Professional Documents
Culture Documents
Teacher Script
วิทยาศาสตร์กายภาพ 2
(ฟิสิกส์) ม. 5
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
ตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด
กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผูเรียบเรียงคูมือครู บรรณาธิการคูมือครู
นางสาวศรีภัทรา นาเลิศ นางสาวชุลีพร สุวัฒนาพิบูล
นายธนากร เสรีสกุลธร
พิมพครั้งที่ 5
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา 3548012
คํ า แนะนํ า การใช้
คูม อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี วิทยาศาสตร
กายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 เลมนี้ จัดทําขึ้นสําหรับใหครูผูสอนใชเปน
แนวทางวางแผนการจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์
ทางการเรี ย นและการประกั น คุ ณ ภาพผู เ รี ย น ตามนโยบายของ
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
เพ คําอธิบายรายวิชา แสดงขอบขายเนื้อหาสาระของรายวิชา
2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพื่อ
ตรวจสอบความรู เ ดิ ม ของนั ก เรี ย นเป น ราย ·Õè·íÒãËŒÇѵ¶Ø
ซึ่งครอบคลุมผลการเรียนรูตามที่หลักสูตรกําหนด บุคคลกอนเขาสูกิจกรรม
3. ครูถามคําถามกระตุนวา ในการเคลื่อนที่ของ
วัตถุทั้งสองลักษณะ มีปริมาณใด ที่เกี่ยวของ
และการเคลื่อนที่ ÊÒÁÒöà¤Å×è͹·Õèä´Œ
ุด
สม
ในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรูแตละหนวย
ใน
วัตถุเกิดความเรง จึงกลาวไดวา แรงเปนตนเหตุที่ 3. การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์มีเส้นทางการเคลื่อนที่เป็นแนวโค้งไฮเพอร์โบลา
ลง
ทึ ก
ทําใหวัตถุเคลื่อนที่ได
บั น
4. การเคลื่อนที่ที่ความเร่งมีทิศตั้งฉากกับความเร็วตลอดเวลา คือ การเคลื่อนที่แบบวงกลม
5. การเคลื่อนที่แบบสั่นแต่ละรอบต้องผ่านต�าแหน่งสมดุล 2 ครั้งเสมอ
ิ่ม
แนวตอบ Understanding Check
เพ Chapter Concept Overview ชวยใหเ ห็นภาพรวม 1. ถูก 2. ผิด 3. ผิด 4. ถูก 5. ถูก
เพ
อัตราเร็ว ความเร็ว และความเรง ซึ่งในวิชาฟสิกสจะมีตัวแปรที่ใชแทนปริมาณ
เหลานี้ เพือ่ ใหงา ยตอการเขียน การคํานวณ และการนําไปประยุกตใช ในระหวาง
ความพรอมของผูเรียนสูการสอบในระดับตาง ๆ การจัดกิจกรรมการเรียนรูครูอาจจะใหความรูเพิ่มเติมกับนักเรียนวาปริมาณ
นั้นๆ ใชตัวแปรอะไรในการเขียนแทน และเปนตัวแปรที่นิยมใชกันทั่วไป
การเคลือ่ นทีแ่ นวตรง (linear motion) คือ การเคลือ่ นทีไ่ ปตามเส้นทางทีเ่ ป็นเส้นตรง ซึง่ เป็น
กัน แตจะตางกันตรงทีร่ ถทดลองจะเคลือ่ นที่
เปนแนวเสนตรงในแนวระดับ สวนลูกบอล
ตัวอยางขอสอบที่มุงเนนการคิด มีทั้งปรนัย-อัตนัย พรอม
รูปแบบการเคลื่อนที่ที่ง่ายที่สุด เช่น การเคลื่อนที่ของรถไฟที่แล่นบนรางตรงบนพื้นระดับ ดังภาพ
ที่ 1.2 การตกของก้อนหินจากความสูงในแนวดิง่ เป็นต้น การเคลือ่ นทีแ่ นวตรงอาจเป็นการเคลือ่ นที่
จะเคลื่อนที่เปนแนวเสนตรงในแนวดิ่ง)
เฉลยอยางละเอียด
ด้วยความเร็วคงตัวหรือความเร่งเป็นศูนย์ เมื่อสังเกตจะได้ว่า การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงตัวนี้
มีเฉพาะการเคลือ่ นทีแ่ นวตรงเท่านัน้ การเคลือ่ นทีร่ ปู แบบอืน่ ล้วนเป็นการเคลือ่ นทีแ่ บบมีความเร่ง
ทั้งสิ้น การเคลื่อนที่แนวตรงเป็นการเคลื่อนที่ที่นักเรียนสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ง่ายกว่าการ
เคลื่อนที่แบบอื่นที่มีลักษณะซับซ้อนมากขึ้น ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET
กล่าวได้ว่า การเคลื่อนที่แนวตรงเป็นการเคลื่อนที่ของวัตถุจากต�าแหน่งหนึ่งไปอีกต�าแหน่ง
หนึ่ง โดยมีแนวเส้นทางการเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง สามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี ได้แก่
• การเคลื่อนที่แนวตรงตามแนวระดับ
ตัวอยางขอสอบที่มุงเนนการคิดวิเคราะห และสอดคลองกับ
1
• การเคลื่อนที่แนวตรงตามแนวดิ่ง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การตกแบบเสรี (free fall) แนวตอบ Prior Knowledge
การเคลื่อนที่แนวตรงตามแนวระดับ และการ
แนวขอสอบ O-NET มีทั้งปรนัย-อัตนัย พรอมเฉลยอยาง
แรงและการเคลื่อนที่ 3
เคลื่อนที่แนวตรงตามแนวดิ่ง ละเอียด
ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู
การเคลื่อนที่ในขอใดตางจากขออื่น 1 การตกแบบเสรี เปนการเคลือ่ นทีแ่ นวตรงซึง่ วัตถุจะเคลือ่ นทีใ่ นแนวดิง่ ภาย
กิจกรรมทาทาย
1. ทุเรียนสุกหลนจากตน
2. กอนหินกลิ้งตกจากหนาผาสูง
ใตอิทธิพลแรงโนมถวงของโลก หรือเปนการเคลื่อนที่อยางอิสระของวัตถุ โดยมี
ความเรงคงตัวเทากับความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก มีทิศทางพุงลงสู เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรม เพือ่ ตอยอดสําหรับนักเรียน
3. นักกีฬากระโดดรมลงจากเครื่องบิน จุดศูนยกลางของโลก เมื่อแรงที่กระทําตอวัตถุที่กําลังตกมีเพียงแคแรงโนมถวง
4. นักกีฬาวิ่งทางตรงระยะทาง 400 เมตร
5. การเคลื่อนที่ของลูกบาสเกตบอลลงหวง
เพียงแรงเดียว จึงถือวาวัตถุนั้นมี “การตกแบบอิสระ” วัตถุที่ตกแบบอิสระจะมี
ความเรงในขณะที่ตกลงมา เพราะการตกอยางอิสระแรงโนมถวงเปนแรงที่ไม
ทีเ่ รียนรูไ ดอยางรวดเร็ว และตองการทาทายความสามารถใน
(วิเคราะหคําตอบ เนื่องจากการเคลื่อนที่ทุกขอเปนการเคลื่อนที่
ที่มีความเรงเขามาเกี่ยวของ คือ ความเรงเนื่องจากแรงโนมถวง
สมดุล และแรงที่ไมสมดุลจะทําใหวัตถุมีความเรง ระดับที่สูงขึ้น
ของโลก ยกเวนการวิ่งของนักกีฬาที่วิ่งทางตรงเปนระยะทาง 400
เมตร เปนการเคลื่อนที่แนวตรงดวยความเร็วคงตัวตามแนวระดับ
โซน 3
จึงทําใหไมมีความเรง ดังนั้น ตอบขอ 4.) โซน 2 กิจกรรมสรางเสริม
เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมซอมเสริมสําหรับนักเรียนที่
T7
ควรไดรับการพัฒนาการเรียนรู
ตัวชี้วัด
ว 2.2 ม.5/1 วิเคราะห์และแปลความหมายข้อมูลความเร็วกับเวลาของการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ เพือ่ อธิบายความเร่งของวัตถุ
ว 2.2 ม.5/2 สงั เกตและอธิบายการหาแรงลัพธ์ทเี่ กิดจากแรงหลายแรงทีอ่ ยูใ่ นระนาบเดียวกันทีก่ ระท�ำต่อวัตถุ โดยการเขียน
แผนภาพการรวมแบบเวกเตอร์
ว 2.2 ม.5/3 สังเกต วิเคราะห์ และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความเร่งของวัตถุกับแรงลัพธ์ที่กระท�ำต่อวัตถุและมวล
ของวัตถุ
ว 2.2 ม.5/4 สังเกตและอธิบายแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยาระหว่างวัตถุคู่หนึ่ง ๆ
ว 2.2 ม.5/5 สังเกตและอธิบายผลของความเร่งที่มีต่อการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ ได้แก่ การเคลื่อนที่แนวตรง
การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ การเคลื่อนที่แบบวงกลม และการเคลื่อนที่แบบสั่น
ว 2.2 ม.5/6 สืบค้นข้อมูลและอธิบายแรงโน้มถ่วงที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุต่าง ๆ รอบโลก
ว 2.2 ม.5/7 สังเกตและอธิบายการเกิดสนามแม่เหล็กเนื่องจากกระแสไฟฟ้า
ว 2.2 ม.5/8 ส งั เกตและอธิบายแรงแม่เหล็กทีก่ ระท�ำต่ออนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้าทีเ่ คลือ่ นทีใ่ นสนามแม่เหล็กและแรงแม่เหล็ก
ที่กระท�ำต่อลวดตัวน�ำที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านในสนามแม่เหล็ก รวมทั้งอธิบายหลักการท�ำงานของมอเตอร์
ว 2.2 ม.5/9 สังเกตและอธิบายการเกิดอีเอ็มเอฟ รวมทั้งยกตัวอย่างการน�ำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ว 2.2 ม.5/10 สืบค้นข้อมูลและอธิบายแรงเข้มและแรงอ่อน
ว 2.3 ม.5/1 สืบค้นข้อมูลและอธิบายพลังงานนิวเคลียร์ฟิชชันและฟิวชัน และความสัมพันธ์ระหว่างมวลกับพลังงานที่
ปลดปล่อยออกมาจากฟิชชันและฟิวชัน
ว 2.3 ม.5/2 สืบค้นข้อมูลและอธิบายการเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งสืบค้นและอภิปรายเกี่ยวกับ
เทคโนโลยีที่น�ำมาแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการทางด้านพลังงาน โดยเน้นด้านประสิทธิภาพและ
ความคุ้มค่าด้านค่าใช้จ่าย
ว 2.3 ม.5/3 สังเกตและอธิบายการสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบน และการรวมคลื่น
ว 2.3 ม.5/4 สังเกตและอธิบายความถี่ธรรมชาติ การสั่นพ้อง และผลที่เกิดขึ้นจากการสั่นพ้อง
ว 2.3 ม.5/5 สังเกตและอธิบายการสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบน และการรวมคลื่นของคลื่นเสียง
ว 2.3 ม.5/6 สืบค้นข้อมูลและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มเสียงกับระดับเสียงและผลของความถี่กับระดับเสียงที่
มีต่อการได้ยินเสียง
ว 2.3 ม.5/7 สังเกตและอธิบายการเกิดเสียงสะท้อนกลับ บีต ดอปเพลอร์ และการสั่นพ้องของเสียง
ว 2.3 ม.5/8 สืบค้นข้อมูลและยกตัวอย่างการน�ำความรู้เกี่ยวกับเสียงไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ�ำวัน
ว 2.3 ม.5/9 สังเกตและอธิบายการมองเห็นสีของวัตถุ และความผิดปกติในการมองเห็นสี
ว 2.3 ม.5/10 สังเกตและอธิบายการท�ำงานของแผ่นกรองแสงสี การผสมแสงสี การผสมสารสี และการน�ำไปใช้ประโยชน์ใน
ชีวิตประจ�ำวัน
ว 2.3 ม.5/11 สบื ค้นข้อมูลและอธิบายคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า ส่วนประกอบคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า และหลักการท�ำงานของอุปกรณ์
บางชนิดที่อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ว 2.3 ม.5/12 สืบค้นข้อมูลและอธิบายการสื่อสาร โดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งผ่านสารสนเทศ และเปรียบเทียบ
การสื่อสารด้วยสัญญาณแอนะล็อกกับสัญญาณดิจิทัล
รวม 22 ตัวชี้วัด
Pedagogy
คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
วิทยาศาสตร์กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) ม.5 รวมถึงสื่อการเรียนรูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ชั้น ม.5 ผูจัดทําไดออกแบบการสอน (Instructional Design) อันเปนวิธี
การจัดการเรียนรูและเทคนิคการสอนที่เปยมดวยประสิทธิภาพและมีความหลากหลายใหกับผูเรียน เพื่อใหผูเรียนสามารถ
บรรลุผลสัมฤทธิต์ ามมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงคของผูเ รียนทีห่ ลักสูตร
กําหนดไว โดยครูสามารถนําไปใชจัดการเรียนรูในชั้นเรียนไดอยางมีประสิทธิภาพ ซึ่งในรายวิชานี้ ไดนํารูปแบบการสอน
แบบสืบเสาะหาความรู (5Es Instructional Model) มาใชในการออกแบบการสอน ดังนี้
ดวยจุดประสงคของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร เพื่อชวย
ุนความสนใจ
ใหผูเรียนไดพัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค กระต
คิดวิเคราะห วิจารณ มีทักษะสําคัญในการคนควาหาความรู และมี Eennggagement
1
สาํ xploration
eEvvaluatio ล
ความสามารถในการแกปญหาอยางเปนระบบ ผูจัดทําจึงไดเลือกใช
รวจ
ผ
eE
ตรวจสอบ
n
และคนหา
รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es Instructional Model) 2
5
ซึ่งเปนขั้นตอนการเรียนรูที่มุงเนนใหผูเรียนไดมีโอกาสสราง
องคความรูดวยตนเองผานกระบวนการคิดและการลงมือทํา โดย
5Es
ใช กระบวนการทางวิ ท ยาศาสตร เ ป น เครื่ อ งมื อ สํ า คั ญ เพื่ อ การ
bo 4 3
n
El a
tio
พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร และทักษะการเรียนรู ratio ana
ขย
รู
คว pl
าม
n E x ว
าย
1 1. ว ิ เ คราะห์ แ ละแปลความหมาย
ข้อมูลความเร็วกับเวลาของการ
- ทักษะการวิเคราะห์
- ทักษะการทดลอง
- ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน
- สังเกตการน�ำเสนอและอภิปราย
- หนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐาน
แรงและการ เคลื่ อ นที่ ข องวั ต ถุ เพื่ อ อธิ บ าย - ทักษะการสื่อสาร เกี่ยวกับแรงและการเคลื่อนที่ วิทยาศาสตร์
เคลื่อนที่ ความเร่งของวัตถุ (ว 2.2 ม.5/1) - ทักษะการสังเกต - สังเกตการปฏิบัติกิจกรรมการหา กายภาพ 2
2. สงั เกตและอธิบายการหาแรงลัพธ์ - ทักษะการท�ำงานร่วมกัน อัตราเร็วเฉลี่ย การหาขนาดและ (ฟิสิกส์) ม.5
ที่เกิดจากแรงหลายแรงที่อยู่ใน - ทักษะการน�ำความรู้ไปใช้ ทิศทางของแรงลัพธ์ แรงกับ - แบบฝึกหัด
ระนาบเดียวกันที่กระท�ำต่อวัตถุ ความเร่ง เครื่องยิงโพรเจกไทล์ รายวิชาพื้นฐาน
โดยการเขียนแผนภาพการรวม การเคลื่อนที่แบบวงกลมในแนวดิ่ง วิทยาศาสตร์
แบบเวกเตอร์ (ว 2.2 ม.5/2) และการเคลื่อนที่แบบแกว่ง กายภาพ 2
3. สังเกต วิเคราะห์ และอธิบาย - ตรวจผังมโนทัศน์ (ฟิสิกส์) ม.5
ความสัมพันธ์ระหว่างความเร่ง - ตรวจใบงาน - แบบทดสอบ
ของวัตถุกับแรงลัพธ์ที่กระท�ำ 16 - ตรวจแบบฝึกหัด ก่อนเรียน
ต่อวัตถุและมวลของวัตถุ ชั่วโมง - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - แบบทดสอบ
(ว 2.2 ม.5/3) รายบุคคล หลังเรียน
4. ส ังเกตและอธิบายแรงกิริยาและ - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงานกลุ่ม - ใบงาน
แรงปฏิกริ ยิ าระหว่างวัตถุคหู่ นึง่ ๆ - สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - PowerPoint
(ว 2.2 ม.5/4) - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน - QR Code
5. ส ังเกตและอธิบายผลของ - ภาพยนตร์สารคดี
ความเร่งที่มีต่อการเคลื่อนที่ สั้น Twig
แบบต่าง ๆ ของวัตถุ ได้แก่ การ
เคลื่อนที่แนวตรง การเคลื่อนที่
แบบโพรเจกไทล์ การเคลื่อนที่
แบบวงกลม และการเคลื่อนที่
แบบสั่น (ว 2.2 ม.5/5)
2 1. ส ืบค้นข้อมูลและอธิบาย
แรงโน้มถ่วงที่เกี่ยวกับการ
- ทักษะการวิเคราะห์
- ทักษะการทดลอง
- ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน
- สังเกตการน�ำเสนอและอภิปราย
แรงในธรรมชาติ เคลื่อนที่ของวัตถุต่าง ๆ รอบโลก - ทักษะการสื่อสาร เกี่ยวกับแรงในธรรมชาติ
(ว 2.2 ม.5/6) - ทักษะการสังเกต - สังเกตการปฏิบัติกิจกรรม
2. สังเกตและอธิบายการเกิดสนาม - ทักษะการท�ำงานร่วมกัน การเคลื่อนที่ของวัตถุในสนาม
แม่เหล็กเนื่องจากกระแสไฟฟ้า - ทักษะการน�ำความรู้ไปใช้ โน้มถ่วงของโลก ผลของสนาม
(ว 2.2 ม.5/7) แม่เหล็กต่อล�ำอิเล็กตรอน ผลของ
3. ส ังเกตและอธิบายแรงแม่เหล็กที่ สนามแม่เหล็กต่อตัวน�ำที่มีกระแส
กระท�ำต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า ไฟฟ้า มอเตอร์อย่างง่าย และ
ที่เคลื่อนที่ในสนามแม่เหล็กและ กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน�ำ
แรงแม่ เ หล็ ก ที่ ก ระท� ำ ต่ อ ลวด 18 - ตรวจผังมโนทัศน์
ตั ว น� ำ ที่ มี ก ระแสไฟฟ้ า ผ่ า นใน ชั่วโมง - ตรวจใบงาน
สนามแม่เหล็ก รวมทั้งอธิบาย - ตรวจแบบฝึกหัด
หลักการท�ำงานของมอเตอร์ - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
(ว 2.2 ม.5/8) รายบุคคล
4. ส ังเกตและอธิบายการเกิด - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงานกลุ่ม
อีเอ็มเอฟ รวมทั้งยกตัวอย่าง - สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค์
การน�ำความรู้ไปใช้ประโยชน์ - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน
(ว 2.2 ม.5/9)
5. ส ืบค้นข้อมูลและอธิบายแรงเข้ม
และแรงอ่อน (ว 2.2 ม.5/10)
หน่วย เวลาที่
ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้ ใช้
3 1. สืบค้นข้อมูลและอธิบายพลังงาน
นิวเคลียร์ฟิชชันและฟิวชัน และ
- ทักษะการวิเคราะห์
- ทักษะการสื่อสาร
- ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน
- สังเกตการน�ำเสนอและอภิปราย
- หนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐาน
พลังงาน ความสัมพันธ์ระหว่างมวลกับพลังงาน - ทักษะการสังเกต เกี่ยวกับพลังงาน วิทยาศาสตร์
ที่ปลดปล่อยออกมาจากฟิชชันและ - ทักษะการท�ำงาน - ตรวจผังมโนทัศน์ กายภาพ 2
ฟิวชัน (ว 2.3 ม.5/1) ร่วมกัน - ตรวจใบงาน (ฟิสิกส์) ม.5
2. สืบค้นข้อมูลและอธิบายการเปลี่ยน - ทักษะการน�ำความรู้ 8 - ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝึกหัด
พลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า ไปใช้ ชั่วโมง - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน รายวิชาพืน้ ฐาน
รวมทั้งสืบค้นและอภิปรายเกี่ยวกับ รายบุคคล วิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีที่นำ� มาแก้ปัญหาหรือตอบ - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงานกลุ่ม กายภาพ 2
สนองความต้องการทางด้านพลังงาน - สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ฟิสิกส์) ม.5
โดยเน้นด้านประสิทธิภาพและความ - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน - แบบทดสอบ
คุ้มค่าด้านค่าใช้จ่าย (ว 2.3 ม.5/2) ก่อนเรียน
- แบบทดสอบ
4 1. สังเกตและอธิบายการสะท้อน
การหักเห การเลี้ยวเบน และ
- ทักษะการวิเคราะห์
- ทักษะการทดลอง
- ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน
- สังเกตการน�ำเสนอและอภิปราย หลังเรียน
คลื่น การรวมคลื่น (ว 2.3 ม.5/3) - ทักษะการสื่อสาร เกี่ยวกับคลื่น - ใบงาน
2. สังเกตและอธิบายความถี่ธรรมชาติ - ทักษะการสังเกต - สังเกตการปฏิบัติกิจกรรม - PowerPoint
การสั่นพ้อง และผลที่เกิดขึ้นจากการ - ทักษะการท�ำงาน การสะท้อนของคลื่นผิวน�้ำ - QR Code
สั่นพ้อง (ว 2.3 ม.5/4) ร่วมกัน การหักเหของคลื่นผิวน�้ำ การเลี้ยว - ภาพยนตร์สารคดี
3. สังเกตและอธิบายการสะท้อน - ทักษะการน�ำความรู้ เบนของคลื่นผิวน�้ำ การแทรกสอด สั้น Twig
การหักเห การเลี้ยวเบน และการรวม ไปใช้ ของคลื่นผิวน�้ำ การเกิดบีตของ
คลื่นของคลื่นเสียง (ว 2.3 ม.5/5) เสียง และการผสมแสงสีบนฉาก
4. สืบค้นข้อมูลและอธิบายความสัมพันธ์ ขาว
ระหว่างความเข้มเสียงกับระดับเสียง - ตรวจผังมโนทัศน์
และผลของความถี่กับระดับเสียงที่มีต่อ - ตรวจใบงาน
การได้ยินเสียง (ว 2.3 ม.5/6) - ตรวจแบบฝึกหัด
5. สังเกตและอธิบายการเกิดเสียงสะท้อน - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
กลับ บีต ดอปเพลอร์ และ รายบุคคล
การสั่นพ้องของเสียง (ว 2.3 ม.5/7) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงานกลุ่ม
6. สืบค้นข้อมูลและยกตัวอย่างการน�ำ - สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ความรู้เกี่ยวกับเสียงไปใช้ประโยชน์ 18 - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน
ในชีวิตประจ�ำวัน (ว 2.3 ม.5/8) ชั่วโมง
7. สังเกตและอธิบายการมองเห็นสีของ
วัตถุ และความผิดปกติในการมองเห็น
สี (ว 2.3 ม.5/9)
8. สังเกตและอธิบายการท�ำงานของแผ่น
กรองแสงสี การผสมแสงสี การผสม
สารสี และการน�ำไปใช้ประโยชน์ใน
ชีวิตประจ�ำวัน (ว 2.3 ม.5/10)
9. สืบค้นข้อมูลและอธิบาย
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ส่วนประกอบ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และหลักการ
ท�ำงานของอุปกรณ์บางชนิดที่อาศัย
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (ว 2.3 ม.5/11)
10. สืบค้นข้อมูลและอธิบายการสื่อสาร
โดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการ
ส่งผ่านสารสนเทศ และเปรียบเทียบ
การสื่อสารด้วยสัญญาณแอนะล็อก
กับสัญญาณดิจิทัล (ว 2.3 ม.5/12)
สารบั ญ
Chapter
Chapter Teacher
Chapter Title Overview
Concept
Script
Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 แรงและการเคลื่อนที่ T2 -T3 T4 -T5 T6
• การเคลื่อนที่แนวตรง T7 - T15
• แรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน T16 - T31
• การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล T32 - T36
• การเคลื่อนที่แบบวงกลม T37 - T42
• การเคลื่อนที่แบบสั่น T43 - T49
ทายหนวยการเรียนรูที่ 1 T50 - T53
T2
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 (ต่อ) - ใบงาน 3. ม ีความสนใจใฝ่รู้หรือ - ตรวจใบงาน เรื่อง
การเคลื่อนที่ - PowerPoint อยากรู้อยากเห็น และ การเคลือ่ นทีแ่ บบโพรเจกไทล์
แบบโพรเจกไทล์ - QR Code ท�ำงานร่วมกับผู้อื่นได้ - ตรวจแบบฝึกหัด
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น อย่างสร้างสรรค์ (A) - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
2 Twig Topic Question
- สังเกตพฤติกรรม
ชั่วโมง การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียน รายวิชา 1. อธิบายผลของ แบบสืบเสาะ - สังเกตการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
การเคลื่อนที่ พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ความเร่งที่มีต่อการ หาความรู้ เกี่ยวกับการเคลื่อนที่แบบ - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
แบบวงกลม กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) เคลื่อนทีแ่ บบวงกลม (5Es วงกลม - ทักษะการสังเกต - มุ่งมั่นใน
ม.5 ได้ (K) Instructional - สังเกตการปฏิบัติการ - ทักษะการน�ำความรู้ การท�ำงาน
2 - แบบฝึกหัด รายวิชา 2. ยกตัวอย่างกิจกรรม
พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ในชีวิตประจ�ำวันที่
Model) จากการท�ำกิจกรรม
- ตรวจแบบบันทึกกิจกรรม
ไปใช้
- ทักษะการทดลอง
ชั่วโมง กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) เกี่ยวข้องกับการ - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง
ม.5 เคลื่อนที่แบบวงกลม การเคลื่อนที่แบบวงกลม
- ใบงาน ได้ (K) - ตรวจใบงาน เรื่อง
- PowerPoint 3. ทดลองและสรุปขนาด การเคลื่อนที่แบบวงกลม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ของแรงสูศ่ นู ย์กลาง ณ - ตรวจแบบฝึกหัด
Twig ต�ำแหน่งต่าง ๆ ของ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
วัตถุที่เคลื่อนที่แบบ Topic Question
วงกลมได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
4. มีความสนใจใฝ่รู้หรือ การท�ำงานรายบุคคล
อยากรู้อยากเห็น และ - สังเกตพฤติกรรม
ท�ำงานร่วมกับผู้อื่นได้ การท�ำงานกลุ่ม
อย่างสร้างสรรค์ (A) - สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 5 - แบบทดสอบหลังเรียน 1. อธิบายลักษณะของ แบบสืบเสาะ - สังเกตการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
การเคลื่อนที่ - หนังสือเรียน รายวิชา การเคลื่อนที่แบบสั่น หาความรู้ เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
แบบสั่น พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ได้ (K) (5Es แบบสัน่ - ทักษะการสังเกต - มุ่งมั่นใน
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) 2. ยกตัวอย่างกิจกรรม Instructional - สังเกตการปฏิบัติการ - ทักษะการท�ำงาน การท�ำงาน
3 ม.5 ในชีวิตประจ�ำวันที่ Model) จากการท�ำกิจกรรม ร่วมกัน
- แบบฝึกหัด รายวิชา เกี่ยวข้องกับการ - ตรวจแบบบันทึกกิจกรรม - ทักษะการน�ำความรู้
ชั่วโมง พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เคลื่อนที่แบบสั่นได้ - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง ไปใช้
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) (K) การเคลื่อนที่แบบสั่น - ทักษะการทดลอง
ม.5 3. น�ำหลักการของการ - ตรวจใบงาน เรื่อง
- ใบงาน เคลื่อนที่แบบสั่นไป การเคลื่อนที่แบบสั่น
- PowerPoint ประยุกต์ใช้ในชีวิต - ตรวจแบบฝึกหัด
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ประจ�ำวันได้ (P) - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
Twig 4. มีความสนใจใฝ่รู้หรือ Topic Question
อยากรู้อยากเห็น และ - สังเกตพฤติกรรม
ท�ำงานร่วมกับผู้อื่นได้ การท�ำงานรายบุคคล
อย่างสร้างสรรค์ (A) - สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T3
Chapter Concept Overview
การเคลื่อนที่แนวตรง
การเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นการเปลี่ยนต�ำแหน่งของวัตถุเมื่อเทียบกับต�ำแหน่งอ้างอิงในช่วงเวลาที่สังเกต มีปริมาณที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
ปริมาณสเกลาร์ ปริมาณเวกเตอร์
(ระบุเพียงขนาด) (ระบุทั้งขนาดและทิศทาง)
ระยะทาง (m) การกระจัด (m)
ระยะทั้งหมดที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ ระยะแนวเส้นตรงที่สั้นที่สุดมีทิศทางจากจุดเริ่มต้นถึง
จุดสุดท้าย
แรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน
แรง เป็นการกระท�ำของวัตถุหนึ่งต่ออีกวัตถุหนึ่งซึ่งส่งผลให้วัตถุนั้นเปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนที่ แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ เมื่อมี
แรงสองแรงหรือมากกว่ามากระท�ำต่อวัตถุหนึ่ง การหาแรงลัพธ์ที่กระท�ำต่อวัตถุนั้นต้องใช้วิธีรวมแรงแบบเวกเตอร์ ซึ่งมี 2 วิธี คือ การเขียน
แผนภาพและการค�ำนวณ
กฎการเคลือ่ นทีข่ องนิวตัน เป็นกฎทีใ่ ช้อธิบายผลของแรงต่อสภาพการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุทอี่ ธิบายได้ครอบคลุมและเข้าใจง่าย มีใจความ
ดังนี้
T4
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1
การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล
การเคลือ่ นทีแ่ บบโพรเจกไทลเปนผลรวมของการเคลือ่ นทีใ่ นแนวระดับดวยความเร็วคงตัวกับการเคลือ่ นทีใ่ นแนวดิง่ ดวยความเรงคงตัว
(เทากับความเรงโนมถวง) เกิดขึน้ เมือ่ วัตถุเคลือ่ นทีอ่ อกไปในอากาศ โดยความเร็วตนในการเคลือ่ นทีม่ ที ศิ ทางเอียงทํามุมกับแนวระดับ โดย
ความสูงที่วัตถุขึ้นไปถึงและระยะตกขึ้นอยูกับขนาดและทิศทางของความเร็วตนหรือมุมยิง ในกรณีที่มีขนาดความเร็วตนมีคาคงตัว
ความเรงเนื่องจาก
แรงโนมถวงของโลก
จุดสูงสุด
• ความเร็วในแนวดิ่งเปนศูนย
• ความเร็วในแนวระดับเทากับ
86
ความเร็วตนในแนวระดับ 86
จุดตก
จุดเริ่มตน
เวลาที่เงาของวัตถุเคลื่อนที่ในแนวระดับจากจุดเริ่มตน
ไปถึงจุดตกจะเทากับเวลาที่วัตถุใชในการเคลื่อนที่ตาม
เสนโคงจากจุดเริ่มตนไปถึงจุดตก
พื้นระดับ
การเคลื่อนที่แบบวงกลม การเคลื่อนที่แบบสั่น
การเคลื่อนที่แบบวงกลมเปนการเคลื่อนที่แบบมีความเรง การเคลื่อนที่แบบสั่นเปนการเคลื่อนที่กลับไปกลับมารอบ
โดยความเรงมีทิศพุงเขาสูจุดศูนยกลางของวงกลมตลอดเวลา ตําแหนงสมดุลดวยความเรงทีม่ ที ศิ พุง เขาหาตําแหนงสมดุลตลอด
เรียกวา ความเรงเขาสูศูนยกลาง โดยเปนผลมาจากการกระทํา เวลา ความเรงในการเคลือ่ นทีแ่ บบสัน่ เปนความเรงไมคงตัว มีคา
ของแรงภายนอก ซึ่งมีทิศพุงเขาสูจุดศูนยกลางของวงกลมการ สูงสุดที่ตําแหนงไกลสุดของการสั่น และมีคาเปนศูนยที่ตําแหนง
เคลือ่ นทีเ่ สมอ วัตถุจะเคลือ่ นทีเ่ ปนวงกลมไดตอ งมีแรงสูศ นู ยกลาง สมดุล เนื่องจากการกระจัดของวัตถุที่เคลื่อนที่แบบสั่นมีทิศพุง
ที่มีขนาดพอเหมาะที่กระทําตอวัตถุเทานั้น ออกจากจุดสมดุลตลอดเวลา ความเรงในการเคลื่อนที่แบบสั่น
จึงมีทศิ ทางตรงขามกับการกระจัดตลอดเวลา สงผลใหขนาดของ
ความเร็วในการเคลือ่ นทีแ่ บบสัน่ ของวัตถุเปลีย่ นแปลงในลักษณะ
v ตรงขามกับความเรง
v
L θθ L
v m m
m m
v
Fc
f = 21π mk f = 21π Lg
ac
v T = 2π mk T = 2π Lg
v
T5
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
หนวยการเรียนรูที่ 1 QÍÐää×͵Œ¹à˵ØÊíÒ¤ÑÞ
áç
1. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพื่อ
ตรวจสอบความรู เ ดิ ม ของนั ก เรี ย นเป น ราย ·Õè·íÒãËŒÇѵ¶Ø
บุคคลกอนเขาสูกิจกรรม
3. ครูถามคําถามกระตุนวา ในการเคลื่อนที่ของ
วัตถุทั้งสองลักษณะ มีปริมาณใด ที่เกี่ยวของ
และการเคลื่อนที่ ÊÒÁÒöà¤Å×è͹·Õèä´Œ
U n de r s t a n di n g
Check
แนวตอบ Big Question ให้นักเรียนพิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
ถูก / ผิด
แรง ทําใหวัตถุเปลี่ยนรูปราง เปลี่ยนทิศทาง 1. การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงตัวมีเพียงการเคลื่อนที่แนวตรงเท่านั้น
และทําใหวัตถุเกิดการเคลื่อนที่หรือหยุดนิ่งได ซึ่ง 2. แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยาเป็นแรงที่มีขนาดเท่ากันและมีทิศตรงข้ามกันจึงเป็นแรงสมดุล
ุด
สม
ใน
แรงสามารถเปลี่ยนความเร็วของวัตถุได และทําให 3. การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์มีเส้นทางการเคลื่อนที่เป็นแนวโค้งไฮเพอร์โบลา
ลง
วัตถุเกิดความเรง จึงกลาวไดวา แรงเปนตนเหตุที่ ทึ ก
บั น
4. การเคลื่อนที่ที่ความเร่งมีทิศตั้งฉากกับความเร็วตลอดเวลา คือ การเคลื่อนที่แบบวงกลม
ทําใหวัตถุเคลื่อนที่ได 5. การเคลื่อนที่แบบสั่นแต่ละรอบต้องผ่านต�าแหน่งสมดุล 2 ครั้งเสมอ
เกร็ดแนะครู
การจัดการเรียนการสอนในหนวยการเรียนรูที่ 1 แรงและการเคลื่อนที่ จะ
มีปริมาณที่เกี่ยวของกับการเคลื่อนที่หลายปริมาณ เชน ระยะทาง การกระจัด
อัตราเร็ว ความเร็ว ความเรง ซึ่งในวิชาฟสิกสจะมีตัวแปรที่ใชแทนปริมาณ
เหลานี้ เพือ่ ใหงา ยตอการเขียน การคํานวณ และการนําไปประยุกตใช ในระหวาง
การจัดกิจกรรมการเรียนรูครูอาจจะใหความรูเพิ่มเติมกับนักเรียนวาปริมาณ
นั้นๆ ใชตัวแปรอะไรในการเขียนแทน และเปนตัวแปรที่นิยมใชกันทั่วไป
T6
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. การเคลื่อนที่แนวตรง Prior Knowledge 6. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
ในชีวติ ประจ�าวันเราสามารถพบเห็นวัตถุตา่ ง ๆ ทัง้ ในสภาพ กำรàคล×อ่ นทีá่ นวตรง เรียน กับนักเรียนวา “การเคลื่อนที่แนวตรง
ที่อยู่นิ่งและในสภาพที่เคลื่อนที่ได้ทั่วไป เช่น การเดิน การวิ่ง ลักÉณะãดที่ äม‹มี ãนกำร ลักษณะใดที่ไมมีการเคลื่อนที่แบบอื่นๆ”
การกระโดด การแล่นของรถหรือเรือ การร่วงของใบไม้ การหมุน àคล×อ่ นทีá่ บบอ×น่ æ
ของกังหัน การแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกา เป็นต้น แต่ความรู้ความ ขัน้ สอน
เข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ได้เกิดขึ้นเมื่อสี่ร้อยกว่าปที่ผ่านมาจากผลงานของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่ง สํารวจคนหา
ผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์สรุปได้ว่า แรงเป็นต้นเหตุที่ท�าให้วัตถุเคลื่อนที่ โดยแรงที่กระท�า 1. ครูใหนักเรียนสืบเสาะหาความรู เรื่อง การ
ต่อวัตถุส่งผลโดยตรงต่อความเร่งในการเคลื่อนที่ของวัตถุ เคลื่อนที่แนวตรง จากหนังสือเรียน
2. ครู ใ ช ส ถานการณ จํ า ลองผลั ก รถทดลองให
เคลื่อนที่ในแนวตรงบนโตะ และปลอยลูกบอล
ใหตกลงสูพ นื้ หอง แลวตัง้ คําถามกับนักเรียนวา
• ทัง้ รถทดลองและลูกบอลมีแนวการเคลือ่ นที่
อยางไร
(แนวตอบ เคลื่อนที่เปนแนวเสนตรง)
• ลักษณะการเคลือ่ นทีข่ องทัง้ สองกรณีเหมือน
ภาพที่ 1.1 การแข่งขันว่ายน�า้ ในลูว่ า่ ยมีลกั ษณะการเคลือ่ นที่ ภาพที่ 1.2 รถไฟฟาเคลื่อนที่บนรางตรง หรือแตกตางกัน อยางไร
ในแนวตรง ที่มา : คลังภาพ อจท. (แนวตอบ เคลื่อนที่เปนแนวเสนตรงเหมือน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
กัน แตจะตางกันตรงทีร่ ถทดลองจะเคลือ่ นที่
การเคลือ่ นทีแ่ นวตรง (linear motion) คือ การเคลือ่ นทีไ่ ปตามเส้นทางทีเ่ ป็นเส้นตรง ซึง่ เป็น เปนแนวเสนตรงในแนวระดับ สวนลูกบอล
รูปแบบการเคลื่อนที่ที่ง่ายที่สุด เช่น การเคลื่อนที่ของรถไฟที่แล่นบนรางตรงบนพื้นระดับ ดังภาพ จะเคลื่อนที่เปนแนวเสนตรงในแนวดิ่ง)
ที่ 1.2 การตกของก้อนหินจากความสูงในแนวดิง่ เป็นต้น การเคลือ่ นทีแ่ นวตรงอาจเป็นการเคลือ่ นที่
ด้วยความเร็วคงตัวหรือความเร่งเป็นศูนย์ เมื่อสังเกตจะได้ว่า การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงตัวนี้
มีเฉพาะการเคลือ่ นทีแ่ นวตรงเท่านัน้ การเคลือ่ นทีร่ ปู แบบอืน่ ล้วนเป็นการเคลือ่ นทีแ่ บบมีความเร่ง
ทั้งสิ้น การเคลื่อนที่แนวตรงเป็นการเคลื่อนที่ที่นักเรียนสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ง่ายกว่าการ
เคลื่อนที่แบบอื่นที่มีลักษณะซับซ้อนมากขึ้น
กล่าวได้ว่า การเคลื่อนที่แนวตรงเป็นการเคลื่อนที่ของวัตถุจากต�าแหน่งหนึ่งไปอีกต�าแหน่ง
หนึ่ง โดยมีแนวเส้นทางการเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง สามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี ได้แก่
• การเคลื่อนที่แนวตรงตามแนวระดับ 1
• การเคลื่อนที่แนวตรงตามแนวดิ่ง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การตกแบบเสรี (free fall)
แนวตอบ Prior Knowledge
แรงและการเคลื่อนที่ 3
การเคลื่อนที่แนวตรงตามแนวระดับ และการ
เคลื่อนที่แนวตรงตามแนวดิ่ง
T7
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3. ครูใหนกั เรียนศึกษาปริมาณทีเ่ กีย่ วของกับการ 1.1 »ÃÔÁÒ³·Õèà¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§¡Ñº¡ÒÃà¤Å×è͹·Õè¢Í§Çѵ¶Ø
เคลื่อนที่ของวัตถุในสวนของ เรื่อง ระยะทาง การศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุเปนการศึกษาการเปลี่ยนตําแหนงของวัตถุ โดยการ
และการกระจัด จากหนังสือเรียน เปลี่ยนแปลงนี้จะทําใหเกิดปริมาณที่เกี่ยวของกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ1 ดังตอไปนี้
4. ครูพูดคุยซักถามเกี่ยวกับ เรื่อง ระยะทางและ 1. ระยะทางและการกระจัด เมื่อวัตถุมีการเคลื่อนที่ ตําแหนงของวัตถุจะเปลี่ยนไป เชน
การกระจัด พรอมตั้งประเด็นคําถาม เพื่อให ขณะที่รถยนตแลนไปบนทองถนนตําแหนงของรถยนตจะเปลี่ยนไป โดยการเปลี่ยนตําแหนงของ
นักเรียนแสดงความคิดเห็น เชน วัตถุสามารถพิจารณาไดจากปริมาณ ดังตอไปนี้
• ถานักเรียนเดินจากโรงเรียนกลับบานโดยที่ 1) ระยะทาง (distance) คือ ระยะทัง้ หมดทีว่ ดั ไดตามแนวการเคลือ่ นทีจ่ ริงของวัตถุ ตัง้ แต
เดินตรงไปทางทิศใต 500 เมตร แลวเดินตอ จุดเริ่มตนของการเคลื่อนที่จนถึงจุดสุดทายหรือปลายทางของการเคลื่อนที่ โดยระยะทางจะระบุ
แคขนาดเพียงอยางเดียว ไมระบุทิศทาง ระยะทางจึงจัดวาเปนปริมาณสเกลาร (scalar quantity)
ไปทางทิศตะวันออกอีก 150 เมตร แลวเดิน มีหนวยเปนเมตร (m)
ตอไปทางทิศหนืออีก 500 เมตร จึงถึงบาน 2) การกระจัด (displacement) คือ ปริมาณที่บอกวาตําแหนงของจุดสุดทายของการ
นักเรียนคิดวาระยะทางการเดินจากโรงเรียน เคลื่อนที่ของวัตถุจะอยูหางจากจุดเริ่มตนของการเคลื่อนที่เทาใด โดยไมคํานึงถึงเสนทางการ
กลับบานเปนเทาไร เคลื่อนที่จริงของวัตถุ การกระจัดจะระบุทั้งขนาดซึ่งเปนระยะที่วัดไดตามแนวเสนตรงเชื่อมตอ
(แนวตอบ ระยะทางทั้งหมดเทากับ 500 + ระหวางจุดเริม่ ตนกับจุดสุดทายของการเคลือ่ นที่ และทิศทางของจุดสุดทายเมือ่ เทียบกับจุดเริม่ ตน
150 + 500 = 1,150 เมตร) จึงจัดวาเปนปริมาณเวกเตอร (vector quantity) ที่มีทิศชี้จากจุดเริ่มตนไปยังจุดสุดทายของการ
• จากการเดิ น ทางกลั บ บ า นของนั ก เรี ย น เคลื่อนที่ของวัตถุ มีหนวยเปนเมตร (m) เชน การบินของนกจากจุด A ไปยังจุด B แลวบินตอไป
ยังจุด C ดังภาพที่ 1.3
อยากทราบวา ระหวางโรงเรียนและบาน
ของนักเรียนมีการกระจัดเทาไร
(แนวตอบ การกระจัดเทากับ 1,150 - 1,000 =
150 เมตร ในทิศตะวันออก)
ระยะทางจากจุด A ไปยังจุด C ของนก
การกระจัดจากจุด A ไปยังจุด C ของนก
A C B
0 20 40 60 80 100 120 140 160 180 200 220 240
ภาพที่ 1.3 แผนภาพแสดงระยะทางและการกระจัดจากจุด A ไปยังจุด C ของนก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
จากภาพที่ 1.3 เมื่อนกบินจากจุด A ไปยังจุด B นกจะบินไดระยะทาง 240 เมตร และ
เมื่อนกบินตอจากจุด B ไปยังจุด C ระยะทาง 80 เมตร แสดงวา ระยะทางที่นกบินตั้งแตจุด A
ไปจนถึงจุด C รวมไดระยะทางเทากับ 240 + 80 = 320 เมตร แตการกระจัดที่นกบินจากจุด A
ไปยังจุด C เทากับ 160 เมตร มีทิศไปทางขวามือ
4
T8
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3) ข้อเปรียบเทียบระหว่างระยะทางและการกระจัด 5. ครูใหนกั เรียนสืบเสาะหาความรูข อ เปรียบเทียบ
หรื อ ข อ แตกต า งระหว า งระยะทางและการ
กระจัด จากสื่อตางๆ เชน จากหนังสือเรียน
อินเทอรเน็ต แลวเขียนสรุปตามความเขาใจ
(ค)
ของตนเองลงในสมุดบันทึกประจําตัว
6. ครูใหนักเรียนวิเคราะหตัวอยางที่ 1.1 จาก
(ก) (ข)
หนังสือเรียน
(ง) 7. ครูแจกใบงาน เรื่อง ระยะทางและการกระจัด
จากภาพที่ 1.4 (ก) นักกรีฑา จากภาพที่ 1.4 (ข) นักกรีฑา จากภาพที่ 1.4 (ค) และ (ง) ใหนกั เรียน จากนัน้ มอบหมายใหนกั เรียนศึกษา
เริ่ ม วิ่ ง จากจุ ด เริ่ ม ต้ น ไปยั ง วิ่งเป็นเส้นทางตรง เมื่อวิ่งมา วัตถุที่เคลื่อนที่จากจุดเริ่มต้น และลงมือทํา
เส้นชัย โดยวิ่งเป็นเส้นตรงใน ได้ระยะหนึ่งจึงได้วิ่งย้อนกลับ ไปยังจุดสุดท้าย ซึ่งเป็นจุด
ทิศทางเดียวตลอดจนถึงเส้น มาตามเส้นทางเดิม เมือ่ วิง่ มา เดียวกันกับจุดเริ่มต้น กล่าว
ชัย ดังนั้น ระยะทางจะเท่ากับ ถึงจุด ๆ หนึ่ง ระยะทางตั้งแต่ คือ ครบรอบพอดี1และวัตถุที่
ขนาดของการกระจัด เริ่มต้นจะมากกว่าขนาดของ เคลือ่ นทีแ่ บบมีคาบ ขนาดของ
การกระจัด การกระจัดจะเป็นศูนย์ แต่
ระยะทางไม่เป็นศูนย์
ภาพที่ 1.4 ความแตกต่างระหว่างระยะทางกับการกระจัด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ตัวอย่างที่ 1.1
เด็กคนหนึ่งวิ่งจากจุดเริ่มต้น A ไปยังต�าแหน่ง B แล้ววิ่งย้อนกลับไปต�าแหน่ง C จงหาระยะทางและ
การกระจัดของเด็กคนนี้
A C B ระยะทาง (m)
0 50 100 150 200 250 300 350 400 450 500 550
ภาพที่ 1.5 ต�าแหน่งที่เด็กชายคนหนึ่งวิ่งไปจากจุด A ไปยังจุด C
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แรงและการเคลื่อนที่ 5
T9
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
8. ครู ใ ห นั ก เรี ย นสื บ เสาะหาความรู ป ริ ม าณที่ 2. อัตราเร็วและความเร็ว การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุสองวัตถุจากตําแหนงหนึง่ ไปยังอีกตําแหนง
เกีย่ วของกับการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุตอ โดยเรือ่ ง หนึ่ง นอกจากจะคํานึงถึงระยะทางและการกระจัดแลว ยังตองคํานึงถึงเวลาที่ใชในการเคลื่อนที่
ตอไปที่จะไดศึกษา คือ อัตราเร็วและความเร็ว ดวย วัตถุทั้งสองอาจใชเวลาในการเคลื่อนที่เทากันหรือไมเทากันก็ได โดยปริมาณที่ใชบอกวาวัตถุ
จากหนังสือเรียน ใดเคลือ่ นทีไ่ ดเร็วหรือชากวากัน จะพิจารณาถึงระยะทางทีเ่ คลือ่ นทีไ่ ดหรือการกระจัดเทียบกับเวลา
ที่ใชในการเคลื่อนที่
1) อัตราเร็ว (speed) คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดในหนึ่งหนวยเวลา เปนปริมาณ
สเกลาร มีหนวยเปน เมตรตอวินาที (m/s) ในกรณีการเคลื่อนที่ของวัตถุดวยอัตราเร็วที่ไม
เปลี่ยนแปลง แสดงวาวัตถุนั้นมีอัตราเร็วคงตัว แตในบางครั้งวัตถุอาจไมไดเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็ว
ที่คงตัวเสมอไป เมื่อพิจารณาการเคลื่อนที่ของ
รถประจําทาง ดังภาพที่ 1.6 จะเห็นไดวา เคลือ่ นที่
ไปด ว ยอั ต ราเร็ ว ที่ ไ ม เ ท า กั น ตลอดระยะทาง
บางชวงอาจมีการเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วมาก
และบางชวงอาจเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วที่ลดลง
เพื่อจอดรับผูโดยสาร เมื่อคิดอัตราเร็วโดยรวม
ตลอดระยะทางจะคิดเปน อัตราเร็วเฉลีย่ (average
speed) ซึ่งเทากับ อัตราสวนระหวางระยะทางที่
ภาพที่ 1.6 การเคลื่อนที่ของรถประจําทาง วัตถุเคลื่อนที่ไดตอชวงเวลาที่ใชในการเคลื่อนที่
ที่มา : คลังภาพ อจท.
อัตราเร็วเฉลี่ย = ระยะทางที่เคลื่อนที่
ชวงเวลาทั้งหมดที่ใช
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
Physics 9. ครูแจกใบงาน เรื่อง อัตราเร็วและความเร็ว
in real life ใหนักเรียนนํากลับไปศึกษาเปนการบาน
ปจจุบันคนส่วนใหญ่มักเข้าใจ 10. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนทํางานรวมกับผูอื่น
อัตราเร็วเฉลี่ย ว่า มาตรวัดอัตราเร็วบนหน้าปด อยางสรางสรรค จากนั้นรวมกันสืบเสาะหรือ
ของยานพาหนะต่าง ๆ เช่น รถ
มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ จะแสดง วิเคราะหตัวอยางที่ 1.2 จากหนังสือเรียน
ค่าความเร็ว แต่ในความเป็นจริง
แล้วค่าทีแ่ สดงบนหน้าปดนัน้ คือ
อัตราเร็วขณะหนึ่ง อัตราเร็ว เป็นอัตราเร็วขณะหนึ่ง
ซึ่งรถรุ่นใหม่ ๆ ส่วนมากมักจะมี
จอแสดงผลเพิ่มเข้ามาเพื่อบอก
ภาพที่ 1.7 มาตรอัตราเร็วของรถยนต์ ค่าอัตราเร็วเฉลี่ยด้วย
ที่มา : http://www.drivetripper.com
2) ความเร็ว (velocity) คือ การกระจัดที่เปลี่ยนแปลงไปในหนึ่งหน่วยเวลา หรืออัตรา
การเปลี่ยนแปลงการกระจัด เนื่องจากการกระจัดเป็นปริมาณเวกเตอร์ ความเร็วจึงเป็นปริมาณ
เวกเตอร์ และมีทศิ เดียวกับการกระจัด ปริมาณในวิชาฟิสกิ ส์ทบี่ อกให้ทราบว่าวัตถุเคลือ่ นทีไ่ ด้เร็วหรือ
ช้าเท่าใดและบอกให้ทราบว่าวัตถุเคลื่อนที่ไปในทิศทางใด คือ ความเร็วเฉลี่ย (average velocity)
ซึ่งเท่ากับ อัตราส่วนระหว่างการกระจัดที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ต่อช่วงเวลาที่ใช้ในการเคลื่อนที่
vav คือ ความเร็วเฉลี่ย มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที (m/s)
vav = Δx
Δx คือ การกระจัดที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ มีหน่วยเป็น เมตร (m)
Δt
Δt คือ ช่วงเวลาทัง้ หมดที่ใช้ มีหน่วยเป็น วินาที (s)
T11
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
11. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นว า ยั ง มี อี ก หนึ่ ง วิ ธีที่ ตัวอย่างที่ 1.2
สามารถใชเพื่อหาอัตราเร็วในการเคลื่อนที่ นายธนากรเดินจากจุด A ไปยังจุด B เดินตอไปยังจุด C แลวไปยังจุด D ในเวลา 20 วินาที
ของวัตถุได คือ การใชเครื่องเคาะสัญญาณ ดังภาพที่ 1.8
B 50 เมตร C
เวลา จากนั้นครูใหนักเรียนใชโทรศัพทมือถือ
สแกน QR Code เรื่อง เครื่องเคาะสัญญาณ 40 เมตร 30 เมตร
เวลา จากหนังสือเรียน เพื่อเปนการศึกษา
เนื้อหาเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากหนังสือเรียน A D
90 เมตร
12. ครูสุมนักเรียน 8 คน โดยเลือกคนที่มีความ
ภาพที่ 1.8 เสนทางการเดินของนายธนากรจากจุด A ไปยังจุด D
สามารถสูง ผลการเรียนดีอันดับตนๆ ของ ที่มา : คลังภาพ อจท.
ชั้นเรียน ออกมาหนาชั้นเรียน เพื่อทําหนาที่
เปนหัวหนากลุม จากนั้นครูใหนักเรียนในชั้น ก. จงหาระยะทางทั้งหมดที่นายธนากรเดินจากจุด A ไปยังจุด D
วิธีทํา ระยะทาง = ระยะ AB + ระยะ BC + ระยะ CD
เรียนทุกคนนับเลข 1-8 คนละ 1 เลข ตาม = 40 + 50 + 30
ลําดับไปเรื่อยๆ จนครบทุกคน = 120 เมตร
13. ครูสุมกําหนดเลขใหหัวหนากลุมแตละคน ดังนั้น ระยะทางทั้งหมดเทากับ 120 เมตร
โดยไมเรียงลําดับ แลวใหนักเรียนทุกคนแยก ข. จงหาการกระจัดของการเดินของนายธนากรครั้งนี้
เขากลุม ของตนเอง ตามเลขทีแ่ ตละคนนับได วิธีทํา การกระจัด = ระยะ AD
จากนัน้ ครูใหนกั เรียนแตละกลุม รวมกันศึกษา = 90 เมตร
และลงมื อ ปฏิ บั ติ กิ จ กรรมการหาอั ต ราเร็ ว ดังนั้น การกระจัดของการเดินครั้งนี้เทากับ 90 เมตร
เฉลี่ย จากหนังสือเรียน ค. จงหาอัตราเร็วเฉลี่ยในการเดิน
วิธีทํา จากสมการ อัตราเร็วเฉลี่ย = ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได
ชวงเวลาที่ใช
=12020
= 6 m/s
ดังนั้น อัตราเร็วเฉลี่ยในการเดินเทากับ 6 เมตรตอวินาที
ง. จงหาความเร็วเฉลี่ยในการเดิน
วิธีทํา จากสมการ ความเร็วเฉลี่ย = การกระจัดที่วัตถุเคลื่อนที่ได
ชวงเวลาที่ใช
=9020
= 4.5 m/s
ดังนั้น ความเร็วเฉลี่ยในการเดินเทากับ 4.5 เมตรตอวินาที ทิศทางจาก A ไปยัง D
8 เครื่องเคาะสัญญาณเวลา
T12
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กิจกรรม การหาอัตราเร็วเฉลี่ย 1. ครู นํ า อภิ ป รายหลั ก ในการศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ
การเคลื่อนที่แนวตรง ตําแหนงของวัตถุจะมี
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
• การสังเกต จุดประสงค์ การเปลี่ ย นแปลงในแนวเส น ตรง จึ ง ต อ งมี
• การวัด
• การลงความเห็นจากข้อมูล
หาอัตราเร็วเฉลี่ยและอัตราเร็วขณะหนึ่งจากการดึงแถบกระดาษ การบอกตํ า แหน ง ของวั ต ถุ และเพื่ อ ความ
จิตวิทยาศาสตร์ วัสดุอุปกรณ์ ชัดเจน การบอกตําแหนงของวัตถุจะตองเทียบ
• ความมีเหตุผล
1. ไม้บรรทัด 3. เครื่องเคาะสัญญาณเวลาความถี่ 50 เฮิรตซ์ กับจุดอางอิงหรือตําแหนงอางอิง ซึง่ เปนจุดหรือ
2. แถบกระดาษ 4. หม้อแปลงไฟฟ้าโวลต์ต�่า 0-12 โวลต์ ตําแหนงที่อยูน่ิง โดยสามารถใชเสนจํานวน
วิธีปฏิบัติ ในการบอกตําแหนง
1. ต่อเครื่องเคาะสัญญาณเวลาเข้ากับหม้อแปลง 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลการศึกษา
ไฟฟ้ า โวลต์ ต�่ า โดยเลื อ กใช้ ค วามต่ า งศั ก ย์ กิจกรรมการหาอัตราเร็วเฉลี่ย
กระแสสลับ 4-6 โวลต์
2. สอดปลายของแถบกระดาษผ่ า นใต้ ก ระดาษ
คาร์บอนของเครื่องเคาะสัญญาณเวลาแล้วจับไว้
ดังภาพที่ 1.9
3. เปิดสวิตช์หม้อแปลงไฟฟ้าโวลต์ต�่า ลากแถบ
กระดาษผ่านคันเคาะของเครือ่ งเคาะสัญญาณเวลา ภาพที่ 1.9 ภาพประกอบกิจกรรมการหาอัตราเร็วเฉลี่ย
โดยเพิ่มอัตราเร็วในการลากอย่างต่อเนื่อง ท�าให้ ที่มา : คลังภาพ อจท.
เกิดจุดบนแถบกระดาษเรียงตามความยาวของแถบกระดาษ
4. เลือกจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายบนแถบกระดาษที่สามารถวัดระยะทางได้สะดวก (มากกว่า 7 จุด)
5. นับจ�านวนจุดระหว่างจุดเริ่มต้นกับจุดสุดท้ายที่เลือก โดยไม่นับจุดเริ่มต้น (ให้จุดเริ่มต้นเป็นจุดที่ 0)
6. ค�านวณหาอัตราเร็วเฉลี่ยในการลากแถบกระดาษผ่านคันเคาะของเครื่องเคาะสัญญาณที่เลือกไว้ในข้อ 4.
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
1. ระยะห่างจากจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายเป็นเท่าใด และมีกี่ช่วงจุด
2. อัตราเร็วเฉลี่ยในการลากกระดาษในช่วงที่ได้เลือกไว้จากการปฏิบัติกิจกรรมเท่ากับเท่าใด
อภิปรำยผลท้ำยกิจกรรม
ลักษณะของจุดแต่ละจุดที่ปรากฏบนแถบกระดาษบ่งบอกถึงการเคลื่อนที่ของแถบกระดาษ ถ้าช่วงจุดไหน
กว้างแสดงว่าดึงแถบกระดาษด้วยอัตราเร็วสูงกว่าในช่วงที่มีช่วงจุดแคบกว่า โดยแต่ละช่วงจุดใช้เวลาเท่ากัน
คือ 501 วินาที ส�าหรับเครื่องเคาะสัญญาณเวลาที่เคาะด้วยความถี่ 50 ครั้งต่อวินาที ไม่ว่าช่วงจุดจะกว้างหรือ แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
แคบก็ตาม อัตราเร็วเฉลี่ยของการดึงแถบกระดาษตลอดการเคลื่อนที่ หาได้จากการน�าระยะทางทั้งหมดหาร
1. ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน โดยพิจารณา
ด้วยเวลาที่ใช้ โดยในแต่ละช่วงจุดบนแถบกระดาษใช้เวลาเท่ากัน คือ 501 วินาที ส่วนอัตราเร็วขณะหนึ่งหาได้
จากการน�าระยะทาง 2 ช่วงจุดหารด้วยเวลาที่ใช้ คือ 502 วินาที จากผลการทํากิจกรรมจริงและจํานวนชวงจุด
จะตองเริ่มจาก 6 ชวงจุด เปนตนไป
9
2. ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน โดยพิจารณา
จากผลการทํากิจกรรมจริง
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูอภิปรายรวมกับนักเรียนเกี่ยวกับอัตราเร็ว 3. ความเร่ง (acceleration) คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงความเร็ว หรือความเร็วที่เปลี่ยน
และความเร็ว แลวครูถามคําถามเพื่อชักชวน ไปในหนึ่งหน่วยเวลา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงความเร็วนั้น อาจเปลี่ยนแปลงเฉพาะขนาด หรือทิศทาง
เขาสูเนื้อหาที่กําลังจะศึกษาตอไป ของความเร็ว หรือเปลี่ยนแปลงทั้งขนาดและทิศทางพร้อมกันก็ได้ เนื่องจากความเร็วเป็นปริมาณ
2. ครูใหนกั เรียนสืบเสาะหาความรู เรือ่ ง ความเรง เวกเตอร์ ความเร่งจึงเป็นปริมาณเวกเตอร์เช่นกัน ความเร่งมีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที2 (m/s2)
จากหนังสือเรียน ถ้าพิจารณาความเร็วที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด เรียกว่า ความเร่งเฉลี่ย (average acceleration)
คือ อัตราส่วนระหว่างความเร็วทีเ่ ปลีย่ นไปทั้งหมดกับช่วงเวลาที่เกิดการเปลีย่ นแปลงความเร็วนั้น
3. ครูใหนักเรียนวิเคราะหตัวอยางที่ 1.3 จาก
หาได้จาก
หนังสือเรียน โดยใหจดบันทึกลงในสมุดบันทึก
ประจําตัว aav คือ ความเร่งเฉลี่ย มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที2 (m/s2)
อธิบายความรู
aav = ΔΔvt Δv คือ ความเร็วที่เปลี่ยนไป มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที (m/s)
Δt คือ ช่วงเวลาทัง้ หมดที่ใช้ มีหน่วยเป็น วินาที (s)
1. ครูสุมตัวแทนนักเรียนแสดงวิธีทําจากโจทย
ป ญ หาในตั ว อย า งที่ 1.3 บนกระดานหน า หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงความเร็วของวัตถุในช่วงเวลาที่สั้นมาก ๆ หรือ Δt มีค่า
ชั้นเรียน เข้าใกล้ศูนย์ ความเร่งดังกล่าวจะเป็น ความเร่งขณะหนึ่ง (instantaneous acceleration)
2. นั ก เรี ย นทุ ก คนแก โ จทย ป ญ หาที่ แ สดงการ ความเร่งในการเคลื่อนที่แนวตรงอาจมีทิศเดียวกับทิศการเคลื่อนที่ของวัตถุหรือทิศตรง
คํานวณหาปริมาณที่เกี่ยวของกับการเคลื่อนที่ ข้ามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ ถ้าความเร่งมีทิศเดียวกับการเคลื่อนที่วัตถุจะเคลื่อนที่เร็วขึ้น แต่ถ้า
ในแนวตรง ความเร่งมีทิศตรงข้ามกับการเคลื่อนที่ เรียกว่า ความหน่วง (deceleration) วัตถุจะเคลื่อนที่ช้าลง
3. ครูแจกใบงาน เรือ่ ง ความเรง ใหนกั เรียนศึกษา ส่วนค�าว่า อัตราเร่ง มักใช้แทนขนาดของความเร่งมากกว่าจะใช้ในความหมายว่าเป็นอัตราการ
และลงมือทํา เปลี่ยนแปลงอัตราเร็ว หรืออัตราเร็วที่เปลี่ยนไปในหนึ่งหน่วยเวลา
ขยายความเขาใจ การเคลื่อนที่ของรถยนต์ ãนª่วงเวลาหนÖ่ง
1. ครูนาํ อภิปรายสรุปเนือ้ หาเกีย่ วกับการเคลือ่ นที่ ช่วงที่ 1 ช่วงที่ 2 ช่วงที่ 3
มีความเร่ง ความเร็วคงตัว ความเร็วลดลง
แนวตรง โดยใช PowerPoint
2. ครูใหนักเรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรื่อง การ
เคลื่อนที่แนวตรง ลงในกระดาษ A4 t=0 t = t1 t = t2 t = t3
3. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
100 120 140 100 120 140 100 120 140 100 120 140
หนาชั้นเรียน และนําเสนอชิ้นงานของผูเรียน 60
80 km/h 160
180 60
80 km/h 160
180 60
80 km/h 160
180 60
80 km/h 160
180
เพื่อชี้แจงจุดดีและจุดบกพรองของนักเรียน 40
20
200
220
40
20
200
220
40
20
200
220
40
20
200
220
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาและทํ า แบบฝ ก หั ด จาก 0 0 km/h 240km
0 90 km/h 240
km
0 90 km/h 240
km
0 0 km/h 240km
T14
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
หากพิจารณาภาพที่ 1.10 รถยนตคนั หนึง่ เคลือ่ นทีใ่ นแนวตรง เริม่ เคลือ่ นทีจ่ ากตําแหนง นักเรียนและครูรว มกันสรุปความรูเ กีย่ วกับการ
หนึ่งไปอีกตําแหนงหนึ่ง ถาแบงการเคลื่อนที่ออกได 3 ชวง ดังนี้ เคลือ่ นทีแ่ นวตรง โดยครูใหนกั เรียนจดบันทึกลงใน
• ชวงที่ 1 เปนการเคลือ่ นทีอ่ อกจากตําแหนงแรกดวยความเรง ทิศเดียวกับการเคลือ่ นที่ สมุดบันทึกประจําตัว
• ชวงที่ 2 เปนการเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัวเทากับความเร็วปลายของชวงที่ 1
• ชวงที่ 3 เปนการเคลื่อนที่ดวยความเรง ทิศตรงขามกับการเคลื่อนที่ ทําใหความเร็ว ขัน้ ประเมิน
ลดลงจนเปนศูนย หรือกลาวไดวาเปนการเคลื่อนที่ดวยความหนวงนั่นเอง ตรวจสอบผล
ตัวอย่างที่ 1.3 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน
รถคันหนึ่งแลนอยูบนทางตรงดวยความเร็ว 5 เมตรตอวินาที เมื่อผานไป 4 วินาที ความเร็วเปลี่ยนเปน เพื่ อ ตรวจสอบความเข า ใจก อ นเรี ย นของ
17 เมตรตอวินาที รถคันนี้มีความเรงเฉลี่ยเทาใด
นักเรียน
วิธีทํา จากสมการ aav = ΔΔvt 2. ครู ต รวจสอบผลการทํ า แบบทดสอบความ
เขาใจกอนเรียนจาก Understanding Check
aav = 17 m/s4 -s 5 m/s ในสมุดบันทึกประจําตัว
aav = 3 m/s2 3. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน เรื่อง ระยะ
ดังนั้น รถคันนี้มีความเรงเฉลี่ย 3 เมตรตอวินาที2 ทิศเดียวกับการเคลื่อนที่ของรถ
ทางและการกระจัด อัตราเร็วและความเร็ว
และความเรง
4. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question เรือ่ ง
Topic
การเคลื่อนที่แนวตรง ในสมุดบันทึกประจําตัว
? Question 5. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรือ่ ง การเคลือ่ นทีแ่ นว
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้ ตรง จากแบบฝกหัด วิทยาศาสตรกายภาพ 2
1. เด็กนักเรียนปนจักรยานไปโรงเรียนไปทางทิศเหนือเปนระยะ 2 กิโลเมตร จากนั้นปนไปทาง (ฟสิกส) ม.5
ทิศตะวันออกเปนระยะ 1.5 กิโลเมตร จงหาระยะทางและการกระจัดของเด็กนักเรียนคนนี้
6. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
2. ชายคนหนึ่งเดินวนรอบวงกลมรัศมี 7 เมตร เมื่อเดินครบ 5 รอบ ระยะทางและการกระจัด ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ในการเดินของชายคนนี้เทากับเทาใด
และการทํางานกลุม
3. รถคันหนึ่งเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันตกเปนระยะ 24 กิโลเมตร จากนั้นเคลื่อนที่กลับไปทาง
ทิศตะวันออกเปนระยะ 16 กิโลเมตร ถาใชเวลาในการเคลื่อนที่ทั้งหมด 30 นาที อัตราเร็ว 7. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป
เฉลี่ยและความเร็วเฉลี่ยในการเคลื่อนที่ของรถคันนี้เปนกี่กิโลเมตรตอชั่วโมง เนื้อหา เรื่อง การเคลื่อนที่แนวตรง ที่นักเรียน
4. จากขอ 1. ถาเวลาที่ใชในการเดินทางชวงแรกและชวงที่สองเปน 6 นาที และ 4 นาที ไดสรางขึ้นจากขั้นขยายความเขาใจเปนราย
ตามลําดับ อัตราเร็วเฉลี่ยและความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางไปโรงเรียนของเด็กนักเรียนคนนี้ บุคคล
เปนกี่เมตรตอวินาที
áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè 11
40 = 80 km/h
3 ความคิดสร้างสรรค์
4 ความเป็นระเบียบ ระบบ
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. แรงและกฎการเคลื่อนที่ของ Prior Knowledge
2. ครูถามคําถามกระตุนนักเรียนวา กิจกรรม
ในชี วิ ต ประจํ า วั น ของนั ก เรี ย นไม ว า จะเป น
นิวตัน ก®กำรàคล×อ่ นที¢่ อง
นิวตันãª้อธิบำยกำร
กิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจ�าวัน เช่น การเดิน การวิ่ง àคล×อ่ นที่ ãนáง‹มมุ ãด
การเคลื่ อ นที่ ช า ลงหรื อ เร็ ว ขึ้ น เกี่ ย วข อ งกั บ
การผลักหรือดันวัตถุ การเตะฟุตบอล การเข็นรถ เกี่ยวข้องกับ
ปริมาณใด และใหนกั เรียนชวยกันตอบคําถาม การเปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุ กล่าวคือ วัตถุมีการเคลื่อนที่จากหยุดนิ่ง วัตถุเคลื่อนที่ได้
ปากเปลา เร็วขึน้ หรือช้าลง หรือมีการเปลีย่ นทิศทาง โดยการเปลีย่ นแปลงทีก่ ล่าวมาล้วนเกีย่ วข้องกับปริมาณ
3. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ ที่เรียกว่า แรง
เรียน กับนักเรียนวา “กฎการเคลือ่ นทีข่ องนิวตัน
ใชอธิบายการเคลื่อนที่ในแงมุมใด” 2.1 áç
4. ครูสนทนากับนักเรียนเพือ่ ชักชวนเขาสูบ ทเรียน ในอดี ต ผู ้ ค นอาจเข้ า ใจความสั ม พั น ธ์
โดยการนําคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการสงยานขึ้น ระหว่างแรงกับการเคลือ่ นทีค่ ลาดเคลือ่ นไปบ้าง
ไปสํารวจอวกาศ จากนั้นครูถามคําถามกับ เช่น วัตถุจะมีความเร็วขนาดหนึ่งไปเรื่อย ๆ
นักเรียนวา แรงเกี่ยวของกับการเคลื่อนที่ของ จะต้องมีแรงกระท�าต่อวัตถุ แต่ในปจจุบันมีสิ่ง
ยานขึ้นไปบนอวกาศอยางไร ครูใหนักเรียน ที่ท�าให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของแรงกับการ
แสดงความคิดเห็นอยางอิสระ โดยยังไมเฉลย เคลื่อนที่ได้ดีขึ้น คือ การส่งยานอวกาศออกไป
วาถูกหรือผิด ส�ารวจดาวเคราะห์ตา่ ง ๆ นอกโลก ท�าให้เรารับรู้
ถึงการเคลื่อนที่ของวัตถุในขณะที่ไม่มีแรงใด ๆ
มากระท�ากับวัตถุ เช่น การส่งยานนิวฮอไรซันส์ ภาพที่ 1.11 ภาพจ�าลอง ขณะทีย่ านฮอไรซันส์ก�าลังปฏิบตั ิ
(New Horizons) ขององค์การบริหารการบิน ภารกิจ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
และอวกาศแห่ ง ชาติ ( NASA ) เพื่ อ ปฏิ บั ติ
ภารกิจส�ารวจดาวพลูโต ดังภาพที่ 1.11 โดย
ยานเคลื่อนที่ออกจากโลกด้วยแรงขับจากจรวด
ขับดันแอตลาส 5 (Atlas V) ด้วยความเร็ว
ที่สูงมากเพื่อให้หลุดออกจากบริเวณผิวโลกที่
มีแรงดึงดูด เมื่อเคลื่อนออกห่างจากโลกจน
แรงดึงดูดของโลกกระท�ากับยานน้อยมาก ยานก็
ไม่ตอ้ งใช้เชือ้ เพลิงในการขับเคลือ่ นอีก แต่ยงั คง
แนวตอบ Prior Knowledge เคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วใกล้เคียงเดิม และเมื่อ
ไม่มแี รงดึงดูดกระท�า ยานก็ยงั สามารถเคลือ่ นที่ ภาพที่ 1.12 จรวดขับดันแอตลาส 5 เคลื่อนที่ออกจากฐาน
กฎการเคลือ่ นทีข่ องนิวตันเปนกฎทางกายภาพ ปล่อยจรวด
3 ขอ ทีเ่ ปนรากฐานของกลศาสตรดงั้ เดิม ใชสาํ หรับ ต่อไปได้เรื่อย ๆ ที่มา : คลังภาพ อจท.
การอธิ บ ายความสั ม พั น ธ ร ะหว า งวั ต ถุ กั บ แรงที่
12
กระทําตอวัตถุนั้น และการเคลื่อนที่เนื่องจากแรง
เหลานั้น
T16
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
แรง (force) คือ สิ่งที่กระท�าต่อวัตถุแล้วส่งผลให้วัตถุเกิดการเปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่ หรือ 1. ครูใหนกั เรียนสืบเสาะหาความรู เรือ่ ง แรงและ
เปลีย่ นรูปร่าง ซึง่ การเปลีย่ นแปลงนีจ้ ะขึน้ อยูก่ บั ขนาดและทิศทางของแรงทีม่ ากระท�า โดยรูปแบบ ลักษณะของแรง จากหนังสือเรียน
ของแรงทีก่ ระท�าต่อวัตถุมี 2 แบบ ได้แก่ แบบสัมผัสกันโดยตรงและแบบส่งแรงไปกระท�าในระยะห่าง 2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเกี่ยวกับแรง ดังนี้
ซึ่งเรียกแรงนั้นว่า แรงสัมผัส (contact force) และแรงเชิงสนาม (field force) ตามล�าดับ ตัวอย่าง • แรงในวิชาฟสิกสหมายถึงอะไร
แรงสัมผัส เช่น แรงจากกล้ามเนื้อที่ใช้ยก ดึง หรือผลักวัตถุ แรงดึงในเส้นเชือก แรงในสปริง แรง (แนวตอบ แรง คือ สิ่งที่กระทําตอวัตถุแลว
จากเครื่องจักรกล ส่วนตัวอย่างแรงเชิงสนาม เช่น แรงโน้มถ่วง แรงไฟฟ้า แรงแม่เหล็ก เนื่องจาก
สงผลใหวตั ถุเกิดการเคลือ่ นทีห่ รือเปลีย่ นรูป
แรงมีผลของทิ1ศทาง แรงจึงเป็นปริมาณเวกเตอร์ เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ F โดยหน่วยของแรง
ในหน่วยเอสไอ (SI unit) คือ นิวตัน (N) หรือกิโลกรัม เมตรต่อวินาที2 (kg m/s2) ราง ซึง่ การเปลีย่ นแปลงนีจ้ ะขึน้ อยูก บั ขนาด
และทิศทางของแรงที่มากระทํา เชน แรงดึง
1. ลักษณะของแรง
ในชีวิตประจ�าวันค�าว่าแรงเป็นค�าที่ใช้กันทั่วไป จะเห็นว่าค�าต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแรงนั้น แรงผลัก แรงเสียดทาน แรงโนมถวง แรงดึง
มีความแตกต่างกัน ซึ่งในวิชาฟิสิกส์ได้ก�าหนดสิ่งที่จะเรียกว่า แรง ต้องมีลักษณะ ดังนี้ ในเสนเชือก แรงในสปริง)
• แรงโดยทั่วไปตองมีลักษณะอยางไร
1 แรงตŒองÁี¼ÙŒถÙกกระทíา (object)
หรื อ วั ต ถุ ที่ ถู ก กระท� า เช่ น แรงที่ (แนวตอบ แรงจะตองประกอบดวย 3 ลักษณะ
เราใช้ผลักหรือเข็นรถ ซึ่งรถจะเป็น คือ แรงตองมีผถู กู กระทํา แรงตองมีผกู ระทํา
วัตถุที่ถูกกระท�า และแรงตองมีทิศทาง)
• การปนเกี่ยวของกับแรงอยางไร
2 แรงตŒองÁี¼ÙŒกระทíา (agent of 2 (แนวตอบ การปน เปนการกระทําเพือ่ ใหวตั ถุมี
force) หรือวัตถุทกี่ ระท�า เช่น การเข็น
รถ ผู้กระท�าหรือผู้ที่ออกแรง คือ คน รูปรางตามที่ตองการ เชน การปนดินนํ้ามัน
1 การปนดินเหนียว โดยผูปนจะตองออกแรง
3 แรงตŒองÁีทิศทาง (direction) กระทําตอวัตถุดิบ ทําใหวัตถุดิบนั้นๆ เกิด
เช่น แรงที่คนเข็นรถ จะมีทิศทางไป การเปลี่ยนแปลงรูปรางตามที่ตองการ)
ด้านหน้าของคน ซึง่ ค�ากริยา เช่น เข็น
ผลัก ดัน ลาก ดึง จะเป็นสิ่งที่บ่งบอก 3
ทิศทางของแรงได้ Physics
in real life
ภาพที่ 1.13 ลักษณะของแรงในวิชาฟสิกส์ การปน เป็นการกระท�าเพื่อ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ให้วัตถุมีรูปร่างตามที่ต้องการ
เช่น การปนดินน�้ามัน การปน
เนื่ อ งจากแรงท� า ให้ วั ต ถุ เ กิ ด การเคลื่ อ นที่ แต่ ก าร เครื่องปนดินเผา ผู้ที่ปนจะต้อง
เคลื่อนที่ของวัตถุใด ๆ นั้น อาจมีผลมาจากแรงหลายแรงมา ออกแรงกระท�าต่อวัตถุดิบไม่ว่า
กระท�าต่อวัตถุ ในกรณีที่มีแรงหลายแรงกระท�าต่อวัตถุจะต้อง จะเป็นดินน�้ามันหรือดินเหนียว
เพือ่ ให้วตั ถุดบิ นัน้ มีรปู ร่างได้ตาม
รวมแรงทั้งหมดที่มากระท�าเพื่อหาแรงลัพธ์ที่กระท�าต่อวัตถุนั้น ที่ต้องการ
แรงและการเคลื่อนที่ 13
T17
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1
3. ครูนาํ อภิปรายนักเรียนเกีย่ วกับการหาแรงลัพธ 2. การหาแรงลัพธ์ เนื่องจากแรงเป็นปริมาณเวกเตอร์เช่นเดียวกับการกระจัด ความเร็ว
โดยวิธกี ารเขียนแผนภาพการรวมแบบเวกเตอร และความเร่ง เมื่อมีแรงสองแรงหรือมากกว่ามากระท�าต่อวัตถุหนึ่ง โดยแรงเหล่านั้นอยู่ในระนาบ
จากหนังสือเรียน เดียวกัน จะต้องรวมแรงทั้งหมดเพื่อหา แรงลัพธ์ (resultant force) ที่กระท�าต่อวัตถุนั้น ดังที่ได้
4. นักเรียนสรุปและอธิบายเกี่ยวกับแรงลัพธ และ กล่าวมาแล้วว่า แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์จึงสามารถเขียนลูกศรหรือเวกเตอร์แทนแรงได้ โดยให้
วิธีการหาแรงลัพธโดยการเขียนแผนภาพการ ความยาวของลูกศรแทนขนาดของแรงและหัวลูกศรแทนทิศทางของแรง แรงลัพธ์เขียนแทนด้วย
รวมแบบเวกเตอร โดยครูอาจสุมถามนักเรียน สัญลักษณ์ ΣF ส่วนวิธีการหาแรงลัพธ์นั้นจะต้องใช้วิธีรวมแบบเวกเตอร์เช่นกัน ซึ่งมี 2 วิธี ดังนี้
เปนรายบุคคล 1) การหาแรงลัพธ์โดยการเขียนแผนภาพการรวมแบบเวกเตอร์ มี 2 วิธี ดังนี้
• วิธีเขียนเวกเตอร์ของแรงแบบหางต่อหัว การหาแรงลัพธ์โดยวิธีนี้ท�าได้โดยการน�า
หัวลูกศร (head) ของเวกเตอร์แรงหนึ่งไปต่อกับหางลูกศร (tail) ของอีกเวกเตอร์แรงหนึ่ง จากนั้น
ลากเวกเตอร์จากหางลูกศรของเวกเตอร์แรงตัวแรกไปยังหัวลูกศรของเวกเตอร์แรงตัวสุดท้าย ซึ่ง
เวกเตอร์ที่ลากขึ้นมาใหม่ คือ เวกเตอร์ลัพธ์หรือแรงลัพธ์ โดยความยาวของเวกเตอร์ลัพธ์ที่ได้นั้น
แทนขนาดของแรงลัพธ์ และทิศทางของหัวลูกศรของเวกเตอร์ แทนทิศทางของแรงลัพธ์
ΣF
F1 F2 F2
F1
ภาพที่ 1.14 การหาแรงลัพธ์ของแรง F1 และ F2 โดยการเขียนเวกเตอร์ของแรงแบบหางต่อหัว
ที่มา : คลังภาพ อจท.
• วิธีสร้างรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน การหาแรงลัพธ์โดยวิธีนี้ท�าได้โดยการน�าหางลูกศร
ของเวกเตอร์แรงหนึง่ ต่อกับหางลูกศรของเวกเตอร์อกี แรงหนึง่ จากนัน้ ลากเส้นประสร้างรูปสีเ่ หลีย่ ม
ด้านขนาน โดยเส้นทแยงมุมของสี่เหลี่ยมด้านขนานแทนขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์
F2 F2 ΣF
F1 F1
ภาพที่ 1.15 การหาแรงลัพธ์ของแรง F1 และ F2 โดยการสร้างรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
T18
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
• กรณีแรงย่อยทัง้ หมดมีทศิ ทางเดียวกัน สามารถหาขนาดของแรงลัพธ์ได้จากผลรวม 5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นร ว มกั น ทํ า งานกั บ ผู อื่ น อย า ง
ของขนาดของแรงย่อยทั้งหมด และทิศทางของแรงลัพธ์จะมีทิศทางเดียวกับแรงย่อย สรางสรรคในกิจกรรม เรื่อง การหาแรงลัพธ
ตัวอย่างเช่น แรงย่อย F1 F2 และ F3 มีขนาด F1 = 3 นิวตัน F2 = 1.5 นิวตัน โดยวิธีการคํานวณ จากหนังสือเรียน โดยจด
และ F3 = 2 นิวตัน ตามล�าดับ และมีทิศทางดังภาพที่ 1.16 (ก) ขนาดของแรงลัพธ์ที่เกิดจากการ บันทึกองคความรูลงในสมุดบันทึกประจําตัว
รวมขนาดของแรงย่อย F1 F2 และ F3 คือ ΣF = F1 + F2 + F3 ดังนั้น ΣF = 3 + 1.5 + 2 = ตามลําดับหัวขอ ดังนี้
6.5 นิวตัน ซึ่งจะมีทิศทางของแรงลัพธ์ ดังภาพที่ 1.16 (ข) • กรณีแรงยอยทั้งหมดมีทิศทางเดียวกัน
F1 F3 F1 F2 F3 • กรณีแรงยอยทั้งหมดมีทิศทางตรงขามกัน
• กรณีแรงยอยทั้งหมดมีทิศทางตั้งฉากกัน
F2 ΣF
• กรณีแรงยอยทั้งหมดมีทิศทางทํามุมใดๆ
(ก) (ข) ตอกัน
ภาพที่ 1.16 การหาแรงลัพธ์ของแรงย่อยที่มีทิศทางเดียวกัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
• กรณีแรงย่อยมีทิศทางตรงข้ามกัน สามารถหาแรงลัพธ์ได้จากผลรวมของแรงย่อย
ทั้งหมดในระบบ โดยก�าหนดให้แรงทิศใดทิศหนึ่งเป็นบวก และแรงอื่นที่มีทิศตรงกันข้ามเป็นลบ
ซึ่งทิศทางของแรงลัพธ์จะพิจารณาจากผลการค�านวณ หากแรงลัพธ์มีค่าเป็นบวก แรงลัพธ์นั้นจะ
มีทศิ ทางเดียวกับแรงทีก่ า� หนดไว้ แต่หากแรงลัพธ์มคี า่ เป็นลบ แรงลัพธ์นนั้ จะมีทศิ ตรงข้ามกับแรง
ที่ก�าหนดไว้
ตัวอย่างเช่น แรงย่อย F1 มีขนาด 4 นิวตัน และแรงย่อย F2 มีขนาด 2 นิวตัน
และมีทิศทางดังภาพที่ 1.17 (ก) เมื่อก�าหนดให้ทิศทางตะวันออก (ไปด้านขวามือ) เป็นบวก และ
ทิศทางตะวันตก (ไปด้านซ้ายมือ) เป็นลบ สามารถหาขนาดของแรงลัพธ์ได้จาก ΣF = F1 - F2 =
4 - 2 = 2 นิวตัน เนื่องจากแรงลัพธ์มีค่าเป็นบวก ดังนั้น แรงลัพธ์จึงมีทิศทางไปทางตะวันออก
ดังภาพที่ 1.17 (ข)
N F1
F1 F2
ΣF F2
(ก) (ข)
แรงและการเคลื่อนที่ 15
T19
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
6. ครูใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนที่นั่งขางๆ แลว • กรณีแรงยอยมีทิศทางตั้งฉากกัน สามารถหาแรงลัพธไดโดยใชวิธีการวาดรูปแบบ
รวมกันศึกษา เรื่อง การหาแรงลัพธโดยวิธีการ หัวลูกศรต1อกับหางลูกศร แลวลากเสนแรงลัพธ ซึง่ จะไดรปู สามเหลีย่ มมุมฉาก จากนัน้ ใชทฤษฎีบท
คํานวณ จากหนังสือเรียน พีทาโกรัส (Pythagoras’ theorem) ในการหาขนาดของแรงลัพธ
7. ครูใหนกั เรียนแตละคูร ว มศึกษาคนควาเพิม่ เติม ตัวอยางเชน แรงยอย F1 มีขนาด 3 นิวตัน มีทิศไปทางตะวันออก และแรงยอย
จากอินเทอรเน็ต F2 มีขนาด 2 นิวตัน มีทิศไปทางเหนือ ดังภาพที่ 1.18 (ก)
N
ΣF
F2 F2
F1
θ
F1
(ก) (ข)
ภาพที่ 1.18 การหาแรงลัพธกรณีแรงยอยมีทิศทางตั้งฉากกัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
16
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
• กรณีแรงย่อยมีทิศทางท�ามุมใด ๆ ต่อกัน สามารถหาแรงลัพธ์ได้จากการวาดรูป 8. ครูใหนักเรียนพูดคุยกับคูตนเองเกี่ยวกับผล
แบบหัวลูกศรต่อกับหางลูกศร แล้วลากเส้นแรงลัพธ์ ซึ่งจะได้รูปสามเหลี่ยมใด ๆ ดังภาพที่ 1.19 การศึกษา จากนั้นรวมกันสรุปผลการศึกษา
แลวจดบันทึกลงในสมุดบันทึกประจําตัวของ
ΣF แตละคน
F1 sin θ
F1 9. ครูสนทนากับนักเรียนเกีย่ วกับการหาแรงลัพธ
α θ โดยวิธกี ารคํานวณทีน่ กั เรียนไดรว มกันศึกษา
F2 F1 cos θ แลว โดยครูอาจใชคําถามถามนักเรียนวา
ภาพที่ 1.19 การหาแรงลัพธ์กรณีแรงย่อยมีทิศทางท�ามุมใดๆ ต่อกัน การหาแรงลัพธโดยวิธีการคํานวณจะตองนํา
ที่มา : คลังภาพ อจท.
หลักการใดทางคณิตศาสตรมาใชบาง ครูทิ้ง
ขนาดของแรงลัพธ์จะหาได้จากกฎของโคไซน์ (law of cosines) ดังสมการ ชวงเวลาใหนักเรียนไดคิดทบทวน
ΣF = F12 + F22 + 2F1F2cos θ 10. ครูสุมนักเรียนใหยืนขึ้นแลวตอบคําถามที่ครู
ไดถามไปแลว เพื่อตรวจสอบความเขาใจใน
โดยที่ θ คือ มุมที่แรงย่อยทั้งสองกระท�าต่อกัน ส่วนทิศทางของแรงลัพธ์ พิจารณา การบูรณาการความรูระหวางวิชาฟสิกสกับ
ได้จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ดังภาพที่ 1.19 ซึ่งจะได้สมการความสัมพันธ์ตามสมการ วิชาคณิตศาสตร
F sin θ
tan α = F +1 F cos θ
2 1
แรงและการเคลื่อนที่ 17
T21
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
11. ครูใหนักเรียนสืบเสาะหาความรูจากตัวอยาง ตัวอย่างที่ 1.4
ที่ 1.4 จากหนังสือเรียน ในประเด็นโจทย แรง F1 ขนาด 3 นิวตัน และแรง F2 ขนาด 4 นิวตัน กระทํากับวัตถุ
กํ า หนดสิ่ ง ใด และโจทย ต อ งการหาสิ่ ง ใด
บาง และจดบันทึกวิธกี ารแกโจทยปญ หาจาก ก. จงหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ เมื่อแรง F1 และแรง F2 ทํามุมกัน 90 องศา
ตัวอยางลงในสมุดบันทึกประจําตัว วิธีทํา จากโจทย เขียนภาพได ดังภาพที่ 1.21
คํานวณหาขนาดของแรงลัพธ
12. ครูใหนักเรียนจับกลุมกับเพื่อนอยางอิสระ จากภาพที่ 1.21 จะได (ΣF)2 = F12 + F22
กลุ ม ละ 4-5 คน จากนั้ น ร ว มกั น ศึ ก ษา (ΣF)2 = 32 + 42
ΣF
แนวทางการปฏิบตั กิ จิ กรรม การหาขนาดและ F2 ΣF = 25 = 5 N
ทิศทางของแรงลัพธ จากหนังสือเรียน หาทิศทางของแรงลัพธ
F
13. แตละกลุมสงตัวแทนออกมารับอุปกรณการ จากภาพที่ 1.21 จะได tan θ = F2
θ 1
ทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน จากนั้นรวมกันลง F1 tan θ = 43
มือปฏิบัติกิจกรรมตามวิธีปฏิบัติที่ไดศึกษา อัตราสวน 1 cm : 1 N
θ = tan-1( 4 )
ภาพที่ 1.21 ภาพประกอบตัวอยางที่ 1.4 ก. 3
14. นักเรียนตอบคําถามทายกิจกรรมและอธิบาย θ = 53 ํ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เกีย่ วกับผลของแรงลัพธทกี่ ระทําตอวัตถุลงใน
สมุดบันทึกประจําตัวทุกคน ดังนั้น แรงลัพธมีขนาด 5 นิวตัน และมีทิศทางทํามุม 53 องศา กับแรง F1
ข. จงหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ เมื่อแรง F1 และแรง F2 ทํามุมกัน 60 องศา
วิธีทํา จากโจทย เขียนภาพได ดังภาพที่ 1.22
ขนาดของแรงลัพธ
จากสมการ ΣF = F12 + F22 + 2F1F2 cos θ
ΣF ΣF = 32 + 42 + 2(3)(4) cos 60 ํ
F2 ΣF = 37 = 6.08 N
หาทิศทางของแรงลัพธ
α θ F sin θ
จากสมการ tan α = F +2 F cos θ
F1 1 2
อัตราสวน 1 cm : 1 N tan α = 3 +4 sin
4 cos
60 ํ
60 ํ
ภาพที่ 1.22 ภาพประกอบตัวอยางที่ 1.4 ข.
ที่มา : คลังภาพ อจท. 3
4( 2 )
tan α = = 0.693
3 + 4 ( 12 )
α = tan-1(0.693) = 34.7 ํ
18
ขอสอบเนน การคิด
นายอัคนีออกแรงขนาด 200 นิวตัน ลากกลองไมที่ (แนวตอบ พิจารณาแรงในแนวดิ่ง; Fy = F sin θ
ภายในบรรจุหนังสือเรียนเอาไวจํานวน 10 เลม ซึ่งเต็ม Fy = F sin 53 ํ
กลองพอดี ไปบนพื้นระดับลื่น จงหาแรงดึงในแนวดิ่ง Fy = (200) ( 45 )
และแรงดึงในแนวระดับวามีขนาดเทาใด หากไมคาํ นึง Fy = (40)(4)
ถึงนํ้าหนักของวัตถุและแรงปฏิกิริยาตั้งฉาก
Fy = 160 N
F = 200 N พิจารณาแรงในแนวระดับ; Fx = F cos θ
Fx = F cos 53 ํ
53 ํ Fx = (200) ( 35 )
Fx = (40)(3)
Fx = 120 N
ดังนัน้ แรงดึงในแนวดิง่ และแรงดึงในแนวระดับมีขนาดเทากับ
160 นิวตัน และ 120 นิวตัน ตามลําดับ)
T22
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กิจกรรม การหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ 1. ครูสุมนักเรียนออกมาหนาชั้นเรียน 3-4 คน
แลวใหนักเรียนแสดงวิธีการคํานวณ พรอมทั้ง
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
• การวัด จุดประสงค์ อธิบายวิธีการแกโจทยปญหา จากตัวอยางที่
• การสังเกต
• การตีความหมายข้อมูล
หาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ของแรงสองแรงที่ท�ามุมต่อกัน 1.4
จิตวิทยาศาสตร์ วัสดุอุปกรณ์ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติมเกี่ยว-
• ความพยายามมุ่งมั่น
• การร่วมมือช่วยเหลือ 1. เชือก 3. เครื่องชั่งสปริง กับการแกโจทยปญหา จากตัวอยางที่ 1.4
• ความรอบคอบ
2. กระดาษสีขาว 4. ไม้โปรแทรกเตอร์ 3. ครูนาํ การอภิปรายกับนักเรียนตอบคําถามทาย
วิธีปฏิบัติ กิจกรรม การหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ
1. ผูกเชือกทั้งสามเข้าด้วยกัน โดยให้ปลายด้านหนึ่งของเชือกมัดรวมกัน ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งมัดเป็นห่วง หลังจากที่นักเรียนไดทําการศึกษาแลว
แล้วน�าเครื่องชั่งสปริงมาเกี่ยวกับห่วงเชือกทั้งสาม ดังภาพที่ 1.23 4. ครูแจกใบงาน เรื่อง แรงลัพธ ใหนักเรียน แลว
1 มอบหมายให นั ก เรี ย นนํ า กลั บ ไปศึ ก ษาเป น
ภาพที่ 1.23 ภาพประกอบกิจกรรม
การบาน
3 การหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์
ที่มา : คลังภาพ อจท.
2
F2 = 2.8 N
T23
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ “การ 2.2 ¡®¡ÒÃà¤Å×è͹·Õè¢Í§¹Ôǵѹ
เปลี่ยนสภาพของวัตถุ มีสิ่งใดเกี่ยวของบาง” ในชีวิตประจําวัน การที่เราพยายามทําใหวัตถุมีการ
เพือ่ นําไปสูค าํ ถามทีว่ า “การทีว่ ตั ถุจะเคลือ่ นที่ เปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่ไมวาจะเร็วขึ้น ชาลง หรือเปลี่ยน
หรือไมเคลื่อนที่ แรงตองมีสวนเกี่ยวของทุก ทิศทางการเคลื่อนที่ ก็จะมีปริมาณที่ตานความพยายามที1่
ครั้งหรือไม อยางไร” โดยครูใหนักเรียนแสดง เปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่เหลานั้น ซึ่งเรียกวา ความเฉื่อย
ความคิดเห็นกันอยางอิสระ และยังไมเฉลยวา (inertia) โดยปริมาณที่บงบอกถึงความเฉื่อยของวัตถุใด ๆ คือ
คําตอบนั้นถูกหรือผิด มวล (mass) กลาวคือ วัตถุที่มีมวลมากจะมีความเฉื่อยมาก
2. ครูแจงเนื้อหาและจุดประสงคการเรียนรู เรื่อง ทําใหเปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่ไดยากกวาวัตถุที่มีมวลนอย
กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน ใหนักเรียนทราบ กวา ซึ่งก็จะมีความเฉื่อยนอยกวานั่นเอง
จากนั้นใหนักเรียนสืบเสาะหาความรู เรื่อง เซอรไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) ไดนําเสนอ
กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน จากหนังสือเรียน แนวคิดที่อธิบายถึงความสัมพันธของแรงกับความเรงที่มี ภาพที่ 1.24 ไอแซก นิวตัน
3. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนของตนเองในการ ผลตอการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ ซึง่ เปนพืน้ ฐานของวิชากลศาสตร ที่มา : คลังภาพ อจท.
สืบเสาะหาความรูเ กีย่ วกับงานเขียนของนิวตัน เรียกแนวคิดนี้วา กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน (Newton’s laws of motion) ซึ่งเปนกฎที่ใชอธิบาย
(Principia) เพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ต ผลของแรงตอสภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุที่อธิบายไดครอบคลุมและเขาใจงาย
4. จากความรู เรือ่ ง แรง ครูตงั้ คําถามกับนักเรียน ในหัวขอการเคลื่อนที่แนวตรง ไดศึกษาเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุและปริมาณตาง ๆ ที่
เพือ่ เชือ่ มโยงเพือ่ นําเขาสู เรือ่ ง กฎการเคลือ่ นที่ เกิดจากการเคลื่อนที่ เชน ตําแหนง ระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว ความเรง เปนตน
ขอทีห่ นึง่ ของนิวตัน เพือ่ ใหนกั เรียนทํานายหรือ โดยไมสนใจวาวัตถุนนั้ เคลือ่ นทีไ่ ดอยางไร แตในหัวขอนีจ้ ะศึกษาสาเหตุของการเคลือ่ นทีน่ นั้ โดยใช
ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับ “เมื่อไมมีแรงกระทําตอ กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันในการอธิบาย ซึ่งประกอบดวยกฎ 3 ขอ
วัตถุ วัตถุจะมีสภาพการเคลื่อนที่อยางไร”
(แนวตอบ วัตถุจะคงสภาพการเคลื่อนที่เดิมไว Science Focus
คือ ถาวัตถุที่วางนิ่งอยูกับที่ก็จะยังคงรักษา §Ò¹à¢Õ¹¢Í§¹Ôǵѹ
สภาพเดิมไว แตถาวัตถุที่กําลังเคลื่อนที่ก็จะ ไอแซก นิวตัน (ค.ศ. 1642-1727 หรือ พ.ศ. 2185-
ยังคงเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัวตลอดการ 2270) นักวิทยาศาสตรและนักคณิตศาสตรชาวอังกฤษ เปนผู
เคลื่อนที่) อธิบายวา ทําไมวัตถุจึงตกลงสูพื้นดวยความเรง ผานงานเขียน
ของเขาในป พ.ศ. 2230 ชื่อวา Philosophiae Naturalis
Principia Mathematica (ภาษาละติน) หรือเรียกกันโดยทั่วไป
วา Principia ถือวาเปนหนึง่ ในหนังสือทีม่ อี ทิ ธิพลทีส่ ดุ ในอดีตและ
เปนรากฐานของวิชากลศาสตรดั้งเดิม (classical mechanics) ภาพที่ 1.25 Principia งานเขียนของ
โดยในงานเขียนนี้นิวตันไดพรรณนาถึงกฎแรงโนมถวงสากลและ นิวตัน
กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน ที่มา : คลังภาพ อจท.
20
T24
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. กฎการเคลื่อนที่ข้อที่หนึ่งของนิวตัน (Newton’s first law of motion) กล่าวถึง 5. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง กฎการเคลื่อนที่
สภาพเดิมของการเคลื่อนที่ โดยมีใจความว่า ถ้าไม่มีแรงภายนอกหรือแรงใด ๆ กระท�าต่อวัตถุ ขอที่หนึ่งของนิวตัน จากหนังสือเรียน แลวให
วัตถุจะรักษาหรือคงสภาพการเคลือ่ นทีเ่ ดิมไว้ แสดงว่าเราก�าลังสังเกตวัตถุนนั้ ในกรอบอ้างอิงเฉือ่ ย จดบันทึกเนื้อหาหรือใจความสําคัญลงในสมุด
กล่าวคือ ถ้าวัตถุอยู่นิ่ง ก็จะอยู่นิ่งต่อไปไม่เคลื่อนที่ กฎข้อนี้บางครั้งเรียกว่า กฎแห่งความเฉื่อย บันทึกประจําตัว จากนัน้ ครูนาํ อภิปรายขอสรุป
(law of inertia) เช่น การที่นักบินอวกาศลอยเคว้งคว้างในอวกาศ เพราะไม่มีมีแรงใด ๆ รวมทั้ง กฎการเคลื่อนที่ขอที่หนึ่งของนิวตัน
ประมาณได้ว่าไม่มีแรงดึงดูด แรงโน้มถ่วงจากโลกหรือดาวดวงใดมากระท�า (ในความเป็นจริง
6. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา “ถาแรงสองแรง
แรงโน้มถ่วงที่กระท�าต่อนักบินอวกาศมีขนาดน้อยมาก) นักบินอวกาศจึงสามารถลอยนิ่งอยู่ได้ใน
อวกาศ ดังภาพที่ 1.26 ที่มีขนาดไมเทากัน และทิศทางตรงขามกัน
มากระทํ า ต อ วั ต ถุ เ ดี ย วกั น จะมี ผ ลต อ การ
เปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น
อยางไร” โดยครูใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนที่
นั่งขางๆ แลวรวมกันอภิปราย จากนั้นครูสุม
นักเรียนเพือ่ ใหอภิปรายและแสดงความคิดเห็น
จากนั้นครูนําอภิปรายขอสรุปกฎการเคลื่อนที่
ขอที่สองของนิวตัน
T25
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
7. ครูแบงนักเรียนออกเปน 8 กลุม กลุมละ กิจกรรม แรงกับควาÁเร่ง
ประมาณ 5-6 คน โดยใหคละกันระหวาง
นักเรียนที่มีพื้นฐานความรูเดิมในระดับเกง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
• การสังเกต จุดประสงค์
คอนขางเกง ปานกลาง และออน ใหอยูใน • การลงความเห็นจากข้อมูล
• การตีความหมายและลงข้อสรุป
เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงที่มากระท�าต่อวัตถุกับความเร่งของ
กลุม เดียวกัน จากนัน้ ครูใหนกั เรียนแตละกลุม วัตถุเมื่อมวลของวัตถุคงตัว
จิตวิทยาศาสตร์
รวมกันศึกษากิจกรรม แรงกับความเรง จาก
• ความมีเหตุผล วัสดุอุปกรณ์
1. รางไม้ 5. เชือก 9. เทปใส
หนังสือเรียน 2. รถทดลอง 6. ขอเกี่ยว 10. นอต
8. นั ก เรี ย นตั ว แทนแต ล ะกลุ ม ออกมารั บ วั ส ดุ 3. แถบกระดาษ 7. รอกพร้อมที่ยึด
อุปกรณในการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน 4. เครื่องเคาะสัญญาณเวลา 8. แท่งไม้ส�าหรับหนุนรางไม้
วิธีปฏิบัติ
9. ครู แ นะนํ า ขั้ น ตอนและเทคนิ ค เกี่ ย วกั บ วิ ธี
ปฏิบัติ กอนที่จะลงมือปฏิบัติ จากนั้นครูให 1
ตอนที่ การชดเชยแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นจากรางไม้
ทุกกลุมลงมือปฏิบัติกิจกรรมได โดยระหวาง 1. ติดตั้งอุปกรณ์ตามภาพที่ 1.27 โดยให้รางไม้วางอยู่ในแนวระดับและยังไม่ต้องใส่นอตโลหะที่ขอเกี่ยว
ที่นักเรียนปฏิบัติกิจกรรม ครูเดินสังเกตและ เชือกไนลอน รถทดลอง หม้อแปลงไฟฟ้าโวลต์ต�่า
ใหคําแนะนําเมื่อนักเรียนไมเขาใจหรือเกิด
ปญหา
10. ครูเนนยํ้ากับนักเรียนวา เมื่อปฏิบัติกิจกรรม เครื่องเคาะ
เสร็จแลวใหตอบคําถามทายกิจกรรม จาก สัญญาณเวลา
แขนรางไม้
หนังสือเรียน โดยจดบันทึกลงในสมุดบันทึก รอก แถบกระดาษเคาะ
ประจําตัวเปนรายบุคคล สัญญาณเวลา
ขอเกี่ยว รางไม้
ภาพที่ 1.27 การติดตั้งอุปกรณ์กิจกรรมแรงกับความเร่ง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
2. จัดเชือกไนลอน แถบกระดาษเคาะสัญญาณเวลา และรถทดลองให้อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน
3. ผลักรถทดลองให้เคลือ่ นทีไ่ ปหารอก ดังภาพที่ 1.28 (ก) หากรถทดลองเคลือ่ นทีไ่ ด้ระยะทางสัน้ ๆ แล้วหยุด
ให้หนุนปลายรางด้านที่ไม่มีรอก (อาจหนุนด้วยหนังสือ) ดังภาพที่ 1.28 (ข)
(ก) (ข)
ภาพที่ 1.28 ภาพประกอบวิธีปฏิบัติข้อ 3.
ที่มา : คลังภาพ อจท.
22
T26
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
4. ท�าการตรวจสอบว่ารถทดลองเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงตัวหลังจากหนุนราง ด้วยการเปิดหม้อแปลงไฟฟ้า 1. นักเรียนแตละกลุมรวมกันวิเคราะหผลการ
โวลต์ตา�่ ให้เครือ่ งเคาะสัญญาณเวลาท�างาน ปล่อยให้รถทดลองเคลือ่ นทีเ่ พือ่ ลากแถบกระดาษเคาะสัญญาณ ปฏิบัติกิจกรรม และอภิปรายผลทายกิจกรรม
เวลา ซึง่ จะตรวจสอบได้โดยสังเกตระยะห่างระหว่างช่วงจุดบนแถบกระดาษเคาะสัญญาณเวลาว่ามีระยะห่าง รวมกัน
ระหว่างช่วงจุดเท่ากัน
2. ครูสมุ นักเรียนตัวแทนกลุม ออกมาหนาชัน้ เรียน
2
ตอนที่ ความสัมพันธ์ระหว่างความเร่งกับแรงดึงเชือก โดยที่มวลมีค่าคงตัว แลวใหแตละคนอภิปรายผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม
1. ใช้ชุดอุปกรณ์จากตอนที่ 1 ซึ่งถือว่าแรงเสียดทานบนรางไม้ได้ถูกชดเชยแล้ว โดยจัดเชือกไนลอน ของกลุมตนเองใหเพื่อนในชั้นเรียนฟง
แถบกระดาษเคาะสัญญาณเวลา และรถทดลองให้อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน 3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายสรุปกิจกรรม
2. ใส่นอตลงไปที่ขอเกี่ยว 1 ตัว ดังภาพที่ 1.29 เปิดหม้อแปลงไฟฟ้าโวลต์ต�่าให้เครื่องเคาะสัญญาณเวลา แรงกับความเรง
ท�างาน แล้วปล่อยให้รถทดลองลากแถบกระดาษ
เคาะสัญญาณเวลาผ่านเครื่องเคาะสัญญาณเวลา
3. น�าแถบกระดาษที่ได้มาเขียนข้อความไว้ด้านหลังว่า
นอต 1 ตัว
4. เปลี่ยนแถบกระดาษเคาะสัญญาณเวลา แล้วปฏิบัติ
ตามข้อ 1. ถึงข้อ 3. ซ�้า แต่เพิ่มจ�านวนนอตเป็น 2
3 4 และ 5 ตามล� า ดั บ ซึ่ ง จะได้ แ ถบกระดาษ
เคาะสัญญาณเวลาทั้งหมด 5 แถบ
5. สังเกตและเปรียบเทียบระยะห่างระหว่างจุดบนแถบ
ภาพที่ 1.29 ใส่นอตลงไปที่ขอเกี่ยว 1 ตัว
กระดาษทีไ่ ด้จากการท�ากิจกรรม และร่วมกันสรุปผล ที่มา : คลังภาพ อจท.
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
ตอนที่ 1
1. เหตุใดรถทดลองจึงเคลื่อนที่ได้ในระยะทางสั้น ๆ แล้วหยุด แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
2. การหนุนรางไม้มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร
ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
1. การเพิ่มจ�านวนนอตเปรียบเสมือนการเพิ่มปริมาณใด 1. มีแรงเสียดทานระหวางลอรถกับรางไม
2. จงวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดแรงดึงรถทดลองกับขนาดความเร่งของรถทดลอง จากแถบกระดาษ 2. ทําใหรางไมเอียง เปนการชดเชยแรงเสียดทาน
ที่ได้จากการท�ากิจกรรม ระหวางลอรถกับรางไม
3. ถ้าเพิ่มมวลบนรถทดลองแต่ให้จ�านวนนอตคงตัว ผลการท�ากิจกรรมที่ได้จะเป็นอย่างไร
ตอนที่ 2
อภิปรำยผลท้ำยกิจกรรม 1. แรงดึงในเสนเชือก
จากกิจกรรมพบว่า เมือ่ มวลของรถทดลองคงตัว ขนาดแรงทีด่ งึ รถทดลองเพิม่ มากขึน้ มีผลท�าให้ความเร่ง 2. เนื่ อ งจากแรงดึ ง ในเส น เชื อ กมี ข นาดเท า กั บ
ของรถทดลองเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อขนาดของแรงที่ดึงรถทดลองคงตัว หากมวลรถทดลองเพิ่มมากขึ้น นํ้าหนักของนอตที่แขวน การเพิ่มจํานวนนอต
มีผลท�าให้ความเร่งของรถทดลองลดลง จึ ง เป น การเพิ่ ม ขนาดของแรงที่ ก ระทํ า ต อ รถ
ทดลอง จึงสงผลใหความเรงในการเคลื่อนที่
แรงและการเคลื่อนที่ 23 ของรถทดลองมีคาเพิ่มขึ้น
3. ความเรงของรถทดลองจะลดลง
T27
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
4. ครูใหนักเรียนสืบเสาะหาความรูเพิ่มเติมหลัง จากกิจกรรมแรงกับความเร่ง ถ้าลองเปลี่ยนมวลของวัตถุโดยให้แรงที่กระท�าต่อวัตถุมี
จากการศึกษากิจกรรม แรงกับความเรง และ ขนาดคงตัวจะพบว่า เมือ่ เพิม่ มวลของวัตถุขนาดของความเร่งของวัตถุจะมีคา่ ลดลง (เนือ่ งจากวัตถุ
กฎการเคลื่ อ นที่ ข อ ที่ ส องของนิ ว ตั น จาก มวลมากมีความเฉือ่ ยมากกว่าวัตถุมวลน้อย) จึงสรุปได้วา่ ขนาดของความเร่งของวัตถุแปรผันตรง
หนังสือเรียน กับขนาดของแรงทีม่ ากระท�าต่อวัตถุ แต่แปรผกผันกับมวลของวัตถุ ซึง่ สอดคล้องกับกฎการเคลือ่ นที่
5. ครูใหนักเรียนตอบคําถามทาทายการคิดขั้น ข้อที่สองของนิวตัน สามารถเขียนแทนได้ด้วยสมการ
สูงที่ถามวา “แรง 1 นิวตัน มีความหมายวา
อยางไร” a คือ ความเร่งของวัตถุ มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที2 (m/s2)
6. หลังจากที่นักเรียนทราบถึงหลักการหรือกฎ a = ΣmF ΣF คือ แรงลัพธ์ที่กระท�าต่อวัตถุ มีหน่วยเป็น นิวตัน (N)
และสมการของกฎการเคลื่อนที่ขอที่สองของ m คือ มวลของวัตถุ มีหน่วยเป็น กิโลกรัม (kg)
นิวตันแลว ครูมอบหมายใหนักเรียนวิเคราะห
ตัวอยางที่ 1.5 จากหนังสือเรียน โดยแสดง
เนื่องจากมวลจะต้องมีค่าเป็นบวกเสมอ ดังนั้น จาก
วิธีการคํานวณลงในสมุดบันทึกประจําตัวของ คําถามทาทายการคิดขัน
้ สูง
สมการด้านบน ทิศทางของความเร่งจะต้องเป็นไปในทิศทาง
แตละคน เดียวกับแรงลัพธ์ ขนาดของความเร่งจะเพิ่มขึ้นตามขนาดของ แรง 1 นิวตัน มีความ
แรงลัพธ์ แต่เมือ่ แรงลัพธ์ทกี่ ระท�ากับวัตถุมคี า่ เป็นศูนย์ วัตถุจะยัง หมายว่าอย่างไร
คงรักษาสภาพการเคลื่อนที่ หรือคงสภาวะหยุดนิ่ง หรือเคลื่อนที่
ด้วยความเร็วคงตัวนั่นเอง
ตัวอย่างที่ 1.5
เด็กชายคนหนึ่งออกแรงเข็นลังใส่หนังสือมวล 20 กิโลกรัม ด้วยแรง 5 นิวตัน ไปทางทิศตะวัน1ออก
จงหาว่าลังใส่หนังสือจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งเท่าใด ถ้าลังนี้ตั้งอยู่บนพื้นผิวเรียบไม่มีแรงเสียดทาน
วิธีท�า เมือ่ ลังใส่หนังสือตัง้ อยูบ่ นพืน้ ผิวเรียบไม่มแี รงเสียดทาน แสดงว่า แรงลัพธ์ทกี่ ระท�าต่อลังนีม้ เี พียง
แรงเดียว คือ แรง 5 นิวตัน ที่เด็กชายออกแรงเข็น จึงได้ว่า
จากสมการกฎการเคลื่อนที่ข้อที่สองของนิวตัน
ΣF = ma
5 = (20)(a)
a = 205
a = 0.25 m/s2
ดังนั้น ลังใส่หนังสือจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง 0.25 เมตรต่อวินาที2 ในทิศทางเดียวกับแรงที่มากระท�า
หรือทิศตะวันออก
แนวตอบ H.O.T.S.
แรง 1 นิวตัน คือ แรงที่ทําใหวัตถุมวล 1
24
กิโลกรัม เคลื่อนที่ดวยความเรง 1 เมตรตอวินาที2
ในทิศทางตามแนวแรง
T28
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3. กฎการเคลือ่ นทีข่ อ ทีส่ ามของนิวตัน (Newton’s third law of motion) มีใจความวา 1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทุ ก คนใช ฝ า มื อ ตบฝ า มื อ ของ
เมื่อมีแรงกระทําระหวางวัตถุสองวัตถุ แรงที่วัตถุทั้งสองกระทําตอกันจะมีขนาดเทากัน แตทิศทาง เพือ่ นอีกคนหนึง่ แลวถามนักเรียนวา “นักเรียน
ตรงขามกัน ลองจินตนาการวา เมื่อเราใชมือ รูสึกเจ็บฝามือใชหรือไม แลวทราบหรือไมวา
ดันแผนไมอยางแรง ซึ่งถาแรงมากพอจะทําให เพราะเหตุใดเราจึงเจ็บฝามือ” เปนการกระตุน
แผนไมเกิดความเสียหาย โดยความเสียหายเปน ความสนใจของนั ก เรี ย น และเพื่ อ นํ า เข า สู
แรงที่แผนไมดันมือ
ผลมาจากแรงที่มือดันแผนไม แตขณะเดียวกัน แรงที่มือดันแผนไม เนื้อหาที่กําลังจะศึกษา
การทีใ่ ชมอื ดันแผนไมจะทําใหเรารูส กึ เจ็บมือไป 2. ครูใหนักเรียนสืบเสาะหาความรู เรื่อง กฎการ
ดวย แตความรูสึกดังกลาวไมไดเกิดขึ้นเพราะ เคลื่อนที่ขอที่สามของนิวตัน จากหนังสือเรียน
แรงที่มือดันแผนไม แตแรงที่ทําใหเราเจ็บมือ โดยจดบันทึกใจความสําคัญลงในสมุดบันทึก
ภาพที่ 1.30 แรงที่มือกระทําตอแผนไมและแรงที่แผนไม
คือ แรงที่แผนไมดันมือเรา ดังภาพที่ 1.30 กระทําตอมือ ประจําตัว
ที่มา : คลังภาพ อจท.
1 2 3. ครูสุมนักเรียนตอบคําถามที่ครูไดถามไปตอน
ทุก ๆ แรงกิริยา (action force) หรือแรงที่กระทําตอวัตถุหนึ่ง จะมีแรงปฏิ แรงปฏิกิริยา (reaction
ตนชัว่ โมง โดยใชกฎการเคลือ่ นทีข่ อ ทีส่ ามของ
force) หรือแรงที่วัตถุกระทําโตตอบตอแรงที่มากระทํา ซึ่งแรงทั้งสองจะมีขนาดเทากัน แตมีทิศ
ตรงกันขามเสมอ ดังนั้น กฎการเคลื่อนที่ขอที่สามของนิวตันเปนจริงไมวาแรงกระทําระหวางวัตถุ นิวตันในการอธิบาย
จะเปนแรงสัมผัส เชน แรงเสียดทาน แรงดึงในเสนเชือก หรือแรงระยะไกล เชน แรงโนมถวงแรง 4. ครูใหนักเรียนวิเคราะหตัวอยางที่ 1.6 จาก
แมเหล็ก แรงไฟฟา หรือกลาวไดวา เปนกฎทีเ่ กีย่ วกับแรงคูก ริ ยิ า-ปฏิกริ ยิ า (action-reaction pair) หนังสือเรียน โดยจดบันทึกลงในสมุดบันทึก
ประจําตัว
ทิศการออกแรงดึง
5. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นทีน่ งั่ ขางๆ จากนัน้
รวมกันยกตัวอยางการเคลื่อนที่ดวยแรงกิริยา
50 N 50 N และแรงปฏิกิริยา ที่สามารถพบเห็นไดในชีวิต
ภาพที่ 1.31 การทดลองเพื่อพิสูจนกฎการเคลื่อนที่ขอที่สามของนิวตัน ประจําวัน โดยแตละคูยกตัวอยางมาใหมาก
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่สุด
หากออกแรงดึงเครือ่ งชัง่ สปริงทีเ่ กีย่ วกัน ดังภาพที่ 1.31 จะเห็นไดวา ขนาดของแรงดึงที่
อานไดจากเครื่องชั่งสปริงทั้งสองมีคาเทากัน โดยแรงที่สปริงอันใดอันหนึ่งดึงสปริงอีกอันหนึ่งเปน
แรงกิริยา สวนแรงดึงของสปริงอีกอันหนึ่งเปนแรงปฏิกิริยา จากผลการทดลองนี้จึงสรุปไดวา แรง
กิริยามีขนาดเทากับแรงปฏิกิริยาแตมีทิศตรงกันขาม สามารถเขียนสมการแทนกฎการเคลื่อนที่
ขอที่สามของนิวตันไดเปน
Faction คือ แรงกิริยา มีหนวยเปน นิวตัน (N)
Faction = -Freaction
Freaction คือ แรงปฏิกิริยา มีหนวยเปน นิวตัน (N)
áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè 25
T29
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
1. ครูใหนักเรียนคูที่สามารถยกตัวอยางไดมาก สังเกตได้ว่า แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน แต่ไม่ได้กระท�าบนวัตถุ
ที่สุด 3 ลําดับแรก ออกมาหนาชั้นเรียนแลว เดียวกัน จึงน�ามาหักล้างกันไม่ได้ เช่น กรณีรถยนต์ชนรถจักรยานยนต์ แรงที่รถยนต์กระแทก
อธิบายโดยการเขียนเวกเตอรทศิ ทางของแรงคู รถจักรยานยนต์เป็นแรงกิรยิ า ท�าให้รถจักรยานยนต์กระเด็นไปและเกิดความเสียหาย ขณะเดียวกัน
กิรยิ า-ปฏิกริ ยิ า ทีเ่ กิดขึน้ จากการเคลือ่ นทีน่ นั้ ๆ แรงที่รถจักรยานยนต์กระแทกรถยนต์เป็นแรงปฏิกิริยา ท�าให้ตัวถังรถยนต์บุบหรือยุบลงไป
2. ครูและนักเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง จากเดิม กล่าวคือ เกิดความเสียหายทั้งคู่ แสดงว่าแรงกิริยากับแรงปฏิกิริยาไม่ได้หักล้างกัน
ของแตละตัวอยาง คูไหนถูกตองจํานวนมาก จึงไม่ใช่แรงสมดุล เนื่องจากทั้งแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยาต่างท�าให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร่งได้
ที่สุดครูอาจใหคะแนนพิเศษ ตัวอย่างการเคลื่อนที่ด้วยแรงกิริยา เช่น การ
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายวิธีแกโจทย ขว้างก้อนหิน การตีลกู เทนนิส การเตะลูกฟุตบอล
ปญหาจากตัวอยางที่ 1.8 การพุ่งแหลน การแกว่งวัตถุ การออกแรงผลัก
4. ครูแจกใบงาน เรือ่ ง กฎการเคลือ่ นทีข่ องนิวตัน วัตถุ ดังภาพที่ 1.32 ส่วนตัวอย่างการเคลื่อนที่ แรงกิริยา แรงปฏิกิริยา
ด้วยแรงปฏิกิริยา เช่น การเคลื่อนที่ของจรวด
ใหนักเรียนนํากลับไปศึกษาเปนการบาน
เครื่องบินไอพ่น เรือกรรเชียง เรือหางยาว การ
ขยายความเขาใจ ทิศการเคลื่อนที่
เคลื่อนที่ของหมึก แมงกะพรุน เป็นต้น ดังภาพ
ที่ 1.33 ภาพที่ 1.32 การเตะลูกฟุตบอล
1. ครูนาํ อภิปรายสรุปเนือ้ หาโดยเปด PowerPoint ที่มา : คลังภาพ อจท.
เรื่องที่สอนไปแลวควบคูไปดวย
2. ครูใหนักเรียนไดสืบคนขอมูลการนําความรู
เรื่อง แรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน ไปใช
ประโยชน ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น จากนั้ น ครู ใ ห
นั ก เรี ย นทํ า สรุ ป ผั ง มโนทั ศ น เรื่ อ ง กฎการ
ทิศการเคลื่อนที่
เคลื่อนที่ของนิวตัน ลงในกระดาษ A4 พรอม แรงปฏิกิริยา
ทั้งตกแตงใหสวยงาม
3. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
ของตนเองหนาชั้นเรียน แรงกิริยา
T30
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
ตัวอย่างที่ 1.6 4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาและทํ า แบบฝ ก หั ด จาก
จากภาพที่ 1.34 จงใช้กฎการเคลื่อนที่ทั้งสามข้อของนิวตันอธิบายการออกแรงดึงเชือกของนายเอและ Topic Question เรือ่ ง แรงและกฎการเคลือ่ นที่
นางสาวบี ของนิวตัน จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึก
ประจําตัว
5. ครูมอบหมายใหนกั เรียนทําแบบฝกหัด เรือ่ ง แรง
และกฎการเคลือ่ นทีข่ องนิวตัน จากแบบฝกหัด
วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5
3. แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยาไมใชแรงสมดุล เพราะไมไดกระทําตอวัตถุ
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ 1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คะแนน จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
ระดับคุณภาพ 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ลาดับที่ รายการประเมิน
T31
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 3. ¡ÒÃà¤Å×è͹·ÕèẺâ¾Ãਡä·Å Prior Knowledge
2. ครูนําลูกเทนนิสหรือลูกบอลมาขวางออกไป ในชีวิตประจําวันอาจพบเห็นการเคลื่อนที่ของวัตถุ ที่มี ¡ÒÃà¤Å×Íè ¹·Õáè ºº
ในแนวระดับ และในทิศทํามุมกับแนวระดับ แนวการเคลื่อนที่ไมเปนเสนตรง เชน ขวางกอนหินออกไปใน â¾Ãਡä·Å ÁÕÅ¡Ñ É³Ð
พรอมกับใหผเู รียนสังเกตแนวการเคลือ่ นทีข่ อง ੾ÒÐÍ‹ҧäÃ
แนวระดับ กอนหินจะเคลือ่ นทีเ่ ปนแนวโคงจนกระทัง่ ตกกระทบพืน้
วัตถุที่ครูขวางออกไป ลูกบอลที่ถูกเตะขึ้นไปในอากาศจะเคลื่อนที่เปนแนวโคง การ
3. ครูเปลีย่ นเปนขวางยางลบ กอนดินนํา้ มัน หรือ เคลื่อนที่ของลูกบอลจากการเลนบาสเกตบอล
ยิงปนอัดลม และใหผูเรียนสังเกตแนวการ ฟุตบอล เบสบอล มีลกั ษณะเปนแนวโคงเชนกัน
เคลื่อนที่อีกครั้ง เรียกการเคลื่อนที่ในลักษณะนี้วา การเคลื่อนที่
4. ครูถามคําถามกระตุนกับนักเรียนวา “การ แบบวิถีโคงหรือการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล
เคลื่อนที่ของลูกบาสเกตบอล เมื่อนักกีฬาโยน การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล (projectile
ไปทีแ่ ปน เพือ่ ใหลงหวง มีลกั ษณะการเคลือ่ นที่ motion) เปนการเคลื่อนที่ของวัตถุแบบอิสระ
อยางไร” และใหนักเรียนชวยกันตอบคําถาม รูปแบบหนึง่ วัตถุใด ๆ ทีเ่ คลือ่ นทีแ่ บบโพรเจกไทล
ปากเปลา จะมีแรงกระทําอันเนื่องมาจากแรงโนมถวงของ ภาพที่ 1.35 การเคลื่อนที่ของลูกบาสเกตบอล
(แนวตอบ มีลักษณะการเคลื่อนที่เปนวิถีโคง โลกในแนวดิง่ และแรงในแนวระดับเปนศูนย จึง ที่มา : คลังภาพ อจท.
หรือเปนการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล) ทําใหมคี วามเร็วคงตัว สวนแรงในแนวดิง่ จะทําให
5. ครู ถ ามคํ า ถามกั บ นั ก เรี ย น โดยใช คํ า ถาม วัตถุเคลือ่ นทีด่ ว ยความเรงคงตัวเทากับความเรง
เนื่องจากแรงโนมถวงของโลก (gravitational
Prior Knowledge จากหนังสือเรียนวา “การ
acceleration) โดยการเคลื่อนที่ทั้งแนวดิ่งและ
เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล มีลักษณะเฉพาะ
แนวระดับจะเกิดขึ้นพรอมกัน เปนผลทําใหแนว
อยางไร” การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุเปนวิถโี คง มีลกั ษณะคลาย
รูปพาราโบลาควํ่า เชน นํ้าพุ เปนตัวอยางหนึ่ง
ที่แสดงใหเห็นถึงวิถีโคงของนํ้า ดังภาพที่ 1.36
ภาพที่ 1.36 การเคลื่อนที่ของนํ้าพุ
Science Focus
ที่มา : คลังภาพ อจท.
¤ÇÒÁà˧à¹×èͧ¨Ò¡áç⹌Á¶‹Ç§
ความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก หรือที่เรามักจะเรียกวา “คา g” คือ คาที่วัดจากความ
แนวตอบ Prior Knowledge โนมถวงทีบ่ ริเวณพืน้ ผิวของโลก โดยเปนคาทีบ่ ง บอกถึงความเรง หรือการเปลีย่ นแปลงของความเร็วเทียบ
กับเวลา โดยวัตถุที่ตกลงสูพื้นโลกจะมีความเร็วเพิ่มขึ้นตามคา g บนพื้นโลก ซึ่งคา g มีคาประมาณ 9.8
การเคลือ่ นทีแ่ บบโพรเจกไทลเปนการเคลือ่ นที่ เมตรตอวินาที2 ในความเปนจริงแลว คา g ไมใชซึ่งคาคงตัวในทุก ๆ ตําแหนงบนโลก แตจะมีคาแปร
แบบ 2 มิ ติ คื อ เคลื่ อ นที่ ทั้ ง ในแนวระดั บ และ เปลี่ยนไปตามภูมิประเทศตาง ๆ บนโลก และบนดาวเคราะหดวงอื่นก็จะมีคา g ที่แตกตางกันไป
แนวดิ่งพรอมกัน โดยในแนวดิ่งเปนการเคลื่อนที่
ที่มีความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก ในขณะ
28 การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล
ที่ในแนวระดับไมมีความเรง เพราะไมมีแรงกระทํา
ในแนวระดับ
T32
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
¤ÇÒÁàÃçǢͧÇѵ¶Ø·Õèà¤Å×è͹·ÕèẺâ¾Ãਡä·Å 1. ครูใหนักเรียนสืบเสาะหาความรู เรื่อง การ
เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล จากหนังสือเรียน
ª‹Ç§·ÕèÇѵ¶Øà¤Å×è͹·Õè¢Öé¹ ª‹Ç§·ÕèÇѵ¶Øà¤Å×è͹·Õèŧ 2. ครูใหนักเรียนสืบเสาะหาความรูเพิ่มเติมจาก
• ความเร็วในแนวระดับมีคา เทากันทุกจุด โดยมีคา • ความเร็วในแนวระดับมีคาเทากันทุกจุด โดยมีคา สื่อดิจิทัล โดยใหนักเรียนนําสมารตโฟนของ
เทากับความเร็วตนในแนวระดับ เทากับความเร็วตนในแนวระดับ ตนเองขึ้นมาแลวสแกน QR Code เรื่อง การ
• ความเร็วในแนวดิ่งมีคาลดลงจนเปนศูนยที่ • ความเร็วในแนวดิ่งมีคาเพิ่มขึ้นจนขนาดเทากับ
จุดสูงสุด ความเร็วในแนวดิ่งที่จุดเริ่มตน แตมีทิศตรงขาม เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล จากหนังสือเรียน
กัน ดังนั้น ความเร็วในแนวดิ่งจึงไมเทากันและ 3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู เรื่ อ ง การ
จะมีคา เพิม่ ขึน้ เรือ่ ย ๆ เมือ่ วัตถุเคลือ่ นทีผ่ า นระดับ เคลื่ อ นที่ แ บบโพรเจกไทล ที่ ไ ด ศึ ก ษาจาก
เดียวกับจุดเริ่มตน หนังสือเรียนและ QR Code ลงในสมุดบันทึก
ความเรงเนื่องจาก
แรงโนมถวงของโลก ประจําตัว
จุดสูงสุด
• ความเร็วในแนวดิ่งเปนศูนย
จุดเริ่มตน • ความเร็วในแนวระดับเทากับ จุดตก
86
ความเร็วตนในแนวระดับ 86
T33
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ครูแบงกลุมใหนักเรียน จากนั้นใหนักเรียน ¡Ô¨¡ÃÃÁ à¤Ã×èͧÂÔ§â¾Ãਡä·Å
แยกเขากลุมของตนเองแลวศึกษากิจกรรม
เครื่องยิงโพรเจกไทล จากหนังสือเรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
• การสังเกต ¨Ø´»ÃÐʧ¤
5. ครูแจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน • การวัด เพือ่ ศึกษาความสัมพันธระหวางมุมยิงกับระยะตกของวัตถุทเี่ คลือ่ นทีแ่ บบ
จิตวิทยาศาสตร โพรเจกไทล
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติ • ความสนใจใฝรู
• ความมุงมั่น
6. ครูใหความรูเพิ่มเติมหรือเทคนิคเกี่ยวกับการ
ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม ÇÑÊ´ØÍØ»¡Ã³
ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน 1. เครื่องยิงโพรเจกไทล 4. กระดาษขาว 7. ตลับเมตร
7. นักเรียนแตละกลุมรวมกันพูดคุยวิเคราะหผล 2. ลูกบอลพลาสติก 5. กระดาษคารบอน
การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน 3. แคลมป 6. แทงพลาสติกสําหรับดันลูกบอลพลาสติกเขาไปในกระบอกยิง
8. ครูเนนยํ้าใหนักเรียนตอบคําถามทายกิจกรรม
ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ
จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึกประจําตัว
1. ใชแคลมปยึดเครื่องยิงโพรเจกไทลกับโตะทดลอง
อธิบายความรู ตัง้ มุมยิงไวที่ 15 องศา แลวบรรจุลกู บอลพลาสติก
เขาไปในเครือ่ งยิง โดยใชแทงพลาสติกดันลูกบอล
1. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาหนาชัน้ เรียน
พลาสติกอัดสปริงเขาไปจนลูกบอลพลาสติกอยูที่
เพื่อนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม ตําแหนงทีเ่ หมาะสม แลวดึงเชือกลัน่ ไกยิงลูกบอล
2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายผลท า ย พลาสติกออกไป ดังภาพที่ 1.38 สังเกตจุดตก ภาพที่ 1.38 เครื่องยิงโพรเจกไทล
กิจกรรมรวมกัน เพื่อสรุปผลใหนักเรียนเขาใจ กระทบพื้นของลูกบอลพลาสติกอยูบริเวณใด ที่มา : คลังภาพ อจท.
ไปในแนวทางเดียวกันอีกครั้ง 2. วางกระดาษคารบอนซอนทับบนกระดาษขาว แลวนําไปวางไวบริเวณจุดตกกระทบพืน้ ของลูกบอลพลาสติก
ที่สังเกตไดจากการทดลองยิงครั้งแรก จากนั้นทดลองยิงซํ้าที่มุมยิง 15 องศา หาตําแหนงที่เปนจุดแรกที่
ลูกบอลพลาสติกตกกระทบพื้น (จุดที่สีเขมที่สุด ชัดที่สุด บนกระดาษขาว) ใชตลับเมตรวัดระยะตก (ระยะ
ในแนวระดับจากปากกระบอกของกระบอกยิงถึงจุดตกกระทบพื้น) ของลูกบอลพลาสติก แลวบันทึกผล
3. ปฏิบัติซํ้าอีก 2 ครั้ง ที่มุมยิง 15 องศา แลวหาระยะตกเฉลี่ยของมุมยิง 15 องศา
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม 4. ปฏิบัติซํ้าแตเปลี่ยนมุมยิงเปน 30 องศา 45 องศา 60 องศา และ 75 องศา ตามลําดับ แลวเปรียบเทียบ
1. มุม 45 องศา ระยะตกเฉลี่ยที่มุมยิงทั้งสาม
2. มุม 15 องศา กับมุม 75 องศา จะไดระยะตกที่
ใกลเคียงกัน และยังมี มุม 30 องศา กับมุม 60 ¤íÒ¶ÒÁ·ŒÒ¡Ԩ¡ÃÃÁ
1. มุมยิงเทาใดที่ใหระยะตกไกลที่สุด
องศา ที่ไดระยะตกที่ใกลเคียงกัน
2. มุมยิงคูใดที่ใหระยะตกใกลเคียงกันมาก (หรือเทากันโดยประมาณ)
3. ผลบวกเทากับ 90 องศา 3. ผลบวกของมุมยิงคูที่ใหระยะตกใกลเคียงกันมาก (หรือเทากันโดยประมาณ) มีคาเทาใด
4. มุมยิงที่นอยกวา 45 องศา ระยะตกจะเพิ่มขึ้น 4. จากกิจกรรมจะสรุปความสัมพันธระหวางมุมยิงกับระยะตกไดวาอยางไร
ตามมุมยิง สวนมุมยิงที่มากกวา 45 องศา และ
ไมเกิน 90 องศา ระยะตกจะลดลงเมื่อมุมยิง
30
เพิ่มขึ้น
บันทึก กิจกรรม
T34
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
อภิปรำยผลท้ำยกิจกรรม 3. ครูใหนกั เรียนวิเคราะหการขวางวัตถุออกไปใน
เมือ่ วัตถุเคลือ่ นทีอ่ อกไปในอากาศด้วยความเร็วต้นทีม่ ที ศิ ทางเอียงท�ามุมกับแนวระดับ (น้อยกว่า 90 องศา)
แนวระดับ จากภาพในหนังสือเรียนวาเกีย่ วของ
วัตถุจะเคลื่อนที่ไปตามเส้นโค้งพาราโบลาด้วยความเร่งเท่ากับความเร่งโน้มถ่วง โดยความสูงที่วัตถุขึ้นไปถึง กับการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลอยางไรบาง
และระยะตก (ระยะแนวระดับที่วัตถุตกห่างจากจุดเริ่มต้น) ขึ้นอยู่กับขนาดของความเร็วต้นและมุมที่ความเร็ว เพื่อเปนการเชื่อมโยงกับกิจกรรมที่ครูไดขวาง
ต้นท�ากับแนวระดับหรือที่เรียกกันว่า มุมยิง ลูกบอลใหนักเรียนดูหนาชั้นเรียน
ส�าหรับระยะตก มุมยิงทีใ่ ห้ระยะตกมากสุด คือ มุมยิง 45 องศา และระยะตกจะเพิม่ ขึน้ ตามมุมยิงในช่วงมุม 4. ครูอภิปรายรวมกับกับนักเรียนเกีย่ วกับกิจกรรม
ยิงน้อยกว่า 45 องศา แต่ระยะตกจะลดลงเมือ่ เพิม่ ค่ามุมยิงในช่วงมุมยิงมากกว่า 45 องศา โดยมุมยิงคูท่ ผี่ ลรวม
ของมุมมีค่าเท่ากับ 90 องศา เช่น มุมยิง 30 องศา กับมุมยิง 60 องศา จะให้ระยะตกเท่ากัน เมื่อความเร็วต้น ในชีวติ ประจําวันทีม่ กี ารเคลือ่ นทีแ่ บบโพรเจก-
เท่ากัน ไทล
5. ครูสมุ นักเรียนใหยกตัวอยางกิจกรรมทีส่ ามารถ
อธิบายการเคลื่อนที่นั้นดวยความรูเรื่องการ
จากกิจกรรมยิงวัตถุได้ผลสรุปว่า วัตถุที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ด้วยความเร็วต้นค่าหนึ่ง
เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลได เชน ดานกีฬา
ระยะตกจะมีค่ามากที่สุดเมื่อมุมที่ความเร็วต้นเอียงจากแนวระดับหรือมุมยิงเป็น 45 องศา โดยใน
ไมวาจะเปน กีฬาทุมนํ้าหนัก กีฬาพุงแหลน
ช่วงมุมยิงที่มีค่าน้อยกว่า 45 องศา ระยะตกจะเพิ่มขึ้นตามค่ามุมยิง แต่ในช่วงมุมยิงมากกว่า 45
องศา แต่นอ้ ยกว่า 90 องศา ระยะตกจะลดลงเมือ่ เพิม่ ค่ามุมยิง และมีมมุ ยิงทีใ่ ห้ระยะตกเท่ากันเป็น หรื อ แม ก ระทั่ ง ที่ เ ห็ น ชั ด เจนที่ สุ ด คื อ กี ฬ า
คู่ ๆ โดยผลรวมของทั้งสองมุมรวมกันจะได้ 90 องศา เช่น วัตถุที่ถูกยิงด้วยมุม 15 องศา จะตก บาสเกตบอล
ที่ต�าแหน่งเดียวกับวัตถุที่ถูกยิงด้วยมุม 75 องศา วัตถุที่ถูกยิงด้วยมุม 30 องศา จะตกที่ต�าแหน่ง 6. ครูแจกใบงาน เรือ่ ง การเคลือ่ นทีแ่ บบโพรเจก-
เดียวกับวัตถุที่ถูกยิงด้วยมุม 60 องศา นอกจากนั้น ระยะตกของวัตถุที่ถูกยิงด้วยมุม 15 องศา จะ ไทล ใหนํากลับไปศึกษาเปนการบาน
น้อยกว่าระยะตกของวัตถุทถี่ กู ยิงด้วยมุม 30 องศา โดยทีร่ ะยะตกของวัตถุทถี่ กู ยิงด้วยมุม 45 องศา ขยายความเขาใจ
จะมีระยะทางมากที่สุด ดังภาพที่ 1.39
1. ครูนําอภิปรายสรุปเนื้อหาเรื่องที่สอนไปแลว
ต�าแหน่งในแนวดิ่ง
โดยเปด PowerPoint ควบคูไปดวย
2. ครูใหนักเรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรื่อง การ
เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล ลงในกระดาษ A4
พรอมทั้งตกแตงใหสวยงาม
3. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
75 � 60 � ของตนเองหนาชั้นเรียน
45 �
30 �
15 � 4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาและทํ า แบบฝ ก หั ด จาก
จุดยิง ระยะตก Topic Question เรื่อง การเคลื่อนที่แบบโพร-
ภาพที่ 1.39 มุมในการยิงวัตถุแบบโพรเจกไทล์คู่หนึ่งๆ ที่มีผลรวมเป็น 90 องศา เจกไทล จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึก
โดยจุดเริ่มต้นและจุดตกอยู่ระดับเดียวกัน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ประจําตัว แลวนํามาสงครูทายชั่วโมง
5. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัด เรื่อง
แรงและการเคลื่อนที่ 31 การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล จากแบบฝกหัด
วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 เปน
การบาน แลวมาสงครูในชั่วโมงถัดไป
T35
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นักเรียนและครูรว มกันสรุปความรูเ กีย่ วกับการ
เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล เพื่อใหนักเรียนทุกคน 1 ทันทีทลี่ กู บอลหลุดจากมือ ความเร็ว
ไดมีความเขาใจในเนื้อหาที่ไดศึกษามาแลวไปใน 1 แนวระดับของลูกบอลจะมีค่าคงตัว
ทางเดียวกัน และเปนความเขาใจที่ถูกตอง โดย 2 การเคลื่อนที่สองแนวรวมกันท�าให้
ครูใหนักเรียนเขียนสรุปความรูลงในสมุดบันทึก เส้นทางการเคลื่อนที่เป็นเส้นทางโค้ง
2
ประจําตัว 3 ความเร็วแนวดิ่งของลูกบอลเพิ่มขึ้น
3 เนื่องจากแรงโน้มถ่วงท�าให้ลูกบอล
มีความเร่งเท่ากับความเร่งโน้มถ่วง
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล ภาพที่ 1.40 การขว้างวัตถุออกไปในแนวระดับ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
1. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน เรื่อง การ เมื่อขว้างวัตถุออกไปในทิศทางท�ามุมใด ๆ ด้วยความเร็วต้นค่าหนึ่งโดยไม่คิดแรงต้านจาก
เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล อากาศ การเคลื่อนที่ตามแนวระดับของวัตถุจะเหมือนกับการเคลื่อนที่ของอีกวัตถุหนึ่งที่เคลื่อนที่
2. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question ตามแนวระดับอย่างเดียว ถ้าความเร็วตามแนวระดับของวัตถุทั้งสองเท่ากัน วัตถุทั้งสองจะมี
เรื่อง การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล ในสมุด ความเร็วตามแนวระดับคงตัวตลอดการเคลื่อนที่ ส่วนความเร็วในแนวดิ่งจะเปลี่ยนแปลงอย่าง
บันทึกประจําตัว สม�า่ เสมอ (9.8 เมตรต่อวินาที ในทุก ๆ 1 วินาที) จากผลของแรงโน้มถ่วง เส้นทางการเคลือ่ นทีข่ อง
3. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง การเคลื่อนที่ วัตถุที่ถูกขว้างจึงเป็นเส้นโค้งพาราโบลาคว�่าและเป็นการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ ดังภาพที่ 1.40
แบบโพรเจกไทล จากแบบฝกหัด วิทยาศาสตร การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์จึงเป็นผลรวมของการเคลื่อนที่ในแนวระดับด้วยความเร็ว
กายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 คงตัวกับการเคลือ่ นทีใ่ นแนวดิง่ ด้วยความเร่งคงตัวเท่ากับความเร่งเนือ่ งจากแรงโน้มถ่วง กล่าวคือ
4. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ ความเร่งในการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์จะมีค่าเท่ากับความเร่งของการตกแบบเสรีและมีทิศ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล พุ่งลงตามแนวดิ่ง แต่เส้นทางการเคลื่อนที่ของวัตถุจะไม่อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันกับเส้นทาง
และการทํางานกลุม การเคลื่อนที่อย่างการตกแบบเสรี
5. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป
เนื้อหา เรื่อง การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล ที่ Topic
นักเรียนไดสรางขึ้นจากขั้นขยายความเขาใจ ? Question
เปนรายบุคคล ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์เป็นผลรวมของการเคลื่อนที่แบบใด
2. การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์เป็นการเคลื่อนที่แบบมีความเร่งหรือไม่ อย่างไร
3. ความเร็วของวัตถุทตี่ า� แหน่งสูงสุดของการเคลือ่ นทีแ่ บบโพรเจกไทล์เป็นศูนย์หรือไม่ อย่างไร
4. การเพิ่มขนาดของความเร็วต้นส่งผลต่อความสูงที่วัตถุขึ้นไปถึงและระยะตกอย่างไร
5. มุมยิงค่าใดที่ให้ระยะตกเท่ากับมุมยิง 37 องศา
32
3
ระดับคะแนน
2 1
ตําแหนงสูงสุดไมเปนศูนย โดยมีขนาดเทากับองคประกอบของความเร็ว
ในแนวระดับ สวนความเร็วในแนวดิง่ ของวัตถุทตี่ าํ แหนงสูงสุดเปนศูนย
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ 1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คะแนน จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
ระดับคุณภาพ 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
1
2
3
4
ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
ความถูกต้องของเนื้อหา
ความคิดสร้างสรรค์
ความเป็นระเบียบ
3. ผลงานมีความคิด
สร้างสรรค์
ผลงานแสดงออกถึง
ความคิดสร้างสรรค์
แปลกใหม่และเป็น
ระบบ
ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ
ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด
แปลกใหม่
ผลงานไม่แสดงแนวคิด
ใหม่
4. การเพิม่ ขนาดของความเร็วตนสงผลใหความสูงทีว่ ตั ถุเคลือ่ นทีข่ นึ้ ไปถึง
และระยะตกมีคาเพิ่มขึ้น
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
รวม
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
T36
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
4. ¡ÒÃà¤Å×è͹·ÕèẺǧ¡ÅÁ Prior Knowledge 1. ครู แ ละนั ก เรี ย นสนทนาทบทวนความรู เ ดิ ม
เปนการเคลือ่ นทีอ่ กี รูปแบบหนึง่ ทีเ่ ราสามารถพบเห็นไดใน ¤ÇÒÁà˧㹡ÒÃà¤Å×Íè ¹·Õè เรื่อง การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยครู
ชีวติ ประจําวัน เชน การเคลือ่ นทีข่ องรถไฟเหาะตีลงั กา การเคลือ่ นที่ Ẻǧ¡ÅÁ ÁÕÅ¡Ñ É³Ð เปดโอกาสใหนักเรียนไดแสดงความคิดเห็น
੾ÒÐÍ‹ҧäà อยางอิสระ ครูอาจใหนักเรียนอธิบายเกี่ยวกับ
ของเข็มนาฬกา การเคลื่อนที่บนทางโคง1ของรถ การเลี้ยวโคง
ของรถการเคลื่อนที่ของแฮนด สปนเนอร (hand spinner) ของ “ผลของความเร ง ที่ มี ต อ การเคลื่ อ นที่ แ บบ
เลนแนวใหมชนิดหนึ่งที่มีตนกําเนิดจากประเทศสหรัฐอเมริกา โพรเจกไทล”
ดังภาพที่ 1.41 ซึง่ การเคลือ่ นทีด่ งั กลาวเปนการเคลือ่ นทีท่ มี่ แี นว 2. ครูถามคําถามกระตุนความสนในกับนักเรียน
การเคลื่อนที่เปนวงกลมหรือสวนของวงกลม เรียกการเคลื่อนที่ วา “ผลของความเรงที่มีตอการเคลื่อนที่แบบ
ของวัตถุนี้วา การเคลื่อนที่แบบวงกลม (circular motion) วงกลมเปนอยางไร” (ทิ้งชวงใหนักเรียนคิด)
การเคลื่อนที่แบบวงกลมมีแรงกระทํากับวัตถุในทิศเขาสู แลวสุมถามนักเรียนเปนรายบุคคล โดยจะยัง
ศูนยกลางเรียกวา แรงสูศ นู ยกลาง (centripetal force) เขียนแทน ไมเฉลยคําตอบนั้นถูกหรือผิด
ดวยสัญลักษณ Fc โดยแรงสูศูนยกลางมีทิศตั้งฉากกับความเร็ว ภาพที ่ 1.41 แฮนด สปนเนอร
ที่มา : คลังภาพ อจท. 3. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ
ของวัตถุตลอดเวลา แรงสูศูนยกลางที่ทําใหวัตถุเคลื่อนที่แบบ 4. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
วงกลมไดตอ งมีขนาดทีเ่ หมาะสม จึงทําใหวตั ถุเคลือ่ นทีใ่ นแนวโคง เรียน กับนักเรียนวา “ความเรงในการเคลือ่ นที่
ของวงกลมดวยรัศมีคาหนึ่งและความเร็วคาหนึ่ง เชน การ แบบวงกลม มีลักษณะเฉพาะอยางไร”
แกวงวัตถุที่แขวนไวกับเชือกใหเปนวงกลมในระนาบระดับที่มี
องค ป ระกอบของแรงดึ ง ในเส น เชื อ กในแนวระดั บ เป น แรง
ภาพที่ 1.42 การแกวงวัตถุใหเคลือ่ นที่
สูศ นู ยกลาง ดังภาพที่ 1.42 ดาวเทียมทีโ่ คจรแบบวงกลมรอบโลก แบบวงกลมในระนาบระดั บ
จะมีแรงดึงดูดที่โลกกระทําตอดาวเทียมเปนแรงสูศูนยกลาง ที่มา : คลังภาพ อจท.
ดังภาพที่ 1.43 เปนตน
T37
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นทีน่ งั่ ขางๆ จากนัน้ การเคลื่อนที่แบบวงกลม วัตถุจะเคลื่อนที่ซ�้าแนวการเคลื่อนที่เดิม ช่วงเวลาที่วัตถุใช้ในการ
ครูใหนักเรียนสืบเสาะหาความรู เรื่อง การ เคลื่อนที่ครบ 1 รอบ เรียกว่า คาบ (period) เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ T มีหน่วยในระบบเอสไอ
เคลื่อนที่แบบวงกลม จากหนังสือเรียน เป็น วินาที (s) และจ�านวนรอบที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ใน 1 หน่วยเวลา เรียกว่า ความถี่ (frequency)
2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา “แรงมีผลตอการ แทนด้วยสัญลักษณ์ f มีหน่วยเป็น รอบต่อวินาที (1s ) หรือหน่วยในระบบเอสไอเป็น เฮิรตซ์ (Hz)
เคลือ่ นทีข่ องวัตถุทเ่ี คลือ่ นทีเ่ ปนวงกลมอยางไร โดยความถี่และคาบมีความสัมพันธ์ ดังนี้
และทิศทางของแรงมีลักษณะอยางไร” โดยครู f = T1
สุม นักเรียนเปนบางคูใ หยนื ขึน้ แลวตอบคําถาม การเคลื่อนที่แบบวงกลมมีการเปลี่ยน- v
(แนวตอบ วัตถุทมี่ กี ารเคลือ่ นทีแ่ บบวงกลมจะมี แปลงความเร็วตลอดเวลา แม้ว่าขนาดของ v
แนวการเคลือ่ นทีเ่ ปนเสนโคง มีแรงทีต่ งั้ ฉากกับ ความเร็วหรืออัตราเร็วจะคงตัว แต่เวกเตอร์หรือ
ทิศทางของความเร็วมากระทําตลอดเวลา วัตถุ ทิศทางของความเร็วเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เพราะ
จึงเคลื่อนที่แบบวงกลมได) ความเร็วที่จุดใด ๆ บนเส้นรอบวงของวงกลม v
จะอยู่ในแนวสัมผัสเส้นรอบวงของวงกลม (ซึ่ง v
มีทิศตั้งฉากกับรัศมีของวงกลม) ที่จุดนั้น ท�าให้ Fc
ทิศทางของความเร็วเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ac
จึงถือว่าเป็นการเคลื่อนที่แบบมีความเร่งตาม v
กฎการเคลื่อนที่ข้อที่สองของนิวตัน ท�าให้เกิด v
ความเร่งทีม่ ที ศิ พุง่ เข้าสูจ่ ดุ ศูนย์กลางของวงกลม ภาพที่ 1.44 แรงที่กระท�าต่อวัตถุจะมีทิศเข้าหาจุด
ตลอดเวลาเช่นเดียวกับแรงสูศ่ นู ย์กลาง เรียกว่า ศูนย์กลางของการเคลือ่ นทีเ่ มือ่ วัตถุเคลือ่ นทีแ่ บบวงกลม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ความเร่งสู่ศูนย์กลาง (centripetal acceleration)
เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ ac ดังภาพที่ 1.44
จากภาพที่ 1.44 ความเร่งของวัตถุเป็นผลจากการกระท�าของแรง โดยทิศของความเร่ง
อยู่ในทิศเดียวกับทิศของแรงที่มากระท�า ความเร่งสู่ศูนย์กลางจึงเป็นผลจากการกระท�าของ
แรงสู่ศูนย์กลาง (Fc) ซึ่งมีทิศพุ่งเข้าหาจุดศูนย์กลางของการเคลื่อนที่เสมอ โดยวัตถุจะเคลื่อนที่
เป็นวงกลมรัศมี (r) ค่าหนึ่ง และเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแนวเส้นสัมผัส ( v ) ค่าหนึ่งได้ ต้องมี
แรงสู่ศูนย์กลางที่มีขนาดพอเหมาะกระท�าต่อวัตถุเท่านั้น
จากกฎการเคลือ่ นทีข่ อ้ ทีส่ องของนิวตัน จะได้วา่ Fc = mac จากความสัมพันธ์ดงั กล่าว ท�าให้
สามารถค�านวณหาขนาดของความเร่งสู่ศูนย์กลางได้จากสมการ
ac คือ ขนาดของความเร่งสู่ศูนย์กลาง มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที2 (m/s)
ac = r v2 v คือ อัตราเร็วของวัตถุตามแนวเส้นสัมผัสวงกลม มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที (m/s)
r คือ รัศมีของวงกลม มีหน่วยเป็น เมตร (m)
34
T38
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ทั้งนี้ ขนาดของแรงสู่ศูนย์กลางจะสอดคล้องกับสมการ 3. ครูนําเชือกมา 1 เสน พรอมผูกวัตถุชิ้นหนึ่งไว
ที่ปลายดานหนึ่งของเชือก แลวแกวงเชือกให
Fc คือ ขนาดของแรงสู่ศูนย์กลาง มีหน่วยเป็น นิวตัน (N) วัตถุที่ผูกไวเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง พรอมกับให
2 m คือ มวลของวัตถุ มีหน่วยเป็น กิโลกรัม (kg) นักเรียนสังเกตความสัมพันธของการเคลื่อนที่
Fc = mvr v คือ อัตราเร็วของวัตถุตามแนวเส้นสัมผัสวงกลม มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที (m/s) ของวัตถุนั้นกับความเร็วของวัตถุ แรงสูศูนย-
r คือ รัศมีของวงกลม มีหน่วยเป็น เมตร (m) กลาง และความเรงสูศูนยกลาง จากหนังสือ
เรียน
4. ครูใหนักเรียนแบงกลุมกันเองอยางอิสระ กลุม
ส่วนคาบของการเคลือ่ นทีแ่ บบวงกลมจะมีคา่ แปรผันตรงกับรัศมีของวงกลมการเคลือ่ นที่ และ
ละ 3-4 คน แลวศึกษากิจกรรม การเคลื่อนที่
แปรผกผันกับอัตราเร็วในแนวเส้นสัมผัส ถ้าต้องการให้คาบการเคลือ่ นทีม่ คี า่ เท่ากัน วัตถุทเี่ คลือ่ นที่
เป็นวงกลมที่มีรัศมีมากกว่าต้องเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วในแนวเส้นสัมผัสมากกว่า ซึ่งสังเกตได้จาก แบบวงกลมในแนวดิ่ง จากหนังสือเรียน
การหมุนของพัดลม จุดที่ปลายใบพัดจะเคลื่อนที่เร็วกว่าจุดที่อยู่ใกล้กึ่งกลางใบพัด ท�าให้มองเห็น
ปลายใบพัดไม่ชัดเจนในขณะที่พัดลมก�าลังหมุน แรงสู่ศูนย์กลางเป็นแรงทั่วไปที่กระท�าต่อวัตถุใน
ทิศพุ่งเข้าสู่จุดศูนย์กลางของการเคลื่อนที่เท่านั้น ซึ่งอาจเป็นแรงเพียงแรงเดียวหรือเป็นแรงลัพธ์
ของแรงหลายแรงที่มีทิศพุ่งเข้าสู่จุดศูนย์กลางของการเคลื่อนที่
การเคลือ่ นทีแ่ บบวงกลมมีทงั้ การเคลือ่ นที่ N
แบบวงกลมในระนาบระดับและในระนาบดิ่ง v
ุมน
ส�าหรับการเคลื่อนที่แบบวงกลมในระนาบดิ่ง
ห
การ
ทศิ ทาง
แรงและการเคลื่อนที่ 35
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. ครูชี้แจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน ¡Ô¨¡ÃÃÁ ¡ÒÃà¤Å×è͹·ÕèẺǧ¡ÅÁã¹á¹Ç´Ôè§
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกตอง
6. ครูใหความรูเพิ่มเติมหรือเทคนิคเกี่ยวกับการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
• การสังเกต ¨Ø´»ÃÐʧ¤
ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม • การลงความเห็นจากขอมูล เพื่อเปรียบเทียบขนาดของแรงสูศูนยกลางที่ตําแหนงสูงสุด ตํ่าสุด และ
จิตวิทยาศาสตร ตําแหนงกึง่ กลางระหวางตําแหนงสูงสุดกับตํา่ สุด ในการเคลือ่ นทีแ่ บบวงกลม
ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน • ความสนใจใฝรู
• ความมีเหตุผล ในแนวดิ่ง
7. นักเรียนแตละกลุมรวมกันพูดคุยวิเคราะหผล • การทํางานรวมกับผูอื่น
การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน
ÇÑÊ´ØÍØ»¡Ã³
8. ครูเนนยํ้าใหนักเรียนตอบคําถามทายกิจกรรม
1. จุกยางที่เจาะรูตรงกลางขนาดตางกัน 2 อัน 3. ตลับเมตร
จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึกประจําตัว 2. เชือกยาว 60 เซนติเมตร
อธิบายความรู ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ
1. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาหนาชัน้ เรียน 1. สอดปลายขางหนึ่งของเชือกผานรูตรงกลางจุกยางอันหนึ่งแลวผูก
จุกยาง
เพื่อนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม ปลายเชือกเปนปมไว จากนั้นจับเชือกที่ตําแหนงหางจากจุกยาง 50
2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายผลท า ย เซนติเมตร แลวแกวงจุกยางใหเคลื่อนที่เปนวงกลมในแนวดิ่งดวย
อัตราเร็วคงตัวคาหนึ่ง ดังภาพที่ 1.46
กิจกรรมรวมกัน เพื่อสรุปใหนักเรียนเขาใจไป
2. เปรียบเทียบขนาดของแรงทีเ่ ชือกกระทําตอมือ (แรงดึงในเสนเชือก)
ในแนวทางเดียวกันอีกครั้ง ขณะที่จุกยางอยูที่ตําแหนงสูงสุด ตํ่าสุด และขณะที่เชือกวางตัวใน
แนวระดับ (จุกยางอยูตรงกึ่งกลางระหวางตําแหนงสูงสุดกับตํ่าสุด)
แลวบันทึกผล
3. ปฏิบัติซํ้า โดยจับเชือกที่ตําแหนงเดียวกับขอ 1. แตเพิ่มอัตราเร็วใน
การแกวงใหสูงขึ้น เปรียบเทียบขนาดของแรงที่เชือกกระทําตอมือที่ ภาพที่ 1.46 การแกวงวัตถุในแนวดิ่ง
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม ตําแหนงตํ่าสุดกับขอ 1. แลวบันทึกผล ที่มา : คลังภาพ อจท.
1. แรงดึงในเสนเชือกจะมีคาสูงสุดเมื่อจุกยางอยูที่ 4. ปฏิบัติซํ้าขอ 1. แตเปลี่ยนตําแหนงจับเชือกเพื่อแกวงจุกยางเปน 30 เซนติเมตร เปรียบเทียบขนาดของ
ตําแหนงตํ่าสุด และจะมีคาตํ่าสุดเมื่อจุกยางอยู แรงทีเ่ ชือกกระทําตอมือทีต่ าํ แหนงตํา่ สุดกับขอ 1. เมือ่ แกวงจุกยางใหเคลือ่ นทีด่ ว ยอัตราเร็วคงตัวคาเทากัน
แลวบันทึกผล
ที่ตําแหนงสูงสุด
5. ปฏิบตั ซิ าํ้ ขอ 3. แตเปลีย่ นจุกยางใหมขี นาดใหญขนึ้ (มวลเพิม่ ขึน้ ) เปรียบเทียบขนาดของแรงทีเ่ ชือกกระทํา
2. แรงดึงในเสนเชือกจะมีคา เพิม่ ขึน้ โดยขนาดของ ตอมือที่ตําแหนงตํ่าสุดกับขอ 1. เมื่อแกวงจุกยางใหเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วเทากัน แลวบันทึกผล
แรงดึงในเสนเชือกจะแปรผันตรงกับอัตราเร็วใน
การเคลื่อนที่ของจุกยาง ¤íÒ¶ÒÁ·ŒÒ¡Ԩ¡ÃÃÁ
3. ถารัศมีของการเคลือ่ นทีล่ ดลงจะสงผลใหแรงดึง 1. จากการปฏิบัติขอ 1. แรงดึงในเสนเชือกมีคาสูงสุดและตํ่าสุด เมื่อจุกยางอยูที่ตําแหนงใด
2. การเพิ่มอัตราเร็วในการเคลื่อนที่ของจุกยางในการปฏิบัติขอ 3. สงผลอยางไรตอแรงดึงในเสนเชือก
ในเสนเชือกมีขนาดเพิ่มขึ้น 3. การลดรัศมีของการเคลื่อนที่ของจุกยางในการปฏิบัติขอ 4. สงผลอยางไรตอแรงดึงในเสนเชือก
4. แรงดึงในเสนเชือกที่ตําแหนงตํ่าสุดจะแปรผัน 4. การเปลี่ยนจากจุกยางขนาดเล็กเปนจุกยางขนาดใหญในการปฏิบัติขอ 5. สงผลอยางไรตอแรงดึงใน
ตรงกับมวลของจุกยาง โดยถาจุกยางมีขนาด เสนเชือก
36
ใหญ ขึ้ น มวลเพิ่ ม ขึ้ น แรงดึ ง ในเส น เชื อ กที่
ตําแหนงตํ่าสุดก็จะเพิ่มขึ้นตาม
บันทึก กิจกรรม
T40
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
ÍÀÔ»ÃÒ¼ŷŒÒ¡Ԩ¡ÃÃÁ 3. ครูอธิบายเพิม่ เติมหลังทํากิจกรรมวา นอกจาก
การเคลื่ อ นที่ แ บบวงกลมที่ ไ ด ทํ า การศึ ก ษา
จากผลการปฏิบัติกิจกรรมจะไดวา แรงดึงในเสนเชือกจะมีคามากที่สุดเมื่อจุกยางอยูที่ตําแหนงตํ่าสุด
ของวงกลม และแรงดึงในเสนเชือกจะมีคานอยที่สุดเมื่อจุกยางอยูที่ตําแหนงสูงสุดของวงกลม เมื่อพิจารณา
มาแลวนั้น การเคลื่อนที่ของรถยนตหรือรถ
แรงที่กระทําตอจุกยางที่ตําแหนงตาง ๆ โดยกําหนดให แรงดึงในเสนเชือกที่ตําแหนงตํ่าสุดของวงกลม คือ จักรยานยนตบนถนนโคง ก็เปนการเคลื่อนที่
mv 2
Tbottom และแรงดึ งในเสนเชือกที่ตําแหนงสูงสุดของวงกลม คือ Ttop จะไดวา Tbottom = r + mg และ แบบวงกลมอีกเชนกัน โดยเปนการนําความรู
2
Ttop = mvr - mg ถามวลของจุกยางมีคาคงตัว แรงดึงในเสนเชือกที่ตําแหนงตํ่าสุดของวงกลมจะแปรผัน เรื่อง การเคลื่อนที่แบบวงกลมมาอธิบายได
ตรงกับอัตราเร็วในการเคลื่อนที่ แตจะแปรผกผันกับรัศมีของวงกลมที่จุกยางเคลื่อนที่ และถาอัตราเร็วในการ เชนกัน
เคลื่อนที่และรัศมีของวงกลมที่จุกยางเคลื่อนที่มีคาคงตัว แรงดึงในเสนเชือกที่ตําแหนงตํ่าสุดของวงกลมจะ 4. ครูแจกใบงาน เรื่อง การเคลื่อนที่แบบวงกลม
แปรผันตรงกับมวลของจุกยาง
แลวมอบหมายใหนาํ กลับไปศึกษาเปนการบาน
ขยายความเขาใจ
นอกจากนี้ เรายังสามารถประยุกตใชความรูเรื่องการเคลื่อนที่แบบวงกลมในกรณีอื่น ๆ อีก
เชน การเคลื่อนที่ของรถจักรยานยนตหรือรถยนตบนถนนหรือทางโคงในระนาบระดับ จะมีแรง 1. ครูนําอภิปรายสรุปเนื้อหาเรื่องที่สอนไปแลว
เสียดทาน (frictional force; f ) ที่พื้นกระทําตอลอรถไมใหรถไถลออกนอกถนนหรือหลุดโคง โดยเปด PowerPoint ควบคูไปดวย
ดังภาพที่ 1.47 (ก) โดยแรงเสียดทานจะมีทิศพุงเขาสูจุดศูนยกลางของทางโคง ทําหนาที่เปน 2. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนสอบถามเกีย่ วกับสิง่ ที่
แรงสูศ นู ยกลาง แตแรงเสียดทานอาจมีคา ไมมากพอทีจ่ ะทําใหเลีย้ วผานโคงไดอยางปลอดภัย ถาใช สงสัยหรือยังไมเขาใจเพิ่มเติม
ความเร็วมากเกินไปบนทางโคงจะตองระวังการใชความเร็วไมใหเกินความเร็วสูงสุดที่กําหนด 3. ครูใหนักเรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรื่อง การ
สําหรับรถจักรยานยนตอาจใชการเอียงตัวและรถไปจากแนวดิง่ เขาหาโคงทางดานในของถนนเพือ่ เคลื่อนที่แบบวงกลม และยกตัวอยางกิจกรรม
เพิ่มแรงสูศูนยกลาง ทําใหมีความปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้น ดังภาพที่ 1.47 (ข) สวนการเพิ่ม ในชีวิตประจําวันที่เกี่ยวของกับการเคลื่อนที่
ความปลอดภัยในการเลีย้ วโคงของรถยนตและรถจักรยานยนตใชการออกแบบถนนบริเวณทางโคง แบบวงกลม ลงในกระดาษ A4 พร อ มทั้ ง
ใหถนนเอียงโดยขอบถนนดานนอกสูงกวาขอบถนนดานใน เพราะขณะรถเลี้ยวผานถนนโคงเอียง ตกแตงใหสวยงาม
นอกจากมีองคประกอบของแรงเสียดทานที่เปนแรงสูศูนยกลางแลว ยังมีองคประกอบของแรง 4. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
แนวฉาก (N) ที่พื้นถนนกระทําตอรถที่มีทิศพุงเขาสูจุดศูนยกลางของทางโคงเปนแรงสูศูนยกลาง
ของตนเองหนาชั้นเรียน
เพิ่มเขามาดวย ในกรณีถนนโคงราบมีเพียงแรงเสียดทานเทานั้นที่เปนแรงสูศูนยกลาง
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาและทํ า แบบฝ ก หั ด จาก
N N cos θ = mg
Topic Question เรือ่ ง การเคลือ่ นทีแ่ บบวงกลม
จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึกประจําตัว
θ แลวนํามาสงครูทายชั่วโมง
f 6. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัด เรื่อง
f f 2
N sin θ = mvr การเคลื่ อ นที่ แ บบวงกลม จากแบบฝ ก หั ด
(ก) (ข)
วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 เปน
ภาพที่ 1.47 รถยนตและรถจักรยานยนตเคลื่อนที่เขาโคงบนถนนระดับ
ที่มา : คลังภาพ อจท. การบาน แลวมาสงครูในชั่วโมงถัดไป
áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè 37
T41
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นักเรียนและครูรว มกันสรุปความรูเ กีย่ วกับการ ความเร็วที่ใช้ในการเข้าโค้ง และมุมที่เอียงรถขณะเข้าโค้งราบจะขึ้นอยู่กับขนาดของแรง
เคลื่อนที่แบบวงกลม เพื่อใหนักเรียนทุกคนไดมี เสียดทานระหว่างล้อกับพืน้ ถนน ซึง่ ขนาดของแรงเสียดทานดังกล่าวจะขึน้ อยูก่ บั ขนาดสัมประสิทธิ์
ความเขาใจในเนื้อหาที่ไดศึกษามาแลวไปในทาง ความเสียดทานระหว่างล้อกับพื้นถนน ในการป้องกันรถลื่นไถลหรือเสียสมดุล โดยเฉพาะเมื่อมี
เดียวกัน และเปนความเขาใจที่ถูกตอง โดยครู ฝนตกท�าให้ถนนเปยก และสัมประสิทธิ์ความเสียดทานลดลง พื้นถนนมีแรงเสียดทานไม่มากพอ
ให นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู ล งในสมุ ด บั น ทึ ก หรือถนนลื่น รถอาจเกิดการลื่นไถลหรือไม่สามารถเลี้ยวผ่านโค้งไปได้ เป็นผลท�าให้เกิดอุบัติเหตุ
ประจําตัว บ่อยครั้ง จึงได้มีการออกแบบถนนให้เอียงในช่วงที่เป็นทางโค้ง โดยยกขอบถนนด้านนอกโค้งให้
สูงกว่าขอบด้านในโค้ง ดังภาพที่ 1.48 เพื่อช่วยลดหรือป้องกันอุบัติเหตุไม่ให้เกิดการลื่นไถลออก
ขัน้ ประเมิน นอกโค้งของรถ
ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน เรื่อง การ
เคลื่อนที่แบบวงกลม
2. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question
เรื่อง การเคลื่อนที่แบบวงกลม ในสมุดบันทึก
ประจําตัว
3. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง การเคลื่อนที่
แบบวงกลม จากแบบฝกหัด วิทยาศาสตร
กายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 ภาพที่ 1.48 ถนนเอียงในช่วงทางโค้ง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
4. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล Topic
และการทํางานกลุม ? Question
5. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
เนื้ อ หา เรื่ อ ง การเคลื่ อ นที่ แ บบวงกลม ที่ 1. ขนาดและทิศทางของความเร่งสูศ่ นู ย์กลางสัมพันธ์กบั ขนาดและทิศทางของความเร็วตามแนว
นักเรียนไดสรางขึ้นจากขั้นขยายความเขาใจ สัมผัสอย่างไร
เปนรายบุคคล 2. แรงสู่ศูนย์กลางในการเลี้ยวผ่านถนนโค้งลื่น (ไม่มีแรงเสียดทาน) คือแรงใด
3. ในการแกว่งวัตถุให้เคลื่อนที่เป็นวงกลมแนวดิ่ง แรงดึงในเส้นเชือกมีค่าสูงสุดเมื่อวัตถุอยู่ที่
ต�าแหน่งใด เพราะเหตุใด
4. การเพิ่มอัตราเร็วในการเคลื่อนที่แบบวงกลมรัศมีคงตัว ส่งผลอย่างไรต่อแรงสู่ศูนย์กลางและ
คาบการเคลื่อนที่
5. ถ้าแรงเสียดทานระหว่างล้อรถกับพื้นถนนมีค่าไม่มากพอจะเกิดอะไรขึ้นกับรถที่
เลี้ยวผ่านถนนโค้ง
38
3
ระดับคะแนน
2 1
3. แรงดึ ง ในเส น เชื อ กมี ค า สู ง สุ ด เมื่ อ วั ต ถุ อ ยู ที่ ตํ า แหน ง ตํ่ า สุ ด เพราะ
ที่ตําแหนงตํ่าสุดแรงดึงในเสนเชือกจะเทากับผลรวมของแรงเขาสู
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ 1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คะแนน จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
ระดับคุณภาพ 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
1
2
3
4
ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
ความถูกต้องของเนื้อหา
ความคิดสร้างสรรค์
ความเป็นระเบียบ
3. ผลงานมีความคิด
สร้างสรรค์
ผลงานแสดงออกถึง
ความคิดสร้างสรรค์
แปลกใหม่และเป็น
ระบบ
ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ
ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด
แปลกใหม่
ผลงานไม่แสดงแนวคิด
ใหม่
ศูนยกลางกับนํ้าหนัก
4. การเพิ่มอัตราเร็วในการเคลื่อนที่แบบวงกลมรัศมีคงตัว สงผลใหขนาด
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
รวม
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
ของแรงสูศูนยกลางเพิ่มขึ้น แตสงผลใหคาบการเคลื่อนที่ลดลง
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............../................./................
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
T42
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
5. ¡ÒÃà¤Å×è͹·ÕèẺÊÑè¹ Prior Knowledge 1. ครู แ ละนั ก เรี ย นสนทนาทบทวนความรู เ ดิ ม
การเคลื่อนที่ของสิ่งตาง ๆ อีกรูปแบบหนึ่งที่เราพบเห็นได ¤ÇÒÁà˧㹡ÒÃà¤Å×Íè ¹·Õè เรื่อง การเคลื่อนที่แบบวงกลม โดยครูเปด
ในชีวติ ประจําวัน เชน การแกวงของลูกตุม นาฬกา การแกวงของ ẺÊѹè ÁÕÅ¡Ñ É³Ð੾ÒÐ โอกาสใหนักเรียนไดแสดงความคิดเห็นอยาง
Í‹ҧäà อิสระ
ชิงชา การสั่นของวัตถุติดปลายสปริง การสั่นของสายกีตาร การ
เคลื่อนที่ของลูกสูบในกระบอกสูบ เปนตน เราเรียกการเคลื่อนที่ 2. ครูใหนักเรียนสังเกตและอธิบายการเคลื่อนที่
ลักษณะนี้วา การเคลื่อนที่แบบสั่น หรืออาจเรียกวา การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย (simple ของลูกตุม นาฬกา และการเคลือ่ นทีข่ องตุก ตา
harmonic motion) ซึ่งเปนการเคลื่อนที่กลับไปกลับมารอบตําแหนงสมดุลหรือตําแหนงที่แรงลัพธ ติดสปริง
ที่กระทําตอวัตถุเปนศูนยดวยความเรงที่มีทิศเขาหาตําแหนงสมดุลตลอดเวลา ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวัตถุ 3. ครูตั้งคําถามกระตุนความสนใจกับนักเรียน
อยูภ ายใตการกระทําของแรงดึงกลับทีม่ ขี นาดแปรผันตรงกับขนาดของการกระจัดและมีทศิ ตรงขาม เกี่ยวกับ “การกระจัดของลูกตุมนาฬกาและ
กับการกระจัดตลอดเวลา สปริ ง ในการเคลื่ อ นที่ แ บบสั่ น เป น อย า งไร”
(ทิ้งชวงใหนักเรียนคิด) แลวสุมถามนักเรียน
เปนรายบุคคล โดยจะยังไมเฉลยคําตอบวา
ถูกหรือผิด
4. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ
5. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
เรียนกับนักเรียนวา “ความเรงในการเคลื่อนที่
แบบสั่น มีลักษณะเฉพาะอยางไร”
1
(ก) การแกวงของชิงชา (ข) การแกวงของเครื่องเคาะจังหวะ
ภาพที่ 1.49 ตัวอยางลักษณะการเคลื่อนที่แบบกลับไปกลับมา
ที่มา : คลังภาพ อจท.
T43
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูใหนกั เรียนศึกษา เรือ่ ง การเคลือ่ นทีแ่ บบสัน่ 5.1 ¡ÒÃá¡Ç‹§¢Í§Çѵ¶ØµÔ´»ÅÒÂàª×Í¡
ในสวนของหัวขอ การแกวงของวัตถุติดปลาย ในสภาวะสมดุล วัตถุอยูน งิ่ เชือกจะวางตัวในแนวดิง่ ดังภาพที่ 1.50 (ก) เรียกวา แนวสมดุล
เชือก จากหนังสือเรียน เมื่อดึงวัตถุไปทางซายใหเชือกเอียงทํามุม θ กับแนวสมดุล แลวปลอย วัตถุจะแกวงจากตําแหนง
2. ครูแบงนักเรียนออกเปนกลุม กลุม ละประมาณ ทีป่ ลอยผานแนวสมดุลไปทางขวาเปนมุม θ แลวหยุด จากนัน้ แกวงกลับมาทางซายผานแนวสมดุล
6 คน โดยคละความสามารถของนักเรียนตาม ไปทางซายเปนมุม θ ไปหยุดที่ตําแหนงเดิมที่ปลอยอีกครั้งหนึ่ง ดังภาพที่ 1.50 (ข) เปนการ
ผลสัมฤทธิ์ (เกง ปานกลาง ออน) ใหอยูใน เคลื่อนที่ครบ 1 รอบ
กลุมเดียวกัน เพื่อรวมกันศึกษากิจกรรม การ
เคลื่อนที่แบบแกวง จากหนังสือเรียน โดยให θ θ θ θ
นักเรียนแตละกลุม กําหนดใหสมาชิกแตละคน
แนวสมดุล
T
แนวสมดุล
มีบทบาทหนาที่ของตนเอง
แอมพล ิจูด
3. ครูชี้แจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน ิจูด แอมพลิจูด แอมพ
ลิจูด แอมพล n θ θ
i
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกตอง จุดสมดุล จุดสมดุล ms
g mg cos θ
(ก) (ข) mg
ภาพที่ 1.50 การแกวงของวัตถุที่ผูกอยูที่ปลายเชือก และปลายเชือกอีกดานตรึงไวกับเพดาน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เมือ่ พิจารณาภาพที่ 1.50 พบวา แรงดึงกลับทีท่ าํ ใหวตั ถุแกวงกลับไปกลับมาผานแนวสมดุล
คือ องคประกอบของนํ้าหนัก หรือแรงโนมถวงที่กระทําตอวัตถุในแนวสัมผัสเสนทางการเคลื่อนที่
ของวัตถุ ดังแสดงในภาพที่ 1.50 (ข)
สังเกตวาในการเคลื่อนที่ของวัตถุครบ 1 รอบ วัตถุจะ Physics
เคลือ่ นทีผ่ า นตําแหนงสมดุล 2 ครัง้ เวลาทีใ่ ชในการแกวงกลับไป in real life
กลับมา 1 รอบ เรียกวา คาบ สวนจํานวนรอบของการแกวง เครื่ อ งเล น ในสวนสนุ ก ที่ มี
ใน 1 วินาที เรียกวา ความถี่ จุดตํ่าสุดของการแกวง เรียกวา ลั ก ษณะการเคลื่ อ นที่ ก ลั บ ไป
จุดสมดุล ซึ่งเปนจุดที่แรงลัพธเปนศูนย และการกระจัดจาก กลั บ มา หรื อ เรี ย กว า เป น การ
จุดสมดุลถึงจุดไกลสุดของการแกวงดานใดดานหนึ่ง หรือการ เคลื่ อ นที่ แ บบฮาร ม อนิ ก อย า ง
งาย เชน เครื่องเลนไวกิ้ง มีการ
กระจัดสูงสุด เรียกวา แอมพลิจดู (amplitude) ถาไมคดิ แรงตาน เคลื่อนที่แบบแกวงไปมา โดยใน
ของอากาศ และแรงเสียดทานทีจ่ ดุ แขวนเชือก วัตถุจะหยุดการ แตละรอบของการแกวงจะทํามุม
เคลื่อนที่ชั่วขณะที่ตําแหนงไกลสุดของการแกวงในแตละดาน กับแนวสมดุลตางกันไป จะทําให
หรือตําแหนงที่มีแอมพลิจูดสูงสุด มีแอมพลิจูดหรือการกระจัดใน
การแกวงแตละดานทีแ่ ตกตางกัน
คาบของการแกวงของวัตถุทผี่ กู จะขึน้ อยูก บั มุม แอมพลิจดู ซึ่งขึ้นอยูกับเจาหนาที่ผูควบคุม
มวลของวัตถุ และความยาวเชือกหรือไม อยางไร พิจารณาได เครือ่ งเลน เพือ่ ใหผเู ลนเกิดความ
จากการกิจกรรมการเคลื่อนที่แบบแกวง สนุกในระดับที่ตางกัน
40
T44
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
กิจกรรม การเคลื่อนที่แบบแกว่ง 4. ครูใหความรูเพิ่มเติมหรือเทคนิคเกี่ยวกับการ
ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
• การสังเกต จุดประสงค์ ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน
• การลงความเห็นจากข้อมูล 1. หาคาบการแกว่งจากการเคลื่อนที่แบบแกว่งของนอต 5. นักเรียนแตละกลุมรวมกันแลกเปลี่ยนความรู
จิตวิทยาศาสตร์ 2. วิเคราะห์คาบการแกว่งเมื่อความยาวเชือกคงตัว แต่มวลของนอต
• การท�างานร่วมกับผู้อื่น และวิเคราะหผลการปฏิบัติกิจกรรม จากนั้น
• ความมีเหตุผล เปลี่ยนแปลง
• ความอยากรู้อยากเห็น 3. วิเคราะห์คาบการแกว่งเมื่อมวลของนอตคงตัว แต่ความยาวของเชือก อภิปรายผลรวมกัน
เปลี่ยนแปลง 6. ครูเนนยํ้าใหนักเรียนตอบคําถามทายกิจกรรม
วัสดุอุปกรณ์ จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึกประจําตัว
1. เชือก 3. ครึ่งวงกลมวัดมุม 5. ขาตั้งพร้อมคาน เพือ่ นําสงครูเปนการตรวจสอบความเขาใจจาก
2. นอตโลหะ 4. นาฬิกาจับเวลา การปฏิบัติกิจกรรม
วิธีปฏิบัติ
1. จัดอุปกรณ์เตรียมการท�ากิจกรรม ดังภาพที่ 1.51 ดึงเชือกให้เอียงท�า
มุม 10 องศากับแนวดิง่ โดยใช้ครึง่ วงกลมวัดมุม ปล่อยให้นอตแกว่ง
พร้อมจับเวลาในการแกว่งครบ 10 รอบ บันทึกผล พร้อมค�านวณหา
คาบการแกว่ง
2. ปฏิบัติซ�้าข้อที่ 1. แต่เพิ่มมวลหรือจ�านวนของนอต โดยให้ความยาว
เชือกคงตัว เพื่อศึกษาว่ามวลมีผลต่อคาบหรือไม่
3. ปฏิบัติซ�้าข้อที่ 1. แต่เพิ่มความยาวเชือก โดยให้มวลของนอตคงตัว ภาพที่ 1.51 อุปกรณ์กิจกรรม
เพื่อศึกษาว่าความยาวเชือกมีผลต่อคาบหรือไม่ การเคลื่อนที่แบบแกว่ง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
1. เมื่อความยาวเชือกคงตัว แต่มวลของนอตมากขึ้นจะมีผลต่อคาบการแกว่งหรือไม่ อย่างไร
2. เมือ่ มวลของนอตคงตัว แต่ความยาวเชือกเปลี่ยนแปลงจะมีผลต่อคาบการแกว่งหรือไม่ อย่างไร
อภิปรำยผลท้ำยกิจกรรม
การแกว่งกลับไปกลับมาในระนาบดิง่ ของวัตถุทผี่ กู ติดกับปลายเชือกมุมในการแกว่งและมวลของวัตถุ มีผล
ต่อคาบในการแกว่งน้อยกว่าความยาวของเชือกมาก และกรณีทมี่ มุ ในการแกว่งเป็นมุมเล็ก ๆ การแกว่งกลับไป
กลับมาในระนาบดิง่ ของวัตถุทผี่ กู ติดกับปลายเชือกจะเป็นการเคลือ่ นทีแ่ บบฮาร์มอนิกอย่างง่าย เนือ่ งจากแรงที่
ท�าให้วตั ถุเคลือ่ นทีแ่ ละความเร่งในการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุมคี า่ แปรผันตรงกับขนาดการกระจัดและมีทศิ พุง่ เข้าหา แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
จุดสมดุล โดยคาบของการแกว่งเป็นมุมเล็ก ๆ นี้ไม่ขึ้นกับมวลของวัตถุแต่ขึ้นอยู่กับความยาวของเชือกเท่านั้น
เมือ่ เพิม่ ความยาวของเชือก คาบการแกว่งจะเพิม่ ขึน้ หรือแกว่งช้าลง โดยคาบของการแกว่งจะมีคา่ เป็นสองเท่า 1. มวลของนอตไมมีผลตอคาบการแกวง แมวา
ของคาบการเคลื่อนที่เดิม เมื่อเพิ่มความยาวเชือกเป็นสี่เท่าของความยาวเชือกเดิม จํานวนของนอต (มวล) จะเพิ่มขึ้นก็ตาม
2. ความยาวของเชื อ กมี ผ ลโดยตรงต อ คาบการ
แรงและการเคลื่อนที่ 41
แกวง เมื่อเชือกมีความยาวเพิ่มขึ้นจะสงผลให
คาบการแกวงมีคาเพิ่มขึ้นดวย
T45
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
1. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาหนาชัน้ เรียน จากกิจกรรมการเคลื่อนที่แบบแกวง พบวา คาบการแกวงของวัตถุที่ผูกอยูที่ปลายเชือก
เพื่อนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม ขึน้ อยูก บั ความยาวของเชือกทีผ่ กู วัตถุเทานัน้ โดยเฉพาะการแกวงเปนมุมนอย ๆ มวลของวัตถุและ
2. ครูสุมนักเรียนเพื่อถามคําถามที่เกี่ยวของกับ มุมในการแกวงจะไมมีผลตอคาบการแกวงของวัตถุเลย กรณีการแกวงเปนมุมนอย ๆ คาบ
กิจกรรม เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจหลังปฏิบตั ิ การแกวงของวัตถุที่ผูกอยูที่ปลายเชือกจะแปรผันตรงกับรากที่สองของ
กิจกรรม ความยาวเชือก ถาเชือกที่ผูกวัตถุยิ่งยาวคาบการแกวงยิ่งมีคามากหรือ
3. ครูและนักเรียนทุกคนรวมกันอภิปรายผลทาย ใชเวลาในการแกวงชา โดยวัตถุที่ผูกดวยเชือกยาว 1 เมตร จะมีคาบ
กิจกรรมและสรุปความรูรวมกัน การแกวงเปน 2 เทา ของคาบการแกวงของวัตถุที่ผูกดวยเชือกยาว 25
เซนติเมตร
ผลของความยาวเชือกที่มีตอคาบของการแกวงนี้นําไปประยุกตใช
ในการปรับเทียบการบอกเวลาของนาฬกาลูกตุม ดังภาพที่ 1.52 ได โดย
แทนความยาวเชือกดวยความยาวของกานลูกตุม (ระยะ
จากจุดแขวนที่ปลายบนถึงจุดกึ่งกลางลูกตุมที่ปลายลาง)
ถานาฬกาบอกเวลาชากวาเวลามาตรฐาน (เดินชา) ใหปรับ
กานลูกตุมใหสั้นลง แตถานาฬกาบอกเวลาเร็วกวาเวลา
มาตรฐาน (เดินเร็ว) ใหปรับกานลูกตุมใหยาวขึ้น
ภาพที่ 1.52 นาฬกาแบบลูกตุม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
Science Focus
¹Ñ¡»ÃдÔÉ°¹ÒÌ¡Ò
เมื่อป พ.ศ. 2143 นักวิทยาศาสตรและนักประดิษฐ ไดพยายามที่จะสราง
นาฬกาทีม่ คี วามเทีย่ งตรงสูง แตปรากฏวาไมมใี ครประดิษฐได จนกระทัง่ คริสเตียน
ฮอยเกนส (Christiaan Huygens) นักฟสกิ สชาวดัตช เปนคนแรกทีป่ ระสบความ
สําเร็จ โดยเขาไดคนพบวา คาบการแกวงของลูกตุมนาฬกา ขึ้นอยูกับความยาว
ของเสนเชือกที่แขวนลูกตุมนาฬกาเทานั้น ไมขึ้นอยูกับมวลของลูกตุม
มนุษยเริม่ มีการใชนาฬกาแบบลูกตุม มาตัง้ แตป พ.ศ. 2202 ซึง่ ในขณะนัน้
ถือวามีความเที่ยงตรงสูงมาก โดยชิ้นสวนสําคัญของนาฬกาแบบลูกตุม มีดังนี้
ภาพที่ 1.53 คริสเตียน
• หนาปดมีเข็มชั่วโมง นาที และวินาที ฮอยเกนส
• มีตุมนํ้าหนักจํานวนหนึ่งหรือมากกวา (ถาเปนนาฬกาที่ทันสมัยขึ้นมา ที่มา : คลังภาพ อจท.
จะใชสปริงขดเปนวงแทน)
• ลูกตุมที่แกวงไปมา ซึ่งการแกวงทั่ว ๆ ไป คือ 1 ครั้งตอวินาที หรือบางรุนก็แกวง 2 ครั้งตอ
วินาที สวนนาฬการุนที่เกามากจะแกวง 1 ครั้งตอ 2 วินาที
42
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5.2 การสั่นของวัตถุติดปลายสปริง 1. ครูใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนอยางอิสระ แลว
นอกจากการเคลื่อนที่กลับไปกลับมาของวัตถุที่ผูกติดกับปลายเชือกแล้ว ยังมีการเคลื่อนที่ ร ว มกั น ศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ การสั่ น ของวั ต ถุ ติ ด
กลับไปกลับมาของวัตถุที่ติดกับปลายสปริง เนื่องจากขณะที่วัตถุยึดติดปลายสปริง แรงในสปริง ปลายสปริง
ที่กระท�าต่อวัตถุจะมีขนาดแปรผันตรงกับระยะยืดหรือหดของสปริง หรือมีค่าแปรผันตรงกับการ 2. ครูมอบหมายใหแตละคูพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหา
กระจัดของวัตถุที่ยึดติดปลายสปริง และมีทิศพุ่งเข้าสู่จุดสมดุลตลอดเวลา ที่กําลังศึกษา แลวเขียนสรุปลงในสมุดบันทึก
พิจารณาสปริงทีแ่ ขวนไว้ในแนวดิง่ ดังภาพที่ 1.54 เมือ่ น�าวัตถุมายึดไว้ทปี่ ลายล่างของสปริง ประจําตัว
แล้วใช้มอื ประคองวัตถุและลดระดับวัตถุลงมาช้า ๆ สปริงจะยืดออกจนเกิดสมดุลระหว่างแรงในสปริง
กับน�้าหนักของวัตถุ สปริงจะไม่ยืดอีกแม้ว่าไม่ได้ใช้มือประคองวัตถุไว้ วัตถุจะหยุดนิ่งที่ต�าแหน่งนี้
ซึ่งเป็นต�าแหน่งสมดุลของการเคลื่อนที่ จากนั้นกดวัตถุให้สปริงยืดออกแล้วปล่อย วัตถุจะเคลื่อนที่
ขึ้นไปในแนวดิ่งผ่านต�าแหน่งสมดุลไปหยุดที่ต�าแหน่งซึ่งอยู่สูงจากต�าแหน่งสมดุลเป็นระยะเท่ากับ
ระยะทีก่ ดสปริงให้ยดื ออก จากนัน้ จะเคลือ่ นทีล่ งมาในแนวดิง่ ผ่านต�าแหน่งสมดุลไปหยุดทีต่ �าแหน่ง
ซึง่ อยูต่ า�่ กว่าต�าแหน่งสมดุลเป็นระยะเท่ากับระยะทีก่ ดสปริงให้ยดื ออก ระยะไกลสุดของการเคลือ่ นที่
ซึ่งวัดจากต�าแหน่งสมดุล เรียกว่า แอมพลิจูด และช่วงเวลาที่วัตถุใช้ในการเคลื่อนที่จากต�าแหน่ง
ต�า่ สุดผ่านต�าแหน่งสมดุลขึน้ ไปถึงต�าแหน่งสูงสุด แล้วเคลือ่ นทีก่ ลับลงมาผ่านต�าแหน่งสมดุลไปถึง
ต�าแหน่งต�่าสุด (ผ่านต�าแหน่งสมดุล 2 ครั้ง) เรียกว่า คาบ
ความยาวปกติ
ของสปริง
ลดระดับลงมาช้า ๆ แอมพลิจูด
ต�าแหน่งสมดุล
กดวัตถุลงมาแล้วปล่อย แอมพลิจูด
ภาพที่ 1.54 การเคลื่อนที่ของวัตถุที่ติดกับปลายสปริงในแนวดิ่ง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
Science Focus
กฎของฮุก
โรเบิรต์ ฮุก (Robert Hooke) (พ.ศ. 2178-2246) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้คน้ พบกฎทีว่ า่
ด้วยเรื่องความยืดหยุ่นและแรงเครียดในสปริง กล่าวว่า “เมื่อออกแรงภายนอกยืดหรือกดสปริงไปจาก
แนวสมดุลภายใต้ขอบเขตของการยืดหยุ่น สปริงจะมีแรงดึงกลับ (restoring force) เพื่อดึงสปริงเข้าสู่
จุดสมดุลเหมือนเดิม ซึง่ แรงนีจ้ ะแปรผันตรงกับการกระจัดของสปริงจากต�าแหน่งสมดุลนัน้ ” ซึง่ เรียกกฎนีว้ า่
กฎของฮุก (Hooke’s Law)
แรงและการเคลื่อนที่ 43
T47
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
1. ครูสุมนักเรียนออกมาหนาชั้นเรียน จากนั้นครู วัตถุที่ยึดติดที่ปลายข้างหนึ่งของสปริงที่วางตัวในแนวระดับและตรึงปลายอีกข้างหนึ่งไว้กับ
ใหนักเรียนอภิปรายผลการศึกษาของคูตนเอง ก�าแพง โดยวัตถุวางอยู่บนพื้นผิวลื่น (ไม่มีความเสียดทาน) เมื่อดึงวัตถุให้สปริงยืดออกจากความ
ให เ พื่ อ นในชั้ น เรี ย นฟ ง โดยครู อ าจอธิ บ าย ยาวปกติแล้วปล่อยให้เคลื่อนที่ วัตถุจะไถลกลับไปกลับมารอบต�าแหน่งสมดุล (ต�าแหน่งที่สปริงอยู่
เพิ่มเติมจากสิ่งที่นักเรียนไดอภิปราย ที่ความยาวปกติ) ดังภาพที่ 1.55 ภายใต้การกระท�าของแรงดึงกลับหรือแรงในสปริง Fs = kx เมื่อ
2. ครู แ จกใบงาน เรื่ อ ง การเคลื่ อ นที่ แ บบสั่ น k แทนค่าคงตัวของสปริง มีหน่วยเป็น นิวตันต่อเมตร (N/m) และ x แทนการกระจัดของสปริงที่
จากนั้ น มอบหมายให นั ก เรี ย นศึ ก ษา แล ว ยืดหรือหดไปจากต�าแหน่งสมดุล ซึง่ แสดงว่า ขนาดของแรงดึงกลับแปรผันตรงกับระยะยืดหรือหด
รวบรวมสงครูทายชี่วโมง ของสปริง หรือขนาดของการกระจัด
ต�าแหน่งสมดุล
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาและทํ า แบบฝ ก หั ด จาก
Topic Question เรื่อง การเคลื่อนที่แบบสั่น
จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึกประจําตัว
แลวนํามาสงครูทายชั่วโมง ดึงออกมา แล้วปล่อย
Fs
4. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัด เรื่อง
การเคลื่ อ นที่ แ บบสั่ น จากแบบฝ ก หั ด
วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 เปน
แอมพลิจูด แอมพลิจูด
การบาน แลวมาสงครูในชั่วโมงถัดไป
Fs
วัตถุจะเคลื่อนที่กลับไป
กลับมารอบต�าแหน่งสมดุล
ขอสอบเนน การคิด
รถทดลองมวล 0.50 กิโลกรัม ติดอยูก บั ปลายสปริงขางหนึง่ โดยสปริงอีกขางหนึง่ ติดอยูก บั ผนัง ดังภาพ เมือ่ ออกแรงขนาด
10 นิวตัน ในทิศขนานกับพื้นระดับ ทําใหสปริงยืดออก 20 เซนติเมตร จากนั้นปลอยรถทดลองจะเคลื่อนที่กลับไปกลับมาบน
พื้นระดับลื่น คาบการสั่นของรถทดลองคันนี้เทากับเทาใด
0.50 kg (วิเคราะหคําตอบ หาคา k จากสมการ Fs = kx
F = 10 N 10 = k(0.20)
10 = 50 N/m
k = 0.20
จากสมการ T = 2 π mk
1. 0.43 วินาที
2. 0.58 วินาที T = 2 π 0.50 50
3. 0.63 วินาที T = 2 π 0.01
4. 1.35 วินาที T = 2 π(0.1)
5. 2.00 วินาที T = 0.63 s
จะไดวา คาบการสัน่ ของรถทดลองคันนีเ้ ทากับ 0.63 วินาที ดังนัน้ ตอบขอ 3.)
T48
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
การเคลื่อนที่ของวัตถุที่ยึดติดกับปลายสปริงน�าไปใช้ประโยชน์ในระบบกันสะเทือนของ 1. ครูนําอภิปรายสรุปเนื้อหาเรื่องที่สอนไปแลว
ยานพาหนะ เช่น รถจักรยานยนต์ รถยนต์ เป็นต้น โดยท�างานร่วมกับอุปกรณ์ทเี่ รียกกันว่า โช้กอัป โดยเปด PowerPoint ควบคูไปดวย
(shock absorber) ซึง่ หน้าทีห่ ลักของระบบกันสะเทือน คือ ลดการสัน่ สะเทือนทีเ่ กิดจากการเคลือ่ นที่ 2. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนสอบถามเกีย่ วกับสิง่ ที่
ของล้อบนผิวถนนทีข่ รุขระ โดยขดลวดสปริงซึง่ อยูร่ ะหว่างล้อกับตัวรถท�าหน้าทีร่ บั น�า้ หนักและแรง สงสัยหรือยังไมเขาใจเพิ่มเติม
กระแทก การยุบและยืดตัวของขดลวดสปริงขณะรถเคลือ่ นทีบ่ นผิวถนนขรุขระท�าให้ลอ้ รถเคลือ่ นที่ 3. ครูใหนักเรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรื่อง การ
ขึ้นลงในแนวดิ่งได้ซึ่งส่งผลให้การสั่นของตัวรถลดลง เนื่องจากการสั่นของล้อส่งถ่ายไปยังตัวรถ เคลื่อนที่แบบสั่น และยกตัวอยางกิจกรรมใน
น้อยกว่าที่ล้อสั่นจริง ท�าให้ผู้โดยสารและสัมภาระได้รับแรงสะเทือนจากล้อน้อยลง แต่รถอาจสั่น
ชีวิตประจําวันที่เกี่ยวของกับการเคลื่อนที่แบบ
ขึ้นลงตามสมบัติของสปริง ท�าให้รถเคลื่อนที่ไม่นุ่มนวล ซึ่งแก้ไขได้โดยการติดตั้งโช้กอัปเข้ากับ
สั่น ลงในกระดาษ A4 พรอมทั้งตกแตงให
ขดลวดสปริง
โช้กอัปเป็นอุปกรณ์ไฮดรอลิกที่ใช้ดูดซับ
จุดยึดบน สวยงาม
พลังงานการสั่นของสปริง โดยเปลี่ยนพลังงาน 4. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
การสั่นสะเทือนเป็นพลังงานความร้อน โช้กอัป ก้านลูกสูบ ของตนเองหนาชั้นเรียน
ช่วยรองรับแรงกระแทก ลดแรงสั่นสะเทือนของ น�้ามัน
รถ และหน่วงการเคลื่อนที่ขึ้นลงของตัวรถ โดย กระบอกสูบอันใน
ควบคุมการอัดขยาย หรือการสัน่ ของสปริง หรือ
ท่อความดัน
แหนบ เพื่อหน่วงไม่ให้เกิดการสั่นต่อเนื่องนาน
เกินไป ท�าให้การเด้งขึ้นลงหรือการสั่นของตัว วาล์ว
รถและล้อลดน้อยลง รถจึงเคลื่อนที่ได้นุ่มนวล จุดยึดล่าง
ขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้รถทรงตัวดี ลดการ ช่วงขยาย ช่วงอัด
โคลงเคลงของตัวรถ ลดการสึกหรอของยาง ภาพที่ 1.56 ส่วนประกอบและการท�างานของระบบกัน
ระบบรองรับและระบบบังคับเลี้ยว สะเทือน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
Topic
? Question
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. แรงดึงกลับที่ท�าให้เกิดการเคลื่อนที่แบบสั่นมีลักษณะเฉพาะอย่างไร
2. จงเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของความเร็วกับความเร่งในการเคลื่อนที่แบบสั่น
3. จงระบุต�าแหน่งสมดุลในการแกว่งของวัตถุที่ผูกอยู่ที่ปลายเชือกและต�าแหน่งสมดุลในการสั่น
ของวัตถุที่ยึดอยู่ที่ปลายสปริง
4. คาบการแกว่งของวัตถุที่ผูกอยู่ที่ปลายเชือกเมื่อแกว่งเป็นมุมเล็ก ๆ ขึ้นอยู่กับสิ่งใด อย่างไร
5. คาบการแกว่งของวัตถุที่ยึดอยู่ที่ปลายสปริงขึ้นอยู่กับสิ่งใด จงอธิบาย
แรงและการเคลื่อนที่ 45
T49
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
5. ครูใหนกั เรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเอง Summary
ดวยกรอบ Self Check เรื่อง แรงและการ áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè
เคลื่อนที่ จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึก
ประจําตัว
6. ครูมอบหมายใหนักเรียนอธิบายลักษณะการ ¡ÒÃà¤Å×è͹·Õèá¹ÇµÃ§
เคลื่อนที่แบบสั่นและทําแบบฝกหัดจาก Unit การเคลื่อนที่ของวัตถุ เปนการเปลี่ยนตําแหนงของวัตถุเมื่อเทียบกับตําแหนงอางอิงในชวงเวลาที่สังเกต
Question หนวยการเรียนรูที่ 1 แรงและการ มีปริมาณที่เกี่ยวของ คือ ระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว และความเรง โดยระยะทางและอัตราเร็ว
เคลื่อนที่ จากหนังสือเรียน โดยทําลงในสมุด เปนปริมาณสเกลาร สวนการกระจัด ความเร็ว และความเรง เปนปริมาณเวกเตอร
การเคลื่อนที่แนวตรงอาจเปนการเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัว (ความเรงเปนศูนย) หรือเปนการเคลื่อนที่
บันทึกประจําตัวเปนการบาน แลวรวบรวมสง ดวยความเรง โดยความเรงในการเคลื่อนที่แนวตรงมีทั้งความเรงคงตัวและความเรงไมคงตัว การเคลื่อนที่
ครูเพื่อตรวจสอบและใหคะแนน ดวยความเร็วคงตัวนี้มีเฉพาะการเคลื่อนที่แนวตรงเทานั้น การเคลื่อนที่รูปแบบอื่นลวนเปนการเคลื่อนที่แบบ
7. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อ มีความเรงทั้งสิ้น
ตรวจสอบความเขาใจหลังเรียนของนักเรียน áçáÅС®¡ÒÃà¤Å×è͹·Õè¢Í§¹Ôǵѹ
แรง เปนการกระทําของวัตถุหนึ่งตออีกวัตถุหนึ่งซึ่งสงผลใหวัตถุนั้นเปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนที่ แรง
ขัน้ สรุป เปนปริมาณเวกเตอร เมือ่ มีแรงสองแรงหรือมากกวามากระทําตอวัตถุหนึง่ การหาแรงลัพธทกี่ ระทําตอวัตถุนนั้
ตรวจสอบผล ตองใชวิธีรวมแรงแบบเวกเตอร ซึ่งมี 2 วิธี คือ การเขียนแผนภาพและการคํานวณ
กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน เปนกฎที่ใชอธิบายผลของแรงตอสภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุที่อธิบายได
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ ครอบคลุมและเขาใจงาย มีใจความ ดังนี้
การเคลื่อนที่แบบสั่น เพื่อใหนักเรียนทุกคนไดมี ขอที่หนึ่ง : ในกรอบอางอิงเฉื่อย ถาไมมีแรงภายนอกหรือแรงใด ๆ กระทําตอวัตถุ วัตถุจะรักษาหรือคงสภาพ
ความเขาใจในเนื้อหาที่ไดศึกษามาแลวไปในทาง การเคลื่อนที่เดิมไว คือ หยุดนิ่งหรือเคลื่อนที่ตอไปในแนวเสนตรงดวยความเร็วคงตัว
เดียวกัน และเปนความเขาใจที่ถูกตอง โดยครู ขอที่สอง : เมือ่ แรงลัพธทกี่ ระทําตอวัตถุไมเปนศูนย วัตถุจะเคลือ่ นทีด่ ว ยความเรงของวัตถุแปรผันตรงกับแรงลัพธ
ที่มากระทําตอวัตถุ แตจะแปรผกผันกับมวลของวัตถุนั้น
ให นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู ล งในสมุ ด บั น ทึ ก
ขอที่สาม : เมื่อมีแรงกระทําระหวางวัตถุสองวัตถุ แรงที่วัตถุทั้งสองกระทําตอกันจะมีขนาดเทากันแตทิศทาง
ประจําตัว ตรงขามกัน กลาวคือ ทุก ๆ แรงกิริยาจะมีแรงปฏิกิริยาซึ่งมีขนาดเทากัน แตมีทิศตรงขามกันเสมอ
¡ÒÃà¤Å×è͹·ÕèẺâ¾Ãਡä·Å
การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลเปนผลรวมของการเคลื่อนที่ในแนว 86
86
ระดับดวยความเร็วคงตัวกับการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งดวยความเรงคงตัว
(เทากับความเรงโนมถวง) เกิดขึน้ เมือ่ วัตถุเคลือ่ นทีอ่ อกไปในอากาศ โดย
ความเร็วตนในการเคลื่อนที่มีทิศทางเอียงทํามุมกับแนวระดับ โดยความ
สูงที่วัตถุขึ้นไปถึงและระยะตกของวัตถุขึ้นอยูกับขนาดและทิศทางของ ภาพที่ 1.57 การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล
ความเร็วตนหรือมุมยิง ในกรณีที่ขนาดความเร็วตนมีคาคงตัว ที่มา : คลังภาพ อจท.
46
T50
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
การเคลื่อนที่แººวงกลÁ 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
การเคลื่อนที่แบบวงกลมเป็นการเคลื่อนที่แบบมีความเร่ง โดย เพื่ อ ตรวจสอบความเข า ใจหลั ง เรี ย นของ
ความเร่งมีทิศพุ่งเข้าหาจุดศูนย์กลางของวงกลมตลอดเวลา เรียกว่า นักเรียน
ความเร่งสู่ศูนย์กลาง โดยเป็นผลจากการกระท�าของแรงภายนอก ซึ่งมี 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน เรื่อง การ
ทิศพุง่ เข้าหาจุดศูนย์กลางของวงกลมการเคลือ่ นทีเ่ สมอ วัตถุจะเคลือ่ นที่
เป็นวงกลมได้ต้องมีแรงสู่ศูนย์กลางที่มีขนาดพอเหมาะกระท�าต่อวัตถุ เคลื่อนที่แบบสั่น
เท่านั้น แรงสู่ศูนย์กลางไม่ใช่แรงพิเศษแต่เป็นแรงทั่วไปที่กระท�าต่อวัตถุ 3. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question เรือ่ ง
ในทิศพุง่ เข้าสูจ่ ดุ ศูนย์กลางของวงกลมการเคลือ่ นที่ โดยอาจเป็นแรงเพียง การเคลื่อนที่แบบสั่น ในสมุดบันทึกประจําตัว
แรงเดียวหรือเป็นแรงลัพธ์ของแรงหลายแรงทีม่ ที ศิ พุง่ เข้าสูจ่ ดุ ศูนย์กลาง ภาพที่ 1.58 ชิงช้าสวรรค์
ของวงกลมการเคลื่อนที่ ที่มา : คลังภาพ อจท. 4. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Unit Question หนวย
การเรียนรูที่ 1 แรงและการเคลื่อนที่ ในสมุด
การเคลื่อนที่แººสั่น บันทึกประจําตัว
การเคลื่อนที่แบบสั่นเป็นการเคลื่อนที่กลับไปกลับมารอบต�าแหน่งสมดุล ด้วยความเร่งที่มีทิศพุ่งเข้าหา
ต�าแหน่งสมดุลตลอดเวลา ความเร่งในการเคลื่อนที่แบบสั่นเป็นความเร่งไม่คงตัว มีค่าสูงสุดที่ต�าแหน่งไกลสุด 5. ครูตรวจสอบผลการตรวจสอบความเขาใจของ
ของการสัน่ และมีคา่ เป็นศูนย์ทตี่ า� แหน่งสมดุล เนือ่ งจากการกระจัดของวัตถุทเี่ คลือ่ นทีแ่ บบสัน่ มีทศิ พุง่ ออกจาก ตนเอง Self Check จากหนังสือเรียน ในสมุด
จุดสมดุลตลอดเวลา ความเร่งในการเคลื่อนที่แบบสั่นจึงมีทิศตรงข้ามกับการกระจัดตลอดเวลา ส่งผลให้ขนาด บันทึกประจําตัว
ของความเร็วในการเคลือ่ นทีแ่ บบสัน่ ของวัตถุเปลีย่ นแปลงในลักษณะตรงข้ามกับความเร่ง กล่าวคือ ขนาดของ
ความเร็วมีค่าสูงสุดที่ต�าแหน่งสมดุลและเป็นศูนย์ที่ต�าแหน่งไกลสุดของการสั่น 6. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง การเคลื่อนที่
แบบสัน่ จากแบบฝกหัด วิทยาศาสตรกายภาพ
Self Check 2 (ฟสิกส) ม.5
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด 7. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้ ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
และการทํางานกลุม
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
8. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป
1. ถ้าความเร็วของรถยนต์คันหนึ่งที่ก�าลังเคลื่อนที่ในแนวตรงเปลี่ยนจาก 1.1
0 เป็น 20 เมตรต่อวินาที ในช่วง 5 วินาทีแรก และมีความเร็วเป็น 36 เนื้อหา เรื่อง การเคลื่อนที่แบบสั่น ที่นักเรียน
เมตรต่อวินาที ในวินาทีที่ 9 แสดงว่ารถยนต์คันนี้เคลื่อนที่ด้วยความเร่ง ไดสรางขึ้นจากขั้นขยายความเขาใจเปนราย
(เฉลี่ย) คงตัว บุคคล
2.1
มุ ด
2. การสลับล�าดับแรงย่อยที่น�ามารวมกันในการหาแรงลัพธ์ด้วยวิธีเขียน
นส
2.2
จะท�าให้วัตถุที่มีมวล 2m เคลื่อนที่ด้วยความเร่ง 2a
4. แรงกิรยิ าและแรงปฏิกริ ยิ าเป็นแรงคูก่ นั โดยแรงปฏิกริ ยิ าจะเกิดหลังแรง 2.2
ทล์ กิริยาเสมอ
5. ความเร่งในการเคลือ่ นทีแ่ บบวงกลมจะมีทศิ ตัง้ ฉากกับความเร็วตลอดเวลา 4. แนวตอบ Self Check
แรงและการเคลื่อนที่ 47 1. ผิด 2. ถูก 3. ผิด
4. ผิด 5. ถูก
1. ผลงานตรงกับ
4
ผลงานสอดคล้องกับ
3
ผลงานสอดคล้องกับ
ระดับคะแนน
2
ผลงานสอดคล้องกับ
1
ผลงานไม่สอดคล้อง
คะแนน
เปนคะแนนพิเศษ
จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
ระดับคุณภาพ 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
2 ความถูกต้องของเนื้อหา สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
3 ความคิดสร้างสรรค์ แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
4 ความเป็นระเบียบ ระบบ
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
รวม
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
T51
นํา สอน สรุป ประเมิน
T52
นํา สอน สรุป ประเมิน
5. ก. ขอที่สอง
ข. ขอที่สาม
6. จงระบุทิศทางของความเร่งและผลของความเร่งต่อความเร็วของวัตถุที่เคลื่อนที่แบบ ค. ขอที่สาม
โพรเจกไทล์ ง. ขอที่สาม
7. นักกีฬากอล์ฟตีลูกกอล์ฟ 3 ลูก ด้วยความเร็วต้นขนาดเท่ากันไปตกบนพื้นที่ต�าแหน่ง ➊ ➋ จ. ขอที่สอง
และ ➌ ดังภาพที่ 1.60 ฉ. ขอที่หนึ่ง
6. ความเร ง มี ทิ ศ พุ ง ลงตามทิ ศ ของความเร ง
เนือ่ งจากแรงโนมถวงของโลก สงผลใหความเร็ว
ในแนวดิ่งของวัตถุเปลี่ยนไป วินาทีละ 9.8 m/s
➊ ➋ ➌ แตความเร็วในแนวระดับมีขนาดเทากับองค-
ภาพที่ 1.60 นักกีฬากอล์ฟตีลูกกอล์ฟไปที่ต�าแหน่งต่างๆ ประกอบของความเร็วตนในแนวระดับตลอด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ผลสรุปต่อไปนี้ถูกหรือผิด เพราะเหตุใด การเคลื่อนที่
ก. ความเร็วในแนวระดับเท่ากัน 7. ก. ผิด เพราะมุมทีค่ วามเร็วตนทํากับแนวระดับ
ข. ความเร่งในแนวระดับเท่ากันและไม่เท่ากับศูนย์ ในการตีลูกกอลฟแตละครั้งมีขนาดไมเทา
ค. ที่จุดสูงสุดความเร็วของลูกกอล์ฟแต่ละลูกมีค่าเป็นศูนย์ กัน ขณะที่ความเร็วตนมีขนาดเทากัน องค-
8. ส�าหรับการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ มุมยิงที่มีค่าเท่ากับ 35 องศา จะให้ระยะตกเท่ากับมุมยิง ประกอบของความเร็วตนในแนวระดับใน
ค่าเท่าใด เมือ่ วัตถุเคลือ่ นทีด่ ว้ ยความเร็วต้นเท่ากัน และถ้าเวลาทีว่ ตั ถุเคลือ่ นทีจ่ ากพืน้ ดินขึน้ ไป การตีลูกกอลฟแตละครั้งจึงมีขนาดไมเทา
ถึงต�าแหน่งสูงสุดเท่ากับ 3 วินาที วัตถุจะลอยอยู่ในอากาศนานเท่าใด (เวลานับจากเคลื่อนที่ กัน
ขึ้นไปจากพื้นดินจนตกกระทบพื้นดิน) ข. ผิด เพราะความเร็วในแนวระดับมีขนาด
9. จงระบุทิศทางของความเร่งและผลของความเร่งต่อความเร็วของวัตถุที่เคลื่อนที่แบบวงกลม คงตัว ความเรงในแนวระดับจึงเปนศูนย
ค. ผิด เพราะที่จุดสูงสุดความเร็วของวัตถุมี
10. เมื่อแกว่งวัตถุที่ผูกอยู่ที่ปลายเชือกให้แกว่งเป็นวงกลมในแนวดิ่ง ถ้าเพิ่มความเร็วในการแกว่ง ขนาดเทากับองคประกอบของความเร็วตน
ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เชือกจะขาดเมื่อวัตถุอยู่ที่ต�าแหน่งใด เพราะเหตุใด และในทันทีที่เชือกขาด
วัตถุจะเคลื่อนที่ไปในแนวใด เพราะเหตุใด ในแนวระดับ ซึ่งไมเปนศูนย
8. มุมยิง 35 องศา จะใหระยะตกเทากับมุมยิง 55
11. จงระบุทิศทางของความเร่งและผลของความเร่งต่อความเร็วของวัตถุที่เคลื่อนที่แบบสั่น
องศา และวัตถุจะลอยอยูใ นอากาศนาน 6 วินาที
12. ส�าหรับการสั่นของวัตถุที่ยึดอยู่ที่ปลายสปริง เปนสองเทาของเวลาทีว่ ตั ถุเริม่ เคลือ่ นทีไ่ ปถึงจุด
ก. แรงดึงกลับที่ท�าให้วัตถุสั่นไปมาคือแรงใด สูงสุด
ข. ต�าแหน่งสมดุลของการสั่นอยู่ที่ใด
ค. ความเร็วและความเร่งของวัตถุมีค่าสูงสุดและต�่าสุดที่ต�าแหน่งใด 9. ความเรงมีทิศพุงเขาสูศูนยกลางของวงกลม
ง. คาบการสั่นขึ้นอยู่กับอะไรและอย่างไร ต้องมีข้อจ�ากัดเกี่ยวกับแอมพลิจูดอย่างการแกว่ง ตลอดเวลา จึงมีทศิ ตัง้ ฉากกับความเร็วทุกจุดบน
ของวัตถุที่ผูกอยู่ที่ปลายเชือกหรือไม่ เสนทางการเคลื่อนที่ ความเรงในการเคลื่อนที่
แบบวงกลมไมสงผลตอขนาดของความเร็ว แต
แรงและการเคลื่อนที่ 49
สงผลใหทิศของความเร็วเปลี่ยนแปลงตลอด
เวลาหรือทุกจุดบนเสนทางการเคลื่อนที่
T53
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบก่อนเรียน 1. อธิบายแรงที่เกี่ยวข้อง แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
แรงจากสนาม - หนังสือเรียน รายวิชา กับสนามโน้มถ่วงที่มี หาความรู้ - ส ังเกตการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
โน้มถ่วง พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ต่อการเคลื่อนที่ของ (5Es เกีย่ วกับแรงจากสนาม - ทักษะการสังเกต - มุ่งมั่นใน
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) วัตถุได้ (K) Instructional โน้มถ่วง - ทักษะการท�ำงาน การท�ำงาน
5 ม.5
- แบบฝึกหัด รายวิชา
2. ทดลองและอธิบาย
การเคลือ่ นที่ของวัตถุ
Model) - สังเกตการปฏิบัติการ
จากการท�ำกิจกรรม
ร่วมกัน
- ทักษะการน�ำความรู้
ชั่วโมง พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ในสนามโน้มถ่วงได้ - ตรวจแบบบันทึกกิจกรรม ไปใช้
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) (P) - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง - ทักษะการทดลอง
ม.5 3. มีความสนใจใฝ่รู้หรือ แรงจากสนามโน้มถ่วง
- ใบงาน อยากรู้อยากเห็น และ - ตรวจใบงาน เรื่อง แรงจาก
- PowerPoint ท�ำงานร่วมกับผู้อื่น สนามโน้มถ่วง
- QR Code อย่างสร้างสรรค์ (A) - ตรวจแบบฝึกหัด
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
Twig Topic Question
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียน รายวิชา 1. อ ธิบายลักษณะของ แบบสืบเสาะ - สังเกตการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
แรงจากสนาม พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ สนามไฟฟ้าได้ (K) หาความรู้ เกีย่ วกับแรงจากสนามไฟฟ้า - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
ไฟฟ้า กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) 2. อธิบายความสัมพันธ์ (5Es - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง - ทักษะการสังเกต - มุ่งมั่นใน
ม.5 ระหว่างสนามไฟฟ้า Instructional แรงจากสนามไฟฟ้า - ทักษะการน�ำความรู้ การท�ำงาน
2 - แบบฝึกหัด รายวิชา
พื้นฐาน วิทยาศาสตร์
กับประจุไฟฟ้าชนิด
ต่าง ๆ ได้ (K)
Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง แรงจาก
สนามไฟฟ้า
ไปใช้
ชั่วโมง กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) 3. ทดลองและอธิบาย - ตรวจแบบฝึกหัด
ม.5 ผลของสนามไฟฟ้า - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
- ใบงาน ต่ออนุภาคที่มีประจุ Topic Question
- PowerPoint ไฟฟ้าได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น 4. มีความสนใจใฝ่รู้หรือ การท�ำงานรายบุคคล
Twig อยากรู้อยากเห็น และ - สังเกตคุณลักษณะ
ท�ำงานร่วมกับผู้อื่น อันพึงประสงค์
อย่างสร้างสรรค์ (A)
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียน รายวิชา 1. บอกความแตกต่าง แบบสืบเสาะ - สังเกตการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
แรงจากสนาม พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ระหว่างสารที่เป็น หาความรู้ เกี่ยวกับแรงจากสนาม - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
แม่เหล็ก กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) แม่เหล็กและสารที่ (5Es แม่เหล็ก - ทักษะการสังเกต - มุ่งมั่นใน
ม.5 ไม่เป็นแม่เหล็กได้ (K) Instructional - สังเกตการปฏิบัติการ - ทักษะการท�ำงาน การท�ำงาน
2 - แบบฝึกหัด รายวิชา 2. ใช้ทักษะการทดลอง
พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ การสรุป และการ
Model) จากการท�ำกิจกรรม
- ตรวจแบบบันทึกกิจกรรม
ร่วมกัน
- ทักษะการน�ำความรู้
ชั่วโมง กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) อภิปรายแรงจาก - ตรวจใบงาน เรื่อง แรงจาก ไปใช้
ม.5 สนามแม่เหล็กได้ สนามแม่เหล็ก - ทักษะการทดลอง
- ใบงาน ถูกต้อง (P) - ตรวจแบบฝึกหัด
- PowerPoint 3. มีความสนใจใฝ่รู้หรือ - สังเกตพฤติกรรม
- QR Code อยากรู้อยากเห็น และ การท�ำงานรายบุคคล
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ท�ำงานร่วมกับผู้อื่น - สังเกตพฤติกรรม
Twig อย่างสร้างสรรค์ (A) การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T54
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียน รายวิชา 1. อธิบายผลของสนาม แบบสืบเสาะ - สังเกตการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
แรงจากสนาม พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ แม่เหล็กที่มีต่อตัวน�ำ หาความรู้ เกี่ยวกับประโยชน์จาก - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
แม่เหล็ก 2 กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) ที่มกี ระแสไฟฟ้าได้ (5Es สนามแม่เหล็ก - ทักษะการสังเกต - มุ่งมั่นใน
ม.5 (K) Instructional - สังเกตการปฏิบัติการ - ทักษะการท�ำงาน การท�ำงาน
6 - แบบฝึกหัด รายวิชา 2. ประดิษฐ์มอเตอร์อย่าง
พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ง่ายเพื่อประยุกต์ใช้
Model) จากการท�ำกิจกรรม
- ตรวจแบบบันทึกกิจกรรม
ร่วมกัน
- ทักษะการน�ำความรู้
ชั่วโมง กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) งานในชีวิตประจ�ำวัน - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง ไปใช้
ม.5 ได้ (K) แรงจากสนามแม่เหล็ก - ทักษะการทดลอง
- PowerPoint 3. มีความสนใจใฝ่รู้หรือ - ตรวจใบงาน เรื่อง แรงจาก
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น อยากรู้อยากเห็น และ สนามแม่เหล็ก
Twig ท�ำงานร่วมกับผู้อื่น - ตรวจแบบฝึกหัด
อย่างสร้างสรรค์ (A) - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
Topic Question
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 5 - แบบทดสอบหลังเรียน 1. บอกความหมายของ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
แรงในนิวเคลียส - ห นังสือเรียน รายวิชา แรงเข้มและแรงอ่อน หาความรู้ - ส ังเกตการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ได้ (K) (5Es เกี่ยวกับแรงในนิวเคลียส - ทักษะการสังเกต - มุ่งมั่นใน
3 กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) 2. อธิบายเกี่ยวกับ Instructional - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง - ทักษะการท�ำงาน การท�ำงาน
ม.5 องค์ประกอบของ Model) แรงในนิวเคลียส ร่วมกัน
ชั่วโมง - แบบฝึกหัด รายวิชา นิวเคลียสได้ (P) - ตรวจใบงาน เรื่อง แรงใน - ทักษะการน�ำความรู้
พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ 3. มีความสนใจใฝ่รู้หรือ นิวเคลียส ไปใช้
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) อยากรู้อยากเห็น และ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการทดลอง
ม.5 ท�ำงานร่วมกับผูอ้ ื่นได้ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
- ใบงาน อย่างสร้างสรรค์ (A) Topic Question
- PowerPoint - สังเกตพฤติกรรม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น การท�ำงานรายบุคคล
Twig - สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T55
Chapter Concept Overview
แรงจากสนามโนมถ่วง
แรงโน้มถ่วงของโลกท�าให้สิ่งต่าง ๆ บนพื้นผิวโลกมีน�้าหนัก
และเคลื่อนที่จากที่สูงลงสู่ที่ต�่า โดยน�้าหนักของวัตถุจะมีทิศพุ่งลง
ตามแนวดิ่งและตกผ่านศูนย์ถ่วงซึ่งเป็นเสมือนจุดรวมน�้าหนักของ
วัตถุเสมอ ไม่วา่ วัตถุจะวางตัวอยูใ่ นลักษณะใด แรงโน้มถ่วงของโลก
ยังส่งผลให้วัตถุเคลื่อนที่ในสนามโน้มถ่วงของโลกแบบมีความเร่ง
เรียกว่า ความเร่งโน้มถ่วง หรือความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของ
โลก ซึ่งมีค่าประมาณ 9.8 เมตรต่อวินาที2 (ค่าเฉลี่ยทั่วพื้นผิวโลก)
ในทิศพุ่งลงตามแนวดิ่งเข้าสู่ศูนย์กลางของโลก เมื่อไม่คิดแรงต้าน
อากาศหรือแรงต้านการเคลื่อนที่ใด ๆ จะเรียกว่า การตกแบบเสรี
สนามโน้มถ่วงของโลกมีทิศพุ่งเข้าสู่ศูนย์กลางของโลก
แรงจากสนามไฟฟา
แรงไฟฟ้า เป็นแรงทีก่ ระท�าระหว่างประจุไฟฟ้า ซึง่ มีทงั้ แรงผลักและแรงดึงดูด โดยแรงไฟฟ้าระหว่างประจุชนิดเดียวกันจะเป็นแรงผลัก
ส่วนแรงไฟฟ้าระหว่างประจุตา่ งชนิดกันจะเป็นแรงดึงดูด คูลอมบ์ได้ทา� การทดลองเพือ่ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรงระหว่างประจุ
กับปริมาณประจุบนทรงกลมตัวน�า ประจุที่กระจายอยู่บนทรงกลมตัวน�ามีสภาพเป็นจุดประจุ คูลอมบ์จึงสรุปผลการทดลองว่า ขนาดของแรง
ระหว่างระหว่างจุดประจุแปรผันตรงกับผลคูณของปริมาณประจุของจุดประจุทงั้ สอง แต่แปรผกผันกับก�าลังสองของระยะห่างระหว่างจุดประจุ
ทั้งสอง สามารถค�านวณหาขนาดของแรงระหว่างจุดประจุได้ จากสมการ
เมือ่ อนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้าอยูใ่ นสนามไฟฟ้าหรือเคลือ่ นทีเ่ ข้าสูบ่ ริเวณทีม่ สี นามไฟฟ้า อนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้านัน้ จะได้รบั แรงกระท�าจาก
สนามไฟฟ้า ถ้าเป็นสนามไฟฟ้าสม�่าเสมอ อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าบวก แรงไฟฟ้าที่กระท�าต่ออนุภาคจะมีทิศเดียวกับสนามไฟฟ้า แต่ถ้าเป็น
อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบ แรงไฟฟ้าที่กระท�าต่ออนุภาคจะมีทิศตรงข้ามกับสนามไฟฟ้า
E E
(ก) เริ่มเคลื่อนที่จากหยุดนิ่ง (ข) เคลื่อนที่เข้าไปในแนวตั้งฉากกับสนามไฟฟ้า
เส้นทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าในสนามไฟฟ้าสม�่าเสมอ
T56
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2
แรงจากสนามแม่เหล็ก
สนามแม่เหล็กมีแหล่งก�ำเนิดส�ำคัญ 2 แหล่ง คือ จากแม่เหล็กธรรมชาติ และจากกระแสไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ผ่านตัวน�ำ โดยลักษณะของ
เส้นสนามแม่เหล็ก (เส้นแรงแม่เหล็ก) พิจารณาได้จากการเรียงตัวของผงตะไบเหล็กที่โรยไว้รอบ ๆ แท่งแม่เหล็กหรือตัวน�ำที่มีกระแสไฟฟ้า
ผ่าน แรงแม่เหล็กระหว่างขัว้ แม่เหล็กคล้ายกับแรงไฟฟ้าทีก่ ระท�ำระหว่างประจุไฟฟ้า คือ แรงแม่เหล็กระหว่างขัว้ แม่เหล็กชนิดเดียวกันจะเป็น
แรงผลัก ส่วนแรงแม่เหล็กระหว่างขั้วแม่เหล็กต่างชนิดกันจะเป็นแรงดึงดูด
S N จุดสะเทิน N S S N S N
แหวน
แปรงสัมผัส แหวน
แหวนผ่าซีก แปรงสัมผัส
แปรงสัมผัส
(ก) มอเตอร์กระแสตรง (ข) มอเตอร์กระแสสลับ
โครงสร้างของมอเตอร์
แรงในนิวเคลียส
แรงในนิวเคลียสเป็นแรงกระท�ำในระยะใกล้ (ภายในนิวเคลียส) แรงในนิวเคลียสหรือแรงนิวเคลียร์มี 2 ประเภท ได้แก่ แรงนิวเคลียร์
อย่างเข้มและแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน โดยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มเป็นแรงกระท�ำระหว่างนิวคลีออน (โปรตอนและนิวตรอน) ส่วนแรงนิวเคลียร์
อย่างอ่อนเป็นแรงกระท�ำภายในนิวคลีออน
แรงนิวเคลียร์อย่างเข้มเป็นแรงที่ยึดนิวคลีออนไว้ภายในนิวเคลียส และเป็นแรงที่ส่งผล นิวคลีออน
โดยตรงต่อเสถียรภาพของนิวเคลียส ส่วนแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนเป็นแรงที่ท�ำให้โปรตอนเปลี่ยน
เป็นนิวตรอน และนิวตรอนเปลี่ยนเป็นโปรตอนผ่านการสลายให้อนุภาคบีตาของธาตุกัมมันตรังสี
แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนช่วยให้เกิดสมดุลระหว่างโปรตอนและนิวตรอนภายในนิวเคลียส ส่งผลให้ทกุ
สิง่ อยูร่ วมกันได้ในนิวเคลียส แรงนิวเคลียร์ทงั้ 2 ประเภท ยังเกีย่ วข้องโดยตรงกับปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์
ฟิวชันในดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการหลอมนิวเคลียสของไฮโดรเจนหรือโปรตอนให้
เป็นธาตุหนัก โดยแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนจะเปลี่ยนโปรตอนให้เป็นนิวตรอน จากนั้นแรงนิวเคลียร์ แทนแรงนิวเคลียร์
อย่างเข้มจะท�ำหน้าที่ยึดเหนี่ยวโปรตอนและนิวตรอนให้อยู่รวมกันเพื่อสร้างนิวเคลียสดิวเทอเรียม
ซึ่งท�ำปฏิกิริยาต่อไปเพื่อสร้างนิวเคลียสฮีเลียมพร้อมปลดปล่อยพลังงานปริมาณมหาศาลออกมา
T57
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครูถามคําถามกับนักเรียนพรอมการสาธิต เชน
หนวยการเรียนรูที่ 2 Q áç¾×é¹°Ò¹ÁÕ¡Õ誹Դ
ครูถอื แปรงลบกระดานโดยยืน่ แขนออกไปดาน
หนาลําตัวใหแปรงลบกระดานอยูใ นระดับเดียว
กับไหล จากนัน้ ครูปลอยแปรงลบกระดาน แลว
แรงในธรรมชาติ ᵋÅЪ¹Ô´ÁÕÅѡɳÐ
Í‹ҧäÃ
ถามคําถามกับนักเรียนวา
• แปรงลบกระดานตกลงสูพื้นเพราะเหตุใด
(แนวตอบ วัตถใดๆ จะตกลงสูพ นื้ เพราะแรง ตัวชี้วัด
โนมถวงของโลกดึงดูดวัตถุนนั้ ๆ ซึง่ ในกรณีนี้ ว 2.2 ม.5/6 ม.5/7 ม.5/8 ม.5/9
แรงโนมถวงของโลกดึงดูดแปรงลบกระดาน ม.5/10
แปรงลบกระดานจึงตกลงสูพื้น)
2. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ
3. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพื่อ
ตรวจสอบความรู เ ดิ ม ของนั ก เรี ย นเป น ราย
บุคคลกอนเขาสูกิจกรรม
4. ครูถามคําถามนําเขาสูบ ทเรียนกับนักเรียน โดย
ใชคําถาม Big Question จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 หนวย
การเรียนรูที่ 2 วา “แรงพื้นฐานมีกี่ชนิด และ
แตละชนิดมีลักษณะอยางไร”
5. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบความเขาใจกอน
เรียนจาก Understanding Check จากหนังสือ U n de r s t a n di n g
เรียน ลงในสมุดบันทึกประจําตัว Check
ให้นักเรียนพิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
ถูก / ผิด
1. แรงโน้มถ่วงเป็นได้เพียงแรงดึงดูด แต่แรงไฟฟ้าและแรงแม่เหล็กเป็นได้ทั้งแรงดึงดูด
แนวตอบ Big Question และแรงผลัก
แรงพื้นฐานในธรรมชาติมี 4 ชนิด โดยเปน 2. ลักษณะร่วมกันของแรงโน้มถ่วงและแรงไฟฟ้า คือ ต่างเป็นไปตามกฎก�าลังสองผกผัน
ุด
สม
ใน
แรงเชิงสนาม ไดแก แรงจากสนามโนมถวง แรง 3. แรงไฟฟ้ากระท�าต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าทั้งที่เคลื่อนที่และไม่เคลื่อนที่ แต่แรงแม่เหล็ก
ลง
ทึ ก
กระท�าต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่เท่านั้น บั น
จากสนามไฟฟา แรงจากสนามแมเหล็ก และแรง 4. แรงที่เกี่ยวข้1องกับการสลายให้อนุ2ภาคบีตาของธาตุกัมมันตรังสี คือ แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน
ในนิวเคลียส 5. แรงเสียดทาน แรงดึงในเส้นเชือก และแรงในสปริง ล้วนเป็นผลมาจากแรงนิวเคลียร์แบบเข้ม
แนวตอบ Understanding Check
1. ถูก 2. ถูก 3. ถูก 4. ถูก 5. ผิด
นักเรียนควรรู
1 แรงเสียดทาน (frictional force) คือ แรงที่ตอตานการเคลื่อนที่ของวัตถุ
เกิดขึ้นระหวางผิวสัมผัสของวัตถุกับพื้นผิวใดๆ แรงเสียดทานแบงออกเปน 2
ประเภท ไดแก
• แรงเสียดทานสถิต เกิดขึ้นในวัตถุที่หยุดนิ่ง ในขณะที่วัตถุเริ่มเคลื่อนที่
แรงเสียดทานสถิตจะมีคาสูงสุด
• แรงเสียดทานจลน เกิดขึ้นในวัตถุที่มีการเคลื่อนที่
2 แรงดึงในเสนเชือก (tension force) คือ แรงทีเ่ กิดขึน้ ในเสนเชือกทีถ่ กู ขึงตึง
โดยทีใ่ นเสนเชือกเดียวกันยอมมีแรงดึงในเสนเชือกเทากันทุกจุด และทิศทางของ
แรงดึงในเสนเชือกมีทิศพุงออกจากวัตถุที่เราพิจารณาตามแนวของเสนเชือก
T58
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. แรง¨า¡ÊนามâนŒม¶‹Çง Prior Knowledge 6. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
ในชีวิตประจ�าวัน ถ้าเราสังเกตธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม áร§â¹Œม¶‹ว§¢Í§âÅก เรียนกับนักเรียนวา “แรงโนมถวงของโลกสง
รอบตัวเรา จะพบว่า สิ่งต่าง ๆ แม้จะมีรูปทรงหรือขนาดที่แตก- Ê‹§¼ÅÍ‹ҧäร ผลอยางไรตอสิ่งตางๆ บนพื้นผิวโลก”
ต่างกัน แต่มักจะเคลื่อนที่จากที่สูงลงสู่ที่ที่ต�่ากว่าเสมอ ถ้าไม่มี ต‹ÍÊิ§è ต‹Ò§ æ 7. ครูและนักเรียนรวมกันสนทนาทบทวนความรู
บ¹¾×¹é ¼ิวâÅก
แรงอื่นนอกจากแรงโน้มถ่วงมากระท�า เช่น น�้าตกที่ไหลลงมา เดิมเกีย่ วกับแรงและการเคลือ่ นที่ เพือ่ เชือ่ มโยง
จากต้นน�้า ก้อนหินตกจากยอดเขาลงสู่เชิงเขา ใบไม้ ดอกไม้ ผลไม้ หรือกิ่งไม้ตกลงสู่พื้นใต้ต้นไม้ เขาสูเนื้อหาที่กําลังจะศึกษา
เม็ดฝนจากก้อนเมฆตกจากฟ้าลงสู่พื้น เป็นต้น
1.1 แรงâนŒม¶‹ÇงแÅÐÊนามâนŒม¶‹Çง
เมือ่ ปล่อยวัตถุจากความสูงระดับหนึง่ วัตถุนนั้ จะตกลงสูพ่ นื้ เหตุการณ์ทกี่ ล่าวนัน้ แสดงให้เห็น
ว่ามีแรงกระท�าต่อวัตถุ ท�าให้วตั ถุเคลือ่ นทีจ่ ากต�าแหน่งทีส่ งู กว่าไปยังต�าแหน่งทีต่ า�่ กว่า โดยแรงนัน้
เกิดจากโลกดึงดูดวัตถุ เรียกว่า แรงโน้มถ่วง (gravitational force) และเนื่องจากรอบโลกมีสนาม
โน้มถ่วง (gravitational field) ส่งผลให้เกิด
แรงดึงดูดกระท�าต่อมวลของวัตถุทงั้ หลาย กล่าว
ได้ว่า แรงโน้มถ่วงเป็นแรงดึงดูดระหว่างมวล
ของวัตถุ โดยแรงโน้มถ่วงระหว่างวัตถุคู่หนึ่ง
จะแปรผันตรงกับผลคูณของมวลของวัตถุทั้ง
สองแต่จะแปรผกผันกับก�าลังสองของระยะห่าง
ระหว่างศูนย์กลางมวลของวัตถุทั้งสอง และแรง
ที่กระท�าต่อแต่ละวัตถุจะมีขนาดเท่ากันแต่มีทิศ
ตรงข้ามเสมอโดยไม่ขึ้นกับมวลของแต่ละวัตถุ ภาพที่ 2.1 ก้อนหินตกจากภูเขา
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ภาพที่ 2.2 น�้าตกโกดาฟอสส์ในประเทศไอซ์แลนด์
ที่มา : คลังภาพ อจท.
T59
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูใหนักเรียนสืบเสาะหาความรูเกี่ยวกับแรง แรงโน้มถ่วงมีผลมากต่1อวัตถุขนาดใหญ่หรือวัตถุทมี่ มี วลมาก โดยเป็นแรงยึดระบบขนาดใหญ่
โนมถวงและสนามโนมถวง จากหนังสือเรียน เช่น ระบบสุรยิ ะ หรือกาแล็กซี ให้คงรูปอยูไ่ ด้ และเป็นแรงยึดวัตถุทมี่ มี วลน้อยให้เคลือ่ นทีไ่ ปรอบ ๆ
วัตถุที่มีมวลมากกว่า เช่น ดวงจันทร์โคจรรอบดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์และบริวารของดาวเคราะห์
โคจรรอบดวงอาทิตย์ เป็นต้น เนื่องจากแรงโน้มถ่วงที่ยึดดวงจันทร์ให้โคจรรอบดาวเคราะห์มีทิศ
พุง่ เข้าสูศ่ นู ย์กลางของดาวเคราะห์ และแรงโน้มถ่วงทีย่ ดึ ดาวเคราะห์และบริวารของดาวเคราะห์ให้
โคจรรอบดวงอาทิตย์มีทิศพุ่งเข้าสู่ศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ แรงโน้มถ่วงที่ยึดให้ดาวที่มีมวลน้อย
โคจรไปรอบ ๆ ดาวที่มีมวลมากกว่าจึงท�าหน้าที่เป็นแรงสู่ศูนย์กลาง ส�าหรับโลก กรณีที่เทียบเคียง
กันได้ คือ การโคจรรอบโลกของดวงจันทร์และดาวเทียม เช่นเดียวกับดาวดวงอื่น แรงโน้มถ่วงที่
โลกกระท�าต่อวัตถุอื่นจะมีทิศพุ่งเข้าสู่ศูนย์กลางของโลกเสมอ ถ้าประมาณว่าสัณฐานของโลกเป็น
ทรงกลม แรงโน้มถ่วงของโลกจะมีทิศตั้งฉากกับจุดต่าง ๆ บนพื้นผิวโลก เนื่องจากสนามโน้มถ่วง
มีทิศพุ่งเข้าสู่ศูนย์กลางของทรงกลมตามแนวรัศมีของทรงกลม ดังภาพที่ 2.3
T60
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
จากภาพที่ 2.4 ถาพิจารณาบริเวณที่ 2. ครูอภิปรายกับนักเรียน โดยใหนักเรียนสังเกต
อยูใกลผิวโลกและมีพื้นที่นอย ๆ อาจประมาณ ภาพ สนามโน ม ถ ว งของโลกมี ทิ ศ พุ ง เข า สู
ไดวา สนามโนมถวงของโลกสมํ่าเสมอ โดย ศูนยกลางของโลก จากหนังสือเรียน ครูถาม
สนามโนมถวงของโลกที่ตําแหนงใด ๆ เทากับ คําถามชวนคิดกับนักเรียนวา “แลวดาวดวง
แรงโนมถวงที่โลกกระทําตอวัตถุนั้น เชน มวล อื่ น ๆ มี ส นามโน ม ถ ว งเหมื อ นโลกหรื อ ไม
มาตรฐาน 1 กิโลกรัม วางอยูบ นพืน้ ผิวโลก วัตถุ อยางไร” โดยครูเปดโอกาสใหนกั เรียนไดแสดง
จะถูกโลกดึงดูดดวยแรง 9.8 นิวตัน ในทิศเขาสู ความคิดเห็นอยางอิสระ
ศูนยกลางของโลก ดังนั้น สนามโนมถวงของ
โลกบริเวณนั้นจะมีขนาด 9.8 นิวตัน = 9.8 ภาพที ผิ ว
่ 2.4 สนามโนมถวงของโลกบริเวณพื้นทีนอยๆ บน
โลกมี คาสมํ่าเสมอ
1 กิโลกรัม
นิวตันตอกิโลกรัม หรือเทากับ 9.8 เมตรตอ ที่มา : คลังภาพ อจท.
วินาที2 ในทิศเขาสูศูนยกลางของโลก
ในความเปนจริงเนื่องจากสัณฐานของโลกไมเปนทรงกลมที่สมบูรณ เสนผานศูนยกลาง
ระหวางขั้วโลก (เหนือ-ใต) นอยกวาเสนผานศูนยกลางบริเวณเสนศูนยสูตร จึงสงผลใหตําแหนง
บนผิวโลกอยูหางจากศูนยกลางของโลกไมเทากัน ทําใหสนามโนมถวงของโลก ณ ตําแหนงตาง ๆ
บนผิวโลกมีคาตางกันเล็กนอย
ความสูงระดับ (km) สนามแรงโนมถวงมีคา
384,000 ดวงจั น ทร ; g = 0.026 m/s 2 ลดลงตามระดั บความสูงที่วัด
ขึ้นไปจากพื้นผิวโลก เนื่องจาก
35,700 ดาวเทียมสื่อสาร ; g = 0.225 m/s 2 อยูหางจากจุดศูนยกลางของ
โลกมากขึ้น และมีคาเปลี่ยน
แปลงตามตําแหนงตาง ๆ บน
พื้นผิวโลก กลาวคือ โลก ดวง-
1 จันทร ดาวฤกษ ดาวเคราะห
สถานี อ วกาศ ; g = 8.68 m/s 2
400 อื่ น ๆ และบริ ว ารของดาว-
เคราะหในระบบสุริยะ รวมทั้ง
10 เครื่องบินโดยสาร ; g = 9.77 m/s 2 เทหวัตถุ (astronomical object)
ผิวโลก ; g = 9.8 m/s2 ทั้งหลาย ลวนมีสนามโนมถวง
ของตัวเองเชนกัน โดยสนาม
ศูนยกลางโลก โนมถวงเหลานี้มีคาตางกันไป
ภาพที่ 2.5 สนามโนมถวงที่ความสูงตางๆ จากผิวโลก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
áç㹸ÃÃÁªÒµÔ 53
T61
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3. ครูใหนักเรียนสืบเสาะหาความรู เรื่อง การ 1.2 การเคลื่อนที่ของวัตถุในสนามโน้มถ่วงของโลก
เคลื่ อ นที่ ข องวั ต ถุ ใ นสนามโน ม ถ ว งของโลก วัตถุทอี่ ยูใ่ นสนามโน้มถ่วงของโลกจะถูกโลกดึงดูด เมือ่ เราปล่อยวัตถุให้ตกบริเวณใกล้ผวิ โลก
จากหนังสือเรียน แรงดึงดูดของโลกจะท�าให้วตั ถุเคลือ่ นทีเ่ ร็วขึน้ กล่าวได้วา่ วัตถุนนั้ มีความเร่ง โดยโลกส่งแรงโน้มถ่วง
4. ครูใหนักเรียนแบงกลุมกับเพื่อนอยางอิสระ กระท�าต่อวัตถุที่อยู่ในสนามโน้มถ่วงของโลก ในทิศเข้าสู่ศูนย์กลางของโลก หรือทิศพุ่งลงตามแนว
กลุมละ 3-4 คน ดิ่งเมื่อเทียบกับพื้นผิวโลก เรียกว่า ความเร่งโน้มถ่วง (gravitational acceleration) ส่งผลให้วัตถุ
5. ครูใหสมาชิกแตละกลุม รวมกันสนทนาเกีย่ วกับ ที่เคลื่อนที่ในสนามโน้มถ่วงของโลกแบบมีความเร่ง ถ้าไม่คิดแรงต้านอากาศ ความเร่งนี้จะมีค่า
สิง่ ทีต่ นเองไดศกึ ษามา จากนัน้ รวมกันอภิปราย คงตัว ไม่ขึ้นกับมวลและรูปทรงของวัตถุ ในการตกของวัตถุ วัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งโน้มถ่วง
เปนผลการศึกษาของกลุม 9.8 เมตรต่อวินาที2 มีทิศเข้าสู่ศูนย์กลางของโลก
6. ครูใหนักเรียนจดบันทึกสรุปเนื้อหาเกี่ยวกับ เมือ่ ปล่อยวัตถุให้ตกลงมาจากความสูงระดับหนึง่ วัตถุจะเคลือ่ นทีล่ งในแนวดิง่ ด้วยความเร็วต้น
การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุในสนามโนมถวงของโลก เป็นศูนย์ ความเร่งโน้มถ่วงท�าให้ขนาดของความเร็วเพิ่มขึ้นวินาทีละ 9.8 เมตรต่อวินาที เช่น
ลงในสมุดบันทึกประจําตัวของแตละคน เพื่อ เมื่อเวลาผ่านไป 1 วินาที และ 2 วินาที ความเร็วของวัตถุจะมีค่าเป็น 9.8 เมตรต่อวินาที และ
นําสงครูหลังจบกิจกรรมการเรียนรู 19.6 เมตรต่อวินาที ตามล�าดับ ดังภาพที่ 2.6 (ก) แต่เมื่อไรก็ตาม ที่เราโยนวัตถุขึ้นไปในแนวดิ่ง
ด้วยความเร็วต้นค่าหนึ่ง วัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งโน้มถ่วง 9.8 เมตรต่อวินาที2 มีทิศเข้าสู่
ศูนย์กลางของโลก แต่ความเร็วของวัตถุมีทิศขึ้น ความเร่งโน้มถ่วงมีทิศตรงข้ามกับความเร็วจึง
ท�าให้ขนาดของความเร็วลดลง 9.8 เมตรต่อวินาที ในทุก ๆ 1 วินาที จนเป็นศูนย์เมื่อวัตถุขึ้นไปถึง
จุดสูงสุด จากนัน้ วัตถุจะตกลงมาในแนวดิง่ ด้วยความเร่งโน้มถ่วง
v = 0 m/s
ที่มีทิศเดียวกับความเร็วจึงท�าให้ขนาดของความเร็วเพิ่มขึ้น 9.8 t = 1.5 s
เมตรต่อวินาที ในทุก ๆ 1 วินาที จนเท่ากับขนาดของความเร็วต้น
เมื่อเคลื่อนที่ลงมาถึงจุดเริ่มต้น จากนั้นขนาดของความเร็วจะ v =t 4.9 m/s
= 1.0 s t = 2.0 s
เพิ่มขึ้นในทุก ๆ วินาที จนมีค่าสูงสุดขณะวัตถุตกกระทบพื้น v = 4.9 m/s
ดังภาพที่ 2.6 (ข)
g = 9.8 m/s2 u = 14.7 m/s
t=0
t=0 t = 3.0 s
u = 0 m/s v = 14.7 m/s
t=1s
v = 9.8 m/s
t=2s t = 4.0 s
v = 19.6 m/s v = 24.5 m/s
(ก) (ข)
ภาพที่ 2.6 ความเร็วขณะเวลาต่างๆ ของวัตถุที่เคลื่อนที่ในแนวดิ่งในสนามความโน้มถ่วงของโลก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
54
T62
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
จากภาพที่ 2.6 เรียกการเคลื่อนที่ลักษณะนี้ว่า การตกแบบเสรี (free fall) เมื่อพิจารณา 1. ครูสมุ บางกลุม ออกมาหนาชัน้ เรียน จากนัน้ ให
จากภาพที่ 2.6 (ก) ถ้าความเร็วต้นของวัตถุไม่เป็นศูนย์ หรือเปลี่ยนจากการปล่อยให้วัตถุตกลงมา นักเรียนนําเสนอผลการศึกษาของกลุมตนเอง
เป็นการขว้างวัตถุลงมาในแนวดิ่งด้วยความเร็วต้นค่าหนึ่ง ความเร็วของวัตถุจะยังคงมีขนาดเพิ่ม 2. ครูและนักเรียนรวมกันอธิบายเกีย่ วกับความเร็ว
ขึ้นวินาทีละ 9.8 เมตรต่อวินาที เช่นเดิม ขณะเวลาเดียวกัน (เช่น ขณะเวลา t = 1.0 s) ขนาด ขณะเวลาตางๆ ของวัตถุที่เคลื่อนที่ในแนวดิ่ง
ของความเร็วในกรณีทขี่ ว้างวัตถุลงมาจึงมีคา่ มากกว่ากรณีทปี่ ล่อยวัตถุให้ตกลงมาอยูเ่ ท่ากับขนาด ในสนามโนมถวงของโลก โดยครูใหนักเรียน
ความเร็วต้นของวัตถุ ซึ่งพิจารณาได้จากช่วงการเคลื่อนที่ลงจากจุดเริ่มต้น ดังภาพที่ 2.6 (ข) ซึ่ง ศึกษาจากหนังสือเรียนควบคูไปกับการที่ครู
เป็นการเคลื่อนที่ขึ้นและลงในแนวดิ่งอย่างต่อเนื่องในสนามโน้มถ่วง สามารถสรุปได้ในเบื้องต้น อธิบาย เพื่อใหเกิดความเขาใจในเนื้อหาสวน
ดังนี้ นั้นมากยิ่งขึ้น
• ในช่วงเคลื่อนที่ขึ้น ความเร็วของวัตถุมีทิศตรงข้ามกับความเร่งโน้มถ่วง ส่งผลให้ขนาด
ของความเร็วของวัตถุลดลง แต่ในช่วงที่วัตถุเคลื่อนที่ลงความเร็วของวัตถุมีทิศเดียวกับความเร่ง
โน้มถ่วง ส่งผลให้ขนาดของความเร็วของวัตถุเพิ่มขึ้น โดยขนาดของความเร็วของวัตถุเพิ่มขึ้น
หรือลดลงอย่างสม�่าเสมอ 9.8 เมตรต่อวินาที ในทุก ๆ 1 วินาที การเคลื่อนที่ในแนวดิ่งในสนาม
โน้มถ่วงของโลกจึงจัดเป็นการเคลื่อนที่แนวตรงด้วยความเร่งคงตัว
• เมื่อเคลื่อนที่ขึ้นไปถึงต�าแหน่งสูงสุด วัตถุจะหยุดเคลื่อนที่ชั่วขณะหนึ่ง นั่นคือ วัตถุจะมี
ความเร็วเป็นศูนย์ ก่อนจะเคลือ่ นทีต่ กกลับลงมาด้วยความเร็วต้นของการเคลือ่ นทีล่ งในแนวดิง่ เป็น
ศูนย์
• เวลาทีว่ ตั ถุเคลือ่ นทีข่ นึ้ ไปถึงต�าแหน่งสูงสุดมีคา่ เท่ากับขนาดของความเร็วต้นหารด้วยขนาด
ของความเร่งโน้มถ่วง เช่น กรณีภาพที่ 2.6 (ข) เวลาที่วัตถุเคลื่อนที่ขึ้นไปถึงต�าแหน่งสูงสุดเท่ากับ
14.7 m/s = 1.5 s
9.8 m/s2
• เวลาที่วัตถุเคลื่อนที่ขึ้นไปถึงต�าแหน่งสูงสุด แล้วเคลื่อนที่ตกกลับลงมาที่ระดับเดียวกับ
ต�าแหน่งเริ่มต้นมีค่าเป็น 2 เท่าของเวลาที่วัตถุเคลื่อนที่ขึ้นไปถึงต�าแหน่งสูงสุด
• เวลาทีว่ ตั ถุเคลือ่ นทีข่ นึ้ ไปในแนวดิง่ กับเวลาทีว่ ตั ถุเคลือ่ นทีต่ กกลับลงมาในแนวดิง่ ระหว่าง
สองต�าแหน่งใด ๆ มีคา่ เท่ากัน เช่น จากภาพที่ 2.6 (ข) เวลาทีว่ ตั ถุใช้ในการเคลือ่ นทีข่ นึ้ จากต�าแหน่ง
t = 0 ไปยังต�าแหน่ง t = 1.0 s มีค่าเท่ากับเวลาที่วัตถุเคลื่อนที่ตกกลับลงมาจากต�าแหน่ง t = 2.0 s
มายังต�าแหน่ง t = 3.0 s เป็นต้น
• ความเร็วขณะเคลือ่ นทีข่ นึ้ กับความเร็วขณะเคลือ่ นทีล่ งทีค่ วามสูงเดียวกันจะมีขนาดเท่ากัน
แต่มีทิศตรงข้ามกัน ขนาดของความเร็วของวัตถุขณะตกลงมาถึงระดับเดียวกับต�าแหน่งเริ่มต้นจึง
เท่ากับขนาดของความเร็วต้น
แรงในธรรมชาติ 55
T63
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูถามนักเรียนวา “นักเรียนชั่งนํ้าหนักครั้ง 1.3 ¹íéÒ˹ѡ
ลาสุดเมื่อไร และนํ้าหนักที่ไดเทากับเทาไร” จากที่ไดกลาวมาแลวขางตน แรงโนมถวงของโลกที่กระทําตอวัตถุ ก็คือ นํ้าหนัก (weight)
2. ครูสุมนักเรียนออกมาหนาชั้นเรียน จากนั้น ของวัตถุบนโลก ซึ่งสามารถคํานวณไดจากสมการ
ครูใหนักเรียนขึ้นบนเครื่องชั่ง เพื่อชั่งนํ้าหนัก
ปจจุบัน W คือ นํ้าหนักของวัตถุ มีหนวยเปน นิวตัน (N)
3. ครูถามคําถามชวนคิดกับนักเรียนวา “ตัวของ W = mg m คือ มวลของวัตถุ มีหนวยเปน กิโลกรัม (kg)
นักเรียนมีมวลกีก่ โิ ลกรัม” โดยครูยงั ไมเฉลยวา g คือ ความเรงโนมถวง ณ ตําแหนงที่วัตถุวางอยู มีหนวยเปน
เมตรตอวินาที2 (m/s2)
คําตอบที่นักเรียนตอบนั้นถูกหรือผิด
4. ครูใหนกั เรียนศึกษา เรือ่ ง นํา้ หนัก จากหนังสือ นํา้ หนักของวัตถุเปนผลทีเ่ กิดจากจากความเรงโนมถวงของโลก หรือแรงทีม่ วลของโลกกระทํา
เรียน ตอมวลของวัตถุ จึงมีทิศพุงลงตามแนวดิ่งเสมอ บริเวณหนึ่งบนพื้นผิวโลกที่มีพื้นที่นอย ๆ พื้นผิว
5. ครูถามคําถามกับนักเรียนวา ตัวของนักเรียน โลกจะเปนผิวราบ ไมวาวัตถุจะวางตัวอยูในลักษณะใดก็ตาม นํ้าหนักของวัตถุจะมีแนวกระทําผาน
มีมวลกีก่ โิ ลกรัม เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจหลัง จุด ๆ หนึง่ ทีเ่ ปนเสมือนจุดรวมนํา้ หนักของวัตถุ ซึง่ เรียกวา ศูนยถว ง (center of gravity) กลาวไดวา
ศึกษาเนื้อหา เรื่อง นํ้าหนัก จากหนังสือเรียน นํา้ หนักของวัตถุมคี า เทากับผลคูณระหวางมวลของวัตถุกบั ความเรงโนมถวง โดยความเรงโนมถวง
(g) มีคาลดลงที่ระดับสูงขึ้นไปจากพื้นผิวโลก เนื่องจากอยูหางจากศูนยกลางของโลกมากขึ้น เชน
(แนวตอบ ขึน้ อยูก บั นํา้ หนักทีช่ งั่ ไดจากเครือ่ งชัง่
นํามวล 10 กิโลกรัม ไปชั่งที่ตําแหนงหนึ่งบนผิวโลกซึ่งมีความเรงโนมถวงเทากับ 9.80 เมตรตอ
แลวนําไปคํานวณจากสมการ W = mg)
วินาที2 มวลกอนนี้จะมีนํ้าหนัก 98.0 นิวตัน แตถานํามวลกอนเดียวกันนี้ ขึ้นไปชั่งที่ระยะหาง
6. ครูแจกเศษกระดาษทีเ่ กิดจากการแบงกระดาษ จากผิวโลก 400 กิโลเมตร ซึ่งมีความเรงโนมถวงประมาณ 8.68 เมตรตอวินาที2 มวลกอนนี้จะมี
ขนาด A4 ออกเปน 4 สวน เทาๆ กัน ให นํ้าหนัก 86.8 นิวตัน ซึ่งมีนํ้าหนักนอยกวานํ้าหนักบนผิวโลก ดังภาพที่ 2.7 นอกจากนั้น นํ้าหนัก
นักเรียน ของวัตถุยังมีคาเปลี่ยนไปตามตําแหนงตาง ๆ บนพื้นผิวโลก ตามตําแหนงทางภูมิศาสตร และอีก
7. ครูถามคําถามทาทายการคิดขัน้ สูงกับนักเรียน สวนหนึ่งเปนผลมาจากการหมุนรอบตัวเองและการโคจรรอบดวงอาทิตย
วา “หากโลกไรซึ่งแรงโนมถวง จะสงผลตอ
สิ่งตางๆ บนโลกหรือไม อยางไร” โดยครูให
นักเรียนเขียนคําตอบลงในเศษกระดาษที่ครู 0 100
0
20 0 100
0
20
แจกให เสร็จแลวตัวแทนนักเรียนเก็บรวบรวม
100 20 100 20
80 40 80 40
80 40 60 80 40 60
60 60
สงครู 10 kg 10 kg
10 kg 10 kg
คําถามทาทายการคิดขัน
้ สูง
W = (10 kg)(9.80 m/s2) = 98.0 N W = (10 kg)(8.68 m/s2)
= 86.8 N หากโลกไรซึ่งแรงโนม
แนวตอบ H.O.T.S. บนผิวโลก 400 กิโลเมตร เหนือผิวโลก
ถ ว งจะส ง ผลต อ สิ่ ง ต า ง ๆ
ภาพที่ 2.7 นํ้าหนักเปลี่ยนไปตามระยะหางจากศูนยกลางโลก
แรงโนมถวงเปนแรงที่กระทําตอวัตถุ สงผล ที่มา : คลังภาพ อจท. บนโลกหรือไม อยางไร
ใหวัตถุเคลื่อนที่ลงสูผิวโลกเสมอ แรงโนมถวงมีทิศ
พุงเขาสูศูนยกลางของโลก หากไรซึ่งแรงโนมถวง
56 นํ้าหนัก
จะสงผลใหวัตถุลอยขึ้นไปในอากาศเชนเดียวกับ
ในอวกาศ หรือเรียกวา สภาพไรนํ้าหนัก
T64
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
กิจกรรม การเคลื่อนที่ของวัตถุในสนามโน้มถ่วงของโลก 8. ครูใหนักเรียนแบงกลุมกับเพื่อนอยางอิสระ
กลุมละ 5-6 คน จากนั้นครูมอบหมายให
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
• การสังเกต จุดประสงค์ นักเรียนศึกษากิจกรรม แรงที่เกี่ยวของกับการ
• การลงความเห็นจากข้อมูล
• การตีความหมายข้อมูลและ
เพื่อศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุในสนามโน้มถ่วงของโลก เคลื่ อ นที่ ข องวั ต ถุ ใ นสนามโน ม ถ ว งของโลก
ลงข้อสรุป
วัสดุอุปกรณ์ จากหนังสือเรียน
จิตวิทยาศาสตร์
• ความอยากรู้อยากเห็น 1. เทปใส 5. เครื่องเคาะสัญญาณเวลา อธิบายความรู
• ความมีเหตุผล 2. ไม้บรรทัด 6. หม้อแปลงไฟฟ้าโวลต์ต�่า 0 -12 โวลต์
3. แถบกระดาษ 7. ถุงทรายที่มีมวลต่างกัน 3 ถุง 1. เมื่อปฏิบัติกิจกรรมเสร็จแลว ครูใหนักเรียน
4. สายไฟต่อวงจร ตอบคํ า ถามท า ยกิ จ กรรมลงในสมุ ด บั น ทึ ก
วิธีปฏิบัติ ประจําตัว
1. ต่อเครื่องเคาะสัญญาณเวลาเข้ากับหม้อแปลง 2. ครูใหแตละกลุมรวมกันพูดคุยเกี่ยวกับผลการ
ไฟฟ้ า โวลต์ ต�่ า โดยเลื อ กใช้ ค วามต่ า งศั ก ย์ ปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลเปนขอสรุป
กระแสสลับ 4-6 โวลต์ และใช้เทปใสยึดกระดาษไว้
กับถุงทรายถุงหนึง่ (เครือ่ งเคาะสัญญาณและแถบ ของกลุม
กระดาษต้องอยู่ในระนาบแนวดิ่ง) ดังภาพที่ 2.8 3. ครูสุมสมาชิกแตละกลุม กลุมละ 1 คน ออก
2. เปิดสวิตช์เครื่องเคาะสัญญาณเวลา แล้วปล่อย มาหนาชั้นเรียน แลวใหนําเสนอผลการปฏิบัติ
ถุงทรายลงมาในแนวดิ่ง กิจกรรมจากการอภิปรายรวมกันภายในกลุม
3. ปฏิบัติซ�้าอีก 2 ครั้ง โดยเปลี่ยนถุงทรายที่มีมวล
ภาพที่ 2.8 ภาพประกอบกิจกรรมการเคลื่อนที่ของวัตถุใน ของตนเอง
แตกต่างไป และแถบกระดาษในการปฏิบัติแต่ละ สนามโน้มถ่วงของโลก 4. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นแล ว ร ว มกั น อภิ ป ราย
ครั้ง น�าแถบกระดาษทั้งสามแถบมาเปรียบเทียบ ที่มา : คลังภาพ อจท.
กัน ผลการศึกษากิจกรรม การเคลื่อนที่ของวัตถุ
ในสนามโนมถวงของโลก
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
1. ถุงทรายแต่ละถุงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่ากันหรือไม่
2. ถุงทรายแต่ละถุงเคลื่อนที่ด้วยความเร่งเท่ากันหรือไม่
3. ถุงทรายแต่ละถุงเคลื่อนที่ด้วยความเร่งเท่าใด เพราะเหตุใด
อภิปรำยผลท้ำยกิจกรรม
เมื่อพิจารณาลักษณะของจุดบนแถบกระดาษทั้งสามแถบจะพบว่า ระยะห่างระหว่างจุดแต่ละคู่ที่อยู่ถัดกัน
ไปจะเหมือนกัน แสดงว่าถุงทรายทั้งสามต่างเคลื่อนที่ลงมาด้วยความเร่งคงตัวเท่ากับความเร่งโน้มถ่วงของ แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
โลกแม้วา่ มวลของถุงทรายทั้งสามไม่เท่ากัน โดยถุงทรายจะตกลงมาด้วยความเร่งโน้มถ่วงของโลกซึ่งมีค่า 9.8
เมตรต่อวินาที2 ในทิศลงสูพ่ นื้ โลกเสมอ ดังนัน้ ความเร่งของวัตถุทเี่ คลือ่ นทีใ่ นแนวดิง่ จึงไม่ขนึ้ กับมวลของวัตถุ 1. เทากัน
2. เทากัน
3. ถุงทรายเคลื่อนที่ลงในแนวดิ่งแบบอิสระจะมี
แรงในธรรมชาติ 57
ความเรงเทากับความเรงเนื่องจากแรงโนมถวง
ของโลกขนาด 9.8 เมตรตอวินาที2
พิจารณาตามผลการปฏิบัติกิจกรรมจริง ขอมูลที่ไดอาจมีความคลาดเคลื่อน
ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของผูสอน
T65
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นเกี่ ย วกั บ แรงโน ม ถ ว ง 1.4 »ระโยªน์¨ากสนามโน้มถ่วง
สนามโนมถวง และนํา้ หนัก เพือ่ ทบทวนความรู การเรียนรู้เกี่ยวกับสนามของแรงโน้มถ่วงช่วยให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติ
2. ครูใหนกั เรียนศึกษา เรือ่ ง ประโยชนจากสนาม ทั้งใกล้และไกลตัวมากขึ้น ปัจจุบันมนุษย์ใช้ประโยชน์จากสนามโน้มถ่วงทั้งในชีวิตประจ�าวันและ
โนมถวง จากหนังสือเรียน การท�างานผ่านทางอุปกรณ์หรือเครือ่ งมือบางอย่าง เช่น กระด้ง สามเกลอ หรือปัน จัน่ ตอกเสาเข็ม
อธิบายความรู อุปกรณ์ป้องกันการหลับใน เป็นต้น
1. ครูสมุ นักเรียน 2-3 คน ใหออกมาหนาชัน้ เรียน 1. กระด้ง ใช้สา� หรับฝัดเมล็ดพันธุข์ า้ วเพือ่ แยกเมล็ดทีไ่ ม่สมบูรณ์ออก ก่อนน�าเมล็ดพันธุข์ า้ ว
ไปแช่น�้าเพื่อให้งอก หรือใช้ฝัดข้าวเปลือกเพื่อแยกฝุนหรือสิ่งที่ไม่ต้องการออก หรือใช้ฝัดข้าวสาร
2. ครูใหนักเรียนยกตัวอยางการนําความรู เรื่อง
เพื่อแยกแกลบในข้าวสารที่ผ่านการซ้อม หรือการสีออกจากเมล็ดข้าว ส�าหรับการฝัดข้าวสารเมื่อ
สนามโนมถวงไปประยุกตใชในชีวิตประจําวัน
ฝัดกระด้งจะมีแรงส่งให้เมล็ดข้าวและแกลบลอย
3. ครูแจกใบงาน เรื่อง แรงจากสนามโนมถวง ขึ้นไปในอากาศ ผลจากน�้าหนักของเมล็ดข้1าวที่
ใหนักเรียนนํากลับไปศึกษาเปนการบาน เกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลก และแรงพยุงของ
ขยายความเขาใจ อากาศ ท�าให้เมล็ดข้าวตกถึงกระด้งก่อนแกลบ
1. ครูนาํ อภิปรายสรุปเนือ้ หา เรือ่ ง สนามโนมถวง เมื่อเลื่อนกระด้งออกไปจะแยกรับเมล็ดข้าวให้
ตกในกระด้ง ขณะที่แกลบจะตกนอกกระด้ง
โดยเปด PowerPoint ใหนักเรียนศึกษาควบคู
สังเกตว่าสิง่ ทีต่ อ้ งการแยกออกไปจะเบากว่าสิง่ ที่
ไปดวย
ต้องการเก็บไว้ การใช้กระด้งฝัดเมล็ดพันธุ์ข้าว
2. ครูใหนักเรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรื่อง แรง เปลือกหรือข้าวสาร จึงควรท�าบริเวณกลางแจ้ง
จากสนามโนมถวง ลงในกระดาษ A4 พรอม ภาพที่ 2.9 การใช้กระด้งฝดเมล็ดพันธุ์ข้าว ดังภาพที่ 2.9
ทั้งตกแตงใหสวยงาม ที่มา : คลังภาพ อจท.
2. ปนจั่นตอกเสาเข็ม เป็นอุปกรณ์
3. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
ส� า หรั บ ตอกเสาเข็ ม ขนาดใหญ่ ใช้ แ รงจาก
ของตนเองหนาชั้นเรียน เครื่องจักรดึงสายสลิงเพื่อยกค้อนตอกเสาเข็ม
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาและทํ า แบบฝ ก หั ด จาก (แท่งโลหะขนาดใหญ่) ขึน้ ไปแล้วปล่อยให้ตกลง
Topic Question เรื่อง แรงจากสนามโนมถวง มากระแทกหัวเสาเข็ม ดังภาพที่ 2.10 แรง
ลงในสมุดบันทึกประจําตัว กระแทกหัวเสาเข็มมีค่าเพิ่มขึ้นตามความสูงที่
5. ครูมอบหมายการบานใหนกั เรียนทําแบบฝกหัด เครื่องจักรดึงค้อนตอกเสาเข็มของปันจั่นขึ้นไป
เรื่อง แรงจากสนามโนมถวง จากแบบฝกหัด จากหัวเสาเข็ม เนื่องจากความเร็วที่ค้อนตอก
วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 เสาเข็มตกกระทบเสาเข็มจะเพิ่มขึ้นตามความ
ภาพที่ 2.10 การตอกเสาเข็มด้วยปนจั่นตอกเสาเข็ม สูงเหนือหัวเสาเข็ม และความเร็วที่สูงกว่าท�าให้
ที่มา : คลังภาพ อจท. เกิดแรงกระแทกที่มีขนาดมากกว่า
58
T66
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
3. เครือ่ งเตือนการหลับใน ประกอบด้วยวงจรไฟฟ้าของ นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ
เสียงปลุกทีเ่ ปิดปิดวงจรด้วยสวิตช์ปรอทซึง่ มีลกั ษณะเป็นกระเปาะ แรงโนมถวงและสนามโนมถวง โดยครูใหนกั เรียน
แก้ว ภายในบรรจุปรอทและมีขวั้ ไฟฟ้า ดังภาพที่ 2.11 การใช้งาน เขียนสรุปความรูลงในสมุดบันทึกประจําตัว
ต้องน�ามาเหน็บด้านหลังใบหู ขณะศีรษะตัง้ ตรง สวิตช์ปรอทจะอยู่
ในแนวดิ่งและปรอทไม่สัมผัสขั้วไฟฟ้า วงจรไฟฟ้าของเสียงปลุก ขัน้ ประเมิน
ยังไม่ครบวงจรจึงไม่มสี งิ่ ใดเกิดขึน้ ดังภาพที่ 2.12 (ก) แต่เมือ่ คน ตรวจสอบผล
ขับรถง่วงหรืออ่อนเพลีย ศีรษะจะเอนไปข้างหน้า สนามโน้มถ่วง 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน
ท�าให้ปรอทไหลไปสัมผัสกับขั้วไฟฟ้าของสวิตช์ ท�าให้ครบวงจร
เพื่ อ ตรวจสอบความเข า ใจก อ นเรี ย นของ
ไฟฟ้าจึงส่งเสียงเตือนหรือเสียงปลุกดังขึ้น ดังภาพที่ 2.12 (ข) ภาพที่ 2.11 เครื่องเตือนการหลับใน
นักเรียน
เสียงปลุกท�าให้เกิดการตื่นตัวและเสียงจะเงียบทันทีเมื่อศีรษะตั้ง ที่มา : www.endoacustica.com
ตรง โดยไม่ตอ้ งถอดเครือ่ งออกหรือปิดสวิตช์เครือ่ ง เครือ่ งป้องกันการหลับในนีเ้ หมาะกับคนขับรถ 2. ครู ต รวจสอบผลการทํ า แบบทดสอบความ
เพราะการหลับในขณะขับรถเป็นสาเหตุหลักอย่างหนึง่ ทีท่ า� ให้เกิดอุบตั ริ า้ ยแรงบนท้องถนน เครือ่ ง เขาใจกอนเรียนจาก Understanding Check
ป้องกันการหลับในนีย้ งั เหมาะส�าหรับผูท้ ตี่ อ้ งการความตืน่ ตัวขณะท�างาน เช่น เจ้าหน้าทีร่ กั ษาความ ในสมุดบันทึกประจําตัว
ปลอดภัย ผู้ควบคุมเครื่องจักร นักศึกษาขณะเรียนหรือขณะอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ เป็นต้น 3. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน เรื่อง แรง
จากสนามโนมถวง
4. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question เรือ่ ง
แรงจากสนามโนมถวง ในสมุดบันทึกประจําตัว
(ก) (ข) 5. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง แรงจากสนาม
ภาพที่ 2.12 ลักษณะการใช้งานของเครื่องเตือนการหลับใน
ที่มา : คลังภาพ อจท. โนมถวง จากแบบฝกหัด วิทยาศาสตรกายภาพ
Topic 2 (ฟสิกส) ม.5
? Question 6. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
คําชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
1. น�้าหนักของวัตถุจะผ่านจุดใดในวัตถุ และในทิศทางใด และการทํางานกลุม
2. วัตถุทมี่ มี วล 10 กิโลกรัม จะมีนา�้ หนักเท่าใดบนโลก และจะมีมวลและน�า้ หนักเท่าใดบนดวงจันทร์ 7. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป
3. เหตุใดความเร่งโน้มถ่วงจึงมีค่าเปลี่ยนไป (เล็กน้อย) ตามต�าแหน่งต่าง ๆ บนพื้นผิวโลก เนือ้ หา เรือ่ ง แรงจากสนามโนมถวง ทีน่ กั เรียน
4. จงอธิบายการเปลี่ยนแปลงของความเร็วของวัตถุที่เคลื่อนที่ขึ้นและลงในแนวดิ่งในสนามโน้ม ไดสรางขึ้นจากขั้นขยายความเขาใจเปนราย
ถ่วงของโลก บุคคล
5. วัตถุทเี่ คลือ่ นทีข่ นึ้ ไปในแนวดิง่ ด้วยความเร็วต้น 19.6 เมตรต่อวินาที จะขึน้ ไปถึงต�าแหน่งสูงสุด
ในเวลากีว่ นิ าที และจะตกกลับมายังต�าแหน่งเริม่ ต้นในเวลากีว่ นิ าที (นับจากเริม่ เคลือ่ นที)่ โดย
มีความเร็วเท่าใดขณะตกกลับมาถึงต�าแหน่งเริ่มต้น (ไม่คิดผลจากแรงต้านอากาศ)
แรงในธรรมชาติ 59
3
ระดับคะแนน
2 1
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ 1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
1
คะแนน
รายการประเมิน
ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
4 3
ระดับคุณภาพ
2 1
จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น
2. ผลงานมีความ
ถูกต้องสมบูรณ์
3. ผลงานมีความคิด
เนื้อหาสาระของผลงาน
ถูกต้องครบถ้วน
ผลงานแสดงออกถึง
จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น
เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น
ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ
กับจุดประสงค์
เนื้อหาสาระของผลงาน
ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ผลงานไม่แสดงแนวคิด
9.8 m/s สวนในชวงการเคลื่อนที่ลง ความเร็วของวัตถุจะเพิ่มขึ้นวินาที 2 ความถูกต้องของเนื้อหา สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
3 ความคิดสร้างสรรค์
ระบบ
4 ความเป็นระเบียบ
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
T67
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. แรง¨ากสนามไฟฟ้า Prior Knowledge
2. ครูสนทนากับนักเรียน ทบทวนความรู เรื่อง ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับแรงไฟฟ้าที่สังเกตได้ตั้งแต่สมัย áรงä¿¿‡ำกัº
แรงจากสนามโนมถวง กรีกโบราณ คือ ภายหลังการเช็ดถูแท่งอ�าพันด้วยผ้าขนสัตว์ áรงâ¹้มถ‹วง
3. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ àËม×อ¹ Ëร× อµ‹ำงกั¹
แท่งอ�าพันจะดูดวัสดุเบา ๆ ได้ ต่อมามีผู้ทดลองถูวัตถุอื่น ๆ เช่น อย‹ำงäร
เรียน กับนักเรียนวา “แรงไฟฟากับแรงโนมถวง แท่งแก้ว แท่งยาง ด้วยวัสดุตา่ ง ๆ กัน ไม่วา่ จะเป็นผ้าไหม ผ้าขน
เหมือนหรือตางกัน อยางไร” โดยเมื่อนักเรียน สัตว์ ผ้าฝ้าย หรือผ้าแพร แล้วพบว่า วัตถุนั้นดูดวัสดุเบา ๆ ได้เช่นเดียวกับแท่งอ�าพัน โดยในช่วง
ไดสืบเสาะหาความรูแลวนักเรียนจะตองตอบ แรก ๆ ทีส่ งั เกตพบไม่ทราบว่าเป็นผลจากสิง่ ใด แต่ในเวลาต่อมาทราบว่าเป็นผลจากแรงไฟฟ้าจาก
คําถามได ประจุไฟฟ้าในวัตถุ
2.1 แรงไฟฟ้าและสนามไฟฟ้า
1. แรงไฟฟ้า (electric force) เป็นแรงกระท�าระหว่างประจุไฟฟ้า ซึ่งมีทั้งที่เป็นแรงผลัก
และแรงดึงดูด (ต่างจากแรงโน้มถ่วงทีเ่ ป็นเพียงแรงดึงดูด) สอดคล้องกับการมีประจุไฟฟ้า (electric
charge) หรือเรียกสั้น ๆ ว่าประจุ (charge) มี 2 ชนิด คือ ประจุบวกและประจุลบ โดยแรงไฟฟ้า
ระหว่างประจุชนิดเดียวกันจะเป็นแรงผลัก ส่วนแรงไฟฟ้าระหว่างประจุตา่ งชนิดกันจะเป็นแรงดึงดูด
แรงไฟฟ้าระหว่างอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าคู่หนึ่ง ๆ จากการทดลองเพื่อศึกษาความสั
1 มพันธ์ระหว่าง
ขนาดของแรงระหว่างประจุกับปริมาณประจุบนทรงกลมตัวน�าของคูลอมบ์ ประจุที่กระจายอยู่บน
ทรงกลมตัวน�ามีสภาพเป็นจุดประจุ (point charge) คูลอมบ์จงึ สรุปผลการทดลองว่า ขนาดของแรง
ระหว่างจุดประจุแปรผันตรงกับผลคูณของปริมาณประจุของจุดประจุทั้งสอง (F ∝ Q1Q2) แต่
แปรผกผันกับก�าลังสองของระยะห่างระหว่างจุดประจุทั้งสอง (F ∝ 12 ) โดยแรงที่กระท�าต่อแต่ละ
r
จุดประจุจะมีขนาดเท่ากันและทิศตรงข้ามกันเสมอ ซึ่งไม่ขึ้นกับปริมาณประจุของแต่ละจุดประจุ
เรียกผลสรุปดังกล่าวว่า กฎของคูลอมบ์ (Coulomb’s law) สามารถค�านวณหาขนาดของแรง
ระหว่างจุดประจุได้จากสมการ
สนามไฟฟา
T68 www.aksorn.com/interactive3D/RKB27
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
วัตถุทุกชนิดประกอบด้วยอะตอม และภายในอะตอมประกอบด้วยอนุภาคมูลฐาน 1. ครูใหนักเรียนสืบเสาะหาความรู เรื่อง แรง
(elementary particle) 3 ชนิด คือ โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน ไฟฟา จากหนังสือเรียน
โปรตอน (proton) เป็นอนุภาคย่อยของอะตอม มีประจุไฟฟ้าเป็นบวก นิวตรอน (neutron) 2. ครูใหนักเรียนสรุปแนวคิด (concept) ที่ได
เป็นอนุภาคย่อยของอะตอมอีกตัวหนึ่งที่ไม่มีประจุไฟฟ้า (เป็นกลางทางไฟฟ้า) และอิเล็กตรอน จากการสืบเสาะหาความรู เรื่อง แรงไฟฟา
(electron) เป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเป็นลบ โดยโปรตอนซึ่งมีประจุบวกกับนิวตรอนที่ไม่มีประจุ พรอมทั้งสมการที่ใชในการคํานวณหาขนาด
รวมกันอยูใ่ นนิวเคลียส ส่วนอิเล็กตรอนซึง่ มีประจุลบจะเคลือ่ นทีไ่ ปรอบ ๆ นิวเคลียส และในสภาวะ ของแรงระหวางจุดประจุ ลงในสมุดบันทึก
ปกติภายในอะตอมจะมีโปรตอนและอิเล็กตรอนจ�านวนเท่ากัน ปริมาณประจุสุทธิในแต่ละอะตอม ประจําตัว
จึงเป็นศูนย์ ส่งผลให้วัตถุในสภาวะปกติมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า เพราะปริมาณประจุบวกและ
ประจุลบในวัตถุมีค่าเท่ากัน
ตารางที่ 2.1 : การเปรียบเทียบความแตกต่างของอนุภาคมูลฐานของอะตอม
อนุภาค โปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน
สัญลักษณ์ p หรือ p+ n หรือ n0 e หรือ e-
มวล (กิโลกรัม) 1.673 × 10-27 1.675 × 10-27 9.109 × 10-31
ประจุไฟฟ้า (คูลอมบ์) 1.602 × 10-19 0 1.602 × 10-19
ชนิดประจุไฟฟ้า +1 0 -1
วัตถุที่เป็นกลางทางไฟฟ้าจะเปลี่ยนไปเป็นวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าเมื่อได้รับหรือสูญเสีย
อิเล็กตรอน วัตถุทสี่ ญู เสียอิเล็กตรอนจะเปลีย่ นไปเป็นวัตถุทมี่ ปี ระจุบวก ส่วนวัตถุทไี่ ด้รบั อิเล็กตรอน
จะเปลี่ยนไปเป็นวัตถุที่มีประจุลบ โดยแรงไฟฟ้าระหว่างวัตถุที่มีประจุเป็นเช่นเดียวกับแรงไฟฟ้า
ระหว่างอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า กล่าวคือ วัตถุที่มีประจุเหมือนกันจะส่งแรงผลักกระท�าต่อกัน
ส่วนวัตถุที่มีประจุต่างกันจะส่งแรงดึงดูดกระท�าต่อกัน
2. สนามไฟฟ้า (electric field) เมือ่ พิจารณาบริเวณรอบ ๆ วัตถุทมี่ ปี ระจุไฟฟ้าจะมีสนาม
ไฟฟ้า (E) แผ่กระจายในบริเวณรอบประจุ เช่น สนามไฟฟ้าของประจุบวกและประจุลบ ดังภาพที่
2.13 ซึ่งตรวจสอบได้โดยน�าประจุทดสอบขนาด +q (จุดประจุบวกที่มีปริมาณประจุน้อยมาก) ไป
วางทีต่ า� แหน่งต่าง ๆ โดยรอบวัตถุทมี่ ปี ระจุ จากการพิจารณาทิศของแรงทีก่ ระท�าต่อประจุทดสอบที่
ต�าแหน่งต่าง ๆ จะท�าให้ได้เส้นสนามไฟฟ้า (electric field lines) ซึ่งสนามไฟฟ้าที่จุดนั้น ๆ เท่ากับ
แรงที่กระท�าต่อประจุทดสอบขนาดหนึ่งหน่วยคูลอมบ์ที่วางอยู่ ณ ต�าแหน่งนั้น (E = +Fq ) จากกฎ
ของคูลอมบ์สามารถหาสนามไฟฟ้า ณ ต�าแหน่งดังกล่าวได้ จากสมการ
E = kQ2
r
แรงในธรรมชาติ 61
ขอสอบเนน การคิด
ลูกพิท 2 ลูก แตละลูกมีประจุ +1 ไมโครคูลอมบ วางอยูหางกันเปนระยะ 3 เซนติเมตร แรงไฟฟาและสนามไฟฟาที่เกิดขึ้นบนลูกพิท
มีขนาดเทากับขอใด
kQ1Q2
1. 1 นิวตัน และ 1 นิวตันตอคูลอมบ จากสมการ F =
r2 9
2. 0.001 นิวตัน และ 1 นิวตันตอคูลอมบ -6
F = (9 × 10 )(1 × 10 -2)(1
-6
× 10 )
2
3. 0.001 นิวตัน และ 1,000 นิวตันตอคูลอมบ (3 × 10 )
-3
6
4. 10 นิวตัน และ 10 × 10 นิวตันตอคูลอมบ F = 9 × 10
= 10 N
6
9 × 10-4
5. 0.01 นิวตัน และ 10 × 10 นิวตันตอคูลอมบ และจากสมการ E = kQ2
(วิเคราะหคําตอบ จากโจทย สามารถวาดภาพได ดังนี้ r 9 -6
E = (9 × 10 )(1 × 10 )
-2 2
3 cm (3 × 10 )
3
E = 9 × 10-4 = 10 × 106 N/C
9 × 10
จะไดวา แรงไฟฟาและสนามไฟฟาทีเ่ กิดขึน้ บนลูกพิทมีขนาด
+1 μµ C +1 μ
µ C เทากับ 10 นิวตัน และ 10 × 106 นิวตันตอคูลอมบ ตามลําดับ
ดังนั้น ตอบขอ 4.)
T69
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3. ครู นํ า นั ก เรี ย นอภิ ป รายเพื่ อ แสดงตาราง
E
เปรียบเทียบความแตกตางของอนุภาคมูลฐาน
ของอะตอม จากนั้ น ครู สุ ม นั ก เรี ย นออกมา E
หน า ชั้ น เรี ย นแล ว เติ ม ข อ มู ล ลงในตารางให E
ถูกตอง E
4. ครูใหนักเรียนสืบเสาะหาความรู เรื่อง สนาม (ก) ประจุบวก (โปรตอน) (ข) ประจุลบ (อิเล็กตรอน)
ไฟฟา จากหนังสือเรียน พรอมทัง้ จดบันทึกสรุป ภาพที่ 2.13 สนามไฟฟาของประจุไฟฟา
ความรูลงในสมุดบันทึกประจําตัว ที่มา : คลังภาพ อจท.
5. ครูแจกใบงาน เรื่อง แรงจากสนามไฟฟา ให
จากภาพที่ 2.13 แสดงใหเห็นเสนสนามไฟฟาของจุดประจุ (อนุภาคที่มีประจุไฟฟาหรือ
นักเรียนศึกษา แลวรวบรวมสงครูทายชั่วโมง
วัตถุทมี่ ปี ระจุ ซึง่ มีขนาดเล็ก เชน ทรงกลมตัวนําเล็ก ๆ) สังเกตวาเสนสนามไฟฟาของจุดประจุบวก
เปนเสนตรงที่มีทิศพุงออกตามแนวรัศมีของวงกลมที่มีจุดประจุบวกเปนศูนยกลาง สวนเสน
สนามไฟฟาของจุดประจุลบเปนเสนตรงที่มีทิศพุงเขาตามแนวรัศมีของวงกลมที่มีจุดประจุลบเปน
ศูนยกลาง เสนสนามไฟฟามีลกั ษณะตางกันตามลักษณะของวัตถุมปี ระจุทเี่ ปนตนกําเนิด เชน วัตถุ
ที่มีประจุตางชนิดกันอยูใกลกันเสนสนามไฟฟารวมของประจุทั้งสองจะเปน ดังภาพที่ 2.14 (ก)
สวนวัตถุที่มีประจุชนิดเดียวกัน เสนสนามไฟฟาจะเปน ดังภาพที่ 2.14 (ข)
จุดสะเทิน
62
ขอสอบเนน การคิด
จากภาพ ที่จุด A ขนาดของสนามไฟฟามีคาเทาใด
E1 (วิเคราะหคําตอบ จากสมการ E = kQ2
Eลัพธ
r
A เนื่องจากE1 = E2
9 -6
E2 จะไดวา E1 = E2 = (9 × 10 )(62 × 10 )
3
3
E1 = E2 = 54 × 10
9
E1 = E2 = 6 × 103 N/C
จากภาพโจทย สามารถหาสนามไฟฟาลัพธไดจากสมการ
Q1 = +6 μC + 60 ํ 60 ํ - Q = -6 μC
3m 2 Eลัพธ = E1 cos 60 ํ + E2 cos 60 ํ
1. 2 × 103 นิวตันตอคูลอมบ Eลัพธ = 2E1 cos 60 ํ
2. 3 × 106 นิวตันตอคูลอมบ Eลัพธ = (2)(6 × 103)( 12 )
3. 6 × 103 นิวตันตอคูลอมบ Eลัพธ = 6 × 103 N/C
4. 9 × 106 นิวตันตอคูลอมบ จะไดวา สนามไฟฟาที่จุด A มีขนาดเทากับ 6 × 103 นิวตันตอคูลอมบ
5. 15 × 103 นิวตันตอคูลอมบ ดังนั้น ตอบขอ 3.)
T70
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
สังเกตว่าเส้นสนามไฟฟ้าจะไม่ตัดกันที่จุดหนึ่ง ๆ ในสนามไฟฟ้าจึงมีเส้นแรงไฟฟ้าผ่าน 1. ครูสุมนักเรียนออกมาหนาชั้นเรียน จากนั้นให
เพียงเส้นเดียว จากภาพที่ 2.14 (ข) จะพบว่า ไม่มเี ส้นแรงไฟฟ้าผ่านกึง่ กลางระหว่างจุดประจุทงั้ สอง อธิบายคําตอบที่นักเรียนไดทําลงไปในใบงาน
(ซึ่งมีประจุเหมือนกันและมีปริมาณประจุเท่ากัน) แสดงว่า กึ่งกลางระหว่างจุดนั้นไม่มีสนามไฟฟ้า เรื่อง แรงจากสนามไฟฟา
หรือสนามไฟฟ้าเป็นศูนย์ (E = 0) เรียกว่า จุดสะเทิน (neutral point) ในสนามไฟฟ้า 2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อธิ บ ายเกี่ ย วกั บ แรง
ในความเป็นจริงแล้ว เส้นสนามไฟฟ้ามีอยูจ่ ริงแต่ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่แสดงให้เห็น ไฟฟาและสนามไฟฟา โดยครูใหนกั เรียนศึกษา
ได้จากการทดลอง โดยพิจารณาได้จากการเรียงตัวของผงตะไบเหล็กที่ลอยอยู่ในน�้ามันที่มี จากหนังสือเรียนควบคูไปกับการที่ครูอธิบาย
ขั้วไฟฟ้าซึ่งต่อกับแหล่งจ่ายไฟกระแสตรงโวลต์สูงจุ่มอยู่ เช่น เส้นสนามไฟฟ้าของสนามไฟฟ้า เพื่อใหเกิดความเขาใจในเนื้อหาสวนนั้นมาก
จากจุดประจุบวกและจุดประจุลบที่มีปริมาณประจุเท่ากัน ดังภาพที่ 2.15 (ก) และเส้นสนามไฟฟ้า ยิ่งขึ้น
ของสนามไฟฟ้าจากประจุไฟฟ้าต่างชนิดกัน ปริมาณประจุเท่ากัน จะที่กระจายอย่างสม�่าเสมอ
บนแผ่นตัวน�าสองแผ่นที่วางขนานกัน ดังภาพที่ 2.15 (ข)
บริเวณที่มีเส้นสนามไฟฟ้าหนาแน่นมาก (เส้นสนามไฟฟ้าอยู่ชิดกัน) ขนาดของสนาม
ไฟฟ้าจะมีค่ามากกว่าบริเวณที่มีเส้นสนามไฟฟ้าหนาแน่นน้อย (เส้นสนามไฟฟ้าอยู่ห่างกัน) จาก
ลักษณะของเส้นสนามไฟฟ้าของจุดประจุ จุดประจุสองจุดประจุ และประจุทกี่ ระจายอย่างสม�า่ เสมอ
เป็นแนวตรง จึงพิจารณาได้ว่าขนาดของสนามไฟฟ้าบริเวณใกล้ ๆ ต้นก�าเนิดสนามไฟฟ้าเหล่านี้
มีคา่ มากกว่าขนาดของสนามไฟฟ้าบริเวณไกลออกไป สนามไฟฟ้าของต้นก�าเนิดสนามไฟฟ้าเหล่านี้
จึงเป็นสนามไฟฟ้าไม่สม�่าเสมอ ขณะที่สนามไฟฟ้าบริเวณระหว่างแผ่นตัวน�าขนานสองแผ่นที่
มีประจุต่างชนิดกัน ปริมาณประจุเท่ากัน จะกระจายอย่างสม�่าเสมอเป็นสนามไฟฟ้าสม�่าเสมอ
เนื่องจากเส้นสนามไฟฟ้าขนานกัน และทุกบริเวณมีเส้นสนามไฟฟ้าหนาแน่นเท่ากัน
(ก) (ข)
ภาพที่ 2.15 เส้นสนามไฟฟ้าที่ได้จากการทดลอง
ที่มา : http://tsgphysics.mit.edu
แรงในธรรมชาติ 63
ขอสอบเนน การคิด
ทรงกลมที่มีประจุไฟฟา 2 อัน ซึ่งมีประจุบวกและมีขนาดเทากันทั้งคู วางหางกันระยะทางคาหนึ่ง เสนสนามไฟฟาที่เกิดขึ้นเปนไป
ตามขอใด
1. 2. 3.
4. 5.
T71
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูอภิปรายกับนักเรียนเกีย่ วกับสนามไฟฟาของ 2.2 ¼ลของสนามไฟฟ้าต่ออนุÀาคที่มี»ระ¨ุไฟฟ้า
อนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟา จากนัน้ ครูตงั้ คําถามกับ สนามไฟฟ้าจะส่งแรงไฟฟ้ากระท�าต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าซึ่งอยู่ในสนามไฟฟ้า โดยแรง
นักเรียนวา “ถาอนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟาเคลือ่ นที่ ไฟฟ้าจากสนามไฟฟ้าที่กระท�าต่ออนุภาคที่มีประจุบวกจะมีทิศเดียวกับทิศของสนามไฟฟ้า ส่วน
ผานบริเวณที่มีสนามไฟฟาสมํ่าเสมอจะเปน แรงไฟฟ้าจากสนามไฟฟ้าที่กระท�าต่ออนุภาคที่มีประจุลบจะมีทิศตรงข้ามกับทิศของสนามไฟฟ้า
อยางไร” โดยเปดโอกาสใหนกั เรียนแสดงความ แรงไฟฟ้าจากสนามไฟฟ้าจึงท�าให้อนุภาคทีม่ ปี ระจุเคลือ่ นทีด่ ว้ ยความเร่ง โดยความเร่งของอนุภาค
คิดเห็นอยางอิสระ และยังไมเฉลยวาคําตอบ ทีม่ ปี ระจุบวกจะมีทศิ เดียวกับสนามไฟฟ้า ส่วนความเร่งของอนุภาคทีม่ ปี ระจุลบจะมีทศิ ตรงข้ามกับ
ของนักเรียนคนไหนถูกหรือผิด สนามไฟฟ้า
2. ครูใหนักเรียนสืบเสาะหาความรู เรื่อง ผลของ ถ้าอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเริ่มเคลื่อนที่จากหยุดนิ่งในสนามไฟฟ้าสม�่าเสมอที่มีทิศพุ่งลงตาม
สนามไฟฟาตออนุภาคที่มีประจุไฟฟา จาก แนวดิ่ง อนุภาคที่มีประจุบวกจะเคลื่อนที่ในแนวตรงด้วยความเร่งคงตัวลงไปในแนวดิ่ง แต่อนุภาค
หนังสือเรียน ที่มีประจุลบจะเคลื่อนที่ในแนวตรงด้วยความเร่งคงตัวขึ้นไปในแนวดิ่ง ดังภาพที่ 2.16 (ก) แต่ถ้า
3. ครูใหนักเรียนสรุปความรูเกี่ยวกับเรื่องที่กําลัง อนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้าเคลือ่ นทีด่ ว้ ยความเร็วต้นในแนวระดับเข้าไปในสนามไฟฟ้าสม�า่ เสมอทีม่ ที ศิ
ศึกษา โดยจดบันทึกลงในสมุดบันทึกประจําตัว พุง่ ลงตามแนวดิง่ เส้นทางการเคลือ่ นทีข่ องอนุภาคจะเป็นโค้งพาราโบลา โดยเป็นโค้งพาราโบลาคว�า่
4. ครูถามคําถามทาทายการคิดขัน้ สูงกับนักเรียน ถ้าอนุภาคที่มีประจุบวก และเป็นโค้งพาราโบลาหงายถ้าเป็นอนุภาคที่มีประจุลบ ซึ่งในทันทีที่พ้น
วา “ถาใหอิเล็กตรอนเคลื่อนที่ในแนวตั้งฉาก จากสนามไฟฟ้าอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าจะเคลื่อนที่ต่อไปในแนวตรง ดังภาพที่ 2.16 (ข)
กับสนามไฟฟาสมํ่าเสมอ แนวการเคลื่อนที่
ของอิเล็กตรอนจะเปลี่ยนไปหรือไม อยางไร”
โดยครูมอบหมายใหนักเรียนเขียนคําตอบของ
ตนเองลงในสมุดบันทึกประจําตัว
5. ครูใหนกั เรียนศึกษา เรือ่ ง ประโยชนจากสนาม E E
ไฟฟา จากหนังสือเรียน (ก) เริ่มเคลื่อนที่จากหยุดนิ่ง (ข) เคลื่อนที่เข้าไปในแนวตั้งฉากกับสนามไฟฟ้า
ภาพที่ 2.16 เส้นทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มี
ประจุไฟฟ้าในสนามไฟฟ้าสม�่าเสมอ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
คําถามทาทายการคิดขัน
้ สูง
ถ้าให้อิเล็กตรอน
จากภาพที่ 2.16 จะสังเกตได้ว่า การเคลื่อนที่ของอนุภาค เคลื่อนที่ในแนวตั้งฉากกับ
ที่ มี ป ระจุ ไ ฟฟ้ า บวกในสนามไฟฟ้ า สม�่ า เสมอในกรณี ทั้ ง สอง สนามไฟฟ้าสม�่าเสมอ แนว
แนวตอบ H.O.T.S. คล้ายกับการเคลื่อนที่ของวัตถุในสนามโน้มถ่วง (ของโลก) โดย การเคลือ่ นทีข่ องอิเล็กตรอน
อิเล็กตรอนเปนอนุภาคที่มีประจุไฟฟาลบ เมื่อ กรณีแรกคล้ายกับการตกแบบเสรี ส่วนกรณีที่สองคล้ายกับการ จะเปลีย่ นไปหรือไม่ อย่างไร
เคลื่อนที่ในแนวตั้งฉากกับสนามไฟฟาสมํ่าเสมอ เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์เมื่อความเร็วต้นอยู่ในแนวระดับ
แนวการเคลือ่ นทีข่ องอิเล็กตรอนจะเบนออกเปนเสน
64
โคงพาราโบลา ซึง่ ทิศทางการเบนออกนีจ้ ะสวนทาง
กับทิศทางของสนามไฟฟาสมํ่าเสมอ
ขอสอบเนน การคิด
เมื่อใหอิเล็กตรอนเคลื่อนที่ผานบริเวณที่มีสนามไฟฟาสมํ่าเสมอ ดังภาพ แนวการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนจะเปนอยางไร
อิเล็กตรอน สนามไฟฟา
-
1. 2. 3. 4. 5.
(วิเคราะหคําตอบ จากโจทย สนามไฟฟามีทิศพุงขึ้นตามแนวดิ่ง อิเล็กตรอนเปนอนุภาคที่มีประจุไฟฟาลบ เนื่องจาก
อนุภาคที่มีประจุไฟฟาลบเคลื่อนที่ผานสนามไฟฟาสมํ่าเสมอจะเกิดแรงไฟฟากระทําในทิศสวนทางกับสนามไฟฟา
นั่นคือ แรงไฟฟาจึงกระทําตออิเล็กตรอนในทิศพุงลงตามแนวดิ่ง อิเล็กตรอนจึงมีแนวการเคลื่อนที่โคงลง ดังภาพ
อิเล็กตรอน สนามไฟฟา
ดังนั้น ตอบขอ 4.) -
T72
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
2.3 »ระโยªน์¨ากสนามไฟฟ้า 1. นักเรียนเก็บรวบรวมสมุดบันทึกประจําตัวสงครู
การเรียนรูเ้ กีย่ วกับแรงไฟฟ้าและสนามไฟฟ้าช่วยให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ในธรรมชาติ เพื่อตรวจคําตอบคําถามทาทายการคิดขั้นสูง
ทัง้ ใกล้และไกลตัวมากขึน้ ซึง่ ในปัจจุบนั มนุษย์ใช้ประโยชน์จากแรงไฟฟ้าและสนามไฟฟ้าทัง้ ในชีวติ 2. ครูสุมนักเรียนออกมาหนาชั้นเรียน จากนั้นให
ประจ�าวันและการท�างาน อธิบายการนําความรูเกี่ยวกับสนามไฟฟาไป
1. เครื่องถ่ายเอกสาร เป็นอุปกรณ์ส�าหรับถ่ายส�าเนาสิ่งพิมพ์ ประกอบด้วยแผ่นฟิล์มที่ ประยุกตใชในชีวติ ประจําวัน จากสิง่ ทีไ่ ดศกึ ษา
ฉาบด้วยตัวน�าซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษ คือ จะเป็นตัวน�าเมื่อโดนแสง และเป็นฉนวนเมื่อไม่โดนแสง มาแลว
โดยเครื่องถ่ายเอกสารมีส่วนประกอบและหลักการท�างาน ดังนี้ 3. ครูตรวจคําตอบคําถามทาทายการคิดขั้นสูง
แลวคืนสมุดบันทึกประจําตัวใหนักเรียน
ส่วน»ระกอºและหลักการท�างานของเครื่องถ่ายเอกสาร ขยายความเขาใจ
หลักการทํางาน
• เมื่อเครื่องเริ่มท�างาน 1. ครูนาํ อภิปรายขยายความเขาใจนักเรียน โดยใช
ส่วนทําความร้อน แผ่นฟิล์มจะมีประจุบวก PowerPoint เรื่อง แรงจากสนามไฟฟา ให
ให้ความร้อนแก่ผงหมึกท�าให้ผงหมึก • หลอดไฟในเครือ่ งถ่าย
ละลายติดแน่นบนกระดาษ นักเรียนศึกษาควบคูไปดวย
เอกสารส่องแสงผ่านสิง่ พิมพ์
ให้ หั ก เหผ่ า นเลนส์ ไ ปตก 2. ครูใหนักเรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรื่อง แรง
เอกสารต้นฉบับ กระทบกับแผ่นฟิลม์ บริเวณ จากสนามไฟฟา ลงในกระดาษ A4 พรอมทั้ง
สีขาวบนสิง่ พิมพ์แสงสามารถ ตกแตงใหสวยงาม
ทะลุมากระทบแผ่นฟิล์ม ไม่
เกิ ด ประจุ บ วกบริ เ วณที่ ถู ก
แสง ส่วนบริเวณที่เป็นลาย
เส้นสีด�าไม่มีแสงตกกระทบ
กระดาษ กับแผ่นฟิล์ม เกิดประจุบวก
ท�าส�าเนา ส�าเนาออก บริเวณที่ไม่ถูกแสง
• พ่ น ผงหมึ ก ซึ่ ง มี ป ระจุ ล บ
กระจกเงา ลูกกลิ้ง ลงบนฟิล์ม ผงหมึกติดกับ
ท�าหน้าทีโ่ ฟกัสภาพของ มีลักษณะเป็นทรงกระบอก แผ่นฟิล์มเฉพาะบริเวณที่มี
เอกสารต้นฉบับลงบน อะลูมิเนียม เคลือบผิวด้วย ประจุบวก ท�าให้ได้ลายเส้น
ลูกกลิ้งรับภาพ เซเลเนียม ท�าหน้าที่สร้าง เหมือนต้นฉบับ จากนั้นกด
ภาพและถ่ายทอดภาพไปยัง แผ่นกระดาษที่มีประจุบวก
กระดาษ
ลงบนฟิลม์ ทีม่ ผี งหมึก จะได้
ภาพที่ 2.17 ส่วนประกอบและหลักการท�างานของเครื่องถ่ายเอกสาร ภาพส�าเนาทีเ่ หมือนต้นฉบับ
ที่มา : คลังภาพ อจท. และน�าไปอบความร้อนเพื่อ
ให้ผงหมึกติดแน่น ท�าให้ได้
ส�าเนาที่ชัดเจนและถาวร
แรงในธรรมชาติ 65
T73
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
3. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน 2. เครือ่ งพ่นสี เป็นอุปกรณ์สา� หรับพ่นผงสี เพือ่ ให้สยี ดึ ติดชิน้ งานได้ดกี ว่าการพ่นแบบปกติ
ของตนเองหนาชั้นเรียน เหมาะส�าหรับงานทีต่ อ้ งใช้สปี ริมาณมาก และเป็นผลดีตอ่ สิง่ แวดล้อมเนือ่ งจากมีสารเคมีตกค้างใน
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาและทํ า แบบฝ ก หั ด จาก สิง่ แวดล้อมน้อย โดยหลักการพ่นสีดว้ ยเครือ่ งพ่นสีระบบไฟฟ้าสถิตนีส้ ามารถน�าไปใช้ในการเคลือบ
Topic Question เรื่อง แรงจากสนามไฟฟา ผิวชิ้นงานด้วยผงจากวัสดุอื่น ๆ เช่น การเคลือบผิวด้วยพลาสติก การเคลือบผิวด้วยไฟเบอร์ (การ
ลงในสมุดบันทึกประจําตัว ท�าพรมกระดาษปิดผนัง การท�าลวดลายบนเสื้อผ้า) เป็นต้น โดยเครื่องพ่นสีมีส่วนประกอบและ
5. ครูมอบหมายการบานใหนกั เรียนทําแบบฝกหัด หลักการท�างาน ดังนี้
เรื่อง แรงจากสนามไฟฟา จากแบบฝกหัด
ส่วน»ระกอºและหลักการท�างานของเครื่อง¾่นสี หลักการทํางาน
วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 • ท�าให้ผงสีกลายเป็นอนุภาคที่
มีประจุไฟฟ้า
ขัน้ สรุป อิเล็กโทรด • เมื่ อ ผงสี เ ป็ น อนุ ภ าคที่ มี
ตรวจสอบผล เป็นขั้วไฟฟ้าที่ให้ประจุลบแก่ละอองสี ประจุไฟฟ้าแล้ว ขณะถูกพ่น
ออกจากเครื่องพ่น ผงสีจะ
นักเรียนและครูรว มกันสรุปความรูเ กีย่ วกับแรง เกาะติดชิน้ งานได้ดยี งิ่ ขึน้
ไฟฟาและสนามไฟฟา เพื่อใหนักเรียนทุกคนไดมี • อากาศและสีในสภาพของ
ความเขาใจในเนื้อหาที่ไดศึกษามาแลวไปในทาง เหลวบรรจบกันที่ปลายหัว
อากาศ ฉีด ความดันอากาศท�าให้สี
เดียวกัน โดยครูใหนักเรียนเขียนสรุปความรูลงใน + กระจายออกเป็นละอองสี
สมุดบันทึกประจําตัว ของเหลว - • ละอองสีได้รับประจุลบเมื่อ
เคลื่ อ นผ่ า นอิ เ ล็ ก โทรดที่
ปลายหัวฉีดก่อนพุง่ ออกจาก
ขัน้ ประเมิน ชิ้นงาน หัวฉีดไปยังชิน้ งาน
• แรงดึงดูดระหว่างประจุต่าง
ตรวจสอบผล เมื่อต่อกับความต่างศักย์โวลต์สูงจะมี
ประจุตรงข้ามกับละอองสี (ประจุบวก) ชนิดกันของละอองสีกับชิ้น
1. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง แรงจากสนาม งานเป็นกลางจะดึงดูดละออง
ไฟฟา จากแบบฝกหัด วิทยาศาสตรกายภาพ สีให้เกาะติดชิน้ งาน
• หลังการพ่นสีปล่อยให้สแี ห้ง
2 (ฟสิกส) ม.5 ข้อเสียของเครื่องพ่นสี ชิ้นงานที่เป็นรูปเหลี่ยมบริเวณขอบ โดยการผึง่ ลมหรืออบสี เพือ่
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ และมุมของชิ้นงานจะมีสีเคลือบหนากว่าบริเวณอื่นซึ่งแก้ไขได้โดย ให้ผงสีเคลือบติดแน่นกับผิว
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล การปิดระบบให้ประจุไฟฟ้าแก่ละอองสีเมือ่ พ่นสีไปทีข่ อบหรือมุมของ ชิน้ งาน
และการทํางานกลุม ชิ้นงานและมีข้อควรระวัง คือ ถ้าชิ้นงานไม่ได้ต่อลงดิน ละอองสีที่มี • ถ้าชิน้ งานเป็นโลหะ ท�าให้ชนิ้
ประจุจะพุ่งเข้าสิ่งที่ต่อลงดิน (มีศักย์ไฟฟ้าเท่ากับดินหรือเป็นกลาง) งานมีประจุตรงข้ามกับผงสี
ที่อยู่ใกล้ที่สุดแทน โดยต่อชิ้นงานเข้ากับความ
ต่างศักย์สูง ๆ จะท�าให้ผงสี
ภาพที่ 2.18 ส่วนประกอบและหลักการท�างานของเครื่องพ่นสี เคลือบผิวชิน้ งานได้ดยี งิ่ ขึน้
ที่มา : คลังภาพ อจท.
66
5. ประจุอะไรก็ได เคลื่อนที่ขึ้น
คะแนน จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
ระดับคุณภาพ 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ลาดับที่ รายการประเมิน ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
(วิเคราะหคําตอบ หากสนามไฟฟามีทิศลงตามแนวดิ่งประจุบวก
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
3 ความคิดสร้างสรรค์
ระบบ
4 ความเป็นระเบียบ
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
รวม ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
ขึ้นกับหยดนํ้ามันเปลี่ยนเปนทิศลงตามแนวดิ่ง ทําใหหยดนํ้ามัน
เคลื่อนที่ลงสูพื้น ดังนั้น ตอบขอ 1.)
T74
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
3. การประยุกต์ใช้ไฟฟ้าสถิตกับการทดลองหาประจุไฟฟ้า การทดลองหยดน�า้ มันของ 3. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป
มิลลิแกน (Millikan’s oil drop experiment) เพือ่ หาประจุของอิเล็กตรอนโดยใช้หลักสมดุลของแรง เนื้อหา เรื่อง แรงจากสนามไฟฟา ที่นักเรียน
เนื่องจากสนามไฟฟ้าเท่ากับแรงจากสนามโน้มถ่วง ไดสรางขึ้นจากขั้นขยายความเขาใจเปนราย
1 2 3 บุคคล
4. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน เรื่อง แรง
จากสนามไฟฟา
qE 5. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question เรือ่ ง
E E E แรงจากสนามไฟฟา ในสมุดบันทึกประจําตัว
mg
T75
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครูสนทนาและซักถามประสบการณเดิมของ 3. แรง¨ากสนามแม่เหลçก Prior Knowledge
นักเรียนเกี่ยวกับ เรื่อง แมเหล็ก ที่เคยรับรู แม่เหล็ก (magnet) เป็นวัตถุที่ดึงดูดวัตถุที่มีเหล็กเป็นส่วน ผล¢องส¹ำมáม‹àËลçก
มาก อ น โดยครู อ าจใช คํ า ถามต อ ไปนี้ ถ าม ประกอบได้ นอกจากนี้ แม่เหล็กยังสามารถดึงดูดนิกเกิล (Nickel; áละผล¢องส¹ำมä¿¿‡ำ
นักเรียน ซึง่ ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนแสดงความ µ‹ออ¹ุภำคทÕมè ปÕ ระจุ
Ni) และโคบอลต์ (Cobalt; Co) ได้ดว้ ย โดยสารทีแ่ ม่เหล็กดึงดูดได้ ä¿¿‡ำµ‹ำงกั¹อย‹ำงäร
คิดเห็นอยางอิสระ โดยยังไมเฉลยวาคําตอบ เรียกว่า สารแม่เหล็ก (magnetic substances) à¾รำะà˵ุãด
ของใครถูกหรือผิด เชน
3.1 แรงแม่เหลçกและสนามแม่เหลçก
• แมเหล็กที่นักเรียนรูจักหมายถึงอะไร
• แมเหล็กมีกี่ชนิด และแตละชนิดมีจุดเดน ปรากฏการณ์ เ กี่ ย วกั บ แรงแม่ เ หล็ ก สั ง เกตพบมาตั้ ง แต่ ส มั ย กรี ก โบราณเช่ น เดี ย วกั บ
อยางไร ปรากฏการณ์ทางไฟฟ้า เริ่มจากการขุดพบก้อนสินแร่แมกนีไทต์ (magnetite; Fe3O4) และพบว่า
• นักเรียนสามารถใชประโยชนจากแมเหล็ก
ก้อนสินแร่นี้ดึงดูดวัตถุที่มีเหล็กเป็นองค์ประกอบได้ ซึ่งมีสมบัติสามารถดึงดูดเหล็กได้แรงมากจึง
เป็นแม่เหล็กธรรมชาติ เมื่อน�าก้อนสินแร่แม่เหล็กนี้ไปฝนเป็นทรงกลม พบว่าที่สองต�าแหน่งซึ่ง
นั้นไดอยางไร และนําไปใชอะไรบาง
อยู่ตรงข้ามกันตามแนวเส้นผ่านศูนย์กลางของ
2. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ
ทรงกลมมีอ�านาจแม่เหล็กแรงกว่าต�าแหน่งอื่น
3. ครูสนทนากับนักเรียน ทบทวนความรู เรื่อง เรียกต�าแหน่งทัง้ สองนีว้ า่ ขัว้ แม่เหล็ก (magnetic
แรงจากสนามไฟฟา pole) แม่เหล็กธรรมชาติจงึ มีขวั้ แม่เหล็กสองขัว้
4. ครู ถ ามคํ า ถาม Prior Knowledge จาก เสมอ ซึ่งการเรียกขั้วแม่เหล็กนั้นจะเรียกตาม
หนั ง สื อ เรี ย นกั บ นั ก เรี ย นว า “ผลของสนาม ทิศที่ชี้ไป คือ เรียกขั้วที่ชี้ไปทางทิศเหนือว่า
แมเหล็กและผลของสนามไฟฟาตออนุภาคทีม่ ี ขั้วเหนือ (north pole) และเรียกขั้วที่ชี้ไปทาง
ภาพที่ 2.20 ก้อนสินแร่แมกนีไทต์
ประจุไฟฟาตางกันอยางไร เพราะเหตุใด” ที่มา : คลังภาพ อจท. ทิศใต้ว่า ขั้วใต้ (south pole)
แม่เหล็กส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงใด
ก็ตามมักจะมีสองขั้ว เช่น แท่งแม่เหล็กรูป
เกือกม้า และแท่งแม่เหล็กตรงเป็นตัวอย่าง
ของแม่เหล็กสองขั้วที่พบเห็นทั่วไป ส�าหรับ
แท่งแม่เหล็กสองขั้ว ขั้วแม่เหล็กอาจอยู่บริเวณ
ปลายแท่งแม่เหล็ก (ปลายละขั้ว) หรืออยู่บน
ผิวด้านข้างของแท่งแม่เหล็ก (ผิวละขั้ว) โดย
แท่งแม่เหล็กที่มีขั้วอยู่บนผิวด้านข้าง เรียกว่า
แนวตอบ Prior Knowledge แม่เหล็กขั้วข้าง
ตางกัน เพราะแรงเนือ่ งจากสนามไฟฟากระทํา ภาพที่ 2.21 แท่งแม่เหล็ก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ต อ อนุ ภ าคที่ มี ป ระจุ ไ ฟฟ า ทั้ ง ที่ เ คลื่ อ นที่ แ ละไม
68
เคลื่อนที่ สวนแรงเนื่องจากสนามแมเหล็กกระทํา
ตออนุภาคที่มีประจุไฟฟาที่เคลื่อนที่เทานั้น
สนามแมเหล็ก
T76 www.aksorn.com/interactive3D/RKB28
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1
บริ2 เวณรอบ ๆ แท่งแม่เหล็กที่มีแรงแม่เหล็กกระท�าต่อสารแม่เหล็ก เช่น เหล็ก นิกเกิล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุมกันอยางอิสระ กลุมละ
โคบอลต์ เป็นบริเวณที่อยู่ในนสนามแม่เหล็ก (magnetic field) ของแท่งแม่เหล็ก ลักษณะของสนาม 3-4 คน
แม่เหล็กของแท่งแม่เหล็กพิจารณาได้จากลักษณะการเรียงตัวของผงตะไบเหล็ก (iron filings) ที่ 2. ครูใหนักเรียนสืบเสาะหาความรู เรื่อง แรง
โรยรอบ ๆ แท่งแม่เหล็กเรียงตัวกันเป็นแนว เรียกว่า เส้นสนามแม่เหล็ก (magnetic field lines) แมเหล็กและสนามแมเหล็ก จากหนังสือเรียน
หรือเส้นแรงแม่เหล็ก ดังภาพที่ 2.22 โดยเส้นของผงตะไบเหล็กจะไม่ข้ามกันและจะหนาแน่นมาก 3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นสื บ เสาะหาความรู เ พิ่ ม เติ ม
บริเวณขั้วแม่เหล็ก นอกจากนี้ ลักษณะการเรียงตัวของผงตะไบเหล็กที่โรยไว้ในบริเวณระหว่างขั้ว เกี่ยวกับเข็มทิศ จากอินเทอรเน็ต โดยเขียน
แม่เหล็กของแท่งแม่เหล็กสองแท่งจะช่วยให้สงั เกตพบธรรมชาติของแรงกระท�าระหว่างขัว้ แม่เหล็ก สรุปความรูลงในสมุดบันทึกประจําตัว
เหมือนกันและขั้วแม่เหล็กต่างกันได้
Science Focus
เขçมทิÈ
เข็มทิศ (compass) เป็นเครือ่ งมือส�าหรับใช้หาทิศทาง โดยมีเข็มแม่เหล็ก
ที่แกว่งไปมาอิสระในแนวระดับ ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ตามแรงดึงดูดของ
แม่เหล็กโลก และทีห่ น้าปัดมีสว่ นแบ่งส�าหรับหาทิศทางโดยรอบ เข็มทิศจึงมีปลาย
ชี้ไปทางทิศเหนือเสมอ
ภาพที่ 2.23 เข็มทิศ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แรงในธรรมชาติ 69
T77
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ครูนําแทงแมเหล็ก 2 แทง ขึ้นมาแสดงให เมื่อทดลองน�าเข็มทิศมาวางที่ต�าแหน่งต่าง ๆ รอบแท่งแม่เหล็กพบว่า การวางตัวของเข็ม
นักเรียนดู จากนั้นสุมนักเรียนออกมาหนาชั้น ทิศจะอยู่ในแนวเดียวกับเส้นสนามแม่เหล็ก โดยสนามแม่เหล็กจากแท่งแม่เหล็กจะมีทิศพุ่งออก
เรียน 2 คน ใหนักเรียนถือแทงแมเหล็กคนละ จากขั้วเหนือ (N) ไปยังขั้วใต้ (S) ดังภาพที่ 2.24
1 แทง แลวใหนักเรียนคนแรกหันขั้วเหนือไป
ดานหนา และนักเรียนคนที่สองหันขั้วใตไป
ดานหนา จากนั้นครูใหนักเรียนทั้งสองคนหัน
หนาเขาหากัน นําแทงแมเหล็กเขาใกลกนั แลว
ใหนักเรียนทั้งสองคนอธิบายผลที่เกิดขึ้น N S
5. ครูใหนักเรียนคนที่สองกลับดานแทงแมเหล็ก
ให หั น ขั้ ว เหนื อ ไปด า นหน า จากนั้ น ครู ใ ห
นั ก เรี ย นทั้ ง สองคนทํ า ซํ้ า เช น เดิ ม แล ว ให
นักเรียนทั้งสองคนอธิบายผลที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
ภาพที่ 2.24 การวางตัวของเข็มทิศในแนวเส้นสนามแม่เหล็ก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
S N จุดสะเทิน N S S N S N
(ก) หันขั้วชนิดเดียวกันเข้าหากัน
(ข) หันขั้วต่างชนิดกันเข้าหากัน
ภาพที่ 2.25 เส้นสนามแม่เหล็กระหว่างแท่งแม่เหล็ก 2 แท่ง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
70
T78
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ความเป็นจริงโลกมีสนามแม่เหล็กซึ่งมีสมบัติคล้ายกับแท่งแม่เหล็กขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลาง 6. ครูรวมกันอภิปรายผลที่เกิดขึ้นพรอมกับให
โลก วางตัวระหว่างทิศเหนือและทิศใต้ทางภูมิศาสตร์ของโลกโดยประมาณ อ�านาจแม่เหล็กของ นักเรียนศึกษาภาพแสดงเสนสนามแมเหล็ก
แม่เหล็กโลกเกิดจากขณะที่โลกหมุนรอบแกนตัวเอง โลหะเหลวในแกนโลกจะเคลื่อนที่เกิดการ ระหวางแทงแมเหล็ก 2 แทง จากหนังสือเรียน
ไหลวนของของเหลวภายในโลก ท�าให้เกิดสนามแม่เหล็ก และเนื่องจากขั้วเหนือของเข็มทิศจะชี้ 7. เมื่ อ นั ก เรี ย นทราบถึ ง ทิ ศ ทางของเส น สนาม
ไปยังจุดทางทิศเหนือ เรียกว่า ทิศเหนือแม่เหล็ก และท�านองเดียวกันทิศใต้ของเข็มทิศชี้ไปยัง แมเหล็กแลว ครูใหนักเรียนเปรียบเทียบสนาม
ทิศใต้แม่เหล็ก ดังภาพที่ 2.26 (ก) โดยแม่เหล็กสมมติใจกลางโลกจะมีขั้วใต้ที่ชี้ไปยังทิศเหนือ แมเหล็กโลก จากหนังสือเรียน
แม่เหล็ก ซึ่งอยู่ในทิศเหนือทางภูมิศาสตร์ (ขั้วโลกเหนือ) และมีขั้วเหนือที่ชี้ไปยังทิศใต้แม่เหล็ก 8. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสแกน QR Code
ซึ่งอยู่ในทิศใต้ทางภูมิศาสตร์ (ขั้วโลกใต้) จะพบว่า สนามแม่เหล็กโลกมีทิศพุ่งออกจากขั้วเหนือ เรือ่ ง สนามแมเหล็กโลก จากหนังสือเรียน เพือ่
(ทิศใต้แม่เหล็ก) ไปยังขั้วใต้ (ทิศเหนือแม่เหล็ก) ดังภาพที่ 2.26 (ข) ศึกษาเพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัล
ทิศเหนือแม่เหล็ก ทิศเหนือแม่เหล็ก ทิศเหนือทางภูมิศาสตร์
ทิศเหนือทางภูมิศาสตร์
N
S
S N
ทิศใต้แม่เหล็ก ทิศใต้แม่เหล็ก
ทิศใต้
ทิศใต้ทางภูมิศาสตร์ ทางภูมิศาสตร์
(ก) (ข)
ภาพที่ 2.26 สนามแม่เหล็กโลก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
Science Focus
สนามแม่เหลçกโลก
สนามแม่เหล็กโลกมีความส�าคัญต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก ช่วยป้องกันให้ปลอดภัยจากอันตรายของ
ลมสุริยะ (solar wind) ซึ่งเป็นกระแสอนุภาคที่มีประจุ ส่วนใหญ่เป็นโปรตอน อิเล็กตรอน และอนุภาค
แอลฟา ซึ่งพุ่งออกมาจากผิวของดวงอาทิตย์ ขณะเคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็กโลก อนุภาคเหล่านี้จะ
ถูกเบี่ยงเบนให้เคลื่อนที่อ้อมออกไปโดยอันตรกิริยาระหว่างสนามแม่
1 เหล็กโลกกับลมสุริยะส่งผลให้สนาม
แม่เหล็กโลกด้านตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ลู่ไปคล้ายดาวหาง เรียกลักษณะที่เกิดขึ้นว่า แมกนีโตสเฟยร์
(magnetosphere) นอกจากนี้ ยังส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ออโรรา (aurora) หรือแสงเหนือแสงใต้ด้วย
สนามแม่เหล็กโลก แรงในธรรมชาติ 71
T79
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
9. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นขางๆ แลวรวมกัน 3.2 ¼ลของสนามแม่เหลçกต่ออนุÀาคที่มี»ระ¨ุไฟฟ้า
ศึกษา เรือ่ ง ผลของสนามแมเหล็กตออนุภาค สนามแม่เหล็กนอกจากจะส่งแรงกระท�าต่อสารแม่เหล็ก FB
ที่มีประจุไฟฟา จากหนังสือเรียน แล้ว สนามแม่เหล็กยังส่งแรงกระท�าต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า
10. ครูอาจถามคําถามชวนคิดกับนักเรียนเมื่อ เช่นเดียวกับแรงไฟฟ้าด้วย แต่ต่างกันที่สนามแม่เหล็กจะส่งแรง +
เริ่มศึกษาเนื้อหาวา “นักเรียนเคยไดยินคําวา กระท�าต่ออนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้าทีก่ า� ลังเคลือ่ นทีใ่ นสนามแม่เหล็ก
θ
B
v
กฎมือขวา หรือไม แลวกฎมือขวานี้คืออะไร” เท่านัน้ ขณะทีส่ นามไฟฟ้าส่งแรงกระท�าต่ออนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้า
โดยครูอาจสุมถามนักเรียนเพื่อตรวจสอบ ไม่ว่าอนุภาคนั้นจะอยู่นิ่งหรือก�าลังเคลื่อนที่ในสนามไฟฟ้า และ (ก) อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าบวก
ข้อแตกต่างอีกอย่างหนึ่งระหว่างแรงไฟฟ้าและแรงแม่เหล็ก คือ -
ความรูเดิมของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องที่กําลัง θ B
จะศึกษา แรงไฟฟ้าจะมีทิศเดียวกับสนามไฟฟ้าเมื่อเป็นประจุบวก และมี v
ทิศตรงข้ามกับสนามไฟฟ้าเมื่อเป็นประจุลบ ขณะที่แรงแม่เหล็ก FB
(FB) มีทศิ ตัง้ ฉากกับสนามแม่เหล็ก (B) และความเร็วของอนุภาค (ข) อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบ
ที่มีประจุไฟฟ้า ( v ) โดยแรงแม่เหล็กบนอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า ภาพที่ 2.27 ทิศของแรงแม่เหล็ก
บวก เช่น โปรตอน จะมีทิศตรงข้ามกับแรงแม่เหล็กบนอนุภาค บนอนุ ภ าคที่ มี ป ระจุ ไ ฟฟ้ า ที่ ก� า ลั ง
เคลื่อนที่ในสนามแม่เหล็ก
ที่มีประจุไฟฟ้าลบ เช่น อิเล็กตรอน ดังภาพที่ 2.27 ที่มา : คลังภาพ อจท.
เราสามารถหาทิศของแรงแม่เหล็กบนอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าบวกได้จากกฎมือขวา (right-
hand grip rule) ดังภาพที่ 2.28 โดยเริ่มจากกางมือขวาออกให้นิ้วทั้งสี่เรียงชิดติดกันและตั้งฉาก
กับนิว้ หัวแม่มอื จากนัน้ วางมือขวาให้ปลายนิว้ ทัง้ สีช่ ไี้ ปในทิศของความเร็ว ( v ) โดยให้ทศิ ของสนาม
แม่เหล็ก ( B) พุ่งออกจากฝามือ แล้วงอนิ้วทั้งสี่วนเข้าหาสนามแม่เหล็ก ( B) นิ้วหัวแม่มือขวา
จะเป็นทิศของผลคูณเชิงเวกเตอร์ v × B ซึ่งเป็นทิศของแรงแม่เหล็ก FB ที่ต้องการบนอนุภาค
ประจุไฟฟ้าบวก
FB
+ +
v B B
v
72
ขอสอบเนน การคิด
อนุภาคหนึง่ มีประจุไฟฟา 2.5 × 10-19 คูลอมบ ถูกแรงกระทําขนาด 12.5 × 10-14 นิวตัน สงผลใหเมือ่ อนุภาคเคลือ่ นที่
เขาไปในบริเวณที่มีสนามแมเหล็กสมํ่าเสมอดวยความเร็ว 2.5 × 105 เมตรตอวินาที ในทิศตั้งฉากกับสนามแมเหล็ก
ดังภาพ สนามแมเหล็กมีขนาดเทากับขอใด
q (วิเคราะหคําตอบ จากสมการ FB
= qvB sin θ
FB + FB
= qvB sin 90 ํ
FB
B = B
qv
1. 0.5 เทสลา =B 12.5 × 10-14
(2.5 × 10-19)(2.5 × 105)
2. 1.0 เทสลา -14
3. 1.5 เทสลา B = 12.5 × 10-14
6.25 × 10
4. 2.0 เทสลา 12.5
B = 6.25
5. 2.5 เทสลา B = 2.0 T
จะไดวา ขนาดของสนามแมเหล็กเทากับ 2.0 เทสลา ดังนั้น ตอบขอ 4.)
T80
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กฎมือขวาส�าหรับผลคูณเชิงเวกเตอร์ใช้หาทิศของแรงแม่เหล็กที่กระท�าบนอนุภาคที่ 1. ครูสุมนักเรียนออกมาหนาชั้นเรียน จากนั้นให
มีประจุไฟฟ้าลบได้เช่นกัน โดยมีวิธีการเหมือนกับการหาทิศของแรงแม่เหล็กบนอนุภาคที่มี อธิบายเกี่ยวกับการหาทิศของแรงแมเหล็กบน
ประจุไฟฟ้าบวกเพียงแค่กลับทิศ 180 องศา (ตรงข้ามกัน) ก็จะได้ทิศของแรงแม่เหล็กบนอนุภาค อนุภาคที่มีประจุไฟฟาโดยใชกฎมือขวา
ที่มีประจุไฟฟ้าลบที่ต้องการ ซึ่งก็คือ ทิศตรงข้ามกับนิ้วหัวแม่มือขวา ดังภาพที่ 2.29 2. ครูอาจกําหนดทิศของความเร็วของอนุภาคทีม่ ี
ประจุไฟฟา จากนัน้ ใหนกั เรียนใชกฎมือขวาใน
การหาทิศของแรงแมเหล็กทีก่ ระทําตออนุภาค
- - ที่มีประจุไฟฟานั้น
v B B
v 3. ครูและนักเรียนรวมกันอธิบายเกี่ยวกับผลของ
FB สนามแมเหล็กตออนุภาคที่มีประจุไฟฟา โดย
ครูใหนักเรียนศึกษาจากหนังสือเรียนควบคูไป
ภาพที่ 2.29 การหาทิศของแรงแม่เหล็กบนอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบโดยใช้กฎมือขวาส�าหรับผลคูณเชิงเวกเตอร์
ที่มา : คลังภาพ อจท. กับการที่ครูอธิบาย เพื่อใหเกิดความเขาใจใน
เนื้อหาสวนนั้นมากยิ่งขึ้น
แรงแม่เหล็กบนอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้ามีค่าสูงสุดเมื่อความเร็วของอนุภาคมีทิศตั้งฉากกับ
สนามแม่เหล็ก ดังภาพที่ 2.30 (ก) และมีค่าลดลงเมื่อความเร็วมีทิศท�ามุม θ กับสนามแม่เหล็ก
(ไม่เป็นมุมฉาก) ดังภาพที่ 2.30 (ข) และมีค่าเป็นศูนย์เมื่อความเร็วของอนุภาคอยู่ในแนวขนาน
เช่น ทิศเดียวกันหรือทิศตรงข้ามกับสนามแม่เหล็ก ดังภาพที่ 2.30 (ค) กล่าวได้ว่า สนามแม่เหล็ก
ส่งแรงกระท�าต่ออนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้าทีก่ า� ลังเคลือ่ นทีใ่ นแนวท�ามุมใด ๆ กับสนามแม่เหล็กทีไ่ ม่ใช่
ทิศเดียวกันหรือทิศตรงข้าม แรงแม่เหล็กมีทศิ ตัง้ ฉากกับความเร็วของอนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้า จึงไม่
ส่งผลให้ขนาดของความเร็วของอนุภาคเปลีย่ นไป (ต่างจากแรงไฟฟ้าจากสนามไฟฟ้า) แรงแม่เหล็ก
จึงมีผลต่อทิศของความเร็วของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเท่านั้น กล่าวคือ ท�าให้ทิศของความเร็ว
ของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเปลี่ยนไป หรือท�าให้แนวการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเบน
ไปจากแนวการเคลื่อนที่เดิม เช่น การเบนแนวการเคลื่อนที่อิเล็กตรอนในสนามแม่เหล็กส่งผลให้
ล�าอิเล็กตรอน (อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ตามกันมาอย่างต่อเนื่อง) ในหลอดรังสีแคโทดเบนขึ้นหรือ
เบนลงจากแนวระดับ เมื่อน�าแม่เหล็กเข้ามาใกล้
Fmax F
B B + v
+ B + θ B B
v v +
v
(ก) (ข) (ค)
ภาพที่ 2.30 ทิศของความเร็วของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าท�ามุมต่างๆ กับสนามแม่เหล็ก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แรงในธรรมชาติ 73
ขอสอบเนน การคิด
อิเล็กตรอนเคลื่อนที่เขาสูสนามแมเหล็กสมํ่าเสมอขนาด 2.0 เทสลา อยากทราบวาแรงแมเหล็กที่กระทําตออิเล็กตรอนเมื่ออิเล็กตรอน
เคลื่อนที่ดวยความเร็ว 4.0 × 105 เมตรตอวินาที ในทิศทางตอไปนี้
ก. ทํามุม 30 องศา กับสนามแมเหล็ก ข. ทํามุม 90 องศา กับสนามแมเหล็ก
(แนวตอบ จากสมการ FB = qvB sin θ (แนวตอบ จากสมการ FB = qvB sin θ
FB = qvB sin 30 ํ FB = qvB sin 90 ํ
FB = (1.6 × 10-19)(4.0 × 105)(2.0)( 12 ) FB = (1.6 × 10-19)(4.0 × 105)(2.0)(1)
FB = 6.4 × 10-14 N FB = 12.8 × 10-14 N
ดังนั้น เมื่ออิเล็กตรอนเคลื่อนที่ในทิศทางทํามุม 30 องศา ดังนั้น เมื่ออิเล็กตรอนเคลื่อนที่ในทิศทางทํามุม 90 องศา
กับสนามแมเหล็ก แรงแมเหล็กที่กระทําตออิเล็กตรอนมีขนาด กับสนามแมเหล็ก แรงแมเหล็กที่กระทําตออิเล็กตรอนมีขนาด
เทากับ 6.4 × 10-14 นิวตัน) เทากับ 12.8 × 10-14 นิวตัน)
T81
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูแบงนักเรียนออกเปนกลุม กลุม ละประมาณ กิจกรรม ¼ลของสนามแม่เหลçกต่อล�าอิเลçกตรอน
6 คน โดยคละความสามารถของนักเรียนตาม
ผลสัมฤทธิ์ ใหอยูในกลุมเดียวกัน เพื่อรวมกัน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
• การสังเกต จุดประสงค์
ศึกษากิจกรรม ผลของสนามแมเหล็กตอลํา • การลงความเห็นจากข้อมูล
• การพยากรณ์
1. เพื่อศึกษาการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในสนามแม่เหล็ก เมื่ออิเล็กตรอน
อิเล็กตรอน จากหนังสือเรียน จิตวิทยาศาสตร์
เคลื่อนที่เข้าไปในบริเวณที่มีสนามแม่เหล็กในทิศตั้งฉากและขนานกับ
• ความอยากรู้อยากเห็น สนามแม่เหล็ก
2. ครูชี้แจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน • ความมีเหตุผล 2. เพื่อศึกษาความแตกต่างระหว่างแรงแม่เหล็กที่กระท�าต่ออนุภาคที่มี
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกตอง ประจุไฟฟ้ากับแรงไฟฟ้าที่กระท�าต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า
3. ครูใหความรูเพิ่มเติมหรือเทคนิคเกี่ยวกับการ 3. เพื่อประยุกต์กฎมือขวาและกฎมือซ้ายในการหาทิศของแรงแม่เหล็กที่
ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม กระท�าต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบซึ่งเคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็ก
ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน วัสดุอุปกรณ์
4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันพูดคุยวิเคราะหผล 1. แท่งแม่เหล็ก 3. หลอดรังสีแคโทด
การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน 2. สายไฟต่อวงจร 4. แหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงโวลต์สูง (12,000-15,000 โวลต์)
5. ครูเนนยํ้าใหนักเรียนตอบคําถามทายกิจกรรม วิธีปฏิบัติ
จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึกประจําตัว
1. ใช้สายไฟต่อวงจรต่อหลอดรังสีแคโทดเข้ากับแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงโวลต์สงู โดยต่อขัว้ แคโทดของหลอด
เพือ่ นําสงครูเปนการตรวจสอบความเขาใจจาก เข้ากับขั้วลบของแหล่งจ่ายไฟฟ้า และต่อขั้วแอโนดของหลอดเข้ากับขั้วบวกของแหล่งจ่ายไฟฟ้า จากนั้น
การปฏิบัติกิจกรรม เปิดสวิตช์ของแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงโวลต์สงู จากนัน้ จะปรากฏแนวสว่างขึน้ ในหลอดรังสีแคโทด ดังภาพ
ที่ 2.31
อธิบายความรู ! S afety first
ขั้วแอโนด
1. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาหนาชัน้ เรียน ช่องเปิด จอเรืองแสง ระมัดระวังไม่ให้ส่วนใดของ
ขั้วแคโทด
เพื่อนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม ร่างกายและโลหะอื่นใดเข้าใกล้
ขั้วของหลอดรังสีแคโทด เพราะ
2. ครูสุมนักเรียนเพื่อถามคําถามที่เกี่ยวของกับ จะได้รบั อันตรายจากไฟฟ้าความ
กิจกรรม เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจหลังปฏิบตั ิ แหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงโวลต์สูง ต่างศักย์สูง
กิจกรรม
ภาพที่ 2.31 การจัดอุปกรณ์กิจกรรมผลของสนามแม่เหล็กต่อล�าอิเล็กตรอน
3. ครูและนักเรียนทุกคนรวมกันอภิปรายผลทาย ที่มา : คลังภาพ อจท.
กิจกรรมและสรุปความรูรวมกัน
4. ครูแจกใบงาน เรื่อง แรงจากสนามแมเหล็ก 2. น�าขั้วเหนือ (N) ของแท่งแม่เหล็กเข้าใกล้ล�าอิเล็กตรอนทางด้านข้างของหลอดรังสีแคโทด โดยให้แท่ง
ใหนักเรียนนํากลับไปศึกษาเปนการบาน แม่เหล็กอยู่ในระดับเดียวกันและตั้งฉากกับรังสีแคโทด สังเกตผลที่เกิดขึ้น แล้วบันทึกผล
3. ปฏิบัติซ�้าข้อ 2. โดยเปลี่ยนจากขั้วเหนือเป็นขั้วใต้ (S) ของแท่งแม่เหล็ก สังเกตผลที่เกิดขึ้น แล้วบันทึกผล
4. น�าขั้วเหนือของแท่งแม่เหล็กเข้าใกล้ล�าอิเล็กตรอนทางด้านบนของหลอดรังสีแคโทด โดยจับแท่งแม่เหล็ก
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม ให้วางตัวในแนวดิ่ง สังเกตผลที่เกิดขึ้น แล้วบันทึกผล
1. ลําอิเล็กตรอนจะเบนไปจากแนวเดิม
2. ลําอิเล็กตรอนจะเบนไปจากแนวเดิมโดยจะเบน 74
ไปในทิศทางตรงขามกับขอ 1.
บันทึก กิจกรรม
• เมื่อหลอดรังรังสีแคโทดทํางาน จะเห็นลําอิเล็กตรอน (แนวสวาง) เปนเสนตรงเกิดขึ้นระหวางขั้วแคโทดและขั้วแอโนด
• เมื่อนําขั้วเหนือของแทงแมเหล็กเขาใกลลําอิเล็กตรอนทางดานขาง ลําอิเล็กตรอนจะเบนไปจากเดิม แตถาสลับขั้วเปนขั้วใตของแทงแมเหล็ก ลําอิเล็กตรอน
ก็จะเบนไปเชนกัน แตจะเบนไปในทิศตรงขามกัน
• เมื่อนําขั้วเหนือของแทงแมเหล็กเขาใกลลําอิเล็กตรอนในลักษณะที่สนามแมเหล็กมีทิศตั้งฉากกับลําอิเล็กตรอนและมีทิศพุงเขา สงผลใหลําอิเล็กตรอนเบน
โคงลง ดังภาพ ก จากนั้นสลับขั้วของแทงแมเหล็กเปนขั้วใตแลวนําไปเขาใกลลําอิเล็กตรอน ในกรณีนี้สนามแมเหล็กจะมีทิศพุงออก สงผลใหลําอิเล็กตรอน
เบนโคงขึ้น ดังภาพ ข
B B
ขั้วแคโทด e ขั้วแอโนด ขั้วแคโทด e ขั้วแอโนด
ภาพ ก ภาพ ข
T82
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
5. ปฏิบัติซ�้าข้อ 4. โดยเปลี่ยนจากขั้วเหนือเป็นขั้วใต้ของแท่งแม่เหล็ก สังเกตผลที่เกิดขึ้น แล้วบันทึกผล 1. ครูนาํ อภิปรายสรุปเนือ้ หา เรือ่ ง แรงจากสนาม
6. น�าแท่งแม่เหล็กเข้าใกล้ลา� อิเล็กตรอนทางด้านข้างของหลอดรังสีแคโทด โดยจับแท่งแม่เหล็กให้อยูใ่ นระดับ แมเหล็ก โดยเปด PowerPoint ใหนักเรียน
เดียวกันและขนานกับล�าอิเล็กตรอน สังเกตผลที่เกิดขึ้น แล้วบันทึกผล ศึกษาควบคูไปดวย
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม 2. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนสอบถามเกีย่ วกับสิง่ ที่
1. เมื่อหันขั้วเหนือของแท่งแม่เหล็กเข้าใกล้หลอดรังสีแคโทด ล�าอิเล็กตรอนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ สงสัยหรือยังไมเขาใจเพิ่มเติม
อย่างไร 3. ครูใหนักเรียนเขียนสรุปองคความรู เรื่อง แรง
2. เมื่อหันขั้วใต้ของแท่งแม่เหล็กเข้าใกล้หลอดรังสีแคโทด ล�าอิเล็กตรอนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
อย่างไร จากสนามแมเหล็ก จากที่ไดศึกษามา ลงใน
สมุดบันทึกประจําตัว เสร็จแลวตัวแทนนักเรียน
อภิปรำยผลท้ำยกิจกรรม
เก็บรวบรวมสงครูทายชั่วโมง
เมือ่ ต่อขัว้ ทัง้ สองของหลอดรังสีแคโทดเข้ากับแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงโวลต์สงู อิเล็กตรอนจะถูกผลักดัน 4. ครูมอบหมายการบานใหนกั เรียนทําแบบฝกหัด
ให้เคลือ่ นทีจ่ ากขัว้ แคโทดไปยังขัว้ แอโนดอย่างต่อเนือ่ งในลักษณะของล�าอิเล็กตรอน เมือ่ ล�าอิเล็กตรอนกระทบ
ฉากแก้วทีเ่ คลือบด้วยสารเรืองแสงจะท�าให้เห็นเส้นทางการเคลือ่ นทีข่ องล�าอิเล็กตรอน โดยเมือ่ น�าแท่งแม่เหล็ก
เรื่อง แรงจากสนามแมเหล็ก จากแบบฝกหัด
เข้าใกล้หลอดรังสีแคโทด อิเล็กตรอนทีเ่ คลือ่ นทีใ่ นสนามแม่เหล็กจะถูกแรงเนือ่ งจากสนามแม่เหล็กกระท�า ท�าให้ วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5
อิเล็กตรอนเบนไปจากแนวระดับหรือแนวการเคลื่อนที่เดิม
ขัน้ สรุป
ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับสนามแม่เหล็กโลก คือ แสงเหนือและแสงใต้ เกิดขึ้นเมื่อลมสุริยะ ตรวจสอบผล
เคลื่อนที่มากระทบกับสนามแม่เหล็กโลกจะท�าให้เส้นสนามแม่เหล็กโลกลู่ไปทางด้านตรงข้ามกับ นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ
ดวงอาทิตย์ สนามแม่เหล็กโลกจึงไม่สมมาตร อิเล็กตรอนและโปรตอนในลมสุริยะเมื่อเคลื่อนเข้า แรงแมเหล็ก สนามแมเหล็ก และผลของสนาม
สู่สนามแม่เหล็กโลกจะถูกกักให้เคลื่อนที่แบบควงสว่านอยู่ภายในสนามแม่เหล็กโลกในบริเวณที่ แมเหล็กที่มีตออนุภาคที่มีประจุไฟฟา โดยครูให
เรียกว่า แถบรังสีแวน อัลเลน (Van Allen radiation belt) มีลักษณะคล้ายขนมโดนัทล้อมรอบ นักเรียนสรุปความรูลงในสมุดบันทึกประจําตัว
โลกและมีอยู่สองแถบ โดยอิเล็กตรอนถูกกักในแถบรังสีชั้นนอก ส่วนโปรตอนถูกกักในแถบรังสี
ชัน้ ใน อนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้าในแถบรังสีแวน อัลเลน เมือ่ เคลือ่ นทีผ่ า่ นเข้ามาในชัน้ บรรยากาศโลก
ขัน้ ประเมิน
บริเวณเหนือขัว้ โลก (เหนือและใต้) จะชนกับอะตอมของแกสต่าง ๆ และปลดปล่อยแสงสว่างสีตา่ ง ๆ ตรวจสอบผล
ออกมา เรียกว่า ออโรรา (aurora)
1. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน เรื่อง แรง
จากสนามแมเหล็ก
2. ครูตรวจการสรุปองคความรู เรื่อง แรงจาก
สนามแมเหล็ก จากสมุดบันทึกประจําตัว
3. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง แรงจากสนาม
แมเหล็ก จากแบบฝกหัด วิทยาศาสตรกายภาพ
ภาพที่ 2.32 อิทธิพลของลมสุริยะต่อสนามแม่เหล็กโลก ภาพที่ 2.33 ตัวอย่างปรากฏการณ์ออโรรา 2 (ฟสิกส) ม.5
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท. 4. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
แรงในธรรมชาติ 75
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
และการทํางานกลุม
รายการประเมิน
3
ระดับคะแนน
2 1
โดยการเขียนลงในกระดาษ A4 พรอมทั้งตกแตงใหสวยงาม
1 การแสดงความคิดเห็น
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
4 ความมีน้าใจ
และเขาใจงาย
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T83
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครูสนทนากับนักเรียนทบทวนความรู เรื่อง 3.3 ¼Å¢Í§Ê¹ÒÁáÁ‹àËÅ硵‹ÍµÑǹíÒ·ÕèÁÕ¡ÃÐáÊä¿¿‡Ò
แรงจากสนามแมเหล็ก ที่ไดศึกษาไปแลว เพื่อ กระแสไฟฟาในตัวนําเปนผลจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนอิสระในตัวนํา เมื่อจายกระแส
เปนการเชือ่ มโยงความรูส เู รือ่ งทีก่ าํ ลังจะศึกษา ไฟฟาผานตัวนําที่อยูในสนามแมเหล็ก ผลจากแรงแมเหล็กที่กระทําตออิเล็กตรอนอิสระในตัวนํา
2. ครูอาจสุมนักเรียน เพื่อใหแสดงวิธีการใชกฎ ทําใหเกิดแรงแมเหล็กบนตัวนํา โดยแรงแมเหล็กบนตัวนําเปนผลรวมของแรงแมเหล็กทีก่ ระทําตอ
มือขวาในการหาทิศของแรงแมเหล็กที่กระทํา อิเล็กตรอนอิสระทั้งหลายในตัวนํา
ตออนุภาคที่มีประจุไฟฟา เปนการกระตุน สําหรับลวดตัวนําตรงกระแสไฟฟาจะผานลวดตัวนําในแนวตรง จึงไมมีแรงแมเหล็กกระทํา
ความสนใจกอนเขาสูก จิ กรรมการจัดการเรียน บนลวดตัวนําตรงที่วางตัวในแนวเดียวกับสนามแมเหล็ก เนื่องจากอิเล็กตรอนอิสระในลวดตัวนํา
การสอน เคลื่อนที่ในแนวเดียวกับสนามแมเหล็ก แตเมื่อลวดตัวนําตรงวางตัวในแนวทํามุมใด ๆ กับสนาม
แมเหล็กที่ไมไดวางตัวในทิศเดียวกันหรือตรงขามกัน (0 หรือ 180 องศา) จะมีแรงแมเหล็กกระทํา
ขัน้ สอน บนลวดตัวนําตรงในแนวตั้งฉากกับแนวการวางตัวของลวดตัวนําตรง โดยขนาดของแรงแมเหล็ก
สํารวจคนหา บนลวดตัวนําตรงจะมีคาสูงสุดเมื่อลวดตัวนําตรงวางตัวในแนวตั้งฉากกับสนามแมเหล็ก ดังภาพ
ที่ 2.34
1. ครูใหนกั เรียนศึกษา เรือ่ ง ผลของสนามแมเหล็ก
ตอตัวนําที่มีกระแสไฟฟา จากหนังสือเรียน
2. ครูใหนักเรียนบันทึกสรุปความรู เรื่อง ผลของ I I
สนามแมเหล็กตอตัวนําที่มีกระแสไฟฟา ลงใน Bout FB Bout
สมุดบันทึกประจําตัว
l l
FB
I I
(ก) (ข)
ภาพที่ 2.34 แรงแมเหล็ก ( FB) บนลวดตัวนําตรงที่มีกระแสไฟฟา (I) ไหลผานและอยูในสนามแมเหล็ก
ที่มีทิศพุงออกจากกระดาษ ( Bout ) สมํ่าเสมอ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ทิศของแรงแมเหล็กบนลวดตัวนําตรงหาไดจากกฎมือขวา สําหรับผลคูณเชิงเวกเตอรทาํ นอง
เดียวกับการหาทิศของแรงแมเหล็กบนอนุภาคที่มีประจุไฟฟาซึ่งเคลื่อนที่เขาไปในสนามแมเหล็ก
โดยแรงแมเหล็กบนลวดตัวนําตรงที่มีกระแสไฟฟาผานและอยูในสนามแมเหล็กจะมีทิศเดียวกับ
l × B เมื่อ l แทนเวกเตอรที่มีขนาดเทากับความยาวของลวดตัวนําตรงและมีทิศเดียวกับกระแส
ไฟฟา และ B แทนสนามแมเหล็ก
76
T84
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
การใช้กฎมือขวาส�าหรับผลคูณเชิงเวกเตอร์หาทิศของแรงแม่เหล็กบนลวดตัวน�าตรง จากภาพ 3. ครูใหนักเรียนจับคูกับเพื่อน จากนั้นรวมกัน
ที่ 2.34 (ก) แรงแม่เหล็กที่กระท�าต่อลวดตัวน�าตรงจะตั1 ้งฉากกับลวดตัวน�าตรงและสนามแม่เหล็ก ศึกษาการใชกฎมือขวาสําหรับหาทิศของแรง
เสมอ เนื่องจาก l มีทิศเดียวกับทิศของกระแสไฟฟ้า จะพิจารณาได้ว่า แรงแม่เหล็กบนลวดตัวน�า แมเหล็กบนลวดตัวนําตรง จากหนังสือเรียน
ตรงที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านและอยู่ในสนามแม่เหล็กสม�่าเสมอสามารถใช้กฎมือขวาหาทิศของแรง 4. ครูสมุ นักเรียน 1 คู จากนัน้ ใหยนื ขึน้ แลวอธิบาย
แม่เหล็กได้ โดยการใช้นิ้วทั้งสี่ชี้ไปในทิศเดียวกับกระแสไฟฟ้า แล้วหันฝามือไปทิศเดียวกับสนาม การใชกฎมือขวาสําหรับหาทิศของแรงแมเหล็ก
แม่เหล็ก จากนั้นงอนิ้วทั้งสี่วนเข้าหาทิศของสนามแม่เหล็ก ทิศที่นิ้วหัวแม่มือจะชี้ คือ ทิศของแรง บนลวดตัวนําตรง ใหเพื่อนในชั้นเรียนดู
แม่เหล็กบนลวดตัวน�าตรงที่ต้องการ ดังภาพที่ 2.35 5. ครูอภิปรายรวมกับนักเรียนเกี่ยวกับผลของ
สนามแมเหล็กตอตัวนําที่มีกระแสไฟฟา เพื่อ
l ใหนักเรียนเกิดความเขาใจมากยิ่งขึ้น
B l B 6. ครูใหนกั เรียนแยกเขากลุม ของตนเองตามทีไ่ ด
แบงไวตอนทํากิจกรรม ผลของสนามแมเหล็ก
ตอลําอิเล็กตรอน
FB
FB
B
l B
l
T85
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
7. ครูใหสมาชิกแตละกลุม รวมกันศึกษากิจกรรม กิจกรรม ¼ลของสนามแม่เหลçกต่อตัวน�าที่มีกระแสไฟฟ้า
ผลของสนามแม เ หล็ ก ต อ ตั ว นํ า ที่ มี ก ระแส
ไฟฟา จากหนังสือเรียน โดยสมาชิกแตละคน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
• การสังเกต จุดประสงค์
อาจมีหนาที่เหมือนเดิมหรืออาจปรับเปลี่ยน • การตีความหมายข้อมูลและ
ลงข้อสรุป
เพือ่ ศึกษาแรงทีก่ ระท�าต่อตัวน�าทีม่ กี ระแสไฟฟ้าผ่านและอยูใ่ นสนามแม่เหล็ก
หน า ที่ กั น ใหม ภ ายในกลุ ม ได เพื่ อ ให เ กิ ด จิตวิทยาศาสตร์ วัสดุอุปกรณ์
• ความมุ่งมั่น
กระบวนการทํางานรวมกันไดดียิ่งขึ้น • ความมีเหตุผล 1. แผ่นไม้ 4. แม่เหล็กขั้วข้าง 2 แท่ง
• ความสนใจใฝรู้ 2. เข็มหมุด 5. แบตเตอรี่ 9 โวลต์
8. ครูชี้แจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน
3. สายไฟต่อวงจร 6. แถบอะลูมิเนียมฟอยล์
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกตอง
9. ครูใหความรูเ พิม่ เติมหรือเทคนิคเกีย่ วกับการ วิธีปฏิบัติ
ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม 1. จัดอุปกรณ์การทดลอง ดังภาพที่ 2.37 โดยให้ แถบอะลูมิเนียมฟอยด์
ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน แม่เหล็กขั้วข้างหันขั้วต่างกันเข้าหากันและระวัง
เข็มหมุด
อย่าให้แถบอะลูมเิ นียมฟอยล์ตงึ หรือหย่อนเกินไป แผ่นไม้
10. นักเรียนแตละกลุม รวมกันพูดคุยวิเคราะหผล S
2. ต่อสายไฟสีด�าระหว่างขั้วลบของแบตเตอรี่กับ
การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน เข็มหมุดตัวขวาที่ B และต่อปลายข้างหนึ่งของ S
A B
11. ครูเนนยํา้ ใหนกั เรียนตอบคําถามทายกิจกรรม สายไฟสีแดงเข้าที่ขั้วบวกของแบตเตอรี่ จากนั้น
จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึกประจําตัว น�าปลายอีกข้างหนึ่งของสายไฟสีแดงไปแตะเข็ม ภาพที่ 2.37 การจัดอุปกรณ์กจิ กรรมผลของสนามแม่เหล็กต่อ
หมุดตัวซ้ายที่ A แล้วปล่อย สังเกตผลที่เกิดขึ้น ตัวน�าที่มีกระแสไฟฟ้า
เพื่อนําสงครูเปนการตรวจสอบความเขาใจ กับแถบอะลูมิเนียมฟอยล์ แล้วบันทึกผล ที่มา : คลังภาพ อจท.
จากการปฏิบัติกิจกรรม 3. ปฏิบัติซ�้า โดยสลับปลายสายไฟที่ต่อกับขั้วแบตเตอรี่เพื่อกลับทิศของกระแสไฟฟ้า สังเกตผลที่เกิดขึ้นกับ
แถบอะลูมิเนียมฟอยล์ แล้วบันทึกผล
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
1. จากกิจกรรม แผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร
2. ถ้าเปลีย่ นจากการกลับทิศของกระแสไฟฟ้าทีผ่ า่ นตัวน�าเป็นการกลับทิศของสนามแม่เหล็ก จะส่งผลต่อแรง
แม่เหล็กบนตัวน�าหรือไม่ อย่างไร
อภิปรำยผลท้ำยกิจกรรม
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
เมือ่ กระแสไฟฟ้าผ่านตัวน�าทีว่ างตัง้ ฉากกับสนามแม่เหล็ก จะเกิดแรงแม่เหล็กกระท�าต่อตัวน�า ท�าให้ตวั น�า
1. มีการเปลี่ยนแปลง โดยขึ้นอยูกับทิศทางของ เคลื่อนที่ โดยทิศของแรงแม่เหล็กจะขึ้นกับทิศทางของสนามแม่เหล็กและกระแสไฟฟ้า ดังภาพที่ 2.38
กระแสไฟฟาที่ไหลผานแผนตัวนํา คือ จะมีทั้ง ทิศของแรงแม่เหล็ก
ทิศของสนามแม่เหล็ก
ทิศของสนามแม่เหล็ก
การโกงขึ้นและแอนลงในแนวดิ่ง ทิศของกระแสไฟฟ้า
บันทึก กิจกรรม
ขอสอบเนน การคิด
• เมือ่ ตอสายไฟสีดาํ ระหวางขัว้ ลบของแบตเตอรีก่ บั เข็มหมุดตัวขวาที่ B และตอ ถานําแทงแมเหล็กเขาใกลบริเวณหนาจอโทรทัศนรนุ เกา ภาพที่
ปลายขางหนึง่ ของสายไฟสีแดงเขาทีข่ ว้ั บวกของแบตเตอรี่ เมือ่ นําปลายอีกขาง ปรากฏบนหนาจอโทรทัศนจะเปนอยางไร
หนึ่งของสายไฟสีแดงไปแตะเข็มหมุดตัวซายที่ A แลวปลอย ผลที่เกิดขึ้นกับ (แนวตอบ ภาพทีป่ รากฏบนหนาจอโทรทัศนจะบิดเบีย้ ว และเมือ่
แถบอะลูมิเนียมฟอยลจะโกงขึ้น แสดงวา
แถบอะลูมิเนียมฟอยล คือ ................................................................................................... เคลื่อนแทงแมเหล็กไปตามตําแหนงตางๆ บนหนาจอ ตําแหนง
แรงแมเหล็กที่กระทําตอแถบอะลูมิเนียมฟอยมีทิศพุงขึ้นตามแนวดิ่ง
......................................................................................................................................................... ภาพที่บิดเบี้ยวก็จะเคลื่อนที่ตาม ที่เปนเชนนี้เพราะภาพที่ปรากฏ
• เมื่อตอสายไฟสีดําระหวางขั้วบวกของแบตเตอรี่กับเข็มหมุดตัวขวาที่ B และ บนหนาจอโทรทัศนรุนเกาเกิดจากการที่อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไป
ตอปลายขางหนึ่งของสายไฟสีแดงเขาที่ขั้วลบของแบตเตอรี่ เมื่อนําปลายอีก ตกกระทบจอภาพที่ฉาบดวยสารเรืองแสงและเกิดเรืองแสงขึ้น
ขางหนึ่งของสายไฟสีแดงไปแตะเข็มหมุดตัวซายที่ A แลวปลอย ผลที่เกิดขึ้น เมื่อนําแมเหล็กไปเขาใกลหนาจอจะเกิดแรงกระทําตออิเล็กตรอน
แถบอะลูมิเนียมฟอยลจะแอนลง แสดงวา
กับแถบอะลูมิเนียมฟอยล คือ ............................................................................................ ทําใหอิเล็กตรอนเบนไปจากแนวการเคลื่อนที่เดิม จึงทําใหภาพที่
แรงแมเหล็กที่กระทําตอแถบอะลูมิเนียมฟอยมีทิศพุงลงตามแนวดิ่ง
......................................................................................................................................................... ปรากฏหนาจอบิดเบี้ยวไป)
T86
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
3.4 »ระโยªน์¨ากสนามแม่เหลçก 1. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาหนาชัน้ เรียน
มนุษย์ใช้ประโยชน์จากสนามแม่เหล็กโลกโดยสร้างเข็มทิศขึน้ มาเพือ่ ใช้บอกทิศทาง เนือ่ งจาก เพื่อนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม
เข็มทิศเป็นแม่เหล็กแท่งเล็ก ๆ จะวางตัวในแนวเหนือ-ใต้ในสนามแม่เหล็กโลกเสมอ ซึ่งเข็มทิศ 2. ครูสุมนักเรียนเพื่อถามคําถามที่เกี่ยวของกับ
เป็นอุปกรณ์ส�าคัญของนักเดินทางและนักส�ารวจในหลายศตวรรษที่ผ่านมา กิจกรรม เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจหลังปฏิบตั ิ
สมบัตดิ งึ ดูดสารแม่เหล็กของแม่เหล็กเป็นพืน้ ฐานในการประดิษฐ์หรือสร้างเครือ่ งมือเครือ่ งใช้ กิจกรรม
หลายอย่างมาใช้งาน เช่น กระดุมแม่เหล็กติด 3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลทายกิจกรรม
กระเปา แม่เหล็กติดกระดานไวท์บอร์ด ของ และสรุปความรูรวมกัน
ที่ระลึกและของเล่นเด็กติดแม่เหล็ก เครื่องมือ สํารวจคนหา
จับติดด้วยแม่เหล็กส�าหรับเก็บสิ่งของที่มีสาร
แม่เหล็กเป็นส่วนประกอบซึ่งตกลงไปในที่แคบ 1. ครู นํ า อภิ ป รายร ว มกั บ นั ก เรี ย นเกี่ ย วกั บ ผล
ที่มือของเราเอื้อมหยิบไม่ถึง มีลักษณะเหมือน กิจกรรม ผลของสนามแมเหล็กตอตัวนําที่มี
เสาอากาศวิทยุ ยืดหดได้ ทีป่ ลายล่างมีแม่เหล็ก กระแสไฟฟา เพื่อเชื่อมโยงเขาสูเนื้อหาที่กําลัง
แรงสูงติดอยู่ และแม่เหล็กยกของ (lifting magnet) ภาพที่ 2.39 ตัวอย่างแม่เหล็กยกของ จะศึกษา
เป็นต้น ที่มา : คลังภาพ อจท. 2. ครูกลาวนําวา เราสามารถนําความรูเกี่ยวกับ
ผลของแรงแม่เหล็กต่อล�าอิเล็กตรอนน�าไปใช้ควบคุมให้ลา� อิเล็กตรอนกวาดไปมาบนจอ เพือ่ สนามแมเหล็กไปประยุกตใช หรือสามารถนํา
สร้างภาพบนจอโทรทัศน์ (รุ่นเก่า) โดยสนามแม่เหล็กที่ใช้เป็นสนามแม่เหล็กจากขดลวดสองชุด ไปอธิบายสิ่งตางๆ ในชีวิตประจําวันได
ขดลวดชุดหนึ่งสร้างสนามแม่เหล็กในแนวดิ่งเพื่อควบคุมให้ล�าอิเล็กตรอนกวาดไปมาในแนวระดับ 3. ครูใหนกั เรียนสืบเสาะหาความรู เรือ่ ง ประโยชน
(แกน X) ขดลวดอีกชุดหนึ่งสร้างสนามแม่เหล็กในแนวระดับเพื่อควบคุมให้ล�าอิเล็กตรอนกวาดไป จากสนามแมเหล็ก จากหนังสือเรียน
มาในแนวดิ่ง (แกน Y) สนามแม่เหล็กทั้งสองจึงควบคุมให้ล�าอิเล็กตรอนกวาดไปทั่วจอโทรทัศน์
ท�าให้เกิดภาพเต็มจอโทรทัศน์ ดังภาพที่ 2.40
ขดลวดสร้างสนามแม่เหล็กแนวดิ่ง
ล�าอิเล็กตรอน
แคโทด
ปนอิเล็กตรอน
จอฉาบสารเรืองแสง
ขดลวดสร้างสนามแม่เหล็กแนวระดับ
ภาพที่ 2.40 การใช้ประโยชน์จากผลของแรงแม่เหล็กต่อล�าอิเล็กตรอน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แรงในธรรมชาติ 79
ขอสอบเนน การคิด
ลวดตัวนําตรงเสนหนึง่ ยาว 100 เซนติเมตร มีกระแสไฟฟา 4 แอมแปร × × × × ×I × ×
ไหลผาน โดยลวดตัวนําตรงนี้วางอยูในสนามแมเหล็กสมํ่าเสมอขนาด
Bพุงเขา
0.5 เทสลา ดังภาพ ขอใดคือขนาดของแรงแมเหล็กที่กระทําตอลวด × × × × × × ×
ตัวนําตรงนี้
1. 1 นิวตัน 2. 1.5 นิวตัน
3. 2 นิวตัน 4. 2.5 นิวตัน
× × × × × ×
5. 4 นิวตัน 30 ํ
× I × × × ×
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ FB = IlB sin θ
เนื่องจากสนามแมเหล็กมีทิศตั้งฉากกับลวดตัวนําตรง
จะไดวา FB = (4)(1)(0.5) sin 90 ํ
FB = (2)(1)
FB = 2 N
จะไดวา แรงแมเหล็กที่กระทําตอลวดตัวนําตรงนี้มีขนาดเทากับ 2 นิวตัน ดังนั้น ตอบขอ 3.)
T87
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ครูใหนักเรียนจดบันทึกสิ่งที่กําลังศึกษาลงใน หากนําลวดตัวนําตรงมาขดเปนวงแลวนําไปวางในสนามแมเหล็กสมํ่าเสมอ เมื่อจายกระแส
สมุดบันทึกประจําตัว ไฟฟาผานวงลวด แรงลัพธที่กระทําตอวงลวดจะเปนศูนย แตแรงที่กระทําตอดานแตละดานของ
5. ครู เ น น ยํ้ า กั บ นั ก เรี ย นว า ให พ ยายามศึ ก ษา วงลวดที่มีแนวตั้งฉากกับสนามแมเหล็กจะประกอบกันเปนแรงคูควบและทอรกของแรงคูควบที่
ทําความเขาใจกับภาพโครงสรางของมอเตอร ทําใหวงลวดหมุนรอบแกนของวงลวด ดังภาพที่ 2.41
จากหนังสือเรียน หรือครูอาจใหนกั เรียนศึกษา F3 F3
F1
คนควาเพิม่ เติมเกีย่ วกับโครงสรางของมอเตอร
I
จากแหลงการเรียนรูตางๆ เชน อินเทอรเน็ต I
ซึ่งสามารถคนหาขอมูลไดงายและรวดเร็ว B
I
I
F2
F4 F4
ภาพที่ 2.41 แรงแมเหล็กจากสนามแมเหล็กสมํ่าเสมอบนวงลวดที่มีกระแสไฟฟาผาน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แหวน
แปรงสัมผัส แหวน
แหวนผาซีก แปรงสัมผัส
แปรงสัมผัส
T88
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
กิจกรรม มอเตอร์อย่างง่าย 6. ครูใหนักเรียนแยกเขากลุมเดิมของตนเองที่
ครูเคยแบงไวแลว จากนัน้ ครูใหสมาชิกแตละ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
• การสังเกต จุดประสงค์ กลุม รวมกันศึกษากิจกรรม มอเตอรอยางงาย
• การพยากรณ์
• การลงความเห็นจากข้อมูล
เพือ่ ศึกษาส่วนประกอบส�าคัญและหลักการท�างานของมอเตอร์กระแสตรง เพือ่ ประยุกตใชในชีวติ ประจําวัน จากหนังสือ
อย่างง่าย เรียน โดยสมาชิกแตละคนอาจมีหนาทีเ่ หมือน
จิตวิทยาศาสตร์
• ความอยากรู้อยากเห็น
• ความมีเหตุผล วัสดุอุปกรณ์ เดิมหรืออาจปรับเปลีย่ นหนาทีก่ นั ใหมภายใน
1. ลวดอาบน�้ายา 4. ลวดโลหะ กลุม เพือ่ ใหเกิดกระบวนการทํางานรวมกันได
2. มีดหรือกระดาษทราย 5. แม่เหล็ก
3. แกนทรงกระบอก 6. ถ่านไฟฉาย ดียิ่งขึ้น
7. ครูชี้แจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน
วิธีปฏิบัติ ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกตอง
1. น�าลวดอาบน�้ายามาพันรอบแกนทรงกระบอก ขดลวดอาบน�้ายา
ประมาณ 25 รอบ โดยให้เหลือส่วนปลายของ 8. ครูใหความรูเ พิม่ เติมหรือเทคนิคเกีย่ วกับการ
ลวดข้างละ 5 เซนติเมตร ดึงขดลวดออกจากทรง ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม
กระบอกแล้วบีบให้เป็นขดลวดวงกลม พันปลาย ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน
เส้นลวดเข้ากับขดลวดแต่ละด้าน แล้วใช้มีดหรือ
กระดาษทรายขูดน�า้ ยาทีป่ ลายเส้นลวดทัง้ สองออก 9. นักเรียนแตละกลุม รวมกันพูดคุยวิเคราะหผล
โดยขูดออกเพียงครึ่งเดียวและบริเวณที่ขูดน�้ายา การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน
ออกของเส้นลวดทั้งสองอยู่ทางด้านตรงกันข้าม 10. ครูเนนยํา้ ใหนกั เรียนตอบคําถามทายกิจกรรม
2. น�าลวดโลหะมาดัดให้เป็นรูปทรง ดังภาพที่ 2.43 แท่งแม่เหล็ก
จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึกประจําตัว
แล้ววางประกบหัว-ท้ายก้อนถ่านไฟฉาย ใช้นิ้ว
หัวแม่มอื และนิว้ ชีก้ ดปลายข้างหนึง่ ของลวดโลหะ ภาพที่ 2.43 มอเตอร์อย่างง่าย เพื่อนําสงครูเปนการตรวจสอบความเขาใจ
ไว้ หรือน�าเทปกาวมาติดให้ลวดโลหะประกบอยูก่ บั ที่มา : คลังภาพ อจท. จากการปฏิบัติกิจกรรม
ถ่านไฟฉาย จากนัน้ น�าปลายขดลวดทีเ่ ตรียมไว้วางพาดบนลวดโลหะ จัดขดลวดให้อยูต่ รงกลาง ปลายเส้นลวด
ที่ขูดน�้ายาออกซึ่งวางพาดอยู่บนลวดโลหะจะท�าหน้าที่เป็นแกนหมุนของขดลวด สังเกตผลที่เกิดขึ้น
3. น�าชุดอุปกรณ์ทเี่ ตรียมไว้ตามข้อ 2. เข้าใกล้แท่งแม่เหล็ก โดยให้ขดลวดอยูเ่ หนือแท่งแม่เหล็ก ดังภาพที่ 2.43
สังเกตผลที่เกิดขึ้น แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
4. กลับทิศของกระแสไฟฟ้า (สลับขั้วถ่านหรือกลับหัว-ท้ายของก้อนถ่าน) แล้วปฏิบัติข้อ 3. ซ�้า สังเกตผล 1. เมื่อจายกระแสไฟฟาผานขดลวดที่อยูในสนาม
ที่เกิดขึ้น แมเหล็กสมํ่าเสมอ แรงลัพธที่กระทําตอขดลวด
5. กลับทิศของสนามแม่เหล็ก (กลับขั้วของแท่งแม่เหล็ก) แล้วปฏิบัติข้อ 3. ซ�้า สังเกตผลที่เกิดขึ้น จะเปนศูนยแตทอรกลัพธที่กระทําตอขดลวดไม
เปนศูนย ขดลวดจึงไมเลื่อนตําแหนงแตจะหมุน
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
รอบแกนของขดลวด
1. จากกิจกรรมเมื่อน�าขดลวดไปต่อกับแบตเตอรี่ซึ่งมีแท่งแม่เหล็กวางอยู่ ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร
2. ถ้ากลับทิศของกระแสไฟฟ้าที่ผ่านขดลวด ผลที่เกิดขึ้นกับขดลวดจะเป็นอย่างไร 2. ทอรกลัพธที่กระทําตอขดลวดกลับทิศ ขดลวด
3. ถ้ากลับทิศของสนามแม่เหล็กที่ผ่านขดลวด ผลที่เกิดขึ้นกับขดลวดจะเป็นอย่างไร จึงหมุนในทิศตรงขามกับตอนกอนกลับทิศของ
กระแสไฟฟา
แรงในธรรมชาติ 81
3. ขดลวดหมุนในทิศตรงขาม ผลเปนเชนเดียวกับ
การกลับทิศของกระแสไฟฟา
T89
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
1. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาหนาชัน้ เรียน อภิปรำยผลท้ำยกิจกรรม
เพื่อนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม เมือ่ จ่ายกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดทีอ่ ยูใ่ นสนามแม่เหล็กสม�า่ เสมอ แรงลัพธ์ทกี่ ระท�าต่อขดลวดเป็นศูนย์ แต่
2. ครูสุมนักเรียนเพื่อถามคําถามที่เกี่ยวของกับ ทอร์กลัพธ์ทกี่ ระท�าต่อขดลวดไม่เป็นศูนย์ ขดลวดจึงไม่เลือ่ นต�าแหน่งแต่จะหมุนรอบแกนของขดลวด การกลับ
กิจกรรม เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจหลังปฏิบตั ิ ทิศของกระแสไฟฟ้าที่จ่ายผ่านขดลวดหรือการกลับทิศของสนามแม่เหล็ก (อย่างใดอย่างหนึ่ง) ส่งผลให้ทอร์ก
กิจกรรม ลัพธ์ที่กระท�าต่อขดลวดกลับทิศ ขดลวดจึงหมุนในทิศตรงข้ามกับตอนก่อนกลับทิศของกระแสไฟฟ้าหรือ
สนามแม่เหล็ก ผลของการหมุนของขดลวดทีอ่ ยูใ่ นสนามแม่เหล็กสม�า่ เสมอเมือ่ มีกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดเป็น
3. ครูและนักเรียนทุกคนรวมกันอภิปรายผลทาย หลักการในการสร้างมอเตอร์ โดยมอเตอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้งานกันโดยทั่วไปมีส่วนประกอบหลักเหมือนมอเตอร์
กิจกรรมและสรุปความรูรวมกัน อย่างง่ายและมีหลักการท�างานใกล้เคียงกัน ซึ่งมอเตอร์ขนาดใหญ่มีส่วนประกอบที่ซับซ้อนกว่ามาก
4. ครูนําสรุปหลังจากศึกษากิจกรรม มอเตอร การน�าขดลวดที่ต่อกับแบตเตอรี่ไปวางในสนามแม่เหล็กจะส่งผลให้เกิดแรงที่กระท�าต่อขดลวดที่มีกระแส
อยางงาย โดยเชื่อมโยงไปถึงกฎการเหนี่ยวนํา ไฟฟ้าท�าให้ขดลวดหมุน ในทางกลับกัน หากไม่มีแบตเตอรี่ในวงจรแล้วท�าการหมุนขดลวดในสนามแม่เหล็ก
จะท�าให้เกิดกระแสไฟฟ้าในขดลวดได้เช่นกัน โดยกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้น เรียกว่า กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน�า
ของฟาราเดย ซึง่ เปนกฎพืน้ ฐานทางไฟฟาและ (induced current)
แมเหล็ก
T90
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
กิจกรรม กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน�า 1. ครูแบงนักเรียนออกเปนกลุม กลุม ละประมาณ
6 คน โดยคละความสามารถของนักเรียนตาม
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
• การสังเกต จุดประสงค์ ผลสัมฤทธิ์ ใหอยูในกลุมเดียวกัน เพื่อรวมกัน
• การลงความเห็นจากข้อมูล เพื่อศึกษาการเกิดกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน�าในขดลวดตัวน�า ศึกษากิจกรรม กระแสไฟฟาเหนี่ยวนํา จาก
จิตวิทยาศาสตร์
• ความอยากรู้อยากเห็น วัสดุอุปกรณ์ หนังสือเรียน
• ความมีเหตุผล
• การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ 1. แท่งแม่เหล็ก 2. ครูชี้แจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน
2. แกลแวนอมิเตอร์ ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกตอง
3. ขดลวดทองแดงอาบน�้ายา 3. ครูใหความรูเพิ่มเติมหรือเทคนิคเกี่ยวกับการ
ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม
วิธีปฏิบัติ ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน
แท่งแม่เหล็ก
1. ต่อขดลวดทองแดงอาบน�้ายากับแกลแวนอมิเตอร์ 4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันพูดคุยวิเคราะหผล
ขนาด 2 มิลลิแอมแปร์ การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน
2. น�าแท่งแม่เหล็กเคลื่อนที่เข้าใกล้ขดลวดทองแดง 5. ครูเนนยํ้าใหนักเรียนตอบคําถามทายกิจกรรม
สังเกตการเบนของเข็มแกลแวนอมิเตอร์ จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึกประจําตัว
3. กลับขัว้ ของแท่งแม่เหล็ก และปฏิบตั ติ ามข้อ 2. ซ�้า เพือ่ นําสงครูเปนการตรวจสอบความเขาใจจาก
4. ให้ แ ท่ ง แม่ เ หล็ ก อยู ่ กั บ ที่ แ ล้ ว เคลื่ อ นที่ ข ดลวด การปฏิบัติกิจกรรม
ทองแดง สังเกตการเบนของเข็มแกลแวนอมิเตอร์ ขดลวดทองแดง
อธิบายความรู
ภาพที่ 2.44 อุปกรณ์กิจกรรมกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน�า
ที่มา : คลังภาพ อจท. 1. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาหนาชัน้ เรียน
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม เพื่อนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม
1. เมื่อน�าแท่งแม่เหล็กเข้าใกล้ขดลวดทองแดง เข็มของแกลแวนอมิเตอร์จะเบนอย่างไร 2. ครูสุมนักเรียนเพื่อถามคําถามที่เกี่ยวของกับ
2. เมื่อกลับขั้วแท่งแม่เหล็กแล้วน�าแท่งแม่เหล็กเข้าใกล้ขดลวดทองแดง เข็มของแกลแวนอมิเตอร์จะเบน กิจกรรม เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจหลังปฏิบตั ิ
เหมือนหรือต่างจากเดิม อย่างไร กิจกรรม
อภิปรำยผลท้ำยกิจกรรม
จากกิจกรรม เมือ่ น�าแท่งแม่เหล็กเข้าใกล้ขดลวดทองแดงทีต่ อ่ กับแกลแวนอมิเตอร์ เข็มของแกลแวนอมิเตอร์
จะเบนไปจากต�าแหน่งเดิมเนือ่ งจากมีกระแสไฟฟ้าเกิดขึน้ ในขดลวดทองแดง ในทางกลับกัน ถ้าให้แท่งแม่เหล็ก
อยู่กับที่ และเคลื่อนที่ขดลวดทองแดงไปมาให้ฟลักซ์แม่เหล็กที่ตัดขดลวดทองแดงเปลี่ยนแปลง ก็จะท�าให้เกิด
กระแสไฟฟ้าผ่านแกลแวนอมิเตอร์ได้เช่นกัน
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
แรงในธรรมชาติ 83
1. เบนออกจากตําแหนงเดิม
2. เบนออกจากตําแหนงเดิมในทิศตรงขามกัน
T91
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
3. ครูและนักเรียนทุกคนรวมกันอภิปรายผลทาย การเกิดแรงเคลือ่ นไฟฟาเหนีย่ วนําและกระแสไฟฟาเหนีย่ วนําขึน้ ในขดลวดเมือ่ หมุนขดลวด
กิจกรรมและสรุปความรูรวมกัน ในสนามแมเหล็กสมํา่ เสมอนีเ้ ปนพืน้ ฐานในการสรางเครือ่ งกําเนิดไฟฟ1 าเพือ่ ผลิตพลังงานไฟฟามา
4. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ศึ ก ษาและอธิ บ าย ใชประโยชน โดยเครื่องกําเนิดไฟฟาเปนอุปกรณที่เปลี่ยนพลังงานกล เชน พลังงานนํ้า พลังงาน
เกี่ยวกับเครื่องกําเนิดไฟฟา จากหนังสือเรียน ไอนํ้า เปนพลังงานไฟฟา ซึ่งเครื่องกําเนิดไฟฟามี 2 แบบ คือ เครื่องกําเนิดไฟฟากระแสสลับ และ
เครื่องกําเนิดไฟฟากระแสตรง โดยสวนประกอบหลักของเครื่องกําเนิดไฟฟาทั้งสองแบบพิจารณา
ขยายความเขาใจ ได จากภาพที่ 2.45
1. ครูนาํ อภิปรายสรุปเนือ้ หา เรือ่ ง แรงจากสนาม แหวน
แหวน แปรงสัมผัส
แมเหล็ก โดยเปด PowerPoint ใหนักเรียน
แปรงสัมผัส แหวนผาซีก
ศึกษาควบคูไปดวย
2. ครูใหนกั เรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรือ่ ง แรงจาก ขดลวด ขดลวด
สนามแมเหล็ก ลงในกระดาษ A4 พรอมทั้ง
ตกแตงใหสวยงาม พลังงานกล พลังงานกล
3. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน (ใชหมุนขดลวด) (ใชหมุนขดลวด)
ของตนเองหนาชั้นเรียน
(ก) เครื่องกําเนิดไฟฟากระแสสลับ (ข) เครื่องกําเนิดไฟฟากระแสตรง
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาและทํ า แบบฝ ก หั ด จาก
ภาพที่ 2.45 สวนประกอบหลักของเครื่องกําเนิดไฟฟา
Topic Question เรื่อง แรงจากสนามแมเหล็ก ที่มา : คลังภาพ อจท.
จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึกประจําตัว
แลวนํามาสงครูทายชั่วโมง สังเกตไดวา เครือ่ งกําเนิดไฟฟาทัง้ สองแบบมีสว นประกอบหลักเหมือนกัน ตางกันเพียงลักษณะ
5. ครูมอบหมายการบานใหนกั เรียนทําแบบฝกหัด ของแหวนและการติดตั้งแปรง กลาวคือ แหวนของเครื่องกําเนิดไฟฟากระแสสลับเปนแหวนเต็ม
เรื่อง แรงจากสนามแมเหล็ก จากแบบฝกหัด วงสองวงแยกกัน (slip ring) ยึดติดกับปลายแตละขางของขดลวดและติดตั้งแปรงเรียงกันสัมผัส
วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 มาสง กับแหวนแตละวง สวนแหวนของเครื่องกําเนิดไฟฟากระแสตรงเปนแหวนผาซีก (split ring) หรือ
ครูในชั่วโมงถัดไป แหวนวงเดียวแบงออกเปนสองซีก และติดตั้งแปรงขนานกันประกบอยูคนละขางของแหวนผาซีก
การผลิตไฟฟาของเครือ่ งกําเนิดไฟฟาตองใชพลังงานกลจากภายนอก (เครือ่ งยนต พลังงาน
นํ้า พลังงานลม) หมุนขดลวดที่อยูในสนามแมเหล็กระหวางขั้วเหนือและขั้วใต ขณะขดลวดกําลัง
หมุนจะเกิดการเปลีย่ นแปลงของจํานวนเสนสนามแมเหล็ก (ฟลักซแมเหล็ก) ทีพ่ งุ ผานระนาบของ
ขดลวดทําใหเกิดแรงเคลือ่ นไฟฟาเหนีย่ วนําและกระแสไฟฟาเหนีย่ วนําขึน้ ในขดลวด กระแสไฟฟา
เหนี่ยวนํานี้จะออกจากขดลวดสูวงจรภายนอกผานทางแหวนและแปรง แลวกลับเขาสูขดลวดผาน
ทางแปรงและแหวน โดยกระแสไฟฟาทีไ่ ดจากเครือ่ งกําเนิดไฟฟากระแสสลับจะกลับทิศทุกครึง่ รอบ
ของการหมุนของขดลวด ดังภาพที่ 2.46 (ก) สวนกระแสไฟฟาที่ไดจากเครื่องไฟฟากระแสตรงจะ
มีทิศเดียวเทานั้น ดังภาพที่ 2.46 (ข)
84
T92
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ
ผลของสนามแมเหล็กทีม่ ตี อ ตัวนําทีม่ กี ระแสไฟฟา
มอเตอรอยางงาย และเครื่องกําเนิดไฟฟา เพื่อ
ให นั ก เรี ย นทุ ก คนได มี ค วามเข า ใจในเนื้ อ หา
กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน�า กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน�า ที่ ไ ด ศึ ก ษามาแล ว ไปในทางเดี ย วกั น และเป น
ความเขาใจทีถ่ กู ตอง โดยครูใหนกั เรียนเขียนสรุป
ความรูลงในสมุดบันทึกประจําตัว
0 1 1 3 1
0 1
4
1
2
3
4 1 4 2 4
ขัน้ ประเมิน
1 รอบ ของการหมุน 1 รอบ ของการหมุน ตรวจสอบผล
(ก) เครื่องก�าเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ (ข) เครื่องก�าเนิดไฟฟ้ากระแสตรง 1. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question เรือ่ ง
แรงจากสนามแมเหล็ก ในสมุดบันทึกประจําตัว
ภาพที่ 2.46 กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน�าจากเครื่องก�าเนิดไฟฟ้ากระแสสลับและเครื่องก�าเนิดไฟฟ้ากระแสตรง 2. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง แรงจากสนาม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แมเหล็ก จากแบบฝกหัด วิทยาศาสตรกายภาพ
Topic 2 (ฟสิกส) ม.5
? Question 3. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
คําชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้ ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
1. เส้นสนามแม่เหล็กต่างจากเส้นสนามไฟฟ้าอย่างไร เพราะเหตุใด และการทํางานกลุม
4. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป
2. เส้นทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าจะมีลักษณะอย่างไร
ก. เมื่ออนุภาคเคลื่อนที่เข้าไปในแนวตั้งฉากกับสนามแม่เหล็กสม�่าเสมอ เนือ้ หา เรือ่ ง แรงจากสนามแมเหล็ก ทีน่ กั เรียน
ข. เมื่ออนุภาคเคลื่อนที่เข้าไปในแนวท�ามุมใด ๆ กับสนามแม่เหล็กสม�่าเสมอ ได ส ร า งขึ้ น จากขั้ น ขยายความเข า ใจเป น
ค. เมื่ออนุภาคเคลื่อนที่เข้าไปในสนามแม่เหล็กไม่สม�่าเสมอทางด้านที่สนามแม่เหล็กมีความ รายบุคคล
เข้มสูงกว่า
3. เหตุใดขดลวดที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านและอยู่ในสนามแม่เหล็กสม�่าเสมอจึงหมุนได้ทั้ง ๆ ที่แรง
แม่เหล็กลัพธ์ที่กระท�าต่อขดลวดเป็นศูนย์
4. ภายใต้เงื่อนไขใดจะท�าให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวน�าขึ้นในขดลวดที่อยู่ในสนามแม่เหล็ก
สม�า่ เสมอ และเพือ่ ให้เกิดแรงเคลือ่ นไฟฟ้าเหนีย่ วน�าขึน้ ในขดลวดของเครือ่ งก�าเนิดไฟฟ้าภายใต้
เงื่อนไขดังกล่าวจะต้องท�าอย่างไร
แรงในธรรมชาติ 85
ข. อนุภาคจะเคลื่อนที่วนเปนวงเกลียว
ระดับคะแนน
แบบประเมินผลงานผังมโนทัศน์ ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ 1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คะแนน จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
ค. อนุภาคจะเคลื่อนที่วนเปนวงเกลียวที่มีรัศมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ระดับคุณภาพ 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ลาดับที่ รายการประเมิน ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
2 ความถูกต้องของเนื้อหา สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
4. เมื่อเสนสนามแมเหล็กที่พุงผานขดลวดเปลี่ยนแปลงตามเวลา แต
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–16 ดีมาก
11–13 ดี
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครูสนทนากับนักเรียนทบทวนเกีย่ วกับแรงและ 4. แรงในนิวเคลียส Prior Knowledge
ชนิดของแรงทีเ่ รียนผานมาแลว และสนทนาถึง จากแบบจ�าลองอะตอมของธาตุท�าให้ทราบว่าอะตอมของ ¢¹ำด¢องáรง㹸รรมªำµิ
การเรียนเกีย่ วกับอะตอมและโครงสรางอะตอม ธาตุประกอบด้วยอิเล็กตรอนเคลื่อนที่กระจายเป็นชั้น ๆ รอบ ทÕè äด้ÈกÖ Éำมำáล้ว
ที่นักเรียนเรียนผานมาในวิชาเคมี สามารถนํา ã¹ระดัºอ¹ุภำค
นิวเคลียสซึ่งมีโปรตอนและนิวตรอนรวมตัวกันอยู่ภายใน โดยที่ จะàรÕยงล�ำดัºäด้อย‹ำงäร
มาเชื่อมโยงกับวิชาฟสิกสได อิเล็กตรอนเป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบ โปรตอนเป็นอนุภาค
2. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ ทีม่ ปี ระจุไฟฟ้าบวก และนิวตรอนเป็นอนุภาคทีไ่ ม่มปี ระจุไฟฟ้า จากความรูเ้ กีย่ วกับแรงไฟฟ้าท�าให้
3. ครู ถ ามคํ า ถาม Prior Knowledge จาก พิจารณาได้ว่า แรงที่ยึดอิเล็กตรอนไว้ในอะตอมเป็นแรงไฟฟ้าระหว่างประจุไฟฟ้าต่างชนิดกัน
หนังสือเรียน กับนักเรียนวา “ขนาดของแรงใน การที่โปรตอนและนิวตรอนรวมตัวกันอยู่ในนิวเคลียสได้นั้น ต้องมีแรงในธรรมชาติที่มีค่าเท่ากับ
ธรรมชาติที่ไดศึกษามาแลวในระดับอนุภาค หรือมากกว่าแรงผลักทางไฟฟ้าระหว่างโปรตอนในนิวเคลียส ซึง่ เรียกแรงดังกล่าวว่า แรงนิวเคลียร์
จะเรียงลําดับไดอยางไร” (nuclear force)
4. ครูใหนกั เรียนรวมกันตัง้ คําถามทีต่ อ งการรูจ าก แรงนิวเคลียร์เป็นแรงกระท�าทีเ่ กิดขึน้ ภายในนิวเคลียส โดย
เนื้อหาที่เกี่ยวของกับ เรื่อง แรงในนิวเคลียส เกิดระหว่างอนุภาคที่อยู่ติดกันท�าหน้าที่ยึดเหนี่ยวอนุภาคต่าง ๆ
นิวคลีออน
แรงในนิวเคลียส
www.aksorn.com/interactive3D/RKB29
T94
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
สัญลักษณ์ของธาตุ 1. ครูใหนักเรียนจับคูกับเพื่อน แลวรวมกันศึกษา
เรื่อง แรงในนิวเคลียส จากหนังสือเรียน
A
X
เลขมวล จะได้ว่า 2. ครูอาจยกตัวอยางธาตุในวิชาเคมี จากนั้นสุม
เป็นตัวเลขที่แสดงผลรวมของ
จ�ำนวนโปรตอนและนิวตรอน จ�ำนวนโปรตอน = Z นักเรียนใหอธิบายวา สามารถเขียนสัญลักษณ
เลขอะตอม
เป็นตัวเลขที่แสดงจ�ำนวนโปรตอน
Z จ�ำนวนอิเล็กตรอน = จ�ำนวนโปรตอน = Z
จ�ำนวนนิวตรอน = เลขมวล - เลขอะตอม
= A-Z
นิวเคลียรของธาตุนั้นไดอยางไร และธาตุนั้น
มีเลขมวลและเลขอะตอมเทาใด รวมทั้งครู
ภาพที่ 2.48 สัญลักษณ์นิวเคลียร์ อาจถามเพิ่มอีกวา ธาตุนั้นมีจํานวนโปรตอน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
นิวตรอน และอิเล็กตรอนเทาใดบาง ตามลําดับ
แรงนิวเคลียร์เป็นแรงในธรรมชำติเช่นเดียวกับแรงโน้มถ่วง แรงไฟฟ้ำ และแรงแม่เหล็ก
โดยเป็นแรงกระท�ำระหว่ำงอนุภำคที่อยู่ติดกันภำยในนิวเคลียสจึงจัดเป็นแรงระยะใกล้ ขณะที่แรง
โน้มถ่วงจัดเป็นแรงระยะไกล ส่วนแรงไฟฟ้ำและแรงแม่เหล็กเป็นแรงกระท�ำทั้งในระยะใกล้และ
ระยะไกล (เมื่อเทียบกับแรงนิวเคลียร์)
4.1 แรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม
แรงนิวเคลียร์1อย่างเข้ม (strong nuclear force) หรือแรง
เข้ม หรืออันตรกิรยิ ำอย่ำงเข้ม เป็นแรงกระท�ำระหว่ำงนิวคลีออน
ให้รวมตัวกันอยูใ่ นนิวเคลียส แรงนิวเคลียร์อย่ำงเข้มเป็นแรงดึงดูด n
ที่มีก�ำลังแรงส�ำหรับนิวคลีออน และยังสำมำรถยึดโปรตอนกับ e - p + e-
นิวเคลียสของอะตอมเข้ำด้วยกันได้
ปัจจุบันเป็นที่เข้ำใจแล้วว่ำแรงนิวเคลียร์อย่ำงเข้มเป็นผล
สืบเนื่องมำจำกแรงที่ยึดเหนี่ยวควาร์ก (quark) ซึ่งเป็นอนุภำคที่ ภาพที่ 2.49 นิวเคลียสของอะตอม
ประกอบกันเป็นโปรตอนหรือนิวตรอนเข้ำด้วยกันเพื่อก่อให้เกิด ฮีเลียม โปรตอน 2 ตัว มีประจุเท่ากัน
นิ ว คลี อ อน เมื่ อ เปรี ย บเที ย บอนุ ภ ำคในระดั บ ขนำดเดี ย วกั น แต่ ยงั คงติดอยูด่ ว้ ยกัน เป็นผลมาจาก
แรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม
แรงนิวเคลียร์อย่ำงเข้มมีค่ำสูงสุดเมื่อเทียบกับแรงชนิดอื่นมีค่ำ ที่มา : คลังภาพ อจท.
ประมำณ 10-100 เท่ำของแรงไฟฟ้ำ (แรงระหว่ำงประจุไฟฟ้ำในนิวเคลียส) ขณะที่แรงไฟฟ้ำมีค่ำ
ประมำณ 1039 เท่ำของแรงโน้มถ่วง (แรงไฟฟ้ำและแรงโน้มถ่วงระหว่ำงโปรตอนกับอิเล็กตรอน)
อย่ำงไรก็ตำม แรงนิวเคลียร์อย่ำงเข้มจะลดลงอย่ำงรวดเร็วเมื่อระยะห่ำงเพิ่มขึ้นและมีค่ำน้อยมำก
จนไม่ต้องน�ำมำพิจำรณำเมื่อระยะห่ำงมำกกว่ำ 10-14 เมตร (ระดับขนำดอะตอม) ด้วยเหตุนี้แรง
ยึดเหนี่ยวอิเล็กตรอนให้เคลื่อนที่รอบนิวเคลียสจึงไม่ใช่แรงนิวเคลียร์ แต่เป็นแรงไฟฟ้ำระหว่ำง
ประจุต่ำงชนิดกัน
แรงในธรรมชาติ 87
T95
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3. ครูใหนกั เรียนศึกษาขอมูลเกีย่ วกับควารก จาก
กรอบ Science Focus จากหนังสือเรียน โมเลกุล
โลก สสาร
4. ครูใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับควารกเพิ่มเติม
โดยการนําสมารตโฟนของตนเองขึ้นมา แลว
นําไปสแกน QR Code เรื่อง ควารก จาก
หนังสือเรียน
โปรตอน อิเล็กตรอน
<10-16 m
อะตอม
นิวตรอน ∼ 10-10 m
ควาร์ก
<10-16 m
นิวเคลียส
∼10-14 m
โปรตอนหรือนิวตรอน (นิวคลีออน)
∼10-15 m 1
ภาพที่ 2.50 แนวคิดเกี่ยวกับโครงสร้างของสสาร
ที่มา : คลังภาพ อจท.
Science Focus
ควาร์ก
จากการศึกษาผลที่เกิดขึ้นภายหลังการชนกันของอนุภาคต่าง ๆ โดยใช้เครื่องเร่งอนุภาคที่มี
พลังงานสูง ท�าให้พบอนุภาคที่เป็นส่วนประกอบของโปรตอนและนิวตรอน เรียกว่า ควาร์ก ซึ่งเชื่อว่าเป็น
อนุภาคที่เล็กที่สุดมีทั้งหมด 6 ชนิด หรือเรียกว่า เฟลเวอร์ (flavour) ได้แก่ อัป ดาวน์ ชาร์ม สเตรนจ์
ท็อป และบอตทอม โดยควาร์กที่พบมากที่สุดในเอกภพ คือ อัปควาร์กและดาวน์ควาร์ก เนื่องจากเป็น
ชนิดที่เสถียรที่สุดและเกิดจากการแปรสภาพจากควาร์ก 4 ชนิดที่เหลือ
เมื่อควาร์กตั้งแต่ 2 อนุภาคขึ้นไปรวมกัน
u u u d โดยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มอาจก่อให้เกิดอนุภาคใหม่
d d เรียกว่า แฮดรอน (hadron) ซึ่งแฮดรอนที่เสถียรที่สุด
(ก) โปรตอน (ข) นิวตรอน คื อ โปรตอนและนิวตรอน โดยที่โปรตอนเกิดจากการ
ภาพที่ 2.51 ควาร์กของโปรตอนและนิวตรอน รวมตั วของอัปควาร์ก 2 อนุภาค กับดาวน์ควาร์ก
ที่มา : คลังภาพ อจท. 1 อนุภาค ขณะที่นิวตรอนเกิดจากการรวมตัวของ
อัปควาร์ก 1 อนุภาค กับดาวน์ควาร์ก 2 อนุภาค
88 ควาร์ก
T96
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4.2 áç¹ÔÇà¤ÅÕÂÃÍ‹ҧ͋͹ 5. ครู ถ ามคํ า ถามท า ทายการคิ ด ขั้ น สู ง จาก
แรงนิวเคลียรอยางออน (weak nuclear force) หรือแรงออน หรืออันตรกิริยาอยางออน หนั ง สื อ เรี ย นกั บ นั ก เรี ย นว า “เพราะเหตุ ใ ด
เปนแรงกระทําภายในแตละนิวคลีออน จึงเปนแรงกระทําในระยะใกลกวาแรงนิวเคลียรอยางเขม การสลายใหอนุภาคบีตาของธาตุกัมมันตรังสี
(ประมาณ 10-17-10-18 m) แรงนิวเคลียรอยางออนเปนแรงที 1 ่ทําใหโปรตอนเปลี่ยนเปนนิวตรอน จึงอธิบายไมไดดว ยแรงนิวเคลียรอยางเขม แรง
และนิวตรอนเปลี่ยนเปนโปรตอนผานการสลายใหอนุภาคบีตาของธาตุกัมมันตรังสี แมเหล็กไฟฟา และแรงโนมถวง”
แรงนิวเคลียรอยางออนทําใหเกิดสมดุลระหวางโปรตอนและนิวตรอนภายในนิวเคลียส สงผล 6. ครูใหนักเรียนจับคูกับเพื่อน แลวรวมกันศึกษา
ใหทุกสิ่งอยูรวมกันไดในนิวเคลียส และยังมีความสําคัญตอปฏิกิริยานิวเคลียรฟวชันในดวงอาทิตย ค น คว า เพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ เครื่ อ งชนอนุ ภ าค
และดาวฤกษตา ง ๆ ซึง่ เปนการหลอมนิวเคลียสของไฮโดรเจนหรือโปรตอนใหเปนธาตุหนัก โดยแรง แฮดรอนขนาดใหญ (LHC) จากอินเทอรเน็ต
นิวเคลียรอยางออนจะเปลี่ยนโปรตอนใหเปนนิวตรอน จากนั้นแรงนิวเคลียรอยางเขมจะทําหนาที่ จากนั้นเขียนสรุปผลการศึกษาเปนความคิด
ยึดเหนี่ยวโปรตอนและนิวตรอนใหอยูรวมกันเพื่อสรางนิวเคลียสดิวเทอเรียม (Deuterium) ซึ่งทํา
ปฏิกริ ยิ าตอไปเพือ่ สรางนิวเคลียสฮีเลียมพรอมปลดปลอยพลังงานปริมาณมหาศาลออกมา ปฏิกริ ยิ า เห็นของคูตนเองลงในกระดาษ A4
นิวเคลียรฟว ชันในดวงอาทิตยและดาวฤกษตา ง ๆ จึงเกีย่ วของกับแรงนิวเคลียรทงั้ สองประเภทโดยตรง
ในระดับขนาดเดียวกัน แรงนิวเคลียรอยางออนมีคานอย
กวาแรงนิวเคลียรอยางเขม แรงไฟฟาและแรงแมเหล็กมาก แต คําถามทาทายการคิดขัน้ สูง
มีคา มากกวาแรงโนมถวงเล็กนอย โดยแรงแมเหล็กและแรงไฟฟา
มีคาประมาณ 1012 เทาของแรงนิวเคลียรอยางออน เพราะเหตุใดการสลาย
ให อ นุ ภ าคบี ต าของธาตุ
สังเกตไดวา แรงโนมถวง แรงไฟฟา เปนไปตามกฎกําลัง กั ม มั น ตรั ง สี จึ ง อธิ บ าย
สองผกผัน กลาวคือ ขนาดของแรงแปรผกผันกับกําลังสองของ ไม ไ ด ด ว ยแรงนิ ว เคลี ย ร
ระยะหางระหวางตนกําเนิดของแรง เชน ถาระยะหางเพิ่มขึ้น 2 แบบเข ม แรงแม เ หล็ ก
เทา ขนาดของแรงจะลดลงเหลือ 1 ใน 4 ขณะที่แรงนิวเคลียร ไฟฟา และแรงโนมถวง
ทั้ง 2 แบบ ไมไดเปนตามกฎกําลังสองผกผัน
Science Focus
à¤Ã×èͧª¹Í¹ØÀÒ¤áδÃ͹¢¹Ò´ãËÞ‹
เครือ่ งชนอนุภาคแฮดรอนขนาดใหญ (large hadron col-
lider; LHC) คือ เครื่องเรงอนุภาคที่ใหญที่สุดในโลก โดยองคการ
วิจัยนิวเคลียรยุโรป (European Organization for Nuclear
Research) หรือเซิรน (Conseil Européen pour la Recherche
Nucléaire; CERN) เปนผูสรางเครื่องนี้ขึ้นที่บริเวณเขตแดน แนวตอบ H.O.T.S.
ประเทศฝรัง่ เศสและสวิตเซอรแลนด ใกลกบั กรุงเจนีวา เปนทอใตดนิ
ลักษณะเปนวงแหวนขนาดความยาวเสนรอบวง 27 กิโลเมตร ภาพที่ 2.52 เครื่องชนอนุภาค LHC
เนื่ อ งจากแรงนิ ว เคลี ย ร อ ย า งอ อ นเป น แรง
ที่มา : คลังภาพ อจท. กระทํ า ระหว า งนิ ว คลี อ อน และในการสลายให
อนุภาคบีตาของธาตุกมั มันตรังสีแรงนิวเคลียรอยาง
áç㹸ÃÃÁªÒµÔ 89
ออนจะทําหนาที่เปลี่ยนนิวตรอนไปเปนโปรตอน
ขณะที่มีการปลดปลอยอิเล็กตรอนและนิวทริโน
T97
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
1. ครูสุมนักเรียนออกมาหนาชั้นเรียน จากนั้น การลดลงของพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนในช่วงเลขมวลค่าสูง ๆ หรือนิวเคลียสขนาด
ใหนําเสนอผลการศึกษาของคูตนเองเกี่ยวกับ ใหญ่ เป็นการยืนยันว่าแรงนิวเคลียร์เป็นแรงระยะใกล้ เนื่องจากในนิวเคลียสขนาดใหญ่โปรตอนจะ
เครื่องชนอนุภาคแฮดรอนขนาดใหญ จนครบ อยูห่ า่ งกันมากกว่าในนิวเคลียสขนาดเล็ก และแรงผลักทางไฟฟ้าระหว่างโปรตอนเริม่ มีความส�าคัญ
ทุกคู นิวเคลียสจึงมีเสถียรภาพน้อยลง
2. ครูใหนักเรียนรวมกันโหวตลงคะแนนผลงาน ปัจจุบันมนุษย์ใช้ประโยชน์จากแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนของรังสีที่ได้จากการสลายของ
นิวเคลียสกัมมันตรังสี ดังนี้
ของเพื่อน โดยครูอาจตรวจและใหคะแนน
• ด้านการแพทย์ ใช้ตรวจวินิจฉัยโรคและรักษาโรค (ส่วนใหญ่เป็นโรคมะเร็ง)
พิเศษสําหรับเจาของผลงาน • ด้านโบราณคดี ใช้หาอายุของวัตถุโบราณหรือซากสิ่งมีชีวิต
3. ครูแจกใบงาน เรื่อง แรงในนิวเคลียส จากนั้น • ด้านการเกษตร ใช้ฉายรังสีเพื่อก�าจัดแมลงและควบคุมการงอก ฉายรังสีเพื่อปรับปรุง
มอบหมายใหนกั เรียนศึกษา แลวรวบรวมสงครู พันธุ์พืช
ทายชั่วโมง • ด้านอุตสาหกรรม ใช้ปรับปรุงการผลิต เช่น ฉายรังสีเพือ่ ถนอมอาหาร ฉายรังสีเพือ่ ปรับปรุง
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาและทํ า แบบฝ ก หั ด จาก สีของอัญมณี และควบคุมการผลิต เช่น ตรวจวัดปริมาณตะกัว่ ตรวจสอบรอยเชือ่ ม ตรวจสอบและ
Topic Question เรื่อง แรงในนิวเคลียส จาก ควบคุมความหนาของแผ่นวัสดุโดยใช้รังสี
หนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึกประจําตัว แลว ส่วนแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มใช้ประโยชน์จากพลั
1 งงานนิ2วเคลียร์ที่ได้จากการแตกตัวของ
นํามาสงครูทายชั่วโมง นิวเคลียสของธาตุหนัก (เลขมวลสูง ๆ เช่น ยูเรเนียม พลูโทเนียม) ภายในเครือ่ งปฏิกรณ์นวิ เคลียร์
5. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัด เรื่อง ซึ่งท�าหน้าที่เปลี่ยนพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานความร้อน เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตกระแส
แรงในนิวเคลียส จากแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ไฟฟ้าในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
กายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 เปนการบาน แลวนํา Topic
มาสงครูในชั่วโมงถัดไป ? Question
คําชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. ถ้าต้องการทราบว่าเป็นนิวเคลียสของธาตุใดต้องพิจารณาจากสิ่งใดในนิวเคลียส โดยจ�านวน
สิ่งนั้นพิจารณาจากอะไร
2. นิวคลีออนคืออะไร และจ�านวนนิวคลีออนพิจารณาได้จากสิ่งใด
3. จงระบุว่าสมบัติต่อไปนี้เป็นสมบัติของแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มหรือแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน
ก. เป็นแรงกระท�าระหว่างนิวคลีออน
ข. เป็นแรงที่ท�าให้โปรตอนเปลี่ยนเป็นนิวตรอน
ค. เป็นแรงที่ท�าให้เกิดสมดุลระหว่างโปรตอนและนิวตรอนภายในนิวเคลียส
4. แรงนิวเคลียร์อย่างเข้มและแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน
ในดวงอาทิตย์อย่างไร
5. เสถียรภาพของนิวเคลียสพิจารณาได้จากสิ่งใดและอย่างไร และเหตุใดนิวเคลียส
ขนาดใหญ่จึงมีเสถียรภาพน้อยลง
90
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
Summary 1. ครูนาํ อภิปรายสรุปเนือ้ หา เรือ่ ง แรงในธรรมชาติ
áç㹸ÃÃÁªÒµÔ โดยเปด PowerPoint ควบคูไปดวย
2. ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนสอบถามเกีย่ วกับสิง่ ที่
สงสัยหรือยังไมเขาใจเพิ่มเติม
áç¨Ò¡Ê¹ÒÁ⹌Á¶‹Ç§ 3. ครูใหนักเรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรื่อง แรงใน
แรงโนมถวงของโลกทําใหสิ่งตาง ๆ บนพื้นผิวโลกมีนํ้าหนักและ นิวเคลียส ลงในกระดาษ A4 พรอมทั้งตกแตง
เคลือ่ นทีจ่ ากทีส่ งู ลงสูท ตี่ าํ่ โดยนํา้ หนักของวัตถุจะมีทศิ พุง ลงตามแนวดิง่ ใหสวยงาม
และตกผานศูนยถว ง ซึง่ เปนเสมือนจุดรวมนํา้ หนักของวัตถุเสมอ ไมวา วัตถุ 4. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
จะวางตัวอยูใ นลักษณะใด แรงโนมถวงของโลกยังสงผลใหวตั ถุทเี่ คลือ่ นที่
ในสนามโนมถวงของโลกแบบมีความเรง เรียกวา ความเรงโนมถวง ของตนเองหนาชั้นเรียน
ซึง่ มีคา 9.8 เมตรตอวินาที2 (คาเฉลีย่ ทัว่ พืน้ ผิวโลก) มีทศิ พุง ลงตามแนวดิง่ 5. ครูใหนกั เรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเอง
เมือ่ ไมคดิ แรงตานอากาศหรือแรงตานการเคลือ่ นทีใ่ ด ๆ จะเรียกวา การตก ภาพที่ 2.53 สนามโนมถวงของโลก ดวยกรอบ Self Check เรื่อง แรงในธรรมชาติ
แบบเสรี ที่มา : คลังภาพ อจท. จากหนังสือเรียน ลงในสมุดบันทึกประจําตัว
áç¨Ò¡Ê¹ÒÁä¿¿‡Ò 6. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัดจาก
Unit Question หนวยการเรียนรูที่ 2 แรงใน
ธรรมชาติ จากหนังสือเรียน โดยทําลงในสมุด
จุดสะเทิน บันทึกประจําตัวเปนการบาน แลวรวบรวมสง
ครูเพื่อตรวจสอบและใหคะแนน
ภาพที่ 2.54 แรงกระทําระหวางประจุไฟฟา 7. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ตรวจสอบความเขาใจหลังเรียนของนักเรียน
เมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาอยูในสนามไฟฟาหรือเคลื่อนที่เขาสูบริเวณที่มีสนามไฟฟา อนุภาคที่มี
ประจุไฟฟานั้นจะไดรับแรงกระทําจากสนามไฟฟา ถาเปนสนามไฟฟาสมํ่าเสมอ อนุภาคที่มีประจุไฟฟาบวก
แรงไฟฟาที่กระทําตออนุภาคจะมีทิศเดียวกับสนามไฟฟา แตถาเปนอนุภาคที่มีประจุไฟฟาลบ แรงไฟฟาที่ ขัน้ สรุป
กระทําตออนุภาคจะมีทิศตรงขามกับสนามไฟฟา ตรวจสอบผล
T99
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน แรงในนิวเคลียส นิวคลีออน
เพื่ อ ตรวจสอบความเข า ใจหลั ง เรี ย นของ แรงในนิวเคลียสเป็นแรงกระท�าในระยะใกล้ (ภายในนิวเคลียส) แรง
นักเรียน ในนิวเคลียสหรือแรงนิวเคลียร์มี 2 ประเภท ได้แก่ แรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม
2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน เรื่อง แรง และแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน โดยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มเป็นแรงกระท�า
ในนิวเคลียส ระหว่างนิวคลีออน (โปรตอนและนิวตรอน) ส่วนแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน
เป็นแรงกระท�าภายในนิวคลีออน
3. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question เรือ่ ง แทนแรงนิวเคลียร์
แรงนิวเคลียร์อย่างเข้มเป็นแรงที่ยึดนิวคลีออนไว้ภายในนิวเคลียส
แรงในนิวเคลียส ในสมุดบันทึกประจําตัว และเป็นแรงที่ส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพของนิวเคลียส ส่วนแรง ภาพที่ 2.55 แรงนิวเคลียร์
4. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Unit Question หนวย นิวเคลียร์อย่างอ่อนเป็นแรงที่ท�าให้โปรตอนเปลี่ยนเป็นนิวตรอน และ ที่มา : คลังภาพ อจท.
การเรียนรูที่ 2 แรงในธรรมชาติ ในสมุดบันทึก นิวตรอนเปลี่ยนเป็นโปรตอนผ่านการสลายให้อนุภาคบีตาของธาตุกัมมันตรังสี แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนช่วยให้
ประจําตัว เกิดสมดุลระหว่างโปรตอนและนิวตรอนภายในนิวเคลียส ส่งผลให้ทกุ สิง่ อยูร่ วมกันได้ในนิวเคลียส แรงนิวเคลียร์
5. ครูตรวจสอบผลการตรวจสอบความเขาใจของ ทั้ง 2 ประเภท ยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันในดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการ
หลอมนิวเคลียสของไฮโดรเจนหรือโปรตอนให้เป็นธาตุหนัก โดยแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนจะเปลี่ยนโปรตอนให้
ตนเอง Self Check จากหนังสือเรียน ในสมุด เป็นนิวตรอน จากนัน้ แรงนิวเคลียร์อย่างเข้มจะท�าหน้าทีย่ ดึ เหนีย่ วโปรตอนและนิวตรอนให้อยูร่ วมกันเพือ่ สร้าง
บันทึกประจําตัว นิวเคลียสดิวเทอเรียม ซึง่ ท�าปฏิกริ ยิ าต่อไปเพือ่ สร้างนิวเคลียสฮีเลียมพร้อมปลดปล่อยพลังงานปริมาณมหาศาล
6. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรือ่ ง แรงในนิวเคลียส ออกมา
จากแบบฝ ก หั ด วิ ท ยาศาสตร ก ายภาพ 2
(ฟสิกส) ม.5 Self Check
7. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่กําหนดให้
และการทํางานกลุม
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
8. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป
1. ดาวเทียมและดวงจันทร์โคจรรอบโลกโดยมีแรงโน้มถ่วงเป็นแรงสู่ 1.1
เนื้อหา เรื่อง แรงในนิวเคลียส ที่นักเรียนได ศูนย์กลาง
สร า งขึ้ น จากขั้ น ขยายความเข า ใจเป น ราย 2. เมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวน�าตรงจะเกิดสนามแม่เหล็กรอบลวด 3.3
บุคคล ตัวน�าทั้งในแนวขนานและแนวตั้งฉากกับลวดตัวน�าตรง
มุ ด
3. แรงแม่เหล็กที่กระท�าต่อลวดตัวน�าที่อยู่ในสนามแม่เหล็กและมีกระแส 3.3
นส
ไฟฟ้าผ่านเป็นพื้นฐานในการสร้างมอเตอร์ งใ
ล
ทึ ก
บั น
1. ผลงานตรงกับ
4
ผลงานสอดคล้องกับ
3
ผลงานสอดคล้องกับ
ระดับคะแนน
2
ผลงานสอดคล้องกับ
1
ผลงานไม่สอดคล้อง
4. เกิดเฉพาะธาตุไฮโดรเจนและฮีเลียม
5. นิวเคลียสจะมีเฉพาะโปรตอน ไมมีนิวตรอน
คะแนน จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
ระดับคุณภาพ 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ลาดับที่ รายการประเมิน ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
2 ความถูกต้องของเนื้อหา สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
(วิเคราะหคําตอบ เมื่อไมมีแรงนิวเคลียรทําใหไมมีแรงดึงดูด
แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
3 ความคิดสร้างสรรค์
ระบบ
4 ความเป็นระเบียบ
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
รวม ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
T100
นํา สอน สรุป ประเมิน
T101
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบก่อนเรียน 1. อธิบายความหมาย แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
พลังงานในชีวิต - หนังสือเรียน รายวิชา ของพลังงานและ หาความรู้ - ส ังเกตการอภิปรายเกี่ยวกับ - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
ประจ�ำวัน พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ จ�ำแนกประเภทของ (5Es พลังงานในชีวิตประจ�ำวัน - ทักษะการสังเกต - มุ่งมั่นใน
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) พลังงานทดแทนได้ Instructional - ตรวจผังมโนทัศน์ - ทักษะการท�ำงาน การท�ำงาน
4 ม.5 (K)
- แบบฝึกหัดรายวิชา 2. อธิบายแหล่งที่มาของ
Model) เรื่อง พลังงานทดแทน
- ตรวจใบงาน เรื่อง พลังงาน
ร่วมกัน
- ทักษะการน�ำความรู้
ชั่วโมง พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ พลังงานทีพ่ บเห็นจาก สิ้นเปลือง ไปใช้
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) การท�ำกิจกรรมต่าง ๆ - ตรวจแบบฝึกหัด
ม.5 ในชีวิตประจ�ำวันได้ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
- ใบงาน (K) Topic Question
- PowerPoint 3. น�ำเสนอผลการศึกษา - สังเกตพฤติกรรม
- QR Code เรื่อง ไฟฟ้าจาก การท�ำงานรายบุคคล
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น พลังงานแสงอาทิตย์ - สังเกตพฤติกรรม
Twig อย่างเป็นล�ำดับ การท�ำงานกลุ่ม
ขั้นตอน (P) - สังเกตคุณลักษณะ
4. มีความสนใจใฝ่รู้หรือ อันพึงประสงค์
อยากรู้อยากเห็น (A)
5. ท�ำงานร่วมกับผู้อื่น
อย่างสร้างสรรค์ (A)
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียน รายวิชา 1. อธิบายความหมาย แบบสืบเสาะ - สังเกตการอภิปรายเกี่ยวกับ - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
พลังงาน พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ของพลังงาน หาความรู้ พลังงานในชีวิตประจ�ำวัน - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
นิวเคลียร์ กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) นิวเคลียร์ได้ (K) (5Es - ตรวจผังมโนทัศน์ - ทักษะการสังเกต - มุ่งมั่นใน
ม.5 2. จ�ำแนกประเภทของ Instructional เรื่อง พลังงานนิวเคลียร์ - ทักษะการน�ำความรู้ การท�ำงาน
1 - แบบฝึกหัด รายวิชา
พื้นฐาน วิทยาศาสตร์
พลังงานนิวเคลียร์
ฟิชชันและฟิวชันได้
Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง พลังงาน
นิวเคลียร์
ไปใช้
ชั่วโมง กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) (K) - ตรวจแบบฝึกหัด
ม.5 3. เขียนสรุปข้อมูล เรื่อง - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
- ใบงาน พลังงานนิวเคลียร์ได้ Topic Question
- PowerPoint อย่างครบถ้วน - สังเกตพฤติกรรม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ตรงตามจุดประสงค์ การท�ำงานรายบุคคล
Twig ที่ต้องการสื่อสาร (P) - สังเกตคุณลักษณะ
4. มีความสนใจใฝ่รู้หรือ อันพึงประสงค์
อยากรู้อยากเห็น (A)
แผนฯ ที่ 3 - แบบทดสอบหลังเรียน 1. อ ธิบายการเปลี่ยน แบบสืบเสาะ - สังเกตการอภิปรายเกี่ยวกับ - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
เทคโนโลยีด้าน - หนังสือเรียน รายวิชา พลังงานทดแทนเป็น หาความรู้ เทคโนโลยี - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
พลังงาน พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ พลังงานไฟฟ้าได้ (K) (5Es ด้านพลังงาน - ทักษะการสังเกต - มุ่งมั่นใน
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) 2. อภิปรายเกี่ยวกับการ Instructional - ตรวจผังมโนทัศน์ - ทักษะการท�ำงาน การท�ำงาน
3 ม.5 น�ำเทคโนโลยีมา Model) เรื่อง เทคโนโลยีด้าน ร่วมกัน
- แบบฝึกหัด รายวิชา แก้ปัญหาด้านพลังงาน พลังงาน - ทักษะการน�ำความรู้
ชั่วโมง พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ได้ (K) - ตรวจใบงาน เรื่อง ไปใช้
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) 3. น�ำเสนอผลงาน เรื่อง เทคโนโลยีด้านพลังงาน
ม.5 เทคโนโลยีด้าน - ตรวจแบบฝึกหัด
- ใบงาน พลังงาน ได้อย่าง - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
- PowerPoint ครบถ้วนและเป็น Topic Question
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ล�ำดับขั้นตอน (P) - สังเกตพฤติกรรม
Twig 4. มีความสนใจใฝ่รู้หรือ การท�ำงานรายบุคคล
อยากรู้อยากเห็น (A) - สังเกตพฤติกรรม
5. ท�ำงานร่วมกับผู้อื่น การท�ำงานกลุ่ม
อย่างสร้างสรรค์ (A) - สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T102
Chapter Concept Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3
พลังงานในชีวิตประจําวัน
• พลังงานทดแทน เปนพลังงานที่นํามาใชแทนนํ้ามัน แบงออกเปน 2 ประเภท
- พลังงานทดแทนประเภทสิ้นเปลือง เปนพลังงานทดแทนจากแหลงพลังงานที่ใชไปนาน ๆ แลวจะหมดไป เชน แกสธรรมชาติ ถานหิน
พลังงานนิวเคลียร
- พลังงานทดแทนประเภทหมุนเวียน เปนพลังงานที่ไดมาจากแหลงที่เมื่อใชแลวสามารถนํากลับมาใชไดอีก เชน พลังงานแสงอาทิตย
พลังงานลม พลังงานนํ้า พลังงานชีวมวล พลังงานความรอนใตพิภพ
• ไฟฟาจากพลังงานนิวเคลียรและแสงอาทิตย
- ไฟฟาจากพลังงานนิวเคลียร ไดจากโรงไฟฟานิวเคลียรซงึ่ ใชเครือ่ งปฏิกรณนวิ เคลียรฟช ชันเปนแหลงกําเนิดพลังงานความรอนเพือ่ ใชใน
กระบวนการผลิตพลังงานไฟฟา
- ไฟฟาจากพลังงานแสงอาทิตย มีหลักการทีใ่ ชในการเปลีย่ นพลังงานแสงอาทิตยเปนพลังงานไฟฟา 2 หลักการ คือ การใชความรอนจาก
แสงอาทิตยในการผลิตพลังงานไฟฟา และการเปลีย่ นพลังงานแสงอาทิตยเปนพลังงานไฟฟาโดยตรง การใชความรอนจากแสงอาทิตยใน
การผลิตพลังงานไฟฟามี 2 ระบบ ไดแก ระบบความรอนรวมศูนยและระบบสระแสงอาทิตย
พลังงานนิวเคลียร
• ฟชชัน เปนปฏิกิริยานิวเคลียรที่นิวเคลียสของธาตุหนักแยกออกเปน 2 นิวเคลียสของธาตุที่เบากวา
ธาตุที่มีมวลนอย
นิวตรอน
พลังงาน นิวตรอน
นิวตรอน
ธาตุที่มีมวลมาก
นิวตรอน
ธาตุที่มีมวลนอย
+
พลังงาน
+ +
เทคโนโลยีดานพลังงาน
เทคโนโลยีดานพลังงานเปนการนําความรูและทักษะกระบวนการวิทยาศาสตรมาสรางอุปกรณ เชน เซลลเชื้อเพลิง เซลลสุริยะ หรือ
ผลิตภัณฑตาง ๆ (เอทานอล ไบโอดีเซล แกสชีวภาพ) เพื่อแกปญหาหรือตอบสนองความตองการดานพลังงาน ซึ่งชวยใหเกิดประโยชน
สูงสุดในการใชพลังงานและลดปญหาสิ่งแวดลอม ทําใหการใชพลังงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เซลลเชื้อเพลิงและเซลลสุริยะเปนอุปกรณผลิต
พลังงานไฟฟา สวนเอทานอล ไบโอดีเซล และแกสชีวภาพ เปนผลิตภัณฑทนี่ าํ มาใชเปนเชือ้ เพลิงแทนการใชนาํ้ มัน แกสธรรมชาติ หรือถานหิน
ซึ่งจะชวยลดปญหามลพิษในอากาศ สําหรับเอทานอลนิยมนําไปผสมกับนํ้ามันเบนซินในอัตราสวนตาง ๆ เรียกวา แกสโซฮอล และเมื่อนํา
แกสโซฮอลไปใชกับยานพาหนะจะสงผลกระทบตอสิ่งแวดลอมนอยกวานํ้ามันเบนซิน เนื่องจากออกซิเจนที่เปนสวนประกอบของเอทานอล
จะชวยใหการเผาไหมภายในหองเครื่องสมบูรณยิ่งขึ้นและลดปริมาณแกสคารบอนมอนอกไซดที่ปลอยออกมาจากทอไอเสีย
T103
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ
หนวยการเรียนรูที่ 3 Q ¤ÇÒÁ¡ŒÒÇ˹ŒÒ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพื่อ
ตรวจสอบความรู เ ดิ ม ของนั ก เรี ย นเป น ราย
บุคคลกอนเขาสูกิจกรรม
พลังงาน ·Ò§à·¤â¹âÅÂÕ
Ê‹§¼Åµ‹Í¾Åѧ§Ò¹
ËÃ×ÍäÁ‹ Í‹ҧäÃ
3. ครูและนักเรียนสนทนาเกีย่ วกับกิจกรรมในชีวติ
ประจําวันของนักเรียน แลวใหนักเรียนชวยกัน
ยกตัวอยางพลังงานที่รูจักวามีอะไรบาง ตัวชี้วัด
4. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียนโดยถามวา ว 2.3 ม.5/1 ม.5/2
“ในความเขาใจของนักเรียน นักเรียนคิดวา
คําวาพลังงานหมายถึงอะไร” และใหนักเรียน
ชวยกันตอบคําถามปากเปลาโดยไมมกี ารเฉลย
วาถูกหรือผิด
5. ครูถามคําถามนําเขาสูบทเรียน โดยใชคําถาม
Big Question จากหนังสือเรียน รายวิชาพืน้ ฐาน
วิ ท ยาศาสตร ก ายภาพ 2 (ฟ สิ ก ส ) ม.5
วา “ความกาวหนาทางเทคโนโลยีสงผลตอ
พลังงานหรือไม อยางไร
6. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบความเขาใจกอน
เรียนจาก Understanding Check ลงในสมุด
บันทึกประจําตัว
ุด
3. โรงไฟฟำนิวเคลียร์เป็นกำรใช้ประโยชน์จำกปฏิกิริยำนิวเคลียร์แบบฟิชชัน
สม
แก ป ญ หาและตอบสนองความต อ งการด า น
ใน
ลง
4. เซลล์สุริยะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เปลี่ยนพลังงำนแสงอำทิตย์เป็นพลังงำนไฟฟำโดยตรง ทึ ก
พลังงานไดมากขึ้น ทั้งนี้ยังทําใหการใชพลังงานมี
บั น
สื่อ Digital
ศึกษาเพิม่ เติมไดจากภาพยนตรสารคดีสนั้ Twig เรือ่ ง พลังงานรูปแบบตางๆ
https://www.twig-aksorn.com/film/forms-of-energy-8310/
T104
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. พลังงานในชีวิตประจ�าวัน Prior Knowledge 7. ครูใหนักเรียนตั้งคําถามเกี่ยวกับสิ่งที่ตองการ
ในชีวติ ประจ�ำวันของเรำมีควำมเกีย่ วข้องกับกำรใช้พลังงำน พลังงานแบ่งตามการ เรี ย นรู เรื่ อ ง พลั ง งาน แล ว บั น ทึ ก เป น
ต่ำง ๆ อยูต่ ลอดเวลำ พลังงำนทีใ่ ช้ในชีวติ ประจ�ำวันส่วนใหญ่เป็น ใช้งานในชีวติ ประจ�าวัน ขอบเขตและเปาหมายที่ตองการเรียนรู ลงใน
พลังงำนที่ได้จำกน�้ำมัน แม้แต่พลังงำนไฟฟ้ำที่ใช้กันส่วนใหญ่ก็ ออกเป็ นกีป่ ระเภท
อะไรบ้าง
สมุดบันทึกประจําตัวเพื่อนํามาสงครู
มำจำกโรงไฟฟ้ำพลังควำมร้อน ซึ่งใช้ควำมร้อนจำกกำรเผำไหม้ 8. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ เปนการ
ของน�ำ้ มัน ถ่ำนหิน และแก๊สธรรมชำติ ในกำรผลิตไฟฟ้ำมีเพียงส่วนน้อยทีม่ ำจำกโรงไฟฟ้ำพลังน�ำ้ ตรวจสอบความรูเดิมเกี่ยวกับ เรื่อง พลังงาน
และโรงไฟฟ้ำพลังงำนนิวเคลียร์ ของนักเรียนวา “พลังงานแบงตามการใชงาน
1.1 ประเภทของพลังงาน ในชีวติ ประจําวันออกเปนกีป่ ระเภท อะไรบาง”
9. ครูแจงใหนกั เรียนทราบวาจะไดศกึ ษาเกีย่ วกับ
พลังงาน (energy) คือ ควำมสำมำรถในกำรท�ำงำนของวัตถุ หำกวัตถุใดท�ำงำนได้แสดงว่ำ
วัตถุนั้นมีพลังงำน ในปัจจุบันพลังงำนเป็นสิ่งจ�ำเป็นในกำรด�ำรงชีวิตของมนุษย์ โดยควำมต้องกำร พลังงานในชีวิตประจําวัน
ใช้พลังงำนของมนุษย์เพิ่มขึ้นตำมจ�ำนวนประชำกรและควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยี นอกจำกนี้
พลังงำนยังส่งผลให้เกิดกำรเปลีย่ นแปลงทำงธรรมชำติซงึ่ ส่งผลกระทบต่อกำรด�ำรงชีวติ ของมนุษย์ ขัน้ สอน
ด้วย เรำสำมำรถแบ่งพลังงำนออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้ สํารวจคนหา
T105
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ครูถามคําถามกระตุนความคิดกับนักเรียนวา 6) พลังงานนิวเคลียร์ (nuclear energy) เป็นพลังงำนที่ได้จำกนิวเคลียสของอะตอมเมื่อ
กฎการอนุรักษพลังงาน กลาววาอยางไร เกิดปฏิกิริยำนิวเคลียร์ รวมทั้งพลังงำนจำกรังสีที่ปลดปล่อยออกมำจำกสำรกัมมันตภำพรังสี โดย
5. ครูใหนักเรียนศึกษาแผนภาพแสดงตัวอยาง พลังงำนนิวเคลียร์มีบทบำทต่อควำมเป็นอยู่ปกติของสิ่งมีชีวิตน้อยกว่ำพลังงำนรูปอื่น
การเปลีย่ นรูปพลังงานระหวางพลังงานรูปแบบ 2. พลังงานตามการใชงานของนักวิทยาศาสตร์ แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
ตางๆ จากหนังสือเรียน 1) พลังงานจลน์ (kinetic energy) เป็นพลังงำนทีส่ ะสมอยูใ่ นวัตถุหรืออะตอมหรือโมเลกุล
6. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับสถานการณใน เนือ่ งจำกกำรเคลือ่ นทีข่ องวัตถุหรืออะตอมหรือโมเลกุลของสำร พลังงำนจลน์อำจอยูใ่ นรูปพลังงำนกล
ปจจุบัน ทั่วโลกกําลังประสบปญหาเกี่ยวกับ พลังงำนควำมร้อน และพลังงำนกำรแผ่รังสี
พลังงาน เชน ปริมาณนํ้ามันดิบที่ลดลงอยาง 2) พลังงานศักย์ (potential energy) เป็นพลังงำนทีส่ ะสมอยูใ่ นวัตถุเนือ่ งจำกกำรเปลีย่ น
ตอเนื่อง สงผลใหราคาขายสูงขึ้น ทําใหมีการ ต�ำแหน่งของวัตถุ หรือเป็นพลังงำนที่สะสมอยู่ในอะตอมและโมเลกุลของวัตถุเนื่องจำกกำรสร้ำง
สงเสริมงานสํารวจและวิจัยเพื่อคนหาแหลง พันธะระหว่ำงกัน หรือเป็นพลังงำนที่สะสมอยู่ในนิวเคลียสของอะตอมเนื่องจำกกำรยึดเหนี่ยวกัน
พลังงานใหมทดแทนพลังงานจากนํ้ามันและ ของอนุภำคในนิวเคลียส พลังงำนศักย์จึงอำจอยู่ในรูปพลังงำนกล พลังงำนเคมี พลังงำนไฟฟำ
เชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ ซึ่งพลังงานที่ผลิตขึ้น และพลังงำนนิวเคลียร์
มาทดแทนนํ้ า มั น และเชื้ อ เพลิ ง ฟอสซิ ล คื อ พลังงำนไม่สำมำรถท�ำให้สูญหำยไปหรือสร้ำงขึ้นมำใหม่ได้ แต่เปลี่ยนรูปได้ เรียกกฎที่
พลังงานทดแทน กล่ำวถึงกำรคงตัวของพลังงำนนี้ว่ำ กฎการอนุรักษ์พลังงาน (law of conservation of energy)
โดยพลังงำนทุกรูปแบบมีควำมสัมพันธ์กันทั้งทำงตรงและทำงอ้อม ดังภำพที่ 3.1
7. ครูใหนักเรียนศึกษาคนควาความหมายของ
พลังงานทดแทนจากแหลงขอมูลสารสนเทศ พลังงานเคมี ปฏิก
ำ ิริยำค
์ไฟฟ ำยค
เซลล กำรเผำไหม้ วำ
ปฏิก มร้อน
ฟำ ิริยำด
ร ด ว
้ ยไฟ ูดกล
ืนคว
ก ส ำ ์ พลังงานการแผ่รังสี กำรเผำส ำม
ย ซ
ร แ
กำ หลอดร ง
ั ส เ
ี อ ก ำ ร ให้ร้อนจัด ร้อน
กำรดูดกล
หลอดไฟฟหำลอดโฟโตเซลล์ ืนรังสี
พลังงานไฟฟา กำร กำรแผ่กัมมันตรังสี พลังงานความรอน
ระดมย ร ม ำณู
ิงนิวเคล ณ ป
์
ียสของ ฏิกร ้อน
มอเ ธำตุ เครื่องป ว ำมร
ตอร ค
์ พลังงานนิวเคลียร์ งกล
เครื่อ
สี
ไดน ำ ร เ สียด
ำโม ก
พลังงานกล
T106
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1.2 พลังงานทดแทน 8. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง พลังงานทดแทน
ปัจจุบันทั่วโลกก�ำลังประสบปัญหำเกี่ยวกับปริมำณน�้ำมันที่ลดลง รำคำน�้ำมันที่แพงขึ้น และ ประเภทสิ้นเปลือง จากหนังสือเรียน
ปัญหำมลภำวะในอำกำศทีเ่ กิดจำกกำรเผำไหม้ของเชือ้ เพลิงฟอสซิล ท�ำให้มกี ำรส่งเสริมงำนส�ำรวจ 9. ครู ใ ห ค วามรู เ พิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ ความหมาย
และวิจัยเพื่อค้นหำแหล่งพลังงำนใหม่มำทดแทนพลังงำนจำกน�้ำมันและเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่น ๆ ของ NGV วาหมายถึง ยานพาหนะที่ใชแกส
หลำยประเทศก�ำลังมุง่ ศึกษำวิจยั หำเทคโนโลยีใหม่เพือ่ ผลิตพลังงำนจำกชีวมวลทีม่ อี ยูใ่ นธรรมชำติ ธรรมชาติเปนเชือ้ เพลิง โดยไมไดหมายถึงแกส
ภำยใต้แนวคิดกำรใช้พลังงำนอย่ำงยั่งยืน กล่ำวคือ สำมำรถควบคุมแหล่งพลังงำนใหม่นี้ให้ผลิต ที่นํามาใชเปนเชื้อเพลิง เพราะแกสที่นํามาใช
พลังงำนได้อย่ำงต่อเนือ่ งและเพียงพอต่อกำรใช้ดว้ ยต้นทุนทีต่ ำ�่ จำกกำรใช้ทรัพยำกรภำยในประเทศ นัน้ จะเรียกวา แกสธรรมชาติอดั หรือ CNG ซึง่
โดยที่กำรผลิตและกำรใช้พลังงำนมีผลกระทบต่อสภำพแวดล้อมและสุขภำพของมนุษย์น้อยที่สุด นักเรียนสามารถศึกษาไดจากกรอบ Physics in
พลังงานทดแทน (alternative energy) เป็นพลังงำนทีน่ ำ� มำใช้แทนน�ำ้ มันเชือ้ เพลิง แบ่งออก real life
เป็น 2 ประเภท คือ พลังงำนทดแทนประเภทสิ้นเปลือง และพลังงำนทดแทนประเภทหมุนเวียน
1. พลังงานทดแทนประเภทสิ้นเปลือง เป็นพลังงำนทดแทนจำกแหล่งพลังงำนที่ใช้ไป
นำน ๆ แล้วจะหมดไปได้ เช่น แก๊สธรรมชำติ ถ่ำนหิน พลังงำนนิวเคลียร์ เป็นต้น
1) แก๊สธรรมชาติ เป็นสำรปิโตรเลียมเช่นเดียวกับน�้ำมัน เกิดจำกกำรทับถมของ
ซำกสิ่งมีชีวิตเป็นเวลำหลำยล้ำนปี แก๊สธรรมชำติจัดเป็นสำรประกอบไฮโดรคำร์บอนชนิดหนึ่ง
ประกอบด้วยสำรไฮโดรคำร์บอนประเภทต่ำง ๆ เช่น มีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทน เพนเทน
เป็นต้น เป็นส่วนใหญ่ส่วนที่เหลือเป็นแก๊สอื่น ๆ เช่น แก๊สไนโตรเจน แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์
แก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ เป็นต้น กำรใช้ประโยชน์แก๊สธรรมชำติเป็นกำรน�ำสำรไฮโดรคำร์บอนต่ำง ๆ
ที่แยกออกมำจำกแก๊สธรรมชำติไปใช้ประโยชน์ เช่น
• มีเทน ใช้เป็นเชือ้ เพลิงในกำรผลิตไฟฟ้ำและอุตสำหกรรม และใช้เป็นเชือ้ เพลิงของ
ยำนพำหนะ
• อีเทนและโพรเพน ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสำหกรรมปิโตรเคมี
• โพรเพนและบิวเทน ใช้เป็นแก๊สหุงต้มและใช้เป็น
Physics
เชื้อเพลิงในโรงงำนอุตสำหกรรมและยำนพำหนะ in real life
กำรใช้แก๊สธรรมชำติมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย NGV ย่อมำจำก natural gas
เนื่ อ งจำกกำรเผำไหม้ ข องแก๊ ส ธรรมชำติ เ ป็ น กำรเผำไหม้ ที่ vehicles หมำยถึง ยำนพำหนะ
สมบูรณ์ สิง่ ทีเ่ หลือจำกกำรเผำไหม้ คือ แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ ที่ใช้แก๊สธรรมชำติเป็นเชื้อเพลิง
และน�้ำ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะเกิดขึ้นในขั้นตอนขุดเจำะ ไม่ ไ ด้ ห มำยถึ ง แก๊ ส ที่ น� ำ มำใช้
เป็นเชื้อเพลิง เพรำะแก๊สที่น�ำ
คือ ผลกระทบต่อสภำพแวดล้อมทำงทะเลบริเวณที่ขุดเจำะแก๊ส มำใช้เป็นเชื้อเพลิงนั้นจะเรียกว่ำ
ธรรมชำติ แก๊สธรรมชำติอัด (compressed
natural gas หรือ CNG)
พลังงาน 97
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
10. ครูถามคําถามกระตุนความคิดนักเรียนวา 2) ถ่านหิน ถ่ำนหินเกิดขึน้ มำจำกกำรเปลีย่ นแปลงตำมธรรมชำติของพืช ทีส่ ลำยตัวและ
ใหนกั เรียนชวยกันยกตัวอยางการใชพลังงาน สะสมอยูใ่ นลุม่ น�ำ้ หรือแอ่งน�ำ้ ต่ำง ๆ เป็นเวลำหลำยร้อยล้ำนปี เมือ่ เกิดกำรเปลีย่ นแปลงของผิวโลก
ทดแทนในจังหวัดที่นักเรียนอาศัยอยู และ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขำไฟระเบิด หรือมีกำรทับถมของตะกอนมำกขึ้น ท�ำให้แหล่งสะสมตัวนั้นได้
พลั ง งานทดแทนนั้ น เป น แหล ง พลั ง งาน รับควำมกดดันและควำมร้อนที่มีอยู่ภำยในโลกเพิ่มขึ้น ซำกพืชเหล่ำนั้นก็จะเกิดกำรเปลี่ยนแปลง
ทดแทนประเภทใด โดยครูคอยกระตุนให กลำยเป็นถ่ำนหินชนิดต่ำง ๆ ถ่ำนหินถูกน�ำมำใช้เป็นเชื้อเพลิงในกำรผลิตกระแสไฟฟ้ำ กำรถลุง
โลหะ กำรผลิตปูนซีเมนต์ และอุตสำหกรรมที่ใช้เครื่องจักรไอน�้ำ เป็นต้น ถ่ำนหินเป็นเชื้อเพลิงที่
นั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายหาคํ า ตอบอย า ง
มีมำกที่สุดบนโลกประมำณ 2 ใน 3 ของเชื้อเพลิงทั้งหมด โดย 1 ใน 3 ของถ่ำนหินทั้งหมดเป็น
อิสระ ถ่ำนหินลิกไนต์
11. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นทีน่ งั่ ขางๆ จากนัน้ 3) น�้ามันดิบ เป็นแร่เชื้อเพลิงที่มีสถำนะเป็นของเหลว มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็น
รวมกันพูดคุยและสรุปความรู เรื่อง พลังงาน สำรประกอบของไฮโดรเจนและคำร์บอน จึงถูกเรียกว่ำเป็นสำรประกอบไฮโดรคำร์บอน น�้ำมันดิบ
ทดแทนประเภทสิ้นเปลือง ลงในสมุดบันทึก ที่ขุดขึ้นมำจะไม่สำมำรถน�ำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ต้องมีกำรแยกสำรประกอบไฮโดรคำร์บอน
ประจําตัว ต่ำง ๆ ออกเป็นกลุม่ ก่อน จึงจะน�ำไปใช้ประโยชน์ได้ วิธกี ำรแยกสำรทีป่ นอยูใ่ นน�ำ้ มันดิบออกจำกกัน
เรียกว่ำ กำรกลัน่ น�ำ้ มันดิบ เมือ่ น�ำน�ำ้ มันดิบมำกลัน่ จะได้นำ�้ มันเชือ้ เพลิงและน�ำ้ มันหล่อลืน่ ส�ำหรับ
เครื่องยนต์ประเภทต่ำง ๆ รวมทั้งกำรให้พลังงำนควำมร้อนและแสงสว่ำง ส่วนที่เหลือจำกกำร
กลัน่ น�ำ้ มันน�ำไปใช้เป็นวัตถุดบิ ของอุตสำหกรรมปิโตรเคมี ใช้ประดิษฐ์ของใช้สำ� เร็จรูป เช่น พลำสติก
ไนลอน เส้นใยสังเครำะห์ ปุย เป็นต้น
¡ารขนÊ‹งน�éาÁันดิº
ถังเก็บน�้ำมันดิบ โรงกลั่น ถังเก็บน�้ำมันส�ำเร็จรูป
แท่นขุดเจำะน�้ำมัน น�้ำมันดิบ
ขนส่งทำงท่อ
โรงกลั่นน�้ามัน ขนส่งทำงเรือ
ขนส่งทำงรถบรรทุก
โรงงานอุตสาหกรรม
ขนส่งทำงรถไฟ
T108
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4) พลังงานนิวเคลียร์ เป็นพลังงำนทีไ่ ด้มำจำกปฏิกริ ยิ ำนิวเคลียร์ ซึง่ มี 2 แบบ คือ ฟิชชัน 12. ครู ถ ามคํ า ถามท า ทายการคิ ด ขั้ น สู ง จาก
(fission) และฟิวชัน (fussion) เป็นแหล่งพลังงำนทดแทนที่จะมีบทบำทมำกขึ้นในอนำคต กำร หนังสือเรียนกับนักเรียนวา “เหตุใดจึงจัด
ใช้ประโยชน์พลังงำนนิวเคลียร์เป็นกำรใช้พลังงำนควำมร้อนที่เกิดขึ้นจำกปฏิกิริยำนิวเคลียร์ใน ใหพลังงานนิวเคลียรเปนพลังงานทดแทน
กระบวนกำรผลิตไฟฟ้ำในโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ ซึ่งปฏิกิริยำนิวเคลียร์ขจัดปัญหำกำรปล่อยมลพิษ ประเภทสิ้ น เปลื อ ง” โดยให นั ก เรี ย นเขี ย น
ทำงอำกำศรวมทั้งกำรปล่อยแก๊สเรือนกระจกที่เป็นปัญหำหลักของเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ แต่อำจมี คําตอบของตนเองลงในสมุดบันทึกประจําตัว
ปัญหำทีเ่ กิดจำกกำรรัว่ ไหลของรังสีหรือนิวตรอนทีเ่ กิดจำกปฏิกริ ยิ ำนิวเคลียร์แบบฟิชชัน จึงจ�ำเป็น
ต้องมีเทคโนโลยีควบคุมที่ดีเพื่อป้องกันกำรรั่วไหลของรังสี ปัญหำอีกอย่ำงหนึ่ง คือ กำรก�ำจัดกำก อธิบายความรู
เชือ้ เพลิงนิวเคลียร์ ซึง่ ต้องมีมำตรกำรควบคุมดูแลกำรก�ำจัดกำกเชือ้ เพลิงนิวเคลียร์ ไม่ให้สง่ ผลเสีย 1. ใหนกั เรียนจับกลุม 3 คน ตามเลขทีข่ องตนเอง
ต่อสิง่ แวดล้อม เนือ่ งจำกกำกเชือ้ เพลิงนิวเคลียร์ยงั ปลดปล่อยรังสีทเี่ ป็นอันตรำยออกมำตลอดเวลำ
และคงสภำพอยู่เป็นเวลำยำวนำนมำก เชน กลุมเลขที่ 1-3 กลุมเลขที่ 4-6 ไปเรื่อยๆ
โรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ เป็นโรงไฟฟ้ำพลังควำมร้อนแบบหนึ่ง ใช้แหล่งพลังงำนควำมร้อนจำก จากนัน้ ครูแจกใบงาน เรือ่ ง พลังงานสิน้ เปลือง
เครือ่ งปฏิกรณ์ทใี่ ช้พลังงำนนิวเคลียร์ในกำรผลิตไอน�ำ้ แรงดันสูงจ่ำยให้กบั กังหันไอน�ำ้ จำกนัน้ กังหัน ใหนักเรียนชวยกันทํา
ไอน�้ำจะไปหมุนเครื่องก�ำเนิดไฟฟ้ำเพื่อผลิตเป็นกระแสไฟฟ้ำออกมำ 2. ครูนาํ อธิบายความหมายของพลังงาน ประเภท
ของพลังงาน รวมถึงพลังงานทดแทนประเภท
ค�ำถำมท้ำทำยกำรคิดขัน
้ สูง สิ้นเปลือง เพื่อเปนการสรุปความเขาใจของ
เหตุใดจึงจัดให้พลังงาน นักเรียนใหเปนไปในแนวทางเดียวกัน
นิ ว เคลี ย ร์ เ ป็ น พลั ง งำน
ทดแทนประเภทสิ้นเปลือง
T109
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง พลังงานทดแทน
ประเภทหมุนเวียน จากหนังสือเรียน
พลังงานËÁØนเวีÂน 1
2. ครู แ นะนํ า ให นั ก เรี ย นสื บ ค น ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ
22
พลังงานหมุนเวียนประเภทตางๆ จากแหลง
ขอมูลสารสนเทศหรืออินเทอรเน็ต โดยเนนยํ้า 44
ถึ ง ขั้ น ตอนหรื อ กระบวนการในการเปลี่ ย น 55
รูปพลังงานเปนพลังงานไฟฟาของพลังงาน 33
หมุนเวียนประเภทตางๆ
3. ครูใหนกั เรียนจับกลุม กับเพือ่ นกลุม ละ 5-6 คน
จากนัน้ รวมกันอภิปรายผลการศึกษาของแตละ
คนภายในกลุม แลวเขียนสรุปลงในสมุดบันทึก
ประจําตัว
4. ครูสุมตัวแทนของแตละกลุม ออกมานําเสนอ
ผลการศึ ก ษาและอภิ ป รายร ว มกั น ของกลุ ม
ตนเองใหเพื่อนๆ และครูฟงหนาชั้นเรียน 1 พลังงานน�éา
โรงไฟฟ้ำ หม้อแปลงไฟฟ้ำ เขื่อน อ่ำงเก็บน�้ำ
เป็นพลังงำนหมุนเวียนที่ใช้ในกำรผลิตกระแส
ไฟฟ้ ำ โดยใช้ เ ครื่ อ งก� ำ เนิ ด ไฟฟ้ ำ ที่ เ ชื่ อ มต่ อ กั บ สำยส่งไฟฟ้ำ
แกนของกังหัน ท�ำให้เกิดกำรผลิตกระแสไฟฟ้ำจำก
เครื่องก�ำเนิดไฟฟ้ำ
พลังงำนศักย์โน้มถ่วงของน�้ำที่ถูกกักเก็บไว้เหนือ
เขื่อน
ทำงน�้ำออก กังหัน ท่อส่งน�้ำ ประตูน�้ำ ทำงน�้ำเข้ำ
T110
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3 ¾Åѧ§Ò¹ªÕÇÁÇÅ สารอินทรีย ไอนํ้า กังหัน เครื่องกําเนิดไฟฟา
5. ครูถามคําถามกับนักเรียนวา พลังงานทดแทน
เปนพลังงานที่ถูกเก็บสะสมอยูในสิ่งมีชีวิตหรือ แตละประเภทสามารถเปลี่ยนรูปเปนพลังงาน
สารอินทรียทั่ว ๆ ไปตามธรรมชาติ เชน ตนหญา บานเรือน ไฟฟาไดอยางไร เพื่อเปนการเนนยํ้าถึงจุด
กิ่งไม สิ่งปฏิกูลจากการเลี้ยงสัตวหรือขยะ โดยนํา ประสงคในการศึกษา เรือ่ ง พลังงานหมุนเวียน
มาหมักทําใหเกิดเปนแกสชีวภาพ ซึ่งสามารถนําไป
6. ครูใหนกั เรียนเก็บรวบรวมใบงาน เรือ่ ง พลังงาน
ใชเปนแกสหุงตม เพื่อผลิตพลังงานความรอน หรือ
นําไปผลิตกระแสไฟฟา1 และยังไดปุยชีวภาพที่เกิด สิ้ น เปลื อ ง ส ง คื น ครู เ พื่ อ นํ า ไปตรวจและให
จากการหมักสารอินทรียตาง ๆ ดวย ถังหมัก แกสชีวภาพ โรงผลิตพลังงานไฟฟา หมอแปลงไฟฟา คะแนน
7. ครูทบทวนเนื้อหาที่ไดศึกษาไปในชั่วโมงที่แลว
4 ¾Åѧ§Ò¹áʧÍҷԵ อีกครั้ง โดยเปด PowerPoint เรื่อง พลังงาน
แสงอาทิตย เปนพลังงานจากการแผรงั สีของดวงอาทิตยในรูปของคลืน่ แมเหล็กไฟฟา และเปนแหลงพลังงาน ทดแทน แลวนําสรุปใหนักเรียนเขาใจตรงกัน
สําคัญของโลก เพราะรอยละ 99 ของพลังงานความรอนที่ใหความอบอุนแกโลกมาจากพลังงานแสงอาทิตย 8. ครูสนทนากับนักเรียนในประเด็นที่เกี่ยวของ
แสงอาทิตยสามารถผลิตกระแสไฟฟาได โดยใชเซลลสุริยะ (solar cell) เพื่อผลิตกระแสไฟฟา
กับพลังงานนิวเคลียรที่ไดศึกษาไปแลววาเปน
ก เซลลสรุ ยิ ะ เปลีย่ นแสงอาทิตย ข แบตเตอรี่ แ ละอุ ป กรณ ค ตูควบคุมไฟฟา ทําหนาที่
เปนไฟฟากระแสตรง แปลงไฟฟาแปลงไฟฟาจาก จายไฟไปยังเครือ่ งใชไฟฟา พลังงานทดแทนประเภทหนึ่ง ซึ่งเปนแหลง
กระแสตรงเปนกระแสสลับ ในบาน พลังงานอยางหนึ่งที่สะอาดและเปนมิตรกับ
สิ่งแวดลอม
ก ข ค
เซลลสุริยะ แบตเตอรี่ ตูควบคุมไฟฟา เครื่องใชไฟฟา
5 ¾Åѧ§Ò¹ÅÁ
เมือ่ ลมพัดมาปะทะกับใบพัดของกังหันลม ใบพัดของกังหันลมจะหมุน ซึง่ การหมุนของใบพัดจะอยูใ นรูปของ
พลังงานกลและจะเปลี่ยนรูปไปเปนพลังงานไฟฟา โดยแรงจากการหมุนนี้จะถูกสงผานแกนหมุนทําใหเกิดการ
เหนี่ยวนําที่เครื่องกําเนิดไฟฟาทําใหเกิดพลังงานไฟฟา
กังหันลม สายสงไฟฟา
หองควบคุมการจายไฟฟา อาคารบานเรือน
หมอแปลงไฟฟา
T111
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
9. ครูนําเขาสูเนื้อหาที่กําลังจะศึกษาดวยการ 1.3 ไ¿¿‡า¨า¡พลังงานนิวเคลียร์áลÐáสงอา·ิตย์
สนทนาตอวา การผลิตไฟฟาจากพลังงาน พลังงำนส่วนใหญ่ทใี่ ช้งำนผลิตขึน้ มำจำกทรัพยำกรหรือแหล่งพลังงำนธรรมชำติ เช่น ถ่ำนหิน
นิวเคลียร ผลิตไดจากโรงไฟฟานิวเคลียร น�้ำมัน น�้ำ ลม แสงอำทิตย์ เป็นต้น พลังงำนเหล่ำนี้บำงส่วนใช้ผลิตกระแสไฟฟ้ำ โดยโรงไฟฟ้ำใช้
คือ ใชความรอนจากเครือ่ งปฏิกรณนวิ เคลียร ควำมร้อนขับเคลือ่ นจำกพลังงำนเหล่ำนีใ้ นกำรผลิตกระแสไฟฟ้ำ และน�ำไปใช้ดำ้ นอืน่ ๆ ซึง่ พลังงำน
แบบฟชชัน นิวเคลียร์เป็นแหล่งพลังงำนอย่ำงหนึ่งที่สะอำดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
10. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาส ว นประกอบสํ า คั ญ 1. ไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ ผลิตได้จำกโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ วิธีกำรผลิตไฟฟ้ำของ
ภายในเครื่องปฏิกรณนิวเคลียรแบบฟชชัน โรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ คือ ใช้ควำมร้อนจำกเครือ่ งปฏิกรณ์แบบฟชชัน (fission reactor) ท�ำให้นำ�้ เดือด
ที่ประกอบดวย มัดเชื้อเพลิง แทงควบคุม กลำยเป็นไอไปขับกังหันไอน�้ำของเครื่องก�ำเนิดไฟฟ้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ำ โรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์
และตั ว หน ว งอั ต ราเร็ ว ของนิ ว ตรอน จาก จึงจัดอยู่ในประเภทโรงไฟฟ้ำพลังควำมร้อน
หนังสือเรียน 1) ส่วนประกอบส�าคัญภายในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบฟชชัน มีดังนี้
11. ครูสุมถามคําถามกับนักเรียนเกี่ยวกับสวน • มัดเชื้อเพลิง (fuel assembly) ประกอบด้วย แท่งเชื้อเพลิง (fuel rod) จ�ำนวนมำก
ประกอบภายในเครือ่ งปฏิกรณนวิ เคลียรแบบ (บำงแบบมี 204 แท่ง) สอดผ่ำนตะแกรงสีเ่ หลี่ยมจัตุรสั แล้วผนึกเข้ำด้วยกันเป็นมัด แท่งเชือ้ เพลิง
ฟชชันทีไ่ ดศกึ ษามาแลว เพือ่ เพิม่ ความเขาใจ แต่ละแท่งยำว 12 ฟุต (ประมำณ 3.7 เมตร) ประกอบด้วย เม็ดเชื้อเพลิง (pellet) รูปทรงกระบอก
ใหมากขึ้น เล็ก ๆ เส้นผ่ำนศูนย์กลำง 8-10 มิลลิเมตร สู1ง 9-15 มิลลิเมตร ท�ำจำกออกไซด์ของยูเรเนียม
(UO2) บรรจุเรียงกันในท่อทีท่ ำ� จำกเซอร์โคเนียมหรืออัลลอยด์ของเซอร์โคเนียม ดังภำพที่ 3.5 (ก)
• แท่งควบคุม (control rod) ท�ำจำกโบรอน แคดเมียม แฮฟเนียม หรือธำตุอื่นที่มี
สมบัตดิ ดู ซับนิวตรอน ใช้ควบคุมกำรเกิดปฏิกริ ยิ ำนิวเคลียร์ของแท่งเชือ้ เพลิง โดยสอดแท่งควบคุม
เข้ำไประหว่ำงแท่งเชื้อเพลิงในมัดเชื้อเพลิง ซึ่งบรรจุอยู่ในถังปฏิกรณ์ที่ทนควำมดันสูง (steel
pressure vessel) ดังภำพที่ 3.5 (ข)
สปริง
ถังปฏิกรณ์ที่ทนควำมดันสูง
เม็ดเชื้อเพลิง แท่งควบคุม
3.7 m
ท่อเซอร์โคเนียม
ตะแกรง
แท่งเชื้อเพลิง
มัดเชื้อเพลิง
(ก) แท่งเชื้อเพลิง (ข)
ภาพที่ 3.5 แทงเชื้อเพลิง แทงควบคุม และถังปฏิกรณ์ที่ใชบรรจุมัดเชื้อเพลิง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
102
T112
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
เมื่อสอดแท่งควบคุมเข้ำไปในมัดเชื้อเพลิง แท่งควบคุมจะดูดซับนิวตรอนอัตรำเร็ว 12. ครูใหนักเรียนแบงกลุมอยางอิสระ กลุมละ
ต�่ำส่วนใหญ่ไว้ ท�ำให้อัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำฟิชชันและก�ำลังกำรผลิตของเครื่องปฏิกรณ์ลดลง แต่ 3-4 คน จากนั้นใหรวมกันศึกษาการทํางาน
ถ้ำดึงแท่งควบคุมออกไป จ�ำนวนนิวตรอนที่ถูกดูดซับไว้จะลดลง อัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำและก�ำลัง ของโรงไฟฟานิวเคลียร จากหนังสือเรียน
กำรผลิตของเครือ่ งปฏิกรณ์จะเพิม่ ขึน้ ในกรณีฉกุ เฉินสำมำรถปิดปฏิกริ ยิ ำลูกโซ่ได้โดยกำรสอดแท่ง 13. ครูแจกกระดาษฟลิปชารตใหนกั เรียนกลุม ละ
ควบคุมทั้งหมดเข้ำไประหว่ำงแท่งเชื้อเพลิงในแกนของเครื่องปฏิกรณ์ 1 แผน
• ตัวหน่วงอัตราเร็วของนิวตรอน เป็นวัสดุหรือสำรที่ใช้หน่วงนิวตรอนที่เกิดจำก 14. ครูแนะนําใหนักเรียนสืบคนขอมูลเพิ่มเติม
ปฏิกริ ยิ ำนิวเคลียร์ ซึง่ เคลือ่ นทีเ่ ร็วเกินไปให้เคลือ่ นทีช่ ำ้ ลงจนมีอตั รำเร็วต�ำ่ พอทีจ่ ะท�ำให้เกิดปฏิกริ ยิ ำ จากอินเทอรเน็ต แลวรวมกันอภิปรายผล
นิวเคลียร์ได้ เครือ่ งปฏิกรณ์นวิ เคลียร์รนุ่ 1เก่ำใช้แกรไฟต์บริสทุ ธิส์ งู เป็นตัวหน่วงอัตรำเร็วของนิวตรอน การศึกษาจนไดเปนแนวทางที่เขาใจตรงกัน
เครื่องปฏิกรณ์สมัยใหม่ใช้น�้ำมวลหนัก (heavy water) หรือน�้ำจืดเป็นตัวหน่วงอัตรำเร็วนิวตรอน ทั้งกลุม
สำรหรือวัสดุอื่นที่ใช้เป็นตัวหน่วงอัตรำเร็วนิวตรอน ได้แก่ คำร์บอนไดออกไซด์ และเบริลเลียม 15. ครูใหนักเรียนเขียนสรุปขอมูลที่ไดจากการ
2) การท�างานของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ศึกษาลงในกระดาษฟลิปชารต เพื่อนําเสนอ
¡าร·íางาน¢องâรงไ¿¿‡านิวเคลียร์ ผลการศึกษาหนาชั้นเรียน พรอมตกแตงให
วงปิดแรก สวยงาม
โครงสร้ำงคลุมเครื่องปฏิกรณ์
สำยส่งไฟฟ้ำ
แท่งควบคุม
ไอน�้ำ
ถังปฏิกรณ์ที่ กังหันไอน�้ำ
ทนควำมดันสูง
การทํางานของโรงไฟฟานิวเคลียร
www.aksorn.com/interactive3D/RKB32
T113
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครู สุ ม นั ก เรี ย นออกมาหน า ชั้ น เรี ย น เพื่ อ จำกภำพที่ 3.6 เป็นแผนภำพแสดงกำรท�ำงำนของโรงไฟฟำนิวเคลียร์ จะสังเกตได้วำ่
นําเสนอผลการศึกษาการทํางานของโรงไฟฟา จะแยกระบบกำรท�ำงำนของโรงไฟฟำนิวเคลียร์ออกเป็นสองวงปิด ดังนี้
นิวเคลียรทีละกลุม จนครบทุกกลุม • วงปดแรก ท�ำหน้ำทีเ่ ป็นระบบผลิตไอน�ำ้ โดยใช้ควำมร้อนทีเ่ กิดจำกนิวเคลียร์ฟชิ ชัน
2. ครูอธิบายการทํางานของโรงไฟฟานิวเคลียรให ของแท่งเชื้อเพลิงต้มน�้ำในอุปกรณ์ก�ำเนิดไอน�้ำ ให้เดือดกลำยเป็นไอแล้วน�ำไปขับกังหันไอน�้ำ
นักเรียนฟงอีกครัง้ เพือ่ เปนการรวบยอดความคิด ของเครื่องก�ำเนิดไฟฟำเพื่อผลิตกระแสไฟฟำส่งเข้ำสู่ระบบส่งก�ำลังไฟฟำ ส่วนไอน�้ำหลังจำกใช้
จากการนําเสนอผลงานของแตละกลุม โดย ขับกังหันไอน�้ำจะผ่ำนเข้ำสู่เครื่องควบแน่นกลำยเป็นน�้ำร้อนและถูกลดอุณหภูมิลงโดยน�้ำในวงปิด
ครูอาจใหนักเรียนทําการสแกน QR Code ที่สอง แล้วผ่ำนเข้ำสู่อุปกรณ์ก�ำเนิดไอน�้ำเพื่อต้มน�้ำให้เดือดกลำยเป็นไอน�้ำ วนเป็นวงรอบเช่นนี้
ตลอดกำรท�ำงำนของโรงไฟฟำนิวเคลียร์ โดยน�้ำในวงปิดแรกท�ำหน้ำที่เป็นทั้งสำรหน่วงนิวตรอน
เรื่อง โรงไฟฟานิวเคลียร จากหนังสือเรียน
และสำรระบำยควำมร้อนออกจำกเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
เพื่อชวยในการสรุปความรูใหชัดเจนยิ่งขึ้น • วงปดทีส่ อง ท�ำหน้ำทีเ่ ป็นระบบหล่อเย็น โดยน�ำ้ ในวงปิดทีส่ องจะรับควำมร้อนจำกไอน�ำ้
3. ครูเสริมความรู เรือ่ ง โรงไฟฟานิวเคลียรฟว ชัน ในเครื่องควบแน่นแล้วไหลเข้ำสู่หอระบำยควำมร้อนเพื่อลดอุณหภูมิ โดยพ่นน�้ำลงบนอ่ำงน�้ำเย็น
ในกรอบ Science Focus จากหนังสือเรียน ที่ฐำนของหอระบำยควำมร้อน น�้ำที่พ่นลงไปส่วนหนึ่งกลำยเป็นไอน�้ำ (ที่ไม่ปนเปอนกัมมันตรังสี)
ระบำยออกทำงปำกปล่องของหอระบำยควำมร้อน อีกส่วนหนึ่งกลำยเป็นน�้ำเย็นไหลกลับเข้ำสู่
ส่วนของวงปิดแรกที่อยู่ในเครื่องควบแน่น วนเป็นวงรอบเช่นนี้ตลอดกำรท�ำงำนของโรงไฟฟำ
นิวเคลียร์เช่นกัน โดยน�้ำเย็นที่ใช้หมุนเวียนในวงปิดที่สองมำจำกแหล่งน�้ำ เช่น ทะเลสำบ สระน�้ำ
แม่น�้ำ เป็นต้น
กำรออกแบบโรงไฟฟำนิวเคลียร์ต้องค�ำนึงถึงควำมปลอดภัย ต้องมีอำคำรหรือ
โครงสร้ำงทีใ่ ช้ปกคลุมเครือ่ งปฏิกรณ์นวิ เคลียร์เพือ่ ปองกันกำรรัว่ ไหลของกัมมันตรังสีทแี่ พร่ออกไป
เมื่อเกิดอุบัติเหตุภำยในโรงไฟฟำนิวเคลียร์ โรงไฟฟำนิวเคลียร์จัดว่ำมีควำมปลอดภัยสูง เพรำะมี
กฎระเบียบต่ำง ๆ ในกำรท�ำงำนที่เข้มงวด และเทคโนโลยีโรงไฟฟำนิวเคลียร์มีกำรพัฒนำอย่ำงต่อ
เนื่องจนมีควำมปลอดภัยสูงมำกในปจจุบัน ท�ำให้โรงไฟฟำนิวเคลียร์เป็นทำงเลือกที่น่ำสนใจอย่ำง
หนึ่งในกำรผลิตกระแสไฟฟำ
Science Focus
âรงไ¿¿‡านิวเคลียร์¿วªัน
โรงไฟฟานิวเคลียร์ฟวชัน ปจจุบันมีเพียงโรงไฟฟำนิวเคลียร์ฟิชชันเท่ำนั้น โรงไฟฟำนิวเคลียร์
ฟิวชันก�ำลังอยู่ในระหว่ำงกำรพัฒนำ โดยมีโรงไฟฟำนิวเคลียร์ฟิวชันต้นแบบอยู่ที่เมืองคำดำรัช ประเทศ
ฝรั่งเศส เพื่อกำรค้นคว้ำทดลองภำยใต้ควำมร่วมมือกันของโครงกำร ITER (International Thermo-
nuclear Experimental Reactor) ของประเทศฝรัง่ เศส เกำหลีใต้ ญีป่ นุ จีน สหรัฐอเมริกำ สหภำพยุโรป
และอินเดีย ซึง่ ก�ำลังก้ำวหน้ำมำกและคำดว่ำจะมีกำรสร้ำงโรงงำนไฟฟำนิวเคลียร์ฟวิ ชันตำมควำมร่วมมือ
ITER ในอีก 30-40 ปีข้ำงหน้ำ
104 โรงไฟฟานิวเคลียร์
ศึกษาเพิ่มเติมจาก QR Code
เรื่อง โรงไฟฟานิวเคลียร
T114
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2. ไฟฟาจากพลังงานแสงอาทิตย หลักการที่ใชในการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตยเปน 1. ครูใหนักเรียนกลับเขากลุมเดิมที่ไดแบงไวเมื่อ
พลังงานไฟฟามี 2 หลักการ ดังตอไปนี้ ชั่วโมงที่ผานมา จากนั้นรวมกันศึกษา เรื่อง
1) การใชความรอนจากแสงอาทิตยในการผลิตพลังงานไฟฟา แบงเปน 2 ระบบ ดังนี้ ไฟฟาจากพลังงานแสงอาทิตย จากหนังสือ-
• ระบบความรอนรวมศูนย ใชอุปกรณรับแสง เชน กระจกเงา หรือวัสดุสะทอนแสงที่ เรียน
หมุนตามดวงอาทิตยได เพื่อรวมความรอนจากแสงอาทิตยมาไวที่จุดเดียวกันทําใหเกิดความรอน 2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นร ว มกั น พู ด คุ ย เกี่ ย วกั บ เรื่ อ งที่
สูงสงผานไปยังตัวกลาง แลวนําความรอนจากตัวกลางไปผลิตเปนไอเพื่อขับเคลื่อนเครื่องกําเนิด ศึกษา จากนั้นใหนักเรียนแตละคนเขียนสรุป
ไฟฟา ระบบความรอนรวมศูนยแบงเปน 3 ประเภท คือ ระบบรางตรง ระบบหอคอยกลาง และ ความรูลงในสมุดบันทึกประจําตัว เพื่อนําสง
ระบบจานรวมกับเครื่องจักร ปจจุบันระบบการผลิตกระแสไฟฟาระบบความรอนรวมศูนยไมแพร ครูทายชั่วโมง
หลายนัก เนื่องจากตนทุนการผลิตสูง ระบบนี้เหมาะกับการผลิตไฟฟาจากรังสีตรงเทานั้น เชน
แสงอาทิตยจากทะเลทราย จึงไมเหมาะสมกับประเทศไทย
• ระบบสระแสงอาทิตย เปนระบบผลิตไฟฟาจากพลังงานแสงอาทิตยที่เหมาะกับ
ประเทศไทย เพราะเก็บความรอนไดทงั้ จากรังสีตรงและรังสีกระจาย ซึง่ ของเหลวภายในสระ (นํา้ เกลือ)
เมื่อไดรับความรอนจากแสงอาทิตยจะมีความหนาแนนเพิ่มขึ้นจึงจมลงสูกนสระ ความรอนจึงเก็บ
สะสมอยูที่กนสระ ขณะที่นํ้าที่ผิวสระเปนนํ้าอุณหภูมิตํ่าจึงเกิดการสูญเสียใหแกบรรยากาศนอย
ในการผลิตไฟฟาตองสูบนํา้ เกลือทีก่ น สระซึง่ มีความเขมขนสูงและอุณหภูมสิ งู ผานทอเขาสูเ ครือ่ ง
กําเนิดไอนํา้ เพือ่ ผลิตไอนํา้ ไปขับกังหันไอนํา้ ของเครือ่ งกําเนิดไฟฟาเพือ่ ผลิตกระแสไฟฟา แลวสูบ
กลับสูก น สระตามเดิม ขณะเดียวกันตองสูบนํา้ เกลือบริเวณผิวสระซึง่ เจือจางและมีอณ ุ หภูมติ าํ่ ผาน
ทอเขาสูเครื่องควบแนนเพื่อใชในการควบแนนไอนํ้าที่ขับกังหันใหเปนของเหลวกลับเขาสูเครื่อง
กําเนิดไอนํ้า สวนนํ้าเกลือที่สูบมาจากผิวสระจะถูกสูบกลับไปยังผิวสระตามเดิม ดังภาพที่ 3.7
เครื่องควบแนน
กังหันไอนํ้า
นํ้าเย็น เครื่องกําเนิดไฟฟา
ปม
นํ้าเกลือเจือจางเย็น เครื่องกําเนิดไอนํ้า
ชั้นนํ้าเกลือที่ไมมีการพา นํ้าเกลือรอน
ความรอน
นํ้าเกลือเขมขนรอน พื้นดิน
T115
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
1. ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอผลการศึกษา 2) การเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เปนพลังงานไฟฟาโดยตรง ท�ำได้โดยใช้เซลล์สุริยะ
หนาชั้นเรียน โดยสุมออกมาเพียง 5 กลุม (solar cell) แต่เซลล์สุริยะเพียงเซลล์เดียวให้พลังงำนไฟฟำน้อยมำก กำรผลิตไฟฟำโดยใช้เซลล์
ซึ่งครูเปนคนเลือกวาจะใหกลุมไหนนําเสนอ สุริยะจึงต้องน�ำเซลล์สุริยะหลำย ๆ เซลล์ม1ำต่อเข้ำด้วยกันเป็นแผงเซลล์สุริยะ (solar module) และ
เรื่องอะไร โดยมีหัวขอเรื่อง ดังตอไปนี้ เนื่องจำกเซลล์สุริยะผลิตไฟฟ 2 ำกระแสตรงและท�ำงำนเมื่อมีแสงอำทิตย์มำตกกระทบเท่ำนั้น ถ้ำ
• การใชความรอนจากแสงอาทิตยในการผลิต ต้องกำรใช้ไฟฟำกระแสสลับและต้องกำรเก็บสะสมพลังงำนไฟฟำไว้ใช้ในเวลำที่ไม่มีแสงอำทิตย์
ไฟฟา ระบบความรอนรวมศูนย จ�ำเป็นต้องต่อแผงเซลล์สรุ ยิ ะร่วมกับอุปกรณ์อนื่ ๆ โดยรวมเข้ำเป็นระบบผลิตไฟฟำจำกเซลล์สรุ ยิ ะ
• การใชความรอนจากแสงอาทิตยในการผลิต ซึ่งมีส่วนประกอบหลัก ดังภำพที่ 3.8
ไฟฟา ระบบสระแสงอาทิตย
• การเปลีย่ นพลังงานแสงอาทิตยเปนพลังงาน
ไฟฟาโดยตรง ระบบเซลลสุริยะแบบอิสระ
อุปกรณ์ควบคุมการประจุ ควบคุมกำร แผงเซลล์สุริยะ เปลี่ยนพลังงำนแสง
• การเปลีย่ นพลังงานแสงอาทิตยเปนพลังงาน อัดประจุเข้ำแบตเตอรี่เมื่อประจุไฟ อำทิตย์ให้เป็นพลังงำนไฟฟำ
ไฟฟาโดยตรง ระบบเซลลสุริยะแบบตอกับ เต็มหรือแรงดันไฟฟำสูงเกินไป
ระบบจําหนาย DC
• การเปลีย่ นพลังงานแสงอาทิตยเปนพลังงาน
ไฟฟาโดยตรง ระบบเซลลสุริยะแบบผสม
ผสาน DC
2. ขณะที่นักเรียนแตละกลุมกําลังนําเสนอ ครู
อาจเสนอแนะหรือแทรกขอมูลเพิม่ เติมในเรือ่ ง DC AC
นั้ น ๆ ให นั ก เรี ย นทุ ก คนได มี ค วามเข า ใจที่ แบตเตอรี่ เก็บสะสมพลังงำนไฟฟำ
ที่ ผ ลิ ต มำจำกเซลล์ สุ ริ ย ะไว้ ใ ช้ ใ น อุปกรณ์แปลงระบบไฟฟา แปลงไฟฟำ
ตรงกันมากยิ่งขึ้น เวลำที่ไม่มีแสงอำทิตย์ กระแสงตรงให้เป็นไฟฟำกระแสสลับ
เพื่อใช้กับอุปกรณ์ไฟฟำ และควบคุม
แรงดันให้อยู่ในระดับที่ต้องกำร
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
• ระบบเซลล์สุริยะแบบอิสระ ออกแบบมำเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้ำในชนบทหรือพื้นที่ที่ไม่มี 1. ครูนําอภิปรายสรุปเนื้อหาดวยคําถามตอไปนี้
ระบบสำยส่งไฟฟ้ำ อุปกรณ์ส�ำคัญในระบบประกอบด้วยแผงเซลล์สุริยะ อุปกรณ์ควบคุมกำรประจุ แลวใหนักเรียนชวยกันตอบปากเปลา โดยเปด
ไฟและควบคุมกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำ แบตเตอรี่ และอุปกรณ์แปลงและควบคุมระบบไฟฟ้ำชนิด PowerPoint เรื่องที่สอนไปแลวควบคูไปดวย
อิสระ ดังภำพที่ 3.9 • เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตยนําไปใชใน
กี่รูปแบบ อะไรบาง
แผงเซลล์สุริยะ อุปกรณ์ (แนวตอบ 2 รูปแบบ คือ นําไปผลิตไฟฟา
ควบคุมกำร
ประจุไฟ และนําไปผลิตนํ้ารอน)
• พลังงานลมเปนพลังงานลักษณะใด
(แนวตอบ พลังงานกล)
วงจรควบคุมแรงดันไฟฟ้ำ แบตเตอรี่
• แหลงพลังงานใดที่เปนแหลงพลังงาน
ตนกําเนิดของพลังงานอื่น
(แนวตอบ พลังงานจากดวงอาทิตย)
2. ครูใหนกั เรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรือ่ ง พลังงาน
แผงควบคุมวงจร แผงควบคุมวงจร อุปกรณ์แปลงระบบไฟฟ้ำ เครื่องก�ำเนิดไฟฟ้ำ (ส�ำรอง) ทดแทน ลงในกระดาษ A4
ไฟฟ้ำกระแสตรง ไฟฟ้ำกระแสสลับ
3. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
ภาพที่ 3.9 ระบบเซลล์สุริยะแบบอิสระ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ของตนเองหนาชั้นเรียน
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาและทํ า แบบฝ ก หั ด จาก
• ระบบเซลล์ สุ ริ ย ะแบบ แผงเซลล์สุริยะ มำตรไฟฟ้ำ สำยส่งไฟฟ้ำ Topic Question เรือ่ ง พลังงานในชีวติ ประจําวัน
ต่อกับระบบจ�าหน่าย ออกแบบมำเพื่อ จากหนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว
ใช้ผลิตไฟฟ้ำในเขตเมืองหรือพื้นที่ที่มี แลวนํามาสงครูทายชั่วโมง
ระบบจ�ำหน่ำยไฟฟ้ำเข้ำถึง โดยผลิต 5. ครูมอบหมายการบานใหนักเรียน โดยใหทํา
ไฟฟ้ ำ ผ่ ำ นอุ ป กรณ์ แ ปลงและควบคุ ม แบบฝกหัด เรื่อง พลังงานในชีวิตประจําวัน
ระบบไฟฟ้ำเพื่อแปลงไฟฟ้ำกระแสตรง จากแบบฝ ก หั ด วิ ท ยาศาสตร ก ายภาพ 2
เป็นไฟฟ้ำกระแสสลับแล้วจ่ำยเข้ำสูร่ ะบบ (ฟสิกส) ม.5
สำยส่งไฟฟ้ำโดยตรง อุปกรณ์ส�ำคัญ
ในระบบประกอบด้ ว ยแผงเซลล์ สุ ริ ย ะ
อุปกรณ์แปลงและควบคุมระบบไฟฟ้ำ
ชนิดต่อกับระบบจ�ำหน่ำยไฟฟ้ำ ดังภำพ เครื่องใช้ไฟฟ้ำ แผงควบคุมวงจรไฟฟ้ำ อุปกรณ์แปลงระบบไฟฟ้ำ
ที่ 3.10 ภาพที่ 3.10 ระบบเซลล์สุริยะแบบตอกับระบบจําหนาย
ที่มา : คลังภาพ อจท.
พลังงาน 107
T117
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ • ระบบเซลล์สรุ ยิ ะแบบผสมผสาน ออกแบบมำเพือ่ ท�ำงำนร่วมกับอุปกรณ์ผลิตไฟฟำ
พลังงานในชีวิตประจําวันและพลังงานทดแทน หรือระบบผลิตไฟฟำอื่น ๆ เช่น เครื่องก�ำเนิดไฟฟำดีเซล ไฟฟำพลังลม ไฟฟำพลังน�้ำ เป็นต้น
โดยครู ใ ห นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู ล งในสมุ ด ดังภำพที่ 3.11
แผงเซลล์สุริยะ
บันทึกประจําตัว
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล กังหันลม เครื่องก�ำเนิดไฟฟำดีเซล
อØ»¡ร³์á»ลงรÐบบไ¿¿‡า
1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน
เพื่ อ ตรวจสอบความเข า ใจก อ นเรี ย นของ
แบตเตอรี่
นักเรียน (ก) ระบบเซลล์สุริยะกับไฟฟำพลังลมและเครื่องก�ำเนิดไฟฟำดีเซล
2. ครู ต รวจสอบผลการทํ า แบบทดสอบความ
เขาใจกอนเรียนจาก Understanding Check
ในสมุดบันทึกประจําตัว
3. ครู ต รวจสอบผลจากการทํ า ใบงาน เรื่ อ ง
พลังงานสิ้นเปลือง
เครื่องก�ำเนิดไฟฟำดีเซล แผงเซลล์สุริยะ
4. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question
เรื่อง พลังงานในชีวิตประจําวัน ในสมุดบันทึก
ประจําตัว (ข) ระบบเซลล์สุริยะกับเครื่องก�ำเนิดไฟฟำดีเซล
5. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง พลังงานใน ภาพที่ 3.11 ระบบเซลล์สุริยะแบบผสมผสาน
ชีวิตประจําวัน จากแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ที่มา : คลังภาพ อจท.
กายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 Topic
6. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ ? Question
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล คําชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�ำถำมต่อไปนี้
และการทํางานกลุม 1. พลังงำนที่สะสมในแบตเตอรี่ พลังงำนที่ได้จำกแบตเตอรี่ และพลังงำนที่ใช้ในกำรเคลื่อนไหว
7. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป เป็นพลังงำนประเภทใด ตำมล�ำดับ
เนื้อหา เรื่อง พลังงานทดแทน ที่นักเรียนได 2. พลังงำนทดแทนมีกี่ประเภท อะไรบ้ำง และแต่ละประเภทต่ำงกันอย่ำงไร
สร า งขึ้ น จากขั้ น ขยายความเข า ใจเป น ราย 3. พลังงำนน�้ำที่น�ำมำใช้ในกำรผลิตกระแสไฟฟำมีกี่รูปแบบ อะไรบ้ำง
บุคคล 4. ไฟฟำจำกพลังงำนนิวเคลียร์ได้จำกปฏิกิริยำนิวเคลียร์แบบใด
5. ถ้ำต้องกำรเปลี่ยนพลังงำนแสงอำทิตย์เป็นไฟฟำโดยตรงต้องใช้อุปกรณ์ใด
108
สามารถนํากลับมาใชไดอีก
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ 1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คะแนน จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
ระดับคุณภาพ 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
พลังงานนํ้าขึ้น-นํ้าลง และพลังงานจากคลื่นนํ้า
ระบบ
4 ความเป็นระเบียบ
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
รวม
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
4. ไฟฟาจากพลังงานนิวเคลียรไดจากปฏิกิริยานิวเคลียรฟชชัน
ช่วงคะแนน
14–16
11–13
ระดับคุณภาพ
ดีมาก
ดี
5. เซลลสุริยะ
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T118
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
2. พลังงานนิวเคลียร์ Prior Knowledge 1. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ
ในชีวิตประจ�ำวันเรำมักจะพบกับปฏิกิริยำเคมี เช่น กำร พลังงานที่ ได้จาก 2. ครูนําวีดิทัศนเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียรและ
ประกอบอำหำรด้วยควำมร้อน กำรเผำไหม้เชือ้ เพลิง กระบวนกำร ปฏิกริ ิยานิวเคลียร์ ระเบิดปรมาณูมาเปดใหนักเรียนชม
เป็นผลมาจากสิง่ ใด 3. นั ก เรี ย นอภิ ป รายและบอกได ว า พลั ง งาน
ย่อยอำหำรของร่ำงกำย เป็นต้น โดยปฏิกิริยำเคมีเป็นกำร
เปลี่ยนแปลงในระดับอะตอมและโมเลกุล โดยไม่เกี่ยวข้องกับ นิวเคลียรมีประโยชนและโทษอยางไรในชีวิต
นิวเคลียสของอะตอม แต่กำรเปลีย่ นแปลงกับนิวเคลียสของอะตอมทีท่ ำ� ให้เกิดกำรเปลีย่ นชนิดของ ประจําวัน
ธำตุ จะเรียกกำรเปลี่ยนแปลงนี้ว่ำ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ (nuclear reaction) หลังกำรเกิดปฏิกิริยำ 4. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
นิวเคลียร์ธำตุตั้งต้นจะเปลี่ยนเป็นธำตุอื่น และมวลอะตอมรวมของธำตุหลังเกิดปฏิกิริยำนิวเคลียร์ เรียน เพื่อกระตุนความสนใจของนักเรียนวา
จะมีค่ำน้อยกว่ำมวลอะตอมรวมของธำตุก่อนเกิดปฏิกิริยำนิวเคลียร์ มวลที่ลดลงหรือมวลพร่อง “พลังงานทีไ่ ดจากปฏิกริ ยิ านิวเคลียรเปนผลมา
(mass defect) จะเปลี่ยนเป็นพลังงำนตำมหลักสมมูลของมวลสำรและพลังงำน (mass-energy จากสิง่ ใด” และใหนกั เรียนชวยกันตอบคําถาม
equivalence) ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ซึ่งมีควำมสัมพันธ์ ตำมสมกำร ปากเปลา โดยไมมีการเฉลยวาถูกหรือผิด
E คือ พลังงำนที่ได้จำกปฏิกิริยำนิวเคลียร์ มีหน่วยเป็น จูล (J) 5. ครูถามคําถามกระตุนความสนใจกับนักเรียน
Δm คือ มวลพร่อง หรือผลต่ำงของมวลอะตอมรวมก่อนเกิดปฏิกิริยำกับมวล วา “พลังงานนิวเคลียรเกิดขึ้นไดอยางไร”
E = (Δm)c2 อะตอมรวมหลังเกิดปฏิกิริยำ มีหน่วยเป็น กิโลกรัม (kg) 6. ครูใหนักเรียนตั้งคําถามเกี่ยวกับสิ่งที่ตองการ
c คือ อัตรำเร็วของแสงในสุญญำกำศ เท่ำกับ 3 × 108 เมตรต่อวินำที (m/s) เรียนรูเกี่ยวกับ เรื่อง พลังงานนิวเคลียร แลว
บันทึกเปนขอบเขตและเปาหมายที่ตองการ
พลังงำนที่ได้จำกปฏิกิริยำนิวเคลียร์ เรียกว่ำ พลังงานนิวเคลียร์ (nuclear energy) โดย เรียนรูลงในสมุดเพื่อนํามาสงครู
ปฏิกิริยำนิวเคลียร์มี 2 ประเภท คือ ฟิชชันและฟิวชัน
Science Focus
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (พ.ศ. 2422-2498) ศำสตรำจำรย์
ทำงฟิสิกส์และนักฟิสิกส์ทฤษฎี ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่ำงกว้ำง
ขวำงว่ำเป็นนักวิทยำศำสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่
20 ในปี พ.ศ. 2448 เขำเป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภำพพิเศษ
(theory of special relativity) แสดงให้เห็นว่ำ มวลเป็นรูป
หนึง่ ของพลังงำน ซึง่ เขำได้รบั รำงวัลโนเบลสำขำฟิสกิ ส์ในปี พ.ศ. แนวตอบ Prior Knowledge
2464 จำกกำรอธิบำยปรำกฏกำรณ์โฟโตอิเล็กทริก และจำกกำร
ท�ำประโยชน์แก่ฟิสิกส์ทฤษฎี ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์ผลงำนทั้งทำง พลังงานที่ไดจากปฏิกิริยานิวเคลียรเปนผล
วิทยำศำสตร์และอื่น ๆ มำกกว่ำ 400 ชิ้น และในปี พ.ศ. 2542 มาจากการเปลี่ยนแปลงนิวเคลียสของธาตุ ซึ่ง
ภาพที่ 3.12 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
นิตยสำรไทม์ (TIME) ยกย่องให้เขำเป็นบุรุษแห่งศตวรรษ ที่มา : คลังภาพ อจท. การเปลี่ยนแปลงนั้นมี 2 แบบ คือ นิวเคลียสของ
ธาตุมวลมากแตกออกเปนธาตุที่มีมวลนอยกวา
พลังงาน 109
และนิวเคลียสของธาตุที่มีมวลนอยรวมกันเปน
นิวเคลียสของธาตุที่มีมวลมากขึ้น
T119
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง พลังงานนิวเคลียร ¿ªªัน
จากหนังสือเรียน ปฏิกิริยำที่นิวเคลียสของธำตุที่มีมวลมำก แตกออกเป็นสองนิวเคลียสของธำตุที่มีมวลน้อยกว่ำ เรียกว่ำ
2. ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ฟชชัน (fission)
ฟชชันและฟวชันจากแหลงขอมูลสารสนเทศ ธาตุที่มีมวลมาก พลังงานที่ไดจากการเกิดฟชชัน
3. ครูใหนกั เรียนเขียนสรุปความรูท ไี่ ดศกึ ษาลงใน ธำตุ ที่ นิ ย มใช้ ใ นปฏิ กิ ริ ย ำฟิ ช ชั น ในกำรเกิดแต่ละครั้งมีค่ำประมำณ 200 MeV
สมุดบันทึกประจําตัวของแตละคน คือ ยูเรเนียม-235 ยูเรเนียม-233 โดยพลังงำนส่วนใหญ่จะอยูใ่ นรูปพลังงำนจลน์
ยูเรเนียม-238 และพลูโทเนียม-239 ของธำตุมวลเบำที่เกิดขึ้นและนิวตรอน
4. ครู สุ ม ตั ว แทนนั ก เรี ย นออกมาหน า ชั้ น เรี ย น
เพื่ อ อธิ บ ายให เ พื่ อ นในชั้ น เรี ย นฟ ง เกี่ ย วกั บ ธำตุที่มีมวลน้อย
ขอมูลที่ตนเองไดทําการศึกษามาแลว นิวตรอน
5. ครูแจกใบงาน เรื่อง พลังงานนิวเคลียร ให พลังงาน นิวตรอน
นักเรียน จากนั้นมอบหมายใหนักเรียนลงมือ นิวตรอน
ธำตุที่มีมวลมำก
ทําแลวเก็บรวบรวมสงคืนครูทายชั่วโมง นิวตรอน
ธำตุที่มีมวลน้อย
อธิบายความรู้
1. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร อนุภาคที่ทําใหเกิดปฏิกิริยาฟชชัน ธาตุที่มีมวลนอย
ความหมายของปฏิกริ ยิ าฟชชัน ปฏิกริ ยิ าฟวชัน นอกจำกนิวตรอนแล้ว ยังมีอนุภำคไฟฟำอืน่ รวมทัง้ ขึ้นอยู่กับธำตุมวลมำกที่ใช้ในปฏิกิริยำ
รังสีแกมมำ ที่ท�ำให้เกิดปฏิกิริยำฟิชชันได้
และการใชประโยชน
2. ครูเปด PowerPoint เรื่อง พลังงานนิวเคลียร ¿ªªันãนâรงไ¿¿‡านิวเคลียร์
ใหนักเรียนดูเพื่อเปนการสรุปความรู เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในโรงงำนไฟฟำนิวเคลียร์จะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ (chain reaction) เนื่องจำกใน
3. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความสําคัญของ แต่ละฟิชชันของยูเรเนียม-235 จะเกิดนิวตรอน 2-3 ตัว และนิวตรอนเหล่ำนี้จะเคลื่อนเข้ำชนนิวเคลียสอื่น
ของยูเรเนียมต่อไปอย่ำงต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ได้พลังงำนปริมำณมหำศำล
พลังงานนิวเคลียรในชีวิตประจําวัน 91 Kr
36
ขยายความเข้าใจ นิวตรอน 235 U
92
1. ครูใหนกั เรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรือ่ ง พลังงาน
235 U
นิวเคลียร ลงในกระดาษ A4 92 พลังงาน นิวตรอน 235 U
นิวตรอน 92
2. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
ของตนเองหนาชั้นเรียน นิวตรอน 235 U
142 Ba 92
56
ภาพที่ 3.13 ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟชชัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
110
T120
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
¿วªัน 3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาและทํ า แบบฝ ก หั ด จาก
ปฏิกิริยำนิวเคลียร์ที่นิวเคลียสของธำตุที่มีมวลน้อยรวมกันเป็นนิวเคลียสของธำตุที่มีมวลมำกขึ้น เรียกว่ำ Topic Question เรือ่ ง พลังงานในชีวติ ประจําวัน
ฟวชัน (fusion) จากหนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว
ธาตุที่มีมวลนอย พลังงานที่ไดจากการเกิดฟวชัน แลวสงครูทายชั่วโมง
ในดวงอำทิตย์จะเป็นนิวเคลียสของธำตุไฮโดรเจน พลังงำนทีไ่ ด้จำกกำรเกิดฟิวชัน 1 ครัง้ มีคำ่ น้อยกว่ำ 4. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัด เรื่อง
รวมตัวกัน แต่บนพื้นโลกมนุษย์จะท�ำให้นิวเคลียส ฟิชชัน แต่พลังงำนต่อมวลของปฏิกิริยำฟิวชันจะ พลังงานนิวเคลียร จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
ของธำตุดิวเทอเรียมและทริเทียมรวมตัวกัน มำกกว่ำพลังงำนต่อมวลที่ได้จำกปฏิกิริยำฟิชชัน
ประมำณ 3.5-4.6 เท่ำ กายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5
พลังงานที่ไดจากปฏิกิริยานิวเคลียรในหนวย J คํานวณไดจากสมการ
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
2 ความถูกต้องของเนื้อหา สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
3 ความคิดสร้างสรรค์ แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
E = (∆Δm)(9 × 1016) J
ระบบ
4 ความเป็นระเบียบ
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
รวม
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
เปนปฏิกิริยานิวเคลียรฟวชันที่เกิดจากการรวมตัวของนิวเคลียสของ ช่วงคะแนน
14–16
11–13
ระดับคุณภาพ
ดีมาก
ดี
สวนปฏิกิริยานิวเคลียรในโรงไฟฟานิวเคลียรเปนปฏิกิริยาฟชชันที่เกิด
จากการชนกันของนิวตรอนกับยูเรเนียมหรือพลูโตเนียม
T121
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 3. เ·คâนâลยี´Œานพลังงาน Prior Knowledge
2. ครู ถ ามคํ า ถาม Prior Knowledge จาก วิ วั ฒ นำกำรของเทคโนโลยี ด ้ ำ นพลั ง งำน เริ่ ม ต้ น ขึ้ น เËตØผลËลัก¢องการ
หนั ง สื อ เรี ย น เพื่ อ กระตุ น ความสนใจของ ประมำณคริสต์ศตวรรษที่ 17 จำกกำรใช้พลังงำนเชือ้ เพลิงฟอสซิล ¾Ñ²นาเ·คâนâลยี
นั ก เรี ย นว า “เหตุ ผ ลหลั ก ของการพั ฒ นา ด้านพลังงาน
เป็นแหล่งพลังงำนในอุตสำหกรรม อย่ำงไรก็ตำม เชื้อเพลิง ค×ÍÊิ§è ã´
เทคโนโลยี ด า นพลั ง งานคื อ สิ่ ง ใด” และให ฟอสซิลไม่สำมำรถตอบสนองควำมต้องกำรในกำรใช้พลังงำน
นักเรียนชวยกันตอบคําถามปากเปลา โดยไมมี ของมนุษย์ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ จึงมีควำมเป็นไปได้ทเี่ ชือ้ เพลิงชนิดนีจ้ ะหมดไปในคริสต์ศตวรรษ
การเฉลยวาถูกหรือผิด ที่ 21 เทคโนโลยีพลังงำนจึงได้รับกำรพัฒนำขึ้นโดยมีเป้ำหมำยเพื่อแสวงหำแหล่งพลังงำนชนิด
3. ครูสนทนากับนักเรียนตอ โดยถามคําถามกับ อื่น ๆ ทดแทนกำรใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
นักเรียนวา ตามความคิดของนักเรียน อะไร เทคโนโลยีดำ้ นพลังงำนเป็นกำรน�ำควำมรู้ ทักษะ และกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์มำสร้ำง
บางที่เปนเทคโนโลยีดานพลังงาน ใหนักเรียน อุปกรณ์ เช่น เซลล์เชื้อเพลิง เซลล์สุริยะ เอทำนอล ไบโอดีเซล แก๊สชีวภำพ เพื่อแก้ปัญหำและ
ชวยกันตอบคําถามปากเปลา โดยไมมีการ ตอบสนองควำมต้องกำรด้ำนพลังงำน ซึ่งจะช่วยให้กำรใช้พลังงำนเกิดประโยชน์สูงสุดรวมทั้งลด
เฉลยวาถูกหรือผิด ปัญหำสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
4. ครูใหนักเรียนตั้งคําถามเกี่ยวกับสิ่งที่ตองการ 1. เซลล์เชือ้ เพลิง (fuel cell) เป็นอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้ำจำกปฏิกริ ยิ ำเคมี เซลล์เชือ้ เพลิง
เรียนรู เรื่อง เทคโนโลยีดานพลังงาน แลว แต่ละเซลล์ประกอบด้วย ขั้วแอโนด (anode) ขั้วแคโทด (cathode) และสารพาประจุ (electrolyte)
บันทึกเปนขอบเขตและเปาหมายที่ตองการ โดยปฏิกิริยำที่ท�ำให้เกิดกระแสไฟฟ้ำเกิดที่ขั้วไฟฟ้ำแอโนดและแคโทด ส่วนสำรพำประจุท�ำหน้ำที่
เรียนรูลงในสมุดเพื่อนํามาสงครู น�ำพำอนุภำคทีม่ ปี ระจุไฟฟ้ำจำกขัว้ ไฟฟ้ำหนึง่ ไปอีกขัว้ ไฟฟ้ำหนึง่ และเป็นตัวเร่งปฏิกริ ยิ า (catalyst)
เมือ่ พิจำรณำเซลล์เชือ้ เพลิงจำกสำรพำประจุทใี่ ช้จะจ�ำแนกได้ 5 ประเภท โดยสำรพำประจุ
ที่ใช้ในเซลล์เชื้อเพลิงและกำรใช้งำนเซลล์เชื้อเพลิงแต่ละชนิด สรุปได้ดังตำรำงที่ 3.1
ตารางที่ 3.1 : ประเภทของเซลล์เชื้อเพลิงและตัวอย่างการใช้งาน
ประเภทของเซลล์เชื้อเพลิง สารพาประจุที่ใช้ การใช้งาน
เซลล์เชื้อเพลิงแบบแอลคำไลน์ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ แหล่งพลังงำนไฟฟ้ำในยำนอวกำศ และ
(AFC) (KOH) อุปกรณ์ต่ำง ๆ เช่น เครื่องเจำะแบบพกพำ
เซลล์เชื้อเพลิงแบบกรดฟอสฟอริก กรดฟอสฟอริก (H3PO4) แหล่งพลังงำนไฟฟ้ำในโรงงำนอุตสำหกรรม
(PAFC) โรงพยำบำล โรงเรียน โรงไฟฟ้ำ สนำมบิน
เซลล์เชื้อเพลิง เกลือคำร์บอเนตหลอมของ ผลิตไฟฟ้ำในโรงไฟฟ้ำขนำดใหญ่
แบบคำร์บอเนตหลอม (MCFC) โซเดียม
เซลล์เชือ้ เพลิงแบบออกไซด์ของแข็ง เซรำมิก แหล่งพลังงำนไฟฟ้ำในโรงงำนอุตสำหกรรม
(SOFC) ขนำดใหญ่
เซลล์เชื้อเพลิงแบบเยื่อแลกเปลี่ยน พอลิเมอร์ แหล่งพลังงำนไฟฟ้ำของรถยนต์ โน้ตบุ๊ก
โปรตอน (PEMFC) (ใช้แทนแบตเตอรี่) โทรศัพท์มือถือ
แนวตอบ Prior Knowledge
112
เพือ่ แกปญ
หาหรือตอบสนองความตองการดาน
พลังงานที่มีมากขึ้น
T122
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
2. เซลลสุริยะ (solar cell) เปนอุปกรณอิเล็กทรอนิกสที่เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตยเปน 1. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง เทคโนโลยีดาน
พลังงานไฟฟาไดโดยตรง เซลลสุริยะประดิษฐขึ้นครั้งแรกเมื่อป พ.ศ. 2497 และในป พ.ศ. 2502 พลังงาน จากหนังสือเรียน
มีการนําเซลล 1 สุริยะไปใชเปนแหลงจายพลังงานไฟฟาใหดาวเทียมในอวกาศ เซลลสุริยะสรางจาก 2. ครูใหนักเรียนแตละคนสืบคนขอมูลเพิ่มเติม
สารกึ่งตัวนํา (semiconductor) โครงสรางหลักของเซลลสุริยะ คือ รอยตอพีเอ็นของสารกึ่งตัวนํา โดยเปนเรื่องที่เกี่ยวกับเซลลเชื้อเพลิง เซลล
จากนั้นนํามาผานกระบวนการแพรซึมสารเจือปน ทั้งดานหนาและดานหลังของรอยตอพีเอ็น สุริยะ เอทานอล ไบโอดีเซล และแกสชีวภาพ
ฉาบดวยโลหะเงินที่ผิวสัมผัสเพื่อใหเปนขั้วไฟฟา ผิวดานรับแสงจะมีชั้นแพรซึมที่มีการนําไฟฟา จากแหลงขอมูลสารสนเทศ เชน อินเทอรเน็ต
และมีการเคลือบผิวดวยฟลมกันการสะทอนเพื่อปองกันไมใหแสงอาทิตยสะทอนกลับออกไป เพื่อศึกษาประกอบกับเนื้อหาจากหนังสือเรียน
จากเซลลสรุ ยิ ะ ขัว้ ไฟฟาดานหนาทีร่ บั แสงจะมีลกั ษณะเปนลายตะแกรง ซึง่ จมอยูใ นชิน้ สารกึง่ ตัวนํา 3. ครูแบงนักเรียนออกเปนกลุม กลุมละ 5-6 คน
ทั้งนี้ เพื่อใหเหลือบริเวณที่แสงสองลงไปรับแสงไดมากที่สุด และทําหนาที่รวบรวมกระแสไฟฟา แบบคละความสามารถของนักเรียน (เกง-
ที่เกิดจากพลังงานแสงอาทิตยอยางมีประสิทธิภาพดวย สวนขั้วไฟฟาดานหลังเปนขั้วโลหะเต็ม คอนขางเกง-ปานกลาง-ออน) ใหอยูในกลุม
พื้นผิว ดังภาพที่ 3.15
ตะแกรง เชื่อมตอกับจุดสัมผัสดานหลังของเซลลถัดไป เดียวกัน
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นพู ด คุ ย และอภิ ป รายร ว มกั น
เคลือบผิวกันการสะทอน ภายในกลุม จากขอมูลที่สมาชิกแตละคนได
รอยตอพีเอ็น ศึกษาคนความาเบื้องตนแลว
สารกึ่งตัว ดเอ็น ผิวสัมผัสโลหะดานหลัง 5. ครูแจกกระดาษฟลิปชารตใหนักเรียนกลุมละ
เชื่อมตอกับตะแกรงดานบน สารกึ่งตัวนาํ ชนิดพี
นาํ ชนิ
ของเซลลกอนหนานี้ 1 แผน
ภาพที่ 3.15 โครงสรางของเซลลสุริยะ 6. ครูมอบหมายใหนักเรียนแตละกลุมเขียนสรุป
ที่มา : คลังภาพ อจท. องคความรูห ลังจากทีไ่ ดอภิปรายผลการศึกษา
หากตองการใหไดกําลังไฟฟา (กระแสไฟฟาและแรงดันไฟฟา) มากเพียงพอสําหรับใช รวมกันแลว โดยรวมกันสรางสรรครูปแบบการ
งานตองนําเซลลสุริยะหลาย ๆ เซลลมาตอกันเปนแผงเซลลสุริยะ (solar module) นําเสนอใหมีเนื้อหาครบถวน มีความนาสนใจ
• ตอแบบขนาน เมื่อตองการใหไดกระแสไฟฟาเพิ่มขึ้น สามารถเขาใจไดงาย และมีความสวยงาม
• ตอแบบอนุกรม เมื่อตองการใหไดแรงดันไฟฟาสูงขึ้น 7. ครูกําหนดเวลาในการสรางสรรคผลงานให
ชุดแผงเซลลสุริยะ นักเรียน เมื่อครบกําหนดเวลาตามที่กําหนด
แผงเซลลสุริยะ
เซลลสุริยะ ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําผลงานของตนเอง
ไปแปะไวที่ผนังโดยรอบหองเรียน
T123
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
8. ครูและนักเรียนรวมกันเดินชมผลงาน พรอม 3. เอทานอล (etanol) หรือเอทิลแอลกอฮอล์ ได้มำจำกกำรหมักผลิตผลทำงกำรเกษตร
ฟงการนําเสนอของแตละกลุม โดยครูสุม ที่มีน�้ำตำลหรือแป้งเป็นองค์ประกอบ โดยผลิตผลที่มีน�้ำตำลเป็นองค์ประกอบจะน�ำไปหมักได้ทันที
กลุมที่จะนําเสนอเปนลําดับแรก จากนั้นครู แต่ผลิตผลที่มีแป้งเป็นองค์ประกอบต้องเปลี่ยนแป้งเป็นน�้ำตำลก่อนจะน�ำไปใช้ในกระบวนกำร
และนักเรียนกลุมอื่นๆ ไปรวมตัวกันที่หนา หมัก กระบวนกำรผลิตเอทำนอลเป็ 1 นกระบวนกำรทำงชีววิทยำ กำรเปลี่ยนน�้ำตำลเป็นเอทำนอล
ผลงานของกลุมที่นําเสนอ จากนั้นใหวนไป ในกระบวนกำรหมักต้องอำศัยยีสต์ (yeast) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ประเภทหนึ่ง
ทีละกลุมจนครบทุกกลุม โดยขั้นตอนแรกของกำรผลิตเอทำนอลจะต้องเริ่มจำกกำรเลี้ยงยีสต์ จำกนั้นน�ำยีสต์
9. ขณะที่ เ พื่ อ นกํ า ลั ง นํ า เสนอผลงาน ครู ใ ห ใส่ลงในถังหมักที่มีน�้ำตำลหรือกำกน�้ำตำลที่เจือจำงด้วยน�้ำเปล่ำ (ไม่มีอำกำศภำยใน) ขั้นที่สอง
นักเรียนกลุมอื่นๆ ที่ไมไดเปนสมาชิกกลุม ต้องท�ำให้สำรละลำยเอทำนอลมีควำมเข้มข้นสูงขึ้น ซึ่งวิธีที่นิยมใช้กัน คือ กำรแยกเอทำนอลออก
เดี ย วกั น จดบั น ทึ ก สิ่ ง ที่ ไ ด เ รี ย นรู จ ากการ จำกน�้ำโดยกำรกลั่น เมื่อแยกเอทำนอลไปแล้วจะเหลือสำรละลำยที่เรียกว่ำ น�้ำกำกส่ำ ขั้นตอน
นํ า เสนอของกลุ ม นั้ น ๆ ลงในสมุ ด บั น ทึ ก สุดท้ำยจะต้องก�ำจัดสำรอินทรียใ์ นน�ำ้ กำกส่ำและแยกยีสต์ออกจำกน�ำ้ กำกส่ำแล้วน�ำน�ำ้ เสียไปบ�ำบัด
รัฐบำลมีนโยบำยกำรพัฒนำและกำรส่งเสริมกำรน�ำเอทำนอลซึ่งเป็นผลิตผลทำงเกษตร
ประจําตัว
มำใช้เป็นเชือ้ เพลิง โดยน�ำเอทำนอลมำผสมกับน�ำ้ มันเบนซินในอัตรำส่วนต่ำง ๆ น�้ำมันผสมที่ได้
10. เมื่อนําเสนอผลงานครบทุกกลุมแลว ครูให
เรียกว่ำ แก๊สโซฮอล์ (gasohol) กำรใช้แก๊สโซฮอล์จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่ำน�้ำมัน
นักเรียนกลับเขากลุมของตนเอง แลวรวม เบนซิน เนื่องจำกออกซิเจนที่เป็นส่วนประกอบของเอทำนอลจะช่วยให้กำรเผำไหม้ภำยในห้อง
กันพูดคุยประเมินผลงานพรอมใหคะแนน เครื่องสมบูรณ์ยิ่งขึ้นและลดปริมำณแก๊สคำร์บอนมอนอกไซด์ที่ปล่อยออกมำจำกท่อไอเสีย
ผลงานของแตละกลุม รวมทัง้ กลุม ของตนเอง
4. ไบโอดีเซล (biodiesel) หรือน�ำ้ มันดีเซลชีวภำพ ได้จำกกำรแปรรูปน�ำ้ มันพืชชนิดต่ำง ๆ
พร อ มเหตุ ผ ลประกอบลงในกระดาษ A4
หรือน�้ำมันที่ใช้แล้วในครัวเรือน โดยใช้กระบวนการทรานส์เอสเทอริฟเคชัน (transesterification
แลวรวบรวมสงครู process) โดยน�ำน�้ำมันพืชหรือไขมันสัตว์มำท�ำปฏิกิริยำเคมีกับแอลกอฮอล์ และมีด่ำงเป็น
ตัวเร่งปฏิกิริยำ ผลสุดท้ำยของปฏิกิริยำจะได้แอลคิลเอสเทอร์ของกรดไขมันหรือไบโอดีเซล และ
มีกลีเซอรีนเป็นผลิตภัณฑ์ร่วม หลังจำกแยกกลีเซอรีนออกไปและท�ำควำมสะอำดไบโอดีเซลแล้ว
จะได้ไบโอดีเซลในสภำพพร้อมต่อกำรใช้งำน
Science Focus
¢Œอ´ี¢อง¡าร㪌ไบâอ´ีเ«ล
กำรใช้น�้ำมันไบโอดีเซลช่วยลดกำรปล่อยแก๊สเรือนกระจก
แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้น พืชสำมำรถน�ำกลับไปใช้ในกำร
สังเครำะห์แสงจนหมด จึงไม่มีแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ปลดปล่อย
ออกสู่สิ่งแวดล้อม และที่ส�ำคัญไบโอดีเซลเป็นเชื้อเพลิงที่ปรำศจำก
ก�ำมะถันหรือซัลเฟอร์ (sulfur) ซึง่ เป็นสำรพิษทีเ่ ป็นอันตรำยต่อมนุษย์ ภาพที่ 3.17 หนึง่ ในวัตถุดบิ ทีใ่ ชผลิต
ปนเปอนในสิ่งแวดล้อม ไบโอดีเซลจึงเป็นเชื้อเพลิงสะอำดที่เป็นมิตร ไบโอดีเซล คือ ปาล์ม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
กับสิ่งแวดล้อม
114
T124
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
5. แกสชีวภาพ (biogas) เปนแกสที่เกิดจากกระบวนการยอยสลายสารอินทรีย โดย 1. ครูอธิบาย เรื่อง เทคโนโลยีดานพลังงาน ให
แบคทีเรียภายใตสภาวะที่ไมมีแกสออกซิเจน กระบวนการผลิตแกสชีวภาพเริ่มจากการนํา นั ก เรี ย นฟ ง อี ก ครั้ ง โดยเป ด PowerPoint
สารอินทรีย ไดแก มูลสัตว พืช วัสดุเหลือใชทางการเกษตร ของเสียหรือนํ้าเสียจากกระบวนการ เรื่อง เทคโนโลยีดานพลังงาน ควบคูไปกับการ
ตาง ๆ มารวมกันในบอผสม จากนัน้ จึงนําไปหมักในบอหมักเพือ่ ใหแบคทีเรียยอยสลายสารอินทรีย อธิบายเนื้อหาจากหนังสือเรียน เพื่อเปนการ
เหลานั้น โดยกระบวนการยอยสลายจนไดแกสชีวภาพมี 3 ขั้นตอน ดังนี้ สรุปเนื้อหาและสรางความเขาใจของนักเรียน
• ขั้นตอนที่ 1 เปนการยอยสลายสารอินทรียโมเลกุล Physics ใหเปนไปในแนวทางเดียวกันมากยิ่งขึ้น
ใหญ เชน ไขมัน แปง โปรตีน เซลลูโลส เปนตน ใหกลายเปน in real life 2. ครูสมุ นักเรียนแลวถามคําถามกับนักเรียน เพือ่
สารอินทรียที่มีโมเลกุลเล็กลงและละลายนํ้าได เชน กรดอะมิโน แกสชีวภาพนําไปใชประโยชน ตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนในเบื้องตน
กรดไขมัน กลูโคส กลีเซอรอล โดยแบคทีเรียยอยสลายสาร ได ดังนี้ 3. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัดจาก
อินทรียแตละชนิด - ใชเปนแกสหุงตมแทน
แกสธรรมชาติ Topic Question เรือ่ ง เทคโนโลยีดา นพลังงาน
• ขั้นตอนที่ 2 เปนการเปลี่ยนสารอินทรียที่อยูในรูป - ใชเปนเชื้อเพลิงสําหรับ จากหนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว
สารละลายใหกลายเปนกรดอินทรียระเหยงาย (volatile acids) เครื่องสูบนํ้า เครื่องยนต และรวบรวมสงครูทายชั่วโมง
เชน กรดนํ้าสม กรดมด เปนตน รถยนต
- ใชเปนเชื้อเพลิงเพื่อให 4. ครูแจกใบงาน เรื่อง เทคโนโลยีดานพลังงาน
• ขั้นตอนที่ 3 เปนการเปลี่ยนกรดอินทรียใหเปนแกส ความรอนสําหรับการอบแหง ใหนักเรียนนํากลับไปทําเปนการบาน
มีเทน แกสคารบอนไดออกไซด และแกสอืน่ ๆ โดยแบคทีเรียยอย ผลิตภัณฑ
สลายกรดอินทรีย ในขัน้ ตอนนีแ้ บคทีเรียทีม่ คี วามสําคัญทีส่ ดุ คือ - ใชเปนเชื้อเพลิงใหความรอน
ในภาคอุตสาหกรรม เชน
แบคทีเรียสรางมีเทน (methane-producing bacteria) ใชตมนํ้าในหมอไอนํ้า
Topic
? Question
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
1. จงเปรียบเทียบแบตเตอรี่กับเซลลเชื้อเพลิง
2. โครงสรางหลักของเซลลสุริยะคืออะไร และปรากฏการณที่ทําใหเกิดกระแสไฟฟาขึ้นในเซลล
สุริยะ คือปรากฏการณใด
3. เอทานอลทีไ่ ดจากการหมักมีความเขมขนรอยละเทาใดโดยปริมาตร และตองทําอยางไรจึงจะได
เอทานอลทีม่ คี วามเขมขนสูงกวารอยละ 95 โดยปริมาตร เพือ่ ใหนาํ ไปใชกบั เครือ่ งยนตได
4. จงอธิบายกระบวนการในการผลิตไบโอดีเซล
5. แกสชีวภาพประกอบดวยแกสชนิดใดบาง และแกสชนิดใดในแกสชีวภาพที่ใชเปน
เชื้อเพลิงได
¾Åѧ§Ò¹ 115
T125
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
1. ครูเก็บรวบรวมใบงาน เรื่อง เทคโนโลยีดาน Summary
พลั ง งาน ที่ ใ ห นั ก เรี ย นนํ า กลั บ ไปทํ า เป น พลังงาน
การบาน
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า สรุ ป ผั ง มโนทั ศ น เรื่ อ ง
เทคโนโลยีดานพลังงาน ลงในกระดาษ A4 พลังงานในชีวิตประจ�าวัน
3. ครูอธิบายสรุปความรูอีกครั้ง โดยใหนักเรียน
ประเภทของพลังงาน
ดู Summary เรื่อง พลังงาน จากหนังสือเรียน
พลังงำนแบ่งตำมกำรใช้งำนในชีวติ ประจ�ำวันเป็น 6 ประเภท ได้แก่ พลังงำนกล พลังงำนเคมี พลังงำนควำมร้อน
หนา 116-118 พลังงำนไฟฟ้ำ พลังงำนกำรแผ่รังสี และพลังงำนนิวเคลียร์
4. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
พลังงานทดแทน
ของตนเองหนาชั้นเรียน
พลังงำนทดแทนเป็นพลังงำนที่น�ำมำใช้แทนน�้ำมัน แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
5. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัด เรื่อง • พลังงานทดแทนประเภทสิ้นเปลือง เป็นพลังงำนทดแทนจำกแหล่งที่เมื่อใช้ไปนำน ๆ จะหมดไปได้ เช่น
เทคโนโลยี ด า นพลั ง งาน จากแบบฝ ก หั ด แก๊สธรรมชำติ ถ่ำนหิน พลังงำนนิวเคลียร์ เป็นต้น
วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 • พลังงานทดแทนประเภทหมุนเวียน เป็นพลังงำนทีไ่ ด้มำจำกแหล่งทีเ่ มือ่ ใช้แล้วสำมำรถน�ำกลับมำใช้ได้อกี
6. ครูใหนกั เรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเอง เช่น พลังงำนแสงอำทิตย์ พลังงำนลม พลังงำนน�้ำ พลังงำนชีวมวล พลังงำนควำมร้อนใต้พิภพ เป็นต้น
ในกรอบ Self Check เรือ่ ง พลังงาน จากหนังสือ โดยพลังงำนทดแทนประเภทหมุนเวียนส่วนใหญ่เป็นพลังงำนทีเ่ ป็นมิตรต่อสิง่ แวดล้อม ไม่ปลดปล่อยมลพิษ
สู่สิ่งแวดล้อม
เรียน
7. ครูใหนักเรียนทํา Unit Question จากหนังสือ- ไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์และแสงอาทิตย์
เรียนเปนการบาน โดยทําลงในสมุดบันทึก • ไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ ได้จำกโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ซึ่งใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชันเป็นแหล่ง
ก�ำเนิดพลังงำนควำมร้อนเพื่อใช้ในกระบวนกำรผลิตพลังงำนไฟฟ้ำ
ประจําตัว • ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ กำรเปลี่ยนพลังงำนแสงอำทิตย์เป็นพลังงำนไฟฟ้ำมี 2 หลักกำร คือ กำร
8. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อ เปลี่ยนพลังงำนแสงอำทิตย์เป็นพลังงำนไฟฟ้ำโดยตรง ท�ำได้โดยใช้เซลล์สุริยะ และกำรใช้ควำมร้อนจำก
ตรวจสอบความเขาใจหลังเรียนของนักเรียน แสงอำทิตย์ในกำรผลิตพลังงำนไฟฟ้ำมี 2 ระบบ ดังนี้
- ระบบความร้อนรวมศูนย์ ใช้อุปกรณ์รับแสง เช่น กระจกเงำหรือวัสดุสะท้อนแสงที่หมุนตำมดวงอำทิตย์
ขัน้ สรุป ได้เพื่อรวมควำมร้อนจำกแสงอำทิตย์มำไว้ที่จุดเดียวกัน ท�ำให้เกิดควำมร้อนสูง
ส่งผ่ำนไปยังตัวกลำง แล้วน�ำไอหรือควำมร้อนจำกตัวกลำงไปผลิตไอ
ตรวจสอบผล
เพื่อขับเคลื่อนเครื่องก�ำเนิดไฟฟ้ำ
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ - ระบบสระแสงอาทิตย์ ใช้น�้ำเกลือเก็บสะสม
เทคโนโลยีดานพลังงาน โดยครูใหนักเรียนเขียน ควำมร้อนไว้ที่ก้นสระ กำรผลิตไฟฟ้ำต้องสูบ
น�ำ้ เกลือทีก่ น้ สระซึง่ มีควำมเข้มข้นและอุณหภูมิ
สรุปความรูลงในสมุดบันทึกประจําตัว สูงผ่ำนท่อเข้ำสู่เครื่องก�ำเนิดไอน�้ำเพื่อผลิต
ไอน�ำ้ ไปขับกังหันไอน�ำ้ ของเครือ่ งก�ำเนิดไฟฟ้ำ
เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ำ ภาพที่ 3.18 เซลล์สุริยะใชสําหรับเปลี่ยนพลังงาน
แสงอาทิตย์เปนพลังงานไฟฟ้าเพื่อใชงานตามบานเรือน
116 ที่มา : คลังภาพ อจท.
T126
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
¾Åѧ§Ò¹¹ÔÇà¤ÅÕÂà 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
พลังงานนิวเคลียรไดมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร ซึ่งมี 2 แบบ ดังนี้ เพื่ อ ตรวจสอบความเข า ใจหลั ง เรี ย นของ
ฟชชัน นักเรียน
เปนปฏิกริ ยิ านิวเคลียรทเี่ มือ่ มีอนุภาคเคลือ่ นเขาชนนิวเคลียสของธาตุหนัก นิวเคลียสของธาตุหนักจะแยกออก 2. ครู ต รวจสอบผลจากการทํ า ใบงาน เรื่ อ ง
เปน 2 นิวเคลียสของธาตุที่เบากวา โดยมวลอะตอมรวมของนิวเคลียสที่ไดจากการแยกตัวจะมีคานอยกวา เทคโนโลยีดานพลังงาน
มวลอะตอมของนิวเคลียสของธาตุหนักที่เปนนิวเคลียสตั้งตน 3. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question เรือ่ ง
ธาตุที่มีมวลนอย
นิวตรอน
เทคโนโลยีดานพลังงาน ในสมุดบันทึกประจํา
ตัว
พลังงาน นิวตรอน
นิวตรอน 4. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Unit Question หนวย
ธาตุที่มีมวลมาก
นิวตรอน การเรียนรูที่ 3 พลังงาน ในสมุดบันทึกประจํา
ธาตุที่มีมวลนอย ตัว
ภาพที่ 3.19 การแยกตัวของนิวเคลียสยูเรเนียม-235 เมื่อทําปฏิกิริยากับนิวตรอนความเร็วตํ่า 5. ครู ต รวจสอบแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง เทคโนโลยี
ที่มา : คลังภาพ อจท. ดานพลังงาน จากแบบฝกหัด วิทยาศาสตร
ฟวชัน กายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5
เปนปฏิกิริยานิวเคลียรที่ธาตุเบารวมกันเปนธาตุหนัก โดยมวลอะตอมรวมของธาตุหลังเกิดปฏิกิริยาจะมีคา 6. ครูตรวจสอบผลการตรวจสอบความเขาใจของ
นอยกวามวลอะตอมรวมของธาตุตั้งตนกอนเกิดปฏิกิริยา มวลที่หายไปหรือมวลพรองจะเปลี่ยนเปนพลังงาน
ซึ่งคํานวณไดจากสมการสมมูลของมวลและพลังงาน ตนเอง Self Check ในสมุดบันทึกประจําตัว
7. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
E = (Δm)c2 ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ปฏิกิริยาฟวชันเปนแหลงกําเนิดพลังงานของดวงอาทิตยและดาวฤกษตาง ๆ ซึ่งเปนแหลงพลังงานที่มีปริมาณ และการทํางานกลุม
มหาศาลในธรรมชาติ ทําใหดวงอาทิตยและดาวฤกษปลดปลอยพลังงานเปนเวลายาวนาน ปฏิกิริยาฟวชันใน
ดวงอาทิตย แสดงดังภาพที่ 3.20 8. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป
นิวตริโน 2H
เนือ้ หา เรือ่ ง เทคโนโลยีดา นพลังงาน ทีน่ กั เรียน
1H รังสีแกมมา
1H
ไดสรางขึ้นจากขั้นขยายความเขาใจเปนราย
1H
โพซิตรอน 3He
บุคคล
1H
4He
1H
3He
1H นิวตริโน
1H
1H
2H รังสีแกมมา
โพซิตรอน
ภาพที่ 3.20 ปฏิกิริยาฟวชันของโปรตอน-โปรตอน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
¾Åѧ§Ò¹ 117
ครูเก็บรวบรวมผลงานของนักเรียนกลับไปตรวจเพื่อเปนคะแนน
แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนฯ ที่ 1-3
ระดับคะแนน
แบบประเมินผลงานผังมโนทัศน์ ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ 1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
พิเศษ
คะแนน จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
ระดับคุณภาพ 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
2 ความถูกต้องของเนื้อหา สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
3 ความคิดสร้างสรรค์ แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
ระบบ
4 ความเป็นระเบียบ
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
รวม
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14–16 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T127
นํา สอน สรุป ประเมิน
ค. การทํางานของเครื่องปฏิกรณปรมาณูเปน อากาศ
บั น
การเปลี่ยนรูปจากพลังงานนิวเคลียรเปน 4. พลังงานที่ไดจากปฏิกิริยานิวเคลียรเปนไปตามความสัมพันธระหวาง 2.
มวลกับพลังงาน
พลังงานความรอน 5. แกสโซฮอลเปนนํ้ามันผสมระหวางนํ้ามันเบนซินกับเอทานอล 3.
ง. การทํางานของไดนาโมเปนการเปลี่ยนรูป
118
จากพลังงานกลเปนพลังงานไฟฟา
จ. การทํ า งานของหลอดรั ง สี เ อกซ เ ป น การ
เปลี่ยนรูปจากพลังงานไฟฟาเปนพลังงาน
การแผรังสี
5. พลังงานทดแทนนํามาใชแทนนํ้ามัน แบงเปน 2 ประเภท คือ พลังงานทดแทนประเภทสิ้นเปลือง ไดแก แกสธรรมชาติ ถานหิน พลังงานนิวเคลียร และ
พลังงานทดแทนประเภทหมุนเวียน ไดแก พลังงานแสงอาทิตย พลังงานนํ้า พลังงานลม
6. พลังงานลม
7. การผลิตไฟฟาจากพลังงานแสงอาทิตยมี 2 หลักการใหญๆ คือ การใชความรอนจากแสงอาทิตยในการผลิตพลังงานไฟฟากับการเปลี่ยนพลังงานแสง
อาทิตยเปนพลังงานไฟฟาโดยตรง
8. • อุปกรณควบคุมการประจุไฟ ทําหนาทีค่ วบคุมการประจุไฟเขาแบตเตอรีใ่ หเหมาะสมกับความจุของแบตเตอรี่ ตัดการประจุไฟเขาแบตเตอรีเ่ มือ่ ประจุไฟ
จนเต็มแลวหรือเมื่อมีแรงดันไฟฟาสูงเกินไป และควบคุมการจายกระแสไฟฟาออกจากแบตเตอรี่ โดยตัดการจายกระแสไฟฟาใหกับอุปกรณไฟฟา
เมื่อแรงดันของแบตเตอรี่ลดลงจนจายกระแสไฟฟาไมได นอกจากนี้ ยังทําหนาที่ปองกันการไหลกลับของกระแสไฟฟาจากแบตเตอรี่ไปยังเซลลสุริยะ
ตอนที่เซลลสุริยะไมไดผลิตไฟฟา
• อุปกรณแปลงระบบไฟฟา ทําหนาที่แปลงไฟฟากระแสตรงเปนไฟฟากระแสสลับ เพื่อนําไปใชกับอุปกรณไฟฟาที่ใชไฟฟากระแสสลับ และควบคุมระดับ
แรงดันไฟฟาใหอยูที่ระดับที่ตองการ
T128
นํา สอน สรุป ประเมิน
T129
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบก่อนเรียน 1. อ ธิบายรูปร่างและ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
คลื่นกล - หนังสือเรียน รายวิชา ชนิดของคลื่นกลได้ หาความรู้ - สังเกตการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ (K) (5Es เกีย่ วกับคลื่นกล - ทักษะการสังเกต - มุ่งมั่นใน
6 กายภาพ 2 (ฟิสิกส์)
ม.5
2. อธิบายลักษณะทีส่ ำ� คัญ
ของคลื่นกลได้ (K)
Instructional - สังเกตการปฏิบัติการ
Model) จากการท�ำกิจกรรม
- ทักษะการท�ำงาน
ร่วมกัน
การท�ำงาน
ชั่วโมง
- แบบฝึกหัด รายวิชา 3. ท�ำการทดลองเพื่อ - ตรวจแบบบันทึกกิจกรรม - ทักษะการน�ำความรู้
พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ศึกษาสมบัติของ - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง ไปใช้
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) คลื่นกลได้ (P) คลื่นกล - ทักษะการทดลอง
ม.5 4. มีความสนใจใฝ่รู้หรือ - ตรวจใบงาน เรื่อง
- ใบงาน อยากรู้อยากเห็น และ องค์ประกอบคลื่นกล
- PowerPoint ท�ำงานร่วมกับผู้อื่น - ตรวจแบบฝึกหัด
- QR Code อย่างสร้างสรรค์ (A) - สังเกตพฤติกรรม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น การท�ำงานรายบุคคล
Twig - สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียน รายวิชา 1. อธิบายการเกิดคลื่น แบบสืบเสาะ - สังเกตการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
เสียง พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เสียง ธรรมชาติของ หาความรู้ เกีย่ วกับสมบัตขิ องคลืน่ เสียง - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) เสียงได้ (K) (5Es - สังเกตการปฏิบัติการ - ทักษะการสังเกต - มุ่งมั่นใน
4 ม.5
- แบบฝึกหัด รายวิชา
2. สืบค้นข้อมูลและ
อภิปรายเกี่ยวกับ
Instructional จากการท�ำกิจกรรม
Model) - ตรวจแบบบันทึกกิจกรรม
- ทักษะการน�ำความรู้
ไปใช้
การท�ำงาน
ชั่วโมง
พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ มลพิษทางเสียงได้ - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง - ทักษะการทดลอง
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) (P) เสียง
ม.5 3. มีความสนใจใฝ่รู้หรือ - ตรวจใบงาน เรื่อง สมบัติ
- ใบงาน อยากรู้อยากเห็น และ ของคลื่นเสียง
- PowerPoint ท�ำงานร่วมกับผู้อื่น - ตรวจแบบฝึกหัด
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น อย่างสร้างสรรค์ (A) - สังเกตพฤติกรรม
Twig การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียน รายวิชา 1. บอกความหมาย แบบสืบเสาะ - สังเกตการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
เสียง 2 พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ แ ละอธิบายเกี่ยวกับ หาความรู้ เกี่ยวกับประโยชน์ของเสียง - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) ปรากฏการณ์ (5Es - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง - ทักษะการสังเกต - มุ่งมั่นใน
2 ม.5
- แบบฝึกหัด รายวิชา
ดอปเพลอร์ และการ
สั่นพ้องของเสียงได้
Instructional ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์
Model) - ตรวจแบบฝึกหัดจาก
- ทักษะการท�ำงาน
ร่วมกัน
การท�ำงาน
ชั่วโมง
พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ (K) Topic Question - ทักษะการน�ำความรู้
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) 2. สืบค้นข้อมูลการน�ำ - ตรวจแบบฝึกหัด ไปใช้
ม.5 ความรู้เกี่ยวกับเสียง - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการทดลอง
- ใบงาน ไปใช้ประโยชน์ในชีวติ การท�ำงานรายบุคคล
- PowerPoint ประจ�ำวันได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
- QR Code 3. มีความสนใจใฝ่รู้หรือ การท�ำงานกลุ่ม
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น อยากรู้อยากเห็น และ - สังเกตคุณลักษณะ
Twig ท�ำงานร่วมกับผู้อื่น อันพึงประสงค์
อย่างสร้างสรรค์ (A)
T130
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียน รายวิชา 1. บอกลักษณะส�ำคัญของ แบบสืบเสาะ - สังเกตการน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการวิเคราะห์ - มีวินัย
คลื่น พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หาความรู้ เกี่ยวกับแสง - ทักษะการสื่อสาร - ใฝ่เรียนรู้
แม่เหล็กไฟฟ้า กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) และอธิบายการเกิด (5Es - สังเกตการปฏิบัติการ - ทักษะการสังเกต - มุ่งมั่นใน
ม.5 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ Instructional จากการท�ำกิจกรรม - ทักษะการท�ำงาน การท�ำงาน
3 - แบบฝึกหัด รายวิชา (K) Model) - ตรวจแบบบันทึกกิจกรรม ร่วมกัน
พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ 2. เปรียบเทียบความ - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง แสง - ทักษะการน�ำความรู้
ชั่วโมง
กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) แตกต่างระหว่างแสงสี - ตรวจใบงาน เรื่อง ไปใช้
ม.5 ปฐมภูมิกับสารสี คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า - ทักษะการทดลอง
- PowerPoint ปฐมภูมิได้ (K) - ตรวจแบบฝึกหัด
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น 3. สืบค้นข้อมูลและ - สังเกตพฤติกรรม
Twig อธิบายเกี่ยวกับ การท�ำงานรายบุคคล
สเปกตรัม - สังเกตพฤติกรรม
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ การท�ำงานกลุ่ม
(P) - สังเกตคุณลักษณะ
4. มีความสนใจใฝ่รู้หรือ อันพึงประสงค์
อยากรู้อยากเห็น และ
ท�ำงานร่วมกับผู้อื่น
อย่างสร้างสรรค์ (A)
T131
Chapter Concept Overview
คลื่นกล
คลื่นกล เป็นคลื่นที่ต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่หรือถ่ำยโอนพลังงำน อัตรำเร็วของคลื่นกลขึ้นอยู่กับควำมยืดหยุ่นของตัวกลำงที่
คลื่นกลเคลื่อนที่ผ่ำน เมื่อพิจำรณำจำกลักษณะกำรสั่นของอนุภำคที่คลื่นกลเคลื่อนผ่ำน สำมำรถแบ่งคลื่นกลได้เป็น 2 ชนิด คือ คลื่นตำม
ยำว และคลื่นตำมขวำง มีสมบัติร่วมกัน 4 ประกำร ได้แก่
คลื่นแมเหล็กไฟฟา
Y E
คลื่นแมเหล็กไฟฟา ประกอบด้วยสนำมแม่เหล็กและสนำม
ไฟฟ้ำที่เปลี่ยนแปลงตำมเวลำ โดยสนำมทั้งสองมีทิศตั้งฉำกกัน E c c
B
และตั้งฉำกกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น จึงจัดเป็นคลื่นตำมขวำง O B
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำแผ่ออกไปจำกแหล่งก�ำเนิดโดยไม่ต้องอำศัย B E
ตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่และเคลื่อนที่ผ่ำนสุญญำกำศด้วยอัตรำเร็ว
เท่ำกับแสง คือ 3 × 108 เมตรต่อวินำที เมื่อวัตถุใดดูดกลืน Z
X
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำที่มำตกกระทบ อุณหภูมิของวัตถุนั้นจะสูงขึ้น E
แสดงว่ำ มีกำรถ่ำยโอนพลังงำนไปพร้อมกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ B
เช่นเดียวกับคลื่นกล ส่วนประกอบและทิศทำงกำรเคลื่อนที่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำมีควำมถี่ต่อเนื่องกันเป็นช่วงกว้ำง (104 - 1023 เฮิรตซ์) คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำทุกย่ำนควำมถี่ (หรือควำมยำวคลื่น)
รวมกัน เรียกว่ำ สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ ซึ่งประกอบด้วย คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ รังสีอินฟำเรด แสงขำว รังสีอัลตรำไวโอเลต รังสีเอกซ์
และรังสีแกมมำ เมื่อเรียงล�ำดับจำกควำมถี่ต�่ำไปสูงหรือเรียงล�ำดับจำกควำมยำวคลื่นยำวไปสั้น
แสง เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเพียงชนิดเดียวที่นัยน์ตำมนุษย์สำมำรถรับรู้ได้ แสงจำกแหล่งก�ำเนิดธรรมชำติที่ส�ำคัญมำก คือ แสงจำก
ดวงอำทิตย์ เป็นแสงใสไม่มีสี เรียกว่ำ แสงขำว แต่เมื่อหักเหผ่ำนปริซึมหรือละอองน�้ำในอำกำศแสงขำวจะแยกออกเป็นสีต่ำง ๆ เกิดเป็น
ปรำกฏกำรณ์ในธรรมชำติ เช่น รุ้ง กำรทรงกลดของดวงอำทิตย์ มิรำจ โดยปรำกฏกำรณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลมำจำกกำรหักเหของคลื่น เพรำะ
แสงเป็นทั้งคลื่นและอนุภำค
T132
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4
สัญญาณแอนะล็อก เวลา
ระดับสัญญาณ
สัญญาณดิจิทัล
เวลา
ลักษณะของสัญญาณข้อมูล
T133
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นเกี่ ย วกั บ สถานการณ
หนวยการเรียนรูที่ 4 Q
ในชีวติ ประจําวัน เมือ่ เราขวางกอนหินลงไปใน
แหลงนํ้า หลังจากที่กอนหินกระทบกับผิวนํ้า
นักเรียนสังเกตเห็นสิง่ ใดเกิดขึน้ สิง่ ทีเ่ กิดขึน้ คือ
คลื่น ÊÁºÑµÔ㴢ͧ¤Å×è¹
·Õè·íÒãËŒ¤Å×è¹µ‹Ò§¨Ò¡Çѵ¶Ø
Í‹ҧªÑ´à¨¹
อะไร มีความสําคัญอยางไร เหตุใดนํ้าบริเวณ
อื่นๆ ที่ไมโดนกอนหินโดยตรงจึงถูกรบกวน
ไปดวย ตัวชี้วัด
2. ครูทิ้งชวงเวลาใหนักเรียนคิด จากนั้นครูเปด ว 2.3 ม.5/3 ม.5/4 ม.5/5 ม.5/6
ม.5/7 ม.5/8 ม.5/9 ม.5/10
โอกาสให นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย า ง ม.5/11 ม.5/12
อิสระ
3. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ
4. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพื่อ
เป น การตรวจสอบความรู เ ดิ ม ของนั ก เรี ย น
เปนรายบุคคลกอนเขาสูกิจกรรม
5. ครูถามคําถามนําเขาสูบทเรียน โดยใชคําถาม
Big Question จากหนังสือเรียน กับนักเรียนวา
“สมบัติใดของคลื่นที่ทําใหคลื่นตางจากวัตถุ
อยางชัดเจน”
ุด
3. เสียงที่หูของมนุษย์ทนได้มีความเข้มสูงสุด 1 วัตต์ต่อตารางเมตร และระดับความดังสูงสุด
สม
พลังงานไปดวย แตตัวกลางที่คลื่นเคลื่อนที่ผานจะ
ใน
120 เดซิเบล
ลง
ไมไดเคลื่อนที่ตามคลื่นไป จะเคลื่อนที่กลับไปกลับ 4. แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน�้าเงิน เมื่อน�ามาผสมกันจะได้แสงขาว ทึ ก
บั น
มาอยูตําแหนงเดิม 5. แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงสุด
เกร็ดแนะครู
การจัดการเรียนการสอน หนวยการเรียนรูท ี่ 4 คลืน่ ครูอาจจะตองจัดเตรียม
สื่อการเรียนรูตางๆ ที่ใชในการศึกษาสมบัติของคลื่นและลักษณะการเคลื่อนที่
ของคลื่น เชน ขดสปริง ชุดอุปกรณถาดคลื่น เสนเชือก มาใชในการสอน
เพือ่ เปนการอธิบายประกอบกับเนือ้ หาในหนังสือเรียนใหนกั เรียนเกิดความเขาใจ
และมีความสนใจที่จะศึกษา เรื่อง คลื่น มากขึ้น
T134
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. คลื่นกล Prior Knowledge 6. ครูใหนักเรียนตั้งคําถามเกี่ยวกับสิ่งที่ตองการ
คลื่นเป็นสภาพรบกวนที่แผ่ออกไปจากแหล่งก�าเนิดใน คล×¹è กลมÕลกÑ É³Ð เรียนรูเกี่ยวกับ เรื่อง คลื่น แลวบันทึกเปน
แนวเส้นตรงในทิศใด ๆ หรือโดยรอบแหล่งก�าเนิด ซึง่ การแผ่ออก ੾ำÐอย‹ำ§äร ขอบเขตและเปาหมายที่ตองการเรียนรูลงใน
ẋ§àปš¹กÕªè ¹ิ´ สมุดเพื่อนํามาสงครู
ไปของสภาพรบกวนนั้นจะมีการถ่ายโอนหรือขนส่งพลังงานไป อÐäรº้ำ§
ด้วย ถ้าแบ่งคลืน่ ตามตัวกลางทีใ่ ช้ในการถ่ายโอนพลังงานจะแบ่ง 7. ครูถามคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
ได้เป็นคลื่นกลและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เรียน เพือ่ เปนการตรวจสอบความรูเ ดิมเกีย่ วกับ
คลื่นกล (mechanical wave) เป็นคลื่นที่ต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่หรือถ่ายโอน เรื่อง คลื่น ของนักเรียนวา “คลื่นกลมีลักษณะ
พลังงาน อัตราเร็วของคลื่นกลขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นของตัวกลางที่คลื่นเคลื่อนผ่าน ตัวอย่างของ เฉพาะอยางไร แบงเปนกี่ชนิด อะไรบาง”
คลื่นกล เช่น คลื่นในเส้นเชือก คลื่นในสปริง คลื่นน�้า คลื่นเสียง เป็นต้น ความเปลี่ยนแปลงที่ 8. ครูแจงใหนกั เรียนทราบวาจะไดศกึ ษาเกีย่ วกับ
เกิดขึน้ กับตัวกลางหรือบริเวณในตัวกลางทีค่ ลืน่ กลเคลือ่ นผ่านจะเกิดขึน้ เฉพาะบริเวณทีค่ ลืน่ ก�าลัง คลื่นกล
เคลื่อนผ่านเท่านั้น หลังจากคลื่นเคลื่อนผ่านบริเวณนั้นไปแล้ว ตัวกลางจะเปลี่ยนกลับสู่สภาพเดิม
เมื่อพิจารณาจากลักษณะการสั่นของอนุภาคตัวกลางขณะคลื่นกลเคลื่อนผ่าน สามารถแบ่ง ขัน้ สอน
คลื่นกลออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ สํารวจคนหา
คลื่นตามยาว (longitudinal wave) คลื่นตามขวาง (transverse wave) 1. ครูใหนกั เรียนศึกษา เรือ่ ง คลืน่ กล จากหนังสือ
เป็นคลื่นที่อนุภาคของตัวกลางเคลื่อนที่ตามหรือ เป็นคลื่นที่อนุภาคของตัวกลางเคลื่อนที่ขวางหรือ เรียน
ขนานกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น อาจกล่าวได้ว่า ตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น เช่น คลื่นผิวน�้า 2. ครูสุมตัวแทนนักเรียนใหยืนขึ้น เพื่ออธิบาย
อนุภาคของตัวกลางจะสั่นในแนวเดียวกับแนวการ คลื่นในเส้นเชือก คลื่นที่เกิดจากการสะบัดปลายขด ความหมายของคลืน่ กล จากนัน้ ครูสมุ นักเรียน
เคลือ่ นทีห่ รือแนวการถ่ายโอนพลังงานของคลืน่ เช่น ลวดสปริง เมื่อสะบัดปลายขดลวดสปริง ขดลวดหรือ
คลื่นเสียง คลื่นตามยาวบนขดลวดสปริงที่เกิดจาก อนุภาคของตัวกลางจะเคลือ่ นทีก่ ลับไปกลับมาในแนว เพิ่มอีก 2 คน เพื่ออธิบายความหมายของคลื่น
การดึงหรืออัดสปริง โดยเมื่อขยับปลายของขดลวด ตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่นบนขดลวดสปริง ตามยาวและคลื่นตามขวาง
สปริงเข้าและออก ท�าให้ขดลวดหรืออนุภาคของ
ตัวกลางเคลื่อนที่กลับไปกลับมาในแนวขนานกับทิศ ทิศการเคลื่อนที่ ทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น
การเคลื่อนที่ของคลื่นบนขดลวดสปริง ของอนุภาค
ทิศการเคลื่อนที่ของอนุภาค ส่วนอัด
(ก) คลื่นในเส้นเชือก
T135
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3. ครูใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนที่นั่งขางๆ แลว 1.1 ส‹วนประกอบของคลื่น
ร ว มกั น ค น คว า ข อ มู ล เพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ คลื่ น เมื่อท�าการสะบัดเส้นเชือกขึ้นและลง จะท�าให้เกิดคลื่นตามขวางบนเส้นเชือก โดยคลื่นบน
ตามยาวและคลื่นตามขวาง จากนั้นรวมกัน เส้นเชือกจะสามารถอธิบายส่วนประกอบหรือปริมาณที่เกิดขึ้นจากการสะบัดเส้นเชือกได้ ดังนี้
สรุปแลวเขียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว
สั นคลื่น หรื อ ยอดคลื่ น (crest) เป็น ความยาวคลื่น (wavelength; λ) เป็นความยาว
4. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง สวนประกอบของ ต� า แหน่ ง ที่ มี ก ารกระจั ด สู ง สุ ด เหนื อ ของคลื่น 1 ลูกคลื่น ซึ่งมีค่าเท่ากับระยะห่างจาก
คลื่น และอัตราเร็วของคลื่น จากหนังสือเรียน แนวสมดุล สันคลื่นหนึ่งถึงสันคลื่นที่อยู่ติดกัน หรือระยะห่าง
จากท้องคลื่นหนึ่งถึงท้องคลื่นที่อยู่ติดกัน
โดยครูกําหนดใหนักเรียนเขียนสรุปเกี่ยวกับ λ
เนือ้ หาทีก่ าํ ลังศึกษาลงในสมุดบันทึกประจําตัว
A
แนวสมดุล เป็นแนว
ทีก่ ารกระจัดเป็นศูนย์
122
T136
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1.2 อัตราเร็วของคลื่น 5. ครูใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
เมื่อพิจารณาการเคลื่อนที่ของคลื่น จะสังเกตได้ว่า เมื่ออนุภาคของเชือกเคลื่อนที่กลับไป สวนประกอบของคลื่น และอัตราเร็วของคลื่น
กลับมาครบ 1 รอบ ระยะทางที่คลื่นสามารถเคลื่อนที่ไปได้จะมีค่าเป็น 1 เท่าของความยาวคลื่น จากแหลงขอมูลสารสนเทศ เชน อินเทอรเน็ต
และใช้เวลา 1 เท่าของคาบ ซึง่ สามารถค�านวณอัตราเร็วของคลืน่ (v) ได้จากระยะทางทีค่ ลืน่ เคลือ่ นที่ 6. ครูแจกใบงาน เรื่อง องคประกอบของคลื่นกล
ได้ (Δx) ต่อเวลาที่ใช้ในการเคลื่อนที่จากเริ่มต้นจนถึงระยะทางนั้น (Δt) ดังสมการ ใหนักเรียนนํากลับไปศึกษาเปนการบาน
7. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง สมบัติของคลื่น ใน
v = ΔΔxt
หัวขอการสะทอนจากหนังสือเรียน
อัตราเร็วของคลื่นยังสามารถค�านวณได้จากค่าความยาวคลื่น (λ) และคาบ (T) หรือความถี่ 8. ครูแนะนําใหนกั เรียนสืบคนขอมูลเกีย่ วกับการ
( f ) ของคลื่น โดยที่คลื่นใช้เวลาเท่ากับ 1 คาบของคลื่น ในการเคลื่อนที่ไปเป็นระยะทางเท่ากับ 1 สะทอนของคลื่น จากแหลงขอมูลสารสนเทศ
ความยาวคลื่น อัตราเร็วของคลื่นสามารถค�านวณได้จากสมการ เชน อินเทอรเน็ต เพื่อใหไดรับขอมูลที่หลาก
หลาย และสรางความเขาใจใหตนเองมากขึ้น
v คือ อัตราเร็วของคลื่น มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที (m/s)
v = fλ f คือ ความถี่ มีหน่วยเป็น เฮิรตซ์ (Hz)
λ คือ ความยาวคลื่น มีหน่วยเป็น เมตร (m)
1.3 สมบัติของคลื่น
คลื่นตามยาวและคลื่นตามขวางมีสมบัติร่วมกัน 4 ประการ คือ การสะท้อน การหักเห
การเลี้ยวเบน และการแทรกสอด
1 แต่คลื่นตามขวางมีสมบัติอีกประการหนึ่งที่ไม่มีในคลื่นตามยาว
คือ การโพลาไรส์ โดยการโพลาไรส์ของคลื่นตามขวางไม่สามารถน�าไปใช้ประโยชน์ได้ จึงไม่กล่าว
ถึงในที่นี้ คุณสมบัติการเลี้ยวเบนและการแทรกสอดยังมีความส�าคัญต่อการระบุว่าสิ่งใดเป็นคลื่น
หรือเป็นวัตถุ เนื่องจากคุณสมบัติเหล่านี้เกิดได้กับคลื่นเท่านั้น ไม่เกิดขึ้นกับวัตถุ
1. การสะท้อน (reflection) เมื่อคลื่นเคลื่อนที่ไปกระทบสิ่งกีดขวางแล้วไม่อาจเคลื่อนที่
ต่อไปในทิศทางเดิมได้ เช่น คลื่นน�้าเมื่อกระทบขอบสระ คลื่นจะเคลื่อนที่กลับสู่ตัวกลางเดิม
เรียกว่า เกิดการสะท้อน
เงื่อนไขการเกิดการสะท้อนของคลื่น
หากสิ่งกีดขวางมีขนาดใกล้เคียง หากไม่มีการสูญเสียพลังงาน
สิ่งกีดขวางมีขนาดใหญ่เมื่อ กับความยาวคลื่น คลื่นจะเกิดการ แอมพลิจูดของคลื่นสะท้อนจะเท่า
เทียบกับความยาวคลื่น กระเจิงและเกิดการสะท้อน กับแอมพลิจูดของคลื่นตกกระทบ
คลื่น 123
T137
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
9. ครูแบงนักเรียนออกเปนกลุม กลุม ละประมาณ เมื่อคลื่นตกกระทบสิ่งกีดขวางที่เป็นพื้นผิวราบ รังสีตกกระทบท�ามุม θi กับเส้นแนวฉาก
6 คน โดยคละความสามารถของนักเรียนตาม คลื่นจะสะท้อนกลับโดยรังสีสะท้อนท�ามุม θr กับเส้นแนวฉาก ดังภาพที่ 4.4
ผลสัมฤทธิ์ (เกง ปานกลาง ออน) ใหอยูใน ทิศการเคลื่อนที่ เส้นแนวฉาก ทิศการเคลื่อนที่
กลุ ม เดี ย วกั น เพื่ อ ร ว มกั น ศึ ก ษากิ จ กรรม ของคลื่นตกกระทบ ของคลื่นสะท้อน
การสะทอนของคลื่นผิวนํ้าจากหนังสือเรียน
โดยใหนักเรียนแตละกลุมกําหนดใหสมาชิก
หน้าคลื่นตกกระทบ θi θr หน้าคลื่นสะท้อน
แตละคนมีบทบาทหนาที่ของตนเอง θi θr
10. ครูชี้แจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกตอง ภาพที่ 4.4 การสะท้อนของคลื่นที่พื้นผิวราบ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
11. ครูใหความรูเ พิม่ เติมหรือเทคนิคเกีย่ วกับการ
มุมระหว่างทิศการเคลือ่ นทีข่ องคลืน่ ตกกระทบ (รังสีตกกระทบ) กับเส้นแนวฉาก เรียกว่า
ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม
มุมตกกระทบ (angle of incidence; θi) และมุมระหว่างทิศการเคลือ่ นทีข่ องคลืน่ สะท้อน (รังสีสะท้อน)
ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน
กับเส้นแนวฉาก เรียกว่า มุมสะท้อน (angle of reflection; θr) ซึง่ ทิศการเคลือ่ นทีข่ องคลืน่ จะตัง้ ฉาก
12. นักเรียนแตละกลุม รวมกันพูดคุยวิเคราะหผล กับแนวของหน้าคลื่น โดยผลการศึกษาทั้งทางทฤษฎีและจากการทดลองพบว่า มุมตกกระทบจะ
การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน เท่ากับมุมสะท้อน ซึ่งเรียกว่า กฎการสะท้อนของคลื่น
13. ครูเนนยํา้ ใหนกั เรียนตอบคําถามทายกิจกรรม เมื่อพิจารณาลักษณะการสะท้อนของคลื่นในเส้นเชือก สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
จากหนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว ดังนี้
เพื่อนําสงครูเปนการตรวจสอบความเขาใจ ทิศของคลื่นตกกระทบ ทิศของคลื่นตกกระทบ
จากการปฏิบัติกิจกรรม
14. ในระหว า งที่ นั ก เรี ย นปฏิ บั ติ กิ จ กรรม ครู
เดินสังเกตการณและคอยใหคําปรึกษาเมื่อ
นักเรียนเกิดปญหา หรือมีขอสงสัยเกี่ยวกับ
กิจกรรม
ทิศของคลื่นสะท้อน
ทิศของคลื่นสะท้อน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
¡Ô¨¡ÃÃÁ การสะท้อนของคลื่น¼ิวนíéา 1. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นเกี่ ย วกั บ การปฏิ บั ติ
กิจกรรม
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
• การสังเกต จØ´ปรÐʧค 2. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาหนาชัน้ เรียน
• การลงความเห็นจากข้อมูล เพื่อศึกษาการสะท้อนของคลื่นผิวน�้าเมื่อตกกระทบผิวสะท้อนตรงและ เพื่อนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม
จิตวิทยาศาสตร์ ผิวสะท้อนโค้ง 3. ครูสุมนักเรียนเพื่อถามคําถามที่เกี่ยวของกับ
• ความสนใจใฝรู้
• ความมีเหตุผล ÇÑÊ´ØอØปกร³ กิจกรรม เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจหลังปฏิบตั ิ
1. ถาดคลื่น 4. ไม้บรรทัด กิจกรรม
2. แผ่นกั้นคลื่นผิวราบ (แผ่นยาว) 5. ดินสอ
3. ฉากรับภาพ (กระดาษขาว) 6. แผ่นกั้นคลื่นผิวโค้ง 4. ครูและนักเรียนทุกคนรวมกันอภิปรายผลทาย
กิจกรรมและสรุปความรูรวมกัน
ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ
1. วางแผ่นกัน้ คลืน่ ผิวราบลงบริเวณกลางถาดคลืน่ โดยวางแผ่นกัน้ คลืน่ แผ่นกั้นคลื่นผิวราบ ดินสอ
ให้อยู่ในแนวขนานกับคานก�าเนิดคลื่น ถาดคลื่น
2. ท�าให้เกิดคลืน่ ดลโดยใช้ดนิ สอแตะผิวน�า้ เป็นจังหวะติดต่อกัน 6-7 ลูก
ดังภาพที่ 4.6 (ก) สังเกตลักษณะของหน้าคลืน่ สะท้อน พร้อมบันทึกผล
3. ปฏิบัติซ�้าข้อ 2. แต่เปลี่ยนเป็นใช้สันไม้บรรทัดแตะผิวน�้าเป็นจังหวะ
เพือ่ ให้เกิดคลืน่ ดล ติดต่อกัน 6-7 ลูก ดังภาพที่ 4.6 (ข) สังเกตลักษณะ (ก)
ของหน้าคลื่นสะท้อน พร้อมบันทึกผล ไม้บรรทัด
4. ยกแผ่นกัน้ คลืน่ ผิวราบออกจากถาดคลืน่ วางแผ่นกัน้ คลืน่ ผิวโค้งลงไป
แทน โดยหันด้านโค้งนูนรับคลืน่ ตกระทบก่อน ปฏิบตั ซิ า�้ ข้อ 2. และ 3.
แล้วบันทึกผลเป็นลักษณะของหน้าคลืน่ สะท้อนของหน้าคลืน่ วงกลม
และหน้าคลื่นตรงเมื่อตกกระทบกับผิวสะท้อนโค้งนูน ตามล�าดับ
(ข)
5. เปลี่ยนเป็นหันด้านโค้งเว้าของแผ่นกั้นคลื่นผิวโค้งรับคลื่นตกกระทบ ภาพที่ 4.6 ภาพประกอบกิ จกรรมการ
แล้วปฏิบัติซ�้า สังเกตผลที่เกิดขึ้นพร้อมบันทึกผล สะท้อนของคลื่นผิวนํ้า
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม ที่มา : คลังภาพ อจท.
1. การสะท้อนของคลื่นผิวน�้าเป็นการสะท้อนลักษณะปลายตรึงหรือปลายอิสระ เพราะเหตุใด
2. คลื่นตกกระทบหน้าคลื่นตรงเมื่อตกกระทบผิวสะท้อนตรง จะได้คลื่นสะท้อนที่มีหน้าคลื่นลักษณะอย่างไร
3. แหล่งก�าเนิดหน้าคลื่นวงกลมที่จุดโฟกัสของผิวสะท้อนโค้งเว้าให้คลื่นสะท้อนหน้าคลื่นตรงหรือหน้าคลื่น แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
วงกลม
1. เปนลักษณะปลายอิสระ เพราะเฟสหรือทิศของ
อภิปรำยผลท้ำยกิจกรรม การกระจัดไมเปลี่ยนแปลง ซึ่งคลื่นสะทอนมีทิศ
จากกิจกรรมจะพบว่า ลักษณะของหน้าคลืน่ สะท้อนจะขึน้ อยูก่ บั ลักษณะของหน้าคลืน่ ตกกระทบและลักษณะ ของการกระจัดเหมือนกับคลื่นตกกระทบ
ของผิวสะท้อนคลืน่ โดยการสะท้อนของคลืน่ จากผิวสะท้อนตรง ผิวสะท้อนโค้งนูน และผิวสะท้อนโค้งเว้า จะเป็น
พื้นฐานส�าคัญในการศึกษาสมบัติการสะท้อนแสงของกระจกเงาราบ กระจกนูน และกระจกเว้า ซึ่งคลื่นสะท้อน 2. จะได ค ลื่ น สะท อ นที่ มี ห น า คลื่ น เป น เส น ตรง
จะเป็นไปตามกฎการสะท้อนของคลื่น เหมือนกับคลื่นตกกระทบแตมีทิศตรงขามกับ
คลื่นตกกระทบ
คลื่น 125
3. ใหคลื่นสะทอนหนาคลื่นตรงไปรวมกันที่จุดๆ
หนึ่งบนผิวสะทอน
บันทึก กิจกรรม
คลื่นตกกระทบและแผนกั้น ลักษณะของคลื่นสะทอน
คลื่นวงกลมตกกระทบแผนกั้นคลื่นผิวราบ เปนคลื่นวงกลมเหมือนกับคลื่นตกกระทบ แตมีทิศตรงขามกับคลื่น
ตกกระทบ
คลื่นเสนตรงตกกระทบแผนกั้นคลื่นผิวราบ เปนคลืน่ เสนตรงเหมือนกับคลืน่ ตกกระทบ แตมที ศิ ตรงขามกับคลืน่
ตกกระทบ
คลื่นวงกลมตกกระทบแผนกั้นคลื่นผิวโคงดานโคงนูน เปนคลื่นวงกลมเหมือนกับคลื่นตกกระทบ แตมีทิศตรงขามกับคลื่น
ตกกระทบ
คลื่นเสนตรงตกกระทบแผนกั้นคลื่นผิวโคงดานโคงนูน เปนคลืน่ เสนตรงเหมือนกับคลืน่ ตกกระทบ แตมที ศิ ตรงขามกับคลืน่
ตกกระทบ
คลื่นวงกลมตกกระทบแผนกั้นคลื่นผิวโคงดานโคงเวา เปนคลื่นวงกลมเหมือนกับคลื่นตกกระทบ แตมีทิศตรงขามกับคลื่น
ตกกระทบ
คลื่นเสนตรงตกกระทบแผนกั้นคลื่นผิวโคงดานโคงเวา เปนคลื่นเสนตรงเหมือนคลื่นตกระทบ รวมกันที่จุดๆ หนึ่งบนผิว
สะทอน
T139
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง สมบัติของคลื่น ใน 2. การหักเห (refraction)1 การหักเหของคลืน่ เกิดขึน้ เมือ่ คลืน่ เคลือ่ นทีผ่ า นรอยตอระหวาง
หัวขอการหักเหจากหนังสือเรียน ตัวกลาง 2 ชนิด ทีม่ คี วามหนาแนนตางกัน ทิศการเคลือ่ นทีข่ องคลืน่ จะมีการเปลีย่ นแปลง เนือ่ งจาก
2. ครูแนะนําใหนักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับ กฎ อัตราเร็วของคลื่นเปลี่ยนไปจากเดิม เชน คลื่นนํ้าเมื่อเคลื่อนที่ผานบริเวณที่มีความลึกไมเทากัน
ของสเนลล (Snell’s law) จากแหลงขอมูล คลื่นเสียงในอากาศที่เคลื่อนที่ผานบริเวณที่มีอุณหภูมิตางกัน เปนตน
สารสนเทศ เชน อินเทอรเน็ต เพื่อใหไดรับ พิจารณาการหักเหของคลื่นที่เคลื่อนที่ผานรอยตอระหวางสองตัวกลาง ถาคลื่นเคลื่อนที่
ขอมูลที่หลากหลาย และสรางความเขาใจให ผานตัวกลางที่ 1 ตกกระทบรอยตอระหวางตัวกลางโดยทิศการเคลื่อนที่ของคลื่นตกกระทบทํามุม
ตนเองไดมากขึ้น θ1 กับเสนแนวฉาก แลวเคลื่อนที่ตอไปในตัวกลางที่ 2 โดยทิศการเคลื่อนที่ของคลื่นหักเหทํามุม
θ2 กับเสนแนวฉาก ดังภาพที่ 4.7
3. ครู ถ ามคํ า ถามท า ทายการคิ ด ขั้ น สู ง จาก
หนังสือเรียนกับนักเรียนวา “เพราะเหตุใดเมื่อ ทิศการเคลื่อนที่ เสนแนวฉาก
เรามองคลื่นในทะเลที่ระยะไกลๆ เราจะเห็น ของคลื่นตกกระทบ v1
λ1 ตัวกลางที่ 1
คลื่นใหญกวาคลื่นที่เคลื่อนที่เขาใกลฝง” θ1
4. ครูใหนกั เรียนกลับเขากลุม ของตนเองทีค่ รูเคย เสนรอยตอ
คําถามทาทายการคิดขัน
้ สูง
แบงไวแลว เพื่อศึกษากิจกรรมการหักเหของ ทิศการเคลื่อนที่
λ2 θ2 ของคลื่นหักเห เพราะเหตุใดเมือ่ เรามอง
คลื่นผิวนํ้าจากหนังสือเรียน โดยแตละกลุม ตัวกลางที่ 2 คลื่ น ในทะเลที่ ร ะยะไกล ๆ
อาจมีการปรับเปลี่ยนหนาที่ของสมาชิกแตละ v2
เราจะเห็นคลืน่ ใหญกวาคลืน่
คน เพื่อใหสามารถปฏิบัติกิจกรรมไดอยางมี ภาพที่ 4.7 การหักเหของคลื่น ที่เคลื่อนที่เขาใกลฝง
ประสิทธิภาพมากยิง่ ขึน้ โดยขึน้ อยูก บั ดุลยพินจิ ที่มา : คลังภาพ อจท.
ของสมาชิกภายในกลุม ถาความยาวคลืน่ และอัตราเร็วของคลืน่ ตกกระทบมีคา เปน λ1 และ v1 ขณะทีค่ วามยาวคลืน่
5. ครูชี้แจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน และอัตราเร็วของคลื่นหักเหมีคาเปน λ2 และ v2 ผลจากการศึกษาพบวา ความสัมพันธระหวางมุม
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกตอง ตกกระทบ มุมหักเห และความยาวคลื่นในตัวกลางทั้งสองเปนตามสมการ
6. ครูใหความรูเพิ่มเติมหรือเทคนิคเกี่ยวกับการ
ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม θ1 คือ มุมตกกระทบ มีหนวยเปน องศา
ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน θ2 คือ มุมหักเห มีหนวยเปน องศา
sin θ1 = = vv12
λ1 λ1 คือ ความยาวคลื่นในตัวกลางที่ 1 มีหนวยเปน เมตร (m)
sin θ 2 λ2 λ2 คือ ความยาวคลื่นในตัวกลางที่ 2 มีหนวยเปน เมตร (m)
แนวตอบ H.O.T.S. v1 คือ อัตราเร็วคลื่นในตัวกลางที่ 1 มีหนวยเปน เมตรตอวินาที (m/s)
v2 คือ อัตราเร็วคลื่นในตัวกลางที่ 2 มีหนวยเปน เมตรตอวินาที (m/s)
คลื่นที่อยูในทะเลจะอยูใกลแหลงกําเนิดคลื่น
และไดรับการถายโอนพลังงานมากกวาคลื่นที่อยู สามารถสรุปไดวา อัตราสวนระหวางคาไซนของมุมตกกระทบและคาไซนของมุมหักเห
ใกลฝง เมื่อคลื่นในทะเลเคลื่อนที่เขาใกลฝง แรง มีคาคงตัว ซึ่งเรียกวา กฎการหักเหของคลื่น หรือกฎของสเนลล (snell’s law)
เสียดทานระหวางพื้นใตทะเลกับคลื่นนํ้าจะมากขึ้น
126
สงผลใหคลื่นมีการสูญเสียพลังงาน เราจึงมองเห็น
คลื่นที่เขาใกลฝงเล็กกวาคลื่นที่อยูไกลออกไป
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
¡Ô¨¡ÃÃÁ ¡ÒÃËÑ¡àˢͧ¤Å×è¹¼ÔǹíéÒ 7. นักเรียนแตละกลุมรวมกันพูดคุยวิเคราะหผล
การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
• การสังเกต ¨Ø´»ÃÐʧ¤ 8. ครูเนนยํ้าใหนักเรียนตอบคําถามทายกิจกรรม
• การลงความเห็นจากขอมูล เพื่อศึกษาการหักเหของคลื่นผิวนํ้า จากหนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว
จิตวิทยาศาสตร
• ความสนใจใฝรู ÇÑÊ´ØÍØ»¡Ã³ เพื่อนําสงครูเปนการตรวจสอบความเขาใจ
• ความมีเหตุผล
1. ชุดถาดคลื่น 3. แผนกระจกใสรูปสี่เหลี่ยม จากการปฏิบัติกิจกรรม
2. ฉากรับภาพ (กระดาษขาว) 9. ในระหวางที่นักเรียนปฏิบัติกิจกรรม ครูเดิน
ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ สังเกตการณและคอยใหคาํ ปรึกษาเมือ่ นักเรียน
1. จัดชุดถาดคลืน่ และวางแผนกระจกใสรูปสีเ่ หลีย่ มลงในถาดคลืน่ เกิดปญหา หรือมีขอสงสัยเกี่ยวกับกิจกรรม
ใหผวิ บนของแผนกระจกใสอยูใ ตผวิ นํา้ ประมาณ 1- 2 มิลลิเมตร
อธิบายความรู
เพือ่ ใหบริเวณเหนือกระจกใสเปนบริเวณนํา้ ตืน้ โดยใหขอบแผน
ขนานกับคานกําเนิดคลื่นหนาตรง ดังภาพที่ 4.8 1. ครูสนทนารวมกับนักเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติ
2. ทําใหเกิดคลื่นหนาตรงตอเนื่อง เคลื่อนที่จากบริเวณนํ้าลึกไป กิจกรรม
ยังบริเวณนํา้ ตืน้ เหนือแผนกระจกใส สังเกตและบันทึกแนวหนา 2. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาหนาชัน้ เรียน
คลื่นและทิศการเคลื่อนที่บริเวณนํ้าลึกและนํ้าตื้น
เพื่อนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม
3. ปฏิบัติซํ้าขอ 2. โดยวางแผนกระจกใสใหขอบของแผนทํามุม
ตาง ๆ กับหนาคลืน่ สังเกตและบันทึกแนวหนาคลืน่ และทิศการ ภาพที่ 4.8 ชุดถาดคลืน่ กิจกรรมการหักเห 3. ครูสุมนักเรียนเพื่อถามคําถามที่เกี่ยวของกับ
เคลื่อนที่บริเวณนํ้าลึกและนํ้าตื้น ของคลื่นผิวนํ้า กิจกรรม เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจหลังปฏิบตั ิ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
กิจกรรม
¤íÒ¶ÒÁ·ŒÒ¡Ԩ¡ÃÃÁ
4. ครูและนักเรียนทุกคนรวมกันอภิปรายผลทาย
1. เมือ่ คลืน่ ผิวนํา้ เคลือ่ นทีผ่ า นรอยตอระหวางบริเวณนํา้ ลึกและบริเวณนํา้ ตืน้ ถาหนาคลืน่ ตกกระทบขนานกับ
รอยตอ ทิศการเคลื่อนที่ของคลื่นและความยาวคลื่นเปลี่ยนแปลงอยางไร กิจกรรมและสรุปความรูรวมกัน
2. เมื่อคลื่นผิวนํ้าเคลื่อนที่ผานรอยตอระหวางบริเวณนํ้าลึกและบริเวณนํ้าตื้น ถาดานหนาคลื่นตกกระทบทํา
มุมกับรอยตอ ทิศการเคลื่อนที่ของคลื่นและความยาวคลื่นเปลี่ยนแปลงอยางไร
3. เมือ่ คลืน่ ผิวนํา้ เคลือ่ นทีจ่ ากบริเวณนํา้ ลึกเขาสูบ ริเวณนํา้ ตืน้ อัตราเร็วของคลืน่ เปลีย่ นแปลงหรือไม อยางไร
ÍÀÔ»ÃÒ¼ŷŒÒ¡Ԩ¡ÃÃÁ
เมื่อคลื่นผิวนํ้าเคลื่อนที่จากบริเวณนํ้าลึกเขาสูบริเวณนํ้าตื้น อัตราเร็วคลื่นและความยาวคลื่นจะลดลง โดย
การลดลงของอัตราเร็วสังเกตไดจากการทีส่ ว นของหนาคลืน่ ในนํา้ ลึกลํา้ หนาสวนของหนาคลืน่ เดียวกันในนํา้ ตืน้ แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
สวนการลดลงของความยาวคลื่น สังเกตไดจากการที่หนาคลื่นในนํ้าตื้นอยูชิดกันมากกวาหนาคลื่นในนํ้าลึก
ถาหนาคลืน่ ตกกระทบมีแนวขนานกับรอยตอระหวางบริเวณนํา้ ลึกและบริเวณนํา้ ตืน้ แมวา ทิศการเคลือ่ นทีข่ อง 1. ทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นหักเหไมเปลี่ยน-
คลืน่ ไมเปลีย่ นแปลงแตถอื วาเกิดการหักเหแลว เนือ่ งจากอัตราเร็วคลืน่ เปลีย่ นไป แตถา หนาคลืน่ ตกกระทบทํา แปลงไปจากเดิม แตความยาวคลื่นจะลดลง
มุมใด ๆ กับรอยตอระหวางบริเวณนํ้าลึกและบริเวณนํ้าตื้นทิศการเคลื่อนที่จะเปลี่ยนไป 2. ทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นหักเหจะเบนไป
จากแนวเดิม ความยาวคลืน่ จะลดลง และจะเกิด
¤Å×è¹ 127
การสะทอน
3. เปลี่ยนแปลง โดยอัตราเร็วของคลื่นจะลดลง
T141
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง สมบัติของคลื่น ใน 3. การเลีย้ วเบน (diffraction) เมือ่ คลืน่ เคลือ่ นผ่านมุมหรือขอบของสิง่ กีดขวาง ส่วนของ
หัวขอการเลี้ยวเบนจากหนังสือเรียน คลืน่ บริเวณใกล้มมุ ของสิง่ กีดขวาง จะเบนทิศการเคลือ่ นทีอ่ อ้ มผ่านมุมของสิง่ กีดขวางไปปรากฏอยู่
2. ครูใหนกั เรียนกลับเขากลุม ของตนเองทีค่ รูเคย ด้านหลังของสิ่งกีดขวางได้ เรียกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่า การเลี้ยวเบนของคลื่น ดังภาพที่ 4.9
แบงไวแลว เพื่อศึกษากิจกรรมการเลี้ยวเบน
ของคลื่นผิวนํ้าจากหนังสือเรียน โดยแตละ
กลุมอาจมีการปรับเปลี่ยนหนาที่ของสมาชิก
แตละคน เพื่อใหสามารถปฏิบัติกิจกรรมได
อยางมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยขึ้นอยูกับ สิ่งกีดขวาง
ดุลยพินิจของสมาชิกภายในกลุม
3. ครูชี้แจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกตอง (ก) (ข)
4. ครูใหความรูเพิ่มเติมหรือเทคนิคเกี่ยวกับการ ภาพที่ 4.9 การเลี้ยวเบนของคลื่นผานสิ่งกีดขวาง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม
ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน การเลีย้ วเบนผ่านช่องแคบของคลืน่ หน้าคลืน่ จะมากหรือน้อยขึน้ อยูก่ บั ขนาดความกว้าง
5. นักเรียนแตละกลุมรวมกันพูดคุยวิเคราะหผล ของช่องแคบเมื่อเทียบกับความยาวคลื่น
การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน • ขนาดของช่องแคบกว้างน้อยหรือกว้างเท่า ๆ กับความยาวคลื่น การเลี้ยวเบนจะมาก
โดยช่องแคบจะเป็นเสมือนจุดก�าเนิดคลืน่ ซึง่ แผ่คลืน่ รูปวงกลมออกไป แต่คลืน่ ตกกระทบจะมีหน้า
คลื่นเป็นเส้นตรง ดังภาพที่ 4.10 (ข)
• ขนาดของช่องแคบกว้างกว่าความยาวคลื่นมาก การเลี้ยวเบนจะน้อย โดยคลื่นตก
กระทบที่มีหน้าคลื่นเป็นเส้นตรงจะเลี้ยวเบนผ่านช่องแคบไป โดยมีหน้าคลื่นเป็นเส้นตรงในช่วง
กว้างเท่ากับความกว้างของช่องแคบ และจะเกิดแนวการรวมกันแบบเสริมและแบบหักล้างคงตัว
ดังภาพที่ 4.10 (ค)
T142
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
¡Ô¨¡ÃÃÁ การเลีéยวเบนของคลื่น¼ิวนíéา 6. ครูเนนยํ้าใหนักเรียนตอบคําถามทายกิจกรรม
จากหนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
• การสังเกต จØ´ปรÐʧค เพือ่ นําสงครูเปนการตรวจสอบความเขาใจจาก
• การลงความเห็นจากข้อมูล เพื่อศึกษาการเลี้ยวเบนของคลื่นผิวน�้า การปฏิบัติกิจกรรม
จิตวิทยาศาสตร์
• ความสนใจใฝรู้ ÇÑÊ´ØอØปกร³ 7. ในระหวางที่นักเรียนปฏิบัติกิจกรรม ครูเดิน
• ความมีเหตุผล
1. ชุดถาดคลื่น สังเกตการณและคอยใหคาํ ปรึกษาเมือ่ นักเรียน
2. แผ่นกั้นคลื่นผิวราบ (แผ่นยาว) 2 แผ่น เกิดปญหา หรือมีขอสงสัยเกี่ยวกับกิจกรรม
ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ อธิบายความรู
1. จัดชุดถาดคลื่น และวางแผ่นกั้นคลื่นบริเวณกลางถาดคลื่น โดยใช้ โคมไฟ
แผ่นกั้นคลื่นสองแผ่นท�าช่องเปิดในแนวขนานกับคานก�าเนิดคลื่น 1. ครูสนทนารวมกับนักเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติ
คานก�าเนิดคลื่น
ให้ช่องเปิดมีความกว้างมากกว่าความยาวคลื่นมาก ดังภาพที่ 4.11 กิจกรรม
2. ท�าให้เกิดคลืน่ หน้าตรงต่อเนือ่ งเคลือ่ นทีเ่ ข้าหาแผ่นกัน้ สังเกตลักษณะ 2. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาหนาชัน้ เรียน
ของหน้าคลื่นที่เคลื่อนที่ผ่านช่องเปิด เพื่อนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม
3. ปรับความกว้างของช่องเปิดให้มีความใกล้เคียงความยาวคลื่น แล้ว 3. ครูสุมนักเรียนเพื่อถามคําถามที่เกี่ยวของกับ
สังเกตลักษณะของหน้าคลื่นที่เคลื่อนที่ผ่านช่องเปิด แผ่นกั้นคลื่น กิจกรรม เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจหลังปฏิบตั ิ
4. ปฏิบัติซ�้าโดยปรับความกว้างของช่องเปิดให้มีความกว้างน้อยกว่า
ความยาวคลื่น แล้วสังเกตลักษณะของหน้าคลื่นที่เคลื่อนที่ผ่าน กิจกรรม
ช่องเปิด 4. ครูและนักเรียนทุกคนรวมกันอภิปรายผลทาย
5. เปรียบเทียบลักษณะของหน้าคลื่นจากข้อ 3. 4. และ 5. ภาพที่ 4.11 การจัดชุดถาดคลื่นเพื่อ กิจกรรมและสรุปความรูรวมกัน
ศึกษาการเลี้ยวเบนของคลื่นผิวนํ้า
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
1. เมื่อใช้แผ่นกั้น 2 แผ่น ท�าเป็นช่องเปิดที่มีความกว้างมากกว่าและใกล้เคียงกับความยาวคลื่นของ
คลื่นผิวน�้า คลื่นที่เคลื่อนผ่านช่องเปิดมีลักษณะอย่างไร
2. ความกว้างของช่องเปิดเมื่อเทียบกับความยาวคลื่นส่งผลอย่างไรต่อการเลี้ยวเบนของคลื่นที่ช่องเปิด แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
1. เมื่อชองเปดมีความกวางนอยกวาและใกลเคียง
อภิปรำยผลท้ำยกิจกรรม
ความยาวคลื่น คลื่นที่ผานชองเปดจะเปนคลื่น
เมือ่ คลืน่ เคลือ่ นทีไ่ ปพบสิง่ กีดขวางทีม่ ลี กั ษณะเป็นขอบหรือช่อง คลืน่ จะเคลือ่ นทีอ่ อ้ มผ่านสิง่ กีดขวางไปได้ วงกลม และเมื่อชองเปดมีความกวางมากกวา
โดยส่วนของคลื่นบริเวณใกล้ขอบของสิ่งกีดขวางจะเบนทิศทางการเคลื่อนที่อ้อมผ่านสิ่งกีดขวางไปปรากฏ
ด้านหลังของสิง่ กีดขวาง ซึง่ แสดงถึงสมบัตกิ ารเลีย้ วเบนของคลืน่ กล่าวได้วา่ คลืน่ จะเลีย้ วเบนได้ดเี มือ่ ช่องเปิด ความยาวคลื่น คลื่นที่ผานชองเปดจะเปนคลื่น
มีความกว้างใกล้เคียงกับความยาวคลื่น หรือกว้างมากกว่าความยาวคลื่นไม่มากนัก ส�าหรับช่องเปิดที่มี เสนตรง โดยมีชวงกวางเทากับความกวางของ
ความกว้างน้อยกว่าความยาวคลื่นมาก ๆ คลื่นที่เลี้ยวเบนผ่านช่องเปิดจะมีหน้าคลื่นเป็นวงกลม ชองแคบ
2. ยิง่ ความกวางของชองเปดมากการเลีย้ วเบนของ
คลื่น 129
คลื่นจะเกิดไดนอย และยิ่งความกวางของชอง
เปดนอยการเลี้ยวเบนของคลื่นจะเกิดไดมาก
ถาใหคลืน่ นํา้ เคลือ่ นทีผ่ า นชองเปดทีม่ คี วามกวาง 2.2 เซนติเมตร เมื่อคลื่นเคลื่อนที่ผานขอบแผนกั้น การเลี้ยวเบนของคลื่นจะเกิดขึ้น โดย
คลืน่ นํา้ ทีม่ คี วามยาวคลืน่ เทาใดจึงจะแสดงการเลีย้ วเบนไดเดนชัด สวนที่คลื่นสามารถออมขอบของแผนกั้นไปทางดานหลังของแผนกั้นได และ
ที่สุด เมื่อทําใหระยะหางระหวางแผนกั้นคลื่นมีความกวางนอยๆ แลวคอยๆ กวาง
1. 0.5 เซนติเมตร มากขึ้น การเลี้ยวเบนของคลื่นจะแตกตางกัน ถาระยะหางระหวางแผนกั้นคลื่น
2. 1.0 เซนติเมตร มีความกวางนอยกวาความยาวคลื่น คลื่นที่เลี้ยวเบนออกมาจะเปนคลื่นวงกลม
3. 1.5 เซนติเมตร
4. 2.0 เซนติเมตร
5. 2.5 เซนติเมตร
(วิเคราะหคาํ ตอบ การเลีย้ วเบนเดนชัดเมือ่ ความยาวคลืน่ มากกวา
ความกวางของชองเปด เนื่องจากชองเปดกวาง 2.2 เซนติเมตร
คลืน่ ทีม่ คี วามยาวคลืน่ มากกวา 2.2 เซนติเมตร จะแสดงการเลีย้ วเบน
ไดเดนชัดที่สุด ดังนั้น ตอบขอ 5.)
T143
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูสนทนากับนักเรียนทบทวนความรูว า สมบัติ 4. การแทรกสอด (interference) เป็นปรากฏการณ์ทเี่ กิดขึ้นเมือ่ คลื่นสองขบวนเคลือ่ นที่
ของคลื่นกลมีกี่ประการ ประกอบดวยอะไร มาพบกันบนตัวกลางเดียวกัน ซึ่งจะเกิดการรวมกันหรือการแทรกสอดของคลื่นได้ 2 แบบ คือ
บาง” การแทรกสอดแบบเสริม (constructive interference) และการแทรกสอดแบบหักล้าง (destructive
(แนวตอบ 4 ประการ ไดแก การสะทอน การ interference)
หักเห การเลี้ยวเบน และการแทรกสอด) การáทรกสอดáบบเสริม การáทรกสอดáบบËักล้าง
2. ครูถามคําถามกับนักเรียนตอวา “สมบัติใดที่ เกิดขึ้นเมื่อการกระจัดของคลื่นทั้ง1สอง ณ ต�าแหน่งที่ เกิดขึ้นเมื่อการกระจัดของคลื่นทั้งสอง ณ ต�าแหน่งที่
เรายังไมไดศึกษาบาง” เพื่อนําเขาสูเนื้อหาที่ ซ้อนทับกันมีทิศทางเดียวกัน (เฟสตรงกัน) โดยการ ซ้อนทับกันมีทิศทางตรงกันข้าม (เฟสตรงข้ามกัน)
กําลังจะศึกษา แทรกสอดแบบเสริมกันเกิดขึ้นเมื่อสันคลื่นซ้อนทับ โดยการแทรกสอดแบบหักล้างกันเกิดขึน้ เมือ่ สันคลืน่
3. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง สมบัติของคลื่น ใน กับสันคลืน่ หรือท้องคลืน่ ซ้อนทับกับท้องคลืน่ ผลจาก ซ้อนทับกับท้องคลื่น ผลจากการแทรกสอดแบบหัก
การแทรกสอดแบบเสริมกันท�าให้ได้คลื่นลัพธ์ที่มี ล้างกันท�าให้ได้คลื่นลัพธ์ที่มีสันคลื่นต�่ากว่าสันคลื่น
หัวขอการแทรกสอดจากหนังสือเรียน ขนาดหรือแอมพลิจูดเพิ่มขึ้น เดิม (ขนาดของแอมพลิจูดลดลง)
4. ครูสุมนักเรียนเพื่อถามคําถามที่เกี่ยวของกับ
สมบัติการแทรกสอดของคลื่นที่กําลังศึกษา
เพือ่ กระตุน ความสนใจและเพิม่ ความเขาใจให 1. 1.
มากขึ้น
5. ครูใหนักเรียนแยกเขากลุมของตนเองที่ครูเคย
แบงไวแลวในการทํากิจกรรม 2. 2.
6. ครูแจกกระดาษฟลิปชารตใหนักเรียนกลุมละ
1 แผน
3.
7. ครูใหนักเรียนเขียนสรุปขอมูลที่ไดจากการ 3.
ศึกษา เรือ่ ง สมบัตขิ องคลืน่ ลงในกระดาษฟลิป-
ชารต เพื่อนําเสนอผลการศึกษาหนาชั้นเรียน 4.
พรอมตกแตงใหสวยงาม โดยครูแนะนําให 4.
นักเรียนสืบคนขอมูลเพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ต
แลวรวมกันอภิปรายผลการศึกษาจนไดเปน 5.
แนวทางที่เขาใจตรงกันทั้งกลุม 5.
130
T144
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
หากเป็นการแทรกสอดของคลื่นต่อเนื่องสองขบวนที่มีอัตราเร็ว ความถี่ และแอมพลิจูด 8. ครูสมุ นักเรียนใหออกมาหนาชัน้ เรียน เพือ่ ให
เท่ากัน แต่มีเฟสต่างกัน 180 องศา เช่น คลื่นตกกระทบกับคลื่นสะท้อนในเส้นเชือก คลื่นวงกลม นักเรียนนําเสนอผลการศึกษา
สองขบวนในถาดคลื่น จะเกิดรูปแบบการแทรกสอดคงตัวแบบหนึ่ง เรียกว่า คลื่นนิ่ง (standing 9. ครูใหแตละกลุม เตรียมตัวและแบงหนาทีข่ อง
wave) โดยภาพที่ 4.13 เป็นคลื่นนิ่งในเส้นเชือก และภาพที่ 4.14 เป็นคลื่นนิ่งของคลื่นผิวน�้า สมาชิกภายในกลุม เพื่อศึกษากิจกรรมการ
แทรกสอดของคลื่นผิวนํ้าจากหนังสือเรียน
จุดตรึง บัพ เครื่องสั่น 10. ครูชี้แจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกตอง
11. ครูใหความรูเ พิม่ เติมหรือเทคนิคเกีย่ วกับการ
ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม
ปฏิบัพ ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน
ภาพที่ 4.13 คลื่นนิ่งในเส้นเชือก 12. นักเรียนแตละกลุม รวมกันพูดคุยวิเคราะหผล
ที่มา : https://www.grasshopper3d.com การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน
13. ครูเนนยํา้ ใหนกั เรียนตอบคําถามทายกิจกรรม
จากหนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว
เพื่อนําสงครูเปนการตรวจสอบความเขาใจ
ปฏิบัพที่ยอดคลื่น จากการปฏิบัติกิจกรรม
บัพ
14. ในระหว า งที่ นั ก เรี ย นปฏิ บั ติ กิ จ กรรม ครู
ปฏิบัพที่ท้องคลื่น เดินสังเกตการณและคอยใหคําปรึกษาเมื่อ
นักเรียนเกิดปญหา หรือมีขอสงสัยเกี่ยวกับ
ภาพที่ 4.14 คลื่นนิ่งของคลื่นผิวน�้า กิจกรรม
ที่มา : คลังภาพ อจท. 15. เมื่อนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมเสร็จเรียบรอย
คลื่นนิ่งของคลื่นในเส้นเชือกมีลักษณะเป็นวง (loop) บางต�าแหน่งบนเส้นเชือกที่อยู่นิ่ง ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น ศึ ก ษา
ตลอดเวลา เรียกว่า บัพ (node) และบางต�าแหน่งบนเส้นเชือกมีการกระจัดสูงสุด เรียกว่า ปฏิบัพ เรื่อง ความถี่ธรรมชาติและการสั่นพองตาม
(antinode) โดยต�าแหน่งที่เป็นบัพและปฏิบัพเกิดสลับกันและอยู่ห่างกันเท่ากับ 1 ใน 4 ของ ธรรมชาติจากหนังสือเรียน จากนัน้ แตละกลุม
ความยาวคลื่น ส่วนระยะห่างระหว่างบัพและบัพที่อยู่ถัดกันมีค่าเท่ากับ 1 ใน 2 หรือครึ่งหนึ่งของ ร ว มกั น สนทนาและอภิ ป รายผลการศึ ก ษา
ความยาวคลืน่ ส่วนคลืน่ นิง่ ของคลืน่ ผิวน�า้ จะประกอบด้วยแนวบัพและแนวปฏิบพั สลับกัน โดยแนว เปนความคิดเห็นของกลุม
บัพเป็นแนวที่สันคลื่นพบกับท้องคลื่น (รวมกันแล้วแอมพลิจูดของคลื่นลัพธ์เป็นศูนย์) ส่วนแนว
ปฏิบพั เป็นแนวทีส่ นั คลืน่ พบกับสันคลืน่ หรือท้องคลืน่ พบกับท้องคลืน่ (รวมกันแล้วแอมพลิจดู ของ
คลื่นลัพธ์มีค่าสูงสุด)
คลื่น 131
ขอสอบเนน การคิด
จากภาพ เปนการแทรกสอดของคลื่นผิวนํ้าที่เกิดจากแหลงกําเนิดอาพันธ S1 และ S2 โดยมี P เปนจุดใดๆ บนแนวเสันบัพ
ระยะ S1P เทากับ 15 เซนติเมตร ระยะ S2P เทากับ 5 เซนติเมตร ถาอัตราเร็วของคลื่นทั้งสองเทากับ 60 เซนติเมตรตอวินาที
แหลงกําเนิดคลื่นทั้งสองมีความถี่กี่เฮิรตซ
ปฏิบัพ (วิเคราะหคําตอบ จากภาพ พบวาจุด P อยูบนเสนบัพ (node) ที่ 2
บัพ
จากสมการตําแหนงบัพ S1P - S2P = (n - 12 ) λ
15 - 5 = (2 - 1 ) λ
2
P 10 = 32 λ
S1 S2 λ = 20 cm
3
จากสมการ v = fλ f = (60)(3)
20
1. 6 เฮิรตซ 2. 7 เฮิรตซ
λ = v f = 180
3. 8 เฮิรตซ 4. 9 เฮิรตซ f 20
5. 10 เฮิรตซ 20 = 60 f = 9 Hz
3 f
จะไดวา แหลงกําเนิดคลื่นทั้งสองมีความถี่ 9 เฮิรตซ ดังนั้น ตอบขอ 4.)
T145
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
1. ครูสุมนักเรียนใหออกมาหนาชั้นเรียน เพื่อ ¡Ô¨¡ÃÃÁ ¡ÒÃá·Ã¡ÊÍ´¢Í§¤Å×è¹¼ÔǹíéÒ
อภิปรายผลการศึกษา เรื่อง ความถี่ธรรมชาติ
และการสั่นพองตามธรรมชาติ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
• การสังเกต ¨Ø´»ÃÐʧ¤
2. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นเกี่ ย วกั บ การปฏิ บั ติ • การลงความเห็นจากขอมูล เพื่อศึกษาและอธิบายสมบัติการแทรกสอดของคลื่นผิวนํ้า
จิตวิทยาศาสตร
กิจกรรม • ความสนใจใฝรู ÇÑÊ´ØÍØ»¡Ã³
• ความมีเหตุผล
3. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาหนาชัน้ เรียน 1. ชุดถาดคลื่น
เพื่อนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม 2. ฉากรับภาพ (กระดาษขาว)
4. ครูสุมนักเรียนเพื่อถามคําถามที่เกี่ยวของกับ ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ
กิจกรรม เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจหลังปฏิบตั ิ 1. จัดชุดถาดคลื่นโดยเสียบปุมกลม 2 อัน ใหหางจากชองเสียบกลาง
1 ชอง ปรับระดับของคานกําเนิดคลื่นใหปุมกลมทั้งสองแตะผิวนํ้า โคมไฟ
กิจกรรม พอดี หนาคลื่น
5. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายผลท า ย 2. ทําใหเกิดคลื่นวงกลมตอเนื่องสองขบวนที่เหมือนกันทุกประการ
กิจกรรมและสรุปความรูรวมกัน แผออกไปแทรกสอดกันและเกิดลวดลายของการแทรกสอดขึ้น
บนฉากรับภาพใตถาดคลื่น ดังภาพที่ 4.15 ปรับอัตราการหมุนของ
ขยายความเขาใจ มอเตอรใหเห็นลวดลายการแทรกสอดที่ชัดเจน สังเกตและบันทึก
1. ครูนาํ อภิปรายสรุปเนือ้ หาโดยเปด PowerPoint ภาพบนฉากรับภาพทั้งแนวแถบมืดและแนวแถบสวาง
เรื่องที่สอนควบคูไปดวย 3. ปรับอัตราการหมุนของมอเตอรใหเร็วขึ้นและชาลง สังเกตการ
เปลี่ยนแปลงของลวดลายการแทรกสอด ภาพที่ 4.15 ชุดถาดคลื่นกิจกรรม
2. ครูใหนกั เรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรือ่ ง คลืน่ กล การแทรกสอดของคลื่นผิวนํ้า
4. เปลี่ยนชองเสียบปุมกลมทั้งสองใหหางจากชองเสียบกลาง 2 ชอง
ลงในกระดาษ A4 ทดลองซํ้า เปรียบเทียบลวดลาย
ที่มา : คลังภาพ อจท.
3. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
ของตนเองหนาชั้นเรียน ¤íÒ¶ÒÁ·ŒÒ¡Ԩ¡ÃÃÁ
4. ครูมอบหมายการบานใหนกั เรียนทําแบบฝกหัด 1. เพราะเหตุใดปุมกลมทั้งสองจึงจัดเปนแหลงกําเนิดคลื่นอาพันธที่ใหคลื่นที่มีเฟสเริ่มตนตรงกัน
เรื่อง คลื่นกล จากแบบฝกหัด วิทยาศาสตร 2. แนวกึ่งกลางระหวางปุมกลมทั้งสองเปนแนวเสนบัพหรือแนวเสนปฏิบัพ เพราะเหตุใด
3. ผิวนํ้าบนเสนปฏิบัพและเสนบัพแตละเสน มีลักษณะอยางไร
กายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5
ÍÀÔ»ÃÒ¼ŷŒÒ¡Ԩ¡ÃÃÁ
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม การแทรกสอดของคลื่นผิวนํ้าจากแหลงกําเนิดอาพันธจะเกิดการแทรกสอดคงตัวแบบหนึ่ง ซึ่งประกอบ
1. เพราะปุมกลมทั้งสองสั่นดวยความถี่เทากัน ดวยแนวปฏิบัพสลับกับแนวบัพ โดยแนวกึ่งกลางของแหลงกําเนิดอาพันธจะเปนแนวปฏิบัพ ถาคลื่น
2. แนวเส น ปฏิ บั พ เพราะเป น แนวกึ่ ง กลางของ สองขบวนจากแหลงกําเนิดอาพันธมีเฟสเริ่มตนตรงกัน พบวา บนเสนปฏิบัพแตละเสนจะประกอบดวย
จุดที่สันคลื่นพบกัน สลับกับจุดที่ทองคลื่นพบกัน ผิวนํ้าตรงจุดที่สันคลื่นพบกันจะนูนขึ้นมากที่สุด สวนผิวนํ้า
แหลงกําเนิดอาพันธ ตรงจุดที่ทองคลื่นพบกันจะเวาลงไปมากที่สุด บนเสนบัพแตละเสนประกอบดวยจุดที่สันคลื่นพบกับทองคลื่น
3. ผิวนํา้ บนเสนปฏิบพั จะเปนจุดทีส่ นั คลืน่ มาพบกัน ผิวนํ้าบนแนวเสนบัพแตละเสนจึงราบเรียบ
จึ ง ทํ า ให นู น ขึ้ น มากที่ สุ ด และยั ง เป น จุ ด ที่
132
ทองคลื่นมาพบกันจึงทําใหเวาลงไปมากที่สุด
สวนผิวนํ้าบนเสนปฏิบัพจะราบเรียบ
บันทึก กิจกรรม
ขอสอบเนน การคิด
ตัวอยาง ลวดลายการแทรกสอดที่ปรากฏบนฉากรับภาพ แหลงกําเนิดคลื่นอาพันธ 2 แหลง อยูหางกัน 12 เซนติเมตร
จุดกึ่งกลางระหวางแหลงกําเนิดทั้งสองจะเปนอยางไร
1. ตําแหนงบัพเสมอ
2. ตําแหนงปฏิบัพเสมอ
3. ตําแหนงบัพหรือปฏิบัพขึ้นอยูกับความถี่คลื่น
4. ตําแหนงบัพหรือปฏิบัพขึ้นอยูกับความเร็วคลื่น
5. ตําแหนงบัพหรือปฏิบัพขึ้นอยูกับความยาวคลื่น
(วิเคราะหคาํ ตอบ แหลงกําเนิดอาพันธในกรณีทมี่ เี ฟสของคลืน่ ตรง
กัน จุดกึ่งกลางระหวางแหลงกําเนิดทั้งสองจะเปนตําแหนงปฏิบัพ
หรือแนวเสริมกลางเสมอ ดังนั้น ตอบขอ 2.)
T146
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
1.4 ความ¶ี่¸รรมชาติáละการสั่นพ้องตาม¸รรมชาติ นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ
1. ความถี่ธรรมชาติ (natural frequency) เป็นความถี่ในการแกว่งหรือสั่นอย่างอิสระ คลืน่ กล องคประกอบของคลืน่ กล และสมบัตขิ อง
ของวัตถุในระบบหนึ่ง ซึ่งมีค่าเฉพาะค่าหนึ่ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับลักษณะทางโครงสร้างของวัตถุหรือ คลืน่ กล โดยครูใหนกั เรียนเขียนสรุปความรูท งั้ หมด
ระบบนั้น ลงในสมุดบันทึกประจําตัว
เมื่อพิจารณาลูกตุ้มที่ผูกติดกับเชือกและวัตถุท่ียึดอยู่ที่ปลายสปริง จะได้ว่า ลูกตุ้มที่ผูก
ติดกับเชือกที่ยาวต่างกัน จะมีความถี่ธรรมชาติในการแกว่งต่างกัน มีค่าตามสมการ f = 21π Lg ขัน้ ประเมิน
และวัตถุที่ยึดติดกับปลายสปริงที่มีความแข็งหรือค่าคงตัวของสปริงต่างกัน จะมีความถี่ธรรมชาติ ตรวจสอบผล
ในการสั่นต่างกัน มีค่าตามสมการ f = 21π mk 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน
เพื่ อ ตรวจสอบความเข า ใจก อ นเรี ย นของ
นักเรียน
θ L 2. ครู ต รวจสอบผลการทํ า แบบทดสอบความ
m m เขาใจกอนเรียนจาก Understanding Check
ในสมุดบันทึกประจําตัว
3. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน เรื่อง องค-
ภาพที่ 4.16 ลูกตุ้มผูกติดกับเชือก ภาพที่ 4.17 วัตถุที่ยึดอยูที่ปลายสปริง
ประกอบของคลื่นกล
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท. 4. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง คลื่นกล จาก
แบบฝกหัด วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส)
2. การสัน่ พ้อง (resonance) เป็นการแกว่งหรือสัน่ ของวัตถุหรือระบบ เมือ่ กระตุน้ ให้แกว่ง ม.5
หรือสัน่ ด้วยความถีเ่ ท่ากับความถีธ่ รรมชาติของวัตถุหรือระบบนัน้ ซึง่ ส่งผลให้วตั ถุสนั่ ด้วยแอมพลิจดู 5. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
ที่เพิ่มมากขึ้น เกิดขึ้นได้ 2 แบบ ได้แก่ ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
• การสัน่ พ้องด้วยแรง เป็นการสัน่ พ้องทีเ่ กิดขึน้ โดยการออกแรงกระท�าต่อวัตถุหรือระบบ และการทํางานกลุม
เป็นจังหวะที่มีความถี่เท่ากับความถี่ธรรมชาติของวัตถุ เช่น การแกว่งชิงช้า คนแกว่งชิงช้าต้อง 6. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป
ออกแรงผลักให้ตรงกับจังหวะการแกว่งตามธรรมชาติของชิงช้า ขณะที่ชิงช้าแกว่งกลับมาถึง เนือ้ หา เรือ่ ง คลืน่ กล ทีน่ กั เรียนไดสรางขึน้ จาก
ต�าแหน่งสูงสุดใกล้ ๆ กับคนแกว่งชิงช้าจะแกว่งต่อไปโดยมีแอมพลิจูดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขั้นขยายความเขาใจเปนรายบุคคล
• การสัน่ พ้องด้วยคลืน่ เป็นการสัน่ พ้องทีเ่ กิดขึน้ โดยการส่งคลืน่ ทีม่ คี วามถีเ่ ท่ากับความถี่
ธรรมชาติของวัตถุหรือระบบไปกระทบกับวัตถุหรือระบบ เช่น กระจกหน้าต่างหรือกระจกรถยนต์
ทีอ่ ยูใ่ นบริเวณทีม่ เี สียงดังมาก จะมีการสัน่ เป็นเพราะเสียงทีส่ ง่ มาจากแหล่งก�าเนิดมีความถีใ่ กล้เคียง
กับความถี่ธรรมชาติของกระจก หากเสียงจากแหล่งก�าเนิดมีความถี่พอดีกับความถี่ธรรมชาติของ
กระจก จะท�าให้กระจกสั่นแรงขึ้นจนกระทั่งแตกร้าวได้
คลื่น 133
นําเสนอขึ้นอยูกับดุลยพินิจของแตละกลุม
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ
1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คะแนน จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
ระดับคุณภาพ 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4. แตละกลุมนําผลงานของตนเองออกมาแปะติดไวบนกระดาน
4 3 2 1 ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
2 ความถูกต้องของเนื้อหา สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
3 ความคิดสร้างสรรค์ แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
หนาชั้นเรียน จากนั้นครูสุมตัวแทนแตละกลุมออกมานําเสนอ
4 ความเป็นระเบียบ ระบบ
รวม 4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
T147
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับเสียงที่นักเรียน 1.5 เสียง
ไดยินจากสถานการณในชีวิตประจําวัน เสียงเป็นคลื่นกลจึงต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่หรือถ่ายโอนพลังงาน เสียงเกิดจาก
2. ครูสนทนากับนักเรียนตอเกีย่ วกับการเกิดคลืน่ การสั่นของแหล่งก�าเนิดเสียง โดยพลังงานการสั่นสะเทือนจากแหล่งก�าเนิดเสียงจะถ่ายโอนผ่าน
และสมบัตติ า งๆ พรอมถามคําถามกับนักเรียน ตัวกลาง ท�าให้อนุภาคตัวกลางสั่นไปมา ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความดันในตัวกลางที่
เชน คลื่นเสียงเคลื่อนผ่าน และผลจากการเปลี่ยนแปลงความดันท�าให้เกิดคลื่นอัดและคลื่นขยายแผ่ไป
• นั ก เรี ย นทราบหรื อ ไม ว า เสี ย งที่ เ ราได ยิ น ในตัวกลาง โดยเกิดเป็นส่วนอัดและส่วนขยายขึ้นในตัวกลางที่คลื่นเสียงเคลื่อนที่ผ่าน
ทุกวันนี้ เกิดขึ้นไดอยางไร
อัด อัด อัด อัด อัด อัด
(แนวตอบ เกิดจากการสั่นของแหลงกําเนิด
เสียง)
• นักเรียนวา เสียงจัดเปนคลืน่ หรือไม นักเรียน
จะพิสูจนไดอยางไร
ขยาย ขยาย ขยาย ขยาย ขยาย ขยาย
( แนวตอบ เสี ย งจั ด เป น คลื่ น กลชนิ ด หนึ่ ง
เนื่ อ งจากมี ส มบั ติ ก ารสะท อ น การหั ก เห ภาพที่ 4.18 สวนอัดและสวนขยายในตัวกลางที่คลื่นเสียงเคลื่อนที่ผาน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การเลี้ยวเบน และการแทรกสอด เหมือน
คลื่นกลทุกประการ) ส่วนอัดและส่วนขยายทีเ่ กิดขึน้ ในตัวกลางขณะทีค่ ลืน่ เสียงเคลือ่ นผ่าน มีลกั ษณะเช่นเดียวกับ
3. ครูแจงใหนกั เรียนทราบวาจะไดศกึ ษาเกีย่ วกับ ส่วนอัดและส่วนขยายทีเ่ กิดขึน้ ในขดลวดสปริงขณะทีค่ ลืน่ ตามยาวเคลือ่ นผ่าน ระยะจากส่วนอัดหนึง่
เสียง ถึงส่วนอัดที่อยู่ถัดไป เรียกว่า ความยาวคลื่น (λ) ของคลื่นเสียง ส่วนความถี่ของคลื่นเสียงจะมีค่า
เท่ากับความถี่ในการสั1 ่นของแหล่งก�าเนิดเสียง ย่านความถี่ของคลื่นเสียงอยู่ในช่วงประมาณ 0.1
เฮิรตซ์ ถึง 600 เมกะเฮิรตซ์ (0.1 Hz-600 MHz) โดยแบ่งตามช่วงความถี่ได้ ดังนี้
• คลื่นเสียงความถี่ต�่า (infrasonic waves) หรือคลื่นใต้เสียง (infrasound) เป็นคลื่นเสียงที่มี
ความถี่ต�่ากว่า 20 เฮิรตซ์ ได้แก่ คลื่นที่เกิดจากกระแสลม คลื่นแผ่นดินไหว สัตว์บางประเภทรับรู้
และใช้ประโยชน์จากคลื่นใต้เสียงได้ เช่น ช้างใช้คลื่นเสียงความถี่ต�่าในการสื่อสารระยะทางไกล ๆ
เป็นต้น
• คลื่นเสียงที่ได้ยิน (audible wave) เป็นคลื่นเสียงที่ประสาทหูของมนุษย์ปกติรับรู้ได้
มีความถี่โดยประมาณ 20-20,000 เฮิรตซ์ เช่น เสียงพูดคุยของมนุษย์ เสียงจากล�าโพง
เสียงจากเครื่องดนตรี เป็นต้น
• คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonic waves) หรือคลื่นเหนือเสียง (ultrasound) เป็นคลื่นเสียง
ทีม่ คี วามถีส่ งู กว่า 20,000 เฮิรตซ์ ได้แก่ คลืน่ เสียงทีเ่ กิดจากการสัน่ ของผลึกควอตซ์ (quartz crystal)
คลื่นเสียงที่เกิดจากอวัยวะผลิตเสียงของสัตว์บางชนิด เช่น ค้างคาว โลมา เป็นต้น
134
T148
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. สมบัติของคลื่นเสียง เสียงในอากาศเป็นเสียงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจ�าวันมากที่สุด 1. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง เสียง จากหนังสือ
โดยเสียงในอากาศจะเป็นคลื่นตามยาว จึงมีสมบัติของคลื่นตามยาวครบทั้ง 4 ประการ เช่นเดียว เรียน
กับคลื่นตามขวาง คือ การสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบน และการแทรกสอด 2. ครูใหความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ คลื่นเสียง ที่
1) การสะท้อนของเสียง เกิดขึ้นเมื่อเสียงตกกระทบสิ่งกีดขวางที่มีขนาดใกล้เคียงหรือ แบงตามชวงความถี่ ไดแก คลืน่ เสียงความถีต่ าํ่
ขนาดใหญ่กว่าความยาวคลื่นของเสียง หรือเมื่อคลื่นเสียงตกกระทบรอยต่อของตัวกลาง 2 ชนิด คลืน่ เสียงทีไ่ ดยนิ และคลืน่ เสียงความถีส่ งู โดย
ที่อัตราเร็วของเสียงในตัวกลางทั้งสองต่างกันมาก หรือตัวกลางชนิดเดียวกันแต่อุณหภูมิต่างกัน ครูอาจนําสือ่ จากแหลงขอมูลสารสนเทศมาให
การสะท้อนของเสียงเป็นไปตามกฎการสะท้อนของคลืน่ คือ มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน โดยที่ นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมนอกเหนือจากหนังสือ
เสียงตกกระทบกับเสียงสะท้อนอยู่ในตัวกลางเดียวกันจึงมีอัตราเร็วเท่ากัน โดยปรากฏการณ์ที่เกิด เรียน
จากการสะท้อนของเสียง ได้แก่ เสียงก้อง เสียงสะท้อน และการจางหายของเสียง 3. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นทีน่ งั่ ขางๆ จากนัน้
ร ว มกั น ศึ ก ษาสมบั ติ ข องคลื่ น เสี ย งในหั ว ข อ
สมบัติการสะท้อน
คลื่นเสียง
การสะทอนของเสียงจากหนังสือเรียน
คลื่ น เสี ย งตกกระทบผิ ว
รอยต่ อ ระหว่ า งตั ว กลาง 4. ครูสุมนักเรียนออกมาหนาชั้นเรียน จากนั้น
คลื่นสะท้อน
หรือตัวกลางชนิดเดียวกัน ใหยืนหันหนาเขาหาผนังหองเรียน พูดคําวา
แต่อุณหภูมิต่างกัน “ฮัลโหล” แลวสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น
T149
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. ครูใหนกั เรียนศึกษาเกีย่ วกับสมบัตขิ องเสียงตอ 2) การหักเหของเสียง เกิดขึ้นเมื่อคลื่นเสียงตกกระทบรอยต่อของตัวกลาง 2 ชนิด หรือ
ในหัวขอการหักเหของเสียง การเลี้ยวเบนของ เคลื่อนที่ผ่าน 2 บริเวณ ของตัวกลางชนิดเดียวกันที่มีอุณหภูมิต่างกัน โดยที่อัตราเร็วของเสียง
เสียง และการแทรกสอดของเสียง ในตัวกลางทั้งสองต่างกันไม่มากนัก เช่น การรับฟังเสียงตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงดีกว่าตอน
6. ครูใหนกั เรียนแตละคูร ว มกันเขียนสรุปเกีย่ วกับ กลางวัน การเห็นฟ้าแลบแต่ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง เป็นต้น
สมบัตขิ องคลืน่ เสียงลงในกระดาษ A4 เสร็จแลว
ตัวแทนรวบรวมสงครูทายชั่วโมง สมบัติการหักเห
คลื่ น เสี ย งเคลื่ อ นที่ จ าก
ตั ว กลางหนึ่ ง ไปยั ง อี ก
ตัวกลางหนึง่ โดยคลืน่ เสียง คลื่นเสียง
ทีเ่ คลือ่ นทีผ่ า่ นตัวกลางใหม่
จะมีความถี่ ( f ) คงเดิม
ภาพที่ 4.20 การหักเหของเสียงในตัวกลางที่ตางชนิดกัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
อากาศเย็น
ทิศทางการเคลื่อนที่
ของเสียงฟ้าร้อง
ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง
อากาศร้อน
T150
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
3) การเลี้ยวเบนของเสียง การที่เสียงเคลื่อนที่ผานมุมหรือออมสิ่งกีดขวางไปปรากฏ 1. ตัวแทนนักเรียนเก็บรวบรวมผลงานการสรุป
ดานหลังของสิ่งกีดขวางได เรียกปรากฏการณที่เกิดขึ้นวา การเลี้ยวเบนของเสียง เมื่อเสียงตก ความรู เ กี่ ย วกั บ สมบั ติ ข องคลื่ น เสี ย งส ง ครู
กระทบบริเวณมุมหรือขอบของสิ่งกีดขวางที่มีขนาดใหญ เชน กําแพง ตึก หนาตาง ประตู จะเกิด ผูสอน
การเลี้ยวเบนขึ้น สงผลใหคนที่อยูหลังกําแพงหรือขอบของสิ่งกีดขวางนั้นไดยินเสียงโดยไมเห็น 2. ครูตรวจสอบผลงานของนักเรียนในเบื้องตน
แหลงกําเนิดเสียง เปนตน จากนั้นสุมผลงานที่โดดเดนและใหนักเรียน
สมบัติการเลี้ยวเบน เจาของผลงานออกมาหนาชั้นเรียน เพื่อนํา
คลื่ น เสี ย งเดิ น ทางอ อ ม เสนอผลงานของตนเอง
สิง่ กีดขวาง โดยคลืน่ จะแผ
จากขอบของสิ่งกีดขวาง คลื่นเสียง
ไปยั ง ด า นหลั ง ของสิ่ ง -
กีดขวาง
ปฏิบัพ
บัพ
ปฏิบัพ
บัพ
ปฏิบัพ
(ก) (ข)
ภาพที่ 4.23 การแทรกสอดของเสียงจากแหลงกําเนิดอาพันธ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ¤Å×è¹ 137
ขอสอบเนน การคิด
ลําโพง S1 และ S2 เปนแหลงกําเนิดเสียงที่ใหเสียงเหมือนกันทุกประการ โดยใหเสียงที่มีความถี่ 160 เฮิรตซ และอยูหางกัน 8 เมตร ดังภาพ
จงหาวา บนเสนตรงเชื่อมระหวางแหลงกําเนิดเสียงทั้งสอง มีตําแหนงบัพเกิดขึ้นกี่ตําแหนง ถากําหนดใหอัตราเร็วเสียงในอากาศขณะนั้นเปน 400
เมตรตอวินาที จากสมการ ตําแหนงบัพ d sin θ = (n - 12 ) λ
8m 8 sin 90 ํ = (n - 12 )(2.5)
(8)(1) = (n - 12 )(2.5)
S1 S2 8 1
2.5 = n - 2
1. 2 ตําแหนง 2. 3 ตําแหนง 3. 4 ตําแหนง 3.2 + 12 = n
4. 5 ตําแหนง 5. 6 ตําแหนง 3.2 + 0.5 = n
(วิเคราะหคําตอบ คํานวณหาความยาวคลื่นจากสมการ n = 3.7
v = fλ n = 3 (เนื่องจาก n ตองเปนจํานวนเต็ม)
400 = 160 λ จะไดวา บนเสนตรงเชื่อมระหวางแหลงกําเนิดเสียงทั้งสองมีตําแหนงบัพ
λ = 2.5 m เกิดขึ้นเทากับ 3 + 3 = 6 ตําแหนง ดังนั้น ตอบขอ 5.)
T151
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง ธรรมชาติของเสียง 2. ธรรมชาติของเสียง เสียงที่มนุษยไดยินมีมากมายแตกตางกันไป ไมวาจะเปนเสียงสูง
จากหนังสือเรียน เสียงตํ่า เสียงดัง เสียงคอยและบางครั้งเสียงที่เราไดยินสามารถบอกไดวาเสียงนั้นเปนเสียงอะไร
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจดบั น ทึ ก ความรู ที่ ไ ด ศึ ก ษา หรือเสียงของใคร โดยที่เราไมเห็นแหลงกําเนิดเสียง
เกี่ยวกับ เรื่อง ธรรมชาติของเสียง ลงในสมุด 1) ความเขมเสียง (sound intensity) คือ พลังงานเสียงที่ถายโอนผานพื้นที่ซึ่งตั้งฉาก
บันทึกประจําตัว กับทิศการเคลื่อนที่ของเสียงตอหนวยพื้นที่ในหนึ่งหนวยเวลา ความเขมเสียงมีหนวยเปน วัตตตอ
3. ครูใหนักเรียนสืบเสาะหาความรูและจดบันทึก ตารางเมตร (W/m2) สามารถคํานวณได จากสมการ
ตารางความเข ม และระดั บ เสี ย งจากแหล ง
ความเขมเสียง = กําลังเสียงของแหลงกําเนิด
กําเนิดเสียงตางๆ ลงในสมุดบันทึกประจําตัว พื้นที่ซึ่งตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น
2) ระดับเสียง (sound level) เมื่อเปรียบเทียบคาสูงสุดกับตํ่าสุดของความเขมเสียง
ที่หูของมนุษยรับฟงไดพบวา คาสูงสุดมีคาเปน 1012 เทาของคาตํ่าสุดของความเขมเสียงที่หูของ
มนุษยรบั ฟงได ความเขมเสียงทีห่ มู นุษยตอบสนองไดจงึ มีชว งกวางมาก ทําใหการอธิบายความดัง
ของเสียงดวยความเขมเสียงเปนเรื่องยาก นักวิทยาศาสตรจึงเปลี่ยนมาอธิบายความดังของเสียง
ดวยระดับเสียงแทนความเขมเสียง โดยระดับเสียงที่หูของมนุษยปกติสามารถรับฟงไดอยูในชวง
0-120 เดซิเบล และเนื่องจากความดังของเสียงแปรผันตรงกับ
ความเขมเสียง
จากนิยามระดับเสียงไมมหี นวย แตนกั วิทยาศาสตร
กําหนดหนวยของระดับเสียงเปน เบล (bel) เพื่อเปนเกียรติแก
อะเล็กซานเดอร เกรแฮม เบลล (Alexander Graham Bell)
ผูประดิษฐโทรศัพทคนแรก แตหนวยเบลเปนหนวยใหญ จึงนิยม
ใชหนวย เดซิเบล (dB) ซึ่งมีคาเปน 1 ใน 10 ของหนวยเบล
(1 bel = 10 decibel) แทนหนวยเบล โดยระดับเสียงหนวยเดซิเบล
หาคาได จากสมการ ภาพที่ 4.24 ตัวอยางอุปกรณวดั ระดับ
เสียง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
138
T152
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ระดับเสียง 0 เดซิเบล เรียกว่า ขีดเริ่มของการได้ยิน (threshold of hearing) 4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาเพิ่ ม เติ ม จากสื่ อ ดิ จิ ทั ล
ส่วนระดับเสียง 120 เดซิเบล เรียกว่า ขีดเริ่มของความเจ็บปวด (threshold of pain) ระดับเสียง โดยนําสมารตโฟนขึ้นมาแลวนํามาสแกน QR
0 เดซิเบล ก�าหนดจากการเริ่มได้ยินเสียงที่มีความถี่ 1,000 เฮิรตซ์ ซึ่งมีความเข้ม 10-12 วัตต์ Code เรื่อง มลพิษทางเสียง จากหนังสือเรียน
ต่อตารางเมตร ส่วนระดับเสียง 120 เดซิเบล ก�าหนดจากเสียงที่มีความถี่ 1,000 เฮิรตซ์ ซึ่งมี 5. ครูมอบหมายใหนักเรียนสรางสรรคแผนพับ
ความเข้ม 1.0 วัตต์ ความเข้มเสียงและระดับเสียง (ช่วง 0-120 เดซิเบล) ของเสียงจากแหล่ง ความรูขนาด A4 เรื่อง มลพิษทางเสียง พรอม
ก�าเนิดเสียงต่าง ๆ และผลต่อการได้ยิน พิจารณาได้จากตารางที่ 4.1 ตกแตงใหสวยงาม เพื่อสงครูทายชั่วโมง
ตารางที่ 4.1 : ความเข้มเสียงและระดับเสียงจากแหล่งก�าเนิดเสียงต่าง ๆ ขัน้ สอน
ความเข้มเสียง ระดับเสียง อธิบายความรู
แหล่งก�าเนิดเสียง/สถานการณ์ (W/m2) (dB) ผลต่อการได้ยิน
1. ครู สุ ม ตั ว แทนนั ก เรี ย นออกมาหน า ชั้ น เรี ย น
ขีดเริ่มของการได้ยิน 10-12 0
เสียงใบไม้ไหว 10-11 10
ยากต่อการได้ยิน เพื่อใหนักเรียนนําเสนอแผนพับความรูของ
เสียงผิวปาก (ค่าเฉลี่ย) 10-10 20 ตนเอง
เสียงเบา
ห้องสมุด 10-9 30 2. ครูและนักเรียนรวมกันศึกษาเกี่ยวกับ มลพิษ
ส�านักงานหรือบ้าน (ค่าเฉลี่ย) 10-8 40 ของเสียง จากกรอบ Science Focus จาก
เสียงปานกลาง
รถยนต์ (เบาเครื่อง) 10-7 50 หนังสือเรียน
เสียงสนทนา 10-6 60
เสียงดัง 3. ครูสนทนากับนักเรียนและใหความรูเพิ่มเติม
รถยนต์ (เร่งเครื่อง) 10-5 70
ถนนที่มีการจราจรคับคั่ง 10-4 80 เกี่ยวกับธรรมชาติของเสียง
รถไฟลอยฟ้า 10-3 90 เสียงดังมาก
เครื่องบิน 10-2 100
ปืนใหญ่ 10-1 110
สูญเสียการได้ยิน
จรวด 4 × 10-1 116
ฟ้าผ่า 1 120 รู้สึกปวดหู
Science Focus
มลพิษทางเสียง
เสียงที่มีระดับเสียงสูงหรือเสียงที่ก่อให้เกิดความร�าคาญแก่ผู้ฟังจัดเป็นมลพิษทางเสียง (noise
pollution) มีผลกระทบต่อสิง่ แวดล้อมและคุณภาพชีวติ ของมนุษย์ไม่แพ้มลพิษทางอากาศ มลพิษทางน�า้
และมลพิษทางดิน การจัดการหรือปรับปรุงแหล่งก�าเนิดเสียงให้มกี า� ลังเสียงลดลงจะท�าให้ระดับเสียงลดลง
จัดเป็นวิธีการลดมลพิษทางเสียงวิธีหนึ่ง โดยปัญหามลพิษทางเสียงส่วนใหญ่เกิดจากยานพาหนะต่าง ๆ
ที่มีอายุการใช้งานมากหรือเกิดจากการดัดแปลงท่อไอเสียให้มีเสียงดัง ในกรณีที่เราไม่สามารถแก้ไข
ความดังของเสียงจากแหล่งก�าเนิดเสียงได้ สามารถป้องกันตนเองได้เบื้องต้น เช่น การใช้ที่อุดหูหรือ
ที่ครอบหูที่มีการติดตั้งวัสดุเก็บเสียง เป็นต้น
T153
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูสนทนากับนักเรียน โดยถามคําถามเชื่อม- 3. หูกบั การได้ยนิ การได้ยนิ เป็นการท�างานประสานกันระหว่างหูกบั สมอง โดยหูทา� หน้าที่
โยงไปถึงวิชาวิทยาศาสตรชีวภาพ (ชีววิทยา) ส่งผ่านคลื่นเสียงจากแหล่งก�าเนิดเสียงไปสู่สมอง ส่วนสมองท�าหน้าที่แปลความหมายของเสียงที่
วา “นักเรียนทราบหรือไมวาหูแบงเปนกี่สวน ได้ยิน กล่าวคือ เมื่อคลื่นเสียงเคลื่อนที่มาถึงหู หูชั้นนอกจะส่งคลื่นเสียงที่ได้รับผ่านทางรูหูไปยัง
แตละสวนประกอบดวยอะไรบาง” จากนั้นครู เยื่อแก้วหู เยื่อแก้วหูจะเริ่มสั่นและถ่ายทอดการสั่นไปยังกระดูก 3 ชิ้น ในหูชั้นกลาง กระดูก 3 ชิ้น
ทิง้ ชวงเวลาใหนกั เรียนคิด แลวอาจสุม นักเรียน จะส่งผ่านการสั่นนี้เข้าสู่หูชั้นในผ่านทางหน้าต่างรูปไข่
เพื่อตอบคําถาม และครูยังไมเฉลยวาคําตอบ
นั้นถูกหรือผิด
ส่วนประกอบของËÙ
2. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง หูกับการไดยิน จาก
หนังสือเรียน หูชั้นนอก หูชั้นกลาง หูชั้นใน
3. ครูอาจเนนยํ้าใหนักเรียนทําความเขาใจและ ประกอบด้วย ใบหูและรูหู ประกอบด้วย เยือ่ แก้วหู กระดูก ประกอบด้วย คอเคลีย หลอด
จดจําใหไดวาหูแตละสวนประกอบดวยอะไร ท�าหน้าที่ รับเสียงจากภายนอก ค้อน กระดูกทั่ง กระดูกโกลน ครึ่งวงกลม ประสาทรับเสียง
บาง เป็ น ทางผ่ า นของเสี ย งและ ท�าหน้าที่ ขยายเสียงให้ดังขึ้น ท�าหน้าที่ รับรูก้ ารสัน่ ของคลืน่
ขยายสัญญาณเสียงบางความถี่ และลดเสี ย งให้ เ บาลง เพื่ อ เสียง แปลงสัญญาณเสียงเป็น
4. ครูใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ป้องกันเสียงไม่ให้เข้าไปท�าลาย สัญญาณประสาท พร้ อ มทั้ ง
สวนประกอบของหูจากอินเทอรเน็ต เพื่อให หู ชั้ น ใน และปรั บ ความดั น ส่งสัญญาณการรับรู้ผ่านเส้น
ใบหู
เกิดความเขาใจมากยิ่งขึ้น อากาศภายในหูให้เท่ากับความ ประสาทไปยังสมอง และสมอง
ดั น อากาศภายนอกหู หาก จะท�าหน้าที่แปลสัญญาณที่ได้
5. ครูสมุ ถามนักเรียนเกีย่ วกับสวนประกอบของหู ความดันไม่เท่ากันจะท�าให้ ประสาทรับเสียง
เพื่อตรวจสอบวานักเรียนมีความตั้งใจในการ หูออื้
ศึกษาคนควาหรือไม เชน หูชั้นนอก ประกอบ กระดูกค้อน
ดวยอะไรบาง และทําหนาที่อะไร เยื่อแก้วหู
(แนวตอบ ประกอบดวยใบหูและรูหู ทําหนาทีร่ บั
คอเคลีย
เสียงจากภายนอก เปนทางผานของเสียง และ
ขยายสัญญาณเสียงบางความถี่) คลื่นเสียง
รูหู 1
ท่อยูสเตเชียน
กระดูกทั่ง กระดูกโกลน
T154
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. บีต เสียงที่ดังจากแหล่งก�าเนิดแหล่งเดียวจะดังสม�่าเสมอ ส่วนเสียงที่ได้ยินจากแหล่ง 6. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง บีต จากหนังสือ
ก�าเนิดสองแหล่งที่มีความถี่ต่างกันเล็กน้อย เมื่อเคลื่อนผ่านบริเวณเดียวกันในตัวกลางหนึ่ง ผู้ฟัง เรียน
จะได้ยินเสียงที่ดังค่อยสลับกันตลอดเวลา และเป็นจังหวะคงตัว เรียกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ว่า 7. ครูแบงนักเรียนออกเปนกลุม กลุม ละประมาณ
บีต (beat) ซึ่งเกิดจากการรวมกันของคลื่นสองขบวนที่มีความถี่ไม่เท่ากัน ถ้าความถี่มีค่าต่างกัน 6 คน โดยคละความสามารถของนักเรียน
เล็กน้อย เสียงบีตจะได้ยินเป็นจังหวะช้า ๆ แต่ถ้าความถี่มีค่าต่างกันมากขึ้น เสียงบีตที่ได้ยินจะ ตามผลสัมฤทธิ์ เพื่อรวมกันศึกษากิจกรรม
เป็นจังหวะเร็วขึ้น ถ้าคลื่นเสียงสองขบวนนั้นมีความถี่เป็น f1 และ f2 ซึ่งมีค่าต่างกันเล็กน้อยและ การเกิดบีตของเสียงจากหนังสือเรียน
มีแอมพลิจูดเท่ากัน คลืน่ ลัพธ์ที่ได้จากการรวมกันหรือแทรกสอดกันของคลืน่ ทั้งสองขบวน จะเป็น
ดังภาพที่ 4.26 8. ครูชี้แจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกตอง
คลื่นขบวนที่ 1 9. ครูใหความรูเ พิม่ เติมหรือเทคนิคเกีย่ วกับการ
ความถี่ f1
ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม
คลื่นขบวนที่ 2 ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน
ความถี่ f2 10. นักเรียนแตละกลุม รวมกันพูดคุยวิเคราะหผล
f1 มากกว่า f2 เล็กน้อย
การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน
คลื่นสองขบวน 11. ครูเนนยํา้ ใหนกั เรียนตอบคําถามทายกิจกรรม
รวมกัน
จากหนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว
เฟส เฟส เฟส เฟส เฟส เฟส เฟส
ตรงกัน ตรงข้าม ตรงกัน ตรงข้าม ตรงกัน ตรงข้าม ตรงกัน 12. ในระหว า งที่ นั ก เรี ย นปฏิ บั ติ กิ จ กรรม ครู
แอมพลิจูด เดินสังเกตการณและคอยใหคําปรึกษาเมื่อ
ของคลื่นลัพธ์ นักเรียนเกิดปญหา หรือมีขอสงสัยเกี่ยวกับ
กิจกรรม
ภาพที่ 4.26 การซ้อนทับระหว่างคลื่นสองขบวนท�าให้เกิดบีตของเสียง อธิบายความรู
ที่มา : คลังภาพ อจท.
1. ครูสนทนารวมกับนักเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติ
จากภาพที่ 4.26 จะพบว่า แอมพลิจดู ของคลืน่ ลัพธ์ไม่คงตัว สอดคล้องกับการทีค่ วามดัง กิจกรรมวาเกิดปญหาหรือมีอุปสรรคอะไรบาง
ของเสียงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กล่าวคือ เสียงจะดังขึ้นจนสุดแล้วเบาลงสุดสลับกัน โดยความถี่
ของเสียงที่ได้ยินจะมีค่าเท่ากับค่าเฉลี่ยของความถี่ของเสียงจากคลื่นเสียงทั้งสองขบวน สามารถ ในระหวางปฏิบัติตามขั้นตอนการปฏิบัติ
หาได้จากสมการ f = (f1 + f2)/2 ส่วนจ�านวนครั้งที่เกิดเสียงดังในแต่ละวินาที หรือจ�านวนบีตที่ 2. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาหนาชัน้ เรียน
เกิดขึ้นในแต่ละวินาทีเท่ากับผลต่างของความถี่ของคลื่นเสียงทั้งสองขบวน ซึ่งเรียกว่า ความถี่บีต เพื่อนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม
(beat frequency) สามารถหาได้จากสมการ fb = | f1 - f2|
เนือ่ งจากเสียงติดหูมนุษย์อยูป่ ระมาณ 0.1 วินาที ในทางทฤษฎีมนุษย์จงึ รับรูบ้ ตี ทีม่ คี วาม
ถีบ่ ตี ไม่เกิน 10 เฮิรตซ์ เพราะถ้าความถีบ่ ตี สูงกว่านีจ้ ะแยกเสียงดังแต่ละครัง้ ไม่ได้ แต่ในทางปฏิบตั ิ
หูมนุษย์จะรับรู้บีตที่มีความถี่บีตไม่เกิน 7 เฮิรตซ์เท่านั้น
คลื่น 141
T155
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
3. ครูสุมนักเรียนเพื่อถามคําถามที่เกี่ยวของกับ กิจกรรม การเกิดบีตของเสียง
กิจกรรม เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจหลังปฏิบตั ิ
กิจกรรม ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
• การสังเกต จØ´ปรÐʧค
4. ครูและนักเรียนทุกคนรวมกันอภิปรายผลทาย • การลงความเห็นจากข้อมูล
• การพยากรณ์
เพื่อศึกษาการเกิดบีตของเสียง
กิจกรรมและสรุปความรูรวมกัน จิตวิทยาศาสตร์ ÇÑÊ´ØอØปกร³
• ความอยากรู้อยากเห็น
5. ครู อ ธิ บ ายความรู เ พิ่ ม เติ ม หลั ง จากปฏิ บั ติ • ความมีเหตุผล 1. ล�าโพง 2 ตัว 3. เครื่องก�าเนิดสัญญาณเสียง 2 เครื่อง
กิจกรรมเกี่ยวกับประโยชนของบีต จากกรอบ 2. สายไฟต่อวงจร 4 เส้น
Science Focus จากหนังสือเรียน Çิ¸Õป¯ิºÑµิ
ขยายความเขาใจ 1. ต่อล�าโพงตัวหนึง่ เข้ากับเครือ่ งก�าเนิดสัญญาณเสียงเครือ่ งหนึง่ ด้วยสายไฟต่อวงจร โดยต่อลักษณะเดียวกัน
เป็น 2 ชุด แล้วน�ามาจัดวาง ดังภาพที่ 4.27
1. ครูนาํ อภิปรายสรุปเนือ้ หาโดยเปด PowerPoint ปุมปรับความถี่อย่างหยาบ
เรื่องที่สอนควบคูไปดวย ปุมปรับความถี่อย่างละเอียด ปุมปรับความดัง ปุม เปิด-ปิด
2. ครูใหนักเรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรื่อง เสียง ช่องส�าหรับต่อล�าโพง
ลงในกระดาษ A4
3. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
ของตนเองหนาชั้นเรียน
4. ครูแจกใบงาน เรื่อง สมบัติของคลื่นเสียง ให
นักเรียนศึกษาและลงมือทํา เสร็จแลวรวบรวม
สงครูทายชั่วโมง
5. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัด เรื่อง
เสียง จากแบบฝกหัด วิทยาศาสตรกายภาพ 2 ภาพที่ 4.27 การจัดวางอุปกรณกิจกรรมการเกิดบีตของเสียง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
(ฟสิกส) ม.5
2. หมุนปุมเลือกความถี่ของเครื่องก�าเนิดสัญญาณเสียงทั้งสองเครื่องไปที่ 1 กิโลเฮิรตซ์ แล้วหมุนปุมปรับ
ความดังให้เสียงจากล�าโพงทั้งสองดังพอควรและดังเท่ากัน
ขัน้ สรุป 3. ให้ผู้ฟังไปยืนด้านหน้าล�าโพงทั้งสองโดยยืนตรงแนวกึ่งกลางระหว่างล�าโพงทั้งสอง แล้วฟังเสียงจากล�าโพง
ตรวจสอบผล ทั้งสอง
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ 4. หมุนปุม ปรับความถีอ่ ย่างละเอียดของเครือ่ งก�าเนิดสัญญาณเสียงเครือ่ งหนึง่ เพือ่ ให้เสียงจากเครือ่ งก�าเนิด
คลื่นเสียง สมบัติของคลื่นเสียง เพื่อใหนักเรียน สัญญาณเสียงมีความถี่ต่างกันเล็กน้อย แล้วให้ผู้ฟังไปยืนฟังเสียงจากล�าโพงทั้งสองตัวที่ต�าแหน่งเดิม
เปรียบเทียบกับเสียงที่ได้ยินจากล�าโพงทั้งสองตัวในข้อที่ 3.
ทุ ก คนได มี ค วามเข า ใจในเนื้ อ หาที่ ไ ด ศึ ก ษา
5. ปิดเครือ่ งก�าเนิดสัญญาณเสียงเครือ่ งทีห่ มุนปรับความถีล่ ะเอียด แล้วให้ผฟู้ งั ไปยืนฟังเสียงจากล�าโพงทีเ่ หลือ
มาแลวไปในทางเดียวกัน และเปนความเขาใจที่ ที่ต�าแหน่งเดิม เปรียบเทียบกับเสียงที่ได้ยินจากล�าโพงทั้งสองตัวในข้อ 3. และ 4.
ถูกตอง โดยครูใหนักเรียนเขียนสรุปความรูลงใน
สมุดบันทึกประจําตัว 142
ขอสอบเนน การคิด
รถไฟ 2 ขบวน กําลังแลนเขาสูช านชาลาตามรางคูข นานจากทิศตรงกันขาม พรอมกับเปดหวูดความถี่ 325 เฮิรตซ ขบวนหนึง่ แลนดวยอัตราเร็ว
15 เมตรตอวินาที นายสถานีซึ่งอยูที่สถานีรถไฟไดยินเสียงหวูดเปนจังหวะ 5 ครั้งตอวินาที ถาอัตราเร็วของเสียงในอากาศเทากับ 340 เมตรตอ
วินาที รถไฟอีกขบวนหนึ่งกําลังแลนดวยอัตราเร็วเทาใด
1. 9.28 เมตรตอวินาที 2. 10.15 เมตรตอวินาที 3. 12.10 เมตรตอวินาที
4. 14.55 เมตรตอวินาที 5. 15.11 เมตรตอวินาที
(วิเคราะหคําตอบ จากสมการ fb = f1 - f2 340 = ( 335
325 )(340 - x)
vt vt
fb = f0 ( v - v ) - f0 ( v - v )
t s t s
340 - x = (340)(325)
335
340 340
5 = 325 (340 - 15 ) - 325 (340 - x ) 340 - x = 329.85
x = 10.15 m/s
5 = 340 - 325(340340- x )
จะไดวา รถไฟอีกขบวนหนึ่งกําลังแลนดวยอัตราเร็วเทากับ 10.15
325(340340- x ) = 335 เมตรตอวินาที ดังนั้น ตอบขอ 2.)
340 = 335
340 - x 325
T156
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน เรือ่ ง สมบัติ
1. เสียงที่ได้ยินจากแหล่งก�าเนิดเสียงแหล่งเดียวกับเสียงที่ได้ยินจากแหล่งก�าเนิดเสียงสองแหล่งที่มีความถี่ ของคลื่นเสียง
เท่ากันตรงแนวกึ่งกลางระหว่างแหล่งก�าเนิดทั้งสองต่างกันอย่างไร เพราะเหตุใด 2. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง เสียง จากแบบ-
2. เสียงที่ได้ยินจากแหล่งก�าเนิดเสียงแหล่งเดียวกับเสียงที่ได้ยินจากแหล่งก�าเนิดเสียงสองแหล่งที่มีความถี่
ต่างกันเล็กน้อยต่างกันอย่างไร เพราะเหตุใด
ฝกหัด วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5
3. เสียงที่ได้ยินจากแหล่งก�าเนิดเสียงสองแหล่งที่มีความถี่ต่างกันเล็กน้อยกับเสียงที่ได้ยินจากแหล่งก�าเนิด 3. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
เสียงสองแหล่งทีม่ คี วามถีเ่ ท่ากัน ตรงแนวกึง่ กลางระหว่างแหล่งก�าเนิดทัง้ สองต่างกันอย่างไร เพราะเหตุใด ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
และการทํางานกลุม
อภิปรำยผลท้ำยกิจกรรม 4. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป
บีตเกิดจากการแทรกสอดของคลื่นเสียงสองขบวนที่มีความถี่ต่างกันเล็กน้อย (น้อยกว่า 7 เฮิรตซ์) ซึ่ง เนื้อหา เรื่อง เสียง ที่นักเรียนไดสรางขึ้นจาก
เคลือ่ นผ่านบริเวณเดียวกันในตัวกลางหนึง่ ผลจากการแทรกสอดดังกล่าวท�าให้ผฟู้ งั ทีอ่ ยูท่ จี่ ดุ หนึง่ ในบริเวณนัน้ ขั้นขยายความเขาใจเปนรายบุคคล
ได้ยนิ เสียงทีม่ คี วามดังเปลีย่ นแปลงตลอดเวลา โดยจะได้ยนิ เสียงดังมากเมือ่ ส่วนอัดของคลืน่ ทัง้ สองมาถึงหูผฟู้ งั
พร้อมกัน แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา ส่วนอัดของคลื่นขบวนหนึ่งจะมาถึงหูของผู้ฟังพร้อมกับส่วนขยายของคลื่น
อีกขบวนหนึ่ง ผู้ฟังจึงไม่ได้ยินเสียงหรือได้ยินเสียงเบา ๆ ในช่วงเวลาหนึ่งซึ่งมีค่ามากกว่าคาบของคลื่นแต่ละ
ขบวนมาก ผู้ฟังจะได้ยินเสียงดังขึ้นจนดังที่สุดและเบาลงจนเบาที่สุดหรือเงียบหายไปสลับกันเป็นช่วง ๆ
กล่าวคือ ผู้สังเกตจะได้ยินเสียงดัง-ค่อยสลับกันเป็นจังหวะคงตัว
ส่วนการแทรกสอดของเสียงจากแหล่งก�าเนิดเสียงอาพันธ์ทใี่ ห้เสียงซึง่ เฟสเริม่ ต้นตรงกัน ตรงแนวกึง่ กลาง
ระหว่างแหล่งก�าเนิดเสียงทั้งสองจะเป็นแนวปฏิบัพกลาง ซึ่งเป็นแนวที่คลื่นเสียงทั้งสองขบวนแทรกสอดแบบ
เสริมกัน บนแนวนี้จึงได้ยนิ เสียงดังตลอดเวลา โดยแอมพลิจูดของคลื่นเสียงที่เกิดจากการแทรกสอดแบบเสริม แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
กันของคลืน่ เสียงจากแหล่งก�าเนิดเสียงอาพันธ์จะมีคา่ เป็นสองเท่าของแอมพลิจดู ของคลืน่ เสียงแต่ละขบวนทีม่ า
รวมหรือแทรกสอดกัน 1. ถึงแมวาจะไดยินเสียงดังตลอดเวลาเหมือนกัน
แตเสียงที่ไดยินจากแหลงกําเนิดเสียงสองแหลง
ที่ความถี่เทากันตรงแนวกึ่งกลางระหวางแหลง
กําเนิดทั้งสองจะดังกวา เพราะอยูบนแนวการ
Science Focus แทรกสอดแบบเสริม
ประโยชน์ของบีต 2. เสียงทีไ่ ดยนิ จากแหลงกําเนิดแหลงเดียวจะไดยนิ
บีตใช้ในการปรับเทียบเสียงดนตรีจากเครื่องดนตรี โดยให้เครื่องดนตรีที่ต้องการปรับเทียบเสียง
เพียงเสียงดังตลอดเวลา แตเสียงที่ไดยินจาก
ตัวโน้ตหนึ่งเปล่งเสียงออกมาพร้อมกับส้อมเสียงหรืออุปกรณ์ส�าหรับเทียบเสียงดนตรีอื่น ๆ ที่ให้เสียงที่มี แหลงกําเนิดเสียงสองแหลงทีต่ า งกันเล็กนอยจะ
ความถี่เท่ากับความถี่มาตรฐานของเสียงตัวโน้ตเดียวกัน ถ้าได้ยินเสียงบีตแสดงว่าคลื่นเสียงจากแหล่ง เปนเสียงดัง-คอยสลับกันเปนจังหวะคงตัว
ก�าเนิดทัง้ สองมีความถีต่ า่ งกันไม่มากนัก ให้ปรับสภาพแหล่งก�าเนิดของแหล่งก�าเนิดเสียงของดนตรี เช่น 3. เสียงที่ไดยินจากแหลงกําเนิดเสียงสองแหลงที่
ปรับความตึงของสายกีตาร์จนเสียงบีตหายไป เมื่อให้เสียงออกมาพร้อมกัน เสียงตัวโน้ตนั้นจะมีความถี่
เท่ากับความถี่มาตรฐาน
ตางกันเล็กนอยจะเปนเสียงดัง-คอยสลับกันเปน
จังหวะคงตัว แตเสียงที่ไดยินจากแหลงกําเนิด
เสียงสองแหลงที่ความถี่เทากันตรงแนวกึ่งกลาง
คลื่น 143
ระหวางแหลงกําเนิดทั้งสองจะไดยินเสียงดัง
ตลอดเวลา
T157
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
1. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย น โดยถามคํ า ถามกั บ 5. ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ เมือ่ แหล่งก�าเนิดเสียงให้เสียงออกมา เสียงก็จะกระจายออก
นักเรียนเพื่อเปนการกระตุนความสนใจ เชน ไปทุกทิศทางด้วยความถี่ที่เท่ากัน ถ้าแหล่งก�าเนิดเสียงหยุดนิ่งเราจะพบว่าเสียงที่ผู้ฟังได้ยินจะมี
นักเรียนคิดวา เสียงที่มีความถี่เปลี่ยนไปจาก ความถี่เดียวกับที่แหล่งก�าเนิดเสียงให้ออกมา
ความถี่เดิมจะเปนอยางไร ถ้าแหล่งก�าเนิดเสียงและผูฟ้ งั เคลือ่ นทีส่ มั พัทธ์กนั ผูฟ้ งั จะได้ยนิ เสียงทีม่ คี วามถีต่ า่ งไปจาก
(แนวตอบ ความถีส่ งู กวาเดิมจะไดยนิ เสียงแหลม ความถี่ของเสียงจากแหล่งก�าเนิดเสียง ผลดังกล่าวนี้ เรียกว่า ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ (Doppler
แตถาความถี่ตํ่ากวาเดิมจะไดยินเสียงทุม) effect) เพื่อให้เกียรติคริสเตียน ดอปเพลอร์ (Christian Doppler) ซึ่งเป็นคนแรกที่อธิบาย
2. ครูแจงใหนกั เรียนทราบวาจะไดศกึ ษาเกีย่ วกับ ปรากฏการณ์นี้ เมือ่ ป พ.ศ. 2385 โดยปรากฏการณ์นจี้ ะเกิดขึน้ เมือ่ แหล่งก�าเนิดเสียงเคลือ่ นที่ ผูฟ้ งั
เคลื่อนที่ หรือทั้งแหล่งก�าเนิดเสียงและผู้ฟังเคลื่อนที่ ผู้ฟังจะได้ยินเสียงที่มีความถี่เปลี่ยนไป
ปรากฏการณดอปเพลอร การสัน่ พองของเสียง
และประโยชนของเสียง
3. ครูสนทนากับนักเรียนวา “สําหรับปรากฏการณ B A
ดอปเพลอร เปนปรากฏการณทผี่ ฟู ง ไดยนิ เสียง
เปลีย่ นไปจากเดิม โดยไมปรับเปลีย่ นเสียงจาก
แหลงกําเนิด”
4. ครูถามนักเรียนตอวา “ถาไมปรับเสียงจาก
แหลงกําเนิดเสียง แลวความถี่เสียงเปลี่ยนไป
ไดอยางไร” โดยครูทิ้งชวงเวลาใหนักเรียนคิด
ภาพที่ 4.28 ปรากฏการณดอปเพลอรของเสียง
และอาจสุมนักเรียนใหแสดงความคิดเห็นจาก ที่มา : คลังภาพ อจท
ความรูเดิม
(แนวตอบ แหลงกําเนิดเสียงหรือผูฟงเคลื่อนที่ จากภาพที่ 4.28 ผูฟ้ งั A และ B ยืนอยูร่ มิ ถนน ขณะนัน้ มีรถฉุกเฉินคันหนึง่ เคลือ่ นทีเ่ ข้าหา
ดวยความเร็วสัมพัทธที่ไมเทากับศูนย) ผูฟ้ งั A และในขณะเดียวกันก็เคลือ่ นทีห่ า่ งออกไปจากผูฟ้ งั B ไซเรนของรถฉุกเฉินปลดปล่อยเสียง
ความถี่ค่าหนึ่งออกมา ผลจากการเคลื่อนที่ของรถท�าให้ไซเรนเกิดการเคลื่อนที่ด้วย การเคลื่อนที่
ไปพร้อมกับรถท�าให้หน้าคลืน่ ของคลืน่ เสียงอัดตัวกันทางด้านหน้ารถและขยายออกทางด้านท้ายรถ
เนื่องจากระยะห่างระหว่างหน้าคลื่นที่อยู่ถัดกัน คือ ความยาวคลื่น ดังนั้น ความยาวคลื่นของเสียง
จากไซเรนที่ปรากฏต่อผู้ฟัง A จึงมีค่าน้อยกว่าความยาวคลื่นของเสียงจากไซเรนที่ปรากฏต่อ
ผูฟ้ งั B ท�าให้ผฟู้ งั A ทีแ่ หล่งก�าเนิดเสียงเคลือ่ นทีเ่ ข้าหาจะได้ยนิ เสียงความถีส่ งู กว่าเสียงจากแหล่ง
ก�าเนิดเสียง ขณะที่ผู้ฟัง B ที่แหล่งก�าเนิดเสียงเคลื่อนที่ห่างออกไปได้ยินเสียงความถี่ต�่ากว่าเสียง
จากแหล่งก�าเนิดเสียง
สรุปได้ว่า เมื่อแหล่งก�าเนิดเสียงเคลื่อนเข้าหาผู้สังเกตที่อยู่นิ่ง เสียงที่ผู้สังเกตได้ยินจะมี
ความถี่สูงกว่าเสียงจากแหล่งก�าเนิดเสียง แต่ถ้าแหล่งก�าเนิดเสียงเคลื่อนออกห่างผู้สังเกตที่อยู่นิ่ง
เสียงที่ผู้สังเกตได้ยินจะมีความถี่ต�่ากว่าเสียงจากแหล่งก�าเนิดเสียง
144
T158
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
6. การสั่นพ้องของเสียง เมื่อคลื่นเสียงตกกระทบหรือ 1. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง ปรากฏการณดอป-
เคลื่อนที่ผ่านตัวกลางด้วยความถี่เท่ากับความถี่ธรรมชาติของ เพลอรจากหนังสือเรียน
วัตถุหรือตัวกลางนัน้ ท�าให้วตั ถุหรือตัวกลางนัน้ สัน่ ด้วยแอมพลิจดู 2. ครูใหนกั เรียนศึกษา เรือ่ ง การสัน่ พองของเสียง
สูงกว่าปกติและเกิดเสียงดังมาก เรียกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่า จากหนังสือเรียน
การสั่นพ้องของเสียง (sound resonance) ตัวอย่างการเกิดการ 3. ครูเตรียมขวดเปลา 2 ขวด โดยขวดใบหนึง่ เปน
สัน่ พ้องของเสียงทีพ่ บเห็นได้ทวั่ ไป ได้แก่ การเปาลมผ่านปากขวด ขวดเปลา สวนขวดอีกใบเติมนํา้ ลงไป 1/3 ของ
แล้วเกิดเสียงดังขึ้น ดังภาพที่ 4.29 ขวด จากนั้นสุมนักเรียนออกมาหนาชั้นเรียน
ลมทีเ่ ปาผ่านปากขวดท�าให้เกิดการหมุนวนของอากาศ ภาพที่ 4.29 การเกิดการสั่นพ้องของ แลวใหนกั เรียนลองปฏิบตั ติ ามเนือ้ หา เรือ่ ง การ
ซึ่งส่งผลให้เกิดส่วนอัดและส่วนขยายของอากาศ ท�าให้เกิดเสียง เสีที่มยางจากการเป าลมผานปากขวด
: คลังภาพ อจท. สัน่ พองของเสียง จากหนังสือเรียน เพือ่ ทดสอบ
ดังขึ้น เนื่องจากโมเลกุลของอากาศบริเวณปากขวดสั่นได้อย่าง วาผลที่เกิดขึ้นจะเปนอยางไร
อิสระ ขณะทีก่ น้ ขวดขัดขวางการสัน่ ของโมเลกุลของอากาศ ท�าให้ได้ยนิ เสียงความถีค่ า่ หนึง่ ดังจาก
บริเวณปากขวด ถ้าเทน�้าลงไปในขวดแล้วเปาลมผ่านปากขวดใหม่ จะได้ยินเสียงที่มีความถี่สูงขึ้น
ดังจากบริเวณปากขวด ความถี่ของเสียงจากการเปาลมผ่านปากขวดจึงขึ้นอยู่กับความยาวของ
ล�าอากาศในขวด และเพื่อยืนยันว่าการเกิดเสียงดังจากการเปาลมผ่านปากขวดเป็นผลจากการ
กระตุน้ ให้อากาศภายในขวดสัน่ ด้วยความถีเ่ ท่ากับความถีธ่ รรมชาติ ให้นา� ขวดทีม่ ขี นาดเท่ากันและ
มีรูปทรงเหมือนกัน (เพื่อให้มีความถี่ธรรมชาติเท่ากัน) มา 2 ใบ ถือขวดทั้งสองไว้ โดยให้ปากขวด
ใบแรกอยู่ใกล้ปากและให้ปากขวดใบที่สองอยู่ใกล้ช่องหู จากนั้นเปาลมผ่านปากขวดใบแรก
ดังภาพที่ 4.30 (ก) ผลที่เกิดขึ้น คือ จะได้ยินเสียงดังบริเวณปากขวดใบที่สองที่อยู่ใกล้หู โดยเสียง
ที่ได้ยินจะดังพอกันและทุ้ม-แหลมเหมือนกัน (ความถี่เท่ากัน) กับเสียงที่เกิดจากการเปาลมผ่าน
ปากขวดใบแรก จากนั้นใส่น�้าลงไปในขวดใบแรก ถือขวดทั้งสองไว้แบบเดิม แล้วเปาลมผ่านปาก
ขวดใบแรก ดังภาพที่ 4.30 (ข) จนเกิดเสียงดังขึน้ บริเวณปากขวดใบแรก แต่ครัง้ นีจ้ ะไม่ได้เกิดเสียง
ดังขึ้นบริเวณปากขวดใบที่สอง เนื่องจากความยาวของล�าอากาศในขวดทั้งสองไม่เท่ากัน ความถี่
ธรรมชาติของอากาศในขวดทั้งสองมีค่าไม่เท่ากัน
(ก) (ข)
ภาพที่ 4.30 การทดลองเปาปากขวดเพื่อกระตุ้นให้อากาศภายในขวดสั่นด้วยความถี่ธรรมชาติ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
คลื่น 145
ขอสอบเนน การคิด
หลอดปลายปดดานหนึ่งยาว 20 เซนติเมตร เมื่อใหเสียงความถี่ตางๆ ตั้งแต 20-5,000 เฮิรตซ เขาทางปลายดานที่เปด พบวา จะไดยินเสียง
ดังมากกวาปกติ มีความถี่ตํ่าสุดและสูงสุดเทาใด ถาอัตราเร็วเสียงในอากาศเทากับ 360 เมตรตอวินาที และความยาวคลื่นเทากับ 80 เซนติเมตร
1. 450-4,500 เฮิรตซ 2. 450-4,850 เฮิรตซ 3. 450-4,950 เฮิรตซ 4. 900-4,500 เฮิรตซ 5. 900-4,950 เฮิรตซ
(วิเคราะหคําตอบ จากขอบเขตความถี่ที่โจทยกําหนด เริ่มคิดที่ความถี่ตํ่าสุด (f0)
จากสมการ v = fλ
360 = f0(0.8)
f0 = 360
0.8 = 450 Hz
ความถี่ถัดไปจะเปนจํานวนคี่เทา 3f0 = (3)(450) = 1,350 Hz
5f0 = (5)(450) = 2,250 Hz
⋮
11f0 = (11)(450) = 4,950 Hz
จะไดวา เสียงดังมากกวาปกติที่ความถี่ตํ่าสุด 450 เฮิรตซ และความถี่สูงสุด 4,950 เฮิรตซ ดังนั้น ตอบขอ 3.)
T159
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ครูอาจนําสอมเสียงขนาดตางๆ พรอมกับชุด การเปลีย่1นแปลงค่าความถีธ่ รรมชาติตามความยาวของล�าอากาศในขวดหรือท่อ ทดสอบ
ทดลองทอสัน่ พองของเสียง มาแสดงใหนกั เรียน ได้โดยใช้ส้อมเสียง ซึ่งส้อมเสียงเป็นแหล่งก�าเนิดเสียงอย่างหนึ่ง ส้อมเสียงแต่ละอันจะมีความถี่
ศึ ก ษาประกอบกั บ การศึ ก ษาเนื้ อ หา จาก ธรรมชาติในการสั่นอยู่ค่าหนึ่ง เมื่อเคาะเบา ๆ ที่ขาข้างหนึ่งของส้อมเสียง ส้อมเสียงจะสั่นและ
หนังสือเรียน ให้เสียงความถี่ค่านั้นออกมา โดยส้อมเสียงที่มีความถี่สูงจะสั้นกว่าส้อมเสียงที่มีความถี่ต�่า ซึ่ง
5. ครูใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สอดคล้องกับความยาวของอากาศในขวด
การสั่นพองของเสียงจากอินเทอรเน็ต จากนั้น ความถี่ต�่า ความถี่สูง
ใหนักเรียนเขียนสรุปความรูลงในสมุดบันทึก
ประจําตัว
6. ครูใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับ ประโยชนของ
เสียงจากหนังสือเรียน
7. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แผ น พั บ ความรู ข นาด A4
เกี่ยวกับประโยชนของเสียง โดยครูกําหนดให
มีการยกตัวอยางการนําความรู เรื่อง เสียงไป ภาพที่ 4.31 ส้อมเสียงที่มีความถี่ต่างๆ กัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ประยุกตใช ซึ่งเปนตัวอยางที่ไมซํ้ากับหนังสือ
เรียน ถาเวลาไมพอครูอาจกําหนดใหนักเรียน เมือ่ เคาะส้อมเสียงอันหนึง่ แล้วถือไว้เหนือปากท่อของอุปกรณ์ทเี่ รียกว่า ท่อสัน่ พ้องเสียง
(resonance tube) จากนัน้ เพิม่ ความยาวของล�าอากาศในท่อโดยการลดระดับน�า้ ในท่อลงช้า ๆ (ตอน
นํากลับไปทําเปนการบาน แลวนํามาสงใน
เริ่มต้นให้เติมระดับน�้าสูงเกือบถึงปากท่อ) เมื่อความยาวของล�าอากาศในท่อมีค่าเหมาะสมจะเกิด
ชั่วโมงถัดไป การสั่นพ้องขึ้น และเสียงจากการสั่นพ้องจะแทรกสอดกับเสียงจากส้อมเสียงท�าให้เกิดคลื่นนิ่งที่
มีแอมพลิจูดมากกว่าแอมพลิจูดของเสียงจากส้อมเสียงมาก ท�าให้ได้ยินเสียงซึ่งดังกว่าเสียงจาก
ส้อมเสียง ซึง่ ดังขึน้ บริเวณปากท่อ โดยความถีข่ องเสียงทีไ่ ด้ยนิ นี้ มีคา่ เท่ากับความถีข่ องส้อมเสียง
กระปองสามารถเลื่อนขึ้น
ท่อแก้วหรือท่อพลาสติกใส และเลื่อนลงเพื่อเพิ่มความ
ระดับน�้า ยาวของล�าอากาศได้
สเกล (cm) ส�าหรับอ่านค่า
ความยาวของล�าอากาศ สายยาง
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
7. ประโยชน์ของเสียง เสียงไม่ได้มปี ระโยชน์ตอ่ มนุษย์เพียงใช้ในการพูดคุย ติดต่อสือ่ สาร 1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น สนทนาเกี่ ย วกั บ
สร้างความบันเทิง หรือเตือนภัยเท่านั้น มนุษย์ยังน�าความรู้เรื่องเสียงมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ประโยชน ข องเสี ย งจากตั ว อย า งที่ มี อ ยู ใ น
อีกมากมาย โดยสร้างเครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อาศัยสมบัติบางประการของเสียง ตัวอย่าง หนังสือเรียน
เช่น 2. ครูสุมนักเรียนอธิบายความรูเกี่ยวกับการนํา
• เครือ่ งอัลตราซาวนด์ (ultrasound) ทีใ่ ช้ในทางการแพทย์ เป็นอุปกรณ์ทใี่ ช้ตรวจอวัยวะ ความรูเกี่ยวกับเสียงไปประยุกตใช
ภายในของผู1 ้รับการตรวจ เช่น หัวใจ มดลูก ครรภ์ เนื้องอก เป็นต้น โดยเครื่องอัลตราซาวนด์จะ
ส่งคลื่นดลหรือพัลส์ (pulse) ของคลื่นเหนือเสียง (ความถี่อยู่ในช่วง 1- 5 เมกะเฮิรตซ์) ผ่านผิวหนัง ขยายความเขาใจ
เข้าไปในร่างกายผูร้ บั การตรวจ และจะเกิดสัญญาณสะท้อนกลับมายังเครือ่ งรับคลืน่ สะท้อน จากนัน้ 1. ครูนาํ อภิปรายสรุปเนือ้ หาโดยเปด PowerPoint
จะเปลีย่ นสัญญาณสะท้อนเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งต่อไปยังเครือ่ งวิเคราะห์สญั ญาณ เพือ่ ประมวลผล เรื่องที่สอนควบคูไปดวย
ออกมาเป็นภาพบนจอแสดงผล เช่น การตรวจครรภ์ด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ เป็นต้น 2. ครูใหนกั เรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรือ่ ง ปรากฏ-
• อุปกรณ์โซนาร์ (sonar) ท�างานโดยส่งคลืน่ เหนือเสียงไปกระทบวัตถุแล้วสะท้อนกลับเพือ่ การณดอปเพลอร ลงในกระดาษ A4
หาต�าแหน่งของวัตถุ อุปกรณ์โซนาร์ใช้ในการเดินเรือ การวัดความลึกของทะเล การท�าแผนที่พื้น 3. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
ทะเล การประมง (หาต�าแหน่งของฝูงสัตว์น�้า) การติดตามเรือ เรือด�าน�้า และขีปนาวุธ เป็นต้น ของตนเองหนาชั้นเรียน
ในการวัดความลึกของทะเล อุปกรณ์สง่ คลืน่ เหนือเสียง (transmitter) จะส่งพัลส์ของคลืน่ 4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาและทํ า แบบฝ ก หั ด จาก
เหนือเสียงออกไปตกกระทบและสะท้อนกลับจากพืน้ ทะเลเข้าสูอ่ ปุ กรณ์รบั คลืน่ เหนือเสียง ความลึก Topic Question เรื่อง คลื่นกล จากหนังสือ
ของทะเลหาจากเวลาทีผ่ า่ นไปนับจากการส่งพัลส์ของคลืน่ เหนือเสียงออกไปจนได้รบั คลืน่ ทีส่ ะท้อน
เรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว แลวนํามาสง
กลับจากพืน้ ทะเล โดยอุปกรณ์โซนาร์จะน�าเวลาทีต่ รวจวัดได้ไปค�านวณและแสดงผลให้ทราบความลึก
ครูทายชั่วโมง
ของทะเลบนจอแสดงผลของอุปกรณ์โซนาร์ในเวลาอันรวดเร็ว
5. ครูมอบหมายการบานใหนกั เรียนทําแบบฝกหัด
เรือ่ ง ปรากฏการณดอปเพลอร จากแบบฝกหัด
วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสกิ ส) ม.5 มาสงครู
อุปกรณ์ส่งและรับ อุปกรณ์ส่งคลื่น ในชั่วโมงถัดไป
คลื่นเหนือเสียง เหนือเสียง
อุปกรณ์รับคลื่น
คลื่นเหนือเสียง เหนือเสียง
ที่ส่งออกมา คลื่นเหนือเสียง คลื่นเหนือเสียง
ที่สะท้อนกลับ ที่ส่งออกมา
คลื่นเหนือเสียง
ที่สะท้อนกลับ
T161
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ • การเปลงเสียงของมนุษย เสียงที่มนุษยเปลงออกมาตองอาศัยการเปด-ปดโพรงหรือชอง
ปรากฏการณดอปเพลอร การสั่นพองของเสียง ตาง ๆ ที่ทําใหเกิดการสั่นพอง ไมวาจะเปนชองคอ โพรงจมูก ชองปาก ประกอบกับอวัยวะในชอง
ประโยชนของเสียง เพื่อใหนักเรียนทุกคนไดมี ปาก เชน ลิ้น ฟน เพดานปาก ริมฝปาก เปนตน
ความเขาใจในเนื้อหาที่ไดศึกษามาแลวไปในทาง โพรงจมูก ชองปาก
เดียวกัน และเปนความเขาใจที่ถูกตอง โดยครู เพดานแข็ง เพดานออน
ให นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู ล งในสมุ ด บั น ทึ ก
ริมฝปาก คอหอย
ประจําตัว
ฟน ลิ้นเปด-ปดกลองเสียง
ขัน้ ประเมิน ลิ้น
ตรวจสอบผล กลองเสียง หลอดอาหาร
1. ครู ต รวจสอบผลจากการทํ า แผ น พั บ ความรู
เรื่อง ประโยชนของเสียง
2. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question เรือ่ ง ภาพที่ 4.34 อวัยวะตางๆ ในระบบการเปลงเสียงของมนุษย
คลื่นกล ในสมุดบันทึกประจําตัว ที่มา : คลังภาพ อจท.
3. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง เสียง จากแบบ- การสั่นพองดังกลาวทําใหเกิดเสียงพยัญชนะหรือสระของภาษาที่ตองการพูด โดยเสียง
ฝกหัด วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 ในภาษาเกิดจากลมจากปอดผานทอลม กลองเสียง เมื่อลมผานเสนเสียงภายในกลองเสียง
4. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ เสนเสียงจะสั่นทําใหเกิดเสียง และขณะที่ลมผานชองปากหรือชองจมูก อวัยวะตาง ๆ เชน ลิ้น
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล เพดานปาก ปุมเหงือก ฟน ริมฝปาก จะปรับระดับลมใหเปนเสียงตาง ๆ ตามที่ผูพูดตองการ
และการทํางานกลุม Topic
5. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป Question
เนื้อหา เรื่อง ปรากฏการณดอปเพลอร ที่
?
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
นักเรียนไดสรางขึ้นจากขั้นขยายความเขาใจ
1. คลื่นตามยาวและคลื่นตามขวางมีความเหมือนหรือตางกัน อยางไร
เปนรายบุคคล
2. การเห็นฟาแลบแลวไมไดยินเสียงฟารองดังตามมาเปนผลจากสมบัติใดของเสียง
3. เสียงที่หูมนุษยรับรูไดมีความถี่อยูในชวงใด และระดับความดังของเสียงที่หูมนุษยรับฟงได
มีคาอยูในชวงใด
4. ผูฟงเคลื่อนที่เขาหาแหลงกําเนิดเสียงที่อยูนิ่ง จะไดยินเสียงที่มีความถี่สูงกวาหรือตํ่ากวา
ความถี่ของเสียงจากแหลงกําเนิดเสียง ปรากฏการณที่เกิดขึ้นนี้เรียกวาปรากฏการณอะไร
5. ความถี่ธรรมชาติของอากาศภายในทอสัมพันธกับความยาวของลําอากาศอยางไร
148
รายการประเมิน
3
ระดับคะแนน
2 1
3. เสียงที่หูมนุษยรับรูไดมีความถี่อยูในชวง 20 เฮิรตซ ถึง 20,000 เฮิรตซ
และระดับความดังของเสียงที่หูมนุษยรับฟงไดมีคาอยูในชวง 0-120
1 การแสดงความคิดเห็น
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
4 ความมีน้าใจ
เดซิเบล
5 การตรงต่อเวลา
รวม
เกณฑ์การให้คะแนน
............/.................../................
4. ปรากฏการณดอปเพลอร
5. ความถี่ธรรมชาติของอากาศภายในทอมีคาตํ่าลงเมื่อความยาวของ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน
14–15
ระดับคุณภาพ
ดีมาก
ลําอากาศเพิ่มขึ้น
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T162
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
2. คลื่นแม่เËล็กไ¿¿‡า Prior Knowledge 1. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับการเกิดสนาม
มนุษย์รู้จักและคุ้นเคยกับคลื่นกลมานานจนถึงป พ.ศ. คล×¹è áม‹àËลçกä¿¿‡ำ แมเหล็ก การเกิดกระแสไฟฟาเหนี่ยวนําใน
2416 เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ (James Clerk Maxwell) ได้ µ‹ำ§จำกคล×¹è กล ขดลวดตัวนํา คลื่นและสมบัติของคลื่น เพื่อ
เสนอทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเสนอว่ามีคลื่นอีกชนิดหนึ่ง อย‹ำ§äร ทบทวนความรูของนักเรียนกอนเขาสูกิจกรรม
ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสนามไฟฟ้
1 าและสนามแม่เหล็ก การจัดการเรียนรู
และเดินทางผ่านสุญญากาศได้ เรียกว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟา (electromagnetic waves; EM) ต่อมา 2. ครูตั้งคําถามใหเปนเปาหมายสําหรับนักเรียน
ในป พ.ศ. 2431 ไฮน์ริช รูดอล์ฟ เฮิรตซ์ (Heinrich Rudolf Hertz) ได้ท�าการทดลองแล้วพบว่า โดยเมือ่ จบกิจกรรมการจัดการเรียนรู นักเรียน
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีอยู่จริงในธรรมชาติส�าเร็จเป็นคนแรก โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เฮิรตซ์
จะตองตอบคําถามนี้ไดอยางถูกตอง ครบถวน
ค้นพบในครั้งนั้น คือ คลื่นวิทยุ และจากการศึกษาในเวลาต่อมาพบว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีหลาย
รูปแบบและมีความถี่ต่อเนื่องกันเป็นช่วงกว้าง ซึ่งพิจารณาได้จาก สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟา และตรงประเด็น เชน “คลื่นแมเหล็กไฟฟาคือ
ที่น�าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารูปแบบต่าง ๆ มาจัดเรียงกันตามความถี่หรือความยาวคลื่น อะไร เกิดขึ้นไดอยางไร คลื่นแมเหล็กไฟฟา
มีสมบัติเหมือนคลื่นกลที่ไดศึกษามาแลวหรือ
2.1 ลักษ³ะของคลื่นแม่เËล็กไ¿¿‡า ไม อยางไร”
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าประกอบด้วยสนามแม่เหล็ก (B) และสนามไฟฟ้า (E) ที่เปลี่ยนแปลง 3. ครูแจงจุดประสงคการเรียนรูใหนักเรียนทราบ
ตามเวลาในระนาบทีต่ งั้ ฉากกัน โดยการเหนีย่ วน�ากันอย่างต่อเนือ่ งระหว่างสนามแม่เหล็กและสนาม 4. ครูถามคําถามกระตุนความสนใจกับนักเรียน
ไฟฟ้าที่เป็นส่วนประกอบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นกลไกในการแผ่ออกไปจากแหล่งก�าเนิดของ โดยใชคําถาม Prior Knowledge จากหนังสือ
คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า เนือ่ งจากการเหนีย่ วน�าระหว่างสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าเกิดขึน้ ได้แม้แต่
ในสุญญากาศ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจึงเคลื่อนผ่านสุญญากาศได้ และการเคลื่อนที่แบบคลื่นจะมีการ เรียนวา “คลื่นแมเหล็กไฟฟาตางจากคลื่นกล
ถ่ายโอนพลังงานไปพร้อม ๆ กับคลื่นด้วย คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจึงเป็นปรากฏการณ์การถ่ายโอน อยางไร”
พลังงานด้วยคลืน่ จากแหล่งก�าเนิดเช่นเดียวกับคลืน่ กล แต่ตา่ งจากคลืน่ กลตรงทีค่ ลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า
ไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการถ่ายโอนพลังงาน ส�าหรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทิศการเคลื่อนที่หรือ
ทิศการถ่ายโอนพลังงานของคลื่นอยู่ในทิศเดียวกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
Y E คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นตามขวาง
เพราะสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าทีเ่ ป็นส่วน
E c c ประกอบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเปลี่ยนแปลง
B
O B ในแนวตั้ ง ฉากกั บ ทิ ศ การเคลื่ อ นที่ ข องคลื่ น
B E เมื่ อ วั ต ถุ ใ ดดู ด กลื น คลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟ้ า ที่ ม า
Z ตกกระทบอุณหภูมขิ องวัตถุนนั้ จะสูงขึน้ แสดงว่า
X มีการถ่ายโอนพลังงานไปพร้อมกับคลืน่ แม่เหล็ก แนวตอบ Prior Knowledge
E
B ไฟฟ้าเช่นเดียวกับคลื่นกล
คลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า เป น คลื่ น ชนิ ด หนึ่ ง ที่ ไ ม
ภาพที่ 4.35 ส่วนประกอบและทิศทางการเคลื่อนที่ของ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟา อาศัยอนุภาคตัวกลางในการเคลื่อนที่หรือถายโอน
ที่มา : คลังภาพ อจท. พลังงาน ซึ่งตางจากคลื่นกล เชน เสียง ที่ตอง
คลื่น 149
อาศัยอนุภาคตัวกลางในการเคลื่อนที่หรือถายโอน
พลังงาน
T163
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นทีน่ งั่ ขางๆ จากนัน้ 2.2 สเปกตรัมคลื่นáม‹เËล็กไ¿¿‡า
รวมกันศึกษา เรื่อง คลื่นแมเหล็กไฟฟา ใน หลังการค้นพบคลื่นวิทยุของเฮิรตซ์ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารูปอื่น ๆ
หัวขอลักษณะของคลื่นแมเหล็กไฟฟา และ อีกหลายชนิด และพบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความถี่ต่อเนื่องกันเป็นช่วงกว้าง (104 เฮิรตซ์ ถึง
สเปกตรัมคลืน่ แมเหล็กไฟฟาจากหนังสือเรียน 1023 เฮิรตซ์) คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกย่านความถี่ (หรือความยาวคลื่น) รวมกัน เรียกว่า สเปกตรัม
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาข อ มู ล เพิ่ ม เติ ม จากสื่ อ คลื่นแม่เหล็กไฟฟา (electromagnetic spectrum) ดังภาพที่ 4.36
ดิจิทัล โดยครูใหนักเรียนนําสมารตโฟนขึ้นมา
แลวนําไปสแกน QR Code เรือ่ ง คลืน่ แมเหล็ก-
วิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสงขาว อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ รังสีแกมมา
ไฟฟา จากหนังสือเรียน
3. ครูแนะนําใหนักเรียนคนควาขอมูลเพิ่มเติม
จากอินเทอรเน็ต และรวบรวมขอมูลที่เกี่ยวกับ
สเปกตรัมคลื่นแมเหล็กไฟฟาใหไดมากที่สุด
จากนั้นรวมกันสนทนา แลวอภิปรายผลการ
ศึกษารวมกัน
104 - 109 108 - 1012 1011 - 1014 1014 1015 - 1018 1016 - 1019 1019 - 1023
ช่วงความถี่ -6(Hz)
103 10-2 10-5 5 × 10 10-8 10-10 10-12
ความยาวคลื่น (m)
150 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
T164
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
2.3 แสง 4. ครูใหนักเรียนแตละคูรวมกันศึกษา เรื่อง แสง
แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพียงชนิดเดียวที่นัยน์ตามนุษย์สามารถรับรู้ได้ แสงจากแหล่ง จากหนังสือเรียน
ก�าเนิดธรรมชาติที่ส�าคัญมาก คือ แสงจากดวงอาทิตย์หรือแสงแดด ซึ่งเป็นแสงใสไม่มีสี เรียกว่า 5. ครูใหนักเรียนคนควาขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
แสงขาว (white light) แต่เมื่อแสงขาวหักเหผ่านปริซึมหรือผ่านละอองน�้าในอากาศจะแยกออก สเปกตรัมของแสงขาวตามความยาวคลืน่ จาก
เป็นแสงสีต่าง ๆ อินเทอรเน็ต โดยพยายามรวบรวมขอมูลที่
เกี่ยวของใหไดมากที่สุด
แสงที่มนุษย์สามารถมอง
เห็นได้ หรือแสงขาว
สเปกตรัมของแสงขาว
ปริซึมสามเหลี่ยม
ภาพที่ 4.37 แสงขาวตกกระทบผิวปริซึมสามเหลี่ยมแล้วเกิดการกระจายแสง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
รังส )
ีอัลต (IR
ราไ เรด
วโอ
เลต อี ินฟรา
(UV รังส
)
T165
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
6. ครูถามคําถามกับนักเรียนวา “นักเรียนทราบ 1. ตากับการมองเห็น ตาของมนุษยมรี ปู ทรงเกือบเปนทรงกลม ภายในมีของเหลวใสบรรจุ
หรือไมวาตาของมนุษยมีสวนประกอบอะไร อยู โดยมีเนื้อเยื่อที่เหนียวและแข็งแรงหุมไวจึงคงรูปรางอยูได ตาอยูในโพรงชองวางของกะโหลก
บาง และทําหนาที่อะไร” ศีรษะใตหนาผากที่เรียกวาเบาตาหรือกระบอกตา โดยมีกลามเนื้อยึด 6 มัด ชวยใหกลอกตาไปมา
(แนวตอบ ตาของมนุษยมสี ว นประกอบมากมาย ได สวนประกอบตาง ๆ ของตาพิจารณาไดจากภาพที่ 4.39
1
และสวนประกอบตางๆ ก็มีหนาที่แตกตางกัน สเคลอรา (sclera)
(
ไป เชน กระจกตา ทําหนาที่เปนทางผานของ กระจกตา (cornea) ส ว นสี ข าวของนั ย น ต า เป น
ทางผานของแสงเขาสูตา เนื้อเยื่อชั้นนอกที่หอหุมลูกตา
แสงเขาสูตา มานตา ทําหนาที่ควบคุมปริมาณ
มานตา (iris) จอตา (retina)
แสงที่จะผานไปสูเลนสตา) ควบคุมปริมาณแสงที่จะ จอประสาทตา ชวยใหมองภาพ
7. ครูอาจถามคําถามตอวา “การทีม่ นุษยมองเห็น ผานไปสูเลนสตา ไดชัดเจน
วัตถุเปนสีตางๆ เกิดจากอะไร” รูมานตา (pupil) เสนประสาทตา (optic nerve)
ทางผานของแสงเขาสู ตัวสงผานการกระตุนของการ
(แนวตอบ เกิดจากการที่แสงตกกระทบจอตา เลนสตา มองเห็ น จากจอประสาทตา
ซึ่งมีเซลลรับแสงอยู ทําใหมนุษยมองเห็นวัตถุ เลนสตา (lens) มายังสมอง
เปนสีตางๆ ได) ทําใหแสงหักเหแลวไปตก กลามเนื้อยึดเลนสตา
บนจอตา (ciliary muscle)
ควบคุมความนูนของเลนสตา
ภาพที่ 4.39 โครงสรางของนัยนตา
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การมองเห็นเปนการทํางานรวมกันของตาและสมอง การมองเห็นชวยใหจดจําและแยก
ความแตกตางของสิง่ ตาง ๆ ไดดกี วาการไดยนิ และการสัมผัส โดยการมองเห็นวัตถุเปนสีตา ง ๆ นัน้
เกิดจากการที่แสงตกกระทบจอตา (retina) ซึ่งมีเซลลรับแสงที่ประกอบดวยเซลลรูปแทงและเซลล
รูปกรวย ดังภาพที่ 4.40
เซลลรูปแทง
เซลลรูปกรวย
เซลลประสาทสองขั้ว
เซลลปมประสาท
T166
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1
เซลล์รูปแท่ง (rod cells) รับรู้เกี่ยวกับความเข้มแสงและการเคลื่อนไหว เซลล์รูปแท่งมี 8. ครูใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับการมองเห็นภาพ
ความไวต่อแสงความเข้มต�่ามากกว่าเซลล์รูปกรวย (cone cells) แต่แยกความแตกต่างของสีไม่ได้ จากหนังสือเรียน จากนัน้ ครูอาจสุม นักเรียนให
การมองเห็นในเวลากลางคืนจึงเกิดจากการท�างานของเซลล์รปู แท่ง โดยภาพทีเ่ ห็นจะเป็นภาพขาว ยืนขึน้ แลวอธิบายการมองเห็นภาพของมนุษย
ด�า เซลล์รปู กรวยรับรูเ้ กีย่ วกับสีโดยต้องการแสงพอประมาณและท�าหน้าทีไ่ ด้ดใี นทีท่ มี่ แี สงสว่างมาก จากที่ไดศึกษามาแลว
เซลล์รปู แท่งและเซลล์รปู กรวยเชือ่ มต่อกันด้วยเซลล์ประสาทและใยประสาท โดยใยประสาทจะรวม 9. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นเกี่ ย วกั บ การมองเห็ น
กันเป็นเส้นประสาทตา (optic nerve) ซึ่งเป็นทางผ่านของสัญญาณไฟฟ้าเคมี (electrochemical ภาพ จากนั้ น ครู แ บ ง นั ก เรี ย นออกเป น กลุ ม
signal) ที่เซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวยสร้างขึ้นเพื่อน�าข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เห็นไปยังสมอง
โดยใชเกณฑการแบงตามความผิดปกติทาง
เซลล์ทงั้ สองชนิดมีปริมาณและกระจายตัวอยูใ่ นบริเวณต่าง ๆ บนจอตาไม่เท่ากัน โดยเซลล์
สายตา ไดแก สายตาปกติ สายตาสั้น สายตา
รูปแท่งมีประมาณ 20 เท่าของเซลล์รูปกรวย บริเวณบนจอตาที่ไม่มีเซลล์รูปแท่งอยู่เลย เรียกว่า
มาคูลา (macula) จุดกึ่งกลางของมาคูลา เรียกว่า โฟเวีย (fovea) ใช้ส�าหรับเพ่งดูรายละเอียดของ ยาว สายตาเอียง แลวใหนักเรียนแยกเขากลุม
ภาพให้เห็นชัดที่สุดและใช้แยกความแตกต่างของสีต่าง ๆ และบางบริเวณไม่มีทั้งเซลล์รูปแท่งและ ของตนเอง
เซลล์รูปกรวยอยู่เลย เรียกบริเวณนั้นว่า จุดบอด (blind spot) ซึ่งแสงที่ตกบริเวณนั้นจะไม่มีภาพ
เกิดขึ้น
การมองเË็นÀาพ
4
1 2
1 2 3 4 5
แสงจากวัตถุผ่าน ม่านตาหดหรือขยายตัว แสงหักเหผ่าน เซลล์รูปแท่งและเซลล์ เกิดกระแสประสาท
กระจกตา เพื่อปรับปริมาณแสงที่ เลนส์ตาไปตก รูปกรวยรับแสงและสี ส่งไปยังสมอง ท�าให้
เข้าตา บนจอตา ของวัตถุ มองเห็นภาพ
T167
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
10. ครูใหแตละกลุมรวมกันศึกษาเกี่ยวกับความ แสงจากวัตถุทผี่ า่ นระบบหักเหแสงของตาจะรวมกันแล้วตกลงบนจอตาพอดี โดยต�าแหน่ง
ผิดปกติทางสายตาจากหนังสือเรียน ใกล้สุดในการมองวัตถุที่ตามองเห็นภาพชัดเจน เรียกว่า จุดใกล้ (near point) และต�าแหน่ง
11. สมาชิ ก แต ล ะกลุ ม ร ว มกั น สนทนาและ ไกลสุดทีต่ าเห็นภาพชัดเจน เรียกว่า จุดไกล (far point) ส�าหรับคนทีม่ สี ายตาปกติ จุดใกล้จะอยูท่ รี่ ะยะ
อภิ ป รายผลการศึ ก ษาร ว มกั น จากนั้ น ครู ห่างประมาณ 25 เซนติเมตร จากตา โดยไม่ตอ้ งเพ่งมอง และจุดไกลสุดจะอยูท่ รี่ ะยะอนันต์ ดังภาพ
กําหนดใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานํา ที่ 4.42
เสนอผลการศึกษาของกลุมตนเองหนาชั้น จุดไกล (∞)
เรียน
12. ครูถามคําถามกับนักเรียนวา “นอกจากความ 25 cm
ผิดปกติทางสายตาที่ไดศึกษามาแลว ยังมี จุดใกล้
ความผิดปกติหรือความบกพรองอะไรอีกบาง ภาพที่ 4.42 จุดไกลและจุดใกล้ของคนสายตาปกติ
ที่เกี่ยวกับการมองเห็น” ที่มา : คลังภาพ อจท.
(แนวตอบ ความบกพรองของการมองเห็นสี) ส�าหรับคนที่มีความผิดปกติทางสายตา ได้แก่ สายตาสั้น (myopia) สายตายาว (hyperopia)
13. ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น ศึ ก ษา และสายตาเอียง (astigmatism) มีสาเหตุและวิธีแก้ไข ดังภาพที่ 4.43
เกี่ ย วกั บ ความบกพร อ งของการมองเห็ น สี สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง
จากหนังสือเรียน
25 cm
วัตถุ
ระยะใกล้สุดที่เห็นชัด
แก้ไข : สวมแว่นตาทีท่ า� จากเลนส์เว้า แก้ไข : สวมแว่นตาทีท่ า� จากเลนส์นนู แก้ไข : สวมแว่ น ตาที่ ท� า จากเลนส์
เพื่ อ กระจายแสงให้ ไ ปตกที่ เพือ่ รวมแสงให้ไปตกทีจ่ อภาพ ทรงกระบอกหรือเลนส์กาบ
จอภาพพอดี พอดี กล้วย เพื่อรวมแสงให้ไปตก
ที่จอภาพพอดี
ภาพที่ 4.43 ความผิดปกติทางสายตาและการแก้ไข
ที่มา : คลังภาพ อจท.
154
T168
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
ระบบหักเหแสงของตาท�าให้เกิดภาพจริงหัวกลับของวัตถุบนจอตา แต่สมองจะแสดงเป็น 1. ครูนําตัวอยางแผนทดสอบการบอดสีอิชิฮารา
ภาพกลับกันกับภาพบนจอตาเพื่อสร้างภาพของวัตถุที่รับรู้จากการมองเห็นในสภาพการวางตัว มาแสดงใหนักเรียนดู
ทีแ่ ท้จริงของวัตถุนนั้ ส่วนสีของวัตถุทมี่ องเห็นนัน้ เป็นผลจากการรับรูข้ องเซลล์รปู กรวย 3 ชนิด ซึง่ 2. ครูใหนกั เรียนออกมาหนาชัน้ เรียนแลวทดสอบ
มีความไวต่อสีต่างกัน คือ เซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน�้าเงิน กล่าวคือ การบอดสีทีละ 1 คน จนครบทุกคน เพื่อ
เมื่อแสงตกกระทบผิววัตถุ วัตถุจะดูดกลืนแสงสีบางสีไว้ ซึ่งขึ้นกับสารสีหรือเม็ดสี (pigment)
เปนการตรวจสอบความบกพรองของการมอง
บนผิววัตถุ แล้วสะท้อนแสงสีทเี่ หลือออกมา เมือ่ แสงสีทสี่ ะท้อนออกมาจากผิววัตถุเข้าสูต่ า ผลจาก
การรับรู้ร่วมกันของเซลล์รูปกรวยทั้ง 3 ชนิด ท�าให้มองเห็นวัตถุเป็นสีต่าง ๆ เห็นสีของตนเอง
มนุษย์อาจมีความบกพร่องในการมองเห็นสีได้ โดยอาจเกิดจากพันธุกรรม การได้รบั สาร 3. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับสเปกตรัมของ
เคมีบางชนิดเข้าสู่ร่างกาย หรือจากสาเหตุอื่น ๆ ความบกพร่องของการมองเห็นสีของมนุษย์แบ่ง แสงขาวตามความยาวคลื่น โดยครูอาจสุม
ออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ดังนี้ นักเรียนใหอธิบายวาชวงแสงแตละสีอยูใ นชวง
1) ความไวในการมองเห็นสีน้อยกว่าปกติ เป็นความบกพร่องในลักษณะที่มองเห็นสี ความยาวคลื่นใดบาง
บางสีได้น้อยกว่าคนที่มีการมองเห็นสีปกติ แบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ ความไวในการมองเห็นสีแดง 4. ครูและนักเรียนรวมกันอธิบายความรูเกี่ยวกับ
น้อยกว่าปกติ ความไวในการมองเห็นสีเขียวน้อยกว่าปกติ และความไวในการมองเห็นสีน�้าเงิน ตากับการมองเห็น
น้อยกว่าปกติ
2) การบอดสี (color blindness) เป็นความบกพร่องในการมองเห็นสีที่เกิดจากการขาด
หายไปของเซลล์รปู กรวยบนจอตา กล่าวคือ บนจอตามีเซลล์รปู กรวยเพียงสองชนิดหรือเพียงชนิด
เดียว ถ้าบนจอตามีเซลล์รูปกรวยเพียงสองชนิด การบอดสีจะมี 3 แบบ ได้แก่
• การบอดสีแดง บนจอตาไม่มีเซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีแดง คนที่ตาบอดสีแดงจะ
เห็นเฉพาะสีน�้าเงินสีเหลือง สีเทา และสีผสมระหว่างสีทั้งสาม
• การบอดสีเขียว บนจอตาไม่มีเซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีเขียว คนที่ตาบอดสีเขียว
จะเห็นเฉพาะสีน�้าเงิน สีเหลือง สีเทา และสีผสมระหว่างสีทั้งสาม เช่นเดียวกับตาบอดสีแดง
• การบอดสีน�้าเงิน บนจอตาไม่มีเซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีน�้าเงิน คนที่ตาบอด
สีน�้าเงินจะเห็นเฉพาะสีเขียว สีแดง สีเทา และสีผสมระหว่างสีทั้งสาม โดยการบอดสีน�้าเงินพบ
น้อยกว่าการบอดสีแดงและการบอดสีเขียวทั้งชายและหญิง
Science Focus
แผ่นทดสอบการบอดสี
การบอดสีทดสอบได้โดยใช้แผ่นทดสอบการบอดสีทจี่ กั ษุแพทย์
นิยมใช้ คือ แผ่นทดสอบการบอดสีอชิ ฮิ ารา (Ishihara test for color
blindness) ออกแบบโดย ดร.ชิโนบุ อิชิฮารา มีทั้งหมด 38 แผ่น
แต่ในทางการแพทย์การใช้แผ่นทดสอบดังกล่าวเพียง 4 แผ่น ก็เพียงพอ
ที่จะตรวจสอบได้แล้วว่าบุคคลที่รับการทดสอบนั้นมีอาการตาบอดสี
หรือไม่
ภาพที่ 4.44 แผ่นทดสอบการบอดสี
ที่มา : คลังภาพ อจท.
คลื่น 155
T169
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย น โดยเป ด ประเด็ น ว า 2. การผสมแสงสี การผสมสารสี และการใชประโยชน การมองเห็นสีตาง ๆ นอกจาก
การที่มนุษยเรามองเห็นภาพ เกิดจากแสงไป จะขึ้นกับเซลลรับแสงของตาแลว ยังขึ้นอยูกับแสงสีที่ตกกระทบวัตถุและสารสีบนวัตถุ เมื่อฉาย
กระทบกับจอตาซึ่งมีเซลลรับแสงอยู ทําใหเรา แสงขาวลงบนวัตถุทึบแสง วัตถุจะดูดกลืนแสงบางสีไวและสะทอนแสงบางสีออกมา โดยการเห็น
มองเห็นภาพตางๆ แลวนักเรียนทราบหรือไมวา วัตถุมสี นี นั้ จะขึน้ อยูก บั วาวัตถุสะทอนแสงสีใดเขาสูต า เพราะแสงสีทสี่ ะทอนออกมาจากวัตถุจะเปน
สี ข องวั ต ถุ ห รื อ แสงสี ต า งๆ นั้ น เกิ ด ขึ้ น ได แสงสีเดียวกับสีของวัตถุ
อยางไร 1) การผสมแสงสีและการใชประโยชน หากทดลองฉายแสงสีแดง แสงสีเขียว และแสง
2. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง การผสมแสงสีและ สีนํ้าเงิน ที่มีความเขมเทา ๆ กัน ใหซอนทับกันบนฉากขาวจะไดแสงขาว เหมือนกับการนําแสงสี
การใชประโยชน จากหนังสือเรียน ตาง ๆ ในสเปกตรัมของแสงขาวทุกแสงสีมาผสมกัน แตเมือ่ ลองนําแสงสีอนื่ ๆ ในสเปกตรัมแสงขาว
3. ครูแบงนักเรียนออกเปนกลุม กลุม ละประมาณ ที่มีความเขมเทากันมาผสมกัน ปรากฏวาไมไดแสงขาว จึงเรียกแสงสีแดง (red; R) แสงสีเขียว
6 คน โดยคละความสามารถของนักเรียนตาม (green; G) และแสงสีนํ้าเงิน (blue; B) รวมกันวา แสงสีปฐมภูมิ (primary colour light) และ
ผลสัมฤทธิ์ (เกง ปานกลาง ออน) ใหอยูใน แสงสีปฐมภูมิคูหนึ่ง ๆ ที่มีความเขมเทากันมาผสมกันบนฉากขาว จะปรากฏผล ดังภาพที่ 4.45
กลุมเดียวกัน เพื่อรวมกันศึกษากิจกรรมการ แดง เหลือง เขียว
ผสมแสงสีบนฉากขาวจากหนังสือเรียน โดย
ใหนักเรียนแตละกลุมกําหนดใหสมาชิกแตละ
คนมีบทบาทหนาที่ของตนเอง
แสงขาว
แดงมวง นํ้าเงินเขียว
นํ้าเงิน
ภาพที่ 4.45 การผสมแสงสีปฐมภูมิบนฉากขาว
ที่มา : คลังภาพ อจท.
156
T170
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
¡Ô¨¡ÃÃÁ ¡ÒüÊÁáʧÊÕº¹©Ò¡¢ÒÇ 4. ครูชี้แจงจุดประสงคของกิจกรรมใหนักเรียน
ทราบ เพื่อเปนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกตอง
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
• การสังเกต ¨Ø´»ÃÐʧ¤ 5. ครูใหความรูเพิ่มเติมหรือเทคนิคเกี่ยวกับการ
• การจําแนกประเภท
• การลงความเห็นจากขอมูล
เพื่อตรวจสอบทฤษฎีการผสมแสงสี ปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทุกกลุม
จิตวิทยาศาสตร ÇÑÊ´ØÍØ»¡Ã³ ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน
• ความมีเหตุผล
• ความรวมมือชวยเหลือ 1. ชุดไฟแสงสีปฐมภูมิ 6. นักเรียนแตละกลุมรวมกันพูดคุยวิเคราะหผล
• การเห็นคุณคาทางวิทยาศาสตร
2. ฉากรับแสง (สีขาว) การปฏิบัติกิจกรรม แลวอภิปรายผลรวมกัน
7. ครูเนนยํ้าใหนักเรียนตอบคําถามทายกิจกรรม
ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ จากหนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว
1. จัดชุดอุปกรณ ดังภาพที่ 4.46
เพื่อนําสงครูเปนการตรวจสอบความเขาใจ
จากการปฏิบัติกิจกรรม
8. ครูใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษา เรื่อง
การผสมสารสีและการใชประโยชน จากนั้น
แตละกลุม รวมกันอภิปรายผลการศึกษาภายใน
กลุม
ภาพที่ 4.46 การจัดอุปกรณกิจกรรมการผสมแสงสีบนฉากขาว
ที่มา : คลังภาพ อจท.
2. เปดสวิตชของหลอดไฟทั้งสามสี ปรับกระบอกบรรจุหลอดไฟใหแสงจากหลอดไฟทั้งสามสีไปซอนทับกัน
บนฉากขาว จากนั้นหมุนปุมปรับความเขมของแสงแตละสี สังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ปรับความ
เขมของแสงแตละสีจนสวนที่ซอนทับกันของทั้งสามแสงสีเปนแสงขาว (กลมกลืนกับฉาก)
3. ปดสวิตชของหลอดไฟสีนํ้าเงิน แลวปรับกระบอกบรรจุหลอดไฟใหแสงจากหลอดไฟสีแดงซอนทับกับแสง
จากหลอดไฟสีเขียว สังเกตสีของบริเวณที่แสงสีทั้งสองซอนทับกัน สังเกตแลวบันทึกผล
4. ปดสวิตชของหลอดไฟสีเขียวแลวเปดสวิตชของหลอดไฟสีนาํ้ เงินอีกครัง้ ปรับกระบอกบรรจุหลอดไฟใหแสง
จากหลอดไฟสีแดงซอนทับกับแสงจากหลอดไฟสีนํ้าเงิน สังเกตสีของบริเวณที่แสงสีทั้งสองซอนทับกัน
แลวบันทึกผล
5. ปดสวิตชของหลอดไฟสีแดงแลวเปดสวิตชของหลอดไฟสีเขียวอีกครั้ง ปรับกระบอกบรรจุหลอดไฟใหแสง
จากหลอดไฟสีนํ้าเงินซอนทับกับแสงจากหลอดไฟสีเขียว สังเกตสีของบริเวณที่แสงสีทั้งสองซอนทับกัน
แลวบันทึกผล
6. เปดสวิตชหลอดไฟสีแดงอีกครั้ง แลวปรับกระบอกบรรจุหลอดไฟใหแสงจากหลอดไฟสีแดงซอนทับกับ
บริเวณที่แสงจากหลอดไฟสีน้ําเงินซอนทับกับแสงจากหลอดไฟสีเขียว (จากขอ 5.) สังเกตผลที่เกิดขึ้น
แลวบันทึกผล
¤Å×è¹ 157
บันทึก กิจกรรม
1. เหลือง
บริเวณที่แสงสีแดงซอนทับกับแสงสีเขียวเปนแสงสี ..................................................
2. แดงมวง
บริเวณทีแ่ สงสีแดงซอนทับกับแสงสีนาํ้ เงินเปนแสงสี ................................................
3. นํ้าเงินเขียว
บริเวณที่แสงสีนํ้าเงินซอนทับกับแสงสีเขียวเปนแสงสี ..............................................
4. บริเวณที่แสงสีแดงซอนทับกับบริเวณที่แสงสีนํ้าเงินซอนทับแสงสีเขียวเปน
ขาว
แสงสี ..............................................
T171
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
1. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาหนาชัน้ เรียน ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
เพื่อนําเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม 1. แสงสีคู่ใดบ้างที่เป็นแสงสีเติมเต็มกันและกัน โดยเมื่อน�ามาผสมกันแล้วท�าให้ได้แสงขาว
2. ครูสุมนักเรียนเพื่อถามคําถามที่เกี่ยวของกับ 2. ถ้าต้องการได้แสงสีผสมเป็นโทนสีตา่ ง ๆ ของสีแสด จากสีออ่ นทางด้านใกล้แสงสีเขียวไปเป็นสีเข้มทางด้าน
กิจกรรม เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจหลังปฏิบตั ิ ใกล้แสงสีแดง ต้องท�าการทดลองอย่างไร
กิจกรรม
อภิปรำยผลท้ำยกิจกรรม
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลทายกิจกรรม
และสรุปความรูรวมกัน เมื่อฉายแสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน�้าเงินที่มีความเข้มเท่ากันไปซ้อนทับกันบนฉากขาว บริเวณที่
แสงสีทั้งสามซ้อนทับกันจะเป็นแสงขาว เมื่อปิดหลอดไฟสีน�้าเงิน บนฉากขาวบริเวณที่แสงสีแดงซ้อนทับกับ
แสงสีเขียวจะเป็นแสงสีเหลือง เมือ่ ปิดหลอดไฟสีเขียวแล้วเปิดหลอดไฟสีนา�้ เงินอีกครัง้ บริเวณทีแ่ สงสีแดงซ้อน
ทับกับแสงสีน�้าเงินจะเป็นแสงสีแดงม่วง เมื่อปิดหลอดไฟสีแดงแล้วเปิดหลอดไฟสีเขียวอีกครั้ง บริเวณที่แสง
สีน�้าเงินซ้อนทับแสงสีเขียวจะเป็นแสงสีน�้าเงินเขียว ซึ่งเป็นไปตามหลักการผสมแสงสี และเมื่อเปิดหลอดไฟ
สีแดงอีกครัง้ บริเวณทีแ่ สงสีแดงซ้อนทับแสงสีนา�้ เงินเขียวจะเป็นแสงขาว เนือ่ งจากแสงสีแดงและแสงสีนา�้ เงิน
เขียวเป็นแสงสีเติมเต็มของกันและกัน ถ้าแสงสีหนึง่ มีความเข้มน้อยกว่าอีกแสงสีหนึง่ ทีผ่ สมกันแสงแสงสีผสม
ทีไ่ ด้จะปรากฏเป็นโทนสีตา่ ง ๆ ของแสงสีทไี่ ด้จากการผสมของสองแสงสีนนั้ เมือ่ มีความเข้มเท่ากัน โดยค่อนไป
ทางแสงสีที่มีความเข้มมากกว่า
(ก) มารีนาเบย์แซนส์ (Marina Bay Sands) (ข) การ์เดนส์บายเดอะเบย์ (Gardens by the Bay)
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
ภาพที่ 4.47 ตัวอย่างการแสดงแสงสีของสถานที่ต่างๆ ในประเทศสิงคโปร
1. แสงสีเหลืองกับแสงสีนํ้าเงิน แสงสีแดงมวงกับ ที่มา : คลังภาพ อจท.
แสงสีเขียว แสงสีนํ้าเงินเขียวกับแสงสีแดง
2. ผสมแสงสีเขียวกับแสงสีแดง โดยแสงสีเขียวมี 158
ความเขมขนนอยกวาแสงสีแดง
T172
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
นอกจากจะนําแสงสีมาใชประโยชนในดานการจัดแสดงไฟตามสถานที่ตาง ๆ แลว 1. ครูนาํ อภิปรายสรุปเนือ้ หา โดยเปด PowerPoint
แสงสียังสามารถใชประโยชนในการสรางภาพสีบนจอเครื่องรับโทรทัศนสีและจอแอลอีดีอีกดวย เรื่องที่สอนควบคูไปดวย
โดยการสรางภาพสีบนจอเครือ่ งรับโทรทัศนลว นเปนไปตามหลักการผสมแสงสี แตกระบวนการอาจ 2. ครูใหนักเรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรื่อง แสง
ตางกันตามชนิดของจอ ดังภาพที่ 4.48 ลงในกระดาษ A4
3. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
ของตนเองหนาชั้นเรียน
4. ครูแจกใบงาน เรื่อง คลื่นแมเหล็กไฟฟา ให
นักเรียนนํากลับไปศึกษาเปนการบาน
5. ครูมอบหมายการบานใหนกั เรียนทําแบบฝกหัด
เรื่ อ ง คลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า จากแบบฝ ก หั ด
(ก) จอแบบซีอารที (CRT) (ข) จอแบบผลึกเหลว (LCD) (ค) จอแบบแอลอีดี (LED) วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5 มาสง
ภาพที่ 4.48 การนําหลักการผสมแสงสีไปใชประโยชนดานจอภาพ ครูในชั่วโมงถัดไป
ที่มา : คลังภาพ อจท.
2) การผสมสารสีและการใชประโยชน การสะทอนหรือการดูดกลืนแสงสีใดเปนผลมาจาก
สารสีในวัตถุนั้น โดยวัตถุจะสะทอนแสงสีที่มีสีเดียวกับสารสีในวัตถุออกมาและดูดกลืนแสงสีอื่น ๆ
ไวหมด สารสีผสมกันไดเชนเดียวกับแสงสี แตมผี ลในทางตรงกันขาม กลาวคือ สารสีปฐมภูมมิ ี 3 สี
ไดแก สีนาํ้ เงินเขียว สีแดงมวง และสีเหลือง โดยสีนาํ้ เงินเขียวดูดกลืนสีแดง สีแดงมวงดูดกลืนสีเขียว
สีเหลืองดูดกลืนสีนาํ้ เงิน จึงเรียกวา สารสีปฐมภูมิ ถานําสารสีทงั้ สามมาผสมกันในปริมาณเทา ๆ กัน
จะไดสดี าํ (ขณะทีก่ ารนําแสงสีปฐมภูมมิ าผสมกันในปริมาณเทา ๆ กันจะไดแสงขาว) การผสมสารสี
จึงเรียกอีกอยางหนึ่งวา การผสมสีแบบลบ และเรียกการผสมแสงสีวา การผสมสีแบบบวก ซึ่งเมื่อ
นําสารสีปฐมภูมิหรือแมสีคูหนึ่ง ๆ ปริมาณเทา ๆ กันมาผสมกัน จะปรากฏผล ดังภาพที่ 4.49
นํ้าเงิน
นํ้าเงินเขียว แดงมวง
ดํา
เขียว แดง
เหลือง
ทําใหเกิดสีอื่นๆ ได
T173
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ จากภาพที่ 4.49 จะพิจารณาได้ว่า สารสีแดงม่วงผสมกับสารสีเหลืองจะได้สารสีแดง
ลั ก ษณะของคลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า สเปกตรั ม สารสีแดงม่วงผสมกับสารสีนา�้ เงินเขียวจะได้สารสีนา�้ เงิน และสารสีนา�้ เงินเขียวผสมกับสารสีเหลือง
คลื่นแมเหล็กไฟฟา และแสง เพื่อใหนักเรียน จะได้สารสีเขียว สารสีที่เกิดจากการผสมกันของสารสีปฐมภูมิคู่หนึ่ง ๆ เรียกว่า สารสีทุติยภูมิ
ทุกคนไดมคี วามเขาใจในเนือ้ หาทีไ่ ดศกึ ษามาแลว สารสีทุติยภูมิจึงประกอบด้วยสารสีแดง สารสีน�้าเงิน และสารสีเขียว ซึ่งสารสีปฐมภูมิและสารสี
ไปในทางเดียวกัน และเปนความเขาใจที่ถูกตอง ทุติยภูมิที่ผสมกันแล้วได้สีด�า เรียกว่า สารสีเติมเต็มกันและกัน เช่น สารสีเหลืองกับสารสีน�้าเงิน
โดยครู ใ ห นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู ล งในสมุ ด
สารสีแดงม่วงกับสารสีเขียว
สารสีปฐมภูมเิ ป็นแม่สี การเปลีย่ นแปลงปริมาณของแม่สที นี่ า� มาผสมกันท�าให้ได้สาร
บันทึกประจําตัว
สีทุติยภูมิที่มีโทนสีต่าง ๆ กัน ดังตัวอย่างในภาพที่ 4.50
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครู ต รวจสอบผลจากการทํ า ใบงาน เรื่ อ ง
คลื่นแมเหล็กไฟฟา
2. ครูตรวจสอบแบบฝกหัด เรื่อง คลื่นแมเหล็ก-
ไฟฟา จากแบบฝกหัด วิทยาศาสตรกายภาพ 2
(ฟสิกส) ม.5
3. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ ภาพที่ 4.50 ตัวอยางสารสีที่เกิดจาการผสมแมสี
ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ที่มา : คลังภาพ อจท.
และการทํางานกลุม หลักการผสมสารสีนี้น�าไปใช้ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ งานก่อสร้าง การท�า
4. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป เฟอร์นิเจอร์ และใช้ในระบบการพิมพ์ออฟเซต (offset printing) หรือที่เรียกว่า ระบบสี CMYK
เนื้อหา เรื่อง แสง ที่นักเรียนไดสรางขึ้นจาก ประกอบด้วยสีน�้าเงินเขียว (cyan) สีแดงม่วง (magenta) สีเหลือง (yellow) และสีด�า (key)
ขั้นขยายความเขาใจเปนรายบุคคล นอกจากนี้ หลักการเกีย่ วกับการผสมสารสีและแสงสีสามารถน�าไปอธิบายการมองเห็น
สีของวัตถุทึบแสง และสีของวัตถุโปร่งใสได้ กล่าวคือ เมื่อฉายแสงขาวลงบนวัตถุทึบแสง วัตถุจะ
สะท้อนแสงสีทเี่ ป็นสีเดียวกับสารสีทมี่ อี ยูใ่ นวัตถุ และแสงสีทผี่ สมกันเป็นแสงสีเดียวกับสารสีทมี่ อี ยู่
ในวัตถุออกมา แล้วดูดกลืนแสงสีอน่ื ๆ ไว้ เมือ่ แสงสีทสี่ ะท้อนออกมาจากผิววัตถุเข้าสูต่ า ผลจากการ
รับรู้สีของเซลล์รูปกรวยบนจอตาท�าให้มองเห็นวัตถุเป็นสีต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปตามหลักการผสมแสงสี
เมือ่ ฉายแสงขาวผ่านแผ่นวัตถุโปร่งใสสีตา่ ง ๆ เช่น กระดาษแก้ว แผ่นพลาสติกบาง ๆ
แผ่นวัตถุจะดูดกลืนแสงบางสีไว้และแสงบางสีจะผ่านแผ่นวัตถุไปได้ โดยแผ่นวัตถุจะยอมให้ผา่ นได้
เฉพาะแสงสีเดียวกับสีของแผ่นวัตถุ หรือแสงสีทมี่ คี วามยาวคลืน่ ใกล้เคียงกับสีของแผ่นวัตถุเท่านัน้
จึงเรียกว่า แผ่นกรองแสง เพราะกรองแสงขาวให้เหลือเพียงแสงสีเดียวกับสีของแผ่นกรองแสง
เท่านั้น
160
3
ระดับคะแนน
2 1
4. นํ้าเงิน
5. เหลือง
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ
1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้อง
คะแนน จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
ระดับคุณภาพ 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
2
3
4
ความถูกต้องของเนื้อหา
ความคิดสร้างสรรค์
ความเป็นระเบียบ
รวม
สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์
แปลกใหม่และเป็น
ระบบ
4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น
ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด
ผลงานส่วนใหญ่มีความ
แปลกใหม่
ผลงานมีความเป็น
ใหม่
ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
(วิเคราะหคําตอบ สารสีปฐมภูมิ ไดแก สีนํ้าเงินเขียว สีแดงมวง
และสีเหลือง เมื่อนําสีทั้งสามมาผสมกัน จะไมสารถทําใหเกิดเปน
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
T174
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
2.4 »ÃÐ⪹¢Í§¤Å×è¹áÁ‹àËÅç¡ä¿¿‡Ò 1. ครูสนทนากับนักเรียนทบทวนความรูเกี่ยวกับ
นอกจากใชประโยชนจากพลังงานของคลืน่ แมเหล็กไฟฟาโดยตรงแลว มนุษยมวี ธิ ใี ชประโยชน คลื่นแมเหล็กไฟฟา
คลื่นแมเหล็กไฟฟาในลักษณะอื่นอีกหลายแบบ ไดแก การสรางอุปกรณตาง ๆ ที่ทํางานโดยอาศัย 2. ครูถามคําถามกับนักเรียนวา “นักเรียนทราบ
คลื่นแมเหล็กไฟฟาเพื่อนําไปใชงานในดานตาง ๆ เชน อุปกรณควบคุมระยะไกล (remote control) หรือไมวา ในชีวติ ประจําวันของนักเรียนมีอะไร
เครื่องถายภาพเอกซเรยคอมพิวเตอร (computed tomography scanner) และเครื่องถายภาพการ บางที่สามารถอธิบายไดดวยความรูเกี่ยวกับ
สัน่ พองแมเหล็ก (magnetic resonance scanner) และการใชคลืน่ แมเหล็กไฟฟาในการสือ่ สารขอมูล คลืน่ แมเหล็กไฟฟา” ครูทงิ้ ชวงเวลาใหนกั เรียน
1. อุปกรณควบคุมระยะไกล หรือที่เรียกกันทั่วไปวา รีโมต (remote) เปนอุปกรณที่ใช คิดคําตอบ จากนั้นครูอาจสุมนักเรียนเพื่อให
ควบคุมการทํางานของเครือ่ งมือหรืออุปกรณอนื่ ๆ ซึง่ เปนการควบคุมจากระยะไกลแบบไรสาย คือ นักเรียนไดแสดงความคิดเห็นของตนเอง
ใชคลืน่ แมเหล็กไฟฟาเปนสือ่ กลางในการสงสัญญาณ โดยรีโมตแบงตามชนิดของคลืน่ แมเหล็กไฟฟา
ที่ใชเปนสื่อกลางในการสงสัญญาณเปน 2 ชนิด ดังนี้ ขัน้ สอน
1) รีโมตอินฟราเรด ใชรงั สีอนิ ฟราเรดเปนสือ่ กลางในการสงสัญญาณ สวนประกอบหลัก สํารวจคนหา
ของรีโมตไออาร คือ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส อุปกรณสงสัญญาณอินฟราเรด (IR transmitter) 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุมกันอยางอิสระ กลุมละ
อุปกรณประมวลผล (microprocessor) และหลอดแอลอีดี (1 หลอด หรือ 2 หลอด) รีโมตไออาร 4-5 คน จากนัน้ ครูใหนกั เรียนแตละกลุม รวมกัน
ที่พบเห็นไดทั่วไป คือ รีโมตที่ใชกับเครื่องใชไฟฟาภายในบาน เชน โทรทัศน เครื่องเสียง เครื่อง ศึกษา เรื่อง ประโยชนของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
เลนดีวีดี เครื่องปรับอากาศ โฮมเธียเตอร เปนตน โดยในเครื่องใชไฟฟาเหลานี้ตองติดตั้งอุปกรณ จากหนังสือเรียน
รับสัญญาณอินฟราเรด (IR receiver) และอุปกรณประมวลผล (microprocessor) ไว 2. ครูจดั เตรียมสลากหมายเลข 1-4 ใสไวในกลอง
2) รีโมตคลื่นวิทยุ หรือรีโมตอารเอฟ ใชคลื่นวิทยุเปนสื่อกลางในการสงสัญญาณ สวน ทึบแสง
ประกอบหลักของรีโมตอารเอฟ คือ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส อุปกรณสงสัญญาณคลื่นวิทยุ และ 3. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาหนาชัน้ เรียน
อุปกรณประมวลผล รีโมตอารเอฟที่พบเห็นไดทั่วไป ไดแก กุญแจรีโมตที่ใชเปด-ปดประตูรถยนต จากนัน้ ใหตวั แทนจับสลากทีละ 1 คน โดยหยิบ
ประตูโรงเก็บรถ ประตูรวั้ บาน รีโมตทีใ่ ชควบคุมของเลนหรืออุปกรณบงั คับวิทยุ เปนตน โดยอุปกรณ แลวเปดดูวา ไดหมายเลขอะไรใหจาํ เอาไว แลว
เหลานี้และรถยนตจะมีเครื่องรับวิทยุและอุปกรณประมวลผลติดตั้งไว ซึ่งรีโมตอารเอฟมีหลักการ เก็บกลับไปไวในกลองเชนเดิม จนครบทุกคน
ทํางานเหมือนรีโมตไออารเพียงแตเปลี่ยนจากการส 1 งสัญญาณรังสีอินฟราเรดเปนการสงสัญญาณ
คลื่ น วิ ท ยุ ที่ ส อดคล อ งกั บ คํ า สั่ ง ตั ว เลขฐานสองของปุ ม กดไปยั ง
เครือ่ งรับคลืน่ วิทยุในอุปกรณทคี่ วบคุมการทํางานโดยรีโมตอารเอฟ
เครื่องรับคลื่นวิทยุจะถอดรหัสของสัญญาณที่ไดรับ ทําใหอุปกรณ
นัน้ รับรูแ ละเขาใจคําสัง่ ทีไ่ ดรบั ขอไดเปรียบของรีโมตอารเอฟเหนือ
รีโมตไออาร คือ ระยะทําการ เพราะรีโมตอารเอฟสงสัญญาณไดไกล
ถึง 100 ฟุต (ประมาณ 30.48 เมตร) และสัญญาณวิทยุสามารถ
ทะลุผานผนังและตูกระจกได ภาพที่ 4.51 กุญแจรีโมตทีใ่ ชคลืน่ วิทยุ
ในการเปด-ปดประตูรถยนต
ที่มา : คลังภาพ อจท.
¤Å×è¹ 161
T175
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ครูแจงใหนักเรียนทราบวา แตละหมายเลขที่ 2. เครื่องถายภาพเอกซเรยคอมพิวเตอร หรือเครื่องซีที (CT scanner) พัฒนามาจาก
แตละกลุมไดไปนั้นหมายถึงอะไร ดังนี้ เครือ่ งเอกซเรยดจิ ทิ ลั ทีส่ รางภาพอวัยวะทัง้ กอนเหมือนเครือ่ งเอกซเรยธรรมดามาเปนการสรางภาพ
• หมายเลข 1 อุปกรณควบคุมระยะไกล ภาคตัดขวาง (cross section) ของลําตัวผูร บั การตรวจ ทําใหไดภาพอวัยวะเปนชัน้ ๆ หนาประมาณ
• หมายเลข 2 เครื่องถายภาพเอกซเรย 0.200-1.00 มิลลิเมตร ตามขนาดอวัยวะทีต่ รวจ ลักษณะเหมือนซอยอวัยวะนัน้ เปนแผนบาง ๆ แลว
คอมพิวเตอร นํามาถายภาพรังสีเอกซดวยเครื่องเอกซเรยธรรมดา โดย CT ยอมาจาก Computed Tomography
• หมายเลข 3 เครื่องถายภาพการสั่นพอง ซึ่งหมายถึง การถายภาพรังสีสวนตัดโดยอาศัยคอมพิวเตอร เครื่องซีทีแบงหนวยการทํางานเปน
แมเหล็ก 3 หนวย คือ หนวยสแกน หนวยเก็บและประมวลผลขอมูล และหนวยแสดงผล โดยหนวยสแกน
• หมายเลข 4 การใชคลื่นแมเหล็กไฟฟา ประกอบดวยหลอดรังสีเอกซตัวบังคับรังสีเอกซ และหัววัดรังสีเอกซ สําหรับเครื่องซีทีที่ใชงานกัน
ในการสื่อสารขอมูล ในปจจุบันสวนใหญจะมีลักษณะภายนอก ดังภาพที่ 4.52
5. ครู ม อบหมายให แ ต ล ะกลุ ม ร ว มกั น ศึ ก ษา การทํางานของเครื่องซีที หลอดรังสีเอกซจะฉายลํารังสีเอกซ
คนควาขอมูลที่เกี่ยวกับหัวขอที่กลุมตนเองได รูปพัดผานตัวผูรับการตรวจไปยังหัววัดรังสีเอกซซึ่งอยู
โดยพยายามรวบรวมข อ มู ล ให ไ ด ม ากที่ สุ ด ตรงกันขาม โดยหลอดรังสีเอกซและหัววัดรังสีเอกซจะ
หมุนไปรอบตัวผูร บั การตรวจพรอมกัน หัววัดรังสีเอกซ
จากนั้นรวมกันสนทนาและอภิปรายผลการ
จะสงสัญญาณความเขมของรังสีเอกซในมุมตาง ๆ
ศึกษาภายในกลุม แลวนําขอมูลที่ไดมาเขียน
ขณะหมุนรอบตัวผูรับการตรวจที่ผานการแปลง
เปนรายงานลงในกระดาษ A4 นําสงครูทาย เปนสัญญาณดิจิทัล แลวใหหนวย
ชั่วโมง เก็ บ และประมวลผลข อ มู ล
6. ในขณะทีน่ กั เรียนกําลังรวมกันศึกษาและจัดทํา ทําการวิเคราะหและสรางภาพ
รายงาน ครูเดินสังเกตการณและใหคําปรึกษา ภาคตัดขวางของรางกายหรือ
เมื่อนักเรียนเกิดปญหาหรือมีขอสงสัย อวัยวะที่ตําแหนงนั้นแลวจัดเก็บไว
จากนั้นมอเตอรจะทําใหเตียงขยับไป
ข า งหน า เล็ ก น อ ยเพื่ อ ทํ า การ
สแกนที่ตําแหนงใหมจนครบ
ทุกภาคตัดขวางที่กําหนด
ภาพที่ 4.52 เครื่องถายภาพเอกซเรยคอมพิวเตอร
ที่มา : คลังภาพ อจท.
1
จุดประสงคหลักในการทําซีทสี แกน คือ การตรวจหาความผิดปกติในเนือ้ เยือ่ กระดูก หรือ
โครงสรางของรางกาย และใชชวยในการบอกตําแหนงที่แมนยําในการวางเครื่องมือเขาไปรักษา
โดยการทําซีทีสแกนนิยมใชกับการตรวจรางกายบริเวณศีรษะและคอ บริเวณชองทอง บริเวณ
ชองอก และกระดูกสันหลัง สวนกลามเนื้อและกระดูกสวนอื่น ๆ ไมนิยมใชการตรวจดวยวิธีนี้
162
T176
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3. เครื่ อ งถ่ า ยภาพการสั่ น พ้ อ งแม่ 7. ครู ถ ามคํ า ถามกั บ นั ก เรี ย นเกี่ ย วกั บ เรื่ อ งที่
เหล็ก หรือเครื่องเอ็มอาร์ไอ (MRI scanner) นักเรียนกําลังศึกษา โดยอาจเปนแนวทางใน
เป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพภาคตัดขวางเนื้อเยื่อหรือ การศึกษาคนควาขอมูลของนักเรียนแตละกลุม
อวัยวะของร่างกายเช่นเดียวกับเครือ่ งซีที โดยใช้ เชน
สนามแม่เหล็กและคลืน่ วิทยุรว่ มกับคอมพิวเตอร์ • ขอไดเปรียบของรีโมตคลื่นวิทยุที่เหนือกวา
สร้างภาพเสมือนจริงของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะ รีโมตอินฟาเรดคืออะไร เพราะเหตุใด
ภาพที่ได้มีรายละเอียดเหมือนภาพถ่ายจริงจึง (แนวตอบ ระยะทําการ เพราะรีโมตคลื่นวิทยุ
ให้ข้อมูลได้มากกว่าเครื่องซีทีท�าให้สามารถ (ก)
สงสัญญาณไดไกลถึง 100 ฟุต และสัญญาณ
จ�าแนกสมบัตทิ แี่ ตกต่างกันของเนือ้ เยือ่ ได้ดกี ว่า ขดลวดส่งและ แม่เหล็ก
วิทยุสามารถทะลุผานผนังและตูกระจกได)
และสามารถตรวจได้ทุกทิศทางและทุกระนาบ รับคลื่นวิทยุ ก�าลังสูง
• ความพิ เ ศษของเครื่ อ งถ า ยภาพเอกซเรย
โดยไม่ต้องเปลี่ยนท่าผู้ปวย และเนื่องจากไม่ใช้
ผู้รับการตรวจ คอมพิวเตอรที่เครื่องเอกซเรยธรรมดาไม
รังสีเอกซ์หรือรังสีใด ๆ ใช้เพียงสนามแม่เหล็ก
สามารถทําไดคืออะไร
และคลื่นวิทยุ เครื่องเอ็มอาร์ไอจึงเป็นอุปกรณ์ เตียง
บันทึกภาพเพื่อการวินิจฉัยที่ปลอดภัยที่สุดของ ( แนวตอบ เครื่ อ งถ า ยภาพเอกซเรย
วงการแพทย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เครื่อง คอมพิวเตอรสามารถสรางภาพภาคตัดขวาง
เอ็มอาร์ไอมีส่วนประกอบส�าคัญ 4 ส่วน คือ ของลําตัวผูร บั การตรวจ ทําใหไดภาพอวัยวะ
แม่เหล็กก�า1ลังสูง ขดลวดสร้างสนามแม่เหล็ก ขดลวดสร้างสนามแม่เหล็ก เปนชั้นๆ)
เครื่องสแกน ค่าลดหลั่น • สื่อกลางในการสงผานขอมูลแบบใชสาย
ค่าลดหลั่น (gradient coil) ขดลวดส่งและ (ข)
รับคลื่นวิทยุ (radio frequency coil) และ ภาพที่ 4.53 เครื่องถ่ายภาพการสั่นพ้องแม่เหล็ก
เหมือนหรือแตกตางกับสื่อกลางแบบไรสาย
คอมพิวเตอร์ ที่มา : คลังภาพ อจท. อยางไร
4. การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟาในการสื่อสารข้อมูล จากนิยามของการสื่อสารข้อมูลจะ (แนวตอบ แตกตางกัน คือ สื่อกลางแบบใช
พบลักษณะร่วมกันอย่างหนึ่ง คือ การส่งข้อมูลหรือสารสนเทศต้องส่งผ่านสื่อกลาง แต่ข้อมูลหรือ สายจะสงขอมูลผานสายนําสัญญาณไฟฟา
สารสนเทศจะส่งผ่านสื่อกลางโดยตรงไม่ได้ ต้องแปลงเป็นสัญญาณหรือรหัสก่อนแล้วจึงส่งผ่าน ดวยระดับสัญญาณไฟฟาที่แตกตางกัน แต
สือ่ กลางไปยังผูร้ บั และเมือ่ ถึงปลายทางหรือผูร้ บั ต้องแปลงสัญญาณหรือรหัสนัน้ กลับมาเป็นข้อมูล สือ่ กลางแบบไรสายจะใชคลืน่ แมเหล็กไฟฟา
หรือสารสนเทศเหมือนทีส่ ง่ มา ในระหว่างการส่งอาจมีสงิ่ รบกวน (noise) จากภายนอก ท�าให้ขอ้ มูล ในการสงผานหรือในการสื่อสารขอมูล เชน
บางส่วนเสียหายหรือผิดเพีย้ นไป โดยการส่งในระยะไกลจะเกิดสิง่ รบกวนมากกว่าการส่งในระยะใกล้ อิ น ฟาเรด ใช เ ป นสื่ อ กลางในการสื่ อสาร
จึงต้องหาวิธีลดสิ่งรบกวนเหล่านี้ โดยการพัฒนาตัวกลางในการสื่อสารให้เกิดการรบกวนน้อยที่สุด ระยะใกลโดยไมมสี งิ่ กีดขวางระหวางผูส ง กับ
1) ข้อมูลหรือสารสนเทศไม่สามารถส่งไปในระยะทางไกลได้โดยตรง ต้องแปลงข้อมูลหรือ ผูรับ)
สารสนเทศให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่เรียกว่า สัญญาณข้อมูล (data signal) ก่อนส่งผ่านสื่อกลางใน
การส่งข้อมูล ซึ่งนอกจากจะส่งข้อมูลไปได้ในระยะทางไกลแล้ว ยังเป็นการส่งข้อมูลด้วยความเร็ว
สูงด้วย โดยสัญญาณข้อมูลที่ใช้ในการสื่อสาร แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
คลื่น 163
T177
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น สนทนาเกี่ ย วกั บ • สัญญาณแอนะล็อก (analog signal) เป็นสัญญาณทีม่ ลี กั ษณะเป็นคลืน่ ต่อเนือ่ ง โดย
ประโยชนของคลื่นแมเหล็กไฟฟาจากหนังสือ แต่ละคลืน่ อาจมีความถีแ่ ละความเข้มของสัญญาณหรือแอมพลิจดู ต่างกัน โดยความถีแ่ ละความเข้ม
เรียน ของสัญญาณจะเปลี่ยนแปลงตามเวลาอย่างต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น สัญญาณเสียงใน
2. ครูสุมสมาชิกตัวแทนกลุม จากกลุมที่ไดสลาก สายโทรศัพท์ ลักษณะของสัญญาณแอนะล็อกพิจารณาได้ จากภาพที่ 4.54
หมายเลข 1 ออกมาหนาชั้นเรียน จากนั้นให ระดับสัญญาณ
นําเสนอรายงานของกลุมตนเอง
3. ครูสุมสมาชิกตัวแทนกลุมตอไป จากกลุมที่ได เวลา
สลากหมายเลข 2 ออกมานําเสนอรายงาน ภาพที่ 4.54 ลักษณะของสัญญาณแอนะล็อก
จากนั้นครูสุมจนครบ 4 หมายเลข ที่มา : คลังภาพ อจท.
สัญญาณแอนะล็อกถูกรบกวนให้เปลี่ยนแปลงได้ง่าย เนื่องจากสัญญาณรบกวนจะ
เติมเข้าไปในสัญญาณจริงโดยตรง ท�าให้เกิดความผิดเพีย้ นของสัญญาณซึง่ ส่งผลให้แปลความหมาย
ผิดพลาดไป จึงไม่นิยมใช้สัญญาณแอนะล็อกในการส่งสัญญาณเพื่อการสื่อสารที่ต้องการความ
แม่นย�าสูง แต่มักใช้ในการสื่อสารทางวิทยุในระยะใกล้ เช่น ใช้ในระบบวิทยุเอเอ็มและเอฟเอ็ม
เป็นต้น
• สัญญาณดิจทิ ลั (digital signal) เป็นสัญญาณทีม่ ลี กั ษณะเป็นคลืน่ ไม่ตอ่ เนือ่ ง คล้าย
ขั้นบันได ขนาดของสัญญาณดิจิทัลมีค่าคงตัวเป็นช่วง ๆ และการเปลี่ยนแปลงขนาดของสัญญาณ
เป็นแบบทันทีทันใด เช่น สัญญาณที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการท�างานและติดต่อสื่อสารกัน ลักษณะ
ของสัญญาณดิจิทัลพิจารณาได้ จากภาพที่ 4.55
ระดับสัญญาณ
เวลา
ภาพที่ 4.55 ลักษณะของสัญญาณดิจิทัล
ที่มา : คลังภาพ อจท.
สัญญาณดิจทิ ลั เมือ่ ถูกรบกวนจะเปลีย่ นแปลงไปจากเดิมได้นอ้ ย เนือ่ งจากสัญญาณ
รบกวนต้องมีคา่ สูงกว่าค่าทีต่ งั้ ไว้เท่านัน้ จึงจะเกิดการเปลีย่ นแปลงขึน้ ส่งผลให้การส่งสัญญาณดิจทิ ลั
ไปในระยะไกลน่าเชื่อถือมากกว่าการส่งสัญญาณแอนะล็อก เพราะความผิดเพี้ยนที่เกิดจากการ
รบกวนโดยสัญญาณรบกวนจากสิง่ แวดล้อมมีนอ้ ยกว่า ซึง่ เป็นจุดเด่นของสัญญาณดิจทิ ลั ทีเ่ หนือกว่า
สัญญาณแอนะล็อก และอีกหลายปัจจัยทีท่ า� ให้การส่งข้อมูลในรูปสัญญาณดิจทิ ลั เป็นทีน่ ยิ มกว่าการ
ส่งข้อมูลในรูปสัญญาณแอนะล็อก
164
T178
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
2) การสื่อสารข้อมูลต้องอาศัยสื่อกลางในการส่งผ่านข้อมูลเพื่อน�าข้อมูลไปยังจุดหมาย 4. ครูและนักเรียนรวมกันอธิบายความรู เรื่อง
ปลายทาง สือ่ กลางในการสือ่ สารข้อมูลมีความส�าคัญเพราะเป็นปัจจัยหนึง่ ทีก่ า� หนดประสิทธิภาพใน ประโยชนของคลื่นแมเหล็กไฟฟา หรือการนํา
การสื่อสาร เช่น ความเร็วในการส่งข้อมูล รวมถึงคุณภาพของการส่งข้อมูล เป็นต้น โดยสื่อกลาง ความรูเ กีย่ วกับคลืน่ แมเหล็กไฟฟาไปประยุกต
ในการสื่อสารข้อมูลแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้ ใชในชีวิตประจําวัน
• สื่อกลางแบบใช้สาย ได้แก่ สายน�าสัญญาณไฟฟ้า ส่งข้อมูลด้วยระดับสัญญาณ 5. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัดจาก
ไฟฟ้าที่แตกต่างกัน อุปกรณ์รับสัญญาณที่ปลายทางจะตรวจวัดระดับสัญญาณเพื่อแปลงกลับเป็น Topic Question เรือ่ ง คลืน่ แมเหล็กไฟฟา จาก
ข้อมูลหรือสารสนเทศที่ใกล้เคียงหรือเหมือนกับทางด้านส่ง และสายเส้นใยน�าแสง ประกอบด้วย หนังสือเรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว และ
เส้นใยน�าแสง (fiber optic) หลาย ๆ เส้นอยู่รวมกัน รวบรวมสงครูทายชั่วโมง
• สือ่ กลางแบบไร้สาย คือ การใช้คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าในการสือ่ สารข้อมูล ประกอบด้วย
ขยายความเขาใจ
- อินฟราเรด (infrared) ใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารระยะใกล้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง
ระหว่างผู้ส่งกับผู้รับ เช่น การรับ-ส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับเมาส์แบบไร้สาย 1. ครูนาํ อภิปรายสรุปเนือ้ หาโดยเปด PowerPoint
- คลื่นวิทยุ (radio wave) ใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารได้ทั้งระยะไกลและใกล้ โดย เรื่องที่สอนควบคูไปดวย
อุปกรณ์สง่ จะส่งข้อมูลในรูปสัญญาณคลืน่ วิทยุผา่ นอากาศไปยังอุปกรณ์รบั สัญญาณ ซึง่ ใช้คลืน่ วิทยุ 2. ครูใหนกั เรียนทําสรุปผังมโนทัศน เรือ่ ง ประโยชน
ในแถบความถี่ต่างกันในการส่งข้อมูล ของคลื่นแมเหล็กไฟฟา ลงในกระดาษ A4
- ไมโครเวฟ (microwave) ใช้เป็นสือ่ กลางในการสือ่ สารระยะไกล โดยเครือ่ งส่งจะส่ง
ข้อมูลในรูปสัญญาณไมโครเวฟผ่านอากาศไปยังเครือ่ งรับเช่นเดียวกับคลืน่ วิทยุ สัญญาณไมโครเวฟ
เดินทางเป็นเส้นตรง แต่เดินทางผ่านวัตถุทกี่ ดี ขวางไม่ได้ การสือ่ สารโดยใช้ไมโครเวฟเป็นสือ่ กลาง
จะส่งข้อมูลด้วยอัตราการส่งข้อมูลสูง แต่มีข้อจ�ากัด คือ สัญญาณจะถูกรบกวนจากพายุและฝน
Topic
? Question
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. กลไกในการแผ่ออกไปจากแหล่งก�าเนิดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคืออะไร
2. การบอดสีมีสาเหตุมาจากอะไร และการบอดสีมีกี่แบบ อะไรบ้าง
3. เหตุใดจึงเห็นดอกดาวเรืองเป็นสีเหลืองในแสงขาว แต่เห็นดอกดาวเรืองเป็นสีดา� ในแสงสีนา�้ เงิน
4. การท�างานของอุปกรณ์ควบคุมระยะไกลหรือรีโมตคอนโทรลต้องอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ชนิดใดบ้าง
5. สัญญาณที่ใช้ในการสื่อสารมีกี่ชนิด อะไรบ้าง และสัญญาณเหล่านั้นแตกต่างกันอย่างไร
คลื่น 165
T179
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
3. ครูอธิบายสรุปความรู เรื่อง คลื่น อีกครั้ง โดย Summary
ใหนักเรียนดู Summary จากหนังสือเรียน คลื่น
4. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกไปนําเสนอผังมโนทัศน
ของตนเองหนาชั้นเรียน
5. ครูใหนกั เรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเอง คลื่นกล
ดวยกรอบ Self Check เรือ่ ง คลืน่ จากหนังสือ คลืน่ กล เป็นคลืน่ ทีต่ อ้ งอาศัยตัวกลางในการเคลือ่ นทีห่ รือถ่ายโอนพลังงาน อัตราเร็วของคลืน่ กลขึน้ อยูก่ บั
เรียนลงในสมุดบันทึกประจําตัว ความยืดหยุ่นของตัวกลางที่คลื่นเคลื่อนที่ผ่าน
6. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัดจาก สมบัติของคลื่น
Unit Question หนวยการเรียนรูท ี่ 4 คลืน่ จาก
หนังสือเรียนเปนการบาน โดยทําลงในสมุด
บันทึกประจําตัว แลวรวบรวมสงครูเพื่อตรวจ
สอบและใหคะแนน การสะท้อน การหักเห การแทรกสอด การเลี้ยวเบน
7. ครูมอบหมายการบานใหนกั เรียนทําแบบฝกหัด ภาพที่ 4.56 สมบัติของคลื่น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เรื่อง ประโยชนของคลื่นแมเหล็กไฟฟา จาก
เสียง
แบบฝกหัด วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส)
เสียง เกิดจากการสั่นของแหล่งก�าเนิดเสียง โดยพลังงานการสั่นสะเทือนจากแหล่งก�าเนิดเสียงจะถ่าย
ม.5 มาสงครูในชั่วโมงถัดไป โอนผ่านตัวกลาง ท�าให้อนุภาคตัวกลางสั่นไปมา ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความดันในตัวกลางที่คลื่นเสียง
8. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อ เคลือ่ นทีผ่ า่ น และผลจากการเปลีน่ แปลงความดันท�าให้เกิดคลืน่ อัด-ขยาย แผ่ไปในตัวกลางโดยเกิดเป็นส่วนอัด
ตรวจสอบความเขาใจหลังเรียนของนักเรียน และส่วนขยายขึ้นในตัวกลางที่คลื่นเสียงเคลื่อนที่ผ่าน
เสียงในอากาศเป็นเสียงทีเ่ กีย่ วข้องกับชีวติ ประจ�าวันมากทีส่ ดุ เสียงในอากาศเป็นคลืน่ ตามยาว จึงมีสมบัติ
4 ประการ เช่นเดียวกับคลื่นกล คือ การสะท้อน การหักเก การเลี้ยวเบน และการแทรกสอด
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
คลื่นáม‹เËล็กไ¿¿‡า
นั ก เรี ย นและครู ร ว มกั น สรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ คลืน่ แม่เหล็กไฟฟา ประกอบด้วยสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าทีเ่ ปลีย่ นแปลงตามเวลา โดยสนามทัง้ สอง
ประโยชนของคลื่นแมเหล็กไฟฟา เพื่อใหนักเรียน มีทิศตั้งฉากกันและตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น จึงจัดให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นตามขวาง
ทุกคนไดมีความเขาใจในเนื้อหาที่ไดศึกษาแลว คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่ออกไปจากแหล่งก�าเนิดโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางและเคลื่อนที่ผ่านสุญญากาศ ด้วย
ไปในทางเดียวกัน และเปนความเขาใจที่ถูกตอง อัตราเร็วเท่ากับแสง (3 × 108 m/s) เมื่อวัตถุใดดูดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มาตกกระทบ อุณหภูมิของวัตถุ
นั้นจะสูงขึ้น แสดงว่ามีการถ่ายโอนพลังงานไปพร้อมกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นเดียวกับคลื่นกล
โดยครู ใ ห นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู ล งในสมุ ด คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้ามีความถีต่ อ่ เนือ่ งกันเป็นช่วงกว้าง (104 -1023 Hz) คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าทุกย่านความถี่
บันทึกประจําตัว (หรือความยาวคลื่น) รวมกัน เรียกว่า สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟา ซึ่งประกอบด้วยคลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ รังสี
อินฟราเรด แสงขาว รังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ และรังสีแกมมา เมื่อเรียงล�าดับจากความถี่ต�่าไปสูง หรือ
เรียงล�าดับจากความยาวคลื่นยาวไปสั้น
166
T180
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
แสง 1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
แสง เปนคลืน่ แมเหล็กไฟฟาเพียงชนิดเดียวทีน่ ยั นตามนุษยสามารถรับรูไ ด แสงจากแหลงกําเนิดธรรมชาติ เพื่ อ ตรวจสอบความเข า ใจหลั ง เรี ย นของ
ที่สําคัญมาก คือ แสงจากดวงอาทิตย หรือแสงแดดซึ่งเปนแสงใสไมมีสี เรียกวา แสงขาว (white light) แต นักเรียน
เมือ่ หักเหผานปริซมึ หรือผานละอองนํา้ ในอากาศจะแยกออกเปนแสงสีตา ง ๆ แสงทําใหเกิดปรากฏการณตา ง ๆ
เชน รุง การทรงกลดของดวงอาทิตย การเกิดมิราจ เปนตน โดยปรากฏการณตาง ๆ ที่เกิดขึ้นเปนผลมาจาก 2. ครู ต รวจสอบผลจากการทํ า รายงาน เรื่ อ ง
สมบัติของคลื่น เนื่องจากแสงเปนทั้งคลื่นและอนุภาค ประโยชนของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
การบอดสี เปนความบกพรองในการมองเห็นสีทเ่ี กิดจากการขาดหายไปของเซลลรปู กรวยบนจอตา กลาว 3. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question เรือ่ ง
คือ บนจอตามีเซลลรูปกรวยเพียงสองชนิดหรือเพียงชนิดเดียว การบอดสีทดสอบไดโดยใชแผนทดสอบการ คลื่นแมเหล็กไฟฟา ในสมุดบันทึกประจําตัว
บอดสี โดยแผนทดสอบการบอดสีที่จักษุแพทยนิยมใช คือ แผนทดสอบการบอดสีอิชิฮารา
การผสมแสงสี ทําใหไดแสงสีหลากหลาย หรือเปลีย่ นไปจากเดิม เมือ่ นําแสงสีปฐมภูมใิ นสัดสวนทีเ่ หมาะสม 4. ครูตรวจสอบผลการตรวจสอบความเขาใจของ
มาผสมกันจะไดแสงขาว การผสมแสงสีนําไปใชประโยชนในการจัดไฟแสงสีในการแสดงบนเวที การแสดง ตนเอง Self Check เรื่อง คลื่น จากหนังสือ
ไฟแสงสีของสถานทีต่ า ง ๆ การสรางภาพสีบนจอเครือ่ งรับโทรทัศนสแี ละจอแอลอีดี เมือ่ นําแผนกรองแสงไปกัน้ เรียนในสมุดบันทึกประจําตัว
แสงขาว แผนกรองแสงจะดูดกลืนแสงสีบางสีไวและยอมใหแสงบางสีผานไปได โดยยอมใหทะลุผานไดเฉพาะ
แสงสีเดียวกับสีของแผนกรองแสงหรือแสงสีที่มีความยาวคลื่นใกลเคียงกับสีของแผนกรองแสงเทานั้น 5. ครูตรวจแบบฝกหัดจาก Unit Question หนวย
การผสมสารสี ทําใหไดสารสีทหี่ ลากหลาย หรือเปลีย่ นไปจากเดิม ถานําสารสีปฐมภูมใิ นปริมาณทีเ่ ทากันมา การเรียนรูที่ 4 คลื่น ในสมุดบันทึกประจําตัว
ผสมกันจะไดสารสีผสมเปนสีดํา การผสมสารสีนําไปใชในการสรางสรรคงานศิลปะ งานกอสราง การทํา 6. ครู ต รวจสอบแบบฝ ก หั ด เรื่ อ ง ประโยชน
เฟอรนิเจอร เปนตน ของคลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า จากแบบฝ ก หั ด
ประโยชนของคลื่นแมเหล็กไฟฟา วิทยาศาสตรกายภาพ 2 (ฟสิกส) ม.5
คลื่นแมเหล็กไฟฟานําไปใชประโยชนในการทํางานของอุปกรณบางชนิด เชน อุปกรณควบคุมระยะไกล 7. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
(รังสีอนิ ฟราเรดและคลืน่ วิทยุ) เครือ่ งถายภาพเอกซเรยคอมพิวเตอร (รังสีเอกซ) และเครือ่ งถายภาพการสัน่ พอง
แมเหล็ก (คลื่นวิทยุ) และใชในการสื่อสารเพื่อสงผานขอมูลและสารสนเทศจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งผานสื่อกลาง ตอบคําถาม พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
แบบใชสาย (แสงเลเซอร) และสื่อกลางแบบไรสาย (รังสีอินฟราเรด ไมโครเวฟ และคลื่นวิทยุ) และการทํางานกลุม
8. ครู วั ด และประเมิ น ผลจากชิ้ น งานการสรุ ป
Self Check
เนือ้ หา เรือ่ ง ประโยชนของคลืน่ แมเหล็กไฟฟา
ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจ โดยพิจารณาขอความวาถูกหรือผิด แลวบันทึกลงในสมุด ทีน่ กั เรียนไดสรางขึน้ จากขัน้ ขยายความเขาใจ
หากพิจารณาขอความไมถูกตอง ใหกลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวขอที่กําหนดให เปนรายบุคคล
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
1. การเลี้ยวเบนเกิดขึ้นเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ไปพบสิ่งกีดขวาง 1.3
2. การสัน่ พองเกิดขึน้ เมือ่ วัตถุถกู กระตุน ใหสนั่ ดวยความถีธ่ รรมชาติในการสัน่ 1.4
ของวัตถุ
ุด
สม
ใน
3. บีตเปนผลจากการรวมกันของคลื่นเสียงสองขบวนที่มีความถี่ใกลเคียงกัน 1.5
ลง
ทึ ก
5. สัญญาณแอนะล็อกสงผานไดโดยมีความผิดพลาดนอยกวาสัญญาณดิจิทัล 2.4
แนวตอบ Self Check
¤Å×è¹ 167 1. ผิด 2. ถูก 3. ถูก
4. ถูก 5. ผิด
สวยงาม แบบประเมินผลงานผังมโนทัศน์
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับ
ประเด็นที่ประเมิน
1. ผลงานตรงกับ
4
ผลงานสอดคล้องกับ
3
ผลงานสอดคล้องกับ
ระดับคะแนน
2
ผลงานสอดคล้องกับ
1
ผลงานไม่สอดคล้อง
คะแนน
4. ครูสุมตัวแทนของแตละกลุมออกมานําเสนอผลงานของกลุม
จุดประสงค์ที่กาหนด จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
ระดับคุณภาพ 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1 ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องเป็นบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ 3. ผลงานมีความคิด ผลงานแสดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
ตนเองหนาชั้นเรียน
2 ความถูกต้องของเนื้อหา สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิด ใหม่
3 ความคิดสร้างสรรค์ แปลกใหม่และเป็น แปลกใหม่
4 ความเป็นระเบียบ ระบบ
รวม 4. ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็นระเบียบแต่ยังมี ระเบียบแต่มีข้อบกพร่อง ระเบียบและมี
ความประณีต ข้อบกพร่องเล็กน้อย บางส่วน ข้อบกพร่องมาก
T181
นํา สอน สรุป ประเมิน
T182
นํา สอน สรุป ประเมิน
แนวทางการทํากิจกรรม
T183
บรรณานุ ก รม
กุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช และคณะ. (2550). สุดยอดวิธีสอนวิทยาศาสตร์ น�ำไปสู่การจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่. กรุงเทพมหานคร :
อักษรเจริญทัศน์.
ชุติมา วัฒนะคีรี. (2549). กิจกรรมวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน. กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาส์น.
ณรงค์ สังวาระนที และสุชาติ แซ่เฮง. (2561). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ เล่ม 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6. พิมพ์ครั้งที่ 4.
กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์.
ณรงค์ สังวาระนที. (2561). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ เล่ม 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร :
อักษรเจริญทัศน์.
ทิศนา แขมมณี. (2556). ศาสตร์การสอน : องค์ความรูเ้ พือ่ การจัดกระบวนการเรียนรูท้ มี่ ปี ระสิทธิภาพ. พิมพ์ครัง้ ที่ 17. กรุงเทพมหานคร :
ด่านสุทธาการพิมพ์.
พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ส�ำนักงาน. (2549). หนังสือชุดกิจกรรมส่งเสริม
การเรียนรู้ “การสืบค้นทางวิทยาศาสตร์” ระดับมัธยมศึกษา. ปทุมธานี : ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
แห่งชาติ.
วันเฉลิม กลิน่ ศรีสขุ . (2558). การใช้กจิ กรรมค่ายวิทยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขนั้ พืน้ ฐาน. วิทยานิพนธ์
ครุศาสตรมหาบัณฑิต (หลักสูตรและการสอน), มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา.
วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพมหานคร : ตถาตาพับลิเคชั่น.
ศึกษาธิการ, กระทรวง. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม
สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. (2553). หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ การเคลื่อนที่และแรงใน
ธรรมชาติ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา
ลาดพร้าว.
. (2559). หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ พลังงาน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6.
พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว.
ส�ำนักบริหารวิชาการ วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์, แผนกบริหารหลักสูตร. (2557). เอกสารเผยแพร่ความรู้วิชาการศึกษา :
วิธีการสอน (Teaching Methodology). กรุงเทพมหานคร : วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์.
สุโกสินทร์ ทองรัตนาศิริ และมนต์อมร ปรีชารัตน์. (2561). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 4. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์.
สุวิทย์ มูลค�ำ และอรทัย มูลค�ำ. (2547). 21 วิธีจัดการเรียนรู้ : เพื่อพัฒนากระบวนการคิด. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร :
ภาพพิมพ์.
อรุณี เรืองวิเศษ. (2561). หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6. พิมพ์
ครั้งที่ 8. กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์.
T184
สร้างอนาคตเด็กไทย
ด้วยนวัตกรรมการเรียนรูร
้ ะดับโลก
คู่มือครู
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹ÇÔ·ÂÒÈÒʵÃáÅÐà·¤â¹âÅÂÕ ÇÔ·ÂÒÈÒʵáÒÂÀÒ¾ 2 (¿ÊÔ¡Ê) Á.5
>> ราคาเล่มนักเรียนโปรดดูจากใบสัง
่ ซือ
้ ของ อจท.
คู่มือครู นร. วิทยาศาสตร์กายภาพ 2 (ฟิสิกส์) ม.5
บริษท
ั อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด
142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 8 858649 144171
ID Line : @aksornkrumattayom
โทร. 0 2622 2999 (อัตโนมัติ 20 คูส
www.aksorn.com
่ าย)
อักษรเจริญทัศน์ อจท.
350.-
ราคานีเ้ ป็นของฉบับคูม
่ อ
ื ครูเท่านัน
้