Professional Documents
Culture Documents
องค์ประกอบและการแบ่ งชั้นบรรยากาศ
ความกดอากาศ
สัญลักษณ์สาคัญที่ปรากฏในแผนที่อากาศ เช่น
อักษร H แทนหย่อมควำมกดอำกำศสูง โดยเส้นในสุดแสดงว่ำมีควำมกดอำกำศสูงสุด และอำจ
เรี ยกว่ำ ศู นย์ กลางของความกดอากาศสู ง
อักษร L แทนหย่อมควำมกดอำกำศต่ำ โดยเส้นในสุดแสดงว่ำมีควำมกดอำกำศต่ำสุด และอำจ
เรี ยกว่ำ ศู นย์ กลางของความกดอากาศต่า
เส้ นความกดอากาศแต่ละเส้นเรี ยกว่ำ เส้ นไอโซบาร์ (isobar) โดยแต่ละเส้นจะผ่ำนบริ เวณที่มีควำมดัน
อำกำศเท่ำกัน ในขณะที่ตรวจวัดสภำพอำกำศขณะนั้น ตัวเลขบนแผนที่แทนค่ำควำมดันอำกำศหน่วยเป็ น เฮกโต
พำสคัล (1 เฮกโตพำสคัล = 102 พำสคัล) เส้นที่มีควำมกดอำกำศอยูใ่ กล้ตวั อักษร H มีควำมกดอำกำศสูง เส้นที่มี
ควำมกดอำกำศอยูใ่ กล้ตวั อักษร L มีควำมกดอำกำศต่ำ
2. กำรสื่ อสำร เจ้ำหน้ำที่ฝ่ำยสื่ อสำรจะเป็ นผูน้ ำข้อมูลจำกสถำนีตรวจอำกำศทั้งภำยในประเทศและ
ต่ำงประเทศ มำทำกำรเขียนแผนที่อำกำศ แล้วส่งต่อไปยังนักพยำกรณ์อำกำศเพื่อวิเครำะห์และรำยงำนสภำพ
อำกำศต่อไป กำรสื่ อสำรจะต้องทำอย่ำงรวดเร็วและมีประสิ ทธิภำพ โดยอำศัยอุปกรณ์ในกำรลื่อสำรที่ทนั สมัย
เช่น วิทยุโทรพิมพ์ (teletype) โทรสำร (telefax) และโทรศัพท์ (telephone)
3. กำรพยำกรณ์อำกำศ ในประเทศไทย กรมอุตุนิยมวิทยำ จะทำหน้ำที่รวบรวมผลกำรตรวจสอบจำก
สถำนีตรวจอำกำศทัว่ ประเทศ แล้วนำมำทำแผนที่อำกำศร่ วมกับข้อมูลที่ได้จำกภำพถ่ำยดำวเทียม เพื่อสรุ ป
ลักษณะสำคัญของลมฟ้ำอำกำศที่เกิดขึ้น จำกนั้นก็ทำกำรกระจำยข่ำวกำรพยำกรณ์ในช่วงเวลำสั้น ๆ โดยกล่ำวถึง
สภำพลมฟ้ำอำกำศที่กำลังก่อตัวในช่วง 12-24 ชัว่ โมง และกำรพยำกรณ์ในวงกว้ำง โดยรำยงำนเกี่ยวกับสภำพ
อำกำศในอีก 5 วันข้ำงหน้ำ หรื อบำงครั้งก็มีกำรคำดกำรณ์ล่วงหน้ำถึง 30 วัน นอกจำกนี้กรมอุตุนิยมวิทยำยังทำ
อุตุนิยมวิทยากับชีวิตประจาวัน
กำรรำยงำนสภำพอำกำศในแต่ละวันนั้นมีประโยชน์ เพรำะจะทำให้เรำสำมำรถป้องกันอันตรำยที่อำจ
เกิดจำกปรำกฏกำรณ์ลมฟ้ำอำกำศได้ สำมำรถวำงแผนกำรทำงำนล่วงหน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคจำกสภำพของ
อำกำศ นอกจำกนี้ ขอ้ มูลเกี่ยวกับสภำพอำกำศและกำรวิเครำะห์ลกั ษณะอำกำศยังมีประโยชน์อย่ำงมำกต่อกำร
วำงแผนและดำเนินกำรในด้ำนต่ำง ๆ ดังนี้
ด้ำนเกษตรกรรม กำรทรำบลักษณะของอำกำศมีประโยชน์ต่อเกษตรกรในกำรคัดเลือกพันธุ์ที่จะปลูก
ให้เหมำะกับสภำวะของอำกำศในแต่ละบริ เวณ ตลอดจนกำรคัดเลือกพันธุ์สัตว์ให้เหมำะสมกับสภำพอำกำศใน
แต่ละท้องถิ่น
ด้ำนวิศวกรรม กำรทรำบลักษณะของอำกำศมีประโยชน์ต่อกำรออกแบบและก่อสร้ำงอำคำรให้
สอดคล้องกับสภำพกำรไหลเวียนของอำกำศในบริ เวณที่ทำกำรก่อสร้ำง เพื่อช่วยประหยัดพลังงำนและทำให้มี
กำรระบำยอำกำศที่ดี
ด้ำนกำรขนส่ง กำรทรำบลักษณะของอำกำศมีประโยชน์ในกำรกำหนดเส้นทำงเดินเรื อที่ปลอดภัยจำก
บริ เวณที่เกิดพำยุ หรื อถ้ำเป็ นกำรเดินทำงโดยเครื่ องบินก็ตอ้ งพยำยำมหลีกเลี่ยงบริ เวณที่มกั จะมีอำกำศแปรปรวน
การเปลีย่ นแปลงสภาพอากาศ
ปัจจุบนั อำกำศมีกำรเปลี่ยนแปลงไปในทำงที่ทำให้เกิดอันตรำยต่อชีวิตและสิ่ งแวดล้อมมำกขึ้น โดยเกิดจำก
กำรปนเปื้ อนของสำรเคมีและสิ่ งแปลกปลอมอื่น ๆ เรำเรี ยกสภำพอำกำศในลักษณะนี้วำ่ กำรเกิดมลพิษทำง
อำกำศ (air pollution)
มลพิษทำงอำกำศ หมำยถึง กำรที่อำกำศมีปริ มำณควำมเข้มข้นของสำร หรื อสิ่ งแปลกปลอมเกินกว่ำที่
ควรจะมีในอำกำศปกติ ก่อให้เกิดอันตรำยต่อชีวิตมนุษย์และทรัพย์สินได้ มีสำเหตุกำรเกิดที่สำคัญ 2 ประกำร คือ
1. สำเหตุทำงธรรมชำติ เช่น กำรปะทุของภูเขำไฟซึ่งจะพ่นเถ้ำถ่ำน ฝุ่ นผง และแก๊สต่ำง ๆ ออกสู่อำกำศ
กำรเกิดไฟป่ ำซึ่งทำให้เกิดแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหำศำล เถ้ำถ่ำน และฝุ่ นผงต่ำง ๆ
2. สำเหตุจำกกำรกระทำของมนุษย์ มลพิษทำงอำกำศที่เกิดจำกกำรกระทำของมนุษย์น้ ี มีปริ มำณเพิ่มขึ้น
เรื่ อย ๆ เนื่องจำกกำรขยำยตัวทำงเศรษฐกิจและสังคม และกำรตัดไม้ทำลำยป่ ำซึ่งเป็ นทรัพยำกรธรรมชำติที่สำคัญ
ในกำรสร้ำงแก๊สออกซิเจนให้กบั อำกำศ และช่วยลดปริ มำณแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์และฝุ่ นละอองในอำกำศ
จำกกำรศึกษำเกี่ยวกับสำรปนเปื้ อนที่ก่อให้เกิดมลพิษทำงอำกำศ ทำให้สำมำรถแบ่งชนิดของสำร
ปนเปื้ อนออกเป็ นกลุ่ม ๆ ได้หลำยกลุ่ม กลุ่มที่สำคัญคือ
1. กลุ่มออกไซด์ของกำมะถัน สำเหตุหลักเกิดจำกกำรเผำปิ โตรเลียมและถ่ำนหินซึ่งมีกำมะถันเป็ น
ส่ วนประกอบ สำรปนเปื้ อนที่สำคัญในกลุ่มนี้ คือ แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ซึ่งจะถูกออกซิไดส์ในอำกำศ
เกิดเป็ นแก๊สซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ (SO3) ซึ่งจะทำปฏิกิริยำกับละอองน้ ำในอำกำศเกิดเป็ นฝนกรดที่สร้ำงควำม
เสี ยหำยต่ออำคำรบ้ำนเรื อน และเป็ นอันตรำยต่อชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์
2. กลุ่มออกไซด์ของไนโตรเจน ที่สำคัญ คือ ไนโตรเจนมอนนอกไซด์ (NO) ซึ่งเกิดจำกกำรรวมตัวของ
ไนโตรเจนกับออกซิเจนในปฏิกิริยำสันดำป เช่น กำรสันดำปของเครื่ องยนต์ ไนโตรเจนมอนอกไซด์จะรวมตัว
กับออกซิเจนในอำกำศเกิดเป็ นไนโตรเจนไดออกไซด์ ซึ่งเป็ นสำรพิษที่เป็ นอันตรำยถึงชีวิตได้เมื่อปนเปื้ อนอยูใ่ น
อำกำศในปริ มำณสูง
3. โอโซน (O3) โอโซนในชั้นบรรยำกำศมีประโยชน์ในกำรช่วยสกัดกั้นรังสี อลั ตรำไวโอเลตจำกดวง
อำทิตย์ แต่แก๊สโอโซนนั้นถือเป็ นแก๊สที่อนั ตรำย จะก่อให้เกิดอำกำรแพ้ในระบบทำงเดินหำยใจ และเป็ น
อันตรำยต่อดวงตำ นอกจำกนี้ยงั ก่อให้เกิดอำกำรผิดปกติข้ นึ ในกระบวนกำรเมแทบอลิซึมของสิ่ งมีชีวิต
4. คำร์บอนมอนอกไซด์ (CO) เกิดจำกกำรเผำไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ เช่น กำรเผำไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ใน
เครื่ องยนต์ เป็ นแก๊สไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เมื่อเข้ำไปในกระแสเลือดจะไปรวมตัวกับเฮโมโกลบินของเม็ดเลือดแดง
ทำให้เม็ดเลือดแดงสู ญเสี ยควำมสำมำรถในกำรรับแก๊สออกซิเจนทำให้ร่ำงกำยขำดแก๊สออกซิเจนจนเป็ น
อันตรำยถึงชีวิตได้
5. กลุ่มสำรกัมมันตรังสี สำเหตุส่วนใหญ่มำจำกกำรรั่วไหลจำกโรงไฟฟ้ำซึ่งใช้เชื้อเพลิง สำรกลุ่มนี้ทำ
ให้เกิดมะเร็งได้ และส่งผลต่อผูท้ ี่ได้รับสำรพิษในด้ำนกำรเปลี่ยนแปลงของยีน (gene) พันธุกรรมด้วย
นอกจำกที่กล่ำวมำข้ำงต้นแล้ว ยังมีสำรปนเปื้ อนอื่น ๆ อีกที่พบในอำกำศ ได้แก่ สำรพวก
ไฮโดรคำร์บอน พวกกรดอินทรี ยแ์ ละกรดอนินทรี ยต์ ่ำง ๆ รวมถึงสำรที่เป็ นฝุ่ นผงและละอองที่แขวนลอยใน
อำกำศ
ปัญหำมลพิษทำงอำกำศในปั จจุบนั มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่ อย ๆ ดังนั้นทุกคนควรช่วยกันลดปัญหำมลพิษ
ทำงอำกำศ เพื่อไม่ให้มลพิษทำงอำกำศเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่สิ่งมีชีวิตจะอำศัยอยูไ่ ม่ได้ โดยสำมำรถทำได้ดงั นี้
1. เข้ำร่ วมกำรรณรงค์เพื่อลดมลพิษทำงอำกำศเมื่อมีโอกำส เมื่อพบเห็นผูท้ ี่ก่อมลพิษทำงอำกำศ ควรรี บ
แจ้งให้เจ้ำหน้ำที่หรื อหน่วยงำนที่เกี่ยวข้องทรำบ
2. ลดกำรตัดไม้ทำลำยป่ ำ ช่วยกันปลูกต้นไม้และดูแลต้นไม้ที่มีอยู่ เพรำะต้นไม้จะช่วยกรองอำกำศเสี ย
ให้เป็ นอำกำศดี
3. ผูท้ ี่ใช้ยำนพำหนะ ควรเลือกใช้เชื้อเพลิงที่มีควันออกมำน้อย หรื อใช้เชื้อเพลิงที่ทำจำกพลังงำน
ทดแทนที่ไม่เป็ นพิษต่อสิ่ งแวดล้อม และควรตรวจสอบสภำพเครื่ องยนต์อย่ำงสม่ำเสมอ รวมทั้งลดกำรใช้รถยนต์
ส่ วนบุคคล หันมำนัง่ รถประจำทำง ถีบจักรยำนหรื อเดินแทน
4. ควรงดกำรสูบบุหรี่ เพรำะเป็ นอันตรำยต่อตนเองและคนรอบข้ำง
5. ผูด้ ำเนินกำรเกี่ยวกับกำรก่อสร้ำง ควรมีกำรปกคลุมอำคำรที่กำลังก่อสร้ำงด้วยผ้ำใบให้มิดชิดเพื่อ
ป้องกันกำรฟุ้งกระจำยของฝุ่ น
ผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ
ฝนกรด
น้ ำฝนโดยทัว่ ไปจะมีควำมเป็ นกรดอ่อน เพรำะมีแก๊สคำร์ บอนไดออกไซด์ละลำยอยู่ ส่ วนฝนกรดจะมีค่ำ
pH ต่ำกว่ำ 5.6 เพรำะเกิดจำกแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และไนโตรเจนมอนนอกไซด์ (NO) ที่ถูกปล่อยมำ
จำกโรงงำนอุตสำหกรรมและเกิดจำกกำรเผำไหม้เชื้อเพลิงในรถยนต์ โดยแก๊สทั้งสองชนิดนี้ทำปฏิกิริยำกับน้ ำ
ในบรรยำ กำศเกิดเป็ นกรดซัลฟิ วริ ก (H2SO4) และกรดไนตริ ก (HNO3) ตะกอนของกรดเหล่ำนี้จะสะสมอยูใ่ น
รู ปของฝน หมอก และหิมะ เมื่อฝนตกและมีลมพัดแรงจะพัดพำอนุภำคของกรดไปตกที่ไกล ๆ ได้หลำยร้อยกิโล
เมต
ฝนกรดที่ตกลงมำจะทำให้ดินเป็ นกรด เมื่อพืชดูดซึ มกรดเข้ำไปจะไปทำลำยเนื้อเยือ่ ภำยใน ทำให้ตน้ พืช
แคระแกร็ น ไม่เจริ ญเติบโต ฝนกรดยังทำให้น้ ำในแหล่งน้ ำเป็ นกรดส่ งผลให้สิ่งมีชีวิตในน้ ำตำย นอกจำกนี้ฝน
กรดยังทำให้โลหะที่เป็ นส่ วนประกอบในสิ่ งก่อสร้ำงและอำคำรบ้ำนเรื อนผุกร่ อนและเกิดสนิม และทำปฏิกิริยำ
กับหินปูนหรื อหิ นอ่อนที่ใช้ทำส่วนต่ำง ๆ ของอำคำรผุกร่ อนได้
การเปลีย่ นแปลงอุณหภูมิของโลก
กำรเผำไหม้เชื้อเพลิงที่เกิดจำกกำรก่อสร้ำง โรงงำนอุตสำหกรรม ตลอดจนกำรใช้ยำนพำหนะต่ำง ๆ ทำ
ให้ปริ มำณของแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ในบรรยำกำศเพิ่มสู งขึ้น ปริ มำณแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสู งขึ้น
นี้เอง มีผลทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสู งขึ้น และมีแนวโน้มจะเพิ่มสู งขึ้นในทุก ๆ ปี
การทาลายชั้นโอโซนของบรรยากาศ
จำกกำรศึกษำโครงสร้ำงของชั้นบรรยำกำศทำให้เรำทรำบว่ำ มีแก๊สโอโซน (O3) อยู่อย่ำงหนำแน่นที่
บรรยำกำศชั้นสตรำโตสเฟี ยร์ ซึ่งมีถึงร้อยละ 90 ของโอโซนทั้งหมด โดยโอโซนจะทำหน้ำดูดกลืนและกรอง
แสงอัลตรำไวโอเลตจำกดวงอำทิตย์ไม่ให้มำทำอันตรำยต่อสิ่ งมีชีวิตบนโลก และช่วยควบคุมอุณหภูมิให้เป็ น
ปกติอีกด้วย
กำรทำลำยโอโซนของชั้นบรรยำกำศ คือ กำรที่แก๊สบำงชนิด เช่น ออกไซด์ของไนโตรเจน มีเทน คลอ
โรฟลูออโรคำร์บอน (chlorofluorocarbon: CFC) ถูกปล่อยขึ้นสู่ บรรยำกำศ และทำลำยชั้นโอโซนจนเป็ นรู โหว่
ทำให้รังสี อลั ตรำไวโอเลตที่เป็ นอันตรำยต่อสิ่ งมีชีวิตส่ องถึงพื้นโลกได้
สำรคลอโรฟลูออโรคำร์บอน (CFC) เป็ นตัวกำรสำคัญในกำรทำลำยชั้นโอโซน ถูกนำมำใช้ใน
อุตสำหกรรมต่ำง ๆ เช่น กำรผลิตโฟมและพลำสติกบำงชนิด ใช้ในเครื่ องทำควำมเย็นและใช้เป็ นสำรขับดันใน
กระป๋ องสเปรย์ สำรซีเอฟซีจะไม่ละลำยน้ ำ เมื่อสำรนี้ข้ ึนสู่ บรรยำกำศจะไม่ถูกขจัดไปโดยน้ ำฝน และอยูใ่ น
บรรยำกำศได้นำน สำรซีเอฟซีจะเปลี่ยนโอโซนให้คลอรี นมอนอกไซด์ และแก๊สออกซิเจน ซึ่งแก๊สออกซิเจนไม่
สำมำรถป้องกันรังสี อลั ตรำไวโอเลตได้ ทำให้รังสี อลั ตรำไวโอเลตเข้ำมำสู่ โลกมำกยิง่ ขึ้น
ผลกระทบจากการทาลายชั้นโอโซนของบรรยากาศ
1. ผลกระทบต่อมนุษย์ ทำให้ผิวหนังไหม้เกรี ยม ตำพร่ ำ ตำเป็ นต้อกระจก ผิวหนังเหี่ ยวย่นก่อนวัย และ
เป็ นโรคมะเร็ งผิวหนังมำกขึ้น
2. ผลกระทบต่อพืชและสัตว์ เช่น ผลผลิตข้ำวและถัว่ เหลืองลดลง รังสี อลั ตรำไวโอเลตที่ส่องลงไปใน
ทะเลจะทำให้ผลผลิตของแพลงก์ตอนพืชลดลง ทำให้สัตว์ที่กินแพลงก์ตอนเป็ นอำหำรจะลดจำนวนลงไปด้วย
ปริ มำณอำหำรของมนุษย์จึงลดลง
3. ผลกระทบต่ออุณหภูมิของโลก ทำให้ผิวโลกร้อนขึ้น น้ ำในมหำสมุทรขยำยตัว ทำให้เกิดน้ ำท่วม
ปรากฏการณ์ เรื อนกระจกและภาวะโลกร้ อน
ชั้นบรรยำกำศของโลกเปรี ยบเสมือนเรื อนกระจกที่ห่อหุ ้มโลกไว้ ทำให้อุณหภูมิของโลกมีควำมสมดุล
พอเหมำะต่อกำรดำรงชีวิตของสิ่ งมีชีวิตบนโลก ในภำวะปกติ ชั้นบรรยำกำศของโลกจะประกอบด้วยแก๊ส
โอโซน ไอน้ ำ รวมทั้งแก๊สต่ำง ๆ ปะปนอยู่ เมื่อดวงอำทิตย์แผ่รังสี มำยังโลก ส่ วนหนึ่งที่เป็ นรังสี อลั ตรำไวโอเลต
คลื่นสั้น จะถูกบรรยำกำศชั้นโอโซนดูดกลืนไว้ บำงส่ วนจะสะท้อนกลับหรื อกระจำยไปในบรรยำกำศโดย
อนุภำคต่ำง ๆ ที่มีอยูใ่ นอำกำศ รังสี ที่ตกกระทบพื้นผิวโลกบำงส่ วนถูกนำไปใช้ในกระบวนกำรสังเครำะห์ดว้ ย
แสงของพืช กำรหำยใจของคนและสัตว์ กำรระเหยของน้ ำ และโลกจะดูดกลืนรังสี บำงส่ วนจำกดวงอำทิตย์แล้ว
สะท้อนรังสี กลับออกไปในรู ปรังสี อินฟรำเรดหรื อควำมร้อน
แก๊สบำงชนิดในบรรยำกำศจะดูดซับรังสี อินฟรำเรดหรื อควำมร้อนไว้บำงส่วน ทำให้อุณหภูมิของโลก
พอเหมำะกับกำรดำรงชีวิตของสิ่ งมีชีวิต จึงเกิดกำรหมุนเวียนของแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์และแก๊สออกซิเจน
ในธรรมชำติข้ นึ จำกกำรสังเครำะห์ดว้ ยแสงของพืช กำรหำยใจของคนและสัตว์ เมื่อคน สัตว์ และพืชตำยลง ซำก
พืชซำกสัตว์จะถูกย่อยสลำยโดยจุลินทรี ยใ์ นธรรมชำติ ทำให้เกิดแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์กลับคืนสู่ธรรมชำติ
ตลอดเวลำ นอกจำกนี้ยงั มีวฏั จักรของน้ ำและฤดูกำลต่ำง ๆ ดำเนินไปอย่ำงสมดุล เนื่องจำกกำรระเหยของน้ ำ
ผลกระทบจำกปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจกและภำวะโลกร้อน
1. ผลกระทบต่อสิ่ งแวดล้อม ทำให้อุณหภูมิของโลกสู งขึ้น ทำให้มีผลต่อสิ่ งแวดล้อมในธรรมชำติ ดังนี้
1.1 ผลกระทบต่อธำรน้ ำแข็งและหิ มะ เมื่อโลกร้อนขึ้นทำให้เกิดกำรละลำยของธำรน้ ำแข็งและหิ มะ
บริ เวณขั้วโลกเพิ่มขึ้น กำรระเหยของน้ ำสู่ บรรยำกำศจึงเพิ่มขึ้น เกิดฝนตกสู่ พ้นื ดินในลักษณะไม่มีรูปแบบที่
แน่นอน คือ จะตกเพิ่มขึ้นในบำงพื้นที่ และลดลงในบำงพื้นที่ และกำรละลำยของยังทำให้ระดับน้ ำทะเลใน
มหำสมุทรเพิ่มขึ้นอีกด้วย
1.2 ผลกระทบต่อมหำสมุทรและชำยฝั่งทะเล ภำวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิเหนื อพื้นดินและพื้นน้ ำเกิด
ควำมแตกต่ำงกันมำกขึ้น จึงทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงของลมที่บริ เวณชำยฝั่งและควำมแปรปรวนของกำร
หมุนเวียนของกระแสน้ ำในมหำสมุทร ซึ่งเป็ นสำเหตุสำคัญที่ทำให้สภำพภูมิอำกำศของโลกเกิดกำรเปลี่ยนแปลง
อย่ำงรุ นแรง
1.3 ผลกระทบจำกกำรเปลี่ยนแปลงของหยำดน้ ำฟ้ำ เมื่ออุณหภูมิของโลกสู งขึ้นจะทำให้อตั รำกำรระเหย
ของควำมชื้นจำกพืชและจำกพื้นดินและมหำสมุทรมีมำกขึ้น ทำให้ปริ มำณหยำดน้ ำฟ้ำของโลกเพิม่ ขึ้นด้วย จึง
เกิดกำรเปลี่ยนแปลงของหยำดน้ ำฟ้ำและควำมชื้นในดิน
1.4 ผลกระทบต่อระบบนิเวศ พืช และสัตว์ชนิดต่ำง ๆ กำรเปลี่ยนแปลงสภำพอำกำศทำให้พืชและสัตว์
ต่ำง ๆ เกิดกำรปรับสภำพเพื่อตอบสนองต่อสภำวะที่เปลี่ยนไป จึงอำจมีกำรเคลื่อนย้ำยของพืชและสัตว์บำงชนิด
ไปสู่ พ้นื ที่ใหม่ หรื ออำจทำให้พืชหรื อสัตว์บำงชนิ ดสู ญพันธุ์ไป ซึ่งจะส่ งผลกระทบต่อพืชและสัตว์ชนิดอื่น ๆ ใน
ระบบนิเวศ ทำให้ระบบนิเวศบำงระบบเล็กลง หรื ออำจถึงขั้นสิ้ นสุ ดลงได้
2. ผลกระทบต่อสังคม เมื่อโลกร้อนขึ้นจะมีผลกระทบต่อสังคมมนุษย์ ดังนี้
2.1 ผลกระทบต่อทรัพยำกรน้ ำ เมื่ออุณหภูมิของโลกเพิ่มสู งขึ้น จะทำให้ในบำงพื้นที่มีปริ มำณฝนตกมำก
ขึ้น ในขณะที่บำงพื้นที่มีปริ มำณฝนตกลดลง เกิดภำวะน้ ำท่วมในฤดูหนำวและภำวะแห้งแล้งในฤดูร้อน
เนื่องจำกในฤดูหนำวหิ มะและน้ ำแข็งหลอมเหลวเร็ วกว่ำปกติ ส่ วนฤดูร้อนมีหิมะและน้ ำแข็งลดลงปริ มำณน้ ำ
จำกกำรหลอมเหลวจึงลดลง เกิดกำรขำดแคลนน้ ำ ควำมแห้งแล้งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภำคอุตสำหกรรม
ควำมเป็ นอยูแ่ ละสุ ขภำพของมนุษย์ รวมไปถึงสิ่ งแวดล้อมที่มนุษย์อำศัยอยู่
2.2 ผลกระทบต่อกำรเกษตร ภำวะโลกร้อนทำให้อตั รำกำรระเหยของน้ ำในดินเพิม่ สู งขึ้น น้ ำฝนมี
ปริ มำณลดลง ดินจึงมีควำมชื้นต่ำ เกิดควำมต้องกำรน้ ำในกำรทำกำรเกษตรอย่ำงกว้ำงขวำง โดยเฉพำะในพื้นที่ที่
มีควำมชื้นของดินลดลงอย่ำงรุ นแรง ในขณะที่ทรัพยำกรน้ ำมีไม่เพียงพอต่อควำมต้องกำร ทำให้ผลผลิตทำง
กำรเกษตรลดต่ำลงและเกิดควำมเสี ยหำย
2.3 ผลกระทบต่อผูท้ ี่อำศัยตำมชำยฝั่งทะเล ภำวะโลกร้อนส่ งผลให้พ้นื ดินบริ เวณชำยฝั่งทะเลถูกทำลำย
จำกภำวะน้ ำท่วม เนื่องจำกระดับน้ ำทะเลที่เพิ่มสู งขึ้น เกิดควำมเสี ยหำยต่อถิ่นที่อยูอ่ ำศัยของมนุษย์
ผลกระทบที่เกิดจากปรากฏการณ์เอลนิโญ
1. ทำให้เกิดภูมิอำกำศเปลี่ยนแปลง ประเทศที่อยูด่ ำ้ นตะวันตกของมหำสมุทรแปซิฟิก เช่น ประเทศ
อินโดนีเซีย จะเกิดควำมแห้งแล้ง ฝนไม่ตกต้องตำมฤดูกำล ส่วนประเทศที่อยูด่ ำ้ นตะวันออกของมหำสมุทร
แปซิฟิกจะเกิดฝนตกหนักกว่ำปกติจนเกิดอุทกภัย
2. อุณหภูมิของกระแสน้ ำในมหำสมุทรสู งขึ้น ปรำกฏกำรณ์เอลนิ โญทำให้พ้ืนที่ของกระแสน้ ำอุ่นใน
มหำสมุทรแปซิฟิกขยำยตัวเพิม่ ขึ้น อุณหภูมิของน้ ำจะเพิ่มสู งขึ้นมำกกว่ำปกติถึง 5 องศำเซลเซียส ทำให้สิ่งมีชีวิต
ที่อำศัยอยูใ่ นมหำสมุทรไม่สำมำรถปรับตัวได้ทนั และอำจสูญพันธุ์ในที่สุด
3. ทำให้เกิดภัยธรรมชำติ ในปี พ.ศ. 2534–2535 ก่อให้เกิดควำมแห้งแล้งในทวีปแอฟริ กำตอนใต้ที่ร้ำยแรง
ที่สุดในรอบศตวรรษ ทำให้พืชพรรณเสี ยหำย และประชำชนเกิดภำวะอดอยำก และในปี พ.ศ. 2540 เกิดไฟไหม้
ป่ ำในประเทศอินโดนีเซีย ก่อให้เกิดมลพิษทำงอำกำศในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้
ปรากฏการณ์ ลานีญา
ปรำกฏกำรณ์ลำนีญำมักเกิดขึ้นหลังปรำกฏกำรณ์เอลนิ โญ และมีกระบวนกำรเกิดที่ตรงกันข้ำม โดยเกิด
จำกลมสิ นค้ำที่พดั อยูเ่ ป็ นประจำในมหำสมุทรแปซิฟิก มีกำลังแรงมำกกว่ำปกติ จึงพัดพำผิวน้ ำอุ่นจำกมหำสมุทร
แปซิฟิกด้ำนตะวันออก (บริ เวณชำยฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริ กำใต้ ประเทศเปรู เอกวำดอร์ และชิลีเหนือ) ไป
สะสมอยูท่ ำงด้ำนตะวันตก (บริ เวณประเทศอินโดนี เซีย ปำปัวนิวกินี และออสเตรเลีย) มำกยิง่ ขึ้น ส่ งผลให้ระดับ
น้ ำและอุณหภูมิของน้ ำในมหำสมุทรด้ำนตะวันตกสู งขึ้น ประเทศในแถบนั้นจึงเกิดฝนตกหนักขึ้น ขณะที่
ทำงด้ำนแปซิฟิกตะวันออก อุณหภูมิของน้ ำจะต่ำลงกว่ำปกติ และเกิดควำมแห้งแล้งมำกขึ้น โดยทัว่ ไป
ปรำกฏกำรณ์ลำนีญำจะเกิดน้อยกว่ำปรำกฏกำรณ์เอลนิโญ โดยเกิดเฉลี่ย 56 ปี ต่อครั้ง แต่ละครั้งกินเวลำนำน
ประมำณ 1 ปี
ลมฟ้ำอำกำศในแต่ละบริ เวณจะมีควำมแตกต่ำงกัน ลมฟ้ำอำกำศประจำวันของบริ เวณหนึ่งก็คือสภำวะ
อำกำศของวันนั้นในบริ เวณนั้น แต่ถำ้ เกณฑ์เฉลี่ยของสภำวะอำกำศในบริ เวณหนึ่งในระยะยำวเรำเรี ยกว่ำ
ภูมิอำกำศ (climate)
ภูมิอำกำศ คือ ผลเฉลี่ยของสภำวะอำกำศประจำถิ่นของบริ เวณใดบริ เวณหนึ่งในระยะยำว (ระยะยำว
ตั้งแต่ 30 ถึง 35 ปี ขึ้นไป) เช่น ประเทศไทยตั้งอยูใ่ นเขตอำกำศแบบร้อนชื้น
แบบฝึ กหัด ลม ฟ้า อากาศ
1) ข้อควำมใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับอุณหภูมิของอำกำศ
ก. อุณหภูมิพ้นื น้ ำจะสู งกว่ำอุณหภูมิพ้นื ดิน
ข. กลำงวันและกลำงคืนมีอุณหภูมิไม่แตกต่ำงกัน
ค. ระดับควำมสูงจำกผิวโลกต่ำงกัน อุณหภูมิของอำกำศต่ำงกัน
ง. อุณหภูมิบนพื้นดินจะเปลี่ยนแปลงได้ชำ้ กว่ำอุณหภูมิใต้ผิวดิน
2) ควำมกดอำกำศกับควำมสู งจำกระดับน้ ำทะเลมีควำมสัมพันธ์กนั ในลักษณะใด
ก. ควำมสูงลดลง ควำมกดอำกำศคงที่
ข. ควำมสูงลดลง ควำมกดอำกำศลดลง
ค. ควำมสูงเพิ่มขึ้น ควำมกดอำกำศลดลง
ง. ควำมสู งเพิ่มขึ้น ควำมกดอำกำศเพิ่มขึ้น
3) เครื่ องวัดควำมกดอำกำศประเภทใดสำหรับใช้งำนบรเครื่ องบิน
ก. บำรอกรำฟ
ข. บำรอมิเตอร์
ค. แอลติมิเตอร์
ง. แอนิรอยด์บำรอมิเตอร
4) กำรเคลื่อนของลมเป็ นไปในลักษณะใด
ก. จำกหย่อมควำมกดอำกำศสูงไปสู่หย่อมควำมกดอำกำศต่ำ
ข. จำกหย่อมควำมกดอำกำศสูงไปสู่บริ เวณควำมกดอำกำศสูง
ค. จำกบริ เวณควำมกดอำกำศต่ำไปสู่หย่อมควำมกดอำกำศต่ำ
ง. จำกบริ เวณควำมกดอำกำศต่ำไปสู่หย่อมควำมกดอำกำศสูง
5) สำเหตุของกำรเกิดเมฆ คืออะไร
ก. ไอน้ ำในอำกำศอิ่มตัว
ข. ไอน้ ำในอำกำศมีอุณหภูมิลดลง
ค. ไอน้ ำในอำกำศเย็นตัวลงรวมตัวเป็ นกลุ่มละอองน้ ำ
ง. อำกำศเย็นลอยต่ำลง อำกำศร้อนลอยสู งขึ้นไปกระทบควำมเย็นในชั้นบรรยำกำศ
6) ลมฟ้ำอำกำศ คืออะไร
ก. ลักษณะของอำกำศที่ส่งผลต่อสิ่ งมีชีวิตในระยะยำว
ข. ค่ำทำงสถิติชองลมฟ้ำอำกำศในระยะเวลำยำวนำน
ค. กำรคำดกำรณ์ล่วงหน้ำเกี่ยวกับสภำวะอำกำศบนพื้นที่ใด ๆ
ง. สภำวะโดยทัว่ ไปของลมฟ้ำอำกำศบนพื้นที่ใด ๆ ในระยะเวลำสั้น ๆ
7) ลักษณะอำกำศแบบใดที่จะมีผลทำให้เกิดพำยุฟ้ำคะนองได้มำกที่สุด
ก. ควำมชื้นสู ง อุณหภูมิต่ำ
ข. ควำมชื้นต่ำ อุณหภูมิสูง
ค. ควำมชื้นสู ง อุณหภูมิสูง
ง. ควำมชื้นต่ำ อุณหภูมิต่ำ
8) พำยุฟ้ำคะนองที่มีควำมรุ นแรงในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงเดือนใด
ก. มกรำคำ-กุมภำพันธ์
ข. มีนำคม-พฤษภำคม
ค. กรกฎำคม-กันยำยน
ง. ตุลำคม-ธันวำคม
9) ข้อใดเรี ยงลำดับควำมรุ นแรงของพำยุหมุนเขตร้อนจำกน้อยไปหำมำกได้ถูกต้อง
(1) พำยุไต้ฝนุ่
(2) พำยุดีเปรสชันเขตร้อน
(3) พำยุโซนร้อน
ก. 1 2 3
ข. 2 3 1
ค. 2 1 3
ง. 3 2 1
10) พำยุหมุนเขตร้อนจะเกิดขึ้นเมื่อใด
ก. ลมเย็นปะทะกับลมร้อน
ข. ควำมดันอำกำศ 2 บริ เวณต่ำงกันมำก
ค. หย่อมควำมกดอำกำศต่ำมีบริ เวณแคบ ๆ
ง. ควำมดันอำกำศเหนื อดินและเหนือน้ ำต่ำงกัน
11) กระแสลมจะพัดจำกบริ เวณใดไปยังบริ เวณใด
ก. จำกบริ เวณควำมดันอำกำศสูงไปยังบริ เวณควำมดันอำกำสต่ำ
ข. จำกบริ เวณควำมดันอำกำศต่ำไปยังบริ เวณควำมดันอำกำศสูง
ค. จำกบริ เวณควำมดันอำกำศสูงไปยังบริ เวณควำมดันอำกำศปำนกลำง
ง. จำกบริ เวณควำมดันอำกำศปำนกลำงไปยังบริ เวณควำมดันอำกำศสูง
12) พื้นที่ที่อยูใ่ นบริ เวณตำพำยุ จะมีลกั ษณะเป็ นอย่ำงไร
ก. ลมพัดแรง
ข. อำกำศมืดครึ้ ม และมีลมแรง
ค. มีเมฆมำก และมีฝนตกหนัก
ง. อำกำศแจ่มใส มีเมฆเล็กน้อย และมีลมพัดอ่อน
13) พำยุหมุนเขรร้อนในข้อใดที่ทำให้เกิดฝนตกในประเทศไทยบ่อย ๆ
ก. พำยุไต้ฝนุ่
ข. พำยุไซโคลน
ค. พำยุเฮอริ เคน
ง. พำยุดีเปรสชัน
14) ลมมรสุมมีลกั ษณะกำรเกิดคล้ำยกับข้อใด
ก. ลมบก ลมทะเล ค. พำยุหมุนเขตร้อน
ข. พำยุฟ้ำคะนอง ง. ถูกต้องทุกข้อ
15) ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับลมมรสุมที่เกิดในประเทศที่อยูท่ ำงซีกโลกเหนือ เมื่อซีกโลกใต้เอียงเข้ำหำดวง
อำทิตย์
(1) ควำมดันอำกำศเหนือทวีปจะสูงกว่ำควำมดันอำกำศเหนือมหำสมุทร
(2) อุณหภูมิของอำกำศเหนือทวีปจะต่ำกว่ำอุณหภูมิของอำกำศเหนือมหำสมุทร
(3) ลมจะพัดจำกมหำสมุทรไปสู่ พ้นื ทวีป
ก. 1 และ 2
ข. 2 และ 3
ค. 1 และ 3
ง. 1 2 และ 3
16) ในเวลำกลำงวัน ควำมดันอำกำศบริ เวณเหนื อพื้นดิน และพื้นน้ ำเป็ นอย่ำงไร
ก. ควำมดันอำกำศเหนื อพื้นดินและพื้นน้ ำเท่ำกัน
ข. ควำมดันอำกำศเหนื อพื้นดินน้อยกว่ำเหนือพื้นน้ ำ
ค. ควำมดันอำกำศเหนื อพื้นดินมำกกว่ำเหนื อพื้นน้ ำ
ง. ควำมดันอำกำศเหนื อพื้นดินอำจจะมำกกว่ำหรื อเท่ำกันกับเหนือพื้นน้ ำ
17) เหตุกำรณ์ใดจะไม่เกิดขึ้นกับประเทศที่อยูทำงซีกโลกเหนือเมื่อซีกโลกเหนือเอียงเข้ำหำดวงอำทิตย์
ก. พื้นทวีปได้รับพลังงำนจำกดวงอำทิตย์มำกกว่ำพื้นน้ ำ
ข. เกิดลมพัดจำกมหำสมุทรเข้ำสู่แผ่นดินทำให้เกิดฝนตก
ค. ควำมดันอำกำศเหนือทวีปสูงกว่ำควำมดันอำกำศเหนือมหำสมุทร
ง. อุณหภูมิของอำกำศเหนือทวีปสูงกว่ำอุณหภูมิของอำกำศเหนือมหำสมุทร
18) ลมมรสุมที่พดั จำกมหำสมุทรอินเดียมำยังประเทศไทย เรี ยกว่ำอะไร
ก. มรสุมฤดูร้อน
ข. มรสุมฤดูหนำว
ค. มรสุมฤดูฝน
ง. มรสุมฤดูใบไม้ผลิ
19) ลมมรสุ มตะวันตกเฉี ยงใต้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประเทศไทยอย่ำงไร
ก. พื้นดินแห้งแล้ง
ข. ฝนตกชุกทัว่ ไป
ค. อำกำศหนำวเย็น
ง. ท้องฟ้ำโปร่ งใสและมีแดดจัด
20) ลมมรสุ มใดที่มีแหล่งกำเนิดจำกบริ เวณควำมกดอำกำศสู งบนซีกโลกเหนือ และลมมรสุ มนี้จะกอให้เกิด
ผลกระทบต่อประเทศไทยอย่ำงไร
ก. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือทำให้อำกำศร้อน
ข. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ทำให้ทอ้ งฟ้ำโปร่ งใส
ค. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ทำให้มีเมฆมำกและเกิดฝนตกหนัก
ง. ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือทำให้อำกำสหนำวเย็นและแห้งแล้ง
21) ควำมแตกต่ำงระหว่ำงอุณหภูมิของพื้นดินและพื้นน้ ำจะทำให้เกิดสภำวะอำกำศแบบใด
(1) มรสุม
(2) พำยุฝนฟ้ำคะนอง
(3) พำยุหมุนเขตร้อน
(4) ลมบกลมทะเล
(5) ลมภูเขำ ลมหุบเขำ
ก. 1 และ 4
ข. 1 2 และ 3
ค. 1 4 และ 5
ง. 1 3 และ 4
22) ข้อใดเป็ นผลที่เกิดขึ้นจำกปรำกฏกำรณ์เอลนี โญ และลำนีญำ
(1) บริ เวณที่แห้งแล้งจะยิง่ แห้งแล้งยิง่ ขึ้น
(2) บริ เวณที่มีฝนมำกอยูแ่ ล้ว จะมีฝนเพิ่มขึ้นอีก
(3) บริ เวณที่เคยมีฝนน้อย จะมีฝนเพิม่ ขึ้นมำก
(4) บริ เวณที่เคยมีฝนตกชุกจะมีปริ มำณฝนลดลงอย่ำงมำก
ข้อ เอลนีโญ ลำนีญำ
ก. 12 34
ข. 14 23
ค. 34 12
ง. 23 14
23) แก๊สเรื อนกระจกชนิดใดที่ก่อให้เกิดพลังงำนควำมร้อนสะสมในบรรยำกำศของโลกมำกที่สุด
ก. แก๊สมีเทน
ข. แก๊สไนตรัสออกไซด์
ค. แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์
ง. แก๊สคอลโรฟลูออโรคำร์บอน
24) ข้อใดเติมข้อควำมลงในช่องว่ำงได้ถูกต้อง
สำร แหล่งที่มำ ผลกระทบ
_____(1)_____ เครื่ องปรับอำกำศ ทำลำยชั้นโอโซน
คำร์บอนไดออกไซด์ _____(2)_____ _____(3)_____
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ โรงไฟฟ้ำที่ใช้น้ ำมันเตำ _____(4)_____
ข้อ 1 2 3 4
ก. CFC รถยนต์ กั้นแสงอำทิตย์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็ ง
ข. ไนโตรเจนไดออกไซด์ เครื่ องจักร ฝนกรด ปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจก
ค. คำร์บอนมอนอกไซด์ กำรเผำไหม้ อำกำศเป็ นพิษ ปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจก
ง. CFC โรงงำน ปรำกฎกำรณ์เรื อนกระจก ฝนกรด
25) ผูท้ ี่จะทำกำรพยำกรณ์อำกำศจะต้องมีควำมรู ้ควำมเข้ำใจในเรื่ องใดบ้ำง
(1) สภำวะอำกำศปัจจุบนั
(2) ปรำกฏกำรณ์ต่ำง ๆ ทำงอุตุนิยมวิทยำ
(3) กำรคำดหมำยกำรเปลี่ยนแปลงลักษณะอำกำศที่กำลังจะเกิดขึ้น
ก. 1
ข. 1 และ 2
ค. 1 และ 3
ง. 1 2 และ 3
ข้อสอบเข้ำม.4
1. ปรำกฏกำรณ์เอลนีโยเกี่ยวข้องกับมหำสมุทรใดมำกที่สุด
1. แอตแลนติก
2. แปซิฟิก
3. อินเดีย
4. อำร์กติก
2. ข้อใดไม่ใช่ผลของกำรกระทำเนื่องจำกปรำกฏกำรณ์เอลนีโย
1. ระดับน้ ำทะเล และสภำพอำกำศเปลี่ยนแปลง
2. อุณหภูมิผิวน้ ำทะเลสู งขึ้นผิดปกติ
3. เกิดเป็ นประจำทุกปี ในทะเลและมหำสมุทร
4. ปริ มำณฝนที่เคยตกมีจำนวนน้อยลงกว่ำปกติ
3. สำรซีเอฟซี(CFCs)ที่ทำลำยแก๊สโอโซนน้นมีธำตุใดเป็ นองค์ประกอบ
1. C ,F , C
2. Cl , F , C
3. Ca , Fe , C
4. Co , Fe , C
4. สำรซีเอฟซีสำมำรถทำลำยแก๊สโอโซนได้ดว้ ยวิธีใด
1. รวมตัวกับโอโซน
2. ปล่อยคำร์บอนมำรวมตัวกับโอโซน
3. ปล่อยฟลูออรี นมำรวมตัวกับโอโซน
4. ปล่อยคลอรี นมำรวมตัวกับโอโซน
5. อุตุนิยมวิทยำคืออะไร
1. กำรพยำกรณ์อำกำศ
2. กำรศึกษำเกี่ยวกับอุทกภัย
3. กำรศึกษำเกี่ยวกับลมและพำยุ
4. กำรศึกษำเกี่ยวกับกำรเปลี่ยนแปลงบรรยำกำศ
6. กรมอุตุนิยมวิทยำ อยูใ่ นสังกัดกระทรวงใด
1. คมนำคม
2. เกษตรและสหกรณ์
3. สำนักนำยำและรัฐมนตรี
4. วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี
7. "ปรำกฏกำรณ์แลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้ำระหว่ำงก้อนเมฆที่อยูต่ ิดกัน ที่มีควำมต่ำงศักย์ระหว่ำงก้อนเมฆสูงพอ"
ข้อควำมข้ำงต้นคือกระบวนกำรเกิดสิ่ งใด
1. ฟ้ำแลบ
2. ฟ้ำร้อง
3. ฟ้ำแลบและฟ้ำร้อง
4. ฟ้ำผ่ำ
8. ปรำกฏกำรณ์เกิดฟ้ำแลบ ฟ้ำร้อง ฟ้ำผ่ำ มีลำดับกำรเกิดก่อนหลังอย่ำงไร
ถ้ำ A = ฟ้ำแลบ B = ฟ้ำร้อง C = ฟ้ำผ่ำ
1. A , C , B
2. A , B , C
3. C , A , B
4. B ,A , C
9. สภำพกำรรับพลังงำนควำมร้อนของผืนดินและผืนน้ ำในช่วงกลำงวันเป็ นอย่ำงไร
1. พื้นดินและพื้นน้ ำรับพลังงำนควำมร้อนได้ดีเท่ำกัน
2. พื้นดินรับควำมร้อนได้เร็ วกว่ำพื้นน้ ำ
3. พื้นน้ ำรับควำมร้อนได้เร็ วกว่ำพื้นดิน
4. พื้นดินรับควำมร้อนได้เร็ วกว่ำพื้นน้ ำ แต่บำงครั้งก็รับได้ชำ้ กว่ำพื้นน้ ำ
10. ตำพำยุ คืออะไร
ก.บริ เวณศูนย์กลำงของพำยุหมุน มีควำมเร็วลมสูงสุด
ข.เป็ นบริ เวณศูนย์กลำงพำยุหมุน มีควำมเร็วลมน้อยกว่ำบริ เวณรอบๆ
ค.เป็ นบริ เวณที่ลมค่อนข้ำงสงบ
ง.เป็ นบริ เวณที่มีลมพัดรุ นแรงที่สุดของพำยุหมุนแต่ละลูกที่เกิดขึ้น
1. ข้อข. , ค.
2. ข้อก. , ง.
3. ข้อก. , ค.
4. เป็ นไปได้ท้ งั ข้อก. - ง.