Professional Documents
Culture Documents
สร้างสรรค์โดย
ทรูปลูกปัญญา มีเดีย
โครงการเพื่อสังคมของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จ�ำกัด (มหาชน)
เลขที่ 46/8 อาคารรุ่งโรจน์ธนกุล ตึก B ชั้น 9 ถนนรัชดาภิเษก
แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310
: www.trueplookpanya.com
: TruePlookpanya
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
สารบัญ
เรื่อง หน้า
บทที่ 3 : สารชีวโมเลกุล 16
บทที่ 4 : องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต 24
บทที่ 5 : พันธุศาสตร์ 29
บทที่ 6 : ระบบร่างกายมนุษย์ 48
บทที่ 7 : อนุกรมวิธาน 60
บทที่ 9 : วิวัฒนาการ 76
คุยกอนอาน
ก่อนที่เราจะเข้าถึงบทเรียนชีววิทยากัน พี่อยากจะให้แนวคิดอะไรบางอย่างกับน้องๆ ที่ก�ำลังจะเตรียมสอบกันว่า เรา
ควรจะเตรียมตัวยังไง ในวิชาวิทยาศาสตร์ที่สอบทั้งสายศิลป์และสายวิทย์ ส�ำหรับสายวิทย์ พี่ไม่ค่อยเป็นห่วงสักเท่าไร
เพราะพี่เองก็เรียนสายวิทย์มา ยังไง O-NET ถือว่าจิ๊บๆ มากส�ำหรับเด็กสายวิทย์ แต่ส�ำหรับเด็กสายศิลป์ อาจจะเป็น
ปัญหาซะหน่อย แต่ไม่ต้องกลัวนะ เพราะเราใช้ข้อสอบฉบับเดียวกันทั้งประเทศ ถ้าท�ำไม่ได้ก็ยังมีคนท�ำไม่ได้อีกเยอะเช่น
กันแน่ๆ เอาเป็นว่า อบอุ่นแน่นอนเพราะมีเพื่อนเยอะที่ไม่ได้ แต่มันอาจจะเป็นเพียงค�ำปลอบใจที่บอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไร
หรอก คนอื่นเขาก็ท�ำกันไม่ได้” แต่พี่อยากจะบอกว่าถ้าน้องอยากจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังที่น้องอยากเรียน สาขา
วิชาที่อยากเรียน ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยชื่อดังแถวสามย่าน ที่เวลาเลิกเรียนแล้วก็ไป shopping ได้ ดูหนังได้ ขึ้น
รถไฟฟ้าสะดวกสบายทั้งบนดินและใต้ดิน พี่ขอแนะน�ำว่า “น้องต้อง Fight เพื่อความฝัน” เพราะสมัยนี้คนสอบมันเยอะ ใคร
ใครก็อยากที่จะเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังกันทั้งนั้น เพราะหมายถึง น้องจะมีเพื่อนที่ดี สังคมที่ดี การช่วยเหลือเกื้อหนุนกันจาก
รุ่นสู่รุ่น ค่าเทอมที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับเอกชน ร่วมทั้งความสะดวกสบายในการเดินทาง และความภาคภูมิใจที่เกิดขึ้นในใจ
ของเราเองจากสถาบัน
เทคนิคเรียนชีววิทยาให้มีความสุข
แนวข้อสอบ ชีววิทยา ใน O-NET มักจะออกตามแบบเรียนแน่นอนถ้าโรงเรียนน้องเรียนตามแบบเรียนของกระทรวงฯ
ก็คงไม่มีปัญหาอะไรที่จะต้องไปกังวล เพราะน่าจะผ่านหูผ่านตามาแน่ๆ แต่จะจ�ำได้หรือเปล่า ก็ต้องขึ้นอยู่กับทักษะส่วนตัว
ของแต่ละคนแล้วแหละว่า จ�ำเก่งแค่ไหน
ส�ำหรับเทคนิคการจ�ำ พี่ขอบอกว่าง่ายมาก คือ “ใส่หัวใจเข้าไป เติมความรักให้มัน แล้วอ่านมันซ�้ำๆ” เหมือนดังเช่น
น้องบางคนสามารถร้องเพลงภาษาเกาหลี หรือ ญี่ปุ่น ได้โดยที่ไม่รู้ด้วยซ�้ำว่ามันหมายความว่าอะไรแต่เพราะว่าเราฟังจน
ชิน เปิดมันบนรถทุกเช้า ได้ยินเพื่อนร้องตอนเข้าห้องน�้ำ หรือเอามาเต้น Cover dance ซึ่งมันก็แค่นี้เอง การที่น้องๆ ใส่ใจก็
เท่ากับว่าให้ความสนใจ เคยไหมเวลาสนใจใคร เรามักจะมองหาคนคนนั้นบ่อยๆ ว่าเขาท�ำอะไรอยู่ แล้วเราก็เดินตามหา หรือ
ถามเพื่อน ไปแอบมองดูเขาเล่นกีฬา ดูเขาซ้อมหลีด เช่นเดียวกับบทเรียนเวลาเราให้ความสนใจเราก็จะถามตัวเองว่า เฮ้ย!
ท�ำไมถึงเป็นแบบนี้ ท�ำไมอันนั้นรวมกันแล้วได้อันนี้ แล้วถ้าน้องเป็นคนที่เกลียดชีววิทยา เกลียดการท�ำอะไรซ�้ำซาก ท่อง
ท่อง ท่อง! พี่ก็ขอแนะน�ำให้เติมความรักเข้าไปอีกสักหน่อย แล้วบวกกับเทคนิคการจ�ำสักนิด เคยไหมเอ่ยเวลาที่มีผู้ชายมา
ชอบเรา แรกแรกก็ไม่ได้ชอบหรอกนะ เพราะหน้าตาไม่หล่อ แต่นานๆ เข้า เขาซื้อน�้ำมาให้ทุกวัน เอาขนมมาฝาก จากที่
ไม่ชอบก็เริ่มสนใจ วันไหนเขาไม่มาหา ก็เริ่มมองหา บางคนก็แอบงอนนิดๆ นั้นแสดงว่าเริ่มชอบแล้วแหละ คนที่เกลียด
ชีววิทยาหลายคนเกิดจากการที่รู้สึกเบื่ออาจจะเป็นเพราะคุณครูที่สอนไม่ใช่ครูแนวที่เราชอบกลับเป็นป้าแก่ๆ พูดช้าๆ น่า
เบื่อ...
แต่น้องเชื่อเถอะนะ ถ้าได้เจอครูดีๆ สักคนที่สอนชีววิทยาเก่งๆ น้องจะต้องตกหลุมรักชีววิทยาอย่างแน่นอน แล้วเมื่อ
คุยกอนอาน
หลงรักชีววิทยาแล้ว คะแนนการสอบออกมาในเกณฑ์ทดี่ ี น้องก็จะเริม่ มีกำ� ลังใจว่า จริงๆ แล้วไม่ได้ยากอย่างทีก่ ลัวนีน่ า กท็ ำ� ได้นะ
อะไรแบบนี้ และแล้วการอ่านชีววิทยา จากที่แรกๆ เป็นยาขมก็เริ่มชมชอบจนในที่สุดก็เคยชิน วันไหนไม่ได้อ่านเหมือนจะขาดใจ
และสุดท้ายต้องอ่านบ่อยๆ (เพราะถึงแม้พี่จะบอกว่ามีเทคนิคการจ�ำมากมาย แต่เทคนิคเหล่านี้ ถ้าน้องๆ จ�ำไม่ได้ ก็เท่ากับ
เทคนิคที่ไร้ค่า) จะเริ่มจ�ำได้เองอัตโนมัติ (ค�ำศัพท์ภาษาอังกฤษ ถ้าอ่านไม่ออกก็ให้ไปถามครูว่าอ่านยังไง แล้วเวลาอ่านรอบ
ที่สอง ที่สามก็พยายามอ่านออกเสียงดังๆ เผื่อว่าเวลาที่เราเจอในข้อสอบจะได้คุ้นตาบ้าง) มันเหมือนไม่ต้องท่องเลยจริงๆ
ขอแค่ให้เวลาก็พอ มันจะซึมเข้าไปเองในสมองอันยิ่งใหญ่ของเรา
อีกประเด็นหนึ่งที่พี่เจอคือ เนื้อหาเยอะมาก ท่องยังไงก็จ�ำไม่ได้ ถ้าเจอแบบนี้แล้วเป็นคนที่ขยันเพียรพยายามมาแล้วขั้น
หนึ่ง ให้น้องลองเอาข้อสอบเก่ามาท�ำดูแล้วเช็คว่าได้คะแนนเท่าไหร่ เพราะพี่เชื่อว่าถ้าหนูเป็นคนขยันอยู่แล้ว การท�ำข้อสอบ
จริงไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร สิ่งที่พบเจอคือเมื่อนับคะแนนเสร็จจะพบว่าคะแนนเยอะแต่หนูเองยังจ�ำไม่ได้อยู่ นั่นก็เพราะว่า
ตรงส่วนทีห่ นูยงั จ�ำไม่ได้นนั้ มันไม่ออก มนั ไม่สำ� คัญไงจ้ะเด็กๆ ดงั นัน้ เพือ่ ให้เกิดประสิทธิภาพมากทีส่ ดุ พแี่ นะน�ำให้อา่ นทวนบทเรียน
สักสามรอบแล้วก็เริ่มท�ำแบบฝึกหัดหรือข้อสอบ (ถ้าบางคนที่มีสมาธิดี ก็อาจจะอ่านรอบแรกแล้วเอาข้อสอบมาท�ำเลย แต่ถ้า
ใครยังไม่เทพจริง พี่แนะน�ำให้อ่านบทเรียนหลายรอบก่อน เพราะอะไรหรอก็เพราะว่าถ้าไม่เทพจริงแล้วอ่านแค่รอบเดียวแล้ว
ไปท�ำข้อสอบหนูจะตกตะลึงกับข้อสอบ แล้วก็ตาค้างสุดท้ายก็กลัวท้อใจ แล้วก็ฝังใจว่าข้อสอบท�ำไมยากจัง ท�ำไม่ได้กลัวไปหมด
จนกลายเป็นเกลียด แล้วไม่แตะชีววิทยา อีกเลย) เพื่อ หนึ่ง กันลืมบทที่อ่านมาก่อนหน้านี้ และ สอง จะได้รู้ว่าตอนอ่านครั้งต่อไป
ควรเน้นจุดไหนเป็นพิเศษ แบบที่ต้องท่องให้ได้มีตรงจุดไหนบ้าง สู้สู้นะครับ พี่หวังว่าน้องๆ จะเข้ามามหาวิทยาลัยดังที่น้องๆ
ต้องการได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่ท้อ พี่ก็อยากให้ไปเปิด youtube ดู MV เพลงประจ�ำมหาวิทยาลัยนั้นๆ ที่น้องอยากจะเข้า ฟังมันทุกวัน
น้องก็จะสู้เองครับ
แล้วถ้าเป็นคนทีส่ นใจชีววิทยา ไม่ได้เกลียดหรอกแต่ ท�ำไมคะแนนไม่สงู สักที แนะน�ำให้เอาโจทย์หลายๆ แบบมาท�ำก่อนโดยที่
เลือกโจทย์ง่ายๆ เช่น ท้ายบทมาท�ำก่อน แล้วค่อยเอาข้อสอบเก่าๆ มาท�ำแล้วค่อยเอา PAT, GAT และ เจ็ดวิชาสามัญมาท�ำ
ถ้ายังเหลือเวลาเยอะอยู่ กว่าจะสอบเพราะเตรียมตัวมาเต็ม จัดเต็ม โดยการลองออกข้อสอบชีววิทยามาให้เพื่อนท�ำดู แล้วเช็ค
ค�ำตอบ อธิบายให้เพื่อนเข้าใจได้ ถ้าถึงขั้นที่ออกข้อสอบแล้วหลอกเพื่อนได้ น้องก็เทพมากแล้วล่ะ อย่าได้ไปกลัวข้อสอบเลย
ชีววิทยาเป็นวิชาทีต่ อ้ งจ�ำเยอะ ดังนัน้ อยากให้มสี มุดจดเล็กๆ จดเฉพาะส่วนทีย่ งั จ�ำไม่ได้แยกออกมาแล้วเวลาพักเทีย่ งหรือ
ไม่มีอะไรท�ำบนรถเมล์ ก็เอามันออกมาเปิดดูเล่น ท่องไปพลางๆ ระหว่างทางกลับบ้าน หรืออาจจะท�ำเป็น voice record แล้ว
เปิดฟังเสียงที่ตัวเองบันทึกไว้
ถ้าเปรียบเทียบ O-NET กับ PAT แล้ว บอกตรงๆ เลยว่าง่ายกว่าเยอะ ภาษาเด็กแนวสายวิทย์ อาจจะบอกว่า “แตะแค่ผิวๆ”
แต่ระวังนะ เพื่อนพี่ที่ว่าเซียนเทพตัวจริง ก็เคยพลาดเพราะประมาทไปรู้แต่เรื่องยากๆ เรื่องง่ายๆ ลืมเก็บรายละเอียด ก็เลย
เห็นได้จากคะแนนที่ออกมา แล้ว O-NET ดันสอบครั้งเดียวในชีวิตด้วย ยังไงก็รักษาสุขภาพให้ดีๆ อย่าได้ป่วยในวันสอบ เพราะ
คุยกอนอาน
ถ้าพลาดอาจจะพลาดเลย
ข้อดีของข้อสอบชีววิทยาที่ต่างจากวิชาอื่นนั้นก็คือ เป็นตัวเลือกทั้งหมด ซึ่งถ้าคุ้นๆ ก็พอจะตอบเดาได้แต่ข้อเสียคือเยอะ
และโจทย์ยาว อาจจะท�ำไม่ทันส�ำหรับคนที่อ่านช้าและลังเลใจไม่ยอมตอบสักที
สิ่งที่ต้องท�ำก่อนที่จะเรียนทุกครั้ง ส�ำหรับน้องม.4 ที่ก�ำลังขึ้นมาเรียน ม.ปลายหลายคนปรับตัวไม่ทัน พี่ก็อยากจะแนะน�ำ
ว่า ควรอ่านหนังสือแบบเรียนของกระทรวงฯ ก่อน เพราะเราจะได้รู้เนื้อหา โครงสร้างก่อนว่า เราก�ำลังจะเรียนอะไร พอเมื่อ
เราเข้าห้องเรียน วิชาชีววิทยาเป็นวิชาที่ต้องจด ต้องวาด ต้องลงสีเยอะมาก พี่มีปากกาสีเยอะมากตอนนั้น และพอกลับบ้าน
จะลงสีใหม่ให้สวยสวยน่าอ่าน แต่มีอยู่วันหนึ่ง ฝนตก สิ่งที่ไม่คาดฝันนั้นก็คือ สมุดจดชีววิทยาพี่ที่แสนสดใสงดงามกลายเป็น
กระดาษสีไปซะแล้ว พี่แทบร้องไห้ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ใช้สีไม้ไม่ละลายน�้ำหรือปากกาสีลูกลื่นเน้นจะดีกว่า ต่อด้วยพี่ก็ขอแนะน�ำ
ให้ตั้งใจฟังในห้องไปก่อน แล้วจดว่าตรงที่เราไม่เข้าใจคือตรงไหน ค่อยไปถามครู เพราะบางทีการท�ำคัดลอก เลคเชอร์ ทุกวัน
ที่เรียนมันเหนื่อย แรกๆ จะยังขยันอยู่ แต่ตอนช่วงที่ใกล้สอบ มันจะเยอะมากพี่ไม่อยากให้เสียเวลาไปกับการวาดรูป เพราะ
เรื่องรูปนั้น หนังสือกระทรวงฯ เล่มใหม่ๆ ก็มีรูปเยอะอยู่พอสมควร และเป็นสีสันด้วยพี่เลยคิดว่า รูปหลักๆ มีแน่นอน ให้วาด
รูปแบบไดอะแกรม และเขียนลูกศรชี้ให้ถูกต้อง แล้วไปหารูปที่น้องเองอยากจะรู้เพิ่มได้ในเว็บ หรือ ถามอากู๋ google ช่วยคุณ
ได้ เทคโนโลยีมือถือ มีสามจีแล้วต้องใช้ให้คุ้มค่า
ชีววิทยาเป็นวิชาที่ท่องเยอะมากๆ ก็จริง ถามว่าจ�ำเป็นไหมที่จะต้องไปเรียนพิเศษ พี่คิดว่าถ้ามีเงินพอก็ไปเรียนเถอะ แต่
ถ้าคิดว่าอ่านเองได้ พี่ก็ขอแนะน�ำให้อ่านเยอะๆ ที่สุดเท่าที่จะหาอ่านได้ อาจจะอ่านเกินเนื้อหา ม.ปลายไปเลยก็ดี เพราะจริงๆ
แล้ว เนื้อหาชีววิทยา มหาวิทยาลัย ก็ไม่ได้ต่างจากม.ปลายมากสักเท่าไหร่หรอก เพียงแต่ลงลึกมากขึ้น ซึ่งถ้าสอบแค่ O-NET
เฉยๆ พี่ว่าจ�ำได้ก็ตอบได้ ผิวผิวจริงๆนะ อย่าได้แคร์ว่าไม่ได้ไปซื้อหนังสือชีววิทยามาเพิ่ม เพราะการซื้อหนังสือชีววิทยามา
เยอะๆ ไม่ได้แปลว่าจะเก่งขึ้น เพราะทุกเล่มก็เนื้อหาเหมือนกันหมด แต่ถ้าอยากซื้อจริงๆ ก็ขอแนะน�ำให้ซื้อเล่มที่เราอ่านแล้ว
ชอบ พกพาง่าย หยิบมาเปิดได้บ่อยๆ และที่ส�ำคัญ เนื้อหาต้องครบ และถูกต้องแม่นย�ำ มิฉะนั้นถ้าเราเลือกเล่มที่เขียนผิดๆ
ถูกๆ มาอ่าน เราจ�ำผิดไป คะแนนก็เน่าเลย (เล่มที่ดีๆ เขียนเลิศ มักจะขายดี พิมพ์ซ�้ำหลายรอบ)
ดังนั้น หนังสือที่เป็นเฉพาะเนื้อหาของชีววิทยามีแค่เล่มเดียวก็ถือว่าพอแล้ว ส่วนแบบฝึกหัดข้อสอบให้หามาฝึกท�ำเยอะๆ
ลองเริ่มจากง่ายๆ ก่อน เพราะเมื่อเราท�ำง่ายๆ ได้ก็เกิดก�ำลังใจ นี่ไม่ใช่หลอกตัวเองนะ แต่เป็นการเดินขึ้นไปทีละขั้น แล้วเวลา
เตรียมสอบก็ควรอ่านหลายๆ วิชาไปพร้อมกัน เพราะพี่เคยอ่านชีววิทยาจบแล้วค่อยไปดูวิชาอื่น ปรากฏว่าอ่านสังคมจบปุ๊บกลับ
มาท�ำโจทย์ชีววิทยา ก็ลืมไปบ้าง ดังนั้นต้องเอาเวลาไปอ่านอย่างอื่นด้วยก็ดี แล้วตอนอ่านวิชาอื่นด้วยก็อย่าลืมที่จะเอาโจทย์
ชีววิทยามาท�ำบ้างสักวันละ 10 -20 ข้อ กันลืมย้อนกลับมาที่ถามว่าท�ำไมพี่จึงแนะน�ำให้ไปเรียนพิเศษ ถ้ามีเงินเพียงพอและมี
เวลาพอ เพราะว่าชีววิทยาเป็นวิชาที่ต้องอาศัยการเชื่อมโยงของเนื้อหาที่จะใช้เรียนในบทเรียน และการมีรูปภาพประกอบจะ
ช่วยท�ำให้จ�ำได้แม่นมากขึ้น แล้วถ้าได้เจอของจริงยิ่งติดตาตรึงใจเข้าไปใหญ่ ดังเช่นตอนผ่ากบตอนเรียนแล้วถ้าถามว่าแค่ไหน
คุยกอนอาน
หรือจึงจะเพียงพอ ก็จงตั้งเป้าหมายไว้สูงๆ นั้นก็คือเมื่อท�ำข้อสอบส่วนของชีววิทยาได้ทุกข้อแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นน้องก็พร้อม
แล้วแหละนะ
พูดกันตรงๆ แล้ว ชีววิทยามันเป็นวิชาท่องจ�ำ เดินไปโรงเรียนก็ท่อง เดินเข้าห้องหลังเคารพธงชาติก็ท่อง เข้าห้องน�้ำก็
ท่อง เอาเป็นว่า หยิบขึ้นมาดูบ่อยๆ จะช่วยเยอะมากเลยถ้าหนังสือที่มีอยู่มันเล่มใหญ่ก็กรีดมันเป็นชีท แล้วม้วนในกระเป๋าเถอะ
พี่รับประกัน อย่างตัวพี่เองตอนสอบอ่านไปเรื่อยเรื่อยเกือบ 10 รอบ ถามว่าอ่านรอบแรกก็เหมือนน้องแหละ จ�ำอะไรไม่ค่อยได้
เพราะเป็นเรื่องปกติ เราไม่ใช่หุ่นยนต์ฝังชิปไง พออ่านไปรอบที่สามเราก็จะเข้าใจมากขึ้น ตอนนี้จะเริ่มเก็ทไอเดีย แล้วจับเชื่อม
โยงในสมองเราเองได้ ให้ลองไปท�ำแบบทดสอบหรือข้อสอบดู ส่วนรอบหลังหลังก็คือรอบท่องเพื่อให้แม่นย�ำแล้วล่ะ เพราะ
ตอนสอบเนี่ย เราสอบแบบมีเวลาจ�ำกัดดังนั้น เราต้องแม่น จะคิดช้าไม่ได้โดยเฉพาะชีววิทยา โจทย์จะยาวมากแล้ว สิ่งที่ยาว
กว่าคือตัวเลือก แถมบางทีอ่านไปอ่านมารู้สึกว่า เอ๊ะ อันนี้ก็ถูกอันนั้นก็ถูก ตกลงตอบอันไหนดีหละเนี่ย พี่เลยอยากให้น้องๆ
แม่น อ่านไปเยอะๆ การท�ำอะไรอะไรซ�้ำๆ ไปเรื่อยๆ สิ่งที่ตามมาคือชิน พอชินตาปุ๊บข้อสอบมาเราก็กาได้ปั๊บ พี่ไม่ได้โม้นะ แต่
จริงๆ มันก็มีเนื้อหาอยู่แค่นั้นแหละ
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
บทที่ 1
ชีววิทยา คืออะไร
ชีววิทยา คืออะไร
ชีววิทยา (Biology) มีที่มาจาก รากศัพท์ภาษากรีก 2 ค�ำ คือ bios ซึ่งแปลว่าชีวิต และ logos ที่แปลว่าความรู้ ดังนั้น ชีววิทยา
จึงเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งมีชีวิต มีหลายสาขา โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ พฤกษศาสตร์ (botany) ซึ่ง
ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพืช สัตววิทยา (zoology) ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสัตว์ และการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตา
เปล่าคือจุลินทรีย์ ซึ่งเรียกว่า จุลชีววิทยา (microbiology) ในแต่ละกลุ่มยังแยกออกเป็นวิชาย่อยๆ อีกเช่น อนุกรมวิธาน (taxonomy)
สรีรวิทยา (physiology) นิเวศวิทยา (ecology) กีฏวิทยา (entomology) พันธุศาสตร์ (genetics) เป็นต้น
ค�ำถามคือ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เราสงสัยนั้นใช่สิ่งมีชีวิตหรือไม่ ?
การจะแยกสิ่งมีชีวิตออกจากสิ่งไม่มีชีวิตนั้นน้องๆ จะต้องรู้จักคุณสมบัติที่ส�ำคัญของสิ่งมีชีวิต ดังต่อไปนี้
1. การสืบพันธุ์ (Reproduction) คือการเพิ่มจ�ำนวนประชากรของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน เพื่อไม่ให้สูญพันธ์ุไปแบ่งออก
เป็น 2 แบบ คือ
- การสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ
- การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศ
การศึกษาชีววิทยา
• เนื่องจากความรู้ทางชีววิทยานั้นมีมากมายเราจึงต้องมีการศึกษาอย่างเป็นระบบเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง
ความรู้ทางชีววิทยา (Knowledge) แบ่งออกเป็น
- ข้อเท็จจริง (fact) หรือข้อมูล (data) ที่ไม่ใส่ข้อคิดเห็นใดๆ อาจได้มาจากการทดลอง หรือการสังเกต
- ทฤษฎี (theory) คือ ความรู้ที่ได้จากการตรวจสอบสมมติฐานหลายๆ ครั้ง และถูกน�ำไปประยุกต์ใช้ อ้างอิง หรืออธิบาย
เรื่องต่างๆ ได้ เช่น ทฤษฎีการคัดเลือกตามธรรมชาติ ทฤษฎียีน
- กฎ (law) คือ ความรู้ที่เป็นความจริงแน่นอน สามารถพิสูจน์ได้ ไม่มีข้อโต้แย้ง เช่น กฎของเมนเดล กฎ 10 เปอร์เซ็นต์
• แล้วน้องสงสัยไหมว่าความรู้ทางชีววิทยาที่เราร�่ำเรียนกันอยู่ทุกวันนี้มาจากไหน ?
ความรู้ทางชีววิทยา (Knowledge) ได้มาจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (scientific process) ซึ่งแบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. ก�ำหนดปัญหา (problem)
การก�ำหนดปัญหาที่ดีจะต้องชัดเจน มีความเป็นไปได้ และมีแนวทางในการหาค�ำตอบ การสังเกต (Observation)
เป็นทักษะที่ส�ำคัญที่จะน�ำไปสู่การตั้งปัญหา ตัวอย่างเช่น ปัญหา : “อุณหภูมิมีผลต่อการงอกของเมล็ดหรือไม่”
2. การตั้งสมมติฐาน (Hypothesis)
ก่อนอืน่ น้องๆ ต้องเข้าใจว่าสมมติฐานไม่ใช่คำ� ตอบของปัญหาและในปัญหาเดียวกันอาจมีสมมติฐานได้หลายข้อ การตัง้
สมมติฐานมักใช้คำ� ว่าถ้า...........ดังนัน้ .......... สมมติฐานทีด่ จี ะต้องสัมพันธ์กบั ปัญหาและช่วยแนะแนวทางในการตรวจสอบด้วย!!
ตัวอย่างเช่น “ถ้าอุณหภูมมิ ผี ลต่อการงอกของเมล็ด ดังนัน้ เมล็ดทีเ่ พาะทีอ่ ณ ุ หภูมติ า่ งกันจะมีอตั ราการงอกทีต่ า่ งกันด้วย”
3. การตรวจสอบสมมติฐาน
เราสามารถท�ำได้หลายวิธี เช่น ส�ำรวจ (survey) ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมจากความรู้เดิม เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่มักใช้
วิธีการทดลอง (experiment) การทดลองที่ท�ำให้ได้ข้อสรุปที่น่าเชื่อถือจะต้องเป็นการทดลองที่มีการควบคุม (controlled
experiment) เพราะสามารถควบคุมตัวแปร (variable) ต่างๆ ที่มีผลต่อการทดลองได้ ตัวแปรมี 3 ชนิด คือ
- ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (independent variable) คือ ตัวแปรที่เราต้องการจะศึกษา
ตัวอย่างเช่น ถ้าปัญหาคือ “อุณหภูมิมีผลต่อการงอกของเมล็ดหรือไม่” ในที่นี้ตัวแปรต้นคือ อุณหภูมิ
- ตัวแปรตาม (dependent variable) คือ ผลที่เปลี่ยนแปลงไปตามตัวแปรต้น
ตัวอย่างเช่น ถ้าปัญหาคือ “อุณหภูมิมีผลต่อการงอกของเมล็ดหรือไม่” ในที่นี้ตัวแปรตามคืออัตราการงอก
ของเมล็ด (เพราะเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไป อัตราการงอกของเมล็ดถั่วเขียวก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย)
กล้องจุลทรรศน์ (microscope)
สิง่ มีชวี ติ นัน้ มีขนาดแตกต่างกันไป สิง่ มีชวี ติ ขนาดเล็กมากๆ เช่น แบคทีเรีย น้องๆ จะไม่สามารถมองเห็นได้ดว้ ยตาเปล่า ดังนัน้
น้องๆ จึงต้องมีตวั ช่วยในการขยายภาพให้มขี นาดใหญ่ขนึ้ เพือ่ จะได้ทำ� การศึกษาได้อย่างชัดเจน ซึง่ ในปัจจุบนั มีเครือ่ งมือหลาย
อย่างให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม ดังนี้
1. กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (light microscope) แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
1.1 แว่นขยาย (magnifying glass) มีเลนส์นนู อันเดียว ใช้ขยายภาพทีส่ อ่ งดูให้มขี นาดใหญ่ขนึ้ เห็นรายละเอียดชัดเจนขึน้ ภาพทีเ่ ห็น
เป็นภาพเสมือน
1.2 กล้องจุลทรรศน์เชิงซ้อน (compound light microscope) ประกอบด้วยเลนส์นนู 2 ชุด คือ เลนส์ใกล้ตา (eyepiece) ซึง่ ถอด
เปลีย่ นได้ และเลนส์ใกล้วตั ถุ (objective lens) ซึง่ จะติดกับจานหมุน มีกำ� ลังขยาย 4 เท่า 10 เท่า 40 เท่า และ 100 เท่า โดยเริม่
ใช้จากก�ำลังขยายต�ำ่ สุดก่อน ภาพทีเ่ ห็นเป็นภาพเสมือนหัวกลับ
Ocular Lens
(Eyepiece)
Body Tube
Revolving Nosepiece
Arm
Objectives
Stage
Stage Clips
Coarse Adjustment Knob
Diaphragm
Fine Adjustment Knob
Light Source
Base
ทีม่ า : http://infohost.nmt.edu/~klathrop/Microscopes.htm
ตัวอย่างแนวข้อสอบ
วัตถุทวี่ างบนจาน
ภาพที่เห็นจากเลนส์
เป็นภาพเสมือนหัวกลับ
EYEPIECE
DIOPTER
ทีม่ า : http://www.optimaxonline.com/newsdetails.php?newsId=1
ตัวอย่างแนวข้อสอบ
สิง่ ทีก่ ล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบสเตอริโอแตกต่างจากกล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบธรรมดาคือข้อใด
A. ภาพทีเ่ ห็นเป็นภาพจริงและเป็นภาพ 3 มิติ
B. ใช้ศกึ ษาได้ทงั้ วัตถุโปร่งแสงและทึบแสง
C. เลนส์ใกล้วตั ถุมกี ำ� ลังขยายน้อยกว่า 4X
ก. A. ข. A. และ B.
ค. B. และ C. ง. ถูกทุกข้อ
เฉลย
ข้อ ค. เนือ่ งจาก A. ผิดเพราะต้องเป็นภาพเสมือน 3 มิติ
ทีม่ า : http://cellandtransportation5525740602.blogspot.com/
สารชีวโมเลกุล
สารชีวโมเลกุล องค์ประกอบ
คาร์โบไฮเดรต C H O
ไขมัน C H O
โปรตีน C H O N
กรดนิวคลีอกิ C H O N P
ทีเ่ ล็กลง และน�ำเข้าสูเ่ ซลล์เพือ่ น�ำไปเผาผลาญเป็นพลังงานในการท�ำกิจกรรมต่างๆ ของชีวติ และสร้างความอบอุน่ ให้แก่รา่ งกาย
มารูจ้ กั กับพวกเขาทัง้ สีก่ นั เลยดีกว่า
2. อะไมโลเพกติน (amylopectin) เป็นพอลิแซ็กคาไรด์แบบโซ่กงิ่
ความร้อน
แป้ง เด็กซ์ตริน (หวานเล็กน้อย เหนียวแบบกาว)
- แถมๆ มาดูการย่อยแป้งหลังทานข้าว
อะไมเลส มอลเทส
แป้ง มอลโทส กลูโคส
CH2- O - C - R
O R, R', R'' หมายถึง หมูแ่ อลคิลอาจเหมือนกันหรือ
แตกต่างกันได้ หมูแ่ อลคิลนีม้ าจากกรดไขมัน
=
CH - O - C - R'
O
=
CH2- O - C - R''
- ประโยชน์ คือ ป้องกันการสูญเสียความร้อนของร่างกาย ให้ความอบอุน่ แก่รา่ งกาย ป้องกันการกระแทก ป้องกัน
การสูญเสียน�ำ ้ ท�ำให้ผวิ หนังชุม่ ชืน้ ไม่หยาบกร้าน ท�ำให้ผมและเล็บมีสขุ ภาพทีด่ ี ช่วยละลายวิตามินหลายชนิดที่
มีประโยชน์ เช่น A D E K , สลายให้พลังงานแก่รา่ งกาย
มี 2 ประเภท ได้แก่
1. กรดไขมันอิม่ ตัว (Saturated fatty acids) เป็นกรดไขมันทีม่ จี ดุ หลอมเหลวสูง โดยปกติจะมีสถานะเป็นของแข็ง
กรดไขมันที่ในโมเลกุลมีจ�ำนวนไฮโดรเจนอะตอมอยู่เต็มที่หรือพันธะระหว่างคาร์บอนอะตอมเป็นพันธะเดี่ยว
ทัง้ หมด กรดไขมันชนิดนีม้ ี สูตรทัว่ ไปเป็น CnH2n+1COOH (เมือ่ n = เลขจ�ำนวนเต็มบวก และโดยทัว่ ไปมักจะ
มีคา่ ตัง้ แต่ 11 ขึน้ ไป) ตัวอย่างกรดไขมันอิม่ ตัว เช่น กรดลอริก กรดปาลมิตกิ กรดสเตียริก
2. กรดไขมันไม่อมิ่ ตัว (Unsaturated fatty acids) เป็นกรดไขมันทีม่ จี ดุ หลอมเหลวต�ำ
่ โดยอุณหภูมปิ กติจะมีสถานะ
เป็นของเหลว คอื กรดไขมันทีโ่ มเลกุลมีจำ� นวนไฮโดรเจนน้อยกว่าปกติ หรือกรดไขมันทีโ่ มเลกุลส่วนทีเ่ ป็นไฮโดรคาร์บอน
พันธะ ระหว่างอะตอมของคาร์บอนกับคาร์บอนจับกันด้วยพันธะคู่ อย่างน้อย 1 พันธะ นอกนัน้ เป็นพันธะเดีย่ ว
หมด กรดไขมันประเภทนีม้ จี ำ� นวนไฮโดรเจนไม่เป็นไปตามสูตร CnH2n+1COOH ตัวเด่นๆ เช่น กรดโอเลอิก
(C H COOH) มี ไฮโดรเจนน้อยกว่าปกติ 2 อะตอม กรดไลโนเลอิก (C17H31COOH) มีไฮโดรเจนน้อยกว่า
17 33
ปกติ 4 อะตอม กรดปาล์มโิ ตเลอิก (C16H25COOH) มีไฮโดรเจนน้อยกว่าปกติ 8 อะตอม
บันทึกช่วยจ�ำ
R O
=
-
H2N - CH - C - OH
R O R O
H3N - C - C -= - H3N - C - C -= -
-
-
+ + +
H O H O
amino acid amino acid
H2O
R O R O
H3N - C - C - N - C - C -= -
-
=
-
+
H dipeptide H O
CH3 O O CH3
-
-
=
- -
O (CH2)2
CO2H
CH3 O O CH3
-
-
=
- -
O (CH2)2
CO2H
5 5
HOCH2 O OH HOCH2 O OH
4 1 4 1
H H H H H H H H
3 2 3 2
OH OH OH H
Ribose Decxyribose
ทีม่ า : http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/nano/Picture/DNA_detail.jpg
- โครงสร้างของ RNA : มีโครงสร้างเป็นสายเดีย่ ว (single strand) เป็นสารพันธุกรรมในสิง่ มีชวี ติ บางชนิด เช่น ไวรัสบาง
ชนิด เป็นหน่วยปฏิบตั กิ ารในการสังเคราะห์โปรตีน พบได้ในนิวเคลียส ไซโตพลาสซึม (cytoplasm) นิวคลีโอลัส (nucleolus)
คลอโรพลาสต์ (chloroplast) ไรโบโซม (ribosome) และ ไมโทคอนเดรีย (mitochondria)
**จะไม่พบไทมีน (Thymine; T) ใน RNA จะพบ ยูราซิล(Uracil; U) เท่านัน้
- เบสคูส่ ม (หัวข้อนีอ้ อกข้อสอบบ่อยนะ!) :
A จะคูก่ บั T (ใน DNA) หรือ U (ใน RNA) จับกันด้วยพันธะคู่
C จะคูก่ บั G (ทัง้ ใน DNA และ RNA) จับกันด้วยพันธะสาม
หลักการมีเท่านี้ ถ้าเข้าใจแล้ว มาเล่นเกมส์กนั เลย!!
น้องๆ ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
Tag : สอนศาสตร์, ชีววิทยา, ชีวเคมี, สารชีวโมเลกุล, ชีวเคมีเบื้องต้น
• 03 : ชีวเคมี
http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch1-1
• สารชีวโมเลกุล ตอนที่ 23
http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch1-3
• สารชีวโมเลกุล ตอนที่ 24
http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch1-4
องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต
การสร้างพลังงานในสิง่ มีชวี ติ
1) ไกลโคลิซสิ (glycolysis) : เกิดขึน้ บริเวณไซโทซอล (cytosol) เป็นกระบวนการสลาย กลูโคส ซึง่ มีคาร์บอน 6 อะตอม
= (C6) ผลิตภัณฑ์ทไี่ ด้คอื กรดไพรูวกิ ซึง่ มีคาร์บอน 3 อะตอม จ�ำนวน 2 โมเลกุล = 2 (C3)
2) วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle) : เกิดขึน้ บริเวณเมทริกซ์ (Matrix: ของเหลวในไมโทคอนเดรีย) การสลายสารแอซิทลิ โค
เอนไซม์ เอ จะได้ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และเก็บพลังงานทีไ่ ด้ไว้ในรูปของ NADH 6 โมเลกุล, FADH2 2 โมเลกุล
และ ATP 2 โมเลกุล ต่อการสลายกลูโคส 1 โมเลกุล ใน 1 รอบของ วัฏจักรเครบส์
3) กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน (electron transport chain) : เกิดบริเวณเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรีย เป็น
กระบวนการทีม่ กี ารส่งอิเล็กตรอนระหว่างตัวให้อเิ ล็กตรอนกับตัวรับอิเล็กตรอนตัวอืน่ ๆ และมีการปลดปล่อยพลังงาน
ออกมา (NADH ให้ 3 ATP FADH2 ให้ 2 ATP) โดยมีออกซิเจนเป็นตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้าย และได้นำ�้ เป็นผลิตภัณฑ์
** ภาพรวมของกระบวนการสลายกลูโคสโดยใช้ออกซิเจน**
Glucose
Acetyl CoA
ATP ADP Coa
Oxidative
Phosporylation e+ TCA cycle
H2O O2
CO2
การสลายอาหารโดยไม่ใช้ออกซิเจน
Anaerobic Anaerobic
In mitochondria
2 ATP
34 ADP 34 ATP
3 Carbon Compound 2 ATP
Cytosol Mitochondrion
ภาพรวมของการสลายโมเลกุลของสารอาหารระดับเซลล์
พฤติกรรม (Behavior)
• น้องๆ เคยสงสัยไหมว่าท�ำไมแมวจึงต้องเลียขน หรือท�ำไมลูกเจีย๊ บต้องเดินตามแม่ของมัน อะไรเป็นปัจจัยกระตุน้ ให้เกิด
พฤติกรรมแบบนัน้ ขึน้ มา ?
พฤติกรรมเป็นปฏิกริ ยิ าตอบสนองต่อการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ ทัง้ ภายในและภายนอกร่างกายของสิง่ มีชวี ติ นัน้ ๆ เกิดจากการ
ท�ำงานร่วมกันระหว่างพันธุกรรมและสิง่ แวดล้อม สรุปเป็นแผนภาพกลไกการเกิดพฤติกรรมของสัตว์ได้ดงั นี้
ระบบประสาท หน่วยปฏิบตั งิ าน ใยประสาทสัง่ ส่วนกลาง
พฤติกรรม (Effector) (Motor neuron) (CNS)
ประเภทของพฤติกรรมสัตว์
• พฤติกรรมทีเ่ ป็นมาแต่กำ� เนิด (Inheritedbehavior) เป็นพฤติกรรมทีแ่ สดงออกมาอย่างง่ายๆ มีแบบแผนแน่นอนไม่
จ�ำเป็นต้องเรียนรูม้ าก่อนเพราะถ่ายทอดทางพันธุกรรม ได้แก่
1. โอเรียนเทชัน (Orientation) คือพฤติกรรมทีส่ ตั ว์ตอบสนองต่อปัจจัยทางกายภาพ เพือ่ ให้เหมาะสมต่อการด�ำรงชีวติ
แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
• ไคนีซิส (kinesis) เป็นพฤติกรรมที่สัตว์ตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยการเคลื่อนที่ซึ่งมีทิศทางไม่สัมพันธ์กับสิ่งเร้า
พบในสัตว์ทรี่ ะบบประสาทยังไม่เจริญดีพอ ตัวอย่างเช่น
- พารามีเซียมเคลือ่ นทีแ่ บบเดาสุม่ ไปมาในบริเวณทีเ่ ป็นกรดอ่อนเพือ่ หนีจากสภาพนัน้ ซึง่ เป็นอันตรายต่อการ
ด�ำรงชีวติ
- แมลงสาบจะหยุดนิง่ เมือ่ วิง่ ชนของแข็ง
• แทกซิส (taxis) เป็นพฤติกรรมทีส่ ตั ว์ตอบสนองต่อสิง่ เร้าแบบมีทศิ ทางสัมพันธ์กบั สิง่ เร้ามักเป็นพฤติกรรมทีท่ ำ� ให้
เกิดการรวมกลุม่ ตัวอย่างเช่น
- ผีเสือ้ กลางคืนบินเข้าหาแสงไฟ
- ยูกลีนาเคลือ่ นทีเ่ ข้าหาแสงสว่าง
- แม่ไก่วงิ่ หาลูกเมือ่ ลูกส่งเสียงร้อง
2. รีเฟลกซ์ (Reflex) คือพฤติกรรมทีส่ ตั ว์ตอบสนองต่อสิง่ เร้าทีม่ ากระตุน้ อย่างรวดเร็ว เพือ่ หลีกเลีย่ งอันตรายทีเ่ กิดขึน้
โดยทีไ่ ม่ตอ้ งรอให้สมองสัง่ การ เช่น
- การกระตุกของขาเมือ่ เคาะทีห่ วั เข่าเบาๆ
- การหลับตาอย่างรวดเร็วเมือ่ มีวตั ถุเข้ามาใกล้มากๆ
3. รีเฟลกซ์ตอ่ เนือ่ ง (Chain of Reflexes) หรืออาจเรียกว่าสัญชาตญาณ เป็นพฤติกรรมทีม่ มี าแต่กำ� เนิด ไม่ตอ้ งผ่าน
การเรียนรู้ ส่วนใหญ่มกั เป็นพฤติกรรมทีเ่ กีย่ วข้องกับการด�ำรงชีวติ ซึง่ มีลกั ษณะเฉพาะแตกต่างกันในสิง่ มีชวี ติ แต่ละชนิด
ประกอบด้วยพฤติกรรมรีเฟลกซ์ยอ่ ยหลายพฤติกรรม เช่น
- การชักใยของแมงมุม (ไม่มกี ารสอนแต่ใยแมงมุมจะมีลกั ษณะคล้ายๆ กัน)
- การดูดนมของทารก (เมือ่ สิง่ เร้าคือความหิว)
- การก่อหวอดของปลากัดหรือการสร้างรังของนก
ตัวอย่างแนวข้อสอบ
เฉลย
ข. เป็นพฤติกรรมทีต่ อบสนองโดยทันทีไม่รอให้สมองสัง่ การเพือ่ หลีกหนีอนั ตราย
น้องๆ ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
Tag : สอนศาสตร์, ชีววิทยา, เซลล์, การแบ่งเซลล์, พฤติกรรม
• 09 : พฤติกรรมสัตว์
http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch2-1
บันทึกช่วยจ�ำ
พันธุศาสตร์ (genetic)
ส�ำหรับเนือ้ หาส่วนของพันธุศาสตร์นมี้ คี อ่ นข้างเยอะ (ออกข้อสอบทุกปี เป็นเรือ่ งทีอ่ อกเยอะทีส่ ดุ ในส่วนชีววิทยาด้วย) พีจ่ ะยก
ประเด็นส่วนทีน่ า่ สนุก ข้อสอบออก และน้องๆ ควรรูน้ ะ
1. ความหมาย
- พันธุศาสตร์ คือ วิชาทีศ่ กึ ษาเกีย่ วกับการท�ำงานของยีน (Gene) ซึง่ เป็นหน่วยควบคุมการถ่ายทอดลักษณะต่างๆ จากรุน่ พ่อ
แม่ไปยังรุน่ ลูกรุน่ หลาน และ ความแปรผันของลักษณะต่างๆ ของสิง่ มีชวี ติ
- พันธุกรรม คือ ลักษณะต่างๆ ของสิง่ มีชวี ติ ทีส่ ามารถถ่ายทอดจากรุน่ หนึง่ ไปยังรุน่ ต่อๆ ไปได้ โดยมีกระบวนการสืบพันธุเ์ ป็น
สือ่ กลาง
- ลักษณะทางพันธุกรรม คือ ลักษณะของสิง่ มีชวี ติ ทีถ่ กู ควบคุมโดยกรดนิวคลีอกิ ชนิด DNA หรือ RNA ทีส่ ามารถถ่ายทอด
จากรุน่ หนึง่ ไปยังรุน่ ต่อๆ ไป โดยอาศัยเซลล์สบื พันธุ์
ลักษณะทางพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ อาจเกิดขึน้ และเปลีย่ นแปลงไปได้โดยปัจจัย 2 ประการ คือ
1) พันธุกรรม 2) สิง่ แวดล้อม
และแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ คี วามแปรผันต่อเนือ่ ง
เป็นลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ คี วามลดหลัน่ กันทีละน้อย สามารถน�ำมาเรียงล�ำดับกันได้ สิง่ แวดล้อมมีผล เช่น
ความสูง น�ำ้ หนัก สีผวิ เป็นต้น
2. ลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ คี วามแปรผันไม่ตอ่ เนือ่ ง
เป็นลักษณะทีแ่ บ่งเป็นกลุม่ ได้อย่างชัดเจน สิง่ แวดล้อมไม่มผี ล เช่น หมูเ่ ลือด ลักษณะผิวเผือก ลักยิม้ ติง่ หู การ
ห่อลิน้ เป็นต้น
(ให้ความหมายและความแตกต่างชัดขนาดนี้ อย่าให้ขอ้ สอบหลอกได้นะ)
2. บิดาแห่งพันธุศาสตร์
เกรเกอร์ เมนเดล (GREGOR MENDEL) บาทหลวงชาวออสเตรีย ได้ทำ� การทดลองผสมถัว่ ลันเตาทีม่ ลี กั ษณะต่างๆ กัน 7 ลักษณะ
ซึง่ กระจายอยูบ่ นโครโมโซมต่างท่อนกัน นานถึง 7 ปี จึงค้นพบกฎเกณฑ์การถ่ายทอดลักษณะต่างๆ
น้องๆ รูไ้ หม ท�ำไมเมนเดลถึงเลือกศึกษาถัว่ ลันเตา ??
เนือ่ งจาก ลักษณะของสิง่ มีชวี ติ ทีค่ วรเลือกใช้มาศึกษาในทางพันธุศาสตร์ คือ
1. ปลูกง่าย อายุสนั้ ผลดก
2. มีการแปรผันมาก มีความแตกต่างของลักษณะทีต่ อ้ งศึกษาชัดเจนและสามารถหาพันธุแ์ ท้ได้งา่ ย
3. เมือ่ มีการผสมพันธุ์ มีการรวมตัวกันของลักษณะพ่อและแม่ (recombination)
4. ควบคุมการผสมพันธุไ์ ด้ สามารถก�ำหนดลักษณะต่างๆ เข้าผสมกันได้ตามต้องการ
ลักษณะทางพันธุกรรมทีถ่ กู ควบคุมโดยยีนด้อยบนออโตโซม
เช่น 1. อาการผิวเผือก (Albino)
2. โรคทาลัสซีเมีย (Thalassemia)
3. โรคโลหิตจางชนิดซิกเคิลเซลล์ (Sickle Cell Anemia)
จีโนไทป์ ฟีโนไทป์
ชาย หญิง
XCY XCXC ค่าปกติ
XCY XCXC (พาหะ) ตาบอดสี
2. โรคฮีโมฟีเลีย
จีโนไทป์ ฟีโนไทป์
ชาย หญิง
XHY XHXH ปกติ
XHXh (พาหะ)
XhY XhXh โรคโลหิตไหลไม่หยุด
3. โรคภาวะพร่องเอนไซม์ G-6-PD
จีโนไทป์ ฟีโนไทป์
ชาย หญิง
XGY XGXG ปกติ
XGXg (พาหะ)
XgY XgXg ภาวะพร่องเอนไซต์ G-6-PD
F1 generation AB BO AO OO
ข้อที่ 2 หญิงคนหนึง่ มีลกั ษณะผิวเผือกแต่งงานกับชายทีม่ ผี วิ ปกติ มบี ตุ รสาว 1 คนทีม่ ผี วิ ปกติ และบุตรชาย 1 คนทีม่ ผี วิ เผือก บุตรชาย
แต่งงานกับหญิงทีม่ ผี วิ ปกติ และมีบตุ รสาว 2 คนทีม่ ผี วิ ปกติ เพดดีกรีของครอบครัวนีเ้ ป็นอย่างไร
ก่อนอืน่ มาดูสญั ลักษณ์และหลักการในการเขียนเพดดีกรีกนั ก่อน
แผนผังแสดงสัญลักษณ์ของเพดดีกรี
รูปจาก http://www.maceducation.com/e-knowledge/2432209100/01.htm
ข้อที่ 3
ลืมยังนะว่าโรคตาบอดสีเกิดจากโครโมโซมเพศ
ตามสูตร บอด-ล้าน-ฮี-six = ผิด (ปกติทโี่ ครโมโซม) เพศ**
เฉลย
= XCXC = XCY
= XCY = XCXc
*หมายเหตุ : = XCXcเนือ่ งจากลูกสาวจะได้รบั ยีนด้อย (Xc) จากพ่อ แต่ยงั ได้รบั ยีนเด่น (XC) จากแม่อยู่ ท�ำให้ยงั ไม่เป็นโรค แต่เป็นพาหะ
เฉลย
สิง่ แรกทีด่ กู ค็ อื ...โรคทาลัสซีเมียเกิดจากโครโมโซมร่างกายนะ
ไม่ใช่โครโมโซมเพศ ฉะนัน้ เวลาคิดก็ไม่ตอ้ งก�ำหนดเพศ
Tt x Tt
TT , Tt , Tt , tt
6. ความผิดปกติของโครโมโซมมนุษย์
7. สารพันธุกรรม
ล�ำดับกรดอะมิโนใน
โปรตีน พอลิเพปไทด์
9. โรคทางพันธุกรรม
หัวข้อนี้ ข้อสอบอาจจะหยิบยกมาถามได้ แต่ไม่ถงึ ขัน้ ลึกมาก เนือ่ งจากโรคทางพันธุกรรมมีมากมาย ฉะนัน้ พีข่ อยกตัวอย่างโรค
เด่นๆ ให้เป็น concept ทีน่ อ้ งๆ ต้องจ�ำกันเลยนะ
- โรคซีสติกไฟโบรซีส (Cystic fibrosis)
เยือ่ เมือกหนามากในปอดและล�ำไส้ ท�ำให้หายใจล�ำบากหรือปอดอาจติดเชือ้ ได้ และย่อยอาหารได้ยาก สาเหตุเกิดจาก
การผ่าเหล่าในอัลลีลลักษณะด้อย
- โรคซิกเกิลเซลล์ (Sickle-cell)
เกิดจากการผ่าเหล่า เซลล์เม็ดเลือดแดงมีรปู ร่างแบบรูปเคียวท�ำให้ลำ� เลียงออกซิเจนได้นอ้ ยและสร้างฮีโมโกลบินให้มี
รูปร่างผิดปกติ
- โรคฮีโมฟิเลีย (Hemophilia)
เกิดความผิดปกติของยีนทีค่ วบคุมการสร้างฮีโมโกลบิน เลือดแข็งตัวช้า หรือไม่แข็งตัวเลยคนทีเ่ ป็นโรคนีถ้ า้ มีบาดแผล
เลือดจะไหลไม่หยุดอาจเสียชีวติ ฟกช�ำ้ ง่าย ชายเป็นมากกว่าหญิง
***แต่นอ้ งๆ อย่าลืมนะว่าโรคทีเ่ กิดจากออโตโซมนัน้ ต้องได้รบั แอลลีลทีผ่ ดิ ปกติ จากพ่อและแม่เท่านัน้ จึงจะเกิดโรคได้ ฉะนัน้ หาก
ได้รบั แอลลีลจากพ่อหรือแม่ ผิดปกติ1 แอลลีล แต่อกี 1 แอลลีล ยังปกติอยู่ ก็จะเป็นพาหะ แต่ยงั ไม่ถงึ กับเป็นโรคนะ
การเปลีย่ นแปลงของสิง่ มีชวี ติ อย่างรวดเร็ว โดยมักจะเปลีย่ นแปลงในระดับยีน ท�ำให้สงิ่ มีชวี ติ มีลกั ษณะต่างจากปกติ หรือทีเ่ รียก
ว่าเกิดการกลายพันธุ์ สามารถเกิดขึน้ เองตามธรรมชาติได้ ท�ำให้เกิดการเปลีย่ นแปลงซึง่ อาจได้ลกั ษณะตามทีพ่ งึ ประสงค์ หรือไม่พงึ
ประสงค์กไ็ ด้
ฉะนัน้ มิวเทชันจัดเป็นกลไกการเกิดวิวฒ ั นาการที่
- ท�ำให้ดขี นึ้ คือ ท�ำให้สงิ่ มีชวี ติ ทีเ่ กิดมิวเทชันนัน้ สามารถอยูร่ อดในธรรมชาติได้ดกี ว่าเดิม
- ท�ำให้แย่ลง คือ ท�ำให้สงิ่ มีชวี ติ ทีเ่ กิดมิวเทชันนัน้ เกิดโรค หรือเกิดภาวะต่างๆ ที่ ไม่เอือ้ อ�ำนวยต่อการมีชวี ติ อยูไ่ ด้
** ปัจจัยทีท่ ำ� ให้เกิดมิวเทชัน ทีเ่ รียกว่า มิวทาเจน (mutagen) เป็นตัวกระตุน้ หรือตัวชักน�ำท�ำให้เกิดมิวเทชัน ได้แก่ รังสี สารเคมี
จุลนิ ทรีย์
แต่ถา้ เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม อย่าโทษแต่เพราะมิวเทชันนะ เพราะอาจเกิดจากปัจจัยทีน่ อกเหนือจากมิวเทชันได้ เช่น
genetic drift สารมิวทาเจน เป็นต้น
• ระดับการเกิดมิวเทชัน
- มิวเทชันของยีน (gene mutation or point mutation)
เกิดจากการเปลีย่ นแปลงของ”เบส” ( A,T,C,G ) โดยอาจเปลีย่ นทีช่ นิด โครงสร้างหรือล�ำดับของเบสก็ได้ ส่งผลไปยัง
กรดอะมิโน ในสายพอลิเปปไทด์ทเี่ ปลีย่ นไป ท�ำให้โปรตีนทีส่ ร้างขึน้ มามีคณ ุ สมบัตทิ างเคมีตา่ งไปจากเดิม หรือหมดสภาพไป
เช่น โรค sickle cell anemia
- มิวเทชันของโครโมโซม (chromosomal mutation)
เป็นความผิดปกติทเี่ กิดได้ทงั้ ในโครโมโซมร่างกายและโครโมโซมเพศ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. การเปลีย่ นแปลงรูปร่างโครงสร้างภายในของโครโมโซม เกิดจากโครโมโซมขาดหายไป(deletion) หรือเพิม่ ขึน้ มา
(duplication) หรือ สลับที่ (translocation)
2. การเปลีย่ นแปลงจ�ำนวนโครโมโซม
โดยการเพิม่ ขึน้ หรือลดลงของจ�ำนวนโครโมโซม แบ่งเป็น 2 ลักษณะ
- แอนูพลอยดี (aneuploidy) เพิม่ /ลด เป็นท่อน เช่น โรคดาวน์ซนิ โดรม
- ยูพลอยดี (euploidy) เพิม่ /ลด เป็นชุด หรือเป็นความผิดปกติทมี่ กั พบในพืช แต่หากเกิดในสัตว์
จะท�ำให้เป็นหมัน
• เอ..แล้วน้องๆ รูไ้ หมนะ ว่าวิธกี ารขยายพันธุใ์ นพืช วิธใี ดท�ำให้มโี อกาสเกิดการกลายพันธุส์ งู ทีส่ ดุ ??
ตอบ การเพาะเมล็ด เพราะการเพาะเมล็ดเป็นการสืบพันธุแ์ บบอาศัยเพศมีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซีส มีโอกาสเกิดการแลกเปลีย่ นชิน้
ส่วนของยีน (Crossing over)
ลืมเรือ่ งการแบ่งเซลล์กนั ไปหรือยัง ถ้าลืมแล้วกลับไปทวนเร็ว!!!
คือ กระบวนการตัดต่อยีนจากการสังเคราะห์ขนึ้ หรือจากสิง่ มีชวี ติ ต่างๆ ทีม่ ยี นี ทีต่ อ้ งการเข้าด้วยกัน แล้วน�ำไปใส่ในสิง่ มีชวี ติ ชนิด
หนึง่ (host) เพือ่ ผลิตสารโปรตีนตามทีต่ อ้ งการ
จุดเด่น คือ เป็นกระบวนการทีท่ ำ� ให้เกิดการแปรผันของยีนอย่างรวดเร็ว ตรงตามจุดประสงค์ และสามารถผสมข้ามสายพันธุไ์ ด้
เช่น ในเซลล์แบคทีเรียมียนี อินซูลนิ ของคน เป็นต้น
ทีม่ า : http://www.animalcells.net/
✓ Chloroplast---cell wall---central vacuole---tonoplast ไอ้พวกนีไ้ ม่มใี นสัตว์นะจ้ะ
✓ Centriole –lysosome ไอพวกนีไ้ ม่มใี นพืชนะจ้ะ
✓ ไอ organelle ทีม่ เี ยือ่ หุม้ สองชัน้ มีแค่ mitochondria กับ chloroplast เท่านัน้ เพราะเชือ่ ว่า สองอันนีว้ วิ ฒ ั นาการมาจาก
สิง่ มีชวี ติ เซลล์เดียว
เรื่องต่อมาของเซลล์ที่น้องควรจะจ�ำได้แล้ว นั้นก็คือเรื่องของ cell wall ในสิ่งมีชีวิต แต่ละอาณาจักร ที่โดดเด่นเป็นพิเศษเลยก็
คงเป็น
✓ Monera (เป็นพวกแบคทีเรีย ไง จ�ำได้ไหมเอ่ย) พวกนีจ้ ะมีผนังเซลล์เป็น peptidoglycan ยกเว้น mycoplasma ทีเ่ ป็นแบคทีเรีย
ทีม่ ขี นาดเล็กทีส่ ดุ และแถมแปลกกว่าชาวบ้านคือมันเป็น monera ทีไ่ ม่มผี นังเซลล์ แต่กไ็ ม่เคยออกถามตรงๆ แบบนีน้ ะว่าหุม้
ด้วยอะไร เวลาโจทย์ถามมักจะออกแนวแบบ ให้ตวั อย่างสิง่ มีชวี ติ มาหลายๆ ชนิด ประมาน 5 ตัวเลือก แล้วถามว่าอะไรต่าง
จากพวก หรืออาจจะถามว่า พวกไหนอยูพ่ วกเดียวกัน ซึง่ นัน้ หมายถึงน้องก็ตอ้ งรูว้ า่ สิง่ มีชวี ติ ชือ่ ไหน มี cell wall แบบได อันนี้
ก็ตอ้ งจ�ำหละนะ จดใส่กระดาษ ท่องตอนกินข้าวก็ได้ อิอิ
ไมโครทูบลู ท่อคูท่ ี่
อยูร่ อบนอก
เยือ่ หุม้ เซลล์
แฟลเจลลา
ไมโครทูบลู ท่อคู่
ทีอ่ ยูต่ รงกลาง
ไมโครทูบลู ท่อคู่
เบซัลบอดี้
เยือ่ หุม้ เซลล์ เบซัลบอดี้ (basal body)
มีโครงคล้ายเซนทรีโอล
ถ้าเรียงแบบ 9+2 จะเรียก ว่า cilia หรือ flagellum (ถ้าถามว่าสองอันนีต้ า่ งกันยังไงก็คงจะตอบว่า microtubule ภายในจัดเรียง
เหมือนกัน คือ 9+2 และท�ำหน้าทีใ่ นการเคลือ่ นทีเ่ ช่นเดียวกัน แต่สง่ิ ทีต่ า่ งกันคือ ขนาดและจ�ำนวนมันต่างกัน ก็คอื ในหนึง่ cell อาจจะมี
cilia หลายเส้นมากมาก แต่หนึง่ cell จะมี flagellum ไม่คอ่ ยเกินสองสามเส้น และความยาวของ flagellum ก็ยาวกว่ามาก
ดังนัน้ อย่าไปดูวา่ ใครยาวกว่ากันให้ดวู า่ โครงสร้างการจัดเรียงภายในเป็นอย่างไร work สุด พูดง่ายๆ คือจ�ำไปเถอะ ไปท�ำความ
เข้าใจในห้องสอบ เดีย๋ วจะท�ำข้อสอบไม่ทนั จะหาว่าพีไ่ ม่เตือน
ถ้าเรียงแบบ 9+0 จะเรียกว่า Basal body หรือ centriole สองอันนีม้ กี ารจัดเรียง microtubule ภายในเหมือนกันแต่ตำ� แหน่งและ
หน้าทีท่ ที่ ำ� ต่างกัน กล่าวคือว่า basal มาจากค�ำว่า base ซึง่ แปลว่า ฐาน ดังนัน้ basal body มันคือฐานของ cilia กับ flagellum เอาไว้ยดึ
ส่วน centriole มีบทบาทในตอนแบ่งเซลล์ไงจ๊ะ
• อีกค�ำถามแนวหนึง่ ทีเ่ จอบ่อยมักเกีย่ วกับการทดลองทีเ่ อาเซลล์ของพืช (ซึง่ มี cell wall ) และ สัตว์ (ซึง่ ไม่มี cell wall)
(แต่อย่าเข้าใจผิดนะว่า พืชมี cell wall แล้วไม่มี cell membrane เพราะทีจ่ ริง พืชมีทง้ั สองอย่างเลยนะ แต่สตั ว์มแี ค่ cell
membrane) การทดลองอาจจะให้มาเป็นรูปภาพแล้วถามเราหรือ อาจจะบอกมาเลยว่า เอา cell ใส่เข้าไปในสารละลายทีม่ ี
ความเข้มข้นแบบใด ถ้าให้เป็นรูปมา ก็ให้สงั เกตว่า cell มันเหีย่ วหรือมันจะระเบิดแล้ว เอาเป็นว่าพีม่ วี ธิ จี ำ� มาฝากอีกแล้ว
• iso แปลว่า same ดังนัน้ isotonic solution จึงหมายถึงเอาเซลล์ใส่ในสารละลายทีม่ คี วามเข้มข้น same กับเซลล์ (เซลล์ไม่
เปลีย่ นแปลงใดๆ)
ถ้าเอาสารละลายของเราเริม่ แรกเป็นตัวตัง้ แล้วเปรียบเทียบกับสารละลายอันใหม่ทเี่ ราโยนเซลล์ลงไป เราจะเปรียบเทียบกัน
ดังนี้ นัน่ ก็คอื ถ้าโยนในลงในสารทีเ่ ข้มข้นกว่า จะเรียก Hypertonic solution (เพราะ Hyper แปลว่ามากกว่า) ซึง่ ถ้าสารละลายภายนอก
เข้มข้นกว่าแสดงว่าสารละลายนัน้ มีนำ�้ ทีน่ อ้ ยกว่าจริงไหมเอ่ย เมือ่ น�ำ้ ระหว่างนอกเซลล์กบั ในเซลล์ไม่สมดุล น�ำ้ เลยพากันออกไปจากเซลล์
เราเรียกว่า plasmolysis หรืออาจจะจ�ำว่า พา (น�ำ้ ) โหมดเลยสิ น�ำ้ โดนพาออกไปหมดเลยก็เลยเหีย่ วเหมือนลูกโป่งแฟบลม แต่ถา้ เทียบกับ
สารละลายก่อนจะโยนลงไปแล้วมันเข้มข้นน้อยกว่า (เข้มข้นน้อยกว่าก็คอื สารละลายนัน้ มีนำ�้ ละลายอยูเ่ ยอะมาก ดังนัน้ เมือ่ เราเทียบสารละลาย
ทีเ่ ซลล์เคยอยูก่ อ่ นหน้ากับสารละลายทีเ่ ซลล์กำ� ลังจะถูกโยนลงไปแล้วพบว่าเจือจางกว่า (เข้มน้อยกว่า) เราจะเรียกว่า Hypotonic solution
ซึง่ ค�ำว่า Hypo มันแปลว่าน้อยกว่า) คราวนีแ้ หละเซลล์จะมีนำ�้ เยอะขึน้ บวมขึน้ จนบวมน�ำ้ เข้าแบบนีเ้ รียก endosmosis หรือ เกิดแรงดัน
ทีม่ า : https://home.comcast.net/~pegglestoncbsd/cell_b11.jpg
• ส�ำหรับตรงนีส้ งิ่ ทีโ่ จทย์มกั จะถามก็มกั จะเป็นการยกตัวอย่างทีเ่ กีย่ วกับการด�ำเนินชีวติ ของเรา เช่น ขณะทีเ่ ราปลูกต้นไม้
แล้วเราใส่ปุ๋ยที่มีความเข้มข้นสูงมากเกินกว่าเซลล์พชื สิง่ ทีต่ ามมาคือ พืชก็เลยเหีย่ ว แล้วโจทย์ให้เราอธิบายว่าอันไหน
คือตัวเลือกทีเ่ ป็นเหตุผลของเหตุการณ์นี้
1. ข้อใดแตกต่างจากข้ออืน่
ก. การกินอาหารของ slime mold
ข. การกินเชือ้ โรคของเซลล์เม็ดเลือดขาว
ค. การกินอาหารของอะมีบา
ง. การเอาคอเรสเตอรอนไปเก็บเอาไว้ในเซลล์ไข่
ค�ำตอบ ของข้อนีค้ อื การเอาคอเรสเตอรอนไปเก็บเอาไว้ในเซลล์ไข่เนือ่ งจากการเลือกเฉพาะคอเรสเตอรอนแสดงว่าต้องมี receptor เพือ่
เลือกเอาเฉพาะคอเรสเตอรอนเก็บเข้าไป ส่วนข้ออืน่ นัน้ ใช้วธิ ขี องการ phagocytosis ซึง่ ยืน่ ขาเทียมหรือส่วนของเซลล์ออกไปโอบล้อม
แล้วเอามาย่อยในเซลล์
• ส�ำหรับเรื่องเซลล์ ก็คงมีเรื่องที่ต้องเน้นประมาณนี้นะจ๊ะ โจทย์ส่วนใหญ่มักจะต้องการให้เราประยุกต์ใช้ให้ได้กับชีวิต
ประจ�ำวัน ดังนัน้ โจทย์จะพยายามหาตัวอย่างทีน่ อ้ งๆ จะต้องได้พบเจอในชีวติ มาถาม สิง่ ทีน่ อ้ งๆ ต้องท�ำก็คอื หาตัวอย่าง
ให้ได้เยอะๆ หรือถามคุณครูกไ็ ด้ และท่องจ�ำไปเลยจะดีทสี่ ดุ เพราะเวลาสอบจะได้กาเลยไม่ตอ้ งมานึก ว่าเอ๊ะ แบบนีเ้ รียก
ว่าอะไร แบบนัน้ เป็นไงต่อเอ่ย น้องจะท�ำข้อสอบไม่ทนั ข้อสอบมีหลายข้อ บางทีมนั ก็มงี า่ ยยากปนกันไป ใครจะไปรูว้ า่ ข้อ
ง่ายๆ รอน้องๆ อยูข่ า้ งหลังเต็มเลย แต่สว่ นใหญ่ขอ้ ยากถ้าท�ำได้กค็ อื ได้เลยแต่ถา้ ข้อยาก น้องท�ำไม่ได้ ขอบอกเลยว่าให้
ข้ามไปก่อนเหลือเวลาค่อยท�ำ ส่วนข้อง่ายนัน้ ก็ไม่ใช่วา่ จะง่ายจริงเพราะส่วนใหญ่มกั จะเขียนโจทย์ให้ยาว อ่านแล้วงง หรือ
อ่านแล้วต้องเสียเวลาเยอะ ดังนัน้ อะไรทีท่ อ่ งได้เลยให้ทอ่ งไปก่อน เข้าห้องสอบจะได้มเี วลาเหลือไปคิดข้อยากเยอะขึน้
สรุปเอาเป็นว่า ข้อง่ายห้ามพลาด ข้อยากเก็บได้กเ็ ก็บ รับรองว่า คะแนนไม่เน่าแน่ ออกมาแบบสวยๆ
ตัวอย่างเบาๆ น้องๆ ท�ำได้อยูแ่ ล้ว ตัวอย่างพวกนีพ้ จี่ ะเขียนเฉลยให้เลย จะบอกแนวให้วา่ คิดยังไง มีลกู เล่นยังไง
ตัวอย่างเช่น เคยมีขอ้ สอบออกมาว่า ก�ำลังตรวจเซลล์สงิ่ มีชวี ติ ทัง้ หมด สี่ แบบ แล้วมีตารางให้มา ติก๊ ว่าเจออะไรจากการทดลองบ้าง
ก็เจอพวก ผนังเซลล์ นิวเคลียส คลอโรพลาสต์ (โจทย์แบบตารางนีไ้ ม่ยากแต่ยาว ต้องดูดดี แี ล้วรีบตอบไม่ให้เสียเวลา) แล้วถามว่า เซลล์
แบบ A B C หรือ D อันไหนเป็นเซลล์พชื
1.จงพิจารณาตารางต่อไปนี้
Cell wall centriole mitochondria chloroplasts lysosome Cell membrane
สิง่ มีชวี ติ A ✓ ✓ ✓ ✓
สิง่ มีชวี ติ B ✓ ✓ ✓ ✓
เรือ่ งการแบ่งเซลล์
ส�ำหรับเรือ่ งนี ้ กค็ งไม่จำ� เป็นต้องเล่าถึงทีม่ าทีไ่ ปว่ายังไง เซลล์ลกู เยอะขนาดไหน เพราะข้อมูลเหล่านีห้ าอ่านจากหนังสืออืน่ ๆ ทัว่ ไป
ได้ไม่ยากเลย แต่สงิ่ ทีอ่ ยากเน้นก็คอื เรือ่ งของตัวอย่างมากกว่าเพราะว่าเรือ่ งนีน้ อ้ งหลายคนคิดว่าท�ำได้แต่พอเจอโจทย์จริงๆ แล้วเงิบหงาย
หลังกันเป็นแถวเลยก็เพราะว่าน้องๆ ยังไม่เข้าใจจริงๆ พีจ่ ะลองเปรียบเทียบให้ดปู ระมาณว่า สมมติปกตินอ้ งเดินทางไปโรงเรียนโดยรถไฟฟ้า
จากสถานีหมอชิตมาลงสยาม ซึง่ มันเป็นทางทีแ่ สนสบาย เดินดูตกึ ไปเรือ่ ยๆ ไม่มอี ะไรต้องคิดมาก แต่ถา้ วันไหนอยูด่ ๆี พีจ่ บั น้องปล่อยที่
สะพานควาย แล้วบอกให้นอ้ งมาเจอพีท่ พี่ ญาไท สิง่ ทีน่ อ้ งต้องท�ำก็คอื คิดว่าแล้วเราจะเดินทางยังไงให้ไปถึงเป้าหมายตรงนัน้ บางที ทีเ่ รา
อ่านๆ กันอยูท่ กุ วันมันก็คอื ทางเดินทีเ่ ราเดินๆ กันทุกวันแต่ถา้ วันไหนเราต้องพลิกแพลงบ้างเราต้องท�ำได้ ถามว่าเราจะท�ำได้ยงั ไงก็เพราะ
ว่าเราท�ำแบบฝึกหัดเยอะๆ แล้วไง เมือ่ เราท�ำแบบฝึกหัดเยอะแล้วสิง่ ทีต่ ามมาก็คอื เราจะมองเห็นภาพรวมและสิง่ ทีค่ นออกข้อสอบมักเอา
มาเป็นลูกเล่นทีเ่ อาไว้หลอกพวกน้องให้หลงทาง พีเ่ องเพียงแต่แนะน�ำได้แต่ตอนสอบนีต้ วั ใครตัวมัน น้องต้องคิดเองเป็น วิเคราะห์เป็น
ประยุกต์เองเป็น
2. ข้อใดถูกต้อง
ก. ปลายรากหอมเป็นการแบ่งแบบไมโอซีส
ข. ทีป่ ลายรากหอมเมือ่ สิน้ สุดการแบ่งเซลล์จะได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์
ค. เซลล์ใหม่ทเี่ กิดขึน้ ของปลายรากหอมนัน้ เกิดจากการคอดของเยือ่ หุม้ เซลล์
ง. เซลล์ใหม่ทเี่ กิดขึน้ ของรากหอมจะมีโครโมโซมเท่าเดิม
ค�ำตอบ ของข้อนีค้ อื ทีป่ ลายรากหอมนัน้ เปรียบเสมือนเซลล์รา่ งกายดังนัน้ มันจะแบ่งเซลล์โดยการไมโทซีส ไม่ใช่ ไมโอซิส นีเ้ ลยท�ำให้
เซลล์ลกู ทีเ่ กิดขึน้ มาจากการแบ่งเซลล์นนั้ ไม่ใช่สี่ แต่เป็นแค่สองเซลล์เท่านัน้ และ เนือ่ งจากมันเป็นพืช พืชมีผนังเซลล์ ท�ำให้มนั ไม่มกี าร
คอดของเยือ่ หุม้ เซลล์ สรุปเลยเหลือเพียงตัวเลือกเดียวทีจ่ ะตอบได้นนั่ ก็คอื ง. เซลล์รากหอมจึงมีโครโมโซมเท่าเดิมเป็นสิง่ ทีถ่ กู ต้องเพียง
ข้อเดียวเท่านัน้
น้องๆ ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
Tag : สอนศาสตร์, ชีววิทยา, เซลล์, การท�ำงานของเซลล์, การแบ่งเซลล์, พันธุศาสตร์, โรคทางพันธุกรรม, ลักษณะ
ทางพันธุกรรม
• 02 : โครงสร้างของเซลล์ • สอนศาสตร์
ชีววิทยา ม.6 :
http://www.trueplookpanya.com/ พันธุศาสตร์ (อ.ตอง)
book/m6/onet-biology/ch3-1 http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch3-6
• 04 : การหายใจระดับเซลล์
http://www.trueplookpanya.com/ • 17 : การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
book/m6/onet-biology/ch3-2 http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch3-7
• สอนศาสตร์ ชีววิทยา ม.6 :
ชีววิทยาของเซลล์ • 18 : โรคทางพันธุกรรม
http://www.trueplookpanya.com/ http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch3-3 book/m6/onet-biology/ch3-8
ระบบหายใจ
แยกไปสูป่ อด แบ่งออกเป็น 2 ข้าง ซ้าย-ขวา และจะแตกแขนงเล็กลงเรือ่ ยๆ จนถึงทีป่ ลายสุดของหลอดลมฝอย
2) ปอด (lung) ตัง้ อยูภ่ ายในทรวงอก ปอดซ้ายจะเล็กกว่าปอดขวา แต่ปอดขวาจะสัน้ กว่าปอดซ้าย และมีโครงสร้างทีเ่ รียกว่า
กระบังลม ทีป่ อ้ งกันการกดทับจากอวัยวะอืน่ ท�ำให้ปอดสามารถเปลีย่ นแปลงปริมาตรตามการหายใจเข้า-ออกได้อย่างเป็น
ปกติ
✓ คนหายใจเข้าปกติจะได้ปริมาตรอากาศประมาณ 500 cm3 และเมือ่ บังคับหายใจเข้าเต็มทีอ่ าจได้ปริมาตรอากาศได้
มากถึง 6,000 cm3 แต่ถ้าบังคับให้หายใจออกเต็มที่ก็จะยังมีปริมาตรอากาศตกค้างในปอดประมาณ 1,100 cm3
เสมอ
✓ การศึกษาปริมาตรของปอดจะใช้เครือ่ งสไปโรมิเตอร์ (Spirometer)
3) ถุงลม (alveolus) มีผนังบางมาก เป็นเซลล์ชน้ั เดียว เป็นส่วนทีม่ กี ารแลกเปลีย่ น gas แบบการแพร่กบั หลอดเลือดฝอยที่
มาหุม้ อยูร่ อบๆ
• กลไกการหายใจ
การหายใจเข้
า ต้องเพิม่ ปริมาตรของช่องอกและลดความดันอากาศในปอดลง อากาศจึงจะไหลเข้าสูป่ อด ดังนี้
• กลไกการแลกเปลีย่ นแก๊ส
เพปซิโนเจน โพรเรนนิน
กระเพาะอาหารหลัง่
ฮอร์โมนแกสตริน
สร้าง HCI
(gastrin) เมือก
เพปซิน เรนนิน
(แนวข้อสอบ)
การหลัง่ เพปซิโนเจนออกจากเซลล์ผนังกระเพาะอาหารอาศัยกระบวนการใด
1. การล�ำเลียงแบบฟาซิลเิ ทต
2. กระบวนการเอกโซไซโทซิส
3. กระบวนการแพร่
4. กระบวนการแอคทีฟทรานสปอร์ต
(แนวข้อสอบ)
สารในข้อใดไม่มสี ว่ นเกีย่ วข้องกับการย่อยโปรตีนภายในกระเพาะอาหารของคน
1. ทริปซิน 2. เพปซิน
3. กรดไฮโดรคลอริก 4. โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต
1. 1 และ 2
2. 2 และ 3
3. 3 และ 4
4. 4 และ 1
ล�ำไส้เล็ก ตับอ่อน
ทริปซิโนเจน - ไคโมทริปซิโนเจน
(trypsinogen) (chymotrpsinogen)
- โพรคาร์บอกซิเพปทิเดส
เอนไซม์เอนเทอโรไคเนส (procarboxypeptidase)
(enterokinase)
ทริปซิน
(trypsin)
- อะมิโนเพปทิเดส - ไคโมเทปซิน (chymotrpsin)
- ไดเพปทิเดส - คาร์บอกซิเพปทิเดส
- ไตรเพปทิเดส (carboxypeptidase)
• การย่อยคาร์โบไฮเดรต
1) ตับอ่อนสร้างเอนไซม์อะไมเลสมาย่อยแป้ง ไกลโคเจน และเดกซ์ทรินในล�ำไส้เล็กให้เป็นมอลโทส
2) ผนังล�ำไส้เล็กสร้างเอนไซม์
• การย่อยลิพดิ
ตับสร้างน�ำ้ ดี (bile) แต่ถกู ส่งมาเก็บไว้ทถี่ งุ น�ำ้ ดี (gall bladder) ซึง่ มีทอ่ มาเปิดทีล่ ำ� ไส้เล็ก น�ำ้ ดีมฤี ทธิเ์ ป็นเบส น�ำ้ ดี
ไม่ใช่นำ�้ ย่อยแต่จะมีเกลือน�ำ้ ดี (bile salt) ซึง่ จะช่วยให้ไขมันแตกตัวเป็นก้อนเล็กๆ เป็น emulsifier ให้เอนไซม์ยอ่ ยไขมัน
ได้ดขี นึ้ จากนัน้ ตับอ่อนและล�ำไส้เล็กจะสร้างเอนไซม์ลเิ พส (lipase) มาย่อยไขมันและกรดไขมันให้กลายเป็นกลีเซอรอล
4.2 ล�ำไส้เล็กส่วนกลาง (jejunum) เป็นส่วนทีม่ กี ารดูดซึมสารอาหารมากทีส่ ดุ มีผนังด้านในบุดว้ ยเซลล์ทยี่ นื่ ออกมา เรียกว่า
วิลลัส (villus) ช่วยเพิม่ พืน้ ทีใ่ นการดูดซึม และด้านนอกของวิลลัสยังมีไมโครวิลลัส (microvillus) ช่วยเพิม่ พืน้ ทีผ่ วิ ในการ
ดูดซึมมากขึน้
4.3 ล�ำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum) มีความยาวมากทีส่ ดุ ในระบบทางเดินอาหาร ช่วยดูดซึมวิตามิน บี 12 และเกลือน�ำ้ ดี
กระเพาะอาหาร - แอลกอฮอล์
- ยาบางชนิด
- สารทีล่ ะลายได้ดใี นลิพดิ
ล�ำไส้เล็ก - โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต(เข้าสูห่ ลอดเลือดผ่านตับและเข้าสูห่ วั ใจ)
- ไขมัน (เข้าสูห่ ลอดน�ำ้ เหลืองและผ่านเข้าหัวใจเลย)
ล�ำไส้ใหญ่ - น�ำ้ และแร่ธาตุ
- วิตามินต่างๆ
- กรดโฟลิก
เรือ่ งนีเ้ ป็นเรือ่ งทีข่ อ้ สอบ O-NET ไม่คอ่ ยออกเท่าไหร่ แต่ยงั มีในหลักสูตรอยูน่ ะ ! พีจ่ ะสรุปให้นอ้ งๆ ดังนี.้ .
1. ระบบประสาท
ระบบประสาท เป็นระบบศูนย์กลางทีค่ วบคุมการท�ำงานของร่างกาย ท�ำหน้าทีร่ บั ความรูส้ กึ ควบคุมความคิด
2. หน้าทีข่ องระบบประสาท : แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
• ส่วนรับความรูส้ กึ (sensory division) : รับความรูส้ กึ จากภายนอกร่างกาย และตอบสนองความรูส้ กึ นัน้
• ส่วนสัง่ การ (motor division) : การสัง่ การกับหน่วยปฏิบตั งิ านทีบ่ งั คับได้
3. โครงสร้างของระบบประสาท
ระบบประสาทแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนคือ
- ระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system; CNS) ได้แก่
• สมอง (brain) : ควบคุมและสัง่ การการเคลือ่ นไหวอารมณ์ ความจ�ำ การเรียนรู้ และ รักษาสมดุลภายในร่างกาย
• ไขสันหลัง (spinal cord) : ถ่ายทอดกระแสประสาทระหว่างสมองและส่วนต่างๆ ของร่างกาย และควบคุมการ
เกิดรีเฟล็กซ์ (reflex)
• ระบบประสาทส่วนปลาย (peripheral nervous system; PNS) : รับและน�ำความรูส้ กึ เข้าสูร่ ะบบประสาทส่วนกลาง
ได้แก่ เส้นประสาทสมอง (cranial nerve; CN) เส้นประสาทไขสันหลัง (spinal nerve; SN)
- ระบบประสาทอัตโนมัติ : ควบคุมการท�ำงานของประสาททีอ่ ยูน่ อกเหนือการควบคุมของจิตใจให้เป็นไปตามปกติ
• เรือ่ งนีพ้ อี่ ยากจะเน้นเรือ่ งของ ปลาน�ำ้ จืด กับ ปลาน�ำ้ เค็มเป็นพิเศษว่ามันสามารถอยูใ่ นสภาพแวดล้อมเช่นนัน้ ได้อย่างไร น้อง
รูไ้ หมว่า ถ้าเราจับปลาน�ำ้ จืดมาไว้ในน�ำ้ เค็มมันจะตาย หรือท�ำในทางกลับกันเอาปลาน�ำ้ เค็มมาไว้ในน�ำ้ จืดมันก็จะตาย เพราะระบบการปรับ
สมดุลของปลาสองแบบนีม้ นั ต่างกัน ซึง่ เป็นเรือ่ งทีเ่ ราควรท�ำความเข้าใจ เรือ่ งนีเ้ ป็นพิเศษ เพราะว่า ปลาเป็นสิง่ ทีเ่ ราพบเจอบ่อยๆ ในชีวติ
ประจ�ำวัน พีจ่ ะเล่าให้เข้าใจก่อนว่าเป็นมายังไง
น�ำ้ ทะเล
• ส�ำหรับการเคลือ่ นทีค่ งไม่นา่ จะใช่เรือ่ งทีไ่ กลเกินตัว น่าจะเน้นไปทีเ่ รือ่ งของการเคลือ่ นไหวกล้ามเนือ้ ของร่างกายมนุษย์อย่าง
พวกเรานีแ้ หละ โดยเฉพาะกล้ามเนือ้ แขนทีเ่ วลาเราถือของไปจ่ายตลาดว่าเราใช้อะไรในการท�ำงานของกล้ามเนือ้ ไงจ้ะ เรือ่ งนีถ้ า้ ใครไม่
เข้าใจก็คงต้องจ�ำไปเลยจะง่ายกว่าท�ำความเข้าใจนะ ถ้าสมมติวา่ เราก�ำลังถือไมโครโฟนอยู่ biceps คืออันทีเ่ ป็นกล้ามเนือ้ ทีเ่ ราสามารถ
มองเห็นด้วยตัวเราเองตอนร้องเพลง ส่วน triceps เป็นกล้ามเนือ้ ทีเ่ รามองไม่เห็นตอนร้องเพลง แล้วจะจ�ำว่าอันไหนมันหดตัว คลายตัว
ตอนไหนพีแ่ นะแบบนีน้ ะ คือ จ�ำ biceps กับ triceps ให้ได้กอ่ นว่าใครอยูต่ ำ� แหน่งไหนอะไร แล้วเมือ่ โจทย์ถาม เราก็ลองพับแขน กางแขน
ในห้องสอบตามทีโ่ จทย์บอกเลย แต่อาจจะดูเสียเวลานิดหนึง่ แต่ถา้ ท�ำบ่อยๆ เราจะเข้าใจแล้วชินจนจ�ำได้เอง เวลาเราจะเช็คว่ากล้ามเนือ้
ส่วนไหนหดตัวให้ลองกางแขนให้สดุ หรือพับแขนให้สดุ แล้วเกร็ง ถ้าหากว่าเอามืออีกข้างหนึง่ มาบีบจะพบว่ากล้ามเนือ้ ทีห่ ดตัวจะแข็ง
ทีม่ า : musclemwit2241.blogspot.com
✓ สิง่ ทีต่ อ้ งอ่านเน้นเพิม่ นัน้ ก็คอื การอ่านในเรือ่ งของสัตว์แต่ละชนิดนัน้ เคลือ่ นทีอ่ ย่างไร อย่างเช่นสัตว์บางชนิดนัน้ สามารถใช้
1. หัวใจ
แผนผังแสดงการไหลเวียนของเลือด
เลือดเสียจากทุกส่วนต่างๆ ของร่างกาย
หลอดเลือดพัลโมนารีเ่ วน
(เป็นหลอดเลือดด�ำเส้นเดียว
ทีม่ เี ลือดดีไหลผ่าน )
หัวใจห้องบนซ้าย หัวใจห้องบนขวา
ไบคัสปิด ไตรคัสปิด
หัวใจห้องล่างซ้าย หัวใจห้องล่างขวา
หลอดเลือดพัลโมนารีอาเตอร์รี่
(เป็นหลอดเลือดแดงเส้นเดียวทีม่ เี ลือดเสียไหลผ่าน)
เส้นเลือดเอออร์ตาร์
สูบฉีดไปทัว่ ร่างกาย
ฟอกทีป่ อด
✓ เรือ่ งนีเ้ ป็นเรือ่ งทีต่ อ้ งท่องจ�ำเยอะเป็นพิเศษแต่สงิ่ หนึง่ ทีเ่ ราควรให้ความสนใจให้มากก็คอื การน�ำเอาฮอร์โมนทีเ่ รารูจ้ กั เนีย่ มาอธิบาย
สิง่ ต่างๆ ทีเ่ กิดขึน้ ในชีวติ ของเราให้ได้ หมายถึงว่า เมือ่ พูดถึงการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนือ้ เราควรจะนึกถึง growth hormone
หรือว่าถ้าพูดถึงการเปลีย่ นแปลงสีผวิ ต้องนึกถึง MSH ถามว่าท�ำไมพีถ่ งึ เน้นเรือ่ งแบบนี้ น้องจะเห็นว่าเวลาเราเรียนเรามักจะเรียนจาก
น้องๆ ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
Tag : สอนศาสตร์, ชีววิทยา, ระบบในร่างกาย, ระบบหายใจ, ระบบย่อยอาหาร, ระบบต่อมไร้ท่อ, ระบบหมุนเวียนเลือด,
ระบบขับถ่าย, ระบบประสาท, การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
• 06 : ระบบประสาท1
http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch4-1
• 08 : ระบบต่อมไร้ท่อ
http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch4-2
• 10 : ระบบหายใจ
http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch4-3
• 15 : ระบบสืบพันธุ์
http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch4-8
บันทึกช่วยจ�ำ
อนุกรมวิธาน (Taxonomy)
• ในหัวข้อนีส้ งิ่ ทีต่ อ้ งเน้นเป็นพิเศษคือเรือ่ งของการรูจ้ กั ชือ่ ของสิง่ มีชวี ติ นัน้ ๆ แล้วสามารถเรียงล�ำดับวิวฒ ั นาการของสิง่ มีชวี ติ
จากต�ำ่ ไปสูงได้ แล้ววิธดี วู า่ ใครวิวฒ ั นาการสูงกว่าใครก็ให้ดทู เ่ี รือ่ งของ เซลล์วา่ มีกเี่ ซลล์ แล้วเซลล์มกี ารท�ำงานเป็นเนือ้ เยือ้ หรือไม่ แล้ว
มีเอมบริโอ หรือไม่ เพราะสิง่ มีชวี ติ ขัน้ สูงอย่าง Plantae กับ Animalia จะต้องมีเนือ้ เยือ่ กับเอมบริโอแน่นอน
• เมือ่ กีเ้ ราได้ลองเล่าคร่าวๆ ให้ฟงั แล้วว่าเราควรจะเน้นอ่านในเรือ่ งไหน คราวนีเ้ รามาดูเนือ้ หาของจริงกันเลยดีกว่าว่าทีเ่ รารูน้ นั้
ถูกต้องรึเปล่าความจริงแล้วเรือ่ งการเรียงล�ำดับวิวฒ ั นาการเนีย่ หนังสือของกระทรวงฯ เขาใจดีเรียงให้เราแล้ว โดยถ้าหน้าแรกๆ ก็จะ
เป็นสิง่ มีชวี ติ ชัน้ ต�ำ
่ พวกนีจ้ ะมีเซลล์เดียว หรือ อาจจะมีขนาดเล็ก มีโครงสร้างร่างกายง่ายๆ
ยกตัวอย่างเช่นพวก อาณาจักร Monera ซึง่ อาณาจักนีก้ จ็ ะเป็นพวก Archaea หรือทีเ่ ราเรียกว่า แบคทีเรียโบราณ และ Bacteria
(monera เป็นสิง่ มีชวี ติ ทีเ่ ซลล์เป็นแบบ prokaryotic cell คือไม่มเี ยือ่ หุม้ นิวเคลียส (nuclear membrane)
ต่อมา ก็จะวิวฒ ั นาการสูงขึน้ เป็นพวกทีม่ เี ซลล์แบบ eukaryotic cell ซึง่ พวกยูคารีโอต (eukaryote) นัน้ ยังแบ่งย่อยลงมาได้อกี สี่
กลุม่ คือ Protista fungi plantae และ animalia แล้วจะดูยงั ไงว่าใครวิวฒ ั นาการสูงกว่ากันก็มาดูทค่ี วามซับซ้อนของเซลล์ เริม่ ที่ Protista
พวกนีจ้ ะเป็นพวกทีเ่ รามักจะพบและเจอเป็นประจ�ำในชีวติ คือ โพรโทซัว (เราสามารถหาได้ตามบ่อน�ำ้ ของโรงเรียน หรือเวลาเรียนแล็บ
การทดลอง ) สาหร่ายทีเ่ ราชอบกินกัน ก็เป็น Protista
สุดท้ายคือพวก ราเมือก (ระวังตรงจุดนีน้ ะ เพราะราเมือกไม่ใช่พวกเดียวกับรา เพราะ รา อยูใ่ นกลุม่ เห็ด รา Fungi ซึง่ มีมนั มีความ
ซับซ้อนมากกว่า Protista) วิวฒ ั นาการสูงขึน้ ต่อมาก็คอื พวก fungi พวกนีจ้ ะเป็นทีน่ า่ รังเกียจเวลาเจอ แต่กก็ นิ ได้นะจ้ะ มันก็คอื พวก เห็ด
รา ยีสต์ นัน้ เอง ถามว่าท�ำไมพีถ่ งึ พูดว่าน่ารังเกียจก็เพราะว่า รา ทีเ่ ราเจอบนขนมปังเวลาทีม่ นั หมดอายุแล้วมันก็คอื ราด�ำ รวมทัง้ พืน้ ห้อง
น�ำ้ ด�ำๆ เช่นกันนะ ส่วนเห็ดนัน้ บางชนิดเท่านัน้ ถึงจะเอามากินได้ แต่บางชนิดกินแล้วตายนะ อย่าเผลอเลอหยิบผิดเอาไปท�ำอาหารล่ะ
ยีสต์กเ็ อามาท�ำขนมได้ เอามาหมักอาหารต่างๆ ได้ ต่อมาคือ Plantae ซึง่ สิง่ ทีน่ า่ สนใจก็คอื ตัง้ แต่ plantae จนถึง animalia เป็นต้นไป มันจะ
มีเนือ้ เยือ้ และ เอมบริโอ ซึง่ แสดงว่ามันวิวฒ ั นาการสูงกว่าสิง่ มีชวี ติ ในกลุม่ plantae
คือจุดส�ำคัญทีเ่ ราต้องรูจ้ กั ชือ่ ของพืชในบทเรียนให้ครบแล้วมันจะช่วยเราได้มากมายเลยทีเดียว ถามว่าใน plantae เองมีการวัดว่า
ใครวิวฒ ั นาการสูงกว่าใคร เราสังเกตทีโ่ ครงสร้างท่อล�ำเลียง ลักษณะของใบ และ การสืบพันธุว์ า่ มีดอกหรือไม่มดี อก
• ดังนัน้ เราจะเรียงล�ำดับได้ดงั นี้ “ข้าวตอกฤาษี (sphagnum moss) (มอส) สนหางสิงห์ สร้อยสุกรม สามร้อยยอด ช้องนางคลี่
(เป็นพวก lycopodium สร้าง homospore มีขนาดเท่ากัน) ตีนตุก๊ แก (selaginella) และ กระเทียมน�ำ ้ (isoetes สองพวกนีส้ ร้าง heterospore
มีขนาดไม่เท่ากัน) หวายทะนอย (psilotum; พวกนีแ้ ตกกิง่ ทีล่ ะสอง dichotomous) หญ้าถอดปล้อง (equisetum) เฟินข้าหลวงหลังลาย
กระแตไต่ไม้ ชายผ้าสีดา ผักกูด ย่านลิเภา (พวกนีส้ ร้างสปอร์ขนาดเท่ากัน homospore) ยกเว้นพวกเฟินน�ำ ้ เช่น แหนแดง จอกหูหนู ผัก
แว่น เป็นต้น (พวกนีจ้ ะสร้างสปอร์ขนาดไม่เท่ากัน heterospore)
• ทีส่ ำ� คัญน้องๆ ต้องจ�ำให้แม่นนะครับ ว่าแหนแดง กับแหนทีม่ สี เี ขียวลอยอยูบ่ นผิวน�ำ ้ เป็นคนละชนิดกันนะครับ แล้วจอกหูหนู
กับจอก ก็เป็นคนละกลุม่ กัน กลุม่ ของ จอก แหน และไข่นำ �้ (ผ�ำ) จัดเป็นพวกพืชดอกนะครับ โดยเฉพาะไข่นำ�้ ยังจัดเป็นพืชดอกทีเ่ ล็กทีส่ ดุ
ในโลกอีกด้วยครับ นอกจากนีก้ ย็ งั มีพวกทีม่ ชี อื่ เหมือนสาหร่าย ทีเ่ ราชอบน�ำมาท�ำการทดลองในห้องแล็บ ก็คอื สาหร่ายหางกระรอก และ
สาหร่ายข้าวเหนียว นีก่ จ็ ดั เป็นพืชดอกนะครับน้องๆ)
• ส�ำหรับเรือ่ งพืชนัน้ เราจะต้องเข้าใจเองก่อนว่าพืชแต่ละชนิดทีเ่ ราท่องชือ่ มันเนีย่ มันมีรปู ร่างยังไง แล้วเมือ่ จ�ำได้กม็ าแยกตาม
เกณฑ์ดงั นี้ อันได้แก่ พวกไม่มเี นือ้ เยือ่ ล�ำเลียง (non-vascular tissue) จะเป็นพวกทีต่ ำ�่ สุด ต่อมาคือพวกทีม่ เี นือ้ เยือ่ ล�ำเลียง (vascular
tissue) แต่ยงั ไม่มเี มล็ด ต่อมาก็คอื พวกทีม่ เี นือ้ เยือ่ ล�ำเลียงและมีเมล็ด แต่ยงั ไม่มเี ครือ่ งห่อหุม้ เมล็ดหรือทีเ่ ราเรียกว่า พวกเมล็ดเปลือย
นอกนัน้ เป็นเลือดเย็นทัง้ สิน้ ยกตัวอย่างเช่น แมวน�ำ้ เป็นสัตว์เลือดอุน่ แม้จะอยูใ่ นน�ำ้ ทีเ่ ย็นมากๆ ก็ตาม หัวข้อนีจ้ ะท่องเยอะเป็นพิเศษ
เพราะมีชอื่ ของสิง่ มีชวี ติ เยอะแยะมากมายทีเ่ ราควรจะรูจ้ กั และจ�ำได้ เทคนิคการช่วยจ�ำคือ ไปหารูปมาดู
✓ แนวข้อสอบบางครัง้ ถามง่ายๆ แค่วา่ ใครเป็นสัตว์เลือดเย็นใครเป็นสัตว์เลือดอุน่ หรืออาจจะออกแนวทีว่ า่ จุดเด่นของสิง่ มีชวี ติ
แต่ละชนิดเป็นอย่างไร เราก็จำ� แค่สงิ่ มีชวี ติ ทีเ่ ด่นๆ ก็พอ
ยกตัวอย่างเช่น อาจจะถามว่า สิ่งมีชีวิตในตัวเลือกข้อใดที่ไม่มีการสังเคราะห์โปรตีนด้วยตัวเอง? ถ้าหากว่าเรา
สามารถจ�ำลักษณะพิเศษของไวรัสได้ ทีว่ า่ มันต้องอาศัย host (เซลล์เจ้าบ้าน) ในการผลิตโปรตีน และองค์ประกอบ
เซลล์ เราก็จะท�ำข้อนีไ้ ด้แน่นอน
หรือบางทีขา่ วก็ควรอ่านบ้าง ยกตัวอย่างเช่น ช่วงทีม่ เี รือ่ งไข้หวัดสายพันธุใ์ หม่ ไข้หวัดนก H5N1 หรือ H5 N2
อะไรพวกนีก้ อ็ าจจะออกมาให้เห็นได้ในข้อสอบ คนทีอ่ า่ นข่าวก็เท่ากับได้คะแนนฟรีๆ ง่ายๆ เลย แต่ถา้ คนทีไ่ ม่อา่ นข่าว
ก็จบเห่เลย
ตัวอย่างอีกแบบทีเ่ ป็นตารางแล้วถามก็อาจจะเป็นในลักษณะตารางติก๊ ถูก เช่น มอส (อาจจะใช้ชอื่ ภาษาไทย หรือ
ชือ่ inter อย่างเช่น ไบรโอไฟต์ (bryophyte)…) ขอเพียงเราจ�ำได้วา่ มันมีลกั ษณะเด่นอะไรก็พอ เช่น มอส มีเนือ้ เยือ้
หรือเปล่า สร้างอาหารเองได้ไหม มีผนังเซลล์หรือเปล่า มีทอ่ ล�ำเลียงหรือเปล่า มีดอกหรือเปล่า อะไรประมาณนี้
(แนวข้อสอบ)
1.สิง่ มีชวี ติ ใดทีม่ กี ารปรับอุณหภูมไิ ปตามสภาพแวดล้อมทีม่ นั อยู่
ก. นกเพนกวิน โลมา วาฬ
ข. ฮิปโป แมว ปลา
ค. จระเข้ ตัวเงินตัวทอง กิง้ ก่าทะเล
ง. ปลา สุนขั กบ
ค�ำตอบ คือ สิง่ มีชวี ติ ทีส่ ามารถทีจ่ ะปรับเปลีย่ นอุณหภูมใิ ห้เป็นไปตามสภาพแวดล้อมได้นน้ั จะถือเป็นสัตว์เลือดเย็น ซึง่ สัตว์เลือดเย็นก็
เช่น พวกสัตว์เลือ้ ยคลาน ปลา ครึง่ บกครึง่ น�ำ ้ ดังนัน้ เราก็ตอ้ งมาเช็คตัวเลือกกัน โลมากับวาฬ แม้จะอยูใ่ นน�ำ้ แต่มนั นัน้ เป็นสัตว์เลีย้ งลูก
ด้วยน�ำ้ นมดังนัน้ มันต้องเป็นสัตว์เลือดอุน่ เท่านัน้ ดังนัน้ ข้อนีเ้ ลยตอบ ค เป็นค�ำตอบสุดท้าย
2. การเรียงล�ำดับวิวฒ ั นาการของสิง่ มีชวี ติ ในข้อใดถูกต้อง
ก. แบคทีเรีย >>>ราเมือก >>>ชบา
ข. อะมีบา >>>สาหร่ายสีเขียวแกมน�ำ้ เงิน >>>ยุง
ค. ไส้เดือนดิน >>>แมลง>>>หอย
ง. โพรทิสต์>>>ยิสต์>>>สาหร่ายสีเขียวแกมน�ำ้ เงิน
น้องๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
Tag : สอนศาสตร์, ชีววิทยา, อนุกรมวิธาน
• อนุกรมวิธาน ตอนที่ 3
http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch5-5
พืช (Plant)
น้องๆ คงคุน้ เคยกับสิง่ มีชวี ติ ทีเ่ รียกว่าพืชหรือต้นไม้กนั เป็นอย่างดีเพราะในสิง่ แวดล้อมรอบๆ ตัวเรามีพชื ให้เห็นทุกหนทุกแห่ง
พืชก็จดั เป็นสิง่ มีชวี ติ ชนิดหนึง่ ซึง่ มีคณุ อนันต์แก่โลกของเรา เรียกได้วา่ ถ้าไม่มพี ชื มนุษย์กอ็ ยูไ่ ม่ได้เลยทีเดียว
โครงสร้างของพืชดอก
ราก (Root) คือส่วนทีง่ อกออกมาจากเมล็ดเป็นส่วนแรกและเจริญลงสูใ้ ต้ดนิ ปกติรากมีหน้าทีด่ ดู น�ำ้ และแร่ธาตุตา่ งๆ ในดิน แต่
ในรากพืชบางชนิดก็จะมีหน้าทีพ่ เิ ศษเช่น
• ท�ำหน้าทีเ่ ก็บสะสมอาหาร: กระชาย แครอท มันเทศ มันแกว
• ท�ำหน้าทีช่ ว่ ยหายใจ : แสม ล�ำพู
• ท�ำหน้าทีค่ ำ�้ จุน: โกงกาง ข้าวโพด เตย ข้าวฟ่าง
• ท�ำหน้าทีส่ งั เคราะห์แสง: กล้วยไม้
ระบบรากของพืช แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1) ระบบรากแก้ว (tap root) พบในพืชใบเลีย้ งคู่ เจริญมาจากรากแรกเกิด (radical) มีขนาดใหญ่ และสามารถแตกแขนงรากได้มาก
ชอนไชลงไปในดินได้ลกึ
2) ระบบรากฝอย (fibrous root) พบในพืชใบเลีย้ งเดีย่ ว งอกจากโคนต้น ไม่ได้เจริญมาจากรากแรกเกิด มีขนาดเท่าๆ กัน
โครงสร้างภายในของราก แบ่งเป็นออกเป็น 4 บริเวณ คือ
ทีม่ า: http://cnx.org/contents/a4f293cf-f2c6-453e-930a-9668078a8eca@1/2.1.1_-_Anatomy_of_dicotyleden
• โฟลเอ็ม (Phloem)
- ซีฟทิวบ์ (sieve tube) เป็นเซลล์ผนังบางมีรทู ะลุตอ่ กันเป็นท่อยาวให้อาหารผ่านได้ เมือ่ โตเต็มทีไ่ ม่มนี วิ เคลียส
- เซลล์คอมพาเนียน (companion cell) อยูต่ ดิ กับซีฟทิวบ์เสมอ ช่วยล�ำเลียงอาหาร
- พาเรงคิมา (parenchyma) สะสมอาหาร
- ไฟเบอร์ (fiber) เพิม่ ความแข็งแรง
• ไซเลม (Xylem)
- เทรคีด (tracheid) เซลล์ยาวเรียวมีรพู รุน ให้นำ�้ และแร่ธาตุผา่ น
- เวสเซล (vessel) เซลล์เป็นท่อกลวงเรียงกันตามยาวหัวท้ายมีรทู ะลุ ท�ำหน้าทีล่ ำ� เลียงน�ำ้ และอาหาร
- พาเรงคิมา (parenchyma)
- ไฟเบอร์ (fiber)
พืชใบเลีย้ งคู่ พืชใบเลีย้ งเดีย่ ว
เส้นใบจะแตกแขนงออกจากเส้นกลางใบ เส้นใบจะมีขนาดใหญ่เรียงขนานกัน จากโคน
สานกันเป็นร่างแห (netted venation) เช่น ถึงปลายใบและเส้นใบย่อยจะแตกแขนงขนานกันไป
ใบฝรัง่ ใบขนุน เป็นต้น (parallel venation) เช่น ใบข้าวโพด ใบอ้อย เป็นต้น
ทีม่ า : http://cnx.org/contents/539bbdf7-42d3-4b33-99e6-33aeb33b0c42@6/Root_and_Leaf_Structur
แผ่นใบ (Blade)
ก้านใบ (Petiole)
หูใบ (Stipules)
• โครงสร้างภายในของใบ ประกอบด้วย
1. เอพิเดอร์มสิ (epidermis) อยูช่ นั้ นอกสุดเป็นเซลล์เรียงตัวกันบางๆ แถวเดียว ทัง้ ด้านบน (upper epidermis) และด้านล่าง (lower
epidermis) ของใบ ไม่มคี ลอโรฟิลล์ มีควิ ทินเคลือบอยูท่ ผี่ นังเซลล์ดา้ นนอก เพือ่ ป้องกันการระเหยของน�ำ้ ออกจากใบ บางเซลล์ในชัน้ นี้
เปลีย่ นไปเป็นเซลล์คมุ (guard cell) มีลกั ษณะคล้ายเมล็ดถัว่ แดง 2 เมล็ดมาประกบกัน ท�ำให้เกิดรูตรงกลางขึน้ เรียกว่า ปากใบ (stomata)
การคายน�ำ้ (Transpiration)
น้องๆ เคยสังเกตหรือเปล่าว่า เวลาทีห่ อ่ ดอกไม้หรือต้นไม้เล็กด้วยถุงพลาสติกแล้วทิง้ ไว้จะมีหยดละอองน�ำ้ เล็กๆ เกาะอยู่
ภายในถุง แล้วหยดละอองน�ำ้ เหล่านัน้ มาจากไหน ?
พืชคายน�ำ้ ผ่านทางปากใบเป็นส่วนใหญ่ ความเข้มข้นของสารละลายในเซลล์คมุ จะเป็นตัวก�ำหนด การปิดเปิดของปากใบ โดยแสง
จะกระตุน้ ให้ K+ แพร่เข้าไปในเซลล์คมุ ซึง่ ท�ำให้สารละลายภายในเซลล์คมุ มีความเข้มข้นมากขึน้ น�ำ้ จึงแพร่เข้าสูเ่ ซลล์ทำ� ให้ปากใบเปิด
และถ้าลดปริมาณ K+ ในเซลล์คมุ ท�ำให้ปากใบปิด นอกจากนีเ้ มือ่ อยูใ่ นสภาวะทีพ่ ชื ขาดน�ำ ้ พืชจะสังเคราะห์กรดแอบไซซิก (abscisic acid)
มาควบคุมท�ำให้ปากใบปิด แม้จะยังมีแรงกระตุน้ อยูก่ ต็ าม
การล�ำเลียงน�ำ้ และแร่ธาตุ
1. น�ำ้ จากดินจะแพร่ผา่ นเยือ่ หุม้ เซลล์บริเวณรากเข้าสูท่ อ่ ล�ำเลียงของพืช โดยมีรปู แบบการเคลือ่ นที่ 2 แบบ คือ
- อโพพลาส (apoplast) น�ำ้ เคลือ่ นทีผ่ า่ นผนังเซลล์หรือช่องว่างระหว่างเซลล์
- ซิมพลาส (symplast) น�ำ้ เคลือ่ นทีผ่ า่ นทางไซโทพลาสซึม เยือ่ หุม้ เซลล์และช่องพลาสโมเดสมาตา
(Casparian strip)
(Apoplastic route)
(แนวข้อสอบ)
ข้อใดต่อไปนีเ้ กีย่ วข้องน้อยทีส่ ดุ ในการปรับตัวเพือ่ ลดการคายน�ำ้ ของพืช
ก. การมีปากใบอยูด่ า้ นหลังใบของพืช
ข. ผลัดใบบางส่วน
ค. การมีใบเป็นหนามของต้นกระบองเพชร
ง. การมีเปลือกแข็งหุม้ ล�ำต้น
การล�ำเลียงอาหารของพืช
แหล่งสร้างกลูโคส Active โฟลเอม แรงดันจากน�ำ้ ที่ โฟลเอม เนือ้ เยือ่ ต่างๆ
(ความเข้มข้นสูง) transport (ต้นทาง) ออสโมซิสเข้ามา (ปลายทาง) (ความเข้มข้นต�ำ่ )
การสืบพันธุข์ องพืชดอก
ลักษณะของดอกสามารถแบ่งแยกโดยใช้หลักเกณฑ์หลายหลัก ดังนี้
1. พิจารณาโครงสร้างหลัก
โครงสร้างหลักของดอกมี 4 ส่วน คือ กลีบเลีย้ ง กลีบดอก เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย
- ดอกสมบูรณ์ (complete flower) = มีโครงสร้างหลักข้างต้นครบ 4 ส่วน
- ดอกไม่สมบูรณ์ (incomplete flower) = มีโครงสร้างหลักไม่ครบ 4 ส่วน
- ดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) = มีทงั้ เกสรตัวผูแ้ ละเกสรตัวเมีย ในดอกเดียวกัน
- ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower) = ขาดเกสรเพศใดเพศหนึง่ ไป (ในหนึง่ ดอก มีเกสรตัวผู้ หรือเกสรตัวเมีย
เพียงอย่างเดียว)
2. พิจารณาจากต�ำแหน่งของรังไข่
ดอกทีม่ สี รี งั ไข่เหนือฐานรองดอก (superior ovary) เช่น มะเขือ จ�ำปี
ดอกทีม่ รี งั ไข่ใต้ฐานรองดอก (inferior ovary) เช่น ฟักทอง ทับทิม
3. พิจารณาจากจ�ำนวนดอกบนก้านดอก
- ดอกเดีย่ ว หมายถึง บนก้านมีแค่ดอกเดียว เช่น ดอกบัว ดอกจ�ำปี
- ช่อดอก หมายถึง บนก้านมีหลายๆ ดอก เช่น ดอกเข็ม ดอกมะลิ
✓ ดอกไม้บางชนิดมีลกั ษณะคล้ายดอกเดีย่ ว เช่น ทานตะวัน ดาวเรือง แต่แท้จริงแล้วเป็นดอกช่อทีด่ อกย่อยเกิดตรงปลายก้าน
ดอกช่อดอกเดียวกัน ดอกย่อยเรียงกันอยูบ่ นฐานรองดอก ไม่มกี า้ นดอกย่อย จึงอาจท�ำให้เข้าใจผิดได้
(แนวข้อสอบ)
วิธกี ารขยายพันธุพ์ ชื แบบใดทีม่ โี อกาสเกิดการกลายพันธุส์ งู ทีส่ ดุ
ก. ติดตา
ข. ตอนกิง่
ค. เพาะเลีย้ งเนือ้ เยือ่
ง. เพาะเมล็ด
เฉลย ง. เพราะมีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส ส่วนข้ออืน่ ๆ เป็นการขยายพันธุจ์ ากต้นเดิมไม่มกี ารปฏิสนธิจงึ ไม่เกิดการเปลีย่ นแปลง
ของสารพันธุกรรม
ไมโอซิส (meiosis)
ไมโครสปอร์ (n) เมกะสปอร์ (n)
จ�ำนวน 4 cell 1 นิวเคลียส จ�ำนวน 4 cell แต่ 3 cell สลายไป
แบ่งผลตามลักษณะของดอกและการเกิดผลออกเป็น 3 ชนิดดังนี้
1. ผลเดีย่ ว (simple fruit) เกิดจากดอกเดีย่ วหรือช่อดอกก็ได้ แต่ดอกนัน้ ต้องมีรงั ไข่เพียงอันเดียว เช่น เงาะ ล�ำไย องุน่ ทุเรียน
2. ผลกลุม่ (aggregate fruit) เกิดจากดอกหนึง่ ดอกทีม่ หี ลายรังไข่บนฐานดอกเดียวกัน เช่น สตรอเบอร์รี่ น้อยหน่า กระดังงา
3. ผลรวม (multiple fruit) เกิดจากรังไข่ของดอกย่อยบนช่อดอกหลอมรวมกันเป็นผล เช่น ขนุน สัปปะรด ลูกยอ
ส่วนประกอบของเมล็ด (seed)
1. เปลือกหุม้ เมล็ด (seed coat) อยูช่ นั้ นอกสุด ท�ำหน้าทีป่ อ้ งกันอันตรายแก่เอ็มบริโอทีอ่ ยูภ่ ายใน และลดการสูญเสียน�ำ้ เพราะมี
สารพวกไขเคลือบอยู่
2. เอ็มบริโอ (embryo) คือส่วนทีเ่ จริญมาจาก zygote และจะเจริญไปเป็นต้นอ่อน ประกอบด้วย
- ใบเลีย้ ง (Cotyledon) พืชใบเลีย้ งเดีย่ วมีใบเลีย้ งเพียงใบเดียว พืชใบเลีย้ งคูม่ ใี บเลีย้ ง 2 ใบ ท�ำหน้าทีส่ ะสมอาหาร
- เอพิคอททิล (Epicotyl) เป็นส่วนทีอ่ ยูเ่ หนือต�ำแหน่งใบเลีย้ ง ส่วนนีจ้ ะเจริญไปเป็นล�ำต้น ใบ และดอกของพืช
- ไฮโพคอททิล (Hypocotyl) เป็นส่วนทีอ่ ยูใ่ ต้ตำ� แหน่งใบเลีย้ ง ในพืชหลายชนิดส่วนนีจ้ ะท�ำหน้าทีด่ งึ ใบเลีย้ งให้โผล่
เหนือดิน
- แรดิเคิล (Radicle) เป็นส่วนล่างสุด ซึง่ จะเจริญเป็นรากต่อไป (เจริญไปเป็นรากแก้วในพืชใบเลีย้ งคู)่
3. เอนโดสเปิรม์ (Endosperm) เกิดจากการปฏิสนธิ (มีโครโมโซม = 3n) เป็นแหล่งอาหารในการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอ
การตอบสนองของพืช
ไซโทไคนิน - ช่วยให้แบ่งเซลล์มากขึน้
cytokinin - กระตุน้ การเจริญของกิง่ แขนง การแตกกิง่
- ช่วยชะลอการแก่ของใบ
- ช่วยในการปิดเปิดของปากใบ ช่วยให้ปากใบเปิดในทีม่ ดื
(แนวข้อสอบ)
ข้อใดไม่ถกู ต้องเกีย่ วกับปฏิกริ ยิ าคาร์บอกซิเลชัน
ก. ผลลัพธ์ทเี่ สถียรเป็นสารทีม่ คี าร์บอน 6 อะตอม
ข. ถูกเร่งปฏิกริ ยิ าโดยเอนไซม์รบู สิ โก
ค. ได้ผลลัพธ์คอื 3-phosphoglycerate (3PGA)
ง. สารตัง้ ต้นของปฏิกริ ยิ ามีคาร์บอน 5 อะตอม
เฉลย ก. เพราะได้ผลลัพธ์ทเี่ สถียรเป็นสารทีม่ คี าร์บอน 3 อะตอมคือ PGA ส่วนข้ออืน่ ๆ นัน้ เกีย่ วข้องกับปฏิกริ ยิ าคาร์บอกซิเลชันหมด
น้องๆ ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
Tag : สอนศาสตร์, ชีววิทยา, พืช, อาณาจักรพืช, การสังเคราะห์แสง
• 05 : การสังเคราะห์แสง
http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch6-1
วิวัฒนาการ (evolution)
✓ บทนีก้ อ็ อกแบบตรงไปตรงมา อ่านเยอะ จ�ำให้ได้กต็ อบได้แต่เนือ้ หาเยอะมาก เรือ่ งนีพ้ เี่ ลยแนะน�ำให้ทอ่ งตัวอย่างของสิง่ มี
ชีวติ ไปเลยว่ามีใครอะไรยังไงเพราะมันง่ายกว่า แม้หวั ข้อนีจ้ ะไม่ได้ยากมาก เนือ้ หาเยอะแต่ มันเยอะเพราะนิยามเพือ่ จะอธิบายให้เราได้
เข้าใจแต่ความจริงแล้วการจะตัง้ ค�ำถามเพือ่ ถามนิยามนัน้ มันก็มกั จะตัง้ ในลักษณะของการยกตัวอย่างนัน้ เอง หรือบางครัง้ ก็ถงึ ขัน้ ถาม
นิยามดือ้ ๆ เลยว่าข้อไหนถูกหรือผิด ดังนัน้ ถ้าหากเราสามารถทีจ่ ะหาตัวอย่างได้ยงิ่ เยอะเราก็เท่ากับว่า ตอนอยูใ่ นห้องสอบก็ไม่ตอ้ งไปเสีย
เวลาเอาตัวเลือกตัวอย่างสิง่ มีชวี ติ มาเปรียบเทียบกับนิยามความหมายทีเ่ ราจ�ำมาก่อนหน้านีเ้ พราะว่านัน้ อาจจะท�ำให้นอ้ งเสียเวลา
✓ เรือ่ งนีอ้ าจจะเอาไปออกปนกับเรือ่ งของ DNA สารพันธุกรรมด้วย หรือพวก GMO อะไรพวกนัน้
• สมัยนี้ข้อสอบตัวเลือกมีตัวเลือกที่มากขึ้นโอกาสเดาผิดเลยมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นถ้าจะเดาค�ำตอบก็คงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดาย
ซะแล้ว เพราะถ้าไม่แม่นจริงเข้าใจจริงก็คงเดีย้ งแน่ๆ แต่อย่าพึง่ เสียใจไปหรือเครียดไปเมือ่ ถึงเวลาทีเ่ ราต้องลองเดาดูนนั้ ก็ให้ดดู ๆี ก่อน
คือว่าถ้าเป็นข้อทีเ่ ราคิดว่าไม่มที างถูกแน่นอนก็ตดั ออกไปแล้วมาคิดข้อต่อๆ ไปว่าอันไหนน่าจะไม่นา่ จะใช่ ตัดไปตัดมาอาจจะเหลือประมาณ
สองสามตัวเลือกแบบนีก้ เ็ ท่ากับว่าความเป็นไปได้ทจี่ ะตอบถูกจากสองหรือสามตัวเลือกนีน้ า่ จะถูก ถ้าเดาถูกก็ดใี จด้วยแต่ถา้ ผิดก็อย่าเสียใจ
ไปเพราะเราเองก็จำ� ไม่ได้ตงั้ แต่แรกอยูแ่ ล้ว บางครัง้ ชีววิทยาเป็นวิชาทีท่ ำ� ไม่คอ่ ยทัน ถึงกับต้องเดาบ้างก็คงเป็นเรือ่ งทีไ่ ม่ผดิ อะไรหรอกนะ
• สิง่ ทีข่ อ้ สอบมักถาม เช่น กฎแห่งการใช้และไม่ใช้ (law of use and disuse) ของลามาร์ก หรือทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
ของชาลล์ ดาร์วนิ ทีจ่ ะช่วยตอบข้อสงสัยว่าท�ำไม ยีราฟ ถึงมีคอยาว?...
• เรือ่ งนีม้ นั ต้องอ่านและจ�ำให้ได้ สิง่ ทีต่ อ้ งท�ำคืออ่านซ�ำ
้ เพราะบททีเ่ นือ้ หาเยอะมักจะออกแบบตรงไปตรงมาแค่จำ� ได้กโ็ อเค
✓ ส�ำหรับเรือ่ งนีพ้ วี่ า่ เขาน่าจะเน้นเรือ่ งของการสืบพันธุเ์ สียมากกว่า โดยเฉพาะการสืบพันธุแ์ บบไม่อาศัยเพศ โดยเขาจะถาม
ว่าการสืบพันธุแ์ บบไหนทีไ่ ม่มผี ลต่อพันธุกรรม เราก็ตอบไปเลยว่าการขยายพันธุพ์ ชื ทุกแบบทีไ่ ม่ใช้การใช้เมล็ด เพราะการเกิดเมล็ดได้ตอ้ ง
อาศัยเพศ ไง
✓ ถ้าเป็นไปได้ควรอ่าน เทคโนโลยีการสือ่ พันธุด์ ว้ ยก็ดี ข้อสอบจะออกไม่ลกึ และมักจะเอาตัวอย่างในบทเรียนมาออก คงไม่ได้
ยากถึงขัน้ เอางานวิจยั ของมหาวิทยาลัยมาออกหรอก หรือถ้าไม่ได้ถามตัวอย่างก็นา่ จะถามอะไรทีเ่ ป็นนิยามเช่นถามว่านิยามไหนใช้ไม่ได้
กลับสถานการณ์ใดใน choice หรือว่าถามถูกผิดไปเลย ดังนัน้ เราต้องเอานิยามของค�ำศัพท์มาวิเคราะห์คดิ ให้เป็น
ถ้าถามว่ายากไหมในบทนีก้ ค็ งต้องตอบว่า ยากส�ำหรับคนไม่อา่ น แต่งา่ ยส�ำหรับคนอ่านเพราะว่าบทนีเ้ นือ้ หาเยอะส่วนใหญ่จำ �
แม้แต่พวกตัวอย่างมันก็ยงั ดันออกแต่ตวั อย่างเดิมๆ ไม่เชือ่ ลองดูขอ้ สอบเก่าๆ มันจะซ�ำ้ ๆ กัน
ระบบนิเวศ (Ecosystem)
แยกกันมันจะเป็น (0,0) ซึง่ ไม่มอี ะไรล�ำบาก มันก็แค่เฉยๆ ไม่มใี ครได้ใครเสียอะไร
เรือ่ งนีเ้ น้นย�ำ้ อีกครัง้ คือท่องตัวอย่างไปเลย ไม่ตอ้ งท�ำความเข้าใจอะไรมากเพราะยิง่ ท�ำความเข้าใจมากเดียวน้องจะสับสน ดัง
นัน้ ท่องตัวอย่างในแบบเรียนไปเลยง่ายทีส่ ดุ
• ส�ำหรับเรือ่ งวัฏจักรสารนัน้ ในข้อสอบ O-NET ก็ออกง่ายๆ พวกออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และน�ำ้ เป็นส่วนมาก เพราะเจอ
ในชีวติ บ่อยและส�ำคัญสุด แต่ขอ้ สอบจะออกมาแบบไหนนัน้ หรอ ก็มกั จะเป็นในลักษณะทีเ่ ป็นแผนรูปภาพวงจรวัฏจักรมาให้แล้วเว้นช่อง
ว่างให้เติมให้เต็ม หรือไม่กอ็ าจจะเอาไปปนเรือ่ งอืน่ ด้วย เช่น การหายใจ เข้าออก เกิดแก๊ซอะไรแล้ว แก๊ซทีอ่ อกมาหลังจากนัน้ แล้วไปไหน
ต่อ พืชเอาไปสังเคราะห์แสงต่อหรือเปล่า ประมาณนัน้
• เรือ่ งของสารอาหารพลังงานและสารพิษสะสมในสิง่ มีชวี ติ อันนีก้ อ็ อกบ่อยโดยเฉพาะเรือ่ งสารพิษสะสมในสิง่ มีชวี ติ มีเทคนิค
คือว่า สารพิษนัน้ จะไม่ออกไปนอกร่างกาย จะสะสมไปเรือ่ ยๆ เหมือนเทน�ำ้ ใส่ขวดแล้วปิดฝาไว้ไม่ให้นำ้� ระเหยออกมา ดังนัน้ ถ้ารับเข้าไปยิง่
เยอะ มันก็สะสมยิง่ เยอะไม่มลี ดลงเลยและจะเยอะมากขึน้ เมือ่ เป็นสิง่ มีชวี ติ ทีอ่ ยูส่ งู สุดของห่วงโซ่อาหาร เช่น มนุษย์ สิงโต เสือ นก
อินทรีย์ เป็นต้น
(แนวข้อสอบ)
1.สมชายเดินป่าเข้าไปในพืน้ ทีแ่ ห่งหนึง่ ด้วยความสงสัยเลยได้เก็บเอาสิง่ มีชวี ติ ทีอ่ ยูบ่ ริเวณนัน้ มาทดสอบ สิง่ มีชวี ติ นัน้ คือปลาสายรุง้ ผลที่
ตามมาคือ สมชายพบว่า สิง่ มีชวี ติ ทีเ่ ขาจับมาทดสอบนัน้ มีปริมาณสารก�ำจัดแมลงปนเปือ้ นอยูท่ กุ ตัวและในปริมาณทีม่ ากด้วย ถามว่าข้อ
สรุปต่อไปนีข้ อ้ ไดถูกเกีย่ วกับปลาสายรุง้
ก. เป็นผูบ้ ริโภคพืชล�ำดับแรกของห่วงโซ่อาหาร
ข. เป็นผูบ้ ริโภคทัง้ สัตว์และพืช
ค. เป็นผูบ้ ริโภคสัตว์ลำ� ดับแรกของห่วงโซ่อาหาร
ง. เป็นผูบ้ ริโภคสัตว์ลำ� ดับสุดท้ายของห่วงโซ่อาหาร
• เรือ่ งการเปลีย่ นแปลงแทนทีก่ อ็ อกบ้าง สิง่ ทีเ่ ป็นประเด็นส�ำคัญมันคือ ความแตกต่างระหว่างการเปลีย่ นแปลงแบบ ปฐมภูมิ
กับทุตยิ ภูมิ คือ ปฐมภูมจิ ะเกิดขึน้ บนพืน้ ทีท่ ไี่ ม่เคยมีสงิ่ มีชวี ติ อยูเ่ ลยมาก่อน เช่น พวกเกาะทีเ่ กิดจากภูเขาไฟใต้ทะเล แล้วสิง่ มีชวี ติ บุกเบิก
ค�ำตอบ ของข้อนีก้ ค็ งจะต้องลองใส่คำ� ตอบเข้าไปดูนะ อย่าง กระต่ายนัน้ กินพืช ไม่นา่ จะกินตัก๊ แตน ถึงแม้อนิ ทรียจ์ ะกินกระต่ายแต่ยงั
ไงมันก็ผดิ แหละ ต่อมา แมวไม่นา่ จะกินตัก๊ แตน และ หมูกไ็ ม่นา่ จะกินตัก๊ แตน สรุป นกมันเป็นไปได้ทจี่ ะกินตัก๊ แตน และ นกก็อาจจะถูก
อินทรียจ์ บั กินได้ ข้อนีเ้ ลยน่าจะตอบ ข. เป็นค�ำตอบทีถ่ กู ทีส่ ดุ
ประชากร
น้องๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
Tag : สอนศาสตร์ ชีววิทยา, วิวฒ
ั นาการ, ระบบนิเวศ, สิง่ มีชวี ติ กับสิง่ แวดล้อม, ประชากร, ระบบนิเวศและประชากร
• 01 : ระบบนิเวศ
http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch7-1
• ระบบนิเวศและประชากรศาสตร์
ตอนที่ 2
http://www.trueplookpanya.com/
book/m6/onet-biology/ch7-8
บันทึกช่วยจ�ำ