากับ
a+0=0+a=a (แนวตอบ ผลคูณเทากับศูนย)
a×0=0×a=0 • ศูนยหารดวยจํานวนตรรกยะใดๆ ที่ไมใช
0 = 0 โดยที่ a ≠ 0 ศูนย จะไดผลหารเทากับ
a
ถ้า a × b = 0 แล้ว a = 0 หรือ b = 0 (แนวตอบ ผลหารเทากับศูนย)
2) สมบัติของหนึ่ง • จํานวนตรรกยะใดๆ คูณดวยหนึ่ง หรือหนึ่ง
a×1=1×a=a คูณดวยจํานวนตรรกยะใดๆ จะไดผลคูณ
a÷1=a เทากับ
2. สมบัติเกี่ยวกับกำรบวกและกำรคูณจ�ำนวนตรรกยะ (แนวตอบ ผลคูณเทากับจํานวนนั้นๆ)
ก�าหนดให้ a, b และ c แทนจ�านวนตรรกยะใด ๆ • จํานวนตรรกยะใดๆ หารดวยหนึ่ง จะได
1) สมบัติกำรสลับที่ ผลหารเทากับ
a+b=b+a (แนวตอบ ผลหารเทากับจํานวนนั้นๆ)
a×b=b×a • สมบัติเกี่ยวกับการบวกและการคูณจํานวน
2) สมบัติกำรเปลี่ยนหมู่ ตรรกยะที่นักเรียนไดเรียนรู ไดแกอะไรบาง
(a + b) + c = a + (b + c) ( แนวตอบ สมบั ติ ก ารสลั บ ที่ สมบั ติ ก าร
(a × b) × c = a × (b × c)
เปลี่ยนหมู และสมบัติการแจกแจง)
3) สมบัติกำรแจกแจง
7. ครูใหนักเรียนเขียนผังมโนทัศน ในหนังสือ
a × (b + c) = (a × b) + (a × c) เรียน หนา 101-103 หนวยการเรียนรูที่ 2
(b + c) × a = (b × a) + (c × a)
จํานวนตรรกยะ ลงในกระดาษ A4
103
T111
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
8. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะประจําหนวย
แบบฝึ ก ทั ก ษะ
การเรียนรูที่ 2 เปนการบาน
9. ครูถามคําถามเพื่อเนนยํ้าความคิดรวบยอด
ของนักเรียนอีกครั้ง ดังนี้
ประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่ 2
• การบวกและการลบทศนิ ย ม มี ห ลั ก การ 1. จงพิจารณาว่าในแต่ละข้อต่อไปนี้เป็นจริงหรือเท็จ
สําคัญอยางไร 1) 16
21 < 6
5 2) - 128 < - 139
(แนวตอบ ตองตั้งจุดทศนิยมของตัวตั้งและ 3) - 12 25 -5 11 3
ตั ว บวกหรื อ ตั ว ลบให ต รงกั น จากนั้ น นํ า 11 > - 14 4) 13 < -5 7
ทศนิยมที่อยูตําแหนงเดียวกันมาบวกหรือ 5) -2.1 < -2.2 6) -1.004 > -1.04
ลบกัน) 7) (-1.2) × (-0.8) = 9.6 8) (-27.5) ÷ (-1.1) = 25
• การคู ณ ทศนิ ย มที่ เ ป น บวกด ว ยทศนิ ย มที่ 2. จงหาผลลัพธ์ในแต่ละข้อต่อไปนี้
เปนลบ หรือการคูณทศนิยมที่เปนลบดวย
ทศนิยมที่เปนบวก จะไดผลคูณเปนจํานวน 1) (-1 45 ) + [(- 34 ) - (- 17
20)] 2) [(-2 12 ) ÷ (-2 23 )] ÷ (-3 34 )
บวกหรือลบ 3) [(- 23 ) - (-1 101 )] ÷ 56 4) 14 + [(- 34 ) × (-1 14 )]
(แนวตอบ ไดผลคูณเปนจํานวนลบ)
• การคู ณ ทศนิ ย มที่ เ ป น ลบด ว ยทศนิ ย มที่ 5) -(3.24 + 0.625) - (2.26 - 1.98) 6) 123.9 × (-0.04)
เปนลบ จะไดผลคูณเปนจํานวนบวกหรือลบ 7) (-0.0738) ÷ (-0.09) 11.6 × (-2)
8) (-3.2) × (-0.05)
(แนวตอบ ไดผลคูณเปนจํานวนบวก)
• การหารทศนิยมที่เปนบวกดวยทศนิยมที่ 9) [(-35.24) × (-0.5)] - 29.4 10) 0.11 + (25.3 - 9.68)
เปนลบ หรือการหารทศนิยมที่เปนลบดวย 3. จงหาผลลัพธ์ของ 2 34 - 7 18 - (-5 35 )
ทศนิยมที่เปนบวก จะไดผลหารเปนจํานวน
บวกหรือลบ 4. จงหาผลลัพธ์ของ [(- 14 ) - 4 23 ] - (2 56 + 1 23 )
(แนวตอบ ไดผลหารเปนจํานวนลบ) 5. จงหาผลลัพธ์ของ (59 - 1 23 ) ÷ (-1 23
• การหารทศนิ ย มที่ เ ป น ลบด ว ยทศนิ ย มที่ 27)
เปนลบ จะไดผลหารเปนจํานวนบวกหรือลบ 6. จงหาผลลัพธ์ของ (-125.17) - (-72.9) - 57.24
(แนวตอบ ไดผลหารเปนจํานวนบวก)
7. จงหาผลลัพธ์ของ
1) (-15.18) + (-49.99) - (-26.04)
2) 0.0084 × (-0.03) × (-0.78)
3) 2.53 × (-0.0057) ÷ 1.9
104
T112
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
10. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําถามในหนังสือ
เรียน หนา 40 ที่ไดถามไวในชั่วโมงแรกของ
8. จงหาผลลัพธ์ของ (-39 38 ) × (-1 153 ) ÷ 21
52 การเรียนในหนวยการเรียนรูที่ 2
9. ลุงเชาว์ซื้อไก่มาเลี้ยง 1,000 ตัว ปรากฏว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ ไก่ตายไป 101 ของ (แนวตอบ นิธิศตองปนจักรยานทั้งหมด 945
จ�านวนไก่ที่ซื้อมา และให้เพื่อนบ้านไป 15 ของจ�านวนไก่ที่ซื้อมา อยากทราบว่าลุงเชาว์เหลือ กิโลเมตร จึงจะถึงเสนชัย)
ไก่ทั้งหมดกี่ตัว
ขัน้ ประเมิน
10. โรงเรียนแห่งหนึ่งมีนักเรียนทั้งหมด 300 คน เป็นนักเรียนชาย 35 ของนักเรียนทั้งหมด 1. ครูตรวจผังมโนทัศน
ถ้า 23 ของนักเรียนชาย และ 16 ของนักเรียนหญิง เลือกเข้าชมรมเสริมทักษะคณิตศาสตร์ 2. ครูตรวจใบงานที่ 2.17
อยากทราบว่าจ�านวนนักเรียนที่เลือกเข้าชมรมเสริมทักษะคณิตศาสตร์มีกี่คน 3. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.3
11. แม่ค้าซื้อมะม่วงมาจ�านวนหนึ่ง พบว่ามีมะม่วงเน่า 251 ของจ�านวนมะม่วงทั้งหมด แม่ค้า 4. ครูตรวจ Exercise 2.3
ขายมะม่วงไป 15 5. ครูตรวจแบบฝกทักษะประจําหนวยการเรียนรู
19 ของจ�านวนมะม่วงที่ไม่เน่า ต่อมาซื้อมะม่วงมาเพิ่มอีก 379 ผล ท�าให้
จ�านวนมะม่วงที่มีขณะนี้เท่ากับจ�านวนมะม่วงที่ซื้อมาครั้งแรก จงหาจ�านวนมะม่วงที่แม่ค้า ที่ 2
ซื้อมาครั้งแรก 6. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
7. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
12. ในชั่วโมงรักการอ่านสัปดาห์แรกสุดาอ่านหนังสือได้ 0.25 ของจ�านวนหน้าทั้งหมด และ 8. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
สัปดาห์ตอ่ มาสุดาอ่านได้อกี 0.4 ของจ�านวนหน้าทีเ่ หลือ รวมสองสัปดาห์สดุ าอ่านได้ 78 หน้า 9. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
จงหาว่าหนังสือเล่มนี้มีทั้งหมดกี่หน้า
13. ในงานนิทรรศการวิชาการมีร้านขายหนังสือร้านหนึ่ง เมื่อวานร้านนี้ขายหนังสือได้ 49 ของ
หนังสือทัง้ หมด วันนีก้ อ่ นเทีย่ งวันขายหนังสือได้ 128 เล่ม และหลังเทีย่ งวันขายได้อกี 100 เล่ม
ถ้าทั้งสองวันร้านนี้ขายหนังสือได้ 500 เล่ม จงหาว่าร้านนี้เหลือหนังสือกี่เล่ม
14. 157 ของประชากรทั้งหมดของหมู่บ้านแห่งหนึ่งเป็นผู้ชาย จากการส�ารวจพบว่า 34 ของผู้ชาย
ทั้งหมดเป็นคนจีน 15 ของผู้ชายทั้งหมดเป็นคนไทย และจ�านวนผู้ชายที่เหลือเป็นคนอินเดีย
ถ้าหมู่บ้านแห่งนี้มีผู้ชายที่เป็นคนอินเดีย 14 คน จงหา
1) จ�านวนผู้ชายที่เป็นคนจีนในหมู่บ้านแห่งนี้
2) จ�านวนผู้หญิงทั้งหมดในหมู่บ้านแห่งนี้
105
คณิตศาสตรที่สามารถใชในการคํานวณหรือแสดงวิธีทําในโจทย
ระดับคะแนน
การมี
การทางาน
ระดับคะแนน การแสดง การยอมรับฟัง ส่วนร่วมใน รวม
ลาดับ ลาดับ ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
รายการประเมิน ความคิดเห็น คนอื่น การปรับปรุง 20
ที่ 4 3 2 1 ที่ ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
ที่กลุมของตนเองสืบคนมาไดหนาชั้นเรียน
1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย
4 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ
5 วิธีการนาเสนอผลงาน
รวม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
เกณฑ์การให้คะแนน
............/................./................
ผลงานหรือพฤติกรรมสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 4 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องบางส่วน ให้ 3 คะแนน เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องมาก ให้ 1 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
14 - 17 ดี ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10 - 13 พอใช้ 18 - 20 ดีมาก
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง 14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง
T113
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายความหมาย Concept - ตรวจใบงานที่ 3.1 - ทักษะการ 1. มีวินัย
การเขียนเลข พื้นฐาน คณิตศาสตร์ ของเลขยกก�ำลัง Based เรื่อง การเขียน เชือ่ มโยง 2. ใฝ่เรียนรู้
ยกก�ำลังที่มี ม.1 เล่ม 1 ที่มีเลขชี้ก�ำลังเป็น Teaching เลขยกก�ำลังที่มี 3. มุ่งมั่น
เลขชี้กำ� ลังเป็น - แบบฝึกหัด จ�ำนวนเต็มบวก (K) เลขชี้ก�ำลังเป็น ในการท�ำงาน
จ�ำนวนเต็มบวก คณิตศาสตร์ ม.1 2. เขียนแสดงขั้นตอน จ�ำนวนเต็มบวก
เล่ม 1 การหาค่าของเลข - ตรวจแบบฝึกทักษะ
2 - ใบงานที่ 3.1 เรื่อง ยกก�ำลังที่มีเลขชี้ก�ำลัง 3.1
ชั่วโมง การเขียนเลขยกกำ�ลัง เป็นจ�ำนวนเต็มบวกได้ - ตรวจ Exercise 3.1
ที่มีเลขชี้ก�ำ ลังเป็น (P) - ประเมินการน�ำเสนอ
จำ�นวนเต็มบวก 3. ใช้ความรู้ ทักษะ และ ผลงาน
กระบวนการทาง - สังเกตพฤติกรรม
คณิตศาสตร์ในการ การท�ำงานรายบุคคล
แก้ปัญหาได้อย่าง - สังเกตพฤติกรรม
เหมาะสม (P) การท�ำงานกลุ่ม
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - สังเกตคุณลักษณะ
ที่ได้รับมอบหมาย (A) อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายวิธีการหา Concept - ตรวจใบงานที่ 3.2 - ทักษะการ 1. มีวินัย
การคูณ พื้นฐาน คณิตศาสตร์ ผลคูณของ Based เรื่อง การคูณ เชือ่ มโยง 2. ใฝ่เรียนรู้
เลขยกก�ำลัง ม.1 เล่ม 1 เลขยกก�ำลัง Teaching เลขยกก�ำลัง 3. มุ่งมั่น
เมื่อเลขชี้กำ� ลัง - แบบฝึกหัด เมื่อเลขชี้ก�ำลังเป็น เมื่อเลขชี้ก�ำลัง ในการท�ำงาน
เป็นจ�ำนวน คณิตศาสตร์ ม.1 จ�ำนวนเต็มบวกได้ (K) เป็นจ�ำนวนเต็มบวก
เต็มบวก เล่ม 1 2. เขียนแสดงขั้นตอน - ตรวจ Exercise 3.2
- ใบงานที่ 3.2 เรื่อง การหาผลคูณของ - ประเมินการน�ำเสนอ
2 การคูณเลขยกกำ�ลัง เลขยกก�ำลัง ผลงาน
ชั่วโมง เมื่อเลขชี้ก�ำ ลังเป็น เมื่อเลขชี้ก�ำลังเป็น - สังเกตพฤติกรรม
จำ�นวนเต็มบวก จ�ำนวนเต็มบวกได้ (P) การท�ำงานรายบุคคล
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - สังเกตพฤติกรรม
ที่ได้รับมอบหมาย (A) การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายวิธีการหา Concept - ตรวจใบงานที่ 3.3 - ทักษะการ 1. มีวินัย
การหาร พื้นฐาน คณิตศาสตร์ ผลหารของ Based เรื่อง การหาร เชื่อมโยง 2. ใฝ่เรียนรู้
เลขยกก�ำลัง ม.1 เล่ม 1 เลขยกก�ำลัง Teaching เลขยกกำ�ลัง 3. มุ่งมั่น
เมื่อเลขชี้กำ� ลัง - แบบฝึกหัด เมื่อเลขชี้ก�ำลังเป็น เมื่อเลขชี้ก�ำ ลัง ในการท�ำงาน
เป็นจ�ำนวน
เต็มบวก คณิตศาสตร์ ม.1 จ�ำนวนเต็มบวกได้ (K) เป็นจำ�นวนเต็มบวก
เล่ม 1 2. เขียนแสดงขั้นตอน - ตรวจแบบฝึกทักษะ
- ใบงานที่ 3.3 เรื่อง การหาผลหาร 3.2
2 การหารเลขยกกำ�ลัง ของเลขยกก�ำลัง - ตรวจ Exercise 3.2
ชั่วโมง เมื่อเลขชี้ก�ำ ลังเป็น เมื่อเลขชี้ก�ำลังเป็น
จำ�นวนเต็มบวก จ�ำนวนเต็มบวกได้ (P)
T114
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - ประเมินการนำ�เสนอ
ที่ได้รับมอบหมาย (A) ผลงาน
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายความหมาย Concept - ตรวจใบงานที่ 3.4 - ทักษะการ 1. มีวินัย
การเขียนจ�ำนวน พืน้ ฐาน คณิตศาสตร์ ของจ�ำนวนที่มีค่า Based เรื่อง การเขียน เชือ่ มโยง 2. ใฝ่เรียนรู้
ในรูปสัญกรณ์ ม.1 เล่ม 1 มาก ๆ หรือทศนิยม Teaching จำ�นวนในรูปสัญกรณ์ 3. มุ่งมั่น
วิทยาศาสตร์ - ใบงานที่ 3.4 เรื่อง ทีม่ ีค่าน้อย ๆ ในรูป วิทยาศาสตร์ ในการท�ำงาน
การเขียนจำ�นวนในรูป สัญกรณ์วิทยาศาสตร์ - ตรวจแบบฝึกทักษะ
2 สัญกรณ์วิทยาศาสตร์ ได้ (K) 3.3
ชั่วโมง 2. ใช้ความรู้ ทักษะ และ - สังเกตพฤติกรรม
กระบวนการทาง การทำ�งานรายบุคคล
คณิตศาสตร์ในการ - สังเกตคุณลักษณะ
แก้ปัญหาได้อย่าง อันพึงประสงค์
เหมาะสม (P)
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)
แผนฯ ที่ 5 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายการน�ำความรู้ Concept - ตรวจใบงานที่ 3.5 - ทักษะการ 1. มีวินัย
การน�ำความรู้ พื้นฐาน คณิตศาสตร์ เกีย่ วกับเลขยกก�ำลัง Based เรื่อง การนำ�ความรู้ ประยุกต์ใช้ 2. ใฝ่เรียนรู้
เกี่ยวกับ ม.1 เล่ม 1 ไปใช้แก้ปัญหา Teaching เกี่ยวกับเลขยกกำ�ลัง ความรู้ 3. มุ่งมั่น
เลขยกก�ำลัง - ใบงานที่ 3.5 เรื่อง คณิตศาสตร์และ ไปใช้ในชีวิตจริง ในการท�ำงาน
ไปใช้ ในชีวิตจริง
การนำ�ความรู้เกี่ยวกับ ปัญหาในชีวิตจริง (K) - ตรวจแบบฝึกทักษะ
เลขยกกำ�ลังไปใช้ 2. เขียนแสดงขัน้ ตอน 3.4
2 ในชีวิตจริง การแก้ปัญหาทาง - ตรวจแบบฝึกทักษะ
ชั่วโมง คณิตศาสตร์เกี่ยวกับ ประจำ�หน่วยการ
เลขยกก�ำลังได้ (P) เรียนรู้ที่ 3
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - ประเมินการนำ�เสนอ
ที่ได้รับมอบหมาย (A) ผลงาน
- ตรวจผังมโนทัศน์
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3
เลขยกกำ�ลัง
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T115
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนหนวยการเรียนรูนี้ ครูควรยกตัวอยางการใชเลขยกกําลัง
ในชีวิตประจําวัน และเนนใหนักเรียนตระหนักถึงประโยชนของเลขยกกําลัง
ทั้งในดานการคํานวณและการเขียนแสดงจํานวนซึ่งเปนทักษะพื้นฐานในการ
ศึกษาวิชาคณิตศาสตรในระดับสูงขึ้นตอไป
T116
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
107
T117
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1. ครูใหนักเรียนอานเรื่อง การพับกระดาษรูป 3.1 การเขียนเลขยกก�าลังที่มีเลขชี้ก�าลัง
สี่เหลี่ยมผืนผา ในหนังสือเรียน หนา 108 เป็นจ�านวนเต็มบวก
เมื่อนักเรียนอานจบแลวครูถามคําถาม ดังนี้
• ถาพับกระดาษ 6 ครั้ง จะไดจํานวนเสนแบง กระดำษรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ำเป็นกระดำษที่มีควำมยำวของด้ำนตรงข้ำมยำวเท่ำกัน แต่ควำม
ของกระดาษกี่เสน ยำวด้ำนที่อยู่ติดกันยำวไม่เท่ำกัน และมุมทุกมุมเป็นมุมฉำก
(แนวตอบ 64 เสน) นักเรียนจะพบว่ำ เมื่อนักเรียนพับกระดำษรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ำ 1 ครั้ง ตำมแนวแกนสมมำตร
• ถาพับกระดาษ 7 ครั้ง จะไดจํานวนเสนแบง กระดำษจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนที่เท่ำกัน จำกนั้นถ้ำนักเรียนพัับกระดำษอีก 1 ครั้ง ตำมแนว
ของกระดาษกี่เสน แกนสมมำตร กระดำษจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนที่เท่ำกัน จำกนั้นถ้ำนักเรียนพับกระดำษอีก
1 ครั้ง ตำมแนวแกนสมมำตร กระดำษจะถูกแบ่งออกเป็น 8 ส่วนที่เท่ำกัน ถ้ำนักเรียนท�ำเช่นนี้
(แนวตอบ 128 เสน)
ไปเรื่อย ๆ นักเรียนจะได้ว่ำกระดำษถูกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ จำกกำรพับกระดำษแต่ละครั้ง ดังนี้
• นักเรียนหาจํานวนเหลานั้นไดอยางไร
(แนวตอบ 64 ไดมาจาก 32 × 2 และ 128 จำ�นวนครั้งในก�รพับกระด�ษ จำ�นวนส่วนแบ่งของกระด�ษ
ไดมาจาก 64 × 2) ต�มแนวแกนสมม�ตร จ�กก�รพับกระด�ษแต่ละครั้งต�มแนวแกนสมม�ตร
จากนั้ น ครู ก ล า วว า “จํ า นวนเส น แบ ง ของ 1 2 = 2
กระดาษเพิ่มขึ้นเปนพหุคูณของ 2 หรือเกิด 2 2 × 2 = 4
จากการนํา 2 คูณกันหลายๆ ตัว ซึ่งขึ้นอยูกับ 3 2 × 2 × 2 = 8
จํานวนครั้งในการพับกระดาษ” 4 2 × 2 × 2 × 2 = 16
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา “นักคณิตศาสตรจึงได 5 2 × 2 × 2 × 2 × 2 = 32
⋮ ⋮
มี ก ารกํ า หนดสั ญ ลั ก ษณ เพื่ อ แทนจํ า นวน
ทีเ่ กิดจากการคูณจํานวนซํา้ ๆ กัน” จากนัน้ ครู นักเรียนจะพบว่ำ จ�ำนวนส่วนแบ่งของกระดำษจำกกำรพับกระดำษในแต่ละครั้งตำมแนว
กลาวถึงบทนิยามของเลขยกกําลัง ในหนังสือ แกนสมมำตรจะมีจำ� นวนเพิม่ ขึน้ เป็นสองเท่ำของจ�ำนวนเดิมเสมอ ซึง่ จ�ำนวนส่วนแบ่งของกระดำษ
เรียน หนา 108 เกิดจำกกำรคูณ 2 ซ�้ำกันหลำย ๆ ตัว โดยมีจ�ำนวนมำกขึ้นเรื่อย ๆ ขึ้นอยู่กับจ�ำนวนครั้งในกำรพับ
ส�ำหรับวิชำคณิตศำสตร์จงึ มีกำรก�ำหนดสัญลักษณ์ เพือ่ แทนจ�ำนวนทีเ่ กิดจำกกำรคูณจ�ำนวนซ�ำ้ ๆ กัน
และได้ให้นิยำมไว้ ดังนี้
บทนิยาม
1 มบวก
ให้ a แทนจ�ำนวนใด ๆ และ n แทนจ�ำนวนเต็
“a ยกก�ำลัง n” หรือ “a ก�ำลัง n” เขียนแทนด้วย an มีควำมหมำย ดังนี้
an = a × a × a × ... × a
n ตัว
n ว่ำ เลขยกก�ำลังที่มี a เป็นฐำน และ n เป็นเลขชี้ก�ำลัง
เรียก a
108
กิจกรรม ทาทาย
ใหนักเรียนหาจํานวนที่มี 3 หลัก มา 3 จํานวน ที่สามารถ
เขียนในรูปเลขยกกําลังที่มีฐานและเลขชี้กําลังเปนจํานวนเฉพาะ
T118
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
จงพิจำรณำเลขยกก�ำลังต่อไปนี้ 3. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางเลขยกกําลัง ใน
สัญลักษณ์ 34 อ่ำนว่ำ “สำมยกก�ำลังสี่” หรือ “สำมก�ำลังสี่” หนังสือเรียน หนา 109 จากนั้นครูถามคําถาม
34 มี 3 เป็นฐำน และมี 4 เป็นเลขชี้ก�ำลัง ดังนี้
34 แทน 3 × 3 × 3 × 3 • เลขยกกําลัง (-2)4 มีผลคูณเปนจํานวนบวก
34 = 81 หรือจํานวนลบ (แนวตอบ จํานวนบวก)
(-2)4 อ่ำนว่ำ “ลบสองทั้งหมดยกก�ำลังสี่” หรือ “ลบสองทั้งหมดก�ำลังสี่” • เลขยกกําลัง (-3)3 มีผลคูณเปนจํานวนบวก
(-2)4 มี -2 เป็1นฐำน และมี 4 เป็นเลขชี้ก�ำลัง หรือจํานวนลบ (แนวตอบ จํานวนลบ)
(-2)4 แทน (-2) × (-2) × (-2) × (-2) • เลขยกกําลังที่มีฐานเปนจํานวนลบ ผลคูณ
(-2)4 = 16
ทีไ่ ดจะมีความสัมพันธกบั เลขชีก้ าํ ลังอยางไร
(-3)3 อ่ำนว่ำ “ลบสำมทัง้ หมดยกก�ำลังสำม” หรือ “ลบสำมทัง้ หมดก�ำลังสำม” (แนวตอบ เลขยกกําลังทีม่ ฐี านเปนจํานวนลบ
(-3)3 มี -3 เป็นฐำน และมี 3 เป็นเลขชี้ก�ำลัง
(-3)3 แทน (-3) × (-3) × (-3) ถาเลขชี้กําลังเปนจํานวนคู ผลคูณที่ไดจะ
(-3)3 = -27 เป น บวก แต ถ า เลขชี้ กํ า ลั ง เป น จํ า นวนคี่
2 ผลคูณที่ไดจะเปนลบ)
(12 ) อ่ำนว่ำ “เศษหนึ่งส่วนสองทั้งหมดยกก�ำลังสอง” หรือ “เศษหนึ่ง 4. ครูใหนักเรียนศึกษาขอควรระวัง ในหนังสือ
ส่วนสองทั้งหมดก�ำลังสอง”
2 เรียน หนา 109 จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้
(12 ) มี 12 เป็นฐำน และมี 2 เป็นเลขชี้ก�ำลัง • นักเรียนคิดวาเลขยกกําลัง -24 มีฐานเปน
2
(12 ) แทน (12 ) × (12 ) เทาไร (แนวตอบ 2)
2
(12 ) = 14 • เลขยกกําลัง -24 มีเลขชี้กําลังเปนเทาไร
3 (แนวตอบ 4)
(- 35 ) อ่ำนว่ำ “ลบเศษสำมส่วนห้ำทั้งหมดยกก�ำลังสำม” หรือ “ลบเศษสำม • เขียนในรูปผลคูณของฐานไดอยางไร
ส่วนห้ำทั้งหมดก�ำลังสำม”
3 (แนวตอบ -(2 × 2 × 2 × 2))
(- 35 ) มี - 35 เป็นฐำน และมี 3 เป็นเลขชี้ก�ำลัง • มีผลคูณเทากับเทาไร (แนวตอบ -16)
3
(- 35 ) แทน (- 35 ) × (- 35 ) × (- 35 ) ครูสรุปวา -24 = -(2 × 2 × 2 × 2) = -16
3
(- 35 ) = - 125
27 แลวครูกลาวถึงขอควรระวังวา เลขยกกําลัง
-24 ไมไดมีฐานเปน -2 ถาเลขยกกําลังชุดนี้
¢ŒÍ¤ÇÃÃÐÇѧ มีฐานเปน -2 จะเขียนไดในรูป (-2)4 ซึ่งมี
✘ ✔ ผลคูณเทากับ (-2) × (-2) × (-2) × (-2) = 16
-24 = (-2) × (-2) × (-2) × (-2) -24 = -(2 × 2 × 2 × 2)
= 16 = -16 ซึ่งมีคาไมเทากับ -24
เขาใจ (Understanding)
109
ครูใหนักเรียนทํา Exercise 3.1 ขอ 1. ในแบบ
ฝกหัดคณิตศาสตร เปนการบาน
T119
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ Exercise ตัวอย่างที่ 1
3.1 ขอ 1. จงเขียนเลขยกกําลังตอไปน�้ใหอยูในรูปจํานวนเต็มหรือเศษสวนหรือทศนิยม
3
2. ครู ท บทวนบทนิ ย ามของเลขยกกํ า ลั ง ใน 1) 32 2) (-4)3 3) (- 12 ) 4) (0.7)3
หนังสือเรียน หนา 108
วิธีทํา การเขียนเลขยกกําลังใหอยูใ นรูปจํานวนเต็มหรือเศษสวนหรือทศนิยม ตองใชบทนิยาม
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 1 ใน เลขยกกําลัง ซึ่งทําไดดังนี้
หนั ง สื อ เรี ย น หน า 110 แล ว แลกเปลี่ ย น
1) จากบทนิยามเลขยกกําลัง จะไดวา 32 = 3 × 3 = 9
ความรูกับคูของตนเอง จากนั้นใหนักเรียน
2) จากบทนิยามเลขยกกําลัง จะไดวา (-4)3 = (-4) × (-4) × (-4) = -64
แตละคนทํา “ลองทําดู” 3
4. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลยคํ า ตอบ “ลอง 3) จากบทนิยามเลขยกกําลัง จะไดวา (- 12 ) = (- 12 ) × (- 12 ) × (- 12 ) = - 18
ทําดู” 4) จากบทนิยามเลขยกกําลัง จะไดวา (0.7)3 = 0.7 × 0.7 × 0.7 = 0.343 ตอบ
5. ครูยกตัวอยางที่ 2 ในหนังสือเรียน หนา 110 ลองทําดู
บนกระดาน พร อ มทั้ ง อธิ บ ายวิ ธีก ารเขี ย น จงเขียนเลขยกกําลังตอไปนี้ใหอยูในรูปจํานวนเต็มหรือเศษสวนหรือทศนิยม
จํ า นวนในรู ป ของเลขยกกํ า ลั ง ที่ มี ฐ านเป น 1) 92 2) (-5)4 3) (- 14 )
4
4) (0.3)3
จํานวนเฉพาะ 243, 9, 8 และ 4 แลวใหนกั เรียน
ทํา “ลองทําดู” จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน ตัวอย่างที่ 2
เฉลยคําตอบ จงเขียนจํานวนตอไปน�้ใหอยูในรูปเลขยกกําลังที่มีฐานเปนจํานวนเฉพาะ
1) 243 × 9 2) 82 × 42
เขาใจ (Understanding)
วิธีทํา การเขียนจํานวนใหอยูในรูปเลขยกกําลังที่มีฐานเปนจํานวนเฉพาะ ตองใชบทนิยาม
1. ครู แ จกใบงานที่ 3.1 เรื่ อ ง การเขี ย นเลข เลขยกกําลัง ซึ่งทําไดดังนี้
ยกกํ า ลั ง ที่ มี เ ลขชี้ กํ า ลั ง เป น จํ า นวนเต็ ม บวก 1) 243 × 9 = (3 × 3 × 3 × 3 × 3) × (3 × 3)
ใหนักเรียนทํา จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน = 3×3×3×3×3×3×3
เฉลยคําตอบใบงานที่ 3.1 = 37
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 3.1 ขอ 1.-2. 2) 82 × 42 = (8 × 8) × (4 × 4)
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ = [(2 × 2 × 2) × (2 × 2 × 2)] × [(2 × 2) × (2 × 2)]
แบบฝกทักษะ 3.1 ขอ 1.-2. = 2×2×2×2×2×2×2×2×2×2
= 210 ตอบ
ลองทําดู
จงเขียนจํานวนตอไปนี้ใหอยูในรูปเลขยกกําลังที่มีฐานเปนจํานวนเฉพาะ
1) 42 × 32 2) 81 × 92
110
กิจกรรม ทาทาย
ใหนักเรียนเลือกจํานวน 5 หลัก มา 3 จํานวน มาเขียนในรูป
เลขยกกําลังที่มีฐานและเลขชี้กําลังเปนจํานวนเฉพาะ
T120
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
แบบฝึกทักษะ 3.1 1. ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
ระดับ พื้นฐาน
• ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ช ว ยกั น ทํ า แบบฝ ก
1. จงเขียนเลขยกก�ำลังต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปจ�ำนวนเต็มหรือทศนิยม ทักษะ 3.1 ขอ 6. โดยเขียนลงในสมุดของ
1) 35 2) 52 ตนเอง
3) (-7)3 4) (-2)5 • จากนัน้ ใหนกั เรียนแลกเปลีย่ นความรูภ ายใน
5) -52 6) -72 กลุม ของตนเอง และสนทนาซักถามเกีย่ วกับ
7) (-0.2)3 8) (-0.1)4 วิธีการคิดหาคําตอบ จนเปนที่เขาใจรวมกัน
1
2. จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปเลขยกก�ำลังที่มีฐำนเป็
นเป็นจ�ำนวนเฉพำะ หรือผลคูณของ • ใหตัวแทนกลุมมานําเสนอคําตอบหนาชั้น
เลขยกก�ำลังโดยที่ฐำนของเลขยกก�ำลังแต่ละตัวเป็นจ�ำนวนเฉพำะ เรียน
1) 625 2) 729 2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 3.1 ขอ 3.-5.
3) 24 × 32 4) 92 × 82 และ Exercise 3.1 ขอ 2.-3. ในแบบฝกหัด
5) 72 × 256 6) 27 × 92 คณิตศาสตรเปนการบาน
7) 1,024 8) 256 × 2,048
ระดับ กลาง
ขัน้ สรุป
3. จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปเลขยกก�ำลังที่มีฐำนเท่ำกับ 3 หรือ -3 ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
1) 243 2) 729 นักเรียน ดังนี้
3 • เลขยกกําลัง คืออะไร
4. ก�ำหนดให้ A = (-4)2, B = -43 และ C = (- 102 ) จงหำค่ำของ (แนวตอบ การคูณจํานวนซํ้าๆ กัน)
1) A + B 2) A + C • “a ยกกําลัง n” มีความหมายอยางไร
3) B + C 4) A - B (แนวตอบ an = a × a × a × ... × a)
5. จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปเลขยกก�ำลังที่มีฐำนเป็นจ�ำนวนเฉพำะหรือผลคูณของ n ตัว
เลขยกก�ำลังโดยที่ฐำนของเลขยกก�ำลังแต่ละตัวเป็นจ�ำนวนเฉพำะ
3 2
1) 27 81× 3 2) 25 ×3625
5
ขัน้ ประเมิน
2
3) 128
4
× 43
4) 2 527 ×
4 1. ครูตรวจใบงานที่ 3.1
9 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.1
ระดับ ท้าทาย 3. ครูตรวจ Exercise 3.1
3 2
6. (-3) × 102 เขียนให้อยู่ในรูปอย่ำงง่ำยได้อย่ำงไร 4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
27 × (-5) 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
111 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
7. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
3. -38 × 53 จํานวนจริงบวกเทานั้น)
4. -(35 × 53)
(เฉลยคําตอบ (-243) × 3,375 = (-3)5 × (15)3
= -(35) × (3 × 5)3
= -35 × 33 × 53
= -38 × 53
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
T121
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T122
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
ตัวอย่างที่ 3 3. ครูยกตัวอยางที่ 3 ในหนังสือเรียน หนา 113
จงเขียนผลคูณของจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปอย่�งง่�ย บนกระดาน และแสดงการหาผลคู ณ ของ
จํ า นวนในรู ป เลขยกกํ า ลั ง แล ว ให นั ก เรี ย น
1) 34 × 32 2) (-2)3 × (-2)2
3 5 ทํา “ลองทําดู” จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน
3) (35 ) × (35 ) 4) p4 × p5 เมื่อ p แทนจ�ำนวนใด ๆ เฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
วิธีทำ� ก ำรเขียนผลคูณของจ�ำนวนให้อยู่ในรูปอย่ำงง่ำย ต้องใช้สมบัติ 1 ของเลขยกก�ำลัง 4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู กั น แล ว ทํ า “Thinking
ดังนี้ Time” ในหนังสือเรียน หนา 113 พรอมทั้ง
1) จำกสมบัติ 1 ของเลขยกก�ำลัง จะได้ a = 3, m = 4 และ n = 2 ยกตัวอยางประกอบ โดยทําลงในสมุดของ
ดังนั้น 34 × 32 = 34 + 2 = 36 ตนเอง จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
2) จำกสมบัติ 1 ของเลขยกก�ำลัง จะได้ a = -2, m = 3 และ n = 2 คําตอบ “Thinking Time”
ดังนั้น (-2)3 × (-2)2 = (-2)3 + 2 = (-2)5
3) จำกสมบัติ 1 ของเลขยกก�ำลัง จะได้ a = 35 , m = 3 และ n = 5
3 5 3+5 8
ดังนั้น (35 ) × (35 ) = (35 ) = (35)
4) จำกสมบัติ 1 ของเลขยกก�ำลัง จะได้ a = p, m = 4 และ n = 5
ดังนั้น p4 × p5 = p4 + 5 = p9 ตอบ
ลองทําดู
จงเขียนผลคูณของจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปอย่�งง่�ย
1) 24 × 25 2) (-5)5 × (-5)2
3 8
3) (- 49 ) × (- 49 ) 4) b9 × b10 เมื่อ b แทนจ�ำนวนใด ๆ
Thinking Time
ให้ a แทนจ�ำนวนใด ๆ และ m, n, p แทนจ�ำนวนเต็มบวก
am × an × ap
มีผลคูณเป็นเท่ำใด
113
T123
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
5. ครูยกตัวอยางการหาผลคูณของเลขยกกําลัง จงพิจำรณำผลคูณของเลขยกก�ำลังต่อไปนี้
(36)2 ในหนังสือเรียน หนา 114 บนกระดาน 1) (36)2 = 36 × 36
แลวอธิบายวาใชสมบัติ 1 ชวยในการหาผลคูณ = 36 + 6 (สมบัติ 1)
ได ดังนี้ = 36 × 2
(36)2 = 36 × 36 = 36+6 = 36×2 2) ((-4)8)2 = (-4)8 × (-4)8
6. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางการหาผลคูณของ = (-4)8 + 8 (สมบัติ 1)
เลขยกกําลังขอ 2) และ 3) ในหนังสือเรียน = (-4)8 × 2
หนา 114 แลวถามคําถาม ดังนี้ 3 3 3 3 3
• เลขชี้กําลังของผลคูณและเลขชี้กําลังของ 3) ((27 ) ) = (27 ) × (27 ) × (27 )
3 + 3 + 3
ตัวตั้งและตัวคูณมีความสัมพันธกันอยางไร = ( 27 ) (สมบัติ 1)
( แนวตอบ เลขชี้ กํ า ลั ง ของผลคู ณ เท า กั บ 3×3
ผลคูณของเลขชีก้ าํ ลังของตัวตัง้ และตัวคูณ) = ( 27 )
และนักเรียนรวมกันสรุปดังในกรอบ “สมบัติ 2” จำกข้อ 1) - 3) สรุปเป็นไปตำมสมบัติของเลขยกก�ำลังได้ ดังนี้
ในหนังสือเรียน หนา 114 ที่กําหนดให a
สมบัติ 2
แทนจํานวนใดๆ และ m, n แทนจํานวน
ก�ำหนดให้ a แทนจ�ำนวนใด ๆ และ m, n แทนจ�ำนวนเต็มบวก
เต็มบวก
(am)n = am n ×
(am)n = am×n
ตัวอย่างที่ 4
เข้าใจ (Understanding)
จงเขียนผลคูณของจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปอย่�งง่�ย
1. ครูยกตัวอยางที่ 4 ในหนังสือเรียน หนา 114-115 4 4 8 6
บนกระดาน และแสดงการหาผลคู ณ ของ 1) (38)4 × (39)3 2) ((- 29 ) ) × ((- 29 ) )
จํานวนในรูปเลขยกกําลัง 3) (a20)4 × (a30)3 เมื่อ a แทนจ�ำนวนใด ๆ
วิธีทำ� ก ำรเขียนผลคูณของจ�ำนวนให้อยู่ในรูปอย่ำงง่ำย ต้องใช้สมบัติ 1 และสมบัติ 2
ของเลขยกก�ำลัง ดังนี้
1) (38)4 × (39)3 = (38 × 4) × (39 × 3) (สมบัติ 2)
= 332 × 327
= 332 + 27
(สมบัติ 1)
= 359
114
T124
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
4 4 8 6 4 × 4 8×6
2) ((- 29 ) )
((- 29 ) ) = (- 29 ) × (- 29 )
× (สมบัติ 2) 2. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
16 48 หนา 115 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
= (- 29 ) × (- 29 )
16 + 48 คําตอบ
= (- 29 ) (สมบัติ 1) 3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 3.2 ขอ 1. และ
64
= (- 29) ข อ 2. (ข อ ย อ ยที่ 1)-4)) ในแบบฝ ก หั ด
คณิตศาสตรเปนการบาน
3) (a20)4 × (a30)3 = a20×4 × a30×3 (สมบัติ 2)
= a80 × a90 รู้ (Knowing)
= a80 + 90
(สมบัติ 1) 1. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ Exercise
= a170 ตอบ
3.2 ขอ 1. และขอ 2. (ขอยอยที่ 1)-4))
ลองทําดู 2. ครูยกตัวอยางการหาผลคูณของเลขยกกําลัง
1
จงเขียนผลคูณของจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปอย่�งง่�ย (-3)3 × 53 ในหนังสือเรียน หนา 115 บน
1) ((-4)8)2 × ((-4)3)9
4 10 10 5
2) (( 37 ) ) × ((37 ) ) กระดาน พรอมกับถามคําถาม ดังนี้
• (-3)3 เขียนในรูปการคูณของฐานเปนจํานวน
3) (y4)7 × (y8)4 เมื่อ y แทนจ�ำนวนใด ๆ
ซํ้าๆ กันไดอยางไร
จงพิจำรณำผลคูณของเลขยกก�ำลังต่อไปนี้ (แนวตอบ (-3) × (-3) × (-3))
• 53 เขียนในรูปการคูณของฐานเปนจํานวน
1) (-3)3 × 53 = [(-3) × (-3) × (-3)] × (5 × 5 × 5)
= [(-3) × 5] × [(-3) × 5] × [(-3) × 5] ซํ้าๆ กันไดอยางไร
= [(-3) × 5]3 (แนวตอบ 5 × 5 × 5)
2 2
• (-3)3 × 53 เขียนในรูปการคูณของฐาน
2) (14 ) × (15 ) = (14 × 14 ) × (15 × 15 ) เปนจํานวนซํ้าๆ กันไดอยางไร
= (14 × 15 ) × (14 × 15 ) (แนวตอบ (-3) × (-3) × (-3) × 5 × 5 × 5)
2 จากนั้นครูอธิบายวา ถาจับกลุมการคูณใหม
= (14 × 15 ) เปน [(-3) × 5] จะได 3 กลุม ดังนี้
2
3) 32 × (29 ) = (3 × 3) × (29 × 29 ) (-3)3 × 53 = [(-3) × 5] × [(-3) × 5] ×
[(-3) × 5]
= (3 × 29 ) × (3 × 29 )
• [(-3) × 5] × [(-3) × 5] × [(-3) × 5]
2
= (3 × 29 ) เขียนในรูปเลขยกกําลังไดอยางไร
(แนวตอบ [(-3) × 5]3)
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งการหาผลคู ณ
115 ของเลขยกกําลังขอ 2) และ 3) ในหนังสือ
เรียน หนา 115
T125
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
4. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น สรุ ป ดั ง ในกรอบ จำกข้อ 1) - 3) สรุปเป็นไปตำมสมบัติของเลขยกก�ำลังได้ ดังนี้
“สมบั ติ 3” ในหนั ง สื อ เรี ย น หน า 116
สมบัติ 3
ที่กําหนดให a, b แทนจํานวนใดๆ และ m
ก�ำหนดให้ a, b แทนจ�ำนวนใด ๆ และ m แทนจ�ำนวนเต็มบวก
แทนจํานวนเต็มบวก am × bm = (a × b)m am × bm = (a × b)m
5. ครูยกตัวอยางที่ 5 ในหนังสือเรียน หนา 116
บนกระดาน และแสดงการหาผลคู ณ ของ ตัวอย่างที่ 5
จํ า นวนในรู ป เลขยกกํ า ลั ง แล ว ให นั ก เรี ย น จงเขียนผลคูณของจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปอย่�งง่�ย
ทํา “ลองทําดู” จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน 1) 34 × 54 2) (-4)3 × (-2)3
เฉลยคําตอบ 3) a9 × b9 เมื่อ a, b แทนจ�ำนวนใด ๆ
6. ครูยกตัวอยางการหาผลคูณของเลขยกกําลัง วิธีทำ� กำรเขียนผลคูณของจ�ำนวนให้อยู่ในรูปอย่ำงง่ำย ต้องใช้สมบัติ 3 ของเลขยกก�ำลัง
(910 × 75)3 ในหนังสือเรียน หนา 116 บน ดังนี้
กระดาน แลวอธิบายวา เราจะนําสมบัติ 2 1) 34 × 54 = (3 × 5)4 = 154 (สมบัติ 3)
และสมบัติ 3 มาชวยในการหาผลคูณ จากนั้น 3 3 3
2) (-4) × (-2) = [(-4) × (-2)] = 8 3 (สมบัติ 3)
ครูเขียนแสดงวิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน 9 9 9 9
3) a × b = (a × b) = (ab) (สมบัติ 3) ตอบ
และเนนยํ้านักเรียนวาขั้นตอนใดใชสมบัติใด
7. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งการหาผลคู ณ ลองทําดู
ของเลขยกกําลังขอ 2) และ 3) ในหนังสือ จงเขียนผลคูณของจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปอย่�งง่�ย
เรียน หนา 116 แลวครูและนักเรียนรวมกัน 3 3
1) (45 ) × (10
16) 2) 510 × (-9)10
สรุปดังในกรอบ “สมบัติ 4” ในหนังสือเรียน
หนา 117 ที่กําหนดให a, b แทนจํานวนใดๆ 3) m5 × n5 เมื่อ m, n แทนจ�ำนวนใด ๆ
และ m, n, k แทนจํานวนเต็มบวก จงพิจำรณำผลคูณของเลขยกก�ำลังต่อไปนี้
(am × bn)k = am×k × bn×k
1) (910 × 75)3 = (910)3 × (75)3 (สมบัติ 3)
เขาใจ (Understanding) = 910 × 3 × 75 × 3 (สมบัติ 2)
1. ครูยกตัวอยางที่ 6 ในหนังสือเรียน หนา 117 2) ((-4)3 × 24)2 = ((-4)3)2 × (24)2 (สมบัติ 3)
บนกระดาน แลวใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” = (-4)3 × 2 × 24 × 2 (สมบัติ 2)
6 5 65
จากนั้นรวมกันเฉลยคําตอบ 3) (78 × (49 ) ) = (78)5 × ((49 ) ) (สมบัติ 3)
6 × 5
= 78 × 5 × (49 ) (สมบัติ 2)
116
= -8
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)
T126
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
จำกข้อ 1) - 3) สรุปเป็นไปตำมสมบัติของเลขยกก�ำลังได้ ดังนี้ 2. ครูแจกใบงานที่ 3.2 เรื่อง การคูณเลขยกกําลัง
เมือ่ เลขชีก้ าํ ลังเปนจํานวนเต็มบวก ใหนกั เรียน
สมบัติ 4 ทํา จากนั้นรวมกันเฉลยคําตอบ
ก�ำหนดให้ a, b แทนจ�ำนวนใด ๆ และ m, n, k แทนจ�ำนวนเต็มบวก 3. ใหนักเรียนทํา Exercise 3.2 ขอ 2. (ขอยอยที่
(am × bn)k = am k × bn k
× ×
5)-12)) ในแบบฝกหัดคณิตศาสตรเปนการบาน
ตัวอย่างที่ 6 ลงมือทํา (Doing)
จงเขียนผลคูณของจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปอย่�งง่�ย ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ
37
1) (119 × (45 ) ) 2) ((-8)3 × 105)4 สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
• ให นั ก เรี ย นร ว มกั น วิ เ คราะห “H.O.T.S.
3) (a4 × b6)8 เมื่อ a, b แทนจ�ำนวนใด ๆ
คํ า ถามท า ทายการคิ ด ขั้ น สู ง ” แล ว เขี ย น
วิธีทำ� กำรเขียนผลคูณของจ�ำนวนให้อยู่ในรูปอย่ำงง่ำย ต้องใช้สมบัติ 4 ของเลขยกก�ำลัง คําตอบจากการวิเคราะหลงในสมุดตนเอง
ดังนี้ • จากนัน้ ใหนกั เรียนแลกเปลีย่ นความรูภ ายใน
37 3 × 7
1) (119 × (45 ) ) = 119×7 × (45 ) (สมบัติ 4) กลุมของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
= 1163 × (45)
21 • ให ตั ว แทนกลุ ม มานํ า เสนอคํ า ตอบหน า
ชั้นเรียน
2) ((-8)3 × 105)4 = (-8)3×4 × 105×4 (สมบัติ 4)
= (-8)12 × 1020 ขัน้ สรุป
3) (a4 × b6)8 = a4×8 × b6×8 (สมบัติ 4) ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
= a32 × b48 ตอบ นักเรียน ดังนี้
ถากําหนดให a, b แทนจํานวนใดๆ และ
ลองทําดู
m, n แทนจํานวนเต็มบวก แลว
จงเขียนผลคูณของจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปอย่�งง่�ย • am × an มีคาเทากับเทาไร
34
1) (74 × (141 ) ) 2) ((-9)3 × 74)10 (แนวตอบ เทากับ am+n)
3) (a5 × b6)5 เมื่อ a, b แทนจ�ำนวนใด ๆ • (am)n มีคาเทากับเทาไร
(แนวตอบ เทากับ am×n)
คําถามทาทายการคิดขัน
้ สูง ขัน้ ประเมิน
ก�ำหนดให้ a แทนจ�ำนวนใด ๆ และ m, n แทนจ�ำนวนเต็มบวก 1. ครูตรวจใบงานที่ 3.2
n
am = (am)n 2. ครูตรวจ Exercise 3.2
นักเรียนคิดว่ำ ข้อควำมข้ำงต้นเป็นจริงหรือไม่ เพรำะเหตุใด 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
117 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
6. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
T127
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T128
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
การพิจารณาผลหารของ am ÷ an เมื่อ a แทนจ�านวนใด ๆ ที่ไม่เท่ากับศูนย์ และ m, n 3. ครูกลาวถึงการหาผลหารของ am ÷ an เมื่อ a
แทนจ�านวนเต็มบวก ซึ่งจะแบ่งการพิจารณาเป็น 3 กรณี ดังนี้ แทนจํานวนใดๆ ที่ไมเทากับศูนย และ m, n
กรณีที่ 1 m > n แทนจํานวนเต็มบวก ซึ่งแบงการพิจารณาเปน
m ตัว
am = a × a × a × ... × a 3 กรณี ดังนี้
an a × a × a × ... × a กรณีที่ 1 เมื่อ m > n
n ตัว
m
m - n ตัว am ÷ an = a n = am-n
= a × a × a × ... × a a
= am-n กรณีที่ 2 เมื่อ m = n
m
ดังนั้น a n = am-n m
am ÷ an = a n = a0
a a
กรณีที่ 2 m = n ซึ่ง a0 = 1
การหาผลหารในกรณีที่ 2 จะต้องใช้บทนิยามต่อไปนี้ กรณีที่ 3 เมื่อ m < n
m
บทนิยาม am ÷ an = a n = am-n
ก�าหนดให้ a แทนจ�านวนใด ๆ ที่ไม่เท่ากับศูนย์ a
a0 = 1 ซึ่ง a-m = 1m
a
am = an = 1 m = n จากนั้นใหนักเรียนศึกษาการหาผลหารของ
an an am ÷ an เมื่อ a แทนจํานวนใดๆ ที่ไมเทากับ
จากบทนิยาม a0 = 1 ศูนย และ m, n แทนจํานวนเต็มบวกทัง้ 3 กรณี
m m
แต่จากการหาผลหาร a n ข้างต้น จะเห็นว่า a n = 1 ในหนังสือเรียน หนา 119-120
m
a a
นั่นคือ a n = a0
a
= an-n
= am-n m=n
m
ดังนั้น a n = am-n
a
119
T129
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
4. ครูถามคําถาม ดังนี้ กรณีที่ 3 m < n
• เลขชี้กําลังของผลหารและเลขชี้กําลังของ กำรหำผลหำรในกรณีที่ 3 จะต้องใช้บทนิยำมต่อไปนี้
ตัวตัง้ และตัวหารมีความสัมพันธกนั อยางไร
บทนิยาม
(แนวตอบ เลขชี้กําลังของผลหาร เทากับ
ก�ำหนดให้ a แทนจ�ำนวนใด ๆ ที่ไม่เท่ำกับศูนย์ และ m แทนจ�ำนวนเต็มบวก
ผลลบของเลขชี้กําลังของตัวตั้งกับตัวหาร)
am = 1-m หรือ a-m = 1m
แลวครูและนักเรียนรวมกันสรุปดังในกรอบ a a
“สมบั ติ 5” ในหนั ง สื อ เรี ย น หน า 120 m ตัว
ที่กําหนดให a แทนจํานวนใดๆ ที่ไมเทากับ am = a × a × a × ... × a
an a × a × a × ... × a
ศูนย และ m, n แทนจํานวนเต็มบวก n ตัว
am = am-n = a × a × a 1 × ... × a = n 1- m = a-(n - m) = am - n
an a
n - m ตัว
5. ครู ย กตั ว อย า งที่ 7 ในหนั ง สื อ เรี ย น หน า m
ดังนั้น a n = am - n
120-121 บนกระดาน แสดงการหาผลหาร a
ของจํานวนในรูปเลขยกกําลัง จะเห็นว่ำ กำรหำรเลขยกก�ำลังที่มีฐำนเป็นจ�ำนวนเดียวกันและฐำนไม่เท่ำกับศูนย์ ผลหำร
จะเป็นเลขยกก�ำลังที่มีฐำนเดิม และเลขชี้ก�ำลังเท่ำกับเลขชี้ก�ำลังของตัวตั้งลบด้วยเลขชี้ก�ำลัง
ของตัวหำร ซึ่งสรุปเป็นไปตำมสมบัติของเลขยกก�ำลังได้ ดังนี้
สมบัติ 5
ก�ำหนดให้ a แทนจ�ำนวนใด ๆ ที่ไม่เท่ำกับศูนย์ และ m, n แทนจ�ำนวนเต็มบวก
am = am - n
an
ตัวอย่างที่ 7
จงเขียนผลห�รของจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปอย่�งง่�ย
9
1) (20 20 9 b20
23) ÷ (23) 2) b16 เมื่อ b แทนจ�ำนวนใด ๆ ที่ไม่เท่ำกับศูนย์
วิธีทำ� กำรเขียนผลหำรของจ�ำนวนให้อยูใ่ นรูปอย่ำงง่ำย ต้องใช้สมบัต ิ 5 ของเลขยกก�ำลัง ดังนี้
1) จำกสมบัติ 5 จะได้ a = 20
23, m = 9 และ n = 9
9 9
ดังนั้น (20 20 20 9-9
23) ÷ (23) = (23) (สมบัติ 5)
0
= (20
23)
= 1
120
T130
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2) จำกสมบัติ 5 จะได้ a = b, m = 20 และ n = 16 6. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
20
ดังนั้น b16 = b20 - 16 (สมบัติ 5) หนา 121 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
b 4 คําตอบ
= b ตอบ
7. ครูยกตัวอยางการหาผลหารของเลขยกกําลัง
ลองทําดู 74 ในหนังสือเรียน หนา 121 บนกระดาน
จงเขียนผลห�รของจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปอย่�งง่�ย 24
99 500 พรอมกับถามคําถาม ดังนี้
1) (800 800 88 2) (-40)439
100) ÷ (100) (-40) • 74 เขียนในรูปการคูณของฐานเปนจํานวน
300
a
3) 300 เมื่อ a แทนจ�ำนวนใด ๆ ที่ไม่เท่ำกับศูนย์ ซํ้าๆ กันไดอยางไร
a (แนวตอบ 7 × 7 × 7 × 7)
จงพิจำรณำผลหำรของเลขยกก�ำลังต่อไปนี้ • 24 เขียนในรูปการคูณของฐานเปนจํานวน
4
1) 74 = 7 × 7 × 7 × 7 ซํ้าๆ กันไดอยางไร
2 2 × 2 × 2 × 2 (แนวตอบ 2 × 2 × 2 × 2)
= 72 × 72 × 72 × 72 4
4 • 74 เขียนในรูปการคูณของฐานเปนจํานวน
= (72 ) 2
3 ซํ้าๆ กันไดอยางไร
2) (-5)3 = (-5) 3 ×× (-5) × (-5)
3 3 × 3 (แนวตอบ 72 ×× 72 ×× 72 ×× 72 )
= (- 3 ) × (- 3 ) × (- 53 )
5 5
3 จากนั้นครูอธิบายวา ถาจับกลุมการหารใหม
= (- 53 )
เปน 72 จะได 4 กลุม ดังนี้
3 3
3) (25 ) ÷ (49 ) = (25 × 25 × 25 ) ÷ (49 × 49 × 49 ) 74 = 7 × 7 × 7 × 7
= (25 × 25 × 25 ) × (94 × 94 × 94 ) 24 2 2 2 2
4
= (25 × 94 ) × (25 × 94 ) × (25 × 94 ) • 74 เขียนในรูปเลขยกกําลังไดอยางไร
2 4
= (25 × 94 )
3 (แนวตอบ (72) )
3
= (25 ÷ 49 ) 8. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางการหาผลหาร
ของเลขยกกําลังขอ 2) และ 3) ในหนังสือ
จำกข้อ 1) - 3) สรุปเป็นไปตำมสมบัติของเลขยกก�ำลังได้ ดังนี้
เรียน หนา 121 แลวครูและนักเรียนรวมกัน
สมบัติ 6 สรุปดังในกรอบ “สมบัติ 6” ในหนังสือเรียน
ก�ำหนดให้ a, b แทนจ�ำนวนใด ๆ ที่ b ≠ 0 และ m แทนจ�ำนวนเต็มบวก
am = a m หนา 121 ที่กําหนดให a, b แทนจํานวนใดๆ
bm ( b ) ที่ b 0 และ m แทนจํานวนเต็มบวก
121 am = a m
bm ( b )
T131
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
1. ครูยกตัวอยางที่ 8 ในหนังสือเรียน หนา 122 ตัวอย่างที่ 8
บนกระดาน และแสดงการหาผลหารของ จงเขียนผลห�รของจำ�นวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปอย่�งง่�ย เมื่อ a, b และ c แทนจำ�นวนใด ๆ
จํ า นวนในรู ป เลขยกกํ า ลั ง แล ว ให นั ก เรี ย น ที่ไม่เท่�กับศูนย์
ทํา “ลองทําดู” จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน 20 20
1) (9b)20 2) (10c )
b ÷c
20
เฉลยคําตอบ (3a)
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 3.2 ขอ 3. ในแบบ วิธีทำ� กำรเขียนผลหำรของจ�ำนวนให้อยู่ในรูปอย่ำงง่ำย ต้องใช้สมบัติ 6 ของเลขยกก�ำลัง
ฝกหัดคณิตศาสตร จากนั้นครูและนักเรียน ดังนี้ 3 20
20
รวมกันเฉลยคําตอบ Exercise 3.2 ขอ 3. 1) (9b)20 = ( 9b
3a1 ) (สมบัติ 6)
(3a)
20
รู้ (Knowing) = ( 3ba )
20 20
1. ครูยกตัวอยางการหาผลหารของเลขยกกําลัง 2) (10c
b ) ÷ c = (10c ÷ c)
20
b (สมบัติ 6)
9 8
( 12
20
137 ) = (10c × 1)
ในหนังสือเรียน หนา 122 บนกระดาน b c
20
แลวอธิบายวาเราจะนําสมบัติ 2 และสมบัติ 6 = ( 10b ) ตอบ
มาชวยในการหาผลหาร จากนัน้ ครูเขียนแสดง
วิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน และเนนยํ้า ลองทําดู
นักเรียนวาขั้นตอนใดใชสมบัติใด จงเขียนผลห�รของจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปอย่�งง่�ย เมื่อ a, b แทนจำ�นวนใด ๆ
2. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางการหาผลหาร ที่ b ≠ 0
ของเลขยกกําลังขอ 2) และ 3) ในหนังสือ 1) 247
7
2) a9
9 10
3) (- 38) ÷ b10
เรียน หนา 122-123 8 b
จงพิจำรณำผลหำรของเลขยกก�ำลังต่อไปนี้
9 8 98
1) ( 127 ) = (127)8 (สมบัติ 6)
13 (13 )
9 × 8
= 127 × 8 (สมบัติ 2)
13
4 3 43
2) ( (-5)10) = ((-5)10) 3 (สมบัติ 6)
(-9) ((-9) )
4 × 3
= (-5)10 × 3 (สมบัติ 2)
(-9)
122
T132
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2 34 24 34
3) ((17 ) (238 ) ) = ((17 ) ) ÷ ((238 ) )
÷ (สมบัติ 6) 3. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น สรุ ป ดั ง ในกรอบ
2 × 4 3 × 4 “สมบั ติ 7” ในหนั ง สื อ เรี ย น หน า 123
= (17 ) ÷ (238 ) (สมบัติ 2)
ที่กําหนดให a, b แทนจํานวนใดๆ ที่ b 0
จำกข้อ 1) - 3) สรุปเป็นไปตำมสมบัติของเลขยกก�ำลังได้ ดังนี้ และ m, n, k แทนจํานวนเต็มบวก
m k m×k
สมบัติ 7 (abn ) = abn×k
ก�ำหนดให้ a, b แทนจ�ำนวนใด ๆ ที่ b ≠ 0 และ m, n, k แทนจ�ำนวนเต็มบวก
am k am k
×
เขาใจ (Understanding)
( bn ) = bn k
×
T133
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
1. ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ กิจกรรม คณิตศาสตร์
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
• ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น ศึ ก ษาและ ให้นกั เรียนทÓกิจกรรมต่อไปนี้
ทํากิจกรรมคณิตศาสตร ในหนังสือเรียน 1. จงเติมตัวเลขลงในช่องว่ำงให้สมบูรณ์
หนา 124 โดยเขียนคําตอบลงในสมุดของ 1) (32)3 = 32 ×
ตนเอง = 36
• จากนัน้ ใหนกั เรียนแลกเปลีย่ นความรูภ ายใน 2) (33)2 = 3 × 2
กลุมของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน = 3
45
• ใหตัวแทนกลุมมานําเสนอคําตอบขอ 2.-4. 3) ((-10) ) = (-10)4 × 5
หนาชั้นเรียน โดยเพื่อนกลุมที่เหลือคอย = (-10)
54
ตรวจสอบความถูกตอง 4) ((-10) ) = (-10)5 × 4
• ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายขอสังเกต = (-10)
9 3 9×
ที่ไดจากกิจกรรม เพื่อนําไปสูขอสรุปของ 5) ((48) ) = (48)
เลขยกกําลัง ดังนี้ = (48)
กําหนดให a แทนจํานวนใดๆ และ m, n
39 ×
แทนจํานวนเต็มบวก จะไดวา 6) ((48) ) = (48)
(am)n = (an)m = (48)
27
47 4×
7) ((57 ÷ 38) ) = (57 ÷ 38)
= (57 ÷ 38)
74 ×
8) ((57 ÷ 38) ) = (57 ÷ 38)
28
= (57 ÷ 38)
2. จงหำว่ำเลขยกก�ำลังทีอ่ ยูใ่ นรูปอย่ำงง่ำยในข้อ 1) และข้อ 2) มีควำมสัมพันธ์กนั หรือไม่ อย่ำงไร
3. จงหำว่ำเลขยกก�ำลังทีอ่ ยูใ่ นรูปอย่ำงง่ำยในข้อ 7) และข้อ 8) มีควำมสัมพันธ์กนั หรือไม่ อย่ำงไร
4. กำ�หนดให้ a แทนจำ�นวนใด ๆ และ m, n แทนจำ�นวนเต็มบวก
(am)n = (an)m
นักเรียนคิดว่ำข้อควำมข้ำงต้นเป็นจริงหรือไม่ เพรำะเหตุใด
124
เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร์
3 9 3 × 9 27
1. 1) (32)3 = 32 × 3 6) ((48) ) = (48) = (48)
= 36 4 7 4× 7 28
7) ((57 ÷ 38) ) = (57 ÷ 38) = (57 ÷ 38)
2) (33)2 = 3 3 ×2
7 4 7 × 4 28
=36 8) ((57 ÷ 38) ) = (57 ÷ 38) = (57 ÷ 38)
3) ((-10)4)5 = (-10)4 × 5
2. มีความสัมพันธกัน โดยเลขชี้กําลังของขอ 2) เปนการสลับที่การคูณของเลขชี้กําลังขอ 1)
= (-10) 20 3. มีความสัมพันธกัน โดยเลขชี้กําลังของขอ 8) เปนการสลับที่การคูณของเลขชี้กําลังขอ 7)
4) ((-10)5)4 = (-10)5 ×4 4. ขอความขางตนเปนจริง เพราะจากความสัมพันธของขอ 1) กับขอ 2), ขอ 3) กับขอ 4),
= (-10) 20 ขอ 5) กับขอ 6) และขอ 7) กับขอ 8) จะเห็นวา เลขชี้กําลังของขอคู เปนการสลับที่การคูณ
9 3 9× 3 ของเลขชี้กําลังของขอคี่ และจากสมบัติการสลับที่สําหรับการคูณจํานวนเต็ม
5) ((48) ) = (48)
27
จะไดวา m × n = n × m ดังนั้น (am)n = (an)m
= (48)
T134
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
แบบฝึกทักษะ 3.2 2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 3.2 (ขอยอยที่
เปนจํานวนคู) เปนการบาน
ระดับ พื้นฐาน
= 33 × 7-7 × 52 × a4b-5c-5
3 2 4
= 3 7× 55 5a )
7bc
T135
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T136
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ตัวอย่างที่ 10 1. ครูยกตัวอยางที่ 10 ขอ 1) จากหนังสือเรียน
จงเขียนจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทย�ศ�สตร์ หนา 127 บนกระดาน และแสดงวิธีทําอยาง
1) 301,000,000 2) 49,000,000 3) 4,502,400 4) 543,200.49 ละเอียดทั้ง 2 วิธี (วิธีใชความรูเรื่องสมบัติการ
วิธีทำ� กำรเขียนจ�ำนวนให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์ ท�ำได้ 2 วิธี ดังนี้ คูณของเลขยกกําลัง และวิธีใชความสัมพันธ
วิธีที่ 1 ใช้ควำมรู้เรื่องสมบัติกำรคูณของเลขยกก�ำลัง ระหวางจํานวนหลักของสวนที่เปนจํานวนเต็ม
1) 301,000,000 = 301 × 106 กับเลขชี้กําลังของฐาน 10) จากนั้นใหนักเรียน
= (3.01 × 102) × 106 ศึกษาตัวอยางที่ 10 ขอ 2)-4)
= 3.01 × 108
2) 49,000,000 = 49 × 106
= (4.9 × 10) × 106
= 4.9 × 107
3) 4,502,400 = 45,024 × 102
= (4.5024 × 104) × 102
= 4.5024 × 106
4) 543,200.49 = 5,432.0049 × 102
= (5.4320049 × 103) × 102
= 5.4320049 × 105
วิธีที่ 2 ใช้ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงจ�ำนวนหลักของส่วนที่เป็นจ�ำนวนเต็มกับเลขชี้ก�ำลัง
ของฐำน 10
1) 301,000,000 เป็นจ�ำนวนเต็มที่มี 9 หลัก
ดังนั้น เลขชี้ก�ำลังของฐำน 10 เป็น 8
จะได้ว่ำ 301,000,000 = 3.01 × 108
2) 49,000,000 เป็นจ�ำนวนเต็มที่มี 8 หลัก
ดังนั้น เลขชี้ก�ำลังของฐำน 10 เป็น 7
จะได้ว่ำ 49,000,000 = 4.9 × 107
3) 4,502,400 เป็นจ�ำนวนเต็มที่มี 7 หลัก
ดังนั้น เลขชี้ก�ำลังของฐำน 10 เป็น 6
จะได้ว่ำ 4,502,400 = 4.5024 × 106
4) 543,200.49 เป็นทศนิยมและมีส่วนที่เป็นจ�ำนวนเต็ม 6 หลัก
ดังนั้น เลขชี้ก�ำลังของฐำน 10 เป็น 5
จะได้ว่ำ 543,200.49 = 5.4320049 × 105 ตอบ
127
T137
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
2. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ลองทําดู
หนา 128 ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ จงเขียนจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทย�ศ�สตร์
3. ครูกลาววา “ในทางกลับกันเราสามารถเขียน 1) 428,000 2) 543,289,400.46 3) 453,200.496
จํานวนในรูปสัญกรณวิทยาศาสตรใหอยูใน
รูปจํานวนเต็มหรือทศนิยมที่มีคามากๆ ได” ตัวอย่างที่ 11
จากนั้นครูยกตัวอยางที่ 11 ขอ 1) ในหนังสือ จงเขียนจำ�นวนในรูปสัญกรณ์วิทย�ศ�สตร์ต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปจำ�นวนเต็มหรือทศนิยม
เรียน หนา 128 บนกระดาน พรอมทั้งแสดง 1) 4.5 × 107 2) 5.632 × 108 3) 9.84200364 × 105
วิธีทําอยางละเอียด วิธีทำ� กำรเขียนจ�ำนวนในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์ให้อยู่ในรูปจ�ำนวนเต็มหรือทศนิยม
4. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 11 ขอ 2)-3) ต้องใช้ควำมรู้เรื่องสมบัติกำรคูณของเลขยกก�ำลัง
แลวทํา “ลองทําดู” 1) เนื่องจำก 107 = 101 + 6 = 10 × 106
5. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลยคํ า ตอบ “ลอง ดังนั้น 4.5 × 107 = 4.5 × 10 × 106
ทําดู” = (4.5 × 10) × 106
6. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 3.3 ขอ 1. = 45 × 106
(ขอยอยที่ 1)-3)) ขอ 2. (ขอยอยที่ 1)-2) = 45,000,000
และ 3)) และ ขอ 4. (ขอยอยที่ 1)) เปน 2) เนื่องจำก 10 = 10 = 103 × 105
8 3 + 5
การบาน ดังนั้น 5.632 × 108 = 5.632 × 103 × 105
= (5.632 × 103) × 105
= 5,632 × 105
= 563,200,000
3) เนื่องจำก 9.84200364 = 984200.364 984200.364
100,000 = 105 = 984200.364 × 10
-5
128
T138
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
จงพิจำรณำกำรเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์ 1. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบแบบฝก
0.15 = 100 15 = 15 = (15) × ( 1 ) = 1.5 × 10-1 ทักษะ 3.3 ขอ 1. ที่ใหนักเรียนทําเปนการบาน
10 × 10 10 10 2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นสั ง เกตจํ า นวนของศู น ย ห ลั ง
247 = 247 = (247) × ( 1 ) = 2.47 × 1 = 2.47 × 10-2
0.0247 = 10,000 100 × 100 100 100 (102) จุดทศนิยมและเลขชี้กําลังของฐาน 10 จาก
451 = (451) × ( 1 ) = 4.51 × 1 = 4.51 × 10-4 ตัวอยางในหนังสือเรียน หนา 129
0.000451 = 1,000,000 100 10,000 (104) 3. ครูเขียน 0.15 = 1.5 × 10-1 บนกระดาน
จำกกำรเขียนจ�ำนวนในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์ จะได้ว่ำ จากนั้นอธิบายวา “จาก 0.15 เปนทศนิยม
0.15 เป็นทศนิยมที่ไม่มีจ�ำนวน “0” หลังจุดทศนิยม เมื่อเขียนในรูปสัญกรณ์ ที่ไมมี 0 หลังจุดทศนิยม จึงไดวามี -1 เปน
วิทยำศำสตร์ มี -1 เป็นเลขชี้ก�ำลังของฐำน 10 เลขชี้ กํ า ลั ง ของฐาน 10 ซึ่ ง มี ค า สั ม บู ร ณ
0.0247 เป็นทศนิยมที่มีจ�ำนวน “0” หลังจุดทศนิยม 1 ตัว เมื่อเขียนในรูปสัญกรณ์ มากกวาจํานวนของศูนยหลังจุดทศนิยมอยู
วิทยำศำสตร์ มี -2 เป็นเลขชี้ก�ำลังของฐำน 10
0.000451 เป็นทศนิยมที่มีจ�ำนวน “0” หลังจุดทศนิยม 3 ตัว เมื่อเขียนในรูปสัญกรณ์ 1 คา”
วิทยำศำสตร์ มี -4 เป็นเลขชี้ก�ำลังของฐำน 10 4. ครูเขียน 0.000451 = 4.51 × 10 -4 บน-
จะเห็นว่ำเมื่อเรำเขียนจ�ำนวนในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์ เลขชี้ก�ำลังของฐำน 10 จะเป็น กระดาน จากนั้นครูอธิบายวา “จาก 0.000451
จ�ำนวนเต็มลบ ซึ่งมีค่ำสัมบูรณ์มำกกว่ำจ�ำนวน “0” หลังจุดทศนิยมอยู่ 1 เป น ทศนิ ย มที่ มี 0 หลั ง จุ ด ทศนิ ย ม 3 ตั ว
จึ ง ได ว า มี -4 เป น เลขชี้ กํ า ลั ง ของฐาน 10
ตัวอย่างที่ 12
ซึ่งมีคาสัมบูรณมากกวาจํานวนของศูนยหลัง
จงเขียนจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทย�ศ�สตร์
จุดทศนิยมอยู 1 คา” แลวถามนักเรียนวา
1) 0.0016 2) 0.00000246 “จํ า นวนของศู น ย ห ลั ง จุ ด ทศนิ ย มและเลขชี้
วิธีทำ� กำรเขียนจ�ำนวนให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์ ท�ำได้ 2 วิธี ดังนี้ กําลังของฐาน 10 มีความสัมพันธกันอยางไร”
วิธีที่ 1 ใช้ควำมรู้เรื่องสมบัติกำรคูณของเลขยกก�ำลัง ( แนวตอบ เลขชี้ กํ า ลั ง ของฐาน 10 จะเป น
1) 0.0016 16
= 10,000 จํานวนเต็มลบ ที่มีคาสัมบูรณมากกวาจํานวน
= 1.6 ×4 10 ของศูนยหลังจุดทศนิยมอยู 1 คา)
10
= 1.6 × 101 - 4 เข้าใจ (Understanding)
= 1.6 × 10-3
246 1. ครูยกตัวอยางที่ 12 ขอ 1) จากหนังสือเรียน
2) 0.00000246 = 100,000,000 หนา 129-130 บนกระดาน และแสดงวิธีทํา
2
= 2.46 ×8 10 อยางละเอียดทั้ง 2 วิธี (วิธีใชความรูเรื่อง
10 สมบั ติ ก ารคู ณ ของเลขยกกํ า ลั ง และวิ ธีใ ช
= 2.46 × 102 - 8
= 2.46 × 10-6 ความสัมพันธระหวางจํานวน “0” หลังจุด
ทศนิยมกับเลขชี้กําลังของฐาน 10)
129
T139
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
2. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 12 ขอ 2) แลว วิธีที่ 2 ใช้ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงจ�ำนวน “0” หลังจุดทศนิยมกับเลขชี้ก�ำลังของฐำน 10
ใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน 1) 0.0016 เป็นทศนิยมที่มีจ�ำนวน 0 หลังจุดทศนิยม 2 ตัว
หนา 130 จากนั้นรวมกันเฉลยคําตอบ ดังนั้น เลขชี้ก�ำลังของฐำน 10 เป็น -3
3. ครูกลาววา “ในทางกลับกันเราสามารถเขียน จะได้ว่ำ 0.0016 = 1.6 × 10-3
จํานวนในรูปสัญกรณวิทยาศาสตรใหอยูใน 2) 0.00000246 เป็นทศนิยมที่มีจ�ำนวน 0 หลังจุดทศนิยม 5 ตัว
รู ป ทศนิ ย มที่ มี ค า น อ ยๆ ได ” จากนั้ น ครู ดังนั้น เลขชี้ก�ำลังของฐำน 10 เป็น -6
ยกตั ว อย า งที่ 13 ข อ 1) ในหนั ง สื อ เรี ย น จะได้ว่ำ 0.00000246 = 2.46 × 10-6 ตอบ
หนา 130 บนกระดาน พรอมทั้งแสดงวิธีทํา ลองทําดู
อยางละเอียด
จงเขียนจำ�นวนในแต่ละข้อต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทย�ศ�สตร์
4. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 13 ขอ 2)-3) 1) 0.000496 2) 0.000040296 3) 0.009046
แลวทํา “ลองทําดู”
5. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลยคํ า ตอบ “ลอง ตัวอย่างที่ 13
ทําดู” จงเขียนจำ�นวนในรูปสัญกรณ์วิทย�ศ�สตร์ต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปทศนิยม
1) 2.57 × 10-3 2) 1.47 × 10-4 3) 9.434 × 10-5
วิธีทำ� กำรเขียนจ�ำนวนในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์ให้อยู่ในรูปทศนิยม ต้องใช้ควำมสัมพันธ์
ระหว่ำงจ�ำนวน 0 หลังจุดทศนิยมกับเลขชี้ก�ำลังของฐำน 10 ดังนี้
1) 2.57 × 10-3 มีเลขชี้ก�ำลังของฐำน 10 เป็น -3
ดังนั้น จ�ำนวน 0 หลังจุดทศนิยมมี 2 ตัว
จะได้ว่ำ 2.57 × 10-3 เขียนในรูปทศนิยมได้ คือ 0.00257
2) 1.47 × 10-4 มีเลขชี้ก�ำลังของฐำน 10 เป็น -4
ดังนั้น จ�ำนวน 0 หลังจุดทศนิยมมี 3 ตัว
จะได้ว่ำ 1.47 × 10-4 เขียนในรูปทศนิยมได้ คือ 0.000147
3) 9.434 × 10-5 มีเลขชี้ก�ำลังของฐำน 10 เป็น -5
ดังนั้น จ�ำนวน 0 หลังจุดทศนิยมมี 4 ตัว
จะได้ว่ำ 9.434 × 10-5 เขียนในรูปทศนิยมได้ คือ 0.00009434 ตอบ
ลองทําดู
จงเขียนจำ�นวนในรูปสัญกรณ์วิทย�ศ�สตร์ต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปทศนิยม
1) 5.545 × 10-6 2) 6.946 × 10-8
130
กิจกรรม ทาทาย
ใหนักเรียนหาผลลัพธของจํานวนที่กําหนด โดยเขียนในรูป
สัญกรณวิทยาศาสตร
(1.3 × 103 + 41 × 102) + (1.5 × 10-1 + 2.1 × 10-2)
T140
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
แบบฝึกทักษะ 3.3 1. ครูแจกใบงานที่ 3.4 เรื่อง การเขียนจํานวน
ในรู ป สั ญ กรณ วิ ท ยาศาสตร ให นั ก เรี ย นทํ า
ระดับ พื้นฐาน
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
1. จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์ 2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก ทั ก ษะ 3.3 เป น
1) 28,000,000 2) 26,870,000 การบาน
3) 40,700,540 4) 0.000082
5) 0.00006303 6) 0.000000203 ขัน้ สรุป
2. จงเขียนจ�ำนวนในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์ต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปจ�ำนวนเต็มหรือทศนิยม ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
1) 8.4 × 102 2) 7.05 × 104 นักเรียน ดังนี้
3) 3.82 × 10-1 4) 9.0504 × 103 • จํานวนในรูปสัญกรณวิทยาศาสตร คือ
-3
5) 7.123 × 10 6) 2.5 × 10-7 (แนวตอบ จํานวนที่เขียนอยูในรูป A × 10n
ระดับ กลาง เมื่อ 1 ≤ A < 10 และ n เปนจํานวนเต็ม)
• การเขียนจํานวนทีม่ คี า มากๆ ในรูปสัญกรณ
3. จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์
วิทยาศาสตร เปนอยางไร
1) (9 × 820) × 103 2) 0.04298 × 0.4
(แนวตอบ เลขชี้กําลังของฐาน 10 จะเปน
3) (4 × 230) × 50,000 4) 0.0004382 × 0.002
จํ า นวนเต็ ม บวก ที่ มี ค า น อ ยกว า จํ า นวน
4. จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปจ�ำนวนเต็มหรือทศนิยม หลักของสวนที่เปนจํานวนเต็มอยู 1 คา)
4 2 2
1) 8.1 × 103 2) 6.25 × 103 3) 1 × 103 • การเขียนจํานวนทีม่ คี า นอยๆ ในรูปสัญกรณ
9 × 10 5 × 10 4 × 10
3 2
วิทยาศาสตร เปนอยางไร
5. (0.09 × 10 ) เขียนให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์ได้อย่ำงไร (แนวตอบ เลขชี้กําลังของฐาน 10 จะเปน
ระดับ ท้าทาย จํ า นวนเต็ ม ลบ ที่ มี ค า สั ม บู ร ณ ม ากกว า
จํานวนของศูนยหลังจุดทศนิยมอยู 1 คา)
6. จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์
9
1) (9 × 816× 45) × 107 × 4 3 ขัน้ ประเมิน
10 10
( 5 4) (
2) 2 × 8 × × 109) × (4 × 2)
10 × 10 4 7 1. ครูตรวจใบงานที่ 3.4
5 × 10 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.3
3) (50,000 × 2,000) × 3 1 4 5 × (7 × 8 × 6) 3. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
(10 × 10 )
4. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
131
T141
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
132
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
เมื่อท�ำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จะได้สูตรหำจ�ำนวนเงินเก็บของวำรุณีในแต่ละปี ดังนี้ 2. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นจนได ข อ สรุ ป สู ต ร
ดอกเบี้ ย ทบต น แล ว อธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม ว า
สูตรดอกเบี้ยทบต้น “การหาจํานวนเงินเก็บในแตละปของวารุณี
r )t
A = P (1 + 100 เปนหนึ่งในตัวอยางของการนําเลขยกกําลัง
มาประยุกตใชในการแกปญหา”
เมื่อ A แทนเงินรวมเมื่อสิ้นปีที่ t 3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นคํ า นวณหาจํ า นวนเงิ น เก็ บ ใน
P แทนเงินต้น แตละปของวารุณี โดยใชสูตรดอกเบี้ยทบตน
r แทนอัตรำดอกเบี้ยต่อปี แลวตรวจสอบคําตอบจากตัวอยางในหนังสือ
t แทนระยะเวลำเป็นปี เรียน หนา 132
กำรหำจ�ำนวนเงินเก็บในแต่ละปีของวำรุณเี ป็นหนึง่ ในตัวอย่ำงของกำรน�ำเลขยกก�ำลังมำ 4. ครูยกตัวอยางที่ 14 ในหนังสือเรียน หนา 133
ประยุกต์ใช้ในกำรแก้ปญหำ ซึ่งนักเรียนจะได้ศึกษำเพิ่มเติมดังตัวอย่ำงต่อไปนี้ พรอมแสดงวิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน
5. ให นั ก เรี ย นทํ า “ลองทํ า ดู ” จากนั้ น ครู แ ละ
ตัวอย่างที่ 14 นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
สุธีฝ�กเงินที่ธน�ค�รแห่งหนึ�งเปนจำ�นวนเงิน 5,000 บ�ท โดยธน�ค�รให้ดอกเบี้ยเงินฝ�ก
ร้อยละ 0.35 ต่อปี จงห�ว่�เมื่อสิ้นปีที่ 2 สุธีจะมีเงินฝ�กในธน�ค�รแห่งนี้เปนจำ�นวนเงินกี่บ�ท
วิธีทำ� จำกสูตรดอกเบี้ยทบต้น A = P (1 + 100 r )t
จะได้ P = 5,000 บำท
r = 0.35
t = 2 2
ดังนั้น จ�ำนวนเงินฝำกของสุธีเมื่อสิ้นปีที่ 2 คือ 5,000 × (1 + 0.35
100 )
= (5 × 103) × (1.0035)2
= [5 × (1.0035)2] × 103
= 5.03506125 × 103
= 5,035.06125 บำท
ดังนั้น จ�ำนวนเงินฝำกของสุธีเมื่อสิ้นปีที่ 2 คือ 5,035.06125 บำท ตอบ
ลองทําดู
กฤติม�ฝ�กเงินเก็บไว้กับสถ�บันก�รเงินแห่งหนึ่งเปนจำ�นวนเงิน 2,000 บ�ท โดยได้ดอกเบี้ย
ร้อยละ 1.3 ต่อปี จงห�ว่�เมื่อสิ้นปีที่ 4 กฤติม�จะมีเงินเก็บจำ�นวนกี่บ�ท
133
T143
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
6. ครูยกตัวอยางที่ 15 ในหนังสือเรียน หนา 134 ตัวอย่างที่ 15
พรอมแสดงวิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน 1
ธาตุไฮโดรเจน 1 กรัม มีจาํ นวนอะตอมอยูป ระมาณ 6.02 × 1023 อะตอม1 จงหาวาธาตุไฮโดรเจน
จากนั้นใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 16 18 กรัม มีจํานวนอะตอมประมาณกี่อะตอม
แลวแลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง วิธีทํา ธาตุไฮโดรเจน 1 กรัม มีจํานวนอะตอมประมาณ 6.02 × 1023 อะตอม
7. ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะคนทํ า “ลองทํ า ดู ” ใน ดังนั้น ธาตุไฮโดรเจน 18 กรัม มีจํานวนอะตอม
หนังสือเรียน หนา 134 แลวครูและนักเรียน ประมาณ 18 × 6.02 × 1023 อะตอม
รวมกันเฉลยคําตอบ = 108.36 × 1023 อะตอม
= 1.0836 × 102 × 1023 อะตอม
= 1.0836 × 1025 อะตอม
ดังนั้น ธาตุไฮโดรเจน 18 กรัม มีจํานวนอะตอมประมาณ 1.0836 × 1025 อะตอม ตอบ
ตัวอย่างที่ 16
2
เครื่องบินลําหนึ่งเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วประมาณ 9.05 × 102 กิโลเมตรตอชั่วโมง2 ถาให
เครื่องบินเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วดังกลาวนี้อยางสมํ่าเสมอในเวลา 11 ชั่วโมง จงหาวาเครื่องบิน
ลํานี้จะเคลื่อนที่ไดระยะทางประมาณกี่กิโลเมตร
วิธีทํา ระยะเวลา 1 ชั่วโมง เครื่องบินเคลื่อนที่ไดระยะทางประมาณ 9.05 × 102 กิโลเมตร
ดังนั้น ระยะเวลา 11 ชั่วโมง เครื่องบินเคลื่อนที่ไดระยะทาง
ประมาณ 11 × 9.05 × 102 กิโลเมตร
= 99.55 × 102 กิโลเมตร
= 9.955 × 103 กิโลเมตร
ดังนั้น เครื่องบินลํานี้จะเคลื่อนที่ไดระยะทางประมาณ 9.955 × 103 กิโลเมตร ตอบ
ลองทําดู
1. แกสไนโตรเจน 28 กรัม มีจํานวนโมเลกุลอยูประมาณ 6.02 × 1023 โมเลกุล3 จงหาวา
แกสไนโตรเจน 14 กรัม มีจํานวนโมเลกุลประมาณกี่โมเลกุล
2. ดาวเทียมดวงหนึ่งเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วประมาณ 2.7 × 104 กิโลเมตรตอชั่วโมง4 ถาให
ดาวเทียมเคลื่อนที่ดวยอัตราดังกลาวนี้อยางสมํ่าเสมอในเวลา 1 วัน จงหาวาดาวเทียม
ดวงนี้จะเคลื่อนที่ไดระยะทางประมาณกี่กิโลเมตร
1, 3
พงศธร นันทธเนศ และคณะ. หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม เคมี ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 - 6 เลม 2. พิมพครั้งที่ 2
(นนทบุรี : ไทยรมเกลา), 10.
2
Boeing 777-200. Retrieved October 18, 2017, from https://www.airlines-inform.com
4
ความเร็ว และความสูงของดาวเทียมในวงโคจร. สืบคนเมื่อ 18 ตุลาคม 2560, จาก http://www.tpa.or.th
134
T144
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
แบบฝึกทักษะ 3.4 1. ครู แ จกใบงานที่ 3.5 เรื่ อ ง การนํ า ความรู
เกี่ ย วกั บ เลขยกกํ า ลั ง ไปใช ใ นชี วิ ต จริ ง ให
ระดับ พื้นฐาน
นักเรียนทํา จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน
1. เวลำ 1 ไมโครวินำที เท่ำกับ 10-6 วินำที จงหำว่ำเวลำ 25 ไมโครวินำที เท่ำกับกี่วินำที เฉลยคําตอบใบงานที่ 3.5
2. ทำงดำรำศำสตร์นิยมใช้หน่วยวัดระยะทำงเป็นปีแสง โดยก�ำหนดว่ำ ระยะ 1 ปีแสง 2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 3.4 ขอ 1.-4.
คือ ระยะที่แสงเคลื่อนที่ไปได้ในเวลำ 1 ปี ซึ่งมีค่ำประมำณ 1.5 × 108 กิโลเมตร1 เปนการบาน แลวรวมกันเฉลยคําตอบแบบฝก
จงเขียนระยะทำงที่แสงเคลื่อนที่ได้ในระยะเวลำต่อไปนี้ในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์ ทักษะ 3.4 ขอ 1.-4.
1) 2 ปี 2) 6 เดือน 3. ครูทบทวนสมบัติของการคูณและการหารเลข
ระดับ กลาง ยกกําลัง เมื่อเลขชี้กําลังเปนจํานวนเต็มบวก
1 และสูตรดอกเบี้ยทบตน
3. แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ 44 กรัม มีจ�ำนวนโมเลกุลอยู่ 6.02 × 1023 อะตอม2 จงหำว่ำ
แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ 114.4 กรัม จะมีจ�ำนวนโมเลกุลกี่โมเลกุล 4. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 3.4 ขอ 5.-7.
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
4. ระยะทำงจำกดวงอำทิตย์ถึงดำวพุธประมำณ 5.68 × 107 กิโลเมตร3 แต่ระยะทำงจำกดวง
อำทิตย์ถึงดำวศุกร์ประมำณ 1.08 × 108 กิโลเมตร4 จงหำว่ำระยะทำงจำกดวงอำทิตย์ถึง
ดำวศุกร์มำกกว่ำระยะทำงจำกดวงอำทิตย์ถึงดำวพุธประมำณกี่กิโลเมตร
5. กำญจนำฝำกเงินกับธนำคำรแห่งหนึ่งเป็นจ�ำนวนเงิน 10,000 บำท โดยธนำคำรให้ดอกเบี้ย
ร้อยละ 0.75 ต่อ 6 เดือน จงหำว่ำเมือ่ สิน้ ปีที่ 4 กำญจนำจะมีเงินฝำกในธนำคำรเป็นจ�ำนวนเงิน
กี่บำท
2
6. ถ้ำ 1 อังสตรอมเท่ำกับ 10-10 เมตร และ 1 นำโนเมตรเท่ำกับ 10-9 เมตร จงหำว่ำ
1.2 อังสตรอมเท่ำกับกี่นำโนเมตร
ระดับ ท้าทาย
7. สันติต้องกำรฝำกเงินในธนำคำรเพื่อเป็นเงินเก็บในอนำคต โดยธนำคำรแรกให้ดอกเบี้ย
ร้อยละ 0.15 ต่อ 3 เดือน และธนำคำรที่สองให้ดอกเบี้ยร้อยละ 0.20 ต่อ 4 เดือน ถ้ำสันติ
ต้องกำรฝำกเงิน 100,000 บำท เป็นเวลำ 10 ปี จงหำว่ำสันติควรฝำกเงินที่ธนำคำรใดจึงจะ
มีเงินเก็บมำกที่สุด และจะมีเงินเก็บจ�ำนวนกี่บำทเมื่อสิ้นปีที่ 10
1
ASTRONOMICAL UNIT : หน่วยวัดระยะท�งด�ร�ศ�สตร์. สืบค้นเมื่อ 18 ตุลำคม 2560,
จำก http://www.sunflowercosmos.org/014-astronomical_unit.html
2
พงศธร นันทธเนศ และคณะ. หนังสือเรียนร�ยวิช�เพิ่มเติม เคมี ชั้นมัธยมศึกษ�ปีที่ 4 - 6 เล่ม 2. พิมพ์ครั้งที่ 2
(นนทบุรี : ไทยร่มเกล้ำ), 10.
3-4
ด�วเคร�ะห์. สืบค้นเมื่อ 18 ตุลำคม 2560, จำก http://www.narit.or.th/index.php/astro/solsys/planets
135
T145
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ คณิตศาสตร์ในชีวิตจริง
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
• ครู ใ ห แ ต ล ะกลุ ม ศึ ก ษาสถานการณ จ าก ก�รแพร่เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง (Hong Kong Flu) โดยก�รจ�ม
“คณิตศาสตรในชีวิตจริง” ในหนังสือเรียน ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง (Hong Kong Flu) เป็นกำรแพร่ระบำดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เอช 3
หนา 136 เอ็น 2 โดยมีต้นก�ำเนิดมำจำกเกำะฮ่องกง ซึ่งสำมำรถติดเชื้อไวรัสนี้ได้จำกกำรจำมของผู้ปวยได้
• จากนั้นใหนักเรียนแตละคนวิเคราะหวา มี
วิ ธีก ารแก ป ญ หาจาก “คณิ ต ศาสตร ใ น
ชีวิตจริง” อยางไร แลวแลกเปลี่ยนคําตอบ
กันภายในกลุม สนทนาซักถามจนเปนที่
เขาใจรวมกัน
• นักเรียนแตละคนเขียนขั้นตอนแสดงวิธีคิด
ของกลุมตนเองอยางละเอียดลงในสมุด
• สงตัวแทนกลุมมานําเสนอคําตอบหนาชั้น
เรียน โดยเพื่อนกลุมที่เหลือคอยตรวจสอบ
ความถูกตอง • กำรจำม 1 ครั้ง จะมีจ�ำนวนละอองเกิดขึ้นประมำณ 40,000 ละออง โดยละอองมีขนำด
เส้นผ่ำนศูนย์กลำง 0.5 ถึง 5 ไมโครเมตร และจะเต็มไปด้วยเชือ้ ไวรัสถ้ำบุคคลนัน้ อยูใ่ นระยะติดต่อ
• ละอองที่ออกมำจะมีควำมเร็วประมำณ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือประมำณ 42 เมตร
ต่อวินำที
• ระยะกำรกระจำยตัวของละอองไปได้ไกลถึง 30 เมตร
• เชือ้ ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ทอี่ อกมำกับละอองน�ำ้ ทีเ่ กิดจำกกำรจำม เมือ่ เข้ำไปสูต่ วั คนภำยใน
ไม่กี่ชั่วโมง ไวรัสตัวนี้ก็สำมำรถลุกลำมถึงปอดอย่ำงรวดเร็ว ถ้ำเป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั่วไป
จะใช้เวลำ 2 - 3 วัน แต่ไวรัสตัวนี้จะใช้เวลำภำยในไม่กี่ชั่วโมง หรือแค่ 1 - 2 วัน ผู้ปวยจะมีอำกำร
ทรุดลงอย่ำงรุนแรง ซึ่งเป็นสำเหตุให้คนไข้เสียชีวิตได้ ดังนั้น เพื่อปองกันกำรติดเชื้อไวรัสจึงควร
ล้ำงมือทุกครั้งเมื่อจับต้องสิ่งของต่ำง ๆ เช่น ลูกบิดประตู ปุมกดลิฟต์ ธนบัตร พื้นผิวโต๊ะ และ
เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
ที่มำ : http://pr.moph.go.th/iprg/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=98667
จำกข้อมูลข้ำงต้น ให้นักเรียนตอบค�ำถำมต่อไปนี้ในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์
1) ละอองหนึ่งละออง มีขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำงกี่เมตร (1 ไมโครเมตร = 10-6 เมตร)
2) ถ้ำผู้ปวยคนหนึ่ง จำมติดต่อกัน 7 ครั้ง จะมีจ�ำนวนละอองที่เกิดขึ้นประมำณกี่ละออง
136
T146
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครูใหนกั เรียนอานและศึกษา “สรุปแนวคิดหลัก”
สรุปแนวคิดหลัก ในหนั ง สื อ เรี ย น หน า 137 แล ว เขี ย นผั ง
มโนทัศน หนวยการเรียนรูที่ 3 เลขยกกําลัง
การเขียนเลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนเต็มบวก ลงในกระดาษ A4
การเขียนจ�านวนเต็มให้อยู่ในรูปเลขยกก�าลังที่มีเลขชี้ก�าลังเป็นจ�านวนเต็มบวกมีบทนิยาม 2. ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
ดังต่อไปนี้ นักเรียน ดังนี้
ถากําหนดให a, b แทนจํานวนใดๆ ที่ b 0
บทนิยาม และ m, n, k แทนจํานวนเต็มบวกใดๆ แลว
ให้ a แทนจ�านวนใด ๆ และ n แทนจ�านวนเต็มบวก “a ยกก�าลัง n” หรือ “a ก�าลัง n” • am × an มีคาเทากับเทาไร
เขียนแทนด้วย an มีความหมาย ดังนี้ an = a × a × a × ... × a
n ตัว
(แนวตอบ เทากับ am+n)
• (am)n มีคาเทากับเทาไร
(แนวตอบ เทากับ am×n)
การคูณและการหารเลขยกกําลัง เมื่อเลขชี้กําลังเปนจํานวนเต็มบวก
• am × bm มีคาเทากับเทาไร
การคูณและการหารเลขยกก�าลังที่มีฐานเป็นจ�านวนใด ๆ ที่ไม่เท่ากับศูนย์ และมีเลขชี้ก�าลัง
(แนวตอบ เทากับ (a × b)m)
เป็นจ�านวนเต็มบวก ต้องใช้สมบัติของเลขยกก�าลังต่อไปนี้
• (am × bn)k มีคาเทากับเทาไร
ก�าหนดให้ a, b แทนจ�านวนใด ๆ ที่ b 0 และ m, n, k แทนจ�านวนเต็มบวกใด ๆ
(แนวตอบ เทากับ am×k × bn×k)
1. am × an = am+n 2. (am)n = am × n
• am ÷ an โดยที่ a 0 มีคาเทากับเทาไร
3. (a × b)m = am × bm 4. (am × bn)k = am × k × bn × k (แนวตอบ เทากับ am-n)
m m m
5. a n = am-n 6. am = (ab) • เมื่อ m = n แลว am ÷ an มีคาเทากับเทาไร
a b
a m k
a m×k
7. ( n ) = n × k (แนวตอบ เทากับ 1)
b b • เมื่อ m < n แลว am ÷ an มีคาเทากับเทาไร
(แนวตอบ เทากับ am-n)
การเขียนจํานวนในรูปสัญกรณวิทยาศาสตร m
• am มีคาเทากับเทาไร
จ�านวนที่เขียนในรูปสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ คือ จ�านวนที่เขียนในรูป A × 10n b m
เมื่อ 1 ≤ A < 10 และ n เป็นจ�านวนเต็ม (แนวตอบ เทากับ (ab) )
m k
การนําความรูเกี่ยวกับเลขยกกําลังไปใชในชีวิตจริง • ( a n ) มีคาเทากับเทาไร
b m×k
เลขยกก�าลังถูกน�าไปใช้ในหลาย ๆ สิ่งที่อยู่ในชีวิตจริง เช่น การค�านวณหาดอกเบี้ยเงินฝาก (แนวตอบ เทากับ a n×k )
b
ต่อป และการค�านวณจ�านวนอะตอมของธาตุ เป็นต้น • จํานวนในรูปสัญกรณวิทยาศาสตร คือ
(แนวตอบ จํานวนที่เขียนอยูในรูป A × 10n
เมื่อ 1 ≤ A < 10 และ n เปนจํานวนเต็ม)
137
T147
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะประจําหนวย
แบบฝึ ก ทั ก ษะ
การเรียนรูที่ 3 เปนการบาน
4. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําถามในหนังสือ
เรียน หนา 106 ที่ไดถามไวในชั่วโมงแรก
ประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่ 3
(แนวตอบ เนื่องจากขอมูลในคอมพิวเตอรจะ 1. จงเขียนค�ำอ่ำนของเลขยกก�ำลังต่อไปนี ้ พร้อมทัง้ บอกว่ำมีจำ� นวนใดเป็นฐำน และมีจำ� นวนใด
ถูกเก็บในระบบเลขฐานสอง และแตละขนาด เป็นเลขชี้ก�ำลัง
ความจุของขอมูลในคอมพิวเตอร เปนจํานวน 1) 109 2) (-50)4
4
ที่อยูในรูปเลขยกกําลังที่มีฐานเปน 2) 3) (10
19) 4) 208
2. จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปอย่ำงง่ำย เมื่อ m, n และ p แทนจ�ำนวนใด ๆ ที่ี p ≠ 0
1) 32 × m2 2) (43)2
3) 109 × 104 4) 9m ÷ 3m
5) (mn)3 ÷ p3 6) (42 × 54)3
2 2
7) (23) × (49) 8) (-3)7 × (-9)7
3. จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์
1) 854,000 2) 4,984,000
3) 4,200,000,000 4) 589,000,000,000
5) 0.0000004832 6) 0.0041
7) 0.000000000978 8) 0.0000000001234
4. ธำตุแคลเซียม 20 กรัม มีจ�ำนวนอะตอมอยู่ประมำณ 6.02 × 1023 อะตอม1 จงหำว่ำ
ธำตุแคลเซียม 100 กรัม จะมีจ�ำนวนอะตอมประมำณกี่อะตอม
5. จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปจ�ำนวนเต็มหรือทศนิยม
1) 0.00000421 × 102 2) 1.729 × 106
3) 0.060428 × 104 4) 9.1638 × 104
5) 0.423400042 × 105 6) 1.468 × 107
3
7) 0.4298341 × 10 8) 11.3 × 1020
1
พงศธร นันทธเนศ และคณะ. หนังสือเรียนร�ยวิช�เพิ่มเติม เคมี ชั้นมัธยมศึกษ�ปีที่ 4 - 6 เล่ม 2. พิมพ์ครั้งที่ 2
(นนทบุรี : ไทยร่มเกล้ำ), 10.
138
T148
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
1. ครูตรวจใบงานที่ 3.5
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.4
6. จ งเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปอย่ำงง่ำย เมื่อ a, b แทนจ�ำนวนใด ๆ ที่ไม่เท่ำกับศูนย์ 3. ครูตรวจแบบฝกทักษะประจําหนวยการเรียนรู
1) (ab4) × (a5b6) 2) (10a4b3) ÷ (8ab) ที่ 3
3) (-11a4b9)2
3 2 10
4) ( 5a 4b ) ÷ (25a8 )
2 4. ครูตรวจผังมโนทัศน
b ab 5. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
5) 18ab7 ÷ 2ab3 6) (-3a10b10) × 4a9b7 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
4 3 10 7 20 3 10
7) (8a5 ) ÷ (16a12 ) 8) (b5) ÷ (-4b 7a ) 7. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
b b a
8. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
7. จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทยำศำสตร์
1) (4.8 × 1010) × (5.8 × 102) 2) (525 × 108) ÷ (5 × 109)
3) (3.57 × 103) + (2.43 × 104) 4) (11.48 × 105) - (2.54 × 104)
4
5) (4.2 × 103)4 6) 4.8 × 10 × 2 × 5
3 × 103
8. ก�ำหนด X = 4.8 × 1021, Y = 450,000,000,000 จงเขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ในรูปสัญกรณ์
วิทยำศำสตร์
1) XY 2) XY
9. ร ัศมีของวงโคจรของโลกรอบดวงอำทิตย์ยำวประมำณ 1.496 × 108 กิโลมตร1 จงหำว่ำ
แสงจำกดวงอำทิตย์ต้องใช้เวลำกี่วินำทีจึงจะเคลื่อนที่มำถึงโลก เมื่อแสงมีอัตรำเร็วประมำณ
3 × 108 เมตรต่อวินำที2
10. พำรำมีเซียม (Paramecium) เป็นสิง่ มีชวี ติ ทีม่ ขี นำดเล็กโดยจัดอยูใ่ นจ�ำพวกสัตว์ทไี่ ม่มกี ระดูก
สันหลังและเป็นสัตว์เซลล์เดียวจ�ำพวกโปรโตซัว (Protozoa) โดยพำรำมีเซียม 1 ตัว จะมี
ขนำดประมำณ 50 - 30 ไมโครเมตร3 จงหำว่ำพำรำมีเซียม 1 ตัว จะมีขนำดประมำณกี่เมตร
(1 ไมโครเมตร = 10-6 เมตร)
11. จงหำว่ำตัวแปร n ในแต่ละข้อต่อไปนี้มีค่ำเท่ำไร
n3
1) (74n) = 49n 2) 310 - n = (93)n
7
1
ด�วเคร�ะห์. สืบค้นเมื่อ 18 ตุลำคม 2560, จำก http://www.narit.or.th/index.php/astro/solsys/planets
2
อัตร�เร็วแสงในตัวกล�งใด ๆ. สืบค้นเมือ่ 18 ตุลำคม 2560, จำก http://www.rmutphysics.com/physics/oldfront/62/light1/
ligh_5.htm
3
พ�ร�มีเซียม. สืบค้นเมื่อ 18 ตุลำคม 2560, จำก https://home.kku.ac.th/pracha/Paramecium.htm
139
8
= 1.20536 × 10
การมี
การทางาน
ระดับคะแนน การแสดง การยอมรับฟัง ส่วนร่วมใน รวม
ลาดับ ลาดับ ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
รายการประเมิน ความคิดเห็น คนอื่น การปรับปรุง 20
ที่ 4 3 2 1 ที่ ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
4.88 × 106
1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย
= 0.247 × 102
4 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ
5 วิธีการนาเสนอผลงาน
รวม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
เกณฑ์การให้คะแนน
............/................./................
ผลงานหรือพฤติกรรมสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 4 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องบางส่วน ให้ 3 คะแนน เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องมาก ให้ 1 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
14 - 17 ดี ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10 - 13 พอใช้ 18 - 20 ดีมาก
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง 14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง
T149
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
T150
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
T151
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
การห่อซูชิแล้วตัดเป็นชิ้น ๆ เพื่อให้ได้หน้าตัดมีรูปทรง
สวยงาม ดึงดูดใจผู้บริโภค ผู้ห่อซูชิจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์
และความสามารถในการห่อ เช่น ถ้านักเรียนอยากได้หน้าซูชิเป็น
รูปดอกไม้ นักเรียนต้องวางข้าวสีชมพูทหี่ อ่ เป็นทรงกระบอกแล้วมา
ประกอบกันให้เป็นรูปดอกไม้บนกึ่งกลางของข้าวสีขาวที่อยู่บน
สาหร่ายและห่อให้กลมสวยงาม จากนั้นก็ตัดข้าวห่อสาหร่าย ซึ่ง
ท�าให้ได้หน้าซูชิเป็นรูปดอกไม้ตามที่ต้องการ
เฉลย คําถามในหนังสือเรียน หน้า 140 ตัวชี้วัด Q. การห่
นักเรียนคิดว่า
อซูชิต้องใช้
การหอซูชิมีความสัมพันธของรูปเรขาคณิต • เข้าใจและใช้ความรู้ทางเรขาคณิตในการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์
สองมิติและรูปเรขาคณิตสามมิติ เนื่องจากกอน
ระหว่างรูปเรขาคณิตสองมิติและรูปเรขาคณิตสามมิติ
(ค 2.2 ม.1/2)
ควÒมÊัม¾ัน¸ระหว่Òง
ที่ จ ะห อ ซู ชิ เ ราต อ งรองซู ชิ ด ว ยสาหร า ยที่ เ ป น รู ป สาระการเรียนรูแกนกลาง
รÙปเร¢Òค³ิตÊองมิติ
สี่ เ หลี่ ย มผื น ผ า ก อ นที่ จ ะทํ า การห อ ซู ชิ ใ ห เ ป น รู ป
• หน้าตัดของรูปเรขาคณิตสามมิติ และรÙปเร¢Òค³ิต
• ภาพที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง ด้านบนของรูปเรขาคณิต
ที่เราตองการเมื่อเราตัดซูชิ อีกทั้งเมื่อเราหอซูชิ สามมิติที่ประกอบขึ้นจากลูกบาศก์ ÊÒมมิติหรือไม่
อย่างไร
แลวจะกลายเปนรูปทรงกระบอก ดังนั้น การหอ
ซู ชิ จึ ง มี ค วามสั ม พั น ธ ข องรู ป เรขาคณิ ต สองมิ ติ
และรูปเรขาคณิตสามมิติ
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนของหนวยการเรียนนี้ ครูควรยกตัวอยางสิ่งของที่อยู
ใกลตัวและเกิดขึ้นในชีวิตประจําวันที่นักเรียนพบเห็นไดงายและเกี่ยวของกับ
ตัวนักเรียน เชน การหั่นผักและผลไมเพื่อใชในการประกอบการทําอาหาร
หรือครูอาจถามวา ในชีวิตประจําวันของเรามีอะไรบางที่เปนรูปเรขาคณิต
สองมิติและรูปเรขาคณิตสามมิติ
T152
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
การใช้ความรูเ้ ดิมฯ (Prior Knowledge)
ควรรูก้ ่อนเรียน 3. ครูใหนกั เรียนศึกษา “ควรรูก อ นเรียน” ในหนังสือ
1 เรียน หนา 141 เรื่อง ชนิดของรูปเรขาคณิต
รูปเรขาคณิตสองมิติและรูปเรขาคณิตสามมิติที่นักเรียนควรรู้จัก มีดังนี้ สองมิติและรูปเรขาคณิตสามมิติ จากนั้นครู
1. รูปเรขาคณิตสองมิติ ถามคําถามวา
รูปเรขาคณิตสองมิติแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ตามลักษณะของด้านหรือขอบของรูป • รูปเรขาคณิตสองมิติมีลักษณะอยางไร
นั้น ๆ ได้แก่ ( แนวตอบ รู ป เรขาคณิ ต สองมิ ติ เป น รู ป
1) รูปหลายเหลี่ยม เรขาคณิ ต ที่ มี ค วามกว า งและความยาว
รูปหลายเหลีย่ มเป็นรูปปดทีเ่ กิดจากส่วนของเส้นตรงตัง้ แต่ 3 เส้นขึน้ ไป โดยมีจดุ ยอด สามารถมองไดเพียง 2 ดานเทานั้น)
เป็นจุดที่แตกต่างกันบนระนาบ เช่น • รูปเรขาคณิตสามมิติมีลักษณะอยางไร
( แนวตอบ รู ป เรขาคณิ ต สามมิ ติ เป น รู ป
เรขาคณิตที่มีความกวาง ความยาว และ
ความสูง (หรือความหนา) ซึ่งสามารถมอง
รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม รูปห้าเหลี่ยม รูปหกเหลี่ยม รูปเจ็ดเหลี่ยม
ได 3 ดาน)
2) รูปเรขาคณิตสองมิติที่มีขอบหรือด้านบางด้านเป็นเส้นโค้ง เช่น 4. ครูใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยางรูปเรขาคณิต
สองมิติและรูปเรขาคณิตสามมิติ พรอมทั้ง
ชวยกันบอกลักษณะของรูปดังกลาว จากนั้น
ครูวาดรูปแสดงบนกระดาน
วงกลม วงรี รูปสามเหลี่ยมฐานโค้ง (แนวตอบ รู ป เรขาคณิ ต สองมิ ติ เช น รู ป
2. รูปเรขาคณิตสามมิติ สามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม วงกลม วงรี เปนตน
รูปเรขาคณิตสามมิติ เป็นรูปทรงที่สามารถวัดความกว้าง ความยาว และความหนาได้ รู ป เรขาคณิ ต สามมิ ติ เช น ทรงสี่ เ หลี่ ย ม
เช่น มุมฉาก ทรงกระบอก ทรงกลม เปนตน)
141
T153
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูกลาวถึงหนาตัดของผลไมชนิดตางๆ ตาม 4.1 หนาตัดของรูปเรขาคณิตสามมิติ
ในหนังสือเรียน หนา 142 ที่แมคาและพอคา
ขายผลไมแบบรถเข็นหั่นผลไมเปนชิ้นเล็กๆ
และครูกลาววา หนาตัดของผลไมแตละชนิด
จะเป น รู ป เรขาคณิ ต สองมิ ติ ที่ มี ลั ก ษณะ
แตกตางกันไป โดยขึ้นอยูกับแนวในการตัด
และชนิดของผลไมนั้นๆ ซึ่งในที่นี้เราจะพูด
ถึงหนาตัดจากการตัด 2 แนว คือ แนวตั้งฉาก
กับพื้นราบ และแนวขนานกับพื้นราบเทานั้น
2. ครูนําผลมะนาว มาตัดใหนักเรียนดูทั้ง 2 แนว
คือ แนวตั้งฉากกับพื้นราบ และแนวขนานกับ
พื้นราบ แลวถามคําถามกับนักเรียนวา
• ถาตัดผลมะนาวในแนวตั้งฉากกับพื้นราบ
และแนวขนานกั บ พื้ น ราบ จะได ห น า ตั ด แม่ค้าและพ่อค้าที่ขายผลไม้แบบรถเข็นจะต้องมีการหั่นผลไม้เป็นชิ้น ๆ หน้าตัดของผลไม้
คลายรูปเรขาคณิตสองมิติใด ในแต่ละชิ้นจะเป็นรูปเรขาคณิตสองมิติที่มีลักษณะแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับแนวในการตัดและ
( แนวตอบ ไม ว า จะตั ด ในแนวตั้ ง ฉากกั บ ชนิดของผลไม้นั้น ๆ แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงหน้าตัดจากการตัด 2 แนว คือ แนวตั้งฉากกับพื้นราบ
พื้ น ราบ หรื อ แนวขนานกั บ พื้ น ราบจะได
และแนวขนานกับพื้นราบ เช่น
หนาตัดคลายวงกลม)
T154
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
3. ครู นํ า ผลแก ว มั ง กร มาตั ด ให นั ก เรี ย นดู ทั้ ง
2 แนว คือ แนวตั้งฉากกับพื้นราบและแนว
ขนานกับพื้นราบ แลวถามคําถามกับนักเรียน
วา
1
แก้วมังกร ตัดตามแนวตั้งฉากกับพื้นราบ หน้าตัดของผลแก้วมังกรเมื่อตัดตามแนวตั้งฉากกับ • ถาตัดผลแกวมังกรในแนวตัง้ ฉากกับพืน้ ราบ
พื้นราบมีลักษณะคล้ายวงกลม และแนวขนานกั บ พื้ น ราบ จะได ห น า ตั ด
คลายรูปเรขาคณิตสองมิติชนิดใด
(แนวตอบ ถาตัดในแนวตั้งฉากกับพื้นราบ
จะไดหนาตัดที่มีลักษณะคลายวงกลม แต
ถาตัดในแนวขนานกับพื้นราบจะไดหนาตัด
ที่มีลักษณะคลายวงรี)
แก้วมังกร ตัดตามแนวขนานกับพื้นราบ หน้าตัดของผลแก้วมังกรเมื่อตัดตามแนวขนานกับ จากนั้นใหนักเรียนอานสรุปการตัดผลมะนาว
พื้นราบมีลักษณะคล้ายวงรี
และผลแกวมังกร ในแนวตั้งฉากกับพื้นราบ
จากรูปข้างต้นจะเห็นว่า ไม่ว่าจะตัดผลมะนาวในแนวการตัดใดก็ตาม ภาพหน้าตัดที่ได้ และแนวขนานกับพืน้ ราบในหนังสือเรียน หนา
จะมีลกั ษณะคล้ายวงกลมเสมอ แต่ถา้ ตัดผลแก้วมังกร ภาพหน้าตัดทีไ่ ด้จะเป็นรูปเรขาคณิตสองมิติ 142-143
ที่มีลักษณะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแนวการตัด 4. ครูใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยางผลไมหรือ
สิ่ ง ของมา 10 อย า ง จากนั้ น ให นั ก เรี ย น
ค³ิตน่ÒรÙ้ ชวยกันลองใชจินตนาการวา “เมื่อตัดผลไม
หรือสิ่งของชนิดนั้น จะไดหนาตัดคลายรูป
เรขาคณิตสองมิติชนิดใด”
5. ครูสรุปใหนักเรียนฟงวา การตัดรูปเรขาคณิต
สามมิ ติ ต ามแนวต า งๆ อาจได ห น า ตั ด
ทรงสี่หน้า ลูกบาศก์ ทรงแปดหน้า ทรงสิบสองหน้า ทรงยี่สิบหน้า
(tetrahedron) (cube) (octahedron) (dodecahedron) (icosahedron) เหมือนกัน หรือหนาตัดตางกันก็ได
143
T155
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
1. ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ จงพิจารณาทรงกลมต่อไปนี้
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
- ใหนักเรียนแตละกลุมปนทรงกลม 2 อัน
จากดินนํ้ามัน แลวนํารูปเรขาคณิตสามมิติ
ทั้ ง สองมาตั ด ตามแนวตั้ ง ฉากกั บ พื้ น ราบ
และแนวขนานกับพื้นราบ
- แตละกลุมรวมกันวิเคราะหวา หนาตัดที่ได
เปนรูปเรขาคณิตสองมิติชนิดใด จากนั้น
วาดรูปเรขาคณิตสามมิติ และหนาตัดที่ได 1) ถ้าใช้ระนาบตัดทรงกลมในแนวตั้งฉากกับพื้นราบ จะได้หน้าตัดเป็นวงกลม
ลงสมุดของตนเอง
ระนาบตัดทรงกลมในแนวตั้งฉากกับพื้นราบ หน้าตัดเป็นวงกลม
2) ถ้าใช้ระนาบตัดทรงกลมในแนวขนานกับพื้นราบ จะได้หน้าตัดเป็นวงกลม
ระนาบตัดทรงกลมในแนวขนานกับพื้นราบ หน้าตัดเป็นวงกลม
144
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
จงพิจารณาทรงกระบอกต่อไปนี้ 2. ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
- ใหนักเรียนแตละกลุมปนทรงกระบอกจาก
ดิ น นํ้ า มั น 1 ชิ้ น แล ว นํ า รู ป เรขาคณิ ต
สามมิ ติ ทั้ ง สองมาตั ด ตามแนวตั้ ง ฉากกั บ
พื้นราบและแนวขนานกับพื้นราบ
- แตละกลุมรวมกันวิเคราะหวา หนาตัดที่ได
เปนรูปเรขาคณิตสองมิติชนิดใด จากนั้น
1) ถ้าใช้ระนาบตัดทรงกระบอกในแนวตัง้ ฉากกับพืน้ ราบ จะได้หน้าตัดเป็นรูปสีเ่ หลีย่ ม วาดรูปเรขาคณิตสามมิติ และหนาตัดของ
มุมฉาก รูปเรขาคณิตสามมิติแตละชนิดลงสมุดของ
ตนเอง
- เมื่ อ เสร็ จ แล ว ให นํ า ส ง ครู โดยครู ค อย
ตรวจสอบความถูกตอง
จากนั้นใหนักเรียนอานสรุปการตัดทรงกลม
และทรงกระบอก ในแนวตั้งฉากกับพื้นราบ
และแนวขนานกั บ พื้ น ราบในหนั ง สื อ เรี ย น
หนา 144-145
ระนาบตัดทรงกระบอกในแนวตั้งฉากกับพื้นราบ หน้าตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 4.1 ขอ 1. ใน
แบบฝกหัดคณิตศาสตร จากนัน้ ครูและนักเรียน
รวมกันเฉลยคําตอบ
2) ถ้าใช้ระนาบตัดทรงกระบอกในแนวขนานกับพื้นราบ จะได้หน้าตัดเป็นวงกลม 4. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 4.1 ขอ 1. ใน
หนังสือเรียน หนา 148 เปนการบาน
ระนาบตัดทรงกระบอกในแนวขนานกับพื้นราบ หน้าตัดเป็นวงกลม
145
T157
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
5. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบแบบฝก จงพิจารณาท่อนไม้ที่มีหน้าตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสต่อไปนี้
ทักษะ 4.1 ขอ 1.
6. ครูกลาวทบทวนการตัดรูปเรขาคณิตสามมิติ
ตามแนวการตัดตางๆ วา จะไดรูปหนาตัด
เปนรูปเรขาคณิตสองมิติที่มี 2 ลักษณะ คือ
1) ภาพหน า ตั ด ที่ ไ ด จ ะเป น รู ป เรขาคณิ ต
สองมิติชนิดเดียวกัน 1 2
1) ถ้าเลื่อยท่อนไม้นี้แบ่งออกเป็น 2 ท่อน โดยเลื่อยในแนวตั้งฉากกับความยาวของ
2) ภาพหน า ตั ด ที่ ไ ด จ ะเป น รู ป เรขาคณิ ต ท่อนไม้
สองมิติตางชนิดกัน
7. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาการเลื่ อ ยท อ นไม ใ น
หนั ง สื อ เรี ย น หน า 146 แล ว ตอบคํ า ถาม
“Thinking Time”
8. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “Thinking
Time” จะได้ท่อนไม้สองท่อนที่มีหน้าตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเหมือนกัน
9. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 4.1 ขอ 2.-3. ใน
แบบฝกหัดคณิตศาสตร แลวครูและนักเรียน
รวมกันเฉลยคําตอบ
2) ถ้าตัดท่อนไม้นี้ต่อไปในลักษณะเดิม จะได้ท่อนไม้ที่มีหน้าตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
เหมือนกันจ�านวนหลายท่อน และแต่ละท่อนมีความยาวสั้นลง
Thinking Time
เฉลย Thinking Time ถ้าน�าท่อนไม้ทมี่ หี น้าตัดเป็นรูปสีเ่ หลีย่ มจัตรุ สั มาตัด โดยใช้เลือ่ ยตัดตัง้ ฉากกับความยาวจะได้หน้าตัด
ของท่อนไม้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ถ้าใช้เลื่อยตัดให้ตั้งฉากกับความกว้างหรือความสูง นักเรียนคิดว่า
หนาตัดของไมจะมีลักษณะไมเปนรูปสี่เหลี่ยม หน้าตัดของท่อนไม้จะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือไม่ เพราะเหตุใด
จั ตุ รั ส เพราะว า ไม ท อ นนี้ มี ค วามยาวไม เ ท า กั บ
กั บ ความกว า งและความสู ง เมื่ อ ใช เ ลื่ อ ยตั ด ให
146
ตั้งฉากกับความกวางหรือความสูง จะไดหนาตัด
ของไมทอนนี้มีลักษณะเปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผา
T158
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
กิจกรรม คณิตศาสตร์ 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม 4 กลุมเทาๆ กัน แลว
ทํากิจกรรม ดังนี้
ให้นกั เรียนแบ่งกลุม่ กลุม่ ละ 4 - 5 คน แล้วช่วยกันทÓกิจกรรมต่อไปนี้ - ใหนักเรียนแตละกลุมชวยกันทํากิจกรรม
คณิตศาสตร ในหนังสือเรียน หนา 147
อุปกรณ์ โดยเขียนลงในสมุดของตนเอง
- จากนั้นครูสุมตัวแทนนักเรียนกลุมละ 1 คน
(4 กลุม) มานําเสนอผลงานพรอมทั้งบอก
หนาตัดที่ได ดังนี้
ตั ว แทนคนที่ 1 นํ า เสนอผลงานที่ ตั ด ใน
แนวตัง้ ฉากกับพืน้ ราบพรอมทัง้ บอกหนาตัด
ที่ได
โอเอซิส มีดคัตเตอร์ ตั ว แทนคนที่ 2 นํ า เสนอผลงานที่ ตั ด ใน
แนวขนานกับพื้นราบพรอมทั้งบอกหนาตัด
ที่ได
1. ให้นักเรียนตัดโอเอซิสให้มีความยาวด้านละ 8 เซนติเมตร ตั ว แทนคนที่ 3 นํ า เสนอผลงานที่ ตั ด ใน
แนวเสนทแยงมุมพรอมทั้งบอกหนาตัดที่ได
2. จงลองจินตนาการรูปหรือหน้าตัดที่ได้จากการตัดโอเอซิสด้วยมีดคัตเตอร์ตามแนวการตัด
ที่ก�าหนดให้ต่อไปนี้ ตั ว แทนคนที่ 4 นํ า เสนอผลงานที่ ตั ด มุ ม
1) ตัดในแนวตั้งฉากกับพื้นราบ ของโอเอซิสพรอมทั้งบอกหนาตัดที่ได
2) ตัดในแนวขนานกับพื้นราบ
3) ตัดในแนวเส้นทแยงมุม
4) ตัดมุมของโอเอซิส
3. ให้นักเรียนตัดโอเอซิสด้วยมีดคัตเตอร์ตามแนวการตัดที่ก�าหนดให้ในข้อ 2. พร้อมทั้ง
เขียนภาพหน้าตัดที่ได้จากการตัดโอเอซิส
4. จงเปรียบเทียบภาพหน้าตัดของโอเอซิสที่ตัดตามแนวการตัดต่าง ๆ กับภาพที่นักเรียน
จินตนาการไว้ ว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
147
เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร์
3.3 ตัดโอเอซิสตามแนวเสนทแยงมุม
1. ตัดโอเอซิสดานละ 8 เซนติเมตร ดังนี้
8 ซม.
8 ซม. 8 ซม.
2. มีหลากหลายคําตอบตามจินตนาการของนักเรียนแตละคน ระนาบตัดโอเอซิสในแนวเสนทแยงมุม หนาตัดเปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผา
3. ตัดโอเอซิสตามแนวที่กําหนด ดังนี้ 3.4 ตัดมุมของโอเอซิส
3.1 ตัดโอเอซิสตามแนวตั้งฉากกับพื้นราบ
ระนาบตัดมุมของโอเอซิส หนาตัดเปนรูปสามเหลี่ยม
ระนาบตัดโอเอซิสในแนวตั้งฉากกับฐาน หนาตัดเปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
3.2 ตัดโอเอซิสตามแนวขนานกับพื้นราบ 4. มีหลากหลายคําตอบตามจินตนาการของนักเรียนแตละคนที่ได
จินตนาการไวในขอ 2.
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 4.1 ขอ 2.-3. แบบฝึกทักษะ 4.1
เปนการบาน
ระดับ พื้นฐาน
7) 8)
148
T160
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 4.1
2. ครูตรวจ Exercise 4.1
ระดับ กลาง 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
2. จงเขียนภาพหน้าตัดที่เกิดจากการใช้ระนาบตัดรูปเรขาคณิตสามมิติที่ก�าหนดให้ 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ตามแนวการตัดต่อไปนี้ 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
1) ตัดตามแนวขนานกับพื้นราบ 6. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
2) ตัดตามแนวตั้งฉากกับพื้นราบ
(1) (2)
(3) (4)
ระดับ ท้าทาย
3. จ ากรูปทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก ABCDEFGH
E F จงตอบค�าถามต่อไปนี้
H G 1) รูปสี่เหลี่ยม AEFB เป็นหน้าตัดที่เกิดจากการตัด
ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากในแนวการตัดใด
2) รูปสามเหลี่ยม DHC เป็นหน้าตัดที่เกิดจากการตัด
D C ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากในแนวการตัดใด
A B 3) รูปสามเหลี่ยม AGD เป็นหน้าตัดที่เกิดจากการตัด
ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากในแนวการตัดใด
149
T161
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
3. 4.
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ภาพสองมิติที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบนของรูปเรขาคณิตสามมิติ 2. ครูหยิบแกวนํา้ (ทรงกระบอก) ขึน้ มา แลวถาม
จะไม่สามารถระบุชนิดของภาพสองมิตินั้นได้ แต่สามารถเขียนภาพแสดงได้ คําถามวา
จงพิจารณาการมองรูปเรขาคณิตสามมิติต่อไปนี้ • (ครูชี้แสดงการมองทางดานหนา) เมื่อมอง
แกวนํ้าทางดานหนา จะเห็นเปนรูปอะไร
(แนวตอบ รูปสี่เหลี่ยมผืนผา)
• (ครูชี้แสดงการมองทางดานขาง) เมื่อมอง
แกวนํ้าทางดานขาง จะเห็นเปนรูปอะไร
(แนวตอบ รูปสี่เหลี่ยมผืนผา)
• (ครูชี้แสดงการมองทางดานบน) เมื่อมอง
ด้านหน้า แกวนํ้าทางดานบน จะเห็นเปนรูปอะไร
ภาพที่ได้จากการมองรูปเรขาคณิตด้านหน้า ได้แก่ส่วนที่แรเงาตามรูปข้างล่างนี้ ภาพที่ได้ (แนวตอบ วงกลม)
จากการมองด้านหน้า เรียกว่า ภาพด้านหน้า 3. ครูวาดรูปใหนักเรียนดูบนกระดานประกอบ
การเฉลยคําตอบ
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งการมองรู ป
เรขาคณิตสามมิติในหนังสือเรียน หนา 151
จากนั้นครูบอกนักเรียนวา
- ภาพที่ไดจากการมองทางดานหนา เรียกวา
ภาพดานหนา
ภาพด้านหน้า
ทิศทางการมองด้านหน้า - ภาพที่ไดจากการมองทางดานขาง เรียกวา
ภาพดานขาง
ภาพที่ได้จากการมองรูปเรขาคณิตด้านข้าง ได้แก่ส่วนที่แรเงาตามรูปข้างล่างนี้ ภาพที่ได้
จากการมองด้านข้าง เรียกว่า ภาพด้านข้าง
ทิศทางการมอง
ด้านข้าง
ภาพด้านข้าง
151
1. 2. 3. 4.
(เฉลยคําตอบ เมื่อพิจารณาจากรูปที่กําหนดและทิศทางการมองจะไดรูปตรงกับขอ 2.
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)
T163
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งการมองรู ป ภาพที่ได้จากการมองรูปเรขาคณิตด้านบน ได้แก่ส่วนที่แรเงาตามรูปข้างล่างนี้ ภาพที่ได้
เรขาคณิตสามมิติในหนังสือเรียน หนา 152 จากการมองด้านบน เรียกว่า ภาพด้านบน
จากนั้ น ครู บ อกนั ก เรี ย นว า ภาพที่ ไ ด จ าก ทิศทางการมองด้านบน
การมองทางดานบน เรียกวา ภาพดานบน
6. ครูอธิบายเพิม่ เติมวา “การเขียนภาพเพือ่ แสดง
ลักษณะของรูปเรขาคณิตสามมิติ นิยมเขียน
ภาพของรูปเรขาคณิตสามมิตินั้นกับภาพอีก
3 ภาพ คือ ภาพที่ไดจากการมองดานหนา
ภาพด้านบน
ดานขาง และดานบนไวดวยกัน”
ในการเขียนภาพเพือ่ แสดงลักษณะของรูปเรขาคณิตสามมิต ิ นิยมเขียนภาพของรูปเรขาคณิต
เข้าใจ (Understanding) สามมิตินั้นกับภาพอีก 3 ภาพ ที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบนไว้ด้วยกันภายใน
1. นักเรียนทํา “Thinking Time” โดยยกตัวอยาง กรอบรูปสี่เหลี่ยม ดังตัวอย่าง
พรอมทัง้ วาดรูปประกอบ (รูปเรขาคณิตสามมิติ
และภาพดานหนา ภาพดานขาง และภาพ
ดานบน)
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 4.2 ขอ 1. ใน
แบบฝกหัดคณิตศาสตรเปนการบาน ภาพด้านบน
ภาพด้านหน้า ภาพด้านข้าง
Thinking Time
นักเรียนคิดว่า สิง่ ของอะไรบ้างในชีวติ ประจ�าวันทีม่ ภี าพทีไ่ ด้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน
เฉลย Thinking Time
เหมือนกัน
ลู ก ฟุ ต บอล (หรื อ สิ่ ง ของที่ เ ป น ทรงกลม)
ลู ก เต า (หรื อ สิ่ ง ของที่ เ ป น ลู ก บาศก ) หรื อ อื่ น ๆ
152
(แนวคําตอบมีไดหลากหลายขึน้ อยูก บั ประสบการณ
ของนักเรียนแตละคน)
1. ทรงสามเหลี่ยมมุมฉาก 2. ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก
3. พีระมิดฐานสี่เหลี่ยม 4. ปริซึมสามเหลี่ยม
(เฉลยคําตอบ รู ป พี ร ะมิ ด เมื่ อ มองจากด า นหน า และด า นข า ง
จะเปนรูปสามเหลี่ยมหนาจั่วที่มียอดรวมกัน เมื่อมองจากดานบน
จะเปนรูปสี่เหลี่ยม
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
T164
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ตัวอย่างที่ 1 1. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ Exercise
จงเขียนภาพเพื่อแสดงลักษณะของรูปเรขาคณิตสามมิติที่ก�าหนดให้ โดยเขียนภาพที่ได้จาก 4.2 ขอ 1.
การมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน 2. ครู ท บทวนการมองรู ป เรขาคณิ ต สามมิ ติ
วิธีท�า ด า นหน า ด า นข า ง และด า นบน โดยการ
ถาม-ตอบ
3. ครูเตรียมอุปกรณตามตัวอยางที่ 1 ในหนังสือ
เรียน หนา 153 ประมาณ 10 ชิ้น จากนั้นครู
วาดรู ป เรขาคณิ ต สามมิ ติ บ นกระดาน แล ว
ส ง อุ ป กรณ ใ ห นั ก เรี ย นแบ ง กั น เพื่ อ มองภาพ
ภาพด้านหน้า ด า นหน า ด า นข า ง และด า นบน แล ว ให
ทิศทางการมองด้านหน้า นั ก เรี ย นแต ล ะคนวาดรู ป เรขาคณิ ต สามมิ ติ
ภาพดานหนา ภาพดานขาง และภาพดานบน
ลงสมุด โดยครูคอยตรวจสอบความถูกตอง
ภาพด้านข้าง 4. ครูใหนักเรียนตรวจสอบวา รูปที่ตนเองไดจาก
ทิศทางการมอง การมองทั้งสามดานเหมือนกับตัวอยางที่ 1
ด้านข้าง หรือไม จากหนังสือเรียน หนา 153
ทิศทางการมองด้านบน
ภาพด้านบน
เขียนภาพเพื่อแสดงลักษณะของรูปเรขาคณิตสามมิติ ได้ดังนี้
ภาพด้านบน
ภาพด้
านหน้ า ภาพด้ านข้าง ตอบ
153
1. 2. 3. 4.
(เฉลยคําตอบ เมื่ อ มองรู ป เรขาคณิ ต สามมิ ติ จ ากด า นข า ง จะได รู ป สี่ เ หลี่ ย มมุ ม ฉาก 3 รู ป
เรียงตอกัน
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 1.)
T165
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
5. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 2 ในหนังสือ ตัวอย่างที่ 2
เรียน หนา 154 แลวครูตั้งคําถามตอไปนี้ จงเขียนภาพเพื่อแสดงลักษณะของรูปเรขาคณิตสามมิติที่ก�าหนดให้ โดยเขียนภาพที่ได้จาก
• ในตัวอยางที่ 2 นักเรียนสังเกตภาพทีไ่ ดจาก การมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน
การมองดานบน ไดอยางไร วิธีท�า
( แนวตอบ ภาพที่ ไ ด จ ากการมองด า นบน
จะเปนรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากติดกัน 3 รูป)
• นั ก เรี ย นสั ง เกตภาพที่ ไ ด จ ากการมอง
ดานหนาไดอยางไร
(แนวตอบ ภาพที่ไดจากการมองดานหนา
จะเป น ภาพสี่ เ หลี่ ย มมุ ม ฉากที่ มี ร อ งลึ ก ภาพด้านหน้า
ตรงกลาง) ทิศทางการมอง
ด้านหน้า
• นั ก เรี ย นสั ง เกตภาพที่ ไ ด จ ากการมอง
ดานขางไดอยางไร
(แนวตอบ ภาพที่ไดจากการมองดานขาง ทิศทางการมอง ภาพด้านข้าง
จะเปนภาพสี่เหลี่ยมผืนผา) ด้านข้าง
ทิศทางการมองด้านบน
ภาพด้านบน
เขียนภาพเพื่อแสดงลักษณะของรูปเรขาคณิตสามมิติ ได้ดังนี้
ภาพด้านบน
ภาพด้
านหน้ า ภาพด้
านข้าง ตอบ
154
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ลองท�ำดู 1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
จงเขียนภาพเพื่อแสดงลักษณะของรูปเรขาคณิตสามมิติที่ก�าหนดให้ โดยเขียนภาพที่ได้จาก หนา 155 แลวครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
การมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน คําตอบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 4.2 ขอ 1.
1) 2)
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 4.2 ขอ 2.-4.
และ Exercise 4.2 ขอ 2.-3. ในแบบฝกหัด
คณิตศาสตรเปนการบาน
ด้านหน้า ด้านหน้า
3) 4)
ด้านหน้า ด้านหน้า
แบบฝึกทักษะ 4.2
ระดับ พื้นฐาน
1. จงเขียนภาพเพื่อแสดงลักษณะของรูปเรขาคณิตสามมิติที่ก�าหนดให้ โดยเขียนภาพที่ได้จาก
การมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน
1) 2)
ด้านหน้า ด้านหน้า
3) 4)
ด้านหน้า ด้านหน้า
155
จากรูปเรขาคณิตสามมิติที่กําหนด รูปในขอใดเกิดจากการมองดานบน
1. 2.
3. 4.
T167
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้ ระดับ กลาง
- ครูวาดภาพดานหนา ภาพดานขาง และภาพ 2. จงตรวจสอบว่า ภาพที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบนของรูปเรขาคณิต
ดานบนของรูปเรขาคณิตสามมิตชิ นิดใดก็ได สามมิติในแต่ละข้อต่อไปนี้เป็นภาพที่ถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องให้แก้ให้ถูกต้อง
บนกระดาน 3-4 ชนิด ภาพสองมิติที่มองเห็น
- นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น วิ เ คราะห ว า ข้อ รูปเรขาคณิตสามมิติ
ด้านหน้า (ก) ด้านข้าง (ข) ด้านบน (ค)
ภาพที่เกิดจากการมองดานตางๆ เปนการ
มองรูปเรขาคณิตสามมิติชนิดใด แลววาด
รู ป เรขาคณิ ต สามมิ ติ ช นิ ด นั้ น ลงสมุ ด ของ 1)
ตนเอง
- ใหตัวแทนกลุมออกมานําเสนอคําตอบหนา ด้านหน้า
ชัน้ เรียน โดยเพือ่ นกลุม ทีเ่ หลือคอยตรวจสอบ
ความถูกตอง
2)
หมายเหตุ : การวาดรู ป เรขาคณิ ต สามมิ ติ
เมื่อกําหนดภาพดานหนา ภาพดานขาง และ ด้านหน้า
ภาพดานบนให ไมไดกลาวไวในหนังสือเรียน
แต ค รู อ าจจั ด กิ จ กรรมนี้ เ พื่ อ ให นั ก เรี ย นได
เข า ใจและใช ค วามรู ท างเรขาคณิ ต ในการ 3)
วิเคราะหความสัมพันธระหวางรูปเรขาคณิต
ด้านหน้า
สองมิติและรูปเรขาคณิตสามมิติมากขึ้น
4)
ด้านหน้า
5)
ด้านหน้า
156
T168
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียนวา
• การมองรู ป เรขาคณิ ต สามมิ ติ สามารถ
3. จงเขียนภาพเพื่อแสดงลักษณะของรูปเรขาคณิตสามมิติที่ก�าหนดให้ โดยเขียนแทนที่ได้จาก กําหนดมุมมองได 3 แบบ คืออะไรบาง
การมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน (แนวตอบ การมองดานหนา ดานขาง และ
1) 2) ดานบน)
• การมองดานหนา (front view) เปนการมอง
วัตถุในดานใด
(แนวตอบ ดานที่อยูใกลผูมองมากที่สุด)
• การมองดานขาง (side view) เปนการมอง
ด้านหน้า ด้านหน้า
วัตถุในดานใด
(แนวตอบ ดานซายหรือดานขวาของผูมอง)
3) 4) • การมองดานบน (top view) เปนการมอง
วัตถุอยางไร
(แนวตอบ วัตถุที่อยูตํ่ากวาผูมอง หรือเปน
การมองจากที่สูงลงมา)
ด้านหน้า
ด้านหน้า
ขัน้ ประเมิน
ระดับ ท้าทาย
1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 4.2
4. จงเขียนภาพสองมิติที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบนของรูปเรขาคณิต 2. ครูตรวจ Exercise 4.2
สามมิติต่อไปนี้ 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
1) 2) 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
6. ครูสังเกตลักษณะอันพึงประสงค
ด้านหน้า ด้านหน้า
157
T169
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
158
นักเรียนควรรู ดานหนา
1 ลูกบาศก (Cube) เปนรูปเรขาคณิตสามมิติที่ประกอบดวยรูปสี่เหลี่ยม
ความยาวดานเทากัน 6 รูป จากรูปที่กําหนด ใหนักเรียนเขียนภาพแสดงรูปเรขาคณิต
สองมิติที่ไดจากการมองดานหนา ดานขาง และดานบน
T170
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
นักเรียนทราบมาแล้วว่า การมองรูปเรขาคณิตสามมิติ สามารถก�าหนดมุมมองได้ 3 แบบ 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน แลว
คือ มองทางด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน ทํากิจกรรม ดังนี้
มองด้านบน - ครูวาดรูปเรขาคณิตสามมิตดิ งั รูปในหนังสือ
เรียน หนา 159 บนกระดาน
- ครูแจกลูกบาศกใหกลุมละ 10 ลูก แลวให
แตละกลุมชวยกันเรียงลูกบาศกใหเปนรูป
เรขาคณิตสามมิติตามแบบที่ครูวาด
- นักเรียนแตละคนวิเคราะหวา ภาพที่ไดจาก
การมองดานหนา ดานขาง และดานบนของ
มองด้านหน้า มองด้านข้าง รูปเรขาคณิตสามมิตินี้เปนรูปอะไร
- แลกเปลี่ยนคําตอบกันภายในกลุม สนทนา
การจัดเรียงลูกบาศก์จ�านวน 10 ลูก ที่ก�าหนดดังภาพ สามารถเขียนแสดงภาพสองมิติ ซักถามจนเปนที่เขาใจรวมกัน
ซึ่งแสดงจ�านวนลูกบาศก์จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน ดังนี้ - วาดภาพดานหนา ภาพดานขาง และภาพ
ดานบนลงในสมุดของตนเอง
3. ครูกลาวถึงการมองภาพดานหนา ดานขาง และ
ดานบนของรูปเรขาคณิตสามมิตทิ ปี่ ระกอบขึน้
จากลู ก บาศก ว า การเขี ย นรู ป เรขาคณิ ต
สองมิ ติ เพื่ อ แสดงรู ป เรขาคณิ ต สามมิ ติ ที่
ประกอบขึ้ นจากลูกบาศก เราจะเขียนเป น
ตารางรูปสีเ่ หลีย่ มจัตรุ สั ทีป่ รากฏในดานทีม่ อง
ภาพด้านข้าง และเพื่ อ ให ท ราบจํ า นวนลู ก บาศก ที่ เ รามอง
ไม เ ห็ น ในด า นที่ ม อง จึ ง เขี ย นตั ว เลขแสดง
จํานวนลูกบาศกกํากับไวในตาราง ซึ่งจะตอง
เขียนตามลําดับที่ของแถวและลําดับที่ของชั้น
ภาพด้านหน้า ภาพด้านบน
159
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
4. ครูนําลูกบาศกมาตอกันดังรูปในหนังสือเรียน การเขียนรูปเรขาคณิตสองมิติ เพื่อแสดงรูปเรขาคณิตสามมิติที่ประกอบขึ้นจากลูกบาศก์
หนา 160 แลวใหนักเรียนสงตัวแทนมา 3 คน จะเขียนเป็นตารางรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ปรากฏในด้านที่มอง และเพื่อให้ทราบจ�านวนลูกบาศก์
ออกมาวาดภาพดานหนา ดานขาง และดาน ที่มองไม่เห็นในด้านที่มอง จึงเขียนตัวเลขแสดงจ�านวนลูกบาศก์ก�ากับไว้ในตาราง ซึ่งจะต้องเขียน
บนของรูปเรขาคณิตสามมิติที่ครูประกอบขึ้น ตามล�าดับที่ของแถว และล�าดับที่ของชั้น
บนกระดาน จงพิจารณารูปเรขาคณิตสามมิติต่อไปนี้
5. ครูใหนักเรียนพิจารณารูปเรขาคณิตสามมิติ
ที่ครูประกอบขึ้น แลวถามคําถามวา
• (ครูชแี้ นวในการมอง) เมือ่ มองจากดานหนา
ของชั้นที่หนึ่ง แถวที่ 1, แถวที่ 2, แถวที่ 3
และแถวที่ 4 มีลูกบาศกกี่ลูก ตามลําดับ แถวที่ 1
(แนวตอบ 2 ลูก, 2 ลูก, 2 ลูก และ 1 ลูก แถวที่ 2
แถวที่ 3 แถวที่ 4
ตามลําดับ)
จากนั้ น ครู เ ขี ย นหมายเลขแสดงจํ า นวน ทิศทางการมองด้านหน้า
ลูกบาศกที่ไดจากการมองดานหนาลงบนภาพ
ดานหนา (ที่ตัวแทนนักเรียนออกมาวาดไว)
จากการมองรูปเรขาคณิตสามมิติที่ก�าหนดจากด้านหน้า จะมี 4 แถว แต่ละแถวมีจ�านวน
ลูกบาศก์ ดังนี้
• (ครูชแี้ นวในการมอง) เมือ่ มองจากดานหนา
แถวที่ 1 จัดเรียงลูกบาศก์ซ้อนกัน 2 ชั้น ชั้นละ 2 ลูก
ของชั้นที่สอง แถวที่ 1 และแถวที่ 2 มี
แถวที่ 2 จัดเรียงลูกบาศก์ซ้อนกัน 2 ชั้น โดยชั้นที่ 1 มีลูกบาศก์จ�านวน 2 ลูกเรียงกัน
ลูกบาศกกี่ลูก ตามลําดับ และชั้นที่ 2 มีลูกบาศก์จ�านวน 1 ลูก
(แนวตอบ 2 ลูก และ 1 ลูก ตามลําดับ) แถวที่ 3 มี 1 ชั้น และมีลูกบาศก์จ�านวน 2 ลูกเรียงกัน
จากนั้ น ครู เ ขี ย นหมายเลขแสดงจํ า นวน แถวที่ 4 มี 1 ชั้น และมีลูกบาศก์จ�านวน 1 ลูก
ลูกบาศกที่ไดจากการมองดานหนาลงบนภาพ นักเรียนเขียนภาพสองมิติจากการมองด้านหน้า และเขียนตัวเลขแสดงจ�านวนลูกบาศก์
ดานหนา (ที่ตัวแทนนักเรียนออกมาวาดไว) ในด้านที่มอง ได้ดังนี้
2 1
2 2 2 1
ภาพด้านหน้า ภาพด้านหน้า
ที่เขียนตัวเลขแสดงจ�านวนลูกบาศก์
160
1
ดานหนา 1
1. 1 2. 1 3. 1 4. 1 1
3 1 1 1 2 2 3 3 2 1
1 1 2 5 1 1 1 4 1 5 3 1
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
6. ครูใหนักเรียนพิจารณารูปเรขาคณิตสามมิติ
ที่ครูประกอบขึ้น แลวถามคําถามวา
• (ครูชี้แนวในการมอง) เมื่อมองจากดานขาง
ของชั้นที่หนึ่ง แถวที่ 1 และแถวที่ 2 มี
ลูกบาศกกี่ลูก ตามลําดับ
แถวที่ 2 (แนวตอบ 3 ลูก และ 4 ลูก ตามลําดับ)
แถวที่ 1
จากนั้ น ครู เ ขี ย นหมายเลขแสดงจํ า นวน
ทิศทางการมองด้านข้าง
ลูกบาศกที่ไดจากการมองดานขางลงบนภาพ
จากการมองรูปเรขาคณิตสามมิติที่ก�าหนดจากด้านข้าง จะมี 2 แถว แต่ละแถวมีจ�านวน ดานขาง (ที่ตัวแทนนักเรียนออกมาวาดไว)
ลูกบาศก์ ดังนี้ • (ครูชี้แนวในการมอง) เมื่อมองจากดานขาง
แถวที่ 1 จัดเรียงลูกบาศก์ซ้อนกัน 2 ชั้น โดยชั้นที่ 1 มีลูกบาศก์จ�านวน 3 ลูกเรียงกัน ของชั้นที่สอง แถวที่ 1 และแถวที่ 2 มี
และชั้นที่ 2 มีลูกบาศก์จ�านวน 1 ลูก ลูกบาศกกี่ลูก ตามลําดับ
แถวที่ 2 จัดเรียงลูกบาศก์ซ้อนกัน 2 ชั้น โดยชั้นที่ 1 มีลูกบาศก์จ�านวน 4 ลูกเรียงกัน (แนวตอบ 1 ลูก และ 2 ลูก ตามลําดับ)
และชั้นที่ 2 มีลูกบาศก์จ�านวน 2 ลูกเรียงกัน จากนั้ น ครู เ ขี ย นหมายเลขแสดงจํ า นวน
นักเรียนเขียนภาพสองมิติจากการมองด้านข้าง และเขียนตัวเลขแสดงจ�านวนลูกบาศก์ ลูกบาศกที่ไดจากการมองดานขางลงบนภาพ
ในด้านที่มอง ได้ดังนี้ ดานขาง (ที่ตัวแทนนักเรียนออกมาวาดไว)
1 2
3 4
ภาพด้านข้าง ภาพด้านข้าง
ที่เขียนตัวเลขแสดงจ�านวนลูกบาศก์
ทิศทางการมองด้านบน
161
(เฉลยคําตอบ ดานหนา แถวที่ 1 มี 2 ชั้น ชั้นที่ 1 มีลูกบาศก 3 ลูกเรียงกัน ชั้นที่ 2 มีลูกบาศก 2 ลูกเรียงกัน
แถวที่ 2 มี 3 ชั้น ชั้นที่ 1 มีลูกบาศก 3 ลูกเรียงกัน ชั้นที่ 2 มีลูกบาศก 1 ลูก ชั้นที่ 3 มีลูกบาศก 1 ลูก
แถวที่ 3 มี 1 ชั้น มีลูกบาศก 1 ลูก
ดานขาง แถวที่ 1 มี 1 ชั้น มีลูกบาศก 2 ลูกเรียงกัน แถวที่ 2 มี 2 ชั้น ชั้นที่ 1 มีลูกบาศก 2 ลูกเรียงกัน
ชั้นที่ 2 มีลูกบาศก 1 ลูก แถวที่ 3 มี 3 ชั้น ชั้นที่ 1 มีลูกบาศก 3 ลูกเรียงกัน ชั้นที่ 2 มีลูกบาศก 2 ลูกเรียงกัน
ชั้นที่ 3 มีลูกบาศก 1 ลูก ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)
T173
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
7. ครูใหนักเรียนพิจารณารูปเรขาคณิตสามมิติ จากการมองรูปเรขาคณิตสามมิติที่ก�าหนดทางด้านบน เขียนภาพสองมิติและนับจ�านวน
ที่ครูประกอบขึ้น แลวถามคําถามวา ลูกบาศก์ที่วางซ้อนกันในแต่ละแนวทางด้านบนจนถึงด้านล่าง และเขียนตัวเลขแสดงจ�านวน
• (ครูชี้แนวในการมอง) เมื่อมองจากดานบน ลูกบาศก์ในด้านที่มอง ได้ดังนี้
มีลูกบาศกกี่ลูก ตามลําดับ 2 2 1 1
( แนวตอบ ครู ดู ก ารเขี ย นแสดงจํ า นวน
2 1 1
ลู ก บาศก เ มื่ อ มองจากด า นบนในหนั ง สื อ
ภาพด้านบน ภาพด้านบน
เรียน หนา 162) ที่เขียนตัวเลขแสดงจ�านวนลูกบาศก์
จากนั้ น ครู ใ ห นั ก เรี ย นตรวจสอบภาพที่ ไ ด
จากการมองดานหนา ดานขาง และดานบน จากตัวเลขที่แสดงจ�านวนลูกบาศก์จากภาพด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน น�ามาเขียน
จากหนังสือเรียน หนา 162 แสดงภาพทั้งหมด ได้ดังนี้
8. ครูใหขอสังเกตกับนักเรียนวา ไมวาภาพที่ได
จากการมองในดานใด ผลรวมของจํานวน
2 2 1 1
ลูกบาศกที่เกิดจากการมองในแตละดานจะมี
2 1 1
คาเทากัน จากนั้นใหนักเรียนลองตรวจสอบ
ผลบวกของจํานวนลูกบาศกทเี่ กิดจากการมอง ภาพด้านบน
ในแตละดาน
2 1 1 2
2 2 2 1 3 4
ภาพด้านหน้า ภาพด้านข้าง
ตัวอย่างที่ 3
ด้านหน้า
162
4 1
3. 4 4. 1
ดานบน
(เฉลยคําตอบ รูปเรขาคณิตสามมิติที่กําหนด มีลูกบาศก
1 แถว 2 ชั้น แตละชั้นมีลูกบาศก 4 ลูกเรียงกัน เมื่อพิจารณา ดานขาง
จากการมองดานหนา ดานขาง และดานบน เขียนภาพดานขาง
ตรงกับขอ 3. ดานหนา
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
T174
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
วิธีท�า เ ขียนภาพสองมิติที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบนของการจัดเรียง 1. ครูยกตัวอยางที่ 3 ในหนังสือเรียน หนา 162-
ลูกบาศก์ที่ก�าหนดให้ ได้ดังนี้ 163 บนกระดาน แล ว ใช ก ารถาม-ตอบ
กั บ นั ก เรี ย นเพื่ อ เขี ย นตั ว เลขแสดงจํ า นวน
2 1 1
ลูกบาศกที่เรียงกันในดานที่มองกํากับไวใน
3 1 1 1 2 1 2
ตาราง
ภาพด้ านหน้ า านข้า ง
ภาพด้ านบน
ภาพด้ ตอบ 2. ครูยกตัวอยางที่ 4 ในหนังสือเรียน หนา 163
บนกระดาน แลวใชการถาม-ตอบกับนักเรียน
ตัวอย่างที่ 4 เพื่ อ เขี ย นตั ว เลขแสดงจํ า นวนลู ก บาศก ที่
จงเขียนภาพแสดงรูปเรขาคณิตสองมิติที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน เรียงกันในดานที่มองกํากับไวในตาราง
พร้อมทั้งเขียนตัวเลขแสดงจ�านวนลูกบาศก์ที่เรียงกันในด้านที่มองก�ากับไว้ในตาราง
ด้านหน้า
163
4 4 4 3 2 2 3 4 3 3 2 2
3. 4 4 5 3 2 2 4. 3 4 5 3 2 2
T175
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
3. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ลองท�ำดู
หนา 164 และ Exercise 4.3 ขอ 1. ในแบบ จงเขียนภาพแสดงรูปเรขาคณิตสองมิติที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน
ฝกหัดคณิตศาสตรเปนการบาน พร้อมทั้งเขียนตัวเลขแสดงจ�านวนลูกบาศก์ที่เรียงกันในด้านที่มองก�ากับไว้ในตาราง
4. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
ในหนังสือเรียน หนา 164 และ Exercise 4.3 1)
ขอ 1.
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 5 ใน
หนังสือเรียน หนา 164-165 แลวแลกเปลี่ยน
ความรูกับคูของตนเอง
ด้านหน้า
2)
ด้านหน้า
ตัวอย่างที่ 5
ด้านหน้า
164
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
วิธีท�า เ ขียนภาพสองมิติที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบนของการจัดเรียง 6. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 6 ใน
ลูกบาศก์ที่ก�าหนดให้ ได้ดังนี้ 3 หนั ง สื อ เรี ย น หน า 165 แล ว แลกเปลี่ ย น
1 1
ความรูกับคูของตนเอง
2
7. ใหนักเรียนแตละคนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือ
3 1 1 1 2 1
เรียน หนา 165 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกัน
1 4 2 3 2 1 1 1 1 1
เฉลยคําตอบ
ภาพด้
านหน้
า ภาพด้ านข้าง ภาพด้ านบน ตอบ 8. ครูสแกน QR Code เรื่อง รูปเรขาคณิตสาม
ตัวอย่างที่ 6 มิติที่ประกอบขึ้นจากลูกบาศก ใหนักเรียนดู
จงเขียนภาพแสดงรูปเรขาคณิตสองมิติที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน
พร้อมทั้งเขียนตัวเลขแสดงจ�านวนลูกบาศก์ที่เรียงซ้อนกันในด้านที่มองก�ากับไว้ในตาราง
ด้านหน้า
วิธีท�า
1 1 2 2 2 1
3 3 3 3 3 3 2 3 2 1
3 3 3 3 4 4 4 2 2 2 1
ภาพด้า นหน้า ภาพด้ านข้าง ภาพด้ านบน ตอบ
ลองท�ำดู
จงเขียนภาพแสดงรูปเรขาคณิตสองมิติที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน
พร้อมทั้งเขียนตัวเลขแสดงจ�านวนลูกบาศก์ที่เรียงกันในด้านที่มองก�ากับไว้ในตาราง
1)
ด้านหน้า
รูปเรขาคณิตสามมิติที่ประกอบขึ้นจากลูกบาศก 165
รูปเรขาคณิตสามมิติรูปนี้ประกอบดวยลูกบาศกทั้งหมดกี่ลูก
1. 10 ลูก 2. 11 ลูก 3. 12 ลูก 4. 13 ลูก
(เฉลยคําตอบ พิจารณาจากดานหนา
ชั้นที่ 1 ประกอบดวยลูกบาศก 7 ลูก
ชั้นที่ 2 ประกอบดวยลูกบาศก 4 ลูก
ชั้นที่ 3 ประกอบดวยลูกบาศก 1 ลูก
รวม 12 ลูก ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
T177
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
9. ครูใหนักเรียนจับคูกันวิเคราะห “H.O.T.S. 2)
คําถามทาทายการคิดขั้นสูง” ในหนังสือเรียน
หนา 166 และสนทนาซักถามเกี่ยวกับวิธีการ
คิดหาคําตอบจนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน แลวตอบ
คําถามจากการวิเคราะหลงในสมุดของตนเอง
10. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา จะดึงลูกบาศก
ออกมาไดมากที่สุดจํานวนกี่ลูก แลวทําให ด้านหน้า
ภาพทีไ่ ดจากการมองดานหนา ดานขาง และ
ดานบน ยังเปนรูปสีเ่ หลีย่ มจัตรุ สั ทีม่ คี วามยาว
ดานละ 3 เซนติเมตร
ค�ำถำมท้ำทำยกำรคิดขัน
้ สูง
ทรงลูกบาศก์
ถ้าให้นักเรียนดึงลูกบาศก์ลูกเล็กบางลูกออก นักเรียนคิดว่าจะดึงลูกบาศก์ออกได้
มากที่สุดจ�านวนกี่ลูกแล้วท�าให้ภาพที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน ยังเป็น
รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีความยาวด้านละ 3 เซนติเมตร
166
T178
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
กิจกรรม คณิตศาสตร์ 1. ครูใหนกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
ให้นกั เรียนแบ่งกลุม่ กล่มุ ละ 4 - 5 คน แล้วช่วยกันทÓกิจกรรมต่อไปนี้ - ใหนกั เรียนรวมกันศึกษากิจกรรมคณิตศาสตร
ในหนังสือเรียน หนา 167
อุปกรณ์ - ครูแจกลูกบาศกใหกลุมละ 20 ลูก แลวให
แตละกลุมชวยกันเรียงลูกบาศกใหเปนรูป
เรขาคณิตสามมิตติ ามจินตนาการขอ 1. และ
รวมกันตอบคําถามขอ 3. โดยเขียนคําตอบ
ลงในสมุดของตนเอง
- จากนัน้ ใหนกั เรียนแลกเปลีย่ นความรูภ ายใน
ลูกบาศก์ ตารางขนาด 4 × 4 กลุม ของตนเอง และสนทนาซักถามเกีย่ วกับ
วิธีการคิดคําตอบ จนเปนที่เขาใจรวมกัน
1. จงลองจินตนาการรูปเรขาคณิตสามมิติที่ประกอบขึ้นจากลูกบาศก์ที่มีภาพด้านบน ดังนี้ - ให ตั ว แทนกลุ ม มานํ า เสนอรู ป เรขาคณิ ต
สามมิติที่สรางและภาพที่ไดจากการมอง
ดานหนา ดานขาง และดานบน พรอมทั้ง
ตารางที่เขียนตัวเลขแสดงจํานวนลูกบาศก
ที่เรียงกันในดานที่มองแตละดาน หนาชั้น
เรียน โดยเพื่อนกลุมที่เหลือคอยตรวจสอบ
ความถูกตอง
2. จงใช้ลูกบาศก์สร้างรูปเรขาคณิตสามมิติตามจินตนาการในข้อที่ 1.
3. จงเขียนภาพแสดงรูปเรขาคณิตสองมิติที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน
พร้อมทั้งเขียนตัวเลขแสดงจ�านวนลูกบาศก์ที่เรียงกันในด้านที่มองก�ากับไว้ในตาราง
167
เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร์
1. ภาพที่ไดจากการมองดานบน 3. เขียนภาพแสดงรูปเรขาคณิตสองมิติที่ไดจากการมองดานหนา ดานขาง ดานบน
และเขียนตัวเลขแสดงจํานวนลูกบาศกที่เรียงกันในดานที่มองได ดังนี้
1 1
2 1 2 1 3 2
2 2 2 2 4 1 3
2. สามารถใชลูกบาศกสรางรูปเรขาคณิตสามมิติ 1 3 2 3 4 3 2 1 1 1 1
ตามจินตนาการในขอ 1. ได ดังนี้ ภาพดานหนา ภาพดานขาง ภาพดานบน
ดานขาง
แถวที่ 4
แถวที่ 3
แถวที่ 2
แถวที่ 1
T179
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 4.3 ขอ 1.-2. แบบฝึกทักษะ 4.3
เปนรายบุคคล เมื่อเสร็จแลวครูสุมนักเรียน
ระดับ พื้นฐาน
ออกมาเขียนภาพที่ไดจากการมองดานหนา
ดานขาง และดานบน บนกระดานหนาชัน้ เรียน 1. จงเขียนภาพแสดงรูปเรขาคณิตสองมิติที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน
จํานวนคนละ 1 ภาพ เรียงตามลําดับขอยอย ของรูปเรขาคณิตสามมิติที่ก�าหนดให้ ดังนี้
โดยครูและนักเรียนรวมกันตรวจสอบความ รูปเรขาคณิตสามมิติ
ภาพสองมิติที่มองเห็น
ถูกตอง ด้านหน้า ด้านข้าง ด้านบน
1)
ด้านหน้า
2)
ด้านหน้า
3)
ด้านหน้า
4)
ด้านหน้า
5)
ด้านหน้า
168
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
3. ครูใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนดานขางรวมกัน
ระดับ กลาง ทําแบบฝกทักษะ 4.3 ขอ 3.-4. จากนั้นครูสุม
3. จงจับคู่รูปเรขาคณิตสามมิติที่ประกอบขึ้นจากลูกบาศก์ในแต่ละข้อต่อไปนี้ กับภาพที่ได้จาก ตัวแทนนักเรียน 3 คู ออกมาสรางรูปเรขาคณิต
การมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน สามมิติที่ประกอบขึ้นจากลูกบาศกในแตละ
1) ก) ขอยอยของขอ 3. จากภาพที่ไดจากการมอง
ดานหนา ดานขาง และดานบน ทีโ่ จทยกาํ หนด
โดยครูและนักเรียนรวมกันตรวจสอบความ
ด้านหน้า ภาพด้านหน้า ภาพด้านข้าง ภาพด้านบน ถูกตอง และครูสุมตัวแทนนักเรียนอีก 3 คู
หาจํ า นวนลู ก บาศก ที่ ถู ก ทาด ว ยสี นํ้ า เงิ น 1
2) ข)
หน า 2 หน า 3 หน า ตามลํ า ดั บ โดยครู
และเพื่อนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง
ด้านหน้า ภาพด้านหน้า ภาพด้านข้าง ภาพด้านบน
3) ค)
4) จงเขียนภาพแสดงรูปเรขาคณิตสองมิติที่ได้จากการมอง
ด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน พร้อมทั้งเขียนตัวเลข
แสดงจ�านวนลูกบาศก์ที่เรียงกันในด้านที่มองก�ากับไว้
ในตาราง
ระดับ ท้าทาย
ด้านหน้า
4. ทรงลูกบาศก์ที่สร้างจากทรงลูกบาศก์ที่มีขนาด
1 ลูกบาศก์เซนติเมตร จ�านวน 27 ลูก ดังรูป
ถ้าใช้สีน�้าเงินทาทรงลูกบาศก์โดยรอบทุกหน้า
จงหาจ�านวนลูกบาศก์เล็กที่ถูกทาด้วยสีน�้าเงิน
1 หน้า 2 หน้า และ 3 หน้า ตามล�าดับ
ทรงลูกบาศก์
169
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
4. ครูใหนกั เรียนวิเคราะหปญ
หาจากสถานการณ คณิตศาสตร์ในชีวิตจริง
ของ “คณิตศาสตรในชีวติ จริง” ในหนังสือเรียน
หน า 170 จากนั้ น ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น
อภิปรายคําตอบ โดยครูขออาสาสมัครนักเรียน
ที่ มี ค วามสามารถทางการวาดภาพออกมา
วาดภาพจําลองการตัดแตงโมเปนชิ้นๆ ตาม
ขัน้ ตอน ในแตละขัน้ ตอนทีเ่ พือ่ นๆ ในชัน้ เรียน
รวมกันอภิปรายคําตอบ พรอมทั้งเขียนอธิบาย
ในแตละขัน้ ตอนไวจนครบทุกขัน้ ตอน โดยวาด
ลงบนกระดาน หลังจากนัน้ ครูใหนกั เรียนเขียน
แตละขั้นตอนที่ไดรวมกันอภิปรายลงในสมุด
ของตนเอง เมื่อเสร็จแลวสงใหครูตรวจ
170
T182
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ครูใหนกั เรียนอานและศึกษา “สรุปแนวคิดหลัก”
สรุปแนวคิดหลัก ในหนังสือเรียน หนา 171
2. ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
หน้าตัดของรูปเรขาคณิตสามมิติ นักเรียนวา
การตัดรูปเรขาคณิตสามมิติตามแนวการตัดต่าง ๆ นั้น นักเรียนจะได้ภาพหน้าตัดเป็นรูป • นักเรียนไดเรียนรูหนาตัดที่เกิดจากการตัด
เรขาคณิตสองมิติ ซึ่งแบ่งหน้าตัดได้ 2 ลักษณะ ดังนี้ 2 แนว ไดแกอะไรบาง
( แนวตอบ เมื่ อ ใช ร ะนาบตั ด รู ป เรขาคณิ ต
1) ภาพหน้าตัดที่ได้จะเป็นรูปเรขาคณิตสองมิติชนิดเดียวกัน
สามมิ ติ ใ นแนวตั้ ง ฉากกั บ พื้ น ราบ และ
แนวขนานกั บ พื้ น ราบ จะได ห น า ตั ด เป น
รูปเรขาคณิตสองมิติที่อาจเหมือนกันหรือ
แตกตางกัน)
ระนาบตัดทรงกลมในแนวตั้งฉากกับพื้นราบ หน้าตัดเป็นวงกลม
ระนาบตัดทรงกลมในแนวขนานกับพื้นราบ หน้าตัดเป็นวงกลม
2) ภาพหน้าตัดที่ได้จะเป็นรูปเรขาคณิตสองมิติต่างชนิดกัน
ระนาบตัดทรงกระบอกในแนวตั้งฉากกับพื้นราบ หน้าตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก
ระนาบตัดทรงกระบอกในแนวขนานกับพื้นราบ หน้าตัดเป็นวงกลม
171
1. 2. 3. 4.
1 2 2
2 3 3 1
2 1 2 2
1 1 1 3 3 1
3 2 1 3 3
ดานบน 1
ดานขาง ดานบน ดานขาง
(เฉลยคําตอบ
1. ไมถูก เพราะรูปเรขาคณิต 1 3. ถูก เพราะ 3 3 1 4. ไมถูก เพราะ 1 1
สามมิติเมื่อมองจากดานขาง 2 1 รูปเรขาคณิต 3 3 1 รูปเรขาคณิต 1 3 3
จะไดภาพ ดังนี้ 3 1 สามมิติเมื่อมองจาก 1 สามมิติเมื่อมองจาก
2. ไมถูก เพราะรูปเรขาคณิต ดานบนจะไดภาพ ดานขางจะไดภาพ
สามมิติเมื่อมองจากดานบน 1 2 2 ดังนี้ ดังนี้
จะไดภาพ ดังนี้ 1 1 1 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
T183
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
3. ครูใหนกั เรียนอานและศึกษา “สรุปแนวคิดหลัก”
ในหนังสือเรียน หนา 172
4. ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียนวา การอธิบายภาพสองมิติที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน
• การมองรู ป เรขาคณิ ต สามมิ ติ สามารถ การเขียนภาพเพือ่ แสดงลักษณะของรูปเรขาคณิตสามมิต ิ ทีไ่ ด้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง
กําหนดมุมมองได 3 แบบ คืออะไรบาง และด้านบน โดยการมองแต่ละด้านจะต้องมองในทิศทางหรือแนวตั้งฉากกับด้านนั้น ๆ ซึ่งจะได้
(แนวตอบ การมองดานหนา ดานขาง และ ภาพที่เป็นรูปเรขาคณิตสองมิติ ดังนี้
ดานบน)
• การเขี ย นรู ป เรขาคณิ ต สองมิ ติ เ พื่ อ แสดง
รู ป เรขาคณิ ต สามมิ ติ ที่ ป ระกอบขึ้ น จาก
ลูกบาศก เขียนไดอยางไร
(แนวตอบ เขียนเปนตารางรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ภาพด้านบน
ที่ ป รากฏในด า นที่ ม อง และเขี ย นตั ว เลข
แสดงจํานวนลูกบาศกกํากับไวในตาราง)
5. ครูใหนักเรียนเขียนผังมโนทัศน หนวยการ
เรี ย นรู ที่ 4 มิ ติ สั ม พั น ธ ข องรู ป เรขาคณิ ต ภาพด้านหน้า ภาพด้านข้าง
ลงในกระดาษ A4
รูปเรขาคณิตสามมิติที่ประกอบขึ้นจากลูกบาศก์
การเขียนรูปเรขาคณิตสองมิตเิ พือ่ แสดงรูปเรขาคณิตสามมิตทิ ปี่ ระกอบขึน้ จากลูกบาศก์ ซึง่ จะ
เขียนเป็นตารางรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ปรากฏในด้านที่มอง และเขียนตัวเลขแสดงจ�านวนลูกบาศก์
ก�ากับไว้ในตาราง ดังนี้
ด้านหน้า
1
1 1 1 1 1 2
1 2 3 3 2 1 2 1 1
ภาพด้านหน้า ภาพด้านข้าง ภาพด้านบน
172
T184
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
6. ครูและนักเรียนรวมกันวิเคราะหแนวทางการ
แบบฝึ ก ทั ก ษะ
ประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 แก ป ญ หาแบบฝ ก ทั ก ษะประจํ า หน ว ยการ
เรียนรูที่ 4
7. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะประจําหนวย
1. จงเขียนภาพหน้าตัดที่เกิดจากการใช้ระนาบตัดทรงสี่หน้า ตามแนวตัดต่อไปนี้ การเรียนรูที่ 4 เปนการบาน
1) ตัดตามแนวขนานกับพื้นราบ
2) ตัดตามแนวตั้งฉากกับพื้นราบ
3) ตัดที่มุมใดมุมหนึ่ง
ทรงสี่หน้า
2. จงเขียนภาพเพื่อแสดงลักษณะของรูปเรขาคณิตสามมิติที่ก�าหนดให้แต่ละข้อต่อไปนี้
โดยเขียนภาพที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน
1) 2) 3)
ด้านหน้า
173
1. 1 2. 1
1 1 2 2 2
2 2 2 1 3 2 2 3
ดานหนา ภาพดานขาง ภาพดานขาง
T185
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
8. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําถามในหนังสือ
เรียน หนา 140 ที่ครูไดถามไวในชั่วโมงที่ 1
(แนวตอบ การหอซูชิมีความสัมพันธของรูป 4. จงเขียนภาพหน้าตัดที่เกิดจากการใช้ระนาบตัดรูปเรขาคณิตสามมิติตามแนวการตัดต่อไปนี้
เรขาคณิ ต สองมิ ติ แ ละรู ป เรขาคณิ ต สามมิ ติ 1) ตัดตามแนวขนานกับพื้นราบ
เนื่องจากกอนที่จะหอซูชิเราตองรองซูชิดวย 2) ตัดตามแนวตั้งฉากกับพื้นราบ
สาหร า ยที่ เ ป น รู ป สี่ เ หลี่ ย มผื น ผ า ก อ นที่ จ ะ 3) ตัดท�ามุม 60 � กับพื้นราบ
ทําการหอซูชิใหเปนรูปที่เราตองการเมื่อเรา
ตัดซูชิ อีกทั้งเมื่อเราหอซูชิแลวจะกลายเปน
รูปทรงกระบอก ดังนั้น การหอซูชิจึงมีความ
สั ม พั น ธ ข องรู ป เรขาคณิ ต สองมิ ติ แ ละรู ป 5. จ งเขียนภาพเพื่อแสดงลักษณะของรูปเรขาคณิตสามมิติที่ก�าหนดให้ โดยเขียนภาพที่ได้จาก
เรขาคณิตสามมิติ) การมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน
ด้านหน้า
ด้านหน้า
174
ขัน้ ประเมิน
1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 4.3
2. ครูตรวจ Exercise 4.3
7. จากรูปพีระมิดฐานสี่เหลี่ยม จงตอบค�าถามต่อไปนี้ 3. ครูตรวจแบบฝกทักษะประจําหนวยการเรียนรู
K ที่ 4
1) รูปสี่เหลี่ยม EFGH เป็นหน้าตัดที่เกิดจาก 4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
การตัดพีระมิดฐานสีเ่ หลีย่ มในแนวการตัดใด 5. ครูตรวจผังมโนทัศน หนวยการเรียนรูที่ 4
H G มิติสัมพันธของรูปเรขาคณิต
E JJ 2) รปู สีเ่ หลีย่ ม IJGF เป็นหน้าตัดทีเ่ กิดจากการ
F ตัดพีระมิดฐานสี่เหลี่ยมในแนวการตัดใด 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
7. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
I 3) รูปสามเหลี่ยม IJG เป็นรูปสามเหลี่ยม
C 8. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
D ชนิดใด
A B
8.
ทรงลูกบาศก์
175
รวม
1
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
เกณฑ์การให้คะแนน
............/................./................
1 2
ผลงานหรือพฤติกรรมสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 4 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องบางส่วน ให้ 3 คะแนน เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องมาก ให้ 1 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
1 2 2 2
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
)
18 - 20 ดีมาก เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
14 - 17 ดี ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10 - 13 พอใช้ 18 - 20 ดีมาก
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง 14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง
T187
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายความสัมพันธ์ Concept - ตรวจใบงานที่ 5.1 - ทักษะการ 1. มีวินัย
แบบรูป พืน้ ฐาน คณิตศาสตร์ ของแบบรูปที่ Based เรื่อง แบบรูปและ หาแบบแผน 2. ใฝ่เรียนรู้
และความสัมพันธ์ ม.1 เล่ม 1 ก�ำหนดให้ได้ (K) Teaching ความสัมพันธ์ของจ�ำนวน 3. มุ่งมั่น
- ใบงานที่ 5.1 เรื่อง 2. อธิบายจ�ำนวนถัดไป - ตรวจแบบฝึกทักษะ 5.1 ในการท�ำงาน
3 แบบรูปและ หรือรูปถัดไปที่เกิดจาก - ประเมินการน�ำเสนอ
ชั่วโมง ความสัมพันธ์ แบบรูปที่มีความ ผลงาน
ของจำ�นวน สัมพันธ์ตามที่ - สังเกตพฤติกรรม
ก�ำหนดให้ได้ (K) การท�ำงานรายบุคคล
3. ใช้ความรู้ ทักษะ - สังเกตพฤติกรรม
และกระบวนการ การท�ำงานกลุ่ม
ทางคณิตศาสตร์ - สังเกตคุณลักษณะ
ในการแก้ปัญหา อันพึงประสงค์
ได้อย่างเหมาะสม (P)
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)
T188
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. ค�ำนวณค�ำตอบ Concept - ตรวจใบงานที่ 5.3 - ทักษะการ 1. มีวินัย
การแก้สมการ พื้นฐาน คณิตศาสตร์ ของสมการเชิงเส้น Based เรื่อง การแก้สมการ (1) ประยุกต์ใช้ 2. ใฝ่เรียนรู้
เชิงเส้น ม.1 เล่ม 1 ตัวแปรเดียวได้ (K) Teaching - ตรวจใบงานที่ 5.4 ความรู้ 3. มุ่งมัน่
ตัวแปรเดียว
- ใบงานที่ 5.3 เรื่อง 2. ใช้ความรู้ ทักษะ เรื่อง การแก้สมการ (2) ในการท�ำงาน
การแก้สมการ (1) และกระบวนการ - ตรวจแบบฝึกทักษะ
2 - ใบงานที่ 5.4 เรื่อง ทางคณิตศาสตร์ 5.4 ก-5.4 ค
ชั่วโมง การแก้สมการ (2) ในการแก้ปัญหา - ประเมินการน�ำเสนอ
ได้อย่างเหมาะสม (P) ผลงาน
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - สังเกตพฤติกรรม
ที่ได้รับมอบหมาย (A) การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 5 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายการน�ำความรู้ Concept - ตรวจใบงานที่ 5.5 - ทักษะการ 1. มีวินัย
การน�ำความรู้ พื้นฐาน คณิตศาสตร์ เกีย่ วกับสมการเชิง Based เรื่อง การน�ำความรู้ ตีความ 2. ใฝ่เรียนรู้
เกี่ยวกับสมการ ม.1 เล่ม 1 เส้นตัวแปรเดียวไปใช้ Teaching เกี่ยวกับสมการเชิงเส้น - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
เชิงเส้น
ตัวแปรเดียวไปใช้ - ใบงานที่ 5.5 เรื่อง ในชีวิตจริงได้ (K) ตัวแปรเดียวไปใช้ กระบวนการ ในการท�ำงาน
ในชีวิตจริง การนำ�ความรู้เกี่ยวกับ 2. ใช้ความรู้ ทักษะ ในชีวิตจริง คิดแก้ปัญหา
สมการเชิงเส้น และกระบวนการ - ตรวจแบบฝึกทักษะ 5.5
2 ตัวแปรเดียวไปใช้ ทางคณิตศาสตร์ - ตรวจแบบฝึกทักษะประจ�ำ
ชั่วโมง ในชีวิตจริง ในการแก้ปัญหา หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
ได้อย่างเหมาะสม (P) - ประเมินการน�ำเสนอ
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ ผลงาน
ที่ได้รับมอบหมาย (A) - ตรวจผังมโนทัศน์
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T189
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
วีณาขับรถบนถนนสายหนึ่งด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตร
ต่อชั่วโมง เมื่อเวลา 10.00 น. และอีก 1 ชั่วโมงต่อมา นาวาขับรถ
ตามมาบนถนนสายเดียวกันด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ตัวชี้วัด Q. จากสถานการณ์
• เข้าใจและใช้สมบัติของการเท่ากันและสมบัติของจำานวน
เพื่อวิเคราะห์และแก้ปัญหาโดยใช้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ข้างต้น นักเรียนคิดว่า
(ค 1.3 ม.1/1) ÇÕ³ÒáÅйÒÇÒ
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ¨Ð¢ÑºÃ¶·Ñ¹¡Ñ¹
• การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว เมื่อเวลาเท่าใด
• การนำาความรู้เกี่ยวกับการแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
ไปใช้ในชีวิตจริง
T190
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
การใช้ความรูเ้ ดิมฯ (Prior Knowledge)
ควรรูก ่อนเรียน 3. ครูกลาวถึงความหมายของความสัมพันธวา
“ความสัมพันธ หมายถึง ความเกี่ยวของกัน”
ความสัมพันธ์ หมายถึง ความเกี่ยวข้อง เช่น นิดและหน่อง สัมพันธ์กันที่เป็นพี่น้องกัน แลวครูยกตัวอยางจํานวนสองจํานวน คือ 8
8 สัมพันธ์กับ 2 ที่ 8 มีค่ามากกว่า 2 กับ 2 และบอกนักเรียนวา “ความสัมพันธ คือ
3 และ 7 สัมพันธ์กันที่เป็นจำานวนเฉพาะเหมือนกัน 8 มากกว า 2” จากนั้ น ให นั ก เรี ย นลองยก
4 และ 6 สัมพันธ์กันที่เป็นจำานวนคู่เหมือนกัน ตัวอยางความสัมพันธของจํานวนทั้งสองนี้
5, 10, 15, ... สัมพันธ์กันที่เป็นจำานวนที่เพิ่มขึ้นทีละ 5 เท่า ๆ กัน ( แนวตอบ ตั ว อย า งความสั ม พั น ธ ข องสอง
10, 8, 6, ... สัมพันธ์กันที่เป็นจำานวนที่ลดลงทีละ 2 เท่า ๆ กัน จํานวนนี้ เชน 2 หาร 8 ลงตัว, 8 เปนสี่เทา
แบบรูป เป็นการแสดงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่มีลักษณะสำาคัญบางอย่างร่วมกันอย่าง ของ 2 เปนตน)
มีเงื่อนไข ต้องใช้การสังเกต การวิเคราะห์ เพื่อหาเหตุผลมาสนับสนุนและหาบทสรุปเพื่ออธิบาย 4. ครูกลาวถึงแบบรูปวา “แบบรูปเปนการแสดง
ความสัมพันธ์นั้น ความสัมพันธของจํานวนหรือสิ่งตางๆ ที่มี
ในแบบรูปทางคณิตศาสตร์นกั เรียนมักจะได้เห็นการจัดลำาดับและการทำาซำา้ ๆ อย่างต่อเนือ่ ง ลักษณะสําคัญบางอยางรวมกันอยางมีเงือ่ นไข
เช่น 5, 10, 15, ..., 50 เป็นแบบรูปที่มีลำาดับของจำานวนเพิ่มขึ้นทีละ 5 ซำ้า ๆ กันอย่างต่อเนื่อง และเงื่ อ นไขดั ง กล า วสามารถเป น แนวทาง
จนถึง 50 เป็นต้น ในการหาจํานวนหรือสิ่งถัดไปได” จากนั้น
ครูยกตัวอยางความสัมพันธของแบบรูป เชน
การนับเพิ่ม เป็นการเรียงลำาดับจำานวนจากน้อยไปมาก จำานวนทางขวาจะมากกว่าจำานวน
ทางซ้ายที่อยู่ติดกันตามความสัมพันธ์ที่กำาหนด เช่น การนั บ เพิ่ ม ที ล ะเท า ๆ กั น หรื อ การนั บ ลด
ทีละเทาๆ กัน จากหนังสือเรียน หนา 177
• การเพิ่มขึ้นทีละ 7 5. ครูใหนักเรียนศึกษา “ควรรูกอนเรียน” ใน
7 14 21 28 35 หนังสือเรียน หนา 177 เพื่อทบทวนความรู
+7 +7 +7 +7
177
T191
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
การใชความรูเ ดิมฯ (Prior Knowledge)
6. ครูใหนักเรียนดูรูปภาพ หนา 178 และถาม 5.1 แบบรูปและความสัมพันธ
นักเรียนวา
• ดอกไม ทั้ ง สามดอกมี ลั ก ษณะเหมื อ นกั น
หรือแตกตางกันหรือไม อยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย
ตามพื้นฐานความรูเดิม เชน เหมือนกัน
คือ มีกลีบดอก 3 ชั้น และอีกหนึ่งเปนเกสร
แตขนาดของกลีบดอกอาจจะไมเทากัน)
• ดอกไมในลายผาทอมีลักษณะเหมือนกัน
หรือคลายกันหรือไม อยางไร ถ้านักเรียนมองไปรอบ ๆ ตัว จะพบว่ามีแบบรูปในธรรมชาติและแบบรูปที่มนุษย์สร้างขึ้น
มากมาย เช่น แบบรูปของกลีบดอกไม้ แบบรูปของการทอผ้า และแบบรูปของการปูพื้นห้อง
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย
ด้วยไม้ปาร์เกต์หรือแผ่นกระเบื้องให้เป็นลวดลายต่าง ๆ เป็นต้น ในที่นี้จะกล่าวถึงแบบรูปทาง
เชน ถาเปนผาทอของจริง จะเหมือนกัน
คณิตศาสตร์ซึ่งเป็นแบบรูปของจำานวน
ทุกอยางทั้งขนาดและลักษณะของดอก แต
ให้นักเรียนพิจารณาแบบรูปของจำานวนที่กำาหนดให้ต่อไปนี้ แล้วหาว่าจำานวนสามจำานวน
จากภาพจะมีลักษณะของดอกเหมือนกัน
ต่อไปควรเป็นจำานวนใด
และขนาดของดอกไมเทากัน) 1) 1, 3, 5, 7, ...
2) 17, 14, 11, 8, ...
ขัน้ สอน 3) 1, 4, 9, 16, ...
รู (Knowing)
แนวคิด การพิจารณาหาจำานวนสามจำานวนต่อไปของแบบรูปของจำานวนแต่ละชุดทีก่ าำ หนด
1. ครูเขียนแบบรูป 1, 3, 5, 7, ... บนกระดาน ให้อาจคิดได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับเหตุผลที่นำามาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างจำานวนต่าง ๆ ใน
แลวถามคําถามวา แบบรูป
• แบบรูป 1, 3, 5, 7, ... มีความสัมพันธกัน เช่น 1) 1, 3, 5, 7, ...
อยางไร - ถ้าเป็นแบบรูปของจำานวนนับที่มีความสัมพันธ์ โดยเพิ่มขึ้นทีละ 2
(แนวตอบ เพิม่ ขึน้ ทีละ 2 โดยมีจาํ นวนเริม่ ตน จะได้ว่า จำานวนสามจำานวนต่อไป คือ 9, 11, 13
คือ 1 จะไดแบบรูปเปน 1, 3, 5, 7, 9, 11, ... - ถา้ เป็นแบบรูปของจำานวนคีส่ จี่ าำ นวนเรียงกัน แล้วเรียงค่าของจำานวนคีท่ งั้ สีจ่ าำ นวน
หรื อ เป น จํ า นวนคี่ สี่ จํ า นวนแรกเรี ย งกั น จากน้อยไปมาก และมากไปน้อยสลับกัน
แลวเรียงคาของจํานวนคี่ทั้งสี่จํานวนจาก ซึ่งจะได้แบบรูปเป็น 1, 3, 5, 7, 7, 5, 3, 1, 1, 3, 5, 7, ...
นอยไปมาก และจากมากไปนอยสลับกัน จะได้ว่า จำานวนสามจำานวนต่อไปจาก 1, 3, 5, 7 คือ 7, 5, 3
จะไดแบบรูปเปน 1, 3, 5, 7, 7, 5, 3, 1,
1, 3, 5, 7, ...)
178
T192
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2) 17, 14, 11, 8, ... 2. ครูเขียนแบบรูป 17, 14, 11, 8, ... บนกระดาน
- ถ้าเป็นแบบรูปของจำานวนเต็มที่มีความสัมพันธ์ โดยลดลงทีละ 3 แลวถามคําถาม ดังนี้
จะได้ว่า จำานวนสามจำานวนต่อไป คือ 5, 2, -1 • แบบรูป 17, 14, 11, 8, ... มีความสัมพันธกนั
- ถ้าเป็นแบบรูปของจำานวนชุดนี้สี่จำานวนเรียงกันเป็นชุด ๆ ซึ่งจะได้แบบรูปเป็น อยางไร
17, 14, 11, 8, 17, 14, 11, 8, 17, 14, 11, 8, ... (แนวตอบ ลดลงทีละ 3 โดยมีจํานวนเริ่มตน
จะได้ว่า จำานวนสามจำานวนต่อไปจาก 17, 14, 11, 8 คือ 17, 14, 11 คือ 17 จะไดแบบรูปเปน 17, 14, 11, 8, 5,
3) 1, 4, 9, 16, ... 2, ... หรือเปนจํานวนสีจ่ าํ นวนซํา้ กันเรียงกัน
- ถ้าเป็นแบบรูปของจำานวนนับที่มีความสัมพันธ์ โดยเป็นการยกกำาลังสองของ เปนชุดๆ จะไดแบบรูปเปน 17, 14, 11, 8,
จำานวนนับตั้งแต่ 1 ไปเรื่อย ๆ 17, 14, 11, 8, ...)
จะได้ว่า 1, 4, 9, 16, ... คือ 12, 22, 32, 42, ... 3. ครูเขียนแบบรูป 1, 4, 9, 16, ... บนกระดาน
ดังนั้น จำานวนสามจำานวนต่อไป คือ 52, 62, 72 หรือ 25, 36, 49 แลวถามคําถาม ดังนี้
- ถ้าเป็นแบบรูปของจำานวนนับที่มีความสัมพันธ์ โดยจำานวนตั้งแต่จำานวนที่สี่ • แบบรูป 1, 4, 9, 16, ... มีความสัมพันธกัน
เป็นต้นไปเกิดจากผลบวกของจำานวนนับสามจำานวนทีอ่ ยูก่ อ่ นหน้าแล้วบวกด้วย 2 อยางไร
ซึ่งจะได้แบบรูปเป็น 1, 4, 9, 16, 31, 58, 107, ... (แนวตอบ ยกกําลังสองของจํานวนนับ คือ
ดังนั้น จำานวนสามจำานวนต่อไปจาก 1, 4, 9, 16 คือ 31, 58, 107 12, 22, 32, 42, ... จะไดแบบรูปเปน 1, 4, 9,
เพือ่ ให้เห็นความสัมพันธ์ของแบบรูปของจำานวนทีช่ ดั เจน อาจเขียนแบบรูปทัว่ ไปของความ 16, 25, 36, ... หรือจํานวนที่สี่ เปนตนไป
สัมพันธ์นั้นกำากับไว้ เช่น เกิดจากผลบวกของจํานวนนับสามจํานวนที่
จงหาจำานวนสามจำานวนถัดไปของแบบรูปของจำานวนแต่ละชุดต่อไปนี้ อยูกอนหนา แลวบวกดวย 2 จะไดแบบรูป
1) 2, 4, 6, 8, ..., 2n, ... เมื่อ n เป็นจำานวนนับ เปน 1, 4, 9, 16, 31, 58, 107, ...)
จะได้ว่าจำานวนสามจำานวนถัดไปที่ต่อจาก 8 คือ 10, 12, 14 4. ครูกลาวเพิ่มเติมวา จากแบบรูปขางตนเมื่อ
2) 13 , 16 , 19 , ..., 3n1 , ... เมื่อ n เป็นจำานวนนับ ต อ งการให เ ห็ น ความสั ม พั น ธ ที่ ชั ด เจนของ
จะได้ว่าจำานวนสามจำานวนถัดไปที่ต่อจาก 19 คือ 121 , 151 , 181 แบบรูป จึงควรบอกรูปทั่วไปในแบบรูปนั้นๆ
แบบรูปทีน่ กั เรียนพบในหน่วยการเรียนรูน้ ี้ บางแบบรูปอาจไม่ได้เขียนจำานวนใดจำานวนหนึง่ ดวย เชน
กำากับไว้ ทัง้ นีเ้ พือ่ ฝึกฝนให้นกั เรียนได้คดิ หาเหตุผลทีห่ ลากหลายในการหาความสัมพันธ์ของจำานวน 1) 1, 3, 5, 7, ..., 2n - 1, ... เมื่อ n เปน
ต่าง ๆ ในแบบรูป การนำาเสนอความสัมพันธ์ของจำานวนต่าง ๆ ในแบบรูปจากตัวอย่างต่าง ๆ เป็น จํานวนนับ
การนำาเสนอความสัมพันธ์แบบหนึ่งเท่านั้น นักเรียนอาจพบความสัมพันธ์อื่น ๆ อีก 2) 17, 14, 11, 8, ..., 20 - 3n, ... เมื่อ n
เปนจํานวนนับ
3) 1, 4, 9, 16, ..., n2 , ... เมื่อ n เปน
จํานวนนับ
179
T193
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
5. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 1 ขอ 1) ตัวอย่างที่ 1
และขอ 2) ในหนังสือเรียน หนา 180 แลว จงหาจำานวนสามจำานวนถัดไปของแต่ละแบบรูปทีส่ อดคล้องกับความสัมพันธ์ทกี่ าำ หนดให้ตอ่ ไปนี้
แลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง จากนั้น 1) 3, 6, 9, 12, ... 2) 0.1, 0.01, 0.001, 0.0001, ...
ให นั ก เรี ย นแต ล ะคนทํ า “Thinking Time” 1 2 3 4
3) 2 , 3 , 4 , 5 , ...
แล ว ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลยคํ า ตอบ
“Thinking Time” วิธีทำา 1) 3, 6, 9, 12, ...
พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างจำานวนต่าง ๆ ดังนี้
จำานวนนับในลำาดับที่ 1 เท่ากับ 3 หรือ 3 × 1
จำานวนนับในลำาดับที่ 2 เท่ากับ 6 หรือ 3 + 3 หรือ 3 × 2
จำานวนนับในลำาดับที่ 3 เท่ากับ 9 หรือ 6 + 3 หรือ 3 × 3
จำานวนนับในลำาดับที่ 4 เท่ากับ 12 หรือ 9 + 3 หรือ 3 × 4
จะได้ว่า 3, 6, 9, 12, ... เป็นแบบรูปของจำานวนนับที่มีความสัมพันธ์โดยเพิ่มขึ้น
ทีละ 3 หรือเป็นพหุคูณของ 3
ดังนั้น จำานวนสามจำานวนถัดไปของแบบรูปนี้ คือ 15, 18, 21
2) 0.1, 0.01, 0.001, 0.0001, ...
พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างจำานวนต่าง ๆ ดังนี้
จำานวนนับในลำาดับที่ 1 เท่ากับ 0.1 เกิดจาก 101 = 1 1
10
จำานวนนับในลำาดับที่ 2 เท่ากับ 0.01 เกิดจาก 100 1 = 12
10
จำานวนนับในลำาดับที่ 3 เท่ากับ 0.001 เกิดจาก 1,000 = 1 3
1
10
จำานวนนับในลำาดับที่ 4 เท่ากับ 0.0001 เกิดจาก 10,0001 = 14
10
จะได้ว่า 0.1, 0.01, 0.001, 0.0001, ... เป็นแบบรูปของจำานวนที่มีความสัมพันธ์
โดยการนำา 1 หารด้วย 10 ยกกำาลังจำานวนที่เป็นลำาดับที่
ดังนั้น จาำ นวนสามจำานวนถัดไปของแบบรูปนี้
คือ 0.00001, 0.000001, 0.0000001
Thinking Time
นักเรียนสามารถหาจำานวนสามจำานวนถัดไปของแบบรูปที่สอดคล้องกับความสัมพันธ์ 0.5, 0.25,
0.125, 0.0625 ได้อย่างไร
180
T194
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
3) 1 , 2 , 3 , 4 , ... 6. ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 1 ขอ 3)
2 3 4 5
พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างจำานวนต่าง ๆ ดังนี้ ในหนังสือเรียน หนา 181 จากนั้นใหนักเรียน
จำานวนนับในลำาดับที่ 1 เท่ากับ 12 เกิดจาก 1 +1 1 แตละคนทํา “ลองทําดู” แลวครูและนักเรียน
รวมกันเฉลยคําตอบ
จำานวนนับในลำาดับที่ 2 เท่ากับ 23 เกิดจาก 2 +2 1 7. ครูกลาวเพิ่มเติมวา จากตัวอยางที่ 1 นักเรียน
จำานวนนับในลำาดับที่ 3 เท่ากับ 34 เกิดจาก 3 +3 1 สามารถหาจํานวนในลําดับตางๆ ได เมื่อ
เขียนความสัมพันธระหวางลําดับที่กับจํานวน
จำานวนนับในลำาดับที่ 4 เท่ากับ 45 เกิดจาก 4 +4 1
เหลานั้น จากนั้นครูยกตัวอยางแบบรูป 3, 6,
จะได้ว่า 12 , 23 , 34 , 45 , ... เป็นแบบรูปของจำานวนที่มีความสัมพันธ์ 9, 12, ... จากตัวอยางที่ 1 ขอ 1) บนกระดาน
โดยเศษส่วนแต่ละจำานวนมีตัวเศษเป็นจำานวนนับตั้งแต่ 1 ขึ้นไป และตัวส่วน แลวถามคําถาม ดังนี้
เป็นจำานวนนับที่มากกว่าตัวเศษอยู่ 1 • จากแบบรูป มีความสัมพันธแบบใด
ดังนั้น จำานวนสามจำานวนถัดไปของแบบรูปนี้ คือ 56 , 67 , 78 ตอบ (แนวตอบ เพิ่มขึ้นทีละ 3 หรือเปนพหุคูณ
ของ 3)
ลองทําดู • เขียนแบบรูปในรูปทั่วไปไดอยางไร
จงหาจำานวนสามจำานวนถัดไปของแต่ละแบบรูปที่สอดคล้องกับความสัมพันธ์ที่กำาหนดให้ (แนวตอบ 3, 6, 9, 12, ..., 3n, ... เมื่อ n
1) 4, 9, 14, 19, ... 2) 1.2, 1.4, 1.6, 1.8, ... เปนจํานวนนับ)
1 2 3 4
3) 4 , 5 , 6 , 7 , ... • จํานวนที่ 15 คือจํานวนใด
(แนวตอบ 3 × 15 = 45)
จากตัวอย่างที ่ 1 ข้อ 1) นักเรียนสามารถหาจำานวนในลำาดับที ่ 15 ได้ โดยเขียนความสัมพันธ์ • จํานวนที่ 20 คือจํานวนใด
ระหว่างลำาดับที่กับจำานวนเหล่านั้น ดังนี้ (แนวตอบ 3 × 20 = 60)
3, 6, 9, 12, ... เป็นแบบรูปของจำานวนที่มีความสัมพันธ์ โดยเพิ่มขึ้นครั้งละ 3 หรือ จากนั้นครูสรุปใหนักเรียนฟงวา “เมื่อเรารู
เป็นพหุคูณของ 3 สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ของแบบรูปได้ ดังนี้
แบบรู ป ในรู ป ทั่ ว ไปแล ว เราจะสามารถหา
จำานวนในลำาดับที่ 1 เท่ากับ 3 เกิดจาก 3 × 1
จํานวนในลําดับที่ตางๆ ได”
จำานวนในลำาดับที่ 2 เท่ากับ 6 เกิดจาก 3 × 2
จำานวนในลำาดับที่ 3 เท่ากับ 9 เกิดจาก 3 × 3
จำานวนในลำาดับที่ 4 เท่ากับ 12 เกิดจาก 3 × 4
จะเห็
1 นว่า เมื่อทราบลำาดับที่ใด ๆ สามารถบอกจำานวนในลำาดับที่นั้น ๆ ได้ ถ้ากำาหนดให้ n
เป็นตัวแปรแทนจำานวนนับใด ๆ ซึ่งแสดงลำาดับที่นั้น
นัน่ คือ แบบรูปของจำานวน 3, 6, 9, 12, ... สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ระหว่างลำาดับที่
กับจำานวนในลำาดับที่นั้น ๆ ได้เป็น 3n จะเรียก 3n ว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างลำาดับที่กับจำานวน
ในลำาดับที่ n ดังนั้น จำานวนในลำาดับที่ 15 เท่ากับ 3 × 15 = 45 181
T195
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
1. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 2 ในหนังสือ ตัวอย่างที่ 2
เรียน หนา 182-183 แลวครูถามคําถาม ดังนี้ จงหาจำานวนในลำาดับที่ 10 และเขียนความสัมพันธ์ระหว่างลำาดับที่กับจำานวนในลำาดับที่ n
• แบบรูป 4, 8, 12, 16, ... มีความสัมพันธกัน ของแบบรูปที่กำาหนดให้ต่อไปนี้
อยางไร 1) 4, 8, 12, 16, ... 2) 13 , 24 , 35 , 46 , ...
(แนวตอบ เพิ่มขึ้นทีละ 4 หรือเปนพหุคูณ วิธีทำา 1) 4, 8, 12, 16, ...
ของ 4) พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างจำานวนต่าง ๆ ดังนี้
• แบบรูป 4, 8, 12, 16, ... เขียนแบบรูปใน จำานวนนับในลำาดับที่ 1 เท่ากับ 4 เกิดจาก 4 × 1
รูปทั่วไปไดอยางไร จำานวนนับในลำาดับที่ 2 เท่ากับ 8 เกิดจาก 4 × 2
(แนวตอบ 4n เมื่อ n เปนจํานวนนับ) จำานวนนับในลำาดับที่ 3 เท่ากับ 12 เกิดจาก 4 × 3
• แบบรูป 13, 24, 35, 46, ... มีความสัมพันธกัน จำานวนนับในลำาดับที่ 4 เท่ากับ 16 เกิดจาก 4 × 4
อยางไร จะได้ว่า 4, 8, 12, 16, ... เป็นแบบรูปของจำานวนนับที่มีความสัมพันธ์โดยเพิ่มขึ้น
1
(แนวตอบ ตัวเศษเปนจํานวนนับตั้งแต 1 ทีละ 4 หรือเป็นพหุคูณของ 4
ขึ้นไป และตัวสวนเปนจํานวนนับที่มากกวา จะได้ว่า จำานวนในลำาดับที่ 10 เท่ากับ 4 × 10 = 40
ตัวเศษอยู 2) และความสัมพันธ์ระหว่างลำาดับที่กับจำานวนในลำาดับที่ n
เท่ากับ 4 × n = 4n
• แบบรูป 13 , 24 , 35 , 46 , ... เขียนแบบรูปใน ดังนั้น จำานวนในลำาดับที่ 10 เท่ากับ 40 และความสัมพันธ์ระหว่างลำาดับทีก่ บั จำานวน
รูปทั่วไปไดอยางไร ในลำาดับที่ n เท่ากับ 4n
(แนวตอบ 2 +n n เมื่อ n เปนจํานวนนับ)
2) 13 , 24 , 35 , 46 , ...
พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างจำานวนต่าง ๆ ดังนี้
จำานวนนับในลำาดับที่ 1 เท่ากับ 13 เกิดจาก 2 +1 1
จำานวนนับในลำาดับที่ 2 เท่ากับ 24 เกิดจาก 2 +2 2
จำานวนนับในลำาดับที่ 3 เท่ากับ 35 เกิดจาก 2 +3 3
จำานวนนับในลำาดับที่ 4 เท่ากับ 46 เกิดจาก 2 +4 4
จะได้ว่า 13 , 24 , 35 , 46 , ... เป็นแบบรูปของจำานวนที่มีความสัมพันธ์ โดยในแต่ละ
เศษส่วน ตัวเศษเป็นจำานวนนับตั้งแต่ 1 ขึ้นไป และตัวส่วนเป็นจำานวนนับที่มากกว่า
ตัวเศษอยู่ 2
182
= 12 = 23
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)
T196
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
จำานวนในลำาดับที่ 10 เท่ากับ 10 2. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 3 ในหนังสือ
2 + 10
= 10 เรียน หนา 183
12 3. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
n
และความสัมพันธ์ระหว่างลำาดับที่กับจำานวนในลำาดับที่ n เท่ากับ 2 + n
หนา 183 และทําแบบฝกทักษะ 5.1 ขอ 1.
ดังนั้น จำานวนในลำาดับที่ 10 เท่ากับ 10
12 และความสัมพันธ์ระหว่างลำาดับที่ 4. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลยคํ า ตอบ “ลอง
กับจำานวนในลำาดับที่ n เท่ากับ 2 +n n ตอบ ทําดู” และแบบฝกทักษะ 5.1 ขอ 1.
ตัวอย่างที่ 3
T197
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1. ครู ก ล า วทบทวนแบบรู ป และความสั ม พั น ธ ตัวอย่างที่ 4
ของจํานวน และกลาวถึงแบบรูปในรูปทัว่ ไปวา จงเขียนรูปถัดไปอีก 3 รูป ของแบบรูปต่อไปนี้
“เมือ่ เราทราบแบบรูปในรูปทัว่ ไป ก็จะสามารถ
หาจํานวนในลําดับที่ตางๆ ได”
2. ครู ว าดรู ป ไม ขี ด ไฟเรี ย งเป น แบบรู ป ตาม
ตัวอยางที่ 4 ในหนังสือเรียน หนา 184 แลว
รูปที่ 1 รูปที่ 2 รูปที่ 3
ถามคําถาม ดังนี้
• จากแบบรูป มีความสัมพันธระหวางลําดับที่ วิธีทำา พิจารณาแบบรูปที่กำาหนดให้จะพบว่า
ของรูปกับจํานวนรูปสามเหลี่ยมอยางไร รูปที่ 1 มีจำานวนของรูปสามเหลี่ยม 1 รูป
(แนวตอบ รูปที่ 1 มีรูปสามเหลี่ยม 1 รูป รูปที่ 2 มีจำานวนของรูปสามเหลี่ยม 2 รูป
รูปที่ 2 มี รู ป สามเหลี่ ย ม 2 รู ป
รูปที่ 3 มีจำานวนของรูปสามเหลี่ยม 3 รูป
จะเห็นว่า เป็นแบบรูปที่เขียนแสดงเป็นแบบรูปของจำานวนได้
คือ รูปสามเหลี่ยมแบบหงายและควํ่าวาง
ดังนั้น รูปถัดไปอีก 3 รูป คือ รูปที่ 4 รูปที่ 5 และรูปที่ 6 จะมีจำานวนของรูปสามเหลี่ยม
ติดกัน โดยมีดานของรูปสามเหลี่ยมรวมกัน
4 รูป 5 รูป และ 6 รูป ตามลำาดับ ซึ่งเขียนรูปถัดไปอีกสามรูปได้ดังนี้
1 ดาน
รูปที่ 3 มี รู ป สามเหลี่ ย ม 3 รู ป
คือ รูปสามเหลี่ยมแบบหงายและควํ่าวาง
ติดกันสลับกันไป โดยดานของรูปสามเหลีย่ ม รูปที่ 4 รูปที่ 5
ที่อยูติดกันมีดานรวมกัน 1 ดาน)
• จากความสัมพันธที่นักเรียนบอก รูปที่ 4
รูปที่ 5 และรูปที่ 6 คือรูปใด
(แนวตอบ ใหครูวาดรูปที่ 4 รูปที่ 5 และ รูปที่ 6 ตอบ
รูปที่ 6 จากในหนังสือเรียน หนา 184)
จากตัวอย่างที่ 4 พิจารณาแบบรูปของจำานวนของรูปสามเหลี่ยม
184
T198
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
T199
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
2. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 5 ในหนังสือ ดังนั้น รูปถัดไปอีก 3 รูป คือ
เรียน หนา 185-186 แลวครูถามคําถามวา รูปที่ 4 มีจำานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสในแนวตั้ง 3 รูป และมีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
• จากแบบรูป มีความสัมพันธระหวางลําดับที่ ด้านซ้ายและด้านขวาด้านละ 3 รูป
ของรูปกับจํานวนรูปสี่เหลี่ยมอยางไร รูปที่ 5 มีจำานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสในแนวตั้ง 3 รูป และมีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
( แนวตอบ รู ป ที่ 1 มี รู ป สี่ เ หลี่ ย ม 3 รู ป , ด้านซ้ายและด้านขวาด้านละ 4 รูป
รูปที่ 2 มีรูปสี่เหลี่ยม 5 รูป, รูปที่ 3 มี รูปที่ 6 มีจำานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสในแนวตั้ง 3 รูป และมีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
รูปสี่เหลี่ยม 7 รูป, รูปที่ 4 มีรูปสี่เหลี่ยม ด้านซ้ายและด้านขวาด้านละ 5 รูป
9 รูป, รูปที่ 5 มีรูปสี่เหลี่ยม 11 รูป และ ซึ่งเขียนรูปถัดไปอีกสามรูป ได้ดังนี้
รูปที่ 6 มีรูปสี่เหลี่ยม 13 รูป)
3. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 186 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ
รูปที่ 4
รูปที่ 5
รูปที่ 6 ตอบ
ลองทําดู
จงเขียนรูปถัดไปอีก 3 รูป ของแบบรูปต่อไปนี้
รูปที่ 1
รูปที่ 2
รูปที่ 3
186
กิจกรรม ทาทาย
ใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนตอไปนี้
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
กิจกรรม คณิตศาสตร์ 4. ใหนักเรียนทํากิจกรรมคณิตศาสตร ขอ 1. ใน
หนังสือเรียน หนา 187 แลวใหนักเรียนจับคู
ให้นกั เรียนจับคูก่ บั เพือ่ นแล้วช่วยกันทÓกิจกรรมต่อไปนี้ ศึกษากิจกรรมคณิตศาสตร ขอ 2. จากนั้น
1. จากแบบรูปในตัวอย่างที่ 5 จงพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างลำาดับที่ของรูปกับจำานวนของ รวมกันตอบคําถามขอ 1)-5) โดยเขียนคําตอบ
รูปสี่เหลี่ยมที่กำาหนดให้ในตาราง แล้วตอบคำาถามต่อไปนี้ ลงในสมุดของตนเอง
5. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบขอ 1)-5)
ลำาดับที่ของรูป 1 2 3 4 5 ... n ในกิจกรรมคณิตศาสตร ขอ 2.
จำานวนของ หรื3อ 5
หรื อ
7
หรื อ
9
หรื อ
11
หรื อ ...
รูปสี่เหลี่ยม 2 (1) + 1 2 (2) + 1 2(3) + 1 2(4 ) + 1 2(5) + 1
1) จงเขียนความสัมพันธ์ระหว่างลำาดับที่ของรูปกับจำานวนของรูปสี่เหลี่ยมในลำาดับที่ n
2) จำานวนของรูปสี่เหลี่ยมของรูปลำาดับที่ 8 เท่ากับเท่าใด
3) จำานวนของรูปสี่เหลี่ยมของรูปลำาดับที่ 25 เท่ากับเท่าใด
4) จำานวนของรูปสี่เหลี่ยมของรูปลำาดับที่ 100 เท่ากับเท่าใด
5) ลำาดับที่เท่าใดที่มีจำานวนของรูปสี่เหลี่ยม 141 รูป
2. จากรูป จงพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างลำาดับที่ของรูปกับความยาวรอบรูปตามแบบรูป
ที่กำาหนดให้ แล้วตอบคำาถามต่อไปนี้
ลำาดับที่ของรูป 1 2 3 4 ... n
ความยาวรอบรูป (หน่วย) 4 8 12 16 ...
1) จงเขียนความสัมพันธ์ระหว่างลำาดับที่ของรูปกับความยาวรอบรูปในลำาดับที่ n
2) ความยาวรอบรูปของรูปลำาดับที่ 10 เท่ากับเท่าใด
3) ความยาวรอบรูปของรูปลำาดับที่ 50 เท่ากับเท่าใด
4) ลำาดับของรูปที่เท่าใดที่มีความยาวรอบรูปเท่ากับ 176 หน่วย
5) ลำาดับของรูปที่เท่าใดที่มีความยาวรอบรูปเท่ากับ 480 หน่วย
187
เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร์
ขอ 1. สามารถตอบคําถามได ดังนี้ ขอ 2. สามารถตอบคําถามได ดังนี้
1) ความสัมพันธระหวางลําดับที่ของรูปกับจํานวนของรูปสี่เหลี่ยม 1) ความสัมพันธระหวางลําดับที่ของรูปกับความยาวรอบรูปในลําดับที่ n
ในลําดับที่ n คือ 2n + 1 คือ 4n
2) จํานวนของรูปสี่เหลี่ยมของรูปลําดับที่ 8 คือ 2(8) + 1 = 17 2) ความยาวรอบรูปของรูปลําดับที่ 10 คือ 4(10) = 40
3) จํานวนของรูปสี่เหลี่ยมของรูปลําดับที่ 25 คือ 2(25) + 1 = 51 3) ความยาวรอบรูปของรูปลําดับที่ 50 คือ 4(50) = 200
4) จํานวนของรูปสี่เหลี่ยมของรูปลําดับที่ 100 คือ 2(100) + 1 = 201 4) ลําดับของรูปที่เทาใดที่มีความยาวรอบรูปเทากับ 176 หนวย คือ 4n = 176
5) ลําดับที่เทาใดที่มีจํานวนของรูปสี่เหลี่ยม 141 รูป คือ 2n + 1 = 141 พิจารณา 4n = 176
พิจารณา 2n + 1 = 141 ∴ n = 44
∴ n = 70 ดังนั้น ลําดับของรูปที่ 44 จะมีความยาวรอบรูปเทากับ 176 หนวย
ดังนั้น ลําดับที่ที่มีจํานวนของรูปสี่เหลี่ยม 141 รูป คือ ลําดับที่ 70 5) ลําดับของรูปที่เทาใดที่มีความยาวรอบรูปเทากับ 480 หนวย คือ 4n = 480
พิจารณา 4n = 480
∴ n = 120
ดังนั้น ลําดับของรูปที่ 120 จะมีความยาวรอบรูปเทากับ 480 หนวย
T201
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
6. ครูกลาววา “จากกิจกรรมคณิตศาสตร ขอ 1. จากกิจกรรมคณิ ตศาสตร์ขอ้ 1. นักเรียนจะเห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างล งลำาดับทีข่ องรูปกับ
1
นักเรียนจะเห็นวา ความสัมพันธระหวางลําดับ จจำานวนของรูปสี่เหลี่ยม ซึ่งเขียนอยู่ในรูปตัวแปร n คือ 2n + 1 สามารถหาจำานวนของรูปสี่เหลี่ยม
ที่ของรูปกับจํานวนของรูปสี่เหลี่ยม ซึ่งเขียน ในลำาดับที่นั้น ๆ ได้ โดยแทนค่าตัวแปร n ด้วยจำานวนที่แสดงลำาดับที่ ในทางกลับกัน ถ้าต้องการ
ในรูปตัวแปร n คือ 2n + 1 เราสามารถหา ทราบว่ารูปในลำาดับที่เท่าใดจะมีจำานวนของรูปสี่เหลี่ยมเท่ากับ 327 รูป นักเรียนจะหาคำาตอบนี้
จํานวนของรูปสี่เหลี่ยมในลําดับนั้นๆ ได โดย ได้หรือไม่ และหาได้อย่างไร
แทนคาตัวแปร n ดวยจํานวนที่แสดงลําดับที่” ก่อนทีน่ กั เรียนจะได้รวู้ ธิ หี าคำาตอบนี้ ต้องมาทำาความรูจ้ กั เรือ่ งสมการโดยศึกษาความหมาย
จากนั้นครูถามนักเรียน ดังนี้ ของคำาศัพท์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสมการ ดังนี้
• ถ า ต อ งการทราบว า รู ป ในลํ า ดั บ ที่ เ ท า ไร 1. สมการ 2. สมการที่เป็นจริง
จะมีจํานวนของรูปสี่เหลี่ยมเทากับ 327 รูป 3. สมการที่เป็นเท็จ 4. สมการที่มีตัวไม่ทราบค่า
นักเรียนจะหาคําตอบนี้ไดหรือไม และหา สมการเป็นประโยคคณิตศาสตร์ที่แสดงการเท่ากันของจำานวน โดยใช้สัญลักษณ์ “ = ” บอก
ไดอยางไร การเท่ากัน
(แนวตอบ ได และหาไดจาก 2n + 1 = 327) ตัวอย่างของสมการ เช่น 2 + 3 = 5
7. ครูกลาวถึงคําศัพทตางๆ ที่เกี่ยวของกับเรื่อง 8 + 15 = 23
สมการ ดังนี้ 20 - 4 = 16
- สมการ เป น ประโยคสั ญ ลั ก ษณ ท าง สมการที่ยกตัวอย่างนี้เป็นสมการที่ไม่มีตัวไม่ทราบค่าหรือตัวแปร
คณิตศาสตรที่แสดงการเทากันของจํานวน สมการอาจมีตัวไม่ทราบค่าหรือตัวแปร เช่น
โดยใชสัญลักษณ “=” บอกการเทากัน x + 1 = 5 มี x เป็นตัวแปร
a - 7 = 21 มี a เป็นตัวแปร
- สมการที่เปนจริง คือ สมการที่ไมมีตัวแปร
3n - 2 = 4 มี n เป็นตัวแปร
เมื่อคํานวณแลวจะไดวา จํานวนที่อยูทาง
จะเห็นว่าสมการอาจมีหรือไม่มีตัวไม่ทราบค่าก็ได้
ซ า ยมื อ และขวามื อ ของเครื่ อ งหมาย “=”
มีคาเทากัน พิจารณาสมการที่มีตัวไม่ทราบค่า เช่น 2n +1 = 153
- สมการที่เปนเท็จ คือ สมการที่ไมมีตัวแปร ถ้าแทน n ด้วย 23 จะได้ 2(23) + 1 = 46 + 1
= 47 ทำาให้สมการเป็นเท็จ
เมื่อคํานวณแลวจะไดวา จํานวนที่อยูทาง
ถ้าแทน n ด้วย 76 จะได้ 2(76) + 1 = 152 + 1
ซ า ยมื อ และขวามื อ ของเครื่ อ งหมาย “=”
= 153 ทำาให้สมการเป็นจริง
มีคาไมเทากัน
จะเห็นว่า สมการทีม่ ตี วั แปร อาจจะเป็นสมการทีเ่ ป็นเท็จหรือสมการทีเ่ ป็นจริงก็ได้ ขึน้ อยูก่ บั
- จํ า นวนที่ แ ทนตั ว ไม ท ราบค า หรื อ แทนค า
ค่าของจำานวนที่แทนตัวแปรนั้น ๆ จะเรียก 76 ซึ่งเป็นจำานวนที่แทนค่าตัวแปรในสมการแล้วทำาให้
ตัวแปรในสมการแลวทําใหสมการเปนจริง สมการเป็นจริงว่า เป็นคำาตอบของสมการ และเรียก 23 ซึ่งเป็นจำานวนที่แทนค่าตัวแปรในสมการ
เรียกวา คําตอบของสมการ แล้วทำาให้สมการเป็นเท็จว่า ไม่เป็นคำาตอบของสมการ
188
T202
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
จากกิจกรรมคณิตศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างลำาดับที่ของรูปกับจำานวนของรูปสี่เหลี่ยม 8. ครูยกตัวอยางสมการ 2n + 1 = 327 บน
เท่ากับ 2n + 1 และคำาถามที่ว่าถ้าต้องการทราบว่ารูปในลำาดับที่เท่าใดจะมีจำานวนของรูปสี่เหลี่ยม กระดาน จากนั้นถามคําถาม ดังนี้
เท่ากับ 327 รูป นักเรียนสามารถนำาความสัมพันธ์ 2n + 1 กับ 327 เขียนเป็นสมการได้ดังนี้ • ประโยคสั ญ ลั ก ษณ ข า งต น เป น สมการ
2n + 1 = 327 เป็นสมการที่มีตัวแปร คือ n หรือไม เพราะเหตุใด
จะเห็นว่า 2n + 1 = 327 เป็นสมการที่มาจากแบบรูปซึ่งเขียนเป็นความสัมพันธ์ (แนวตอบ เปนสมการ เพราะมีเครื่องหมาย
โดยมี n เป็นตัวแปร “=”)
สำาหรับการหาคำาตอบของสมการนี้ นักเรียนอาจคาดเดาคำาตอบแล้วทดลองแทนค่าจนกว่า • สมการขางตนเปนสมการทีม่ ตี วั แปรหรือไม
จะได้สมการที่เป็นจริง หรือจัดรูปตามความสัมพันธ์และใช้ความหมายของสมการ ดังนี้ อยางไร
( แนวตอบ เป น สมการที่ มี ตั ว แปร และ
วิธีที่ 1 ใช้การคาดเดาคำาตอบ
ตัวแปร คือ n)
ถ้าคาดเดาว่า n = 162
• เมื่อนักเรียนลองแทนคาตัวแปรดวย 162
ลองแทนค่าจะได้ 2(162) + 1 = 324 + 1
= 325 ทำาให้สมการเป็นเท็จ จะไดสมการทีเ่ ปนจริงหรือสมการทีเ่ ปนเท็จ
ถ้าคาดเดาว่า n = 163 (แนวตอบ สมการที่เปนเท็จ)
ลองแทนค่าจะได้ 2(163) + 1 = 326 + 1 • เมื่อนักเรียนลองแทนคาตัวแปรดวย 163
= 327 ทำาให้สมการเป็นจริง จะไดสมการทีเ่ ปนจริงหรือสมการทีเ่ ปนเท็จ
ดังนั้น คำาตอบของสมการคือ 163 (แนวตอบ สมการที่เปนจริง)
นั่นคือ รูปในลำาดับที่ 163 จะมีจำานวนของรูปสี่เหลี่ยมเท่ากับ 327 รูป • คําตอบของสมการเปนเทาไร
(แนวตอบ n = 163)
วิธีที่ 2 จัดรูปตามความสัมพันธ์และใช้ความหมายของสมการ 9. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 5.1 ขอ 2.
จาก 2n + 1 = 326 + 1 เขียนในรูปการบวกของ 1
เมื่ อ เสร็ จ แล ว ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลย
= 2(163) + 1 เขียนในรูปการคูณของ 2
คําตอบ
จะได้ว่า n = 163
ดังนั้น รูปในลำาดับที่ 163 จะมีจำานวนของรูปสี่เหลี่ยมเท่ากับ 327 รูป 10. ครูกลาวทบทวน ดังนี้
- สมการเป น ประโยคที่ แ สดงการเท า กั น
• สมการเป็นประโยคที่แสดงการเท่ากันของจำานวน ของจํานวน ใชสัญลักษณ “=” เพื่อแสดง
ใช้สัญลักษณ์ “ = ” เพื่อแสดงการเท่ากัน การเทากัน
• สมการที่เป็นจริง คือ สมการที่มีจำานวนทางด้านซ้ายและมีจำานวนทางด้านขวา - สมการที่เปนจริง คือ สมการที่มีจํานวน
ของสัญลักษณ์ “ = ” มีค่าเท่ากัน ทางด า นซ า ยและมี จํ า นวนทางด า นขวา
• สมการอาจมีหรือไม่มีตัวแปร ของเครื่องหมาย “=” มีคาเทากัน
- สมการอาจจะมีตวั แปรหรือไมมตี วั แปรก็ได
189
2. 29 -4 25 -5 20 -2 18 ลดลงไมเทากัน
3. 30 -2 28 -2 26 -2 24 ลดลงทีละ 2
4. 45 -3 42 -3 39 -3 36 ลดลงทีละ 3
T203
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
11. ใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 6 ในหนังสือเรียน ตัวอย่างที่ 6
หนา 190-191 หลังจากนั้นครูถามคําถาม 1
กำาหนดตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างจำานวนเงินดอลลาร์ ซึ่งเป็นเงินของประเทศ
ดังนี้ สหรัฐอเมริกาและจำานวนเงินบาทไทยในวันหนึ่ง (กำาหนดให้ 1 ดอลลาร์สหรัฐ มีค่าประมาณ
• นักเรียนคิดวา ตารางแสดงความสัมพันธ 34 บาท) เป็นดังนี้
ระหว า งจํ า นวนเงิ น ดอลลาร แ ละจํ า นวน
เงินบาท มีความซับซอนหรือไม เพราะ จำานวนเงิน (ดอลลาร์) 1 2 3 4 ... 28 ... n
เหตุใด จำานวนเงิน (บาท) 34 68 102 136 ...
(แนวตอบ ไมซับซอน เพราะวาจํานวนเงิน (อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ณ วันที่ 2 พ.ค. 2560)
ทัง้ สองสกุลเขียนเปนอัตราสวนได ซึง่ เทากับ 1) จงเขียนความสัมพันธ์ระหว่างจำานวนเงินดอลลาร์กับจำานวนเงินบาท ถ้าให้ n แทนจำานวน
1 ดอลลาร : 34 บาท หรืออัตราสวนเงิน เงินดอลลาร์
ดอลลารตอเงินบาท เทากับ 1 : 34) 2) ถ้ามีเงินจำานวน 28 ดอลลาร์ จะแลกเงินบาทได้กี่บาท
• วิธกี ารหาคําตอบในแตละขอยุง ยากหรือไม 3) ถ้ามีเงินบาท 238 บาท จงเขียนสมการและหาจำานวนเงินดอลลาร์ที่แลกได้
(แนวตอบ ไมยุงยาก) วิธีทำา 1) จากตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างจำานวนเงินดอลลาร์กับจำานวนเงินบาท
ที่กำาหนดให้ เขียนแสดงจำานวนบาทในรูปการคูณของ 34 กับจำานวนดอลลาร์ ได้
ดังตารางต่อไปนี้
จำานวนเงิน (ดอลลาร์) 1 2 3 4 ... n
34 68 102 136
จำานวนเงิน (บาท) เท่ากับ เท่ากับ เท่ากับ เท่ากับ ... 34 × n
34 × 1 34 × 2 34 × 3 34 × 4
ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างจำานวนเงินดอลลาร์กับจำานวนเงินบาท
เท่ากับ 34 × n = 34n เมื่อ n แทนจำานวนเงินดอลลาร์
2) จากความสัมพันธ์ในข้อ 1) หาจำานวนเงิน 28 ดอลลาร์ที่แลกเป็นเงินบาท
โดยแทนค่า n ในความสัมพันธ์ 34 × n ด้วย 28
จะได้ 34 × n = 34 × 28
= 952
ดังนั้น จำานวนเงิน 28 ดอลลาร์แลกเป็นเงินบาทได้ 952 บาท
3) หาจำานวนเงินที่แลกเป็นเงินดอลลาร์ โดยนำาความสัมพันธ์ในข้อ 1) และ
จำานวนเงิน 238 บาท เขียนสมการได้ ดังนี้
34 × n = 238
190
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
ลองแทนค่า n ด้วย 7 จะได้ 12. ครูใหนักเรียนแตละคนทํา “ลองทําดู” ใน
34 × 7 = 238 ทำาให้สมการเป็นจริง หนั ง สื อ เรี ย น หน า 191 หลั ง จากนั้ น ครู
ดังนั้น จำานวนเงิน 238 บาท แลกเป็นเงินดอลลาร์ ได้ 7 ดอลลาร์ ตอบ และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
13. ครูกลาวสรุปวา “เราจะเรียกสมการ
ลองทําดู
2n + 1 = 327 และ 34 × n = 238
จงเขียนตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างจำานวนเงินยูโรกับจำานวนเงินบาทไทย วา สมการเชิงเสนตัวแปรเดียว”
ถ้าให้ n แทนจำานวนเงินยูโรและกำาหนด 1 ยูโร มีค่าประมาณ 37 บาท 14. ครูแจกใบงานที่ 5.1 เรื่อง แบบรูปและความ
(อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ ณ วันที่ 2 พ.ค. 2560)
สัมพันธของจํานวน ใหนักเรียนทํา จากนั้น
จากตัวอย่างข้างต้นที่ศึกษามาแล้ว นักเรียนจะเห็นว่า ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบใบงาน
สมการ 2n + 1 = 327 และ 34 × n = 238 เป็นสมการที่มีเลขชี้กำาลังของตัวแปร n ที่ 5.1
เท่ากันคือ 1 1
สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
จะเรียกสมการ 2n + 1 = 327 และ 34 × n = 238 ว่า สมการเชิ
แบบฝึกทักษะ 5.1
ระดับ พื้นฐาน
1. จงเขียนจำานวนถัดไปอีกสามจำานวนของแบบรูปที่กำาหนดให้ต่อไปนี้
1) 2, 4, 6, 8, ... 2) 10, 12, 14, ...
3) 5, 8, 11, ... 4) 9, 6, 3, 0, ...
5) 21, 18, 15, 12, ... 6) 1 × 2, 2 × 3, 3 × 4, 4 × 5, ...
7) 21, 15, 9, 3, ... 8) 1, 10, 100, 1000, ...
1 1 1
9) 1, 2 , 4 , 8 , ... 10) 1, 3, 9, 27, ...
2. จงเขียนรูปถัดไปอีกสามรูปของแต่ละแบบรูปต่อไปนี้
1)
2)
191
T205
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
15. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 5.1 ขอ 3.-6.
ในหนังสือเรียน หนา 192-193 เปนการบาน 3)
ลงมือทํา (Doing)
ครูใหนักเรียนจัดกลุม กลุมละ 4 คน คละ ระดับ กลาง
ความสามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม 3. จงหาจ�านวนในล�าดับที่ 20 และเขียนความสัมพันธ์ระหว่างล�าดับที่กับจ�านวนในล�าดับที่ n
ดังนี้ ของแบบรูปที่ก�าหนดให้
- ใหนักเรียนแตละกลุมชวยกันทําแบบฝก 1) 3, 6, 9, 12, ...
ทักษะ 5.1 ขอ 7. โดยเขียนลงในสมุด 2) 12, 22, 32, 42, ...
ของตนเอง 3) 12 , 23 , 34 , 45, ...
- จากนั้ น ให นั ก เรี ย นแลกเปลี่ ย นความรู
4) (4 × 1) + 1, (4 × 2) + 2, (4 × 3) + 3, (4 × 4) + 4, ...
ภายในกลุม ของตนเอง และสนทนาซักถาม 5) (1 + 1)2, (2 + 1)2, (3 + 1)2, (4 + 1)2, ...
เกี่ยวกับวิธีการหาคําตอบ จนเปนที่เขาใจ
4. จงพิจารณาแบบรูปที่ก�าหนดให้ แล้วตอบค�าถามต่อไปนี้
รวมกัน
(1 + 1) + 2, (2 + 2) + 2, (3 + 3) + 2, (4 + 4) + 2
- ให ตั ว แทนกลุ ม มานํ า เสนอคํ า ตอบหน า
1) จงเขียนจ�านวนต่อไปอีก 6 จ�านวน จากแบบรูปที่ก�าหนด
ชั้ น เรี ย น โดยเพื่ อ นกลุ ม ที่ เ หลื อ คอย 2) จงหาผลบวกของจ�านวนแต่ละจ�านวนในแบบรูป แล้วเขียนแบบรูปของผลบวกที่ได้
ตรวจสอบความถูกตอง 3) จงพิจารณาตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างล�าดับที่กับจ�านวนที่ก�าหนด แล้วเขียน
ความสัมพันธ์ระหว่างล�าดับที่ n และจ�านวน
ล�าดับที่ 1 2 3 4
จ�านวน (1 + 1) + 2 (2 + 2) + 2 (3 + 3) + 2 (4 + 4) + 2
5. จงพิจารณาตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างล�าดับทีแ่ ละจ�านวนทีก่ า� หนดให้ แล้วตอบค�าถาม
ต่อไปนี้
ล�าดับที่ 1 2 3 4 5 6
จ�านวน 5 4 3 0
1) จงเติมตารางให้สมบูรณ์
2) จงเขียนสมการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างล�าดับที่ n และจ�านวน
192
T206
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
6. ส มชายใช้เวลาอ่านหนังสือเล่มหนึ่งไปแล้ว 7 วัน แต่ยังอ่านไม่จบ และเขาบันทึกจำานวนวัน • แบบรูป คืออะไร
และจำานวนหน้าทั้งหมดที่อ่านได้ ดังตาราง (แนวตอบ เปนการแสดงความสัมพันธของ
สิง่ ตางๆ ทีม่ ลี กั ษณะสําคัญบางอยางรวมกัน
จำานวนวัน 1 2 3 4 5 6 ... n
อย า งมี เ งื่ อ นไข ต อ งใช ก ารสั ง เกต การ
จำานวนหน้าทั้งหมด 3 5 7 9 11 13 ... วิเคราะห เพื่อหาเหตุผลมาสนับสนุนและ
จงตอบคำาถามต่อไปนี้ หาบทสรุปเพื่ออธิบายความสัมพันธนั้น)
1) ให้พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างจำานวนวันและจำานวนหน้าทั้งหมดที่อ่านหนังสือได้ • ความสัมพันธ หมายถึงอะไร
ถ้าให้ n แทนจำานวนวัน จำานวนหน้าทั้งหมดที่อ่านได้ในเวลา n วัน เท่ากับเท่าใด (แนวตอบ ความเกีย่ วของ เชน นิดและหนอย
2) เมื่อสมชายอ่านหนังสือผ่านไป 12 วัน แต่ยังอ่านไม่จบ และยังเหลืออีก 8 หน้าที่ยัง มีความสัมพันธที่เปนพี่นองกัน)
ไม่ได้อ่าน จงหาว่าหนังสือเล่มนั้นมีกี่หน้า • สมการ คืออะไร
( แนวตอบ เป น ประโยคสั ญ ลั ก ษณ ท าง
ระดับ ท้าทาย
คณิตศาสตรที่แสดงการเทากันของจํานวน
7. จงพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างลำาดับที่ของรูป จำานวนรูปสี่เหลี่ยมที่แรเงา และจำานวน โดยใชสัญลักษณ “=” แสดงการเทากัน)
รูปสี่เหลี่ยมทั้งหมด แล้วตอบคำาถามต่อไปนี้ • สมการที่เปนจริง คืออะไร
(แนวตอบ สมการที่มีจํานวนทางดานซาย
และมีจํานวนทางดานขวาของเครื่องหมาย
“=” มีคาเทากัน)
รูปที่ 1 รูปที่ 2 รูปที่ 3 รูปที่ 4 • คําตอบของสมการ หมายถึงอะไร
รูปที่ 1 2 3 4 ... n (แนวตอบ จํานวนที่แทนตัวไมทราบคาหรือ
จำานวนรูปสี่เหลี่ยมที่แรเงา 2 4 6 8 แทนคาตัวแปรในสมการแลวทําใหสมการ
เปนจริง)
จำานวนรูปสี่เหลี่ยมทั้งหมด 4 6 8 10
1) รูปที่ n มีจำานวนรูปสี่เหลี่ยมที่แรเงากี่รูป ขัน้ ประเมิน
2) รูปที่ n มีจำานวนรูปสี่เหลี่ยมทั้งหมดกี่รูป 1. ครูตรวจใบงานที่ 5.1
3) รูปที่ 15 มีจำานวนรูปสี่เหลี่ยมที่แรเงากี่รูป 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 5.1
4) รูปที่ 25 มีจำานวนรูปสี่เหลี่ยมทั้งหมดกี่รูป 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
5) จงเขียนสมการเพื่อหาว่ารูปลำาดับที่เท่าใด มีจำานวนรูปสี่เหลี่ยมที่แรเงาทั้งหมด 40 รูป 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
6) จงเขียนสมการเพื่อหาว่ารูปลำาดับที่เท่าใด มีจำานวนรูปสี่เหลี่ยมทั้งหมด 82 รูป 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
193 6. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
T208
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ตัวอย่างที่ 7 1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 7 ใน
จงพิจารณาว่าจำานวนที่อยู่ในวงเล็บ [ ] ท้ายสมการ เป็นคำาตอบของสมการหรือไม่ หนั ง สื อ เรี ย น หน า 195 แล ว แลกเปลี่ ย น
1) x + 8 = 15 [7] 2) x - 6 = 13 [19] ความรูกับคูของตนเอง จากนั้นครูถามคําถาม
3) 3x = 21 [9] 4) x4 = 14 [60] วา
วิธีทำา 1) จากสมการ x + 8 = 15 • นักเรียนคิดวาตัวแปร x ที่ใหหาคา เหมือน
แทนค่า x ด้วย 7 ในสมการ เรือ่ งอะไรทีน่ กั เรียนเคยเรียนมาแลวในระดับ
จะได้ 7 + 8 = 15 ทำาให้สมการเป็นจริง ประถมศึกษา
ดังนั้น 7 เป็นคำาตอบของสมการ x + 8 = 15 (แนวตอบ เรื่องตัวไมทราบคา)
2) จากสมการ x - 6 = 13 แลวใหนักเรียนแตละคนทํา “ลองทําดู”
แทนค่า x ด้วย 19 ในสมการ 2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลยคํ า ตอบ “ลอง
จะได้ 19 - 6 = 13 ทำาให้สมการเป็นจริง ทําดู”
ดังนั้น 19 เป็นคำาตอบของสมการ x - 6 = 13
3) จากสมการ 3x = 21
แทนค่า x ด้วย 9 ในสมการ
จะได้ 3 × 9 = 27 ทำาให้สมการเป็นเท็จ
ดังนั้น 9 ไม่เป็นคำาตอบของสมการ 3x = 21
4) จากสมการ x4 = 14
แทนค่า x ด้วย 60 ในสมการ
จะได้ 604 = 15 ทำาให้สมการเป็นเท็จ
x
ดังนั้น 60 ไม่เป็นคำาตอบของสมการ 4 = 14 ตอบ
ลองทําดู
จงพิจารณาว่าจำานวนที่อยู่ในวงเล็บ [ ] ท้ายสมการ เป็นคำาตอบของสมการหรือไม่
1) x + 20 = 28 [8]
2) x - 15 = 20 [45]
3) 4x = 56 [16]
x
4) 7 = 9 [63]
195
T209
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
3. ใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 8 ในหนังสือ ตัวอย่างที่ 8
เรียน หนา 196 แลวแลกเปลี่ยนความรูกับคู จงหาคำาตอบของสมการต่อไปนี้ โดยวิธีลองแทนค่าตัวแปร
ของตนเอง จากนั้นใหนักเรียนแตละคนทํา 1) x + 4 = 14 2) 2x - 1 = 9
“ลองทําดู” แลวครูและนักเรียนรวมกันเฉลย วิธีทำา 1) จากสมการ x + 4 = 14
คําตอบ ลองแทนค่า x ด้วย 10 ในสมการ
4. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 5.2 ขอ 1.-3. ใน จะได้ 10 + 4 = 14 ทำาให้สมการเป็นจริง
แบบฝกหัดคณิตศาสตรเปนการบาน ดังนั้น คำาตอบของสมการ x + 4 = 14 คือ 10
5. ครู ก ล า วทบทวนเกี่ ย วกั บ สมการเชิ ง เส น 2) จากสมการ 2x - 1 = 9
ตัวแปรเดียววา “สมการเชิงเสนตัวแปรเดียว ลองแทนค่า x ด้วย 5 ในสมการ
คือ สมการที่อยูในรูป ax + b = 0 เมื่อ a, b จะได้ 2(5) - 1 = 10 - 1
เปนจํานวนใดๆ และ a 0” = 9 ทำาให้สมการเป็นจริง
6. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 9 ใน ดังนั้น คำาตอบของสมการ 2x - 1 = 9 คือ 5 ตอบ
หนังสือเรียน หนา 196-197 แลวแลกเปลี่ยน
ลองทําดู
ความรูกับคูของตนเอง จากนั้นครูถามคําถาม
ดังนี้ จงหาคำาตอบของสมการต่อไปนี้ โดยวิธีลองแทนค่าตัวแปร
• จากตัวอยางที่ 9 ขอ 1) คําตอบของสมการ 1) x + 15 = 27 2) 3x + 1 = 34
เทากับเทาไร ตัวอย่างที่ 9
(แนวตอบ x = 6) จงหาคำาตอบของสมการต่อไปนี้ โดยวิธีลองแทนค่าตัวแปร
• จากตัวอยางที่ 9 ขอ 2) เปนสมการเชิงเสน 1) x + 4 = 10 2) x + 5 = 5 + x 3) x + 3 = x + 4
ตัวแปรเดียวหรือไม เพราะเหตุใด วิธีทำา 1) จากสมการ x + 4 = 10
(แนวตอบ เปนสมการเชิงเสนตัวแปรเดียว ลองแทนค่า x ด้วย 6 ในสมการ
เพราะมีตัวแปรเพียงตัวเดียว) จะได้ 6 + 4 = 10 ทำาให้สมการเป็นจริง
• จากตัวอยางที่ 9 ขอ 2) คําตอบของสมการ ดังนั้น คำาตอบของสมการ x + 4 = 10 คือ 6
เทากับเทาไร 2) จากสมการ x + 5 = 5 + x
(แนวตอบ จํานวนใดๆ ทุกจํานวน) ลองแทนค่า x ด้วย -4 ในสมการ
• จากตัวอยางที่ 9 ขอ 3) ทําไมจึงไมมคี าํ ตอบ จะได้ x + 5 = (-4) + 5 = 1
ของสมการ และ 5 + x = 5 + (-4) = 1 ทำาให้สมการเป็นจริง
(แนวตอบ เพราะไมมีจํานวนใดๆ ที่แทน ลองแทนค่า x ด้วย 7 ในสมการ
จะได้ x + 5 = 7 + 5 = 12
คา x แลวทําใหสมการเปนจริง)
และ 5 + x = 5 + 7 = 12 ทำาให้สมการเป็นจริง
196
T210
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ลองแทนค่า x ด้วย 10 ในสมการ 7. ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะคนทํ า “ลองทํ า ดู ” ใน
จะได้ x + 5 = 10 + 5 = 15 หนังสือเรียน หนา 197 แลวครูและนักเรียน
และ 5 + x = 5 + 10 = 15 ทำาให้สมการเป็นจริง รวมกันเฉลยคําตอบ
จะเห็นว่า เมื่อแทนค่า x ด้วยจำานวนที่ไม่เท่ากันสามจำานวน ในสมการ 8. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา สมการเชิงเสน
x + 5 = 5 + x แล้วทำาให้สมการเป็นจริงเสมอ และจากสมการ x + 5 = 5 + x ตัวแปรเดียวสามารถจัดตามลักษณะคําตอบ
เป็นไปตามสมบัติการสลับที่สำาหรับการบวก ของสมการได 3 แบบ ดังนี้
ดังนั้น คำาตอบของสมการ x + 5 = 5 + x คือ จำานวนใด ๆ ทุกจำานวน
1) สมการที่มีจํานวนบางจํานวนเปนคําตอบ
3) จากสมการ x + 3 = x + 4
(ดังตัวอยางที่ 9 ขอ 1))
ลองแทนค่า x ด้วย -7 ในสมการ
จะได้ x + 3 = (-7) + 3 = -4 2) สมการที่มีคําตอบทุกจํานวนเปนคําตอบ
และ x + 4 = (-7) + 4 = -3 ทำาให้สมการเป็นเท็จ (ดังตัวอยางที่ 9 ขอ 2))
ลองแทนค่า x ด้วย 1 ในสมการ 3) สมการที่ ไ ม มี จํ า นวนใดเป น คํ า ตอบ
จะได้ x + 3 = 1 + 3 = 4 (ดังตัวอยางที่ 9 ขอ 3))
และ x + 4 = 1 + 4 = 5 ทำาให้สมการเป็นเท็จ
ลองแทนค่า x ด้วย 9 ในสมการ
จะได้ x + 3 = 9 + 3 = 12
และ x + 4 = 9 + 4 = 13 ทำาให้สมการเป็นเท็จ
จะเห็นว่า เมื่อแทนค่า x ด้วยจำานวนที่ไม่เท่ากันสามจำานวน ในสมการ
x + 3 = x + 4 แล้วทำาให้สมการเป็นเท็จเสมอ และจากสมบัติการบวกของจำานวน
สองจำานวนใด ๆ เมื่อตัวบวกเพิ่มขึ้นจะทำาให้ผลบวกเพิ่มขึ้นด้วย
จึงสรุปได้ว่า x + 4 ต้องมากกว่า x + 3
ดังนั้น ไม่มีคำาตอบของสมการ x + 3 = x + 4 ตอบ
ลองทําดู
จงหาคำาตอบของสมการต่อไปนี้ โดยวิธีแทนค่าตัวแปร
1) x + 9 = 15 2) x + x = 2x 3) x - 2 = x - 3
197
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
9. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 5.2 ขอ 1.-2. แบบฝึกทักษะ 5.2
และทํา Exercise 5.2 ขอ 4. ในแบบฝกหัด
ระดับ พื้นฐาน
คณิตศาสตร จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน
เฉลยคําตอบ 1. จงพิจารณาว่าตัวแปรที่ปรากฏในสมการในแต่ละข้อต่อไปนี้ คืออะไร
10. ใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 5.2 ขอ 3.-6. 1) a + 7 = 9 2) 3 + x = 12 3) 5m = 18
เปนการบาน 4) 2a - 7 = 10 b + 1
5) 3 = 4 6) y +5 3 = 5
2. จงพิจารณาว่า สมการที่กำาหนดให้ในตารางเป็นสมการที่อยู่ในรูป ax + b = 0 เมื่อ a, b
ลงมือทํา (Doing) เป็นจำานวนใด ๆ และเมื่อ a ≠ 0 หรือไม่
ครูใหนักเรียนจัดกลุม กลุมละ 4 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ลำาดับที่ สมการ อยู่ในรูป ax + b = 0 ค่าของ a และ b เป็นตัสมการเชิ งเส้น
วแปรเดียว
ดังนี้
1 3x + 2 = 0 ✓ a = 3 และ b = 2 ✓
- ใหนักเรียนแตละกลุมชวยกันทําแบบฝก 1
2 2
ทักษะ 5.2 ขอ 7. โดยเขียนลงในสมุดของ x =4
ตนเอง 3 4x - 2 = 0
- จากนั้ น ให นั ก เรี ย นแลกเปลี่ ย นความรู 4 2x + 1 = 0
ภายในกลุม ของตนเอง และสนทนาซักถาม
5 7x - 5 = 0
เกี่ยวกับวิธีการหาคําตอบ จนเปนที่เขาใจ
รวมกัน 6 x-9 =0
- ให ตั ว แทนกลุ ม มานํ า เสนอคํ า ตอบหน า 7 x2 = 9
ชั้ น เรี ย น โดยเพื่ อ นกลุ ม ที่ เ หลื อ คอย 8 4x + 6 = 1
ตรวจสอบความถูกตอง
3. จงพิจารณาสมการ 2a = 22 แล้วตอบคำาถามต่อไปนี้
1) ตัวแปรในสมการที่กำาหนดคืออะไร
2) ถ้าแทน a ด้วย 10 จะได้สมการเป็นจริงหรือเท็จ
3) ถ้าแทน a ด้วย 11 จะได้สมการเป็นจริงหรือเท็จ
4) คำาตอบของสมการคือจำานวนใด
198
T212
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
ระดับ กลาง • สมการที่มีจํานวนบางจํานวนเปนคําตอบ
4. จงพิจารณาว่าจำานวนที่ให้ไว้ในวงเล็บ [ ] ท้ายสมการ เป็นคำาตอบของสมการนั้นหรือไม่ เปนอยางไร
1) x + 3 = 29 [26] 2) a - 10 = 5 [15] (แนวตอบ เปนสมการทีม่ คี าํ ตอบเพียงคําตอบ
3) 2p = 106 [53] b
4) 6 = 21 [216] เดียว)
5) 3a + 5 = 20 [5] x
6) 3 + 2 = 10 [14] • สมการที่ มี คํ า ตอบทุ ก จํ า นวนเป น คํ า ตอบ
m y + 3 เปนอยางไร
7) 3 - 10 = 6 [48] 8) 4 = 2 [5]
(แนวตอบ เปนสมการที่เมื่อแทนคา x ดวย
9) w4 = 4.5 [18] 10) 3w - 4 = 6w + 4 [6]
จํานวนใดๆ แลวทําใหสมการเปนจริงเสมอ)
5. จงหาคำาตอบของสมการต่อไปนี้ โดยวิธีลองแทนค่าตัวแปร • สมการที่ไมมีจํานวนใดเปนคําตอบ เปน
1) 18 - x = 9 2) 124a = 31 อยางไร
3) 3y + 2 = 8 4) x +3 1 = 3 (แนวตอบ เปนสมการที่เมื่อแทนคา x ดวย
5) y - 3 = y - 3 6) a + a = 2a จํานวนใดๆ แลวทําใหสมการเปนเท็จเสมอ)
b
7) 2 = 10 8) 2x = 12
9) x - 4 = 4 - x 10) 3a - 8 = 10 ขัน้ ประเมิน
1. ครูตรวจใบงานที่ 5.2
ระดับ ท้าทาย
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 5.2
6. จงหาคำาตอบของสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวต่อไปนี้ โดยวิธีลองแทนค่าตัวแปร พร้อมทั้ง 3. ครูตรวจ Exercise 5.2
บอกว่าลักษณะคำาตอบของสมการเป็นแบบใด 4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
ก. สมการที่มีจำานวนบางจำานวนเป็นคำาตอบ 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ข. สมการที่มีจำานวนทุกจำานวนเป็นคำาตอบ 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
ค. สมการที่ไม่มีจำานวนใดเป็นคำาตอบ 7. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
1) x + 7 = 24 2) 2x + 3 = 40
3) x + 8 = 8 + x 4) 3x = 2x + x
5) x - x = 0 6) x + 4 = x + 5
7) x - 3 = x - 4 8) 2x + 4x = 6x + 1
7. จงสร้างสมการที่มีลักษณะคำาตอบแบบ ก., ข. และ ค. ในแบบฝึกทักษะข้อที่ 6 มาอย่างละ
1 สมการ พร้อมทัง้ แสดงวิธตี รวจสอบลักษณะคำาตอบของสมการด้วยการลองแทนค่าตัวแปร
ในสมการ
199
T213
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T214
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
นักเรียนจะเห็นว่า ข้อความข้างต้นทั้ง 3 ข้อ เป็นจริง ซึ่งการสรุปข้อความดังกล่าวเป็น 5. ครูยกตัวอยางสมบัตกิ ารบวกจากหนังสือเรียน
ไปตาม สมบัติการบวก ซึ่งกล่าวว่า เมื่อจำานวนสองจำานวนเท่ากัน นำาจำานวนอีกจำานวนหนึ่ง หนา 200 แลวถามคําถาม ดังนี้
มาบวกแต่ละจำานวนที่เท่ากันนั้น ผลบวกจะเท่ากัน • ถา 5 + 1 = 6 แลว (5 + 1) + 3 = 6 + 3
จริงหรือไม
ถ้า a = b แล้ว a + c = b + c เมื่อ a, b และ c แทนจำานวนใด ๆ
(แนวตอบ จริง)
จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ • ถา 5 + 1 = 6 แลว (5 + 1) + 7 = 6 + 7
(1) จาก 8 = 8 จริงหรือไม
นำา -3 มาบวกกับจำานวนทั้งสองข้างของสมการ (แนวตอบ จริง)
จะได้ 8 + (-3) = 8 + (-3) • ถา 5 + 1 = 6 แลว (5 + 1) + a = 6 + a
สมการยังคงเป็นจริง คือ 5 = 5 จริงหรือไม
นักเรียนจะเห็นว่า 8 + (-3) = 8 + (-3) (แนวตอบ จริง)
มีความหมายเช่นเดียวกับ 8 - 3 = 8 - 3 6. ครูกลาวสรุปวา ตัวอยางทั้ง 3 ตัวอยางขางตน
(2) จาก 6 = 4 + 2 เปนไปตามสมบัติการบวก ซึ่งกลาววา
นำา -2 มาบวกกับจำานวนทั้งสองข้างของสมการ “ถา a = b แลว a + c = b + c เมื่อ a, b
จะได้ 6 + (-2) = (4 + 2) + (-2) และ c แทนจํานวนใดๆ”
สมการยังคงเป็นจริง คือ 4 = 4 7. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งการบวกด ว ย
นักเรียนจะเห็นว่า 6 + (-2) = (4 + 2) + (-2) จํานวนที่เปนลบ ในหนังสือเรียน หนา 201
มีความหมายเช่นเดียวกับ 6 - 2 = (4 + 2) - 2
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันสรุปเปนกรณี
จำานวนที่นำามาบวกกับแต่ละจำานวนที่เท่ากัน อาจเป็นจำานวนลบก็ได้ ในกรณีที่บวกด้วย ทั่วไปวา
จำานวนลบ จะมีความหมายเหมือนกับการนำาจำานวนบวกมาลบออกจากจำานวนแต่ละจำานวนที่ “ถา a = b แลว a - c = b - c เมื่อ a, b
เท่ากัน คือ ถ้า a = b แล้ว a + (-c) = b + (-c) เมื่อ a, b และ c แทนจำานวนใด ๆ และ c แทนจํานวนใดๆ”
นั่นคือ a = b แล้ว a - c = b - c เมื่อ a, b และ c แทนจำานวนใด ๆ
4. สมบัติการคูณ
สมบัติการคูณกล่าวว่า เมื่อมีจำานวนสองจำานวนเท่ากัน นำาจำานวนอีกจำานวนหนึ่งมาคูณ
แต่ละจำานวนที่เท่ากันนั้น ผลคูณจะเท่ากัน เช่น
201
T215
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
8. ครูยกตัวอยางสมบัติการคูณจากหนังสือเรียน (1) จาก 3 = 155
หนา 202 บนกระดาน จากนั้นครูและนักเรียน นำา 5 มาคูณทั้งสองข้างของสมการ
รวมกันสรุปเปนกรณีทั่วไปวา จะได้ 3 × 5 = 155 × 5
“ถา a = b แลว a × c = b × c เมื่อ a,
สมการยังคงเป็นจริง คือ 15 = 15
b และ c แทนจํานวนใดๆ”
9. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งการคู ณ ด ว ย (2) จาก 8 = 162
จํานวนที่เปนเศษสวน ในหนังสือเรียน หนา นำา 2 มาคูณทั้งสองข้างของสมการ
202-203 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันสรุป จะได้ 8 × 2 = 162 × 2
เปนกรณีทั่วไปวา สมการยังคงเป็นจริง คือ 16 = 16
“ถา a = b แลว a × c1 = b × c1 เมื่อ a, นักเรียนจะเห็นว่า ผลคูณจากข้อ (1) และข้อ (2) เป็นไปตาม สมบัติการคูณ ซึ่งกล่าวว่า
b และ c แทนจํานวนใดๆ ที่ c 0” จำานวนสองจำานวนเท่ากัน นำาจำานวนอีกจำานวนหนึ่งมาคูณแต่ละจำานวนที่เท่ากันนั้น ผลคูณจะ
เท่ากัน
ถ้า a = b แล้ว a × c = b × c เมื่อ a, b และ c แทนจำานวนใด ๆ
จำานวนที่นำามาคูณกับแต่ละจำานวนที่เท่ากัน อาจเป็นเศษส่วนก็ได้ ในกรณีที่คูณด้วย 1c
เมื่อ c แทน จำานวนใด ๆ ที่ c ≠ 0 จะมีความหมายเหมือนกับการนำาจำานวน c มาหารจำานวนแต่ละ
จำานวนที่เท่ากัน เช่น
(3) จาก 20 = 5 × 4
นำา 14 มาคูณทั้งสองข้างของสมการ
จะได้ 1 × 20 = 1 × (5 × 4)
4 4
สมการยังคงเป็นจริง คือ 5 = 5
นักเรียนจะเห็นว่า 1 × 20 = 1 × (5 × 4)
4 4
มีความหมายเช่นเดียวกับ 4 = 5 ×4 4
20
202
T216
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
(4) จาก 35 = 7 × 5 1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 10 และ
น�า 15 มาคูณทั้งสองข้างของสมการ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน หนา 203-204
แลวแลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง
จะได้ 15 × 35 = 15 × (7 × 5)
สมการยังคงเป็นจริง คือ 7 = 7
นักเรียนจะเห็นว่า 1 × 35 = 1 × (7 × 5)
5 5
มีความหมายเช่นเดียวกับ 5 = 7 ×5 5
35
นักเรียนจะเห็นว่า ผลคูณจากข้อ (3) และข้อ (4) เป็นไปตาม สมบัติการคูณ ซึ่งกล่าวว่า
ตัวอย่างที่ 10
จงพิจารณาว่าประโยคในแต่ละข้อต่อไปนี้เท่ากันโดยใช้สมบัติการบวกหรือสมบัติการคูณ
1) ถ้า a = b แล้ว a + 3 = b + 3
2) ถ้า n = 7 แล้ว n - 2 = 7 - 2
3) ถ้า 4x = 16 แล้ว 4x3 = 163
4) ถ้า x3 = 20 แล้ว x = 60
คณิตน่ารู้
วิธีท�า 1) เนื่องจาก a = b
ดังนั้น a + 3 = b + 3 จากข้อ 2) การบวกด้วย -2
ทั้งสองข้างของสมการ
ใช้สมบัติการบวก มีความหมายเช่นเดียวกันกับ
2) เนื่องจาก n = 7 น�า 2 มาลบออกทั้งสองข้าง
ดังนั้น n - 2 = 7 - 2 ของสมการ
1
ใช้สมบัติการบวก (บวกด้วย -2 ทั้งสองข้างของสมการ) จากข้อ 3) การคูณด้วย 3
ทั้งสองข้างของสมการ
3) เนื่องจาก 4x = 16 มีความหมายเช่นเดียวกันกับ
ดังนั้น 4x 16
3 = 3 น�า 3 มาหารทั้งสองข้าง
ของสมการ
ใช้สมบัติการคูณ (คูณด้วย 13 ทั้งสองข้างของสมการ)
203
T217
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะคนทํ า “ลองทํ า ดู ” ใน 4) เนื่องจาก x = 20
3 Thinking Time
หนั ง สื อ เรี ย น หน า 204 เมื่ อ เสร็ จ แล ว ครู จะได้ x × 3 = 20 × 3 จงยกตัวอย่างมา 1 ประโยค
3
และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู” หรือ x = 60 ที่ใช้ทั้งสมบัติการบวกและสมบัติ
3. ครูใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยางคําตอบของ การคูณ
ใช้สมบัติการคูณ ตอบ
“Thinking Time” แลวครูเขียนบนกระดาน
ใหนักเรียนดูและตรวจสอบความถูกตอง ลองทําดู
4. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 5.3 ขอ 1. แลว จงพิจารณาว่าประโยคในแต่ละข้อต่อไปนี้เท่ากันโดยใช้สมบัติการบวกหรือสมบัติการคูณ
ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 1) ถ้า a + 5 = b + 5 แล้ว a = b
2) ถ้า x - 3 = 9 - 3 แล้ว x = 9
ลงมือทํา (Doing) 3) ถ้า 8x = 16 แล้ว x = 2
1. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 5.3 ขอ 2.-4. 4) ถ้า x = 80 แล้ว x4 = 20
เปนการบาน
2. ครูใหนกั เรียนจับคูช ว ยกันทําแบบฝกทักษะ 5.3 แบบฝึกทักษะ 5.3
ขอ 5. โดยเขียนลงในสมุดของตนเอง แลวครู
และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ ระดับ พื้นฐาน
T218
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
2. จงเติมจำานวนหรือตัวแปรลงในช่องว่างให้ถูกต้อง • สมบัติของการเทากันที่นักเรียนไดศึกษา
1) ถ้า x = y แล้ว 3x = ................................... มีสมบัติอะไรบาง
2) ถ้า a = 2x แล้ว 4a = ...................................
(แนวตอบ สมบัติสมมาตร สมบัติถายทอด
3) ถ้า a = 5b แล้ว 7a = ...................................
สมบัติการบวก และสมบัติการคูณ)
4) ถ้า 2x = 32 แล้ว x = ...................................
5) ถ้า x9 = 3 แล้ว x = ................................... • สมบัติสมมาตร กลาววาอยางไร
(แนวตอบ ถา a = b แลว b = a เมื่อ a
6) ถ้า x = 28 แล้ว x7 = ...................................
และ b แทนจํานวนใดๆ)
7) ถ้า a = b แล้ว ac = ................................... เมื่อ c ≠ 0
• สมบัติถายทอด กลาววาอยางไร
8) ถ้า x = 54 แล้ว x - 10 = ...................................
(แนวตอบ ถา a = b และ b = c แลว a = c
9) ถ้า 15 + 6 = x แล้ว ................................... = x + 4
เมื่อ a, b และ c แทนจํานวนใดๆ)
10) ถ้า a + 3 12 = 17 แล้ว a = ...................................
• สมบัติการบวก กลาววาอยางไร
ระดับ กลาง (แนวตอบ ถา a = b แลว a + c = b + c
3. จงเติมจำานวนหรือตัวแปรลงในช่องว่างให้ถูกต้อง เมื่อ a, b และ c แทนจํานวนใดๆ
1) ถ้า 23 x = 4 แล้ว x = ................................... และ ถา a = b แลว a - c = b - c
2) ถ้า 35 x = 18 แล้ว ................................... = 53 × 18 เมื่อ a, b และ c แทนจํานวนใดๆ)
3) ถ้า 56 x = 15 แล้ว x = ................................... • สมบัติการคูณ กลาววาอยางไร
4) ถ้า 4a + 10 = 30 แล้ว a = ................................... (แนวตอบ ถา a = b แลว a × c = b × c
5) ถ้า 5a + 6 = 11 แล้ว a = ................................... เมื่อ a, b และ c แทนจํานวนใดๆ
6) ถ้า 2x - 15 = 65 แล้ว x = ................................... และ ถา a = b แลว a × c1 = b × c1
7) ถ้า x2 + 6 = 10 แล้ว x = ................................... เมือ่ a, b และ c แทนจํานวนใดๆ ที่ c 0)
8) ถ้า 36x + 72 = 20 แล้ว x = ...................................
9) ถ้า a - 2 ขัน้ ประเมิน
3 = 8 แล้ว a = ...................................
10) ถ้า 12 - 3b = 6 แล้ว b = ................................... 1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 5.3
ระดับ ท้าทาย
2. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
3. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
4. ถ้า 17x3+ 5 = 30 แล้ว 2x11+ 1 มีค่าเท่ากับเท่าใด 4. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
5. กำาหนด A = 12 × B × H, เมื่อ A, B และ H ไม่เท่ากับ 0 ใช้สมบัติของการเท่ากัน
จงหาค่าของ H ในรูปของ A และ B
205
T219
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
206
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ลองทําดู 2. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
จงแก้สมการต่อไปนี้ พร้อมทั้งแสดงวิธีตรวจสอบคำาตอบ หน า 207 จากนั้ น ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น
1) x + 48 = 107 2) x - 36 = 64 เฉลยคําตอบ
3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 5.4 ก ขอ 1.
แบบฝึกทักษะ 5.4 ก จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
4. ครูใหนกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 5.4 ก ขอ 2.-5.
ระดับ พื้นฐาน เปนการบาน
1. จงแก้สมการต่อไปนี้ พร้อมทั้งแสดงวิธีตรวจสอบคำาตอบ
1) x - 15 = 21 2) x - 10 = 51
3) x + 28 = 46 4) x + 43 = 78
5) x - 0.2 = 0.8 6) x - 3.1 = 2.9
7) x + 5.6 = 10.6 8) x + 6.3 = 11.6
9) x - 12 = 52 10) x + 38 = 118
ระดับ กลาง
2. จงแก้สมการต่อไปนี้ พร้อมทั้งแสดงวิธีตรวจสอบคำาตอบ
1) 95 = y - 41 2) 48 = 7 + x
3) 5 = a - 92 4) 52 = x - 32
5) 15 - x = 7 6) 48 - x = 12
7) x - 5 = 5 7 1 8) 1 23 + x = 9
9) 1 35 = x - 0.2 10) 2 54 = x + 1
ระดับ ท้าทาย
207
T221
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
5. ครูยกตัวอยางที่ 13 ในหนังสือเรียน หนา 208 ตัวอย่างที่ 13
โดยแสดงวิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน แลว จงแก้สมการ 5x = 65
ให นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 14 พร อ มกั บ วิธีทำา จาก 5x = 65
ใหนักเรียนสังเกตวาใชสมบัติของการเทากัน นำา 5 มาหารทั้งสองข้างของสมการ
มาช ว ยแก ส มการอย า งไร จากนั้ น ครู ถ าม จะได้ 5x = 65
คําถาม ดังนี้ 5 5
หรือ x = 13
• ตัวอยางที่ 13 และตัวอยางที่ 14 ใชสมบัติ ตรวจสอบคำาตอบ
ของการเทากันขอใด แทน x ด้วย 13 ใน 5x = 5 × 13
(แนวตอบ สมบัติการคูณ) = 65 ทำาให้สมการเป็นจริง
6. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ดังนั้น คำาตอบของสมการ 5x = 65 คือ 13 ตอบ
หน า 208 จากนั้ น ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น
เฉลยคําตอบ ตัวอย่างที่ 14
7. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 5.4 ข ขอ 1. จงแก้สมการ 12x = 13
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ x
วิธีทำา จาก 12 = 13
8. ครูใหนกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 5.4 ข ขอ 2.-3.
เปนการบาน นำา 12 มาคูณทั้งสองข้างของสมการ
จะได้ x
12 × 12 = 13 × 12
หรือ x = 156
ตรวจสอบคำาตอบ
แทน x ด้วย 156 ใน x 156
12 = 12
= 13 ทำาให้สมการเป็นจริง
ดังนั้น คำาตอบของสมการ 12x = 13 คือ 156 ตอบ
ลองทําดู
จงแก้สมการต่อไปนี้ พร้อมทั้งแสดงวิธีตรวจสอบคำาตอบ
1) 8x = 72
2) 15x = 12
208
T222
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
แบบฝึกทักษะ 5.4 ข 1. ครูยกตัวอยางที่ 15 ในหนังสือเรียน หนา 209
โดยแสดงวิ ธีทํ า อย า งละเอี ย ดบนกระดาน
ระดับ พื้นฐาน
พรอมกับอธิบายเพิ่มเติมวา “การใชสมบัติ
1. จงแก้สมการต่อไปนี้ พร้อมทั้งแสดงวิธีตรวจสอบคำาตอบ ของการเทากันจะใชไดครัง้ ละ 1 สมบัตเิ ทานัน้
1) 8x = 104 2) x9 = 81 จะใชพรอมกันไมได”
3) 0.5x = 10 x = 55
4) 0.4
ระดับ กลาง
2. จงแก้สมการต่อไปนี้ พร้อมทั้งแสดงวิธีตรวจสอบคำาตอบ
1) 84 = 12x 2) 95 = 19x
x
3) 42 = 4 4) 53 = x7
5) 18 = 0.9x 6) 21 = 0.7x
7) 28 = 0.5 x 8) 55 = 0.4 x
ระดับ ท้าทาย
ตัวอย่างที่ 15
จงแก้สมการ 3x - 4 = 17
วิธีทำา จาก 3x - 4 = 17 ข้อควรระวัง
นำา 4 มาบวกทั้งสองข้างของสมการ การใช้ ส มบั ติ ข องการ
จะได้ 3x - 4 + 4 = 17 + 4 เท่ากันจะใช้ได้ครั้งละ 1
หรือ 3x = 21 สมบัตเิ ท่านัน้ จะใช้พร้อม
นำา 3 มาหารทั้งสองข้างของสมการ กันไม่ได้ เช่น ในตัวอย่างนี้
3x = 21 ใช้ ส มบั ติ ก ารบวกก่ อ น
จะได้ 3 3 แล้วจึงใช้สมบัติการคูณ
หรือ x = 7
ตรวจสอบคำาตอบ
แทน x ด้วย 7 ใน 3x - 4 = (3 × 7) - 4
= 17 ทำาให้สมการเป็นจริง
ดังนั้น คำาตอบของสมการ 3x - 4 = 17 คือ 7 ตอบ
209
T223
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
2. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 16 ในหนังสือ ตัวอย่างที่ 16
เรียน หนา 210 พรอมกับใหนักเรียนสังเกต จงแก้สมการ x5 + 3 = 12
วาใชสมบัติของการเทากันมาชวยแกสมการ x + 3 = 12
อยางไร จากนั้นครูถามคําถามวา
วิธีทำา จาก 5 Thinking Time
นำา 3 มาลบทั้งสองข้างของสมการ a-a = 0
• ตัวอยางที่ 15 และตัวอยางที่ 16 ใชสมบัติ
จะได้ x5 + 3 - 3 = 12 - 3 a + (-a) = 0
ของการเทากันขอใด หรือ x = 9 นั่นคือ a - a = a + (-a)
(แนวตอบ สมบัติการบวก และสมบัติการคูณ 5 ดังนั้น x5 + 3 - 3 = 12 - 3
นำา 5 มาคูณทั้งสองข้างของสมการ เป็นการใช้สมบัติการบวก
ตามลําดับ) x×5 = 9×5
3. ครูใหนักเรียนตอบคําถาม “Thinking Time”
จะได้ 5 ใช่หรือไม่ เพราะเหตุใด
และทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน หนา 210 หรือ x = 45
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ ตรวจสอบคำาตอบ
แทน x ด้วย 45 ใน x + 3 = 45 + 3
4. ครูยกตัวอยางที่ 17 ในหนังสือเรียน หนา 210- 5 5
211 โดยแสดงวิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน = 9+3
พรอมทั้งเนนยํ้านักเรียนวาใชสมบัติของการ = 12 ทำาให้สมการเป็นจริง
x
ดังนั้น คำาตอบของสมการ 5 + 3 = 12 คือ 45 ตอบ
เทากันขอใด จากนั้นครูถามคําถามวา
• ตัวอยางที่ 17 ใชสมบัตขิ องการเทากันขอใด
ลองทําดู
(แนวตอบ สมบัติการคูณ และสมบัติการบวก
ตามลําดับ) จงแก้สมการต่อไปนี้ พร้อมทั้งแสดงวิธีตรวจสอบคำาตอบ
1) 4x + 9 = 13 2) 3x2 - 7 = 14
ตัวอย่างที่ 17
จงแก้สมการ x +6 3 = 41
วิธีทำา จาก x + 3 = 41
6
นำา 6 มาคูณทั้งสองข้างของสมการ
จะได้ 6 × (x +6 3) = 6 × 41
หรือ x + 3 = 246
นำา 3 มาลบทั้งสองข้างของสมการ
จะได้ x + 3 - 3 = 246 - 3
หรือ x = 243
เฉลย Thinking Time
เปนการใชสมบัติการบวก เพราะนําจํานวน -3 210
มาบวกจํานวนสองจํานวนเทากัน
T224
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ตรวจสอบคำาตอบ 5. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 18 ในหนังสือ
แทน x ด้วย 243 ใน x + 3 = 243 + 3 เรียน หนา 211-212 พรอมกับใหนักเรียน
6 6
246 สังเกตวาใชสมบัติของการเทากันมาชวยแก
= 6
สมการอยางไร จากนั้นครูถามคําถามวา
= 41 ทำาให้สมการเป็นจริง • ตัวอยางที่ 18 ใชสมบัตขิ องการเทากันขอใด
ดังนั้น คำาตอบของสมการ x +6 3 = 41 คือ 243 ตอบ (แนวตอบ วิธีที่ 1 ใชสมบัติการคูณ และ
สมบัติการบวก ตามลําดับ แตวิธีที่ 2 นํา
ตัวอย่างที่ 18
สมบัตกิ ารแจกแจง มาชวยในการแกสมการ
ดวย กอนที่จะใชสมบัติการบวกและสมบัติ
จงแก้สมการ 3(x - 14) = 27
การคูณ ตามลําดับ)
วิธีทำา วิธีที่ 1 3(x - 14) = 27
นำา 3 มาหารทั้งสองข้างของสมการ
Thinking Time
a = 1, a ≠ 0
จะได้ 3(x 3- 14) = 273 a
a × 1a = 1, a ≠ 0
หรือ x - 14 = 9 นั่นคือ aa = a × 1a , a ≠ 0
นำา 14 มาบวกทั้งสองข้างของสมการ
ดังนั้น 3(x 3- 14) = 273
จะได้ x - 14 + 14 = 9 + 14
เป็นการใช้สมบัติการคูณ
หรือ x = 23 ใช่หรือไม่ เพราะเหตุใด
วิธีที่ 2 3(x - 14) = 27
ใช้สมบัติการแจกแจง
จะได้ 3x - (3 × 14) = 27
หรือ 3x - 42 = 27
นำา 42 มาบวกทั้งสองข้างของสมการ
จะได้ 3x - 42 + 42 = 27 + 42
หรือ 3x = 69
นำา 3 มาหารทั้งสองข้างของสมการ
จะได้ 3x = 69
3 3
หรือ x = 23
T225
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
6. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 19 ในหนังสือ ตรวจสอบคำาตอบ
เรียนหนา 212 พรอมทั้งเนนยํ้าใหนักเรียน แทน x ด้วย 23 ใน 3(x - 14) = 3(23 - 14)
สังเกตวาในแตละขั้นตอนใชสมบัติของการ = 3(9)
เทากันขอใด = 27 ทำาให้สมการเป็นจริง
7. ครูใหนักเรียนตอบคําถาม “Thinking Time” ดังนั้น คำาตอบของสมการ 3(x - 14) = 27 คือ 23 ตอบ
และทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน หนา 212
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ ตัวอย่างที่ 19
ลองทําดู
จงแก้สมการต่อไปนี้ พร้อมทั้งแสดงวิธีตรวจสอบคำาตอบ
1) 2x 3+ 1 = 5
2) 6(x - 3) = 30
3) 3(x + 2)
7 = 18
212
T226
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ตัวอย่างที่ 20 9. ครูยกตัวอยางที่ 20 ในหนังสือเรียน หนา
จงแก้สมการ 7x + 8 = 5x - 4 213 โดยแสดงวิธที าํ อยางละเอียดบนกระดาน
พรอมกับเนนยํ้านักเรียนวาใชสมบัติของการ
วิธีทำา จาก 7x + 8 = 5x - 4
เทากันขอใดในแตละขัน้ ตอน แลวใหนกั เรียน
นำา 5x มาลบออกทั้งสองข้างของสมการ
ทํา “ลองทําดู” จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกัน
จะได้ 7x + 8 - 5x = 5x - 4 - 5x
เฉลยคําตอบ
หรือ 2x + 8 = -4
10. ครูทบทวนความรูเรื่องการหา ค.ร.น. แลวให
นำา 8 มาลบออกทั้งสองข้างของสมการ
นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 21 ในหนังสือเรียน
จะได้ 2x + 8 - 8 = (-4) - 8
หนา 213-214 พรอมกับใหนักเรียนสังเกตวา
หรือ 2x = -12
ใชสมบัติของการเทากันมาชวยแกสมการ
นำา 2 มาหารทั้งสองข้างของสมการ
2x = -12 อยางไร แลวครูถามคําถามวา
จะได้ 2 2 • ตัวอยางที่ 21 ใชสมบัติของการเทากัน
หรือ x = -6 ขอใด
ตรวจสอบคำาตอบ (แนวตอบ สมบัติการบวก สมบัติการบวก
แทน x ด้วย -6 ใน 7x + 8 = 7(-6) + 8 = -34 และสมบัติการคูณ ตามลําดับ)
และ 5x - 4 = 5(-6) - 4 = -34 ทำาให้สมการเป็นจริง
ดังนั้น คำาตอบของสมการ 7x + 8 = 5x - 4 คือ -6 ตอบ
ลองทําดู
จงแก้สมการ 15x - 9 = 7x - 25
ตัวอย่างที่ 21
จงแก้สมการ 2x3 + 94 = x3 + 54
วิธีทำา จาก 2x + 9 = x + 5
3 4 3 4
x
นำา 3 มาลบออกทั้งสองข้างของสมการ
จะได้ 2x3 + 94 - x3 = x3 + 54 - x3
หรือ x+9 = 5
3 4 4
213
T227
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
11. ใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน นำา 94 มาลบออกทั้งสองข้างของสมการ คณิตน่ารู้
หนา 214 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน จะได้ x3 + 94 - 94 = 54 - 94 ในตัวอย่างที่ 21 นักเรียน
เฉลยคําตอบ x -4 สามารถแก้สมการได้อีก
หรือ 3 = 4
12. ครูแจกใบงานที่ 5.4 เรื่อง การแกสมการ (2) วิธีหนึ่งโดยการนำา ค.ร.น.
x = -1
ใหนกั เรียนทํา จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกัน 3 ของตัวส่วนมาคูณทั้งสอง
เฉลยคําตอบ นำา 3 มาคูณทั้งสองข้างของสมการ ข้างของสมการเพื่อทำาให้
x × 3 = (-1) × 3 ตัวส่วนหมดไป
จะได้ 3
ลงมือทํา (Doing) หรือ x = -3
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั ด กลุ ม 6 กลุ ม เท า ๆ กั น ตรวจสอบคำาตอบ
คละความสามารถทางคณิตศาสตร แลวทํา แทน x ด้วย -3 ใน 2x3 + 94 = 2(3-3) + 94 = (-2) + 94
กิจกรรม ดังนี้
= 14
- รวมกันวิเคราะห “H.O.T.S. คําถามทาทาย
การคิดขั้นสูง” ในหนังสือเรียน หนา 214 และ x + 5 = (-3) + 5 = (-1) + 5
3 4 3 4 4
แลวเขียนวิธีการหาคําตอบลงในสมุดของ 1
= 4 ทำาให้สมการเป็นจริง
ตนเอง
- จากนั้ น ให นั ก เรี ย นแลกเปลี่ ย นความรู ดังนั้น คำาตอบของสมการ 2x3 + 94 = x3 + 54 คือ -3 ตอบ
ภายในกลุม ของตนเอง และสนทนาซักถาม
ลองทําดู
เกี่ยวกับวิธีการคิดคําตอบจนเปนที่เขาใจ
รวมกัน จงแก้สมการในแต่ละข้อต่อไปนี้
- ให ตั ว แทนกลุ ม มานํ า เสนอคํ า ตอบหน า 1) 7x5 - 13 = x5 + 23
ชั้ น เรี ย น โดยเพื่ อ นกลุ ม ที่ เ หลื อ คอย 2) 4x 4- 5 = 6 - x
3
ตรวจสอบความถูกตอง
คําถามทาทายการคิดขัน
้ สูง
นักเรียนคิดว่า
1) ถ้า a, b, c และ d เป็นจำานวนเต็ม ซึ่ง a + b = 5, b + c = 10, b + d = 12
และ c + d = 16 แล้ว a, b, c และ d มีค่าเท่ากับเท่าใด
2) ถ้า a, b, c และ d เป็นจำานวนเต็ม ซึ่ง a × b = 6, b × c = 15, b × d = 18
และ c × d = 30 แล้ว a, b, c และ d มีค่าเท่ากับเท่าใด
214
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
แบบฝึกทักษะ 5.4 ค 2. ครูใหนักเรียนจัดกลุม กลุมละ 4 คน โดยคละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร แลวทําแบบ
ระดับ พื้นฐาน
ฝกทักษะ 5.4 ค ดังนี้
1. จงแก้สมการต่อไปนี้ พร้อมทั้งแสดงวิธีตรวจสอบคำาตอบ - รวมกันวิเคราะห “สมบัติการเทากันที่ใช
1) 2y + 5 = 7 2) 4 - 3y = 19 ดํ า เนิ น การแก ส มการ” ในหนั ง สื อ เรี ย น
1
3) 3m + 5 = 5 7 4) 2p - 0.6 = 4.2 หนา 215 แลวเขียนวิธีการหาคําตอบลง
x
5) 3 + 1 = 4 ในสมุดของตนเอง
- จากนัน้ ใหนกั เรียนแลกเปลีย่ นความรูภ ายใน
ระดับ กลาง
กลุม ของตนเอง และสนทนาซักถามเกีย่ วกับ
2. จงแก้สมการต่อไปนี้ พร้อมทั้งแสดงวิธีตรวจสอบคำาตอบ วิธีการคิดคําตอบ จนเปนที่เขาใจรวมกัน
1) y +3 4 = 2 2) 2y - 7
3 = 9 - ใหตัวแทนกลุมมานําเสนอคําตอบหนาชั้น
3) 8(x - 2) = 72 4) 16(x - 1) = 256 เรียน โดยเพื่อนกลุมที่เหลือคอยตรวจสอบ
5) 4(x - 3) = 15 6) 7(x + 4) = 9 ความถูกตอง
7) 3 (x + 12 ) = 5 8) 6 ( 2x3 - 1) = 5
9) 2(x 7+ 3) = 13 10) 3(x 8- 1) = 10
11) 17x - 3 = 12x + 27 12) 27 x - 16 x = 8
13) 7m - 45 m = 93 10 14) 3 15 x - 67 = 25 x + 3
15) 2x3 + 74 = x6 - 52 16) 3x2 - 56 = 4x5 + 13
ระดับ ท้าทาย
215
T229
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
3. ครูใหนักเรียนจับคูกัน แลวทํากิจกรรม ดังนี้ กิจกรรม คณิตศาสตร์
(ครูแจกบัตรตัวแปรและบัตรตัวเลขใหนกั เรียน
แตละคู) ให้นกั เรียนจับคูก่ บั เพือ่ นแล้วช่วยกันแก้สมการโดยใช้บตั รตัวแปรและบัตรตัวเลข
- ใ ห นั ก เ รี ย น แ ต ล ะ คู ศึ ก ษ า กิ จ ก ร ร ม บัตรตัวแปร เช่น x -x
คณิตศาสตร “การแกสมการโดยใชบัตร บัตรตัวเลข เช่น 1 2 3
ตัวแปรและบัตรตัวเลข” ตัวอยางที่ 1 ใน -1 -2 -3
หนังสือเรียน หนา 216 (ถานักเรียนคูใด
ตัวอย่างที่ 1 x + 3 = 5
มี ข อ สงสั ย ให ค รู อ ธิ บ ายจนเข า ใจ) แล ว
x + 1 1 1 1 1 1 1 1
แก ส มการโดยใช บั ต รตั ว แปรและบั ต ร x+3=5
ตั ว เลข จากนั้ น ให นั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลย
คําตอบ เพิ่มบัตรตัวเลข -1 -1 -1 ทั้งสองข้าง
- ใหนกั เรียนคูเ ดิมศึกษากิจกรรมคณิตศาสตร -1 -1 -1 -1 -1 -1 บวก -3 ทั้งสองข้างของสมการ
“การแกสมการโดยใชบัตรตัวแปรและบัตร x + 1 1 1 1 1 1 1 1 x+3-3=5-3
ตัวเลข” ตัวอยางที่ 2 ในหนังสือเรียน หนา
216-217 (ถ า นั ก เรี ย นคู ใ ดมี ข อ สงสั ย ให x 1 1 ค�าตอบของสมการ
ครู อ ธิ บ ายจนเข า ใจ) แล ว แก ส มการโดย x=2
ใชบัตรตัวแปรและบัตรตัวเลข จากนั้นให
ให้นักเรียนแก้สมการต่อไปนี้
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 1) x + 2 = 7 2) x - 3 = 4 3) x - 2 = -3
ตัวอย่างที่ 2 (-3x) + 1 = 4
-x -x -x + 1 4
(-3x) + 1 = 4
เพิ่มบัตรตัวเลข -1 ทั้งสองข้าง
-1 บวก -1 ทั้งสองข้างของสมการ
-x -x -x + 1 4 -1 (-3x) + 1 - 1 = 4 - 1
-x -x -x 3
-3x = 3
216
เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร
ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET
1) เฉลยคําตอบ x = 5
จงหาคาของ x จากสมการ 5[(x + 2) - 3(x + 1)] = -8(2x + 6)
2) เฉลยคําตอบ x = 7
3) เฉลยคําตอบ x = -1 1. -43 2. -43
6
หมายเหตุ : ใหเฉลยโดยการใชบัตรตัวแปรและบัตรตัวเลข 43
3. 6 4. 43
(เฉลยคําตอบ 5[(x + 2) - 3(x + 1)] = -8(2x + 6)
5(x + 2 - 3x - 3) = -16x - 48
5(-2x - 1) = -16x - 48
-10x - 5 = -16x - 48
6x = -43
x = -43
6
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)
T230
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
4. ใหนักเรียนคูเดิมทํากิจกรรม ดังนี้ (โดยครู
สลับเครื่องหมายของบัตรทั้งสองข้าง
x x x -3 นำา -1 คูณทั้งสองข้างของสมการ แจกบัตรตัวแปรและบัตรตัวเลขใหนักเรียน
3x = -3 แตละคู)
- ใหนกั เรียนคูเ ดิมศึกษากิจกรรมคณิตศาสตร
x -1 คำาตอบของสมการ “การแกสมการโดยใชบัตรตัวแปรและบัตร
x = -1 ตั ว เลข” ตั ว อย า งที่ 3 ในหนั ง สื อ เรี ย น
ให้นักเรียนแก้สมการต่อไปนี้ หนา 217 (ถานักเรียนคูใดมีขอสงสัยให
1) 4x + 6 = 2 2) 5 - 3x = -7 3) 5x + 1 = 2x + 7 ครู อ ธิ บ ายจนเข า ใจ) แล ว แก ส มการโดย
ตัวอย่างที่ 3 2(2x + 3) = 3x - 5 ใชบัตรตัวแปรและบัตรตัวเลข จากนั้นให
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
x x 3
x x 3 x x x -5 2(2x + 3) = 3x - 5
ขัน้ สรุป
x x x x 6 x x x -5 ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นำา 2 เข้าไปคูณทางซ้าย
ของสมการ 4x + 6 = 3x - 5 นักเรียน ดังนี้
• การแกสมการ คืออะไร
เพิ่มบัตรตัวแปร -x -x -x ทั้งสองข้าง (แนวตอบ การหาคําตอบของสมการ)
-x -x -x -x -x -x บวก -3x ทั้งสองข้างของสมการ • การหาคําตอบของสมการนอกจากการลอง
x x x x 6 x x x -5 4x - 3x + 6 = 3x - 3x - 5 แทนคาของตัวแปรแลว นักเรียนสามารถใช
วิธีการใดไดอีก
x 6 -5 ( แนวตอบ ใช ส มบั ติ ข องการเท า กั น มาแก
x + 6 = -5 สมการ เพื่อหาคําตอบ)
เพิ่มบัตรตัวเลข -6 ทั้งสองข้าง
-6
นำา -6 มาบวกทั้งสองข้าง ขัน้ ประเมิน
x 6 -5 -6 ของสมการ 1. ครูตรวจใบงานที่ 5.3-5.4
x + 6 - 6 = (-5) - 6 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 5.4 ก-5.4 ค
x -11 คำาตอบของสมการ 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
x = -11 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
ให้นักเรียนแก้สมการต่อไปนี้ 6. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
1) 3(x - 2) = x + 2 2) (-x) + 4 = 2(1 + x) 3) 2(2x - 1) = 3(x - 4)
217
T231
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T232
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ตัวอย่างที่ 23 3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นอ า นโจทย ตั ว อย า งที่ 23 ใน
เมื่อนำา 52 ไปลบออกจากจำานวนหนึ่ง แล้วหารผลลบด้วย 6 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 12 หนังสือเรียน หนา 219 จากนั้นครูถามคําถาม
จงหาจำานวนจำานวนนั้น ดังนี้
วิธีทำา ให้ x แทนจำานวนนั้น • โจทยกําหนดอะไรมาให
นำา 52 ไปลบออกจากจำานวนนั้น เขียนแทนด้วย x - 52 (แนวตอบ เมื่อนํา 52 ไปลบออกจากจํานวน
นำาผลลบไปหารด้วย 6 จะได้ x - 52 6 แต่ผลลัพธ์จากการหารเท่ากับ 12
หนึ่ง แลวหารผลลบดวย 6 จะไดผลลัพธ
x - 52
เขียนสมการได้ 6 = 12 เทากับ 12)
นำา 6 มาคูณทั้งสองข้างของสมการ • โจทยตองการหาอะไร
(แนวตอบ จํานวนจํานวนนั้นคืออะไร)
จะได้ 6 × ( x - 526 ) = 6 × 12 • สมมติตวั แปรแทนจํานวนทีโ่ จทยตอ งการหา
หรือ x - 52 = 72 ไดอยางไร
นำา 52 มาบวกทั้งสองข้างของสมการ
(แนวตอบ ให x แทนจํานวนนั้น)
จะได้ x - 52 + 52 = 72 + 52
หรือ x = 124 4. ครูแสดงวิธแี กสมการอยางละเอียดบนกระดาน
ตรวจสอบคำาตอบ ถ้าจำานวนนั้นเป็น 124 เมื่อนำา 52 ไปลบออกจากจำานวนนี้ แลวใหนักเรียนตรวจสอบคําตอบจากตัวอยาง
จะได้ 124 - 52 = 72 หารผลลบด้วย 6 จะได้ 72 ÷ 6 = 12 ที่ 23 ในหนังสือเรียน หนา 219
ซึ่งเป็นจริงตามเงื่อนไขในโจทย์
ดังนั้น จำานวนจำานวนนั้น คือ 124 ตอบ
ตัวอย่างที่ 24
219
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
1. ใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ขอ 1.-2. ในหนังสือ เขียนสมการได้
เรียน หนา 220 แลวครูและนักเรียนรวมกัน 5x + 20x + (35 - 3x) = 145
เฉลยคําตอบ 5x + 20x - 3x + 35 = 145
2. ให นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 24 ใน (5 + 20 - 3)x + 35 = 145
หนังสือเรียน หนา 219-220 แลวแลกเปลี่ยน 22x + 35 = 145
ความรูกับคูของตนเอง จากนั้นใหนักเรียนทํา นำา 35 ลบทั้งสองข้างของสมการ
“ลองทําดู” ขอ 3. ในหนังสือเรียน หนา 220 จะได้ 22x + 35 - 35 = 145 - 35
3. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู” 22x = 110
ขอ 3. นำา 22 หารทั้งสองข้างของสมการ
จะได้ 22x = 110
22 22
หรือ x = 5
ตรวจสอบคำาตอบ
ถ้ามีเหรียญห้าบาท 5 เหรียญ จะเป็นเงิน 5(5) = 25 บาท
มีเหรียญสิบบาทเป็น 2 เท่าของเหรียญห้าบาท
แสดงว่ามีเหรียญสิบบาท 2(5) = 10 เหรียญ
จะเป็นเงิน 10(10) = 100 บาท
มีเหรียญบาท 35 - 5 - 10 = 20 เหรียญ จะเป็นเงิน 1(20) = 20 บาท
จำานวนเหรียญทั้งหมด คิดเป็นเงิน 25 + 100 + 20 = 145 บาท
ซึ่งเป็นจริงตามเงื่อนไขของโจทย์
ดังนั้น มีเหรียญบาท 20 เหรียญ เหรียญห้าบาท 5 เหรียญ และเหรียญสิบบาท
10 เหรียญ ตอบ
ลองทําดู
1. มานะมีเงินจำานวนหนึ่ง แบ่งเงินออกเป็นสามส่วนเท่า ๆ กัน แล้วนำาเงินหนึ่งส่วนใน
สามส่วนไปซื้อเสื้อผ้า ถ้ามานะเหลือเงิน 100 บาท อยากทราบว่าเดิมมานะมีเงินกี่บาท
2. เมื่อนำา 16 ไปลบออกจากจำานวนหนึ่ง แล้วหารผลลบด้วย 3 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 20
จงหาจำานวนจำานวนนั้น
3. วีณามีเงินเหรียญทั้งหมด 25 เหรียญ ซึ่งมีเหรียญห้าบาทเป็นจำานวน 3 เท่าของเหรียญ
สิบบาท ถ้าจำานวนเหรียญทั้งหมดคิดเป็นเงิน 88 บาท จงหาว่าวีณามีเหรียญบาท
เหรียญห้าบาท และเหรียญสิบบาทอย่างละกี่เหรียญ
220
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
แบบฝึกทักษะ 5.5 4. ครู แ จกใบงานที่ 5.5 เรื่ อ ง การนํ า ความรู
เกี่ยวกับสมการเชิงเสนตัวแปรเดียวไปใชใน
ระดับ พื้นฐาน
ชีวติ จริง ใหนกั เรียนทํา จากนัน้ ครูและนักเรียน
1. จงเขียนข้อความต่อไปนี้ในรูปของตัวแปรที่กำาหนด รวมกันเฉลยคําตอบ
1) b หารด้วย 6 2) สี่เท่าของ x บวกด้วย 6 5. ใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 5.5 เปนการบาน
3) สามเท่าของ y คูณด้วย 10 4) a เท่าของ 10 รวมกับ b เท่าของ 20
2. จงเขียนสมการแทนข้อความที่กำาหนดให้ในแต่ละข้อต่อไปนี้
1) สองเท่าของจำานวนหนึ่งเท่ากับ 16 กำาหนดให้ x แทนจำานวนหนึ่ง
2) จำานวนหนึ่งมากกว่า 15 อยู่ 80 กำาหนดให้ y แทนจำานวนหนึ่ง
3) รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ารูปหนึ่งมีด้านยาว ยาว 12 เซนติเมตร และมีเส้นรอบรูปยาว
40 เซนติเมตร ถ้าให้ x แทนความยาวของด้านกว้างของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ารูปนี้
ระดับ กลาง
221
T235
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
ครูใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 4 คน คละความ คณิตศาสตร์ในชีวิตจริง
สามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม ดังนี้
- ให แ ต ล ะกลุ ม ส ง ตั ว แทนมาตกลงกั น ว า นักเรียนสามารถนำาความรู้เกี่ยวกับสมการทางคณิตศาสตร์มาแก้ปัญหาสถานการณ์ใน
จะเลื อ กแก ป ญ หาสถานการณ ใ ดจาก ชีวิตจริงได้ โดยการแปลงสถานการณ์นั้นให้เป็นสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว และแทนสิ่งที่ต้องการ
“คณิตศาสตรในชีวิตจริง” ในหนังสือเรียน ทราบด้วยตัวแปร ซึ่งอาจเป็น “x” แล้วเขียนสมการที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ๆ ดังตัวอย่าง
หนา 222 สถานการณ์ที่ 1
- นักเรียนแตละคนวิเคราะหวาสถานการณ
ณิชาเลีย้ งไก่และเป็ดรวมกันในฟาร์ม โดย
ที่กลุมของตนเองเลือกมีวิธีการแกปญหา สองเท่าของจำานวนไก่มากกว่าจำานวนเป็ดอยู่
อย า งไร จากนั้ น แลกเปลี่ ย นคํ า ตอบกั น 24 ตัว ถ้าณิชาเลี้ยงเป็ด 100 ตัว จะมีไก่กี่ตัว
ภายในกลุม สนทนาซักถามจนเปนที่เขาใจ
รวมกัน ให้ไก่ในฟาร์มมีจำานวน x ตัว
- นักเรียนแตละคนเขียนขั้นตอนแสดงวิธีคิด สมการที่ใช้แก้ปัญหา คือ 2x - 100 = 24
ของกลุม ตนเองอยางละเอียดลงในสมุดของ
ตนเอง ให้นักเรียนเขียนสมการและหาคำาตอบจากสถานการณ์ต่อไปนี้
- ส ง ตั ว แทนกลุ ม มานํ า เสนอคํ า ตอบหน า
สถานการณ์ที่ 2
ชั้ น เรี ย น โดยเพื่ อ นกลุ ม ที่ เ หลื อ คอย
ตรวจสอบความถูกตอง
วีณาซื้อเสื้อ 3 ตัว ซึ่งแต่ละตัวมีราคา
เท่ากัน ถ้าวีณาจ่ายเงินไปทั้งหมด 420 บาท
อยากทราบว่าเสื้อราคาตัวละกี่บาท
สถานการณ์ที่ 3
อุดมมีอายุมากกว่าน้องชายของเขา 3 ปี
ถ้าน้องชายของอุดมอายุ 8 ปี อุดมมีอายุเท่าไร
222
T236
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
1. ใหนักเรียนอานและศึกษา “สรุปแนวคิดหลัก”
สรุปแนวคิดหลัก ในหนั ง สื อ เรี ย น หน า 223 แล ว เขี ย นผั ง
มโนทัศน หนวยการเรียนรูที่ 5 สมการเชิงเสน
แบบรูปและความสัมพันธ์ ตัวแปรเดียว ลงในกระดาษ A4
• แบบรูปเป็นการแสดงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่มีลักษณะสำาคัญบางอย่างร่วมกันอย่างมี 2. ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
เงื่อนไข แบบรูปของจำานวนมักมีความสัมพันธ์ระหว่างลำาดับที่ของจำานวนกับจำานวนในแบบรูป นักเรียน ดังนี้
ซึ่งสามารถเขียนความสัมพันธ์ในรูปของตัวแปร แล้วแทนค่าตัวแปรเพื่อหาจำานวนในแบบรูป • สมการ คืออะไร
ในลำาดับที่เราต้องการได้ ( แนวตอบ เป น ประโยคสั ญ ลั ก ษณ ท าง
• สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว คือ สมการที่อยู่ในรูป ax + b = 0 เมื่อ a, b เป็นจำานวนใด ๆ และ คณิตศาสตรที่แสดงการเทากันของจํานวน
a≠0
โดยใชสัญลักษณ “=” แสดงการเทากัน)
คำาตอบของสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว • สมการที่เปนจริง คืออะไร
• คำาตอบของสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว คือ จำานวนที่แทนค่าตัวแปรในสมการแล้วทำาให้สมการ (แนวตอบ สมการที่มีจํานวนทางดานซาย
เป็นจริง และจํานวนทางดานขวาของเครื่องหมาย
• สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวสามารถจัดตามลักษณะคำาตอบของสมการได้ 3 แบบ คือ
“=” มีคาเทากัน)
1) สมการที่มีจำานวนบางจำานวนเป็นคำาตอบ
2) สมการที่มีจำานวนทุกจำานวนเป็นคำาตอบ • คําตอบของสมการ หมายถึงอะไร
3) สมการที่ไม่มีจำานวนใดเป็นคำาตอบ (แนวตอบ จํานวนที่แทนตัวไมทราบคาหรือ
สมบัติของการเท่ากัน แทนคาตัวแปรในสมการแลวทําใหสมการ
เปนจริง)
• กำาหนดให้ a, b และ c แทนจำานวนใด ๆ
1) สมบัติสมมาตร ถ้า a = b แล้ว b = a • สมการที่มีจํานวนบางจํานวนเปนคําตอบ
2) สมบัติถ่ายทอด ถ้า a = b และ b = c แล้ว a = c เปนอยางไร
3) สมบัติการบวก ถ้า a = b แล้ว a + c = b + c (แนวตอบ เปนสมการที่มีเพียงคําตอบเดียว)
4) สมบัติการคูณ ถ้า a = b แล้ว a × c = b × c • สมการที่ มี คํ า ตอบทุ ก จํ า นวนเป น คํ า ตอบ
การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว เปนอยางไร
• การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว คือ การหาคำาตอบของสมการ ซึ่งใช้สมบัติของการเท่ากัน (แนวตอบ เปนสมการที่เมื่อแทนคา x ดวย
การนำาความรู้เกี่ยวกับสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวไปใช้ในชีวิตจริง จํานวนใดๆ แลวทําใหสมการเปนจริงเสมอ)
• สมการที่ไมมีคําตอบเปนอยางไร
• ขั้นตอนในการแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับสมการ มีดังนี้
1) อ่านโจทย์ให้เข้าใจ และสมมติจำานวนที่โจทย์ต้องการทราบค่าหรือจำานวนที่เกี่ยวข้องกับ (แนวตอบ เปนสมการที่เมื่อแทนคา x ดวย
สิ่งที่โจทย์ให้มาให้เป็นตัวแปร จํานวนใดๆ แลวทําใหสมการเปนเท็จเสมอ)
2) เขียนสมการจากสิ่งที่โจทย์กำาหนด • สมบัติของการเทากันที่นักเรียนไดศึกษา
3) แก้สมการหาค่าของตัวแปร มีสมบัติอะไรบาง
4) ตรวจสอบคำาตอบกับเงื่อนไขในโจทย์ (แนวตอบ สมบัติสมมาตร สมบัติถายทอด
สมบัติการบวก และสมบัติการคูณ)
223
• การแกสมการ คืออะไร
(แนวตอบ การหาคําตอบของสมการ)
T237
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะประจําหนวย
แบบฝึ ก ทั ก ษะ
การเรียนรูที่ 5 เปนการบาน
ประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่ 5
1. จากแบบรูปที่กำาหนดในแต่ละข้อ จงหาจำานวนในลำาดับที่ 10 และเขียนความสัมพันธ์ระหว่าง
ลำาดับที่กับจำานวนในลำาดับที่ n
1) 2, 4, 8, 16, ... 2) 14, 11, 8, 5, ...
3) 1, 8, 27, 64, ... 4) 23 , 34 , 45 , 56 , ...
2. จงหาจำานวนอีกห้าจำานวนถัดไปของแบบรูปที่กำาหนดให้ในแต่ละข้อต่อไปนี้
1) 4, 7, 10, 13, ... 2) 3, 7, 11, 15, ...
3) 17, 15, 13, 11, ... 4) 8, 4, 2, 1, ...
5) -9, -12, -15, -18, ... 6) 43 , 2, 83 , 103 , ...
3. จงเขียนรูปสามรูปถัดไปของแต่ละแบบรูปต่อไปนี้
●
1) ●
● ●
● ● ●
● ● ●
2)
224
ขัน้ สรุป
4. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําถามในหนังสือ
เรียนหนา 176 ที่ไดถามไวในชั่วโมงแรกของ
6. จงใช้ความสัมพันธ์ระหว่าง A กับ B ต่อไปนี้ตรวจสอบว่าความสัมพันธ์ในข้อใด การเรียนในหนวยการเรียนรูที่ 5
ให้ค่า A = 95 เมื่อ B = 2 (แนวตอบ นาวาจะขั บ รถทั น วี ณ า เมื่ อ ขั บ รถ
1) A = 25 + 45B 2) A = 25 - 45B เปนเวลา 5 ชั่วโมง
3) A = 45 + 25B 4) A = 45 - 25B ดังนัน้ นาวาจะขับรถทันวีณา ในเวลา
7. จงแก้สมการต่อไปนี้ พร้อมทั้งแสดงวิธีตรวจสอบคำาตอบ 15 นาฬกา)
1) 6 = 12 + a 2) x - 7 = 16
ขัน้ ประเมิน
3) 2x - 8 = 7 - 3x 4) 32 - 2b = 40
1. ครูตรวจผังมโนทัศน หนวยการเรียนรูที่ 5
5) 18 m + 2 = 8 6) 12 (z + 1) = 9 2. ครูตรวจใบงานที่ 5.5
7) 2.5 + 12 y = 4y - 4.5 8) x3 - 25 = x5 + 2 3. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 5.5
8. จงหาค่าของ P และ a 4. ครูตรวจแบบฝกทักษะประจําหนวยการเรียนรู
ที่ 5
1) I = P ×100
R × T เมื่อ R ≠ 0 และ T ≠ 0
5. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
2) 3b = 2a - 7 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
9. ค่าของ y2 - 1 จากสมการ 4(y - 3) = 16 เท่ากับเท่าใด 7. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
10. จากสมการ 2y + 12 = 5x - 8 เมื่อ y = 5 ค่าของ x เท่ากับเท่าใด 8. ครูสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
225
4x + 10 = 15 - 3x
การมี
การทางาน
ระดับคะแนน การแสดง การยอมรับฟัง ส่วนร่วมใน รวม
ลาดับ ลาดับ ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
รายการประเมิน ความคิดเห็น คนอื่น การปรับปรุง 20
ที่ 4 3 2 1 ที่ ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
4x + 3x = 15 - 10
1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย
4 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ
7x = 5 5 วิธีการนาเสนอผลงาน
รวม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
เกณฑ์การให้คะแนน
............/................./................
ผลงานหรือพฤติกรรมสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 4 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องบางส่วน ให้ 3 คะแนน เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องมาก ให้ 1 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
14 - 17 ดี ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10 - 13 พอใช้ 18 - 20 ดีมาก
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง 14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง
T239
บรรณานุ ก รม
กนกวลี อุษณกรกุล, ปาจรีย์ วัชชวัลคุ และสุเทพ บุญซ้อน. (2561). หนังสือเรียนรายวิชาพืน้ ฐาน คณิตศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษา
ปีที่ 1 เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : บริษัท ไทยร่มเกล้า จ�ำกัด.
จันทร์เพ็ญ ชุมคช, ทองดี กุลแก้วสว่างวงศ์, สมใจ ธนเกียรติมงคล และสายสุณี สุทธิจักษ์. (ม.ป.ป.). คู่มือครู หนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพมหานคร : บริษัท ไทยร่มเกล้า
จ�ำกัด.
_______. (ม.ป.ป.). คู่มือครู หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เล่ม 2. พิมพ์ครั้งที่ 4.
กรุงเทพมหานคร : บริษัท ไทยร่มเกล้า จ�ำกัด.
_______. (ม.ป.ป.). คู่มือครู หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 5.
กรุงเทพมหานคร : บริษัท ไทยร่มเกล้า จ�ำกัด.
_______. (ม.ป.ป.). คู่มือครู หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2. พิมพ์ครั้งที่ 3.
กรุงเทพมหานคร : บริษัท ไทยร่มเกล้า จ�ำกัด.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2553). ศัพท์คณิตศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๊คส์
พับลิเคชั่นส์.
_______. (2554). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542. กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์.
ศศิเกษม สัทธรรมสกุล และกฤษฎิ์ อ่อนไสว. (2560). คู่มือเตรียมสอบ AKSORN พิชิต O-NET คณิตศาสตร์ ม.3.
กรุงเทพมหานคร : บริษัท ไทยร่มเกล้า จ�ำกัด.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ�ำกัด.
_______. (2561). คู่มือการใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น). สืบค้นเมื่อ 22 พฤษภาคม 2561,
จาก https://drive.google.com/drive/folders/12a0Y3CvLirAKeza_ClV_lwIrtdqMtcCR
T240