You are on page 1of 53

บรรยากาศ

องค์ประกอบและการแบ่ งชั้นบรรยากาศ

โลกมีท้ งั ส่ วนที่เป็ นพื้นดิน พื้นน้ ำ และอำกำศซึ่งห่อหุม้ โลกอยูช่ ้ นั นอกสุ ด อำกำศจะถูกดึงดูดไว้ดว้ ยแรง


โน้มถ่วงของโลก เรำเรี ยกอำกำศที่อยูร่ อบตัวเรำ และห่อหุ้มโลกของเรำว่ำ บรรยำกำศ
อำกำศ หรื อบรรยำกำศ ( atmosphere ) มีควำมสำคัญต่อสิ่ งมีชีวิตบนโลก ดังนี้
หน้ าที่และประโยชน์ ของบรรยากาศ
1. ปรับอุณหภูมิของโลกให้เหมำะกับกำรดำรงชีวิต
ในตอนกลำงวัน ชั้นบรรยำกำศจะดูดกลืนรังสี และพลังงำนควำมร้อนบำงส่ วนจำกดวงอำทิตย์เอำไว้
โดยตอนเช้ำหำกไม่มีช้ นั บรรยำกำศ อุณหภูมิจะสูงถึง 110 ° C และกลำงคืนจะต่ำถึง -180 ° C
2. เป็ นเกรำะป้องกันอนุภำคต่ำง ๆ ที่มำจำกนอกโลก
ชั้นบรรยำกำศจะเป็ นเหมือนเกำะบำงๆ หำกมีวตั ถุพุ่งเข้ำจะเกิดกำรเสี ยดสี กบั ชั้นบรรยำกำสทำให้เผำ
ไหม้วตั ถุน้ นั ก่อนถึงพื้นโลก
3. ช่วยป้องกันอันตรำยจำกรังสี ต่ำงๆ ที่มำจำกดวงอำทิตย์
รังสี อลั ตรำไวโอเลต หำกมีปริ มำณมำกเกินไปจะทำให้เกิดอันตรำยต่อสิ่ งมีชีวิต เนื่ องจำกเป็ นรังสี ที่มอง
ไม่เห็น โดยชั้นที่มีโอโวนจะเป็ นชั้นที่ดูดซับรังสี น้ นั ไว้
4. มีส่วนประกอบที่จำเป็ นต่อกำรดำรงชีวิต
ส่วนผสมของแก๊สต่ำง ๆ ในอำกำศ ช่วยให้เกิดกระบวนกำรบำงอย่ำงที่จำเป็ นต่อกำรดำรงชีวิตของ
สิ่ งมีชีวิต
5. ช่วยให้เกิดลมฟ้ำอำกำศ กำรเปลี่ยนแปลงของดินฟ้ำอำกำศ
องค์ประกอบของอากาศ
อำกำศเป็ นส่ วนผสมของแก๊สต่ำง ๆ รวมทั้งไอน้ ำที่ระเหยมำจำกแหล่งน้ ำต่ำง ๆ ด้วย นอกจำกนี้ยงั พบว่ำ
อำกำศปะปนไปด้วยสำรแขวนลอยต่ำง ๆ ทั้งที่เป็ นละอองของของเหลว และอนุภำคของของแข็ง
นักวิทยำศำสตร์แบ่งอำกำศออกเป็ น 2 ชนิด คือ อำกำศแห้ง หมำยถึง อำกำศที่ไม่มีไอน้ ำอยูด่ ว้ ย และอำกำศ
ชื้น หมำยถึง อำกำศที่มีไอน้ ำอยูด่ ว้ ย
แก๊สที่เป็ นส่ วนประกอบของอากาศ ปริมาณ (ร้ อยละโดยประมาณ)
ไนโตรเจน 78
ออกซิเจน 21
อำร์กอน 0.93
คำร์บอนไดออกไซด์ 0.03
แก๊สอื่น ๆ 0.04

โดยปกติแล้วจะไม่มีอำกำศแห้งที่แท้จริ ง อำกำศทัว่ ไปเป็ นอำกำศชื้น ถ้ำอำกำศชื้นมีน้ ำหนัก 1 กิโลกรัม ก็


จะมีไอน้ ำปนอยูป่ ระมำณ 40 กรัม ดังนั้นจำนวนส่ วนผสมของแก๊สอื่นตำมตำรำงข้ำงต้นก็จะเปลี่ยนแปลงไปบ้ำง
ตำมปกติในบรรยำกำศมีไอน้ ำอยูป่ ระมำณร้อยละ 0 ถึง 4 ของอำกำศทั้งหมด ไอน้ ำเป็ นส่ วนประกอบที่
สำคัญมำกเนื่องจำกไอน้ ำเป็ นปัจจัยที่ทำให้เกิดฝน พำยุ ฟ้ำแลบ และฟ้ำร้อง
รายละเอียดของแก๊สต่าง ๆ ที่เป็ นองค์ประกอบสาคัญของอากาศมีดังนี้
1. แก๊สไนโตรเจน ( N2 ) เป็ นแก๊สที่มีปริ มำณมำกที่สุดในอำกำศ มีสมบัติเป็ นแก๊สเฉื่ อย มีประโยชน์คือ
ช่วยเจือจำงออกซิเจนในอำกำศให้พอเหมำะสำหรับ
สิ่ งมีชีวิตที่จะนำไปใช้ได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรำย
2. แก๊สออกซิเจน ( O2 ) เป็ นแก๊สที่สิ่งมีชีวิตใช้ใน
กำรหำยใจเข้ำไป เพื่อนำไปสันดำปกับอำหำรภำยในเซลล์
แล้วให้พลังงำนออกมำ ซึ่งจะถูกเซลล์นำไปใช้ในกำร
ดำรงชีวิต นอกจำกนี้แก๊สออกซิเจนในอำกำศยังช่วยในกำร
สันดำปกับเชื้อเพลิง แล้วให้พลังงำนควำมร้อนและแสง
สว่ำงออกมำ และแก๊สออกซิเจนบำงส่วนในอำกำศจะถูก
เปลี่ยนไปเป็ นแก๊สโอโซนเพื่อใช้ในกำรดูดกลืนรังสี
อัลตรำไวโอเลตจำกดวงอำทิตย์
3. แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็ นวัตถุดิบใน
กำรสังเครำะห์ดว้ ยแสงซึ่งเป็ นกำรสร้ำงอำหำรของพืช โดย
ทำกำรสังเครำะห์ดว้ ยแสงโดยอำศัยคลอโรฟิ ลล์ อำหำรที่ได้จำก ส่วนหนึ่งพืชจะนำไปใช้ อีกส่วนหนึ่งจะถูกเก็บ
ไว้ เมื่อสัตว์กินพืชเข้ำไป อำหำรที่เก็บไว้ก็จะกลำยเป็ นอำหำรของสัตว์ต่อไป
4. ไอน้ ำ ไอน้ ำในอำกำศเกิดจำกกำรระเหยของน้ ำที่ผิวโลก โดยจะมีปริ มำณมำกหรื อน้อยตำมแต่
สถำนที่ กำรเปลี่ยนแปลงของไอน้ ำในอำกำศเป็ นสำเหตุให้เกิดเมฆ หมอก หิ มะ ฝน และลูกเห็บ
นอกจำกที่กล่ำวมำนี้ องค์ประกอบอื่น ๆ ในอำกำศส่วนใหญ่จะเป็ นพวกแก๊สเฉื่ อย เช่น แก๊สอำร์กอน
นีออน ฮีเลียม ไฮโดรเจน และสำรแขวนลอยในอำกำศ เช่น ควันไฟ เขม่ำ และฝุ่ นผงต่ำง ๆ ซึ่งสำรแขวนลอยต่ำง
ๆ เหล่ำนี้อำจมีกำรเปลี่ยนแปลงได้จำกสำเหตุและปัจจัยต่ำง ๆ ที่เกิดจำกกำรกระทำของมนุษย์ เช่น กำรเกิด
มลพิษทำงอำกำศ กำรตัดไม้ทำลำยป่ ำ และกำรเกิดไฟป่ ำ ทำให้สัดส่วนขององค์ประกอบของอำกำศเปลี่ยนแปลง
ไป
การแบ่ งชั้นบรรยากาศ
นักวิทยำศำสตร์ได้จดั แบ่งลักษณะของชั้นบรรยำกำศออกเป็ นหลำยลักษณะ โดยจำแนกตำมลักษณะที่
ปรำกฏเด่นชัด ดังนี้
ความแตกต่ างของอุณหภูมิในแต่ ละชั้น

1. ชั้นโทรโพสเฟี ยร์ (troposphere)


เป็ นบรรยำกำศชั้นล่ำงสุ ด อยู่สูงจำกพื้นโลกขึ้นไปประมำณ 17-18 กิโลเมตร อุณหภูมิจะลดลงตำมควำม
สู งที่เพิ่มขึ้นจำกพื้นโลก เป็ นชั้นที่มีควำมแปรปรวนของสภำพลมฟ้ำอำกำศ ซึ่งเป็ นสำเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิด
ปรำกฎกำรณ์ทำงอุตุนิยมวิทยำต่ำงๆ มำกมำย เช่น เมฆ ฝน พำยุ เป็ นต้น
2. ชั้นสตราโทสเฟี ยร์ (stratosphere)
อยูส่ ู งจำกพื้นโลกจำกชั้นโทรโพสเฟี ยร์ข้ นึ ไปจนถึงระดับ 50 กิโลเมตร บรรยำกำศชั้นนี้ จะมีแก๊ส
โอโซนอยูด่ ว้ ยอำจเรี ยกว่ำชั้นโอโซน เป็ นชั้นที่มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นตำมควำมสู งจำกพื้นโลก นโอโซน มีควำมเข้ม
ของโอโซนสูงที่สุดในช่วงควำมสูง 20-40 กิโลเมตรจำกผิวโลก โอโซนในชั้นนี้ เกิดจำกรังสี อลั ตรำไวโอเลต
ที่มำชนกับโมเลกุลของแก๊สออกซิเจน ทำให้โมเลกุลของแก๊สออกซิเจนแตกตัวเป็ นอะตอมของออกซิเจน
อะตอมของออกซิเจนไปรวมตัวกับโมเลกุลของแก๊สออกซิเจนที่ไม่แตกตัวกลำยเป็ นโอโซน (O3) โอโซนนั้น
เป็ นแก๊สที่ไม่เสถียร เมื่อมีรังสี อลั ตรำไวโอเลตมำชน โอโซนจะแตกตัวเป็ นโมเลกุลของแก๊สออกซิเจน และ
อะตอมของออกซิเจนได้อีก
3. ชั้นมีโซสเฟี ยร์ (mesosphere)
เป็ นชั้นที่อยูส่ ู งจำกชั้นสตรำโทสเฟี ยร์จนถึงระดับควำมสู ง 80 กิโลเมตรจำกพื้นดิน เนื่ องจำกกำรลดลง
ของแก๊สโอโซน ชั้นนี้จึงไม่มีกำรดูดกลืนรังสี ใดๆ จำกดวงอำทิตย์ เป็ นชั้นที่อุณหภูมิลดลงตำมควำมสู ง ชั้นมี
โซสเฟี ยร์เป็ นชั้นที่ทำให้เกิดกำรเผำไหม้วตั ถุจำกนอกโลกที่เข้ำสู่ โลก
4. ชั้นเทอร์ โมสเฟี ยร์ (thermosphere)
เป็ นชั้นบรรยำกำศที่ระดับควำมสู ง ตั้งแต่ 90-480 กิโลเมตรจำกพื้นดิน บรรยำกำศในชั้นนี้จะมีกำรแตก
ตัวของโมเลกุลของแก๊สต่ำงๆ มำกที่สุด มีประจุไฟฟ้ำอิสระอยูม่ ำก อำจเรี ยกว่ำชั้นไอโอโนสเฟี ยร์ เป็ นชั้นที่
อุณหภูมิเพิ่มขึ้นตำมควำมสู ง ชั้นนี้สำมำรถสะท้อนคลื่นวิทยุคลื่นสั้นได้ จึงเป็ นชั้นบรรยำกำศที่ใช้ในกำรสื่ อสำร
โทรคมนำคม นอกจำกนี้ช้ นั เทอร์ โทสเฟี ยร์ยงั มี “ออโรรำ” หรื อปรำกฎกำรณ์แสงเหนื อแสงใต้อีกด้วย
การแบ่ งชั้นบรรยากาศตามเกณฑ์ สมบัติของแก๊สในบรรยากาศ
โครงสร้ำงของบรรยำกำศที่แบ่งชั้นบรรยำกำศ โดยพิจำรณำจำกส่ วนผสมของแก๊ส หรื อปฏิกิริยำเคมีใน
บรรยำกำศ แบ่งออกได้เป็ น 4 ชั้น ดังนี้
1. โทรโพสเฟี ยร์ (troposphere) เป็ นชั้นบรรยำกำศที่อยูต่ ิดพื้นผิวโลกจนถึงระดับควำมสู งเฉลี่ยประมำณ
10 กิโลเมตร ส่ วนผสมของบรรยำกำศที่สำคัญในชั้นนี้คือ ไอน้ ำ
2. โอโซโนสเฟี ยร์ (ozonosphere) เป็ นชั้นบรรยำกำศที่อยูเ่ หนือระดับโทรโพสเฟี ยร์ข้ นึ ไปจนถึงระดับ
ประมำณ 50–55 กิโลเมตร เป็ นชั้นที่มีปริ มำณโอโซนที่รวมตัวกันมำกกว่ำชั้นอื่น ๆ
3. ไอโอโนสเฟี ยร์ (ionosphere) เป็ นชั้นบรรยำกำศที่แก๊สเริ่ มมีกำรแตกตัวเป็ นอิเล็กตรอนและไอออน
ขึ้น ซึ่งไอออนเป็ นอนุภำคอิสระ มีประจุไฟฟ้ำบวกหรื อลบ บรรยำกำศชั้นนี้มีอิเล็กตรอนจำนวนมำกและมำก
พอที่จะมีผลต่อกำรเคลื่อนที่ผำ่ นของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ สิ่ งสำคัญในกำรเกิดกำรแตกตัวคือ ต้องเป็ นบริ เวณที่มี
ควำมกดอำกำศต่ำ ระหว่ำงชั้นไอโอโนสเฟี ยร์กบั พื้นผิวโลกนี้คลื่นวิทยุจะถูกสะท้อนไปมำซ้ ำแล้วซ้ ำอีก ทำให้
สำมำรถส่งสัญญำณวิทยุจำกสถำนีหนึ่งไปยังอีกสถำนีหนึ่งได้เป็ นระยะทำงหลำยพันกิโลเมตร
4. เอกโซสเฟี ยร์ (exosphere) เป็ นชั้นบรรยำกำศที่อยูเ่ หนื อชั้นไอโอโนสเฟี ยร์ ควำมหนำแน่นของ
อะตอมต่ำง ๆ ในบรรยำกำศชั้นนี้จะน้อยลง ๆ จนกระทัง่ กำรชนกันระหว่ำงอนุภำคต่ำง ๆ เกิดได้ยำกมำก ระดับ
ควำมสู งจริ งของฐำนเอกโซสเฟี ยร์น้ นั ไม่แน่นอน ชั้นบน ๆ ของบรรยำกำศชั้นนี้มีไฮโดรเจนและฮีเลียมมำก
อุณหภูมิ ความชื้น และความกดอากาศ
กำรเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ควำมชื้น และควำมกดอำกำศเป็ นผลให้
เกิดปรำกฏกำรณ์ทำงธรรมชำติต่ำง ๆ โดยปัจจัยเหล่ำนี้ จะเกิดกำรผันแปรไปตำม
ลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่ำงกันบนพื้นผิวโลก
อุณหภูมิ
ขณะที่ดวงอำทิตย์ข้ ึนในตอนเช้ำทำงทิศตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง
(อำกำศเย็น) เนื่ องจำกพื้นผิวโลกเย็นตัวลงหลังดวงอำทิตย์ตกในคืนที่ผำ่ นมำ และ
เมื่อดวงอำทิตย์ข้ ึนสู่ จุดสู งสุ ดในตอนกลำงวัน พื้นผิวโลกจะได้รับควำมร้อน
มำกกว่ำเวลำอื่น ๆ อุณหภูมิจึงเพิม่ ขึ้น (อำกำศร้อน) และเมื่อดวงอำทิตย์ตกทำงทิศ
ตะวันตกในตอนเย็น พื้นผิวโลกจะเย็นตัวลง ควำมร้อนก็ลดลง เรำเรี ยกระดับ
ควำมร้อนของอำกำศที่เปลี่ยนไปนี้วำ่ อุณหภูมิของอำกำศ (air temperature) ซึ่ง
ตรวจได้โดยใช้เทอร์มอมิเตอร์เป็ นเครื่ องมือวัด
ในปี หนึ่ง ๆ อุณหภูมิของอำกำศจะมีกำรเปลี่ยนแปลงเนื่องจำกกำรหมุนรอบตัวเองของโลก ทำให้เกิด
กลำงวัน กลำงคืน และกำรโคจรรอบดวงอำทิตย์ทำให้เกิดฤดูกำลต่ำง ๆ

นอกจำกนี้ อุณหภูมิของอำกำศที่ระดับควำมสู งจำกผิวโลกขึ้นไปก็มีควำมแตกต่ำงกัน เช่น เรำจะรู ้สึกว่ำ


อำกำศบริ เวณดอยหรื อภูเขำสู งเย็นกว่ำบริ เวณพื้นดิน นัน่ คือ อุณหภูมิของอำกำศที่พ้นื ดินจะสู งกว่ำอุณหภูมิที่
ระดับสู งขึ้นไป โดยอุณหภูมิจะลดลง 6.5 °C ต่อควำมสู งที่เพิ่มขึ้น 1 กิโลเมตร
อุณหภูมิของพื้นดินและพื้นน้า
พื้นดินและพื้นน้ ำจะสำมำรถรับพลังงำนควำมร้อนจำกดวงอำทิตย์ไว้ได้ไม่เท่ำกัน โดยพื้นดินสำมำรถ
รับและคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำพื้นน้ ำ
กำรเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิบนพื้นดิน จะเกิดที่พ้นื ผิวดินมำกกว่ำมำกกว่ำใต้ดิน ดังนั้นใต้ผิวดินที่อยู่
ลึกลงไปจึงมีกำรเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมินอ้ ยมำก เรำจึงพบว่ำ น้ ำในบ่อใต้ดินจะเย็นกว่ำน้ ำที่ผิวดิน
การวัดอุณหภูมิ
เครื่ องมือที่นิยมใช้วดั อุณหภูมิในปัจจุบนั ได้แก่ เทอร์มอมิเตอร์ มีหน่วยวัดเป็ นองศำเซลเซียส ซึ่งมี
หลำยรู ปแบบ ดังนี้
1. เทอร์มอมิเตอร์ มีลกั ษณะเป็ นหลอดแก้วปลำยปิ ด ภำยในบรรจุของเหลวที่เรี ยกว่ำ ปรอท เมื่ออำกำศ
อุ่นปรอทจำกกระเปำะที่กน้ หลอดแก้วจะขยำยตัวและเคลื่อนที่ข้ นึ มำ และเมื่ออำกำศเย็นลงปรอทจะหดตัวและ
เคลื่อนที่ลงไป
2. เทอร์มอมิเตอร์สูงสุดและต่ำสุด ใช้วดั อุณหภูมิของอำกำศสูงสุดและต่ำสุดในรอบวัน
3. เทอร์มอกรำฟ ใช้วดั อุณหภูมิและสำมำรถบันทึกอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงในเวลำที่ต่อเนื่องกันได้โดย
อัตโนมัติ
4. เทอร์มอมิเตอร์แบบสตีเวนสัน ใช้วดั อุณหภูมิในที่ร่ม โดยตัวเทอร์มอมิเตอร์จะอยูภ่ ำยในกำบัง
อุณหภูมิที่บนั ทึกได้มีหน่วยเป็ นองศำเซลเซียส
ความชื้น
ควำมชื้น คือ ปริ มำณไอน้ ำในอำกำศที่เกิดขึ้นจำกกำรระเหยของน้ ำที่พ้นื ผิวโลก ถ้ำปริ มำณไอน้ ำใน
อำกำศมีค่ำน้อยกว่ำปริ มำณไอน้ ำสู งสุ ดที่อำกำศจะรับไว้ได้ในขณะนั้น เรำจะเรี ยกว่ำ อำกำศไม่อิ่มตัว ส่ วน
อำกำศที่มีไอน้ ำอยูใ่ นปริ มำณสู ง ไม่สำมำรถรับไว้ได้อีกเรี ยกว่ำ อำกำศอิ่มตัว
กำรบอกปริ มำณของไอน้ ำในอำกำศนิยมเรี ยกกันว่ำ ควำมชื้นของอำกำศ ถ้ำอำกำศมีควำมชื้นสู ง
หมำยควำมว่ำอำกำศมีไอน้ ำอยูเ่ ป็ นปริ มำณมำก ถ้ำอำกำศมีควำมชื้นต่ำ หมำยควำมว่ำอำกำศมีไอน้ ำอยูเ่ ป็ น
ปริ มำณน้อย ควำมชื้นของอำกำศมีควำมหมำยใน 2 ลักษณะ คือ
ความชื้นสั มบูรณ์ (absolute humidity) หมำยถึง อัตรำส่ วนระหว่ำงมวลของไอน้ ำในอำกำศกับปริ มำตร
ของอำกำศ ณ อุณหภูมิเดียวกัน มีหน่วยวัดเป็ นกิโลกรัมของไอน้ ำในอำกำศต่ออำกำศ 1 ลูกบำศก์เมตร หรื ออำจ
ใช้หน่วยวัดเป็ นกรัมต่อลูกบำศก์เมตร โดยใช้สูตร
𝑀
𝐻= ( กิโลกรัม / ลูกบำศก์เมตร )
𝑉
โดยที่ M เป็ นปริ มำณของไอน้ ำในอำกำศ ( กิโลกรัม )
V เป็ นปริ มำตรของอำกำศที่มีไอน้ ำมวล M อยู่ ( ลูกบำศก์เมตร )
H เป็ นควำมชื้นสัมบูรณ์
ควำมชื้นสัมพัทธ์ (relative humidity)หมำยถึง สัดส่ วนของปริ มำณไอน้ ำที่มีอยูจ่ ริ งในอำกำศขณะนั้นต่อ
ปริ มำณไอน้ ำอิ่มตัว (ปริ มำณไอน้ ำสู งสุ ดที่อำกำศจะสำมำรถรับไว้ได้) ที่อุณหภูมิและปริ มำตรของอำกำศ
เดียวกัน โดยทัว่ ไปนิยมแสดงค่ำของควำมชื้นสัมพัทธ์เป็ นร้อยละหรื อเปอร์ เซ็นต์ ตำมสมกำรดังนี้
ปริ มำณไอน้ ำที่มีอยูจ่ ริ งในอำกำศ
ควำมชื้นสัมพัทธ์ =
ปริ มำณไอน้ ำอิ่มตัวที่ควำมชื้นสัมพัทธ์
การวัดความชื้นในอากาศ
เครื่ องมือที่ใช้วดั ควำมชื้นในอำกำศมีหลำยประเภท ดังนี้
1. ไฮโกรมิเตอร์แบบกระเปำะเปี ยกและกระเปำะแห้ง (wet-dry hygrometer) เป็ นเครื่ องมือวัดควำมชื้นที่
อำศัยหลักกำรระเหยของน้ ำ ลักษณะโดยทัว่ ไปประกอบด้วยเทอร์มอมิเตอร์ 2 อัน กระเปำะของเทอร์มอมิเตอร์
อันหนึ่งจะถูกหุม้ ด้วยวัสดุที่สำมำรถดูดควำมชื้นได้ เรี ยกว่ำ กระเปำะเปี ยก ส่ วนเทอร์มอมิเตอร์ อีกอันหนึ่งจะไม่
มีอะไรหุม้ กระเปำะเอำไว้ เรี ยกว่ำ กระเปำะแห้ง
ตัวอย่ำงที่ 1 : อุณหภูมิของกระเปำะแห้งอ่ำนได้ 30 C ส่วนอุณหภูมิของกระเปำะเปี ยกอ่ำนได้ 28 C นำผลต่ำงมำ
ลบกันคือ 30 - 28 = 2 C
แล้วมองจำกตำรำงเลข 2 ด้ำนบนให้มองลงมำให้ชนกับค่ำของอุณหภูมิของกระเปำะแห้งที่ 30 ด้ำนซ้ำย
จะอ่ำนค่ำควำมชื้นได้เท่ำกับ 86 %
ตัวอย่ำงที่ 2 : อุณหภูมิกระเปำะแห้งวัดได้ 32 C กระเปำะเปี ยกวัดได้ 28 C ผลต่ำงคือ 4 อ่ำนค่ำควำมชื้นสัมพัทธ์ที่
จุดตัดระหว่ำง 32 กับ 4 คือ 73 %
2. เครื่ องมือวัดควำมชื้นแบบเส้นผมหรื อแฮร์ไฮโกรมิเตอร์ (hair-hygrometer) เป็ นเครื่ องมือวัดควำมชื้น
ที่อำศัยหลักกำรเปลี่ยนแปลงขนำดของวัสดุเมื่อได้รับควำมชื้น เมื่อควำมชื้นในอำกำศเพิ่มขึ้น

ความกดอากาศ

อำกำศเป็ นสสำรที่มีน้ ำหนัก สำมำรถออกแรงกระทำต่อสิ่ งต่ำง ๆ ที่อยูบ่ นผิวโลกและอยูใ่ นบรรยำกำศ


ของโลก นอกจำกนี้อำกำศยังมีแรงดัน ซึ่งแรงดันของอำกำศจะกระทำต่อสิ่ งต่ำง ๆ ที่อยูบ่ นผิวโลก เรำเรี ยก
แรงดันอำกำศนี้วำ่ ควำมกดอำกำศ (air pressure)
ค่ำควำมกดอำกำศหรื อค่ำควำมดันของอำกำศ คือ ค่ำแรงดันของอำกำศต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ที่รองรับแรงดัน
นั้น หรื ออัตรำส่ วนของแรงดันต่อหน่วยพื้นที่ต้ งั ฉำกที่แรงดันนั้นกระทำ แสดงบริ เวณใด ๆ ซึ่งมีขนำดพื้นที่ A
และ F เป็ นแรงดันที่กระทำต่อพื้นที่ A ในทิศทำงที่ต้ งั ฉำกกับพื้นที่ A ถ้ำให้ P แทนควำมดันของพื้นที่ A จะได้วำ่
𝐹
𝑃=
𝐴
ในระบบหน่วยมำตรฐำน SI F มีหน่วยเป็ น นิวตัน
A มีหน่วยเป็ น ตำรำงเมตร
P มีหน่วยเป็ น นิวตัน / ตำรำงเมตร หรื อพำสคัล
ควำมกดอำกำศมีค่ำเท่ำกับควำมดันของน้ ำที่สูงประมำณ 10 เมตรด้วย แต่กำรวัดควำมกดอำกำศด้วยน้ ำไม่
สะดวก นักวิทยำศำสตร์จึงใช้ปรอทซึ่งเป็ นของเหลวที่มีควำมหนำแน่นมำกกว่ำน้ ำถึง 13.6 เท่ำ ที่ระดับน้ ำทะเล
แทน โดยอำกำศสำมำรถดันปรอทให้ข้ ึนไปสู ง 76 เซนติเมตร หรื อ 760 มิลลิเมตร และเรี ยกควำมกดอำกำศที่
สำมำรถดันปรอทให้ข้ นึ ไปสู ง 760 มิลลิเมตรว่ำเป็ น ควำมดัน 1 บรรยำกำศ หรื อมีค่ำเท่ำกับแรงดันประมำณหนึ่ง
แสนนิวตัน/ตำรำงเมตร ซึ่งควำมกดอำกำศ ณ ระดับควำมสูงต่ำง ๆ มีค่ำต่ำงกัน
เมื่อควำมสู งเพิม่ ขึ้น ควำมกดอำกำศจะมีค่ำลดลง และจำกกำรศึกษำอุณหภูมิของอำกำศที่ผำ่ นมำเรำพบว่ำ
เมื่อควำมสู งเพิ่มขึ้น อุณหภูมิของอำกำศจะค่อย ๆ ลดลง ดังนั้นอำจกล่ำวได้วำ่ เมื่อควำมสู งเพิ่มขึ้น อุณหภูมิและ
ควำมกดอำกำศจะมีค่ำลดลง ซึ่งสำมำรถสรุ ปควำมสัมพันธ์ระหว่ำงอุณหภูมิของอำกำศ ควำมชื้น และควำมกด
อำกำศได้ดงั นี้
1. สภำพอำกำศที่มีอุณหภูมิสูง อำกำศจะเกิดกำรขยำยตัว ควำมกดอำกำศจะต่ำ และอำกำศจะมีน้ ำหนัก
เบำ ส่ วนสภำพอำกำศที่มีอุณหภูมิต่ำ อำกำศจะหดตัว ควำมกดอำกำศจะสู ง และอำกำศจะมีน้ ำหนักมำก
2. ที่อุณหภูมิสูง อำกำศจะสำมำรถรับไอน้ ำไว้ได้มำก ทำให้อำกำศมีควำมชื้น อำกำศชื้นจะเบำกว่ำ
อำกำศแห้ง เพรำะไอน้ ำเบำกว่ำอำกำศ อำกำศที่เบำกว่ำจะมีควำมกดอำกำศต่ำ ดังนั้น อำกำศชื้นจึงมีควำมกด
อำกำศต่ำกว่ำอำกำศแห้ง
การวัดความกดอากาศ
เครื่ องมือที่ใช้วดั ควำมกดอำกำศเรี ยกว่ำ บำรอมิเตอร์ โดยใช้หลักกำรที่อำกำศสำมำรถดัน
ของเหลวให้เข้ำไปในหลอดแก้วได้ ถ้ำเรำคว่ำหลอดแก้วที่ปลำยข้ำงหนึ่งปิ ดอีกข้ำงหนึ่งเปิ ด เมื่อไล่อำกำศภำยใน
หลอดแก้วออกให้หมดแล้วเอำทำงด้ำนปลำยเปิ ดจุ่มลงในปรอท จัดหลอดแก้วให้อยูใ่ นแนวดิ่ง อำกำศภำยนอก
จะดันปรอทให้เข้ำสู่หลอดแก้วสูงถึง 30 นิ้ว หรื อ 76 เซนติเมตร หรื อ 760 มิลลิเมตร
นักวิทยำศำสตร์พบว่ำ ทุก ๆ ระยะควำมสู งที่เพิ่มขึ้น 11 เมตร ควำมสูงของลำปรอทจะลดลง 1 มิลลิเมตร
จำกหลักกำรดังกล่ำว นักวิทยำศำสตร์ได้นำมำสร้ำงเครื่ องมือวัด
ความกดอากาศซึ่งมีอยู่หลายชนิด ดังนี้
1. บำรอมิเตอร์แบบปรอท ประกอบด้วยหลอดแก้วกลวงยำวปลำย
ข้ำงหนึ่งปิ ด มีปรอทอยูเ่ ต็มหลอดแก้ว คว่ำลงให้ปลำยเปิ ดอยูใ่ นอ่ำงปรอท
ปรอทในหลอดจะอยูส่ ูงประมำณ 760 มิลลิเมตร ที่วำ่ งเหนือปรอทเป็ น
สุ ญญำกำศ เมื่อควำมกดอำกำศสู งขึ้น ปรอทจะขึ้นไปในหลอดแก้วสู งขึ้น
2. แอนิรอยด์บำรอมิเตอร์ ประกอบด้วยตลับโลหะรู ปร่ ำงกลมแบน
ที่สูบอำกำศออกเกือบหมด ตรงกลำงตลับนี้มีสปริ งต่อไปยังคำนและเข็มชี้บน
หน้ำปัด เมื่อควำมกดอำกำศเปลี่ยนไป ตลับโลหะจะพองขึ้นหรื อแฟบควำมกด
อำกำศ มีท้ งั แบบแขวนและแบบตั้งโต๊ะ
3. บำรอกรำฟ เป็ นแอนิ รอยด์บำรอมิเตอร์ที่ต่อปลำยเข็มชี้กบั ปำกกำซึ่ง
สำมำรถขีดบนกระดำษกรำฟที่หมุนด้วยจำนนำฬิกำ ทำให้บนั ทึกควำมกดอำกำศในเวลำต่ำง ๆ ทั้งวันได้จำก
เส้นกรำฟ
4. แอลติมิเตอร์ ใช้หลักกำรเดียวกับแอนิรอยด์บำรอมิเตอร์ แต่เทียบควำมกดอำกำศเป็ นควำมสูง สำหรับ
ใช้งำนในเครื่ องบิน หรื อนักกระโดดร่ มเพื่อใช้บอกควำมสูง
เมฆ
เมฆเกิดจำกกำรกลัน่ ตัวของไอน้ ำในอำกำศที่ระดับสู งจำกผิวโลกขึ้นไป โดยอำกำศชื้นจะดูดไอน้ ำไว้
แล้วลอยตัวสู งขึ้น อำกำศที่ลอยตัวนี้ จะขยำยตัวและเย็นลง ไอน้ ำในอำกำศจะเกำะตัวกับอนุภำคเล็ก ๆ ในชั้น
บรรยำกำศ เช่น ฝุ่ น เกล็ดเกลือ หรื อผงเล็ก ๆ แล้วกลัน่ ตัวเป็ นหยดน้ ำ เกิดเป็ นเม็ดเมฆเล็ก ๆ ขนำดต่ำง ๆ และจะ
รวมตัวกันกลำยเป็ นก้อนเมฆในบรรยำกำศ นักอุตุนิยมวิทยำแบ่งเมฆออกเป็ น 4 ชนิด ดังนี้

1. เมฆชั้นสู ง มีควำมสู งจำกพื้นดินตั้งแต่ 6,500 เมตรขึ้นไป ประกอบด้วย


1.1 เซอร์รัส (cirrus) มีลกั ษณะเป็ นฝอยบำง ๆ หรื อปุยคล้ำยขนนก สี ขำวละเอียด โดยทัว่ ไปมีรูปร่ ำง
ลักษณะที่ไม่แน่นอน เมฆชนิ ดนี้บอกถึงสภำพอำกำศที่ดีพอสมควร
1.2 เซอร์โรสเตรตัส (cirrostratus) มีลกั ษณะเป็ นแผ่นบำง ๆ สี ขำวหรื อสี น้ ำเงินจำง ทำให้เกิด
ปรำกฏกำรณ์ที่เรี ยกว่ำ วงแสงรอบดวง
1.3 เซอร์โรคิวมูลสั (cirrocumulus) เป็ นเมฆสี ขำวก้อนเล็ก ๆ เหมือนคลื่นหรื อเกล็ด โดยทัว่ ไปจะ
รวมกลุ่มกันเป็ นเส้น
2. เมฆชั้นกลำง มีควำมสู งจำกพื้นดินระหว่ำง 2,500–6,500 เมตร ประกอบด้วย
2.1 อัลโตคิวมูลสั (altocumulus) มีลกั ษณะเป็ นก้อนกลมใหญ่สีขำว บำงครั้งมีสีเทำ มีกำรจัดตัวกันเป็ น
แถว ๆ หรื อเป็ นคลื่น และอำจเกิดแสงทรงกลดได้ในเมฆพวกนี้
2.2 อัลโตสเตรตัส (altostratus) มีลกั ษณะเป็ นม่ำนเมฆสี เทำและสี ฟ้ำแผ่เป็ นบริ เวณกว้ำง มองดูเรี ยบเป็ น
ปุยหรื อฝอยละเอียด อำจเกิดแสงทรงกลดได้
3. เมฆชั้นต่ำ มีควำมสู งจำกพื้นดินขึ้นไปไม่เกิน 2,500 เมตร ประกอบด้วย
3.1 สเตรตัส (stratus) มีลกั ษณะเป็ นชั้น เหมือนหมอกลอยอยูส่ ู งจำกพื้นดิน มักปกคลุมอยูบ่ ริ เวณยอดเขำ
3.2 สเตรโตคิวมูลสั (stratocumulus) เป็ นกลุ่มเมฆสี ขำว มีลกั ษณะเป็ นลอนเชื่อมต่อกัน ดูอ่อนนุ่ม เมฆ
ลักษณะนี้ส่วนมำกจะไม่มีฝน
3.3 นิมโบสเตรตัส (nimbostratus) มีลกั ษณะรู ปร่ ำงไม่แน่นอน สี เทำดำ อยูต่ ่ำใกล้พ้นื ดิน
4. เมฆที่ก่อตัวในแนวตั้ง มีควำมสู งตั้งแต่ 500–20,000 เมตร ประกอบด้วย
4.1 คิวมูลสั (cumulus) เป็ นก้อนสี ขำวหนำทึบ กระจัดกระจำยเหมือนสำลี เมฆลักษณะนี้แสดงว่ำอำกำศ
อยูใ่ นภำวะปกติ เมฆคิวมูลสั บำงชนิดที่มีขนำดใหญ่อำจจะพัฒนำไปเป็ นเมฆคิวมูโลนิมบัสได้
4.2 คิวมูโลนิมบัส (cumulonimbus) เป็ นกลุ่มเมฆหนำทึบขนำดใหญ่สีดำมืด ภำยในเต็มไปด้วยหยดน้ ำที่
อัดตัวกันแน่น บริ เวณยอดเมฆแผ่ออกเหมือนรู ปทัง่ ซึ่งจะนำพำยุฝนฟ้ำคะนอง และมีลมกระโชกแรงเกิดตำมมำ
พร้อมกับกำรเกิดฟ้ำแลบและฟ้ำผ่ำได้
ลักษณะของเมฆสำมำรถบอกถึงแนวโน้มของลักษณะอำกำศล่วงหน้ำได้ เช่น ถ้ำท้องฟ้ำขณะนั้นมีเมฆ
ก่อตัวในแนวตั้งลักษณะหนำทึบ มียอดเป็ นรู ปทัง่ แสดงว่ำกำลังจะมีพำยุฝนฟ้ำคะนอง แต่ถำ้ ท้องฟ้ำมีเมฆแผ่ตำม
แนวนอนเป็ นชั้น ๆ แสดงว่ำอำกำศสงบ มีกระแสลมพัดเล็กน้อย
หมอก
หมอกเป็ นเมฆระดับต่ำชนิดหนึ่งที่ปรำกฏในรู ปของละอองน้ ำที่มีขนำดของหยดน้ ำใหญ่กว่ำหยดน้ ำใน
เมฆ เกิดจำกอำกำศชื้นเย็นตัวและลอยต่ำใกล้พ้นื ผิวโลก ซึ่งแตกต่ำงจำกกำรเกิดเมฆที่เกิดจำกกำรเย็นตัวของ
อำกำศชื้นแล้วลอยตัวสู งขึ้น
ฝน
ฝนเกิดจำกละอองไอน้ ำขนำดต่ำง ๆ กันในก้อนเมฆมำรวมกัน และเกิดกำรกลัน่ ตัวเป็ นหยดน้ ำ เมื่อหยด
น้ ำมีขนำดใหญ่ข้ นึ จนไม่สำมำรถลอยตัวอยูใ่ นก้อนเมฆได้ก็จะตกลงมำเป็ นฝน กำรกลัน่ ตัวของเมฆให้กลำยเป็ น
ฝนได้น้ นั ต้องมีผลึกน้ ำแข็ง หรื อเม็ดน้ ำขนำดใหญ่ ซึ่งเกิดจำกกำรที่กอ้ นเมฆลอยตัวสู งขึ้น เมื่อถึงระดับที่
อุณหภูมิต่ำกว่ำจุดเยือกแข็ง หยดน้ ำในก้อนเมฆจะกลำยเป็ นผลึกน้ ำแข็งหรื อเม็ดน้ ำแข็งขนำดเล็ก ทำให้อำกำศ
บริ เวณนั้นแข็งตัวไปด้วย เม็ดน้ ำขนำดเล็กจะรวมตัวกันกลำยเป็ นเกล็ดหิ มะ เมื่อมีน้ ำหนักมำกเกินไปจะตกผ่ำน
อำกำศที่อุ่นกว่ำและละลำยกลำยเป็ นฝน
หิมะ
ในฤดูหนำวอุณหภูมิของอำกำศจะเย็นจัด ทำให้เม็ดฝนที่ตกผ่ำนอำกำศลงมำจะไม่ละลำยและตกลง
มำกลำยเป็ นหิ มะ เกล็ดของหิ มะมีหลำยลักษณะโดยทัว่ ไปเป็ นรู ปหกเหลี่ยม รู ปร่ ำงและขนำดแตกต่ำงกันไป
ลูกเห็บ
ลูกเห็บเป็ นก้อนน้ ำแข็งที่เกิดจำกกระแสลมแรงที่เกิดในเมฆคิวมู
โลนิมบัส ซึ่งเป็ นเมฆพำยุฝนฟ้ำคะนองพำหยดน้ ำฝนขึ้นไปแข็งตัวใน
ระดับสู ง เกิดเป็ นก้อนน้ ำแข็ง และถูกกระแสลมพัดพำขึ้นลงนับครั้งไม่
ถ้วน ก้อนน้ ำแข็งจึงรวมตัวใหญ่ข้ นึ เกิดเป็ นลูกเห็บหล่นลงมำยังพื้นโลก
สภำวะของน้ ำที่ตกลงมำจำกท้องฟ้ำกลำยเป็ นฝน หิ มะ หรื อลูกเห็บ เรำ
เรี ยกสิ่ งเหล่ำนี้วำ่ หยำดน้ ำฟ้ำ (precipitation) ซึ่งต้องอำศัยเมฆในกำรเกิด
ทั้งสิ้ น แต่กำรมีเมฆไม่จำเป็ นต้องมีหยำดน้ ำฟ้ำ เพรำะมีเมฆบำงชนิด
เท่ำนั้นที่ทำให้เกิดหยำดน้ ำฟ้ำได้
เครื่ องมือวัดปริมาณน้าฝน
กำรวัดปริ มำณน้ ำฝนจำกจุดใดจุดหนึ่งสำมำรถทำได้โดยใช้เครื่ องมือวัด
ที่เรี ยกว่ำ เครื่ องวัดน้ ำฝน ซึ่งมีหลำยชนิด ได้แก่
1. เครื่ องวัดน้ ำฝนแบบธรรมดำหรื อแบบแก้วตวง เป็ นรู ปกระบอก
โลหะที่ส่วนหนึ่งของกระบอกจะฝังอยูใ่ นพื้นดิน โดยฝังในที่โล่งห่ำงจำกตัวตึก
และต้นไม้ ภำยในจะมีกระบอกซึ่งเป็ นภำชนะรู ปกระบอกอีกอันหนึ่ง และกรวย
รับน้ ำฝนที่มีขวดรองรับอยู่ กำรวัดปริ มำณน้ ำฝนจะวัดจำกควำมสู งของน้ ำฝนที่
เก็บจำกจุดนั้น ๆ แล้วนำมำเทใส่ กระบอกตวง ปริ มำณน้ ำฝนที่เก็บได้จะวัด
หน่วยเป็ นมิลลิเมตร
2. เครื่ องวัดน้ ำฝนแบบบันทึก สำมำรถวัดปริ มำณน้ ำฝนได้แบบอัตโนมัติ และสำมำรถบันทึกปริ มำณ
น้ ำฝนได้ตลอด 24 ชัว่ โมง หรื อตลอดสัปดำห์
ส่ วนกำรวัดหิ มะจะใช้วดั ควำมหนำของหิ มะที่ตกลงมำบนพื้นดิน แล้วนำมำเปรี ยบเทียบอัตรำส่ วนจำก
กำรคำนวณ เช่น ถ้ำหิมะตกวัดได้หนำ 10 มิลลิเมตร จะมีค่ำเท่ำกับฝนที่ตก 1 มิลลิเมตร ปัจจุบนั มีเครื่ องมือที่ใช้
วัดหิ มะ เรี ยกว่ำ เรดิโอโทป ใช้วดั ปริ มำณหิ มะในถิ่นทุรกันดำรที่คนไม่สำมำรถเดินทำงเข้ำไปถึงได้
สรุป
บรรยำกำศ คือ อำกำศที่อยู่รอบ ๆ ตัวของสิ่ งมีชีวิตและห่อหุม้ โลกของเรำไว้ มีควำมสำคัญ คือ มีแก๊สที่
จำเป็ นสำหรับกำรหำยใจของสิ่ งมีชีวิต ช่วยให้โลกมีอุณหภูมิพอเหมำะสำหรับสิ่ งมีชีวิตที่จะอำศัยอยูไ่ ด้ ช่วย
ป้องกันรังสี และอนุภำคต่ำง ๆ ที่แผ่มำจำกดวงอำทิตย์ ช่วยปกป้องสิ่ งมีชีวิตจำกสิ่ งแปลกปลอมที่มำจำกนอกโลก
อำกำศแบ่งออกเป็ น 2 ชนิด คือ อำกำศแห้ง หมำยถึง อำกำศที่ไม่มีไอน้ ำอยูด่ ว้ ย และอำกำศชื้น หมำยถึง
อำกำศที่มีไอน้ ำปนอยูด่ ว้ ย อำกำศเป็ นของผสมประกอบด้วยแก๊สต่ำง ๆ ได้แก่ ไนโตรเจน ออกซิเจน อำร์กอน
คำร์บอนไดออกไซด์ และไอน้ ำ
กำรแบ่งชั้นบรรยำกำศตำมเกณฑ์อุณหภูมิ แบ่งออกเป็ น 4 ชั้น ได้แก่ โทรโพสเฟี ยร์ สตรำโตสเฟี ยร์ เม
โซสเฟี ยร์ และเทอร์โมสเฟี ยร์
กำรแบ่งชั้นบรรยำกำศตำมเกณฑ์สมบัติของแก๊สในบรรยำกำศ แบ่งเป็ น 4 ชั้น ได้แก่ โทรโพสเฟี ยร์ โอ
โซ โนสเฟี ยร์ ไอโอโนสเฟี ยร์ และเอกโซสเฟี ยร์
กำรแบ่งชั้นบรรยำกำศตำมเกณฑ์อุตุนิยมวิทยำ แบ่งเป็ น 5 ชั้น ได้แก่ บริ เวณที่มีอิทธิพลของควำมฝื ด
โทรโพสเฟี ยร์ช้ นั กลำงและชั้นบน โทรโพโพส สตรำโตสเฟี ยร์ และบรรยำกำศชั้นสู ง
อุณหภูมิของอำกำศเปลี่ยนแปลงเนื่องจำกกำรหมุนรอบตัวเองของโลกขณะโคจรรอบดวงอำทิตย์ ทำให้
เกิดกลำงวันกลำงคืนและฤดูกำลต่ำง ๆ
อุณหภูมิของอำกำศที่พ้นื ดินจะสู งกว่ำอุณหภูมิที่ระดับสู งขึ้นไป เครื่ องมือที่ใช้วดั อุณหภูมิ คือ เทอร์มอ
มิเตอร์
วันที่อำกำศมีควำมชื้นมำก น้ ำจะระเหยได้ชำ้ ผ้ำที่ซกั ไว้จะแห้งช้ำ วันที่อำกำศมีควำมชื้นน้อย น้ ำจะ
ระเหยได้เร็ว ผ้ำที่ซกั ไว้จะแห้งเร็ว ถ้ำวันใดฝนตกอำกำศยิง่ มีควำมชื้นมำก เรำสำมำรถวัดควำมชื้นในอำกำศได้
จำกไฮโกรมิเตอร์
ควำมชื้นของอำกำศมี 2 ลักษณะ คือ
1. ควำมชื้นสัมบูรณ์ คือ อัตรำส่ วนระหว่ำงมวลของไอน้ ำในอำกำศกับปริ มำตรของอำกำศ ณ อุณหภูมิ
เดียวกัน
2. ควำมชื้นสัมพัทธ์ คือ สัดส่ วนของปริ มำณไอน้ ำที่มีอยูจ่ ริ งในอำกำศขณะนั้นต่อปริ มำณไอน้ ำอิ่มตัวที่
อุณหภูมิและปริ มำตรของอำกำศเดียวกัน
เมื่อควำมสู งเพิ่มขึ้น อุณหภูมิและควำมกดอำกำศลดลง เรำวัดค่ำควำมกดอำกำศได้จำกบำรอมิเตอร์
ลมฟ้ำอำกำศ คือ สภำวะของอำกำศในช่วงเวลำสั้น ๆ เช่น ปริ มำณฝนที่ตกเวลำ 3 ชัว่ โมง
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดลมฟ้ำอำกำศ ได้แก่ ดวงอำทิตย์ โลก แหล่งน้ ำซึ่งทำให้เกิดไอน้ ำ อำกำศหรื อ
บรรยำกำศ
ปรำกฏกำรณ์ทำงลมฟ้ำอำกำศที่สำคัญ ได้แก่ เมฆ หมอก ฝน หิ มะ ลูกเห็บ ลม ลมมรสุ ม พำยุหมุนเขต
ร้อน พำยุฝนฟ้ำคะนอง
ประเทศไทยของเรำได้รับอิทธิพลจำกลมมรสุม 2 ชนิด คือ
1. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ หรื อลมมรสุมฤดูร้อน เกิดประมำณกลำงเดือนตุลำคมถึงกลำงเดือนตุลำคม
ลมมรสุ มนี้จะนำเอำมวลอำกำศชื้นจำกมหำสมุทรอินเดียมำสู่ ประเทศไทย ทำให้มีฝนตกชุกทัว่ ไป
2. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ หรื อลมมรสุมฤดูร้อน เกิดในช่วงกลำงเดือนพฤษภำคมไปจนถึงกลำงเดือน
กุมภำพันธ์ ลมมรสุ มนี้มีแหล่งกำเนิดจำกบริ เวณควำมกดอำกำศสู งบนซีกโลกเหนือแถบประเทศมองโกเลียและ
จีน โดยพัดเอำมวลอำกำศเย็นมำปกคลุมประเทศไทย ทำให้มีอำกำศหนำวเย็นและแห้งแล้งทัว่ ไป
พำยุหมุนเขตร้อน เกิดจำกควำมกดอำกำศ 2 บริ เวณที่มีควำมแตกต่ำงกันมำก ส่งผลให้อำกำศเคลื่อนตัว
จำกบริ เวณที่มีควำมกดอำกำศสูงไปยังบริ เวณที่มีควำมกดอำกำศต่ำ กำรหมุนของโลกส่งผลให้กระแสลมพัดโค้ง
เข้ำหำศูนย์กลำง โดยจะเกิดขึ้นในบริ เวณมหำสมุทรและทะเลเขตร้อนเท่ำนั้น
ลมฟ้ำอำกำศที่เปลี่ยนแปลงบนโลกทำให้เกิดปรำกฏกำรณ์เอลนิโญและลำนีญำในบริ เวณมหำสมุทร
แปซิฟิก ซึ่งส่ งผลให้ภูมิอำกำศเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิของกระแสน้ ำในมหำสมุทรสู งขึ้น และทำให้เกิดภัย
ธรรมชำติ
กำรพยำกรณ์อำกำศ คือ กำรคำดหมำยสภำวะอำกำศล่วงหน้ำ โดยอำศัยข้อมูลจำกสภำพกำลอำกำศที่
ได้รับจำกสถำนีตรวจอำกำศ มี 3 ขั้นตอน คือ กำรตรวจอำกำศ กำรสื่ อสำร และกำรพยำกรณ์อำกำศ
มลพิษทำงอำกำศเกิดจำกสำเหตุสำคัญ 2 ประกำร คือ สำเหตุทำงธรรมชำติ และสำเหตุจำกกำรกระทำ
ของมนุษย์ ซึ่งมีผลต่อกำรเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกทำให้เกิดฝนกรด เกิดรู โหว่ของโอโซน เกิด
ปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจก และภำวะโลกร้อน
ฝนกรด เกิดจำกแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (NO2) และไนโตรเจนมอนอกไซด์ (NO) ทำปฏิกิริยำกับน้ ำใน
บรรยำกำศก่อให้เกิดกรดซัลฟิ วริ ก (H2SO4) และกรดไนตริ ก (HNO3) ตะกอนของกรดเหล่ำนี้จะสะสมอยูใ่ นรู ป
ของฝน หมอก และหิ มะ เมื่อฝนกรดตกลงมำจะเป็ นอันตรำยต่อสิ่ งมีชีวิตและสิ่ งแวดล้อม
กำรทำลำยโอโซนของชั้นบรรยำกำศ คือ กำรที่แก๊สบำงชนิด เช่น ออกไซด์ของไนโตรเจน มีเทน คลอ
โรฟลูออโรคำร์บอน (CFC) ถูกปล่อยขึ้นสู่ บรรยำกำศ และทำลำยชั้นโอโซนจนเป็ นช่องโหว่ ทำให้รังสี
อัลตรำไวโอเลตที่เป็ นอันตรำยต่อสิ่ งมีชีวิตส่ องถึงพื้นโลกได้
ปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจก เกิดจำกแก๊สต่ำง ๆ เช่น คำร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ คลอโร
ฟลูออโรคำร์บอน แก๊สเหล่ำนี้เรี ยกว่ำ แก๊สเรื อนกระจก จะสะสมอยูใ่ นชั้นบรรยำกำศและกั้นไม่ให้ควำมร้อนจำก
พื้นโลกผ่ำนขึ้นไปในบรรยำกำศ ส่ งผลให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น
ภำวะโลกร้อน คือ สภำวะที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสู งขึ้น ทำให้ภูมิอำกำศเกิดกำรเปลี่ยนแปลง เช่น
เกิดกำรเปลี่ยนแปลงของปริ มำณน้ ำฝน ระดับน้ ำทะเล และส่ งผลกระทบต่อสิ่ งมีชีวิตบนโลกอย่ำงกว้ำงขวำง
แบบฝึ กหัดบรรยากาศ
1) ถ้ำโลกไม่มีบรรยำกำศหุม้ ห่อโลก โลกจะมีลกั ษณะใด
ก. ไม่มีแสงแดด
ข. มืดตลอดเวลำ
ค. มีลมพัดแรงตลอดเวลำ
ง. กลำงวันร้อนจัด กลำงคืนหนำวจัด
2) จำกรู ป บรรยำกำศสชั้น A และ C เรี ยกว่ำอะไรตำมลำดับ
ก. โทรโพสเฟี ยร์ มีโซสเฟี ยร์
ข. เอกโซสเฟี ยร์ โทรโพสเฟี ยร์
ค. สตรำโตสเฟี ยร์ เอกโซสเฟี ยร์
ง. เทอร์โมสเฟี ยร์ สตรำโตสเฟี ยร์
3) นักบิน มักจะทำกำรบินอยู่ในบรรยำกำศชั้นใด
ก. มีโซสเฟี ยร์
ข. โทรโพสเฟี ยร์
ค. เทอร์โมสเฟี ยร์
ง. สตรำโตสเฟี ยร์
4) บรรยำกำศที่อยูเ่ หนื อเทอร์ โมสเฟี ยร์ข้ นึ ไป คืออะไร
ก. เอกโซสเฟี ยร์
ข. โทรโพสเฟี ยร์
ค. สตรำโตสเฟี ยร์
ง. ไอโอโนสเฟี ยร์
5) ประโยชน์ของบรรยำกำศชั้นโทรโพสเฟี ยร์ คืออะไร
ก. สะท้อนคลื่นวิทยุควำมถี่ต่ำ
ข. เกิดปรำกฏกำรณ์ลมฟ้ำอำกำศ
ค. ช่วยละชอวัตถุนอกโลกที่ผำ่ นเข้ำมำให้เกิดกำรเผำไหม้กลำยเป็ นวัตถุ
ง. ดูดกลืนรังสี อลั ตรำไวโอเลตจำกดวงอำทิตย์ไม่ให้มำยังโลกมำกเกินไป
6) แก๊สชนิดใดมีมำกที่สุดในบรรยำกำศ
ก. อำร์กอน
ข. ออกซิเจน
ค. ไนโตรเจน
ง. คำร์บอนไดออกไซด์
7) บรรยำกำศชั้นใดมีควำมแปรปรวนของสภำพลมฟ้ำอำกำศมำกที่สุด
ก. โทรโพสเฟี ยร์
ข. สตรำโตสเฟี ยร์
ค. มีโซสเฟี ยร์
ง. เทอร์โมสเฟี ยร์
8) โอโซน มีมำกในบรรยำกำศชั้นใด
ก. โทรโพสเฟี ยร์
ข. สตรำโตสเฟี ยร์
ค. มีโซสเฟี ยร์
ง. เทอร์โมสเฟี ยร์
9) สิ่ งมีชีวิตอำศัยอยูใ่ นบรรยำกำศชั้นใด
ก. โทรโพสเฟี ยร์
ข. สตรำโตสเฟี ยร์
ค. มีโซสเฟี ยร์
ง. เทอร์โมสเฟี ยร์
10) บรรยำกำศชั้นใดมีควำมสำคัญต่อกำรสื่ อสำรโทรคมนำคม เพรำะเหตุใด
ก. มีโซสเฟี ยร์ เพรำะมีมวลน้อย
ข. สตรำโตสเฟี ยร์ เพรำะมีไอน้ ำอยูน่ อ้ ย
ค. โทรโพสเฟี ยร์ เพรำะมีมวลอำกำศแน่น
ง. เทอร์โมสเฟี ยร์ เพรำะมีไอออนและประจุไฟฟ้ำ
11) ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับชั้นบรรยำกำศและอุณหภูมิ
ก. ชั้นมีโซสเฟี ยร์อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นตำมควำมสู งจำกพื้นโลก
ข. ชั้นโทรโพสเฟี ยร์ อุณหภูมิจะลดลงตำมควำมสู งจำกพื้นโลก
ค. ชั้นสตรำโตสเฟี ยร์ อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นตำมควำมสู งจำกพื้นโลก
ง. ชั้นเทอร์ โมสเฟี ยรอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นตำมควำมสู งจำกพื้นโลก
12) ควำมหนำแน่นของอำกำศ หมำยถึงข้อใด
ก. อัตรำส่วนระหว่ำงมวลต่อปริ มำตรของอำกำศ
ข. อัตรำส่ วนระหว่ำงปริ มำณอำกำศต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่
ค. อัตรำส่วนระหว่ำงปริ มำณแก๊สต่ำง ๆ ต่อมวลของอำกำศ
ง. อัตรำส่ วนระหว่ำงแรงดันอำกำศต่อพื้นที่หนึ่งตำรำงหน่วย
13) เมื่อควำมสู งจำกระดับน้ ำทะเลเพิ่มขึ้น ควำมหนำแน่นและควำมดันอำกำศจะเป็ นอย่ำงไร
ก. ควำมหนำแน่นและควำมดันอำกำศเพิม่ ขึ้น
ข. ควำมหนำแน่นและควำมดันอำกำศลดลง
ค. ควำมหนำแน่นเพิ่มขึ้นและควำมดันอำกำศลดลง
ง. ควำมหนำแน่นลดลง และควำมดันอำกำศเพิ่มขึ้น
14) อุณหภูมิช่วง 0.8๐C – 15.9๐C สภำพอำกำศเป็ นแบบใด
ก. หนำว
ข. เย็น
ค. ร้อน
ง. ร้อนจัด
15) สิ่ งใดช่วยดูดกลืนรังสี อลั ตรำไวโอเลตจำกดวงอำทิตย์
ก. เมฆ
ข. โอโซน
ค. พื้นดิน
ง. พื้นน้ ำ
16) นักอุตุนิยมวิทยำนำข้อมูลจำกบรรยำกำศชั้นใดมำใช้ในกำรพยำกรณ์อำกำศ
ก. โทรโพสเฟี ยร์
ข. สตรำโตสเฟี ยร์
ค. มีโซสเฟี ยร์
ง. เทอร์โมสเฟี ยร์
17) ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้อง
ก. เมฆซีโรสเตรตัสจะทำให้เกิดแสงทรงกลด
ข. เมฆซีร์รัสมักเกิดในวันที่มีอำกำศดี ท้องฟ้ำเป็ นสี เข้ม
ค. เมฆซีร์โรคิวมัส ประกอบด้วยเกล็ดน้ ำแข็งลอยต่ำปกคลุมพื้นดิน
ง. เมฆนิมโบสเตรตัส จะทำให้เกิดฝนพรำ ๆ ต่อเนื่องกันเป็ นเวลำนำน
18) เมื่อโลกหันขั้วโลกเหนื อเข้ำหำดวงอำทิตย์ จะเกิดเหตุกำรณ์ใดขึ้นในประเทศไทย
ก. เวลำกลำงวันสั้นกว่ำเวลำกลำงคืน
ข. มีอำกำศหนำวเย็นมำกกว่ำเดือนอื่น ๆ
ค. ได้รับแสงจำกดวงอำทิตย์มำกกว่ำเดือนอื่น ๆ
ง. ถูกต้องทุกข้อ
19) ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่มีผลต่ออุณหภูมิของอำกำศ
ก. กำรเอียงของแกนโลก
ข. สิ่ งมีชีวิตที่อำศัยบนโลก
ค. สภำพของบรรยำกำศ
ง. สภำพแวดล้อมที่แตกต่ำงกัน
20) ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้อง
ก. ควำมสู งที่เพิ่มขึ้น ควำมกดอำกำสจะลดลง
ข. บริ เวณที่มีอุณหภูมิต่ำ ควำมกดอำกำศจะต่ำ
ค. อำกำศชื้นมีควำมกดอำกำศต่ำกว่ำอำกำศแห้ง
ง. อุณหภูมิสูงขึ้น อำกำศจะสำมำรถรับไอน้ ำได้มำกขึ้น
21) ผ้ำเปี ยกแห้งช้ำแสดงว่ำอำกำศเป็ นอย่ำงไร
ก. มีอุณหภูมิสูง
ข. มีควำมหนำแน่นมำก
ค. มีควำมดันอำกำศสูง
ง. มีควำมชื้นสัมพัทธ์สูง
22) เพรำะเหตุใดในช่วงฤดูหนำว เหงื่อถึงแห้งเร็วกว่ำฤดูอื่น ๆ
ก. มีอุณหภูมิต่ำ
ข. มีอุณหภูมิสูง
ค. อำกำศแห้ง
ง. อำกำศชื้นมำก
23) ในวันที่อำกำศชื้นมำก ๆ เรำจะรู ้สึกอย่ำงไร
ก. หนำวเย็น
ข. ร้อนอบอ้ำว
ค. สดชื่น เย็นสบำย
ง. อึดอัดและเหนียวตัว
24) ข้อใดไม่ถูกต้อง
ก. เทอร์มอมิเตอร์ ใช้วดั อุณหภูมิ
ข. บำรอมิเตอร์ ใช้วดั ควำมกดอำกำศ
ค. ไฮโกรมิเตอร์ ใช้วดั ควำมชื้นสัมพัทธ์ของอำกำศ
ง. ไซโครมิเตอร์ ใช้วดั ควำมหนำแน่นของอำกำศ
25) ข้อใดคือลักษณะของอำกำศอิ่มตัว
ก. อำกำศที่มีปริ มำณอำน้ ำและแก๊สต่ำง ๆ รวมอยูเ่ ต็ม 100%
ข. อำกำศที่มีอำน้ ำอยูม่ ำก และสำมำรถรับไอน้ ำเพิ่มได้อีกเล็กน้อย
ค. อำกำศที่มีไอน้ ำอยูเ่ ต็มที่แล้วไม่สำมำรถรับไอน้ ำเพิ่มได้อีก
ง. อำกำศที่มีไอน้ ำอยูน่ อ้ ยมำกสำมำรถรับไอน้ ำเพิ่มได้อีกเรื่ อย ๆ
26) อัลติมิเตอร์ คืออะไร
ก. เครื่ องมือวัดระดับควำมสูง
ข. เครื่ องมือวัดมวลของอำกำศ
ค. เครื่ องมือวัดปริ มำณไอน้ ำในอำกำศ
ง. เครื่ องมือวัดปริ มำณน้ ำฝน
27) ศรลม (Wind Vane) มุ่งใช้วดั สิ่ งใดเป็ นหลัก
ก. ควำมเร็วลม
ข. ทิศทำงลม
ค. เวลำที่ลมพัด
ง. สิ่ งที่ปนมำกับลม
28) ลมในข้อใดพัดรุ นแรงที่สุด
ก. ต้นไม้เล็กแกว่งไปมำ
ข. ต้นไม้โค้นล้มถอนรำก
ค. กิ่งไม้เล็ก ๆ ขยับเขยื้อน
ง. ต้นไม้ใหญ่ท้ งั ต้นแกว่งไกว
29) ลมบก ลมทะเล จัดเป็ นลมชนิดใด
ก. ลมประจำเวลำ
ข. ลมประจำฤดู
ค. ลมประจำภูมิภำค
ง. พำยุหมุนเขตร้อน
30) ข้อใดจัดเป็ นลมประจำฤดู
ก. ลมค้ำ
ข. ลมข้ำวเบำ
ค. ลมมรสุม
ง. ลมภูเขำ ลมหุบเขำ
31) พำยุหมุนชนิดใดเกิดในแถบทะเลจีนใต้
ก. วิลลี-วิลลี
ข. ไซโคลน
ค. เฮอริ เคน
ง. ไต้ฝนุ่
32) สิ่ งใดไม่จดั เป็ นน้ ำฟ้ำ
ก. ฝน
ข. หิมะ
ค. เมฆ
ง. ลูกเห็บ
33) อำกำศมีควำมชื้นสัมพัทธ์ 70% หมำยถึงข้อใด
ก. อำกำศทั้งหมด 70 ส่ วน รับไอน้ ำเอำไว้แล้ว 30 ส่วน
ข. อำกำศทั้งหมด 100 ส่ วน รับไอน้ ำเอำไว้แล้ว 30 ส่วน
ค. อำกำสทั้งหมด 100 ส่ วน รับไอน้ ำเอำไว้แล้ว 70 ส่วน
ง. อำกำศทั้งหมด 70 ส่ วน รับไอน้ ำเอำไว้แล้ว 100 ส่วน
34) 1 บรรยำกำศ มีค่ำเท่ำใด
ก. 570 mmHg
ข. 670 mmHg
ค. 760 mmHg
ง. 860 mmHg
35) ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่มีผลต่อกำรระเหยของน้ ำ
ก. แสง
ข. อุณหภูมิ
ค. ปริ มำณไอน้ ำในอำกำศ
ง. พื้นที่ผิวของของเหลว
การพยากรณ์ อากาศและการเปลีย่ นแปลงอุณหภูมิของโลก
มนุษย์ได้ทำกำรศึกษำกระบวนกำรเปลี่ยนแปลงของสภำพลมฟ้ำอำกำศ เพื่อให้สำมำรถดำรงชีวิตอยูไ่ ด้ใน
สภำวะอำกำศที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อศึกษำเป็ นเวลำนำนจนได้ขอ้ มูลที่เพียงพอจึงนำข้อมูลต่ำง ๆ มำใช้
ประกอบกำรทำนำยสภำพกำรเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลำของแต่ละวัน สัปดำห์หรื อเดือน เรี ยก
กระบวนกำรนี้ วำ่ กำรพยำกรณ์อำกำศ
1. การพยากรณ์อากาศ
กำรตรวจวัดอำกำศจำกองค์ประกอบต่ำง ๆ เช่น อุณหภูมิ ควำมชื้น และควำมกดอำกำศ ซึ่งเป็ น
องค์ประกอบพื้นฐำนทำงอุตุนิยมวิทยำ ทำให้ทรำบถึงสภำพอำกำศและปรำกฏกำรณ์ต่ำง ๆ ของอำกำศได้
นอกจำกนี้ยงั ต้องทรำบถึงจำนวนและชนิดของเมฆ ปริ มำณน้ ำฝน ควำมเร็ ว และทิศทำงลม สิ่ งต่ำงๆ เหล่ำนี้
เรี ยกว่ำ สำรประกอบทำงอุตุนิยมวิทยำ ซึ่งข้อมูลเหล่ำนี้จะเป็ นตัวบ่งบอกถึงสภำพอำกำศที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่
ได้เป็ นอย่ำงดี
อุตุนิยมวิทยำ (meteorology) เป็ นวิทยำศำสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษำเกี่ยวกับกำรเปลี่ยนแปลงของสภำพดินฟ้ำ
อำกำศ เพื่อนำมำเป็ นข้อมูลในกำรวิเครำะห์ลกั ษณะอำกำศ รวมทั้งกำรทำนำยสภำพอำกำศล่วงหน้ำที่เรี ยกว่ำ กำร
พยำกรณ์อำกำศ (weather forecast)
กระบวนการในการพยากรณ์ อากาศ
1. กำรตรวจอำกำศ นักอุตุนิยมวิทยำจะทำกำรตรวจอำกำศผิวพื้นโดยใช้เครื่ องมือตรวจสภำพอำกำศที่
ติดตั้งไว้ภำยในสถำนีตรวจอำกำศ เพื่อเก็บข้อมูลของสำรประกอบทำงอุตุนิยมวิทยำ ในปัจจุบนั ได้มีกำรนำเอำ
เทคโนโลยีที่ทนั สมัยมำใช้ตรวจวัดสภำพอำกำศ ได้แก่ เรดำร์ตรวจอำกำศ และดำวเทียมตรวจสภำพลมฟ้ำอำกำศ
เพื่อช่วยผ่อนแรงมนุษย์ และเพื่อกำรวิเครำะห์และแปลควำมหมำยกำรพยำกรณ์อำกำศที่แม่นยำยิง่ ขึ้น
เรดาร์ ตรวจอากาศ เป็ นเครื่ องมือตรวจสภำพอำกำศที่อำศัยคลื่นวิทยุควำมถี่สูงเพื่อตรวจหำตำแหน่ง
เป้ำหมำย โดยเมื่อคลื่นควำมถี่สูงไปกระทบกับเป้ำหมำยก็จะสะท้อนกลับมำยังจอรับภำพ เรดำร์อำกำศจะใช้ใน
กำรตรวจกำรเคลื่อนตัวของพำยุฝนฟ้ำคะนองและพำยุไต้ฝนได้ ุ่ เป็ นอย่ำงดี
ดาวเทียมตรวจสภาพลมฟ้าอากาศ ใช้ตรวจสภำวะต่ำง ๆ ในบรรยำกำศ โดยดำวเทียมตรวจสภำพลมฟ้ำ
อำกำศจะป้อนข้อมูลสภำพลมฟ้ำอำกำศจำกอวกำศ กำรทำงำนของดำวเทียมจะส่งข้อมูลด้ำนกลุ่มและชนิดของ
เมฆกลับมำยังโลกโดยจะลอยตัวอยูเ่ หนือพื้นโลก ณ ตำแหน่งที่คงที่ตลอดเวลำในอวกำศ
นักอุตุนิยมวิทยำจะนำข้อมูลที่ตรวจวัดได้จำกเครื่ องมือต่ำง ๆ มำวิเครำะห์ลกั ษณะอำกำศและบันทึกลงในแผนที่
อำกำศ (weather map) เพื่อแปลควำมหมำยของข้อมูลว่ำสภำพอำกำศที่ตรวจวัดได้น้ นั มีลกั ษณะใด

สัญลักษณ์สาคัญที่ปรากฏในแผนที่อากาศ เช่น
อักษร H แทนหย่อมควำมกดอำกำศสูง โดยเส้นในสุดแสดงว่ำมีควำมกดอำกำศสูงสุด และอำจ
เรี ยกว่ำ ศู นย์ กลางของความกดอากาศสู ง
อักษร L แทนหย่อมควำมกดอำกำศต่ำ โดยเส้นในสุดแสดงว่ำมีควำมกดอำกำศต่ำสุด และอำจ
เรี ยกว่ำ ศู นย์ กลางของความกดอากาศต่า
เส้ นความกดอากาศแต่ละเส้นเรี ยกว่ำ เส้ นไอโซบาร์ (isobar) โดยแต่ละเส้นจะผ่ำนบริ เวณที่มีควำมดัน
อำกำศเท่ำกัน ในขณะที่ตรวจวัดสภำพอำกำศขณะนั้น ตัวเลขบนแผนที่แทนค่ำควำมดันอำกำศหน่วยเป็ น เฮกโต
พำสคัล (1 เฮกโตพำสคัล = 102 พำสคัล) เส้นที่มีควำมกดอำกำศอยูใ่ กล้ตวั อักษร H มีควำมกดอำกำศสูง เส้นที่มี
ควำมกดอำกำศอยูใ่ กล้ตวั อักษร L มีควำมกดอำกำศต่ำ
2. กำรสื่ อสำร เจ้ำหน้ำที่ฝ่ำยสื่ อสำรจะเป็ นผูน้ ำข้อมูลจำกสถำนีตรวจอำกำศทั้งภำยในประเทศและ
ต่ำงประเทศ มำทำกำรเขียนแผนที่อำกำศ แล้วส่งต่อไปยังนักพยำกรณ์อำกำศเพื่อวิเครำะห์และรำยงำนสภำพ
อำกำศต่อไป กำรสื่ อสำรจะต้องทำอย่ำงรวดเร็วและมีประสิ ทธิภำพ โดยอำศัยอุปกรณ์ในกำรลื่อสำรที่ทนั สมัย
เช่น วิทยุโทรพิมพ์ (teletype) โทรสำร (telefax) และโทรศัพท์ (telephone)
3. กำรพยำกรณ์อำกำศ ในประเทศไทย กรมอุตุนิยมวิทยำ จะทำหน้ำที่รวบรวมผลกำรตรวจสอบจำก
สถำนีตรวจอำกำศทัว่ ประเทศ แล้วนำมำทำแผนที่อำกำศร่ วมกับข้อมูลที่ได้จำกภำพถ่ำยดำวเทียม เพื่อสรุ ป
ลักษณะสำคัญของลมฟ้ำอำกำศที่เกิดขึ้น จำกนั้นก็ทำกำรกระจำยข่ำวกำรพยำกรณ์ในช่วงเวลำสั้น ๆ โดยกล่ำวถึง
สภำพลมฟ้ำอำกำศที่กำลังก่อตัวในช่วง 12-24 ชัว่ โมง และกำรพยำกรณ์ในวงกว้ำง โดยรำยงำนเกี่ยวกับสภำพ
อำกำศในอีก 5 วันข้ำงหน้ำ หรื อบำงครั้งก็มีกำรคำดกำรณ์ล่วงหน้ำถึง 30 วัน นอกจำกนี้กรมอุตุนิยมวิทยำยังทำ
อุตุนิยมวิทยากับชีวิตประจาวัน
กำรรำยงำนสภำพอำกำศในแต่ละวันนั้นมีประโยชน์ เพรำะจะทำให้เรำสำมำรถป้องกันอันตรำยที่อำจ
เกิดจำกปรำกฏกำรณ์ลมฟ้ำอำกำศได้ สำมำรถวำงแผนกำรทำงำนล่วงหน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคจำกสภำพของ
อำกำศ นอกจำกนี้ ขอ้ มูลเกี่ยวกับสภำพอำกำศและกำรวิเครำะห์ลกั ษณะอำกำศยังมีประโยชน์อย่ำงมำกต่อกำร
วำงแผนและดำเนินกำรในด้ำนต่ำง ๆ ดังนี้
ด้ำนเกษตรกรรม กำรทรำบลักษณะของอำกำศมีประโยชน์ต่อเกษตรกรในกำรคัดเลือกพันธุ์ที่จะปลูก
ให้เหมำะกับสภำวะของอำกำศในแต่ละบริ เวณ ตลอดจนกำรคัดเลือกพันธุ์สัตว์ให้เหมำะสมกับสภำพอำกำศใน
แต่ละท้องถิ่น
ด้ำนวิศวกรรม กำรทรำบลักษณะของอำกำศมีประโยชน์ต่อกำรออกแบบและก่อสร้ำงอำคำรให้
สอดคล้องกับสภำพกำรไหลเวียนของอำกำศในบริ เวณที่ทำกำรก่อสร้ำง เพื่อช่วยประหยัดพลังงำนและทำให้มี
กำรระบำยอำกำศที่ดี
ด้ำนกำรขนส่ง กำรทรำบลักษณะของอำกำศมีประโยชน์ในกำรกำหนดเส้นทำงเดินเรื อที่ปลอดภัยจำก
บริ เวณที่เกิดพำยุ หรื อถ้ำเป็ นกำรเดินทำงโดยเครื่ องบินก็ตอ้ งพยำยำมหลีกเลี่ยงบริ เวณที่มกั จะมีอำกำศแปรปรวน
การเปลีย่ นแปลงสภาพอากาศ
ปัจจุบนั อำกำศมีกำรเปลี่ยนแปลงไปในทำงที่ทำให้เกิดอันตรำยต่อชีวิตและสิ่ งแวดล้อมมำกขึ้น โดยเกิดจำก
กำรปนเปื้ อนของสำรเคมีและสิ่ งแปลกปลอมอื่น ๆ เรำเรี ยกสภำพอำกำศในลักษณะนี้วำ่ กำรเกิดมลพิษทำง
อำกำศ (air pollution)
มลพิษทำงอำกำศ หมำยถึง กำรที่อำกำศมีปริ มำณควำมเข้มข้นของสำร หรื อสิ่ งแปลกปลอมเกินกว่ำที่
ควรจะมีในอำกำศปกติ ก่อให้เกิดอันตรำยต่อชีวิตมนุษย์และทรัพย์สินได้ มีสำเหตุกำรเกิดที่สำคัญ 2 ประกำร คือ
1. สำเหตุทำงธรรมชำติ เช่น กำรปะทุของภูเขำไฟซึ่งจะพ่นเถ้ำถ่ำน ฝุ่ นผง และแก๊สต่ำง ๆ ออกสู่อำกำศ
กำรเกิดไฟป่ ำซึ่งทำให้เกิดแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหำศำล เถ้ำถ่ำน และฝุ่ นผงต่ำง ๆ
2. สำเหตุจำกกำรกระทำของมนุษย์ มลพิษทำงอำกำศที่เกิดจำกกำรกระทำของมนุษย์น้ ี มีปริ มำณเพิ่มขึ้น
เรื่ อย ๆ เนื่องจำกกำรขยำยตัวทำงเศรษฐกิจและสังคม และกำรตัดไม้ทำลำยป่ ำซึ่งเป็ นทรัพยำกรธรรมชำติที่สำคัญ
ในกำรสร้ำงแก๊สออกซิเจนให้กบั อำกำศ และช่วยลดปริ มำณแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์และฝุ่ นละอองในอำกำศ
จำกกำรศึกษำเกี่ยวกับสำรปนเปื้ อนที่ก่อให้เกิดมลพิษทำงอำกำศ ทำให้สำมำรถแบ่งชนิดของสำร
ปนเปื้ อนออกเป็ นกลุ่ม ๆ ได้หลำยกลุ่ม กลุ่มที่สำคัญคือ
1. กลุ่มออกไซด์ของกำมะถัน สำเหตุหลักเกิดจำกกำรเผำปิ โตรเลียมและถ่ำนหินซึ่งมีกำมะถันเป็ น
ส่ วนประกอบ สำรปนเปื้ อนที่สำคัญในกลุ่มนี้ คือ แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ซึ่งจะถูกออกซิไดส์ในอำกำศ
เกิดเป็ นแก๊สซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ (SO3) ซึ่งจะทำปฏิกิริยำกับละอองน้ ำในอำกำศเกิดเป็ นฝนกรดที่สร้ำงควำม
เสี ยหำยต่ออำคำรบ้ำนเรื อน และเป็ นอันตรำยต่อชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์
2. กลุ่มออกไซด์ของไนโตรเจน ที่สำคัญ คือ ไนโตรเจนมอนนอกไซด์ (NO) ซึ่งเกิดจำกกำรรวมตัวของ
ไนโตรเจนกับออกซิเจนในปฏิกิริยำสันดำป เช่น กำรสันดำปของเครื่ องยนต์ ไนโตรเจนมอนอกไซด์จะรวมตัว
กับออกซิเจนในอำกำศเกิดเป็ นไนโตรเจนไดออกไซด์ ซึ่งเป็ นสำรพิษที่เป็ นอันตรำยถึงชีวิตได้เมื่อปนเปื้ อนอยูใ่ น
อำกำศในปริ มำณสูง
3. โอโซน (O3) โอโซนในชั้นบรรยำกำศมีประโยชน์ในกำรช่วยสกัดกั้นรังสี อลั ตรำไวโอเลตจำกดวง
อำทิตย์ แต่แก๊สโอโซนนั้นถือเป็ นแก๊สที่อนั ตรำย จะก่อให้เกิดอำกำรแพ้ในระบบทำงเดินหำยใจ และเป็ น
อันตรำยต่อดวงตำ นอกจำกนี้ยงั ก่อให้เกิดอำกำรผิดปกติข้ นึ ในกระบวนกำรเมแทบอลิซึมของสิ่ งมีชีวิต
4. คำร์บอนมอนอกไซด์ (CO) เกิดจำกกำรเผำไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ เช่น กำรเผำไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ใน
เครื่ องยนต์ เป็ นแก๊สไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เมื่อเข้ำไปในกระแสเลือดจะไปรวมตัวกับเฮโมโกลบินของเม็ดเลือดแดง
ทำให้เม็ดเลือดแดงสู ญเสี ยควำมสำมำรถในกำรรับแก๊สออกซิเจนทำให้ร่ำงกำยขำดแก๊สออกซิเจนจนเป็ น
อันตรำยถึงชีวิตได้
5. กลุ่มสำรกัมมันตรังสี สำเหตุส่วนใหญ่มำจำกกำรรั่วไหลจำกโรงไฟฟ้ำซึ่งใช้เชื้อเพลิง สำรกลุ่มนี้ทำ
ให้เกิดมะเร็งได้ และส่งผลต่อผูท้ ี่ได้รับสำรพิษในด้ำนกำรเปลี่ยนแปลงของยีน (gene) พันธุกรรมด้วย
นอกจำกที่กล่ำวมำข้ำงต้นแล้ว ยังมีสำรปนเปื้ อนอื่น ๆ อีกที่พบในอำกำศ ได้แก่ สำรพวก
ไฮโดรคำร์บอน พวกกรดอินทรี ยแ์ ละกรดอนินทรี ยต์ ่ำง ๆ รวมถึงสำรที่เป็ นฝุ่ นผงและละอองที่แขวนลอยใน
อำกำศ
ปัญหำมลพิษทำงอำกำศในปั จจุบนั มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่ อย ๆ ดังนั้นทุกคนควรช่วยกันลดปัญหำมลพิษ
ทำงอำกำศ เพื่อไม่ให้มลพิษทำงอำกำศเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่สิ่งมีชีวิตจะอำศัยอยูไ่ ม่ได้ โดยสำมำรถทำได้ดงั นี้
1. เข้ำร่ วมกำรรณรงค์เพื่อลดมลพิษทำงอำกำศเมื่อมีโอกำส เมื่อพบเห็นผูท้ ี่ก่อมลพิษทำงอำกำศ ควรรี บ
แจ้งให้เจ้ำหน้ำที่หรื อหน่วยงำนที่เกี่ยวข้องทรำบ
2. ลดกำรตัดไม้ทำลำยป่ ำ ช่วยกันปลูกต้นไม้และดูแลต้นไม้ที่มีอยู่ เพรำะต้นไม้จะช่วยกรองอำกำศเสี ย
ให้เป็ นอำกำศดี
3. ผูท้ ี่ใช้ยำนพำหนะ ควรเลือกใช้เชื้อเพลิงที่มีควันออกมำน้อย หรื อใช้เชื้อเพลิงที่ทำจำกพลังงำน
ทดแทนที่ไม่เป็ นพิษต่อสิ่ งแวดล้อม และควรตรวจสอบสภำพเครื่ องยนต์อย่ำงสม่ำเสมอ รวมทั้งลดกำรใช้รถยนต์
ส่ วนบุคคล หันมำนัง่ รถประจำทำง ถีบจักรยำนหรื อเดินแทน
4. ควรงดกำรสูบบุหรี่ เพรำะเป็ นอันตรำยต่อตนเองและคนรอบข้ำง
5. ผูด้ ำเนินกำรเกี่ยวกับกำรก่อสร้ำง ควรมีกำรปกคลุมอำคำรที่กำลังก่อสร้ำงด้วยผ้ำใบให้มิดชิดเพื่อ
ป้องกันกำรฟุ้งกระจำยของฝุ่ น
ผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ
ฝนกรด
น้ ำฝนโดยทัว่ ไปจะมีควำมเป็ นกรดอ่อน เพรำะมีแก๊สคำร์ บอนไดออกไซด์ละลำยอยู่ ส่ วนฝนกรดจะมีค่ำ
pH ต่ำกว่ำ 5.6 เพรำะเกิดจำกแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และไนโตรเจนมอนนอกไซด์ (NO) ที่ถูกปล่อยมำ
จำกโรงงำนอุตสำหกรรมและเกิดจำกกำรเผำไหม้เชื้อเพลิงในรถยนต์ โดยแก๊สทั้งสองชนิดนี้ทำปฏิกิริยำกับน้ ำ
ในบรรยำ กำศเกิดเป็ นกรดซัลฟิ วริ ก (H2SO4) และกรดไนตริ ก (HNO3) ตะกอนของกรดเหล่ำนี้จะสะสมอยูใ่ น
รู ปของฝน หมอก และหิมะ เมื่อฝนตกและมีลมพัดแรงจะพัดพำอนุภำคของกรดไปตกที่ไกล ๆ ได้หลำยร้อยกิโล
เมต
ฝนกรดที่ตกลงมำจะทำให้ดินเป็ นกรด เมื่อพืชดูดซึ มกรดเข้ำไปจะไปทำลำยเนื้อเยือ่ ภำยใน ทำให้ตน้ พืช
แคระแกร็ น ไม่เจริ ญเติบโต ฝนกรดยังทำให้น้ ำในแหล่งน้ ำเป็ นกรดส่ งผลให้สิ่งมีชีวิตในน้ ำตำย นอกจำกนี้ฝน
กรดยังทำให้โลหะที่เป็ นส่ วนประกอบในสิ่ งก่อสร้ำงและอำคำรบ้ำนเรื อนผุกร่ อนและเกิดสนิม และทำปฏิกิริยำ
กับหินปูนหรื อหิ นอ่อนที่ใช้ทำส่วนต่ำง ๆ ของอำคำรผุกร่ อนได้
การเปลีย่ นแปลงอุณหภูมิของโลก
กำรเผำไหม้เชื้อเพลิงที่เกิดจำกกำรก่อสร้ำง โรงงำนอุตสำหกรรม ตลอดจนกำรใช้ยำนพำหนะต่ำง ๆ ทำ
ให้ปริ มำณของแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ในบรรยำกำศเพิ่มสู งขึ้น ปริ มำณแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสู งขึ้น
นี้เอง มีผลทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสู งขึ้น และมีแนวโน้มจะเพิ่มสู งขึ้นในทุก ๆ ปี
การทาลายชั้นโอโซนของบรรยากาศ
จำกกำรศึกษำโครงสร้ำงของชั้นบรรยำกำศทำให้เรำทรำบว่ำ มีแก๊สโอโซน (O3) อยู่อย่ำงหนำแน่นที่
บรรยำกำศชั้นสตรำโตสเฟี ยร์ ซึ่งมีถึงร้อยละ 90 ของโอโซนทั้งหมด โดยโอโซนจะทำหน้ำดูดกลืนและกรอง
แสงอัลตรำไวโอเลตจำกดวงอำทิตย์ไม่ให้มำทำอันตรำยต่อสิ่ งมีชีวิตบนโลก และช่วยควบคุมอุณหภูมิให้เป็ น
ปกติอีกด้วย
กำรทำลำยโอโซนของชั้นบรรยำกำศ คือ กำรที่แก๊สบำงชนิด เช่น ออกไซด์ของไนโตรเจน มีเทน คลอ
โรฟลูออโรคำร์บอน (chlorofluorocarbon: CFC) ถูกปล่อยขึ้นสู่ บรรยำกำศ และทำลำยชั้นโอโซนจนเป็ นรู โหว่
ทำให้รังสี อลั ตรำไวโอเลตที่เป็ นอันตรำยต่อสิ่ งมีชีวิตส่ องถึงพื้นโลกได้
สำรคลอโรฟลูออโรคำร์บอน (CFC) เป็ นตัวกำรสำคัญในกำรทำลำยชั้นโอโซน ถูกนำมำใช้ใน
อุตสำหกรรมต่ำง ๆ เช่น กำรผลิตโฟมและพลำสติกบำงชนิด ใช้ในเครื่ องทำควำมเย็นและใช้เป็ นสำรขับดันใน
กระป๋ องสเปรย์ สำรซีเอฟซีจะไม่ละลำยน้ ำ เมื่อสำรนี้ข้ ึนสู่ บรรยำกำศจะไม่ถูกขจัดไปโดยน้ ำฝน และอยูใ่ น
บรรยำกำศได้นำน สำรซีเอฟซีจะเปลี่ยนโอโซนให้คลอรี นมอนอกไซด์ และแก๊สออกซิเจน ซึ่งแก๊สออกซิเจนไม่
สำมำรถป้องกันรังสี อลั ตรำไวโอเลตได้ ทำให้รังสี อลั ตรำไวโอเลตเข้ำมำสู่ โลกมำกยิง่ ขึ้น
ผลกระทบจากการทาลายชั้นโอโซนของบรรยากาศ
1. ผลกระทบต่อมนุษย์ ทำให้ผิวหนังไหม้เกรี ยม ตำพร่ ำ ตำเป็ นต้อกระจก ผิวหนังเหี่ ยวย่นก่อนวัย และ
เป็ นโรคมะเร็ งผิวหนังมำกขึ้น
2. ผลกระทบต่อพืชและสัตว์ เช่น ผลผลิตข้ำวและถัว่ เหลืองลดลง รังสี อลั ตรำไวโอเลตที่ส่องลงไปใน
ทะเลจะทำให้ผลผลิตของแพลงก์ตอนพืชลดลง ทำให้สัตว์ที่กินแพลงก์ตอนเป็ นอำหำรจะลดจำนวนลงไปด้วย
ปริ มำณอำหำรของมนุษย์จึงลดลง
3. ผลกระทบต่ออุณหภูมิของโลก ทำให้ผิวโลกร้อนขึ้น น้ ำในมหำสมุทรขยำยตัว ทำให้เกิดน้ ำท่วม
ปรากฏการณ์ เรื อนกระจกและภาวะโลกร้ อน
ชั้นบรรยำกำศของโลกเปรี ยบเสมือนเรื อนกระจกที่ห่อหุ ้มโลกไว้ ทำให้อุณหภูมิของโลกมีควำมสมดุล
พอเหมำะต่อกำรดำรงชีวิตของสิ่ งมีชีวิตบนโลก ในภำวะปกติ ชั้นบรรยำกำศของโลกจะประกอบด้วยแก๊ส
โอโซน ไอน้ ำ รวมทั้งแก๊สต่ำง ๆ ปะปนอยู่ เมื่อดวงอำทิตย์แผ่รังสี มำยังโลก ส่ วนหนึ่งที่เป็ นรังสี อลั ตรำไวโอเลต
คลื่นสั้น จะถูกบรรยำกำศชั้นโอโซนดูดกลืนไว้ บำงส่ วนจะสะท้อนกลับหรื อกระจำยไปในบรรยำกำศโดย
อนุภำคต่ำง ๆ ที่มีอยูใ่ นอำกำศ รังสี ที่ตกกระทบพื้นผิวโลกบำงส่ วนถูกนำไปใช้ในกระบวนกำรสังเครำะห์ดว้ ย
แสงของพืช กำรหำยใจของคนและสัตว์ กำรระเหยของน้ ำ และโลกจะดูดกลืนรังสี บำงส่ วนจำกดวงอำทิตย์แล้ว
สะท้อนรังสี กลับออกไปในรู ปรังสี อินฟรำเรดหรื อควำมร้อน
แก๊สบำงชนิดในบรรยำกำศจะดูดซับรังสี อินฟรำเรดหรื อควำมร้อนไว้บำงส่วน ทำให้อุณหภูมิของโลก
พอเหมำะกับกำรดำรงชีวิตของสิ่ งมีชีวิต จึงเกิดกำรหมุนเวียนของแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์และแก๊สออกซิเจน
ในธรรมชำติข้ นึ จำกกำรสังเครำะห์ดว้ ยแสงของพืช กำรหำยใจของคนและสัตว์ เมื่อคน สัตว์ และพืชตำยลง ซำก
พืชซำกสัตว์จะถูกย่อยสลำยโดยจุลินทรี ยใ์ นธรรมชำติ ทำให้เกิดแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์กลับคืนสู่ธรรมชำติ
ตลอดเวลำ นอกจำกนี้ยงั มีวฏั จักรของน้ ำและฤดูกำลต่ำง ๆ ดำเนินไปอย่ำงสมดุล เนื่องจำกกำรระเหยของน้ ำ

แต่ในปัจจุบนั กิจกรรมต่ำง ๆ ของมนุษย์มีผลทำให้ช้ นั บรรยำกำศของโลกมีปริ มำณแก๊สบำงชนิดที่มี


สมบัติดูดซับควำมร้อนมำกเกินสมดุลของธรรมชำติ รังสี ควำมร้อนจำกดวงอำทิตย์สะท้อนออกจำกผิวโลกได้
น้อยลง อุณหภูมิของพื้นผิวโลกจึงสู งขึ้น ลักษณะดังกล่ำวนี้เรี ยกว่ำ ปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจก (greenhouse
effect) แก๊สที่มีสมบัติพิเศษสำมำรถดูดซับรังสี อินฟรำเรดหรื อควำมร้อนไว้ เรี ยกว่ำ แก๊สเรื อนกระจก ที่สำคัญมี
ดังนี้
1. คำร์บอนไดออกไซด์ เป็ นแก๊สที่ดูดซับควำมร้อนได้ดี เกิดจำกกำรเผำไหม้เชื้อเพลิง เช่น โรงงำน
อุตสำหกรรมต่ำง ๆ กำรเผำไหม้เชื้อเพลิงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ำ กำรเผำไม้ทำลำยป่ ำเพื่อใช้เป็ นที่อยูอ่ ำศัยหรื อ
กำรเกษตร และไฟป่ ำนับว่ำเป็ นตัวกำรสำคัญที่สุดในกำรปล่อยแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ข้ นึ สู่ บรรยำกำศ แก๊ส
คำร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจำกกำรทำกิจกรรมของมนุษย์เป็ นตัวกำรที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดปรำกฏกำรณ์เรื อน
กระจกถึงร้อยละ 53
2. มีเทน เกิดจำกทั้งธรรมชำติและกำรกระทำของมนุษย์ เช่น กำรเผำไหม้เชื้อเพลิงประเภทถ่ำนหิ น และ
แก๊สธรรมชำติ กำรทิ้งขยะสะสมกันเป็ นจำนวนมำก กำรปลูกพืชและกำรทำนำข้ำว โดยพื้นที่กำรเกษตรใน
ประเทศแถบเอเชียและออสเตรเลียมีกำรปล่อยแก๊สมีเทนขึ้นสู่ ช้ นั บรรยำกำศในปริ มำณมำก แก๊สนี้ดูดควำมร้อน
ได้มำกกว่ำคำร์บอนไดออกไซด์ถึง 20 เท่ำ และมีส่วนทำให้เกิดปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจกได้มำกถึงร้อยละ 17
3. โอโซน แก๊สโอโซนที่อยูต่ ่ำกว่ำชั้นสตรำโตสเฟี ยร์ หรื ออยูร่ ะดับผิวโลก ถ้ำเกิดกำรทำปฏิกิริยำ
ระหว่ำงแสงแดดกับมลพิษในชั้นบรรยำกำศ แก๊สนี้จะมีพฤติกรรมเป็ นแก๊สเรื อนกระจกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีส่วนทำ
ให้เกิดปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจกได้ถึงร้อยละ 13
4. ไนตรัสออกไซด์ (N2O) เกิดจำกอุตสำหกรรมที่ใช้กรดไนทริ กในกระบวนกำรผลิต เช่น
อุตสำหกรรมผลิตเส้นใยไนลอน อุตสำหกรรมพลำสติกบำงชนิด รวมทั้งกำรเผำหญ้ำจำกทุ่งนำ จำกป่ ำไม้ และ
กำรใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนเป็ นองค์ประกอบ แก๊สนี้ดูดควำมร้อนได้มำกกว่ำคำร์บอนไดออกไซด์ถึง 200 เท่ำ และมี
ส่วนทำให้เกิดปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจกได้ประมำณร้อยละ 12
5. คลอโรฟลูออโรคำร์บอน (chlorofluorocarbon หรื อ CFC) เป็ นแก๊สที่มนุษย์สังเครำะห์ข้ นึ ใช้ใน
อุตสำหกรรมกำรผลิตพลำสติก โฟม เฟอร์ นิเจอร์ เป็ นแก๊สที่ใช้ขบั ดันในกระป๋ องสเปรย์ แก๊สนี้สำมำรถรวมตัว
ทำงเคมีได้ดีกบั โอโซน ทำให้โอโซนในชั้นบรรยำกำศลดลงจนมีผลกระทบต่อสิ่ งมีชีวิตบนโลก แก๊สชนิดนี้ทำ
ให้เกิดปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจกได้ประมำณร้อยละ 5
ปริ มำณแก๊สเรื อนกระจกที่เกิดขึ้นส่ วนใหญ่เกิดจำกกิจกรรมต่ำง ๆ ของมนุษย์ ในปัจจุบนั โลกมีกำร
ปล่อยแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยำกำศสูงถึงปี ละประมำณ 26,000 ล้ำนตัน ในส่วนของประเทศไทย มีกำร
ปล่อยแก๊สเรื อนกระจกจำกกิจกรรมต่ำง ๆ ดังนี้
สิ่ งที่ตำมมำจำกปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจก คือ ภำวะโลกร้อน (global warming) หมำยถึง สภำวะที่
อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสู งขึ้น ทำให้ภูมิอำกำศเกิดกำรเปลี่ยนแปลง เช่น เกิดกำรเปลี่ยนแปลงของปริ มำณ
น้ ำฝน ระดับน้ ำทะเล และส่ งผลกระทบต่อสิ่ งมีชีวิตบนโลกอย่ำงกว้ำงขวำง

ผลกระทบจำกปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจกและภำวะโลกร้อน
1. ผลกระทบต่อสิ่ งแวดล้อม ทำให้อุณหภูมิของโลกสู งขึ้น ทำให้มีผลต่อสิ่ งแวดล้อมในธรรมชำติ ดังนี้
1.1 ผลกระทบต่อธำรน้ ำแข็งและหิ มะ เมื่อโลกร้อนขึ้นทำให้เกิดกำรละลำยของธำรน้ ำแข็งและหิ มะ
บริ เวณขั้วโลกเพิ่มขึ้น กำรระเหยของน้ ำสู่ บรรยำกำศจึงเพิ่มขึ้น เกิดฝนตกสู่ พ้นื ดินในลักษณะไม่มีรูปแบบที่
แน่นอน คือ จะตกเพิ่มขึ้นในบำงพื้นที่ และลดลงในบำงพื้นที่ และกำรละลำยของยังทำให้ระดับน้ ำทะเลใน
มหำสมุทรเพิ่มขึ้นอีกด้วย
1.2 ผลกระทบต่อมหำสมุทรและชำยฝั่งทะเล ภำวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิเหนื อพื้นดินและพื้นน้ ำเกิด
ควำมแตกต่ำงกันมำกขึ้น จึงทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงของลมที่บริ เวณชำยฝั่งและควำมแปรปรวนของกำร
หมุนเวียนของกระแสน้ ำในมหำสมุทร ซึ่งเป็ นสำเหตุสำคัญที่ทำให้สภำพภูมิอำกำศของโลกเกิดกำรเปลี่ยนแปลง
อย่ำงรุ นแรง
1.3 ผลกระทบจำกกำรเปลี่ยนแปลงของหยำดน้ ำฟ้ำ เมื่ออุณหภูมิของโลกสู งขึ้นจะทำให้อตั รำกำรระเหย
ของควำมชื้นจำกพืชและจำกพื้นดินและมหำสมุทรมีมำกขึ้น ทำให้ปริ มำณหยำดน้ ำฟ้ำของโลกเพิม่ ขึ้นด้วย จึง
เกิดกำรเปลี่ยนแปลงของหยำดน้ ำฟ้ำและควำมชื้นในดิน
1.4 ผลกระทบต่อระบบนิเวศ พืช และสัตว์ชนิดต่ำง ๆ กำรเปลี่ยนแปลงสภำพอำกำศทำให้พืชและสัตว์
ต่ำง ๆ เกิดกำรปรับสภำพเพื่อตอบสนองต่อสภำวะที่เปลี่ยนไป จึงอำจมีกำรเคลื่อนย้ำยของพืชและสัตว์บำงชนิด
ไปสู่ พ้นื ที่ใหม่ หรื ออำจทำให้พืชหรื อสัตว์บำงชนิ ดสู ญพันธุ์ไป ซึ่งจะส่ งผลกระทบต่อพืชและสัตว์ชนิดอื่น ๆ ใน
ระบบนิเวศ ทำให้ระบบนิเวศบำงระบบเล็กลง หรื ออำจถึงขั้นสิ้ นสุ ดลงได้
2. ผลกระทบต่อสังคม เมื่อโลกร้อนขึ้นจะมีผลกระทบต่อสังคมมนุษย์ ดังนี้
2.1 ผลกระทบต่อทรัพยำกรน้ ำ เมื่ออุณหภูมิของโลกเพิ่มสู งขึ้น จะทำให้ในบำงพื้นที่มีปริ มำณฝนตกมำก
ขึ้น ในขณะที่บำงพื้นที่มีปริ มำณฝนตกลดลง เกิดภำวะน้ ำท่วมในฤดูหนำวและภำวะแห้งแล้งในฤดูร้อน
เนื่องจำกในฤดูหนำวหิ มะและน้ ำแข็งหลอมเหลวเร็ วกว่ำปกติ ส่ วนฤดูร้อนมีหิมะและน้ ำแข็งลดลงปริ มำณน้ ำ
จำกกำรหลอมเหลวจึงลดลง เกิดกำรขำดแคลนน้ ำ ควำมแห้งแล้งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภำคอุตสำหกรรม
ควำมเป็ นอยูแ่ ละสุ ขภำพของมนุษย์ รวมไปถึงสิ่ งแวดล้อมที่มนุษย์อำศัยอยู่
2.2 ผลกระทบต่อกำรเกษตร ภำวะโลกร้อนทำให้อตั รำกำรระเหยของน้ ำในดินเพิม่ สู งขึ้น น้ ำฝนมี
ปริ มำณลดลง ดินจึงมีควำมชื้นต่ำ เกิดควำมต้องกำรน้ ำในกำรทำกำรเกษตรอย่ำงกว้ำงขวำง โดยเฉพำะในพื้นที่ที่
มีควำมชื้นของดินลดลงอย่ำงรุ นแรง ในขณะที่ทรัพยำกรน้ ำมีไม่เพียงพอต่อควำมต้องกำร ทำให้ผลผลิตทำง
กำรเกษตรลดต่ำลงและเกิดควำมเสี ยหำย
2.3 ผลกระทบต่อผูท้ ี่อำศัยตำมชำยฝั่งทะเล ภำวะโลกร้อนส่ งผลให้พ้นื ดินบริ เวณชำยฝั่งทะเลถูกทำลำย
จำกภำวะน้ ำท่วม เนื่องจำกระดับน้ ำทะเลที่เพิ่มสู งขึ้น เกิดควำมเสี ยหำยต่อถิ่นที่อยูอ่ ำศัยของมนุษย์

2.4 ผลกระทบต่อที่อยูอ่ ำศัยของมนุษย์และสุขอนำมัย สภำพอำกำศที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เกิดภัย


ธรรมชำติที่รุนแรง เช่น ภำวะน้ ำท่วมและควำมแห้งแล้ง เกิดกำรอพยพของประชำกรที่อำศัยในบริ เวณดังกล่ำว
ในประเทศที่กำลังพัฒนำจะเกิดกำรอพยพของประชำกรในเขตชนบทเข้ำสู่ เมือง จึงก่อให้เกิดควำมเสื่ อมโทรม
ของสภำพแวดล้อม และเกิดปัญหำสุ ขอนำมัยในชุมชนมำกขึ้น นอกจำกนี้ อุณหภูมิที่สูงขึ้นยังทำให้เกิดโรคใหม่
ๆ ขึ้นอีกด้วย
แนวทำงกำรป้องกันและแก้ไขปัญหำ
เรำทุกคนควรร่ วมมือกันป้องกัน แก้ไข และลดปริ มำณแก๊สต่ำง ๆ ที่มีผลต่อกำรเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
ของโลก ซึ่งมีแนวทำงดังนี้
1. ประหยัดพลังงำน โดยเฉพำะพลังงำนไฟฟ้ำ เนื่องจำกกำรผลิตกระแสไฟฟ้ำต้องใช้เชื้อเพลิงจำกถ่ำน
หิน และแก๊สธรรมชำติ ซึ่งจะทำให้เกิดแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ในบรรยำกำศสู ง ดังนั้นจึงควรใช้ไฟฟ้ำอย่ำง
ประหยัด เช่น เปลี่ยนมำใช้หลอดไฟฟ้ำที่ประหยัดพลังงำน ปิ ดไฟดวงที่ไม่ใช้ และเมื่อเลิกใช้เครื่ องใช้ไฟฟ้ำแล้ว
ให้ถอดปลัก๊ ออก และหันมำใช้พลังงำนทดแทน เช่น พลังงำนจำกแสงอำทิตย์
2. ช่วยกันฟื้ นฟูและรักษำสภำพป่ ำที่มีอยู่ ลดกำรตัดไม้ทำลำยป่ ำ และปลูกป่ ำเพิ่มเติม รวมถึงกำร
ประหยัดกำรใช้กระดำษ เนื่องจำกกำรผลิตกระดำษต้องใช้พลังงำนมำก และยังก่อให้เกิดมลพิษทำงน้ ำ และเป็ น
สำเหตุของกำรตัดไม้ทำลำยป่ ำ ซึ่งเป็ นตัวดูดซับคำร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญ
3. หลีกเลี่ยงกำรใช้ปุ๋ยที่ทำให้เกิดแก๊สเรื อนกระจก และลดกำรใช้ถุงพลำสติก หันมำใช้ถุงผ้ำแทน
4. บริ โภคอย่ำงพอเพียง ลดกำรกินและใช้อย่ำงฟุ่ มเฟื อย เพรำะเศษอำหำรหรื อเศษขยะที่ทบั ถมอยูท่ ี่กอง
ขยะ จะก่อให้เกิดแก๊สมีเทน ซึ่งเป็ นแก๊สเรื อนกระจก
อย่ำงไรก็ตำม ปั ญหำโลกร้อนยังคงมีอยูใ่ นปัจจุบนั หรื ออำจเพิ่มขึ้นกว่ำเดิมในอนำคต หำกทุกคนยังไม่เข้ำ
เข้ำใจปัญหำและร่ วมมือกันแก้ไขอย่ำงจริ งจัง ถ้ำเรำทุกคนร่ วมกันแก้ไข บรรยำกำศของโลกเรำก็จะอยูใ่ นสภำพที่
ดีต่อไป
ลม
ส่ วนต่ำง ๆ ของพื้นผิวโลกจะรับเอำพลังงำนควำมร้อนจำกดวงอำทิตย์ไว้ได้ไม่เท่ำกัน จึงทำให้สภำพ
อำกำศเหนื อบริ เวณต่ำง ๆ มีควำมแตกต่ำงกันไปด้วย กล่ำวคือ บริ เวณที่เป็ นพื้นดินจะเก็บปริ มำณควำมร้อนไว้ได้
น้อยกว่ำส่ วนที่เป็ นพื้น ควำมแตกต่ำงของอุณหภูมิเหนือบริ เวณต่ำง ๆ นี้เองเป็ นสำเหตุสำคัญของกำรเกิดลม
การวัดลม
กำรเคลื่อนที่ของอำกำศจะมีทิศทำงและควำมเร็วในกำรเคลื่อนที่ เรำสำมำรถวัดทิศทำงและควำมเร็วของ
ลมได้โดยใช้เครื่ องมือวัดที่เรี ยกว่ำ ศรลม (wind vane)
ศรลมเป็ นเครื่ องมือวัดทิศทำงลมที่มีลกั ษณะเป็ นลูกศรยำว มีแพนหำงตั้งตรง เป็ นตัวบังคับให้ปลำยศร
ลมชี้ไปในทิศทำงที่ลมพัดเข้ำมำโดยแกนของศรลมจะหมุนไปโดยรอบ
ส่วนเครื่ องมือที่ใช้ตรวจสอบควำมเร็วลมเรี ยกว่ำ มาตรความเร็วลม ควำมเร็วของลมมีหน่วย
เป็ น นอต (1 นอตมีค่ำเท่ำกับ 1 ไมล์ทะเลต่อชัว่ โมง)
นักวิทยำศำสตร์ได้ประดิษฐ์เครื่ องมือตรวจสอบควำมเร็วลมที่เรี ยกว่ำ เครื่ องวัดความเร็วลม หรื อ แอนิ
มอมิเตอร์ (anemometer) ปัจจุบนั นิยมใช้แบบลูกถ้วย (cup anemometer) ซึ่งประกอบด้วยลูกถ้วยรู ปครึ่ งวงกลม
3 หรื อ 4 ใบ ติดอยูก่ บั เพลำในแนวตั้ง ควำมกดที่แตกต่ำงกันจำกด้ำนหนึ่งของลูกถ้วยใบหนึ่งไปยังลูกถ้วยอีกใบ
หนึ่ง ทำให้ลูกถ้วยหมุนรอบ ๆ เพลำ อัตรำที่ลูกถ้วยหมุนจะเป็ นสัดส่วนโดยตรงต่อควำมเร็วลม โดยปกติกำร
หมุนของลูกถ้วยจะถูกเปลี่ยนกลับเป็ นควำมเร็ วของลมผ่ำนระบบเกียร์และสำมำรถอ่ำนควำมเร็วลมได้จำก
หน้ำปัดหรื อส่งไปยังเครื่ องบันทึกเวลำ
เนื่องจำกบริ เวณเส้นศูนย์สูตรจะได้รับควำมร้อนมำกกว่ำบริ เวณอื่น ทำให้บรรยำกำศบริ เวณนั้นเกิดกำร
ขยำยตัวและลอยตัวสู งขึ้น อำกำศบริ เวณพื้นโลกที่เย็นกว่ำจะเคลื่อนตัวเข้ำมำแทนที่ ทำให้เกิดลม และลมนี่เอง
เป็ นสำเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนของอากาศ (circulation) ซึ่งเป็ นสำเหตุสำคัญของกำรเกิดฝนและพำยุ
เมื่อพิจำรณำจำกจำกหลักกำรกำรเกิดลม รวมทั้งกำรรับและคำยควำมร้อนของพื้นดินและพื้นน้ ำ เรำสำมำรถ
นำมำอธิบำยกำรเกิดลมมรสุ มได้ดงั นี้
ลมมรสุ ม
ในฤดูร้อนอุณหภูมิของพื้นดินหรื อทวีปจะสู งกว่ำอุณหภูมิของพื้นน้ ำหรื อมหำสมุทร ลมจึงพัดจำก
มหำสมุทรเข้ำสู่ ฝั่งทวีป ส่ วนในฤดูหนำวอุณหภูมิของทวีปจะต่ำกว่ำอุณหภูมิของมหำสมุทร ลมจึงพัดจำกทวีป
ไปสุ่ มหำสมุทร กำรพัดของลมในลักษณะนี้เรี ยกว่ำ ลมมรสุ ม (monsoon) ลมมรสุ มอำจเกิดขึ้นได้ทว่ั โลกใน
หลำยทวีป แต่ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือ ปรำกฏกำรณ์ของลมมรสุ มในทวีปเอเชียบริ เวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเฉพำะประเทศอินเดีย ไทย และแหลมอินโดจีน ทั้งนี้ เพรำะบริ เวณดังกล่ำวลมมรสุ มจะปะทะกับระบบลม
อื่น ๆ เป็ นเหตุให้เกิดแนวควำมกดอำกำศต่ำ ซึ่งเป็ นตัวกำรทำให้เกิดฝน นอกจำกนี้ยงั มีแนวภูเขำบริ เวณชำยฝั่ง
ช่วยเสริ มกำรเกิดฝนตกหนักอีกด้วย
ประเทศไทยอยูใ่ นเขตอิทธิพลของลมมรสุม 2 ชนิด คือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุม
ตะวันออกเฉียงเหนือ
1. ลมมรสุ มตะวันตกเฉียงใต้ เป็ นลมมรสุมที่พดั จำกทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปทำงทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
เกิดขึ้นในช่วงฤดูฝนระหว่ำงเดือนพฤษภำคมถึงเดือนตุลำคม ช่วงนี้พ้นื ทวีปเอเชียจะมีอุณหภูมิสูง ควำมกด
อำกำศบริ เวณพื้นดินจะต่ำกว่ำบริ เวณมหำสมุทรอินเดีย ลมจะพัดจำกมหำสมุทรอินเดียเข้ำสู่ พ้นื ทวีป ลมชนิดนี้
ค่อนข้ำงชื้นและพัดหอบเอำไอน้ ำไปได้จำนวนมำก ทำให้เกิดฝนตก
2. ลมมรสุ มตะวันออกเฉียงเหนือ เกิดหลังจำกหมดลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้แล้ว เกิดประมำณปลำย
เดือนตุลำคมไปจนสิ้ นสุ ดเดือนกุมภำพันธ์ซ่ ึงเป็ นช่วงฤดูหนำว มีแหล่งกำเนิ ดจำกบริ เวณควำมกดอำกำศสู งบน
ซีกโลกเหนือแถบประเทศมองโกเลียและจีน โดยพัดเอำมวลอำกำศเย็นและแห้งแล้งเข้ำมำปกคลุมประเทศไทย
ทำให้ทอ้ งฟ้ำโปร่ ง อำกำศหนำวเย็นและแห้งแล้งทัว่ ไปโดยเฉพำะภำคเหนือ และภำคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วน
ภำคใต้จะมีฝนตกชุกโดยเฉพำะภำคใต้ฝั่งตะวันออก เนื่องจำกมหำสมุทรจะนำควำมชุ่มชื้นจำกอ่ำวไทยเข้ำมำปก
คลุม อย่ำงไรก็ตำมกำรเริ่ มต้นและสิ้ นสุ ดลมมรสุ มทั้ง 2 ชนิด อำจผันแปรไปจำกปกติได้ในแต่ละปี
สภำพอำกำศที่มีควำมกดอำกำศแตกต่ำงกันอย่ำงมำกในบริ เวณ 2 บริ เวณ อำกำศในบริ เวณที่มีควำมกด
อำกำศสูงจะเคลื่อนตัวอย่ำงรวดเร็วไปยังบริ เวณที่มีควำมกดอำกำศต่ำ ทำให้เกิดลมที่มีควำมรุ นแรงที่เรี ยกว่ำ ลม
พายุ
ควำมกดอำกำศที่แตกต่ำงกันอย่ำงมำกนี้เกิดขึ้นได้จำกกำรปะทะกันของกระแสอำกำศที่มีอุณหภูมิแตกต่ำง
กัน เช่น กำรปะทะของกระแสอำกำศอุ่นจำกบริ เวณเส้นศูนย์สูตรกับกระแสอำกำศเย็นจำกขั้วโลก ก่อให้เกิด
ศูนย์กลำงของควำมกดอำกำศขึ้น โดยอำจเป็ นศูนย์กลำงควำมกดอำกำศต่ำหรื อศูนย์กลำงควำมกดอำกำศสูง ถ้ำ
ศูนย์กลำงเป็ นควำมกดอำกำศต่ำ อำกำศรอบ ๆ ที่มีควำมกดอำกำศสูงกว่ำจะเคลื่อนที่เข้ำหำศูนย์กลำงควำมกด
อำกำศต่ำนั้น ซึ่งปกติจะเคลื่อนที่หมุนเป็ นวงรอบศูนย์กลำงเรำเรี ยกว่ำ พายุหมุน
ในซีกโลกตอนบนพำยุหมุนที่เกิดจำกศูนย์กลำงควำมกดอำกำศต่ำนี้ จะหมุนในทิศทำงทวนเข็มนำฬิกำ
ส่ วนในซีกโลกตอนล่ำงจะหมุนในทิศทำงตำมเข็มนำฬิกำ เรำเรี ยกพำยุที่เกิดขึ้นว่ำ พำยุไซโคลน แต่ถำ้ ศูนย์กลำง
เป็ นควำมกดอำกำศสู ง พำยุหมุนที่เกิดขึ้นจะหมุนตำมเข็มนำฬิกำในซีกโลกตอนบน และหมุนทวนเข็มนำฬิกำใน
ซีกโลกตอนล่ำง เรำเรี ยกว่ำ แอนติไซโคลน
พายุหมุนเขตร้ อน
ประเทศไทยอยูใ่ นเขตมรสุม และอยูใ่ นเขตร้อน คือ บริ เวณระหว่ำงละติจูดที่ 30 องศำเหนือ ถึง 30 องศำ
ใต้ ดังนั้นประเทศไทยจึงได้รับอิทธิพลจำกพายุหมุนเขตร้ อน (tropical cyclones) ซึ่งเป็ นพำยุหมุนที่เกิดขึ้น ก่อ
ตัวขึ้นในบริ เวณร่ องควำมกดอำกำศต่ำแถบศูนย์สูตร ในบริ เวณละติจูดที่ 8 องศำ หรื อ 15 องศำเหนือและใต้
อุณหภูมิที่จะเกิดได้ตอ้ งมีอุณหภูมิที่พ้นื น้ ำทะเลสู งกว่ำ 27 องศำเซลเซียส ถ้ำอำกำศเย็นไปก็จะไม่เกิดพำยุ พำยุ
หมุนเขตร้อนเป็ นพำยุที่มีลมพัดบิดเป็ นเกลียวหมุนเวียนเข้ำหำศูนย์กลำงควำมกดอำกำศต่ำ มีลกั ษณะเกือบเป็ น
วงกลม เป็ นพำยุที่มีกำลังและควำมรุ นแรง โดยมีควำมรุ นแรงกว่ำพำยุหมุนที่เกิดขึ้นนอกเขตร้อน ทำให้เกิดฝน
ตกหนัก มีควำมเร็วลมมำก คือ 120 ถึง 200 กิโลเมตร/ชัว่ โมง มีขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำง 150 ถึง 500 กิโลเมตร
เมื่อพำยุเคลื่อนตัวเข้ำสู่ พ้นื ดินหรื อผ่ำนพื้นน้ ำที่เย็นจัดจะอ่อนกำลังลง บริ เวณศูนย์กลำงหรื อตำของพำยุเป็ น
บริ เวณที่มีลมค่อนข้ำงสงบ ถัดจำกศูนย์กลำงออกไปจะเป็ นบริ เวณที่พำยุมีควำมรุ นแรง
จำกข้อตกลงระหว่ำงประเทศได้มีกำรกำหนดให้เรี ยกชื่อพำยุหมุน โดยใช้เกณฑ์ควำมเร็ วลมสูงสุดใกล้
ศูนย์กลำง ดังนี้
ความเร็วลมสู งสุ ดใกล้
ประเภท ลักษณะของพายุ
ศูนย์กลาง (กิโลเมตร/ชั่วโมง)

1. พำยุดีเปรสชัน ไม่เกิน 63 พำยุที่มีกำลังอ่อน ฝนตกปำนกลำง


ถึงตกหนัก
2. พำยุโซนร้อน 63–118
มีฝนตกหนัก
3. พำยุไต้ฝนุ่ มำกกว่ำ 118
มีฝนตกหนักมำก ลมพัดแรง
พายุฝนฟ้ าคะนอง
บริ เวณที่มีอำกำศร้อนและชื้นจะเกิดพำยุที่มีลมพัดแรง ฝนตกหนัก และเกิดฟ้ำแลบ ฟ้ำร้อง และฟ้ำผ่ำขึ้น
เรี ยกว่ำ พำยุฝนฟ้ำคะนอง ซึ่งบำงครั้งจะมีลูกเห็บเกิดขึ้นด้วย ประเทศไทยจะเกิดพำยุฝนฟ้ำคะนองในฤดูฝนช่วง
เดือนพฤษภำคม พำยุน้ ีเกิดจำกเมฆคิวมูโลนิมบัสที่ก่อตัวในแนวตั้ง สภำวะกำรเกิดพำยุฝนฟ้ำคะนองแบ่งออกได้
เป็ น 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นเริ่มก่อตัว ลักษณะเมฆเป็ นแบบคิวมูลสั ที่กำลังจะพัฒนำเป็ นเมฆคิวมูโลนิมบัส มีกระแสลมแรง
พัดขึ้นตำมแนวตั้งตลอดตั้งแต่ฐำนเมฆไปจนถึงยอดเมฆ
ควำมเร็ วลมที่พดั ขึ้นไปอำจแรงถึง 10 กิโลเมตร/ชัว่ โมง
บำงครั้งอำจถึง 50 กิโลเมตร/ชัว่ โมง
2. ขั้นพัฒนาเต็มที่ ขั้นนี้ภำยในเมฆคิวมูลสั ยังมี
กระแสลมที่พดั ขึ้นตำมแนวตั้ง และมีกระแสลมพัดลง
ตำมแนวตั้งจำกเมฆลงมำสู่ พ้นื ดินตำมเม็ดฝนลงมำไอน้ ำ
จะเกิดกำรกลัน่ ตัวเป็ นเม็ดน้ ำและมีขนำดโตขึ้นจนหนัก
เกินกว่ำที่กระแสลมจะพยุงไว้ได้ จึงตกลงมำเป็ นฝนซึ่ง
เกิดขึ้นในบริ เวณระดับต่ำของเมฆ แต่ในระดับสู งของเมฆขึ้นไปจะมีท้ งั ฝนและหิ มะ สำหรับพำยุฝนฟ้ำคะนองที่
มีกระแสลมพัดขึ้นอย่ำงแรง เม็ดน้ ำจะถูกพัดขึ้นไปในระดับสูงมำก และตกลงมำกลำยเป็ นลูกเห็บได้ และขณะที่
มีพำยุฝนฟ้ำคะนองจะมีลมกระโชกแรงและอำกำศบริ เวณนั้นจะเย็นลง เนื่องจำกกระแสลมที่พดั ลงตำมแนวตั้ง
เมื่อกระทบพื้นดินแล้วจะกระจำยออกในแนวรำบไปด้ำนข้ำง ทำให้เกิดลมกระโชกแรงได้เป็ นระยะทำงไกล ๆ
และอุณหภูมิของพื้นดินจะลดลง
3. ขั้นสลายตัว ขั้นนี้กระแสลมที่พดั ลงตำมแนวตั้งจะแผ่ไปทัว่ ก้อนเมฆ จนกระทัง่ กระแสลมที่พดั ขึ้นจะ
หมดไป ทำให้หยำดน้ ำฟ้ำค่อย ๆ ลดลง และพำยุฝนฟ้ำคะนองก็ค่อย ๆ อ่อนกำลังลงไปด้วย
กำรเกิดพำยุฝนฟ้ำคะนองเรำจะเห็นประกำยไฟหรื อที่เรี ยกว่ำ ฟ้ำแลบ เกิดขึ้นก่อน และหลังจำกนั้นจึงจะ
ได้ยนิ เสี ยงที่เรี ยกว่ำ ฟ้ำร้อง เหตุที่เป็ นเช่นนี้เพรำะแสงมีอตั รำเร็ วมำกกว่ำเสี ยง โดยแสงจะมีอตั รำเร็ ว 300,000
กิโลเมตร/ชัว่ โมง ส่ วนเสี ยงมีอตั รำเร็ วประมำณ 1/3 กิโลเมตร/วินำทีเท่ำนั้น ส่ วนกำรเกิดฟ้ำผ่ำครั้งหนึ่งจะมี
ปริ มำณไฟฟ้ำจำนวนมหำศำล ซึ่ งเป็ นอันตรำยต่อสิ่ งมีชีวิตเป็ นอย่ำงมำก
วิธีป้องกันอันตรายจากพายุฝนฟ้ าคะนองและฟ้ าผ่ า
1. ตัดต้นไม้และกิ่งไม้ที่ใกล้อำคำร บ้ำนเรื อน และสำยไฟฟ้ำออก เพรำะเมื่อเกิดพำยุ กิ่งไม้อำจจะหักโค่นทำให้
เกิดควำมเสี ยหำยขึ้นได้
2. วิธีป้องกันอันตรำยจำกฟ้ำผ่ำ
- ไม่ควรอยูใ่ กล้สิ่งที่เป็ นตัวนำไฟฟ้ำที่เป็ นสื่ อของกำรฟ้ำผ่ำ เช่น เสำไฟฟ้ำ แหล่งน้ ำ รั้วโลหะ
- หลีกเลี่ยงกำรอยูใ่ กล้สิ่งที่สูงในที่โล่งแจ้ง เช่น ต้นไม้ใหญ่ เพรำะต้นไม้ใหญ่เป็ นตัวนำไฟฟ้ำที่เป็ นสื่ อ
ของกำรฟ้ำผ่ำที่ดี เนื่ องจำกมีน้ ำอยูม่ ำกและมีควำมสู งกว่ำวัตถุในบริ เวณเดียวกัน น้ ำในต้นไม้จะร้อนจัดจน
กลำยเป็ นไอน้ ำอย่ำงฉับพลัน ทำให้ตน้ ไม้เกิดกำรระเบิดอย่ำงรุ นแรงได้อีกด้วย
- หำกอยูก่ ลำงแจ้งและรู ้สึกว่ำผมบนศีรษะตั้งขึ้นแสดงว่ำกำลังจะเกิดฟ้ำผ่ำ ให้กม้ ตัวให้ต่ำที่สุดในท่ำนัง่
ก้มหน้ำลง มือทั้งสองวำงบนเข่ำ ปลำยเท้ำชิดกัน และเขย่งเท้ำขึ้น อย่ำนอนรำบกับพื้น เพื่อให้ร่ำงกำยมีส่วน
สัมผัสกับพื้นดินน้อยที่สุด เพรำะลดโอกำสที่กระแสไฟฟ้ำจะไหลผ่ำนร่ ำงกำยหำกเกิดฟ้ำผ่ำลงมำยังพื้นดินใน
บริ เวณที่ใกล้เคียง
3. ขณะเกิดพำยุฝนฟ้ำคะนอง ไม่ควรใช้โทรศัพท์และเครื่ องใช้ไฟฟ้ำ และควรถอดเต้ำเสี ยบของเครื่ องใช้ไฟฟ้ำ
ออก เพรำะอำจมีกระแสไฟฟ้ำที่เกิดจำกฟ้ำผ่ำไหลผ่ำนเครื่ องใช้ไฟฟ้ำหรื อโทรศัพท์เข้ำสู่ร่ำงกำยได้
กำรเคลื่อนที่ของลมและน้ ำ ทำให้เกิดกำรหมุนเวียนของกระแสลมและกระแสน้ ำขึ้น กำรเปลี่ยนแปลงของ
ลมที่บริ เวณชำยฝั่ง และควำมแปรปรวนของกำรหมุนเวียนของกระแสน้ ำในมหำสมุทร ส่ งผลให้เกิด
ปรำกฏกำรณ์เอลนิโญและลำนีญำขึ้น
ปรากฏการณ์ เอลนิโญและลานีญา
มหำสมุทรแปซิฟิกในสภำวะปกติ ตำมแนวเขตเส้นศูนย์สูตรด้ำนตะวันออกของมหำสมุทร (บริ เวณชำยฝั่ง
ตะวันตกของทวีปอเมริ กำใต้ ประเทศเปรู เอกวำดอร์ และชิลีเหนือ) จะมีควำมกดอำกำศสูง ส่วนทำงด้ำน
ตะวันตกของมหำสมุทร (บริ เวณประเทศอินโดนีเซีย ปำปัวนิวกินี และออสเตรเลีย) จะมีควำมกดอำกำศต่ำ ควำม
กดอำกำศที่แตกต่ำงกันนี้ทำให้เกิดลมสิ นค้ำตะวันออกพัดเอำกระแสน้ ำอุ่นบริ เวณผิวหน้ำของมหำสมุทรด้ำนทิศ
ตะวันออกไปสู่ ทิศตะวันตก มวลของน้ ำเย็นที่อยูเ่ บื้องล่ำงจะลอยตัวขึ้นมำแทนที่ ส่ งผลให้บริ เวณชำยฝั่งทวีป
อเมริ กำใต้มีอุณหภูมิต่ำ และมวลน้ ำเย็นที่ที่ลอยขึ้นมำยังนำสำรอำหำรที่อุดมสมบูรณ์ข้ ึนมำด้วยทำให้ชำยฝั่ง
บริ เวณนี้มีปลำชุกชุม ส่ วนด้ำนตะวันตกที่มีกระแสน้ ำอุ่นไหลไปสะสมจะส่ งผลให้ระดับน้ ำในแถบประเทศ
อินโดนี เซียสู งขึ้น และทำให้เกิดฝนตกชุกในแถบนั้น แต่เมื่อเกิดกำรเปลี่ยนแปลงของลมฟ้ำอำกำศในบริ เวณต่ำง
ๆ ของโลกทำให้เกิดปรำกฏกำรณ์เอลนิโญและลำนีญำขึ้น
ปรากฏการณ์ เอลนิโญ
ปรำกฏกำรณ์เอลนิโญ เกิดจำกกำรอ่อนกำลังลงของลมสิ นค้ำตะวันออก และเปลี่ยนทิศทำงของลม
(กลำยเป็ นลมสิ นค้ำตะวันตก) จึงทำให้ไม่สำมำรถพัดพำกระแสน้ ำอุ่นจำกด้ำนตะวันออกไปของมหำสมุทร
แปซิฟิกไปยังบริ เวณด้ำนตะวันตกได้เหมือนในสภำวะปกติ และขณะเดียวกันกระแสน้ ำอุ่นที่สะสมอยูท่ ำงฝั่ง
ตะวันตกก็เกิดกำรไหลย้อนกลับไปทำงด้ำนตะวันออก ส่ งผลให้อุณหภูมิของผิวน้ ำในมหำสมุทรด้ำนตะวันออก
สู งขึ้นมำกกว่ำปกติ และทำให้บริ เวณชำยฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริ กำใต้ ประเทศเปรู เอกวำดอร์ และชิลีเหนื อ
ซึ่งเดิมเคยแห้งแล้งเกิดฝนตกหนัก

ผลกระทบที่เกิดจากปรากฏการณ์เอลนิโญ
1. ทำให้เกิดภูมิอำกำศเปลี่ยนแปลง ประเทศที่อยูด่ ำ้ นตะวันตกของมหำสมุทรแปซิฟิก เช่น ประเทศ
อินโดนีเซีย จะเกิดควำมแห้งแล้ง ฝนไม่ตกต้องตำมฤดูกำล ส่วนประเทศที่อยูด่ ำ้ นตะวันออกของมหำสมุทร
แปซิฟิกจะเกิดฝนตกหนักกว่ำปกติจนเกิดอุทกภัย
2. อุณหภูมิของกระแสน้ ำในมหำสมุทรสู งขึ้น ปรำกฏกำรณ์เอลนิ โญทำให้พ้ืนที่ของกระแสน้ ำอุ่นใน
มหำสมุทรแปซิฟิกขยำยตัวเพิม่ ขึ้น อุณหภูมิของน้ ำจะเพิ่มสู งขึ้นมำกกว่ำปกติถึง 5 องศำเซลเซียส ทำให้สิ่งมีชีวิต
ที่อำศัยอยูใ่ นมหำสมุทรไม่สำมำรถปรับตัวได้ทนั และอำจสูญพันธุ์ในที่สุด
3. ทำให้เกิดภัยธรรมชำติ ในปี พ.ศ. 2534–2535 ก่อให้เกิดควำมแห้งแล้งในทวีปแอฟริ กำตอนใต้ที่ร้ำยแรง
ที่สุดในรอบศตวรรษ ทำให้พืชพรรณเสี ยหำย และประชำชนเกิดภำวะอดอยำก และในปี พ.ศ. 2540 เกิดไฟไหม้
ป่ ำในประเทศอินโดนีเซีย ก่อให้เกิดมลพิษทำงอำกำศในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้
ปรากฏการณ์ ลานีญา
ปรำกฏกำรณ์ลำนีญำมักเกิดขึ้นหลังปรำกฏกำรณ์เอลนิ โญ และมีกระบวนกำรเกิดที่ตรงกันข้ำม โดยเกิด
จำกลมสิ นค้ำที่พดั อยูเ่ ป็ นประจำในมหำสมุทรแปซิฟิก มีกำลังแรงมำกกว่ำปกติ จึงพัดพำผิวน้ ำอุ่นจำกมหำสมุทร
แปซิฟิกด้ำนตะวันออก (บริ เวณชำยฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริ กำใต้ ประเทศเปรู เอกวำดอร์ และชิลีเหนือ) ไป
สะสมอยูท่ ำงด้ำนตะวันตก (บริ เวณประเทศอินโดนี เซีย ปำปัวนิวกินี และออสเตรเลีย) มำกยิง่ ขึ้น ส่ งผลให้ระดับ
น้ ำและอุณหภูมิของน้ ำในมหำสมุทรด้ำนตะวันตกสู งขึ้น ประเทศในแถบนั้นจึงเกิดฝนตกหนักขึ้น ขณะที่
ทำงด้ำนแปซิฟิกตะวันออก อุณหภูมิของน้ ำจะต่ำลงกว่ำปกติ และเกิดควำมแห้งแล้งมำกขึ้น โดยทัว่ ไป
ปรำกฏกำรณ์ลำนีญำจะเกิดน้อยกว่ำปรำกฏกำรณ์เอลนิโญ โดยเกิดเฉลี่ย 56 ปี ต่อครั้ง แต่ละครั้งกินเวลำนำน
ประมำณ 1 ปี
ลมฟ้ำอำกำศในแต่ละบริ เวณจะมีควำมแตกต่ำงกัน ลมฟ้ำอำกำศประจำวันของบริ เวณหนึ่งก็คือสภำวะ
อำกำศของวันนั้นในบริ เวณนั้น แต่ถำ้ เกณฑ์เฉลี่ยของสภำวะอำกำศในบริ เวณหนึ่งในระยะยำวเรำเรี ยกว่ำ
ภูมิอำกำศ (climate)
ภูมิอำกำศ คือ ผลเฉลี่ยของสภำวะอำกำศประจำถิ่นของบริ เวณใดบริ เวณหนึ่งในระยะยำว (ระยะยำว
ตั้งแต่ 30 ถึง 35 ปี ขึ้นไป) เช่น ประเทศไทยตั้งอยูใ่ นเขตอำกำศแบบร้อนชื้น
แบบฝึ กหัด ลม ฟ้า อากาศ
1) ข้อควำมใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับอุณหภูมิของอำกำศ
ก. อุณหภูมิพ้นื น้ ำจะสู งกว่ำอุณหภูมิพ้นื ดิน
ข. กลำงวันและกลำงคืนมีอุณหภูมิไม่แตกต่ำงกัน
ค. ระดับควำมสูงจำกผิวโลกต่ำงกัน อุณหภูมิของอำกำศต่ำงกัน
ง. อุณหภูมิบนพื้นดินจะเปลี่ยนแปลงได้ชำ้ กว่ำอุณหภูมิใต้ผิวดิน
2) ควำมกดอำกำศกับควำมสู งจำกระดับน้ ำทะเลมีควำมสัมพันธ์กนั ในลักษณะใด
ก. ควำมสูงลดลง ควำมกดอำกำศคงที่
ข. ควำมสูงลดลง ควำมกดอำกำศลดลง
ค. ควำมสูงเพิ่มขึ้น ควำมกดอำกำศลดลง
ง. ควำมสู งเพิ่มขึ้น ควำมกดอำกำศเพิ่มขึ้น
3) เครื่ องวัดควำมกดอำกำศประเภทใดสำหรับใช้งำนบรเครื่ องบิน
ก. บำรอกรำฟ
ข. บำรอมิเตอร์
ค. แอลติมิเตอร์
ง. แอนิรอยด์บำรอมิเตอร
4) กำรเคลื่อนของลมเป็ นไปในลักษณะใด
ก. จำกหย่อมควำมกดอำกำศสูงไปสู่หย่อมควำมกดอำกำศต่ำ
ข. จำกหย่อมควำมกดอำกำศสูงไปสู่บริ เวณควำมกดอำกำศสูง
ค. จำกบริ เวณควำมกดอำกำศต่ำไปสู่หย่อมควำมกดอำกำศต่ำ
ง. จำกบริ เวณควำมกดอำกำศต่ำไปสู่หย่อมควำมกดอำกำศสูง
5) สำเหตุของกำรเกิดเมฆ คืออะไร
ก. ไอน้ ำในอำกำศอิ่มตัว
ข. ไอน้ ำในอำกำศมีอุณหภูมิลดลง
ค. ไอน้ ำในอำกำศเย็นตัวลงรวมตัวเป็ นกลุ่มละอองน้ ำ
ง. อำกำศเย็นลอยต่ำลง อำกำศร้อนลอยสู งขึ้นไปกระทบควำมเย็นในชั้นบรรยำกำศ
6) ลมฟ้ำอำกำศ คืออะไร
ก. ลักษณะของอำกำศที่ส่งผลต่อสิ่ งมีชีวิตในระยะยำว
ข. ค่ำทำงสถิติชองลมฟ้ำอำกำศในระยะเวลำยำวนำน
ค. กำรคำดกำรณ์ล่วงหน้ำเกี่ยวกับสภำวะอำกำศบนพื้นที่ใด ๆ
ง. สภำวะโดยทัว่ ไปของลมฟ้ำอำกำศบนพื้นที่ใด ๆ ในระยะเวลำสั้น ๆ
7) ลักษณะอำกำศแบบใดที่จะมีผลทำให้เกิดพำยุฟ้ำคะนองได้มำกที่สุด
ก. ควำมชื้นสู ง อุณหภูมิต่ำ
ข. ควำมชื้นต่ำ อุณหภูมิสูง
ค. ควำมชื้นสู ง อุณหภูมิสูง
ง. ควำมชื้นต่ำ อุณหภูมิต่ำ
8) พำยุฟ้ำคะนองที่มีควำมรุ นแรงในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงเดือนใด
ก. มกรำคำ-กุมภำพันธ์
ข. มีนำคม-พฤษภำคม
ค. กรกฎำคม-กันยำยน
ง. ตุลำคม-ธันวำคม
9) ข้อใดเรี ยงลำดับควำมรุ นแรงของพำยุหมุนเขตร้อนจำกน้อยไปหำมำกได้ถูกต้อง
(1) พำยุไต้ฝนุ่
(2) พำยุดีเปรสชันเขตร้อน
(3) พำยุโซนร้อน
ก. 1 2 3
ข. 2 3 1
ค. 2 1 3
ง. 3 2 1
10) พำยุหมุนเขตร้อนจะเกิดขึ้นเมื่อใด
ก. ลมเย็นปะทะกับลมร้อน
ข. ควำมดันอำกำศ 2 บริ เวณต่ำงกันมำก
ค. หย่อมควำมกดอำกำศต่ำมีบริ เวณแคบ ๆ
ง. ควำมดันอำกำศเหนื อดินและเหนือน้ ำต่ำงกัน
11) กระแสลมจะพัดจำกบริ เวณใดไปยังบริ เวณใด
ก. จำกบริ เวณควำมดันอำกำศสูงไปยังบริ เวณควำมดันอำกำสต่ำ
ข. จำกบริ เวณควำมดันอำกำศต่ำไปยังบริ เวณควำมดันอำกำศสูง
ค. จำกบริ เวณควำมดันอำกำศสูงไปยังบริ เวณควำมดันอำกำศปำนกลำง
ง. จำกบริ เวณควำมดันอำกำศปำนกลำงไปยังบริ เวณควำมดันอำกำศสูง
12) พื้นที่ที่อยูใ่ นบริ เวณตำพำยุ จะมีลกั ษณะเป็ นอย่ำงไร
ก. ลมพัดแรง
ข. อำกำศมืดครึ้ ม และมีลมแรง
ค. มีเมฆมำก และมีฝนตกหนัก
ง. อำกำศแจ่มใส มีเมฆเล็กน้อย และมีลมพัดอ่อน
13) พำยุหมุนเขรร้อนในข้อใดที่ทำให้เกิดฝนตกในประเทศไทยบ่อย ๆ
ก. พำยุไต้ฝนุ่
ข. พำยุไซโคลน
ค. พำยุเฮอริ เคน
ง. พำยุดีเปรสชัน
14) ลมมรสุมมีลกั ษณะกำรเกิดคล้ำยกับข้อใด
ก. ลมบก ลมทะเล ค. พำยุหมุนเขตร้อน
ข. พำยุฟ้ำคะนอง ง. ถูกต้องทุกข้อ
15) ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับลมมรสุมที่เกิดในประเทศที่อยูท่ ำงซีกโลกเหนือ เมื่อซีกโลกใต้เอียงเข้ำหำดวง
อำทิตย์
(1) ควำมดันอำกำศเหนือทวีปจะสูงกว่ำควำมดันอำกำศเหนือมหำสมุทร
(2) อุณหภูมิของอำกำศเหนือทวีปจะต่ำกว่ำอุณหภูมิของอำกำศเหนือมหำสมุทร
(3) ลมจะพัดจำกมหำสมุทรไปสู่ พ้นื ทวีป
ก. 1 และ 2
ข. 2 และ 3
ค. 1 และ 3
ง. 1 2 และ 3
16) ในเวลำกลำงวัน ควำมดันอำกำศบริ เวณเหนื อพื้นดิน และพื้นน้ ำเป็ นอย่ำงไร
ก. ควำมดันอำกำศเหนื อพื้นดินและพื้นน้ ำเท่ำกัน
ข. ควำมดันอำกำศเหนื อพื้นดินน้อยกว่ำเหนือพื้นน้ ำ
ค. ควำมดันอำกำศเหนื อพื้นดินมำกกว่ำเหนื อพื้นน้ ำ
ง. ควำมดันอำกำศเหนื อพื้นดินอำจจะมำกกว่ำหรื อเท่ำกันกับเหนือพื้นน้ ำ
17) เหตุกำรณ์ใดจะไม่เกิดขึ้นกับประเทศที่อยูทำงซีกโลกเหนือเมื่อซีกโลกเหนือเอียงเข้ำหำดวงอำทิตย์
ก. พื้นทวีปได้รับพลังงำนจำกดวงอำทิตย์มำกกว่ำพื้นน้ ำ
ข. เกิดลมพัดจำกมหำสมุทรเข้ำสู่แผ่นดินทำให้เกิดฝนตก
ค. ควำมดันอำกำศเหนือทวีปสูงกว่ำควำมดันอำกำศเหนือมหำสมุทร
ง. อุณหภูมิของอำกำศเหนือทวีปสูงกว่ำอุณหภูมิของอำกำศเหนือมหำสมุทร
18) ลมมรสุมที่พดั จำกมหำสมุทรอินเดียมำยังประเทศไทย เรี ยกว่ำอะไร
ก. มรสุมฤดูร้อน
ข. มรสุมฤดูหนำว
ค. มรสุมฤดูฝน
ง. มรสุมฤดูใบไม้ผลิ
19) ลมมรสุ มตะวันตกเฉี ยงใต้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประเทศไทยอย่ำงไร
ก. พื้นดินแห้งแล้ง
ข. ฝนตกชุกทัว่ ไป
ค. อำกำศหนำวเย็น
ง. ท้องฟ้ำโปร่ งใสและมีแดดจัด
20) ลมมรสุ มใดที่มีแหล่งกำเนิดจำกบริ เวณควำมกดอำกำศสู งบนซีกโลกเหนือ และลมมรสุ มนี้จะกอให้เกิด
ผลกระทบต่อประเทศไทยอย่ำงไร
ก. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือทำให้อำกำศร้อน
ข. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ทำให้ทอ้ งฟ้ำโปร่ งใส
ค. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ทำให้มีเมฆมำกและเกิดฝนตกหนัก
ง. ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือทำให้อำกำสหนำวเย็นและแห้งแล้ง
21) ควำมแตกต่ำงระหว่ำงอุณหภูมิของพื้นดินและพื้นน้ ำจะทำให้เกิดสภำวะอำกำศแบบใด
(1) มรสุม
(2) พำยุฝนฟ้ำคะนอง
(3) พำยุหมุนเขตร้อน
(4) ลมบกลมทะเล
(5) ลมภูเขำ ลมหุบเขำ
ก. 1 และ 4
ข. 1 2 และ 3
ค. 1 4 และ 5
ง. 1 3 และ 4
22) ข้อใดเป็ นผลที่เกิดขึ้นจำกปรำกฏกำรณ์เอลนี โญ และลำนีญำ
(1) บริ เวณที่แห้งแล้งจะยิง่ แห้งแล้งยิง่ ขึ้น
(2) บริ เวณที่มีฝนมำกอยูแ่ ล้ว จะมีฝนเพิ่มขึ้นอีก
(3) บริ เวณที่เคยมีฝนน้อย จะมีฝนเพิม่ ขึ้นมำก
(4) บริ เวณที่เคยมีฝนตกชุกจะมีปริ มำณฝนลดลงอย่ำงมำก
ข้อ เอลนีโญ ลำนีญำ
ก. 12 34
ข. 14 23
ค. 34 12
ง. 23 14
23) แก๊สเรื อนกระจกชนิดใดที่ก่อให้เกิดพลังงำนควำมร้อนสะสมในบรรยำกำศของโลกมำกที่สุด
ก. แก๊สมีเทน
ข. แก๊สไนตรัสออกไซด์
ค. แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์
ง. แก๊สคอลโรฟลูออโรคำร์บอน
24) ข้อใดเติมข้อควำมลงในช่องว่ำงได้ถูกต้อง
สำร แหล่งที่มำ ผลกระทบ
_____(1)_____ เครื่ องปรับอำกำศ ทำลำยชั้นโอโซน
คำร์บอนไดออกไซด์ _____(2)_____ _____(3)_____
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ โรงไฟฟ้ำที่ใช้น้ ำมันเตำ _____(4)_____

ข้อ 1 2 3 4
ก. CFC รถยนต์ กั้นแสงอำทิตย์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็ ง
ข. ไนโตรเจนไดออกไซด์ เครื่ องจักร ฝนกรด ปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจก
ค. คำร์บอนมอนอกไซด์ กำรเผำไหม้ อำกำศเป็ นพิษ ปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจก
ง. CFC โรงงำน ปรำกฎกำรณ์เรื อนกระจก ฝนกรด
25) ผูท้ ี่จะทำกำรพยำกรณ์อำกำศจะต้องมีควำมรู ้ควำมเข้ำใจในเรื่ องใดบ้ำง
(1) สภำวะอำกำศปัจจุบนั
(2) ปรำกฏกำรณ์ต่ำง ๆ ทำงอุตุนิยมวิทยำ
(3) กำรคำดหมำยกำรเปลี่ยนแปลงลักษณะอำกำศที่กำลังจะเกิดขึ้น
ก. 1
ข. 1 และ 2
ค. 1 และ 3
ง. 1 2 และ 3
ข้อสอบเข้ำม.4
1. ปรำกฏกำรณ์เอลนีโยเกี่ยวข้องกับมหำสมุทรใดมำกที่สุด
1. แอตแลนติก
2. แปซิฟิก
3. อินเดีย
4. อำร์กติก
2. ข้อใดไม่ใช่ผลของกำรกระทำเนื่องจำกปรำกฏกำรณ์เอลนีโย
1. ระดับน้ ำทะเล และสภำพอำกำศเปลี่ยนแปลง
2. อุณหภูมิผิวน้ ำทะเลสู งขึ้นผิดปกติ
3. เกิดเป็ นประจำทุกปี ในทะเลและมหำสมุทร
4. ปริ มำณฝนที่เคยตกมีจำนวนน้อยลงกว่ำปกติ
3. สำรซีเอฟซี(CFCs)ที่ทำลำยแก๊สโอโซนน้นมีธำตุใดเป็ นองค์ประกอบ
1. C ,F , C
2. Cl , F , C
3. Ca , Fe , C
4. Co , Fe , C
4. สำรซีเอฟซีสำมำรถทำลำยแก๊สโอโซนได้ดว้ ยวิธีใด
1. รวมตัวกับโอโซน
2. ปล่อยคำร์บอนมำรวมตัวกับโอโซน
3. ปล่อยฟลูออรี นมำรวมตัวกับโอโซน
4. ปล่อยคลอรี นมำรวมตัวกับโอโซน
5. อุตุนิยมวิทยำคืออะไร
1. กำรพยำกรณ์อำกำศ
2. กำรศึกษำเกี่ยวกับอุทกภัย
3. กำรศึกษำเกี่ยวกับลมและพำยุ
4. กำรศึกษำเกี่ยวกับกำรเปลี่ยนแปลงบรรยำกำศ
6. กรมอุตุนิยมวิทยำ อยูใ่ นสังกัดกระทรวงใด
1. คมนำคม
2. เกษตรและสหกรณ์
3. สำนักนำยำและรัฐมนตรี
4. วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี
7. "ปรำกฏกำรณ์แลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้ำระหว่ำงก้อนเมฆที่อยูต่ ิดกัน ที่มีควำมต่ำงศักย์ระหว่ำงก้อนเมฆสูงพอ"
ข้อควำมข้ำงต้นคือกระบวนกำรเกิดสิ่ งใด
1. ฟ้ำแลบ
2. ฟ้ำร้อง
3. ฟ้ำแลบและฟ้ำร้อง
4. ฟ้ำผ่ำ
8. ปรำกฏกำรณ์เกิดฟ้ำแลบ ฟ้ำร้อง ฟ้ำผ่ำ มีลำดับกำรเกิดก่อนหลังอย่ำงไร
ถ้ำ A = ฟ้ำแลบ B = ฟ้ำร้อง C = ฟ้ำผ่ำ
1. A , C , B
2. A , B , C
3. C , A , B
4. B ,A , C
9. สภำพกำรรับพลังงำนควำมร้อนของผืนดินและผืนน้ ำในช่วงกลำงวันเป็ นอย่ำงไร
1. พื้นดินและพื้นน้ ำรับพลังงำนควำมร้อนได้ดีเท่ำกัน
2. พื้นดินรับควำมร้อนได้เร็ วกว่ำพื้นน้ ำ
3. พื้นน้ ำรับควำมร้อนได้เร็ วกว่ำพื้นดิน
4. พื้นดินรับควำมร้อนได้เร็ วกว่ำพื้นน้ ำ แต่บำงครั้งก็รับได้ชำ้ กว่ำพื้นน้ ำ
10. ตำพำยุ คืออะไร
ก.บริ เวณศูนย์กลำงของพำยุหมุน มีควำมเร็วลมสูงสุด
ข.เป็ นบริ เวณศูนย์กลำงพำยุหมุน มีควำมเร็วลมน้อยกว่ำบริ เวณรอบๆ
ค.เป็ นบริ เวณที่ลมค่อนข้ำงสงบ
ง.เป็ นบริ เวณที่มีลมพัดรุ นแรงที่สุดของพำยุหมุนแต่ละลูกที่เกิดขึ้น
1. ข้อข. , ค.
2. ข้อก. , ง.
3. ข้อก. , ค.
4. เป็ นไปได้ท้ งั ข้อก. - ง.

You might also like