Professional Documents
Culture Documents
1. จิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว
ศัพท์เกี่ยวจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว
ความหมายของจิตวิทยาตามนักการศึกษา
จอห์น บี วัตสัน John B Watson = วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม
วิลเลีย่ ม เจมส์ William James = วิชาที่ว่าด้วยกิริยาอาการของมนุษย์
ฮิลการ์ด Hilgard = ศึกษาในเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์
สรุปได้ว่า = จิตวิทยา คือ วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือกิริยาอาการ
ของมนุษย์และสัตว์โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะทาให้
สามารถคาดคะเนหรือพยากรณ์ได้ ซึ่งจะช่วยลดพฤติกรรมเบี่ยงเบนอันก่อให้เกิด
ปัญหาในอนาคต
วิธีการศึกษาทางจิตวิทยา
ขอบข่ายของจิตวิทยา
จิตวิทยาการศึกษา
เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้และพัฒนาการของผู้เรียน ในสภาพการเรียนการสอน
ในชั้นเรียน เพื่อคิดค้นทฤษฎีและหลักการที่จะนามาช่วยแก้ปัญหาทางการศึกษา
เนื้อหาจิตวิทยาการศึกษาประกอบด้วย
1. ความสําคัญของวัตถุประสงค์ ของการศึกษาและบทเรียน
2. ทฤษฎีพัฒนาการและบุคลิกภาพ
3. ความแตกต่างระหว่างบุคคล
4. ทฤษฎีการเรียนรู้
5. ทฤษฎีการสอนและเทคโนโลยีทางการศึกษา
6. หลักการสอนและวิธีการสอน
7. หลักการวัดผลและประเมินผลการศึกษา
8. การสร้างบรรยากาศของห้องเรียน
จิตวิทยาการเรียนรู้
คิมเบิล = การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างถาวรในพฤติกรรมอันเป็นผลมาจาก
การฝึกที่ได้รับการเสริมแรง
ฮิลการ์ด และ เบาเวอร์ = เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็นผลมาจาก
ประสบการณ์และการฝึก
คอนบาค = การเรียนรู้เป็นการแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลง
อันเป็นผลเนื่องมาจากประสบการณ์
จิตวิทยากลุ่มพุทธนิยม 5
1. ทฤษฎีเกสตอลท์
2. ทฤษฎีสนาม
3. ทฤษฎีเครื่องหมาย
4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา
5. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
ทฤษฎีทางจิตวิทยาได้เอามาใช้ในเทคโนโลยีการศึกษาคือ
1. ผลิตสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ( ตาม ทฤษฎี ของ กาเย่)
2. จัดรูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ทฤษฎีของเลวิน (ทฤษฎีสนาม)
2.1 พฤติกรรมเป็นผลมาจากพลังความสัมพันธ์ของกลุ่ม
2.2 โครงสร้างของกลุ่มเกิดจากการรวมกลุ่มที่แตกต่างกัน
2.3 การรวมกลุ่มแต่ละครั้งต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก
2.4 องค์ประกอบต่างๆจะก่อให้เกิดโครงสร้างของกลุ่ม
2.5 สมาชิกกลุ่มจะมีการปรับตัวเข้าหากัน
บิดาแห่งวงการจิตวิทยา
กลุ่มต่างๆทางจิตวิทยา มี 6 กลุ่มดังนี้
1. กลุ่มโครงสร้างทางจิต Structulism
เชื่อว่า โครงสร้างของจิตสานึกของมนุษย์ โดยมีแนวคิดว่าจิตสานึกของมนุษย์ประกอบด้วย ธาตุ
ทางจิต 3 ชนิดคือ การรู้สึก อารมณ์ และจินตนาการ การได้สัมผัสเป็นสิ่งสําคัญสําหรับการเรียนรู้/
ความรู้สึก(การตีความ,แปลความ)/มโนภาพ (การคิด,วิเคราะห์) **จะใช้วิธีพิจารณาภายใน ซึ่งไม่เป็น
วิทยาศาสตร์เพราะข้อมูลที่ได้จากการรายงานความรู้สึกของผู้ถูก ศึกษามีความเป็นอัตนัยสูง
นักจิตวิทยา : วิลเฮล์ม แมกซ์ วุ้นท์
การทดลอง: วุนท์ ใช้วิธีการสํารวจตัวเอง (Introspection) ใช้การทดลองโดยใช้
สิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้น เช่นไฟฟ้าสีระดับเสียงสูงและตํ่า กลิ่น อุณหภูมิ ความร้อน เป็นต้น
ผู้ถูกทดลองจะเป็นผู้เล่ารายละเอียด ความรู้สึก ประสาท สัมผัส และมโนภาพ จากประสบการณ์
ที่ตนได้รับจากการทดลองว่าความรู้สึกอย่างไรเมื่อได้รับสิ่งเร้าต่างๆเป็นตัวกระตุ้นซึ่งต้องอาศัย
ประสบการณ์ ของแต่ละคน ที่มีอยู่เดิม
2. กลุ่มหน้าที่ทางจิต Functionalism
เกิดจาก การรวมกันระหว่างทฤษฎีของ ชาว ดาวิน (Darwinian Theory) กับลัทธิปรัชญาที่
เน้นความสําคัญของการปฏิบัติจริง (Pragmatic Philosophy ) , มาจากกลุ่มปฏิบัตินิยม แนวคิดกลุ่มนี้
มีอิทธิมากต่อวงการศึกษา เนื่องจากมีจุดมุ่งหมายให้มนุษย์ดํารงชีวิตอยู่ในสังคมด้วยความผาสุก
มุ่งศึกษาด้านหน้าที่ของจิต = การเรียนรู้/การจูงใจ/การแก้ไขปัญหา/จิตใจกับร่างกาย(จิตควบคุม
กระบวนการในร่างกาย)/หรือ การที่บุคคลต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคม
เป็นวิธีการทํางานวิทยาศาสตร์ , Learning by doing
ออกสอบบ่อย
นักจิตวิทยา : จอห์น ดิวอี้ , วิลเลี่ยม เจมส์ , วูดเธอร์ แองเกลล์
3. กลุ่มพฤติกรรมนิยม Behaviorism
เชื่อว่า พฤติกรรมทุกอย่างต้องมีเหตุมากระตุ้น และสาเหตุนั้นมาจากสิ่งเร้าในรูปใดก็ได้
ที่มากระทบ , อาศัยแนวคิดของ พาฟลอฟ
มีหลักการ 3 ประการ คือ
1. การวางเงื่อนไขเป็นสาเหตุที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
2. พฤติกรรมของคนที่ปรากฏส่วนมาก เกิดจากการเรียนรู้มากกว่าเป็นไปเองตามธรรมชาติ
3. การเรียนรู้ของคนกับสัตว์ไม่ต่างกันมาก
การทดลอง : วัตสันได้นําเอาทฤษฎีของพาฟลอฟ มาเป็นหลักสําคัญในการอธิบายเรื่องการเรียน
ผลงานของวัตสันได้รับความนิยมแพร่หลายจนได้รับการยกย่องว่าเป็น“บิดาของจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม”
ทฤษฎีของเขามีลักษณะในการอธิบายเรื่องการเกิดอารมณ์จากการวางเงื่อนไข (Conditioned-
emotion)
วัตสัน ได้ทําการทดลองโดยให้เด็กคนหนึ่งเล่นกับหนูขาว และขณะที่เด็กกําลังจะจับหนูขาว
ก็ทําเสียงดังจนเด็กตกใจร้องไห้ หลังจากนั้นเด็กจะกลัวและร้องไห้เมื่อเห็นหนูขาว ต่อมาทดลองให้นําหนูขาว
มาให้เด็กดู โดยแม่จะกอดเด็กไว้ จากนั้นเด็กก็จะค่อย ๆ หายกลัวหนูขาว
นักจิตวิทยา : จอห์น บี วัตสัน
การประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอน
1.ในแง่ของความแตกต่างระหว่างบุคคล ความแตกต่างทางด้านอารมณ์มีแบบแผนการ
ตอบสนองได้ไม่เท่ากัน จําเป็นต้องคํานึงถึงสภาพทางอารมณ์ผู้เรียนว่าเหมาะสมที่จะสอนเนื้อหา
2.การวางเงื่อนไข เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านอารมณ์ด้วย โดยปกติผู้สอน
สามารถทําให้ผู้เรียนรู้สึกชอบหรือไม่ชอบเนื้อหาที่เรียนหรือสิ่งแวดล้อมในการเรียน
3.การลบพฤติกรรมที่วางเงื่อนไข ผู้เรียนที่ถูกวางเงื่อนไขให้กลัวผู้สอน เราอาจช่วยได้
โดยป้องกันไม่ให้ผู้สอนทําโทษเขา
6. กลุ่มมนุษยนิยม Humanism
มนุษย์พยายามปรับปรุงตัวให้มีความสมบูรณ์ที่สุด มี ดังนี้
1. เชื่อว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกประเภทหนึ่งที่มีจิตใจ มีความต้องการความรัก
2. เชื่อว่ามนุษย์เราทุกคนต่างก็พยายามจะรู้จักและเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง
3. มีความเชื่อว่ามนุษย์เราทุกคนต่างก็เข้าใจผู้อื่น และยอมรับตนเองอยู่แล้ว
4. ให้คนมีสิทธิ์อิสระที่จะเลือกกระทํา
5. มีความเห็นว่า วิธีการค้นคว้าแสวงหา ความรู้ข้อเท็จจริงต่างๆ เป็นสิ่งที่จําเป็น
สกินเนอร์ (Skinner) เป็นผู้คิดทฤษฎีการ วางเงื่อนไขแบบการกระทําหรือแบบ
ปฏิบัติการ โดยจําแนกทฤษฎีทางพฤติกรรมออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้แบบ Type S (Response Behavior)
ซึ่งมีสิ่งเร้า (Stimulus) เป็นตัวกําหนดหรือดึงออกมา เช่น น้ําลายไหลเนื่องจาก
ใส่อาหารเข้าไปในปาก สะดุ้งเพราะถูกเคาะที่สะบ้าข้างเข่า หรือการหรี่ตาเมื่อถูกแสงไฟ พฤติกรรมดังกล่าว
เป็นการตอบสนองแบบอัตโนมัติ
2. พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้แบบ Type R (Operant Behavior)
พฤติกรรมหรือกาตอบสนองขึ้นอยู่กับการเสริมแรง (Reinforcement) การตอบสนอง
แบบนี้จะต่างกับแบบแรก เพราะอินทรีย์เป็นตัวกําหนดหรือเป็นผู้สั่งให้กระทําต่อสิ่งเร้า ไม่ใช้ให้สิ่งเร้าเป็น
ตัวกําหนดพฤติกรรมของอินทรีย์ เช่น การถางหญ้า การเขียนหนังสือ การรีดผ้า พฤติกรรมต่าง ๆ ของคนใน
ชีวิตประจําวันเป็นพฤติกรรมแบบOperant Conditioning)
หลักการเรียนรู้ที่สําคัญ หลักการเรียนรู้ของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทํา เน้น
การกระทําของผู้ที่เรียนรู้มากกว่าสิ่งเร้าที่กําหนดให้ กล่าวคือ เมื่อต้องการให้อินทรีย์เกิดการเรียนรู้จากสิ่ง
เร้าใดสิ่งเร้าหนึ่ง เราจะให้ผู้เรียนรู้เลือกแสดงพฤติกรรมเองโดยไม่บังคับหรือบอกแนวทางในการเรียนรู้
เมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้แล้วจึง "เสริมแรง" พฤติกรรมนั้นทันที เพื่อให้ผู้เรียนรู้ว่าพฤติกรรมที่
แสดงออกนั้นเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบการกระทํา
นั้น พฤติกรรมการตอบสนองจะขึ้นอยู่กับการเสริมแรง (Reinforcement)
การเรียนรู้
ความหมายของการเรียนรู้
1. พฤติกรรมเดิมสู่พฤติกรรมใหม่ที่ถาวร
2. ผลมาจากการฝึกฝน
3. มิใช่มาจากการตอบสนองตามธรรมชาติ
การเรียนรู้ขึ้นกับตัวแปร 3 ประการ
1. สิ่งเร้า Stimulus – S
2. อินทรีย์ Oganism – O
3. การตอบสนอง Response – R
ทฤษฎีการเรียนรู้
การวางเงื่อนไขของพาฟลอฟ **ออกสอบบ่อย
พาฟลอฟ = เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองที่ต้องวางเงื่อนไข
การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค Classsical condition มี 4 กฎ ดังนี้
1. Law of extination การลดภาวะ การลบพฤติกรรม
2. Law of spontaneous การฟื้นคืนสภาพหลังจากการลบพฤติกรรม
3. Law of generalization การสรุปเกณฑ์, การตอบสนองคล้ายกับเงื่อนไข
4. Law of discrimination ความแตกต่างที่แยกแยะได้
แบบคลาสสิคของ วัตสัน
นักจิตวิทยา ชาวอเมริกันทําการทดลอง (เด็กชายอายุ 11 เดือนกับหนู) มีหลักการดังนี้
1. การแผ่ขยายพฤติกรรม = มีการแผ่ขยายการตอบสนองที่วางเงื่อนไขต่อสิ่งเร้าคล้ายคลึง
กับสิ่งเร้าที่เป็นเงื่อนไข
2. การลดภาวะ = หรือการดับสูญการตอบสนอง ให้สิ่งเร้าใหม่ ตรงข้ามกับสิ่งเร้าเดิม เรียก
Counter – Conditioning
Watsonได้ใช้หนูขาวเป็นสิ่งเร้าที่ต้องวางเงื่อนไข (CS) มาล่อ หนูน้อยอัลเบิร์ต (Albert)
อายุ 11 เดือน ชอบหนูขาวไม่แสดงความกลัว แต่ขณะที่หนูน้อยยื่นมือไปจับเสียงแผ่นเหล็กก็ดังขึ้น ซึ่งทํา
ให้หนูน้อยกลัว ทําคู่กันเช่นนี้เพียงเจ็ดครั้งในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ ปรากฏว่าตอนหลังหนูน้อยเห็นแต่เพียง
หนูขาวก็แสดงความกลัวทันที
แผนผังการทดลอง
เสียงดัง (UCS) กลัว (UCR)
หนูขาว (neutral) ไม่กลัว
การ ประยุกต์ใช้ในด้านการเรียน
การสอน
1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล ด้านสติปัญญา ด้านอารมณ์มีการตอบสนองไม่เท่ากัน การจัดการ
เรียนการสอนต้องคํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
2. การวางเงื่อนไข เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านอารมณ์ ผู้สอนสามารถทําให้ผู้เรียนรู้สึก
ชอบหรือไม่ชอบเนื้อหาที่เรียนหรือสิ่งแวดล้อมในการเรียนได้
3. การล้างพฤติกรรมที่วางเงื่อนไขในแง่ลบ เช่น การที่นักเรียนกลัวครู ครูอาจเปลี่ยนวิธีการสอนใหม่
4. สามารถนําความรู้ไปแก้ไขปัญหาด้านความกลัวของเด็กหรือวางเงื่อนไขเพื่อให้เกิดการตอบสนอง
ในเรื่องที่ต้องการให้แสดงพฤติกรรม
ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงของธอร์นไดด์
ทําการทดลองแมวกับอาหาร โดยแมวถูกขังอยู่ในกรง การเรียนรู้เกิดจากการลองผิดลอง
ถูก นําไปสู่การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ประกอบด้วย
การทดลอง
ธอร์นไดค์ ได้นําแมวไปขังไว้ในกรงที่สร้างขึ้น แล้วนําปลาไปวางล่อไว้นอกกรงให้ห่าง
พอประมาณ โดยให้แมวไม่สามารถยื่นเท้าไปเขี่ยได้ จากการสังเกต พบว่าแมวพยายามใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อ
จะออกไปจากกรง จนกระทั่งเท้าของมันไปเหยียบถูกคานไม้โดยบังเอิญ ทําให้ประตูเปิดออก หลังจากนั้น
แมวก็ใช้เวลาในการเปิดกรงได้เร็วขึ้น
จากการทดลองธอร์นไดค์อธิบายว่า
การตอบสนองซึ่งแมวแสดงออกมาเพื่อแก้ปัญหา เป็นการตอบสนองแบบลองผิดลองถูก การที่แมว
สามารถเปิดกรงได้เร็วขึ้น ในช่วงหลังแสดงว่า แมวเกิดการเรียนรู้ด้วยการสร้างพันธ์หรือตัวเชื่อมขึ้นระหว่าง
คานไม้กับการกดคานไม้
กฎการเรียนรู้ จากการทดลองสรุปเป็นกฎการเรียนรู้ได้ ดังนี้
1. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) หมายถึง สภาพความพร้อมหรือวุฒิภาวะ
ของผู้เรียนทั้งทางร่างกาย อวัยวะต่างๆ ในการเรียนรู้และจิตใจ ถ้าผู้เรียนมีความพร้อมตามองค์ประกอบ
ต่างๆ ดังกล่าว ก็จะทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้
2. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) หมายถึง การที่ผู้เรียนได้ฝึกหัดหรือกระทําซ้ําๆ
บ่อยๆ ย่อมจะทําให้เกิดความสมบูรณ์ถูกต้อง ซึ่งกฎนี้เป็นการเน้นความมั่นคงระหว่างการเชื่อมโยงและการ
ตอบสนองที่ถูกต้องย่อมนํามาซึ่งความสมบูรณ์
3. กฎแห่งความพอใจ (Law of Effect) กฎนี้เป็นผลทําให้เกิดความพอใจ กล่าวคือ
เมื่ออินทรีย์ได้รับความพอใจ จะทําให้หรือสิ่งเชื่อมโยงแข็งมั่นคง ในทางกลับกันหากอินทรีย์ได้รับความไม่
พอใจ จะทําให้พันธะหรือสิ่งเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองอ่อนกําลังลง
นําไปประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนดังนี้
ลดการวางเงื่อนไข ศึกษาภูมิหลังของเด็กว่าเด็กชอบอะไร นาสิ่งเร้ามาคู่กัน จากนั้น
ตรวจสอบว่าเด็กชอบหรือเปล่า
สิ่งใดก็ตามที่กระทําบ่อยๆ ก็จะเกิดทักษะ ความชํานาญ
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบกํารกระทําของสกินเนอร์
สกินเนอร์มีความคิดว่า ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคของ Pavlov นั้น จํากัดอยู่กับ
พฤติกรรมการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเป็นจํานวนน้อยของมนุษย์ พฤติกรรมส่วนใหญ่แล้วมนุษย์จะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ
เอง ไม่ใช่เกิดจากการจับคู่ระหว่างสิ่งเร้าใหม่กับสิ่งเร้าเก่าตามการอธิบายของ Pavlov
ประเภทของตัวเสริมแรง
ตัวเสริมแรงนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ อาจแบ่งเป็นตัวเสริมแรงบวกกับตัวเสริมแรง
ลบ หรืออาจแบ่งได้เป็นตัวเสริมแรงปฐมภูมิกับตัวเสริมแรงทุติยภูมิ
ชนิด ผล ตัวอย่าง
การเสริมแรงทางบวก พฤติกรรมเพิ่มขึ้นเมื่อมีสิ่งเร้า ผู้เรียนที่ทําการบ้านส่งตรงเวลาแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสิ่งเร้าที่ ได้รับคําชม จะทําการบ้านส่งตรงเวลา
บุคคลนั้นต้องการ สม่ําเสมอ
ข้อเสียของการลงโทษ
1. การลงโทษไม่ได้ทําให้พฤติกรรมเปลี่ยน แค่เก็บกดเอาไว้ แต่พฤติกรรมยังคงอยู่
2. บางครั้งทําให้พฤติกรรมที่ถูกลงโทษ เพิ่มขึ้น เช่น โดนห้ามลางาน ก็เลยมาแกล้งคนอื่นที่
3. บางครั้งไม่รู้ว่าทําไมถูกลงโทษ เพราะเคยทําพฤติกรรมนั้นแล้วไม่ถูกลงโทษ
4. ทําให้เกิดอารมณ์ไม่เหมาะสม และนําไปสู่การหลีกเลี่ยงและหลีกหนี
5. การลงโทษอาจนําไปสู่ความก้าวร้าว
6. การลงโทษไม่ได้ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เหมาะสม
การใช้การลงโทษ
1. Time-out คือ การเอาตัวเสริมแรงทางบวกออกจากบุคคล แต่ถ้าพฤติกรรมเด็กหยุดต้อง
เอากลับเข้ามาและเสริมแรงพฤติกรรมใหม่ทันที
2. Response Cost หรือ การปรับสินไหม คือ การดึงสิทธิ์หรือสิ่งของออกจากตัว เช่น ปรับเงิน
คนที่ขับรถผิดกฎ
3. Verbal Reprimand หรือ การตําหนิหลัก คือ ห้ามตําหนิที่ Personality ต้องตําหนิที่
Behavior ใช้เสียงและหน้าที่เรียบๆ เชือดเฉือนหัวใจ
4. Overcorrection คือ การแก้ไขเกินกว่าที่ทําผิด แบ่งออกเป็น
4.1. Restitutional Overcorrection คือ การทําสิ่งที่ผิดให้ถูก ใช้กับสิ่งที่ทําผิดแล้วยังแก้ไข
ได้ เช่น ทําเลอะแล้วต้องเช็ด
4.2. Positive-Practice Overcorrection คือ การฝึกทําสิ่งที่ถูกต้อง ใช้กับสิ่งที่ทําผิดแล้ว
แก้ไขไม่ได้อีก เช่น ฝึกทิ้งขยะให้ลงถัง
4.3. Negative-Practice คือ การฝึกทําสิ่งที่ผดิ เพื่อให้เลิกทําไปเอง เช่น ถ้าเด็กสูบบุหรี่ก็ให้สูบซิการ์
การใช้การลงโทษอย่างมีประสิทธิภาพ
1. เมื่อลงโทษแล้ว พฤติกรรมต้องลด
2. การลงโทษต้องรุนแรง แต่ต้องไม่เกินกว่าเหตุ
3. ควรเตือน 1 ครั้ง ก่อนการลงโทษ และในการเตือนต้องพูดในสิ่งที่ทําได้จริง
4. พฤติกรรมที่จะถูกลงโทษ ควรถูกบรรยายให้ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง
5. การลงโทษต้องสม่ําเสมอ
6. ถ้าเป็นไปได้ ควรปรับสภาพแวดล้อม เพื่อไม่ให้พฤติกรรมไม่พึงประสงค์กลับมา
7. เมื่อลงโทษแล้ว ต้องมีการเสริมแรงพฤติกรรมใหม่
8. เมื่อเกิดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ ต้องลงโทษทันที และต้องลงโทษในที่รโหฐาน
ตัวเสริมแรงปฐมภูมิ (Primary Reinforcer)
เป็นสิ่งเร้าที่จะสนองความต้องการทางอินทรีย์โดยตรง ซึ่งเปรียบได้กับ UCS. ในทฤษฎีของ
พาฟลอฟ เช่น เมื่อเกิดความต้องการอาหาร อาหารก็จะเป็นตัวเสริมแรงปฐมภูมิที่จะลดความหิวลง เป็นต้น
ลําดับขั้นของการลดแรงขับของตัวเสริมแรงปฐมภูมิ ดังนี้
1. ความไม่สมดุลในอินทรีย์ ก่อให้เกิดความต้องการ
2. ความต้องการจะทําให้เกิดพลังหรือแรงขับ (drive) ที่จะก่อให้เกิดพฤติกรรม
3. มีพฤติกรรมเพื่อจะมุ่งสู่เป้าหมาย เพื่อให้ความต้องการได้รับการตอบสนอง
4. ถึงเป้าหมาย หรือได้รับสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ได้รับที่เป็นตัวเสริมแรงปฐมภูมิ ตัวเสริมแรง
ที่จะเป็นรางวัลที่จะมีผลให้อยากทําซ้ํา และมีพฤติกรรมที่เข้มข้นในกิจกรรมซ้ํา ๆ นั้น
ตัวเสริมแรงทุติยภูมิ
โดยปกติแล้วตัวเสริมแรงประเภทนี้เป็นสิ่งเร้าที่เป็นกลาง (Natural Stimulus) สิ่งเร้าที่เป็น
กลางนี้ เมื่อนําเข้าคู่กับตัวเสริมแรงปฐมภูมิบ่อย ๆ เข้า สิ่งเร้าซึ่งแต่เดิมเป็นกลางก็กลายเป็นตัวเสริมแรง และ
จะมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับตัวเสริมแรงปฐมภูมิ เราเรียกตัวเสริมแรงชนิดนี้ว่า ตัวเสริมแรงทุติยภูมิ
ตัวอย่างเช่น การทดลองของสกินเนอร์ โดยจะปรากฏว่า เมื่อหนูกดคานจะมีแสงไฟสว่างขึ้น และมีอาหารตก
ลงมา แสงไฟซึ่งแต่เดิมเป็นสิ่งเร้าที่เป็นกลาง ต่อมาเมื่อนําเข้าคู่กับอาหาร (ตัวเสริมแรงปฐมภูมิ) บ่อย ๆ แสง
ไฟก็จะกลายเป็นตัวเสริมแรงปฐมภูมิเช่นเดียวกับอาหาร แสงไฟจึงเป็นตัวเสริมแรงทุติยภูมิ
ตารางกําหนดการเสริมแรง (SCHEDULES OF REINFARCEMENT) ตัวอย่างการให้การเสริมแรง
ตารางการเสริมแรง ลักษณะ ตัวอย่ าง
การเสริมแรงทุกครัง เป็ นการเสริ มแรงทุกครังที ทุกครังทีเปิ ดโทรทัศน์แล้ว
(Continuous) แสดงพฤติกรรม เห็นภาพ
การเสริมแรงตามจํานวนครัง ให้การเสริ มแรงโดยดูจาก การจ่ายค่าแรงตามจํานวน
ของการตอบสนองที(แน่ นอน จํานวนครังของการตอบสนอง ครังทีขายของได้
(Fixed - Ratio) ทีถูกต้องด้วยอัตราทีแน่นอน
การเสริมแรงตามจํานวนครัง ให้การเสริ มแรงตามจํานวนครัง การได้รับรางวัลจากเครื อง
ของการตอบสนองทีไ( ม่ แน่ นอน ของการตอบสนองแบบไม่ เล่นสล๊อตมาชีน
(Variable - Ratio) แน่นอน
ลักษณะของตัวเสริมแรง
1. Material Reinforcers คือ ตัวเสริมแรงที่เป็นวัตถุสิ่งของ เช่น มือถือ ขนม
2. Social Reinforcers เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม
2.1. Verbal เป็นคําพูด เช่น การชม (ต้องชมพฤติกรรมที่แสดงออก ไม่ใช่บุคลิกภาพ)
2.2. Nonverbal ภาษากาย เช่น กอด (การกอดเป็น The Best Social Reinforcers
ซึ่งต้องใช้กับ Positive Behavior)
** หมายเหตุ: ถ้า Verbal ไม่สัมพันธ์กับ Nonverbal คนเราจะเชื่อ Nonverbal มากกว่า
3. Activity Reinforcers เป็นการใช้กิจกรรมที่ชอบทําที่สุดมาเสริมแรงกิจกรรมที่อยากทํา
น้อยที่สุด โดยต้องทําตาม Premack Principle คือ ให้ทําสิ่งที่อยากทําน้อยที่สุดก่อน แล้วจึงให้ทํากิจกรรม
ที่ชอบที่สุด เช่น เด็กที่ชอบกิน Chocolate แต่ไม่ชอบเล่น Pinball ก็ให้เล่น Pinball ก่อนแล้วจึงให้กิน
Chocolate
** หมายเหตุ: ถ้าสิ่งใดเป็นของตาย คือจะทําหรือไม่ทําก็ได้สิ่งนั้นอยู่แล้ว สิ่งนั้นจะเป็น
ตัวเสริมแรงไม่ได้อีกต่อไป
4. Token Economy จะเป็นตัวเสริมแรงได้เฉพาะเมื่อแลกเป็น Backup Reinforcers ได้
เช่น เงินธนบัตรก็เป็นแค่กระดาษใบหนึ่ง แต่ว่ามันใช้ชําระหนี้ได้ตามกฎหมาย ดังนั้น ถ้ามันใช้ชําระหนี้ไม่ได้ก็
เป็นแค่กระดาษใบหนึ่ง เงินมีอิทธิพลสูงสุด
5. Positive Feedback หรือการให้ข้อมูลป้อนกลับทางบวก จับเฉพาะจุดบวก มองเฉพาะ
ส่วนที่ดี เช่น บอกเด็กว่า หนูทํางานส่วนนี้ได้ดีมาก แต่ส่วนที่เหลือเอากลับไปแก้นะ
6. Intrinsic Reinforcers หรือตัวเสริมแรงภายใน เช่น การชื่นชมตัวเอง ไม่ต้องให้มีใครชม
ปัจจัยที่มีผลต่อการเสริมแรง
1. Timing การเสริมแรงต้องทําทันที เช่น แฟนตัดผมมาใหม่ต้องชมทันที ถ้าช้าจะถูกตําหนิ
2. Magnitude & Appeal การเสริมแรงต้องตอบสนองความต้องการอย่างพอเหมาะ อย่า
มากไปหรือน้อยไป
3. Consistency การเสริมแรงต้องให้สม่ําเสมอ เพราะจะได้รู้ว่าทําแล้วต้องได้รับการเสริมแรง
อย่างแน่นอน
การนําทฤษฎีไปประยุกต์ใช้
1. ใช้ในการปลูกฝังพฤติกรรม (Shaping Behavior) หลักสําคัญของทฤษฎีการวางเงื่อนไข
แบบการกระทําของสกินเนอร์ คือ เราสามารถควบคุมการตอบสนองได้ด้วยวิธีการเสริมแรง กล่าวคือ เราจะ
3. การเรียนการสอน
1. Observable & Measurement คือ สังเกตและวัดได้ เช่น หลังเรียนคอร์สนี้จบแล้วจะ
สามารถอธิบายทฤษฎีได้
ทฤษฎีกลุ่มความรู้ความเข้าใจ
• กลุ่มเกสตัลท์ มีผู้นํากลุ่มคือ เวอร์ไทเมอร์ , โคลเลอร์ , คอฟกา , เลวิน
การเรียนรู้เกิดจากการจัดประสบการณ์ทั้งหลายมารวมกัน หรือการรับรู้เป็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อยรวมกัน
• กลุ่มเกสตัลท์ เชื่อว่าการเรียนรู้ที่เห็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อยนั้นจะต้องเกิด จาก
ประสบการณ์เดิม และการเรียนรู้ย่อมเกิดขึ้น 2 ลักษณะคือ
1. การรับรู้ (Perception)
การรับรู้หมายถึงการแปลความหมายหรือการตีความต่อสิ่งเร้าของ อวัยวะ
รับสัมผัสส่วน ใดส่วนหนึ่งหรือทั้งห้าส่วน ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น และผิวหนัง และการตีความนี้ มักอาศัย
ประสบการณ์เดิมดังนั้น แต่ละคน อาจรับรู้ในสิ่งเร้าเดียวกันแตกต่างกันได้ แล้วแต่ประสบการณ์ เช่น
นางสาว ก. เห็นสีแดง แล้วนึกถึงเลือดแต่นางสาว ข. เห็นสีแดงอาจนึกถึงดอกกุหลาบสีแดงก็ได้
การเรียนรู้ของกลุ่มเกสตัลท์ ที่เน้น “การรับรู้เป็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย” นั้นได้สรุปเป็นกฎ
การเรียนรู้ของ ทั้งกลุ่ม ออกเป็น 4 กฎ เรียกว่ากฎการจัดระเบียบเข้าด้วยกัน (The Laws of Organization)
ดังนี้
1. กฎแห่งความแน่นอนหรือชัดเจน (Law of Pregnant)
2. กฎแห่งความคล้ายคลึง (Law of Similarity)
3. กฎแห่งความใกล้ชิด (Law of Proximity)
4. กฎแห่งการสิ้นสุด(Law of Closure)ทฤษฎีสนามของเลวิน
2. การหยั่งเห็น
วอล์ฟแกง โคห์เลอร์ เขาได้นําลิงตัวหนึ่ง ชื่อ สุลต่าน มาอดอาหารจนหิวจัด แล้ว
นําไปขังไว้ ในกรง แขวนกล้วยหวีหนึ่งไว้ในที่สูงในกรง ในระดับที่ลิง ไม่สามารถเอื้อมถึง แล้ว นํากล่องไม้ 3
กล่อง ไว้ในกรงด้วย กะว่าเมื่อนํากล่องไม้ 3 กล่อง มาตั้ง ต่อๆ กัน ลิงก็สามารถหยิบกล้วยได้
ผลการทดลองปรากฏว่า
เมื่อลิงหิวจัด ก็หาวิธีที่จะหยิบกล้วยให้ได้ ในที่สุด ลิงก็มองเห็นกล่องไม้ ได้กล่าวไว้
ตอนต้นแล้วว่า โคห์เลอร์ ได้เน้นว่า “ การเรียนรู้เกิดจากการหยั่งเห็น (Insight) โดยอาศัยประสบการณ์เดิม
ที่คล้ายคลึงกันมาแก้ปัญหาใหม่ที่ประสบ ”
การนําหลักการทฤษฎีกลุ่มความรู้ ความเข้าใจ ไปประยุกต์ใช้
1. ครูควรสร้างบรรยากาศการเรียนที่เป็นกันเอง
2. เปิดโอกาสให้มีการอภิปรายในชั้นเรียน
3. การกําหนดบทเรียนควรมีโครงสร้างที่มีระบบเป็นขั้นตอน เนื้อหามีความสอดคล้องต่อเนื่องกัน
4. คํานึงถึงเจตคติและความรู้สึกของผู้เรียน
5. บุคลิกภาพของครูและความสามารถในการถ่ายทอด
จิตวิทยาพัฒนาการ
เป็นจิตวิทยาแขนงหนึ่งที่มุ่งศึกษามนุษย์ทุกวัยตั้งแต่ปฏิสนธิจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
ความหมายของ พัฒนาการ Development
สุชา จันทร์เอม = ลําดับของการเปลี่ยนแปลงหรือกระบวนการเปลี่ยนแปลง
ทิพถ์พา เชษฐเชาวลิต = การเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผน
ศรีเรือน แก้วสังวาน = การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างสม่ําเสมอและต่อเนื่อง
องค์ประกอบของการพัฒนา
1. วุฒิภาวะ Maturity
2. การเรียนรู้ Learning
จุดมุ่งหมายของการศึกษาพัฒนาการของมนุษย์
- เพื่อให้เกิดแรงจูงใจ เข้าใจลักษณะของพัฒนาการ
- มีส่วนช่วยในการแก้ไขและเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น
- เพื่อให้สามารถปรับตัวให้เข้ากับความยากลําบากของพัฒนาการ
ความหมายของจิตวิทยาพัฒนาการ
คือ ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับความคิดและพฤติกรรมมนุษย์
จิตวิทยาพัฒนาการมี 4 ด้าน
1. ด้านร่างกาย
2. ด้านสติปัญญา
3. ด้านอารมณ์
4. ด้านสังคม
การแบ่งวัยระยะพัฒนาการ แบ่งตามอํายุได้ 8 ช่วงดังนี้
1. ระยะก่อนคลอด = เริ่มปฏิสนธิจนถึงคลอด
2. ระยะหลังคลอด
2.1 แรกเกิด , ทารก = คลอดถึง 2 ขวบ
2.2 เด็กตอนต้น = 2 - 6 ขวบ
2.3 เด็กตอนกลาง = ช (7-12) , ญ (6-10)
2.4 ย่างสู่วัยรุ่น = ช(13-15), ญ(12-13) 2.5 วัยรุ่น = ตอนต้น(14-17),
ตอนปลาย(17-20)
2.6 วัยผู้ใหญ่ตอนต้น = 18 – 40 ปี
2.7 วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง = 40 – 60 ปี
2.8 วัยชรา = มากกว่า 60 ปี
ทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการของ อิริคสัน
อธิบายถึงลักษณะการศึกษาไปข้างหน้า โดยเน้นถึงสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ที่มีผลต่อการ
พัฒนาบุคลิกภาพของคน เป็นการพัฒนาของ Ego มี 8 ขั้น ดังนี้
1. ระยะทารก 0 – 2 ขวบ = ขั้นไว้วางใจและไม่ไว้วางใจผู้อื่น
2. วัยเริ่มต้น 2 – 3 ขวบ = ขั้นมีอิสระกับความละอาย ความสงสัย เป็นตัวของตัวเอง หรือเรียก
ขั้นพลังจิต
3. ระยะก่อนไปโรงเรียน 3 – 6 ปี = ขั้นมีความคิดริเริ่มกับความรู้สึกผิด, ขั้นมีความมุ่งประสงค์ (วัย
เด็กซุกซน)
4. ระยะเข้าโรงเรียน 6 – 12 ปี = ขั้นเอาการเอางาน ขั้นสมรรถภาพ กับความมีปมด้อย
5. ระยะวัยรุ่น 12 – 20 ปี = ขั้นเข้าใจอัตลักษณ์ของตนเอง และ ไม่เข้าใจตนเอง
6. ระยะต้นของวัยผู้ใหญ่ 20–40 ปี =ขั้นใกล้ชิดสนิทสนมกับความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว ขั้นความรัก
7. ระยะผู้ใหญ่ 40 – 60 ปี = การอนุเคราะห์เกื้อกูลกับการพะว้าพะวงตัวเอง ขั้นเอาใจใส่
ทฤษฎีพัฒนาการของเพียเจท์ ** ออกสอบบ่อย
เป็นการใช้ความสามารถในการใช้เหตุผลและตรรกวิทยา มีอยู่ 4 ขั้น
1.ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว Sensorimotor แรกเกิด – 2 ขวบ = การรับรู้ด้วย
การเคลื่อนไหวและใช้ประสาทสัมผัส, พัฒนาการทางความคิดก่อนพูดได้
2. ขั้นก่อนปฏิบตั ิการคิด Preoperational วัย 2 – 7 ปี = ขั้นก่อนการคิดแบบมีเหตุผล,
ริเริ่มความเข้าใจ เป็นวัยก่อนเข้าโรงเรียนยังไม่สามารถใช้ปัญญาได้เต็มที่
3. ขั้นปฏิบัตกิ ารคิดด้านรูปธรรม Concrete วัย 7 – 11 ปี = ขั้นการคิดแบบมีเหตุผลเชิง
รูปธรรม มีการจัดหมวดหมู่
4. ขั้นปฏิบัตกิ ารคิดด้วยนามธรรม Formal วัย 11 – 15 ปี = ขั้นการคิดแบบมีเหตุผลเชิง
นามธรรม
ทฤษฎีการจัดประเภททางปัญญาของบรูเนอร์ มี 3 แบบ
1. แบบใช้การปฏิบัติ Enactive = รับรู้ประสบการณ์ด้วยการกระทํา
2. แบบใช้ภาพความคิด Ikonic = เด็กจะเริ่มรับสิ่งแวดล้อมเข้ามาด้วยจินตภาพ
3. แบบสัญลักษณ์ Symbotic = อธิบายลักษณะของวัตถุด้วยภาษา
ทฤษฎีพัฒนาการทางความคิดของโคล์เบิร์ก
เป็นการสร้างทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรม ซึ่ง เบิร์กศึกษาจากเพียเจท์แล้วพบว่ามนุษย์มี
พัฒนาการทางจริยธรรมหลายขั้นตอน เบิร์กเองได้แบ่งเป็น 3 ขั้น 6 ข้อย่อยดังนี้
1. ระดับก่อนกฎเกณฑ์ Pre – Conventional (2-10ปี) เด็กจะสนองตามเกณฑ์ภายนอก
มักเกี่ยวข้องกับร่างกาย
1.1 หลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ เพราะกลัวความเจ็บปวด
1.2 ยินยอมทาเพื่อให้ได้รางวัล ตลอดจนแลกเปลี่ยนผลประโยชน์
2. ระดับตามเกณฑ์ Conventional (10-16ปี) ยอมรับความมุ่งหวังของครอบครัว
พยายามปฏิบัติให้เหมาะสม
2.1 เกณฑ์เด็กดี คล้อยตามการชักจูง ทาตามความคาดหวังของสังคม
2.2 ยึดถือกฎระเบียบข้อบังคับของสังคม
3. ระดับเหนือเกณฑ์ Post – Conventional (16 ปี ขึ้นไป) ระดับการตัดสินขัดแย้ง
ด้านจริยธรรม
3.1 การกระทําตามคามั่นสัญญา
3.2 ยินยอมทาตามเพื่อหลีกเลี่ยงการติเตียนตนเอง มีหลักการทางจริยธรรมสากล
***************************************************
ข้อสอบจิตวิทยาการศึกษา
1. Psychology มีรากศัพท์มาจากภาษาใด
ก. ภาษากรีก (Psyche + Logos) ข. ภาษาสเปน (Psycho + Logy)
ค. ภาษารัสเซีย (Psyche + Logos) ง. ภาษาบาลี (Psycho + Logy)
2. ในปัจจุบันความหมายของ จิตวิทยา หมายถึงข้อใด
ก. การศึกษาที่เกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ
ข. วิชาที่ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ และสัตว์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ค. การศึกษาที่เกี่ยวความคิดของคนยุคโบราณ
ง. วิชาที่ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ต่างดาว
3. พฤติกรรม (Behavior) หมายถึงข้อใด
ก. การกระทําหรือกิจกรรมทุกอย่างของมนุษย์
ข. การกระทําหรือกิจกรรมทุกอย่างของมนุษย์ โดยรู้ตัว
ค. การกระทําหรือกิจกรรมทุกอย่างของมนุษย์ โดยไม่รู้ตัว
ง. การกระทําหรือกิจกรรมทุกอย่างของมนุษย์ โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว
4. พฤติกรรม (Behavior) แบ่งได้เป็นสองประเภท คือ
ก. 1.พฤติกรรมภายใน (Behavior Overt), 2.พฤติกรรมภายนอก (Behavior Covert)
ข. 1.พฤติกรรมภายนอกจิตใจ (Behavior Overt), 2.พฤติกรรมภายในจิตใจ
(Behavior Covert)
ค. 1.พฤติกรรมภายในจิตใจ (Overt Behavior), 2.พฤติกรรมภายนอกจิตใจ
(Covert Behavior)
ง. 1.พฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior), 2.พฤติกรรมภายใน (Covert Behavior)
5. พฤติกรรมที่สังเกตได้วัดได้อย่างชัดเจน ตรงกับพฤติกรรมใด
ก. พฤติกรรมภายใน (Behavior Overt)
ข. พฤติกรรมภายนอกจิตใจ (Behavior Overt)
ค. พฤติกรรมภายในจิตใจ (Overt Behavior)
ง. พฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior)
6. พฤติกรรมที่ไม่สามารถสังเกตเห็นหรือวัดได้โดยตรง ถ้าไม่แสดงออกไม่มีใครรู้ตรงกับพฤติกรรมใด
ก. พฤติกรรมภายใน (Behavior Overt)
ข. พฤติกรรมภายนอกจิตใจ (Behavior Overt)
ค. พฤติกรรมภายในจิตใจ (Overt Behavior)
ง. พฤติกรรมภายใน (Covert Behavior)
31. ข้อใดกล่าวความหมายของพฤติกรรมได้ถูกต้อง
ก. การกระทําทุกอย่างของมนุษย์ที่กระทําไปโดยรู้ตัว
ข. การกระทําทุกอย่างของมนุษย์ที่กระทําไปโดยที่ไม่รู้ตัว
ค. การกระทําทุกอย่างของมนุษย์ที่กระทําไปโดยที่ผู้อื่นสังเกตได้
ง. การกระทําทุกอย่างของมนุษย์ที่กระทําไปโดยที่ผู้อื่นสังเกตได้ หรือไม่ก็ตาม
32. พฤติกรรมก้าวร้าวแสดงออกมา โดยไม่มีเหตุผลใด ๆ คือข้อใด
ก. id ข. Eqo
ค. Super eqo ง. ถูกทุกข้อ
52. การแบ่งวัยการพัฒนาการวัยทารกอายุเท่าใด
ก. แรกเกิด - 7 เดือน ข. แรกเกิด - 1 ปี
ค. แรกเกิด - 2 ปี ง. แรกเกิด - 3 ปี
53. เด็กจะมีอารมณ์อ่อนไหวง่ายต่อการติเตียนและการเยาะเย้ยถากถาง ชอบการชมเชยและการยอมรับ
เป็น พฤติกรรมของผู้เรียนในวัยใด
ก. ประถมศึกษาตอนต้น ข. ประถมศึกษาตอนปลาย
ค. มัธยมศึกษาตอนต้น ง. มัธยมศึกษาตอนปลาย
54. จิตวิทยา คามความหมายเดิม เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องใด
ก. พฤติกรรม ข. วิญญาณ
ค. การเรียนรู้ ง. ถูกทุกข้อ
55. การเรียนรู้จากการทดลองของ วัตสัน ใช้สัตว์ชนิดใดเป็นสัตว์ทดลอง
ก. ลิง ข. หนูขาว
ค. สุนัข ง. แมว
56. บทเรียนแบบโปรแกรม เป็นแนวคิดของนักจิตวิทยาผู้ใด
ก. รุสโซ ข. ฟรอยด์
ค. ธอร์นไดค์ ง. สกินเนอร์
57. ข้อใดเป็นการแสดงพฤติกรรมภายใน
ก. การนอน ข. การไหลเวียนของโลหิต
ค. การจินตนาการ ง. ถูกทั้งข้อ ข และ ค
58. วุฒิภาวะ หมายถึงอะไร
ก. กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ข. กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้
ค. กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมความเคร่งครัดระหว่างบุคคลจากสิ่งแวดล้อม
ง. กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมความเคร่งครัดระหว่างบุคคลจากพฤติกรรม
59. เด็กจะรับรู้ส่วนรวมก่อนจึงรับรู้ส่วนน้อยอยู่ในการพัฒนาด้านสติปัญญาชั้นใด
ก. Sensorl motor staqe ข. Perperational staqe
ค. Concrete operations ง. Formal operating
60. ขั้นการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กหญิงหวงพ่อ หรือเด็กชายหวงแม่ อยู่ที่ข้อใด
ก. Oral staqe ข. Anal staqe
ค. Plalic staqe ง. Lantency staqe
61. น้ําลายหลั่งจากผงเนื้อ จากการทดลองของ พาฟลอฟ คือข้อใด
ก. UCS ข. CS
ค. UCR ง. CR
62. วัยอนุบาลอายุช่วงใด
ก. 2 - 3 ปี ข. 2 - 5 ปี
ค. 3 - 5 ปี ง. 3 - 6 ปี
63. ผงเนื้อ จากการทดลองของ พาฟลอฟ คือข้อใด
ก. UCS ข. CS
ค. UCR ง. CR
64. มนุษย์มีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุดเป็นแนวคิดผู้ใด
ก. Maslow ข. Skinner
ค. Pavlov ง. Watson
65. นักจิตวิทยาผู้ใดไม่อยู่ในกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism)
ก. Watson ข. Pavlov
ค. Maslow ง. Skinner
66. ความรู้สึกพึงพอใจของวัยรุ่น จัดอยู่ในขั้นใดของขั้นพัฒนาบุคลิกภาพของฟรอยด์
ก. ขั้นทวาร ข. ขั้นอวัยวะเพศตอนต้น
ค. ขั้นแฝง ง. ขั้นอวัยวะเพศตอนปลาย
67. เด็กที่ชอบเอาแต่ใจตัวเอง จัดอยู่ในกลไกในการป้องกันตัว ข้อใด
ก. การเก็บกด ข. การถดถอย
ค. การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง ง. การแยกตัว
68. เด็กที่ถูกพ่อแม่บีบบังคับมากจนเกินไป จะทําให้เด็กเกิดกลไกในการป้องกันตัว ข้อใด
ก. การเก็บกด ข. การถดถอย
ค. การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง ง. การแยกตัว
69. ถ้าแม่รักลูกอีกคนมากกว่า จะแสดงอาการที่แตกต่างกัน จัดอยู่ในกลไกการป้องกันตัว ข้อใด
ก. การเก็บกด ข. การถดถอย
ค. การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง ง. การแยกตัว
70. ข้อใดต่อไปนี้เป็นตัวที่ทําให้เกิดพฤติกรรมแสดงออกมาให้เห็น
ก. อิด(id) ข. อีโก้(Ego)
ค. ซูเปอร์อีโก้(superego) ง. ถูกทุกข้อ
71. ขั้นแฝง ของขั้นพัฒนาบุคลิกภาพของฟรอยด์จัดอยู่ในช่วงวัยใดต่อไปนี้
ก. แรกเกิด ข. อนุบาล
ค. ประถมศึกษา ง. มัธยมตอนต้น
90. บุคคลใดต่อไปนี้ปฏิบัติตนตรงตามกฎของธอร์นไดค์ถูกต้องที่สุด
ก. นัดจดทุกคําพูดของอาจารย์เพราะคิดว่าสิ่งที่อาจารย์พูดถูกต้องที่สุด
ข. จี๊ดนั่งสมาธิก่อนนําเสนองานในทุกๆครั้ง ทําให้เธอมีความมั่นใจและทําออกมาได้ดี
ค. นานาชอบไปโรงเรียนเพราะครูที่โรงเรียนใจดี
ง. ฟลุ๊คจะได้รับรางวัลจากพ่อทุกครั้งที่เขาสอบได้ที่ 1
91.ข้อใดเป็นแนวคิดของกลุ่มเกสตัลท์
ก. หนูปิ๋งอยากรู้ว่าถ้านําสีแดงไปผสมกับเหลืองจะเกิดเป็นสีอาไร จึงนําสีไปผสมกันจึงได้รู้ว่า
เมื่อผสมกันแล้วเกิดสีส้ม
ข. ครูณเดชสอนเด็กเกี่ยวกับดอกไม้เมื่อเด็กสามารถบอกได้แล้วว่า ดอกไม้ คืออาไร ครูณเดช
ก็สอนเกี่ยวกับชนิดดอกไม้ต่อ
ค. คุณแม่หนูฟ้าเห็น หนูฟ้ากําลังวาดรูป แม่หนูเขาไปชมหนูฟ้าทําให้หนูฟ้า มีความรู้สึกดีใจ
และอยากวาดรูปอีกอย่างมีความสุข
ง. ข้อ ก และ ค ถูก
92. ปิงเห็นสีแดงเขาจะนึกถึงเลือดเสมอ แต่บิวเห็นสีแดงเขาจะนึกถึงดอกชบาจากข้อความข้างต้นอยู่ใน
หลักการเรียนรู้ ในลักษณะใด
ก. การรับรู้ ข. การหยังเห็น
ค. การปรับเปลี่ยน ง. การดูดซัมประสบการณ์
93. ลิงชิมแปนซีถูกขังอยู่ในกรงพอเขาเห็นกล้วยอยู่นอกกรง มัน พยายามจะหยิบกล้วยแต่หยิบไม่ถึง เขา
พยายามอยู่หลายครั้ง มันเห็นไม้ มันเลยเอาไม้เขี่ยๆกล้วยจนกล้วยอยู่หน้าประตูของกรง มันเลยสามารถ
หยิบกล้วยได้ จากข้อความข้างต้นจัดอยู่ในหลักการเรียนรู้ในลักษณะใด
ก. การปรับเปลี่ยน ข. การหยั่งเห็น
ค. การรับรู้ ง. การเปลี่ยนแปลง
94. หนูนิดต้องการหยิบหนังสือการ์ตูนที่ชั้นวางหนังสือ แต่หนังสืออยู่บนชั้นวางที่สูง หนูนิดเอื้อมมือไม่ถึง
หนูนิดเลยแก้ปัญหาโดยการเอาเก้าอี้ เพื่อหยิบหนังสือการ์ตูน แต่หนูนิดก็ยังเอื้อมไม่ถึง หนูนิดเลยเอา
เก้าอี้อีกตัวทับซ้อนกัน หนูนิดสามารถหยิบหนังสือการ์ตูนได้ จากข้อความข้างต้นหนูนิด อยู่ในหลักการ
เรียนรู้ในลักษณะใด
ก. การรับรู้ ข. การหยั่งเห็น
ค. การปรับเปลี่ยน ง. การ ดูดซึมประสบการณ์
95. ครูมาลีสอนเด็กอนุบาลในเรื่องการแปรงฟันอย่างถูกวิธี โดยครูมาลีจะทําหน้าที่เป็นตัวอย่างให้เด็กดู
พร้อมบอกวิธีการแปรงฟันที่ถูกวิธี จากข้อความข้างต้นจัดอยู่ในกฎใด
ก. กฎแห่งความแน่นอนชัดเจน ข. กฎแห่งความคล้ายคลึง
ค. กฎแห่งความใกล้ชิด ง. กฎแห่งการสิ้นสุด
เฉลยข้อสอบจิตวิทยาการศึกษา
1 ตอบ ก. ภาษากรีก (Psyche + Logos)
2. ตอบ ข. วิชาที่ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ และสัตว์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
3. ตอบ ง. การกระทําหรือกิจกรรมทุกอย่างของมนุษย์ โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว
4. ตอบ ง. 1.พฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior), 2.พฤติกรรมภายใน (Covert Behavior)
5. ตอบ ง. พฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior)
6. ตอบ ง. พฤติกรรมภายใน (Covert Behavior)
7. ตอบ ก. วิลเฮล์ม วุ้นต์
8. ตอบ ก. วิลเลี่ยม เจมส์, จอห์น ดิวอี้
9. ตอบ ค. การเรียนรู้แบบ Learning by doing
10. ตอบ ข. ซิกมันด์ ฟรอยด์
11. ตอบ ค. เป็นส่วนที่ทําหน้าที่ควบคุมพฤติกรรม อันเกิดจากความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ให้
แสดงออกในทางที่เหมาะสม เป็นที่ยอมรับของสังคม
12. ตอบ ง. ซุปเปอร์อีโก้ (SuperEgo) เป็นตัวที่มีหน้าที่สร้างอุดมคติที่พึงปรารถนาของสังคมเป็น
มโนธรรมที่คอยเตือน Ego ว่าสิ่งนั้นผิดจงอย่าทํา
13. ตอบ ง. กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism)
14. ตอบ ข. มนุษย์ทุกคนพยายามปรับปรุงตัวเองให้เป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทําได้ สิ่งที่
เป็นประโยชน์ต่ออนาคตของผู้เรียนมากที่สุดก็คือ กรรมวิธีแสวงหาความรู้
15. ตอบ ข. โรเจอร์ส, มาสโลว์
16 ตอบ ค. เน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด
17. ตอบ ง. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อันเป็นผลเนื่องมาจากประสบการณ์และการฝึกหัด เป็น
การเปลี่ยนที่ถาวรหรือค่อนข้างถาวร
18. ตอบ ง. กฎแห่งการเรียนรู้ (Law of learning )
19. ตอบ ข. สกินเนอร์
20. ตอบ ก. การเรียนรู้ที่เน้นส่วนรวมไปหาส่วนย่อย
21. ตอบ ค. วุฒิภาวะ
22. ตอบ ข. 1.พันธุกรรม, 2.สิ่งแวดล้อม
23 ตอบ ค จิตวิเคราะห์
24 ตอบ ก. พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
25 ตอบ ก. พฤติกรรม
26 ตอบ ค. ธอร์นไดค์
27 ตอบ ก. รุสโซ
28 ตอบ ค. สุนัข
29. ตอบ ก. Proebel
30. ตอบ ก. การนอน
31. ตอบ ง. การกระทําทุกอย่างของมนุษย์ที่กระทําไปโดยที่ผู้อื่นสังเกตได้ หรือไม่ก็ตาม
32. ตอบ ก. Id
33. ตอบ ข. ด้านร่างกาย
34. ตอบ ง. 11 - 17 ปี
35. ตอบ ก. Oral staqe
36. ตอบ ค. ขั้นที่ 4
37. ตอบ ค. จิตวิเคราะห์
38. ตอบ ง. ธอร์นไดค์
39. ตอบ ข. CS
40. ตอบ ก. บิเนต์ (Binet)
41. ตอบ ค. มัธยมศึกษาตอนต้น
42. ตอบ ข. โคห์เลอร์
43. ตอบ ข. 12 - 20 ปี
44. ตอบ ก. การสอนจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย
45. ตอบ ง. แมว
46. ตอบ ค. ธอร์นไดค์
47. ตอบ ง. CR
48. ตอบ ข. หน้าที่จิต
49. ตอบ ค. John Dewey
50. ตอบ ข. วิลเลี่ยม วุ้นท์
51. ตอบ ก. เรียนรู้จากส่วนรวมไปส่วนย่อย
52. ตอบ ค. แรกเกิด - 2 ปี
53. ตอบ ก. ประถมศึกษาตอนต้น
54. ตอบ ข. วิญญาณ
55. ตอบ ข. หนูขาว
******************************************************
2. จิตวิทยาการแนะแนว
ความหมายการแนะแนว
การแนะแนว Guidance หมายถึง กระบวนการทางการศึกษาที่ช่วยให้ บุคคลรู้จก และเข้าใจ
ตนเองและสิ่งแวดล้อม สามารถนําตนเองได้ แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง และพัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพ
ปฏิบัติตนให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
การแนะแนวไม่ใช่การแนะนํา อาจกล่าวได้ว่า การแนะแนวเป็นการช่วยเหลือให้เขาสามารถช่วย
ตนเอง
เป้าหมายของการแนะแนว
• ป้องกันปัญหา
• แก้ไขปัญหา
• ส่งเสริมและพัฒนา
ประเภทของการแนะแนว
1. การแนะแนวการศึกษา (Education Guidance)
2. การแนะแนวอาชีพ (Vocational Guidance)
3. การแนะแนวส่วนตัวและสังคม (Personal and Social Guidance)
บริการแนะแนว
1.บริการสํารวจนักเรียนเป็นรายบุคคล(Individual Inventory Service)
– บันทึกประวัตินักเรียนทุกคนไว้ในระเบียนสะสม
– บริการข้อมูลแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง
– ทดสอบความถนัด ความสนใจของนักเรียน
– สํารวจพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียน
2.บริการสนเทศ(Information Service)
- การจัดสอนให้ความรู้ต่าง ๆ ในคาบกิจกรรมแนะแนว
– การจัดป้ายนิเทศ
– การจัดทําเอกสารที่เป็นประโยชน์แก่นักเรียน
– การจัดอภิปราย บรรยาย ให้ความรู้ในด้านการศึกษาอาชีพ และการปรับตัวในสังคม
– การจัดวันอาชีพ
– การจัดสัปดาห์แนะแนวทางศึกษาต่อ
3.บริการให้คําปรึกษา(Counseling Service ) **หัวใจของการแนะแนว
– ให้คําปรึกษานักเรียนที่มีปัญหาด้านส่วนตัว การเรียน และอาชีพ
– ศึกษาและหาทางช่วยให้นักเรียนแก้ปัญหาของตนเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
– เสนอแนะแนวทางปฏิบัติตน เพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพ
• จุดมุ่งหมายของการให้คําปรึกษา
– ช่วยให้บุคคลมีความรู้สึกว่าตนเองไม่โดดเดี่ยวเมื่อเกิดปัญหา
– ช่วยทําให้บุคคลสามารถรู้จักและเข้าใจตนเองงได้อย่างถูกต้อง
– ช่วยให้บุคคลรู้จักใช้ความคิดใช้สติปัญญาที่มีทั้งหมดนําไปใช้ในการตัดสินใจ
– ช่วยให้บุคคลเกิดความกระจ่างขึ้นในใจ มองเห็นลู่ทางในการแก้ไขปัญหา
– ช่วยให้บุคคลเห็นถึงความสําคัญ และประโยชน์จากบริการแนะแนว
– ช่วยให้บุคคลสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้
4.บริการจัดวางตัวบุคคล(Placement Service)
• ประโยชน์ของการจัดวางตัวบุคคล มีดังนี้
– ช่วยให้นักเรียนได้มีโอกาสเรียนวิชาที่เหมาะสมตามความสามารถ
– ช่วยให้นักเรียนได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม ตามความสามารถของตนเอง
– ช่วยให้นักเรียนใช้เวลาว่างทํางานพิเศษตามทที่ตนถนัด
– ช่วยให้นักเรียนที่ขาดแคลนมีโอกาสทํางานพิเศษที่ตนเองชอบนอกเวลาเรียน
– ช่วยให้นักเรียนได้เลือกอาชีพตามความถนัดของตนเอง
– ช่วยให้นักเรียนที่สําเร็จไปแล้วมีโอกาสได้รับผลสําเร็จ
– ช่วยให้นักเรียนได้รับการประคับประคอง ทําให้เด็กเกิดความมั่นใจ
– ช่วยให้นักเรียนดําเนินแผนการต่างๆ ที่วางแผนไว้
• บริการจัดวางตัวบุคคลมี 2 ประเภทคือ
1 การจัดวางภายในโรงเรียน
- ช่วยจัดวางตัวนักเรียนให้เลือกวิชาเรียนตามวามถนัด เช่น หลักสูตรมัธยมศึกษา 4-5-6 ซึ่ง
นักเรียนต้องเป็นผู้พิจารณาว่าตนเองจะสามารถ ศึกษาเล่าเรียนในวิชาที่ตนเองเลือกประสบความสําเร็จ
– ช่วยจัดวางตัวนักเรียนให้เรียนตรงตามหลักสูตร ต้องเลือกวิชาที่เป็นประโยชน์นักเรียนจะ
เป็นคนเลือก
– ช่วยจัดวางตัวนักเรียนให้เลือกกิจกรรมเสริมลักสูตรที่ดีและมีคุณค่า เป็นการเสริม
หลักสูตรทางด้านวิชาการให้มั่นคงยิ่งขึ้น
– ช่วยจัดวางตัวนักเรียนเข้าร่วมโครงการและจัดประสบการณ์ในการทํางาน เป็นการ
ช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจ
2 การจัดวางตัวนักเรียนภายนอกโรงเรียน
– เป็นการจัดวางตัวนักเรียนที่ออกไปทํางานนอกโรงเรียนในระหว่างวันหยุด โดยจัดส่งไปทํา
กับบริษัทหรือห้างร้านต่างๆ
– ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้แนวทางในการปฏิบัติงานที่แท้จริงและจะได้เป็นแนวทางในการ
เลือกอาชีพ การจัดวางตัวบุคคลทางด้านอาชีพ ควรให้บริการดังต่อไปนี้
– จักข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพต่างๆ
– ให้คําปรึกษาเกี่ยวกับการเลือกอาชีพ
– ให้นักเรียนมีโอกาสฝึกฝน และรู้จักการงานทที่ตนเองคิดว่าจะไปประกอบอาชีพในอนาคต
5.บริการติดตามผล
- การสัมภาษณ์นักเรียนด้วยตนเอง เพื่อจะได้ทราบถึงผลของการช่วยเหลือว่าประสบ
ความสําเร็จหรือไม่เพียงใด
- การสัมภาษณ์บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดนักเรียน เช่น เพื่อนนักเรียน เพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง บิดา
มารดา เพื่อทราบถึงผลของการบริการ
- การส่งแบบสอบถามไปยังนักเรียนที่จบการศึกษาไปแล้ว หรือนักเรียนในโรงเรียนกรอร
แบบสอบถาม เพื่อจะได้ทราบผลของการให้บริการ
การแนะแนว
การแนะแนวเป็นวิชาการที่เกิดขึ้นใหม่ แม้จะมีอายเกือบหนึ่งร้อยปีแล้วก็ตาม แต่ถ้าเปรียบเทียบ
กับศาสตร์แขนงอื่นๆ กล่าวได้ว่าการแนะแนวมีอายุน้อยกว่าศาสตร์แขนงอื่นๆ ไม่ว่าวิชาการที่ศาสตร์บริสุทธิ์
เช่น เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์ หรือ ศาสตร์ทางด้านสังคม เช่น ภูมิศาสตร์ สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ หรือแม้แต่
ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องพฤติกรรม ซึ่งได้แก่ จิตวิยา เป็นต้น
สําหรับในประเทศไทย วิชาการแนะแนว ยิ่งมีอายุน้อยมาก คือมีอายุประมาณ 53 ปี เท่านั้น โดย
เริ่มนําเข้าไปใช้ในโรงเรียนเป็นการทดลองครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2469 ที่โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์
จังหวัดฉะเชิงเทรา
แต่วิชาการแนะแนวก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นแขนงวิชา ที่มีความสําคัญต่อการพัฒนาบุคคลและ
ประเทศชาติเป็นอย่างมาก ได้รับการยกย่องว่าเป็นวิชาชีพชั้นสูง ที่มีปรัชญา จุดมุ่งหมาย กระบวนการ
จรรยาบรรณ และการวิจัยที่เป็นของตนเองโดยเฉพาะ และผู้ที่จะกอบอาชีพเป็นนักแนะแนว จําเป็นจะต้อง
ได้รับการฝึกฝน อบรมมาโดยเฉพาะ เป็นระยะเวลายาวนานพอสมควร จึงสามารถปฏิบัติ หน้าที่นักแนะแนว
ได้
ที่มาของคําว่าการแนะแนว
การแนะแนว เป็นศัพท์บัญญัติทางการศึกษา ซึ่งบัญญัติมาจากคําว่า Guidance กับคําว่า
Counseling แต่ศัพท์ทั้งสองคํานี้มีความหมายแตกต่างกัน ดังนั้นปัจจุบันคําว่า Guidance จะแปลว่า การ
แนะแนว ส่วนคําว่า Counseling จะแปลว่าการให้คําปรึกษา
ความหมายของการแนะแนว
การแนะแนวสามารถให้ความหมายได้ 3 นัย ด้วยกันคือ
1. ความหมายตามรูปศัพท์ การแนะแนว หมายถึง การชี้แนะ การชี้ช่องทางให้ การบอกแนวทางให้
เพื่อช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาตัดสินใจได้ แต่มิใช่การแนะนํา ( Advise ) เพราะว่าการแนะนํานั้น ผู้ให้ความ
ช่วยเหลือจะทําหน้าที่เป็นผู้เลือก หรือทําหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจให้ ส่วนการแนะแนวนั้น ผู้ให้ความช่วยเหลือ
หรือนักแนะแนว ไม่ได้ทําหน้าที่เป็นผู้เลือกหรือทําหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจให้ แต่ทําหน้าที่เป็นผู้ให้ข้อมูล
ต่างๆ แล้วให้ผู้ที่มปี ัญหาทําหน้าที่เลือกและตัดสินใจด้วยตนเอง
2.ความหมายในแง่กระบวนการ(Process) การแนะแนว หมายถึง กระบวนการช่วยเหลือบุคคล ให้
เข้าใจตนเอง และโลกของตนเอง
จากความหมายของการแนะแนวในแง่กระบวนการนี้ มีสิ่งที่จะต้องพิจารณาอยู่ 4 ประเด็น คือ
ประการแรก กระบวนการ(Process) หมายถึง ปรากฏการซึ่งแสดงการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ตลอดเวลา และคําว่ากระบวนการการแสดงให้รู้ว่า การแนะแนวมิใช่เหตุการณ์เดียวกัน แต่ที่เกี่ยวข้องกับชุด
ของการกระทําหรือลําดับขั้น ซึ่งก้าวหน้าไปเรื่อยๆสู่เป้าหมาย
ประการที่สอง การช่วยเหลือ( Helping) หมายถึง การช่วย อนุเคราะห์ การสงเคราะห์ การให้
ประโยชน์อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือ ( Helping Occupations ) เป็นจํานวนมาก เช่น จิตแพทย์
นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ต่างมีวัตถุประสงค์สําคัญ อยู่ที่ การป้องกัน ( Prevention ) การซ่อมเสริม(
Remediation ) และการเยียวยาแก้ไข( Amelioration ) ความยุ่งยากและความยากลําบากของมนุษย์
ประการที่สาม บุคคล(Individuals ) หมายถึง นักเรียนที่อยู่ในสถานศึกษา และยิ่งไปกว่านั้น การ
แนะแนวจัดว่าเป็นการช่วยเหลือที่จัดให้กับนักเรียนปกติ ซึ่งต้องการความช่วยเหลือ สําหรับพัฒนาการที่เป็น
ปกติ
ประการสุดท้าย การเข้าใจตนเองและโลกของตนเอง( Understand themselves and their
world ) หมายถึงการที่บุคคลรู้ว่าตนเองเป็นใคร รู้ถึงเอกลักษณ์ของตน
ความสําคัญของการแนะแนว
ปัจจุบันการแนะแนวได้เข้ามามีบทบาทในการศึกษามากขึ้น เนื่องจากการแนะแนวมีจุดมุ่งหมายและ
หลักการที่สอดคล้องหรือเหมือนกันกับจุดมุ่งหมายของการศึกษา คือ การช่วยให้เยาวชนของชาติเป็นผู้ที่คิด
เป็น ทําเป็นและแก้ปัญหาเป็น โดยเน้นให้ผู้เรียนได้รับการส่งเสริมพัฒนาในทุกๆ ด้าน มุ่งสนองความต้องการ
และความสนใจของผู้เรียน ดังจะเห็นได้จากหลักสูตรระดับมัธยมศึกษาตอนต้นพุทธศักราช 2521 และ
หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2524 ได้กําหนดให้มีกิจกรรมแนะแนวอย่างน้อย 1 คาบต่อ
สัปดาห์ ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 และยังได้กล่าวไว้ในหลักเกณฑ์การใช้
หลักสูตรว่า โรงเรียนต้องจัดให้มีบริการแนะแนวส่วนตัว แนะแนวการเรียนและการศึกษาต่อ เพื่อให้นักเรียน
นักสามารถเล่าเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้หลักสูตรยังได้ระบุอีกว่า กิจกรรมแนะแนวที่จัดขึ้นนี้ จะต้องครอบคลุมทั้ง 3 ด้านของ
การแนะแนว คือ การแนะแนวการศึกษา การแนะแนวอาชีพ การแนะแนวบุคลิกภาพและการปรับตัว
โดยเฉพาะด้านพฤติกรรม
ความมุ่งหมายของการแนะแนว
ความมุ่งหมายของการแนะแนว สามารถจําแนกได้เป็น2ประเภทคือ
1.ความมุ่งหมายทั่วไป
2.ความมุ่งหมายเฉพาะ
ความมุ่งหมายทั่วไป หมายถึง ความมุ่งหมายของการแนะแนวโดยส่วนรวม นั่นคือ การแนะแนว
ไม่ว่าจะจัด ณ สถานที่ใดก็ตาม ย่อมมีความมุ่งหมายทั่วไปเหมือนกัน หรืออาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหน้าที่
ของการแนะแนวก็ได้ ซึ่งมี3ประการด้วยกัน
5.เพื่อส่งเสริมให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครูกับนักเรียน เพราะการมีสัมพันธภาพที่ดี
จะช่วยให้การบริหารงานของโรงเรียนดําเนินไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
6.เพื่อช่วยฝึกในเรื่องประชาธิปไตยให้แก่เยาวชนของชาติ เพราะการฝึกให้นักเรียนได้มีความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของตนและมีการปฏิบัติจริง จะช่วยให้นักเรียนเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มี
คุณภาพ
ประเภทของการแนะแนว
การแนะแนวสามารถจําแนกได้หลายประเภทตามลักษณะของปัญหาที่นักเรียนต้องการความช่วยเหลือ
สามารถสรุปออกเป็น 3ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.การแนะแนวการศึกษา
2.การแนะแนวอาชีพ
3.การแนะแนวด้านส่วนตัวและสังคม
1.การแนะแนวการศึกษา (Educational Guidance) หมายถึง กระบวนการให้ความ
ช่วยเหลือนักเรียนในเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษาโดยเฉพาะ เช่น แนวทางในการศึกษาต่อ การเลือกโปรแกรม
การเรียน การลงทะเบียน หลักสูตร การเรียนการสอน การวัดผลประเมินผลของโรงเรียน การค้นคว้า เขียน
รายงาน การอ่านหนังสือ การเตรียมตัวสอบ การสร้างสมาธิในการเรียน การเข้าร่วมกิจ กรรมเสริมหลักสูตร
ฯลฯ
การให้บริการแนะแนวการศึกษา จะช่วยให้นักเรียนรู้จักเลือกและปรับตัวได้อย่างเหมาะสมใน
เรื่องการศึกษาเล่าเรียนของตน ทั้งยังช่วยให้นักเรียนสามารถวางแผนการศึกษาต่อของตนได้อย่างถูกต้อง
จุดมุ่งหมายของการแนะแนวการศึกษา
1.เพื่อช่วยให้นักเรียนได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอน การวัดผล
ประเมินผล ตลอดจนระเบียบ กฎเกณฑ์ต่างๆของโรงเรียนเพื่อที่นักเรียนจะได้ปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง
จุดมุ่งหมายของการแนะแนวด้านส่วนตัวและสังคม
1.เพื่อช่วยให้นักเรียนเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะและบุคลิกภาพที่เหมาะสมเป็นที่ชื่นชม
2.เพื่อช่วยให้นักเรียนรู้จักตนเอง ยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเอง และรู้จักปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง
ของตนให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
3.เพื่อช่วยให้นักเรียนได้มีความเข้าใจผู้อื่น ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนมีความสามารถในการ
ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี ทําให้มีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
4.เพื่อช่วยให้นักเรียนรู้จักรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตของตนเองให้ดีอยู่เสมอ เพื่อจะได้
ไม่เป็นปัญหาหรืออุปสรรคต่อการดําเนินชีวิตของตนเอง
5.เพื่อช่วยให้นักเรียนเป็นผู้มีเจตคติ ค่านิยม และจริยธรรมที่ถูกต้อง ไม่ประพฤติปฏิบัติตน
ไปในทางที่เสื่อมเสีย
6.เพื่อช่วยให้นักเรียนรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และใช้จ่ายเงินให้เกิดประโยชน์แก่
ตนเองอย่างแท้จริง
ปรัชญาการแนะแนว
งามและมีพัฒนาการสูงขึ้นในทุกๆด้าน ทั้งนี้เพื่อเป็นการสงวนไว้ซึ่งทรัพยากรมนุษย์และเพื่อจะได้ใช้ทรัพยากร
มนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3.แนวความคิดเรื่องความร่วมมือ(Cooperation) ไม่ใช่การบังคับ (Compulsion) ในทางการแนะแนวมี
ความคิดเห็นว่าการให้ความร่วมมือของการแนะแนว จะต้องเป็นไปในลักษณะของการร่วมมือกันระหว่างผู้ให้
ความช่วยเหลือและผู้ให้ความร่วมช่วยเหลือและผู้รับความช่วยเหลือ จะไม่ใช้วิธีการบังคับและจะเน้นที่การ
ให้บุคคลผู้มีปัญญาได้ปลดปล่อยแรงจูงใจภายในของตนเองออกมา และการช่วยเหลือนี้จะต้องช่วยให้บุคคลผู้
มีปัญญาเป็นผู้ที่สามารถช่วยตัวเองได้ในที่สุด(Help him to help himself)
4.แนวความคิดเรื่องคุณค่า(Worth) และการให้เกียรติของบุคคล(Dignity) นั่นคือในทางการแนะแนวมี
ความคิดเห็นว่า มนุษย์ทุกคนเป็นผู้ที่มีคุณค่าและมีเกียรติเท่าเทียมกัน ไม่ควรได้รับการดูถูกเหยียดหยาม ไม่
ว่าเขาจะเป็นผู้มีปัญหาหรือไม่ก็ตาม และทุกคนก็มีสิทธิ์และมีอิสรภาพในการเลือกเป้าหมายชีวิตของคน
(Freedom to Choose)
5.แนวความคิดเรื่องพฤติกรรมย่อมมีสาเหตุ (Cause) และจุดมุ่งหมาย (Purpose) ในทางการแนะแนว
มีความคิดเห็นว่าพฤติกรรมทุกพฤติกรรมย่อมมีสาเหตุและมีจุดมุ่งหมาย ดังนั้นในการแก้ไขปัญหาพฤติกรรม
ที่ผิดปกติหรือเบี่ยงเบนไปของนักเรียน จึงมีความจําเป็นที่จะต้องศึกษาถึงสาเหตุแห่งความผิดนั้นเสียก่อน เมื่อ
ค้นพบสาเหตุแล้ว ย่อมจะสามารถให้ความช่วยเหลือได้ถูกจุดและทําได้ง่าย
6. แนวความคิดเรื่องพัฒนาการด้านส่วนตัว (Personal Development) นั่นคือในการแนะแนวมีความ
คิดเห็นว่า งานของการศึกษาเป็นการพัฒนามนุษย์ทางด้านสมองหรือสติปัญญาเท่านั้น แต่การเป็นมนุษย์ที่
สมบูรณ์จําเป็นจะต้องมีการพัฒนาการด้านส่วนตัวด้วย ซึ่งถือเป็นงานของการแนะแนวโดยเฉพาะ เป็นการ
ช่วยให้มนุษย์ได้รู้จักและเข้าใจตนเอง
7. แนวความคิดเรื่องการแนะแนวเป็นกระบวนการทางการศึกษาที่มีลําดับขั้นและต่อเนื่อง
(Continuous) นั่นคือ ในทางการแนะแนว มีความคิดเห็นว่า การแนะแนวมิได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้ง
เดียวหรือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่ง แต่เป็นกระบวนการที่มีลําดับขั้นตอนและต่อเนื่อง ตั้งแต่
ระดับประถมศึกษาจนกระทั่งสําเร็จการศึกษาและก้าวเข้าสู่โลกของงาน
หลักการที่สําคัญของการแนะแนว
3. การจัดกิจกรรมแนะแนวในโรงเรียน
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกําหนดให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นอกเหนือจากการ
เรียนรู้ตามกลุ่มสาระ 8 กลุ่มสาระ ซึ่งกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นกิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียนได้พัฒความสามารถ
ของตนเองตามศักยภาพ การเข้าร่วมและปฏิบัติกิจกรรมที่เหมาะสมร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุขกับกิจกรรม
ที่เลือกด้วยตนเองตามความถนัด และความสนใจอย่างแท้จริง
แนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนวในสถานศึกษา
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2554) ได้เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนว
สถานศึกษาในระดับประถมศึกษาใน 3 ลักษณะ ดังต่อไปนี้
การจัดบริการแนะแนวในสถานศึกษาทุกสถานศึกษาสามารถจัดบริการแนะแนวอย่างเป็นระบบ โดย
มีบริการ 5 บริการ และครอบคลุมขอบข่ายงานแนะแนวทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและ
สังคม ทั้งนี้จะต้องมีการกําหนดผู้รับผิดชอบอยู่ในโครงสร้างการบริหารของโรงเรียน และต้องมีโครงการ
แผนงาน งบประมาณที่แสดงถึงการปฏิบัติงานที่ต่อเนื่องทั้งปี โดยมีครูแนะแนวเป็นผู้นําในการดําเนินงาน
เช่น การเข้าค่าย โครงการต่าง ๆ นิทรรศการ การปฐมนิเทศ โฮมรูม ป้ายนิเทศ กิจกรรมหน้าเสาธง เป็น
ต้น
ในการจัดกิจกรรมแนะแนว มีกระบวนการดังต่อไปนี้
1. สํารวจสภาพปัญหา ความต้องการและความสนใจของผู้เรียน เพื่อให้ใช้เป็นข้อมูลในการกําหนด
แนวทางและแผนการจัดกิจกรรมแนะแนว
2. ศึกษาวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เรียนที่ได้จากการสํารวจ เพื่อทราบ
ปัญหา ความต้องการและความสนใจ นําไปกําหนดสาระและรายละเอียดของกิจกรรมแนะแนว
3. กําหนดสัดส่วนสาระของกิจกรรมในแต่ละด้าน ครอบคลุมด้านการศึกษา การงานและอาชีพ
ชีวิตและสังคม ให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม โดยยึดสภาพปัญหา ความต้องการและความสนใจ ตลอดจน
ธรรมชาติและผู้เรียนเป็นหลัก ทั้งนี้ ครูและผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดสาระของกิจกรรม
4. กําหนดแผนการจัดกิจกรรมแนะแนว เมื่อกําหนดสัดส่วนสาระของกิจกรรมในแต่ละด้านแล้วว่า
แต่ละภาคเรียนจึงต้องจัดกิจกรรมแนะแนวในสาระด้านใด จํานวนกี่ชั่วโมง ต่อมาจะต้องกําหนดรายละเอียด
ของแต่ละด้านไว้ให้ชัดเจนว่าควรมีเรื่องอะไรบ้าสง เพื่อจะได้จัดทําเป็นรายละเอียดในแต่ละกิจกรรมย่อย
ต่อไป
5. การจัดทํารายละเอียดของแต่ละกิจกรรม เริ่มตั้งแต่กําหนดชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ เวลา
เนื้อหา/สาระ วิธีดําเนินกิจกรรม สื่อ/อุปกรณ์ และการประเมินผล
6. ปฏิบัติตามแผน วัดประเมินผล สรุปรายงาน
กิจกรรมการเรียนรู้ในคาบแนะแนว
1. เป็นกิจกรรมทีไ่ ม่ได้เน้นเนื้อหาวิชาและกระบวนการวัดผลการเรียนเหมือนการเรียน
การสอนในวิชาทั่วไป
2. เป็นการรวมกลุ่มของนักเรียนเพื่อทํากิจกรรมอันจะช่วยให้นักเรียนเกิดการพัฒนาในด้านต่าง
ๆและสามารถแก้ปัญหาได้
3. ไม่มีหน่วยการเรียน
4. เป็นกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนได้ค้นพบความถนัด ความสามารถ ความสนใจของตน
5. เป็นกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนได้รับข้อมูลข่าวสารด้านการการศึกษา การศึกษาต่อและอาชีพ
เพื่อวางแผนการศึกษาและเลือกอาชีพที่เหมาะสม สอดคล้องกับความถนัดและความสนใจของตน
6. เป็นกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนพัฒนาบุคลิกภาพ การปรับตัว รู้จักตนเอง สิ่งแวดล้อมและ
สามารถดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
7. เป็นกิจกรรมเพื่อสร้างเสริมคุณธรรม จริยธรรม เพื่อปลูกฝังค่านิยมที่เป็นพื้นฐานเช่น ขยัน
ประหยัดซื่อสัตย์มีวินัย สะอาด รับผิดชอบ สามัคคี กตัญญู
8. เป็นกิจกรรมเพื่อเสริมให้นักเรียนมีความรู้และทักษะวิชาต่าง ๆ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
มีเจคติที่ดีต่อสัมมาชีพ มีนิสัยรักการทํางาน
ตัวชี้วัดความสําเร็จในการจัดกิจกรรมแนะแนว
ด้านผลผลิต
1.1 ผู้เรียนมีความรู้ ความสนใจ ความถนัด ความสามารถของตนเอง
1.2 ผู้เรียนรักและเห็นคุณค่า ภูมิใจตนเอง และผู้อื่น
1.3 ผู้เรียนรู้จักแสวงหาข้อมูลสารสนเทศในการพัฒนาตนเองด้านการศึกษา การงานอาชีพ ชีวิต
และส่วนตัว
บทบาทของบุคลากรผู้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัตงิ านแนะแนว
ผู้บริหารสถานศึกษา
ในฐานะผู้บริหารซึ่งเป็นผู้นําที่จะตัดสินใจและสั่งการเพื่อให้เกิดการปฏิบัติงานแนะแนว ผู้บริหารจึงมี
ความสําคัญสูงสุดต่อความสําเร็จของงาน ผู้บริหารจึงควรมีบทบาทความรับผิดชอบดังต่อไปนี้
1. เป็นผู้ริเริ่มหรือสนับสนุน ส่งเสริมให้มีการจัดบริการแนะแนวในสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยการกําหนดนโยบาย แผนงาน โครงการให้ครอบคลุมงานทั้งหมดจัดบุคลากรที่เหมาะสม กําหนดบทบาท
ความรับผิดชอบทุกฝ่ายอย่างชัดเจน จัดหาปัจจัยจัดหาสภาพแวดล้อม สถานที่ อุปกรณ์ งบประมาณ ที่
เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน และมีการติดตามกํากับดูแล เพื่อให้การดําเนินงาน แนะแนวเป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพเป็นประโยชน์กับผู้เรียนทุกคน
2. เป็นผู้แก้ปัญหาและให้คําปรึกษาแก่บุคลากรในสถานศึกษา รวมทั้งผู้ปกครอง ทั้งนี้ผู้บริหารควร
มีความรู้และทักษะในการให้คําปรึกษาอย่างเพียงพอ
3. เป็นผู้อํานวยความสะดวกและกระตุ้น จูงใจ ให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน โดยมีการพัฒนาบุคลากร
อย่างต่อเนื่อง และมีการสร้างแรงจูงใจ ให้แรงเสริมสร้างขวัญและกําลังใจ ในการปฏิบัติงานแก่ทุกคนอย่าง
ทั่วถึง
4. เป็นแกนกลางในการประสานงานกับทุกฝ่าย
ครูแนะแนว/ครูที่ได้รับมอบหมายให้ทําหน้าที่ครูแนะแนว
1 เป็นผู้วางแผนและจัดทําโครงการแนะแนวให้ครบ 5 บริการและครอบคลุมขอบข่ายงานแนะ
แนวทั้ง 3 ด้าน เพื่อเสนอผู้บริหารตามนโยบายของสถานศึกษา โดยใช้ข้อมูลบริบทของผู้เรียน โรงเรียน และ
ชุมชน เพื่อวางแผนงานและโครงการสนองต่อปัญหาและความต้องการของผู้เรียน
2 เป็นผู้รับผิดชอบประสานการดําเนินงานและการติดตามประเมินผล การจัดบริการแนะแนว
ตามแผนงานและโครงการที่กําหนด
3 เป็นผู้จัดทํากรอบการจัดกิจกรรมแนะแนวตามหลักสูตรสถานศึกษาและพัฒนาครูประจําชั้น/ครู
ผู้จัดกิจกรรมแนะแนวสามารถจัดกิจกรรมได้บรรลุเป้าหมาย
4 เป็นผู้ให้คําปรึกษาแก่ครู ผู้ปกครอง เพื่อดูแลช่วยเหลือผู้เรียนที่มีปัญหารับการส่งต่อจากครู
ประจําชั้น และส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหากปัญหานั้นเกินความสามารถของตน
5 เป็นผู้จัดให้มีการพัฒนาครูและผู้เกี่ยวข้องในเรื่องที่เกี่ยวกับการแนะแนว
ครูประจําชั้น
1 จัดบรรยากาศของชั้นเรียนทั้งด้านกายภาพและจิตใจให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
2 การดูแลผู้เรียนตามระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน
3 การให้คําแนะนําปรึกษาและช่วยเหลือผู้เรียนในชั้นเรียน
4 ติดต่อประสานงานและสร้างความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้อง
5 ติดตามพัฒนาการด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และคุณลักษณะที่พึงประสงค์
ผู้เรียน
1 ให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมบริการแนะแนวต่าง ๆ ที่สถานศึกษาจัดขึ้นเพื่อพัฒนาผู้เรียน
2 เข้าร่วมกิจกรรมแนะแนวตามหลักสูตรตามที่สถานศึกษากําหนด
3 ปฏิบัติกิจกรรมเพิ่มเติมตามที่ครูผู้จัดกิจกรรมมอบหมายทําให้เกิดคุณลักษณะตามวัตถุประสงค์
4 มีส่วนร่วมในการป้องกัน พัฒนา และแก้ไขปัญหาของสถานศึกษา
5 ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นทั้งด้านการเรียน การแก้ไขปัญหา และการปรับตัว
ผู้ปกครอง
1 ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ให้ความอบอุ่น และใช้วิธีการเลี้ยงดูบุตรหลานที่ถูกต้องคือ ไม่ปล่อย
ปละละเลย เข้มงวด หรือทะนุถนอมจนเกินไป จนบุตรหลานมีนิสัยไม่ดี ขาดความรับผิดชอบ
2 เป็นแบบอย่างที่ดีและสร้างสภาพแวดล้อม สร้างประสบการณ์ให้บุตรหลานได้สัมผัสกับตัวอย่าง
ที่ดี
3 ร่วมมือกับสถานศึกษาในการพัฒนาบุตรหลาน โดยไม่ปัดความรับผิดชอบไปให้สถานศึกษาฝ่าย
เดียว รวมทั้งเสียสละ ช่วยเหลือ เพื่อพัฒนาสถานศึกษาตามกําลังความสามารถ
ผู้นําชุมชน
1 จัดสภาพแวดล้อมของชุมชนที่เอื้อต่อการพัฒนาผู้เรียน คือ ไม่มีตัวอย่างแห่งความเลวร้ายที่จะ
เป็นพิษภัยแก่ผู้เรียน โดยมีสถานที่และบรรยากาศที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในทางที่ดี
2 ช่วยสอดส่องดูแลผู้เรียนไม่ให้มั่วสุมทําพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
3 ช่วยพัฒนาสถานศึกษาและเป็นแหล่งเรียนรู้ในทุกด้านแก่สถานศึกษา
ประโยชน์ของการจัดบริการแนะแนวในโรงเรียน
ในการจัดบริการแนะแนวขึ้นในโรงเรียนนั้นถ้าโรงเรียนสามารถให้บริการแก่นักเรียนได้อย่างได้ผลดีมี
ประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ดังต่อไปนี้
2.ช่วยให้คณะครูได้รู้จักนักเรียนของตนแต่ละคนอย่างลึกซึ้ง ทําให้ยอมรับนักเรียนในฐานะเอกัต
บุคคลเข้าใจว่านักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่างในด้านต่างๆ เช่น สติปัญญา สภาพร่างกาย ความถนัด ความ
สนใจค่านิยม ทําให้ทางโรงเรียนสามารถจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมต่างๆได้อย่างเหมาะสม และ
สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน และช่วยให้ปัญหาของโรงเรียนที่เกิดจากนักเรียนลดน้อยลงไปด้วย
4. ช่วยให้สังคมและประเทศชาติได้รับประชากรที่มีคุณภาพ ไม่เป็นผู้ที่ก่อให้เกิดปัญหาสังคมและ
ช่วยเพิ่มพูนเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากเด็กได้เรียนและได้ประกอบอาชีพที่สอดคล้องกับความสามารถ
ความถนัด และความสนใจของตนเอง
ปัญหาของนักเรียนที่ควรได้รับการแนะแนว
ปัญหาต่างๆของนักเรียนที่เกิดขึ้นและสมควรได้รับการแนะแนวนั้นมีอยู่มากมายแต่พอจะจําแนก
ออกเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 8 ประเภทคือ
1. ปัญหาที่เกี่ยวกับพัฒนาการด้านร่างกายและสุขภาพ
1.1 ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
1.2 สุขภาพไม่แข็งแรง มีโรคประจําตัว
1.3 ขาดสารอาหาร อ้วนหรือผอมเกินไป
2. ปัญหาเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียนเช่น
2.1 ไม่ชอบครูบางคน เนื่องจากดุเกินไป หรือไม่ให้ความยุติธรรม
2.2 ไม่ชอบเรียนวิชาบางวิชา
2.3 ขาดนิสัยและทักษะในการเรียนที่จําเป็น เช่น การอ่านหนังสือ การค้นคว้า เขียน
รายงานการเตรียมตัวสอบ การทําตารางประจําวัน หรือต้องออกไปพูดหน้าชั้นเรียน
3. ปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางครอบครัว
3.1มีความรู้สึกขัดแย้งกับบิดามารดาของตนเนื่องจากถูกบังคับมากเกินไป
3.2 มีความรู้สึกขาดความอบอุ่นเนื่องจากบิดามารดาไม่เอาใจใส่
3.3มีความรู้สึกขาดเพื่อนเนื่องจากเป็นลูกคนเดียว
3.4 มีงานต้องช่วยบิดามารดาทํามากเกินไป
3.5 ขาดความสามัคคีในหมู่พี่น้อง
3.6ไม่ได้รับความยุติธรรมจากบิดามารดาหรือผู้ปกครอง
4. ปัญหาด้านการเงินเช่น
4.1 ขาดผู้อุปการะส่งเสียให้เรียน
4.2 ต้องทํางานหารายได้ช่วยตนเอง เพื่อใช้เป็นทุนในการซื้ออุปกรณ์ในการศึกษา
4.3 ต้องการหารายได้ช่วยเหลือตนเอง
4.4 ต้องการรู้จักวิธีการใช้จ่ายเงินที่เหมาะสม
4.5 ต้องการให้ผู้ปกครองให้เงินเป็นก้อน เพื่อตนจะได้รับผิดชอบการใช้จ่ายเอง
5.ปัญหาเกี่ยวกับเพื่อนต่างเพศ
5.1 การปรับตัวด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ เช่น ความรัก การเกี้ยวพาราศี
5.2 การมีนัดกับเพื่อนผู้ชายที่บิดามารดาหรือผู้ปกครองไม่รู้จัก
5.3 บิดามารดาไม่อนุญาตให้ออกไปเที่ยวกับเพื่อนต่างเพศ
6. ปัญหาเกี่ยวกับบุคลิกภาพและสังคม
6.1 ต้องการให้เป็นที่สนใจของคนทั่วไป
6.2 ต้องการเป็นคนที่มีกิริยามารยาทงาม
6.3 ต้องการให้เป็นที่ประทับใจของผู้พบเห็น
6.4 เข้ากับคนอื่นไม่ได้
6.5 อารมณ์อ่อนไหว ใจน้อย โกรธง่าย
7. ปัญหาเกี่ยวกับการใช้เวลาว่าง
7.1 การทําตารางประจําวัน เช่น การวางแผนใช้เวลาในแต่ละวัน
7.2 การเล่นกีฬาและเกมต่างๆ
7.3การทํางานศิลปะและการฝีมือ
7.4 การสมาคมและการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม
8. ปัญหาเกี่ยวกับอาชีพ
8.1 ไม่ทราบว่าจะตัดสินใจเลือกเรียนต่ออะไรดี
8.2 ไม่ทราบว่าจะตัดสินใจประกอบอาชีพอะไรดี
8.3 อยากเลือกเรียนอาชีพบางอย่างแต่ขาดทุนทรัพย์
การจัดกิจกรรมแนะแนวแต่ละวัย
แนวทางการประเมินผลการจัดกิจกรรม
แนะแนวการประเมินผลการจัดกิจกรรมแนะแนว ครูผู้จัดกิจกรรม ผู้เรียน และผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการ
ประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน โดยครูผู้จัดกิจกรรมวางแผนในการประเมินผลด้วยการกําหนดรายการประเมิน
ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และมีเกณฑ์คุณภาพที่ชัดเจน ครูผู้จัดกิจกรรมตรวจสอบเวลาการ
ร่วมกิจกรรมการปฏิบัติกิจกรรม และมีผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลักษณะตามวัตถุประสงค์ของกิจกรรมแนะแนว 3
ข้อ ตัดสินผลการเรียนเป็น “ผ่าน” และ “ไม่ผ่าน
ผ่าน หมายถึง ผู้เรียนมีเวลาเข้าร่วมกิจกรรม ปฏิบัติกิจกรรม และมีผลงาน/ชิ้นงาน/
คุณลักษณะตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากําหนด
ไม่ผ่าน หมายถึง ผู้เรียนมีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมไม่ครบตามเกณฑ์ ไม่ผ่านการปฏิบัติกิจกรรม
หรือมีผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลักษณะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากําหนด
4. ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
กระบวนการและขั้นตอนของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน
1. การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
2. การคัดกรองนักเรียน
3. การป้องกันและแก้ไขปัญหา
4. การพัฒนาและส่งเสริมนักเรียน
5. การส่งต่อ
1. การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
ด้วยความแตกต่างของนักเรียนแต่ละคนที่มีพื้นฐานความเป็นมาของชีวิตที่ไม่เหมือนกัน หล่อ
หลอมให้เกิดพฤติกรรมหลากหลายรูปแบบ ทั้งด้านบวกและด้านลบ ดังนั้นการรู้จักข้อมูลที่จําเป็นเกี่ยวกับตัว
นักเรียนจึงเป็นสิ่งสําคัญ ที่จะช่วยให้ครูที่ปรึกษามีความเข้าใจนักเรียนมากขึ้น สามารถนําข้อมูลมาวิเคราะห์
เพื่อการคัดกรอง นักเรียน เป็นประโยชน์ในการส่งเสริม การป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียนได้อย่างถูก
ทาง ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์
2. การคัดกรองนักเรียน
การคัดกรองนักเรียน เป็นการพิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวนักเรียน เพื่อการจัดกลุ่มนักเรียน อาจ
นิยามกลุ่ม ได้ 4 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มปกติ คือ นักเรียนที่ได้รับการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ตามเกณฑ์การคัดกรองของ
โรงเรียนแล้ว อยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มปกติซึ่งควรได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันและการส่งเสริมพัฒนา
3. การป้องกันและแก้ไขปัญหา
ในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ครูควรให้ความเอาใจใส่กับนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่สําหรับ
นักเรียน กลุ่มเสี่ยง/มีปัญหานั้น จําเป็นอย่างมากที่ต้องให้ความดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดและหาวิธีการ
ช่วยเหลือทั้งการป้องกันและการแก้ไขปัญหา โดยไม่ปล่อยปละละเลยนักเรียนจนกลายเป็นปัญหาของสังคม
การสร้างภูมิคุ้มกัน การป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียน จึงเป็นภาระงานที่ยิ่งใหญ่และมีคุณค่าอย่างมาก
ในการพัฒนาให้นักเรียนเติบโตเป็นบุคคลที่มีคุณภาพของสังคมต่อไป
การป้องกันและการแก้ไขปัญหาให้กับนักเรียนนั้นมีหลายเทคนิค วิธีการ แต่สิ่งที่ครูประจําชั้น/ครูที่
ปรึกษา จําเป็นต้องดําเนินการมีอย่างน้อย 2 ประการ คือ
1. การให้คําปรึกษาเบื้องต้น
2. การจัดกิจกรรมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
3. การพัฒนาและส่งเสริมผู้เรียน
5.เทคนิคการรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการแนะแนว
การเก็บรวบรวมข้อมูล หมายถึง การที่ครูหรือผู้แนะแนวเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวนักเรียน
ในทุกๆ ด้านได้อย่างละเอียดและเป็นระบบ ทั้งนี้เพื่อครูและผู้แนะแนวจะได้รู้จักและเข้าใจนักเรียน รวมทั้ง
เป็นข้อมูลที่จะสะท้อนให้นักเรียนได้รู้จักและเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง
รายละเอียดที่ควรศึกษาและเก็บรวบรวม
1. ข้อมูลส่วนตัวและภูมิหลังเกี่ยวกับครอบครัวของนักเรียน
2. ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของเด็กทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
3. ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติในโรงเรียนหรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
4. ข้อมูลเกี่ยวกับความถนัด ความสนใจ เจคติ และค่านิยมต่างๆ
5. ข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์ในการทํางานและกิจการต่างๆ ภายนอกโรงเรียน
สามารถจําแนกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
แนวข้อสอบจิตวิทยาการแนะแนว
1. ข้อใดเป็นวิธีการของบริการติดตามและประเมินผล
ก. ระเบียนสะสม ข. ปัจฉิมนิเทศ
ค. ให้คําปรึกษา ง. จดหมายติดต่อ
2. เป้าหมายของการแนะแนวคือข้อใด
ก. เด็กเข้าใจปัญหาของตนทุกด้าน
ข. เด็กสามารถอยู่ในสังคมได้
ค. เด็กสามารถเลือกอาชีพได้
ง. เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้อย่างดีทุกด้าน
3. ความสําเร็จของการแนะแนวในสถานศึกษาต้องอาศัยข้อใด
ก. นักเรียน ข. ครูประจําชั้น
ค. ผู้บริหารสถานศึกษา ง. ทุกๆฝ่ายร่วมกัน
4. ข้อใดไม่ใช่ปรัชญาของการแนะแนว
ก. คนย่อมมีปัญหา ข. คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ค. คนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ง. คนอยู่ในสังคมได้ตามความพอใจ
5. หัวใจของการแนะแนวคือข้อใด
ก. การบริการให้คําปรึกษา ข. การบริการข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก
ค. การบริการจัดวางตัวบุคคล ง. การบริการสารสนเทศ
6. การจัดหาทุนการศึกษาให้เด็กเป็นการบริการด้านใด
ก. จัดวางตัวบุคคล ข. การให้คําปรึกษา
ค. การให้บริการสารสนเทศ ง. การติดตามและประเมินผล
7. ข้อใดไม่ใช่หลักของการแนะแนว
ก. จัดให้เด็กทุกคน ข. ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง
ค. จัดให้เด็กที่มีปัญหา ง. จัดบริการอย่างต่อเนื่อง
8. ข้อใดไม่ใช่บริการสารสนเทศ
ก. จัดปฐมนิเทศ ข. การใช้แบบสํารวจ
ค. การจัดนิทรรศการ ง. การจัดทัศนศึกษา
9. การแนะแนวตามลักษณะของงานควรเน้นงานของฝ่ายใด
ก. ฝ่ายบริหาร ข. ฝ่ายวิชาการ
ค. ฝ่ายกิจการ ง. ฝ่ายกิจกรรม
10. ข้อใดเป็นความหมายของการแนะแนว
ก. การช่วยให้นักเรียนได้มีความรู้ดีขึ้น
ข. การช่วยให้นักเรียนรู้จักช่วยตนเอง ปรับเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้
ค. การช่วยให้นักเรียนรู้จักผ่อนคลายอารมณ์
ง. การแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้นักเรียน
11. ข้อใดคือความหมายของคําว่า “จิตวิทยาแนะแนว”
ก. เป็นการนําจิตวิทยาเข้ามาใช้เพื่อการแนะแนว เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักรักคนรอบข้าง
ข. เป็นการนําจิตวิทยาเข้ามาใช้เพื่อการแนะแนว เป็นเครื่องมือแนะนําวิธีการเรียนในโรงเรียน
ให้ได้เกรดสูงๆ
ค. เป็นการนําจิตวิทยาเข้ามาใช้เพื่อการแนะแนว เป็นเครื่องมือที่สร้างค่านิยมความสําเร็จทาง
สังคมให้กับผู้เรียน
ง. เป็นการนําเอาหลักจิตวิทยาเข้ามาใช้เพื่อการแนะแนว เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยาเข้ามาช่วย
ให้ครูได้ เข้าใจเด็ก และช่วยให้เด็กเข้าใจตนเองเป็นสําคัญ
12. ข้อใดเป็นเป้าหมายหลักของการแนะแนวในสถานศึกษา
ก. ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักรักและเห็นคุณค่าในตนเอง
ข. แนะนําวิธีการเรียนในโรงเรียนให้ได้เกรดสูงๆ
ค. สร้างค่านิยมความสําเร็จทางสังคมให้กับผู้เรียน
ง. เพิ่มโอกาสให้ผู้เรียนในการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย
13. หลักของการแนะแนวในโรงเรียนจัดตั้งขึ้นเพื่อใคร
ก. เพื่อผู้ปกครอง
ข. เพื่อสถานศึกษา
ค. เพื่อนักเรียนทุกคน
ง. เพื่อครูนําไปพัฒนาผลงานทางวิชาการและวิจัย
14. ป้องกันปัญหา แก้ปัญหา ส่งเสริมและพัฒนา เป็นสิ่งใดของการแนะแนว
ก. ปรัชญาของการแนะแนว ข. หลักของการแนะแนว
ค. เป้าหมายของการแนะแนว ง. ขอบข่ายของการแนะแนว
15. ข้อใดไม่ใช่ขอบข่ายของการแนะแนว
ก. การแนะแนวครูผู้สอน ข. การแนะแนวการศึกษา
ค. การแนะแนวอาชีพ ง. การแนะแนวส่วนตัวและสังคม
21. ข้อใดไม่ใช่ความหมายของการแนะแนว
ก.การแนะนํา
ข. การช่วยเหลือ ให้สามารถช่วยตนเองได้
ค. กระบวนการทางการศึกษาที่ช่วยให้ บุคคลรู้จัก และเข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อม
ง. แก้ปัญหาได้ด้วยตนเองและพัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพ
22. การแนะแนวแบ่งเป็นกี่ประเภท
ก. 2 ข. 3
ค. 4 ง. 5
23. ข้อใดไม่ใช่ประเภทของการแนะแนว
ก. การแนะแนวการศึกษา ข. การแนะแนวอาชีพ
ค. การแนะแนวการปรับตัวและบุคลิกภาพ ง. การแนะแนวส่วนตัวและสังคม
24. ข้อใดคือหน้าที่พื้นฐานของการแนะแนว
ก.การแก้ไขปัญหา
ข. การป้องกันปัญหาอันจะทําให้พัฒนาการต่าง ๆ หยุดชะงัก
ค. การส่งเสริมพัฒนาการส่วนบุคคล
ง. การเข้าใจตนเอง
25. ผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งการแนะแนว"
ก. Louis P. Nash ข. Frank Parson
ค. Eli W. Weaver ง. Frank P. Goodwin
26. ผู้ที่ทําหน้าที่แนะแนวต้องคํานึงถึงเรื่องใดเป็นอันดับแรก
ก. การเข้าใจเด็ก ข. การแก้ไข
ค. การป้องกัน ง. การสนับสนุน
27. จุดมุ่งหมายหลัก 3 ประการ ของการแนะแนว คือ
ก. ป้องกัน แก้ไข พัฒนา
ข. การเข้าใจตนเอง การเข้าใจผู้มาของรับการปรึกษา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้คําปรึกษา
และผู้มาของรับการปรึกษา
ค. บริการสํารวจนักเรียนเป็นรายบุคคล บริการสนเทศ บริการจัดวางตัวบุคคล
ง. การแนะแนวการศึกษา การแนะแนวอาชีพ การแนะแนวส่วนตัวและสังคม
28. Education guidance หมายถึงข้อใด
ก. แนะแนวทางการศึกษา ข. แนะแนวทางอาชีพ
ค. การแนะแนวทางด้านสังคมส่วนตัว ง. แนะแนวทางอาชีพ
29. Vacational guidance
ก. แนะแนวทางการศึกษา ข. แนะแนวทางอาชีพ
ค. แนะแนวทางด้านสังคมส่วนตัว ง. การแนะแนวทางตามความถนัด
46. ข้อใดไม่ใช่บริการสนเทศ
ก. การจัดวันอาชีพ
ข. การจัดทัศนศึกษา
ค. สํารวจพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียน
ง. การจัดสัปดาห์แนะแนวทางการศึกษาต่อ
47. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับประโยชน์ของบริการแนะแนว
ก. ช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจครูผู้สอน
ข. ช่วยให้นักเรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง
ค. ช่วยครูให้เข้าใจความต้องการของนักเรียน
ง. ช่วยให้ผู้ปกครองรู้จักและเข้าใจเด็กของตน
48. การบริการแนะแนวบริการใดสําคัญที่สุด
ก. บริการสนเทศ ข.บริการติดตามผล
ค. บริการให้คําปรึกษา ง. บริการจัดวางตัวบุคคล
49. ข้อใดไม่ใช่การจัดกิจกรรมแนะแนวในคาบเรียน เพื่อส่งเสริมการเรียนของนักเรียน
ก. นักเรียนมีเจตคติ ค่านิยม และจริยธรรมที่ถูกต้อง
ข. นักเรียนวางแผนทางการศึกษาได้อย่างเหมาะสม
ค. นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น
ง. นักเรียนประสบความสําเร็จตามแผนการเรียนของตน
50. ข้อใดคือประโยชน์ของกระบวนการกลุ่มต่อการแนะแนว
ก.ช่วยให้บุคคลเข้าใจตนเอง ข. ช่วยให้บุคคลเข้าใจคนอื่น
ค. ช่วยให้บุคคลมีภาวะความเป็นผู้นํา ง. ช่วยให้บุคคลมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
51. การแนะแนวผู้เรียนเกี่ยวกับการวางแผนชีวิต จัดเป็นของข่ายของการแนะแนวด้านใด
ก. ด้านอาชีพ ข.ด้านการศึกษา
ค.ด้านส่วนตัวและสังคม ง.ด้านบุคลิกภาพ
52. ประเทศไทยเริ่มจัดระบบการแนะแนวในสถานศึกษาอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกที่ใด
ก. โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จังหวัดอุดรธานี
ข. โรงเรียนกาวิละวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
ค. โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา
ง. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร
53. ข้อใดให้ความหมายของการแนะแนวอาชีพได้ถูกต้อง
ก. การจัดกิจกรรมเพื่อช่วยให้ผู้เรียนรู้จักอาชีพ และสามารถตัดสินใจเลือกอาชีพได้เหมาะสม
กับตนเอง
ข. การจัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนประกอบอาชีพที่มั่นคง และสามารถดําเนินชีวิตอยู่ในสังคม
ได้อย่างมีความสุข
ค. การจัดกิจกรรมโดยส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจผู้อื่น สามารถทํางานร่วมกับผู้อื่นได้
อย่างราบรื่น
ง. การจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเลือกแนวทางการศึกษาได้เหมาะสมกับความสามารถของตน
ซึ่งจะส่งผลต่อการเลือกประกอบอาชีพในอนาคต
54. บริการแนะแนวในโรงเรียนมีกี่บริการ
ก. 2 บริการ ข. 3 บริการ
ค. 4 บริการ ง. 5 บริการ
55. การรักษาความลับ ถือเป็นจรรยาบรรณในบริการแนะแนวข้อใด
ก. บริการสนเทศ
ข. บริการให้คําปรึกษา
ค. บริการจัดวางตัวบุคคล
ง. บริการรวบรวมข้อมูลเป็นรายบุคคล
56. การแนะแนวด้านส่วนตัวและสังคมมีความหมายตรงกับข้อใด
ก. กระบวนการช่วยเหลือให้นักเรียนวางแผนเลือกอาชีพที่เหมาะสมกับตน
ข. กระบวนการช่วยเหลือให้นักเรียนเข้าใจตนเองและปรับตัวอยู่ในสังคมมอย่างมีความสุข
ค. กระบวนการช่วยเหลือให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นได้อย่างเมาะสม
ง. กระบวนการช่วยเหลือให้นักเรียนวางแผนการศึกษาต่อได้ตรงตามความสามารถของตนเอง
57 “ผลการวิจัยกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาการรู้จักและเข้าใจตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3” ผลการวิจัยนี้สามารถนําไปพัฒนาเครื่องมือการแนะแนวด้านใด
ก. กิจกรรมแนะแนวอาชีพ ข. กิจกรรมแนะแนวนักเรียน
ค. กิจกรรมแนะแนวการศึกษา ง. กิจกรรมแนะแนวส่วนตัวและสังคม
58. บุคคลในข้อใดควรให้คําปรึกษาด้านส่วนตัวและสังคม
ก. เฟื่องฟ้าติดศูนย์หลายวิชา ข. ช้องนางหนีออกจากบ้าน
ค. ชงโคสอบตกวิชาคณิตศาสตร์ ง. กุหลาบไม่รู้จะเรียนอะไร
59. คํากล่าวที่ว่า “ไม่มีใครช่วยท่านได้ดีเหมือนกับท่านช่วยตัวท่านเอง “ เป็นแนวคิดของทฤษฎีการ
ให้คําปรึกษาท่านใด
ก. ทฤษฎีการให้คําปรึกษาแบบอัตถิภาวนิยม
ข. ทฤษฎีการให้คําปรึกษาแบบเผชิญความจริง
ค. ทฤษฎีการให้คําปรึกษาแบบยึดบุคคลเป็นศูนย์กลาง
ง.ทฤษฎีการให้คําปรึกษาแบบ วิเคราะห์ความสัมพันธ์
60. ข้อใดไม่ใช่แนวคิดพื้นฐานของการให้คําปรึกษาแบบแบบอัตถิภาวนิยม
ก. ผู้รับการปรึกษาเป็นผู้กําหนดชะตาชีวิตของตนเอง
ข. ผู้รับการปรึกษามีเสรีภาพและมีสิทธิ์ที่จะเลือกรับหรือปฎิเสธ
ค. ผู้รับการปรึกษามีต้นทุนแตกต่างกัน ส่งผลให้พัฒนาแตกต่างกัน
ง. ผู้รับการปรึกษามีความรับผิดชอบต่อตนเองและมีความรับผิดชอบต่อสังคม
61. ข้อใดไม่ใช่ความสําคัญของจิตวิทยาการแนะแนวที่มีต่อการเรียนการสอน
ก. ทําให้ครูเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล
ข. ทําให้ครูวางแผนการจัดการสอนได้อย่างเมาะสม
ค. ทําให้ครูเข้าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพของนักเรียน
ง. ทําให้ครูมีบทบาทมากกว่านักเรียน โดยการเน้นครูเป็นศูนย์กลาง
62. การใช้แบบสอบถามทางจิตวิทยากับประชากรจํานวนมากควรใช้วิธีใด
ก. การสังเกต ข. การสํารวจ
ค. การทดลอง ง. การศึกษารายกรณี
63. วิธีการทางจิตวิทยารูปแบบใดช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของบุคคลได้ดีขึ้น
ก. การทดสอบ ข. การสังเกต
ค. การสัมภาษณ์ ง. การศึกษารายกรณี
64. ข้อใดอธิบายความหมายของงานแนะแนวได้ถูกต้อง
ก.การช่วยเหลือผู้เรียนให้รู้จักตนเอง
ข. การส่งเสริมให้ผู้เรียนมีผลการเรียนที่ดีขึ้น
ค การแนะนําให้ผู้เรียนรู้จักปรับตัวเข้าหาคนอื่น
ง.การชี้แนะผู้เรียนให้รู้จักแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
65. ข้อใดกล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการแนะแนวได้ถูกต้องที่สุด
ก.นักเรียนมีผลการเรียนดีขึ้น
ข. นักเรียนสามารถเลือกอาชีพได้
ค. นักเรียนสามารถผ่อนคลายความเครียดได้
ง. นักเรียนสามารถช่วยเหลือตนเองทุกด้านได้
66. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551กําหนดกิจกรรมแนะแนวเป็นกิจกรรมหนึ่งที่อยู่ใน
กิจกรรมใด
ก. กิจกรรมชุมนุม
ข. กิจกรรมนักเรียน
ค. กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ง. กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์
67. ข้อใดเป็นบริการติดตามผล
ก. ปัจฉิมนิเทศ ข.ทุนการศึกษา
ค. อีเมลติดต่อ ง. การให้คําปรึกษา
71. ข้อใดเป็นพฤติกรรมที่สําคัญที่สุดของครูแนะแนวในการจัดกระบวนการกลุ่ม
ก. ครูปิติสั่งงานให้นักเรียนทํา
ข. ครูวีระช่วยนักเรียนจัดกิจกรรม
ค. ครูมานะกระตุ้นให้นักเรียนหาข้อสรุปจากกิจกรรม
ง. ครูเพชรมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเสมือนเป็นสมาชิกในชั้นเรียน
72. ข้อใดไม่ใช่กระบวนการของระบบดุแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา
ก. การป้องกันปัญหานักเรียน
ข.การส่งเสริมพัฒนาการนักเรียน
ค.การรู้จักและเข้าใจนักเรียนเป็นรายบุคคล
ง. การช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มพิเศษโดยเฉพาะ
73. แนวคิดกลุ่มใดมีทรรศนะว่า ผู้รับคําปรึกษามีความรับผิดชอบในการตัดสินใจ ส่วนผู้ให้คําปรึกษาเป็น
เพียงผู้คอยช่วยเหลือเท่านั้น
ก. กลุ่มเกสตัลท์ ข. กลุ่มเผชิญความจริง
ค. กลุ่มจิตวิเคราะห์ ง. กลุ่มยึดบุคคลเป็นศูนย์กลาง
74. สํานวนใดใกล้เคียงกับความหมายของการแนะแนวมากที่สุด
ก.ตนเป็นที่พึงแห่งตน
ข.เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
ค. งานหลวงไม่ให้ขาด งานราษฎ์ไม่ให้เสีย
ง. ความในอย่านําออก ความนอกอย่านําเข้า
75. ข้อใดกล่าวถึงหน้าที่ครูแนะแนวได้ถูกต้องที่สุด
ก. พัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
ข. ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องมือและคัดกรองในโรงเรียน
ค. เน้นพัฒนาศักยภาพของนักเรียนโดยจัดกิจกรรมให้เด็กกลุ่มพิเศษเรียนรวมกับเด็กกลุ่มปกติ
ง.จัดบริการแนะแนวให้ครบทั้ง 5 บริการใน 3 ด้าน คือ ด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม
76.การที่ครูช่วยเหลือนักเรียนให้สามารถวางแผนชีวิตตนเองได้เป็นเป้าหมายของการแนะแนวข้อใด
ก.การป้องกันปัญหา ข.การแก้ปัญหา
ค.การส่งเสริมพัฒนา ง.ถูกทั้ง ก และ ข
77. ข้อใดกล่าวถึงความหมายของการแนะแนวด้านการศึกษาได้ถูกต้อง
ก. ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักตัดสินใจเลือกอาชีพที่เหมาะสมกับตนเอง
ข.ช่วยให้ผู้เรียนสามารถวางแผนชีวิตได้สอดคล้องกับจุดหมายของตนเองได้
ค. ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักข้อมูลทางอาชีพอย่างกว้างขวางและมีทัศนคติที่ดีต่อสัมมาชีพ
ง. ช่วยให้ผู้เรียนเลือกเรียนวิชาที่สอดคล้องกับความถนัดและสามารถวางแผนการศึกษาต่อ
ในอนาคตได้
78.ข้อใดเป็นประโยชน์จากแนวทางในการจัดกิจกรรมแนะแนวด้านการศึกษา
ก. ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาของผู้เรียน
ข. ผู้เรียนสามารถเลือกแนวทางการเข้ารับการศึกษาได้
ค. ผู้เรียนทราบถึงความถนัดละความสนใจของตนเอง
ง. ถูกทุกข้อ
79. ข้อใดไม่ใช่แนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนวด้านการศึกษา
ก. การจัดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ
ข. การจัดกิจกรรมแนะแนวเพื่อเลือกแผนการเรียน
ค. การจัดกิจกรรมแนะแนวเพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น
ง. การจัดกิจกรรมแนะแนวเพื่อส่งเสริมการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ
80. ข้อใดไม่ใช่การจัดกิจกรรมแนะแนวส่วนตัวและสังคมของครูแนะแนว
ก. ครูนําฟ้าจัดกิจกรรมให้นักเรียนรู้จักการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น
ข.ครูน้ําฝนจัดกิจกรรมให้นักเรียนมีบุคลิกภาพที่เหมาะสมตามวัย
ค. ครูน้ําใสจัดกิจกรรมให้นักเรียนรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
ง. ครูน้ําหวานจัดกิจกรรมให้นักเรียนวางแผนการเรียนได้ตรงตามความสามารถและความถนัด
81. ในการจัดกิจกรรมแนะแนวส่วนตัวและสังคม ครูแนะแนวควรส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการด้านใด
ก.ผู้เรียนรับรู้และเข้าใจความต้องการและความรู้สึกของตนเอง
ข. ผู้เรียนจัดการกับอารมณ์และแสดงออกได้อย่างเหมาะสมกับวัยและสถานการณ์
ค. ผู้เรียนเข้าใจและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลและความคิดเห็นของผู้อื่น
อย่างมีเหตุผล
ง. ถูกทุกข้อ
เฉลยข้อสอบจิตวิทยาการแนะแนว
1. ตอบ ง. จดหมายติดต่อ
2. ตอบ ง. เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้อย่างดีทุกด้าน
3. ตอบ ง. ทุกๆฝ่ายร่วมกัน
4. ตอบ ง. คนอยู่ในสังคมได้ตามความพอใจ
5. ตอบ ก. การบริการให้คําปรึกษา
6. ตอบ ก. จัดวางตัวบุคคล
7. ตอบ ค. จัดให้เด็กที่มีปัญหา
8. ตอบ ข. การใช้แบบสํารวจ
9. ตอบ ค. ฝ่ายกิจการ
10. ตอบ ข. การช่วยให้นักเรียนรู้จักช่วยตนเอง ปรับเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้
11. ตอบ ง. เป็นการนําเอาหลักจิตวิทยาเข้ามาใช้เพื่อการแนะแนว เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยาเข้ามา
ช่วยให้ครูได้เข้าใจเด็ก และช่วยให้เด็กเข้าใจตนเองเป็นสําคัญ
12. ตอบ ก. ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักรักและเห็นคุณค่าในตนเอง
13. ตอบ ค. เพื่อนักเรียนทุกคน
14 ตอบ ค. เป้าหมายของการแนะแนว
15. ตอบ ก. การแนะแนวครูผู้สอน
16. ตอบ ง. ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เป็นกระบวนการดําเนินงานดูแลช่วยเหลือนักเรียน
อย่างขั้นตอน พร้อมด้วยวิธีการ และเครื่องมือการทํางานที่ชัดเจน โดยมีครูที่ปรึกษาเป็น
บุคลากร หลัก ในการดําเนินการดังกล่าว และมีการประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับครูที่
เกี่ยวข้องหรือบุคลากร ภายนอก รวมทั้งการสนับสนุน ส่งเสริมจากโรงเรียน
17. ตอบ ข. การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล > การคัดกรองนักเรียน > การส่งเสริมนักเรียน >
การป้องกันและ แก้ไขปัญหา > การส่งต่อ
18. ตอบ ค. แบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มพิเศษ กลุ่มปกติ กลุ่มมีปัญหา กลุ่มเสี่ยง
19. ตอบ ก. การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
20. ตอบ ก. การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
21. ตอบ ก.การแนะนํา
22. ตอบ ข. 3
23. ตอบ ค. การแนะแนวการปรับตัวและบุคลิกภาพ
24. ตอบ ง. การเข้าใจตนเอง
25. ตอบ ข. Frank Parson
26. ตอบ ก. การเข้าใจเด็ก
27 ตอบ ก. ป้องกัน แก้ไข พัฒนา
28. ตอบ ก. แนะแนวทางการศึกษา
*******************************************************
6. การให้คําปรึกษา(Counseling )
กระบวนการให้คําปรึกษาจะเกี่ยวข้องกับสิ่งสําคัญ 3
ประการ
1.ผู้ให้คําปรึกษา (Counselor) หรือ Co
2.ผูม้ าขอรับคําปรึกษา (Counselee) หรือ Cl
3.ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง Counselor และ Counselee
หลักการที่สําคัญในการให้คําปรึกษา
เนื่องจากการให้คําปรึกษาเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่เป็นทั้งผู้ให้คําปรึกษาและผู้รับ
คําปรึกษา ต้องมีระบบระเบียบ มีเทคนิควิธีในการเข้าใจ การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ การช่วยเหลือ การวางแผน
การตัดสินใจ การเปลี่ยนแปลงในหลายด้านในตัวผู้รับคําปรึกษา ดังนั้นในการให้คําปรึกษาจึงจําเป็นต้องมี
หลักการที่สําคัญ (สวัสดิ์ บรรเทิงสุข .2542) ดังนี้
1.การให้คําปรึกษาตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าผู้รับคําปรึกษาต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตน
2. การให้คําปรึกษาตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าผู้ให้คําปรึกษาต้องได้รับการฝึกฝนเพื่อความชํานาญ
3. การให้คําปรึกษาเป็นการช่วยให้ผู้รับคําปรึกษาสามารถพิจารณาตนเองได้ดี เช่นเดียวกับ
ความสามารถในการพิจารณาสิ่งแวดล้อมของตน จนเกิดการตัดสินใจได้ในที่สุด
4. การให้คําปรึกษา ยึดหลักความแตกต่างระหว่างบุคคล
5. การให้คําปรึกษาเป็นทั้งศาสตร์ (Science) และศิลปะ (Art) เป็นทั้งงานวิชาการ และวิชาชีพที่ต้อง
อาศัยการฝึกฝนจนชํานาญมากกว่าการใช้สามัญสํานึก
6. การให้คําปรึกษา เป็นความร่วมมืออันดีสําหรับผู้ให้คําปรึกษา และผู้รับคําปรึกษา
ในอันที่จะช่วยกันค้นหาปัญหาหรือทางออกที่เหมาะสมแท้จริง ทั้งนี้โดยที่ต่างฝ่ายอาจจะไม่เข้าใจมาก่อนว่า
“แท้ที่จริงแล้วความยากลําบากหรือปัญหาของสิ่งนั้นคืออะไร ซึ่งแตกต่างไปจากการสอนซึ่งผู้สอนรู้ข้อเท็จจริง
มาก่อนหน้านี้แล้ว”
7. การให้คําปรึกษาเน้นถึงจรรยาบรรณ และบรรยากาศที่ปกปิดหรือความเป็นส่วนตัว เพื่อ
สนับสนุนการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงสําหรับช่วยเหลือ และรักษาผลประโยชน์ของผู้รับคําปรึกษาเป็นสําคัญ
8. การให้คําปรึกษาจะเกิดขึ้นต่อเมื่อสัมพันธภาพระหว่างผู้ให้คําปรึกษา และผู้รับคําปรึกษามีระดับสูง
มากพอที่ผู้รับคําปรึกษาเต็มใจที่จะเปิดเผย ความรู้สึกที่แท้จริงของตน โดยไม่ปกปิดหรือซ่อน
วัตถุประสงค์ของการให้คําปรึกษา
การให้คําปรึกษาแก่นกั เรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยนักเรียนในเรื่องต่อไปนี้
1. สํารวจตนเอง และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ และเข้าใจ
2. ลดระดับความเครียด และความไม่สบายใจที่เกิดการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
3. พัฒนาทักษะทางด้านสังคม ทักษะการตัดสินใจ และทักษะการจัดการกับปัญหาให้มี
ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
4. เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทิศทางที่พึงประสงค์ เช่น มีความรับผิดชอบในหน้าที่ต่างๆ มากขึ้น
มีพฤติกรรมการเรียนที่ดี และสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้ดี
ข้อควรคํานึงในการให้คําปรึกษา
คุณลักษณะของครูผู้ให้คําปรึกษา
ครูผู้ที่จะทําหน้าที่ให้คําปรึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพควรมีลักษณะส่วนตัว ดังต่อไปนี้
• รู้จักและยอมรับตนเอง
• อดทน ใจเย็น
• จริงใจ และตั้งใจช่วยเหลือผู้อื่น
• มีท่าทีที่เป็นมิตร และมองโลกในแง่ดี
• ไวต่อความรู้สึกของผู้อื่น และช่างสังเกต
• ใช้คําพูดได้เหมาะสม
• เป็นผู้รับฟังที่ดี
• นอกจากนี้ยังควรมีคุณลักษะที่สําคัญ คือ มีบุคลิกภาพที่ดี และการรักษาความลับ
ประเภทของการให้คําปรึกษา
การให้คําปรึกษาสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทดังนี้
ลําดับขั้นของการให้คําปรึกษาแบบกลุ่ม
ขั้นที่ 1 ขั้นก่อตั้งกลุ่ม ในขั้นนี้สมาชิกที่เข้ากลุ่มยังไม่กล้าเปิดเผยตนเอง เพราะยังไม่ไว้วางใจในกลุ่ม
ผู้ให้คําปรึกษาจะต้องชี้แจงวัตถุประสงค์ของการให้คําปรึกษา และสร้างสัมพันธภาพที่ดี ให้เกิดขึ้นในกลุ่ม
และต้องให้เวลาแก่สมาชิกกลุ่มพอสมควรอย่ารีบเร่ง
ขั้นที่ 2 ขั้นการเปลี่ยนแปลงลักษณะของสมาชิก เป็นขั้นตอนต่อจากขั้นแรกกลุ่มเริ่มมีการ
เปลี่ยนแปลงและพัฒนาการขึ้นบ้าง สมาชิกเริ่มรู้จักไว้วางใจกันแต่ก็ยังมีความวิตกกังวล มีความตึงเครียดอยู่
บ้าง ผู้ให้คําปรึกษาจะต้องพยายามชี้แจงให้สมาชิกกล้า อภิปรายปัญหาตัวเอง อย่างเปิดเผย
ลักษณะของกลุ่มในการให้คําปรึกษาแบบกลุ่ม
ในการให้คําปรึกษาแบบกลุ่ม ลักษณะของกลุ่มควรเป็นกลุ่มแบบปิด ( Closed Groups) หมายถึง
เป็นกลุ่มที่ประกอบด้วย สมาชิกที่เป็นคนเดิมตั้งแต่เริ่มต้น การให้คําปรึกษา จนกระทั่งถึงขั้นยุติการให้
คําปรึกษา ไม่ควรเป็นกลุ่มแบบเปิด ( Opened Groups ) เพราะกลุ่มลักษณะนี้จะมีการเข้าออกของ
สมาชิกกลุ่มอยู่ตลอดเวลา คือสมาชิกเก่าออกไปสมาชิกใหม่เข้ามาแทนที่ ทําให้การให้คําปรึกษาขาดความ
ต่อเนื่อง การที่กลุ่มจะมีพัฒนาการไปถึงขั้นการวางแผนแก้ปัญหา จะทําได้ยากและความรู้สึกปลอดภัยจะ
ลดลง เพราะสมาชิกกลุ่มจะต้องคอยปรับตัวต่อสถานการณ์ ที่มีสมาชิกใหม่เข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทําให้เป็น
อุปสรรคต่อการเจริญงอกงามของกลุ่มได้
สถานที่และอุปกรณ์ในการให้คําปรึกษาแบบกลุ่ม
การให้คําปรึกษาแบบกลุ่มที่มีประสิทธิภาพอาจจัดได้โดยใช้สถานที่และอุปกรณ์น้อยที่สุดเพียงให้มีที่
กว้างพอสําหรับเก้าอี้ 11 ตัว จัดเป็นวงกลมในห้อง ซึ่งผู้มาขอรับคําปรึกษาสามารถพูดได้อย่างอิสระ โดย
ไม่มีใครนอกห้องได้ยิน ห้องที่ใช้ในการให้คําปรึกษาแบบกลุ่ม ที่ดึงดูดความสนใจของสมาชิก ควรเป็นห้องที่มี
ขนาดกว้างพอสมควร จะช่วยให้ผู้มาขอรับคําปรึกษาแสดง บทบาทหรือสาธิตพฤติกรรมต่าง ๆได้อย่างสะดวก
อนึ่งพื้นห้องถ้าปูพรม หรือสะอาดพอ สมาชิกก็อาจจะเปลี่ยนจากการนั่งเก้าอี้เป็นการนั่งกับพื้นแทน เมื่อเกิด
ความรู้สึกว่าเหมาะสมที่จะทําเช่นนั้น นอกจากนี้อุปกรณ์ที่ใช้ในการบันทึกภาพและเสียงจัดว่าเป็นเครื่องมือ
สําคัญในการให้คําปรึกษาแบบกลุ่ม เพราะการบันทึกภาพและเสียง ทําให้ผู้ให้คําปรึกษาสามารถนําเหตุการณ์
มาทบทวนพิจารณาถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในการให้คําปรึกษาแบบกลุ่ม ช่วยให้สามารถวิจารณ์บทบาทที่แสดงออก
และที่เล่นบทบาทสมมุติของสมาชิก ทั้งยังช่วยให้ผู้มาขอรับคําปรึกษาได้รู้จักพฤติกรรมที่ไม่ส่งผลดีของตน
และรู้จักความต้องการที่ไม่ได้กล่าวออก มาทางวาจา และช่วยให้สมาชิกกลุ่ม ได้ประเมินอิทธิพลของกันและ
กันในด้านที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงภายในกลุ่ม
นอกจากจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้การให้คําปรึกษาบรรลุถึงเป้าหมายแล้ว ยังจะช่วยให้เกิดความเข้าใจอันดี
ต่อกันระหว่างผู้ให้คําปรึกษากับผู้รับคําปรึกษา ซึ่งมีผลสะท้อนให้กระบวนการของการให้คําปรึกษาเป็นไป
อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการทําความเข้าใจและฝึกฝนกลวิธีดังกล่าวจึงเป็นสิ่งจําเป็นในการให้คําปรึกษา
1. เทคนิคการเริ่มต้นการให้คําปรึกษา (Opening the Interview)
เป็นเทคนิคที่ผู้ให้คําปรึกษาต้องการที่จะเริ่มต้นพูดคุยกับผู้รับคําปรึกษาโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยให้
ผู้รับคําปรึกษารู้สึกสบายใจ รู้สึกอบอุ่น พร้อมที่จะร่วมมือในกระบวนการการให้คําปรึกษาอย่างเต็มใจ
ถ้าผู้ให้คําปรึกษาประสบความสําเร็จในการใช้เทคนิคนี้จะทําให้สามารถดําเนินการให้คําปรึกษาได้
อย่างรวดเร็วขึ้น
ตัวอย่าง
ผู้ให้คําปรึกษา : เชิญนั่งค่ะดวงใจ หนูมีอะไรจะเล่าให้ครูฟังคะ
ผู้ให้คําปรึกษา : สมจิต มีอะไรจะให้อาจารย์ช่วยเหลือคะ
นอกจากนี้ยังอาจใช้เทคนิคในการนําเข้าสู่การสนทนาดังนี้
ปัญหาของเขา วิธีการสอบซักใช้ได้ผลเมื่อผู้รับคําปรึกษาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงจุดสําคัญของปัญหา
อยู่ตลอดเวลา ควรสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกของผู้รับคําปรึกษาไปพร้อมกันด้วย และถ้าหาก
เกิดการต่อต้าน ก็ควรหยุดใช้ทันที เช่น
ผู้รับคําปรึกษา : เราเคยมีความสัมพันธ์กันครับ
ผู้ให้คําปรึกษา : มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งขนาดไหน
หรือ ผู้ให้คําปรึกษา : ลองเล่าถึงเพื่อนสนิทให้ฟังหน่อยสิ
ผู้รับคําปรึกษา : เพื่อนสนิทของผมมีน้อยมากครับ
ผู้ให้คําปรึกษา : มีกี่คน
**การสรุปจะช่วยให้คู่สนทนาเข้าใจเรื่องราวที่กําลังสนทนากันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการ
ช่วยให้ผู้รับคําปรึกษา ได้สํารวจความคิดหรือความรู้สึกของตนเอง หรืออาจนําไปสู่การสนทนาในเรื่อง
อื่นต่อไป
7. ทฤษฎีการให้คําปรึกษา
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์
ทฤษฎีการเรียนรู้ของเกสตัลท์
ทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มเกสตัลท์กลุ่มนี้เกิดจากนักจิตวิทยาชาวเยอรมัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1912 ได้
ชื่อว่า “กลุ่มจิตวิทยาส่วนร่วม” คําว่า “Gestalt” หมายถึง ส่วนรวมทั้งหมดหรือโครงสร้างทั้งหมด
(totality หรือ configuration) กลุ่มเกสตัลท์นิยมเกิดสมัยเดียวกับกลุ่มพฤติกรรมนิยม กลุ่มเกสตัลท์นิยมเกิด
ในเยอรมัน กลุ่มพฤติกรรมนิยม เกิดในอเมริกา กลุ่มนี้ได้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “ปัญญานิยม”(cognitivism)
ผู้นํากลุ่มที่สําคัญ คือ เวอร์ธไฮเมอร์ (Max Wertheimer, 1880 – 1943) คอฟฟ์กา (Koffka) และเลวิน
(Lewin)และโคเลอร์ (Wolfgang Kohler, 1886 – 1941)ทั้งกลุ่มมีแนวความคิดว่า การเรียนรู้เกิดจาก
การจัดประสบการณ์ทั้งหลายที่อยู่กระจัดกระจายให้มารวมกัน เสียก่อน แล้วจึงพิจารณาส่วนย่อยต่อไป
กลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt) เชื่อว่า พฤติกรรมมนุษย์ไม่ได้มีลักษณะของการสมยอมและเป็น
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่ง เร้าโดยอัตโนมัติ ตรงกันข้ามเมื่อมนุษย์พบสิ่งเร้า มนุษย์จะตีความแล้วจัดเสียใหม่
ให้เป็นระบบและมีความหมาย ดังนั้นพฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกมาจึงมิใช่การตอบสนองตามเงื่อนไขแต่
เพียง อย่างเดียว แต่พฤติกรรมที่แสดงออกได้สะท้อนให้เห็นถึงความคิด อารมณ์ และความรู้สึกภายในของ
มนุษย์ด้วย
แนวคิดของกลุ่มเกสตัลท์มีอิทธิพลอย่างมากต่อนักจิตวิทยาสังคมกลุ่มหนึ่งซึ่ง เมื่อนําเอาแนวคิดนี้
มาศึกษาพฤติกรรมมนุษย์แล้ว เสนอว่า มนุษย์มีธรรมชาติดังนี้ คือ
1.1 เอาใจใส่ต่อสิ่งเร้าซึ่งมีลักษณะแปลกใหม่และซับซ้อน
1.2 ต้องการความสอดคล้องกันระหว่างความรู้ความเข้าใจ
1.3 ต้องการความเชื่อมั่นและความเที่ยงตรง
1.4 ต้องการแสวงหาความจริง
1.5 ต้องการควบคุมสิ่งแวดล้อม
นักจิตวิทยาสังคมกลุ่มนี้ได้ชี้ให้เห็นถึง แนวโน้มที่มนุษย์ชอบและแสวงหา ความสอดคล้องกันระหว่าง
ความรู้และความเข้าใจ จากจุดนี้แสดงให้เห็นว่าความต้องการที่จะคิดอย่างมีประสิทธิภาพนั้นสามารถ จูงใจ
คนให้แสดงพฤติกรรมได้
การให้คําปรึกษาแบบทฤษฎียึดบุคคลเป็นศูนย์กลาง
แนวคิด
• มนุษย์มีความสามารถที่จะแก้ปัญหา หรือตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ความทุกข์ ทําให้เกิดความสับสน บดบังความสามารถในการใช้เหตุผล
• มนุษย์มีแนวโน้มที่จะพัฒนาตนเองได้ เมื่ออยู่ในสภาพการณ์ที่เหมาะสม ดังนั้น ผู้ให้บริการ
ปรึกษาจึงควรเน้นจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่ผู้รับบริการการ ปรึกษา
• โดยพื้นฐานมนุษย์เป็นคนดีและน่าเชื่อถือ เพราะเกิดกลไกการป้องกันจิตใจตนเอง มนุษย์จึง
แสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
• มนุษย์รับรู้เกี่ยวกับตนเองและสิ่งแวดล้อมตามประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ผู้ให้คําปรึกษา
จะต้องเข้าใจกรอบการรับรู้ของผู้รับบริการปรึกษา
จุดมุ่งหมายของการให้การปรึกษาแบบยึดบุคคลเป็นศูนย์กลาง
1. ค้นพบ เข้าใจ และยอมรับตนเอง
2. หาทางที่จะพัฒนาปรับปรุงตนเองให้เข้ากับความเป็นจริง
3. เข้าใจตนเองว่าอะไรคืออุปสรรคของความเจริญงอกงามของตน
4. รับรู้ถึงสิ่งที่ทําให้รับ รู้ตนเองผิดไปจากความเป็นจริง
ทฤษฎีวิเคราะห์ติดต่อสัมพันธ์ (TA)
จุดมุ่งหมายของการให้การปรึกษาแบบ TA
1. เพื่อให้ผู้รับการปรึกษาเลือกใช้ Ego Stage แต่ละสภาวะให้เหมาะสม
2. เพื่อช่วยให้ผู้รับการปรึกษาเปลี่ยน Ego Stage จากสภาวะหนึ่งไปสู่ Ego Stage อีกสภาวะหนึ่งได้
อย่างเหมาะสม
3. เพื่อช่วยให้ผู้รับการปรึกษาใช้ Adult Ego Stage เพื่อช่วยให้เข้าใจตนเองได้ตรงตามสภาพที่เป็น
จริง และมีเหตุผล ตลอดจนสามารถเป็นตัวของตัวเองอย่างเป็นธรรม
4. เพื่อช่วยให้ผู้รับการปรึกษาอยู่ในตําแหน่งชีวิตแบบ “ I’m OK – you’re OK
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์
พัฒนาการปกติของวัยรุ่น
วัยรุ่น จะเริ่มต้นตอนอายุประมาณ 12-13 ปี แม้ว่าบางคนจะเข้าสู่วัยรุ่นเร็ว เช่น บางคนอายุ
9-10 ปีอาจเริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ก็ไม่ถือว่าผิดปกติ สมัยนี้มีแนวโน้มจะเป็นวัยรุ่นเร็วกว่าสมัยก่อน
เนื่องจากความสมบูรณ์ทางร่างกายที่ดีขึ้น เพศหญิงจะเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าเพศชายประมาณ 2 ปี ในชั้น
ประถมปลาย ป.5-6 จะเห็นผู้หญิงจะเป็นสาวมากกว่าผู้ชาย เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว พัฒนาการของวัยรุ่นจะ
เกิดต่อเนื่องไปจนถึงอายุประมาณ 18 ปี จึงจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ในช่วงวัยรุ่นนี้จะสังเกตตัวเองได้ว่ามีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างมาก ในพัฒนาการด้านต่างๆ ดังนี้
1.พัฒนาการทางร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทั่วไป และการเปลี่ยนแปลงทางเพศ
เนื่องจากวัยนี้ มีการสร้างและหลั่งฮอร์โมนเพศและฮอร์โมนของการเจริญเติบโตอย่างมาก
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ร่างกายจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แขนขาจะยาวขึ้นก่อนจะเห็นการ
เปลี่ยนแปลงอื่นประมาณ 2 ปี เพศหญิงจะไขมันมากกว่าชาย ผู้ชายจะมีกล้ามเนื้อมากกว่า ทําให้เพศชาย
แข็งแรงกว่า
การเปลี่ยนแปลงทางเพศ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือวัยรุ่นชายจะเป็นหนุ่มขึ้น นมขึ้นพาน(หัวนมโตขึ้น
เล็กน้อย กดเจ็บ) เสียงแตก หนวดเคราขึ้น และเริ่มมีฝันเปียก (การหลั่งน้ําอสุจิในขณะหลับและฝัน
เกี่ยวกับเรื่องทางเพศ) การเกิดฝันเปียกครั้งแรกเป็นสัญญานของการเข้าสู่วัยรุ่นของเพศชาย ส่วนวัยรุ่นหญิง
จะเป็นสาวขึ้น คือ เต้านมมีขนาดโตขึ้น ไขมันที่เพิ่มขึ้นจะทําให้รูปร่างมีทรวดทรง สะโพกผายออก และ
เริ่มมีประจําเดือนครั้งแรก การมีประจําเดือนครั้งแรก เป็นสัญญานบอกการเข้าสู่วัยรุ่นในหญิง
เป้าหมายของการพัฒนาวัยรุ่น
เป้าหมายของพัฒนาการวัยรุ่น ควรประกอบด้วย
1. ร่างกายที่แข็งแรง ปราศจากความบกพร่องทางกาย มีความสมบูรณ์ มีภูมิต้านทานโรคและ
ปราศจาภาวะเสี่ยงต่อปัญหาทางกายต่างๆ ควรเอาใจใส่กับร่างกาย ไม่ปล่อยให้อ้วนไป ผอมไป หรือขาด
อาหารบางอย่าง ควรมีการออกกําลังกายสม่ําเสมอ ให้ร่างกายสดชื่น แข็งแรง มีภูมิต้านทาน
2. เอกลักษณ์แห่งตนเองดี มีทักษะส่วนตัว และทักษะสังคมดี มีบุคลิกภาพดี มีเอกลักษณ์ส่วนตัว
และเอกลักษณ์ทางเพศเหมาะสม มีการเรียนและอาชีพ ได้ตามศักยภาพของตน ตามความชอบ
ความถนัด และความเป็นไปได้ ทําให้มีความพอใจต่อตนเอง การดําเนินชีวิต สอดคล้องกับความชอบ
ความถนัด มีการผ่อนคลาย กีฬา งานอดิเรก มีความสุขได้โดยไม่เบียดเบียนคนอื่น มีการช่วยเหลือคนอื่น
และสิ่งแวดล้อม มีมโนธรรมดี เป็นคนดี
3.มีการบริหารตนเองได้ดี สามารถบริหารจัดการตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น
4.มีความรับผิดชอบ มีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อประเทศชาติ และต่อสิ่งแวดล้อมได้
5.มีมนุษย์สัมพันธ์กับคนอื่นได้ดี เลือกคบเพื่อนที่ดี รักษาความสัมพันธ์ที่ดีไว้ได้ยืนยา
ความหมายของการให้คําปรึกษาวัยรุ่น
กระบวนการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบปัญหา โดยอาศัยปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้คําปรึกษาและ
ผู้รับการปรึกษา ใช้เทคนิคการสื่อสาร ทําให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ถึงสาเหตุของปัญหา ใช้ศักยภาพของ
ตนเองในการคิด ตัดสินใจ แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
ประเภทของการให้คําปรึกษา
1. Informative counseling คือ การปรึกษาโดยการให้ความรู้ รวมถึงวิธีปฏิบัติ
2. Directive counseling คือ การปรึกษาโดยการชี้แนะแนวทาง
3. Advocacy counseling คือ การปรึกษาโดยการให้ข้อมูลเพียงพอที่จะเลือกทางแก้ปัญหา
4. Supportive counseling คือ การประคับประคองทางจิตใจ จนสงบเพียงพอจะแก้ไขปัญหา
หลักการให้คําปรึกษา
การให้คําปรึกษา เป็นการช่วยเหลือรูปแบบหนึ่ง ที่อาศัยความสัมพันธ์และการสื่อสารระหว่างผู้ให้
คําปรึกษาและผู้รับการปรึกษา เพื่อให้ผู้รับการปรึกษาเกิดความเข้าใจตนเอง เข้าใจปัญหา ได้ความรู้และ
ทางเลือกในการแก้ปัญหานั้นอย่างเพียงพอมีสภาพอารมณ์และจิตใจที่พร้อมจะคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง
วัตถุประสงค์ของการให้คําปรึกษา จึงประกอบด้วยการช่วยให้วัยรุ่น
1.เกิดแรงจูงใจที่จะให้ข้อมูล
2.เข้าใจและเห็นปัญหาของตนเอง
3.อยากแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาตนเอง
4.ดําเนินการแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาตนเอง
เทคนิคการให้คําปรึกษาวัยรุ่น
เทคนิคการให้คําปรึกษา สามารถนํามาใช้ตั้งแต่เริ่มการสัมภาษณ์วัยรุ่น ขั้นตอน ดังนี้
1.การเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
2. การสํารวจลงไปในปัญหา หรือสาเหตุที่ทําให้ต้องมาพบกัน
3.สรุปและเลือกประเด็นที่สําคัญร่วมกัน ที่จะทํางานร่วมกัน
4.ตั้งเป้าหมายในการทํางานต่อไปด้วยกัน คือการแก้ไขปัญหา
5.การดําเนินการช่วยเหลือ การฝึกฝนทักษะต่างๆ
6. การสรุปและยุติการให้คําปรึกษา
เทคนิคที่ใช้
เทคนิคการให้คําปรึกษา ตามลําดับขั้นมีดังนี้
1.การเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
การจัดสิ่งแวดล้อม ห้องให้คําปรึกษาควรความมิดชิด เป็นสัดส่วน ไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีคนเดิน
ผ่านบรรยากาศมีความสงบและเป็นกันเอง สีที่ใช้ในห้อง ควรเป็นโทนสีสบายตา ให้ความรู้สึกปลอดภัย
สามารถตกแต่งห้องด้วยดอกไม้ ภาพถ่ายที่ทําให้รู้สึกผ่อนคลาย ปลอดภัย สงบ
ท่านั่ง ควรเป็นลักษณะตั้งฉากกัน ไม่ควรเผชิญหน้ากันตรงๆ เยื้องกันเล็กน้อย ใกล้กันพอที่จะ
แตะไหล่ได้ สามารถสังเกตสีหน้า แววตา ของผู้มาขอรับคําปรึกษาได้อย่างไม่อึดอัดใจ
รูปแบบการนั่งให้คําปรึกษา
การนั่งที่ไม่ถูกต้อง จะทําให้ผู้มา
การนั่งที่ถูกต้อง เป็นการนั่งลักษณะตั้ง
ขอรับคําปรึกษารู้สึกอึดอัด เนื่องจากเป็นการ
นหน้า่มกัต้นนสัมภาษณ์ ควรจัดลําดับการสัมภาษณ์ฉาก
ก่อนการเริ
นั่งประจั ให้ดเยื ้องกันเล็กยน้รุอ่นยพร้พอที
ี (ควรพบวั อมพ่่จอะสัแม่มผัสสั้นกัๆนเพื
ได้่อทํา
ความเข้าใจปัญหาเบื้องต้นก่อน หลังจากนั้นจึงขอสัมภาษณ์วัยรุ่นตามลําพัง) เปิดการสนทนานําให้เกิดความ
ผ่อนคลาย เป็นกันเอง(small talk) เช่น
“วันนี้มากันกี่คนครับ มาอย่างไร รถติดหรือไม่ นั่งรอนานหรือไม่ อากาศเป็นอย่างไร...ฯลฯ”
แนะนําตัวเอง สถานที่ วัตถุประสงค์ของการคุยกัน เวลาที่จะคุยกัน เช่น
“ครูชื่อ................ เป็นคุณครูแนะแนวที่นี่นะครับ”
“ห้องนี้เป็นห้องให้คําปรึกษา มีคุณครู........เท่านั้น ห้องนี้มีกล้องโทรทัศน์วงจรปิด แต่ขณะนี้ครูจะ
ไม่ใช้ ถ้ามีการใช้เมื่อใดจะขออนุญาตทุกคนก่อนทุกครั้ง”
“ช่วงแรกนี้ คุณครูขอคุยด้วยกับทุกคนทั้งหมดสั้นๆก่อน หลังจากนั้นจะขอคุยส่วนตัวกับ........ (ชื่อ
วัยรุ่น)ตอนหลัง ไม่ทราบว่านักเรียนสะดวกไหมครับ”
“วันนี้มีใครมากันบ้าง ครูอยากรู้จักทุกคน ขอให้ช่วยแนะนําตัวกันก่อน ดีไหมครับ”
ประเภทของคําถาม
คําถามปลายเปิด (open-ended question) เป็นคําถามที่มีคําตอบได้หลากหลาย มักใช้
ในการสอบถามเบื้องต้น ในระยะแรกๆของการสัมภาษณ์ ที่ยังไม่แน่ใจว่าวัยรุ่นจะตอบอย่างไร ดังตัวอย่าง
ต่อไปนี้ “อยากให้ครูช่วยเรื่องอะไร” หรือ “เรื่องอะไรที่ทําให้ไม่สบายใจ”
คําถามปลายเปิด มักจะได้คําตอบที่ตรงกับสิ่งที่วัยรุ่นคิด กังวล เป็นห่วง หรือรู้สึกว่าเป็นปัญหาอยู่
ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสําคัญมาก เนื่องจากปัญหาที่วัยรุ่นคิด อาจไม่ตรงกับปัญหาที่พ่อแม่เป็นห่วงอยู่
คําถามปลายปิด (close-ended question)เป็นคําถามที่คาดหวังคําตอบว่า ใช่ หรือ
ไม่ใช่ เท่านั้น ใช้ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบว่า มีหรือไม่มีสิ่งที่ผู้สัมภาษณ์สงสัยอยู่ ไม่ควรใช้ในช่วงแรกๆของ
การสัมภาษณ์ เพราะอาจปิดกั้นการระบายปัญหาที่แท้จริงของวัยรุ่น ตัวอย่างเช่น “นอนหลับดีไหม
“เบื่ออาหารหรือไม่” “ท้อแท้ไหม”
คําถามปลายปิดมักใช้ในการสํารวจปัญหาอย่างเป็นระบบ เพื่อตรวจสอบว่าวัยรุ่นมีหรือไม่มีอาการ
หรือปัญหาที่สงสัย มักใช้ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์
คําถามนํา (leading question)เป็นคําถามที่ส่งเสริมให้ตอบไปในทิศทางนั้น มักใช้ใน
กรณีที่วัยรุ่นลังเลที่จะตอบ เช่น “เพื่อนเคยชวนให้ลองใช้ยาเสพติดเหมือนกันใช่ไหม” “ยาบ้านี่รสชาติเป็น
อย่างไร ชอบไหม”
การกระตุ้นให้เล่าเรื่อง(facilitation)
“ครูทราบเบื้องต้นมาว่า.................. คุณพ่อคุณแม่รู้สึกเป็นห่วงที่..................”
“ที่จริงคุณพ่อคุณแม่เล่าให้ครูฟังบ้างแล้ว แต่ครูอยากฟังจาก....... (ชื่อ)เอง ลองเล่าให้ครูฟังว่า
เกิดอะไรขึ้น”
“พ่อแม่กังวลว่า................................”
“พ่อแม่อยากจะทําความเข้าใจปัญหามากขึ้น จึงชวน......มาคุยกับครู”
“คิดอย่างไรบ้าง รู้สึกอย่างไร ยังโกรธพ่อแม่หรือไม่เมื่อรู้เหตุผลอย่างนี้แล้ว”
การยอมรับ (unconditioned positive regard)
“เรื่องใดที่พูดลําบาก หรืออธิบายไม่ได้ ขอให้บอกครูด้วย”
“ใครๆที่อยู่ในสภาพเดียวกับ...... คงจะทําใจยอมรับได้ลําบากเหมือนกัน”
“บางทีมันก็ยากที่จะเล่า เรื่องที่ค่อนข้างส่วนตัวอย่างนี้ เอาไว้พร้อมแล้วค่อยเล่าก็ได้”
“เรื่องไหนที่ยังไม่พร้อมจะคุย ขอให้บอกครู”
การสํารวจลงลึก (exploration)
“มีอะไรที่ทําให้รู้สึกหนักใจ กังวลใจ หงุดหงิดใจ”
“ถ้าเป็นไปได้ อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในบ้าน”
“อยากให้พ่อแม่เป็นอย่างไร”
“ปัญหาอื่นๆในบ้านละ มีอะไรหนักใจหรือไม่” (ลองสํารวจในเรื่องอื่นๆ ในตอนท้าย เช่นเรื่อง
ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ ความสัมพันธ์กับน้อง หรือญาติคนอื่นๆ)
“วางแผนไว้อย่างไรบ้าง ระยะสั้น ระยะยาว”
“............กังวลใจจนนอนไม่หลับ”
การสะท้อนความรู้สึกจะช่วยให้วัยรุ่นเกิดความรู้สึกว่าครูเข้าใจความรู้สึก เกิดความสัมพันธ์ที่ดี
ต่อกัน การสะท้อนความรู้สึกช่วยในการตอบคําถาม หรือตอบสนองบางสถานการณ์ได้ เช่น
วัยรุ่น(พูดอย่างโกรธๆว่า) “ครูไม่เข้าใจผมหรอก”
ครู (ใช้เทคนิคการสะท้อนความรู้สึก ) “.......คงรู้สึกหมดหวัง ที่จะมีใครเข้าใจปัญหานี้”
การสะท้อนความคิด ความเห็น ความเชื่อ (reflection of thinking, attitudes,
believes)บางครั้งการสะท้อนความคิดวัยรุ่น จะช่วยให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกันกับครู และช่วยให้วัยรุ่นหยุด
คิดถึงสิ่งที่ตนเองคิด และในหลายโอกาสช่วยให้วัยรุ่นเห็นความสัมพันธ์ของความคิด ความรู้สึก และ
พฤติกรรมของตนเองได้ ตัวอย่างเช่น
“...........คิดว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจ”
“...........คิดว่าถ้าขออนุญาตก่อน พ่อคงปฏิเสธ”
บางจังหวะ การสะท้อนความคิดก็ช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ เช่น
วัยรุ่น(พูดอย่างโกรธๆว่า) “ครูไม่เข้าใจผมหรอก”
ครู (ใช้เทคนิคการสะท้อนความคิด ) “..........คิดว่าปัญหานี้ยาก จนคนอื่นคงไม่เข้าใจ
การถามความคิดและความรู้สึก (exploring the feeling and thinking) นอกจาก
เทคนิคการสะท้อนความคิดความรู้สึกข้างต้นแล้ว บางครั้งการสอบถามความคิด ความรู้สึก จะช่วยให้ครู
เข้าใจวัยรุ่นมากขึ้น และสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันได้มาก เช่น
“คุณแม่ทําแบบนั้น ..............คิดอย่างไรบ้าง”
“โดนเหตุการณ์แบบนั้น ............รู้สึกอย่างไร”
แสดงทัศนคติที่ดีต่อวัยรุ่น (rapport, nonjudgmental attitude) ครูควรมีความเข้าใจ
(understanding) ยอมรับ, (unconditional positive regard) มองในแง่ดีเป็นกลาง (neutral) อยาก
ช่วยเหลือ (empathy) เห็นใจ (sympathy)
“ความสนใจเรื่องเพศในวัยรุ่น ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ......มีความสนใจเรื่องนี้บ้างไหม”
“เพื่อนบางคนอาจมียาเสพติดมาชักชวนกัน .......เคยเห็นบ้างไหม เคยลองบ้างไหม”
แสดงสิ่งที่ทีมแพทย์จะช่วยเหลือได้ (hope)เช่น สร้างความเข้าใจกัน วิธีการบางอย่างพ่อแม่ก็ไม่เข้าใจ ทําไม่
ถูก มีการจัดการไม่ดี เรื่องบางอย่างที่หมอช่วยได้ทันที เช่นการให้ความรู้พ่อแม่ การฝึกทักษะต่างๆ เมื่อ
ช่วยแล้วจะเกิดผลดีอย่างไร ถ้าไม่ช่วยจะเกิดผล(เสีย)ตามมาอย่างไร
การให้วัยรุ่นได้ระบายความรู้สึก(ventilation)
“บางทีการร้องไห้ หรือได้ระบายความทุกข์ใจไม่สบายใจก็ช่วยให้ใจสบายขึ้น”
“ครูอยากให้.....เล่าเรื่องที่อาจไม่สบายใจ แต่อาจทําให้เราเข้าใจเหตุการณ์ดีขึ้น”
สรุปความ(summarization)
“ปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่ง คือคุณแม่ไม่ค่อยเข้าใจความต้องการของ.....”
“หลายครั้งที่........ก็ทําอะไรด้วยอารมณ์ แต่ก็มาคิดเสียใจทีหลัง”
แปลความหมาย(interpretation)
“เวลาโกรธพ่อแม่ ก็แกล้งให้พ่อแม่หงุดหงิด”
การชมเชย(positive reinforcing)
“ครูคิดว่าเป็นการดีมาก ที่...อยากจะเข้าใจตัวเอง .......อยากแก้ไขเปลี่ยนแปลง”
“ดีนะที่.....มีความสนใจในเรื่องการเรียน”
การสํารวจปัญหาอย่างเป็นระบบ(system review)
รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นจากอาการต่างๆ และปัญหาที่ได้จากวัยรุ่นและครอบครัว ข้อมูลของ
ครอบครัว การเลี้ยงดูตั้งแต่เกิด พัฒนาการ การเรียน ความสัมพันธ์กับครอบครัวและกับโรงเรียน ปัจจัย
สาเหตุ ปัจจัยกระตุ้นและส่งเสริมให้เป็นปัญหา หรือปัจจัยป้องกัน ข้อดีและจุดเด่นจุดแข็งของวัยรุ่น
3.สรุปและเลือกประเด็นที่สําคัญร่วมกัน ที่จะทํางานต่อไป
การเลือกประเด็นที่สําคัญ และวัยรุ่นยอมรับเพื่อทํางานร่วมกัน ควรเป็นเรื่องต่อไปนี้
1. เรื่องที่วัยรุ่นรู้สึกว่าเดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือ เช่น อาการทางร่างกายจาก
ความเครียด อาการย้ําคิดย้ําทํา อารมณ์ซึมเศร้า ความไม่เข้าใจของพ่อแม่ การถูกจํากัดสิทธิต่างๆ
2. เรื่องที่วัยรุ่นอยากให้เปลี่ยนแปลง เช่นความสัมพันธ์ภายในบ้านที่ไม่ค่อยดี การยินยอม
ให้ในสิ่งที่วัยรุ่นต้องการ เช่น เวลาไปกับเพื่อน เงิน โทรศัพท์
การเลือกเรื่องมีความสําคัญมาก เพราะจะช่วยให้เข้าถึงปัญหาที่แท้จริง การเลือกควรให้วัยรุ่นมีส่วนร่วม เช่น
“เราจะตั้งเป้าหมายเรื่องใดก่อนดี”
“เรื่องเวลาเครียด แล้วอาการปวดหัว น่าสนใจเหมือนกัน ไม่ทราบว่า....คิดอย่าง”
“เรื่องความไม่เข้าใจกันในบ้าน สําคัญต่อ......จนอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงไหม”
“.....คงอยากให้ผลการเรียนดีขึ้นกว่านี้”
“ปัญหาการเรียนน่าจะเป็นผลของอารมณ์ คิดอยากจะแก้ไขอย่างไร”
“ลองช่วยกันเลือกเรื่องที่น่าจะแก้ไขกันได้ก่อน”
“เคยคิดจะแก้ไขอย่างไรแล้วบ้าง”
“สรุปแล้วคิดว่าเราน่าจะมุ่งประเด็นนี้..... ก่อนจะดีไหม”
4.ตั้งเป้าหมายในการทํางานต่อไปด้วยกัน
เมื่อผู้สัมภาษณ์ได้ข้อมูลเพียงพอแล้ว ต่อไปคือการแก้ไขปัญหา โดยวิธีการ เป้าหมายร่วมกับ
วัยรุ่น ควรช่วยกันคิดและให้ออกมาเป็นความต้องการของวัยรุ่นจริงๆ และควรจะครอบคลุมประเด็นหลักๆ
ของปัญหา
การแก้ไขต่อไปจะเกิดในด้านต่างๆ คือ
· 1. การเปลี่ยนแปลงของตนเอง เช่น การสังเกตอารมณ์ตนเองให้มากขึ้น มีการจัดการกับอารมณ์ได้
ดี ควบคุมตัวเองได้ ยั้งใจตัวเองได้มากขึ้น จัดระเบียบวินัยของตัวเอง เอาใจใส่เรื่องส่วนตัวมากขึ้น
รับผิดชอบส่วนรวมมากขึ้น
· 2. สร้างแรงจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
“ครูคิดว่า ถ้า....แสดงความรับผิดชอบโดย....... คุณพ่อคุณแม่ คงจะไว้วางใจมากขึ้น การจะขอ
อนุญาตไปกับเพื่อนน่าจะง่ายขึ้นด้วย”
· 3. ให้ความหวังและโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
“ครูจะช่วยอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจความต้องการของวัยรุ่นมากขึ้น แต่...ก็ต้องช่วยครูทํา
ให้พ่อแม่ไว้ใจ เช่น การรักษาคําพูด ถ้าเราพยายามแล้วพ่อแม่ยังไม่เปลี่ยนแปลง ขอให้กลับมาเล่าให้ครูฟัง
ด้วย”
· 4. อธิบายสิ่งที่จะวางแผนร่วมกับพ่อแม่(clarification)
“หลังจากนี้ครูจะคุยกับพ่อแม่ สิ่งที่ครูจะพูดคือ อธิบายให้ท่านเข้าใจว่า.................... และจะ
ช่วยให้ท่านยืดหยุ่นกับ......บ้างเช่น อาจจะอนุญาตให้ไปกับเพื่อนได้ในวันหยุด แต่จะขออนุญาต ต้องบอกกัน
ก่อนในเรื่องรายละเอียด เช่น ไปที่ไหน กับใคร เวลาใด จะกลับเมื่อไร อย่างนี้จะดีไหม ฯลฯ”
“ครูยังไม่แน่ใจว่าจะพูดให้พ่อแม่เปลี่ยนแปลงได้มากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่คุยกับเขาแล้ว ก็เห็น
ว่าน่าจะรับฟังครูบ้าง แต่นิสัยใจคอคนตามปกตินั้น จะเปลี่ยนแปลงทันทีคงยาก แต่ก็น่าทดลองดู ให้โอกาส
ท่านเปลี่ยนแปลงก่อน ถ้าไม่สําเร็จเราจะกลับมาคุยกันใหม่”
6. การสรุปและยุติการสัมภาษณ์หรือการให้คําปรึกษา (Termination)
ในการสัมภาษณ์ทุกครั้ง การยุติการสนทนาในตอนท้ายการสัมภาษณ์ มีความสําคัญมากเช่นกัน
ในการสรุปสิ่งที่ได้คุยกัน การวางแผนต่อไปว่าจะทําอะไร ตอบคําถามที่วัยรุ่นอาจจะมี กําหนดการนัด
หมายครั้งต่อไป การยุติการสัมภาษณ์ได้ดีจะช่วยให้วัยรุ่นร่วมมือมาติดตามการให้คําปรึกษา และให้ร่วมมือ
ในการให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือ ร่วมมือในการรักษาต่อไป
การสัมภาษณ์ครั้งแรกไม่จําเป็นต้องให้ได้ข้อมูลทุกอย่างครบ บางเรื่องที่วัยรุ่นยังไม่พร้อม จะ
เปิดเผย อาจต้องรอให้วัยรุ่นเกิดความไว้วางใจ และเปิดเผยในครั้งที่สองหรือครั้งที่สามก็ได้
“คุยกันมานานแล้ว ไม่ทราบว่า ......อยากจะถามอะไรหมอบ้าง”
“ครูดีใจที่....ให้ความร่วมมือดีมาก ครูอยากจะพบเพื่อคุยกันอีกหลังจากนี้”
“หลังจากนี้แล้ว ครูจะพบกับพ่อแม่สั้นๆ อธิบายให้ท่านเข้าใจ หลังจากนั้นจะนัดพบกันครั้ง
ต่อไปในสัปดาห์หน้า”
ในกระบวนการให้คําปรึกษาระยะยาว การสิ้นสุดการให้คําปรึกษาควรมีการเตรียมตัวล่วงหน้า
เพื่อให้วัยรุ่นเตรียมใจยุติการพบปะกัน ซึ่งอาจเกิดความวิตกกังวลต่อการพลัดพราก และอาจเกิดอาการของ
ความวิตกกังวลได้มาก ทําให้ยุติการให้คําปรึกษาได้ยาก เกิดภาวะติดผู้ให้คําปรึกษา
เทคนิคการสื่อสารที่ดี
ขั้นตอนการให้คําปรึกษาครอบครัว
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว
- แสวงหาข้อมูลจากครอบครัว
- วิเคราะห์ครอบครัว ปัญหาของครอบครัว จุดอ่อน จุดแข็ง หน้าที่ของครอบครัว บทบาท
การสื่อสาร การเข้าใจความรู้สึก
- ชักจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในโครงสร้าง และหน้าที่ของสมาชิกครอบครัว
- ชี้แนะช่องทางของการเปลี่ยนแปลง
- ฝึกทักษะที่เป็นปัญหา
- ใช้หลักพฤติกรรมบําบัด ร่วมด้วยเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
การให้คําปรึกษาเพื่อน(Peer Counseling)
ขั้นตอนการให้คําปรึกษาเพื่อน
- สร้างบรรยากาศของการอยู่ร่วมกันแบบกลุ่ม ไม่โดดเดี่ยว ไม่เอาตัวรอดคนเดียว
เพื่อนมีหน้าที่ช่วยเหลือกัน
- สร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นห่วงเป็นใยกัน เมื่อมีใครหายไปเพื่อนควรสนใจ
เป็นห่วงเป็นใย ติดตามข่าวสาร พยายามดึงเพื่อนเข้ากลุ่ม มีการแบ่งปันกัน ช่วยเหลือกัน
- เมื่อมีเพื่อนทําผิด เพื่อนที่ดีควรช่วยเตือน และชักจูงให้เปลี่ยนแปลง เลิกทําผิด กลับมาทําดี
โดยไม่โกรธกัน มองกันในทางที่ดี
- ฝึกทักษะการสื่อสารที่ดี บอกความคิด ความต้องการ ความรู้สึก เมื่อไม่พอใจมีวิธีบอกให้
เพื่อนเข้าใจ และสนองความต้องการกันได้ตรงจุด
- ฝึกทักษะสังคมทางบวก การให้ การรับ การขอโทษ การขอบคุณ การเข้าคิว รอคอย
การทําดีต่อกัน การพูดดีๆ สุภาพ อ่อนโยน ทําตัวให้เป็นประโยชน์ต่อกัน
แนวข้อสอบการให้คําปรึกษาและการให้คําปรึกษาวัยรุ่น
1. ข้อใดไม่ใช่กระบวนการให้คําปรึกษารายบุคคล
ก. การจัดประสบการณ์ใหม่ให้ผู้รับบริการ
ข. การสร้างสัมพันธภาพในการให้บริการปรึกษา
ค. กระบวนการปรับตัวเพื่อการอยู่ร่วมกัน
ง. กระบวนการและเทคนิคการให้บริการปรึกษาขั้นเริ่มต้น
2. กระบวนการช่วยเหลือโดยมีการพบปะเป็นการส่วนตัว เป็นการให้คําปรึกษาลักษณะใด
ก. การให้คําปรึกษาเป็นรายบุคคล
ข. การให้คําปรึกษาเป็นรายกลุ่ม
ค. การให้คําปรึกษาหลายๆบุคคล
ง. การให้คําปรึกษาแบบเพื่อน
3. การสร้างสัมพันธภาพ ผู้ให้คําปรึกษาต้องทําให้ผู้รับคําปรึกษาเกิด ความอบอุ่น สบายใจ และไว้วางใจ
เป็น ขั้นตอนการให้คําปรึกษาแบบใด
ก. การให้คําปรึกษาแบบกลุ่ม
ข. การให้คําปรึกษาแบบเพื่อนช่วยเพื่อน
ค. การให้คําปรึกษารายบุคคล
ง. การให้คําปรึกษาแบบครอบครัว
4. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ขั้นตอนกระบวนการให้คําปรึกษารายบุคคล
ก. ผู้ให้คําปรึกษาต้องทําให้ผู้รับคําปรึกษาเกิด ความอบอุ่น สบายใจ และไว้วางใจ
ข. ผู้ให้คําปรึกษาช่วยให้ผู้รับคําปรึกษาได้สํารวจปัญหา และปัจจัยต่าง ๆ ด้วยตัวของเขาเอง
ค. ผู้ให้คําปรึกษาช่วยให้ผู้รับ คําปรึกษาเข้าใจปัญหา สาเหตุ และความต้องการของตนเอง
ง. ผู้ให้คําปรึกษาจะต้องพยายามชี้แจงให้สมาชิกกล้า อภิปรายปัญหาตัวเอง อย่างเปิดเผย
5. การช่วยให้ผู้รับบริการ ได้เข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น เป็นการให้คําปรึกษาแบบใด
ก. การให้คําปรึกษาแบบเพื่อนช่วยเพื่อน
ข. การให้คําปรึกษาแบบกลุ่ม
ค. การให้คําปรึกษาแบบครอบครัว
ง. การให้คําปรึกษารายบุคคล
6. " พยายามที่จะช่วยให้สมาชิกคํานึงถึงหน้าที่และความรู้สึกที่ดี มองชีวิตในแง่ดี” เป็นการให้คําปรึกษา
แบบใด
ก. การให้คําปรึกษาแบบกลุ่ม ข. การให้คําปรึกษาแบบครอบครัว
ค. การให้คําปรึกษาแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ง. การให้คําปรึกษารายบุคคล
7. ทฤษฎีการให้คําปรึกษาแบบครอบครัวได้รับอิทธิพลความเชื่อจากทฤษฎีใด
ก. ทฤษฎีการให้คําปรึกษาแบบเกสตัลท์ (Gestalt therapy)
ข. ทฤษฎีการให้คําปรึกษาแบบตัลท์เกส (therapy Tesgalt)
ค. ทฤษฎีการให้คําปรึกษาของเจอร์โร (gerianro thert)
ง. ทฤษฎีของโบเวน (Bowenian thert)
8. การพัฒนาความไวในการรับรู้และการแสดงความรู้สึก เป็นเอกลักษณ์เด่นของทฤษฏีใด
ก. ทฤษฎีการให้คําปรึกษาแบบเกสตัลท์ (Gestalt therapy)
ข. ทฤษฎีการสื่อสาร (communication theory)
ค. ทฤษฎีการให้คําปรึกษาครอบครัวของซะเทียร์
ง. ทฤษฎีการให้คําปรึกษาของโรเจอร์ (Rogerian therapy)
9. ทฤษฎีการให้คําปรึกษาครอบครัว มีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร
ก. เพื่อสร้างคุณภาพสมาชิกในครอบครัว
ข. เพื่อสร้างความลับในแต่ครอบครัว
ค. เพื่อสร้างความตรงต่อเวลาในครอบครัว
ง. เพื่อสร้างสัมพันธภาพในครอบครัว
10. "เด่นจันมีปัญหากับสามีไม่คุยกัน 2 เดือนแล้ว" ปัญหาใดนี้ควรได้รับการให้คําปรึกษาแบบใด
ก. การให้คําปรึกษารายบุคคล ข. การให้คําปรึกษาแบบกลุ่ม
ค. การให้คําปรึกษาแบบครอบครัว ง. การให้คําปรึกษาแบบพี่ช่วยน้อง
11. ข้อใดหมายถึงความหมายการคําปรึกษาเป็นกลุ่ม
ก. เป็นการให้คําปรึกษาโดยการสุ่มเลือกสมาชิกที่มีปัญหาเข้ากลุ่มเดียวกัน
ข. เป็นการให้คําปรึกษาแก่ผู้รับบริการตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปในเวลาเดียวกัน
ค. เป็นการให้คําปรึกษาบุคคลที่ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกตัวเองได้
ง. การจัดประสบการณ์ใหม่ให้ผู้รับบริการ
14. ข้อใดไม่ใช่พฤติกรรมของผู้ให้คําปรึกษาที่เอื้ออํานวยต่อการดําเนินการให้คําปรึกษาแบบกลุ่ม
ก. ผู้ให้คําปรึกษาพูดความรู้สึกของตนให้ผู้รับคําปรึกษาฟัง
ข. ผู้ให้คําปรึกษาสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่ม
ค. ผู้ให้คําปรึกษารักษาสัมพันธภาพในกลุ่ม
ง. ผู้ให้คําปรึกษาอธิบายจุดประสงค์ของการมาขอรับคําปรึกษา
15. ข้อใดกล่าวถูกต้อง เกี่ยวกับทฤษฏีการให้คําปรึกษา
ก. การให้คําปรึกษาเป็นกระบวนการช่วยเหลือ (Helping Process)
ข. การให้คําปรึกษาเป็นกระบวนการช่วยเหลือแบบเฉพาะบุคคล (Helping Process)
ค. การให้คําปรึกษาได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดทางตะวันออกเฉียงใต้
ง. จอเพียร์เป็นผู้นําทฤษฎีการให้คําปรึกษามาใช้เป็นคนแรก
16. ข้อใดไม่ใช้ทฤษฎีการให้บริการคําปรึกษา
ก. ทฤษฎีการให้บริการแบบจิตวิเคราะห์
ข. ทฤษฎีการให้บริการปรึกษาแบบพิจารณาเหตุผลและอารมณ์
ค. ทฤษฎีการใช้บริการปรึกษาแบบภวนิยม
ง. ทฤษฎีการรวบรวมปัญหาเพื่อวิเคราะห์
17. ข้อดีของการให้คําปรึกษาเป็นกลุ่ม ข้อใดถูกต้องที่สุด
ก.ทําให้บุคคลลดความเครียดอันเกิดจากความวิตกกังวล
ข. ทําให้บุคคลเกิดกําลังใจ เพราะมีคนอื่นที่มีปัญหาคล้ายกับตนเอง
ค. ทําให้บุคคลได้แลกเปลี่ยนปัญหาและประสบการณ์ซึ่งกันและกันในกลุ่ม
ง. ทําให้บุคคลกล้าที่จะเล่าปัญหาของตนเองหลังจากรับฟังปัญหาของบุคคลอื่นในกลุ่ม
18. โสรยาไม่อยากร่วมงานวันคริสมาสกับเพื่อนๆที่โรงเรียน แต่ทนการรบเร้าของเพื่อนไม่ได้ จึง
ตัดสินใจมาร่วมงาน ข้อใดอธิบายพฤติกรรมของโสรยาได้เหมาะสมที่สุด
ก. กลุ่มเพื่อนมีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมของโสรยา
ข. โสรยาจําเป็นต้องปฏับัติตามบรรทัดฐานของสังคม
ค. โสรยากลัวครูทําโทษ หากไม่เข้าร่วมกิจกรรมที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น
ง. โสรยาเป็นคนที่คล้อยตามคนอื่นง่าย เพราะขาดความมั่นใจในตนเอง
19. ข้อใดคือทฤษฎีสําคัญที่ใช้เป็นพื้นฐานในการให้การปรึกษาแบบพิจารณาเหตุผล อารมณ์ พฤติกรรม
ก. ทฤษฎีมนุษยนิยม ข. ทฤษฎีหน้าที่จิต
ค. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม ง. ทฤษฎีบุคลิกภาพ ABC
37. ข้อใดเป็นรูปแบบการนั่งของการให้คําปรึกษาแบบกลุ่มที่ถูกต้อง
ก.นั่งเรียงหน้ากระดาน ข. นั่งเป็นวงกลม
ค. นั่งเป็นรูปตัวU ง. นั่งเป็นรูปตัวL
38 “ ผู้ให้คําปรึกษา : เราได้คุยกันมาหลายเรื่องแล้วมีเรื่องไหนที่นักเรียนอยากคุยกับครูมากที่สุด” จาก
ประโยคข้างต้นเทคนิคอะไร
ก. การนําเข้าสู่การสนทนาโดยตรง ข. การนําเข้าสู่การสนทนาทางอ้อม
ค. การนําสนทนาให้เข้าประเด็น ง. การเชื่อมโยงสนทนากับปัญหาอื่น
39. ประโยคใดเป็นคําถามปลายปิด
ก. เล่าให้ครูฟังได้ไหม ข. เรื่องมันเป็นอย่างไร
ค. รู้สึกอย่างไร ง. ไม่เห็นด้วยใช่ไหม
40. เทคนิค Probing คือเทคนิคอะไร
ก.การเงียบ ข. การสรุป
ค.การทวนประโยค ง. การสอบซัก
41. เทคนิค Paraphrasing คือเทคนิคอะไร
ก.การเงียบ ข. การสรุป
ค.การทวนประโยค ง. การสอบซัก
42. เทคนิค Silence คือเทคนิคอะไร
ก.การเงียบ ข. การสรุป
ค.การทวนประโยค ง. การสอบซัก
43. ลักษณะแบบใดเป็น “ การเงียบบวก”
ก. Cl เงียบเนื่องจากไม่อยากพูดเรื่องตน
ข. Cl เงียบเนื่องจากไม่สบายใจ
ค. Cl เงียบเพื่อใช้ความคิดในการค้นหาประเด็นปัญหา
ง. Cl เงียบเนื่องจากไม่พอใจ ต่อต้าน ปฏิเสธ
44. เทคนิคการพูดซ้ําประโยค แต่ใช้ถ้อยคําน้อยลง ขณะเดียวกันก็ยังคงความหมายเดิมอยู่คือเทคนิคใด
ก. การทบทวนประโยค ข. การสรุป
ค. การสะท้อนความรู้สึก ง. การตีความ
45. เทคนิคการรวบรวม สิ่งที่พูดกันไปแล้วนั้นให้เป็นประโยคเดียว คือเทคนิคอะไร
ก. การทบทวนประโยค ข. การสรุป
ค. การสะท้อนความรู้สึก ง. การตีความ
ผู้รับคําปรึกษา : หนูรู้สึกกลัวที่ต้องออกไปรายงานหน้าห้องเรียน
ผู้ให้คําปรึกษา : หนูรู้สึกไม่มั่นใจกับงานที่นํามาเสนอใช่ไหม
46. จากบทสนทนาข้างต้น ผู้ให้คําปรึกษากําลังใช้เทคนิคอะไร
ก. การชี้แนะ ข. การสรุป
ค. การสะท้อนความรู้สึก ง. การตีความ
58. ข้อใดคือการใช้ทักษะการทวนความ
ก. การแสดงความสนใจในสิ่งที่ผู้รับคําปรึกษาพูด
ข. การให้ผู้รับคําปรึกษาได้เล่าเรื่องราวที่ต้องการ
ค. ความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือผู้รับคําปรึกษา
ง. การทําให้ประเด็นที่ผู้รับคําปรึกษาพูด มีความกระจ่าง
59. ข้อควรคํานึงในการให้คําปรึกษาของผู้ให้บริการ ยกเว้นข้อใด
ก. ผู้ให้บริการควรจดบันทึกไว้หลังจากให้คําปรึกษาแล้ว
ข. ผู้ให้บริการต้องรักษาความลับและประโยชน์ของผู้รับบริการ
ค. ผู้ให้บริการควรให้ความสําคัญกับภาษาท่าทางของผู้รับบริการ
ง. ผู้ให้บริการควรถามข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเพื่อเป็นประโยชน์ในการให้บริการ
60. การให้ผู้รับคําปรึกษาได้เล่าเรื่องราวที่ต้องการปรึกษาและความรู้สึกนึกคิดของผู้รับคําปรึกษา คือ
ทักษะในข้อใดของการให้คําปรึกษา
ก. ทักษะการถาม ข. ทักษะการใส่ใจ
ค. ทักษะการสะท้อนกลับ ง. ทักษะการชี้ผลที่ตามมา
61. การที่ผู้ให้คําปรึกษารวบรวมใจความสําคัญทั้งหมดของความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ของผู้รับ
คําปรึกษาที่เกิดขึ้นอย่างหลากหลายในระหว่างให้คําปรึกษา คือทักษะใด
ก. ทักษะการสะท้อนกลับ ค. ทักษะการทวนความ
ค. ทักษะการสรุปความ ง. ทักษะการชี้ผลที่ตามมา
62. พฤติกรรมของครูในการปฏิบัติหน้าที่การให้คําปรึกษา ข้อใดไม่เหมาะสม
ก. ครูเมษาแสดงความห่วงใย ให้กําลังใจนักเรียน
ข. ครุตุลาขออนุญาตบันทึกการสนทนาระหว่างการให้คําปรึกษา
ค. ครูกันยาใส่ใจ สนใจ ยอมรับนักเรียนโดยไม่มีเงื่อนไข
ง. ครูมีนาแสดงสีหน้าและอารมณ์ร่วมขณะนักเรียนเล่าเหตุการณ์
จงตอบคําถามโดยใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ (ข้อ63-66)
ก.การท้าทาย ข. การเผชิญหน้า
ค. การให้ความมั่นใจ ง. การสนับสนุนให้กําลังใจ
63. สถานการณ์ที่1
ผู้รับคําปรึกษา : หนูพยายามทําดีกับเพื่อนในชั้น แต่ก็ยังมีคนไม่ชอบหนู หนูรู้สึกเสียใจมาก
ผู้ให้คําปรึกษา : มีใครบ้างในโลกนี้ที่สามารถทําให้คนรอบข้าง รักเราด้วยความจริงใจ
64. สถานการณ์ที่ 2
ผู้รับคําปรึกษา : ผมจะนําเรื่องนี้ไปปรึกษากับครูประจําชั้นอีกครั้ง
ผู้ให้คําปรึกษา : เป็นความคิดที่ดีมาก
65. สถานการณ์ที่ 3
ผู้รับคําปรึกษา : เทอมนี้หนูจะต้องพยายามทําเกรดให้ได้ 4.00
ผู้ให้คําปรึกษา : เธอแน่ใจเหรอว่าทําได้
ผู้รับคําปรึกษา : หนูคิดว่าได้ค่ะ
66. สถานการณ์ที่ 4
ผู้รับคําปรึกษา : หนูรู้สึกกังวลกับผลงานชิ้นนี้มากเกินไป ทั้งๆที่อาจารย์ก็ไม่ได้ตําหนิอะไร
ผู้ให้คําปรึกษา : นั่นน่ะซิ โดยทั่วไปแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรน่ากังวล
จงตอบคําถามโดยใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ (ข้อ67-70)
ก. การทวนประโยค ข.การสอบซัก
ค.การทําความกระจ่างชัด ง. การสะท้อนความรู้สึก
67. สถานการณ์ที่ 1
ผู้รับคําปรึกษา : งานที่ฉันทําอยู่มันก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จนฉันรู้สึกว่าชีวิต
มันดูจืดชืด
ผู้ให้คําปรึกษา: หรืออีกนัยหนึ่งคุณรู้สึกเบื่อหน่ายต่อความซ้ําซากจําเจในชีวิต
68. สถานการณ์ที่ 2
ผู้ให้คําปรึกษา: ลองเล่าถึงเพื่อนสนิทให้ฟังหน่อยสิ
ผู้รับคําปรึกษา: เพื่อนสนิทของหนูมีน้อยมาก
ผู้ให้คําปรึกษา: มีกี่คน
69. สถานการณ์ที่ 3
ผู้รับคําปรึกษา: วิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่หนูรักละสนใจมากและเคยทําคะแนนสูงกว่า
วิชาอื่น แต่ก็อดกลัวไม่ได้เมื่อถึงเวลาสอบ
ผู้ให้คําปรึกษา: หนูรู้สึกขาดความมั่นใจในเวลาสอบแม้ว่าจะเป็นวิชาที่หนูถนัด
70. สถานการณ์ที่ 4
ผู้รับคําปรึกษา: หนูไม่เข้าใจแม่หนูจริงๆ บางครั้งตอนเช้าบอกให้ทําอย่างหนึ่ง
แต่พอตอนเย็นกลับบอกให้ทําอีกอย่าง
ผู้ให้คําปรึกษา: แม่ทําให้หนูสับสนสินะ เพราะตอนเช้าบอกอย่าง ตอนเย็นบอกอีกอย่าง
ผู้รับคําปรึกษา: ใช่ค่ะ
71. ข้อใดคือหัวใจของกระบวนการให้คําปรึกษา
ก. การสํารวจปัญหา ข. การเข้าใจปัญหา
ค. การสร้างสัมพันธภาพ ง. การวางแผนการแก้ปัญหา
72. ข้อใดไม่ใช่เทคนิคการให้คําปรึกษา
ก. การเงียบ ข. การร่วมแก้ปัญหา
ค. การสร้างความคุ้นเคย ง. การสะท้อนความรู้สึก
73. วัตถุประสงค์ของทักษะการให้กําลังใจคือข้อใด
ก. เพื่อให้ผู้รับคําปรึกษาเปิดเผยตัวเองมากที่สุด
ข. เพื่อแสดงความใส่ใจและเข้าใจในอารมณ์
ค. เพื่อให้ผู้รับคําปรึกษาเข้าใจปัญหา เกิดความเข้าใจ ความรู้สึกของตนเองมากขึ้น
ง. เพื่อกระตุ้นให้ผู้รับคําปรึกษา กล้าที่จะคิดและทําในสิ่งที่ไม่เคยคิดหรือเคยทํามาก่อน
74. จากสถานการณ์ต่อไปนี้ เป็นการให้คําปรึกษาในขั้นตอนใด
ผู้ให้คําปรึกษา: หนูคิดถูกแล้ว รอไปก็ไม่มีประโยชน์ ได้ผลเป็นยังไงก็มาเล่าให้ครูฟังนะจ๊ะ
ผู้รับคําปรึกษา: ค่ะคุณครู ขอบคุณมากค่ะ
ผู้ให้คําปรึกษา: ไม่เป็นไรจ๊ะ ครูยินดี
ก. การสร้างสัมพันธภาพ ข. การยุติการให้คําปรึกษา
ค. การหาแนวทางแก้ปัญหา ง. การสํารวจและทําความเข้าใจปัญหา
77. การให้คําปรึกษาวัยรุ่นมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร
ก. สํารวจตนเองและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจ
ข. ลดระดับความเครียดและความไม่สบายใจ
ค. เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทิศทางที่เหมาะสม
ง. ถูกทุกข้อ
78. การให้คําปรึกษา ไม่ควรเกินกี่เดือนต่อหนึ่งรายบุคคล
ก. 3 เดือน ข. 4เดือน
ค. 5 เดือน ง. 6 เดือน
79. ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะของผู้ให้คําปรึกษาที่ดี
ก. ตัดสินใจได้เร็ว ข.จริงใจ ตั้งใจช่วยเหลือ
ค. ใช้คําพูดได้เหมาะสม ง. เป็นผู้ฟังที่ดี
80. ผู้รับคําปรึกษาในข้อใด แสดงให้เห็นถึงความสําเร็จของการสร้างสัมพันธภาพต่อการให้คําปรึกษา
มากที่สุด
ก. นิชาถูกพ่อแม่ขอร้องให้มารับบริการให้คําปรึกษา
ข. ปาลิตาถูกครูประจําชั้นส่งมารับบริการให้คําปรึกษา
ค. สุวรรณาถูกส่งมารับคําปรึกษาจากครูฝ่ายปกครอง
ง. วาสนามาพบผู้ให้คําปรึกษาด้วยตนเองอย่างสมัครใจ
เฉลยข้อสอบการให้คําปรึกษาและการให้คําปรึกษาวัยรุ่น
1. ตอบ ค. กระบวนการปรับตัวเพื่อการอยู่ร่วมกัน
2. ตอบ ก. การให้คําปรึกษาเป็นรายบุคคล
3. ตอบ ค. การให้คําปรึกษารายบุคคล
4. ตอบ ง. ผู้ให้คําปรึกษาจะต้องพยายามชี้แจงให้สมาชิกกล้า อภิปรายปัญหาตัวเอง อย่างเปิดเผย
5. ตอบ ง. การให้คําปรึกษารายบุคคล
6. ตอบ ก. การให้คําปรึกษาแบบกลุ่ม
7. ตอบ ก. ทฤษฎีการให้คําปรึกษาแบบเกสตัลท์ (Gestalt therapy)
8. ตอบ ก. ทฤษฎีการให้คําปรึกษาแบบเกสตัลท์ (Gestalt therapy)
9. ตอบ ง. เพื่อสร้างสัมพันธภาพในครอบครัว
10. ตอบ ค. การให้คําปรึกษาแบบครอบครัว
11. ตอบ ข. เป็นการให้คําปรึกษาแก่ผู้รับบริการตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปในเวลาเดียวกัน
12. ตอบ ง. การให้คําปรึกษาเป็นกลุ่ม
13. ตอบ ก. น้อยกว่า 10 คน
14. ตอบ ก. ผู้ให้คําปรึกษาพูดความรู้สึกของตนให้ผู้รับคําปรึกษาฟัง
15. ตอบ ก. การให้คําปรึกษาเป็นกระบวนการช่วยเหลือ (Helping Process)
16. ตอบ ง. ทฤษฎีการรวบรวมปัญหาเพื่อวิเคราะห์
17 ตอบ ค. ทําให้บุคคลได้แลกเปลี่ยนปัญหาและประสบการณ์ซึ่งกันและกันในกลุ่ม
18 ตอบ ก. กลุ่มเพื่อนมีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมของโสรยา
19. ตอบ ง. ทฤษฎีบุคลิกภาพ ABC
20. ตอบ ง. กลุ่มยึดบุคคลเป็นศูนย์กลาง
21. ตอบ ค. จิตวิทยาความแตกต่าง
22. ตอบ ข. แบบพฤติกรรมนิยม
23. ตอบ ก. อีริค เบิร์น
24. ตอบ ก. แบบเกสตัลท์
25. ตอบ ค. แบบวิเคราะห์ลักษณะบุคคลและองค์ประกอบ
26 ตอบ ข.การสร้างสัมพันธภาพ
27. ตอบ ค. ตะวันรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมชั้น อย่างไม่มีอคติ
28. ตอบ ง. เป็นการให้ผู้รับคําปรึกษาได้ทบทวนตัวเอง
29. ตอบ ค. เทคนิคการสะท้อนคําพูด
30. ตอบ ง. ถูกทุกข้อที่กล่าวมา
31. ตอบ ง. เทคนิคการเรียนดี
ข้อสอบจริง ปี 2560-2561
1. “ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทํา” เป็นทฤษฎีของใคร
ก. เลวิน ข. สกินเนอร์
ค. ธอร์นไดค์ ง. วัตสัน
2. การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ไม่คํานึงถึงอะไร
ก. เวลาเข้าร่วมกิจกรรม ข.คุณลักษณะผู้เรียน
ค. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ง. การมีส่วนร่วม
3. การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล เครื่องมือใดสอดคล้องน้อยที่สุด
ก. การสังเกต ข. สัมภาษณ์
ค. การเยี่ยมบ้าน ง. การทดสอบ
4. ข้อใดเป็นงานบริการของกิจกรรมแนะแนว
ก.การคัดกรอง ข. การสํารวจนักเรียนรายบุคคล
ค. การสอนเสริม ง. การแก้ปัญหา
5. “ต้องการสังเกตข้อมูลในสถานศึกษาจริง แต่ไม่อยากให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัว” หมายถึงข้อใด
ก. สังเกตแบบตรง ข.แบบทางอ้อม
ค. แบบมีส่วนร่วม ง. แบบไม่มีส่วนร่วม
6.ข้อใดเป็นบรรยากาศจิตวิทยาในชั้นเรียน
ก.ห้องเรียนสะอาดมีแสงสว่าง
ข. มีมุมรักการอ่านในชั้นเรียน
ค. ครูกระตุ้นให้นักเรียนกระตือรือร้น ตั้งใจเรียน
ง. โรงเรียนมีห้องเรียนคุณภาพ
7. ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค เกี่ยวข้องกับนักจิตวิทยาท่านใด
ก. เอ็ดเวิร์ด ธอร์นไดค์ ข. แม็กซ์ วุ้นท์
ค. จอร์น บี วัตสัน ง. อีวาน เปโตรวิช พาฟลอฟ
8. คําพุดของครูในข้อใด เหมาะสมที่จะส่งเสริมให้กําลังใจให้เด็กประสบความสําเร็จมากที่สุด
ก. เธอช่วยตัวเองหน่อยนะ ครูจะให้กําลังใจห่างๆนะ
ข. ถ้าเธอชนะครั้งนี้ เธอจะได้ชื่อเสียงมากมาย ใครๆก็อิจฉาเธอแน่นอน
ค. พ่อกับแม่เธอและครูทุกคน ตั้งความหวังกับเธอไว้เยอะนะ ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด
ก. กลุ่มหน้าที่จิต ข.กลุ่มจิตวิเคราะห์
ค. กลุ่มพฤติกรรมนิยม ง. กลุ่มทฤษฎีสติปัญญา
17. กันยาต้องการเป็นผู้นํากลุ่ม และต้องการอํานาจเหนือบุคคลอื่น แสดงว่ากันยามีแรงจูงใจแบบใด
ก. แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ข. แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์
ค. แรงจูงใจใฝ่อํานาจ ง. แรงจูงใจใฝ่สังคม
18. ครูผู้สอนต้องหาวิธีเข้าไปอยู่ใน Life Space ของผู้เรียนให้ได้ คือแนวคิดของบุคคลใด
ก. เคิร์ท เลวิน ข. อีริค อีริคสัน
ค. ลอเรนส์ โคลเบิร์ก ง. เอ็ดเวิร์ด ธอร์นไดค์
19. นักจิตวิทยาคนใดได้รับการยกย่องเป็น “บิดาแห่งพฤติกรรมบําบัด(Behavioral Therapy)”
ก. โจเซฟ โวลเป ข. เคิร์ท คอฟฟ์กา
ค. วูล์ฟแกง โคห์เลอร์ ง. วิลเฮล์ม แม็กซ์ วุนต์
20. Oedipus Complex หมายถึงข้อใด
ก. ความรู้สึกของเด็กผู้ชายที่รักแม่และติดแม่
ข. ความรู้สึกของเด็กผู้หญิงที่รักพ่อและติดพ่อ
ค. เด็กได้รับความพึงพอใจทางทวารหนัก
ง. เด็กเริ่มสนใจความแตกต่างระหว่างเพศ
24. ข้อใดไม่ใช่การจัดกลุ่มการรับรู้ของเกสตัลท์
ก. กฎความคล้ายคลึง ข. กฎแห่งความใกล้ชิด
ค. กฎแห่งความต่อเนื่อง ง. กฎแห่งความเชื่อมโยง
25. “เมื่อใกล้ถึงช่วงกําหนดส่งงาน นักเรียนจะมีความขยันทํางานส่งกันมาก แต่เมื่อส่งงานไปแล้ว ความ
ขยันก็จะลดลง และจะไปเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อใกล้เวลาถึงช่วงส่งงานชิ้นต่อๆไป” การกระทําดังกล่าวตรง
กับข้อใด
ก. การเสริมแรงตามอัตราที่แน่นอน
ข. การเสริมแรงตามอัตราที่ไม่แน่นอน
ค. การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่แน่นอน
ง. การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน
26. การเรียนรู้แบบลองผิดลองถูกเป็นทฤษฎีของใคร
ก. ธอร์นไดค์ ข. อัลเบิร์ต แบนดูรา
ค. สตานิสลาฟ กรอฟ ง. คาร์ล โรเจอร์ส
27. หัวใจของการแนะแนวคือข้อใด
ก. การศึกษา ข.การบริการ
ค. การแก้ปัญหา ง. การให้คําปรึกษา
28. กิจกรรมแนะแนวมีประโยชน์ต่อครูอย่างไร
ก. ช่วยให้รู้จักผู้เรียน ข. ทําให้ผู้เรียนมีอาชีพ
ค. ให้ผู้เรียนรู้จักตนเอง ง. ใช้ประเมินผู้เรียน
29. พฤติกรรมของมนุษย์ส่วนมากกําหนดขึ้นโดยสัญชาตญาณ ซึ่งมีมาตั้งแต่กําเนิดเป็นคํากล่าวของใคร
ก. Skinner ข. Carl R. Rogers
ค. John B. Watson ง. Sigmund Freud
30. สิ่งใดเป็นตัวบังคับและควบคุมความคิดให้แสดงออกในทางที่เหมาะสมต่อสังคม
ก.อิด ข. อีโก้
ค. ซูปเปอร์อีโก้ ง. อารมณ์และความรู้สึก
31. การออกเยี่ยมบ้านนักเรียน เป็นวิธีการศึกษาข้อมูลของนักเรียนที่มีข้อดีอย่างไร
ก.ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก ข. ได้รับทราบสภาพที่เป็นจริง
ค. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ง. สะดวก รวดเร็ว ใช้เวลาน้อย
32. ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของผู้ให้คําปรึกษา
ก. การชี้นํา ข. การยอมรับ
ค. การดุแลเอาใจใส่ ง. การเก็บรักษาความลับ
33. คําพูดของครูในข้อใด อยู่ในขั้นการหาแนวทางแก้ปัญหา
ก. “ได้จ๊ะ นั่งก่อนสิ” (ยิ้มพร้อมชี้ไปที่เก้าอี้)
ข. “ดีแล้วค่ะ ได้ผลเป็นอย่างไร ก็มาเล่าให้ครูฟังนะ”
ค. “ครูอยากคุยด้วย เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม”
ง. “ครูคิดว่า ถ้าหนูทําตามที่คิด ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น แล้วจะพูดคุยกับแม่วันไหนดี”
34. การทดสอบความถนัด ความสนใจของนักเรียน เป็นบริการใดของการแนะแนว
ก. บริการสนเทศ ข. บริการให้คําปรึกษา
ค. บริการจัดวางตัวบุคคล ง. บริการรวบรวมข้อมูลรายบุคคล
35.ข้อใดคือบริการจัดวางตัวบุคคล
ก. โฮมรูม ข. ทัศนศึกษา
ค. อัตชีวประวัติ ง. จัดบริการฝึกงาน
36. น้ําลายหลั่งจากเสียงกระดิ่ง จากการทุดลองของ พาฟลอฟ คือข้อใด
ก. UCS ข. CS
ค. UCR ง. CR
37. บุคคลใดต่อไปนี้ปฏิบัติตนตรงตามกฎของธอร์นไดค์ถูกต้องที่สุด
ก. นัดจดทุกคําพูดของอาจารย์เพราะคิดว่าสิ่งที่อาจารย์พูดถูกต้องที่สุด
ข. จี๊ดนั่งสมาธิก่อนนําเสนองานในทุกๆครั้ง ทําให้เธอมีความมั่นใจและทําออกมาได้ดี
ค. นานาชอบไปโรงเรียนเพราะครูที่โรงเรียนใจดี
ง. ฟลุ๊คจะได้รับรางวัลจากพ่อทุกครั้งที่เขาสอบได้ที่ 1
38. ข้อใดคือแผนผังแสดงการวางเงื่อนไขกลับ
ก. กระต่าย (CS) (กลัว) ----> ขนม (UCS) ชอบ (CR)
ข. กระต่าย (CS) (เฉยๆ) ----> เสียงดัง (UCS) กลัว (CR)
ค. กระต่าย (CS) (กลัว) ----> เสียงดัง (UCS) (เฉยๆ)
ง. ข้อ ก. และข้อ ข. ถูกต้อง
39. ข้อใดไม่ใช่ขอบข่ายของการแนะแนว
ก. การแนะแนวครูผู้สอน ข. การแนะแนวการศึกษา
ค. การแนะแนวอาชีพ ง. การแนะแนวส่วนตัวและสังคม
40. การคัดกรองนักเรียน ในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ต้องแบ่งออกเป็นกี่กลุ่ม
ก. แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มพิเศษ กลุ่มปกติ
ข. แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มพิเศษ กลุ่มปกติ กลุ่มมีปัญหา
ค. แบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มพิเศษ กลุ่มปกติ กลุ่มมีปัญหา กลุ่มเสี่ยง
ง. แบ่งเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มพิเศษ กลุ่มปกติ กลุ่มมีปัญหา กลุ่มเสี่ยง กลุ่มยากจน
เฉลยข้อสอบ
1. ตอบ ข. สกินเนอร์
2 ตอบ ค. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3 ตอบ ก. การสังเกต
4 ตอบ ข. การสํารวจนักเรียนรายบุคคล
5 ตอบ ข.แบบทางอ้อม
6 ตอบ ค. ครูกระตุ้นให้นักเรียนกระตือรือร้น ตั้งใจเรียน
7 ตอบ ง. อีวาน เปโตรวิช พาฟลอฟ
8 ตอบ ง. งานนี้เป็นก้าวแรก และจะเป็นก้าวต่อๆไป ที่เธอจะได้พิสูจน์ความสามารถของเธอนะ
9 ตอบ ข. ครูนิดหน่อยใช้หลักประชาธิปไตยในการปกครองชั้นเรียน
10 ตอบ ค. ธอร์นไดค์
11 ตอบ ค. การเสริมแรง
12 ตอบ ง. กฎแห่งการกระทํา13. ข. 23 คู่
14 ตอบ ค. พฤติกรรมโมเลกุล
15. ตอบ ข. ครูณเดชสอนนักเรียนเกี่ยวกับดอกไม้ เมื่อนักเรียนสามารถบอกได้ว่า ดอกไม้คืออะไร
ครูณเดชก็สอนเกี่ยวกับชนิดดอกไม้ต่อ
16. ตอบ ก. กลุ่มหน้าที่จิต
17 ตอบ ค. แรงจูงใจใฝ่อํานาจ
************************************************