Professional Documents
Culture Documents
ทฤษฎี นวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลเพื่อการศึกษา
หลักการวางเงื่อนไข
สิ่งเร้าที่ไม่ต้องวางเงื่อนไข การตอบสนองที่ไม่ต้องวางเงื่อนไข
สิ่งเร้าที่ต้องวางเงื่อนไข การตอบสนองที่ต้องวางเงื่อนไข
CS (เสียงกระดิ่ง) CR
2) แนวคิดของสกินเนอร์ (Skinner)
พรรณีชูทัย. เจนจิต (2550 : 120-123) ได้กล่าวถึง สกินเนอร์ เป็นนักจิตวิทยาผู้คิด
ทฤษฎีการเรียนรู้ ที่เรียกว่า (Operant Conditioing) เป็นศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัย
Havard ทฤษฎีของท่านนับว่าเป็นทฤษฎีที่มีประโยชน์มากในการอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ และมี
หลักการประยุกต์ที่มีประโยชน์หลายอย่าง แนวคิดของสกินเนอร์ยังสอดคล้องกับธอร์นไดค์ เกี่ยวกับ
การเสริมแรงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการเรียนรู้ แต่จะแตกต่างกันที่ว่า สกินเนอร์คิดว่าการเชื่อมโยง
จะเกิดขึ้นระหว่างรางวัลกับการตอบสนอง ไม่ใช่สิ่งเร้ากับการตอบสนองตามแนวคิดของธอร์นไดค์
สกินเนอร์ ได้เริ่มทดลองเกี่ยวกับการวางเงื่อนไขแบบโอเปอร์แรนท์ หรือการเรียนรู้
จากการกระทำโดยใช้หนูและนกเป็นสัตว์ทดลอง จนกระทั่งได้หลักการต่างๆ เกี่ยวกับการวางเงื่อนไข
แบบโอเปอร์แรนท์ โดยการทดลองที่ปล่อยให้หนูที่หิวอาหารเข้าไปอยู่ใน Skinner Box ซึ่งภายใน
กล่องมีคานซึ่งเมื่อหนูกดแล้วจะมีอาหารให้กินพร้อมกับเงื่อนไขที่มีเสียงดัง แกรก จากการทดลอง
ปรากฏว่า เมื่อหนูวิ่งไปวิ่งมาแล้วบังเอิญ ไปกดถูกคานเข้าจะมีเสียงจะมีเสียงดังแกรก และหลังจาก
นั้นก็จะมีอาหารหล่นลงมาหนูรีบหยิบมากิน จากนั้นหนูจะวิ่งไปวิ่งมา ในที่สุดก็จะเวียนเฝ้ามากดคาน
และวิ่งไปคอยรับอาหาร ซึ่งครั้งแรกหนูจะเกิ ดการเรียนรู้แบบ Generalization คือ การกดคานทุก
ครั้งจะได้รับอาหารแต่ต่อมาหนูจะเรียนรู้ว่าต้องกดคานและได้ยินเสียงแกรกเท่านั้นจึงจะได้รับอาหาร
ซึ่งเรียกว่า การเรียนรู้แบบ Discrimination ต่อมาสกินเนอร์ได้เปลี่ยนการทดลอง โดยงดให้อาหาร
เมื่อหนูกดคานแต่ยังมีเสียงดังแกรกตามปกติ ซึ่งพบว่าหนูกดคาน 2-3 ครั้งเท่านั้นก็เลิกกดไป
การเสริมแรง (ReiForcement)
สกิน เนอร์ได้แบ่ง การเสริมแรงออกเป็น 2 ประเภท 1) การเสริมแรงทางบวก
และ 2) การเสริมแรงทางลบ
1.1) การเสริมแรงทางบวก หมายถึง สิ่งของ คำพูด หรือสภาพการณ์ที่จะ
ช่ว ยให้ พ ฤติก รรมโอเปอร์แ รนท์ เกิ ด ขึ้ นอี ก หรือ สิ่ ง ที่ ท ำให้ เพิ่ ม ความน่ าจะเป็ น ไปได้ ของการเกิ ด
33
2) แนวคิดกลุ่มทฤษฎีประมวลสารสนเทศ
1. ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ (Information Processing Theory)
อิ ลิ ช (1989 :171-212) ทฤษฎี ป ระมวลสารสนเทศ จะเป็ น การอธิ บ าย
เกี่ยวกับการได้มาซึ่งความรู้ (Acquire) สะสมความรู้ (Store) การระลึกได้ (Recall) ตลอดจนการ
ใช้สารสนเทศ หรือกล่าวได้ว่าเป็นทฤษฎีที่พยายามอธิบายให้เข้าใจว่ามนุ ษย์จะมีวิธีการรับข้อมู ล
ข่าวสาร หรือความรู้ใหม่อย่างไร เมื่อรับมาแล้วจะมีวิธีการประมวลข้อมูลข่าวสาร และเก็บสะสมไว้ ใน
ลัก ษณะใด ตลอดจนจะสามารถเรี ยกความรู้ม าใช้ ได้ อ ย่า งไร ทฤษฎี นี้ จัด อยู่ ในกลุ่ม พุ ท ธิ ปั ญ ญา
(Cognitivism) โดยให้ความสนใจเกี่ยวกับกระบวนการคิด การให้เหตุผลของผู้เรียนซึ่งแตกต่างจาก
ทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ที่มุ่งเน้นพฤติกรรมที่สังเกตได้เท่านั้น โดย
มิได้สนใจกับกระบวนการคิดหรือกิจกรรมทางสติปัญญาของมนุษย์ (Mental Activities) ซึ่งเป็นสิ่งที่
นักจิตวิทยากลุ่ม พุทธิปัญญาตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องศึกษากระบวนการ ดังกล่าว ซึ่ง
เป็นสิ่งที่ไม่สามารถสังเกตได้โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
1.1) ความเป็นมาและแนวคิดของทฤษฎีประมวลสารสนเทศ
38
ซึ่ ง เชื่ อ ว่ า การเรี ย นรู้ เ กิ ด จากการปรั บ เข้ า สู่ ส ภาวะสมดุ ล (Equilibrium) ระหว่ า งอิ น ทรี ย์ แ ละ
สิ่งแวดล้อม โดยมีกระบวนการ ดังนี้
1) การดูดซึมเข้าสู่โครงสร้างทางปัญ ญา (Assimilation) เป็นการตีความ หรือ
รับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมมาปรับเข้ากับโครงสร้างทางปัญญา
2) การปรับโครงสร้างทางปัญ ญา (Accommodation) เป็น ความสามารถใน
การปรับโครงสร้างทางปัญญาให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม โดยการเชื่อมโยงระหว่างความรู้เดิมและสิ่งที่ต้อง
เรียนใหม่
2. กลุ่มแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์เชิงสังคม (Social constructivism)
นักจิตวิทยาของกลุ่มพุทธิปัญญานิยมที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่งคือ วีกอทสกี (Lev
Vygotsky) ซึ่งเชื่ อว่าสังคมและวัฒ นธรรมจะเป็ นเครื่อ งมื อทางปัญ ญาที่จ ำเป็น สำหรับการพั ฒ นา
รูปแบบและคุณภาพของปัญญา ได้มีการกำหนดรู ปแบบและอัตราการพัฒนามากกว่าที่กำหนดไว้ใน
ทฤษฎี ของ เพีย เจต์ โดยเชื่อว่า ผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มี ความอาวุโส เช่น พ่อแม่ และครู จะเป็ นตัวเชื่อ ม
สำหรั บ เครื่ อ งมื อ ทางสั ง คมวั ฒ นธรรมรวมถึ ง ภาษา เครื่ อ งมื อ ทางวั ฒ นธรรมเหล่ า นี้ ได้ แ ก่
ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม บริบททางสังคมและภาษาทุกวันนี้รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
(ประวิ ท ย์ สิ ม มาทั น , 2552 : 45) ได้ ก ล่ า วว่ า แนวคิ ด ของวี ก อทสกี (Vygotsky) ดั ง กล่ า วข้ างต้ น
ที่ว่า เด็กจะพัฒนาในกลุ่มของสังคมที่จัดขึ้น การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมควรจะเชื่อมความสัมพันธ์
ระหว่างกันมากกว่าที่จะแยกผู้เรียนจากคนอื่นๆ ครูตามแนวคิดกลุ่มคอนสตรัคติวิสต์ ควรจะสร้าง
บริบ ทสำหรับ การเรี ยนรู้ ที่ ผู้เรีย นสามารถได้ รับ การส่ ง เสริ ม ในกิ จ กรรมที่ น่ า สนใจซึ่ง กระตุ้ น และ
เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้แทนที่ครู ผู้สอนที่เข้ามาสู่กิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับผู้เรียน ไม่ใช่เข้ามายืน
มองเด็ ก สำรวจและค้ น พบเท่ า นั้ น แต่ ค รู ค วรแนะนำเมื่ อ ผู้เรีย นประสบปั ญ หา กระตุ้ น ให้ ผู้ เรี ย น
ปฏิบัติงานในกลุ่มในการที่จะคิดพิจารณาประเด็นคำถาม และสนับสนุนด้วยการกระตุ้น แนะนำ ให้
พวกเขาต่อสู้กับปัญหา และเกิดความท้าทาย และนั่นเป็นรากฐานของสถานการณ์ในชีวิตจริง (Real
life situation) ที่จะทำให้ผู้เรียน เกิดความสนใจ และได้รับความพึงพอใจในผลของงานที่พวกเขาได้
ลงมื อ กระทำ ดั ง นั้ น ครูจ ะคอยช่ วยเอื้ อ ให้ ผู้ เรี ยนเกิ ด ความเจริญ ทางด้ า นสติ ปั ญ ญา (Cognitive
growth) และการเรียนรู้ในทุกชั้นเรียนซึ่งกลยุทธ์ทางเรียนรู้ที่สอดคล้องกับแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์เชิง
สังคของวีกอทสกี (Vygotsky) อาจจะไม่จำเป็นต้องจัดกิจกรรมที่เหมือนกันทุกอย่างก็ได้ กิจกรรมและ
รูปแบบอาจเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม แต่อย่างไรก็ตามจะมีหลักการ 4 ประการที่สามารถ
นำไปประยุกต์ใช้ได้ในชั้นเรียนที่เรียกว่า “Vygotsky” หรือ ตามแนวคิดคอนสตรัคติ วิส ต์เชิง สังคม
(Social constructivism) ดังนี้
1) เรียนรู้และการพัฒนา คือ ด้านสังคม เช่น กิจกรรมการร่วมมือ (Collaborative
activity)
44
2.2 รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลเพื่อ
การศึกษา
คำว่า รูปแบบการสอน รูปแบบการเรียนการสอน และรูปแบบการเรียนรู้ ยังคงเป็นคำที่มีการ
นำมาใช้ในความหมายที่เหมือนกัน เอกเกนและคอชัค (Eggen & Kauchak, 2006, p. 21) กล่าวว่า
รูปแบบการสอน หมายถึง กลวิธีการสอนเฉพาะที่ได้รับการออกแบบโดยมีพื้นฐานมาจากทฤษฎีการ
เรียนรู้และการจูงใจเพื่อช่วยให้ ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้เฉพาะ รูปแบบการสอนจะบรรยาย
สภาพทั่วไปของการดำเนินการที่ครูทำเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ซึ่งในเนื้อหานี้จะอธิบ าย
ขั้นตอนการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนานวัตกรรมให้บรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะของรูปแบบ
การเรียนการสอนนั้น
2.2.1 หลักการออกแบบของ ADDIE model
ADDIE Model เป็นกระบวนการพัฒนารูปแบบการสอนที่นักออกแบบการเรียนการ
สอนและนั กพั ฒ นาการฝึก อบรมนิ ย มใช้ กั น ซึ่ ง ADDIE Model มี ล ำดั บ การพั ฒ นาเป็ น 5 ขั้น ซึ่ ง
ประกอบด้วย การวิเคราะห์ (Analysis) การออกแบบ (Design) การพัฒนา (Development) การ
นำไปใช้ (Implemen tation) และการประเมินผล (Evaluation) ซึ่งแต่ละขั้นตอนเป็นแนวทางที่มี
ลักษณะที่ยืดหยุ่นเพื่อให้สามารถนำไปสร้างเป็นเครื่องมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ADDIE Model เป็ น ระบบการออกแบบการสอน การออกแบบรูป แบบการสอน
ส่วนมากในปัจจุบันเป็นลักษณะที่เปลี่ยนแปลงมาจาก ADDIE Model รูปแบบอื่นไม่ว่าจะเป็น Dick &
Carey, Kemp ISD Model สิ่งหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในการปรับปรุงรูปแบบคือการใช้หรือเริ่ม
จากรูปแบบดังเดิม ซึ่งนี้เป็นแนวคิดที่ยอมรับกันมาอย่างต่อเนื่องหรือเป็นข้อมูลสะท้อนที่ได้รับเพื่อการ
พัฒนารูปแบบในขณะที่วัสดุการสอนถูกสร้างขึ้น รูปแบบนี้พยายามทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
โดยการเข้าใจปัญหาที่ต้องการแก้ไข
45
ทฤษฎีการเรียนการสอนเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญในการออกแบบวัสดุ หรือสื่อการเรียนการ
สอน ตั ว อย่ า งเช่ น ทฤษฎี Behaviorism, Constructivism, social learning และ Cognitivism
ทฤษฎีเหล่านี้ช่วยในการสร้างรูปแบบและกำหนดสื่อการสอน ใน ADDIE model แต่ละขั้นตอนจะมี
ผลลัพท์ที่จะนำไปสู่ขั้นตอนต่อไป ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นวิเคราะห์ (Analysis Phase)
ในขั้นนี้เป็นการทำความเข้าใจปัญ หาการเรียนการสอน เป้าหมายของรูปแบบการสอนและ
วัตถุประสงค์ที่จะสร้างขึ้นตลอดจนสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ และความรู้พื้นฐานและทักษะของผู้เรียน
ที่จำเป็นต้องมี โดยพิจารณาจากคำถามเพื่อการวิเคราะห์ดังนี้
- ใครคือกลุ่มเป้าหมายและเขาต้องมีคุณลักษณะอย่างไร
- ระบุพฤติกรรมใหม่ที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นกับผู้เรียน
- มีข้อจำกัดในการเรียนรู้ที่มีอยู่อะไรบ้าง
- อะไรที่เป็นทางเลือกสำหรับการเรียนรู้ที่มีอยู่บ้าง
- หลักการสอนที่พิจารณาเป็นแบบไหน อย่างไร
- มีช่วงเวลาการพัฒนาเป็นอย่างไร
ขั้นที่ 2 การออกแบบ (Design Phase)
ขั้น ตอนการออกแบบประกอบด้วย การสร้างจุดประสงค์การเรียนรู้ กำหนดเครื่องมือวัด
ประเมินผล แบบฝึกหัด เนื้อหา วางแผนการสอน และเลือกสื่อการสอน ขั้นตอนการออกแบบควรจะ
ทำอย่างเป็นระบบและมีเฉพาะเจาะจง โดยความเป็นระบบนี้หมายถึงตรรกะ มีระเบียบแบบแผนของ
การจำแนก การพัฒ นา และการประเมินแผนยุท ธวิธีที่วางไว้เพื่ อให้บรรลุเป้าหมาย สำหรับความ
เฉพาะเจาะจงหมายถึ งแต่ ละองค์ป ระกอบของการออกแบบรูป แบบการสอนจะต้ องเอาใจใส่ ทุ ก
รายละเอียด ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
- จำแนกเอกสารของการออกแบบการสอนให้เป็นหมวดหมู่ทั้งด้านเทคนิคยุ ทธวิธีในการ
ออกแบบการสอนและสื่อ
- กำหนดยุทธศาสตร์การเรียนการสอนให้สอดคล้องกับพฤติกรรมที่คาดหวังในแต่ละกลุ่ม
(cognitive, affective, psychomotor)
- สร้างสตอรีบอร์ด
- ออกแบบ User interface และ User Experiment
- สร้างสื่อต้นแบบ
ขั้นที่ 3 ขั้นการพัฒนา (Development Phase)
ขั้น ตอนการพั ฒ นาคื อ ขั้ น ที่ ผู้ อ อกแบบสร้า งส่ ว นต่ า งๆ ที่ ไ ด้ อ อกแบบไว้ในขั้ น ของการ
ออกแบบซึ่งครอบคลุมการ สร้างเครื่องมือวัดประเมิน ผล สร้างแบบฝึ กหัด สร้างเนื้ อหา และการ
46
ปัญหาที่ท้าทายความคิดในการค้นหาคำตอบ การใช้สถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใกล้ตัวชวนให้
ติดตาม ค้นหาความจริง เป็นต้น
7. การให้ข้อมูลย้อนกลับ เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญในการเรียนการสอน การให้ข้อมูล
ย้อนกลับทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ ช่วยรับรองและยืนยันผลงานของผู้เรียนทำให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจใน
การปฏิบัติงานและการให้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงแก้ไ ขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ท าให้ผลงานดีขึ้น การให้
ข้อมูล ย้อนกลับจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยพัฒนาผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
จะเห็นว่าการประยุกต์ทฤษฎีการสอนสู่การออกแบบการเรียนการสอนนั้น จะมีลักษณะ
ตรงไปตรงมาคือ ระบุสภาพการณ์ และเงื่อนไขของสภาพแวดล้อมที่ครูควรจัดเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้
เกิดผล การเรียนรู้ที่ต้องการ
2.4 สรุป
หลักจิตวิทยาการเรียนรู้หรือทฤษฎีการเรียนรู้นั้นเป็น สิ่งที่ เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่ควรมีความ
เข้าใจที่ลึกซึ้งและตระหนักเกี่ยวกับหลักการทฤษฎีที่เป็นพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับครูผู้สอน
จำเป็นที่ต้องมีความรู้ ดังนั้นการเรียนรู้เป็นกระบวนการสร้างมากกว่าการรับความรู้ ดังนั้น เป้าหมาย
ของการสนับสนุนการสร้างมากกว่าความพยายามในการถ่ายทอดความรู้ ดัง นั้น คอนสตรัคติวิสต์
(Constructivism) จะมุ่งเน้นการสร้างความรู้ใหม่อย่างเหมาะสมของแต่ละบุคคล และสิ่งแวดล้อมมี
ความสำคัญ ในการสร้างความหมายตามความเป็นจริง เป็นวิธีการที่นำมาใช้ในการจัดการเรี ยนการ
สอนมีหลักการที่สำคัญว่า ในการเรียนรู้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนลงมือกระทำในการสร้างความรู้ ซึ่งเป็นเป็น
ส่วนของหลักการพื้นฐานทฤษฎีการเรียนรู้ทั้ง 3 กระบวนการทัศน์ ดังที่กล่าวในเรื่องกลุ่มพฤติ กรรม
นิยม ทฤษฎีพุทธิปัญญานิยม และทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการออกแบบ
การเรี ยนการสอน ในการที่ น ำไปใช้ ในการออกแบบเพื่ อส่ ง เริม การเรีย นรู้ที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ นั่ น
หมายถึง ส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน