Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 1 บทนํา
ตอนที่ 1 ความหมายของวิชาฟสิกส
วิชาวิทยาศาสตร คือ วิชาซึ่งเนนศึกษาเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ปรากฏการณตางๆ ในธรรมชาติ
วิชาวิทยาศาสตร อาจแบงไดเปน 2 สาขาหลัก ไดแก
1. วิทยาศาสตรชีวภาพ เปนการศึกษาเฉพาะสวนที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต
2. วิทยาศาสตรกายภาพ เปนการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งไมมีชีวิต แบงออกเปนอีกหลาย
แขนง เชน ฟสิกส เคมี ธรณีวิทยา ดาราศาสตร เปนตน
วิชาฟสิกส เปนวิชาวิทยาศาสตรกายภาพแขนงหนึ่ง ซึ่งเนนศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ
ธรรมชาติ เชน ศึกษาเกี่ยวกับคลื่น แสง เสียง ไฟฟา แมเหล็ก การเคลือ่ นที่ มวล
แรง พลังงาน โมเมนตัม เปนตน
1. วิทยาศาสตรชีวภาพ ศึกษาเกี่ยวกับ ......................................................................................
วิทยาศาสตรกายภาพ ศึกษาเกี่ยวกับ ......................................................................................
วิชาฟสิกส ศึกษาเกี่ยวกับ .......................................................................................................
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ความละเอียดของสเกล = 0.1 cm
ความละเอียดในการวัด = 0.01 cm
ความละเอียดของสเกล = 0.01 cm
ความละเอียดในการวัด = 0.001 cm
1
ฏฺ
I บทที่ 1 บทนํา
2. เครือ่ งมือวัดดังรูป มีความละเอียดของชองสเกล และความ
ละเอียดของการวัดเปนเทาใด ในหนวย cm
1. 1 cm และ 0.1 cm 2. 0.1 cm และ 1 cm
3. 0.1 cm และ 0.01 cm 4. 0.01 cm และ 0.1 cm (ขอ 1)
5. จากรูป ควรบันทึกความยาวของดินสอเปนเทาใด
1. 5 ซม. 2. 5.0 ซม.
3. 5.00 ซม 4. ถูกทุกขอ (ขอ 3)
เหตุผล
ในการวัดปริมาณแตละครัง้ ตองเลือกใชเครื่องมือซึ่งมีความละเอียดใหเหมาะสมกับสิ่งที่จะวัด
เชน การวัดความยาว อาจใชเครือ่ งมือเปน ไมบ รรทัดธรรมดา
ไมบรรทัด
ความละเอียดสเกล = 1 mm
ความละเอียดการอาน = 0.1 mm
(เหมาะกับการวัดความกวางของหนังสือ เปนตน)
2
สู
•I บทที่ 1 บทนํา
เวอรเนีย
ความละเอียดการอาน = 0.1 mm
(เหมือนไมบรรทัด แตเวอรเนียจะแมนยํากวาไมบรรทัด)
ไมโครมิเตอร
ความละเอียดการอาน = 0.01 mm
(เหมาะกับการวัดความหนาของแผน CD เปนตน)
6. จากรูป แสดงการวัดความหนาของวัตถุ
0 5 mm 10 mm
โดยใชเวอรเนียร คาที่วัดไดควรมีคาเทาใด
0 5 10
1. 1.6 mm
2. 2.5 mm
3. 8.0 mm
4. 11.3 mm ( ขอ 2. )
ตอบ
7. นักเรียนคนหนึง่ ทําการทดลองวัดเสน
1 2 cm
ผานศูนยกลางของหลอดทดลอง โดย
ใชเวอรเนียรดงั รูป ผลการวัดควรอาน 0 1
คาไดเทาใด
1. 1.14 2. 1.15 3. 1.45 4. 1.50 ( ขอ 1 )
ตอบ
8. จากรูปเปนการแสดงผลการวัดโดยใชไมโครมิเตอร คาที่อานไดมีคาเทาใด
1. 5.31 mm
2. 5.79 mm
3. 5.81 mm
4. 5.93 mm ( ขอ 3 )
ตอบ
3
•I บทที่ 1 บทนํา
9. ในการวัดความหนาของไมแผนหนึง่ โดยใชไมโครมิเตอร แบบสกรูไดผลดังรูป แสดงวา
ไมแผนนี้มีความหนาเปนเทาใด
1. 5.41 มิลลิเมตร
2. 5.91 มิลลิเมตร
3. 7.41 มิลลิเมตร
4. 7.91 มิลลิเมตร ( ขอ 4 )
ตอบ
10(มช 42) นายแดงวัดเสนผาศูนยกลางของเหรียญอันหนึง่ ไดเทากับ 2.542 เซนติเมตร นัก
เรียนคิดวานายแดงใชเครือ่ งมือชนิดไหนวัดเหรียญอันนี้
1. ไมโครมิเตอร 2. เวอรเนียร 3. ตลับเมตร 4. ไมบรรทัด (ขอ 1)
เหตุผล
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 3 เลขนัยสําคัญ
เลขนัยสําคัญ คือ เลขที่ไดจากการอานคาในการวัด
คือ เลขทีแ่ นนอน (เลขที่อยูบนสเกล) และเลขทีไ่ มแนนอน (เลขที่ไดจากการคาดเดา 1 ตัว)
หลักในการนับจํานวนตัวของเลขนัยสําคัญ
1) เลขที่ไมใชแลข 0 ทุกตัวถือเปนเลขนัยสําคัญ
2) เลข 0 ทีอ่ ยูห นาจํานวนทัง้ หมด ไมถือเปนเลขนัยสําคัญ
เชน 0.00046 มีเลขนัยสําคัญ 2 ตัว คือ 4 และ 6 เทานัน้
3) เลข 0 ที่อยูกลางจํานวน ถือเปนเลขนัยสําคัญ
เชน 7.003 มีเลขนัยสําคัญ 4 ตัว คือ 7 , 0 , 0 และ 3
4) กรณีที่เขียนจํานวนในรูปทศนิยม 0 ทีอยูขางหลัง ถือเปนเลขนัยสําคัญ
เชน 8.000 มีเลขนัยสําคัญ 4 ตัว คือ 8 , 0 , 0 และ 0
5) ถาเขียนจํานวนในรูปจํานวนเต็มธรรมดาไมมที ศนิยม เลข 0 ที่อยูหลังจํานวนไม
ถือเปนเลขนัยสําคัญ เชน 1500 มีเลขนัยสําคัญ 2 ตัว คือ เลข 1 กับ 5 เทานัน้
6) ถาเขียนจํานวนในรูป a x 10n ใหนับจํานวนเลขนัยสําคัญของ a เทานัน้ เปนคําตอบ
เชน 5.23 x 1089 มีเลขนัยสําคัญ 3 ตัว คือ 5 , 2 และ 3 เทานัน้
4
•I บทที่ 1 บทนํา
11(มช 34) นักเรียนคนหนึง่ บันทึกตัวเลขจากการทดลองเปน 0.0652 กิโลกรัม , 8.20 x 10–2
เมตร , 25.5 เซนติเมตร และ 8.00 วินาที จํานวนเหลานี้มีเลขนัยสําคัญกี่ตัว
ก. 1 ตัว ข. 2 ตัว ค. 3 ตัว ง. 4 ตัว (ขอ ค)
เหตุผล
12. ระยะทางจากกรุงเทพถึงนราธิวาสเปน 1150 กิโลเมตร ทานคิดวา 1150 มีเลขนัยสําคัญกี่ตัว
เหตุผล (3)
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
6
ฒฺ
•I บทที่ 1 บทนํา
ตอนที่ 4 ความไมแนนอนในการวัด
เนือ่ งจากคาทีไ่ ดจากการวัดนัน้ จะมีตัวเลขที่ไดจากการคาดเดาอยูดวย จึงอาจทําใหเกิด
ความคาดเคลื่อนไดบาง ดังนั้นการบันทึกคาที่ไดจากการวัด เราอาจเขียนคาความคลาดเคลือ่ น
ลงไปดวย เชน 16.03 ∉ 0.01 เปนตน
17. เชือกเสนหนึ่งยาว 20.68 ∉ 0.01 เซนติเมตร และเสนที่สองยาว 16.32 ∉ 0.02 เซนติเมตร
1. เชือกเสนแรกยาวมากที่สุดเทากับ ...............................เซนติเมตร ( 20.69 )
9
I บทที่ 1 บทนํา
20. กําหนด K = 20.00 ∉ 0.10 , N = 100.00 ∉ 0.90 จงหา
1. K2 . N 2. K. N 3. K3 4. 2 K.N
( 1. 40000.00∉ 760.00 2. 200.00∉1.90 3. 8000.00∉120.00 4. 4000.00∉56.00 )
วิธที าํ
10
ดื้
BI บทที่ 1 บทนํา
21. โตะสีเ่ หลีย่ มตัวหนึง่ กวาง 20.00 ∉ 0.10 เซนติเมตร ยาว 10.00 ∉ 0.20 เซนติเมตร จะมี
พื้นที่มากที่สุดและนอยที่สุดของโตะนี้ เทากับกีต่ ารางเซนติเมตร (205.00 , 195.00 )
วิธที าํ
11
•I บทที่ 1 บทนํา
24. ในการศึกษาการแกวงของลูกตุมนาฬิกาอยางงายมีความยาวสายแขวนเปน 90.0∉0.2 เซนติ-
เมตร คาของคาบการแกวงหาไดจากสมการ T = 2 ° Lg กําหนดให g = 10 m/s2
จงคํานวณหาคาบการแกวง ( เมือ่ L คือ ความยาวสายแกวงหนวยเปนเมตร ) ( 1.886∉
∉0.002 )
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
12
•I บทที่ 1 บทนํา
แบงโดยใชทม่ี าของปริมาณเปนเกณฑ จะแบงไดเปน
1) ปริมาณมูลฐาน คือ ปริมาณขัน้ ตนทีจ่ าํ เปนตอการอธิบายปรากฏการณทางฟสกิ ส
มี 7 ปริมาณ คือ
ปริมาณกายภาพ หนวย สัญลักษณ
ความยาว (Length) เมตร m
มวล (Mass) กิโลกรัม kg
เวลา (Time) วินาที s
กระแสไฟฟา (Electric Current) แอมแปร A
อุณหภูมทิ างเทอรโมไดนามิก เคลวิน K
ความเขมของการสองสวาง แคนเดลา cd
ปริมาณของสาร โมล mol
2) ปริมาณอนุพนั ธ คือ ปริมาณทีเ่ กิดขึน้ จากการนําปริมาณมูลฐานมาประกอบเขาดวยกัน
เชน อัตราเร็ว (m/s)
3) ปริมาณเสริม คือ ปริมาณทีน่ อกเหนือจากปริมาณทัง้ สองทีผ่ า นมา
เชน การวัดมุมเปนองศา
26. ระบบหนวยของปริมาณตางๆ ทีเ่ ปนทีย่ อมรับของนานาชาติ คือ ระบบหนวยอะไร (S.I.)
27. ปริมาณใดตอไปนีเ้ ปนหนวยฐานทัง้ หมด
1. มวล , ความยาว , แรง 2. ระยะทาง , พืน้ ที่ , ปริมาตร
3. มวล , กระแสไฟฟา , ปริมาณของสาร 4. อุณหภูมิ , มุม , พลังงาน (ขอ 3)
28 หนวยทีเ่ ปนมาตรฐานสากลของปริมาณตอไปนีค้ อื หนวยอะไร ความยาว มวล เวลา
กระแสไฟฟา ( เมตร , กิโลกรัม , วินาที , แอมปแปร )
29. หนวย SI ในขอใดเปนหนวยมูลฐานทัง้ หมด
ก. แอมแปร เคลวิน แคนเดลา โมล ข. เมตร องศาเซลเซียส เรเดียน คูลอมบ
ค. กิโลกรัม โอหม ลูเมน พาสคาล ง. วินาที โวลต เวเบอร ลักซ (ขอ ก)
30(มช 42) ขอใด ไมใช หนวยฐานของระบบหนวยระหวางชาติ (เอสไอ) ทัง้ หมด
1. วินาที โวลต แอมแปร 2. แคนเดลา ลูเมน เฮนรี่
3. นิวตัน คูลอมบ จูล 4. โอหม โมล ซีเมนส (ขอ 3)
13
I บทที่ 1 บทนํา
การเปลีย่ นหนวย
คาอุปสรรคใชแทนตัวพหุคูณ
คาพหุคูณ
ชือ่ สัญลักษณ ตัวอยางที่ 3
เอกซะ (exa) E 1018 5.35 cm = 5.35 x 10–2 m
เพตะ (peta ) P 1015
เทอรา (tera) T 1012
จิกะ (giga) G 109 7200 mg = 7200 x 10–3 g = 7.2 g
* เมกกะ (mega) M 106 5.23x10–8 km = 5.23x10–8x103
* กิโล (killo) k 103 m = 5.23 x 10–5 m
เฮกโต (hecto) h 102 4.5 x10–7 ↑A = 4.5x10–7 x 10–6
เดซิ (daci) d 10–1 A = 4.5 x 10–13 A
* เซนติ (centi) c 10–2
* มิลลิ (milli) m 10–3
* ไมโคร (micro) ℵ 10–6
* นาโน (nano) n 10–9
* พิโค (pico) p 10–12
อัตโต (atto) a 10–18
31. ใหเติมคําตอบทีถ่ กู ตองลงในชองวางตอไปนี้
1) 7.2 cm = ……..……....m 2) 6.524 mg = ……..……....g
3) 6.23 nm = ……..……....m 4) 55.26 ↑m = ……..……....m
5) 62.5 pg = ……..……....g 6) 425 km = ……..……....m
7) 0.042 ↑g = ……..……....g 8) 0.0659 Mυ = …....……....υ
9) 0.0073 Gυ = ……..……....υ 10) 3.3 x 103 km = ……..……....m
11) 4.625 x 105 nA = ……..……....A 12) 2.55 x10–3 ↑g = ……..……....g
1) 7.2 x 10–2 m 2) 6.524 x 10–3 g 3) 6.23 x 10–9 m 4) 5.526 x 10–5 m
5) 6.25 x 10–11 g 6) 4.25 x105 m 7) 4.2 x 10–8 g 8) 6.59 x 104 ϖ
9) 7.3 x 106 ϖ 10) 3.3 x 106 m 11) 4.625 x 10–4 A 12) 2.55 x 10–9 g
14
ดื้
I
• บทที่ 1 บทนํา
หากจะเปลีย่ นจากหนวยกลางไปเปนหนวยใด ใหเขียนหนวยนัน้ เลย แตตอ งคูณดวยตัวพหูคณ
ู
ซึง่ มีกาํ ลังอันมีเครือ่ งหมาย ∉ ตรงกันขามดวย
ตัวอยาง จงเปลีย่ น 4.2 x 10–8 เมตร ใหเปนไมโครเมตร
วิธที าํ 4.2 x 10–8 m = 4.2 x 10–8 x 10+6 ↑m = 4.2 x 10–2 ↑m
32. ใหเติมคําตอบทีถ่ กู ตองลงในชองวางตอไปนี้
1) 7.23 x 10–5 υ = …………………..kυ (7.23 x 10–8 kυ
υ)
วิธที าํ
1. 4.9x10–9 2. 4.9x10–11 3. 4.9x10–12 4. 4.59x10–13 (ขอ 3)
15
อI บทที่ 1 บทนํา
35. ระยะทาง 1 เมกะเมตร มีคา เทาใด ในหนวยกิโลเมตร
ก. 1x102 ข. 1x103 ค. 1x106 ง. 1x109 (ขอ ข)
วิธที าํ
16
I
@ บทที่ 1 บทนํา
42. น้าํ มีความหนาแนน 1 กรัม/ลบ.ซม. จะมีคา เทาใดในหนวยกิโลกรัม / ลบ.เมตร (103)
วิธที าํ
47. พืน้ ที่ 100 ตารางวา เรียกวา หนึง่ งาน และ 4 งาน คือพืน้ ที่ 1 ไร พืน้ ทีห่ นึง่ ไรมกี ต่ี ารางเมตร
วิธที าํ ( 1600 )
17
•I บทที่ 1 บทนํา
แบบฝ ก หั ด บทที่ 1 บทนํา
ความละเอียดในการวัด และ เลขนัยสําคัญ
1. จากรูป ควรบันทึกความยาวของดินสอเปนเทาใด (ขอ 3)
1. 5 ซม.
2. 5.0 ซม.
3. 5.00 ซม. 1 2 3 4 5 6 7 8 9
4. ถูกทุกขอ
2. จากรูปทีก่ าํ หนดให ความยาวทีอ่ า นไดขอ ใด
1 2 3 4 5 6 7 cm
8 9
1. 2 cm 2. 2.4 cm 3. 2.45 4. 2.455 (ขอ 3)
3. ปริมาณในขอใดทีไ่ ดจากการวัดโดยใชไมบรรทัดทีม่ คี วามละเอียดถึง 0.1 เซนติเมตร
1. 9 เซนติเมตร 2. 9.0 เซนติเมตร
3. 9.00 เซนติเมตร 4. 9.000 เซนติเมตร (ขอ 3)
4. เลขนัยสําคัญคืออะไร
1. เลขทีว่ ดั ไดจริงๆ จากเครือ่ งมือวัด
2. เลขทีอ่ า นไดจากเครือ่ งมือวัดแบบขีดสเกลรวมกับตัวเลขทีป่ ระมาณอีก 1 ตัว
3. เลขทีป่ ระมาณขึน้ มาในการวัด
4. เลขทีป่ ระมาณขึน้ มาในการวัด (ขอ 2)
5. จงพิจารณาปริมาณตอไปนีข้ อ ใดมีเลขนัยสําคัญ 2 ตัว
1. 20 2. 0.2 3. 0.04 4. 0.010 (ขอ 4)
6. จงบอกจํานวนเลขนัยสําคัญของปริมาณตอไปนี้ 105 , 0.0020 , 3.5x103
1. 3 , 2 และ 2 ตัว 2. 3 , 4 และ 5 ตัว
3. บอกไมได , 1 และ 4 ตัว 4. 2 , 1 และ 3 ตัว (ขอ 1)
18
•I บทที่ 1 บทนํา
7. ปริมาณในขอใดมีเลขนัยสําคัญ 3 ตัว ทัง้ หมด
1. 0.15 , 3.0x103 , 151 2. 1.00 , 0.03 , 0.12x10–3
3. 10.0 , 100 , 3.06 x 109 4. 0.120 , 4.32x10–21 , 168 (ขอ 4)
8. จงหาผลลัพธของคําตอไปนีต้ ามหลักเลขนัยสําคัญ 4.36 + 2.1 – 0.002
1. 6 2. 6.5 3. 6.46 4. 6.458 (ขอ 2)
4.5 + 3.95 – 0.5
9. จงหาผลลัพธของคาตอไปนีต้ ามหลักเลขนัยสําคัญ 2.0
1. 5.7 2. 5.75 3. 5.8 4. 5.85 (ขอ 3)
104 ) x 3.6
10. จงหาผลลัพธของคาตอไปนีต้ ามหลักเลขนัยสําคัญ (1.50 x0.25
1. 2.2 x 105 2. 2.16 x 105 3. 2 x 105 4. 2.1600 x 105 (ขอ 1)
ความไมแนนอนในการวัด
11. ผลบวกและผลตางของจํานวน (6.4 ∉ 0.1) กับ (3.6 ∉ 0.2) มีคา (10.0 ∉ 0.3 , 2.8 ∉0.3)
12. เชือกเสนหนึง่ ยาว 22.24 ∉ 0.04 เซนติเมตร ถาตัดออกเปน 2 เสน โดยเสนทีห่ นึง่ ยาว
12.02 ∉ 0.02 เซนติเมตร เชือกอีกเสนหนึง่ ยาวเทาใด (10.22 ∉ 0.06)
13. แผนกระดาษรูปสีเ่ หลีย่ มผืนผา มีดา นกวาง 36.20 ∉ 0.05 เซนติเมตร และมีดา นยาว
96.45 ∉ 0.05 เซนติเมตร แผนกระดาษแผนนีจ้ ะมีพน้ื ทีเ่ ปนเทาไร (3491.49 ∉ 6.63 cm2 )
14. โตะสีเ่ หลีย่ มตัวหนึง่ มีดา นกวาง 40.5 ∉ 0.1 เซนติเมตร มีดา นยาว 115.2 ∉ 0.2 เซนติเมตร
อยากทราบวาโตะตัวนีม้ พี น้ื ทีม่ ากทีส่ ดุ เทาใด (4685.2 cm2 )
15. ปริมาตรของกลองสีเ่ หลีย่ มรูปลูกบาศกมคี วามยาวดานละ 1.50 ∉ 0.02 เมตร จะเปนเทาใด
และคลาดเคลือ่ นเทาใด ความคลาดเคลือ่ นคิดเปนกีเ่ ปอรเซ็นต (3.38 ∉ 0.14 , 4.0% )
16. ลูกกลมมีรัศมี 1.20 ∉ 0.01 เมตร จะมีปริมาตรทีอ่ าจคลาดเคลือ่ นไดกเ่ี ปอรเซ็นต และ คิด
เปนความคลาดเคลือ่ นเทาใด (2.5 % , 0.18 m3 )
17. ในการหาความหนาแนนของวัตถุซง่ึ มีมวล 72.4 ∉ 0.1 กรัม และมีปริมาตร 18.1 ∉ 0.2
ลูกบาศกเซนติเมตร จะมีคา เทาใด (4.00 ∉ 0.05 g/cm3 )
19
อI บทที่ 1 บทนํา
ปริมาณและการเปลีย่ นหนวย
18. ปริมาณใดตอไปนีเ้ ปนหนวยฐานทัง้ หมด
1. มวล , ความยาว , แรง 2. ระยะทาง , พืน้ ที่ , ปริมาตร
3. มวล , กระแสไฟฟา , ปริมาณของสาร 4. อุณหภูมิ , มุม , พลังงาน (ขอ 3)
19. หนวยในขอใดเปนหนวยเสริม
1. เรเดียน 2. เมตร/วินาที 3. เฮิรตซ 4. เคลวิน (ขอ 1)
20. หนวย SI ในขอใดเปนหนวยฐานทัง้ หมด
1. แอมแปร เคลวิน แคนเดลา โมล 2. เมตร องศาเซลเซียส เรเดียน คูลอมบ
3. กิโลกรัม โอหม ลูเมน พาสคาล 4. วินาที โวลต เวเบอร ลักซ (ขอ 1)
21. ขอใดตอไปนีเ้ ปนหนวย อนุพนั ธในระบบ SI
1. แอมแปร 2. จูล 3. โมล 4. แคนเดลา (ขอ 2)
22. ปริมาณทางฟสกิ สทแ่ี สดงคาแตขนาดเพียงอยางเดียวก็ไดความหมายสมบูรณ เรียกวา
ปริมาณใด
1. เวกเตอร 2. มูลฐาน 3. สเกลาร 4. สัมบูรณ (ขอ 3)
23. ปริมาณทีต่ อ งแสดงคาทัง้ ขนาดและทิศทาง จึงจะไดความหมายสมบูรณเรียกวา ปริมาณใด
1. เวกเตอร 2. มูลฐาน 3. สเกลาร 4. สัมบูรณ (ขอ 1)
24. ตองการวัดความยาวของดินสอ ควรใชเครือ่ งมือวัดชนิดใด
1. ไมบรรทัด 2. สายวัด 3. เวอรเนียร 4. ไมโครมิเตอร (ขอ 1)
25. ถาตองการวัดความหนาของแผนกระดาษควรใชเครือ่ งมือวัดชนิดใด
1. ไมบรรทัด 2. ไมเมตร 3. เวอรเนียร 4. ไมโครมิเตอร (ขอ 4)
20
ญI บทที่ 1 บทนํา
27. ปริมาณ 4 x 10–7 เมตร เมือ่ ใชคาํ อุปสรรคทีเ่ หมาะสม ควรเปลีย่ นเปน
1. 40 mm 2. 4 pm 3. 0.4 ↑m 4. 0.4 nm (ขอ 3)
28. แสงสีเหลืองมีความยาวคลืน่ 0.0000006 m จะมีคา เทียบเทากับคาใด
1. 0.6 mm 2. 60 pm 3. 6 ↑m 4. 600 nm (ขอ 4)
29. พลังงาน 3.2 x 1016 จูล มีคา เทากับขอใด
1. 0.32 เอกซะจูล 2. 32 เพตะจูล
3. 3200 เทระจูล 4. 320 จิกะจูล (ขอ 2)
30. กําลัง 3.75x107 วัตต (W) เมือ่ ใชคาํ อุปสรรคทีเ่ หมาะสมควรเปลีย่ นเปน
1. 37.5 MW 2. 37.5 GW 3. 375 kW 4. 375 ↑W (ขอ 1)
31. ระยะทางในหนวยเมกะเมตร มีคา เปนกีเ่ ทาในหนวยกิโลเมตร
1. 102 2. 103 3. 106 4. 109 (ขอ 2)
32. ปูนซีเมนต 1 ตัน เทียบเทากับมวล (1 ตัน คือ 1000 กิโลกรัม)
1. 1 Gg 2. 1 Mg 3. 1 mm 4. 1 ↑g (ขอ 2)
33. มวล 500 เมกะกรัม มีคา เปนกีไ่ มโครกรัม
1. 5 x 102 2. 5 x 106 3. 5 x 1012 4. 5 x 1014 (ขอ 4)
34. พืน้ ที่ 1.5 ตารางมิลลิเมตร คิดเปนเทาไรในหนวยตารางเมตร
1. 1.5 x 106 2. 1.5 x 103 3. 1.5 x 10–3 4. 1.5 x 10–6 (ขอ 4)
35. พืน้ ที่ 500 ตารางเซนติเมตร คิดเปนกีต่ ารางเมตร
1. 5 x 10–2 2. 5 x 10–4 3. 5 x 10–6 4. 5 x 10–8 (ขอ 1)
36. น้าํ มีปริมาตร 1 x 10–4 ลูกบาศกเมตร คิดเปนปริมาตรกีล่ กู บาศกเซนติเมตร
1. 10 2. 100 3. 1000 4. 10000 (ขอ 2)
37. น้าํ มีความหนาแนน 1 กรัม/ลบ.ซม. จะมีคา เทาใดในหนวยกิโลกรัม / ลบ.เมตร
1. 10–6 2. 10–3 3. 103 4. 106 (ขอ 3)
21
bI บทที่ 1 บทนํา
38. วัตถุหนึง่ มีความหนาแนน 0.004 kg/m3 วัตถุนจ้ี ะมีความหนาแนนเทาไรในหนวย g/Cm3
1. 4 x 104 2. 4 x 10–6 3. 4 x 10–3 4. 4 x 109 (ขอ 2)
39. อัตราเร็ว 72 กิโลเมตร/ชัว่ โมง มีคา เทาไรในหนวยเมตร/วินาที
1. 10 2. 20 3. 30 4. 40 (ขอ 2)
40. อัตราเร็ว 25 เมตรตอวินาที มีคา เทาใดในหนวยกิโลเมตรตอชัว่ โมง
1. 6.95 2. 50 3. 75 4. 90 (ขอ 4)
41. น้าํ 10 ลิตร เทียบไดเทาใดในหนวยลูกบาศกเมตร (1000 ลิตร = 1 m3 )
1. 10–4 2. 10–3 3. 10–2 4. 10– 1 (ขอ 3)
42. ถังน้าํ สีเ่ หลีย่ มกนถังมีพน้ื ที่ 1.5 ตารางเมตร สูง 1.2 เมตร จะบรรจุนาํ้ ไดมากทีส่ ดุ กีล่ ติ ร
1. 180 ลิตร 2. 600 ลิตร 3. 1800 ลิตร 4. 18000 ลิตร (ขอ 3)
43. พืน้ ที่ 1 ตารางกิโลเมตร มีคา กีไ่ ร (1 ไร มี 1600 m2)
1. 125 2. 250 3. 625 4. 2500 (ขอ 3)
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
22
I บทที่ 2 การเคลื่อนที่
2. จงหาระยะทาง และการขจัด
2m
ของการเคลือ่ นที่ ตอไปนี้ 10 m
วิธที าํ ( 12 ม. , 8 ม. )
3. จงหาระยะทาง และการขจัด
ของการเคลือ่ นที่ ตอไปนี้
วิธที าํ ( 22 ม. , 14 ม. )
4. จงหาระยะทาง และการขจัด
ของการเคลือ่ นที่ ตอไปนี้
วิธที าํ ( 44 ม. , 0 ม. )
!a !
5. จากรูปจงหาการขจัดลัพธของ b
!a และ !b ตอไปนี้
วิธที าํ
22
อฺ
ผ์I บทที่ 2 การเคลื่อนที่
!
6. !a , b , !c เปนเวกเตอรดงั รูป
! !c
!a b
!
รูปใดเปนเวกเตอรลพั ธของ !a + b + !c
1. 2. 3. 4.
(ขอ 2)
วิธที าํ
!
7. จากขอที่ผานมา รูปใดเปนเวกเตอรลพั ธของ !a − b − !c
1. 2. 3. 4.
(ขอ 3)
วิธที าํ
! ! ! !
8. กําหนด A , B , C แ ละ D เปนเวกเตอรทม่ี ขี นาดและทิศทางดังรูป ขอความใดถูกตอง
! ! ! ! ! !
C 1. A + B + C + D = 0
! ! ! !
! ! 2. A +B+C =D
D B ! ! ! !
3. A + B + D = C
! ! ! ! !
A 4. A +B =C +D (ขอ 3)
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
23
เI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
10. รถยนตคนั หนึง่ เคลือ่ นทีไ่ ด 30 กิโลเมตร ในครึง่ ชัว่ โมงแรก และเคลื่อนที่ไดระยะทาง 50
กิโลเมตร ในครึง่ ชัว่ โมงตอมา อัตราเร็วเฉลีย่ ใน 1 ชั่วโมงมีคาเทาใด (80 km/hr)
วิธที าํ
11. นายตีเ๋ คลือ่ นทีเ่ ปนเสนตรงดวยอัตราเร็ว 5 เมตร/วินาที ไดระยะทาง 100 เมตร แลวจึงวิ่ง
ตอดวยอัตราเร็ว 10 เมตร/วินาที ไดระยะทาง 50 เมตร จงหาอัตราเร็วเฉลีย่ ( 6 m/s)
วิธที าํ
(3 , 0 )
15 เวลา ( วินาที )
25
เI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
15. ขับจักรยานดวยอัตราเร็วดังนี้
อัตราเร็ว (m/s) 10 8 6 4 2 0
เวลา (S) 0 1 2 3 4 5
จงหาอัตราเรง (–2 m/s2)
วิธที าํ
26
เI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
19. อัตราเร็วทีจ่ ดุ B เปนกีเ่ มตร/วินาที
1. 0.625 2. 0.75 3. 0.90 4. 1.25 (ขอ 1.)
วิธที าํ
27
฿I บทที่ 2 การเคลื่อนที่
ตอนที่ 2 สมการการเคลือ่ นทีใ่ นแนวเสนตรงดวยอัตราเรงคงที่
สมการการเคลือ่ นทีเ่ ปนเสนตรง ดวยความเรงคงที่
v = u+at เมือ่ u = ความเร็วตน (m/s)
S = (u+2 v ) t v = ความเร็วปลาย (m/s)
S = ut + 12 a t2 a = ความเรง (m/s2)
v2 = u 2 + 2 a s t = เวลา (s)
s = การขจัด (m)
S = Vt V = ความเร็วซึ่งคงที่
24. รถคันหนึง่ เคลือ่ นทีไ่ ปดวยความเร็ว 10 เมตร/วินาที แลวเรงเครือ่ งดวยความเรง 5 เมตร/-
วินาที2 ภายในเวลา 20 วินาที จะมีความเร็วสุดทายเปนกี่ เมตรตอวินาที (110 m/s)
วิธที าํ
28
เI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
28. รถคันหนึง่ เคลือ่ นทีจ่ ากหยุดนิง่ ดวยความเรง 5 เมตร/วินาที2 ภายในเวลา 2 วินาที จะ
เคลื่อนที่ไดระยะทางกี่เมตร ( 10 เมตร)
วิธที าํ
29
dI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
32. รถคันหนึง่ เคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็วตน 36 กม/ชม ตอมาเรงเครือ่ งดวยความเรง 3 เมตร/
วินาที2 จงหาวาภายในระยะทาง 50 เมตร รถคันนี้จะมีความเร็วปลายกี่เมตร/วินาที (20 )
วิธที าํ
34. ชายผูหนึ่งขับรถยนตเขาหาสัญญาณไฟจราจรที่สี่แยกแหงหนึ่งขณะที่รถยนตมีความเร็ว 30
เมตร/วินาที สัญญาณไฟเปลี่ยนจากสีเขียวเปนสีเหลือง หากชายผูนั้นใชเวลา 1.0 วินาที
กอนจะเหยียบเบรกและหากอัตราหนวงสูงสุดของเบรกเปน 2 เมตร/วินาที2 จงหาระยะ
นอยที่สุดที่รถยนตอยูหางจากสัญญาณไฟซึ่งรถจะหยุดไดทันพอดี ( 255 m)
วิธที าํ
30
I บทที่ 2 การเคลื่อนที่
35(En 38) รถยนตคนั หนึง่ วิง่ ดวยความเร็วคงที่ 10 เมตรตอวินาที ขณะที่อยูหางสิ่งกีดขวางเปน
ระยะทาง 35 เมตร คนขับตัดสินใจหามลอรถ โดยเสียเวลา 1 วินาที กอนที่หามลอจะทํา
งาน เมื่อหามลอทํางานแลว รถจะตองลดความเร็วในอัตราเทาใด จึงจะทําใหรถหยุดพอ
ดีเมื่อถึงสิ่งกีดขวางนั้น
1. 1.0 m/s2 2. 1.5 m/s2 3. 2.0 m/s2 4. 3.0 m/s2 (ขอ 3)
วิธที าํ
31
ฎฺ
เI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
38. ขวางลูกบอลลงมาในแนวดิ่งดวยความเร็ว 10 เมตร/วินาที ใชเวลา 3 วินาที จึงจะถึงพื้น
ถามวาความเร็วของลูกบอลขณะกระทบพื้นมีคากี่เมตร/วินาที
1. 15 2. 25 3. 30 4. 40 (ขอ 4)
วิธที าํ
40(En 41/2) ลูกบอลตกจากจุด A ซึ่งสูง h จากพืน้ เมือ่ ผานจุด B ซึ่งสูง h/4 จากพื้นจะมี
อัตราเร็วกีเ่ มตร/วินาที
1. (gh/2) 1/2 2. (gh) 1/2 3. (3gh/2) 1/2 4. (2gh) 1/2 (ขอ 3)
วิธที าํ
32
a
I บทที่ 2 การเคลื่อนที่
42. โยนวัตถุขน้ึ จากพืน้ ดวยความเร็วตน 30 เมตร/วินาที ผานไป 2 วินาที วัตถุจะอยูสูงจาก
พืน้ กีเ่ มตร ( 40 เมตร )
วิธที าํ
33
•I บทที่ 2 การเคลื่อนที่
45(En 41) โยนวัตถุสองกอน A และ B ใหเคลือ่ นทีข่ น้ึ ตามแนวดิง่ ระยะทางสูงสุดที่วัตถุ A
และ B เคลื่อนที่ขึ้นไปไดคือ 50 และ 200 เมตร ตามลําดับ อัตราสวนของความเร็วตน
ของ A ตอของ B มีคาเทาใด
1. 14 2. 1 3. 12 4. 1 (ขอ 3)
2 2 2
วิธที าํ
34
I บทที่ 2 การเคลื่อนที่
เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ซึ่งมีความเร็วตนในทิศขึ้น
49. โยนวัตถุจากพืน้ ดวยความเร็วตน 20 m/s จงหา
ก. ความเร็ว เมือ่ เวลาผานไป 1 และ 5 วินาที (10 m/s , –30 m/s)
ข. การขจัด เมือ่ เวลาผานไป 1 และ 5 วินาที (15 m , –25 m)
วิธที าํ
35
หฺ
tI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
51(มช 41) เด็กคนหนึง่ โยนกอนหินขึน้ ไปในแนวดิง่ ดวยอัตราเร็วตน 10 เมตร/วินาที กอนหิน
ตกถึงพื้นซึ่งอยูต่ํากวาตําแหนงมือที่กําลังโยนเปนระยะทาง 15 เมตร จงหาวากอนหิน
เคลื่อนที่อยูในอากาศเปนเวลานานกี่วินาที (3 วินาที )
วิธที าํ
36
_#
I บทที่ 2 การเคลื่อนที่
54. บอลลูนกําลังลอยขึ้น ดวยความเร็ว 5 เมตร/วินาที มีวัตถุหนึ่งหลนจากลูกบอลลูนแลว
กระทบพื้นดานลางในเวลา 10 วินาที
ก. จงหาความเร็วของวัตถุขณะกระทบพื้น (95 m/s ทิศลง)
ข. ขณะที่วัตถุเริ่มหลน บอลลูนอยูสูงจากพื้นเทาไร (450 เมตร)
วิธที าํ
37
t
I บทที่ 2 การเคลื่อนที่
57(En 32) รถไฟ 2 ขบวน วิง่ เขาหากันโดยวิง่ ในรางเดียวกัน รถขบวนที่ 1 วิง่ ดวยความเร็ว
10 เมตร/วินาที สวนรถขบวนที่ 2 วิง่ ดวยความเร็ว 20 เมตร/วินาที ขณะที่อยูหางกัน
325 เมตร รถไฟทั้ง 2 ขบวน ตางเบรครถและหยุดไดพอดีพรอมกันโดยหางกัน 25 เมตร
เวลาที่รถทั้งสองใชเปนเทาใด
1. 10 วินาที 2. 15 วินาที 3. 20 วินาที 4. 25 วินาที (ขอ 3.)
วิธที าํ
38
รI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
60. วัตถุชิ้นหนึ่งถูกปลอยใหตกลงมาในแนวดิ่งจงหาระยะทางที่เคลื่อนที่ไดในวินาทีที่ 5 (45 m)
วิธที าํ
39
!I บทที่ 2 การเคลื่อนที่
ตอนที่ 3 กราฟของการเคลือ่ นทีใ่ นแนวเสนตรงดวยอัตราเรงคงที่
ความสัมพันธแทงกราฟ ความเรง ความเร็ว และการขจัด
กราฟชุดที่ 1
การขจัดคงที่ แสดงวา......................
ความเร็ว = 0 ความเรง = 0
64. ตามรูปเปนกราฟระหวางการขจัด – เวลา ชวงเวลาขอใด
ทีค่ วามเร็วเปนศูนย (ขอ 3)
1. 0→t1 , t2→t4 2. t2 , t3→t4
3. 0→t1 , t3→t4 4. 0→t1 , t2→t3
40
lI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
65. พิจารณาการเคลือ่ นทีข่ องจักรยานคันหนึง่ ในแนวเสนตรง กราฟระหวางการขจัด – เวลาใน
ขอใดตอไปนีท้ แ่ี สดงวาจักรยานมีความเร็วคงที่ (ขอ ข)
ก. ข.
ค. ง.
เหตุผล
(ขอ 4)
41
เI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
68. จากการศึกษาการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุในแนวเสนตรง โดยใชเครือ่ งเคาะสัญญาณเวลา ไดจดุ
บนแถบกระดาษดังรูป โดยที่ระยะหางระหวางจุดมีชวงเวลาเทากัน
• • • • • • • • •
กราฟรูปใดที่แสดงความสัมพันธระหวางความเรงของวัตถุกับเวลา
1. a 2. a
0 t 0 t
a
3. 4. a
0 t
0 t
(ขอ 3)
วิธที าํ
พื้นที่ใตกราฟ จะไมเทากับอะไรเลย
ความชันเสนกราฟ = v
พื้นที่ใตกราฟ = s
ความชันเสนกราฟ = a
พื้นที่ใตกราฟ = v – u
ความชันเสนกราฟ ไมเทากับอะไรเลย
42
lI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
69. รถยนตคนั หนึง่ เคลือ่ นทีใ่ นแนวเสนตรงไดกราฟระหวาง ความเร็ว – เวลา ดังรูป ถามวาเมื่อ
สิ้นวินาทีที่ 6 การขจัดจะเปนกีเ่ มตร
1. 1190 2. 80
3. 180 4. 90 (ขอ 4)
วิธที าํ
43
เI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
73(En 24) วัตถุอนั หนึง่ เคลือ่ นทีโ่ ดยมีความเร็ว
เปลี่ยนแปลงกับเวลาเปน sine curve (ดังรูป)
ซึ่งมีคาแอมปลิจูดเปน 0.3 เมตร/วินาที จง
หาระยะที่วัตถุเคลื่อนไปไดระหวาง A กับ B
วิธที าํ ( 3 เมตร )
8 10 เวลา (s)
44
lI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
77(En 31) วัตถุอนั หนึง่ เคลือ่ นทีจ่ ากนิง่ ดวยความเรง a
ที่เวลา t ดังไดแสดงในรูป จงหาความเร็วของวัตถุ
ที่เวลา 5 วินาที
1. 2 m/s 2. 1 m/s
3. 0 m/s 4. –1 m/s (ขอ 2)
วิธที าํ
45
II บทที่ 2 การเคลื่อนที่
81. จากการเคลื่อนที่ซึ่งแสดงไดดวย ความเร็ว (m/s)
กราฟความเร็ว–เวลา ดังรูป กิน
เวลานานเทาไร วัตถุจึงจะกลับมา
เวลา (t) เวลา (t)
ทีจ่ ดุ เริม่ ตน
1. 16 วินาที 2. 18.5 วินาที
3. 13.5 วินาที 4. 16.2 วินาที (ขอ 3)
วิธที าํ
46
lI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
83(มช 44) จากกราฟดังรูป ระหวางขนาดของความเร็ว
และเวลา t ของอนุภาคซึง่ เคลือ่ นทีใ่ นแนวดิง่ ภายใต
แรงเสียดทานและน้ําหนักของอนุภาค อนุภาคอยูใ น
อากาศไดนาน 16 วินาที จงหาวาอนุภาคนีจ้ ะเคลือ่ น
ที่ไดระยะทางสูงสุดกี่เมตร (ขอ 2)
1. 80 2. 160 3. 240 4. 320
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
ตอนที่ 4 ความเร็วสัมพัทธ
ความเร็วสัมพัทธ คือ ความเร็วของวัตถุเมือ่ เปรียบเทียบกับจุดอางอิงหนึง่ ๆ
วิธีการหาคาความเร็วสัมพัทธ
กรณีท่ี 1 หากความเร็ววัตถุมที ศิ เดียวกับความเร็วจุดอางอิง
vสัมพัทธของวัตถุ = vวัตถุ – vจุดอางอิง
กรณีท่ี 2 หากความเร็ววัตถุมที ศิ สวนทางกับความเร็วจุดอางอิง
vสัมพัทธของวัตถุ = vวัตถุ + vจุดอางอิง
vอางอิง
กรณีท่ี 3 หากความเร็ววัตถุทาํ มุมกับความเร็วจุดอางอิง vวัตถุ
ขัน้ 1 ใหกลับทิศทางของความเร็วจุดอางอิง –vอางอิง
θ
ขัน้ 2 เอาหางเวกเตอรความเร็ววัตถุมาตอ
vสัมพัทธของวัตถุ
กับ หางเวกเตอรความเร็วจุดอางอิง
เทียบกับจุดอางอิง
ขัน้ 3 ใชสูตร
vสัมพัทธของวัตถุ = vวัตถุ2 + vจุดอางอิง2 + 2 vวัตถุ vจุดอางอิง cosθ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
48
lI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
แบบฝ ก หั ด บทที่ 2 การเคลื่ อ นที่
ระยะทาง , การขจัด , อัตราเร็ว , ความเร็ว , อัตราเรง , ความเรง
1. จงหาระยะทางและการขจัดของการเคลื่อนที่ตามแผนภาพตอไปนี้
ก. ข. ค.
( ก. 7 ม , 5 ม ข. 10 ม , 4 ม ค. 44 ม , 0 ม )
49
1I บทที่ 2 การเคลื่อนที่
6. การขจัดลัพธที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของเรือในคําถามขอที่ผานมา คือ
1. 30 2 กิโลเมตร ไปทางทิศตะวันออก
2. 30 2 กิโลเมตร ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
3. 60 กิโลเมตร ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
4. 60 กิโลเมตร ไปทางทิศตะวันออก
7. วัตถุหนึง่ เคลือ่ นทีจ่ าก A ไป B ผาน C , D ซึ่งอยูบนแนวเสนตรงเดียวกันดังรูปใชเวลา
นาน 10 วินาที จงหา
ก. ระยะทาง (45 m ) 20 m
A
ข. การกระจัด (15 m) C
12
1 2 3 เวลา ( วินาที )
50
lI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
สมการการเคลือ่ นที่
11. วัตถุหนึง่ เคลือ่ นทีอ่ อกจากจุดหยุดนิง่ ดวยความเรงคงที่ 4 เมตร/วินาที2 อยากทราบวาเมื่อ
เวลาผานไป 5 วินาที วัตถุจะมีความเร็วเทาไร และไดระยะทางเทาไร ( 20 m/s , 50 m)
51
tI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
20. ยิงวัตถุขึ้นในแนวดิ่ง จากพืน้ ดวยความเร็ว 60 เมตร/วินาที นานเทาใดวัตถุจึงอยูสูงจากพื้น
100 เมตร (g = 10 เมตร/วินาที2) (2 , 10 s)
52
1I บทที่ 2 การเคลื่อนที่
27. ปลอยวัตถุจากดาดฟาตึกสูง 100 เมตร ในขณะเดียวกันก็ขวางวัตถุอีกกอนหนึ่งจากพื้นลาง
ขึน้ ไปดวยอัตราเร็ว 50 เมตร/วินาที อยากทราบวาอีกนานเทาใดวัตถุทั้งสองจึงจะพบกัน
ก. 2 วินาที ข. 3 วินาที ค. 4 วินาที ง. 5 วินาที (ขอ ก)
กราฟของการเคลือ่ นที่
29. กราฟรูปใด แสดงวาวัตถุมีความเร็วคงที่ (ขอ ก)
a a a a
t t t t
ก. ข. ค. ง.
30. กราฟรูปใด แสดงวาวัตถุมีความเร็วเพิ่มขึ้น อยางสม่ําเสมอ (ขอ ค)
s s s s
t t t t
ก. ข. ค. ง.
31(มช 33) กราฟทีแ่ สดงการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุทม่ี อี ตั ราเรงคงทีค่ อื (ขอ ข)
s V s V
t t t t
ก. ข. ค. ง.
32. กราฟรูปใด แสดงการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุดว ยความเร็วคงที่
ก. 1 ข. 2 ค. 3 ง. 4 (ขอ ก)
53
rI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
34. กราฟรูปใด แสดงการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ อัตราเร็วเพิม่ ขึน้
ก. 1 ข. 2 ค. 3 ง. 4 (ขอ ค)
0 t 0 t
!
! (V)
3. (V) 4.
0 t 0 t
(ขอ 1)
3. 20 เมตร
4. 40 เมตร (ขอ 2)
49. จากขอที่ผานมา เมือ่ สิน้ วินาทีท่ี 8 ความเร็ว และ อัตราเร็วเฉลีย่ มีคา กีเ่ มตร/วินาที
1. 0 , 1.25 2. 1.25 , 5 3. 0 , 5 4. 5 , 2.5 (ขอ 2)
50. จากขอที่ผานมา ความเรงเฉลี่ยของการเคลื่อนที่ในชวงเวลา 0 ถึง 3 วินาทีเปนเทาไร
1. −5 เมตร/วินาที2 2. +5 เมตร/วินาที2
3. − 53 เมตร/วินาที2 4. + 53 เมตร/วินาที2 (ขอ 1)
จากกราฟที่กําหนดใหใชสําหรับคําถาม 5 ขอถัดไป
v(m/s)
40
20
t(s)
10 20 30 40 50
–20
–40
57
เI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
58(มช 40) วัตถุเคลือ่ นทีใ่ นแนวเสนตรงดวยความ
เรง a ณ. เวลา t ใดๆ ดังรูป โดยความเรงทีม่ ี
ทิศไปทางขวามีเครื่องหมายบวก ถาวัตถุมี
ความเร็วตน 3.0 เมตร/วินาที วัตถุจะมีความ
เร็วเทาใดทีว่ นิ าทีท่ี 20
1. –12 m/s 2. +12 m/s 3. –15 m/s 4. +15 m/s (ขอ 1)
ค. วัตถุใชเวลาอยูในอากาศนานเทาใด 1 2 3
( ก. 11.25 m ข. 0 ค. 3 s) –15
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
58
tI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
เฉลยแบบฝ ก หั ด บทที่ 2 การเคลื่ อ นที่ (บางข อ )
4. ตอบขอ 2
A 20 ม.
วิธที าํ จากรูป การขจัด2 = 202 + 102 B
การขจัด = 20 2 + 10 2 การขจัด 10 ม.
การขจัด = 22.36 เมตร
C
และจาก ความเร็วเฉลีย่ = การขจั ด 22.36 เมตร
เวลา = 30 = 0.75 วินาที
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
5. ตอบขอ 3
วิธที าํ จากรูปจะเห็นวา 30 km
ระยะทางรวม = 30 + 30 = 60 กิโลเมตร 20 นาที
เวลารวม = 40 + 20 = 60 นาที = 1 ชัว่ โมง
30 km
ดังนัน้ อัตราเร็ว = ระยะทาง 60 กิโลเมตร
เวลา = 1 ชัว่ โมง 40 นาที
= 60 กิโลเมตร
ชัว่ โมง
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
6. ตอบขอ 2
30 km
วิธที าํ พิจารณาตามรูป ใชทฤษฏีพิทากอรัส
จะไดวา การขจัดลัพธ 2 = 302 + 302 30 km
การขจัดลัพธ
การขจัดลัพธ = 30 2 (2)
= 30 2 กิโลเมตร
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
8. ตอบขอ 2
วิธที าํ ถาวิ่ง 1 รอบเปนวงกลม จะไดวา
ระยะทาง = เสนรอบวง = 400 เมตร จุดเริ่มตน
การขจัด = 0 เมตร จุดสุดทาย
ถาวิ่ง 10 รอบ
ระยะทาง = 400 x 10 = 4000 เมตร
การขจัด = 0 เมตร (เพราะจุดเริ่มตนและจุดสุดทายอยูที่เดียวกัน)
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
59
lI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
21. ตอบขอ ข.
วิธที าํ ตอน 1 ตองหาความเร็วตน (u) กอน
จากโจทย S = 4 ม. , t = 0.4 วินาที , a = –10 m/s2 , u = ?
จาก S = u t + 12 a t2
4 = u (0.4) + 12 (–10) (0.4) 2
u = 12 m/s
ตอน 2 จาก u = 12 , t = 0.4 วินาที , a = –10 m/s2 , v = ?
จาก v = u + a t = 12 + (–10)(0.4) = 8 m/s
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
60
1I บทที่ 2 การเคลื่อนที่
29. ตอบขอ ก.
เหตุผล เพราะถาความเร็ว (v) คงที่ แสดงวาความเรง (a) มีคาเปนศูนยจึงไดกราฟ a กับ t
เปนดังขอ ก.
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
30. ตอบขอ ค.
เหตุผล เพราะถาความเร็วเพิม่ ขึน้ เรือ่ ยๆ ระยะทางจะเพิ่มมากกวาปกติ จึงไดกราฟระยะทาง (s)
กับเวลา (t) เปนรูป ค.
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
31. ตอบขอ ข.
เหตุผล เพราะถาอัตราเรง (a) คงที่ อัตราเร็ว (v) จะเพิม่ ขึน้ เรือ่ ยๆ จึงไดกราฟ v กับ t ดังรูป ข.
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
32. ตอบขอ ก.
เหตุผล เพราะถาความเร็ว (v) คงที่ ระยะทาง (s) จะเพิม่ ขึน้ เปนกราฟเสนตรง
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
33. ตอบขอ ข.
เหตุผล เพราะถาวัตถุหยุดนิ่ง ระยะทาง (s) จะคงที่ จึงไดกราฟเปนเสนตรงขนานแนวนอน
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
34. ตอบขอ ค.
เหตุผล เพราะถาอัตราเร็ว (v) เพิ่มขึ้น ระยะทาง (s) จะเพิ่ม S
มากกวาปกติ กราฟระยะทาง (s) กับเวลา (t) จะเปนกราฟ
เสนโคงพาราโบลาหงาย t
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
35. ตอบขอ ง. S
เหตุผล เพราะเมือ่ มีความหนวง (–a ) ความเร็ว (v ) จะลดลง
ทําใหระยะทางเพิ่มเพียงเล็กนอยไดกราฟ s กับ t จะเปน t
เสนโคงพาราโบลาตะแคง
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
36. ตอบขอ 1
เหตุผล เพราระยะทางทีเ่ พิม่ เปนเสนตรง แสดงวาความเร็ว ( v ) ของการเคลื่อนที่มีคาคงที่
ซึ่งเปนไปตามกราฟรูปที่ 1 นัน่ เอง
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
61
lI บทที่ 2 การเคลื่อนที่
38. ตอบขอ ง
เหตุผล เพราะกราฟการขจัด S กับเวลา t นัน้
ความเร็ว = ความชัน
กราฟเสนที่ 4 มีความชันมากที่สุดจึงมีความเร็วสูงสุดดวย
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
39. ตอบขอ ง.
เหตุผล เพราะกราฟอัตราเร็ว (v) กับเวลา (t) นัน้
ความเรง = ความชันเสนกราฟ
กราฟเสนที่ 4 มีความชันมากที่สุดจึงมีความเรงมากที่สุดดวย
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
62
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
2(มช 30) วัตถุอนั หนึง่ มีมวล 3 กิโลกรัม บนโลก เมือ่ นําวัตถุนไ้ี ปดาวจูปเ ตอรซง่ึ มี g เปน
10 เทาของโลก วัตถุนี้จะมีมวลเปนกี่กิโลกรัม
ก. 3.0 ข. 9.8 ค. 30 ง. 98 (ขอ ก)
วิธกี ารหาคาแรงลัพธ F1
กรณีท่ี 1 หากแรงยอยมีทิศทางเดียวกัน
Fลัพธ = F1 + F2
ทิศทางแรงลัพธ จะเหมือนแรงยอยนัน้
63
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
กรณีท่ี 2 หากแรงยอยมีทิศตรงกันขาม
Fลัพธ = F1 – F2
ทิศทางแรงลัพธ จะเหมือนแรงทีม่ ากกวา
F2sinθ
tan ∝ =
F1+F2 cosθ
3. แรง 2 แรง ขนาด 3 นิวตัน และ 4 นิวตัน กระทําตอวัตถุชน้ิ หนึง่ ณ จุดเดียวกัน จงหา
ขนาด และ ทิศทางของแรงลัพธ ถา
ก. กระทําในทิศทางเดียวกัน ข. ทิศทางตรงกันขาม ค. ถาทั้งสองตั้งฉากกัน
วิธที าํ ( ก. 7 นิวตัน ข. 1 นิวตัน ค. 5 นิวตัน )
64
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
5. จงหาขนาดของเวกเตอรลพั ธของเวกเตอรตอ ไปนี้ ( ให cos60o = 1/2 , cos120o = – 1/2 )
1. 2.
A ยาว 4 หนวย A ยาว 3 หนวย
! !
6. จงหาขนาดของเวกเตอร A – B จากเวกเตอรตอ ไปนี้
B ยาว 3 หนวย
A ยาว 3 หนวย 60o (3)
วิธที าํ
! ! ! !
7. A มีขนาด 5 หนวย B มีขนาด 4 หนวย จงหาขนาดเวกเตอรลัพธของ A และ B
ที่เปนไปไมได
1. 1 หนวย 2. 5 หนวย 3. 8 หนวย 4. 10 หนวย (ขอ 4)
วิธที าํ
65
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
การแตกแรง
หากมีแรง 1 แรง สมมุตเิ ปนแรง F
เราสามารถแตกออกเปน 2 แรงยอย
ซึ่งตั้งฉากกันได ดังรูปภาพ
แรงยอยทีต่ ดิ มุม θ จะมีคา F cosθ
แรงยอยที่ไมติดมุม θ จะมีคา F sinθ
8. จากรูป จงหาแรง x และ y
1) 2) 8N y
60o x
y x 45o
10 N
วิธที าํ ( 1. x = 5 N , y = 5 3 N 2. x = 4 2 , y = 4 2 )
9. จากรูป จงหาแรงลัพธ ( 10 N )
วิธที าํ
66
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
10. จากรูป จงหาแรงลัพธ (5N)
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
13. เข็มขัดนิรภัยและที่พิงศีรษะที่ติดอยูกับเบาะนั่งในรถยนตบางคันมีไวเพื่อประโยชนอะไร
เหตุผล
69
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
21. สมมติวามีการจําลองมวลที่มาตรฐาน 1 กิโลกรัม จากกรุงปารีสมาไวกรุงเทพฯ น้าํ หนัก
และ มวลของมวลจําลองนี้ที่กรุงเทพฯ แตกตางกับที่กรุงปารีสเทาใด
( ถา g ทก่ี รุงปารีส และกรุงเทพฯ เปน 9.81 และ 9.78 เมตร/วินาที2 ตามลําดับ)
วิธที าํ (0.03 N , 0 kg)
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
70
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
24(En 41/2) แรงลัพธกระทําตอวัตถุมวล 50 กิโลกรัม ความเร็ว (m/s)
ทําใหมวลเคลื่อนที่ โดยมีความเร็วสัมพันธกับเวลา
ดังกราฟที่กําหนดให จงหาแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุ 10
นี้ ในหนวยนิวตัน (25 นิวตัน) 5
เวลา (s)
วิธที าํ
10
ควรทราบเพิ่มเติม
ในสมการ F = ma ความเรงซึง่ ในแนวเดียวกับแรงนัน้
แรงลัพธในแนว มวลที่ถูกแรงนั้นกระทํา
ขนานกับการเคลื่อนที่
25. แรงสองแรงมีขนาดเทากัน เทากับ 3.0 นิวตัน กระทําตอมวล 6.0 กิโลกรัม จงหาขนาด
และทิศของความเรงของวัตถุเมือ่ แรงทัง้ สอง (1 m/s2 , 0 m/s2)
ก. กระทําในทิศเดียวกัน ข. กระทําในทิศตรงกันขาม
วิธที าํ
71
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
27. จากรูป หากวัตถุไถลไปบนพื้นราบอยางเดียว 80 N
จงหาความเรงของการเคลือ่ นที่ (8 m/s2) 5 kg 60o
วิธที าํ
72
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
31. จากรูปวัตถุมวล 30 kg และ 20 kg
ผูกติดกันดวยเชือก อยูบนพื้นที่ไมมี T2 T1
30 kg 20 kg
แรงเสียดทาน หากความเรงของการ
เคลื่อนที่มีคา 3 m/s2 ใหหาแรง T1 และ T2 ( 150 N , 90 N )
วิธที าํ
73
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
34(มช 24) ถา T1 = 4 นิวตัน และพื้นไมมีความ P
เสียดทาน ถาตองการใหวัตถุทั้งสามเคลื่อนที่ 5 kg T1 T2
8 kg 37o
4 kg
ดวยความเรง a เมตรตอวินาที2 แรง P
ตองมีขนาดกีน่ วิ ตัน
ก. 7 ข. 9.3 ค. 17 ง. 22.6 (ขอ ค)
วิธที าํ
74
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
38(En 42/1) นักกระโดดรมมวล 65 กิโลกรัม ลงถึงพื้นดินดวยการยอตัว ขณะยืดตัวขึ้นจุด
ศูนยกลางมวลของรางกายมีขนาดของความเรง 30 เมตรตอ(วินาที)2 แรงที่พื้นกระทําตอ
เทาของนักกระโดดรมคนนีเ้ ปนเทาใด
1. 650 N 2. 1300 N 3. 1950 N 4. 2600 N (ขอ 4)
วิธที าํ
75
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
42(En 27) นายแดงยืนอยูบนตาชั่งสปริงในลิฟท ถาลิฟทอยูนิ่ง ๆ นายแดงอานน้าํ หนักตัวเองได
56 kg ถาลิฟทเคลื่อนที่ลงดวยความเรง 2 m/s2 นายแดงจะอานน้าํ หนัก ตัวเองจากตาชัง่
นั้นไดกี่กิโลกรัม
ก. 40 ข. 44.8 ค. 50 ง . 67.2 (ขอ ข)
วิธที าํ
76
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
45(En 32) วัตถุกอ นหนึง่ มีมวล 0.5 kg หอยแขวนไวกับเครื่องชั่งสปริงซึ่งอยูในลิฟทเริ่มเคลื่อน
จากหยุดนิง่ ขึน้ ดวยความเรง 0.4 m/s2 จนมีความเร็วคงที่ 0.6 m/s แลวลดอัตราเร็วจน
หยุดนิง่ ดวยขนาดของความเรง 0.4 m/s2 ในระหวางทีล่ ฟิ ทลดอัตราเร็วลงนัน้ เครือ่ งชัง่
สปริงอานไดคา เทาใดในหนวยนิวตัน ( 4.8 N )
วิธที าํ
77
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
48. ยอดรักหนัก 65 กิโลกรัม แบกกลองหนัก 20 กิโลกรัม ยืนอยูในลิฟตที่กําลังเคลื่อนที่ลง
ถาเขาตองออกแรง แบกกลอง 160 นิวตัน จงหาอัตราเรงของลิฟตวา มีคา กีเ่ มตร/วินาที2
ก. 0.5 ข. 1 ค. 2 ง. 4 (ขอ ค)
วิธที าํ
78
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
51. ชายคนหนึง่ มีมวล 60 กิโลกรัม อยูบนชิงชาที่แขวนดวยเชือกเบา
ซึ่งคลองผานรอกเบาและหมุนไดคลองดังรูป เขาคอยๆ ดึงปลายเชือก
เพื่อใหตัวเขาเองคอย ๆ ขยับสูงขึน้ ดวยความเรง 2 เมตร/วินาที2 เขา
ตองออกแรงกี่นิวตัน (360 N)
วิธที าํ
79
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
54. จากขอที่ผานมา ถาเขาตองการดึงเชือกเพือ่ ใหตวั เขาเองเคลือ่ นทีล่ งดวยความเรง 1
เมตร/วินาที2 เขาจะตองดึงเชือกกีน่ วิ ตัน
ก. 270 ข. 300 ค. 330 ง. 480 (ขอ ก)
วิธที าํ
80
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
ขอมูลตอไปนี้ใชสําหรับโจทย 3 ขอถัดไป !
จากรูปมวลสองกอน m1 และ m2 มีขนาด 4 และ 5 กิโลกรัม F
ตามลําดับ ผูกติดกันดวยเชือกซึ่งมีมวล 1 กิโลกรัม และมีแรง F ขนาด m1
120 นิวตัน กระทําตอวัตถุในแนวดิง่
57. ความเรงของระบบมีคา กีเ่ มตร/วินาที2
ก. 1.0 ข. 2.0
ค. 3.3 ง. 4.5 (ขอ ข) m2
วิธที าํ
81
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
60. จากรูป m1 , m2 มวล 2 kg และ 0.5 kg
อยูบนพื้นเกลี้ยงระบบจะเคลื่อนที่ดวยความเรงเทาใด
วิธที าํ ( 2 m/s2)
วิธที าํ
82
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
65. จากรูปขอที่ผานมาเชือกจะมีความตึงเทาใด (33.33 นิวตัน)
วิธที าํ
ขอมูลสําหรับโจทย 3 ขอถัดไป
จากรูปวัตถุ A , B และ C มีมวล 3 , 5 B
และ 2 กิโลกรัม ตามลําดับ ถาถือวาทุกผิว
สัมผัสไมมีความฝด A C
83
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
ขอมูลตอไปนี้ใชสําหรับโจทย 2 ขอถัดไป
A B
70. ถา A และ B มีมวล 3 และ 2 กิโลกรัม ตามลําดับ เครือ่ งชัง่ สปริงจะอานคาไดเทาใด
ก. 20 นิวตัน ข. 24 นิวตัน ค. 25 นิวตัน ง. 30 นิวตัน (ขอ ข)
วิธที าํ
84
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
73(มช 41) A และ B เปนรอกเบาเกลี้ยงไมมีน้ําหนัก ตรึงอยูบ นโตะเกลีย้ งดังแสดงในรูป C
เปนเครื่องชั่งสปริงที่ปลายทั้งสองขาง มีมวลขางละ 2 กิโลกรัม ผูกติดกับเชือกเบาคลอง
ผานรอก A และ B จะอานคาน้าํ หนักของ
มวลบนเครื่องชั่งสปริงไดเทาใด (ขอ 1)
1. 2 กิโลกรัม 2. 4 กิโลกรัม
3. 2 นิวตัน 4 . 4 นิวตัน
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
ตอนที่ 4 แรงเสียดทาน
แรงเสียดทาน คือ แรงทีเ่ กิดจากการเสียดสีระหวางผิวสัมผัสคูห นึง่ ๆใดๆ มีทศิ ตานการเคลือ่ นทีเ่ สมอ
ประเภทของแรงเสียดทาน
ประเภทที่ 1 แรงเสียดทานสถิตย (fs) คือ แรงเสียดทานทีม่ ตี อนวัตถุ..................
สมบัติ 1.1 มีคา...................
1.2 ต่ําสุด= .......... และ fs(สูงสุด) = ……….
เมือ่ µs คือ สัมประสิทธิ์แรงเสียดทานสถิตย
N คือ แรงดันพืน้
ประเภทที่ 2 แรงเสียดทานจลน (fk) คือ แรงเสียดทานที่มีตอนวัตถุกําลัง......................
สมบัติ 2.1 fk < fs (สูงสุด)
2.2 fk = µkN
เมือ่ µk คือ สัมประสิทธิ์แรงเสียดทานจลน
N คือ แรงดันพืน้
78(มช 26) เมือ่ ดันกลองใบหนึง่ กลองไมเคลื่อนที่เลยเพราะ
ก. กลองมีน้ําหนักมาก ข. โตะมีแรงเสียดทานมาก
ค. กลองมีแรงปฏิกริ ยิ าโตตอบเทากับแรงดัน ง. ถูกทุกขอ ( ขอ ข)
วิธที าํ
86
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
79(มช 24) ถา N เปนแรงปฏิกิริยาที่พื้นกระทําตอวัตถุ และ µs เปนสัมประสิทธิ์ของความเสียด
ทานสถิตระหวางผิววัตถุและพื้นแรงเสียดทานสถิต ในขณะที่วัตถยังไมเคลื่อนที่จะมีคา
ก. 0 ข. µsN ค. ระหวาง 0 และ µsN ง. มากกวา µsN ( ค )
วิธที าํ
หลักในการคํานวณเกีย่ วกับแรงเสียดทาน
ขัน้ ที่ 1 ใหหาแรงเสียดทานใหไดกอน
โดย fs = µsN ใหหาแรงเสียดทานสถิตย (ตอนวัตถุอยูน ง่ิ ๆ )
และ fk = µkN ใหหาแรงเสียดทานจลน (ตอนวัตถุกําลังเคลื่อนที)่
ขัน้ ที่ 2 กรณี 1 หาก a = 0 (วัตถุอยูนิ่งๆ , ความเร็วคงที่ , เริม่ จะเคลือ่ นที่ )
ใหใช Fซาย = Fขวา
หรือ Fขึ้น = Fลง
กรณี 2 หาก a ≠ 0
ใหใช Fลัพธ = m⋅a
80. วัตถุมวล 2 กิโลกรัม อยูบนพื้นที่มี ส.ป.ส ความเสียดทาน 0.2 จงหาแรงนอยทีส่ ดุ ทีจ่ ะ
ทําใหวตั ถุเริม่ เคลือ่ นที่ (4 N)
วิธที าํ
87
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
82. F เปนแรงซึ่งใชในการดึงใหวัตถุมวล 100 กิโลกรัม จนเกิดความเรง 2 เมตร/วินาที2
อยากทราบวา F มีคากี่นิวตัน (300)
วิธที าํ
85(มช 37) แทงไม 2 อัน A และ B มีนาํ้ หนัก 2 กิโลกรัม และ 4 กิโลกรัม ผูกติดกันดวย
เชือกเบาถูกลากดวยแรง F ไปบนพื้นไมที่อยูในแนวระดับซึ่งมีสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน
สถิตเปน 0.7 และ สัมประสิทธิ์ความเสียดทานจลนเปน 0.4 จงหาขนาดของแรง F ที่จะทํา
ใหแทงไมทั้งสอง เคลื่อนที่ไปบนพื้นดวยความเร็วคงที่ (ขอ 1)
1. 24 นิวตัน 2. 42 นิวตัน
3. 2.4 นิวตัน 4. 4.2 นิวตัน
วิธที าํ
88
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
86. มวล 10 และ 15 กิโลกรัม วางบนพื้นฝด
ตอกันดวยเชือกเบา ออกแรง 300 นิวตัน
ดึงในแนวราบทําใหระบบมีความเรงคงที่
ถาสัมประสิทธิ์ของความเสียดทานจลนมีคา 0.5 ทุกผิวสัมผัส จงคํานวณความเรงของระบบ
1. 7 เมตร/วินาที2 2. 5 เมตร/วินาที2
3. 3 เมตร/วินาที2 4. 1 เมตร/วินาที2 (ขอ 1)
วิธที าํ
89
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
89. จากขอที่ผานมา จงคํานวณแรง F ที่พอดีทําใหวัตถุขยับลง
1. 75 นิวตัน 2. 225 นิวตัน 3. 350 นิวตัน 4. 450 นิวตัน (ขอ 1)
วิธที าํ
90
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
92. มวล A 5 กิโลกรัม มวล B 10 กิโลกรัม โยง
เขาดวยกันดวยเชือกเสนหนึง่ คลองผานรอกที่
ไมมีความฝด ดังในรูป ถาคาสัมประสิทธิ์
ความเสียดทานระหวางมวลกับพื้นเทากับ 0.4
ทั้งสองกอน จงหาคาแรง F ทีพ่ อดี ดึงมวล
ทั้งระบบขึ้นไปดวยความเร็วคงที่ (g = 10 m/s2 , sin30o = 0.500 , cos30o = 0.866)
ก. 17 นิวตัน ข. 25 นิวตัน ค. 40 นิวตัน ง. 82 นิวตัน ( ขอ ง.)
วิธที าํ
91
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
95(En 35) นาย ก. สามารถกระทําแรงตอเชือกที่ผูกติดกับกระดานเลื่อนไดสูงสุด 500 N
เชือกทํามุม 30o กับแนวระดับ ถาสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานจลนระหวางพื้นกับกระดาน
เลือ่ นเปน 0.25 จงหามวลมากที่สุดของ กระดานเลือ่ นทีน่ าย ก. สามารถลากไปดวย
อัตราเร็วคงที่
1. 147 kg 2. 173 kg 3. 198 kg 4. 210 kg ( ขอ 3.)
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
ตอนที่ 5 กฏแรงดึงดูดระหวางมวล
เมือ่ มวล 2 กอนอยูห า งกันขนาดหนึง่ มวลทั้งสองจะมีแรงดึงดูดกันเสมอ
เราสามารถหาแรงดึงดูดระหวางมวล 2 กอนใดๆ ไดเสมอ จาก
เราสามารถหาความเรงเนือ่ งจากแรงโนมถวงไดจาก
g = Gm2
R
เมือ่ g คือ ความเรงเนือ่ งจากแรงดึงดูด ณ จุดใด ๆ (m/s2)
G คือ คานิจความโนมถวงสากลคือ 6.672 x 10–11N⋅m2/kg2
m คือ มวลดวงดาวนั้น ๆ (kg)
R คือ ระยะจากใจกลางดวงดาวถึงจุดที่จะหาคา g
98. จงหาคาความเรงเนือ่ งจากแรงโนมถวงของโลก ณ.จุดที่หางจากใจกลางโลก 10000 กิโล-
เมตร กําหนดมวลโลก = 6 x 1024 กิโลกรัม (4 เมตร/วินาที2)
วิธที าํ
93
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
99. ดาวเทียมดวงหนึ่งถูกสงขึ้นไปโคจรหางจากผิวโลกเปน 2 เทาของรัศมีโลก ดาวเทียมดวง
นี้ จะมีคาความเรงเนื่องจากสนามความโนมถวงเปนเทาใด ( กําหนด ความเรงทีผ่ วิ โลก = g )
1. 19 g 2. 14 g 3. 13 g 4. 12 g (ขอ 1)
วิธที าํ
94
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
102. ดาวเคราะหดวงหนึ่งมีเสนผาศูนยกลาง หนึ่งในสามของเสนผานศูนยกลางของโลก และ
มีมวลหนึ่งในหกของมวลของโลก ชายผูหนึ่งหนัก 500 นิวตัน บนผิวโลก เขาจะหนักเทาใด
เมือ่ ขึน้ ไปอยูบ นดาวเคราะหดวงนี้ ( 750 N)
วิธที าํ
95
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
ตอนที่ 6 จุดศูนยกลางมวล และ จุดศูนยถวง
จุดศูนยกลางมวล (C.M.) คือ ตําแหนงซึง่ เปนทีร่ วมของ มวล ของวัตถุทง้ั กอน
จุดศูนยถวง (C.G.) คือ ตําแหนงซึง่ เปนทีร่ วมของ น้ําหนัก วัตถุทง้ั กอน
สูตรหาจุดศูนยกลางมวล
C.M. = ( X , Y )
MX MY
เมือ่ X = M และ Y = M
สูตรหาจุดศูนยถว ง
C.G. = ( X , Y )
WX WY
เมือ่ X = W และ Y = W
108. แผนพลาสติกบางเบารูปสี่เหลี่ยมจตุรัส มีความ Y
ยาวดานละ 20 เซนติเมตร มีมวล 1 , 2 , 3 2 kg 3 kg
และ 4 กิโลกรัม ติดอยูที่มุมทั้งสี่ดาน จงหาจุด
ศูนยกลางมวลของระบบนี้ ( 14 , 10)
4 kg X
1 kg
วิธที าํ
96
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
110. จงหาจุดศูนยถวง (C.G.) ของวัตถุรปู ตัว L ใน 1 cm 6 cm
รูปตอไปนี้ ( 2.6 , 5.8 )
A 2 cm
วิธที าํ
8 cm
1 cm
2m
3m
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
97
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
แบบฝ ก หั ด ฟ สิ ก ส บทที่ 3 กฎการเคลื่ อ นที่
มวล , แรง
1. แรง 2 แรง ขนาด 6 นิวตัน และ 8 นิวตัน กระทําตอวัตถุชน้ิ หนึง่ ณ จุดเดียวกัน จงหา
ขนาด และ ทิศทางของแรงลัพธ ถา
ก. กระทําในทิศทางเดียวกัน ข. ทิศทางตรงกันขาม ค. ถาทั้งสองตั้งฉากกัน
( ก. 14 นิวตัน ทิศเดียงกับแรงยอย ข. 2 นิวตัน ทิศเดียวกับแรง 8 นิวตัน
ค. 10 นิวตัน เอียงทํามุม 53o กับแรง 6 นิวตัน )
3. จากขอที่ผานมา แรงลัพธมีขนาดมากที่สุดกี่นิวตัน
ก. 20 ข. 25 ค. 30 ง. 35 (ขอ ง)
4. จากขอที่ผานมา ขนาดของแรงลัพธที่เปนไปไมได
ก. 4 ข. 5 ค. 6 ง. 7 (ขอ ก)
98
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
8. v(km/s) จากรูปเปนกราฟ ระหวางความเร็ว v และเวลา t ใน
B การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุมวล 5 กิโลกรัม จงหาวาในการ
(8, 12)
เปลีย่ นตําแหนงของวัตถุจากจุด A ไปยังจุด B วัตถุน้ี
วัตถุนจ้ี ะตองใชไดรบั แรงจากภาย นอกกีน่ วิ ตัน
A
(0, 4) ก. 5 นิวตัน ข. 50 นิวตัน
t(s)
ค. 500 นิวตัน ง. 5000 นิวตัน (ขอ ง)
21. ถามีแรงขนาด 12.0 นิวตัน และ 16.0 นิวตัน กระทําตอวัตถุซึ่งมีมวล 4.0 กิโลกรัม โดย
แรงทั้งสองกระทําในทิศตั้งฉากซึ่งกันและกัน วัตถุนน้ั จะเคลือ่ นทีด่ ว ยอัตราเรงเทาใด
1. 3.0 m/s2 2. 4.0 m/s2 3. 5.0 m/s2 4. 6.0 m/s2 (ขอ 3)
ขอมูลตอไปนี้ใชสําหรับโจทย 3 ขอถัดไป
จากรูป วัตถุมวล m1 = 6 กิโลกรัม
40 N m1
m2 = 4 กิโลกรัม วางอยูบนพื้นที่ไม m2
มีความฝด เมือ่ ออกแรง 40 นิวตัน
กระทําตอมวล m1 ทําใหมวลทั้งสองเคลื่อนที่ติดกันไป
22. มวล m1 และ m2 เคลือ่ นทีด่ ว ยความเรง กีเ่ มตร/วินาที2
ก. 2 ข. 4 ค. 6 ง. 8 (ขอ ข)
100
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
23. แรงกระทําระหวางมวล m1 และ m2 มีคา เปนกีน่ วิ ตัน
ก. 8 ข. 16 ค. 32 ง. 40 (ขอ ข)
101
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
29. เชือกเสนหนึ่งทนแรงตึงไดมากที่สุด 600 นิวตัน นําไปฉุดวัตถุมวล 50 กิโลกรัม ที่วาง
บนพื้น ระดับลืน่ ในแนวระดับ จะทําใหวัตถุมีความเรงมากที่สุดกี่เมตร/วินาที2
ก. 6 ข. 8 ค. 10 ง. 12 (ขอ ง)
102
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
37. ชายคนหนึ่งมวล 50 กิโลกรัม โหนเชือกดังรูป ชายคนนีจ้ ะตองไต
เชื อกขึ้ น หรื อ ลงด ว ยความเร ง เท า ใด เชือกจึงจะมีแรงตึง 600
นิวตัน ถือวาเชือกมีมวลนอยมาก (ขอ ค)
ก. ไตขึ้น , 1 เมตร/วินาที2 ข. ไตลง , 1 เมตร/วินาที2
ค. ไตขึ้น , 2 เมตร/วินาที2 ง. ไตลง , 2 เมตร/วินาที2
38. จากขอที่ผานมา ถาเชือกทนแรงตึงไดมากที่สุด 480 นิวตัน ชายคนนีจ้ ะตองไตเชือก
อยางไร เชือกจึงมีแรงตึงสูงสุด
ก. ขึ้น , 0.2 เมตร/วินาที2 ข. ลง, 0.2 เมตร/วินาที2
ค. ขึ้น , 0.4 เมตร/วินาที2 ง. ลง 0.4 เมตร/วินาที2 (ขอ ง)
39(En 36) เชือกแขวนไวกับเพดาน มีลิงมวล 20 กิโลกรัม โหนเชือกอยูสูงจากพื้น 10 เมตร
ไดรดู ตัวลงมากับเชือก ดวยความเรงคงที่ถึงพื้นใชเวลา 2 วินาที ความตึงเชือกเปนเทาใด
ไมคิดมวลของเชือก
1. 100N 2. 150 N 3. 200 N 4 . 250 N ( ขอ 1)
40. ชายคนหนึ่งดึงวัตถุขึ้นไปบนยอดตึกสูง 50 m โดยใชวิธีนําเชือกเบาผูกกับวัตถุคลองกับ
รอกลืน่ ดังรูป พบวาขณะวัตถุขึ้นไปถึงยอดตึกจะมีความเร็ว 2.0 เมตร/วินาที ถาวัตถุมี
มวล 25 kg ชายคนนัน้ ตองออกแรงดึงเทาไร
1. 50 นิวตัน 2. 150 นิวตัน
3. 250 นิวตัน 4. 350 นิวตัน (ขอ 4)
โจทยสําหรับคําถาม 3 ขอถัดไป
m1
วัตถุ m1 วางอยูบนโตะที่ไมมีความฝด ผูกติดกับ
มวล m2 ดวยเชือกเบา แลวคลองผานรอกดังรูป
m2
46. หลังจากมวล m2 เคลือ่ นทีเ่ ปนระยะ 0.5 เมตร อัตราเร็วของ m2 ขณะนั้นเทากับ 2 เมตร/
วินาที ความเรงของมวล m1 เทากับกี่เมตร/วินาที2
ก. 1 ข. 2 ค. 3 ง. 4 (ขอ ง)
แรงเสียดทาน
53. จากรูปแรง F = 120 นิวตัน ดึงมวล 5 กิโลกรัม ดังรูป จงหาความเรงของมวลทุกกอน
T1 และ T2 เมื่อสัมประสิทธิ์ของความเสียดทาน = 0.1 (3 m/s2 , 60 N , 100 N)
T1 T2 F
15 10 5
กฎแรงดึงดูดระหวางมวล
106
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
61(En 30) ดาวเคราะหดวงหนึ่งมีมวลมากกวาโลก 2 เทา แตมรี ศั มีเปนครึง่ หนึง่ ของโลก จง
หาคาความเรงเนือ่ งจากความโนมถวงทีผ่ วิ ของดาวเคราะหดวงนัน้ ( ความเรงทีผ่ วิ โลก = g )
ก. 14 g ข. 2 g ค. 4 g ง. 8g (ขอ ง)
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
107
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
เฉลยแบบฝ ก หั ด ฟ สิ ก ส บทที่ 3 กฎการเคลื่ อ นที่ (บางข อ )
5. ตอบขอ 2
วิธที าํ จากรูปจะไดวา
Fลัพธ = F12 + F22 + 2 F1 F2 cos 120 o
F2 = 10 N Fลัพธ
Fลัพธ = 10 2 + 10 2 + 2(10)(10)(− 12 )
= 100 + 100 − 100 120o
= 100 F1 = 10 N
Fลัพธ = 10 นิวตัน
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
9. ตอบขอ ก
วิธที าํ ขณะวัตถุตกอยางเสรี จะมีความเรง (a) = g = 10 m/s2
จาก F = ma
F = 5(10)
F = 50 นิวตัน
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
10. ตอบขอ ค
วิธที าํ ตอน 1 จาก F = ma
100 = 20 a
จะได a = 5 เมตร/วินาที2 m = 20 kg F = 100 N
ตอน 2 จากโจทยจะไดวา
u = 0 , t = 20 วินาที , a = 5 m/s2 , s = ?
จาก s = a t + 12 a t2 = 0(20) + 12 (5) (202 ) = 1000 เมตร
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
11. ตอบขอ ง.
วิธที าํ จากขอที่ผานมาจะไดวา u = 0 , t = 20 วินาที , a = 5 , v = ?
จาก v = u + a t = 0 + 5 (20) = 100 เมตร/วินาที
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
108
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
13. ตอบขอ ง
วิธที าํ ตอน 1 จากโจทยจะไดวา u = 10 เมตร/วินาที , t = 5 วินาที , v = 0 , a = ?
จาก v = u + at
0 = 10 + a(5)
–10 = 5a
a = –2 เมตร/วินาที2 m = 20 kg F
ตอน 2 จาก F = m a = (20) (–2) = –40 นิวตัน
( แรงเปนลบ แสดงวาเปนแรงตานการเคลือ่ นที่ )
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
14. ตอบขอ ค.
วิธที าํ จากขอที่ผานมาจะไดวา u = 10 m/s , v = 0 , a = –2 m/s2 , s = ?
จาก v2 = u2 + 2as
0 = 102 + 2(–2) s
0 = 100 – 4s
4s = 100
s = 25 เมตร
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
17. ตอบขอ ข.
วิธที าํ จาก F = ma
30 cos 60o = m (3)
30 ( 12 ) = 3 m
m = 5 kg
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
20. ตอบขอ 3
วิธที าํ จาก F = ma F = 100 sin30 o m = 10 kg
100 sin 30o = 10 a 30o
100 ( 12 ) = 10 a
a = 5 เมตร/วินาที2 30o 100 นิวตัน
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
109
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
21. ตอบขอ 3
วิธที าํ ตอน 1 ตองหาแรงลัพธของแรง 12 นิวตัน และ 16 นิวตัน ซึ่งตั้งฉากกันกอน
จาก Fลัพธ = F12 + F22 + 2 F1 F2 cos 90 o
= 12 2 + 16 2 + 2(12)(16)(0)
Fลัพธ = 20 นิวตัน
ตอน 2 จาก Fลัพธ = m a
20 = 4a
a = 5 เมตร/วินาที2
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
34. ตอบขอ ข
วิธที าํ จาก Fลัพธ = ma f
a
mg – f = ma
mg – ma = f
m (g – a) = f mg
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
40. ตอบขอ 4
วิธที าํ ตอน 1 จากโจทยจะไดวา u = 0 , s = 50 , v = 2 , a = ?
จาก v2 = u2 + 2 as F
2
2 = 0 + 2a (0.5) F
a = 4 เมตร/วินาที2
m = 25 kg
ตอน 2 จาก Fลัพธ = ma
F – 250 = 25(4)
w = 250 นิวตัน
F = 350 นิวตัน
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
110
บทที่ 3 มวล แรง และ กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
46. ตอบขอ ง
วิธที าํ จากโจทย u = 0 , s = 0.5 เมตร , v = 2 เมตร/วินาที , a = ?
จาก v2 = u 2 + 2 a s
22 = 02 + 2 a (0.5)
a = 4 เมตร/วินาที2
เนือ่ งจาก m1 และ m 2 มัดเชือกแลวเคลื่อนที่ไปพรอมกันจึงมี a เทากันดวย
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
47. ตอบขอ ข.
วิธที าํ จาก F = ma
m2 g = (m2 + 0.3)a m1 = 0.3 kg
10 m2 = (m2 + 0.3) (4)
m2
10 m2 = 4m2 + 1.2
6 m2 = 1.2 m 2g
m2 = 0.2 กิโลกรัม
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
48. ตอบขอ ค.
วิธที าํ จากรูป T ดึงมวล m1 คือ 0.3 kg เทานัน้ T
จงหา T จึงคิดแคมวล 0.3 kg เทานัน้ m1 = 0.3 kg
จาก F = ma
T = 0.3 (4)
m2
T = 1.2 นิวตัน
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
51. ตอบขอ ข.
วิธที าํ จาก F = ma 0.5 kg
5 – R = 0.5 (6) a = 6 m/s2
R = 2 นิวตัน R
m g = 5 นิวตัน
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"
111
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
ฟ สิ ก ส บทที่ 4 การเคลื่ อ นที่ แ บบต า งๆ
ตอนที่ 1 การเคลือ่ นทีแ่ บบโปรเจกไตล
การเคลือ่ นทีแ่ บบโปรเจกไตล คือ การเคลือ่ นทีใ่ นแนวโคงรูปพาราโบลา เกิดจากการเคลื่อนที่
ในแนว 2 แนว คือ แนวราบและแนวดิ่ง พรอมกัน
1. ขวางวัตถุไปตามแนวราบจากที่สูงแหงหนึ่ง ดวยความเร็วตน
3 เมตร/วินาที เมือ่ เวลาผานไป 1 วินาที จงหาการขจัด
วิธที าํ ( 5.8 เมตร)
112
tI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
4(มช 41) ผลักวัตถุออกจากขอบดาดฟาตึกสูง 20 เมตร ดวยความเร็วตน 15 เมตร/วินาที ตาม
แนวระดับ วัตถุจะตกถึงพื้นที่ระยะหางกี่เมตรจากฐานตึก
1. 10 2. 20 3. 30 4. 40 (ขอ 3.)
วิธที าํ
113
lI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
6. คูน้ํากวาง 10 เมตร มีลักษณะดังรูป นักขี่
จักรยานยนตคนหนึง่ ตองการจะขีข่ า มคูนาํ้
A
จงหา 5m
7. ถาถือปนที่ยิงดวยแรงอัดของสปริง 4.0 m
เล็งไปยังเปา โดยใหสปริงเล็งไปยัง
5.0 m/s
เปา โดยใหลํากลองปนขนานกับพื้น
และ สูงจากพื้น 6.0 เมตร สวนปาก 6.0 m
115
Iเ บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
10. กําแพงหางจากปากกระบอกปน 10 2 เมตร โดยที่ปากกระบอกปนเอียงทํามุม 45o เมือ่
กระสุนถูกยิงออกจากปากกระบอกปนขึ้นไปดวยอัตราเร็ว 20 เมตร/วินาที กระสุนปนจะ
กระทบกําแพงสูงจากพื้นกี่เมตร
1. 6.0 2. 6.2 3. 9.1 4. 10.6 (ขอ 3)
วิธที าํ
116
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
12. ชายคนหนึ่งยืนบนยอดตึกขวางลูกบอลออก
ไปดวยความเร็ว 15 เมตร/วินาที ทํามุม 45o
กับแนวราบไปยังตึกที่สูงกวาอยูหางออกไป
45 เมตร อยากทราบวาขอใดถูกตอง
1. ลูกบอลกระทบตึกที่จุด A
2. ลูกบอลกระทบตึกสูงกวาจุด A 45 เมตร
3. ลูกบอลกระทบตึกต่ํากวาจุด A 45 เมตร
4. ลูกบอลตกถึงพื้นดินโดยไมกระทบตึก (ขอ 3)
วิธที าํ
117
าI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
ขอนาสนใจเกี่ยวกับการเคลื่อนที่แบบโปรเจกไตล
1. ถาเราปลอยวัตถุใหตกจากที่สูงในแนวดิ่ง พรอม
กับขวางวัตถุอกี กอนออกไปในแนวราบ จากจุด
เดียวกันวัตถุทั้งสองจะตกถึงพื้นพรอมกันเสมอ
14. ลูกบอลชนิดเดียวกัน 2 ลูก A และ B ลูกบอล A ถูกขวางออกไปในแนวราบและลูกบอล
B ถูกปลอยใหตกลงในแนวดิ่งพรอมกันจากระดับสูงเดียวกัน จงพิจารณาขอความตอไปนี้
แลวเลือกขอที่ถูกที่สุด
ก. ลูกบอล A ตกถึงพื้นกอน B
ข. ลูกบอลทั้งสองตกถึงพื้นพรอมกัน
ค. ลูกบอล A จะมีอัตราเร็วสูงกวาขณะที่ตกถึงพื้น
ง. ลูกบอล B จะมีอัตราเร็วสูงกวาขณะที่ตกถึงพื้น
1. ขอ ก. ถูก 2. ขอ ก. และ ค. ถูก
3. ขอ ข. และ ค. ถูก 4. ขอ ข. และ ง. ถูก (ขอ 3)
วิธที าํ
2. เกี่ยวกับการโยนวัตถุจากพื้นสูอากาศแลวปลอยใหตกลงมาถึงระดับเดิม
เวลาทีว่ ตั ถุลอยในอากาศ (t) = ( 2U sin g θ)
2 sin2θ )
ระยะทางทีว่ ตั ถุขน้ึ ไปไดสงู สุด (sy) = ( U 2g
ระยะทางตามแนวราบเมือ่ วัตถุตกลงมาระดับเดิม (sx) = ( Ug2 sin 2θ) = Ug2 2 sinθ cosθ
15. ขีปนาวุธถูกยิงจากพื้นดวยความเร็ว 60 m/s ในทิศทํามุม 30o กับแนวระดับขีปนาวุธนั้น
ลอยอยูในอากาศนานเทาใด จึงตกถึงพื้นและขณะที่อยูจุดสูงสุดนั้นอยูหางจากพื้นเทาไร
วิธที าํ (6 วินาที , 45 เมตร)
118
II บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
16(มช 43) โยนลูกบอลขึ้นไปจากพื้นดิน ดวยความเร็วตน 25 เมตร/วินาที ในทิศทํามุม 37o
กับพื้นดิน ลูกบอลนี้จะตกลงมาพื้นดินหางจากตําแหนงที่โยนขึ้นไปกี่เมตร
1. 60 2. 70 3. 80 4. 90 (ขอ 1)
วิธที าํ
3. เกี่ยวกับการโยนวัตถุจากพื้นสูอากาศแลวปลอยใหตกลงมาถึง
ระดับเดิม หากมุมที่เอียงกระทํากับแนวราบเปนมุม 45o วัตถุ
จะไปไดไกลที่สุด (ในแนวราบ)
4. เมื่อขวางวัตถุขึ้นจากพื้นเอียงทํามุมกับแนวราบ
θ กับ 90o – θ ดวยความเร็วตนเทากัน วัตถุ
จะไปไดไกลเทากันเสมอ
18(มช 35) ยิงโปรเจกไทลจากผิวโลก สูช น้ั บรรยากาศเหนือผิวโลก
หากตองการใหไดระยะพิสัยมากที่สุดตองใหมุม θ เปน
ก. 45o ข. นอยกวา 45o ค. มากกวา 45o ง. ไมมีขอถูก (ขอ ก)
ตอบ
19(มช 29) นักกรีฑาขวางคอนมีความสามารถเหวี่ยงคอนไดในอัตราเร็วสูงสุด 5 เมตร/วินาที เขา
จะสามารถขวางคอนไปไดไกลสุดหางจากจุดที่เขายืนอยูกี่เมตร ถาไมคิดแรงเสียดทานอากาศ
และความสูงของนักกรีฑา
1. 2.75 2. 2.50 3. 1.50 4. 1.25 ( ขอ 2)
วิธที าํ
119
ขI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
20. ในการยิงลูกหินกอนหนึ่งจากพื้นทํามุม 60o กับแนวระดับพบวาลูกหินตกหางจากจุดยิงปน
ระยะหาง 5 3 เมตร โดยใชเวลา 3 วินาที ถายิงลูกหินนี้ทํามุม 30o กับแนวระดับดวย
ความเร็วตนคงเดิม จะทําใหลูกหินตกหางจากจุดยิงปนระยะหางเทาไร
1. 5 3 m 2. 10 m 3. 10 3 4. ไมมีขอใดถูก (ขอ 1)
วิธที าํ
5. เกี่ยวกับการโยนวัตถุจากพื้นสูอากาศแลวปลอยให
ตกลงมาที่ระดับความสูงเดียวกัน อัตราเร็วและ
มุมที่กระทํากับแนวราบจะเทากัน
6. เวลาที่ใชในการเคลื่อนที่แนวราบ แนวดิง่ และ
เวลารวมจะเทากันเสมอ นัน่ คือ tx = ty = tรวม
120
II บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
Sy
7. 1 θ
Sx = 4 tanθ
เมือ่ Sy = ระยะสูงในแนวดิ่ง
Sx = ระยะไกลในแนวราบ
23(มช 40) ถาโปรเจกไทลมีการกระจัดสูงสุดในแนวดิ่ง 10 เมตร และการกระจัดที่ไปไดไกลสุด
ในแนวระดับเทากับ 30 เมตร โปรเจกไทลนี้จะตองถูกยิงออกไปในแนวที่ทํามุมกี่องศากับราบ
วิธที าํ ( 53 o)
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
121
1I บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
122
โI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
28. จงหาความเรงเขาสูศูนยกลางของวัตถุที่เคลื่อนที่เปนรูปวงกลมรัศมี 8 เมตร ดวยอัตราเร็ว
20 เมตรตอวินาที และหากมวลที่เคลื่อนที่มีขนาดเทากับ 5 กิโลกรัม จงหาแรงเขาสูศูนย
กลาง ( 50 m/s2 , 250 N )
วิธที าํ
ตอบ (ขอ 1)
123
t
I บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
ขัน้ ตอนการคํานวณเกีย่ วกับวงกลม มีดังนี้
1) วาดรูปเขียนแรงกระทําทีเ่ กีย่ วของทุกแรง
2) กําหนดให แรงเขาวงกลม = แรงออกวงกลม แลวแกสมการจะไดคําตอบ
โจทยตัวอยางเกี่ยวกับ แรงดันพืน้ (N)
31. รถคันหนึง่ มีมวล 1000 กิโลกรัม เคลือ่ นทีข่ น้ึ รางโคงตี
ลังกาอันมีรัศมี 10 เมตร ดวยความเร็วคงที่ 30 เมตรตอ
วินาที ตอนที่รถคันนี้กําลังตีลังกาอยูที่จุดสูงสุดของราง
โคง แรงปฏิกิริยาที่รางกระทําตอรถมีคากี่นิวตัน (80000)
วิธที าํ
124
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
33. รถคันหนึง่ มีมวล 1000 กิโลกรัม เคลือ่ นทีข่ น้ึ รางโคงตีลงั กาอันมีรศั มี 10 เมตร ดวย
ความเร็วคงที่ 30 เมตรตอวินาที จงหาแรงปฏิกริ ยิ าทีร่ างกระทําตอรถตอนที่
ก) รถอยูที่จุดลางสุดของราง (100000 N)
ข) รถอยูท จ่ี ดุ ตรงกับแนวศูนยกลางรางในแนวระดับ (90000 N)
วิธที าํ
125
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
36(มช 34) วัตถุกลมเล็กอันหนึ่งมีมวล m วางอยูจุดบนสุดของครึ่งทรงกลมตันซึ่งมีมวล m รัศมี R
จงหาอัตราเร็วในแนวระดับที่นอยที่สุดที่จะทําใหวัตถุหลุดออกผิวทรงกลมโดยไมมีการเลื่อน
ไถลลงมาตามผิว และให N เปนแรงที่ทรงกลมกระทําตอวัตถุในแนวตั้งฉากกับผิวทรงกลม
1 −1 1 −1
ก. (Rg) 2 ข. (Rg) 2 ค. [(g − mN )R] 2 ง. [(g − mN )R] 2 (ขอ ก)
วิธที าํ
โจทยตัวอยางเกี่ยวกับ แรงดึงเชือก
37. จากรูป มวล 5 กิโลกรัม ถูกมัดดวยเชือกยาว 1 เมตร
แลวแกวงเปนวงกลมตามแนวราบ ดวยอัตราเร็วคงที่ 2
เมตรตอวินาที จงหาคาของแรงดึงในเสนเชือก ( 20 N)
วิธที าํ
126
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
39. วัตถุมวล 2 กิโลกรัม ผูกดวยเชือกแลวแกวงเปนวงกลมในแนวระดับรัศมี 0.3 เมตร โดย
เสนเชือกเอียงทํามุม 53 องศากับแนวราบ ถาความเร็วในการแกวงคงที่เทากับ 1.5 เมตร/
วินาที จงหาแรงดึงในเสนเชือก (กําหนด cos 53o=3/5 , sin 53o= 4/5 ) ( 25 N)
วิธที าํ
127
รI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
42. ผูกเชือกเบาติดกับลูกบอลมวล 3 กิโลกรัม แกวงเชือกใหเปนวงกลมในแนวดิ่งรัศมี 1 เมตร
ดวยความเร็วเชิงเสน 5 เมตร/วินาที จงหาแรงดึงของเชือกขณะที่ลูกบอลอยูที่ตําแหนงสูงสุด
วิธที าํ ( 45 N)
128
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
45. วัตถุมวล 1.0 กิโลกรัม ผูกติดกับเชือกยาว 5 เมตร ถาถือวัตถุอนั นีใ้ หเชือกตึง และอยู
ในแนวระดับกอนแลวจึงปลอยใหวัตถุตกลงมาอยากทราบวา
ก. เมือ่ วัตถุแกวงถึงจุดต่าํ สุดจะมีอตั ราเร็วเทาใด (10 m/s)
ข. ทีจ่ ดุ ต่าํ สุดเชือกมีแรงตึงเทาใด (30 N)
วิธที าํ
129
i.I บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
48. หากตองการใหมวล m ซึ่งมัดดวยเชือกรัศมี r สามารถแกวงตัวเปนวงกลมในแนวดิ่งได
พอดี ความเร็วที่จุดต่ําสุดของวงกลมการเคลื่อนที่อยางนอยที่สุดตองมีคาเปนเทาใด
ก. gr 2. 2gr 3. 4gr 4. 5gr (ขอ ง.)
วิธที าํ
โจทยตัวอยางเกี่ยวกับ แรงเสียดทาน
50. ถนนราบโคงมีรศั มีความโคง 50 เมตร ถาสัมประสิทธิ์ของความเสียดทานระหวางยางกับ
ถนนของรถคันหนึง่ มีคาเทากับ 0.2 รถคันนี้จะเลี้ยวโคงไดดวยความเร็วสูงสุดเทาไรจึงจะ
ไมไถลออกนอกโคง ( 10 m/s )
วิธที าํ
130
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
51. ถนนราบโคงมีรศั มีความโคง 100 เมตร ถาสัมประสิทธิ์ของความเสียดทานระหวางยางกับ
ถนนของรถคันหนึง่ มีคาเทากับ 0.4 รถคันนี้จะเลี้ยวโคงไดดวยความเร็วสูงสุดเทาไรจึงจะ
ไมไถลออกนอกโคง (20 m/s)
วิธที าํ
131
รI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
56. รถยนตคนั หนึง่ แลนดวยความเร็ว 60 กิโลเมตร/ชัว่ โมง เมือ่ รถคันนีเ้ ลีย้ วโคงบนถนนมีรศั มี
ความโคง 150 เมตร พืน้ ถนนควรเอียงทํามุมกับแนวระดับเทาใด รถจึงจะเลีย้ งโคงอยางปลอดภัย
วิธที าํ (10.5o)
132
II บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
57. ทางโคงของถนน ทานจะสังเกตเห็นวาระดับของถนนบริเวณนอกสวนโคงจะมีระดับสูงกวา
บริเวณในสวนโคง ทานจงใหเหตุผลวาเปนเพราะอะไร
ก. เพือ่ ตานแรงหนีศนู ยกลาง ข. เพื่อใหทัศนวิสัยดีขึ้น
ค. เพือ่ ใหรปู รางถนนเปนไปตามความตองการ ง. ขอ ก. และ ข. ถูก (ขอ ก)
วิธที าํ
โจทยตัวอยางเกี่ยวกับ แรงดึงดูดระหวางมวล
58. ดาวเทียมดวงหนึง่ โคจรรอบโลกเปนวงกลมรัศมี 8 x 106 เมตร และที่ความสูงระดับนี้
แรงดึงดูดของโลกเทากับ 8 นิวตัน / กิโลกรัม จงคํานวณหาความเร็วในการโคจรของดาว
เทียมดวงนี้ ( 8x103 m/s )
วิธที าํ
133
II บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
60. ดาวเทียมเคลื่อนที่เปนวงกลมรอบโลก โดยมีรศั มีวงโคจร 12.8x106 เมตร อัตราเร็วของ
ดาวเทียม มีคา กีเ่ มตรตอวินาที (กําหนด มวลโลก = 6 x 1024 kg) (5.7x103 m/s)
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
ตอนที่ 3 อัตราเร็วเชิงมุม
ω = θt เมือ่ ω คือ อัตราเร็วเชิงมุม (เรเดียน / วินาที)
θ คือ มุมที่กวาดไป (เรเดียน)
ω = 2Tπ t คือ เวลาที่ใชกวาดมุมนั้น (วินาที)
ω = 2π f T คือ คาบของการเคลือ่ นที่ (วินาที)
V = ωR f คือ ความถี่ของการเคลื่อนที่ (Hz)
ac = ω2 R V คือ อัตราเร็วเชิงเสน (m/s)
ac คือ อัตราเรงเขาสูศ นู ยกลาง (m/s2)
134
l
I บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
62. วัตถุกอ นหนึง่ เคลือ่ นทีเ่ ปนวงกลมรอบจุดจุดหนึง่ ดวยความถี่ 7 รอบ/วินาที จงหาอัตราเร็ว
เชิงมุมของการเคลือ่ นทีน่ ้ี ( 44 rad/s )
วิธที าํ
135
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
67. ถาในการทดลองเกี่ยวกับการเคลื่อนที่เปนวงกลม
ขณะที่วัตถุมวล M เคลือ่ นทีด่ ว ยรัศมีความโคง 0.8
เมตรนัน้ น้ําหนักของวัตถุทําใหวัตถุอยูต่ํากวาปลาย
เชือกที่แกนหมุน 0.2 เมตร ดังรูปอัตราเร็วเชิงมุมของ
การเคลือ่ นทีจ่ ะตองเปนเทาไรในหนวยเรเดียน/วินาที (ขอ 1)
1. 7 2. 8 3. 9 4. 10 5. 11
วิธที าํ
136
I
I บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
ตอนที่ 4 การเคลือ่ นทีแ่ บบซิมเปลฮารโมนิค
การเคลื่อนที่ซิมเปลฮารโมนิคแบบสั่น
a = ω2 A
v = ωA
ω = mk
T = 2π
ω
f = 1= ω
T 2π
เมือ่ v = ความเร็วสูงสุด (ที่จุดสมดุลเทานั้น)
a = ความเรงสูงสุด (ที่ระยะทางไกลที่สุด)
ω = ความเร็วเชิงมุม (เรเดียน / วินาที) A = อัมปลิจดู (ระยะทางไกลที่สุด)
k = คานิจสปริง (N/m) m = มวล (kg)
T = คาบการสั่น (s) f = ความถี่การสั่น (Hz)
71(มช 34) สปริงเบาตัวหนึง่ มีคา นิจ 25 นิวตัน/เมตร ผูกติดกับ
มวล 1 กิโลกรัม ซึ่งวางอยูบนพื้นเกลี้ยง ดังรูป เมือ่ ดึงสปริง
ออกไป 20 เซนติเมตร แลวปลอยมือ มวลกอนนีจ้ ะมีอตั รา
เร็วเทาใดเมือ่ ผานตําแหนงสมดุล
ก. 0.2 m/s ข. 1.0 m/s ค. 2.0 m/s ง. 3.0 m/s (ขอ ข)
วิธที าํ
72(มช 34) สปริงเบาตัวหนึง่ มีคา นิจ 100 นิวตัน/เมตร ผูกติดกับมวล 1 กิโลกรัม ซึ่งวางอยูบน
พื้นราบเกลี้ยง เมือ่ ดึงสปริงออกไป 30 เซนติเมตร แลวปลอยมือ มวลกอนนีจ้ ะมีอตั ราเรง
สูงสุดเทาใด
ก. 10 m/s2 ข. 20 m/s2 ค. 30 m/s2 ง. 40 m/s2 (ขอ ค)
วิธที าํ
137
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
73(En 36) แขวนมวล 100 กรัม ที่ปลายหนึ่งของสปริงที่มีมวลนอยมากดึงมวลจากตําแหนง
สมดุล 10 เซนติเมตร แลวปลอย อัตราเร็วเชิงเสนขณะเคลือ่ นทีผ่ า นสมดุลมีคา เทาใด ถา
คาบของการสั่นมีคา 2 วินาที (ขอ 1)
1. 0.31 m/s 2. 0.99 m/s 3. 3.14 m/s 4. 9.9 m/s
วิธที าํ
138
รI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
77(En 35) รถทดลองมวล 500 กรัม ติดอยูกับปลายสปริง
ดังรูป เมือ่ ดึงดวยแรง 5 นิวตัน ในทิศขนานกับพื้น จะ
ทําใหสปริงยืดออก 10 เซนติเมตร เมื่อปลอยรถจะเคลื่อนที่
กลับไปมาบนพื้นเกลี้ยงแบบซิมเปลฮารโมนิกดวยคาบเทาไร
1. 0.63 s 2. 0.67 s 3. 1.60 s 4. 2.00 s (ขอ 1)
วิธที าํ
139
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
80. แขวนมวล 4.9 กิโลกรัม กับสปริงแลวปลอยใหเคลื่อนที่ขึ้นลงวัดคาบของการสั่นได 0.5
วินาที ถาเอามวล 4.9 กิโลกรัม ออกสปริงจะสั้นกวาตอนที่แขวนมวลอยูเทาใด (0.06 m)
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
140
เ
I บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
141
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
85. ตองการใหลูกตุมนาฬิกาแกวงในระนาบบนพื้นโลกใหครบรอบภายในเวลา 2 วินาที จะ
ตองออกแบบใหสายลูกตุมนาฬิกายาวเทาใด ให π2 = 10 (1 เมตร)
วิธที าํ
142
ร
I บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
การหาความเร็ว และความเรง ณ จุดใดๆ
Vs = ω A 2 − x 2
as = ω2 x
Vt = ωA sin (ω t)
at = ω2 A cos (ω t) X
X= 1 m
A=1.5 m
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
143
เ
I บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
แ บ บ ฝ ก หั ดฟ สิ ก ส บทที่ 4 การเคลื่ อ นที่ แ บบต า งๆ
การเคลือ่ นทีแ่ บบโปรเจกไทล
1. ขวางลูกบอลจากที่สูงออกไปในแนวราบดวย
อัตราเร็ว 3 เมตร/วินาที เมือ่ เวลาผานไป
2 วินาที จะมีการขจัดเทาไร
1. 6 เมตร 2. 20 เมตร
3. 17.35 เมตร 4. 436 เมตร (ขอ 4)
2. จากโจทยขอที่ผานมา เมือ่ เวลาผานไป 0.4 วินาที อัตราเร็วทีป่ รากฏจะเปนกีเ่ มตร/วินาที
1. 5 2. 4 3. 3 4. 2 (ขอ 1)
3. จากโจทยขอที่ผานมาอยากทราบวา เมือ่ เวลาผานไป 0.4 วินาที ทิศทางการเคลื่อนที่จะทํา
มุมเทาไรกับแนวเดิม (แนวระดับ)
1. tan –1 ( 35 ) 2. tan –1 ( 53 ) 3. tan –1 ( 43 ) 4. tan –1 ( 43 ) (ขอ 3)
4. ชายคนหนึ่ง ยืนบนหนาผาสูง 80 เมตร ขวางลูกบอลออกไปในแนวราบ ดวยความเร็วตน
330 เมตร/วินาที ถามวาลูกบอลไปตกไกลจากหนาผาเทาไร
1. 300 เมตร 2. 330 เมตร 3. 1320 เมตร 4. 2330 เมตร (ขอ 3)
5. ลูกระเบิดถูกปลอยออกมาจากเครื่องบิน ซึง่ บินอยูใ นแนวระดับดวยอัตราเร็ว 300 เมตรตอ
วินาที และอยูสูงจากพื้นดิน 2000 เมตร จงหาวาลูกระเบิดจะตกถึงพื้นดิน ณ ตําแหนงที่
หางจากจุดทิง้ ระเบิดตามแนวระดับกีเ่ มตร
1. 300 2. 400 3. 600 4. 6000 (ขอ 4)
6. ชายคนหนึ่งยืนอยูบนดาดฟาตึกสูง 50 เมตร แลวปากอนหินลงไปในแนวทํามุมกม 37o
กับแนวระดับดวยความเร็ว 25 เมตรตอวินาที ( sin37o = 0.6 , cos37o = 0.8 )
ก. นานเทาไรกอนหินตกถึงพืน้ ดิน (2 s)
ข. กอนหินตกหางจากตัวตึกเทาไร (40 m)
7. กําแพงหางจากปากกระบอกปน 8 เมตร โดยที่ปากกระบอกปนเอียงทํามุม 45o เมื่อกระสุน
ถูกยิงออกจากปากกระบอกปนดวยอัตราเร็ว 20 เมตร/วินาที กระสุนปนจะกระทบกําแพง
สูงจากพื้นกี่เมตร
1. 6.0 2. 6.2 3. 6.4 4. 6.6 (ขอ 3. )
144
รI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
8. ยิงกระสุนปน มวล 50 กรัม ดวยความเร็วตน 100 เมตร/วินาที ทํามุม 60o กับแนวระดับ
หลังจากนั้น 5 วินาที กระสุนตกกระทบเปาบนหนาผาเปานั้นอยูสูงจากพื้นระดับที่ยิงเทาไร
1. 228.5 เมตร 2. 308 เมตร 3. 375 เมตร 4. 433 เมตร ( ขอ 2.)
9. ตํารวจดับเพลิงตองการฉีดน้ําดับเพลิงซึ่งไหมอาคารที่มีความสูง 10 เมตร ถาความเร็วตน
ของน้าํ ทีอ่ อกจากเครือ่ งฉีดน้าํ เทากับ 20 เมตรตอวินาที และทํามุม 60o กับแนวระดับ เขา
จะตองยืนหางจากตัวอาคารเปนระยะทางเทาใด
1. 10 (3 − 3 ) เมตร 2. 10 ( 3 − 1) เมตร
3. 10 ( 15 − 3) เมตร 4. 10 ( 5 − 3 ) (ขอ 2)
10. ตามรูป ลูกบอลถูกขวางจากกําแพงดวยความเร็วตน
80 เมตร/วินาที กําแพงสูง 35 เมตร อยากทราบวา
นานเทาไรลูกบอลจึงจะตกถึงพื้น
1. 8.0 วินาที 2. 0.8 วินาที
3. 8.8 วินาที 4. 9.6 วินาที (ขอ 3)
11. จากขอที่ผานมา ลูกบอลจะตกหางจากจุด P ออกไปในแนวราบกีเ่ มตร
1. 704.0 2. 609.7 3. 528.0 4. 665.1 (ขอ 2)
12. ขวางวัตถุจากหนาผาสูง 40 ม. ทํามุมเงย 53o กับแนวระดับดวยความเร็ว 12.5 ม./วินาที
ก. นานเทาไรวัตถุตกถึงพื้น (4 s )
ข. วัตถุตกหางจากตีนผาเทาไร (30 m )
ค. วัตถุขึ้นไปไดสูงสุดจากพื้นเทาไร (45 m)
13. ยิงปนทํามุม 53o กับแนวระดับ ถาลูกปนมีอตั ราเร็ว 300 เมตรตอวินาที อยากทราบวา
ลูกปนตกไกลจากจุดยิงเทาไร (8640 เมตร)
14. นักทุมน้ําหนักทีมชาติไทยทุมลูกเหล็กออกไปดวยความเร็ว 20 เมตรตอวินาที จะทุมได
ไกลที่สุดเทาไร (40 เมตร)
15(En 22) ชายคนหนึง่ ปากอนหินขึน้ ไปในอากาศตามแนวโคงกอนหินเคลือ่ นทีแ่ บบโปรเจกไตล
ไปตกหางจากตําแหนงที่ยืนเปนระยะทาง 10 เมตร เขาตองปากอนหินออกไปดวยอัตราเร็ว
อยางนอยที่สุดกี่ m/s
ก. 10 2 ข. 10 / 2 ค. 2 2 ง. 10 ( ขอ ง )
145
II บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
16. ยิงวัตถุขึ้นจากพื้นดินทํามุม θ กับแนวระดับ อัตราเร็วตน u ถาตองการยิงวัตถุอีกกอน
หนึ่งจากพื้นดินเพื่อใหไปตกไกลเทากอนแรก วัตถุกอนหลังนี้ตองมีมุมยิงเทากับแนวระดับ
และอัตราเร็วตนเทาใด
1. θ/2 และ 2u 2. 2θ และ u
3. 90o – θ และ u 4. 2θ และ u /2 (ขอ 3)
17 วิศวกรคนหนึ่งตองการตีลูกกอลฟใหขามตน
u
ไมซึ่งสูง 30 เมตร และอยูหางออกไป 40
เมตร ใหลงหลุมพอดี โดยหลุมอยูหางออกไป θ
80 เมตร ถามวาตองตีลูกกอลฟไป ณ ทิศทํา 40 m หลุม
80 m
มุมเทาใดกับแนวระดับ
1. tan–1 23 2. 45o 3. tan–1 43 4. 60o (ขอ 1)
146
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
21. วัตถุชน้ิ หนึง่ เคลือ่ นทีเ่ ปนรูปวงกลมดวยอัตราเร็ว 20 รอบในเวลา 4 วินาที จงหา
ก. ความถี่ (5 Hz)
ข. คาบ ( 2 วินาที )
ค. ถารัศมีของการเคลือ่ นทีเ่ ปน 2 เมตร จงหาอัตราเร็ว ( 62.83 m/s )
22. จากการเคลื่อนที่แบบวงกลมของวัตถุหนึ่งพบวาชวงเวลา 2 วินาที เคลือ่ นทีไ่ ด 10 รอบ
ถารัศมี การเคลื่อนที่มีคา 0.2 เมตร อัตราเร็วเชิงเสนของวัตถุนจ้ี ะเปนเทาไร
1. 1.26 เมตร/วินาที 2. 12.6 เมตร/วินาที
3. 6.3 เมตร/วินาที 4. 1 เมตร/วินาที ( ขอ 3. )
23. วัตถุเคลือ่ นทีเ่ ปนวงกลมในระนาบระดับดวยอัตราเร็วคงที่ ผลคือ
1. ความเรงเปนศูนย
2. ความเรงอยูในแนวเสนสัมผัสกับวงกลม
3. ความเรงอยูในแนวพุงออกจากจุดศูนยกลาง
4. ความเรงอยูในแนวพุงเขาหาจุดศูนยกลาง (ขอ 4)
24. จงหาความเรงสูศูนยกลางของวัตถุที่เคลื่อนที่แบบวงกลมรัศมี 4 เมตร ดวยอัตราเร็ว 20
เมตรตอวินาที (100 m/s2)
25. รถไฟเหาะตีลังกามวล 2000 กิโลกรัม เคลือ่ นทีบ่ นราบโคงรัศมี 10 เมตร ขณะผานจุด
สูงสุดดวยอัตรา 20 เมตรตอวินาที จะมีแรงปฏิกิริยาที่รางกระทําตอรถไฟกี่นิวตัน
1. 40000 2. 60000 3. 80000 นิวตัน 4. 100000 (ขอ 2)
26. รถคันหนึง่ มีมวล 1000 กิโลกรัม เคลือ่ นทีข่ น้ึ รางโคงตีลงั กาอันมีรศั มี 10 เมตร ดวย
ความเร็วคงที่ 30 เมตรตอวินาที จงหาแรงปฏิกริ ยิ าทีร่ างกระทําตอรถตอนที่
ก) รถอยูที่จุดลางสุดของราง (100000 N)
ข) รถอยูท จ่ี ดุ ตรงกับแนวศูนยกลางรางในแนวระดับ (90000 N)
27(มช 41) ลูกบอลมวล 0.1 กิโลกรัม แขวนดวยเชือกเบา
ทํามุม 30o กับแนวดิ่งแกวงใหเปนวงกลมรัศมี 0.4 เมตร
ดวยความเร็วเชิงเสน 6 เมตร/วินาที แรงดึงของเสนเชือก
มีคากี่นิวตัน
1. 9 2. 36 3. 18 4. 24 (ขอ ข)
147
รI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
28. ผูกวัตถุมวล 0.5 กิโลกรัม ดวยเชือกเบายาว 2 เมตร แลวแกวงเปนวงกลมตามระนาบดิ่ง
ขณะถึงจุดต่าํ สุดมีอตั ราเร็ว 10 เมตรตอวินาที จงหาแรงตึงเชือก ณ จุดต่าํ สุด (30 N)
148
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
35. รถคันหนึง่ เลีย้ วโคงบนถนนราบดวยรัศมีความโคง 25 เมตร ถาสัมประสิทธิ์ความเสียด
ทานสถิตยระหวางยางรถกับถนนเปน 0.4 รถคันนัน้ จะเลีย้ วโคงดวยอัตราเร็วอยางมากที่
สุดเทาใดจึงจะไมไถล
1. 4 m/s 2. 5 m/s 3. 8 m/s 4. 10 m/s (ขอ 4)
150
II บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
49(มช 36) จงหาแรงดึงดูดระหวางโลกกับดวงอาทิตยในหนวยนิวตัน ถาโลกมีมวล
5.98 x 10 24 kg อยูหางจากดวงอาทิตยประมาณ 1.5 x 108 km และหมุนรอบดวงอาทิตย
1 รอบใชเวลา 365 วัน
1. 6.5x1020 2. 3.6x1022 3. 7.2x1022 4. 7.2x1024 ( ขอ 2.)
อัตราเร็วเชิงมุม
50. การหมุนรอบตัวของโลกรอบละ 24 ชัว่ โมง กําหนด รัศมีโลกเทากับ 6.37 x 106 เมตร
จงหา ก. อัตราเร็วเชิงมุมทีผ่ วิ โลก (7.27x10–5 rad/s )
ข. อัตราเร็วของวัตถุทผ่ี วิ โลก (463 m/s)
ค. ความเรงสูศูนยกลางที่เสนศูนยสูตร (0.034 m/s2)
152
รI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
60(En 42/1) แขวนมวลอันหนึ่งติดกับสปริงแลวปลอยใหสั่นขึ้นลงโดยมีคาบการเคลื่อนที่ 1
วินาที ถาวัตถุอยูนิ่งแลวปลดมวลออกสปริงจะหดสั้นกวาตอนที่แขวนมวลเทาใด
1. π4g2 2. 4 πg 2 3. 4g2 4. g 2 (ขอ 4)
π 4π
61(En 43/1) แขวนมวล 50 กรัม ที่ปลายลางของสปริงซึ่งแขวนในแนวดิ่งโดยที่ปลายบนถูก
ยึดไว ถาดึงมวลลงเล็กนอยเพื่อใหสปริงสั่นขึ้นลง วัดเวลาในการสัน่ ครบ 10 รอบ ไดเปน
5 วินาที หากเปลี่ยนมวลที่แขวนเปน 200 กรัม จะวัดคาบการสั่นไดเทาใด
1. 0.5 s 2. 1.0 s 3. 2.0 s 4. 4.0 s ( ขอ 2.)
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
153
t
I บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
เฉลยแบบฝ ก หั ดฟ สิ ก ส บทที่ 4 การเคลื่ อ นที่ แ บบต า งๆ (บางข อ )
8. ตอบ ขอ 2.
วิธที าํ คิดแกน y
uy = 50 3 , a = –10 , t = 5 , Sy = ?
จาก Sy = u t + 12 a t2
Sy = 50 3 (5) + 12 (–10) (5)2
Sy = 308 เมตร
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
154
dI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
27. ตอบ ขอ 3.
วิธที าํ จาก Fเขา = Fออก
T sin30o = mvR 2
2)
T( 12 ) = 0.1(6
0.4
T = 18
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
155
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
32. ตอบ ขอ 2
วิธที าํ ขอนีต้ อ งตีความวาทีจ่ ดุ B นัน้ ความเร็ว (v)
เปนศูนย เพราะแกวงไปถึงปลายสุดตองหยุดนิ่ง 30o T
จากรูปจะไดวา mv 2
30o R
T = mgcos30o + mvR 2
mgcos30o
2
T = 10( 23 ) + m(0) R mg
T = 10( 23 )
T = 8.7 นิวตัน
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
156
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
39. ตอบ ขอ 2.
วิธที าํ มวลหมุนเปนวงกลมติดไปกับแผนเสียงได เพราะแรงเสียดทานระหวางมวลกับแผน
เสียงทําหนาที่เปนแรงเขาสูศูนยกลาง
จาก Fเขา = Fออก
µmg = mvr 2 และ V = 2 π r f
2
µmg = m(2πr rf)
µg = 4π 2 rr 2 f 2
µg = 4 π2 r f2
10µ = 4 π2 (0.11)( 65 )2
µ = 0.3
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
157
รI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
45. ตอบ 6.16 x103 วินาที
วิธีที จากรูปจะไดวา mv 2
R
mv 2 = mg
R
v2 = Rg mg
v = Rg
v = 1.2x10 6 x ( 1 x 10)
8
v = 1224.74 เมตร/วินาที
ตอไปจาก v = 2πTR
2( 22 )(1.2x1106 )
T = 2πv R = 7 1224.74 = 6.16 x 103 วินาที
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
158
เI บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
48. ตอบ 7.11x103 วินาที
วิธที าํ จากรูปจะไดวา mv 2
Gmm e R
mv 2 = Gmm e R2
R R2
Gmm
v2 = R e
Gm e
v =
R
6.67x10 - 11 x 6 x 10 24
v= = 7072.8 เมตร/วินาที
800 x 10 3
ตอไป จาก = v = 2πTR
2π R 2 x ( 227 ) x 8000 x 103
T= v = 7072.8 = 7.11x103 วินาที
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
52. ตอบขอ 2
วิธที าํ จากรูปจะเห็นวา θ
h ! !sinè
h = !sinθ θ
ดังนัน้ จาก ω = g
h
ω = g
!sinθ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
159
I บทที่ 4 การเคลื่อนที่แบบตางๆ
61. ตอบ ขอ 2.
วิธที าํ พิจารณาชวงแรก จาก f = จํานวนรอบ 10
เวลา = 5 = 2 Hz
และจาก T = 1f = 12 = 0.5 วินาที
จาก T = 2π mk
ตอน 1 0.5 = 2π 50 kกรัม →#
ตอน 2 T = 2π 200kกรัม →$
0.5 2π 50 kกรัม
เอา #÷$ จะได T =
2π 200 kกรัม
0.5 = 50
T 200
1 = T
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
160
ปฺ
III บทที่ 5 งานและพลังงาน
2) หากแรงไมคงที่ตองหาแรงเฉลี่ยมาใชคํานวณ
3) พื้นที่ใตกราฟ F & s จะเทากับผลคูณ F s เสมอ
6. จากขอที่ผานมา จงหางานของแรงเสียดทาน
1. 500 2. 1000 จูล 3. –500 จูล 4. –1000 จูล (ขอ 4.)
วิธที าํ
S = 3 ม. S = 3 ม. S = 3 ม.
วิธที าํ
2
N
II บทที่ 5 งานและพลังงาน
8. ถาออกแรงเพิ่มขึ้นสม่ําเสมอจาก 0 – 10 นิวตัน ทําใหวัตถุเคลื่อนที่ไดทาง 10 เมตร จะได
งานเทาใด (50 จูล)
วิธที าํ
9. ชายผูห นึง่ ออกแรง 100 นิวตัน ดึงสปริง แลวเพิม่ แรงดึงเปน 500 นิวตัน ทําใหสปริงยืด
ออกจากตําแหนงเดิม 1.2 เมตร งานที่ใชดึงสปริงครั้งนี้มีคาเทาใด (360 จูล)
วิธที าํ
3
เII บทที่ 5 งานและพลังงาน
12. จากรูปวัตถุถูกกระทําดวยแรง F ทํามุม 37o
กับแนวระดับ ขนาดของแรง F เปลี่ยนแปลง
ตามการขจัดในแนวราบดังกราฟ จงหางาน
เนือ่ งจากแรง F ในการทําใหวัตถุเคลื่อนที่ได
30 เมตร (160 จูล)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 2 กําลัง
กําลัง คือ อัตราสวนของงานตอเวลาทีใ่ ชทาํ งานนัน้
P = Wt
เมือ่ P คือ กําลัง (วัตต) W คือ งาน (จูล) t คือ เวลา (วินาที)
P = F⌡t S เพราะ W = FS
P = Fv เพราะ v = st
เมือ่ F คือ แรง (นิวตัน) S คือ ระยะทาง (เมตร)
t คือ เวลา (วินาที) v คือ อัตราเร็ว (เมตรตอวินาที)
13. เด็กคนหนึง่ ดึงถังน้าํ มวล 15 กก ขึ้นจากบอน้ําลึก 3 ม. ดวยอัตราเร็วสม่าํ เสมอในเวลา 6
วินาที จะใชกําลังเทาไร (75 วัตต)
วิธที าํ
4
k
II บทที่ 5 งานและพลังงาน
14. ในการยกกลองมวล 100 กิโลกรัม จากพื้น โดยใชกําลัง 1 กิโลวัตต เปนเวลา 10 วินาที
กลองนั้นจะขึ้นไปไดสูงจากพื้นกี่เมตร
1. 0.1 2. 1.0 3. 10.0 4. 20.0 (ขอ 3)
วิธที าํ
15. จงหากําลังของเครือ่ งจักรเครือ่ งหนึง่ ซึ่งกําลังยกวัตถุมวล 500 กิโลกรัม ขึน้ ในแนวดิง่ ดวย
ความเร็วคงที่ 1.6 เมตร/วินาที (8000 W)
วิธที าํ
5
ย
II บทที่ 5 งานและพลังงาน
ตอนที่ 3 พลังงาน
พลังงาน
พลังงานจลน พลังงานศักย
คือ พลังงานที่เกิด คือ พลังงานที่สะสม
จากการเคลื่อนที่ อยูภายในตัววัตถุ
ของวัตถุ
Ek = 12 mv2 พลังงานศักยโนมถวง พลังงานศักยยืดหยุน หากอยูท จ่ี ดุ สมดุล
S=0
Ep = mgh Ep = 12 k s2
เมื่อ Ek คือ พลังงานจลน (จูล) จะได Ep = 0 ดวย
m คือ มวล (กิโลกรัม) เมื่อ Ep คือ พลังงานศักยโนมถวง เมื่อ Ep คือ พลังงานศักยยดื หยุน
v คือ ความเร็วของวัตถุ (m/s) m คือ มวล (กิโลกรัม) k คือ คานิจสปริง
g คือ ความเรงเนื่องจาก s คือ ระยะหางจากจุดสมดุล
แรงโนมถวง (m/s2) k = Fs
h คือ ความสูง (m) เมื่อ F คือ แรงกระทํา
s คือ ระยะหางจากสมดุล ซึง่
เกิดจากแรง F
19(มช 28) รถยนตหนัก 2000 กิโลกรัม วิง่ ดวยความเร็ว 72 กิโลเมตรตอชัว่ โมง พลังงาน
จลนของรถคันนั้นมีคาเทากับกี่จูล
ก. 51.84 x105 ข. 105 ค. 2x105 จูล ง. 4x105 (ขอ ง)
วิธที าํ
6
เ
II บทที่ 5 งานและพลังงาน
21. วัตถุมวล m มีพลังงานจลน E ถาวัตถุมวล 2m อัตราเร็วเทาเดิม จะมีพลังงานจลนเทาใด
1. E4 2. E2 3. E 4. 2E (ขอ 4)
วิธที าํ
24. มวล A ขนาด 10 กิโลกรัม อยูส งู จากพืน้ โลก 1 เมตร กับมวล B ขนาด 5 กิโลกรัม
อยูส งู จากพืน้ โลก 1.5 เมตร อัตราสวนของพลังงานศักยของ A ตอ B เปนเทาไร
1. 4 : 3 2. 3 : 4 3. 1 : 2 4. 2 : 1 (ขอ 1)
วิธที าํ
7
เII บทที่ 5 งานและพลังงาน
25. สปริงตัวหนึง่ มีความยาวปกติ 1 เมตร และมีคา นิจสปริง 100 นิวตัน/เมตร ตอมาถูกแรง
กระทําแลวทําใหยดื ออกและมีความยาวเปลีย่ นเปน 1.2 เมตร จงหาพลังงานศักยยดื หยุน
ขณะทีถ่ กู แรงนีก้ ระทํา ( 2 จูล )
วิธที าํ
26. สปริงตัวหนึง่ เมือ่ ออกแรงกระทํา 100 นิวตัน จะยืดได 0.5 เมตร หากเปลีย่ นแรงกระทํา
เปน 200 นิวตัน ขณะนัน้ สปริงมีพลังงานศักยยดื หยุน เทาใด (100 จูล)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 4 กฏทรงพลังงาน
กฏทรงพลังงาน กลาววา “พลังงานไมมวี นั สูญหาย แตอาจเปลีย่ นจากรูปหนึง่ ไปเปนอีกรูปหนึง่ ได”
* สูตรทีใ่ ชคาํ นวณเกีย่ วกับกฏทรงพลังงาน *
E1 + W = E2
เมือ่ E1 , E2 คือ พลังงานทีม่ ตี อนแรก และ ตอนหลัง W คือ งานในระบบ
8
แ
II บทที่ 5 งานและพลังงาน
28. เมล็ดพืชถูกนกปลอยใหตกจากทีส่ งู จากพืน้ 80 เมตร เมือ่ ตกลงมาถึงพืน้ ดินจะมีความเร็ว
กี่กิโลเมตรตอชั่วโมง ( 144 )
วิธที าํ
9
เ
II บทที่ 5 งานและพลังงาน
31. วัตถุมวล m ลืน่ ไถลตามรางคดโคงซึง่ ไมมี A m
ความเสียดทานโดยไมไถลออกนอกราง ถา
ขณะเริม่ ตนวัตถุอยูน ง่ิ ทีจ่ ดุ A ซึง่ อยูส งู 70 70 เมตร B m
10
k
II บทที่ 5 งานและพลังงาน
33. วัตถุมวล 2 กิโลกรัม เคลือ่ นทีบ่ นพืน้ ราบลืน่ ดวยอัตราเร็ว 2 เมตร/วินาที เขาชนสปริง
ปรากฎวาสปริงหดสัน้ มากทีส่ ดุ 10 ซม. คานิจของสปริงมีคา กีน่ วิ ตัน/เมตร (800 N/m)
วิธที าํ
11
hII บทที่ 5 งานและพลังงาน
37(En 41) จากการปลอยวัตถุมวล 5 กิโลกรัม ตกอิสระลงบนสปริงเบาที่วางตั้งอยูบนพื้น โดย
ระยะหางจากวัตถุถึงยอดของสปริงเทากับ 1.0 เมตร เมื่อวัตถุตกกระทบสปริง ปรากฏวาสปริง
หดสั้นลงจากเดิม 20 เซนติเมตร กอนดีดกลับ จงคํานวณคาคงตัวของสปริงโดยประมาณวา
ไมมีการสูญเสียพลังงาน
1. 2500 N/m 2. 3000 N/m 3. 3500 N/m 4. 4000 N/m (ขอ 2)
วิธที าํ
12
เII บทที่ 5 งานและพลังงาน
40(En 31) รถยนตมมี วล 1000 กิโลกรัม กําลังเคลื่อนที่ดวยความเร็ว 36 กิโลเมตรตอชั่วโมง
เพือ่ จะใหรถหยุดใน 5 วินาที จะตองมีการทํางานกี่จูล
1. 0.5 x 103 2. 0.65 x 104 3. 0.5 x 105 J 4. 0.65 x 106 (ขอ 3)
วิธที าํ
13
III บทที่ 5 งานและพลังงาน
43(มช 36) สปริงอันหนึ่งเมื่อออกแรงกด 100 นิวตัน จะหดเขาไป 0.75 เมตร จงหางานเปนจูล
ที่ทําเมื่อดึงใหสปริงยืดออก 0.30 เมตร จากสภาพสมดุลปกติ
1. 6.0 2. 7.5 3. 15.0 4. 22.5 (ขอ 1)
วิธที าํ
14
ผ
II บทที่ 5 งานและพลังงาน
46. จากรูป วัตถุเคลือ่ นตามรางโคง รัศมี R ถาวัตถุหยุดนิง่
อยูท ่ี A และไถลลงมายังจุด B เกิดงานเนือ่ งจากความฝด
ระหวางพืน้ กับวัตถุ 2.75 จูล จงหาความเร็วของวัตถุท่ี
จุด B เปนกีเ่ มตรตอวินาที (3 m/s)
กําหนด R = 1 เมตร และวัตถุมมี วล = 0.5 kg
วิธที าํ
15
N
II บทที่ 5 งานและพลังงาน
48(En 43/1) ยิงลูกปนมวล 12 กรัม ไปยังแทงไมซง่ึ ตรึงอยูก บั ที่ ปรากฏวาลูกปนฝงเขาไปใน
เนือ้ ไมเปนระยะ 5 เซนติเมตร ถาความเร็วของลูกปนคือ 200 เมตรตอวินาที จงหาแรง
ตานทานเฉลีย่ ของเนือ้ ไมตอ ลูกปน
1. 4800 N 2. 6000 N 3. 9600 N 4. 12000 N (ขอ 1)
วิธที าํ
16
II บทที่ 5 งานและพลังงาน
51. ผลักวัตถุมวล 1 กิโลกรัม ใหไถลไปตามพืน้ ราบขรุขระดวยความเร็ว 2 m/s ถา ส.ป.ส.
ความเสียดทานของพืน้ กับวัตถุมคี า 0.2 ใหหาวาวัตถุไปไดไกลเทาไร
ก. 1 เมตร ข. 2.13 เมตร ค. 3 เมตร ง. 4 เมตร (ขอ ก)
วิธที าํ
53(En 35) รถยนตคนั หนึง่ มีมวล 1000 kg สามารถเรงอัตราเร็วจาก 10 m/s เปน 20 m/s
โดยอัตราเรงคงทีใ่ นเวลา 5.0 วินาที กําลังเฉลีย่ เครือ่ งยนตทใ่ี ชอยางนอยเปนเทาใด
1. 10.0 kW 2. 20.0 kW 3. 30.0 kW 4. 40.0 kW (ขอ 3)
วิธที าํ
17
พ่
เII บทที่ 5 งานและพลังงาน
54. ใชปน จัน่ ยกวัตถุมวล 200 กิโลกรัม ขณะวัตถุหยุดนิง่ หลังจากนัน้ 20 วินาที พบวาวัตถุ
อยูส งู จากตําแหนงเดิม 20 เมตร และกําลังเคลือ่ นทีด่ ว ยอัตราเร็ว 2 เมตรตอวินาที กําลัง
ของปน จัน่ มีคา กีว่ ตั ต (2020)
วิธที าํ
55. เครือ่ งสูบน้าํ สูบน้าํ มวล 3900 kg ขึน้ จากบอลึก 10 m ในเวลา 1 ชัว่ โมง แลวฉีดน้าํ ออกไป
ดวยอัตราเร็ว 20 m/s จงหากําลังของเครือ่ งสูบน้าํ นี้ (325 วัตต)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
18
แ
II บทที่ 5 งานและพลังงาน
57. จากรูป จงหาประสิทธิภาพของรอกมีคา เทาใด
วิธที าํ (80% )
40 kg
500 N
19
เII บทที่ 5 งานและพลังงาน
60. เครือ่ งกลแบบสกรูมแี ขนหมุนยาว 50 เซนติเมตร และมีระยะเกลียว 3 มิลลิเมตร ถาออก
แรง หมุนสกรู 3 นิวตัน จะสามารถยกน้าํ หนักไดมากทีส่ ดุ 2200 นวิ ตัน จงหาประสิทธิ–
ภาพของเครือ่ งกลนี้ ( 70% )
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
20
b
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
ฟ สิ ก ส บทที่ 6 โมเมนตั ม และการชน
ตอนที่ 1 การดล และ แรงดล
โมเมนตัม คือ ผลคูณระหวางมวลกับความเร็วของมวลนั้น
P = m ⋅v
เมือ่ m คือ มวล (kg) v คือ ความเร็วของมวลนัน้ (m/s) P คือ โมเมนตัม (kg⋅m/s)
1. นักรักบี้ A มีมวล 70 กิโลกรัม วิง่ ดวยความเร็ว 8 เมตร/วินาที นักรักบี้ B มีมวล 60
กิโลกรัม ตองวิง่ ดวยความเร็วเทาไรจึงจะมีโมเมนตัมเทากับนักรักบี้ A
1. 8.3 เมตร/วินาที 2. 9 เมตร/วินาที
3. 9.3 เมตร/วินาที 4. 10 เมตร/วินาที (ขอ 3)
วิธที าํ
พิจารณา ΔP = P2 – P1
ΔP = mv – mu
เมือ่ ΔP = โมเมนตัมที่เปลี่ยน
= การดล (kg⋅m/s)
v = ความเร็วปลาย (m/s)
u = ความเร็วตน (m/s)
F = ΔP
Δt
F = mv - mu
Δt
เมือ่ F = แรงดล , Δt = เวลา (s)
36
B
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
2. ใชฆอ นมวล 0.5 กิโลกรัม ตอกตะปู ในขณะที่ฆอนใกลกระทบตะปูนั้นมีขนาดความเร็ว
8 เมตร/วินาที และหลังจากกระทบหัวตะปูแลวฆอนสะทอนกลับดวยความเร็วเทาเดิม ถา
ชวงเวลาที่ฆอนกระทบหัวตะปูเปน 1 มิลลิวินาที จงหาคาการดลและแรงดลที่หัวตะปู
กระทําตอฆอน (–8 kg⋅⋅m/s , –8000 นิวตัน )
วิธที าํ
37
dII บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
5(En 42/1) กระสุนปนมวล 20 กรัม เคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็ว 500 เมตรตอวินาที เขาไปใน
กระสอบทรายใชเวลา 1.0 มิลลิวินาที กระสุนจึงหยุด ถาแรงตานทานของทรายที่กระทํา
ตอกระสุนมีคาคงตัวแรงตานทานนี้มีคาเทาใด หนวยเปนกิโลนิวตัน (10 กิโลนิวตัน)
วิธที าํ
6(En 41/2) ลูกฟุตบอลมวล 0.5 กิโลกรัม เคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็ว 20 เมตรตอวินาที ถาผูรักษา
ประตูใชมือรับลูกบอลใหหยุดนิ่ง ภายในเวลา 0.04 วินาที แรงเฉลี่ยที่มือกระทําตอลูกบอล
มีขนาดเทาใด
1. 100 N 2. 250 N 3. 500 N 4. 750 N (ขอ 2)
วิธที าํ
38
อ
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
8. กลองใบหนึ่งอยูบนรถ ซึ่งกําลังเคลื่อนที่ในแนวระดับดวยความเร็ว 30 เมตร/วินที รถจะ
ตองเบรกจนหยุดนิง่ ในเวลานอยทีส่ ดุ เทาไร กลองจึงจะไมไถลไปบนรถ ถาสัมประสิทธิ์
ความเสียดทานระหวางกลองกับรถเปน 0.5 (6 วินาที)
วิธที าํ
39
.II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
10. ปลอยลูกบอลมวล 0.4 กิโลกรัม จากที่สูง 20 เมตร ลงกระทบพื้น ปรากฏวาลูกบอล
กระดอนขึ้นจากพื้นไดสูงสุด 5 เมตร ถาเวลาตั้งแตเริ่มปลอยลูกบอลจนกระทั่งลูกบอลกระ
ดอนขึ้นมาถึงตําแหนงสูงสุดเทากับ 5 วินาที จงหาแรงดลเฉลี่ยที่พื้นกระทําตอลูกบอลนี้
1. ขนาด 12 N ทิศทางลงสูพื้น 2. ขนาด 6 N ทิศทางขึ้นจากพื้น
3. ขนาด 4 N ทิศทางลงสูพื้น 4. ขนาด 2.4 N ทิศทางขึ้นจากพื้น (ขอ 2)
วิธที าํ
40
เII บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
12. ลูกบอลเคลื่อนที่ในแนวระดับ ชายคนหนึ่งใชไมตี
ลูกบอลนี้สวนออกมาในทิศตรงกันขาม แรงที่กระทํา
ตอลูกบอลกับเวลาที่ลูกบอลกระทบไมตี เขียนแทน
ไดดวยกราฟนี้
ก. การดลมีคาเทาใด (1 N.S)
ข. ถาลูกบอลมีมวล 25 กรัม และเคลื่อนที่เขา
ดวยความเร็วตน 25 m/s ลูกบอลจะมีความเร็วเทาใดหลังจากถูกไมตี (–15 m/s)
วิธที าํ
41
•
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
14(En 36) นักกีฬาเตะลูกบอลมวล 200 กรัม อัดกําแพงแลวลูกบอลสะทอนสวนออกมาดวย
อัตราเร็ว 5 m/s ซึ่งเทากับอัตราเร็วเดิม ถาแรงที่กําแพงกระทําตอลูกบอลเปน 40 นิวตัน
ลูกบอลกระทบกําแพงอยูนานเทาใด
1. 0.025 s 2. 0.05 s 3. 0.25 s 4. 0.5 s (ขอ 2)
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
42
ฎ
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
43
อ
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
19. เอและบีเปนนักสเกตมีมวล 60 และ 40 กิโลกรัม วิ่งสวนทางกันบนพื้นที่ลื่นมาก ดวย
ความเร็ว 10 และ 5 เมตร/วินาที ตามลําดับ พุงเขาชนกัน หลังชนเอมีความเร็ว 2 เมตร/
วินาทีในทิศทางเดิม จงหาความเร็วหลังชนของ บี ( 7 m/s)
วิธที าํ
21. วัตถุมวล 2 x 104 กิโลกรัม เคลือ่ นทีไ่ ปตามรางดวยความเร็ว 2 m/s วิง่ เขาชนวัตถุอกี
กอนมวล 3 x 104 กิโลกรัม ซึ่งอยูนิ่งๆ หลังชนแลววัตถุทั้งสองวิ่งไปพรอมกัน จงหา
ความเร็วของวัตถุทั้งสองกอนหลังชน ( 0.8 m/s)
วิธที าํ
44
แ II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
22. รถสินคามวล 104 กิโลกรัม เคลือ่ นทีไ่ ปตามรางดวยความเร็ว 2 เมตร/วินาที วิ่งเขาชน
รถสินคาอีกคันหนึ่งมวล 2 x 104 กิโลกรัม และจอดอยูน ง่ิ หลังชนแลวรถทั้งสองวิ่งไป
พรอมกัน จงหาความเร็วของรถทั้งสองคันหลังชน (0.67 m/s)
วิธที าํ
23. รถยนต A มวล 1500 กิโลกรัม และรถยนต B มวล 1000 กิโลกรัม รถยนต B แลน
ตามหลังรถยนต A ดวยความเร็วคงที่เทากับ 2 และ 1 เมตร/วินาที ตามลําดับ ในระหวาง
นัน้ มีรถยนต C มวล 1500 กิโลกรัม วิ่งสวนทางกันมาดวยความเร็วคงที่ เทากับ 5 เมตร/
วินาที ถารถเกิดชนพรอมกันทั้งสามคันเปนผลใหรถทั้งหมดติดกันไปหลังชน สมมติวาไมมี
ความเสียดทานระหวางพื้นถนนกับลอรถยนต จงคํานวณหาความเร็วและทิศทางหลังชนกัน
2 m/s 1 m/s 5 m/s
B A C
1000 kg 1500 kg 1500 kg
45
W
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
24(มช 37) วัตถุมวล 10 กิโลกรัม เคลือ่ นไปทางขวาตามพืน้ โตะซึง่ ไรความเสียดทานดวยอัตรา
เร็ว 50 เมตร/วินาที วัตถุนี้ชนในแนวตรงกับวัตถุอีกชิ้นหนึ่งซึ่งกําลังเคลื่อนที่มาทางซาย
ดวยอัตราเร็ว 30 เมตร/วินาที ถาหลังจากการชนวัตถุทั้งสองติดไปดวยกันและเคลื่อนที่ไป
ทางขวาดวยอัตราเร็ว 20 เมตร/วินาที วัตถุกอนที่สองมีมวลกี่กิโลกรัม
1. 12 2. 8 3. 6 4. 4 (ขอ 3)
วิธที าํ
26. วัตถุมวล 10 กิโลกรัม เคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็ว 6 เมตร/วินาที เขาชนวัตถุอกี กอนหนึง่ มวล
20 กิโลกรัม ซึ่งอยูนิ่งวัตถุกอนแรกกระเด็นกลับดวยความเร็ว 2 เมตร/วินาที จงหาพลังงาน
จลนของระบบเปลี่ยนไปเทาไร
1. 0 2. 90 จูล 3. 180 จูล 4. 360 จูล (ขอ 1)
วิธที าํ
46
เII บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
27(En 29) ลูกปนมวล 3 กรัม มีความเร็ว 700 เมตรตอวินาที วิ่งทะลุผานแทงไมมวล 600
กรัม เกิดการดลทําใหแทงไมมีความเร็ว 2 เมตรตอวินาที จงหาความเร็วลูกปนหลังทะลุ
ก. 200 เมตร/วินาที ข. 300 เมตร/วินาที
ค. 400 เมตร/วินาที ง. 500 เมตร/วินาที (ขอ ข)
วิธที าํ
47
•II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
30. นักลาสัตวยิงลูกปนมวล 60 กรัม ออกไปดวยความเร็ว 900 m/s ถาเสือมีมวล 40 kg
กระโดดตะปบเขาดวยความเร็ว 10 m/s เขาจะตองยิงกระสุนกี่นัดจึงจะหยุดเสือนั้นได
โดยยิงแลวลูกปนฝงในเสือ (8 นัด)
วิธที าํ
49
•
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
35(En 39) เมล็ดพืชชนิดหนึ่งขณะกําลังตกลงสูพื้นดวยความเร็วตามแนวดิ่งขนาด V0 เกิดการ
ดีดตัวแยกออกจากกันของเมล็ดเปนสองสวนเทากัน สวนหนึง่ ของเมล็ดมีความเร็วขนาด V0
ในทิศทางเคลื่อนที่ขึ้นอีกสวนหนึ่งจะมีขนาดความเร็วเทาใด
1. 12 V0 2. 23 V0 3. 2V0 4 . 3 V0 (ขอ 4)
วิธที าํ
50
อ
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
37(En 41/2) วัตถุ A มีมวล 8 กิโลกรัม เคลื่อนที่ไปทางแกน +x ดวยความเร็ว 10 เมตรตอ
วินาที ไดชนกับวัตถุ B มวล 10 กิโลกรัม ซึ่งกําลังเคลื่อนที่ไปทางแกน +Y ดวย
ความเร็ว 6 เมตรตอวินาที ภายหลังการชนวัตถุทั้งสองเคลื่อนที่ติดกันไป จงหาความเร็ว
ลัพธภายหลังการชนดังกลาว
1. 3.3 m/s 2. 4.0 m/s 3. 5.6 m/s 4. 8.0 m/s (ขอ 3)
วิธที าํ
51
อ
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
39. มวลสองกอนวิ่งเขาชนกันดวยความเร็วขนาดเทากัน ดังรูป
ถามวลสองกอนเทากัน ความเร็วของจุดศูนยกลางมวลของ
ระบบจะเปนเทาไร
1. 2u 2. u2
3. u 2 4. u 2 2 (ขอ 4)
วิธที าํ
52
อ
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
42. ลูกปนมวล 5 กรัม ถูกยิงดวยความเร็ว 1000 เมตร/วินาที เขาไปฝงในแทงไมมวล 5
กิโลกรัม ทีว่ างอยูบ นโตะ ถาคาสัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหวางแทงไมกับโตะโดย
เฉลี่ยมีคาเทากับ 0. 25 แทงไมจะไถลไปไดไกลเทาไร
1. 0.20 เมตร 2. 0.25 เมตร 3. 0.50 เมตร 4 . 1.25 เมตร ( 1.)
วิธที าํ
53
อ
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
44(En 41/2) รถยนตคนั หนึง่ มวล 2000 กิโลกรัม แลนดวยความเร็ว 10 เมตรตอวินาที แลวชน
กับรถยนตอกี คันหนึง่ มวล 3000 กิโลกรัม ซึง่ จอดอยูน ง่ิ ภายหลังการชนรถทั้งสองติดกัน
และไถลไปไดไกล 5 เมตร แลวหยุด จงหาขนาดของแรงเสียดทานทีพ่ น้ื ถนนกระทําตอรถ
ทั้งสองในหนวยนิวตัน (8000 นิวตัน)
วิธที าํ
54
•
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
46(En 32) ลูกปนมวล 4 กรัม มีความเร็ว 1000 เมตรตอวินาที ยิงทะลุแผนไมหนัก 800 กรัม
ที่หอยแขวนไวดวยเชือกยาว หลังจากทะลุแผนไมลูกปนมีความเร็ว 400 เมตรตอวินาที
จงหาวาแทงไมจะแกวงขึ้นไปสูงจากจุดหยุดนิ่งเทาใด
1. 0.15 m 2. 0.20 m 3. 0.45 m 4 . 0.60 m (ขอ 3)
วิธที าํ
55
bII บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
48. ขวางลูกบอลมวล 100 กรัม เขาชนเปาไมมวล 500 กรัม ที่แขวนไวดวยเชือกที่ยาวมาก
ทําใหเปาไมแกวงขึ้นไปสูงสูด 20 ซม. ถาการชนเปาไมไมมีการสูญเสียพลังงานจลน
จงหาความเร็วของลูกบอลกอนชนเปาเปนกีเ่ มตร/วินาที
1. 2 2. 4 3. 6 4. 8 (ขอ 3)
วิธที าํ
56
เ
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
โจทยสําหรับคําถาม 2 ขอถัดไป
ปนใหญและรถมีมวล 10000 กิโลกรัม ติดสปริงกัน
การสะทอนถอยหลังดังรูป เมือ่ ยิงปนใหญปรากฎวา
กระสุนวิ่งออกไปดวยความเร็ว 1000 เมตร/วินาที
50. จงหาความเร็วของรถทันทีเมือ่ ยิงปนใหญ ถากระสุนมีมวล 10 กก.
1. 1 m/s 2. 2.5 m/s 3. 5 m/s 4. 10 m/s (ขอ 1)
วิธที าํ
57
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
53. แขวนกลองมวล 5 กิโลกรัม เขากับสปริงที่มีคาคงที่
( k = 1000 N/m) แล ว ยิ ง ลู ก ป น มวล 10 กรั ม ด วย
ความเร็ว (v = 1000 m/s) ให ฝ ง ในกล อ งจะทํา ให
5 kg
สปริ ง หดสั้ น จากความยาวปกติ กี่ เ มตร
1. 0.05 2. 0.09
v
3. 0.016 4. 0.24 (ขอ 2)
วิธที าํ
58
อฺ
•
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
ตอนที่ 3 การชน
การชนกันของวัตถุ โดยทั่วไปจะมี 2 แบบ คือ
1) การชนกันแบบยืดหยุน เปนการชนซึ่งพลังงานจลนจะมีคาคงเดิม
นัน่ คือ ΣEkกอนชน = ΣEkหลังชน
2) การชนกันแบบไมยืดหยุน เปนการชนซึ่งพลังงานจลน จะมีคาไมคงเดิม
นัน่ คือ ΣEkกอนชน ≠ ΣEkหลังชน
55(มช 30) ในการชนกันของวัตถุแบบยืดหยุน ขอใดถูกตอง
1. พลังงานจลนมีคาคงตัวแตโมเมนตัมไมคงตัว
2. โมเมนตัมมีคาคงตัวแตพลังงานจลนมีคาไมคงตัว
3. ทั้งโมเมนตัมและพลังงานจลนมีคาไมคงตัว
4. ทั้งโมเมนตัมและพลังงานจลนมีคาคงตัว (ขอ 4)
วิธที าํ
สมการที่ใชคํานวณเกี่ยวกับการชนแบบยืดหยุน u1 + v 1 = u 2 + v 2
ข. 3
5 m/s
3 3 3 5 m/s
ค. 6
6 m/s
3 6 2 m/s 3 8 m/s
1. ทั้ง ก. ข. และ ค. 2. ข. และ ค. 3. เฉพาะ ข. 4. เฉพาะ ค. (ขอ 2)
วิธที าํ
60
6II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
60. มวล 1 kg เคลื่อนที่ไปทางขวาดวยความเร็ว 4 m/s เขาชนมวล 2 kg เคลื่อนที่ไปทาง
เดียวกันดวยความเร็ว 2 m/s ถาการชนเปนแบบยืดหยุนโดยสมบูรณ จงหาความเร็วหลังชน
ของมวลทั้งสอง ( v1 = 43 m/s , v2 = 103 m/s )
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
61
อ
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
แบบฝ ก หั ด ฟ สิ ก ส บทที่ 6 โมเมนตั ม
โมเมนตัม , การดล และ แรงดล
1. การดลที่กระทําบนวัตถุหนึ่งจะมีคาเทากับการเปลี่ยนแปลงของปริมาณใดตอไปนี้
1. ความเร็ว 2. โมเมนตัม 3. พลังงานจลน 4. แรง (ขอ 2)
2. นักบอลแตะลูกบอลมวล 0.5 กิโลกรัม ทําใหลกู บอลเคลือ่ นทีด่ ว ยอัตราเร็ว 20 เมตรตอ
วินาที เขาชนฝาผนังในแนวตัง้ ฉาก แลวสะทอนกลับออกมาในแนวเดิมดวยอัตราเร็ว 20
เมตรตอวินาทีเทากัน ถาลูกบอลกระทบฝาผนังนาน 0.05 วินาที จงหา
ก. การดลของลูกบอล (20 kg . m/s)
ข. แรงเฉลี่ยที่ฝาผนังกระทําตอลูกบอล (400 N)
3(En 43/1) ใชฆอ นมวล 400 กรัม ตอกตะปูในขณะทีฆ่ อ นเริม่ กระทบหัวตะปู ฆอนมีขนาด
ความเร็ว 10 เมตร/วินาที หลังจากกระทบหัวตะปูแลว ฆอนสะทอนกลับดวยขนาดความเร็ว
เทาเดิม ถาชวงเวลาที่กระทบตะปูเปน 0.5 มิลลิวินาที จงหาแรงเฉลี่ยที่ฆอนกระทําตอตะปู
1. 1.6x104 N 2. 3.2x104 N 3. 6.4x104 N 4. 8x104 N (ขอ 1)
4(มช 37) ใชไมตีลูกบอล 0.16 kg ซึง่ มีกาํ ลังเคลือ่ นทีต่ ามแนวราบดวยอัตราเร็ว 30 m/s
ไมสัมผัสอยูกับลูกบอลเปนเวลานาน 10–2 วินาที หลังจากนั้นลูกบอลเคลื่อนที่ออกไป
ดวยอัตราเร็ว 35 m/s ในทิศตรงกันขามกับทิศทางเริ่มตน จงคํานวณแรงเฉลี่ยซึ่งไม
กระทําตอลูกบอลระหวางสัมผัสกัน (ใหตอบในหนวยกิโลนิวตัน) (1.040 kN)
64
เ
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
21. จากกราฟแสดงแรงเนือ่ งจากคอนมวล 1 กิโล
F (104 N)
กรัม กระทบกับหัวตะปู ดวยความเร็วขณะกระ 2.0
ทบ 8 เมตร/วินาที คอนจะกระดอนกลับดวย 1.5
ความเร็วเทาไร (32 m/s) 1.0
0.5
t (ms)
1 2 3 4 5 6
22. ถาลูกบอลมวล m วิ่งเขาชนกําแพงดวยความเร็ว u โดย
ทํามุม θ กับเสนตั้งฉากกับกําแพง และสะทอนออกดวย
θ
ขนาดความเร็ว u และทํามุม θ กับเสนตั้งฉากดังรูป ถา θ
ลูกบอลใชเวลา t ในการกระทบ แรงเฉลี่ยที่ลูกบอลทํา
กับกําแพง คือ
1. 2musin
t
θ 2. 2mucos
t
θ 3. musin
t
θ 4. mucos
t
θ (ขอ 2)
65
•
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
กฎทรงโมเมนตัม
25. รถทดลอง A มวล 5 กิโลกรัม เคลื่อนที่บนพื้นเกลี้ยงไปทางขวาดวยความเร็ว 10 เมตร/
วินาที เขาชนรถทดลอง B ซึ่งอยูนิ่ง หลังชนรถทดลอง A สะทอนกลับดวยความเร็ว
2 เมตร/วินาที สวนรถทดลอง B วิง่ ออกไปดวยความเร็ว 6 เมตร/วินาที จงหาวารถ
ทดลอง B มีมวลกี่กิโลกรัม
1. 5 2. 10 3. 15 4. 20 (ขอ 2)
โจทยสําหรับคําถาม 2 ขอถัดไป
ปนใหญและรถมีมวล 10000 กิโลกรัม ติดสปริงกัน
การสะทอนถอยหลังดังรูป เมือ่ ยิงปนใหญปรากฎ
วากระสุนวิ่งออกไปดวยความเร็ว 1000 เมตร/วินาที
41. จงหาความเร็วของรถทันทีเมือ่ ยิงปนใหญ ถากระสุนมีมวล 10 กก.
1. 1 m/s 2. 2.5 m/s 3. 5 m/s 4. 10 m/s (ขอ 1)
69
อII บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
เฉลย แบบฝ ก หั ด ฟ สิ ก ส บทที่ 6 โมเมนตั ม ( บางข อ )
9. ตอบ 20 kg. m/s
วิธที าํ จากกราฟจะไดวา u = 20 m/s , v = 10 m/s v(m/s)
จาก Δp = m (v – u) 20 u = 20 ms
= 2(10 – 20) 10 v = 10 ms
Δp = –20 kg.m/s t(s)
Δp มีคาเปนลบแสดงวา มีทิศสวนทางกับการเคลื่อนที่
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
29. ตอบขอ 2
v1 v2 v=?
วิธที าํ
m m
มวล = 2 m
กอนชน
หลังชน
70
II บทที่ 6 โมเมนตัม และ การดล
47. ตอบขอ 4
วิธที าํ
u1 = u u2 = 0 v1 v2
m 2m m 2m
กอนชน หลังชน
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
71
หฺ
6-
II บทที่ 7 การเคลื่อนที่แบบหมุน
ฟ สิ ก ส บทที่ 7 การเคลื่ อ นที่ แ บบหมุ น
ตอนที่ 1 การขจัดเชิงมุม ความเร็วเชิงมุม และ ความเรงเชิงมุม
การกระจัดเชิงมุม (! ) คือ มุมที่กวาดไป (เรเดียน)
ความเร็วเชิงมุมเฉลีย่ ( ⊇ ) คือ อัตราสวนของการ
ขจัดเชิงมุมตอเวลาที่ใชกวาดมุมนั้น ( rad / s )
″
เฉลี่ย = t
⊇
และ ÷ = 2±
T , ÷ = 2± f T คือ คาบของการเคลือ่ นที่ (วินาที)
f คือ ความถีข่ องการเคลือ่ นที่ (Hz)
1. ลอหมุนอันหนึง่ หมุนได 25 เรเดียน ในเวลา 10 วินาที จงหาอัตราเร็วเชิงมุมเฉลีย่ ของ
การหมุนลอนี้ ( 2.5 rad /s )
วิธที าํ
52
เ
II บทที่ 7 การเคลื่อนที่แบบหมุน
ควรทราบ 1. เมือ่ เปรียบเทียบการเคลือ่ นทีแ่ บบเสนตรง และการเคลื่อนที่แบบหมุน
s ! ⊗ , a ! × , u ! ⊇o , v ! ⊇
การเคลือ่ นทีแ่ บบเสนตรง การเคลือ่ นทีแ่ บบหมุน
v = u+at ⊇ = ⊇o + × t
S = Ψu∴2 v Ζ t ⊗ = ( o2 ) t
⊇ ∴⊇
S = ut + 12 a t2 ⊗ = ⊇o t + 12 × t2
v2 = u2 + 2 a s ⊇2 = ⊇o 2 + 2 × ⊗
53
ย
II บทที่ 7 การเคลื่อนที่แบบหมุน
6. ลออันหนึง่ ใชเวลา 3 วินาที ในการหมุนไปไดมมุ ทัง้ หมด 234 เรเดียน วัดความเร็วเชิงมุม
ขณะนัน้ ได 108 เรเดียน/วินาที จงหาความเร็วเชิงมุมตอนเริม่ ตน ( 48 rad/s )
วิธที าํ
54
b
II บทที่ 7 การเคลื่อนที่แบบหมุน
10. จากขอทีผ่ า นมา จงหาความเร็ว และความเรงทีผ่ วิ ลอ ณ.วินาทีท่ี 20 (200 m/s, 10 m/s2)
วิธที าํ
55
b
II บทที่ 7 การเคลื่อนที่แบบหมุน
ตอนที่ 2 โมเมนตความเฉื่อย และ โมเมนตของแรง
โมเมนตความเฉื่อย ( I ) คือ สภาพตานการหมุนของวัตถุ
หากโมเมนตความเฉือ่ ย ( I ) มีคา มาก ความเรงเชิงมุม (×) จะมีคา นอย ( หมุนยาก )
กรณีวตั ถุเล็กๆ หมุนรอบจุดหมุน หรือ วงลอ โมเมนตความเฉือ่ ยจะหาคาไดจาก
I = m R2
เมือ่ I = โมเมนตความเฉือ่ ย (kg . m2)
m = มวล (kg)
R = รัศมีการหมุนของมวลนัน้ (m)
หากรอบแกนหมุนมีมวลยอยๆ หลายชิน้ หมุนพรอมกัน การหาโมเมนตความเฉือ่ ย ใหหาโมเมนต
ความเฉือ่ ยของมวลแตละกอน แลวนํามารวมกัน
I = m 1 R12 + m2 R 22 + m3 R 32
I = θ mR2
56
@
II บทที่ 7 การเคลื่อนที่แบบหมุน
ในกรณีวตั ถุรปู รางอืน่ ๆ เราอาจหาคาโมเมนตความเฉือ่ ยไดดงั นี้
รูปรางวัตถุ แกนหมุน รูป โมเมนตความเฉื่อย
ทรงกลมตัน รอบแกนผาน
มวล m รัศมี R จุดศูนยกลาง I ∴ 25 mR 2
ทรงกลมกลวง รอบแกนผานจุดศูนย
มวล m รัศมี R กลาง I ∴ 23 mR 2
ทรงกระบอกตัน รอบแกนของทรง
มวล m รัศมี R กระบอก I ∴ 12 mR 2
ยาว L
แผนกลมบาง รอบแกนผานศูนยกลาง
มวล m รัศมี R ตัง้ ฉากกับแผน I ∴ 12 mR 2
แผนกลมบาง รอบแกนผานศูนยกลาง
มวล m รัศมี R บนระนาบของแผน I ∴ 41 mR 2
แทงวัตถุเล็ก รอบแกนผานศูนยกลาง
มวล m ยาว L มวล ตั้งฉากกับแทง I ∴ 121 mL2
58
อ
II บทที่ 7 การเคลื่อนที่แบบหมุน
20. จงหาทอรกทีใ่ ชในการทําใหจานกลมทีม่ โี มเมนตความเฉือ่ ย 20 กิโลกรัม.เมตร2 เริม่ หมุน
จากหยุดนิง่ จนกระทัง่ มีอตั ราเร็ว 7 รอบ/วินาที ใน 10 วินาที (88 N.m)
วิธที าํ
22. มูเ ลตวั หนึง่ มีโมเมนตความเฉือ่ ย 3 กิโลกรัม เมตร2 จงหาทอรกคงทีซ่ ง่ึ จะทําใหอตั รา
เร็วของมูเ ลเพิม่ จาก 2 รอบ/วินาทีเปน 5 รอบ/วินาทีใน 6 รอบ (33 N. m)
วิธที าํ
59
•
II บทที่ 7 การเคลื่อนที่แบบหมุน
ตอนที่ 3 โมเมนตัมเชิงมุม และ กฏทรงโมเมนตัมเชิงมุม
โมเมนตัมเชิงมุม (L) คือ ผลคูณระหวางโมเมนตความเฉือ่ ย (I) กับความเร็วเชิงมุม (÷)
L = I•
เมือ่ L คือ โมเมนตัมเชิงมุม (kg.m2 . rad/s)
I คือ โมเมนตความเฉือ่ ย (kg.m2)
÷ คือ ความเร็วเชิงมุม (rad/s)
พิจารณา L = I÷ และ ϒ = ⊇t
L = I×t • = ϒt
L = ×t
24. ถาเหวีย่ งมวล 0.2 กิโลกรัม ดวยเชือกยาว 4 เมตร ใหเคลือ่ นทีเ่ ปนวงกลมในระนาบ
ระดับ ถาความเร็วเชิงมุมมีคา 10 เรเดียน/วินาที จงหาโมเมนตัมเชิงมุม ( 8 kg.m2 / s )
วิธที าํ
61
อ
II บทที่ 7 การเคลื่อนที่แบบหมุน
29. ชายคนหนึง่ ยืนอยูบ นแปนหมุน ในขณะทีเ่ หยียดแขนออกเขาหมุนดวยอัตราเร็ว 0.50
รอบ/วินาที แตเมือ่ เขาดึงแขนเขาขางตัว อัตราเร็วเปลีย่ นเปน 0.75 รอบ/วินาที จงหาอัตรา
สวนของโมเมนตความเฉือ่ ยของระบบตอนแรกตอตอนหลัง
1. 23 2. 49 3. 23 4. 49 (ขอ 3)
วิธที าํ
30. ชายคนหนึง่ มีมวล 80 กิโลกรัม ยืนอยูบ นขอบของมาหมุนเด็กเลนทีอ่ ยูน ง่ิ ทีร่ ะยะ 4 เมตร
จากจุดศูนยกลาง ชายคนนีเ้ ดินไปตามขอบของมาหมุนดวยอัตราเร็ว 1 เมตร/วินาที เทียบกับ
พื้น การเคลือ่ นทีน่ จ้ี ะทําใหมา หมุน หมุนดวยอัตราเร็วเชิงมุมเทาใด ถามาหมุนมีโมเมนต
ความเฉือ่ ย 10000 กิโลกรัม.เมตร2 (–0.032 rad/s)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 4 การทํางานในการหมุน
เราสามารถคํานวณหางานในการหมุนตัวไดจาก
W= ×±
และ กําลังในการหมุนหาคาไดจาก
P = Wt
P = !" t เพราะ W = × ±
P= ו เพราะ ! = !t
เมือ่ W คือ งานทีเ่ กิดจากการหมุน
P คือ กําลังของการหมุน
62
อ
II บทที่ 7 การเคลื่อนที่แบบหมุน
31. เครือ่ งยนตขนาด 50 กิโลวัตต หมุนลอในอัตรา 3500 รอบ/นาที จงหาทอรกทีเ่ กิดจาก
เครือ่ งยนตในตอนนี้ ( 136.36 N.m )
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 5 พลังงานจลนของการหมุน
พลังงานจลนของการหมุน
หาจาก Ek = 12 I ÷2
63
เII บทที่ 7 การเคลื่อนที่แบบหมุน
ถาวัตถุกลิ้ง (หมุนพรอมกับเคลือ่ นทีไ่ ป)
พลังงานจลน = พลังงานจลนของการเคลื่อนที่แบบเลื่อนที่
+ พลังงานจลนของการเคลื่อนที่แบบหมุน
Ek = 12 mv2 + 12 I ÷2
64
ง
II บทที่ 7 การเคลื่อนที่แบบหมุน
37. ทอทรงกระบอกกลวงกลิ้งไปตามพื้นระดับโดยไมไถล จงหาอัตราสวนระหวางพลังงาน
จลนของการหมุนตอพลังงานจลนของการเลือ่ นตําแหนง ( I ทรงกระบอก = m r2)
1. 12 2. 1 3. 2 4. 4 (ขอ 2)
วิธที าํ
65
เII บทที่ 7 การเคลื่อนที่แบบหมุน
แบบฝ ก หั ด ฟ สิ ก ส บทที่ 7 การเคลื่ อ นที่ แ บบหมุ น
การขจัดเชิงมุม ความเร็วเชิงมุม และ ความเรงเชิงมุม
1. วัตถุกอ นหนึง่ หมุนรอบตัวเองดวยความเร็วเชิงมุม 5 เรเดียน/วินาที เมือ่ ใหแรงคูค วบกระทํา
ทางเดียวกับการหมุนปรากฎวาวัตถุกอ นนัน้ มีความเรงเชิงมุม 2 เรเดียน/วินาที2 จงหาวาถา
ใหแรงคูค วบกระทํานาน 10 วินาที ความเร็วเชิงมุมของวัตถุเปนเทาใด (25 red/s)
2. วงลอวงหนึ่งมีเสนผาศูนยกลาง 1 เมตร เริม่ หมุนรอบแกนจากหยุดนิง่ ดวยแรงคูค วบคูห นึง่
ปรากฎวาวงลอนัน้ มีความเร็วปลายเปน 40 เรเดียน/วินาที ในเวลา 10 วินาที จงหาความ
เรงเชิงมุมและมุมทีร่ ศั มีของวงลอกวาดไปไดเปนเทาใด ( 4 rad/s2 , 200 rad)
3. ลออันหนึง่ ใชเวลา 3 วินาที ในการหมุนไปเปนมุมทัง้ หมด 234 เรเดียน วัดความเร็วเชิงมุม
ขณะนัน้ ได 108 เรเดียน/วินาที จงหาความเรงเชิงมุมของการหมุน ( 20 rad/s2)
4. ใบพัดลมเครือ่ งหนึง่ หมุนดวยอัตรา 600 รอบ/นาที ในเวลา 5 วินาที จากหยุดนิง่ จงหา
ความเรงเชิงมุมของใบพัดลมนี้ ± rad/s2)
( 4±
5. ความเร็วเชิงมุมของลออันหนึง่ ลดลงดวยอัตราคงทีจ่ าก 1000 รอบตอนาทีเหลือ 400 รอบ
ตอนาที ในเวลา 5 วินาที จงหาความเรงเชิงมุมและจํานวนรอบทีห่ มุนไดในชวงเวลา 5
วินาที ° rad/s2 , 58.33)
(–4°
1m O
F = 10 N
12. จงหาทอรกทีใ่ ชในการทําใหจานกลมทีม่ โี มเมนตความเฉือ่ ย 20 กิโลกรัม.เมตร2 เริม่ หมุน
จากหยุดนิง่ จนกระทัง่ มีอตั ราเร็ว 7 รอบ/วินาที ใน 10 วินาที (88 N.m)
13. เครือ่ งยนตของเฮลิคอปเตอรลาํ หนึง่ สงทอรกขนาด 1000 นิวตัน.เมตร กระทําตอใบพัด
ซึง่ มีโมเมนตความเฉือ่ ย 200 กิโลกรัม.เมตร2 จงหาวาจะตองใชเวลานานเทาใด จึงทําให
ความเร็วของใบพัดหมุน 420 รอบ/นาที จากเริม่ ตนอยูน ง่ิ (8.8 วินาที)
14. มูเ ลตวั หนึง่ มีโมเมนตความเฉือ่ ย 3 กิโลกรัม เมตร2 จงหาทอรกคงทีซ่ ง่ึ จะทําใหอตั รา
เร็วของมูเ ลเพิม่ จาก 2 รอบ/วินาทีเปน 5 รอบ/วินาทีใน 6 รอบ (33 N. m)
15. วงลอมีรศั มี 25 Cm หมุนโดยไมมแี รงเสียดทานดวยความเรงเชิงมุม 2.25 rad/s2 เมือ่ มีแรง
คงที่ 90 นิวตัน กระทําในแนวเสนสัมผัสกับวงลอ จงหาโมเมนตความเฉือ่ ยของวงลอ
1. 0.1 kg.m2 2. 1.0 kg.m2 3. 10.0 kg.m2 4. 40.0 kg.m2 (ขอ 3)
โมเมนตตมั เชิงมุม
16. ถาเหวี่ยงมวล 0.2 กิโลกรัม ดวยเชือกยาว 2 เมตร ใหเคลือ่ นทีเ่ ปนวงกลมในระนาบ
ระดับ ถาความเร็วเชิงมุมมีคา 10 เรเดียน/วินาที จงหาโมเมนตัมเชิงมุม ( 8 kg.m2 / s )
17. วัตถุมวล 0.2 กิโลกรัม ผูกติดกับปลายขางหนึ่งของเสนเชือกยาว 2 เมตร จับปลายอีกขาง
หนึง่ เหวีย่ งใหวตั ถุเคลือ่ นทีใ่ นแนววงกลม ในระนาบระดับดวยอัตราเร็วคงที่ 10 เมตร/วินาที
จงหาโมเมนตัมเชิงมุมของวัตถุน้ี ในหนวยกิโลกรัม.เมตร2 / วินาที (4)
67
พ์
•
II บทที่ 7 การเคลื่อนที่แบบหมุน
18. ชายคนหนึง่ ถือดัมเบลไวสองมือ ยืนบนเกาอีท้ ห่ี มุนไดอยางเสรีไมมแี รงเสียดทานและมี
แกนหมุนอยูใ นแนวดิง่ ขณะทีเ่ ขากางมือออก โมเมนตความเฉือ่ ยของชายคนนัน้ และเกาอีเ้ ทา
กับ 2.25 กิโลกรัม.เมตร2 ความเร็วเชิงมุมเริม่ ตนในการหมุน 5 เรเดียน/วินาที เมือ่ เขาหุบ
แขนทัง้ สองเขาหาตัว โมเมนตความเฉือ่ ยรวมเทากับ 1.80 กิโลกรัม.เมตร2 อัตราเร็วเชิงมุม
ในการหมุนขณะหุบแขนมีคา เทาใด (6.25 rad/s)
19. วัตถุกอ นหนึง่ มีมวล 50 กรัม ผูกเชือกเขาไปในหลอดเล็กๆ ซึ่งไมมีความเสียดทานอีกปลาย
หนึ่งผูกกับมวล m เอามือจับหลอดแลวเหวีย่ งใหมวล 50 กรัม เคลือ่ นทีเ่ ปนวงกลมตาม
แนวระดับดวยความเร็วเชิงมุม 3 เรเดียน/วินาที รัศมีของวงกลมเปน 20 เซนติเมตร แลว
เพิม่ มวล m ทีห่ อ ยเพือ่ ใหรศั มีของวงกลมเปลีย่ นเปน 10 เซนติเมตรอยางฉับพลัน ถาคิดวา
มวล 50 กรัมเปนอนุภาคเล็กๆ จงหาวามวล 50 กรัม เคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็วเชิงมุมเทาใด
( 12 rad/s )
งาน และ พลังงานของการหมุน
20. เครือ่ งยนตขนาด 44 กิโลวัตต หมุนลอในอัตรา 4200 รอบ/นาที จงหาทอรกทีเ่ กิดจาก
เครือ่ งยนตในตอนนี้ ( 100 N.m )
21. แผนไมกลมมีรัศมี 1 เมตร มวล 4 กิโลกรัม และโมเมนตความเฉือ่ ย 1 กิโลกรัม.เมตร2
เคลือ่ นทีใ่ นแนวตรง โดยมีความเร็วของศูนยกลางมวล 4 เมตรตอวินาที จงหาพลังงานจลน
ของแผนไมน้ี เมือ่ วัตถุเคลือ่ นทีโ่ ดยหมุนกลิง้ รอบศูนยกลางมวล ( 40 J)
22. ทอทรงกระบอกกลวงกลิ้งไปตามพื้นระดับโดยไมไถล จงหาอัตราสวนระหวางพลังงาน
จลนของการหมุนตอพลังงานจลนของการเลือ่ นตําแหนง (I ทรงกระบอก = mr2 )
1. 12 2. 1 3. 2 4. 4 (ขอ 2)
68
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
วิธที าํ
69
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
3. จงตรวจดูวา ระบบอยูใ นภาวะ
สมดุลหรือไม
(สมดุล)
วิธที าํ
70
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
5. จากรูปมวล 2 กิโลกรัม ผูกเชือกแขวนเพดาน
ถูกแรงผลัก P ผลักไปทางขวา มีแรงดึงเชือก(T) T
45o
และ น้าํ หนักกระทําดังรูป จงหาวาขนาดของแรง P
ดึงเชือก(T) และแรงผลัก (P) (20 N , 10 2 N)
วิธที าํ
mg
71
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
8. ชายคนหนึ่งมวล 80 กิโลกรัม โหนเชือกเบาทีจ่ ดุ O โดยปลายของเชือกทั้งสองขางไปผูก
ไวแนนกับเสาที่ A และ B แรงตึงในเสนเชือก AO และ BO เปนเทาไร
1. 400 และ 400 3 นิวตัน
2. 400 3 และ 400 นิวตัน
3. 300 และ 300 3 นิวตัน
4. 300 3 และ 300 นิวตัน (ขอ 2)
วิธที าํ
72
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
11. วัตถุ M และ m สมดุลกันดังรูปอัตราสวน M/m คือ
( กําหนด sin37o= 53 ) (ขอ ข)
ก. 4/3 ข. 5/3 ค. 7/5 ง. 8/5
วิธที าํ
73
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
ตอนที่ 2 สมดุลตอการหมุน
สมดุลตอการหมุน คือ ภาวะที่วัตถุไมหมุน
หรือหมุนดวยความเร็วคงที่
โมเมนต คือ แรง x ระยะหางจากจุดหมุน
วัดมาตกตัง้ ฉากกับแรงนัน้
สมดุลตอการหมุนจะเกิดเมื่อ
θโมเมนตทวนเข็มนาฬิกา = θโมเมนตตามเข็มนาฬิกา
(10 N) x (3 m) = (10 N) x (3 m)
30 N⌡m = 30 N⌡m
14. ตามรูปเปนคานเบาอันหนึง่ ถามวา m
ควรมีคากี่กิโลกรัม จึงจะทําใหคานอยูใน
ภาวะสมดุล (2)
วิธที าํ
74
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
17. จากรูปเปนไมคานมีจุดหมุนอยูที่ระยะหางจากปลายขวา
2 เมตร มีชายคนหนึ่งมวล 60 กิโลกรัม ยืนอยูบ นคานนัน้
จงหาวาคานนี้ควรมีมวลกี่กิโลกรัมจึงจะอยูในภาวะสมดุล
8 ม. 2 ม.
วิธที าํ ( 40 กิโลกรัม )
75
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
20(En 41/2) รถยกคันหนึ่งมีมวล 2400 กิโลกรัม
มีศูนยกลางมวลของรถอยูที่ตําแหนงกึ่งกลาง
ระหวางลอหลังกับลอหนาซึ่งหางกัน 2.0 เมตร
ถารถพยายามยกวัตถุที่อยูหางจากตัวรถไปทาง
ดานหนา 10 เมตร มวลมากที่สุดที่รถสามารถ
ยกไดเปนกี่กิโลกรัม (240 กิโลกรัม )
วิธที าํ
76
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
23(En 43/1) ชายคนหนึ่งถือแผนไมขนาดสม่ําเสมอยาว 2 เมตร
น้าํ หนัก 100 นิวตัน ใหสมดุลตามแนวระดับ โดยมือขางหนึง่
ยกแผนไมขึ้นที่ตําแหนง 40 เซนติเมตร จากปลายใกลตัวและ
มืออีกขางหนึ่งกดแผนไมลงที่ปลายเดียวกันนั้นดังรูป จงหา
แรงกด และแรงยกจากมือทั้งสองตามลําดับที่ทําใหแผนไมอยูนิ่ง (150 และ 250 นิวตัน)
วิธที าํ
77
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
79
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
31(มช41) โดยการใชลอ และเพลาดังรูปเราสามารถยกวัตถุมวล 40 กิโลกรัม
โดยใชแรง 50 นิวตัน กระทําที่ขอบของลอรัศมีของลอ และเพลามีคา
เทากับ 96 และ 6 เซนติเมตร ตามลําดับ จงหาประสิทธิภาพของเครื่องกลนี้
1. 40% 2. 50% 3. 78% 4. 80% (ขอ 2)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 4 เสถียรภาพของสมดุล
เสถียรภาพของสมดุลมีได 3 แบบ ไดแก
1. สมดุลแบบเสถียร คือ สมดุลทีม่ รี ากฐานรองรับมัน่ คง
เมือ่ ถูกแรงกระทําเล็กนอย จะเปลี่ยนลักษณะการ
วางตัว แตเมือ่ แรงกระทํานัน้ หมดไปจะสามารถ
กลับคืนสูสภาพเดิมได
2. สมดุลแบบไมเสถียร คือ สมดุลทีม่ รี ากฐานออนแอ เมือ่
ถูกกระทบกระเทือน จะเปลี่ยนลักษณะการวาง
ตัว และจะไมสามารถกลับคืนสูสภาพเดิมได
80
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
3. สมดุลแบบสะเทิน คือ สมดุลซึ่งเมื่อถูกแรงมากระเทือน
จะเปลี่ยนตําแหนงที่อยู แตลักษณะการวางตัวยัง
คงเหมือนเดิม
34. สมดุลตอไปนี้เปนสมดุลแบบใด
1. เหรียญบาทตัง้ ตะแคง 2. ลูกแกววางบนพื้น 3. แทงปรามิดวางตัง้ บนพืน้
ตอบ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 5 โจทยประยุกตเกี่ยวกับสมดุล
35. กลองสี่เหลี่ยมกวาง 20 ซม. สูง 40 ซม. หนัก
20 ซม.
100 นิวตัน ถูกแรงกระทํา 40 นิวตัน ณ.จุดสูง
เทากับ h จงหาวาความสูง h มีคาเทาใด จึงจะ 40 N
ทําใหกลองนี้เริ่มลมพอดี ( ขอ 2.)
1. 20 ซม. 2. 25 ซม. h
3. 30 ซม. 4. 35 ซม.
วิธที าํ
37(En 43/2) กลองวัตถุรูปสี่เหลี่ยมมีมวลสม่ําเสมอฐานกวาง 0.2 เมตร สูง 0.5 เมตร มีนาํ้ หนัก
200 นิวตัน วางอยูบนพื้นที่ฝดมาก ถาออกแรง P กระทําตอวัตถุในแนวทํามุม 37o กับแนว
ระดับ ดังรูป จะตองออกแรงเทาใด
จึงจะทําใหวัตถุลมพอดี
1. 25 N 2. 50 N
3. 75 N 4. 100 N (ขอ 2)
วิธที าํ
82
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
39. บันไดสม่ําเสมอหนัก 200 นิวตัน ปลายบนพิงกําแพงเกลี้ยงตรงจุด
ซึ่งอยูสูงจากพื้น 4 เมตร โดยบันไดยันกับพื้นขรุขระหางจากกําแพง
3 เมตร จงหาแรงที่ยันปลายบันไดไมใหไถลลงมา ( 75 N )
วิธที าํ
83
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
41(มช 37) AB เปนทอนไมขนาดสม่ําเสมอยาว 4 เมตร หนัก 4 กิโลกรัม ปลาย A ถูกยึดไว
กับผนังอาคารดวยบานพับ ปลาย B ผูกดวยเสนลวดโลหะ BC ยาว 5 เมตร ทําให AB
อยูในแนวระดับและที่ปลาย B นีม้ วี ตั ถุหนัก 28
กิโลกรัม แขวนดังรูป จงหาแรงตึงลวด BC
(ให g = 10 เมตรตอวินาที2 )
1. 466.7 นิวตัน 2. 46.7 นิวตัน
3. 500 นิวตัน 4. 50 นิวตัน (ขอ 3)
วิธที าํ
84
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
ตอนที่ 6 สภาพยืดหยุนของของแข็ง
สภาพพลาสติก (plasticity) คือ สมบัติของวัตถุที่มีการเปลี่ยนรูปรางไปอยางถาวร โดยผิว
วัตถุไมฉกี ขาดหรือแตกหัก
สภาพยืดหยุน (elasticity) คือ สมบัติของวัตถุที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปรางเมื่อมีแรงกระทํา
และสามารถคืนตัวกลับสูสภาพเดิมเมื่อหยุดออกแรงกระทํา
พิจารณาตัวอยาง
85
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
ประเภทของความเคน ความเคนแบบตึง
ความเคนตามยาว (tensile stress)
ความเคน (longitudinal stress)
ความเคนแบบอัด
(stress)
ความเคนเฉือน (compressive stress)
(shear stress)
48(En 42/2) แขวนมวล 400 กิโลกรัม กับเสนลวดโลหะชนิดหนึง่ ยาว 10 เมตร มีพน้ื ทีห่ นาตัด
2 x 10–4 เมตร2 เสนลวดนี้จะยืดออกเปนเทาใด ถากําหนดใหคายังมอดูลัสของเสนนี้ เปน
2 x 1011 นิวตัน / เมตร2
1. 0.1 cm 2. 0.2 cm 3. 1.0 cm 4. 2.0 cm ( ขอ 1.)
วิธที าํ
87
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
51. เมือ่ แขวนวัตถุมวล 50 กิโลกรัม เขากับเสนลวด แลวแขวนกับเพดานพบวาลวดยืดออก
เปน 0.25 % ของความยาวเดิม ถาลวดมีพน้ื ทีห่ นาตัด 0.4 ตารางมิลลิเมตร จงหาคา
มอดูลสั ความยืดหยุน ของลวดเสนนี้
1. 2.5 x 108 นิวตัน / ตารางเมตร 2. 5.0 x 1010 นิวตัน / ตารางเมตร
3. 5.0 x 1011 นิวตัน / ตารางเมตร 3. 2.5 x 1012 นิวตัน / ตารางเมตร
วิธที าํ
88
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
53. ลวด 2 เสน ทําดวยวัสดุชนิดเดียวกัน ถาลวด A ยาวเปนครึง่ หนึง่ ของลวด B แตกลับมีรศั มี 2
เทาของลวด B ถาตองการดึงลวดทัง้ สองใหยดื ออกมา โดยใหความยาวทีย่ ดื ออกมามีขนาดเทากัน
แรงทีใ่ ชยดื ลวด A ตองมีขนาดเทาใด
1. 1/8 ของแรงทีใ่ ชยดื ลวด B 2. 2 เทาของแรงทีใ่ ชยดื ลวด B
3. 4 เทาของแรงทีใ่ ชยดื ลวด B 4. 8 เทาของแรงทีใ่ ชยดื ลวด B (ขอ 4)
วิธที าํ
54(En 44/1) ลวดเหล็กกลาสําหรับดึงลิฟทตวั หนึง่ มีพน้ื ทีห่ นาตัด 5 ตารางเซนติเมตร ตัวลิฟท และ
สัมภาระในลิฟทมนี าํ้ หนัก 2000 กิโลกรัม จงหาความเคน(stress) ในสายเคเบิล ในขณะทีล่ ฟิ ท
กําลังเคลือ่ นทีข่ น้ึ ดวยความเรงสูงสุด 2.0 เมตรตอ(วินาที)2 ( ขอ 2.)
1. 64x106 N/m2 2. 48x106 N/m2 3. 40x106 N/m2 4. 32x106 N/m2
วิธที าํ
55(มช 42) ลวดเหล็กสําหรับดึงลิฟตเครือ่ งหนึง่ มีขดี จํากัดสภาพยืดหยุน 2x108 N/m2 และมีพน้ื ที่
หนาตัด 0.9 Cm2 ถาลิฟตนม้ี คี วามสามารถเคลือ่ นทีข่ น้ึ ไปดวยความเรงสูงสุด 8 m/s2 มวลใน
หนวยของกิโลกรัมของตัวลิฟตและสัมภาระในลิฟตจะมีคา มากทีส่ ดุ เทาใด ( 1000 kg)
วิธที าํ
89
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
แบบฝ ก หั ด ฟ สิ ก ส บทที่ 8 สมดุ ล กล
สมดุลตอการเคลือ่ นที่
1. จากรูป จงหาแรงลัพธ 16 N (10 นิวตัน)
18 N
45o
10 2 N
2. จงตรวจดูวา ระบบในรูปนี้ อยุใน 10 N 10 N
ภาวะสมดุลหรือไม (สมดุล) 60o 60o
10 3 N
91
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
12. จงหาอัตราสวนของแรง T1 ตอ T2 เมือ่ ระบบอยูน ง่ิ
60o
1. 12 2. 23
T1 T2
3. 2 4. 23 (ขอ 1.)
3
w
13. วัตถุมวล 20 กิโลกรัม วางอยูบ นพืน้ เอียงลืน่ ซึง่ ทํามุม 30o กับแนวระดับ จงหาแรงนอย
ทีส่ ดุ ทีผ่ ลักวัตถุขน้ึ ตามแนวพืน้ เอียง ทีท่ าํ ใหวตั ถุอยูใ นสภาพสมดุลได (100 N)
สมดุลตอการหมุน
14. ตามรูปเปนคานเบาอันหนึง่ ถามวา m
ควรมีคา กีก่ โิ ลกรัม จึงจะทําใหคานอยูใ น
ภาวะสมดุล (2)
X Y
16. จากรูปคานเบามีกอ นน้าํ หนัก W1 และ W2 วางบนคานและคานวางตัวอยูใ นแนวระดับได
แสดงวา
1. W1 L1 = W2 L2 W1 O W2
2. W1 L2 = W2 L1 1
3. W1 / L1 = W2 / L2 L1 L2
4. W1 < W2 (ขอ 1.)
17. คานสม่าํ เสมอ AB ยาว 4 เมตร มีมวล 60
กิโลกรัม วางพาดอยูบ นเสา A และเสา C ซึ่ง
C
อยูห า งกัน 3 เมตร ชายคนหนึง่ มีมวล 75 กิ A B
โลกรัม เดินจาก A ไป B ดังรูป จงหาวาเขา
จะเดินไดไกลจาก A มากทีส่ ดุ เทาไร คานจึงคงสภาพสมดุลอยูไ ด
1. 3.2 เมตร 2. 3.4 เมตร 3. 3.6 เมตร 4. 3.8 เมตร (ขอ 4.)
92
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
แรงคูควบ , การไดเปรียบเชิงกล และ ประสิทธิภาพเชิงกล
18. แรง 2 แรง ขนานกันแตมที ศิ ตรงกันขามขนาด 100 นิวตันเทากัน แนวแรงทัง้ สองหางกัน
5 เซนติเมตร โมเมนตของแรงคูน ร้ี อบจุดใด ๆ ทีอ่ ยูร ะหวางแนวแรงทัง้ คูจ ะเปนเทาใด (5 Nm)
19. ชายคนหนึง่ ขับรถเลีย้ วซาย เกิดโมเมนตของแรงคูค วบทีพ่ วงมาลัย 100 นิวตัน–เมตร
ถาพวงมาลัยมีเสนผาศูนยกลาง 0.5 เมตร จงหาแรงทีม่ อื แตละขางดึงพวงมาลัย (200 N)
20. กวานตัวหนึง่ มีแขนหมุนยาว 100 เซนติเมตร และ รัศมีกวาน 10 เซนติเมตร ถาไมมแี รง
เสียดทาน การไดเปรียบเชิงกลจะเปนเทาใด (10 เทา)
21. จากขอทีผ่ า นมา ถาออกแรง 50 นิวตัน ยกน้าํ หนักไดจริง 200 นิวตัน การไดเปรียบ
เชิงกลครัง้ หลังนีเ้ ปนเทาใด (4 เทา)
22. จากขอทีผ่ า นมา ประสิทธิภาพเชิงกลเปนเทาใด (40%)
23. เมื่อออกแรง 10 นิวตัน กดทีป่ ลายดามคีมอันหนึง่ จะเกิดแรงกดวัตถุที่ปลายคีมเทาไร ถาปาก
คีมยาว 2 เซนติเมตร ดามคีมยาว 10 เซนติเมตร และคีมมีประสิทธิภาพ 80% (40 N)
โจทยประยุกตเกี่ยวกับภาวะสมดุล
25. กลองสีเ่ หลีย่ มกวาง 1 เมตร สูง 2 เมตร หนัก 10 กิโลกรัม ออกแรงผลักในแนวขนาน
กับพืน้ ขนาด 30 นิวตัน สูงจากพืน้ เทาไรกลองจึงจะเริม่ ลม
1. 1.0 เมตร 2. 1.2 เมตร 3. 1.5 เมตร 4. 1.7 เมตร ( ขอ 4.)
93
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
27. บันไดสม่าํ เสมอหนัก 200 นิวตัน ปลายบนพิงกําแพงเกลีย้ งตรงจุดซึง่ อยูส งู จากพืน้ 4 เมตร
โดยบันไดยันกับพืน้ ขรุขระหางจากกําแพง 3 เมตร
ก. จงหาแรงทีย่ นั ปลายบันไดวาไมใหไถลลงมา (75 N )
ข . ถามีวตั ถุหนัก 100 นิวตัน วางอยูป ลายบันไดดานลาง
หางขึน้ มา 14 ของความยาวของบันได จงหาแรงเสียด
ทานทีพ่ น้ื ราบ ( 84.38 N)
28. บันไดยาว 2.5 เมตร มีนาํ้ หนัก 40 นิวตัน ศูนยถว งของ A
บันไดอยูห า งจากปลายลาง 1.0 เมตร จงหาแรงเสียดทาน
ระหวางพืน้ ลางกับบันไดและแรงทีบ่ นั ไดกระทําตอกําแพง
ทีจ่ ดุ A เพือ่ ทําใหบนั ไดอยูน ง่ิ ได (12 N , 12 N)
53o B
95
บทที่ 8 สภาพสมดุล และ สภาพยืดหยุน
38. ลวดเหล็กและลวดทองเหลืองยาวเทากัน มีพน้ื ทีห่ นาตัดเปน 0.10 และ 0.15 ตารางเซนติ-
เมตร เมือ่ ดึงลวดทัง้ สองดวยแรงเทากัน ลวดจะยึดออก 0.25 และ 0.20 เซนติเมตร ตาม
ลําดับ จงหาอัตราสวนยังมอดูลสั ของลวดเหล็กและลวดทองเหลือง
1. 3 : 4 2. 4 : 3 3. 5 : 6 4. 6 : 5 ( ขอ 4.)
39. ลวดโลหะตางชนิดกัน 2 เสน ยาวเทากัน มีพน้ื ทีห่ นาตัดเทากัน อัตราสวนมอดูลสั ของยัง
ของลวดเสนที่ 1 ตอลวดเสนทีส่ อง เปน 4 : 5 มีแรงกระทําตอลวดเสนทีห่ นึง่ ตอเสนทีส่ อง
5 : 4 จงหาอัตราสวนของระยะยืดของลวดเสนทีห่ นึง่ ตอลวดเสนที่ 2
1. 1 : 1 2. 5 : 4 3. 16 : 25 4. 25 : 16 ( ขอ 3.)
40. ลวดเหล็กดึงลิฟตมคี วามเคนทีข่ ดี จํากัดความยืดหยุน เทากับ 2 x 108 นิวตัน/ตารางเมตร
และมีพน้ื ทีห่ นาตัด 1.77 x 10–4 ตารางเมตร ถาลิฟตและสัมภาวะมีมวล 2000 กิโลกรัม
ลิฟตนจ้ี ะสามารถเคลือ่ นทีข่ น้ึ ดวยความเรงสูงสุดเทาใด ลวดจึงจะไมยดื เกินขีดจํากัด
1. 7.7 m/s2 2. 6.3 m/s2 3. 5.0 m/s2 4. 4.3 m/s2 ( ขอ 1.)
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
96
III บทที่ 9 ของไหล
ฟ สิ ก ส บทที่ 9 ของไหล
ตอนที่ 1 ความหนาแนน
ความหนาแนน ( density ) คือ อัตราสวนระหวางมวลตอปริมาตรของสาร
เขียนเปนสมการจะได ∠ = mV
เมือ่ ∠ คือ ความหนาแนน ( kg / m3)
m คือ มวลของสาร (kg)
V คือ ปริมาตรของสาร (m3)
1. นักสํารวจเดินทางดวยบอลลูนบรรจุแกส กอนออกเดินทางเขาบรรจุแกสฮีเลียมทีม่ ี
ปริมาตร 400 ลูกบาศกเมตร และมวล 65 กิโลกรัม ขณะนัน้ แกสฮีเลียมในบอลลูนมีความ
หนาแนนเทาใด ( 0.16 kg/m3 )
วิธที าํ
การหาคาความดันที่กดกนภาชนะ อาจใชสมการ
P=≥gh
เมือ่ P = ความดัน (N/m2) ∠ = ความหนาแนนของของเหลว (kg/m3)
g = 10 m/s2 h = ความลึกวัดจากผิวของเหลวถึงกนภาชนะ (m)
โปรดสังเกตวา สําหรับของเหลวชนิดหนึง่ ๆ ความหนาแนน (∠) จะคงที่ และ g ก็คงที่
ดังนัน้ ความดัน (P) จึงแปรผันตรงกับความลึก ( h ) อยางเดียว ดังนัน้ หากความลึกเทา
กัน ความดันยอมเทากันอยางแนนอน
พิจารณาตัวอยาง ภาชนะทัง้ 3 หากบรรจุ
ของเหลวชนิดเดียวกันสูงเทากัน ความดันทีก่ ด
ภาชนะทัง้ 3 ใบ จะเทากัน เพราะความดันจะ
ขึน้ กับความลึก (h) อยางเดียวไมเกีย่ วกับรูปรางภาชนะ
3
•
III บทที่ 9 ของไหล
1. ความดันทีก่ น ภาชนะทัง้ สามใบมีคา เทากัน แตนาํ้ หนักของน้าํ ในภาชนะแตละ
ใบมีคา ไมเทากัน
2. ความดันทีก่ น ภาชนะทัง้ สามใบมีคา ไมเทากัน แตนาํ้ หนักของน้าํ ในภาชนะแตละ
ใบมีคา เทากัน
3. ความดันทีก่ น ภาชนะและน้าํ หนักของน้าํ ในภาชนะแตละใบมีคา ไมเทากัน
4. ความดันทีก่ น ภาชนะและน้าํ หนักของน้าํ ในภาชนะแตละใบมีคา เทากัน
วิธที าํ
4
III บทที่ 9 ของไหล
11. น้าํ ทะเลมีความหนาแนน 1.03x103 kg/m3 และความดันบรรยากาศทีร่ ะดับน้าํ ทะเลเปน
1x105 N/m3 จงหาความดันสมบูรณทใ่ี ตทะเลลึก 100 m (11.3x105 N/m3)
วิธที าํ
12. เรือดําน้าํ ลําหนึง่ อยูท ร่ี ะดับลึก 100 เมตร จงหาความดันเกจและความดันสมบูรณทต่ี วั เรือ
ดําน้าํ ถาน้าํ ทะเลมีความหนาแนน 1.024x103 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร และ ความดัน
บรรยากาศทีร่ ะดับน้าํ ทะเลเทากับ 1.013x105 พาสคัล ( 1.024x106 Pa , 1.13x106 Pa )
วิธที าํ
14. ชายคนหนึง่ สามารถดําในน้าํ จืดไดลกึ ทีส่ ดุ 20 เมตร ถาเขาไปดําในน้าํ ทะเล ซึง่ มีความหนา
แนน 1.025x103 กิโลกรัม / ลูกบาศกเมตร เขาจะดําไดลกึ ทีส่ ดุ เทาไร (19.51 เมตร)
วิธที าํ
5
ฮฺ
III บทที่ 9 ของไหล
15(มช 41) น้าํ และน้าํ มัน ชนิดหนึง่ บรรจุในหลอดแกว
รูปตัวยู โดยน้าํ อยูใ นหลอดแกวทางขวาและน้าํ มัน
อยูใ นภาวะสมดุลระดับน้าํ และน้าํ มันดังแสดงในรูป
จงหาความหนาแนนน้าํ มันชนิดนีเ้ ปนกิโลกรัม/เมตร3
1. 925 2. 725
3. 875 4. 675 (ขอ 3)
วิธที าํ
6
ลฺ
อ
III บทที่ 9 ของไหล
18. ของเหลว 3 ชนิด อยูใ นสภาวะสมดุลในหลอด
แกวรูปตัวยูดงั รูป ความหนาแนนของของเหลว
ชนิดทีห่ นึง่ และ ชนิดทีส่ องมีคา 4.0x103 และ 3 1
10 ซม.
3.0x103 kg/m3 ตามลําดับ ความหนาแนนของ
ของเหลวชนิดทีส่ ามมีคา กี่ kg/m3 (ขอ 1) 6 ซม. 2 12 ซม.
1. 1.4 x 103 2. 1.6 x 103
3. 2.4 x 103 4. 2.8 x 103 4 ซม.
วิธที าํ
7
←
III บทที่ 9 ของไหล
20. ขาขางหนึง่ ของแมนอมิเตอรทม่ี ปี รอทบรรจุ
อยู ถูกตอเขากับถังสีเ่ หลีย่ มทีบ่ รรจุแกสชนิด
หนึง่ ปรากฏวาระดับปรอทในขาทัง้ สองขาง
สูง 5 เซนติเมตร และ 15 เซนติเมตร ดังรูป
ถาความดันของอากาศขณะนัน้ เทากับ 105 Pa
แกสในถังมีความดันเทาใด ( 1.13x105 Pa )
ให ความหนาแนนปรอท = 13.6x103 kg/m3
g = 9.8 m/s2
วิธที าํ
ปรอทจนเต็มแลวคว่าํ ลงในอางปรอทโดยไมใหอา-
กาศเขาในหลอด ระดับปรอทในหลอดจะลดต่าํ ลง
มา ปลายบนของหลอดจะเกิดเปนสุญญากาศ และความดันของลําปรอทในหลอดจะมีคา เทากับ
ความดันบรรยากาศภายนอกพอดี
8
⇐
III บทที่ 9 ของไหล
ทีร่ ะดับน้าํ ทะเล ความดัน 1 บรรยากาศ จะเทากับความดันปรอทซึง่ สูง 760 มิลลิเมตร
นัน่ คือ ความดันบรรยากาศ = ความดันปรอทสูง 760 มิลลิเมตร (0.76 เมตร)
= ∠gh
= ( 13.6x103) (9.8) ( 0.76 )
ดังนั้น ความดัน 1 บรรยากาศ (atm) = 1.01 x 105 นิวตัน/ตารางเมตร (760 mm–ปรอท)
21. จงอธิบายการทํางานของหลอดฉีดยาขณะดูดของเหลวเขาไปในหลอด
ตอบ
9
III บทที่ 9 ของไหล
24. กลองสีเ่ หลีย่ มลูกบาศกยาวดานละ 40 เซนติเมตร
ฝาดานบนปดสนิทบรรจุนาํ้ เต็ม จงหา
ก. แรงดันของน้าํ ทีก่ ระทําตอกนกลองใบนี้ (640 N)
ข. แรงดันของน้าํ ทีก่ ระทําตอฝากลองขางซาย (320 N)
วิธที าํ
27. แรงทีน่ าํ้ กระทําตอประตูกน้ั น้าํ ประตูกน้ั น้าํ แหงหนึง่ กวาง L สูง H เมือ่ ระดับสูงสุดแรง
ทีน่ าํ้ กระทําตอประตูกน้ั น้าํ เปนเทาใด ( P0LH + 12 ″gLH2 )
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 3 กฎของปาสคาล
กฎของปาสคาล
กลาววา “ ถามีของไหล (ของเหลวหรือกาซ) บรรจุ
อยูใ นภาชนะทีอ่ ยูน ง่ิ เมือ่ ใหความดันเพิม่ เขาไปแกของ
ไหล ณ ตําแหนงใดๆ ความดันทีเ่ พิม่ ขึน้ จะถายทอดไป
ทุกๆ จุดในของเหลวนัน้ ”
ปจจุบนั เราใชกฏของปาสคาลมาสรางเปนเครือ่ งผอน
แรงชนิดหนึง่ คือ เครือ่ งอัดไฮโดรลิก ( เชน แมแรงยกรถ ) ซึง่ มีองคประกอบหลักดังรูป
สมการคํานวณเกีย่ วกับเครือ่ งอัดไฮโดรลิก คือ
W = Fa
A
เมือ่ W = น้าํ หนักทีย่ กได (N)
F = แรงทีใ่ ชกด (N)
A = พืน้ ทีห่ นาตัดกระบอกสูบใหญ
a = พืน้ ทีห่ นาตัดกระบอกสูบเล็ก
11
III บทที่ 9 ของไหล
การไดเปรียบเชิงกลทางปฏิบตั ิ (M.A.ปฏิบตั )ิ = W
F
การไดเปรียบเชิงกลทางทฤษฎี (M.A.ทฤษฎี) = a A
ปกติแลวในทางปฏิบตั ิ M.Aปฏิบตั ิ จะนอยกวา M.Aทฤษฎี เสมอ
M.A.
ประสิทธิภาพเชิงกล (Eff) = M.A.ปฎิบัติ x 100% = W /F
A / a x 100%
ทฤษฎี
28. เครือ่ งอัดไฮดรอริกเครือ่ งหนึง่ ลูกสูบเล็กมีพน้ื ทีห่ นาตัด 10 cm2 ลูกสูบใหญมพี น้ื ทีห่ นา
ตัด 80 cm2 ถาออกแรงทีล่ กู สูบเล็ก 20 N จะเกิดแรงยกทีล่ กู สูบใหญเทาใด ( 160 N )
วิธที าํ
29. เครือ่ งอัดไฮดรอริกเครือ่ งหนึง่ ลูกสูบเล็กมีพน้ื ทีห่ นาตัด 3 cm2 ลูกสูบใหญมพี น้ื ทีห่ นาตัด
24 cm2 ถาออกแรงทีล่ กู สูบเล็ก 10 N จะเกิดแรงยกทีล่ กู สูบใหญเทาใด และการไดเปรียบ
เชิงกลเปนกีเ่ ทา (80 N, 8 เทา)
วิธที าํ
30(มช 42) เครือ่ งอัดไฮดรอลิกเครือ่ งหนึง่ ลูกสูบใหญ มีรศั มี 0.5 เมตร และลูกสูบเล็กมีรัศมี
0.05 เมตร ถาออกแรงกดลูกสูบเล็ก 100 นิวตัน จะยกวัตถุมวลเทาไรได
1. 1,000 กิโลกรัม 2. 1,000 นิวตัน
3. 10,000 กิโลกรัม 4. 100,000 นิวตัน (ขอ 1)
วิธที าํ
32. เครือ่ งอัดไฮโดรลิกหนึง่ ใชนาํ้ มันทีม่ คี วามหนาแนน 800 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร พืน้ ที่
ของลูกสูบใหญและลูกสูบเล็กมีคา 0.1 และ 0.02 ตารางเมตรตามลําดับ ระดับน้าํ มันในลูก
สูบใหญอยูสูงกวาน้ํามันในลูกสูบเล็ก 20 เซนติเมตร หากตองการยกรถยนตหนัก 2000
กิโลกรัม จะตองแรงทีก่ ดบนลูกสูบเล็กกีน่ วิ ตัน (4032)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
14
ลฺ
เ
III บทที่ 9 ของไหล
หลักของอารคมี ดิ สิ
“ แรงลอยตัวจะมีคา เทากับ น้าํ หนักของของเหลว
ซึง่ มีปริมาตรเทากับปริมาตรของวัตถุสว นจม ”
พิจารณา แรงลอยตัว = น้าํ หนักของของเหลว
FB = m g ของเหลว และ m = ″v
FB = ″ของเหลว v ของเหลว g และ vของเหลว = v วัตถุสว นจม
FB = ″ของเหลว v วัตถุสว นจม g
เมือ่ FB = แรงลอยตัว
″ = ความหนาแนน [kg/m3]
v = ปริมาตร [m3]
34. ปลอยวัตถุทรงกลมมวล 10 กรัม ทีม่ ปี ริมาตร 5 ลูกบาศกเซนติเมตร ลงไปในน้ํา ขณะที่
จมลงไปไดระยะหนึง่ จะมีการเคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็วคงที่ แรงลอยตัวจะมีคา กีน่ วิ ตัน
1. 5.0x10–2 2. 2.5x10–3 3. 2.0x10–4 4. 1.5x10–5 (ขอ 1)
วิธที าํ
35. วัตถุชน้ิ หนึง่ มีมวล 2 กิโลกรัม เมือ่ นําไปลอยในน้าํ ซึง่ มีความหนาแนน 1x 103 kg/m3
จงหาปริมาตรของวัตถุสว นจมใตนาํ้ ( 0.002 m3)
วิธที าํ
36. วัตถุชน้ิ หนึง่ มีปริมาตร 10 cm3 ความหนาแนน 0.8 x 103 kg/m3 เมือ่ นําวัตถุนไ้ี ปลอย
ในน้าํ ซึง่ มีความหนาแนน 1x103 kg/m3 จงหาปริมาตรของวัตถุสว นจมใตนาํ้ ( 8 Cm3)
วิธที าํ
15
•
III บทที่ 9 ของไหล
37. วัตถุชน้ิ หนึง่ มีปริมาตร 20 cm3 ความหนาแนน 900 kg/m3 เมือ่ นําวัตถุนไ้ี ปลอยในน้าํ ซึง่
มีความหนาแนน 1000 kg/m3 จงหาปริมาตรของวัตถุสว นจมใตนาํ้ ( 18 Cm3)
วิธที าํ
16
•
III บทที่ 9 ของไหล
40. ถาวัตถุเปนน้าํ แข็งและของเหลวเปนน้าํ ทีม่ คี วามหนาแนน 917 และ 1000 kg/m3 ตาม
ลําดับ ปริมาตรสวนทีจ่ มและลอยคิดเปนรอยละเทาใด ( 91.7 , 8.3)
วิธที าํ
42. เมือ่ ชัง่ วัตถุกอ นหนึง่ ในอากาศวัดได 50 N แตเมือ่ นําวัตถุไปชัง่ ในน้าํ จะไดหนัก 40 N วัตถุ
นีม้ คี วามหนาแนนเทาใด (กําหนดใหนาํ้ มีความหนาแนน 103 kg/m3) (5x103 kg/m3)
วิธที าํ
17
£
III บทที่ 9 ของไหล
43. เมือ่ ชัง่ มงกุฎในอากาศอานน้าํ หนักได 8.5 นิวตัน เมือ่ นําไปชัง่ ในน้าํ อานน้าํ หนักได
7.7 นิวตัน มงกุฎนีท้ าํ ดวยทองคําบริสทุ ธิห์ รือไม
( ถาเปนทองคําบริสทุ ธิ จะมีความหนาแนน 19.3x103 kg/m3 ) (ไม)
วิธที าํ
44. ในการใชเครือ่ งชัง่ สปริงชัง่ วัตถุ เหตุใดในขณะทีช่ ง่ั วัตถุขณะอยูใ นของเหลว เครือ่ งชัง่ จึง
อานคาไดนอ ยกวาเมือ่ ชัง่ วัตถุนน้ั ในอากาศ
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
18
III บทที่ 9 ของไหล
ตอนที่ 5 แรงตึงผิว และแรงหนืด
แรงตึงผิว คือ แรงซึง่ พยายามจะยึดผิวของของเหลวเอาไว มิใหผวิ ของเหลวแยกออกจากกัน
สมบัตขิ องแรงตึงผิว
1) มีทศิ ขนานกับผิวของของเหลว
2) มีทศิ ตัง้ ฉากกับผิวสัมผัส
วิธกี ารหาคาแรงตึงผิว ใหนาํ หวงลวดวงกลมเบา ไปวางแปะทีผ่ วิ ของเหลวนัน้ แลวคอยๆ
ออกแรงยกทีละนอย แรงซึง่ พอดียกหวงลวดออกมาไดจะเทากับแรงตึงผิว
ความตึงผิว คือ อัตราสวนระหวางแรงตึงผิวตอระยะทีว่ ตั ถุสมั ผัสของเหลว
นัน่ คือ ♣ = LF
เมือ่ ♣ คือ ความตึงผิว(N/m) F คือ แรงตึงผิว (N) L คือ ระยะทีว่ ตั ถุสมั ผัสของเหลว (m)
47. เอาหวงลวดรัศมี 3.5 เซนติเมตร จุม ลงในน้าํ เมือ่ ดึงขึน้ มา
ตองออกแรงเอาชนะแรงตึงผิวเทาใด ( ไมคดิ น้าํ หนักของหวง)
กําหนด น้าํ มีความตึงผิว 7 x 10–2 N/m (0.0308 N)
วิธที าํ
19
สึ
III บทที่ 9 ของไหล
การโคงของผิวของเหลว
หากเรานําหลอดแกวเล็กๆ จุม ลงในของเหลว ผลทีเ่ กิดขึน้ อาจเปนไปได 2 กรณี คือ
1. ถาแรงยึดติดระหวางโมเลกุลของเหลวกับโมเล
กุลของผนังแกว มีคา มากกวาแรงเชือ่ มแนนระ
หวางโมเลกุลของของเหลวดวยกันเอง กรณีน้ี
ผิวของเหลวจะซึมขึน้ ไปในหลอดแกวไดสงู กวา
ระดับของเหลวปกติ และผิวของเหลวในหลอด
แกวจะมีลักษณะเวาลง และผนังแกวจะเปยก
เชน จุม หลอดแกวลงในน้าํ จะเกิดกรณีน้ี
2. ถาแรงเชือ่ มแนนระหวางโมเลกุลของของเหลว
ดวยกันเองมีคา มากกวาแรงยึดติดระหวางโมเล
กุลของเหลวกับผนังแกว กรณีนผ้ี วิ ของเหลวใน
หลอดจะมีลกั ษณะโคงขึน้ และอยูต าํ่ กวาระดับ
ของแลวปกติ และผนังแกวจะไมเปยก เชน จุม
หลอดแกวลงในปรอท จะเกิดกรณีน้ี
ปรากฏการณทร่ี ะดับของเหลวในหลอดสูงกวา หรือต่าํ กวาระดับของเหลวภายนอกหลอด
เชนนี้ เรียกวา การซึมตามรูเล็ก ( capillary action )
49. ในทอสงน้าํ ของลําตนพืช สามารถสงน้าํ จากพืน้ ดินขึน้ ไปสูด า นบนลําตนได แสดงวา
แรงยึดติดกับแรงเชือ่ มแนน แรงไหนมีคา มากกวากัน ตอบ ................................................
แรงหนืด (viscous force) คือ แรงตานทานการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุภายในของเหลวนัน้
ความหนืด (viscosity) คือ สมบัตกิ ารมีแรงตานการเคลือ่ นทีข่ องของเหลว (แรงหนืด) นัน้
นาสนใจเกีย่ วกับความหนืดของของเหลว
1) ของเหลวทีม่ คี วามหนืดนอยจะไหลไดเร็วกวา ของเหลวทีม่ คี วามหนืดมาก
2) ของเหลวทีม่ คี วามหนืดมากจะมีแรงตานการคนมากกวาของเหลวทีม่ คี วามหนืดนอย
3) หากนําวัตถุเล็ก ๆ หยอนลงในของเหลว ในของเหลวทีม่ คี วามหนืดมากกวาวัตถุจะ
เคลือ่ นทีไ่ ดชา กวาการเคลือ่ นทีใ่ นของเหลวทีม่ คี วามหนืดนอย
4) ปกติแลว เมือ่ อุณหภูมสิ งู ขึน้ ความหนืดของของเหลวจะลดลง
20
สฺ
III บทที่ 9 ของไหล
50. ลูกกลมโลหะทีล่ กั ษณะเหมือนกันตกในของเหลวทีม่ คี วามหนืดตางกัน ความเร็วปลายของ
ลูกกลมโลหะทัง้ สองจะตางกันหรือไม
ตอบ
51. ลูกลมเหล็กทีม่ ขี นาดเทากันสองลูก ถูกปลอยพรอมกันลงในหลอดบรรจุนาํ้ ทีม่ อี ณ
ุ หภูมิ
10 และ 20 องศาเซลเซียส ลูกกลมเหล็กในหลอดใดถึงกนหลอดกอน
ตอบ
การทดลองหยอดลูกเหล็กกลมลงในของเหลว
ชวงแรก แรงหนืด + แรงลอยตัว < mg
ดังนัน้ mg – (แรงหนืด + แรงลอยตัว) # 0
จาก θF = ma เมือ่ มีแรงลัพธทไ่ี มเปน
ศูนย จึงมีความเรงเกิดขึน้
ชวงหลัง วัตถุเคลือ่ นเร็วขึน้ แรงหนืดจะมากขึน้
และสุดทาย แรงหนืด + แรงลอยตัว = mg
ดังนัน้ mg – (แรงหนืด + แรงลอยตัว) = 0
จาก θF = ma เมือ่ มีแรงลัพธเปนศูนย ความเรงจึงเปนศูนยดว ย
52(En 40) เมือ่ หยอนลูกโลหะทรงกลมเล็กๆ ลงในทรงกระบอก
ที่ทําดวยแกว โดยมีนาํ้ มันบรรจุอยู ถาระยะ ab = bc = cd
การเคลือ่ นทีข่ องลูกโลหะเปนไปตามขอใด
1. ชวง a ถึง b มีความเรง ตอจากนั้นจะมีความเร็วคงตัว
2. ชวง a ถึง b มีความหนวงตอจากนั้นจะมีความเร็วคงตัว
3. จาก a ถึง b มีความเรงคงตัวตลอด
4. จาก a ถึง d มีความเรงคงตัวตลอด (ขอ 1)
วิธที าํ
22
สึ
←
III บทที่ 9 ของไหล
55. ลูกกลมเหล็กรัศมี 1 มิลลิเมตร ตกในน้าํ เชือ่ ม ความเร็วสุดทายของลูกกลมเหล็กมีคา เทาใด
กําหนดใหลกู กลมเหล็กและน้าํ เชือ่ มมีความหนาแนน 7800 และ 1600 กิโลกรัมตอ
ลูกบาศกเมตร ตามลําดับ และน้าํ เชือ่ มมีความหนืด 100 มิลลิพาสคัล วินาที (0.138 m/s )
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 6 พลศาสตรของไหล
สมบัตขิ องของไหล (ของเหลว, กาซ) ในอุดมคติ
1) ของไหลมีอตั ราการไหลอยางสม่าํ เสมอ หมายถึง ความเร็วของทุก ๆ อนุภาค
ณ ตําแหนงหนึง่ มีคา เทากัน
2) ของไหลมีการไหลโดยไมหมุน
3) ของไหลมีการไหลโดยไมมแี รงตานเนือ่ งจากความหนืดของของไหล
4) ของไหลไมสามารถอัดได มีปริมาตรคงที่ ไมวา ไหลผานบริเวณใด ยังคงมีความหนา
แนนเทาเดิม
อัตราการไหล
“ ผลคูณระหวางพืน้ ทีห่ นาตัดซึง่ ของเหลวไหลผานกับอัตราเร็วของไหลทีผ่ า น ไมวา จะ
เปนตําแหนงใดในหลอดการไหลมีคา คงที่ ” คาคงทีน่ เ้ี รียก อัตราการไหล ( Q )
นัน่ คือ Q = A v หรือ Q = Vt
เมือ่ Q คือ อัตราการไหล (m3 / s) A คือ พืน้ ทีห่ นาตัด (m2)
v คือ อัตราเร็ว ( m/s ) V คือ ปริมาตรของเหลว (m3 )
t คือ เวลา ( วินาที )
23
•
III บทที่ 9 ของไหล
และเนือ่ งจาก อัตราการไหล ( Q ) มีคาคงที่
ดังนัน้ Q1 = Q 2
และ A1 v1 = A2 v2
เมือ่ A1 , A2 คือ พืน้ ทีห่ นาตัดจุดที่ 1 และจุดที่ 2 ตามลําดับ
v1 , v2 คือ ความเร็วของไหล ณ จุดที่ 1 และจุดที่ 2 ตามลําดับ
57. เครือ่ งสูบน้าํ เครือ่ งหนึง่ สามารถสูบน้ําได 0.01 m3 ในเวลา 10 วินาที แลวพนออกไป
ทางทอซึง่ มีพน้ื ทีห่ นาตัด 1 ตารางเซนติเมตร จงหาความเร็วของน้าํ ทีพ่ น ออกไป (10 m/s)
วิธที าํ
24
•
III บทที่ 9 ของไหล
หลักของแบรนลู ลี
กลาววา “ เมือ่ ของไหลเคลือ่ นทีใ่ นแนวระดับ หากอัตราเร็วมีคา เพิม่ ขึน้ ความดันใน
ของเหลวจะลดลงและเมือ่ อัตราเร็วลดลง
ความดันในของเหลวจะเพิม่ ขึน้ ”
สมการของแบรนลู ลี
เนือ่ งจาก “ ผลรวมความดัน พลังงานจลน
ตอปริมาตร และ พลังงานศักยตอ ปริมาตร ทุกๆ
จุดภายในทอทีข่ องไหล ไหลผานจะมีคา คงที่ ”
นัน่ คือ P + 12 ″v2 + ″gh = คาคงที่
และ P1 + 12 ≥ v12 + ″gh1 = P2 + 12 ≥ v 22 + ″gh2
เมือ่ P1 , P2 คือ ความดันของเหลวในทอ ณ. จุดที่ 1 และ จุดที่ 2 ตามลําดับ (N/m2)
v1 , v2 คือ อัตราเร็วของไหล ณ.จุดที่ 1 และ จุดที่ 2 ตามลําดับ (m/s)
h1 , h2 คือ ความสูงจากพืน้ ถึงจุดศูนยกลางทอที่ 1 และ จุดที่ 2 ตามลําดับ (m)
″ คือ ความหนาแนนของของเหลว (kg / m3)
59. จงอธิบายวาแรงทีย่ กปกเครือ่ งบินขึน้ ไดนน้ั เกิดไดอยางไร
ตอบ
25
อ
III บทที่ 9 ของไหล
61. ทอน้าํ ทีไ่ มสม่าํ เสมอทอหนึง่ ทอตอนบนมีพน้ื ทีห่ นาตัด 4.0 ตารางเซนติเมตร และอยูสูง
จากพื้น 10 เมตร ถาน้าํ ในทอมีความดัน 1.5 x 105 พาสคัล และไหลดวยอัตราเร็ว 2 เมตร
ตอวินาที ไปยังทอตอนลางซึง่ มีพน้ื ทีห่ นาตัด 8 ตารางเซนติเมตร และอยูสูงจากพื้น 1 เมตร
จงหา ก. อัตราเร็วของน้าํ ในทอตอนลาง ( 1 m/s )
ข. ความดันของน้าํ ในทอตอนลาง ( 2.415x105 พาสคัล )
วิธที าํ
26
อ
III บทที่ 9 ของไหล
63. ในการออกแบบเครือ่ งบินใหมแี รงยก 900 นิวตัน/ตารางเมตรของพืน้ ทีป่ ก โดยถือวาลม
ทีผ่ า นปกเครือ่ งบินแบบสม่าํ เสมอ ถาลมทีผ่ า นใตปก มีความเร็ว 100 เมตร/วินาที จงหา
ความเร็วลมเหนือปกเพือ่ ใหไดแรงยกขึน้ ตามตองการทีก่ าํ หนดใหอากาศมีความหนาแนน
1.3 กิโลกรัม/เมตร3 (106.7 m/s)
วิธที าํ
27
ห
III บทที่ 9 ของไหล
แบบฝกหัด ฟสกิ ส บทที่ 9 ของไหล
ความหนาแนนและความถวงจําเพาะ
1. โลหะรูปลูกบาศกมีความยาวดานละ 2 เซนติเมตร จะมีมวลเทากับกอนทองปริมาตร 2 ลูก–
บาศกเซนติเมตร ถาทองมีความหนาแนน 19.4 กรัม / ลูกบาศกเซนติเมตร จงหาวาโลหะมี
ความหนาแนนเทาไร (4.85 x 103 kg/m3)
2. เหล็กมีความถวงจําเพาะ 7.6 ความหนาแนนของเหล็กมีคา เทาไร และเหล็กหนัก 15.2 นิวตัน
จะมีปริมาตรเทาไร (7.6 x 103 kg/m3 , 2 x 10–4 m3)
แรงดันและความดันของของเหลว
3. น้าํ ทะเลมีความหนาแนน 1.03x103 kg/m3 และความดันบรรยากาศทีร่ ะดับน้าํ ทะเลเปน
1x105 N/m3 จงหาความดันสมบูรณทใ่ี ตทะเลลึก 10 m (2.03x105 N/m3)
4. เรือดําน้าํ ลําหนึง่ อยูท ร่ี ะดับลึก 50 เมตร จงหาความดันเกจและความดันสมบูรณทต่ี วั เรือ
ดําน้าํ ถาน้าํ ทะเลมีความหนาแนน 1.024x103 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร และ ความดัน
บรรยากาศทีร่ ะดับน้าํ ทะเลเทากับ 1.013x105 พาสคัล ( 5.12x105 Pa , 6.13x105 Pa)
5. ณ ความลึกตําแหนงหนึง่ ใตทะเลวัดความดันได 3 เทาของความดันทีผ่ วิ น้าํ บริเวณนัน้ จงหา
ความลึก ณ ทีแ่ หงนี้ ( ″น้าํ ทะเล = 1.03x103 kg/m3 , ความดันบรรยากาศ = 105 N/m2 ) (19.4 1 ม)
6. ชายคนหนึง่ สามารถดําในน้าํ จืดไดลกึ ทีส่ ดุ 20 เมตร ถาเขาไปดําในน้าํ ทะเล ซึง่ มีความหนา
แนน 1.025x103 กิโลกรัม / ลูกบาศกเมตร เขาจะดําไดลกึ ทีส่ ดุ เทาไร (19.51 เมตร)
7. เมือ่ เทน้าํ และ ของเหลวชนิดหนึง่ ทีไ่ มรวมกับน้าํ
ลงขางหนึง่ ของหลอดรูปตัว U ทีม่ ขี าโตเทากัน ถา
ของเหลว เปนลําสูง 10 cm และมีรอยตอระหวาง
น้าํ กับของเหลวอยูข า งหลอดทีใ่ สของเหลว ปรากฏ
วาระดับบนของน้าํ อยูส งู กวาระดับของเหลว 2 cm
จงคํานวณหาความ หนาแนนของของเหลวทีใ่ ส (1.2x103 kg/m3)
28
E
III บทที่ 9 ของไหล
8. หลอดแกวรูปตัวยู ขาโตสม่าํ เสมอ ภายในบรรจุปรอทพอประมาณ เติมน้าํ ลงไปในขาขาง
หนึง่ ยาว 4 เซนติเมตร จงหาระดับปรอทในขาอีกขางหนึง่ สูงกวาในขาขางทีเ่ ติมน้าํ เทาไร
( ″ปรอท = 13.6x103 kg/m3 ) (0.29 cm)
9. ของเหลว 3 ชนิด อยูใ นสภาวะสมดุลในหลอด
แกวรูปตัวยูดงั รูป ความหนาแนนของของเหลว
ชนิดทีห่ นึง่ และ ชนิดทีส่ องมีคา 4.0x103 และ 10 ซม. 3 1
3.0x103 kg/m3 ตามลําดับ ความหนาแนนของ
ของเหลวชนิดทีส่ ามมีคา กี่ kg/m3 (ขอ 1) 6 ซม. 2 12 ซม.
1. 1.4 x 103 2. 1.6 x 103
4 ซม.
3. 2.4 x 103 4. 2.8 x 103
10. หลอดแกวรูปตัวยู ขาโตสม่าํ เสมอมีพน้ื ทีห่ นาตัด 2 ตารางเซนติเมตร ภายในบรรจุนาํ้ เชือ่ ม
ความหนาแนน 4 x 103 กิโลกรัม/ลูกบาศกเมตร จะตองเติมน้าํ ลงในขาขางหนึง่ ขางใดเปน
ปริมาณเทาใด จึงจะทําใหระดับน้าํ เชือ่ มในขาอีกขางหนึง่ เพิม่ ขึน้ 1 เซนติเมตร (16 cm3)
11. หลอดแกวรูปตัวยูโตสม่าํ เสมอบรรจุดว ยน้าํ เติมของเหลวทีม่ คี วามหนาแนน 0.9 กรัม / ซม.3
ลงในหลอดขางหนึง่ สูง 5 ซม. จงหาวาระดับน้าํ แตละขางจะเปลีย่ นไปเทาไร
1. 1.25 ซม. 2. 2.25 ซม. 3. 3.75 ซม. 4. 4.50 ซม. (ขอ 2)
12. ขาขางหนึง่ ของแมนอมิเตอรทม่ี ปี รอทบรรจุ
อยู ถูกตอเขากับถังสีเ่ หลีย่ มทีบ่ รรจุแกสชนิด
หนึง่ ปรากฏวาระดับปรอทในขาทัง้ สองขาง
สูง 5 เซนติเมตร และ 15 เซนติเมตร ดังรูป
ถาความดันของอากาศขณะนัน้ เทากับ 105 Pa
แกสในถังมีความดันเทาใด ( 1.13x105 Pa )
ให ความหนาแนนปรอท = 13.6x103 kg/m3
g = 9.8 m/s2
13. วัตถุขนาด 10 cm x 10 cm x 10 cm วางทีก่ น ถังปดทีบ่ รรจุนาํ้ ลึก 1 m จะเกิดแรงดันของ
น้าํ ทีก่ ระทําทีด่ า นขางของวัตถุขา งละกีน่ วิ ตัน
1. 50 2. 95 3. 125 4. 150 (ขอ 2)
29
@
III บทที่ 9 ของไหล
14. กลองสี่เหลี่ยมลูกบาศกมีความยาวดานละ 1 เมตร
ดานบนมีฝาปดสนิท ตรงกลางฝาบนเจาะรูโตขนาด
200 ตารางเซนติเมตร เสียบทอแนนพอดี และเติม
น้าํ ลงไปตามทอจนกระทัง่ ระดับน้าํ เต็มทอพอดี เมือ่
ทอยาว 40 เซนติเมตร จงหา
ก) แรงดันของน้าํ ทีก่ น กลอง (1.4x104 N)
ข) แรงดันของน้าํ ทีฝ่ าดานขางแตละดาน (9x103 N)
15. เขือ่ นกัน้ น้าํ จืดแหงหนึง่ มีนาํ้ อยูล กึ 10 เมตร ทีฐ่ านเขือ่ นเจาะเปนรูโตมีเสนผาศูนยกลาง
1 เมตร จงหาแรงดันของน้าํ ทีไ่ หลออกไป (1.16x105 N)
กฏของปาสคาล
16. เครือ่ งอัดไฮดรอริกเครือ่ งหนึง่ ลูกสูบเล็กมีพน้ื ทีห่ นาตัด 5 cm2 ลูกสูบใหญมพี น้ื ทีห่ นาตัด
40 cm2 ถาออกแรงทีล่ กู สูบเล็ก 200 N จะเกิดแรงยกทีล่ กู สูบใหญเทาใด และการไดเปรียบ
เชิงกลเปนกีเ่ ทา (1600 N, 8 เทา)
17. เครือ่ งอัดไฮดรอลิกเครือ่ งหนึง่ ลูกสูบใหญ มีรศั มี 0.1 เมตร และลูกสูบเล็กมีรัศมี 0.01
เมตร ถาออกแรงกดลูกสูบเล็ก 200 นิวตัน จะยกวัตถุมวลเทาไรได (20000 นิวตัน)
18. เครือ่ งอัดไฮโดรลิกใชสาํ หรับยกรถยนตเครือ่ งหนึง่ ใชนาํ้ มันทีม่ คี วามหนาแนน 800
กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร พื้นที่ของลูกสูบใหญและลูกสูบเล็กมีคา 0.1 ตารางเมตรและ 0.05
ตารางเมตร ตามลําดับ ตองการยกรถยนตหนัก 1000 กิโลกรัม ขณะที่กดลูกสูบเล็กระดับ
น้ํามันในลูกสูบเล็กอยูสูงกวาน้ํามันในลูกสูบใหญ 10 เซนติเมตร แรงทีก่ ดบนลูกสูบเล็กมี
คากีน่ วิ ตัน (4960)
แรงลอยตัว
19. วัตถุชน้ิ หนึง่ มี 2 กิโลกรัม เมือ่ นําไปลอยในน้าํ ซึง่ มีความหนาแนน 1x 103 kg/m3 จงหา
ปริมาตรของวัตถุสว นจมใตนาํ้ ( 0.002 m3)
20. วัตถุชน้ิ หนึง่ มีปริมาตร 40 cm3 ความหนาแนน 0.9x103 kg/m3 เมือ่ นําวัตถุนไ้ี ปลอย
ในน้าํ ซึง่ มีความหนาแนน 1x103 kg/m3 จงหาปริมาตรของวัตถุสว นจมใตนาํ้ ( 36 Cm3)
30
III บทที่ 9 ของไหล
21. แทงวัตถุมคี วามหนาแนนเปน 25 เทาของของเหลว ถาชัง่ วัตถุโดยใหปริมาตรครึง่ หนึง่ ของ
วัตถุจมอยูใ นของเหลว จงหาวาตาชัง่ จะอานไดเปนกีเ่ ทาของการชัง่ ในอากาศ
1. 15 2. 25 3. 35 4. 45 (ขอ 4)
23. น้าํ แข็งกอนหนึง่ ลอยอยูท ผ่ี วิ น้าํ โดยมีสว นทีจ่ มคิดเปน 92% ของปริมาตรทัง้ กอน จงหา
ความหนาแนนของน้าํ แข็งกอนนี้ (920 kg/m3)
24. ไมแทงหนึง่ มี ถ.พ. 0.8 ลอยอยูใ นของเหลวทีม่ ี ถ.พ. 1.2 จงหาปริมาตรสวนทีล่ อยอยูเ หนือ
ของเหลวเปนกีเ่ ทาของสวนทีจ่ มในของเหลว (0.5 เทา)
25. เมือ่ ชัง่ วัตถุกอ นหนึง่ ในอากาศวัดได 50 N แตเมือ่ นําวัตถุไปชัง่ ในน้าํ จะไดหนัก 40 N วัตถุ
นีม้ คี วามหนาแนนเทาใด (กําหนดใหนาํ้ มีความหนาแนน 103 kg/m3) (5x103 kg/m3)
26. อะลูมเิ นียมกอนหนึง่ ชัง่ ในอากาศได 270 กรัม ชัง่ ในน้าํ ได 150 กรัม ถาอะลูมิเนียมมี
ความหนาแนน 2.7 กรัม / ลูกบาศกเซนติเมตร อยากทราบวากอนอะลูมเิ นียมตันหรือกลวง
( 20 Cm3)
แรงตึงผิว และ แรงหนืด
27. ถาใชหว งลวดวงกลมทีม่ เี สนรอบวง 0.25 เมตร ทดลองเพือ่ หาความตึงผิวของของเหลว
พบวา ตองออกแรงดึงลวด 0.03 นิวตัน จึงจะทําใหลวดนัน้ หลุดพนจากผิวของเหลวได
พอดี จงหาคาความตึงผิวของของเหลวนี้ (0.06 N/m)
28. ปลอยลูกกลมโลหะความหนาแนน 7500 กิโลกรัม / ลูกบาศกเมตร มีรศั มี 2 มิลลิเมตร
ใหตกลงในน้าํ มันความหนาแนน 900 กิโลกรัม / ลูกบาศกเมตร มีสัมประสิทธิ์ ความหนืด
2.0 นิวตัน.วินาที / เมตร2 จงหาความเร็วปลายของลูกกลมโลหะนี้ (0.029 m/s)
29. เมือ่ ปลอยลูกกลมเหล็กรัศมี 0.5 เซนติเมตรใหตกลงในกลีเซอรีนปรากฎวาวัดความเร็วขัน้
สุดทายได 0.077 เมตร/วินาที จงคํานวนหาสัมประสิทธิค์ วามหนืดของกลีเซอรีน
( ความหนาแนนของกลีเซอรีนและเหล็กมีคา 1.26x103 kg/m3 และ 7.86x103 kg/m3 ตามลําดับ )
(4.76 N.S / m2)
31
พ็
•
III บทที่ 9 ของไหล
พลศาสตรของไหล
30. ถาน้าํ ในทอประปาทีไ่ หลผานมาตรวัดเขาบานมีอตั ราการไหล 60 ลิตร/นาที จงหาอัตรา
เร็วของน้าํ ในทอประปา เมือ่ สงผานทอทีม่ ขี นาดเสนผานศูนยกลาง 3 เซนติเมตร
(1.414 m/s)
31. เครือ่ งสูบน้าํ เครือ่ งหนึง่ สามารถสูบน้ําได 0.02 m3 ในเวลา 10 วินาที แลวพนออกไป
ทางทอซึง่ มีพน้ื ทีห่ นาตัด 10 ตารางเซนติเมตร จงหาความเร็วของน้าํ ทีพ่ น ออกไป (2 m/s)
32. เม็ดเลือดไหลดวยอัตราเร็ว 20 cm/s ในเสนเลือดใหญทม่ี รี ศั มี 0.3 cm ไปสูเ สนเลือดขนาด
เล็กลง และมีรศั มี 0.2 cm จงหาอัตราเร็วของเม็ดเลือดในเสนเลือดเล็ก (45 Cm/s)
33. ทอน้าํ วางในแนวระดับ มีนาํ้ ไหลอยางสม่าํ เสมอดวยอัตราเร็ว 2 เมตร/วินาที ถาทอคอด
ลงโดยพืน้ ทีล่ ดลงเปน 1 ใน 8 ของพืน้ ทีต่ อนแรก ดังรูป จงหา
ก. อัตราเร็วของน้าํ ทีพ่ งุ ผานทอสวนทีค่ อด (16 m/s)
ข. ถาความดันน้าํ ทีไ่ หลเขามีคา 2x105 N/m2 จงหาความดันน้าํ ทีไ่ หลออก (0.74x105 N/m2)
34. ทอน้าํ ทีไ่ มสม่าํ เสมอทอหนึง่ ทอตอนบนมีพน้ื ทีห่ นาตัด 4.0 ตารางเซนติเมตร อยูสูงจากพื้น
10 เมตร ถาน้าํ ในทอมีความดัน 1.5x105 พาสคัล และไหลดวยอัตราเร็ว 2 เมตรตอวินาที
ไปยังทอตอนลางซึง่ มีพน้ื ทีห่ นาตัด 8 ตารางเซนติเมตร และอยูสูงจากพื้น 1 เมตร จงหา
ก. อัตราเร็วของน้าํ ในทอตอนลาง ( 1 m/s )
ข. ความดันของน้าํ ในทอตอนลาง ( 2.415x105 พาสคัล )
35. น้าํ ไหลออกจากทอ A ไปยังทอ B และ ทอ C
ซึง่ มีขนาดเทากันดังแสดงในรูป โดยที่ A และ B
B อยูส งู จาก C เปน 1.5 และ 3.0 เมตร ตาม
A 3.0 เมตร
ลําดับ ถาความดันในทอ A เทากับ 2.0x105
1.5 เมตร
นิวตันตอตารางเมตร และน้าํ มีอตั ราเร็ว 5.0
C
เมตรตอวินาที ความดันในทอ C เปนกีน่ วิ ตัน
ตอตารางเมตร กําหนดใหความหนาแนนของ
น้าํ เทากับ 1000 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตรและถือวาน้าํ ไมมคี วามหนืด (2.15x105)
32
•
III บทที่ 9 ของไหล
36. อัตราเร็วของลมพายุทพ่ี ดั เหนือหลังคาบานหลังหนึง่ เปน 30 m/s ผลตางระหวางความดัน
อากาศเหนือหลังคาบาน และใตหลังคาบานหลังนีเ้ ปนเทาใด และถาหลังคาบานมีพื้นที่
200 ตารางเมตร แรงยกทีก่ ระทํากับหลังคาบานเปนเทาใด
กําหนด ความหนาแนนของอากาศขณะนัน้ เปน 0.3 kg/m3 (135 N/m2, 27000 N)
37. ในการออกแบบเครือ่ งบินใหมแี รงยก 900 นิวตัน/ตารางเมตรของพืน้ ทีป่ ก โดยถือวาลม
ทีผ่ า นปกเครือ่ งบินแบบสม่าํ เสมอ ถาลมทีผ่ า นใตปก มีความเร็ว 100 เมตร/วินาที จงหา
ความเร็วลมเหนือปกเพือ่ ใหไดแรงยกขึน้ ตามตองการทีก่ าํ หนดใหอากาศมีความหนาแนน
1.3 กิโลกรัม/เมตร3 (106.7 m/s)
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
33
ย
III บทที่ 10 ความรอน
ฟ สิ ก ส บ ทที่ 10 ความร อ น
ตอนที่ 1 ความรอน
พลังงานความรอนที่ใชเปลี่ยนอุณหภูมิ หาคาไดจาก
υQ = c m υt หรือ υQ = C υt
m = มวล (กิโลกรัม)
C = คาความจุความรอน (จูล / เคลวิน)
1. จงหาพลังงานความรอนที่ทําใหเหล็กมวล 200 กรัม ทีอ่ ณ
ุ หภูมิ 20 องศาเซลเซียส มี
อุณหภูมสิ งู ขึน้ เปน 60 องศาเซลเซียส
( กําหนด คาความจุความรอนจําเพาะของเหล็กเทากับ 450 J /kg.K ) ( 3600 จูล )
วิธที าํ
34
อIII บทที่ 10 ความรอน
4. น้าํ ตก ตกจากหนาผาสูง 50 m ปรากฏวาพลังงานศักยเปลี่ยนเปนพลังงานความรอนเพียง
50 % ถาคาความจุความรอนจําเพาะของน้ําเทากับ 4.180 kJ/kg.k ถามวาน้ําจะมีอุณหภูมิ
สูงขึ้นจากเดิมกี่องศาเซลเซียส ( 0.059 )
วิธที าํ
พิจารณาการเปลี่ยนแปลงจากน้ําแข็งเปลี่ยนเปนน้ํา และจากน้ําเดือดกลายเปนไอตอ
อุณหภูมิระหวางการเปลี่ยนแปลงเปนดังนี้
อุณหภูมิ ( o )
%
$ ไอน้าํ
100
#
" น้ํา
0
เวลา
!
น้ําแข็ง
35
•
III บทที่ 10 ความรอน
การเปลี่ยนแปลงจาก ของแข็ง ไปเปนของเหลว และจากของเหลวไปเปนไอ ทุกขัน้ ตอน
จะเปนการเปลีย่ นแปลงแบบดูดความรอน
( ถาเปลี่ยนยอนกลับ จากไอเปนของเหลว หรือจากของเหลวเปนของแข็ง จะเปน
การเปลี่ยนแปลงแบบคายความรอน )
พลังงานความรอนที่ดูดเขาไปในชวงเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเปนของเหลว ( ชวง !
ในรูปภาพ ) จะใชไปเพื่อสลายแรงดึงดูดระหวางโมเลกุลของแข็ง ทําใหโมเลกุลของ
แข็งถอยหางออกจากกัน แลวของแข็งจะเกิดการเปลี่ยนสถานะเปนของเหลว พลัง
งานที่ใชเปลี่ยนสถานะชวงนี้ เรียก ความรอนแฝงสําหรับการหลอมเหลว
พลังงานความรอนที่ดูดเขาไปในชวงเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเปนไอ ( ชวง " ในรูป )
จะใชไปเพื่อสลายแรงดึงดูดระหวางโมเลกุลของเหลว ทําใหโมเลกุลของเหลวถอยหาง
ออกจากกัน แลวของเหลวจะเกิดการเปลี่ยนสถานะเปนไอ พลังงานที่ใชเปลี่ยนสถานะ
ชวงนี้ เรียก ความรอนแฝงสําหรับการกลายเปนไอ
พลังงานความรอนที่ใชเปลี่ยนสถานะ หรือ ความรอนแฝง สามารถหาคาไดจาก
υQ = m.L
m = มวล (กิโลกรัม)
L = คาความรอนแฝงจําเพาะ (จูล/กิโลกรัม)
6. ชวงที่เกิดการหลอมเหลว สสารมีการดูดความรอนหรือไม ......... แตอุณหภูมิสสารจะไมเพิ่ม
เพราะความรอนทีด่ ดู เขาไปนัน้ มิไดใชเพิม่ อุณหภูมิ แตใชเพื่อ.................................................
7. ชวงที่เกิดการกลายเปนไอ สสารมีการดูดความรอนหรือไม ........ แตอุณหภูมิสสารจะไมเพิ่ม
เพราะความรอนทีด่ ดู เขาไปนัน้ มิไดใชเพิม่ อุณหภูมิ แตใชเพื่อ.................................................
8. น้ําแข็งมวล 5 kg อุณหภูมิ 0oC เปลี่ยนเปนน้ําที่ 0oC ตองใชพลังงานความรอนเทาใด
กําหนด คาความรอนแฝงจําเพาะของการหลอมเหลวของน้าํ 333 kJ / kg (1665 kJ)
วิธที าํ
36
•
III บทที่ 10 ความรอน
9. ถาจะทําใหน้ํา 100oC มวล 5 kg เปลี่ยนเปนไอน้ําหมดที่ 100oC ตองใชความรอนเทาใด
กําหนด คาความรอนแฝงจําเพาะการกลายเปนไอของน้ํา 2256 kJ / kg (11280 kJ)
วิธที าํ
37
•
III บทที่ 10 ความรอน
13(En 44/2) จงหาปริมาณความรอนทีท่ าํ ใหนาํ้ แข็งมวล 100 กรัม อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส
กลายเปนน้ํามวล 100 กรัม อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส กําหนดใหความจุความรอนจําเพาะ
ของน้ําเทากับ 4200 จูลตอกิโลกรัม เคลวิน และความรอนแฝงจําเพาะของการหลอมเหลว
ของน้ําแข็งเทากับ 333 กิโลจูลตอกิโลกรัม
1. 33.7 kJ 2. 37.5 kJ 3. 75.3 kJ 4. 4233 kJ (ขอ 2)
วิธที าํ
38
เ
III บทที่ 10 ความรอน
16. กอนอะลูมิเนียมมวล 200 กรัม อุณหภูมิ 300 องศาเซลเซียส อยูในภาชนะที่เปนฉนวน
เมือ่ เทน้าํ แข็งอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส มวล 70 กรัม ลงในภาชนะ จากนั้นปดภาชนะดวย
ฝาฉนวน อุณหภูมิสุดทายภายในภาชนะเปนเทาใด
( กําหนด คาความจุความรอนจําเพาะของอลูมเิ นียม = 0.9 KJ /kg.K
คาความจุความรอนจําเพาะของน้าํ = 4.2 KJ /kg.K
คาความรอนแฝงของการหลอมเหลวของน้าํ = 333 KJ / Kg ) ( 64.7o )
วิธที าํ
19. A กับ B เปนวัตถุชนิดเดียวกัน แต A มีมวลมากกวา B ถา A และ B อยูใ นทีเ่ ดียวกันขอใดถูก
ก. A มีความรอนมากกวา B ข. A และ B มีความรอนเทากัน
ค. A และ B มีอณุ หภูมเิ ทากัน ง. ขอ ก. และ ค. ถูก (ขอ ง)
วิธที าํ
39
@
III บทที่ 10 ความรอน
การนําความรอน คือ การสงผานความรอนโดยโมเลกุลของตัวกลางที่สงผานความรอนไม
ไดเคลื่อนที่ไปพรอมกับความรอนที่สงผาน
การพาความรอน คือ การสงผานความรอนโดยโมเลกุลของตัวกลางที่สงผานความรอน
เคลื่อนที่ไปพรอมกับความรอนที่สงผาน
การแผรงั สีความรอน คือ การสงพลังงานความรอนโดยไมตองอาศัยตัวกลาง เชน การสง
พลังงานความรอนขากดวงอาทิตยมาสูโลกของเรา เปนตน
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ควรระวัง สูตรนี้ใชไดเมื่อมวลของแกสที่มีคงที่เทานั้น
40
•
III บทที่ 10 ความรอน
หากมวลของแกสไมคงที่ ตองใชสมการ
P1V1 P2V2
m1T1 = m2T2
เมือ่ P1 , P2 = ความดันตอนแรกและตอนหลัง (atm , N/m2 , Pascal ,.)
V1 , V2 = ปริมาตรตอนแรก และตอนหลัง (m3 , Lit , …)
T1 , T2 = อุณหภูมติ อนแรก และตอนหลัง (K)
m1 , m2 = มวลตอนแรก และตอนหลัง (g , kg , …)
หากมีความหนาแนนของแกสมาเกีย่ วของ ตองใชสมการ
P1 P2
=
⊕1T1 ⊕2T2
เมือ่ ⊕1 , ⊕2 = ความหนาแนนตอนแรก และตอนหลัง (kg/m3 , g/cm3 ,.)
20(มช 42) อากาศปริมาตร 2 ลูกบาศกฟุต อุณหภูมิ 17oC เคลือ่ นผานพืน้ ผิวทีม่ อี ณ
ุ หภูมิ 77oC
ถาความดันอากาศไมเปลี่ยนแปลงปริมาตรอากาศจะกลายเปนกี่ลูกบาศกฟุต (ขอ 3)
1. 0.4 2. 1.7 3. 2.4 4. 9.0
วิธที าํ
41
•
III บทที่ 10 ความรอน
23. ที่ 0oC ความดัน 1 atm อากาศ 1 ลิตร มีมวล 1.29 g และที่อุณหภูมิ 27oC ความดัน
2 atm อากาศมวล 2.73 g จะมีปริมาตรกี่ลิตร (1.16 ลิตร)
วิธที าํ
42
III บทที่ 10 ความรอน
สมการทีใ่ ชคาํ นวณเกีย่ วกับการผสมแกส
Pรวม . Vรวม = P1V1 + P2 V2 + …
nรวม . tรวม = n1t1 + n2 t2 + …
เมือ่ n = จํานวนโมลแกส และ t = อุณหภูมิ (oC)
26. ถัง A มีปริมาตร 40 cc บรรจุแกสความดัน 80 mm–Hg และ ถัง B มีปริมาตร 60 cc บรรจุ
แกสความดัน 70 mm-Hg โดยที่ถังทั้งสองมีทอตอกันและมีลิ้นปดเปดอยู เมือ่ เปดทอใหแกส
ผสมกันแลวแกสจะมีความดันเทาใด (74 mm-Hg)
วิธที าํ
28(มช 38) ผสมแกสฮีเลียม 2 โมล อุณหภูมิ 60oC กับแกสอารกอน 1 โมล อุณหภูมิ 30oC
จงหาวาอุณหภูมิผสมเปนเทาใด (ขอ 3)
1. 40oC 2. 45oC 3. 50oC 4. 55oC
วิธที าํ
43
ฒฺ
III บทที่ 10 ความรอน
29. เมื่อนําแกสฮีเลียม 5 mol ที่ 40oC และแกสนีออน 3 mol ที่ 20oC กับแกสอารกอน 4 mol
ที่ 25oC มาผสมกัน จงหาอุณหภูมิของแกสผสม (30oC)
วิธที าํ
สมการสถานะ
PV = n R T ถา R = คานิจของแกส = 0.0821 Lit atm / mol.K
P = ความดันแกส (atm)
V = ปริมาตรแกส (Lit)
ถา R = คานิจของแกส = 8.31 N.m / mol.K
P = ความดันแกส (N/m2)
V = ปริมาตรแกส (m3)
n = mg = N g = มวล (กรัม) 1 m3 = 1000 Lit
6.02x1023
m = มวลโมเลกุล 1 Lit = 1000 cm3
N = จํานวนโมเลกุล 1 atm = 1.01 x 105 N/m2
ุ หภูมิ –23oC มีกโ่ี มล
30. ภาชนะ 2 ลิตร บรรจุแกส CO2 มีความดัน 20.5 atm ทีอ่ ณ
1. 4.0 โมล 2. 3.0 โมล 3. 2.0 โมล 4. 1.0 โมล (ขอ 3)
วิธที าํ
31. แกส (ก) 1 mol กับแกส (ข) 1 mol บรรจุในกลองเดียวกันซึง่ มีปริมาตร 1 m3 โดยไมทาํ
ปฏิกิริยากันที่ 27oC ความดันแกสในกลองเปนเทาใด (4986 N/m2)
วิธที าํ
44
ฒิ๋
•
III บทที่ 10 ความรอน
32. มีแกสอยู 4 โมล บรรจุในภาชนะ 8.31 ลิตร ถาแกสมีอณุ หภูมิ 27oC จะมีความดันเทาไร
1. 1.0 x 106 N/m2 2. 1.1 x 106 N/m2
3. 1.2 x 106 N/m2 4. 1.4 x 106 N/m2 (ขอ 3)
วิธที าํ
33. แกส N2 จํานวน 4.8 x 1024 โมเลกุล บรรจุในภาชนะ 67.2 ลิตร ที่ 0oC มีความดันเทาไร
1. 3.3 atm 2. 2.6 atm 3. 2.1 atm 4. 1.6 atm (ขอ 2)
วิธที าํ
35. ถังบรรจุแกสออกซิเจน 560 ลิตร อุณหภูมิ 273 เคลวิน ความดัน 1 บรรยากาศ จงหามวล
ของออกซิเจนในถังนี้ (800 กรัม)
วิธที าํ
45
•III บทที่ 10 ความรอน
36. แกสออกซิเจนในถังทีม่ ปี ริมาตร 40 ลูกบาศกเดซิเมตร เดิมมีความดัน 20 บรรยากาศ
และมีอณุ หภูมิ 27 องศาเซลเซียส ตอมาแกสรัว่ ไปบางสวนจนมีความดัน 4.0 บรรยากาศ
และมีอณ
ุ หภูมิ 20 องศาเซลเซียส จงหาวาแกสรัว่ ไปกีก่ โิ ลกรัม
( กําหนด ออกซิเจน 1 โมลมีมวล 32 กรัม ) ( 0.827 กิโลกรัม)
วิธที าํ
37(En 43/1) ถาอุณหภูมภิ ายในหองเพิม่ ขึน้ จาก 27oC เปน 37oC และ ความดันในหองไมเปลีย่ น
แปลงจะมีอากาศไหลออกจากหองกี่โมล หากเดิมมีอากาศอยูในหองจํานวน 2000 โมล
1. 65 2. 940 3. 1620 4. 1940 (ขอ 1)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 3 ทฤษฏีจลนของแกส
เพือ่ ความสะดวกในการศึกษาเรือ่ งราวเกีย่ วกับแกส นักวิทยาศาสตรจงึ ไดสรางแบบ
จําลองของแกสในอุดมคติขน้ึ ซึง่ มีความดังนี้
1) แกสประกอบดวยโมเลกุลจํานวนมาก ทุกโมเลกุลมีลักษณะเปนกอนกลมที่มีขนาด
เทากัน มีความยืดหยุน สูง ดังนัน้ โมเลกุลเหลานีจ้ ะชนผนังและกระดอนแบบยืดหยุน
2) ถือวาปริมาตรรวมของโมเลกุลทุกตัวนอยมาก เมือ่ เปรียบเทียบกับปริมาตรของกาซ
ทัง้ ภาชนะ จึงสามารถตัดปริมาตรของโมเลกุลทิง้ ไปได
46
•
III บทที่ 10 ความรอน
3) ไมมแี รงใดๆ กระทําตอโมเลกุลไมวา จะเปนแรงผลักหรือแรงดูด หรือแมกระทัง่ แรง
โนมถวงโลกทีก่ ระทําตอโมเลกุลดวย
4) โมเลกุลทุกโมเลกุลจะเคลือ่ นทีเ่ ปนเสนตรงแบบสับสนไรทศิ ทาง และอาจเปลีย่ นแนว
การเคลือ่ นทีไ่ ดหากไปชนใสผนังภาชนะหรือชนกับโมเลกุลแกสดวยกันเอง เรียกการ
เคลือ่ นทีแ่ บบนีว้ า การเคลือ่ นทีแ่ บบบราวนเนียน
และนักวิทยาศาสตรยงั สามารถหาความสัมพันธระหวางความดันกับพลังานจลนเฉลีย่ ของ
โมเลกุลแกสได ดังนี้ P V = 13 N m v 2 หรือ P V = 23 N m E k
ตอนที่ 4 อัตราเร็วโมเลกุลแกส
Vrms = v 2
Vrms = 12 Ι 32 Ι 52 Ι 62
4
= 1 Ι 9 Ι 25 Ι 36
4
= 17.75
Vrms = 4.21 m/s
3RT 3kBT 3P
Vrms = M Vrms = m Vrms = ″
เมือ่ Vrms = อัตราเร็วรากทีส่ องของกําลังสองเฉลีย่
T = อุณหภูมิ (K)
R = 8.31 N.m/mol.K
kB = คานิจของโบสธมาล = 1.38 x 10–23 N.m/mol.K
47
อ
III บทที่ 10 ความรอน
P = ความดันแกส (N/m2)
″ = ความหนาแนน (kg/m3)
m = มวลแกส 1 โมเลกุล (kg) = มวลโมเลกุล x 1.66 x 10–27 kg
M = มวลแกส 1 โมล (kg) = มวลโมเลกุล x 10–3 kg
40(En 39) สมมติวา สามารถทดลองวัดคาอัตราเร็วของโมเลกุล แตละตัวไดทง้ั หมด 5 โมเลกุล
ไดการกระจายอัตราเร็วโมเลกุลดังตาราง จงหาคารากทีส่ องของกําลังสองเฉลีย่ ของอัตราเร็ว
อัตราเร็วโมเลกุล (เมตรตอวินาที) 3 4 5
จํานวนโมเลกุล 2 2 1
1. 3.5 m/s 2. 3.9 m/s 3. 4.2 m/s 4. 4.5 m/s (ขอ 2)
วิธที าํ
ุ หภูมิ 27oC
41. จงหาอัตราเร็วของโมเลกุลแกสไฮโดรเจน (H2) ทีอ่ ณ (1934 m/s)
วิธที าํ
48
III บทที่ 10 ความรอน
44. อัตราเร็วเฉลีย่ ของโมเลกุลไฮโดรเจนเทากับ 400 m/s ที่ 27oC ถาอุณหภูมเิ ปลีย่ นเปน
927oC อัตราเร็วจะเปนเทาใด (800 m/s)
วิธที าํ
45. แกสที่ 927oC แกสมีคา Vrms เปน 800 m/s ถาตองการใหแกสมีคา Vrms เปนครึง่ หนึง่
ของคาเดิม ตองทําใหมอี ณ
ุ หภูมเิ ทาใด (27oC)
วิธที าํ
49
ษึ
อIII บทที่ 10 ความรอน
47. กระบอกสูบแกสชนิดหนึง่ บรรจุจาํ นวน n โมล เมือ่ ใหความรอนจํานวนหนึง่ แกกระบอก
สูบ พบวา Vrms ของแกสเพิม่ ขึน้ เปน 2 เทา และปริมาตรเพิม่ ขึน้ เปน 3 เทา ความดัน
ของแกสจะเปลีย่ นเปนกีเ่ ทาของความดันเดิม
1. 3/2 2. 4 /3 3. 3/2 4. 3/4 (ขอ 2)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 5 พลังงานจลนโมเลกุลแกส
E k = 23 kB T E k = 23 PV
N
เมือ่ E k = พลังงานจลนเฉลีย่ ของโมเลกุลแกส (J)
(มีคา เปนพลังงานจลนของแกส 1 โมเลกุล)
kB = 1.38 x 10–23 N.m / mol.k
T = อุณหภูมิ (K)
P = ความดัน (N/m2)
Ekรวม = N Ek
V = ปริมาตร (m3)
U = N 23 kB T
3 N = จํานวนโมเลกุลแกส
U = 2 PV n คือ จํานวนโมลแกส
U = 3
2 nRT R = 8.31 J / mol . K
ุ หภูมิ 27oC มีคา กีจ่ ลู
48. พลังงานจลนเฉลีย่ ของแกส 1 โมเลกุล ทีอ่ ณ (ขอ ง)
ก. 1.38 x 10–21 ข. 2.07 x 10–21 ค. 2.67 x 10–21 ง. 6.21 x 10–21
วิธที าํ
50
ร
III บทที่ 10 ความรอน
49. บรรจุแกสในถังทีม่ ปี ริมาตร 0.2 m3 ทีค่ วามดัน 104 N/m2 ภายใตภาวะนี้ แกสนี้ 0.2 m3
มี 0.6x1022 โมเลกุล อยากทราบวาพลังงานจลนเฉลีย่ ของแตละโมเลกุลของแกสมีคา เทาใด
วิธที าํ (5x10–19 จูล)
51
•
III บทที่ 10 ความรอน
54. ถาพลังงานจลนเฉลีย่ ของแกสในภาชนะปดเทากับ 6.3x10–21 จูล และ จํานวนโมเลกุลตอ
ปริมาตรของแกสเทากับ 2.4x1025 โมเลกุลตอลูกบาศกเมตร จงหาความดันของแกสนี้
วิธที าํ ( 1.008x105 N /m2 )
52
•
III บทที่ 10 ความรอน
59. แกสตางชนิดกัน ถามีอณ
ุ หภูมเิ ทากัน พลังงานจลนเฉลีย่ ของโมเลกุลเทากันหรือไม (เทากัน)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 6 พลังงานภายในระบบ
U = 23 NkB T เมือ่ U = พลังงานภายในระบบ (พลังงานจลนรวม) (J)
U = 23 PV N = จํานวนโมเลกุล
U = 23 n R T kB = คาคงที่ของโบสชมาล = 1.38 x 10–23 J / mol.K
T = อุณหภูมิ (K)
P = ความดัน (N/m2)
V = ปริมาตร (m3)
ΕQ = ΕU + ΕW
ΕW = งานเนือ่ งจากการขยายตัวของแกส
ΕU = พลังงานภายในระบบทีเ่ พิม่ ขึน้
ΕW = PΕV ΕU = 23 NkB ΕT
ΕW = n R ΕT ΕU = 23 n R ΕT
ΕU = 23 P2 V2 – 23 P1 V1
เมือ่ P คือ ความดันแกส (N/m2)
χV คือ ปริมาตรทีเ่ ปลีย่ นแปลง
χT คือ อุณหภูมทิ เ่ี ปลีย่ นไป ( K หรือ oC )
n คือ จํานวนโมล R = 8.31 J / mol.K
53
•
III บทที่ 10 ความรอน
61. จงหาพลังงานภายในระบบของแกสไฮโดรเจนเมื่อ
ก. ปริมาณ 2 โมล ทีอ่ ณ
ุ หภูมิ 27 องศาเซลเซียส (7479 จูล)
ข. ปริมาตร 10 ลิตร ความดัน 2 x 105 พาสคัล (3x103)
วิธที าํ
63. แกสโมเลกุลอะตอมเดีย่ วชนิดหนึง่ มีมวล 60 กรัม เมือ่ อุณหภูมเิ ปลีย่ นไป 10 K พลังงาน
ของแกสนีจ้ ะเปลีย่ นไปเทาไร กําหนดใหมวลโมเลกุลของแกสนี้ = 15 (498.6 J)
วิธที าํ
64. แกสปริมาตร 2 ลูกบาศกเมตร อุณหภูมิ 0oC ความดัน 105 N/m2 มีปริมาตรเพิม่ ขึน้ เปน
12 ลูกบาศกเมตร มีความดันเดิม การขยายตัวนีแ้ กสทํางานไดกจ่ี ลู (ขอ ก)
ก. 1.0 x 106 ข. 1.2 x 106 ค. 2 x 106 ง. 4.0 x 106
วิธที าํ
54
•
III บทที่ 10 ความรอน
65. แกสในระบบขยายตัวดวยความดันคงที่ 2x105 N/m2 ในกระบวนการนีว้ ดั งานได 104 จูล
โดยพลังงานภายในระบบไมเปลีย่ นแปลงปริมาตรของระบบเปลีย่ นแปลงกีล่ กู บาศกเมตร
ก. 0.05 ข. 0.02 ค. 0.2 ง. 0.3 (ขอ ก)
วิธที าํ
สมการ βQ = βU + βW
การใชสมการนีต้ อ งคํานึงถึงคาบวก ลบ ของตัวแปรทุกตัวดังนี้
สําหรับ βQ หากความรอนเขาสูร ะบบ (ดูดความรอน) ΕQ มีคา +
หากความรอนออกจากระบบ (คายความรอน) ΕQ มีคา –
หากความรอนไมเขาหรือออก ระบบ ΕQ มีคา 0
สําหรับ βU หากพลังงานภายในเพิม่ (อุณหภูมเิ พิม่ ) ΕU มีคา +
หากพลังงานภายในลด (อุณหภูมลิ ด) ΕU มีคา –
หากพลังงานภายในไมเปลีย่ น (อุณหภูมิคงที)่ ΕU มีคา 0
สําหรับ βW หากปริมาตรแกสเพิม่ ΕW มีคา +
หากปริมาตรแกสลด ΕW มีคา –
หากปริมาตรแกสคงที่ ΕW มีคา 0
66. แกสในกระบอกสูบรับความรอนจากภายนอก 142 จูล ขณะทีแ่ กสขยายตัวมันทํางานบน
ระบบภายนอก 160 จูล ถามวาพลังงานภายในของแกสเพิม่ ขึน้ หรือลดลงเทาใด และ
อุณหภูมขิ องแกสเพิม่ ขึน้ หรือลดลง ( ลดลง 18 จูล )
วิธที าํ
55
อ
III บทที่ 10 ความรอน
68. อัดแกสในกระบอกสูบดวยความดันคงที่ 1x105 N/m2 ทําใหปริมาตรเปลีย่ นลดลง 0.004 m3
ถาพลังงานภายในระบบของแกสในกระบอกคงที่ จงหาพลังงานความรอนที่เกิดขึ้น (400 J)
วิธที าํ
69. เมือ่ เพิม่ ความรอนใหแกระบบแกส 8400 จูล พรอมกับทํางานใหระบบ 4000 จูล พลังงาน
ภายในระบบเปลีย่ นไปเทาใด (12400 จูล)
วิธที าํ
71. เมือ่ ใหความรอน 64.9 จูล แกแกส 0.5 โมล ทีบ่ รรจุในกระบอกสูบ แกสทํางานได 40 จูล
ดันลูกสูบใหเคลือ่ นที่ อุณหภูมขิ องแกสเพิม่ ขึน้ กีเ่ คลวิน (R = 8.3 J/mol.k) (4 K)
วิธที าํ
56
ย
III บทที่ 10 ความรอน
72 ระบบหนึง่ เมือ่ ไดรบั ความรอน 8000 จูล จะทําใหพลังงานภายในระบบเพิม่ ขึน้ 6000 จูล
อยากทราบวาในการนีต้ อ งทํางานใหแกระบบหรือระบบทํางานเทาไร (ระบบทํางาน 2000 จูล)
วิธที าํ
57
•
III บทที่ 10 ความรอน
แบบฝกหัด ฟสกิ ส บทที่ 10 ความรอน
ความรอน
1. จงหาพลังงานความรอนทีท่ าํ ใหเหล็กมวล 100 กรัม ทีอ่ ณ
ุ หภูมิ 20 องศาเซลเซียส มี
อุณหภูมสิ งู ขึน้ เปน 60 องศาเซลเซียส
( กําหนด คาความจุความรอนจําเพาะของเหล็กเทากับ 450 J /kg.K ) ( 1800 จูล )
2. ใหพลังงานความรอนแกตะกัว่ 252 จูล ถาตะกัว่ มีมวล 2 กิโลกรัม จะมีอณ
ุ หภูมสิ งู ขึน้ เทาใด
(ความจุความรอนจําเพาะของตะกัว่ = 126 จูล/กิโลกรัม.เคลวิน) ( 1 K [oC] )
58
•
III บทที่ 10 ความรอน
9. ใหพลังงานความรอนแกนาํ้ แข็ง (0o C) มวล 2 กิโลกรัม เปนปริมาณเทาไรเพือ่ ใหนาํ้ แข็ง
กลายเปนน้าํ และเหลือน้าํ แข็ง 0.5 กิโลกรัม ( ความรอนแฝงจําเพาะของน้ําแข็ง 336 kJ/kg )
1. 504 kJ 2. 336 kJ 3. 168 kJ 4. 94 kJ (ขอ 1)
10. กอนน้าํ แข็งมวล 1 กิโลกรัม มีอณ ุ หภูมศิ นู ยองศาเซลเซียส ตกลงไปในทะเลสาปทีน่ าํ้ มี
อุณหภูมศิ นู ยองศาเซลเซียสเชนเดียวกัน ปรากฏวาน้าํ แข็งละลายไป 0.01 กิโลกรัม น้าํ แข็ง
ตกลงมาจากระดับความสูงกีเ่ มตร
(ความรอนแฝงจําเพาะของการหลอมเหลวของน้าํ = 300 x 103 J/kg )
1. 10 2. 30 3. 300 4. 1000 (ขอ 3)
11. กอนน้าํ แข็งมวล 5 กิโลกรัม ไถลลงจากที่สูง 5 เมตร อยากทราบวาน้าํ แข็งจะละลายไป
ุ หภูมิ 0oC ( Lการหลอมเหลวน้าํ แข็ง= 333 kJ/kg )
เทาไร ถาพืน้ มีอณ ( 0.75 กรัม)
12. ถาตองการใหนาํ้ แข็งมวล 1 กิโลกรัม อุณหภูมิ –10 องศาเซลเซียส กลายเปนน้าํ ทีอ่ ณุ หภูมิ
100 องศาเซลเซียส ทัง้ หมด จงหาวาตองใชพลังงานความรอนกีก่ โิ ลจูล
กําหนด Cน้าํ = 4.18 กิโลจูล / กก.เคลวิน
Cน้าํ แข็ง = 2.10 กิโลจูล / กก.เคลวิน
Lน้าํ แข็ง = 333 กิโลจูล / กก.
1. 231 2. 649 3. 772 4. 793 (ขอ 3)
13. นําเหล็กมวล 1 kg อุณหภูมิ 60oC ใสในน้าํ 1 kg อุณหภูมิ 0oC ในเวลาตอมา
อุณหภูมขิ องน้าํ และเหล็กเทากัน อยากทราบวาอุณหภูมนิ ม้ี คี า เทาใด ถาความจุความรอน
จําเพาะของน้าํ และเหล็กมีคา 4180 และ 500 J/kg.k ตามลําดับ (6.41oC)
14. กอนอะลูมเิ นียมมวล 200 กรัม อุณหภูมิ 300 องศาเซลเซียส อยูใ นภาชนะทีเ่ ปนฉนวน
เมือ่ เทน้าํ แข็งอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส มวล 70 กรัม ลงในภาชนะ จากนัน้ ปดภาชนะดวย
ฝาฉนวน อุณหภูมสิ ดุ ทายภายในภาชนะเปนเทาใด
( กําหนด คาความจุความรอนจําเพาะของอลูมเิ นียม = 0.9 KJ /kg.K
คาความจุความรอนจําเพาะของน้าํ = 4.2 KJ /kg.K
คาความรอนแฝงของการหลอมเหลวของน้าํ = 333 KJ / Kg ) ( 64.7o )
59
ย
III บทที่ 10 ความรอน
สมบัติของแกสจากการทดลอง
15. แกสในกระบอกสูบอักลูกสูบใหมปี ริมาตรลดลงจาก 10 cc เปน 5 cc ความดันเดิม 1 atm
จงหาความดันของแกสในกระบอกสูบหลังอัดแลว เมือ่ กําหนดใหอณ ุ หภูมขิ องแกสคงตัว?
1. 4.0 atm 2. 2.0 atm 3. 1.5 atm 4. 1.0 atm (ขอ 1)
16. แกสจํานวนหนึง่ ปริมาณ 0.5 ลูกบาศกเมตร ทีค่ วามดัน 105 นิวตัน/ตารางเมตร อุณหภูมิ
0 องศาเซลเซียส ถาจะทําใหแกสนีม้ ปี ริมาตร 1 ลูกบาศกเมตร โดยความดันไมเปลีย่ น
แปลง อุณหภูมสิ ดุ ทายเปนเทาไร (546 k)
17. Idealgas จํานวนหนึง่ อุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียส ความดัน 1 บรรยากาศ ถาความดันลดลง
เปน 0.6 บรรยากาศ ปริมาตรเพิม่ เปน 2 เทา อุณหภูมสิ ดุ ทายของแกสจะเปนเทาไร (87oC)
18. แกสชนิดหนึง่ ถูกบังคับใหมคี วามดันคงที่ และอุณหภูมขิ องแกสถูกทําใหเพิม่ ขึน้ จาก 27o C
ไปเปน 127o C ปริมาตรของแกสจะเปลีย่ นไปเปนอัตราสวนเทาใดของปริมาตรเดิม
1. 4/3 2. 3 /4 3. 127/27 4. ไมเปลีย่ น (ขอ 1)
19. แกสชนิดหนึง่ มีปริมาตรและอุณหภูมสิ มั บูรณเพิม่ เปน 1.5 เทา และ 2 เทา ตามลําดับ
จงหาวาความดันของแกสนีเ้ ปนกีเ่ ทาของความดันเดิม ( 43 เทา )
20. แกสในถังใบหนึง่ เมือ่ ทําใหอุณหภูมลิ ดลงจาก 27 องศาเซลเซียส –6 องศาเซลเซียส ความ
ดันของแกส จะเพิม่ หรือลดลงจากเดิมกีเ่ ปอรเซ็นต (ลดลง 11%)
21. ในการทดลองเพือ่ หาความสัมพันธระหวางความดันและปริมาตรของแกสชนิดหนึง่ พบวา
ถาเราเพิม่ ความดันขึน้ เปน 3 เทาของความดันเริม่ ตนปริมาตรของแกสในระบบจะลดลง
เปนครึง่ หนึง่ จงหาวาอุณหภูมขิ องแกสควรจะเพิม่ ขึน้ กีเ่ ปอรเซ็นต
1. 0% 2. 50% 3. 75% 4. 150% (ขอ 2)
22. ที่ S.T.P. (0oC , 1 atm) อากาศ 1 ลิตร มีมวล 1.293 กรัม จงหาความดันของอากาศมวล
12.93 กรัม ปริมาตร 10 ลิตร ทีอ่ ณ ุ หภูมิ 27 องศาเซลเซียส (1.1 atm )
23. ความหนาแนนของอากาศที่ 27 องศาเซลเซียส ความดัน 760 มิลลิเมตร ของปรอทเปน
2.5 กรัม / ลิตร ถา ณ อุณหภูมเิ ดียวกัน ความดันเปน 860 มิลลิเมตร ของปรอท ความ
หนาแนนของอากาศเปนเทาไร (2.83 g/ ! )
60
น
III บทที่ 10 ความรอน
24. หองประชุมมีอณ ุ หภูมิ 32o C เมือ่ เปดเครือ่ งปรับอากาศ ทําใหอณุ หภูมขิ องหองเปน 26o C
จงหาอัตราสวนความหนาแนนของอากาศทีอ่ ณ ุ หภูมิ 26o C ตอความหนาแนนของอากาศ
ุ หภูมิ 32o C
ทีอ่ ณ
26
1. 32 2. 32 3. 299 4. 305 (ขอ 4)
26 305 299
25. ถาความดันบรรยากาศเทากับความดันของน้าํ ลึก 10 เมตร ถาฟองอากาศใตผวิ น้าํ ลึก 50
เมตร มีปริมาตร 1 ลูกบาศกมลิ ลิเมตร ลอยขึน้ มาอยูท ต่ี าํ แหนงต่าํ กวาระดับผิวน้าํ 10 เมตร
จะมีปริมาตรเทาใด
1. 4 mm3 2. 3 mm3 3. 2 mm3 4. 1 mm3 (ขอ 2)
26. ถัง A มีปริมาตร 5 ลิตร บรรจุแกสความดัน 2 บรรยากาศ ถัง B มีปริมาตร 10 ลิตร
บรรจุแกสความดัน 3 บรรยากาศ นําทอเล็กๆ ตอระหวาง ถัง A และ B ความดันของ
แกสในถังทัง้ สองเปนเทาใด เมือ่ อุณหภูมไิ มเปลีย่ นแปลง (2.67 atm)
27. Idel gas ทีค่ วามดัน 1 บรรยากาศ อุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียส ปริมาตร 20 ลิตร จะมี
ปริมาณแกสกีโ่ มล (R = 8.31 J/mol.K , 1 atm = 1.01 x 105 N/m2 ) (0.81)
28. แกส 4 โมล บรรจุในภาชนะ 8.31 ลิตร ถาแกสมีอณ ุ หภูมิ 27o C จะมีความดันเทาไร
1. 1.0 x 106 N/m2 2. 1.1 x 106 N/m2
3. 1.2 x 106 N/m2 4. 1.4 x 106 N/m2 (ขอ 3)
29. แกสไฮโดรเจน 10 ลิตร ความดัน 1 บรรยากาศ อุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียส จะมีมวล
ของ แกสเทาใด ( H = 1 ) (0.81 กรัม)
30. ภาชนะปริมาตร 2 x 10–2 ลูกบาศกเมตร บรรจุแกส CO2 20 กรัม อุณหภูมิ 57 องศา
เซลเซียส จงหาความดันของแกส CO2 นี้ ( C = 12 , O = 16) (6.23x104 N/m2 )
31. อากาศทีค่ วามดัน 105 นิวตัน/ตารางเมตร อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส จะมีกโ่ี มเลกุลใน
1 ลูกบาศกเมตร ( kB = 1.38 10–23 J/K ) (2.34x1025 )
32. มีแกสอยูใ นภาชนะ ถาตองการรูจ าํ นวนโมลของแกส จะตองทราบปริมาณใดบาง
1. ความดัน , ปริมาตร , อุณหภูมิ 2. ความดัน , อุณหภูมิ
3. ความดัน , ปริมาตร 4. ปริมาตร , อุณหภูมิ (ขอ 1)
61
6
III บทที่ 10 ความรอน
33. ภาชนะบรรจุแกส ความดัน P มีอณ
ุ หภูมิ T มีปริมาณ N โมเลกุล จงหาปริมาตรแกส
Nk T 2Nk BT
1. PB 2. nRT
P 3. P 4. nRT
2P (ขอ 1)
อัตราเร็วโมเลกุลแกส
34. สมมติวา ในการทดลองวัดอัตราเร็วของโมเลกุลแตละตัวไดทง้ั หมด 6 โมเลกุล ไดการ
กระจายอัตราเร็วโมเลกุลดังตาราง จงหาคารากทีส่ องของกําลังสองเฉลีย่ ของอัตราเร็ว
อัตราเร็วโมเลกุล (เมตร/วินาที) 10 20 30
จํานวนโมเลกุล 1 3 2
(22.73 m/s )
35. จงหา vrms ของแกส H2 ที่ 0 องศาเซลเซียส (H = 1) (1844.7 m/s )
36. โมเลกุลของแกสออกซิเจน (O2) ที่ 27 องศาเซลเซียส จะมีคา เฉลีย่ กําลังสองของอัตราเร็ว
เทาใด (เมตร/วินาที) ถามวลอะตอมของออกซิเจนเทากับ 15
1. 4.2x10–27 2. 250 3. 490 4. 2.5x105 (ขอ 4)
37. ออกซิเจนมีมวลโมเลกุลเปน 16 เทาของไฮโดรเจน ถามวลโมเลกุลไฮโดรเจนเทากับ 2
และแกสไฮโดรเจนมีอณ ุ หภูมเิ ปน 4 เทาของแกสออกซิเจนอัตราเร็วรากทีส่ องของกําลัง
สองเฉลีย่ ของแกสไอโดรเจนตอแกสออกซิเจนคือ
1. 2 : 1 2. 4 : 1 3. 8 : 1 4. 16 : 1 (ขอ 3)
38. ทีอ่ ณ
ุ หภูมิ 27 องศาเซลเซียส แกสชนิดหนึง่ มีอตั ราเร็วเฉลีย่ 300 เมตร/วินาที ถาอุณหภูมิ
เปลี่ยนเปน 927 องศาเซลเซียส อยากทราบวา แกสนีจ้ ะมีอตั ราเร็วเฉลีย่ โมเลกุลเปนเทาไร
(600 m/s)
39. ทีอ่ ณ
ุ หภูมิ 27 องศาเซลเซียส แกสไฮโดรเจน มีอตั ราเฉลีย่ 2000 เมตร/วินาที อยากทราบ
วา ทีอ่ ณ
ุ หภูมิ 47 องศาเซลเซียส แกสออกซิเจน จะมีอตั ราเร็วเฉลีย่ เทาใด (H = 1 , O = 16)
(516.4 m/s )
40. ถาความดันของแก็สในถังใบหนึ่งเพิ่มขึ้น 21 เปอรเซ็นต อยากทราบวา อัตราเร็วเฉลีย่ ของ
แกสจะเพิม่ หรือลดลงกีเ่ ปอรเซ็นต (เพิ่มขึ้น 10%)
62
เIII บทที่ 10 ความรอน
41. กระบอกสูบแกสชนิดหนึง่ บรรจุจาํ นวน n โมล เมือ่ ใหความรอนจํานวนหนึง่ แกกระบอก
สูบ พบวา Vrms ของแกสเพิม่ ขึน้ เปน 2 เทา และปริมาตรเพิม่ ขึน้ เปน 3 เทา ความดัน
ของแกสจะเปลีย่ นเปนกีเ่ ทาของความดันเดิม
1. 3/2 2. 4 /3 3. 3/2 4. 3/4 (ขอ 2)
42. บรรจุแกสในภาชนะปดจํานวนหนึง่ อัตราเร็วรากทีส่ องของกําลังสองเฉลีย่ ของแกสเปน
0.5 เมตร/วินาที ถาอุณหภูมสิ มั บูรณของแกสเพิม่ ขึน้ เปน 4 เทาของเดิม อัตราเร็วราก
ที่สองของกําลังเฉลี่ยของแกสเปนเทาไร
1. 1 m/s 2. 2 m/s 3. 4 m/s 4. 4 2 m/s (ขอ 1)
พลังงานจลนของโมเลกุลแกส
43. Ideal gas ณ อุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียส จะมีพลังงานจลนเฉลี่ยเทาใด
(kB = 1.38 x 10–23 J/K ) (6.21x10–21 )
44. ทีค่ วามดัน 2 บรรยากาศ แกสชนิดหนึง่ มีความหนาแนนของโมเลกุล 4 x 1025 โมเลกุล/
ลูกบาศกเมตร อยากทราบวาแกส 0.2 ลูกบาศกเมตร จะมีพลังงานจลนเฉลี่ยเทาใด
(1 atm = 1.01 x 105 N/m2 ) (7.58x10–21 J )
45. ณ อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส แกสชนิดหนึง่ 2 โมล จะมีพลังงานเทาใด
(R = 8.3 J/mol.K) (7719 J)
46. ถาความดันของอากาศในหองปดหองหนึง่ เปน a N/m2 พลังงานจลนของอากาศตอหนึง่
หนวยปริมาตรเปนเทาไร
1. 2a3 J/m2 2. 3a2 J/m2 3. 2a3 J/m3 4. 3a2 J/m3 (ขอ 4)
63
ย
III บทที่ 10 ความรอน
50. เมื่อความดันเฉลี่ยของแกสภายในถังใบหนึ่ง เพิม่ 20 เปอรเซ็นต อยากทราบวา พลังงาน
จลนเฉลี่ยของแกสภายในถังนี้จะเปลี่ยนแปลงอยางไร (เพิ่มขึ้น 20%)
พลังงานภายในระบบ
51. พลังงานภายในของแกสฮีเลียม 10 โมล จะเปลี่ยนไปเทาใด เมือ่ อุณหภูมขิ องแกสฮีเลียม
เปลี่ยนไป 20 องศาเซลเซียส (2493 J)
52. แกสโมเลกุลอะตอมเดีย่ วชนิดหนึง่ มีมวล 60 กรัม เมือ่ อุณหภูมเิ ปลีย่ นไป 10 K พลังงาน
ของแกสนี้จะเปลี่ยนไปเทาไร กําหนดใหมวลโมเลกุลของแกสนี้ = 15 (498.6 J)
53. แกสในกระบอกสูบรับความรอนจากภายนอก 120 จูล ขณะที่แกสขยายตัวมันทํางานบน
ระบบภายนอก 180 จูล ถามวาพลังงานภายในของแกสเพิ่มขึ้นหรือลดลงเทาใด และ
อุณหภูมขิ องแกสเพิม่ ขึน้ หรือลดลง ( ลดลง 60 จูล )
54. แกสในกระบอกสูบคายความรอน 120 จูล ขณะที่พลังงานภายในเพิ่มขึ้น 150 จูล ถามวา
แกสหดตัวหรือขยายตัว ( หดตัว )
55. อัดแกสในกระบอกสูบดวยความดันคงที่ 1x105 N/m2 ทําใหปริมาตรเปลีย่ นลดลง 0.004 m3
ถาพลังงานภายในระบบของแกสในกระบอกคงที่ จงหาพลังงานความรอนที่เกิดขึ้น (400 J)
56. เมือ่ เพิม่ ความรอนใหแกระบบแกส 6000 จูล พรอมกับทํางานใหระบบ 2000 จูล พลังงาน
ภายในระบบเปลี่ยนไปเทาใด (8000 จูล)
57. ในการอัดแกส 4 โมล ในกระบอกสูบตองทํางานใหระบบ 800 จูล ถาระบบไมถายเท
ความรอนเลย อยากทราบวาอุณหภูมิของแกสจะสูงขึ้นเทาใด (16.04 K)
58. เมือ่ ใหความรอน 64.9 จูล แกแกส 0.5 โมล ทีบ่ รรจุในกระบอกสูบ แกสทํางานได 40 จูล
ดันลูกสูบใหเคลื่อนที่ อุณหภูมขิ องแกสเพิม่ ขึน้ กีเ่ คลวิน (R = 8.3 J/mol.k) (4 K)
59 ระบบหนึง่ เมือ่ ไดรบั ความรอน 10000 จูล จะทําใหพลังงานภายในระบบเพิ่มขึ้น 2000 จูล
อยากทราบวาในการนีต้ อ งทํางานใหแกระบบหรือระบบทํางานเทาไร (8000 จูล)
60. ใหพลังงานความรอนแกแกส 23 โมล จํานวน 830 จูล แกสมีการเปลี่ยนแปลงแบบ
ปริมาตรคงตัว จงหาอุณหภูมขิ องแกสทีเ่ พิม่ ขึน้ (R = 8.3 J / mol.K) (150 K)
64
อ
III บทที่ 10 ความรอน
61. แกสในกระบอกสูบมีความดัน 2 kPa และปริมาตร 1 m3 ถาแกสนีไ้ ดรบั ความรอน 10 kJ
จนมีความดัน 4 kPa และปริมาตร 2 m3 จงหางานทีก่ ระทําโดยแกสในกระบวนการนี้
1. 1 kJ 2. 4 kJ 3. 7 kJ 4. 8 kJ (ขอ 1)
62. แกสฮีเลียมจํานวน 1 โมล บรรจุอยูใ นภาชนะปดทีแ่ ข็งแรงมาก อยากทราบวาเมือ่ ใหความ
รอนเขาไป 900 จูล ความดันแกสในภาชนะจะเพิม่ ขึน้ จากเดิมเทาใด ถาถังมีปริมาตร 0.5
ลูกบาศกเมตร
1. 600 N/m2 2. 800 N/m2 3. 1000 N/m2 4. 1200 N/m2 (ขอ 4)
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
65
บทที่ 11 คลื่นกล
ฟ สิ ก ส บทที่ 11 คลื่ น กล
ตอนที่ 1 การเคลือ่ นทีแ่ บบคลืน่
การเคลื่อนที่แบบคลื่น หมายถึง “ การเคลือ่ นที่
ซึ่งพลังงานถูกถายทอดไปขางหนาได โดยทีอ่ นุภาค
ตัวกลางสั่นอยูที่เดิม”
ตัวอยาง
ถาเราทําการทดลอง โดยใชเชือกยาวประมาณ 5 เมตร วางไวบนพื้นราบ โดยผูกดายสีสดๆ
ไวตรงกลางเสนเชือกยึดปลายเชือกขางหนึ่งไวกับฝาผนัง ใชมือดึงปลายเชือกที่เหลือให
ตึงพอประมาณ แลวสะบัดปลายเชือกนั้นขึ้นลงตามแนวดิ่ง จะเกิดสวนโคงขึน้ ในเสนเชือก
และเคลื่อนจากปลายที่ถูก สะบัดพุงเขาไปหาฝาผนัง
การเคลือ่ นทีน่ ้ี จะ มีการนําพลังงานเคลื่อนติดไปพรอมกับสวนโคงของเชือกนั้น แตถา
พิจารณาถึงเสนดายที่ผูกไวกลางเชือก จะพบวาเสนดายไมไดเคลื่อนที่เขาหาฝาผนังเหมือนกับ
พลังงาน แตเสนดายเพียงแคสั่นขึ้นสั่นลงอยูที่เดิม แสดงใหเห็นวา อนุภาคของเสนเชือกตรงที่
ผูกดายอยูนั้น ไมไดเคลื่อนที่ไปกับพลังงาน เพียงแตสั่นขึ้นลงอยูที่เดิม เราเรียกการเคลือ่ นที่
แบบนีว้ า เปน การเคลื่อนที่แบบคลื่น
1. การเคลื่อนที่แบบคลื่น คือ การเคลื่อนที่ซึ่ง........... ........ ........ ........ ........ ........ .................
........ ........ ........ ........ ........ ........ ........ ........ ........ ........ ........ ........ ........ ........ ........ ..........
ทิศของพลังงาน
ทิศการสัน่ ไปมา
ของอนุภาค
69
บทที่ 11 คลื่นกล
11. จากขอที่ผานมา จงหาเวลาที่คลื่นใชในการเคลื่อนที่ได 1 ลูกคลื่น พอดี (0.25 วินาที )
วิธที าํ
14. เมือ่ สังเกตคลืน่ เคลือ่ นทีไ่ ปบนผิวน้าํ กระเพือ่ มขึน้ ลง 600 รอบ ใน 1 นาที และระยะระหวาง
สันคลื่นที่ถัดกันวัดได 20 เซนติเมตร จงหาวาเมื่อสังเกตคลื่นลูกหนึ่งเคลื่อนที่ไปใน 1 นาที
จะไดระยะทางกี่เมตร (120 เมตร)
วิธที าํ
70
บทที่ 11 คลื่นกล
15. แหลงกําเนิดคลื่นสั่นอยางสม่ําเสมอดวยอัตรา 30 ครัง้ ใน 1 นาที ทําใหเกิดคลื่นน้ําแผออก
ไปอยางตอเนื่อง เมื่อพิจารณาคลื่นที่เกิดขึ้นพบวา คลื่นแตละลูกเคลื่อนที่จากเสาตนหนึ่งไปยัง
เสาอีกตนหนึ่งซึ่งปกอยูหางกัน 20 เมตร ตองใชเวลา 2 วินาที ความยาวคลืน่ น้าํ มีคา เทาใด
ก. 10 เมตร ข. 15 เมตร ค. 20 เมตร ง. 25 เมตร (ขอ ค)
วิธที าํ
รูปแสดงคลื่นผิวน้ําในกลองคลื่นที่เวลาหนึ่งหาความเร็วของคลื่นนี้ในหนวยเซนติเมตร/วินาที
1. 20 2. 16 3. 8 4. 4 (ขอ 2)
วิธที าํ
71
บทที่ 11 คลื่นกล
9. เฟสของคลื่น คือ มุมบนหนาคลื่น
19. คลื่นความถี่ 500 Hz มีความเร็ว 300 m/s จุดที่มีเฟสตางกัน 36o อยูหางกันกี่เมตร (0.06)
วิธที าํ
72
บทที่ 11 คลื่นกล
20. คลื่นขบวนหนึ่งมีความถี่ 150 เฮิรตซ มีความเร็ว 300 เมตร/วินาที จุดสองจุดบนคลื่นที่มี
เฟสตางกัน 90 องศา จะอยูหางกันกี่เมตร (0.5)
วิธที าํ
22. คลื่นที่มีความยาวคลื่น 0.5 เมตร มีความเร็ว 50 m/s ถาเวลาผานไป 0.1 วินาที การกระจัด
ของจุดจุดหนึ่งจะมีเฟสเปลี่ยนไปเทาไร (3600o)
วิธที าํ
73
บทที่ 11 คลื่นกล
24. คลื่นขบวนหนึ่งมีความยาวคลื่น 0.5 เมตร จุด 2 จุด บนคลื่นที่หางกัน 0.2 เมตร จะมี
เฟสตางกันกี่องศา (144o)
วิธที าํ
11. สมการของคลื่น
Sy = A sin • t Sy
เมือ่ Sy = การขจัดในแนวแกน y t
A = อัมปลิจดู ของคลืน่
• = อัตราเร็วเชิงมุม
• = 2°f
75
บทที่ 11 คลื่นกล
ตอนที่ 3 สมบัตขิ องคลืน่ (1)
สัญลักษณแทนคลืน่
แบบที่ 1
แบบที่ 2
76
บทที่ 11 คลื่นกล
29. จงเติมคําลงในชองวางตอไปนี้
ใหถูกตองและสมบูรณ
กฎการสะทอน
1. มุมตกกระทบ (±1) เทากับมุมสะทอน (±2)
2. รังสีตกกระทบ รังสีสะทอน และเสนปกติ ตองอยูใ นระนาบเดียวกัน
30. จากรูปจงหามุมระหวางรังสีตกกับ
รังสีสะทอน ?
30o
1) ถาปลายเชือกมัดไวแนน
คลื่นที่ออกมาจะมีลักษณะตรงกันขาม
กับคลื่นที่เขาไป
คลื่นที่สะทอนออกมาจะมีเฟสเปลี่ยนไป 180o
2) ถาปลายเชือกมัดไวหลวม ๆ (จุดสะทอนไมคงที)่
คลื่นที่สะทอนออกมาจะมีเฟสเทาเดิม
คลื่นที่ออกมาจะมีลักษณะเหมือนเดิม
ค. ง. (ขอ ง)
3.2 การหักเหของคลืน่
เมื่อคลื่นผานจากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่ง ซึ่งมีความหนาแนนไมเทากัน
จะทําใหอตั ราเร็ว อัมปลิจดู และความยาวของคลื่นเปลี่ยนไป แตความถี่จะคงเดิม
40. จงเติมคําลงในชองวางตอไปนี้ใหถูกตองและสมบูรณ
……… ………
………
………
………
79
บทที่ 11 คลื่นกล
sin± v ←
กฏของสเนลล 1 = 1 = 1 = n
sin± 2 v ← 21
2 2
เมื่อ ±1 และ ±2 คือ มุมในตัวกลางที่ 1 และ 2 ตามลําดับ
v1 และ v2 คือ ความเร็วคลื่นในตัวกลางที่ 1 และ 2 ตามลําดับ
←1 และ ←2 คือ ความยาวคลื่นในตัวกลางที่ 1 และ 2 ตามลําดับ
n21 คือ คาคงที่ เรียกชื่อวา ดัชนีหักเหของตัวกลางที่ 2 เทียบกับตัวกลางที่ 1
41. ถาความเร็วคลื่นในตัวกลาง X เปน 8 m/s เมื่อผานเขาไปในตัวกลาง Y ความเร็วคลืน่
เปลี่ยนเปน 10 m/s ดัชนีหักเหของตัวกลาง Y เทียบกับตัวกลาง X เปนเทาใด (0.8)
วิธที าํ
80
บทที่ 11 คลื่นกล
44. แสงเคลื่อนที่จากอากาศสูผิวน้ําทํามุม 37o กับผิวน้ํา จงหาคาของมุมหักเหทีเ่ กิดขึน้ ในน้าํ
กําหนด ดรรชนีหกั เหของน้าํ เทียบกับอากาศ = 43 , sin37o= 35 , sin53o= 45 (37o)
วิธที าํ
81
บทที่ 11 คลื่นกล
ตอนที่ 4 สมบัตขิ องคลืน่ (2)
3.3 การแทรกสอดคลืน่
82
บทที่ 11 คลื่นกล
สูตรที่ใชคํานวณเกี่ยวกับ การแทรกสอดคลืน่
สําหรับแนวปฎิบัพลําดับที่ n(An)
⇔S1P – S2P⇔ ⇔ = n← ←
d sin ± = n ←
เมื่อ P คือจุดซึ่งอยูบนแนวปฎิบัพลําดับที่ n(An)
S1P คือ ระยะจาก S1 ถึง P
S2P คือ ระยะจาก S2 ถึง P
← คือ ความยาวคลื่น (m)
n คือ ลําดับที่ของปฎิบัพนั้น
d คือ ระยะหางจาก S1 ถึง S2
± คือ มุมที่วัดจาก A0 ถึง An
49. คลืน่ ชนิดหนึง่ เมือ่ เกิดการแทรกสอด จะเกิดแนวดังรูป
ก. คลื่นนี้มีความยาวคลื่นเทาใด (2m)
ข. ถาคลื่นนี้มีความถี่ 100 Hz จะมีความเร็วเทาใด
วิธที าํ ( 200 m/s)
83
บทที่ 11 คลื่นกล
51. แหลงกําเนิดคลื่นอําพันธเฟสตรงกัน 2 อัน วางหางกัน 6 ซม. ความเร็วคลืน่ 40 ซม./
วินาที ขณะนั้นคลื่นมีความถี่ 20 Hz จงหาวาแนวปฏิบัพที่ 3 จะเบนออกจากแนวกลางเทาไร
1. 30o 2. 53o 3. 60o 4. 90o ( ขอ 4. )
วิธที าํ
สําหรับแนวบัพลําดับที่ n (Nn)
⇔S1P – S2P⇔⇔= Φn – 12 Γ←
d sin ± = Φn – 12 Γ←
n คือ ลําดับที่ของแนวบัพนั้น
84
บทที่ 11 คลื่นกล
54(มช 45) ถา S1 และ S2 เปนแหลงกําเนิดคลื่น ซึ่งมีความถี่เทากัน และเฟสตรงกันอยูหาง 8.0
เซนติเมตร ถาความยาวคลื่นเทากับ 4.0 เซนติเมตร จะเกิดจุดบัพกี่จุดบนเสนตรง S1S2 (4)
วิธที าํ
85
บทที่ 11 คลื่นกล
87
บทที่ 11 คลื่นกล
63(En 43/1) จากรูปเปนคลืน่ นิง่ ในเสนเชือกทีม่ ปี ลายทัง้ สองยึดแนนไว ถาเสนเชือกยาว 90 เซนติ-
เมตร และความเร็วคลื่นในเสนเชือกขณะนั้น เทากับ 2.4x102 เมตรตอวินาที จงหาความถีค่ ลืน่
1. 200 Hz 2. 267 Hz
3. 400 Hz 4. 800 Hz (ขอ 3)
วิธที าํ
64(En 37) ลวดสายกีตารซง่ึ อยูร ะหวางจุดตรึง 2 จุด หางกัน 40 เซนติเมตร เมือ่ ดีดใหเสียง
หลักทีค่ วามถี่ 512 เฮิรตซ ความเร็วของคลืน่ ในสายลวดเปนเทาใด
1. 204.8 m/s 2. 256.0 m/s 3. 409.6 m/s 4. 512.0 m/s (ขอ 3)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
88
บทที่ 11 คลื่นกล
แบบฝกหัด ฟสกิ ส บทที่ 11 คลืน่ กล
คลื่นกล
1. เมือ่ มีคลืน่ ผิวน้าํ แผไปถึงวัตถุที่ลอยอยูที่ผิวน้ําจะมีการเคลื่อนที่อยางไร
1. อยูน ง่ิ ๆ เหมือนเดิม 2. กระเพื่อมขึ้นลงและอยูกับที่เมื่อคลื่นผานไปแลว
3. เคลื่อนที่ตามคลื่น 4. ขยับไปขางหนาแลวถอยหลัง (ขอ 2)
2. คลื่นตามยาวและคลื่นตามขวางตางกันอยางไร
1. ตางกันทีค่ วามยาวคลืน่ 2. ตางกันทีท่ ศิ ทางการเคลือ่ นทีข่ องคลืน่
3. ตางกันทีป่ ระเภทของแหลงกําเนิด 4. ตางกันทีท่ ศิ ทางการสัน่ ของตัวกลาง (ขอ 4)
3. คลื่นที่ตองอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่คือ
1. คลื่นกล 2. คลื่นดล 3. คลื่นตามยาว 4. คลื่นตามขวาง (ขอ 1)
4. คลืน่ ในขอใดตอไปนี้ ขอใดเปนคลืน่ ประเภทเดียวกัน (ขอ 4)
1. คลืน่ เสียง , คลืน่ วิทยุ , คลืน่ ไมโครเวฟ 2. คลืน่ น้าํ , คลืน่ ในเสนเชือก , คลืน่ ดล
3. คลืน่ ในสปริง , คลืน่ น้าํ , แสง 4. แสง , คลืน่ ไฟฟากระแสสลับ , รังสีแกมมา
5. ปริมาณใดของคลื่นที่ใชบอกคาพลังงานบนคลื่น
1. ความถี่ 2. ความยาวคลื่น 3. แอมพลิจูด 4. อัตราเร็ว (ขอ 3)
6. เชือกที่ยาวมาก และสม่ําเสมอเสนหนึ่งถูกขึงตึง ถาเราสะบัดปลายเชือกอีกขางหนึ่ง ขึ้นลง
อยางสม่ําเสมอเปนเวลา 0.5 วินาที รูปรางของเสนเชือกจะเปลีย่ นแปลงดังรูป จงหา
การขจัด (ก) ความยาวคลื่น (8 cm)
(cm) (ข) อัตราเร็วของคลืน่ (44 cm/s)
2 4 6 8 10 12 14 16 18 20 ตําแหนง (ค) ความถี่ของคลื่น (5.5 Hz)
(ง) ความถี่ที่สะบัดปลายเชือก (5.5Hz)
7. ในการสั่นเชือกที่มีความยาวมากเสนหนึ่ง
ปรากฏวาหลังจากการสั่น 0.5 วินาที ได
คลืน่ ดังรูป จงหาอัตราเร็วของคลืน่ บน 0 2 4 6 (cm)
เชือกเสนนี้ (12 cm/s)
89
บทที่ 11 คลื่นกล
8. แหลงกําเนิดคลื่นใหคลื่นความถี่ 500 Hz ความยาวคลื่น 10 cm ถาคลื่นชุดนี้เคลื่อนที่
ในระยะทาง 300 m จะใชเวลาเทาไร ( 6 วินาที )
9. เมือ่ สังเกตคลืน่ เคลือ่ นทีไ่ ปบนผิวน้าํ กระเพือ่ มขึน้ ลง 600 รอบ ใน 1 นาที และระยะระหวาง
สันคลื่นที่ถัดกันวัดได 10 เซนติเมตร จงหาวาเมื่อสังเกตคลื่นลูกหนึ่งเคลื่อนที่ไปใน 1 นาที
จะไดระยะทางกี่เมตร (60 เมตร)
10. แหลงกําเนิดคลื่นสั่นอยางสม่ําเสมอดวยอัตรา 30 ครัง้ ใน 1 นาที ทําใหเกิดคลื่นน้ําแผออก
ไปอยางตอเนื่อง เมื่อพิจารณาคลื่นที่เกิดขึ้นพบวา คลื่นแตละลูกเคลื่อนที่จากเสาตนหนึ่งไปยัง
เสาอีกตนหนึ่งซึ่งปกอยูหางกัน 20 เมตร ตองใชเวลา 2 วินาที ความยาวคลืน่ น้าํ มีคา เทาใด
ก. 10 เมตร ข. 15 เมตร ค. 20 เมตร ง. 25 เมตร (ขอ ค)
11. นองดายืนอยูที่ทาน้ํา สังเกตเห็นคลืน่ ผิวน้าํ ทีเ่ กิดจากเรือวิง่ กระทบฝง 20 ลูกคลื่นในเวลา
10 วินาที และทราบวาอัตราเร็วของคลืน่ ผิวน้าํ 10 เมตร/วินาที อยากทราบวาสันคลื่นที่
อยูติดกันหางกันเทาไร (5 m)
12. นักเรียนคนหนึ่งยืนอยูริมฝงโขงสังเกตเห็นคลื่นผิวน้ําเคลื่อนกระทบฝงมีระยะหางระหวาง
สันคลื่นที่อยูถัดกัน 10 เมตร และคลืน่ มีอตั ราเร็ว 5 เมตร/วินาที อยากทราบวาคลื่นขบวน
นี้จะเคลื่อนกระทบฝงนาทีละกี่ลูก (30 ลูก)
13. คลื่นมีความถี่ 600 Hz มีความเร็ว 400 m/s จุดที่มีเฟสตางกัน 45o อยูหางกันกี่เมตร
1. 301 2. 241 3. 181 4. 121 (ขอ 4)
14. คลืน่ ตอเนือ่ งขบวนหนึง่ เกิดจากแหลงกําเนิดที่สั่น 20 รอบ/วินาที มีความเร็วเฟส 30
เมตร/วินาที ณ จุด 2 จุด บนคลื่นนี้ซึ่งหางกัน 0.5 เมตร จะมีเฟสตางกันเทาไร
1. 120o 2. 160o 3. 240o 4. 360o (ขอ 1)
15. เชือกเสนหนึง่ ขึงตึง โดยปลายขางหนึ่งตรึงอยูกับที่ อีกปลายหนึ่งติดอยูกับเครื่องสั่น
สะเทือน ณ ที่จุดหนึ่งบนเชือกมีเฟสเปลี่ยนไป 240 องศา ทุกๆ ชวง 3 วินาที จงหาวา
เครื่องสั่นสะเทือนนี้มีความถี่ในการสั่นเทาไร (ในหนวยเฮิรตซ )
1. 0.11 2. 0.22 3. 0.33 4. 0.44 (ขอ 2)
16. จุด 2 จุดบนคลื่นขบวนหนึ่งอยูหางกัน 3 เมตร มีเฟสตางกัน 240o แสดงวาคลื่นขบวนนี้
มีความยาวคลื่น
1. 1.5 เมตร 2. 3.0 เมตร 3. 4.5 เมตร 4. 6.0 เมตร (ขอ 3)
90
บทที่ 11 คลื่นกล
17. คลื่นผิวน้ํากระจายออกจากแหลงกําเนิดคลื่นซึ่งมีความถี่ 6 Hz มีอตั ราเร็ว 30 ซม./วินาที
การกระเพื่อมของผิวน้ําที่อยูหางจากแหลงกําเนิด 40 ซม. และ 55 ซม. จะมีเฟสตางกัน
1. 2 ° 2. 4° 3. 6° 4. 8° (ขอ 3)
18. จากรูป S เปนแหลงกําเนิดคลื่นซึ่งมีความถี่ 20 Hz ใหคลืน่ แผออกไปมีอตั ราเร็ว 1.2
∏A เมตร/วินาที จุด A และ B อยูหางจาก S เปนระยะ
16 cm 16 และ 13 ซม. ตามลําดับ อยากทราบวาคลื่นที่จุด A
S และ B มีเฟสตางกันกี่องศา
13 cm ∏B 1. 180o 2. 270o
3. 360o 4. 450o (ขอ 1)
สมบัติของคลื่น
19. คลื่นน้ําที่เกิดจากแหลงกําเนิดที่สั่นเร็วขึ้นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงนอกจากความถี่
1. คาบเพิ่มขึ้น 2. ความยาวคลื่นลดลง
3. พลังงานมากขึ้น 4. อัตราเร็วเพิม่ ขึน้ (ขอ 2)
20. คลื่นน้ําหนาตรงเคลื่อนที่เขากระทบผิวสะทอนราบเรียบจะเกิดการสะทอนขึ้นคลื่นน้ํา
ที่สะทอนออกมามีเฟสเปลี่ยนไปกี่องศา
1. 0 2. 90 3. 180 4. 270 (ขอ 1)
21. เชือกเสนหนึ่งมีปลายขางหนึ่งผูกติดกับเสา เมื่อสรางคลื่นดลจากปลายอีกขางหนึ่งเขามา
ตกกระทบ จะเกิดคลื่นสะทอนขึ้น คลื่นสะทอนนี้มีเฟสเปลี่ยนไปกี่องศา
1. 90 2. 180 3. 270 4. 360 (ขอ 2)
22. ถาความเร็วคลื่นในตัวกลาง X เปน 6 m/s เมื่อผานเขาไปในตัวกลาง Y ความเร็วคลืน่
เปลี่ยนเปน 8 m/s ดัชนีหักเหของตัวกลาง Y เทียบกับตัวกลาง X เปนเทาใด (0.75)
23. ถาคลื่นเคลื่อนจากบริเวณน้ําตื้นมีความยาวคลื่น 30 cm ไปสูน้ําลึกความยาวคลื่นเปลี่ยน
เปน 60 cm จงหาดัชนีหักเหของตัวกลางน้ําลึกเทียบกับตัวกลางน้ําตื้น (0. 50)
24. คลื่นน้ําเคลื่อนที่จากน้ําตื้นเขาสูน้ําลึก ทํามุมตกกระทบ 30o แลวมุมหักเห 37o ถาความ
ยาวคลื่นในน้ําลึกวัดได 6 ซม. ในน้ําตื้นจะมีความยาวคลื่นกี่เซนติเมตร
1. 2 2. 3 3. 4 4. 5 (ขอ 4)
91
บทที่ 11 คลื่นกล
25. คลืน่ ผิวน้าํ เคลือ่ นทีจ่ ากน้าํ ตืน้ เขาสูบ ริเวณน้าํ ลึก พบวาอัตราเร็วของคลืน่ เพิม่ เปน 2 เทา
ของเดิม ถามุมตกกระทบมีขนาด 30o จงหามุมหักเหที่เกิดขึ้น
1. 30o 2. 45o 3. 60o 4. 90o (ขอ 4)
26. คลืน่ น้าํ มีอตั ราเร็วในน้าํ ลึกและในน้าํ ตืน้ เปน 20 ซม./วินาที และ 16 ซม./วินาที จงหาอัตรา
สวนของ sine ของมุมตกกระทบตอ sine ของมุมหักเห เมื่อคลื่นเคลื่อนที่จากน้ําลึกสูน้ําตื้น
1. 45 2. 45 3. 23 4. 23 (ขอ 1)
27. คลืน่ ชนิดหนึง่ เมือ่ เกิดการแทรกสอด จะเกิดแนวดังรูป
ก. คลื่นนี้มีความยาวคลื่นเทาใด (2m)
ข. ถาคลื่นนี้มีความถี่ 150 Hz จะมีความเร็วเทาใด
( 300 m/s)
คลื่นนิ่ง
36. ขอใด ไมใช เงือ่ นไขการเกิดคลืน่ นิง่
1. เกิดจากคลื่น 2 คลื่น เคลื่อนที่มารวมกัน
2. คาบของคลื่นนิ่งเทากับคาบของคลื่นยอย
3. แอมพลิจูดของคลื่นนิ่งเทากับสองเทาของแอมพลิจูดคลื่นยอย
4. ตําแหนงบัพคงที่เสมอ (ขอ 1)
37. ระยะหางระหวางจุดปฎิบัพกับจุดปฎิบัพที่อยูถัดไปของคลื่นนิ่งเปน 12.5 ซม. ตัวคลื่น
มีความเร็ว 75 ซม.ตอวินาที จงหาความถี่ของคลื่นนิ่งมีคากี่เฮิรตซ
1. 1.5 2. 3.0 3. 4.5 4. 6.0 (ขอ 2)
38. เมื่อสั่นเชือกเสนหนึ่งซึ่งยาว 1.6 เมตร ถูกขึงตรึงดวยความถี่ 50 เฮิรตซ ปรากฏวาเกิด
คลื่นนิ่ง มีลักษณะเปน Loop 5 Loop พอดี จงหาอัตราเร็วของคลืน่ ในเชือกเสนนี้
1. 32 m/s 2. 50 m/s 3. 64 m/s 4. 100 m/s (ขอ 1)
93
บทที่ 11 คลื่นกล
39. คลื่นนิ่งในเสนเชือกยาว 0.8 m มีจาํ นวน 4 Loop อัตราเร็วคลืน่ 20 เมตร/วินาที จงหา
ความถี่คลื่น
1. 10 Hz 2. 25 Hz 3. 50 Hz 4. 100 Hz (ขอ 3)
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
19. ตอบขอ 2.
วิธที าํ จากสูตร v = f ←
จะได v = ←
f
เนื่องจากการสั่นเร็วขึ้นจะทําใหความถี่เพิ่มขึ้น แตในตัวกลางชนิดเดิม ความเร็วยอมเทา
เดิม (V คงที่ ) ดังนั้นตามสมการ เมือ่ f เพิม่ ความยาวคลื่น (← ) จึงลดลง
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
94
บทที่ 12 เสียง
ฟ สิ ก ส บทที่ 12 เสี ย ง
ตอนที่ 1 อัตราเร็วเสียง
เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ ซึ่งสงผลใหโมเลกุลของอากาศเกิดการอัดตัว และขยาย
ตัว แลวเกิดการถายทอดพลังงานไปได โดยที่อนุภาคอากาศไมไดเคลื่อนที่ไปกับพลังงานนั้น
2
บทที่ 12 เสียง
4. ณ อุณหภูมิ 35oC อัตราเร็วเสียงในอากาศจะมากกวา ณ อุณหภูมิ 30oC อยูก เ่ี มตรตอวินาที
ก. 3 ข. 6 ค. 12 ง. 34 (ขอ ก)
วิธที าํ
3
บทที่ 12 เสียง
ตอนที่ 2 ธรรมชาติของคลืน่ เสียง
2.1 การสะทอนของเสียง
เมื่อเสียงไปตกกระทบวัตถุที่มีขนาดใหญกวาความ
ยาวคลื่นเสียง เสียงจะสะทอนออกจากวัตถุนั้นได
ย้ําเพิ่มเติม
1) หากวัตถุมีขนาดเล็กกวาความยาวคลื่นเสียง
เมื่อเสียงตกกระทบ จะเลี้ยวออมไปทางอื่น
ไมสะทอนออกมา
2) หากมีเสียงสะทอนจากหลายแหลง มาถึง
ผูฟงในชวงเวลาที่ตางกันมากกวา 0.1 วินาที จะทําใหไดยนิ เสียงสะทอนหลายเสียง
เรียกวาเกิด เสียงกอง
4
บทที่ 12 เสียง
10(En 37) เรือหาปลาลําหนึ่งหาฝูงปลาดวยโซนาร
สงคลื่นดลของเสียงความถี่สูงลงไปในน้ําทะเล
ถาฝูงปลาอยูหางจากเครื่องกําเนิดคลื่นไปทาง
หัวเรือเปนระยะทาง 120 เมตร และอยูลึก
จากผิวน้ําเปนระยะ 90 เมตร หลังจากสง
คลื่นดลจากโซนารไปเปนเวลาเทาใด จึงจะ
ไดรับคลื่นที่สะทอนกลับมา กําหนดความเร็วเสียงในน้ําทะเล = 1500 m/s
1. 0.1 s 2. 0.2 s 3. 0.3 s 4. 0.4 s (ขอ 2)
วิธที าํ
5
บทที่ 12 เสียง
13(มช 32) บายวันหนึ่ง ชายคนหนึ่งเปลงเสียงไปยังหนาผาแหงหนึ่ง ปรากฏวาไดยินเสียงของ
ตัวเองสะทอนกลับมาหลังจากเปลงเสียงไปแลว 8 วินาที ตอมาชายคนนีเ้ ดินเขาหาหนาผา
เปนระยะทาง 30 เมตร แลวเปลงเสียงอีก ปรากฏวาไดยินเสียงสะทอนกลับมาหลังจาก
เปลงเสียงไปแลว 5 วินาที อยากทราบวาจุดแรกที่ชายคนนี้ยืนอยูหางจากหนาผากี่เมตร
1. 80.0 2. 857.5 3. 30 4. 27 (ขอ 1)
วิธที าํ
6
บทที่ 12 เสียง
2.2 การหักเหของเสียง
จากกฎของสเนลจะไดวา
sin⊗ 1 v1 ↵1 T1
sin⊗ 2 = v = = T2 = n21
2 ↵2
เมือ่ ⊗1 และ ⊗2 คือ มุมในตัวกลางที่ 1 และ 2 ตามลําดับ
V1 และ V2 คือ ความเร็วคลืน่ ในตัวกลางที่ 1 และ 2 ตามลําดับ
←1 และ ←2 คือ ความยาวคลืน่ ในตัวกลางที่ 1 และ 2 ตามลําดับ
T1 และ T2 คือ อุณหภูมิ (เคลวิน) ในตัวกลางที่ 1 และ 2 ตามลําดับ
n21 คือ คาคงที่ เรียกชือ่ วา ดัชนีหกั เหของตัวกลางที่ 2 เทียบกับตัวกลางที่ 1
16. อากาศบริเวณ X ทีอ่ ณุ หภูมิ 27oC บริเวณ Y มีอณ ุ หภูมิ 21oC เมือ่ เสียงผานจาก
ก. ดัชนีหกั เหของตัวกลาง Y เมือ่ เทียบกับตัวกลาง X เปนเทาใด (1.01)
ข. ถาในตัวกลาง Y เสียงมีอตั ราเร็ว 342 m/s ในตัวกลาง X เสียงจะมีอตั ราเร็วเทาใด (345.4 m/s)
วิธที าํ
7
บทที่ 12 เสียง
18. คลืน่ เสียงหนึง่ ผานเขาทางชองหนาตางกวาง 0.8 เมตร และสูง 1.2 เมตร ในแนวตัง้ ฉาก ผู
ฟงทีอ่ ยูข า งหนาตางจะไดยนิ เสียงชัดเจน ถาขณะนัน้ อุณหภูมขิ องอากาศ 38oC จงหาความถี่
ของเสียงนี้ ( กําหนดใหเกิดการเลีย้ วเบนในแนวราบ ) (442.5 Hz)
วิธที าํ
2.4 การแทรกสอดของเสียง
ในแนวเสริม หรือ แนวปฏิบพั คลืน่ เสียงมีการเสริมกัน จึงมีเสียงดังกวาปกติ
ในแนวหักลาง หรือ แนวบัพ คลืน่ เสียงมีการหักลางกัน จึงมีเสียงเบากวาปกติ
สูตรคํานวณสําหรับหรับแนวปฏิบัพลําดับที่ n (An)
⇔S1P – S2P⇔ = n ←
d sin ⊗ = n ←
เมือ่ P คือ จุดซึง่ อยูบ นแนวปฏิบพั ลําดับที่ n(An)
S1P คือ ระยะจาก S1 ถึง P
S2P คือ ระยะจาก S2 ถึง P
← คือ ความยาวคลืน่ (m)
n คือ ลําดับทีข่ องปฏิบพั นัน้
d คือ ระยะหางจาก S1 ถึง S2
⊗ คือ มุมทีว่ ดั จาก A0 ถึง An
สูตรคํานวณสําหรับแนวบัพลําดับที่ n (Nn)
S1P – S2P = (n – 12 )←
d sin ⊗ = (n – 12 ) ←
เมือ่ n คือ ลําดับทีข่ องแนวบัพนัน้
8
บทที่ 12 เสียง
19. คลืน่ ชนิดหนึง่ เมือ่ เกิดการแทรกสอด จะเกิดแนวดังรูป
ก. คลืน่ นีม้ คี วามยาวคลืน่ เทาใด (2m)
ข. ถาคลื่นนี้มีความถี่ 50 Hz จะมีความเร็วเทาใด
วิธที าํ ( 100 m/s)
9
บทที่ 12 เสียง
22. จากรูป S1 และ S2 เปนลําโพง 2 ตัว วางหางกัน 3 เมตร ใหคลืน่ ขนาดเดียวกันและมี
เฟสตรงกัน ถา P เปนตําแหนงเสียงดังครัง้ ทีส่ อง หางจากแนวกลางในทิศทํามุม 30o
คลืน่ ทีแ่ ผมคี วามยาวกีเ่ มตร
ก. 0.5 ข. 0.75 ค. 0.9 ง. 1.2 (ขอ ข)
วิธที าํ
23. A และ B เปนลําโพง 2 ตัววางหางกัน 2 เมตร ในทีโ่ ลง P เปนผูฟ ง หางจาก A 4 เมตร
และหางจาก B 3 เมตร เสียงความถีต่ าํ่ สุดทีค่ ลืน่ หักลางกันทําใหไดยนิ เสียงเบาทีส่ ดุ เปนเทาไร
(กําหนด ความเร็วเสียง = 340 m/s) (ขอ 4)
1. 270 Hz 2. 230 Hz 3. 190 Hz 4. 170 Hz
วิธที าํ
10
บทที่ 12 เสียง
ตอนที่ 3 ความเขมเสียง
3.1 ความเขมเสียง
เสียงทีอ่ อกมาจากจุดกําเนิดจะมีลกั ษณะแผออกเปนทรงกลมคลายลูกบอล กวางออกไป
เรือ่ ย ๆ ความเขมเสียง (I) คือ อัตราสวนของกําลังเสียง ตอ พืน้ ทีท่ เ่ี สียงกระจายออกไป
I= P หรือ I= P
A 4±R 2
เมื่อ I = ความเขมเสียง (วัตต/ตารางเมตร)
P = กําลังเสียง (วัตต)
A = พืน้ ที่ (ตารางเมตร)
R = รัศมีวงกลม (เมตร)
โปรดทราบ ! ความเขมเสียงมากที่สุดที่หูคนเราทนฟงได 1 w/m2
" ความเขมเสียงนอยทีส่ ดุ ทีค่ นเราไดยนิ คือ 10–12 w/m2 เราใชสัญลักษณ Io
# ถาเรานําความเขมที่จุดใด ๆ หารดวย Io ผลทีไ่ ดเรียกวา ความเขมสัมพัทธ
ดังนั้น ความเขมสัมพัทธ = I
I
o
25. หวูดรถไฟมีกําลังเสียง 20 วัตต จงหาความเขมเสียงทีจ่ ดุ หางจากหวูด 150 เมตร
วิธที าํ (7.07x10–5 w/m2)
11
บทที่ 12 เสียง
27(En 44/1) ในการทดลองเรือ่ งความเขมของเสียงวัดความเขมของเสียงทีต่ าํ แหนงทีอ่ ยูห า ง ไป
10 เมตร จากลําโพงได 1.2x10–2 วัตตตอ ตารางเมตร ความเขมเสียงทีต่ าํ แหนง
30 เมตร จากลําโพงจะเปนเทาใด
1. 1.1x10–2 W/m2 2. 0.6x10–2 W/m2
3. 0.4x10–2 W/m2 4. 0.13x10–2 W/m2 (ขอ 4)
วิธที าํ
3.2 ระดับความเขมเสียง
คาความเขมเสียง เปนคาทีม่ คี า นอย ตัวเลขยุง ยาก เราจึงนิยมเปลีย่ นใหอยูใ นรูปทีด่ งู า ยขึน้
คือ รูปของ ระดับความเขมเสียง (≤) วิธกี ารเปลีย่ น จะใชสมการ
≤ = 10 log I ≤ = 10 log I
I 10 12
-
o
เมือ่ ≤ คือ ระดับความเขมเสียง (เดซิเบล , dB)
I คือ ความเขมเสียง (วัตต/ตารางเมตร)
Io คือ ความเขมเสียงนอยสุดทีย่ งั ไดยนิ = 10–12 วัตต/ตารางเมตร
หมายเหตุ 1. log 10 = 1
2. log Mx = x log M เชน log 105 = 5 log 10 = 5(1) = 5
3. log x = log y ก็ตอ เมือ่ x = y
28. จงหาระดับความเขมเสียง ณ.จุดซึง่ มีคา ความเขมเสียง 1x 10–7 W/m2 ( 50 dB )
วิธที าํ
12
บทที่ 12 เสียง
30. จงหาระดับความเขมเสียง เสียงเมือ่ ผูฟ ง อยูห า งจากวิทยุ 1 เมตร เมือ่ กําลังเสียงของวิทยุ
เทากับ 4° x 10–3 วัตต ( 90 dB )
วิธที าํ
13
บทที่ 12 เสียง
สูตรเพิม่ เติมเกีย่ วกับระดับความเขมเสียง
I P
′2 – ′1 = 10 log I2 ′2 – ′1 = 10 log P2
1 1
R1 # 2 P R2
&
′2 – ′1 = 10 log $ R ! ′2 – ′1 = 10 log P2 R12
% 2" 1 2
เมือ่ ′1 , ′2 คือ ระดับความเขมเสียงตอนแรก และ ตอนหลัง (เดซิเบล)
I1 , I2 คือ ความเขมเสียงตอนแรก และ ตอนหลัง (วัตต/ตารางเมตร)
P1 , P2 คือ กําลังเสียงตอนแรก และ ตอนหลัง (วัตต)
R1 , R2 คือ ระยะหางตอนแรก และ ตอนหลัง (เมตร)
34(มช 31) ลําโพง 1 ตัว ใหเสียงที่ระดับความเขมของเสียง 60 dB ถาใชลําโพงชนิดเดียวกัน
10 ตัว จะใหความเขมของเสียงกี่ dB (ขอ ค)
ก. 600 dB ข. 100 dB ค. 70 dB ง. 60 dB
วิธที าํ
35(มช 34) ยุงตัวหนึง่ เมือ่ บินมาทีป่ ระตูหอ งซึง่ อยูห า งจาก นาย ก. 20 เมตร พบวาทําใหระดับ
ความดังมาถึงหูนาย ก. มีขนาด 20 เดซิเบล ถายุง 100000 ตัว ระดับความดังทีม่ าถึงหูนาย ก.
จะมีขนาดกี่ dB (70 dB)
วิธที าํ
14
บทที่ 12 เสียง
37(En 44/1) ระดับความเขมเสียงในโรงงานแหงหนึง่ มีคา 80 เดซิเบล คนงานผูห นึง่ ใสเครือ่ ง
ครอบหูซง่ึ สามารถลดระดับความเขมลงเหลือ 60 เดซิเบล เครือ่ งดังกลาวลดความเขมเสียง
ลงกีเ่ ปอรเซ็นต (ขอ 4)
1. 80 % 2. 88 % 3. 98 % 4. 99 %
วิธที าํ
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ตอนที่ 4 เสียงดนตรี
4.1 ความดังเบาของเสียง
ความดังหรือเบาของเสียงขึน้ อยู อัมปลิจดู ของคลืน่ เสียง
ถาคลื่นเสียงมีอัมปลิจูดสูง เสียงจะดัง
ถาคลื่นเสียงมีอัมปลิจูดต่ํา เสียงจะเบา
4.2 ระดับเสียง ( ความทุม แหลมของเสียง )
ความทุม แหลม ของเสียงจะขึน้ อยู ความถี่ของคลื่นเสียง
ถาคลื่นเสียงมีความถี่สูง เสียงจะแหลม เรียกวา ระดับเสียงสูง
ถาคลื่นเสียงมีความถี่ต่ํา เสียงจะทุม เรียกวา ระดับเสียงต่ํา
ชวงความถี่ของเสียงที่หูคนปกติจะไดยิน คือ ชวง 20 – 20000 Hz เทานัน้
เสียงที่มีความถี่ต่ํากวา 20 Hz ลงไปเรียก Infra Sonic
เสียงที่มีความถี่สูงกวา 20000 Hz ขึน้ ไปเรียก Ultra Sonic
หูคนปกติจะไมไดยินเสียงพวกนี้
38. สมบัติของเสียงขอใดที่มีผลตอความดังของเสียงมากที่สุด
ก. ความยาวคลื่น ข. ความถี่ ค. อัมพลิจดู ง. ความเร็วคลืน่ (ขอ ค)
39(มช 37) ความถี่ของคลื่นเสียงที่ระดับความเขมเสียง 70 เดซิเบล ทีห่ ขู องคนปกติไม
สามารถไดยิน คือ
1. 30 2. 1000 3. 10000 4. 30000 (ขอ 4)
15
บทที่ 12 เสียง
ตัวอยางสมมุติ 90% 4% 4% 1% 1%
เสียงขลุย โด โดℑ โดℑℑ โดℑℑℑ โดℑℑℑℑ
เสียงเปยโน โด โดℑ โดℑℑ
95% 3% 2%
42(En 41) วงดนตรีทป่ี ระกอบดวยเครือ่ งดนตรีหลายชนิด เมือ่ เลนพรอมกัน แตเราสามารถแยก
ไดวา เสียงใดเปนเสียงไวโอลิน เสียงใดเปนเสียงขลุย และเสียงใดเปนเสียงเปยโน เนือ่ งจาก
เสียงดนตรีแตละชนิดมีลกั ษณะเฉพาะตามขอใดทีต่ า งกัน (ขอ 4)
1. ระดับเสียง 2. ระดับความเขมเสียง 3. ความถี่เสียง 4. คุณภาพเสียง
16
บทที่ 12 เสียง
43(มช 34) คุณภาพเสียงอธิบายไดดวยคุณสมบัติของเสียงขอใด
ก. ความดังของเสียง และระดับความดัง
ข. ความถี่ของเสียง และความเร็วของเสียง
ค. ระดับเสียง และความถี่ธรรมชาติ
ง. จํานวนฮารโมนิก และ ความเขมของเสียงของฮารโมนิก (ขอ ง)
4.4 บีสตของเสียง
หากมีคลื่นเสียง 2 คลื่น ซึ่งมีความถี่ตางกันเล็กนอยเขามาปนกัน คลื่นทั้งสองจะเกิด
การแทรกสอดกันเอง แลวจะไดคลื่นรวมที่มีอัมปลิจูดสูงต่ําสลับกันไป เสียงที่เกิดจากคลื่น
รวมจะมีลักษณะดังสลับกับเบา ปรากฏการณทเ่ี กิดขึน้ นี้ เรียกวา บีสตของเสียง
17
บทที่ 12 เสียง
45(มช 32) ในการปรับเสียงเปยโน โดยผูปรับใชวิธีเคาะสอมเสียง ความถีม่ าตรฐานเทียบกับ
เสียงทีไ่ ดจากการกดคียเ ปยโนคียห นึง่ ถาเสียงที่ไดยินเปนลักษณะดังแลวคอยจางหาย แลว
ดังอีกเปนจังหวะสลับกันไป เขาก็จะปรับความตึงของลวดเปยโนจนกวาเสียงทีไ่ ดยนิ จะดัง
เปนเสียงเดียวตอเนือ่ งกันไป การกระทําอยางนีอ้ าศัยหลักการของปรากฏการณทเ่ี รียกวา
ก. Doppler effect (ปรากฏการณดอปเปเปอร) ข. Resonance (กําทอน)
ค. Shock waves (คลื่นกระแทก) ง. Beats (ขอ ง)
46. นักเรียนคนหนึง่ เลนไวโอลินความถี่ 507 เฮิรตซ และนักดนตรีอกี คนหนึง่ เลนกีตาร ความถี่
512 เฮิรตซ ถาทัง้ สองคนเลนพรอมกัน จะเกิดปรากฏการณบีตสที่ความถี่เทาใด (2 Hz)
วิธที าํ
47. ในการปรับเสียงของเปยโนระดังเสียง C โดยเทียบกับสอมเสียงความถี่ 256.0 Hz ถาได
ยินเสียงบีตสความถี่ 3.0 ครัง้ /วินาที ความถีท่ เ่ี ปนไปไดของเปยโนมีคา เทาใด (253 , 259 Hz)
วิธที าํ
48. คลื่น 2 ขบวน A และ B มีแอมปลิจดู เทากัน คลื่นละ 2 เซนติเมตร มีความถี่ 200 และ
204 เฮิรตซ ตามลําดับ ถาคลืน่ ทัง้ สองเขารวมกันเปนคลืน่ C ความถี่ของคลื่น C และ
ความถี่บีสตของคลื่น C มีคาเทาใด ในหนวยของเฮิรตซ ( 202 , 4 )
วิธที าํ
18
บทที่ 12 เสียง
49(มช 40) ลําโพง A และ B ในรูปมีกําลัง และสมบัติอื่นๆ เหมือนกันทุกประการ ถา A และ B
ตางกําลังสงสัญญาณเสียงเปนรายการเพลงที่กําลังออกอากาศทางสถานีวิทยุแหงหนึ่ง โดย
สัญญาณทีป่ อ นเขาสูล าํ โพงทัง้ สองนีเ่ หมือนกันทุกประการตลอดเวลา ความเขมเสียงที่
ตําแหนงตาง ๆ บนแนวแกน (แนวเสนตรง PQ) ทีเ่ ชือ่ มระหวางลําโพงทัง้ สองนีจ้ ะมี
ลักษณะเปนอยางไร
1. มีคาต่ําสุดที่ R ซึ่งอยูกึ่งกลางระหวาง ลําโพง A และ B พอดี
2. มีคา สม่าํ เสมอเทากันตลอด
3. มีคาสูงสุดที่ R
4. มีคา เปนศูนยทบ่ี างตําแหนงระหวาง P และ Q (ขอ 4)
วิธที าํ
19
บทที่ 12 เสียง
4.7 การสัน่ พองของเสียง (Resonance)
เมื่อเราสงคลื่นเสียงเขาไปในทอปลายตัน เสียงทีส่ ง เขาไปนัน้ จะไปกระทบผนังดานใน
คลื่นเสียงนั้นจะเกิดการสะทอนออกมา แลวมาแทรกสอดกับคลื่นที่เขาไปเกิดเปนคลื่นนิ่งและ
หากตรงตําแหนงปากทอเปนแนวปฏิบัพของคลื่นนิ่งนั้น จะทําใหโมเลกุลตัวกลาง (อากาศ) สั่น
สะเทือนอยางรุนแรงกวาปกติทําใหเสียงที่ออกมาจากทอนั้น ดังกวาปกติเชนกัน
ปรากฏการณที่มีเสียงดัง อันเกิดจาก
อนุภาคตัวกลางสั่นสะเทือนอยางรุนแรงเชน
นี้ เรียกวาการสัน่ พองของเสียง (กําทอน)
ควรทราบเพิม่ เติมเกีย่ วกับการสัน่ พอง
ประการที่ 1 ทอทีท่ าํ ใหเกิดเสียงดัง จะตอง
เปนทอทีม่ คี วามพอดีทจ่ี ะทําใหปากทออยู
ตรงกับแนวปฏิบพั ของคลืน่ นิง่ พอดี หาก
ปากทอตรงกับแนวบัพจะไมเกิดเสียงดัง
ดังแสดงในรูปภาพ
และทีส่ าํ คัญ
ความยาวทีท่ าํ ใหเกิดสัน่ พองแตละครัง้
ที่อยูถัดกัน จะอยูหางกัน = ↑2
ความยาวจากปากทอถึงจุดทีเ่ กิดสัน่ พอง
ครัง้ แรก จะมีความยาว = ↑4
20
บทที่ 12 เสียง
53. การทดลองหาอัตราเร็วเสียงในอากาศโดยใชหลอดกําทอน พบวาหลังจากเกิดสัน่ พองแลวก็
เลือ่ นลูกสูบถอยหลังไปอีก 25 cm จึงเกิดสัน่ พองอีกครัง้ ถาความถี่ 680 Hz จงหาอัตรา
เร็วเสียงในอากาศ (340 m/s)
วิธที าํ
22
บทที่ 12 เสียง
23
บทที่ 12 เสียง
59(En 33) ในการดีดพิณระดับเสียง จะเพิม่ ขึน้ ไดเมือ่
ก) ความตึงของสายพิณเพิม่ ขึน้
ข) สายพิณยาวขึน้
ค) น้าํ หนักตอความยาวของสายพิณมีคา เพิม่ ขึน้
ง) จํานวนคลืน่ นิง่ ทีเ่ กิดขึน้ ในสายพิณมีจาํ นวนมากขึน้
จงพิจารณาวาขอความขางตนขอใดถูก (ขอ 1)
1. ก และ ง 2. ข และ ค 3. ข เทานัน้ 4. ถูกทุกขอ
วิธที าํ
24
บทที่ 12 เสียง
ตอนที่ 5 ปรากฏการณดอปเปลอร และ คลืน่ กระแทก
5.1 ปรากฏการณดอปเปลอร
หมายถึง ปรากฏการณเปลีย่ นแปลงระดับเสียง (ความถีข่ องเสียง) เมือ่ แหลงกําเนิด
และ ผูส งั เกตุเคลือ่ นทีด่ ว ย ความเร็วสัมพัทธตอ กัน
เสียงกระจายออกจากเปยโน
26
บทที่ 12 เสียง
65(En 40) ชายคนหนึง่ เคาะสอมเสียงซึง่ มีความถี่ f แลวนําไปแกวงเปนวงกลมในแนวระดับ
ดังรูป ชายอีกคนหนึง่ ซึง่ นัง่ นิง่ อยูจ ะไดยนิ เสียง ขณะทีส่ อ มเสียงอยูใ นตําแหนง ABC
และ D ดังรูป ดวยความถี่ fA fB fC และ fD ตามลําดับ ขอตอไปนีข้ อ ใดถูก
1. fA < fB = fD < fC
2. fC < fB = fD < fA
3. fD < fA = fC < fB
4. fB < fA = fC < fD (ขอ 4)
วิธที าํ
28
บทที่ 12 เสียง
5.2 คลืน่ กระแทก
ถาแหลงกําเนิดเคลือ่ นทีเ่ ร็วกวาเสียง เรียก
วา Supersonic Speed จะเกิดปรากฏการณดงั รูป
ลักษณะนี้เรียกวา เกิดคลื่นกระแทกขึ้น ซึ่งจะทํา
ใหเกิดเสียงดังมากเหมือนกับระเบิด และเกิดแรง
ดันขึน้ อยางมหาศาล เรียกวา Sonic boom เชน ในกรณีทเ่ี ครือ่ งไอพนบินดวยความเร็วมากกวา
เสียง แรงดันทีเ่ กิดขึน้ นี้ อาจทําใหกระจกหนาแตกได
69. เสียง Sonic boom เปนเสียงทีเ่ กิดจาก
ก. แหลงกําเนิดทัว่ ไปทีห่ ยุดนิง่
ข. แหลงกําเนิดเคลือ่ นทีแ่ ตชา กวาความเร็วคลืน่
ค. แหลงกําเนิดเคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็วเทากับเสียง
ง. แหลงกําเนิดเคลือ่ นทีเ่ ร็วกวาความเร็วเสียง (ขอ ง.)
จากรูปของคลืน่ กระแทกจะไดวา
Sin± = VVos = M1 = hx
เมือ่ ± = มุมครึง่ หนึง่ ของยอดกรวยเสียง
Vo = ความเร็วเสียง (m/s)
Vs = อัตราเร็วแหลงกําเนิดเสียง (m/s)
M = เลขมัค คือ จํานวนเทาตัวของความเร็วเสียง
h = ความสูงจากพื้นดินถึงเพดานบิน
x = ระยะจากจุดสังเกตถึงแหลงกําเนิดเสียง ตอนทีไ่ ดยนิ เสียงพอดี
29
บทที่ 12 เสียง
70. เครือ่ งบิน บินดวยอัตราเร็ว 1.5 Mach เหนือระดับพืน้ ดิน 3 km คนจะไดยนิ เสียงเครือ่ งบิน
เมือ่ เครือ่ งบิน บินอยูห า งคนเทาใด (4.5 km)
วิธที าํ
71(En 21) เครือ่ งบิน บินดวยอัตราเร็ว 510 m/s ในแนวระดับ ซึ่งสูงจากพื้น ดิน 6 กิโลเมตร
ชายคนนัน้ ยืนอยูบ นถนนจะไดยนิ เสียงเครือ่ งบิน เมือ่ เครือ่ งบินอยูห า งจากชายผูน น้ั เปนระยะ
ทางกี่กิโลเมตร (กําหนดอัตราเร็วของเสียง = 340 เมตร/วินาที)
ก. 6 ข. 6.7 ค. 9 ง. 12 (ขอ ค)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
30
บทที่ 12 เสียง
แบบฝ ก หั ด ฟ สิ ก ส บทที่ 12 เสี ย ง
อัตราเร็วเสียง
1. คลื่นเสียงความถี่ 170 เฮิรตซ มีอตั ราเร็วในอากาศ 340 เมตร/วินาที จงหาระยะหางระหวาง
สวนอัดกับสวนขยายที่อยูใกลกันที่สุด ( คือหา ← / 2 นั่นเอง) ( 1 ม.)
2. จงหาอัตราเร็วของเสียงในอากาศ ณ อุณหภูมิ 15o C (340 m/s)
3. ุ หภูมิ 25oC อยาก
แหลงกําเนิดเสียงอันหนึง่ สัน่ ดวยความถี่ 692 Hz วางไวในอากาศทีอ่ ณ
ทราบวาคลื่นเสียงที่ออกจากแหลงกําเนิดนี้จะมีความยาวคลื่นเทาไร (0.5 ม.)
4. ถาเห็นฟาแลบและไดยินเสียงฟารองในเวลา 3 วินาที ตอมา จงหาตําแหนงที่ฟาแลบอยูไกล
เทาไร เมือ่ อัตราเร็วเสียงในอากาศ 340 เมตร/วินาที (1020 ม)
5. เสียงเคลือ่ นทีผ่ า นอากาศบริเวณหนึง่ มีอตั ราเร็ว 342 เมตร/วินาที เมือ่ ผานไปยังอีกบริเวณ
หนึง่ อัตราเร็วเปลี่ยนเปน 348 เมตร/วินาที จงหาวาบริเวณทั้งสองมีอุณหภูมิแตกตางกันกี่องศา
(10oC)
6. ชายคนหนึ่งกําลังวายน้ํา เห็นเรือบรรทุกกําลังจะจม และเห็นแสงไฟจากการระเบิดของเรือ 1
ครัง้ แตปรากฏวาไดยนิ เสียงระเบิดตามมา 2 ครัง้ ในเวลาหางกัน 2.4 วินาที ถาขณะนั้น
อัตราเร็วเสียงในอากาศ 340 เมตร/วินาที และอัตราเร็วเสียงในน้าํ 1496 เมตร/วินาที อยาก
ทราบวาตําแหนงทีเ่ รือจมอยูห า งจากชายคนนัน้ เทาใด (1056 เมตร)
7. เมือ่ เคาะทอเหล็กยาว 1 ครั้งที่ปลายขางหนึ่ง ปรากฏวาผูฟงซึ่งอยูที่ปลายอีกขางหนึ่งของทอ
เหล็กจะไดยินเสียงเคาะ 2 ครัง้ หลังจากเคาะแลวเปนเวลา 0.2 วินาที และ 3 วินาที ตาม
ลําดับ ถาขณะเคาะทอเหล็ก อากาศมีอณ ุ หภูมิ 25o C จงหาความยาวของทอเหล็กและอัตรา
เร็วของเสียงในทอเหล็กขณะนัน้ (1038 เมตร , 5190 m/s)
33
บทที่ 12 เสียง
29. สีไวโอลิน 1 ตัว วัดระดับความเขมเสียงได 60 เดซิเบล ถาตองการใหไดระดับความเขม
เสียง 70 เดซิเบล ณ ตําแหนงเดิมตองสีไวโอลินพรอมกันกีต่ วั (10 ตัว)
30. แหลงกําเนิดเสียงหนึ่งสงเสียงออกไปทุกทิศทางอยางสม่ําเสมอ ณ ตําแหนงซึ่งหางจากแหลง
กําเนิดเสียง 10 เมตร วัดระดับความเขมเสียงได 60 เดซิเบล จงหาระดับความเขมเสียง
ณ ตําแหนงทีอ่ ยูห า ง จากแหลงกําเนิดเสียง 100 เมตร (40 dB)
31. ในการวัดระดับความเขมเสียงที่ระยะ 10 เมตร จากแหลงกําเนิดเสียงทีเ่ ปนจุดมีคา 80
เดซิเบล ทีจ่ ดุ หางจากแหลงกําเนิดอันเดิมกีเ่ มตร ระดับความเขมเสียงจึงเทากับ 40 เดซิเบล
(1000 เมตร)
32. แหลงกําเนิดใหเสียงมีระดับความเขมเสียง 90 เดซิเบล ผานหนาตางซึ่งมีพื้นที่ 1.5 ตาราง
เมตร จงหากําลังของแหลงกําเนิดเสียง (1.5x10–3 W)
33. เสียงจากแหลงกําเนิด 2 แหลง ที่มายังจุดสังเกตหนึ่งพบวามีความเขมสัมพัทธ 101 จงหา
ผลตางของระดับความเขมเสียงทั้งสอง ณ จุดสังเกตนี้ (ความเขมสัมพัทธ คือ II ∴ ΛI12 )
0 10
(10 dB)
34. นักรองประสานเสียงกลุมหนึ่งมี 40 คน จะสงเสียงมีระดับความเขมเสียง 60 เดซิเบล ที่
จุดหางออกไป 40 เมตร อยากทราบวาถามีนักรองประสานเสียงอีกกลุมหนึ่งมี 60 คน จะ
ใหเสียงมีระดับความเขมเสียงเทาใดที่จุดหางออกไป 60 เมตร (ถาถือวานักรองแตละคน
ใหกําลังเสียงออกมาเทากัน) (58.239 dB)
กําหนด log 2 = 0.3010 log 3 = 0.4771
35. ถาขณะที่อยูหางจากแหลงกําเนิดเสียง 10 เมตร ไดยินเสียงที่มีระดับความเขม 60 เดซิเบล
จงหาระดับความเขมเสียง เมือ่ อยูห า งจากแหลงกําเนิดเสียงนีเ้ ปนระยะ 20 เมตร (54 dB)
บีตส
36. คลื่นเสียง 2 คลื่นมีความถี่ 248 เฮิรตซ และ 252 เฮิรตซ เคลื่อนที่มาพบกันทําใหเกิดการ
รวมกันของคลืน่ ทัง้ สอง จงหา
ก) ความถี่ของเสียงที่ไดยิน ข) จังหวะของการไดยินเสียง ( 250 , FB= 4)
37. ถาตองการใหเกิดเสียงดังเปนจังหวะหางกันทุก 0.25 วินาที จะตองเคาะสอมเสียงความถี่
450 เฮิรตซ พรอมกับสอมเสียงที่มีความถี่เทาไร (446 Hz , 454 Hz)
34
บทที่ 12 เสียง
38. คลื่นเสียงสองคลื่นเคลื่อนที่มาพบกันวัดความถี่ของเสียงได 466 เฮิรตซ และใหเสียงบีตส
4 ครัง้ /วินาที จงหาความถี่ของคลื่นแตละคลื่น (468, 464 Hz)
39. สอมเสียง 3 อัน มีความถี่เทากับ f1 , f2 และ f3 ตามลําดับโดยที่ f1 < f2 < f3 ถาเคาะ
สอมเสียงอันแรกกับอันที่สองพรอมกันทําใหเกิดบีตสมีความถี่ 2 เฮิรตซ แตถา เคาะอันที่
สองกับอันที่สามพรอมกันจะเกิดบีตสมีความถี่ 4 เฮิรตซ ถาเคาะอันที่หนึ่งกับอันที่สาม
พรอมกันจะเกิดบีตสความถีก่ เ่ี ฮิรตซ (6 Hz)
40. สอมเสียงสองอันใหคลื่นเสียงมีความยาวคลื่น 2 เมตรและ 2.05 ตามลําดับ เมื่อเคาะสอมเสียง
ทั้งสองพรอมกันทําใหเกิดบีตส 4 ครัง้ /วินาที จงหาอัตราเร็วของคลื่นเสียง (328 m/s )
35
บทที่ 12 เสียง
45. ในการทดลองเรือ่ งการสัน่ พองของเสียง ไดผลการทดลองดังนี้
ความถี่ (kHz) ตําแหนงของลูกสูบขณะเกิดเสียงดังเพิ่มขึ้น X2 – x1 (m)
x1 (m) x2 (m)
1 0.25 0.42
ความเร็วของคลืน่ เสียงในกรณีนค้ี อื (340 m/s)
46. ในการทดลองเรือ่ งการสัน่ พองของเสียง ถาใชสอมเสียงความถี่ 686 เฮิรตซ ในการทดลอง
และอุณหภูมิขณะทดลองเทากับ 20 องศาเซลเซียส ตําแหนงของลูกสูบจากปากหลอด
เรโซแนนซ ขณะเกิดการสัน่ พองครัง้ แรกจะหางจากตําแหนงของลูกสูบขณะเกิดการสัน่ พอง
ครั้งถัดไปเปนระยะเทาใด (0.25 เมตร)
ปรากฏการณดอปเปอร
47. รถไฟสองขบวน แลนสวนทางกันบนรางขนานดวยอัตราเร็วขบวนละ 20 เมตร/วินาที
ในขณะทีเ่ สียงมีอตั ราเร็ว 340 เมตร/วินาที ถาขบวนใดขบวนหนึ่งเปดหวูดมีความถี่เสียง
2000 เฮิรตซ (0.16 เมตร)
ก. ผูฟงอยูในรถไฟอีกขบวนหนึ่งจะไดยินเสียงมีความถี่และความยาวคลื่นเทาใด
ข. ถารถไฟทั้งสองขบวนสวนทางกันไปแลวผูฟงคนเดิมจะไดยินเสียงมีความถี่และความ
ยาวคลื่นเทาใด
48. รถยนตคนั หนึง่ กําลังแลนไปดวยอัตราเร็ว 25 เมตร/วินาที บีบแตรสงเสียงความถี่ 400
เฮิรตซออกมา ผูส งั เกตอยูใ นรถอีกคันหนึง่ ซึง่ กําลังแลนดวยอัตราเร็ว 20 เมตร/วินาที จะได
ยินเสียงแตรมีความถี่เทาใด ถาอัตราเร็วเสียงในอากาศ = 340 เมตร/วินาที)
ก) แลนอยูด า นหนาสวนทางกับรถคันแรก (457.14 Hz)
ข) แลนอยูด า นหนาไปทางเดียวกันกับรถคันแรก (406.35 Hz)
ค) แลนอยูด า นหลังไปทางเดียวกับรถคันแรก (394.52 Hz)
ง) แลนอยูด า นหลังสวนทางกับรถคันแรก (350. 68 Hz)
36
บทที่ 12 เสียง
คลืน่ กระแทก
49. เครือ่ งบินบินดวยอัตราเร็ว 510 เมตร/วินาที ในแนวระดับเหนือพืน้ ดิน 4 กิโลเมตร
ในขณะทีเ่ สียงมีอตั ราเร็วในอากาศ 340 เมตร/วินาที จงหา
ก. เลขมัค (1.5)
ข. มุมระหวางหนาคลืน่ กระแทกกับแนวการเคลือ่ นทีข่ องเครือ่ งบิน (sin–1 23 )
ค. เมือ่ คนทีพ่ น้ื ดินไดยนิ เสียงนัน้ เครือ่ งบินอยูห า งจากคนคนนัน้ เทาไร (6 km)
ง. เมือ่ คนทีพ่ น้ื ดินไดยนิ เสียงนัน้ เครือ่ งบินผานศรีษะไปแลวทํามุมเทาไร (cos–1 23 )
จ. หลังจากเครือ่ งบินผานศรีษะในแนวดิง่ ไปแลวนานเทาไร จึงไดยนิ เสียงของเครือ่ งบิน
50. เรือเร็วลําหนึง่ แลนดวยอัตราเร็ว 30 เมตร/วินาที ในแนวขนานฝง แมนาํ้ หางจากฝง 90
เมตร คนทีอ่ ยูร มิ แมนาํ้ จะสังเกตเห็นคลืน่ จากเรือกระทบฝง เมือ่ เรือแลนผานไปแลว 4 วินาที
จงหาอัตราเร็วของคลืน่ น้าํ (18 m/s)
51. เครือ่ งบินลําหนึง่ กําลังบินในแนวระดับดวยอัตราเร็ว 2 มัด จงหา
ก. มุมระหวางหนาคลืน่ กระแทกกับแนวการเคลือ่ นทีข่ องเครือ่ งบิน ( 30o )
ข. ขณะผูฟ ง ทีพ่ น้ื ดินไดยนิ เสียงเมือ่ เครือ่ งบินผานแนวดิง่ ไปแลวเปนมุมเทาใด ( 60o )
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
38
บทที่ 13 แสง
ฟ สิ ก ส บทที่ 13 แสง
ตอนที่ 1 การแทรกสอดแสง
ทบทวนการแทรกสอดของคลืน่ น้าํ
สําหรับแนวปฎิบัพลําดับที่ n(An)
⇔S1P – S2P⇔ ⇔ = n← ←
d sin ± = n ←
เมื่อ P คือจุดซึ่งอยูบนแนวปฎิบัพลําดับที่ n(An)
S1P คือ ระยะจาก S1 ถึง P
S2P คือ ระยะจาก S2 ถึง P
← คือ ความยาวคลื่น (m)
n คือ ลําดับที่ของปฎิบัพนั้น
d คือ ระยะหางจาก S1 ถึง S2
± คือ มุมที่วัดจาก A0 ถึง An
1. คลืน่ ชนิดหนึง่ เมือ่ เกิดการแทรกสอดจะเกิดแนว ดังรูป
ก. คลื่นนี้มีความยาวคลื่นเทาใด (0.75 เมตร)
ข. ถาคลื่นนี้มีความถี่ 500 Hz จะมีความเร็วเทาใด (375 m/s)
วิธที ํา
39
บทที่ 13 แสง
สําหรับแนวบัพลําดับที่ n (Nn)
⇔S1P – S2P⇔⇔= Φn – 12 Γ←
d sin ± = Φn – 12 Γ←
n คือ ลําดับทีข่ องแนวบัพนัน้
การแทรกสอดแสง
ในแนวปฏิบัพ (An) (แถบสวาง)
S 1 P – S2 P = n ←
d sin± = n ←
← = nd Dx
ในแนวบัพ (Nn) (แถบมืด)
S1P – S2P = (n – 12 )←
d sin± = (n – 12 )←
← = d 1x
(n - 2 )D
40
บทที่ 13 แสง
เมือ่ ← = ความยาวคลื่น x = ระยะจากแนวกลางถึงแถบ
n = ลําดับที่ของแถบสวางหรือแถบมืด สวาง หรือ แถบมืดที่ n
d = ความหางชองสลิต D = ระยะจากสลิตถึงฉากรับ
4. เมื่อฉายแสงที่มีความยาวคลื่น 500 nm ตกตั้งฉากบนชองแคบคูหนึ่งซึ่งหางกัน 0.1 mm
จงหาวาแถบสวางลําดับที่ 20 จะเอียงทํามุมกับแถบสวางกลางกี่องศา (sin 6o = 0.1) (6o)
วิธที ํา
41
บทที่ 13 แสง
7(En 42/1) เมื่อใชแสงที่มีความยาวคลื่น 5.0x10–7 เมตร ตกตั้งฉากกับสลิตคูเกิดภาพ
การแทรกสอดบนฉากทีอ่ ยูห า งออกไป 1.2 เมตร ถาระยะหางระหวางสลิตคูเทากับ
0.1 มิลลิเมตร แถบสวาง 2 แถบที่ติดกันอยูหางกันกี่มิลลิเมตร ( 6 mm)
วิธที ํา
8(En 43/1) ใหแสงทีม่ คี วามยาวคลืน่ 500 นาโนเมตร ผานสลิตคูใ นแนวตัง้ ฉาก เกิดลวดลายการ
แทรกสอดบนฉากทีอ่ ยูห า งจากสลิต 1.5 เมตร วัดระยะระหวางกึ่งกลางของแถบสวาง 2 แถบที่
ถัดกันได 5 มิลลิเมตร สลิตคูน ม้ี รี ะยะหางระหวางชองสลิตเทาใดในหนวยมิลลิเมตร (0.15 mm)
วิธที ํา
42
บทที่ 13 แสง
10(En 41) แสงขาวตกตัง้ ฉากกับเกรตติง สเปกตรัมลําดับที่ 3 ของแสงสีมวงตรงกับสเปกตรัม
ลําดับที่ 2 ของแสงสีแดง ถาความยาวคลื่นของแสงสีมวงเปน 440 นาโนเมตร ความยาว
คลืน่ ของแสงสีแดงเปนกีน่ าโนเมตร ( 660 mm)
วิธที ํา
43
บทที่ 13 แสง
13(En 36) จากการทดลองเพื่อศึกษาสเปกตรัมของกาซ
ไฮโดรเจน โดยใชเกรตติงซึง่ มีจาํ นวนชอง/เซนติเมตร
เทากับ 4500 ดังรูป พบวาเมื่อระยะ D เทากับ
1 เมตร จะมีแถบสวางสีเดียวกันบนไมเมตรหางจาก
จุด O ทั้งทางดานซายและขวาเทากันคือ 0.3 เมตร
จงหาวาแถบสวางนั้น มีความยาวคลื่นประมาณ
1. 464 nm 2. 565 nm 3. 632 nm 4. 667 nm ( ขอ 4.)
วิธที ํา
44
บทที่ 13 แสง
16. สองแสงสีแดงตั้งฉากกับเกรตติงอันหนึ่งปรากฏแถบสวางที่ 1 จะเบนออกจากแนวกลาง
ไปเปนมุม 45 องศา ถานําเกรตติงอีกอันหนึง่ ทีม่ รี ะยะระหวางชองเปน 3 เทาของอันแรก
มาวางแทนแถบสวางที่ 3 จะเบนออกจากแนวกลางเปนมุมกีอ่ งศา (45o)
วิธที ํา
ทบทวนการเลีย้ วเบนของคลืน่
หลักของฮอยเกนส กลาววา
“ ทุก ๆ จุดบนหนาคลืน่ สามารถประพฤติตัวเปนแหลง
กําเนิดคลื่นใหมได”
45
บทที่ 13 แสง
18. หลักของฮอยเกนสใชอธิบายปรากฎการณใด (ขอ ก)
ก. การเลี้ยวเบน ข. การแทรกสอด ค. การเปลี่ยนเฟส ง. การหักเห
การเลีย้ วเบนแสง
การเลี้ยวเบนของคลื่นใด ๆ จะเกิด
ไดดกี ต็ อ เมือ่ ความกวางของชองแคบมี
ขนาดเล็กกวาความยาวคลื่น (←)
สําหรับคลื่นแสง หากความกวาง
ชองแคบมีขนาดใหญกวาความยาวคลื่น
จะทําใหเกิดแนวมืด เรียกแนวบัพ (N)
สมการเกี่ยวกับการเลี้ยวเบน
ในแนวบัพ (Nn)
d sin ± = n←
← = nD dx
เมือ่ ← = ความยาวคลื่น
n = ลําดับที่ของแถบมืด
d = ความกวางของชองสลิตเดี่ยว
x = ระยะจากแนวกลางถึงแถบมืดที่ n
D = ระยะจากสลิตถึงฉากรับ
19. ฉายแสงผานสลิตเดี่ยวทําใหเกิดแนวมืดแถบแรกเบนไปจากแนวกลางเปนมุม 30o
กําหนดความยาวคลื่น 650 nm จงหาความกวางของชองสลิต ( 1.3 ⊄m)
วิธที ํา
46
บทที่ 13 แสง
20(En 42/2) ใชแสงมีความยาวคลืน่ 400 นาโนเมตร ตก
ตัง้ ฉากผานสลิตเดีย่ วทีม่ คี วามกวางของชองเทากับ 50
ไมโครเมตร จากการสังเกตภาพเลีย้ วเบนบนฉาก พบ
วาแถบมืดแถบแรกอยูหางจากกึ่งกลางแถบสวางกลาง
6.0 มิลลิเมตร ระยะระหวางสลิตเดีย่ วกับฉากเปนเทา
ใดในหนวยเซนติเมตร (75)
วิธที ํา
47
บทที่ 13 แสง
23. สลิตเดี่ยววางหางจากฉาก 60 cm ใชแสงความยาวคลื่น 600 nm ทําใหเกิดแถบการเลี้ยว
เบนขึ้นที่ฉากวัดความกวางแถบสวางอันกลางได 0.7 cm จงหาความกวางชองสลิต
วิธที าํ (1.03x10–4 m)
48
บทที่ 13 แสง
49
บทที่ 13 แสง
8. เมื่อใชแสงสีแดงความยาวคลื่น 650 นาโนเมตร ตกตั้งฉากกับสลิตคู เกิดภาพแทรกสอดบน
ฉาก โดยแถบสวาง 2 แถบติดกันอยูหางกัน 0.25 มิลลิเมตร แตถาใชแสงสีมวงความยาว
คลืน่ 400 นาโนเมตร ตกตั้งฉากกับสลิตคูดังกลาว แถบสวาง 2 แถบติดกันจะหางกันกี่มิลลิเมตร
(0.15)
9. ฉายแสงสองคาความถี่ผานตั้งฉากกับสลิตคูไปยังฉากปรากฏวาลําดับที่ 2 ของแสงที่มีความ
ยาวคลื่น 750 nm. ซอนอยูกับลําดับที่ 3 ของแสงสีหนึ่งแลวแสงสีนั้นจะมีความยาวคลื่นกี่
นาโนเมตร (500 nm)
10. เมื่อใหแสงความยาวคลื่น ←1 และ ←2 ผานสลิตคูซึ่งหางกัน d พบวาแถบมืดที่ 4 ของ
แสงความยาวคลื่น ←1 เกิดขึ้นที่เดียวกับแถบมืดที่ 5 ของแสงความยาวคลื่น ←2 อัตราสวน
ของ ←1 / ←2 มีคาเทาใด (917)
11. ในการทดลองเรื่องการแทรกสอดของแสง โดยใชสลิตคู สําหรับแสงสีเดียว A และแสงสี
เดียว B พบวา แถบมืดที่ 5 นับจากแถบสวางกลางออกไปดานขางของแสง A ตกทับแถบ
สวางอันดับที่ 4 ของแสง B พอดี จะหาคาอัตราสวนของความยาวคลืน่ แสง A ตอความยาว
คลื่นแสง B ( 89 )
12. ฉายแสง A และ B ใหผานชองสลิตคูขนานกันไปบนฉากที่อยูหางออกไประยะหนึ่ง
ปรากฏวาริ้วมืดที่สี่ของแสง A อยูซอนพอดีกับริ้วสวางที่หาของแสง B ถาแสง A มีความ
ยาวคลื่น 5.8x10 –7 เมตร แสง B จะมีความยาวคลืน่ เทาใดในหนวยของเมตร
(4.06x10–7 เมตร)
13. เกรตติงมี 10,000 เสนตอเซนติเมตร ถาฉายแสงความยาวคลื่น ← ตกตัง้ ฉากกับเกรตติง
แถบสวางที่เกิดขึ้นแถบแรกบนจอ จะอยูหางจากแนวกลางเปนมุม 30o คา ← มีคาเทาใด
(500 nm)
14. เกรตติงอันหนึง่ ชนิด 4000 ชอง/เซนติเมตร ถาใหแสงมีความยาวคลื่น 600 นาโนเมตร
สองผานจะเห็นแถบสวางบนฉากทั้งหมดกี่แถบ (9 แถบ)
15. เกรตติงชนิด 6000 เสน/เซนติเมตร มีแสงตกผานทําใหเกิดแถบที่สองเบนทํามุม 37o กับ
แถบสวางกลาง ถาระยะหางจากเกรตติงไปยังฉากเทากับ 60 เซนติเมตร จงหาความยาวคลื่น
(500 nm)
50
บทที่ 13 แสง
16. ใชแสงที่มีความยาวคลื่น 500 นาโนเมตร สองผานเกรตติงอันหนึง่ ทําใหแถบสวางที่ 2
เบนไปเปนมุม 30o จากแนวกลาง จงหาจํานวนชอง/เซนติเมตร ของเกรตติงนี้ (5000)
17. แสงความชวงคลื่น 600 นาโนเมตร พุง ผานเกรตติง พบวาแนวแถบสวางที่ 4 ทํามุมกับแนว
แถบสวางตรงกลางเทากับ 37 องศา จงหาจํานวนชองตอมิลลิเมตรของเกรตติงทีใ่ ชน้ี (250)
18. เมื่อใหลําแสงขนานผานสลิตคูหนึ่ง แสงสีใดตอไปนี้จะใหจํานวนแถบสวางมากที่สุด
1. แสงสีนาํ้ เงิน 2. แสงสีเขียว 3. แสงสีแสด 4. แสงสีแดง (ขอ 1)
การเลีย้ วเบนของแสง
19. เมื่อใหแสงมีความยาวคลื่น 640 นาโนเมตร ผานชองแคบเดีย่ ว และตองการใหแถบมืดแรก
เบนจากแนวกลาง 30o จงหาความกวางของชองแคบนี้ (1.28x10–6 เมตร)
20. แสงความยาวคลื่น 600 นาโนเมตร และ 400 นาโนเมตร ตกกระทบชองสลิตเดี่ยวที่มีความ
กวาง 10 ไมโครเมตรขอบของแถบสวางกลาง 2 แถบจากคลื่นทั้งสองที่เกิดขึ้นบนฉากที่อยู
หางออกไป 1 เมตร จะหางกันกีเ่ ซนติเมตร (2)
21. แสงความยาวคลื่น 550 นาโนเมตร ตกตัง้ ฉากบนสลิตเดีย่ วกวาง 50 ไมโครเมตร เกิด
ภาพการแทรกสอดบนฉากหาง 0.6 เมตร แถบมืดที่สองอยูหางจากแถบมืดที่สี่เทาไร
(1.32x10–2 เมตร)
22. ใชแสงความยาวคลื่น 600 นาโนเมตร ฉายผานสลิตเดี่ยวเกิดแถบมืด–สวาง บนฉากหาง
ออกไป 3 เมตร ระยะหาง ระหวางจุดที่มืดที่สุดสองขางของแถบสวางที่กวางที่สุดเปน
1.5 เซนติเมตร สลิตนั้นกวางเทาใด (2.4x10–4 เมตร)
23. แสงสีเดียวความยาวคลื่น 550 นาโนเมตร เคลื่อนที่ผานชองแคบซึ่งกวาง 0.5 มิลลิเมตร
แลวเกิดแถบการแทรกสอดบนฉาก ซึ่งหางจากชองแคบ 1 เมตร แถบมืดทั้งสองขางของ
แถบสวางตรงกลางจะอยูหางกันประมาณเทาใด (2.24x10–3 เมตร)
24. แสงมีความยาวคลื่น 500 นาโนเมตร ตกตั้งฉากกับสลิตเดี่ยวที่มีความกวาง 2 ไมโครเมตร
ปรากฏภาพ ชองแคบทีร่ ะยะหางออกไป 10 เซนติเมตร จงหาความกวางของแถบสวางตรง
กลางที่เกิดขึ้น (2.5 cm)
51
บทที่ 13 แสง
25. เมื่อฉายแสงความยาวคลื่น 600 นาโนเมตร ตกตั้งฉากกับสลิตเดี่ยว จะปรากฏภาพการ
แทรกสอดบนฉากที่หางออกไปจากสลิต 1.5 เมตร และแถบสวางกลางกวาง 2 เซนติเมตร
จงหาความกวางของสลิตนีใ้ นหนวยไมโครเมตร (90)
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
52
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
ฟ สิ ก ส บทที่ 14 แสงและทั ศ น อุ ป กรณ
ตอนที่ 1 การเคลือ่ นทีข่ องแสง
แสงเปนคลื่นตามขวางชนิดหนึ่ง แสงจะเดินทางเปน
เสนตรง ทิศทางของแสงเราอาจใชเสนตรงแทนได เรียก
เสนตรงนีว้ า รังสีของแสง ความเร็วแสงในบรรยากาศเทา
กับ 3x108 เมตรตอวินาที แตในตัวกลางตางชนิดกัน
ความเร็วของแสงอาจมีคาไมเทากันได
1. กําหนดความเร็วแสงในสุญญากาศมีคาเทากับ 3x108 เมตรตอวินาที ดังนั้นในเวลา 1 ป
แสงจะเคลื่อนที่ไดระยะทางกี่เมตร ( 9.46x1015 เมตร )
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 2 การสะทอนแสง
2.1 กฏการสะทอนของแสง
เมื่อยิงแสงไปตกกระทบผิววัตถุใดๆ เสนปกติ
รังสีตกกระทบ รังสีสะทอน
แสงมักสะทอนออกจากวัตถุนั้นได
กฎการสะทอน มีดังนี้ มุมตก มุมสะทอน
1. รังสีตกกระทบ รังสีสะทอน ″1 ″2
เสนปกติอยูในระนาบเดียวกัน
2. มุมตกกระทบเทากับมุมสะทอน
53
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
ขอควรรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสะทอนแสง แสงสะทอน
1. ถารังสีตกกระทบตั้งฉากกับผิววัตถุ
แสงตกกระทบ
รังสีสะทอนจะสะทอนยอนแนวเดิมออกมาโดยตลอด
2. หากรังสีสะทอนอยางนอย 2 เสน มาตัดกัน
จะเกิด ภาพของวัตถุตนกําเนิดแสงขึ้น ณ จุดตัดนัน้
ระยะจากวัตถุสูจุดสะทอน เรียก ระยะวัตถุ (S)
ระยะจากภาพสูจุดสะทอน เรียก ระยะภาพ (Sℑ)
และ กําลังขยาย (m) = SSℑ ∴ Yℑ
Y ระยะภาพ Sℑ
เมือ่ Yℑ = ขนาดภาพ Y = ขนาดวัตถุ ระยะวัตถุ S
3. จงเติมคําลงในชองวางใหถกู ตอง
ภาพของวัตถุตน กําเนิดแสงจะเกิดเมือ่ ................................
ระยะวัตถุ (S) คือ ..............................................................
ระยะภาพ (Sℑ) คือ ............................................................
กําลังขยาย (m) หาคาไดจาก .............................................
2.2 กระจก
โดยทัว่ ไปมี 2 ชนิด
1. กระจกราบ
2. กระจกโคง ไดแก โคงเวา และโคงนูน
หลัง 4 นา
54
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
การสะทอนกระจกผิวราบ
รังสีทส่ี ะทอนออกมาจากกระจกราบนัน้
จะไมตดั กันจึงไมเกิดภาพจริงขึน้ แตถา เรา
ตอแนวรังสีถอยออกไปขางหลังกระจก จะ
พบวาเสนสมมติทต่ี อ ออกไปนี้ จะไปตัด
กันไดทจ่ี ดุ จุดหนึง่ การตัดกันของเสน
สมมติน้ี จะทําใหเกิดภาพหลังกระจก เรียก
ภาพนีว้ า ภาพเสมือน
และสําหรับกรณีน้ี S = Sℑ และ y = yℑ เสมอ
ดังนัน้ m = SSℑ = 1
4. ภาพทีเ่ กิดจากกระจกราบ จะเปนภาพ ............. เสมอ ขนาดภาพ กับขนาดวัตถุจะมีขนาด .............
และ ระยะภาพ กับระยะวัตถุ จะมีคา ......... กําลังขยายจะมีคาเทากับ ...................
กระจกโคง
จากรูป จุด C เรียก จุดศูนยกลางความโคง
R R จุด O เรียก จุดใจกลางบนผิวโคง
O C C O เสนตรง CO เรียก เสนแกนมุขสําคัญ
ระยะ CO เรียก รัศมีความโคง (R)
กระจกเวา กระจกนูน
ถาเราใหรงั สีทข่ี นานกับเสนแกนมุขสําคัญ มาตกกระทบ
กระจกเวา จะพบวา รังสีสะทอนจะตัดกันทีจ่ ดุ กึง่ กลาง
ระหวาง C กับ O เสมอ จุดตัดนีเ้ รียก จุดโฟกัส (F)
ระยะหางจาก O ถึง F เรียกวา ความยาวโฟกัส (f)
แตกระจกนูนจะเปนกระจกกระจายแสง เมือ่ ยิงแสงขนาน
กับเสนแกนมุขสําคัญไปตกกระทบกระจกนูน แสงสะทอน
จะกระจายออก ตองลากเสนสมมติตอ ไปขางหลังกระจก
จึงจะไดจดุ โฟกัส และความยาวโฟกัส
ที่สําคัญ f = R2 เสมอ
55
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
5. จากรูป จุด C เรียก .............................
จุด O เรียก ............................. R R
57
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
12. ใหเขียนการเกิดภาพโดยกระจกเวา และกระจกนูนตามกรณีตอ ไปนีใ้ หสมบูรณ
กระจกเวา
1. 4.
2. 5.
3.
สรุป
กระจกนูน
สรุป
ชวนสังเกตุ
ถาม กระจกอะไรสรางภาพจริงได ถาม กระจกอะไรสรางภาพเสมือนได
ก. เวา ข. ราบ ค. นูน ง. ถูกทุกขอ ก. เวา ข. ราบ ค. นูน ง. ถูกทุกขอ
ลักษณะของภาพจริงที่เกิดจากการสะทอน ลักษณะของภาพเสมือนที่เกิดจากการสะทอน
1. หัวกลับ 1. หัวตั้ง
2. เกิดหนากระจก 2. เกิดหลังกระจก
3. เอาฉากมาตัง้ รับได 3. เอาฉากมารับไมได แตเห็นไดดวยตาเปลา
58
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
13(มช 35) คํากลาวตอไปนีข้ อ ใดเปนจริง
ก. ภาพของวัตถุจริงที่เกิดจากกระจกเวา จะเปนภาพจริงเสมอ
ข. ภาพของวัตถุจริงที่เกิดจากกระจกเวา จะมีขนาดโตกวาวัตถุเสมอ
ค. ภาพของวัตถุจริงที่เกิดจากกระจกนูน จะเปนภาพเสมือนเสมอ
ง. ภาพเสมือนที่เกิดจากกระจกนูน จะมีขนาดโตกวาวัตถุเสมอ (ขอ ค)
14. ขอใดไมถกู ตอง
ก. ภาพจริงหัวกลับ ภาพเสมือนหัวตัง้ ข. ภาพจริงตองใชฉากรับ
ค. ภาพเสมือนโตเทาวัตถุเสมอ ง. ภาพเสมือนไมตอ งใชฉากรับ (ขอ ค)
15. กระจกในขอใดสามารถใหภาพเสมือนที่มีขนาดใหญกวาวัตถุ
ก. กระจกเงาราบ ข. กระจกนูน
ค. กระจกเวา ง. ขอ ข, ค ถูก (ขอ ค)
60
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
21. วางวัตถุหนากระจกเวาเปนระยะ 10 เซนติเมตร เกิดภาพจริงหนากระจกทีร่ ะยะ 15
เซนติเมตร กระจกมีรัศมีความโคงเทาไร (12 cm)
วิธที าํ
61
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
24. วางวัตถุไวหนากระจกโคง หางกระจก 8 เซนติเมตร เกิดภาพเสมือนหางกระจก 4 เซนติ-
เมตร จงหาความยาวโฟกัส และชนิดของกระจก (–8 cm)
วิธที าํ
62
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
27. วางวัตถุสูง 5 เซนติเมตร ไวหนากระจกโคงเปนระยะ 5 เซนติเมตร ไดภาพเสมือน
ขนาดสูง 3 เซนติเมตร จงหาชนิดของกระจก (กระจกนูน f = 7.5 cm)
วิธที าํ
63
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
30. วัตถุสูง 5 เซนติเมตร วางหางจากกระจกนูน 15 เซนติเมตร กระจกนูนมีรศั มีความโคง 20
เซนติเมตร กระจกราบบานหนึง่ วางหันหนาเขาหากระจกนูน หางจากกระจกนูน 20 เซนติเมตร
จงหาตําแหนงของภาพซึง่ เกิดจากรังสีของแสง ซึ่งสะทอนที่กระจกนูนกอน จากนัน้ สะทอน
ทีก่ ระจกราบ (หลังกระจกราบ 26 cm)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 3 การหักเหของแสง
sin⊗ 1 v1 ↵1 n
กฎของสเนลล sin⊗ 2 = v = = n21 = n2
2 ↵2 1
เมือ่ n1 คือ ดัชนีหกั เหตัวกลางที่ 1 เทียบกับอากาศ เรียกสัน้ ๆ ดัชนีหกั เหของตัวกลางที่ 1
n2 คือ ดัชนีหกั เหตัวกลางที่ 2 เทียบกับอากาศ เรียกสัน้ ๆ ดัชนีหกั เหของตัวกลางที่ 2
** หมายเหตุ : 1. n21 ¬ n2 หรือ n1
2. nอากาศ = 1
64
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
32. แสงชนิดหนึ่งมีความยาวคลื่น 450 นาโนเมตร ความเร็ว 3x108 เมตร/วินาที ในอากาศ
เมื่อยิงแสงทะลุลงไปในของเหลวชนิดหนึ่ง ปรากฎวาความยาวคลื่นเปลี่ยนเปน 300 นาโน–
เมตร ความเร็วแสงในของเหลวชนิดนีม้ คี า เทาใด (2x108 m/s)
วิธที าํ
65
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
36. จากขอทีผ่ า นมา หากความเร็วแสงในตัวกลาง B มีคาเทากับ 1.2x108 เมตร/วินาที แลว
ความเร็วแสงในตัวกลาง A จะมีคาเทาใด (2.4x108)
วิธที าํ
66
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
40. แสงเคลือ่ นทีผ่ า นตัวกลางดวยอัตราเร็ว 2.25x108 เมตร/วินาที อยากทราบวาตัวกลางนี้มี
คาดัชนีหกั เหเทาใด (1.33)
วิธที าํ
อากาศ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
67
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
ตอนที่ 4 ปรากฏการณทเ่ี กีย่ วกับแสง
4.1 การสะทอนกลับหมด
68
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
48. ผลึกใสชนิดหนึ่งมีคาดัชนีหักเห 2 และของเหลวชนิดหนึง่ มีคา ดัชนีหกั เห 43 จงหามุม
วิกฤตระหวางผลึกใสและของเหลวนี้ (sin–1 23 )
วิธที าํ
69
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
52. แผนตัวกลางโปรงใสสามชนิด ดัชนีหกั เห n1 , n2 และ n3 วางซอนกันดังรูป ใหแสงตก
กระทบในแผนแรกทีม่ ดี ชั นีหกั เห n1 แลวผานตอไปยังแผนที่สองและสามได ถาตองการให
การสะทอนกลับหมดเกิดขึ้นไดเฉพาะที่ผิว CD ดังรูป เทานัน้ ดัชนีหักเหทั้งสามคาจะมี
ความสัมพันธดังขอใด (ขอ 4)
1. n1 > n2 > n3 2. n1 < n2 < n3
3. n1 > n2 < n3 4. n1 < n2 > n3
วิธที าํ
70
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
53(มช 38) วัตถุอยูในน้ํามีความลึกจริงเปน 4 เมตร เราจะมองเห็นภาพวัตถุนั้นอยูลึกกี่เมตร
(กําหนด ดัชนีหกั เหของน้าํ = 4/3)
ก. 4 ข. 3 ค. 2.67 ง. 2 (ขอ ข)
วิธที าํ
55(มช 31) นกตัวหนึง่ บินอยูใ นอากาศสูงจากผิวน้าํ 3 เมตร คนทีด่ าํ อยูใ ตนาํ้ และมองดูนกตัวนี้
ในแนวเสนปกติจะมองเห็นนกไกลหรือใกลกวาความจริงเทาใด ในหนวยของเมตร
กําหนด n ของน้าํ = 43 (ขอ ข)
ก. ใกลเขามามากกวาความจริง 1.00 ข. ไกลออกไปมากกวาความจริง 1.00
ค. ใกลเขามากกวาความจริง 2.25 ง. ไกลออกไปมากกวาความจริง 2.25
วิธที าํ
71
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
56. แทงแกวสี่เหลี่ยมหนา 6 เซนติเมตร มีคา ดัชนีหกั เห 1.5 วางทับกระดาษ อยากทราบวาถา
มองผานแทงแกวนีล้ งไปตรงๆ จะเห็นตัวอักษรบนกระดาษลอยสูงจากกระดาษขึน้ มาเทาไร
วิธที าํ (2 cm)
4.3 มิราจ
ในบางครัง้ คนซึง่ เดินทางในทะเลทราย จะ
มองเห็นตนไมเปนสองตนพรอมกัน โดยตนไม
ตนหนึง่ คือตนไมปกติ แตอกี ตนหนึง่ จะเปน
ภาพหัวกลับยอดชี้ลงใตพื้นทราย ปรากฏการณ
นีเ้ รียก มิราจ ปรากฏการณนเ้ี กิดขึน้ เนือ่ งจากพืน้
ทรายถูกแดดจัดเผา ทําใหอากาศบริเวณใกลพื้น
ทรายมีอณ ุ หภูมสิ งู และมีความหนาแนนต่าํ แตจดุ
ซึ่งสูงกวาพื้นทรายขึ้นมาเล็กนอย อุณหภูมิจะลดลงอยางมาก ทําใหความหนาแนนอากาศ
บริเวณนีส้ งู ขึน้ จึงเกิดความแตกตางของความหนาแนนของชัน้ อากาศบริเวณนัน้
72
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
และเมือ่ แสงอาทิตยสะทอนออกจากยอดไม แสงบางสวนจะพุง ตรงเขาตา ทําใหเห็นยอด
ไมชข้ี น้ึ บนอากาศเปนปกติ แตแสงบางสวนจะพุงลงขางลางแลวเกิดการหักเหตามชั้นอากาศ
ซึง่ มีความหนาแนนตางกันอยูแ ลวยอนขึน้ มาเขาตา และเมื่อสายตามองตรงลงไป จะทําใหเห็น
ยอดไมชี้ลงไปใตพื้นทราย
นอกจากตัวอยางนีแ้ ลว ยังมีปรากฏการมิราจใหเห็นไดอกี เชน การเห็นน้าํ ปรากฏบน
พืน้ ผิวถนนทีร่ อ นทัง้ ๆ ทีถ่ นนแหง หรือ เห็นเรือลอยคว่าํ อยูใ นอากาศเหนือทองทะเลเปนตน
58. จงวาดภาพเพือ่ อธิบายปรากฏการณมริ าจทีเ่ กิดกับเรือลอยลําอยูก ลางทองทะเล
4.4 การกระจายของแสง
แสงขาวของดวงอาทิตยนน้ั จริง ๆ แลว
ประกอบดวยแสงสีตาง ๆ 7 สี คือ มวง
คราม น้าํ เงิน เขียว เหลือง แสด และ แดง
เมือ่ ใหแสงขาวเดินทางผานปริซมึ สีแตละสี
จะเกิดการหักเหไดไมเทากัน
สีแดง มีความยาวคลื่นมากที่สุดจะเกิดการหักเหนอยที่สุด
สีมวง มีความยาวคลื่นนอยที่สุดจะเกิดการหักเหมากที่สุด
สวนสีอื่น ๆ ซึ่งมีความยาวคลื่นไมเทากัน ก็จะเกิดการหักเหไดไมเทากันดวย ลักษณะนี้จะ
ทําใหแสงแตละสีเกิดการแยกออกจากกัน เรียกปรากฎการณนว้ี า การกระจายของแสง
74
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
ตอนที่ 5 เลนส
เลนสมีอยู 2 ชนิด คือ เลนสนูน และ เลนสเวา
R R
C/
C/
C O
C O
จุด C , Cℵ = จุดศูนยกลางความโคงของเลนส
จุด O = จุดกลางเลนส
ระยะจาก O ถึง C = รัศมีความโคง (R)
ถาเราใหรังสีที่ขนานกับเสนแกนมุขสําคัญ มา
ตกกระทบเลนสนูน จะพบวา แสงหักเหไปตัดกัน
ที่จุดกึ่งกลางระหวาง C กับ O ฝง ตรงขามเสมอ
จุดตัดนีเ้ รียก จุดโฟกัส (F)
ระยะหางจาก O ถึง F เรียกวา ความยาวโฟกัส (f )
แตเลนสเวา จะเปนเลนสกระจายแสง เมือ่ ยิง
แสงขนานกับเสนแกนมุขสําคัญไปตกกระทบเลนส
เวา แสงหักเหจะกระจายออก ตองลากเสนสมมุติ
ยอนถอยออกมา จึงจะไดจดุ โฟกัส และ ความยาว
โฟกัส
ที่สําคัญ f = R2 เสมอ
63. R R
C/
C/
C O
C O
เลนสเวา
76
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
66. จงเขียนการเกิดภาพโดยเลนสเวา และ เลนสนูน ตามกรณีตอ ไปนีใ้ หสมบูรณ
เลนสนนู
1. 4.
2. 5.
3.
สรุป
เลนสเวา
สรุป
ชวนสังเกตุ
ลักษณะของภาพจริงที่เกิดจากการหักเห ลักษณะของภาพเสมือนที่เกิดจากการสะทอน
1. หัวกลับ 1. หัวตั้ง
2. เกิดหลังเลนส 2. เกิดหนาเลนส
3. เอาฉากมาตัง้ รับได 3. เอาฉากมารับไมได แตเห็นไดดวยตาเปลา
77
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
68. ลําแสงสีเดียวสองผานเลนส 2 อัน และรังสีเดินทางดังรูป
เลนส I และเลนส II เปนเลนสอะไร
ก. เปนเลนสนนู ทัง้ คู
ข. I เปนเลนสนนู II เปนเลนสเวา I II
ค. I เปนเลนสเวา II เปนเลนสนนู
ง. เปนเลนสเวาทัง้ คู (ขอ ข)
69. รังสีของแสงเบนเขาหากันทีจ่ ดุ A ถานําเลนสไปวางไว
ทีจ่ ดุ B รังสีของแสงนีจ้ ะเบนไปพบกันทีจ่ ดุ C B A C
เลนสที่นําไปวางเปนเลนสชนิดใด อธิบาย
79
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
75. วางวัตถุไวหนาเลนสเวาอันมีความยาวโฟกัส 10 เซนติเมตร ปรากฏวาเกิดภาพขึน้ ทีร่ ะยะ
หางจากกระจก 5 เซนติเมตร จงหาวาวัตถุอยูห า งเลนสเวากีเ่ ซนติเมตร ( 10 cm )
วิธที าํ
77(มช 45) วัตถุสงู 9.0 เซนติเมตร อยูห า งจากเลนสเวา 27.0 เซนติเมตร ถาเลนสมคี วามยาว
โฟกัส 18.0 เซนติเมตร ขนาดของภาพมีความสูงกีเ่ ซนติเมตร (–3.6 cm)
วิธที าํ
80
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
79. เลนสอนั หนึง่ ใหภาพเสมือนขนาด 3/4 เทาของวัตถุในขณะทีว่ ตั ถุอยูห นาเลนส 10 cm.
จงหาวาเลนสนเ้ี ปนเลนสชนิดใด มีความยาวโฟกัสเทาไร ( เลนสเวา f = 30 cm )
วิธที าํ
82
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
82(En 36) เลนสแวนตาสําหรับคนตายาวทําหนาทีต่ อ ผูใ สแวนนัน้ อยางไร
1. ยายวัตถุทร่ี ะยะ 25 cm จากตาไปไวทร่ี ะยะใกลสดุ ทีต่ าเปลามองเห็นชัด
2. ยายวัตถุทร่ี ะยะ 25 cm จากตาไปไวทอ่ี นันต
3. ยายวัตถุทร่ี ะยะอนันตมาไวทร่ี ะยะใกลสดุ ทีต่ าเปลามองเห็นชัด
4. ยายวัตถุทร่ี ะยะอนันตมาไวทร่ี ะยะไกลสุดทีต่ าเปลามองเห็นชัด (ขอ 1)
ตอบ
83(มช 34) ชายผูห นึง่ สามารถอานหนังสือไดชดั เมือ่ หนังสืออยูห า งจากเขาไมนอ ยกวา
90 เซนติเมตร ดังนัน้ เขาจะตองสวมแวนตาความยาวโฟกัสกี่ cm
ก. 15 ข. 20 ค. 35 ง. 40 (ขอ ค)
วิธที าํ
83
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
ตอนที่ 6 ทัศนอปุ กรณ
6.1 เครื่องฉายภาพนิ่ง
หลักการทํางานของเครือ่ งฉายภาพนิง่ เปนเปนตามทีแ่ สดงในแผนภาพตอไปนี้
นอกจากนีใ้ นกลองถายรูปจะมี
อุปกรณเสริมดังนี้
วงแหวนปรับความชัด ใชปรับ
เลือ่ นเลนสเพือ่ ปรับความ
คมชัดของภาพ
ไดอะแฟรม เปนชองกลมปรับ
ยอขยายขนาดได เพือ่ ปรับแตงปริมาณแสงใหเขามากนอยตามความพอดี
ชัตเตอร เปนแผนทึบแสงคอบกัน้ แสงและปดเปดเมือ่ ตองการถายรูป
หากปริมาณแสงมีมาก ตองปรับความเร็วชัตเตอรใหปด เปดอยางรวดเร็ว
หากปริมาณแสงมีนอ ย ตองปรับความเร็วชัตเตอรใหปด เปดอยางชาๆ
87. ภาพทีเ่ กิดบนฟลม ถายรูปจะเปนภาพ .............................................
88. จงบอกประโยชนของ วงแหวนปรับความชัด .....................................................................
ไดอะแฟรม .......................................................ชัตเตอร ..........................................................
84
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
6.3 กลองจุลทรรศน
หลักการทํางานของกลองจุลทรรศน เปนเปนตามทีแ่ สดงในแผนภาพตอไปนี้
ตอนที่ 7 ความสวาง
ความสวางบนพืน้ ผิวใด ๆ สามารถคํานวณหาคาได จากสมการ
E = AF หรือ E = I2
R
2
เมือ่ E คือ ความสวาง (ลูเมน/m . Lux)
F คือ อัตราการใหพลังงานแสง หรือ ฟลักซสองสวาง (ลูเมน)
[ ปริ ม าณพลั ง งานแสงที่ ส อ งออกมาจากแหล ง กํา เนิ ด ต อ หนึ่ ง หน ว ยเวลา ]
A คือ พื้นที่รับแสง (m2)
86
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
I คือ ความเขมแหงการสองสวาง (แคนเดลลา)
[ ความสามารถในการเปล ง แสงออกจากแหล ง กํา เนิ ด ]
R คือ ระยะจากแหลงกําเนิดแสง วัดมาตั้งฉากกับพื้นที่ (m)
96. หลอดฟลูออเรสเซนต 1 หลอด ใหอตั ราพลังงานแสงได 2700 ลูเมน จงหาความสวาง
บนโตะพืน้ ที่ 5 ตารางเมตร จากหลอดไฟ 2 หลอดเปนเทาไร
ก. 1080 ลักซ ข. 880 ลักซ ค. 640 ลักซ ง. 540 ลักซ (ขอ ก)
วิธที าํ
87
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
99(En 41) เครือ่ งฉายภาพยนตรเครือ่ งหนึง่ ใหความสวางเฉลีย่ บนจอ 500 ลักซ เมือ่ ฉายที่
ระยะหางจากจอ 10 เมตร ถาเลือ่ นเครือ่ งฉายไปเปน 1.5 เทาของระยะเดิม ความสวาง
บนจอจะเปนเทาใด
1. 200 lx 2. 220 lx 3. 250 lx 4. 280 lx (ขอ 2)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
88
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
100. แหลงกําเนิดแสงเปนดวงไฟกลมรัศมี 5 ซม. อยูหางจากวัตถุทึบทรงกลมรัศมี 3 ซม.
เปนระยะ 2 เมตร จงหาเสนผานศูนยกลางของเงามืดและเงามัวที่ปรากฎบนฉากที่อยูหาง
จากวัตถุออกไป 1 เมตร (4 cm, 14 cm)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
89
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
แบบฝ ก หั ด ฟ สิ ก ส บทที่ 14 แสงและทั ศ น อุ ป กรณ
การสะทอนแสง และ กระจก
1. กระจกเวาบานหนึง่ มีรศั มีความโคง 40 เซนติเมตร จงหาตําแหนงชนิดและกําลังขยายของ
ภาพเมือ่ วางวัตถุไว ณ ตําแหนงทีห่ า งจากกระจก
ก) ไกลมากๆ ข) 60 ซม. ค.) 40 ซม.
ง) 30 ซม. จ) 10 ซม. ฉ) 20 ซม.
( ก. 20 cm , m = 0 ข. 30 cm , m = 0.5 ค. 40 cm , m = 1
ง. 60 cm, m = 2 จ. –20 cm , m = –2 ฉ. ϒ , m = ϒ )
2. กระจกนูนบานหนึง่ มีรศั มีความโคง 20 เซนติเมตร จงหาชนิด ตําแหนงและกําลังขยายของ
ภาพเมือ่ วางวัตถุไว ณ ตําแหนงทีห่ า งจากกระจก
ก. ไกลมากๆ ข. 40 ซม. ค. 10 ซม.
( ก. –10 cm , m = 0 ข. –8 cm , m = –0.2 ค. –5 cm , m = –0.5 )
3. ถาจะใหเกิดภาพหลังจากกระจกนูน 40 เซนติเมตร กระจกนูนมีรศั มีความโคง 120 เซนติ-
เมตร จะตองวางวัตถุหา งจากกระจกนูนเทาไร (120 cm)
4. วางวัตถุไวหนากระจกโคงหางกระจก 4 เซนติเมตร เกิดภาพเสมือนหางกระจก 2 เซนติ-
เมตร จงหาความยาวโฟกัส และชนิดของกระจก (–4 cm เปนกระจกนูน)
5. วัตถุสูง 10 เซนติเมตร อยูห า ง 10 เซนติเมตร จากกระจกเวาซึ่งมีรัศมีความโคง 40 เซนติ-
เมตร จงหาขนาดของภาพ ( 20 cm)
6. เมือ่ วางวัตถุหนากระจกโคงหาง 25 เซนติเมตร ปรากฎวาไดภาพจริงขนาด 2 เทา ของวัตถุ
บนฉาก จงหาชนิดและรัศมีความโคงของกระจก (กระจกเวา R = 100/3 cm)
7. จงหาชนิดและความยาวโฟกัสของกระจกโคงที่ใหภาพขนาด 14 เทาของวัตถุ เมือ่ วัตถุวาง
หางกระจก 40 เซนติเมตร (กระจกเวา f = 8 cm)
8. กระจกเวา 2 บาน มีรัศมีความโคงบานละ 20 เซนติเมตร วางหันหนาเขาหากันหางกัน
30 เซนติเมตร นําวัตถุสูง 10 เซนติเมตร วางหางกระจกบานแรกเปนระยะ 5 เซนติเมตร
จงหาตําแหนงชนิดและขนาดของภาพทีเ่ กิดจากการสะทอนของแสงระหวางกระจก 2 บาน
ใหสะทอนบานใกลวัตถุกอน (หนากระจกบานที่สอง 40 20
3 cm , ขนาด 3 cm)
90
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
9. วัตถุสูง 5 เซนติเมตร วางหางจากกระจกนูน 15 เซนติเมตร กระจกนูนมีรศั มีความโคง 20
เซนติเมตร กระจกราบบานหนึง่ วางหันหนาเขาหากระจกนูน หางจากกระจกนูน 20 เซนติเมตร
จงหาตําแหนงของภาพซึง่ เกิดจากรังสีของแสง ซึ่งสะทอนที่กระจกนูนกอน จากนัน้ สะทอน
ทีก่ ระจกราบ (หลังกระจกราบ 26 cm)
12. แสงเคลื่อนที่จากตัวกลาง (1) ซึง่ มีดชั นีหกั เห 23 ไปยังตัวกลาง (2) ซึง่ มีดชั นีหกั เห 65
ดวยมุมตกกระทบ 30o จงหามุมหักเหในตัวกลาง (2) (sin–1 85 )
91
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
19. อากาศ จากรูป แสงเคลื่อนที่จากผลึกใสไปสูของเหลว
แลวเคลือ่ นทีต่ อ ไปยังอากาศ ทําใหเกิดมุมวิกฤต
ของเหลว จงหาดัชนีหกั เหของผลึกใส (2)
60o o
30
ผลึกใส
20. จากรูป แสงเดินทางจากตัวกลางที่ 1 ผานตัวกลาง
C 53o (4) ที่ 2 ตัวกลางที่ 3 ไปสูตัวกลางที่ 4 โดยผานรอย
B (3) ตอตัวกลาง A, B, C ซึ่งขนานกัน จงหาดัชนีหกั เห
(2) ของตัวกลางที่ 1 เทียบกับตัวกลางที่ 4 ( 43 )
A
53o
(1)
21. ปลาตัวหนึ่งวายอยูในน้ําลึก 1 เมตร และมีแมลงวันอีกตัวหนึง่ บินอยูเ หนือน้าํ หาง 1 เมตร
เชนกัน ถาแมลงวันบินอยูเ หนือตัวปลาพอดี อยากทราบวาแมลงวันมองเห็นปลาอยูลึกจากผิว
น้ําเทาไร และปลามองเห็นแมลงวันอยูหางจากผิวน้ําเทาไร ถาดัชนีหกั เหของน้าํ เทากับ
( 43 , 43 เมตร)
22. ชายคนหนึง่ อยูบ นเรือ มองลงตรงๆ ในน้ําเห็นปลาอยูลึกจากผิวน้ํา 27 เซนติเมตร ซึ่งพบวา
ผิดความจริงไป 9 เซนติเมตรจงหาดัชนีหกั เหของน้าํ ( 43 )
92
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
27. เลนสนูน 2 อัน ความยาวโฟกัสอันละ 10 เซนติเมตร วางหางกัน 35 เซนติเมตร อยูบน
แกนมุขสําคัญเดียวกัน วัตถุสูง 5 เซนติเมตร วางอยูหนาเลนสทั้งสอง และอยูหางจากเลนส
อันใกล 15 เซนติเมตร จงหาตําแหนงชนิดและขนาดของภาพทีเ่ กิดจากแสงหักเหผานเลนส
ทั้งสองแลว (ภาพเสมือนสูง 10 cm อยูห นาเลนส L2 หาง 10 cm)
28. เลนสนูนและเลนสเวาความยาวโฟกัสเทากัน 20 เซนติเมตร วางอยูในแนวแกนมุขสําคัญ
เดียวกันและหางกัน 30 เซนติเมตร วัตถุวางอยูห นาเลนสนนู หาง 40 เซนติเมตร จงหาชนิด
ตําแหนงและกําลังขยายของภาพ (ภาพจริงขยาย 2 เทา หลังเลนสเวา 20 cm)
ทัศนอุปกรณ
29. กลองสองพระอันหนึ่งมีความยาวโฟกัส 5 เซนติเมตร ตองการสองดูพระสมเด็จใหเห็น
ภาพชัดที่สุดตองวางพระหางจากเลนสของกลองสองเทาไร และจะเห็นภาพมีกําลังขยายกี่เทา
(6 เทา)
30. เครื่องฉายสไลด ขนาด 2.5 x 3.5 เซนติเมตร ใหภาพปรากฏชัดเจนบนจอภาพซึง่ หางออกไป
5 เมตร โดยเลนสฉายภาพ มีความยาวโฟกัส 25 เซนติเมตร จะไดภาพมีขนาดขยายเทาไร
และภาพมีพื้นที่เทาไร (ขยาย 19 เทา, พื้นที่ = 3158.75 cm2)
ความสวาง
31. หลอดฟลูออเรสเซนต 1 หลอด ใหอตั ราพลังงานแสงได 2500 ลูเมน จงหาความสวาง
บนโตะพืน้ ที่ 5 ตารางเมตร จากหลอดไฟ 4 หลอดเปนเทาไร (2000 ลักซ)
32. พลังงานแสงเทากับ 1000 ลูเมน เมื่อใชไประยะหนึ่งประสิทธิภาพของหลอดใน การใหพลัง
งานแสงเหลือเพียง 60% ถาตองการฉายภาพใหมีความสวางเฉลี่ยบนจอ 300 ลักซ ภาพที่
ฉายจะมีขนาดใหญมากทีส่ ดุ ไดกต่ี ารางเมตร (2 )
33. หลอดไฟ 64 วัตต มีความเขมแหงการสองสวาง 36 แคนเดลา ถาตองการความสวางบน
โตะอานหนังสือ 144 ลักซ จะตองแขวนหลอดไฟสูงจากโตะเปนระยะกี่เมตร
ก. 0.5 ข. 0.67 ค. 1.5 ง. 2.25 (ขอ ก)
34. เครือ่ งฉายภาพยนตรเครือ่ งหนึง่ ใหความสวางเฉลีย่ บนจอ 300 ลักซ เมื่อฉายที่ระยะหาง
จากจอ 5 เมตร ถาเลือ่ นเครือ่ งฉายไปเปน 2 เทาของระยะเดิม ความสวางบนจอจะเปน
เทาใด ( 75 ลักซ)
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
93
บทที่ 14 แสงและทัศนอุปกรณ
เฉลยแบบฝ ก หั ด ฟ สิ ก ส บทที่ 14 แสงและทั ศ น อุ ป กรณ (บางข อ )
29. ตอบ 6 เทา
วิธที าํ เมือ่ เห็นภาพชัดทีส่ ดุ แสดงวาระยะภาพ (sℵ) = –25 cm (ภาพเสมือน)
โจทยตอ งการหาระยะวัตถุ (s)
จาก 1f = 1s + 1
sℵ
1s = 1 – 1
f sℵ
1s = 1 + 1
5 25
s = 256 = 4.17 cm
และ m = ssℵ
25
= 4.17
= 6 เทา
ดังนัน้ ตองวางพระหางจากเลนส 4.17 ซม. และเห็นภาพมีกาํ ลังขยาย 6 เทา
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
94
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
ฟ สิ ก ส บทที่ 15 ไฟฟ า สถิ ต ย
ตอนที่ 1 กฏของคูลอมบ!
กฏแรงดึงดูดระหวางประจุของคูลอมบ
! # เมื่อประจุไฟฟา 2 ตัวอยูห
า งกันขนาดหนึง่ จะมีแรงกระทําซึ่งกันและกันเสมอ !
! ! หากเปนประจุชนิดเดียวจะมีแรงผลักกัน หากเปนประจุตา งชนิดกันจะมีแรงดึงดูดกัน$!
แรงกระทําที่เกิดหาคาไดจาก
!
KQ1Q2
F =
R2
! ! เมือ่ ! ! ! F = แรงกระทํา (นิวตัน)
K = คาคงที่ของคูลอมบ = 9 x 109 N.m2 /c2! ! !
Q1 , Q2 = ขนาดของประจุตวั ที่ 1 และตัวที่ 2 ตามลําดับ (คูลอมบ)
R = ระยะหางระหวางประจุทั้งสอง (เมตร)
1. จากรูปใหหาแรงกระทําระหวางประจุทั้งสองนี้
วิธที าํ ( 0.01 N )
!
2. ประจุ +5.0 x 10–5 C และ –2.0 x 10–5 C วางอยูหางกัน 1 เมตร จะมีแรงดูดกัน หรือ
ผลักกันกี่นิวตัน ( แรงดูดกัน 9 นิวตัน )
วิธที าํ
! "!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
3. ประจุขนาด A คูลอมบ และ 1.0 x 10–5 คูลอมบ วางอยูหางกัน 3 เมตร จะมีแรงกระทํา
ตอกัน 1 นิวตัน จงหาวาประจุ A เปนประจุขนาดกี่คูลอมบ (1.0x10–4 )
วิธที าํ
! %!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
กรณีที่โจทยไมบอกประจุ มาให เราอาจหาคาประจุนั้น ๆ ไดจาก
Q=ne
เมือ่ n = จํานวนอิเลคตรอน
e = ประจุอเิ ลคตรอน 1 ตัว = 1.6 x 10–19 คูลอมบ
7. กอนโลหะ 2 กอน มีระยะหางระหวางจุดศูนยกลางของโลหะทั้งสองเปน 3 เมตร ในกอน
โลหะแตละกอนมีอเิ ล็กตรอนอิสระอยู 1x1015 ตัว จงหาขนาดแรงผลักที่เกิด ( 25.6N )
วิธที าํ
! &!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
10. จากรูป จงหาแรงลัพธที่ B = +1 x 10–5 C!
กระทําตอประจุ B A = +6 x 10–5 C! C = −5 x 10–5 C!
( 1.1 N )
3 ม.! 3 ม.!
วิธที าํ
12. ประจุ +5.0 x 10–6 C และ –3.0 x 10–6 C วางอยูหางกัน 20 เซนติเมตร ถานําประจุ
ทดสอบขนาด +1.0 x 10–6 C มาวางไวที่จุดกึ่งกลางระหวางประจุทั้งสองขนาด และมี
ทิศทางของแรงที่กระทําตอประจุทดสอบคือ
ก. 0.72 นิวตัน และมีทิศชี้เขาหาประจุลบ
ข. 1.8 นิวตัน และมีทิศเขาหาประจุบวก
ค. 7.2 นิวตัน และมีทิศเขาหาประจุลบ
ง. 7.2 นิวตัน และมีทิศเขาหาประจุบวก (ขอ ค)
วิธที าํ
! '!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
13. จากรูป จงหาแรงลัพธที่กระทําตอประจุ B
C = +3 x 10–5 C!
วิธที าํ (5 N)
3 ม.!
A = −4 x 10–5 C!
B = +1 x 10–4 C!
3 ม.!
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! (!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
ตอนที่ 2 สนามไฟฟา
สนามไฟฟา (E) คือ บริเวณรอบ ๆ ประจุซึ่งจะมีแรงทางไฟฟาแผออกมา !
ตลอดเวลา สนามไฟฟาเปนปริมาณเวกเตอร!
ทิศทางของสนามไฟฟา กําหนดวา!
! สําหรับประจุบวก สนามไฟฟามีทิศออกตัวประจุ!
! สําหรับตัวประจุลบ สนามไฟฟามีทิศเขาตัวประจุ!
!
!
! ! !
!
ก. ข.
!
ค. ง.
!
! ! จ.! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! (ขอ จ)
ขนาดความเขมสนามไฟฟาหาคาไดจาก!
! ! ! ! ! E = KQ2
R
เมือ่ E คือ ความเขมสนามไฟฟา (N/C , V/m) K = 9 x 109 N. m2 / C2
Q คือ ขนาดของประจุตน เหตุ (C) R คือ ระยะหางจากประจุตน เหตุ (m)
16. จากรูป จงหาวาสนามไฟฟาของประจุ +2x10–3 คูลอมบ Q = +2 x 10–3 C!
ณ.จุด A จะมีความเขมกี่นิวตัน/คูลอมบ และ มีทิศไปทาง A
*!
ซายหรือขวา ( 2x106 N/C ไปทางขวา) 3 ม.!
วิธที าํ
! )!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
17. จากรูป จงหาวาสนามไฟฟาของประจุ –4x10–3 คูลอมบ
Q = −4 x 10–3 C!
ณ.จุด A จะมีความเขมกี่นิวตัน/คูลอมบ และ มีทศิ ขึน้ หรือ
1 ม.!
ลง (36x106 N/C มีทิศขึ้น)
*!A
วิธที าํ
! *!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
20. จากรูปที่กําหนดให จงหาวาสนามไฟฟาลัพธ A = +4 x 10–9 C!
ทีจ่ ดุ X มีขนาดเทาใด X
3 ม.! *!
วิธที าํ ( 5 N/C )
3 ม.!
B = −3 x 10–9 C!
! +!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
จุดสะเทิน คือ จุดที่มีคาสนามไฟฟาลัพธมีคาเปนศูนย
โดยทัว่ ไปแลว 1. จุดสะเทินจะ เกิดขึน้ ไดเพียงจุดเดียวเทานัน้
2. หากเปนจุดสะเทินของประจุ 2 ตัว จะเกิดในแนวเสนตรงที่ลากผานประจุทั้งสอง
Eรวม = 0!
และ หากประจุทง้ั สองเปนประจุชนิดเดียวกัน
*!
จุดสะเทินจะอยูร ะหวางกลางประจุทง้ั สอง +Q1! +Q2!
หากประจุทง้ั สองเปนประจุตา งชนิดกัน
Eรวม = 0!
จุดสะเทินจะอยูร อบนอกประจุทง้ั สอง *!
3. จุดสะเทินจะเกิดอยูใกลประจุที่มีคานอยกวา +Q1! − Q 2!
!
! ! ก. A ข. B ค. C ง. D จ. ไมมีคําตอบถูก (ขอ จ)
ตอบ
24. ตําแหนงที่สนามไฟฟารวมเปนศูนย ซึ่งสนามนั้นเกิดจากประจุ 2 ประจุ
1. เกิดขึน้ ไดเพียงจุดเดียวเทานัน้
2. เกิดอยูใกลประจุที่มีคานอย
3. เกิดในแนวเสนตรงที่ลากผานประจุทั้งสอง (ขอ ก)
ก. ขอ 1 , 2 , 3 ข. ขอ 1 , 2 ค. ขอ 1 , 3 ง. ขอ 2 , 3
ตอบ
25. ประจุไฟฟาขนาด +9 µC ถูกวางไวที่ตําแหนง X = 0 ม. และประจุไฟฟาที่สอง +4 µC
ถูกวางไวที่ตําแหนง X = 1 ม. จุดสะเทินจะอยูหางจากประจุ +9 µC กี่เมตร (0.6 เมตร)
วิธที าํ
! ,!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
26(มช 37) วางประจุ +9Q คูลอมบ ทีต่ าํ แหนงจุดกําเนิด (0 , 0) และจุดประจุ –4Q คูลอมบ
ทีต่ าํ แหนง x = 1 เมตร y = 0 จงหาระยะบนแกน x ที่สนามไฟฟาเปนศูนย (3 เมตร)
วิธที าํ
ขนาดของแรงกระทําตอประจุทดสอบหาจาก!
! ! ! ! ! F = qE
เมือ่ F คือ แรงกระทํา (N) q คือ ประจุทดสอบที่ถูกแรงกระทํานั้น (C)
27. กําหนดใหจุด A อยูหางจากประจุ 4 x 10–9 คูลอมบ เปนระยะ 1 เมตร
ก) สนามไฟฟา ณ.จุด A จะมีความเขมกี่นิวตัน/คูลอมบ ( 36 N/C )
ข) หากนําอิเลคตรอน 1 ตัว ไปวางตรงจุด A จงหาแรงกระทําตออิเลคตรอนนี้
( กําหนด ประจุอิเลคตรอน 1 ตัว เทากับ 1.6 x 10–19 คูลอมบ ) (5.76x10–18 N)
ค. จงหาความเรงในการเคลือ่ นทีข่ องอิเลคตรอนนี้
( กําหนด มวลอิเลคตรอน 1 ตัว เทากับ 9.1 x 10–31 กิโลกรัม ) (6.33x1012 m/s2)
วิธที าํ
! "-!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
28. กําหนดใหจุด A อยูหางจากประจุ 5 x 10–9 คูลอมบ เปนระยะ 3 เมตร
ก) สนามไฟฟา ณ.จุด A จะมีความเขมกี่นิวตัน/คูลอมบ ( 5 นิวตัน/คูลอมบ )
ข) หากนําอิเลคตรอน 1 ตัว ไปวางตรงจุด A จงหาแรงกระทําตออิเลคตรอนนี้
( กําหนด ประจุอเิ ลคตรอน 1 ตัว เทากับ 1.6 x 10–19 คูลอมบ ) (8 x 10–19 นิวตัน)
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! ตอนที่ 3 !ศักยไฟฟา!
!!!เราสามารถหาคาศักยไฟฟา ณ. จุดรอบ ๆ ประจุไดจากสมการ!
V = KQ R ! Q! A
!
*!
เมือ่ !!!V !คือ ศักยไฟฟา (โวลต)! R!
! Q คือ ประจุตน เหตุ (คูลอมบ)
R คือ ระยะหางจากประจุตน เหตุ (เมตร)
ขอควรทราบ!
! 1) ศักยไฟฟา เปนปริมาณสเกลลาร มีแตขนาด ไมมีทิศทาง การคํานวณหาศักยไฟฟา !
! ! ตองแทนเครือ่ งหมาย + – ของ ประจุ (Q) ดวยเสมอ
2)
!
! ! เมือ่ ทําการเลือ่ นประจุทดสอบจากจุดหนึง่ ไปสูจ ดุ ทีส่ อง!
! ! จะไดวา! ! V2 – V1 = Wq
! ! เมือ่ !V1 คือ ศักยไฟฟาที่จุดเริ่มตน (โวลต) !!!V2 คือ ศักยไฟฟาที่จุดสุดทาย (โวลต)
W คือ งานที่ใชในการเลื่อนประจุ (จูล) q คือ ประจุทเ่ี คลือ่ นที่ (คูลอมบ)
! ""!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
29. จากรูป ประจุ Q มีขนาด –2 x1 0–9 คูลอมบ
ก. จงหาศักยไฟฟาที่จุด A ( –18 V)
! ! ข. จงหาศักยไฟฟาที่จุด B ( –6 V )
ค. หากเลือ่ นประจุขนาด 2 คูลอมบ
จาก B ไป A จะตองทํางานเทาใด ( –24 J) !
วิธที าํ
!
!
30. จากรูป ประจุ Q มีขนาด –5 x1 0–9 คูลอมบ
จงหาศักยไฟฟาที่จุด A และ B ตามลําดับ
! ! 1. −45 , 15!! ! ! ! 2. −30 , −15! ! !
! ! 3. −45 , −15! ! ! ! 4. −30 , 15!! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! (ขอ 3)!
วิธที าํ
! "%!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
32(En 32) A และ B เปนจุดทีอ่ ยูห า งจากประจุ 4 x 10–6 คูลอมบ เปนระยะทาง 2 และ
12 เมตร ตามลําดับ ถาตองการเลือ่ นประจุ – 4 คูลอมบ จาก A ไป B ตองใชงานใน
หนวยกิโลจูลเทาใด
1. 8.75 2. 15 3. –35 4. +60 (ขอ 4)
วิธที าํ
! "&!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
36. ในการนําประจุ 2 x10–4 C จาก infinity เขาหาประจุบวกถึงจุด ๆ หนึง่ ตองสิน้ เปลืองงาน
5 x10–2 จูล จุดนั้นมีศักยไฟฟากี่โวลต
ก. 2.5 x 102 ข. 4 x 10–3 ค. 1 x 10–5 ง. 2.5 x 10–6 (ขอ ก)
วิธที าํ
B = −3 x 10–9 C!
! "'!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
39. จากรูป A , B และ C มีจดุ ประจุขนาด 3.0 x 10–6 , 1.0 x 10–6 และ –1.0 x 10–6 คูลอมบ
ตามลําดับ เมือ่ AP = 0.6 เมตร , CP = 0.3 เมตร และ •! C
BP = 0.1 เมตร ศักยไฟฟาที่ตําแหนง P มีคาเทาใด
1. 1.05 x 105 โวลต 2. 1.83 x 105 โวลต A •! •!B
P
3. 2.10 x 105 โวลต 4. 3.66x 105 โวลต (ขอ 1 )
วิธที าํ
! "(!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
!ตอนที่ 4 สนามไฟฟา และศักยไฟฟารอบตัวนํา!
การคํานวณหาสนามไฟฟา และศักยไฟฟารอบตัวเก็บประจุ
กรณีท่ี 1 หากจุดที่จะคํานวณอยูภายนอก หรืออยูท ผ่ี วิ วัตถุ
ใหใชสมการ E = KQ2 และ V = KQ R
R
เมือ่ R คือ ระยะที่วัดจากจุดศูนยกลางวัตถุถึงจุดที่จะคํานวณ
!
กรณีท่ี 2 หากจุดที่จะคํานวณอยูภายในวัตถุ
Eภายใน = 0
Vภายใน = Vที่ผิววัตถุ
! ")!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
43(En 42/1) ทรงกลมโลหะกลวงมีรัศมี 20 เซนติเมตร ทําใหมีศักยไฟฟา 10000 โวลต !
! สนามไฟฟาภายนอกทรงกลมบริเวณใกลเคียงผิว จะมีคา เทาใดในหนวยโวลตตอ เซนติเมตร
วิธที าํ ( 500 โวลต / เซนติเมตร )
เงื่อนไขการใชสูตร V = Ed
1. E และ d (การขจัด) ตองอยูใ นแนวขนานกัน
หาก d ตั้งฉากกับ E ตอบ V = 0
หาก d เอียงทํามุมกับ E ตองแตกการขจัด d นั้นใหขนานกับ E กอน
2. ถาการขจัด d มีทิศเดียวกับสนามไฟฟา E ใหใชการขจัด d เปนลบ
ถา d และ E สวนทางกันใช d เปนบวก
! "+!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
50. จงหาความตางศักยไฟฟาระหวาง A ไป B ตามกรณีตอ ไปนี้
ก. ข. ค.
0.5 m /! 60o! /!
0.5 m 2m
.! /! .! .!
E=10 V/m E=10 V/m E=10 V/m
วิธที าํ ( ก. 5 โวลต ข. 0 โวลต ค. 10 โวลต )
! ",!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
53. จากขอที่ผานมา หากเลือ่ นประจุขนาด 2 x 10–6 คูลอมบ จากจุด A ไป B จะตอง
ทํางานกี่จูล (8x10–6 จูล)
วิธที าํ
!
55. ถา E เปนสนามไฟฟาสม่ําเสมอมีขนาด 12 โวลต/เมตร ! B
E!
จงหางานที่ใชในการเคลื่อนที่ประจุทดสอบ 3.0 x 10–6 5 ซม.!
คูลอมบ จาก A → B → C (1.8x10–6 จูล) C 5 ซม.!
A
วิธที าํ
!
57(En 32) เมือ่ นําประจุ –2 x 10–6 คูลอมบ เขาไปวางไว ณ จุด ๆ หนึง่ ปรากฏวามีแรง
8 x 10–6 นิวตัน มากระทําตอประจุนี้ในทิศจากซายไปขวา สนามไฟฟาตรงจุดนั้น
1. มีความเขม 4 โวลต/เมตร ทิศจากซายไปขวา
2. มีความเขม 4 โวลต/เมตร ทิศจากขวาไปซาย
3. มีความเขม 0.25 โวลต/เมตร ทิศจากซายไปขวา
4. มีความเขม 0.25 โวลต/เมตร ทิศจากขวาไปซาย (ขอ 2)
วิธที าํ
!
! %"!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
59(En 35) แผนโลหะขนาน 2 แผน วางหางกันเปนระยะ d และมีประจุไฟฟาชนิดตรงขาม
อิเล็กตรอนทีห่ ลุดจากแผนลบจะวิง่ ดวยความเรง a ไปยังแผนบวก ถาให m และ q เปนมวล
และประจุของอิเล็กตรอนตามลําดับ แผนโลหะทั้งสองมีความตางศักยเทาไร
1. md
q 2. qE
m 3. maq 4. madq (ขอ 4)
วิธที าํ
!
! %%!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
ตอนที่ 6 ตัวเก็บประจุ และ การตอตัวเก็บประจุ!
!
! %&!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
ตัวเก็บประจุแบบแผนโลหะคูขนาน
! ! ตัวเก็บประจุแบบนี้เราสามารถหาคาความจุประจุไดจาก!
C = QV
Q คือ ประจุที่ขั้วบวก (คูลอมบ)
V คือ ความตางศักยระหวางขั้วไฟฟา (โวลต)
!
! เราสามารถหา พลังงานไฟฟาที่เก็บสะสมในตัวเก็บประจุแผนโลหะคูขนานไดจาก!
2
U = 12 QV หรือ U = 12 QC หรือ U = 12 CV2
เมือ่ U คือ พลังงานที่เก็บสะสม (จูล)
67. จงหาพลังงานที่สะสมในคาปาซิเตอรที่มีความจุ 2 µF เมือ่ ประจุไฟฟาใหคาปาซิเตอรจน
มีความตางศักย 2 V (4x10–6 จูล)
วิธที าํ
!
! %'!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
68. จงหาพลังงานที่สะสมในคาปาซิเตอรที่มีความจุ 2 µF เมือ่ ประจุไฟฟาใหคาปาซิเตอรจน
มีความตางศักย 100 V (10–2 J)
วิธที าํ
!
กฏการตอตัวเก็บประจุแบบอนุกรม
1) Qรวม = Q1 = Q2
2) V1 ≠ V2
Q Q
3 ) Vรวม = V1 + V2 V1 = C1 V2 = C 2
1 2
4) C 1 = C1 + C1
รวม 1 2
ตัวอยางที่ 1 จากวงจรดังรูป จงหา
ก. ใหหาคา Cรวม
ข. ใหหาคา Q1 และ Q2
ค. ใหหาคา V1 และ V2
ง. ใหหาคา Vรวม
วิธีทํา ก. จาก C 1 = C1 + C1
รวม 1 2
1 1 1
Cรวม = 4 + 12
1 3+1
Cรวม = 12
Cรวม = 3µ
µF
! %(!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
ข. เนือ่ งจาก Q1 = Q2 = Qรวม = 24 µC
Q
V1 = C1 = 24
ค. จาก
µ = 6 โวลต
1 4 µ
Q 24 µ = 2 โวลต
และ V2 = C 2 = 12 µ
2
ง. ใหหาคา Vรวม จาก Vรวม = V1 + V2 = 6 + 2 = 8
Q
Vรวม = Cรวม = 24
หรือ
µ
= 8 โวลต
รวม 3µ
70. จากรูป ก. ใหหาคา Cรวม (2 µF)
ข. ใหหาคา Q1 และ Q2 (18 µC)
ค. ใหหาคา V1 และ V2 ( 6 , 3)
ง. ใหหาคา Vรวม (9 โวลต)
วิธที าํ
!
! %)!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
71. จากรูป จงหา Cรวม และ Qรวม (4 µF , 144 µC)
6 µF 12 µF
วิธที าํ
!
Vรวม = 36 โวลต
! %*!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
กฏการตอตัวเก็บประจุแบบขนาน
1) Qรวม ≠ Q1 ≠ Q2
2) Qรวม = Q1 + Q2
3) Vรวม = V1 = V2
4) Cรวม = C1 + C2
! %+!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
75. จากรูป
ก. ใหหาคา Cรวม (16 µF)
ข. ใหหาคา Vรวม (3 โวลต)
ค. ใหหาคา V1 และ V2 (3 โวลต)
ง. ใหหาคา Q1 และ Q2 ( 12 µ , 36 µ)
วิธที าํ
!
! %,!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
77. จากรูป จงหาความตางศักยระหวางจุด A กับจุด B
A 2 µF B
และ ประจุไฟฟาในตัวเก็บประจุ 2 µF * *
วิธที าํ ( 36 V , 72 µC)
C* D*
6 µF 3 µF
Vรวม = 36 โวลต
! &-!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
81(En 44/1) วงจรไฟฟาประกอบดวยตัวเก็บประจุสามตัวตออยูกับ
ความตางศักย 12 โวลต ดังรูป จงคํานวณหาขนาดของความ
ตางศักยทค่ี รอมตัวเก็บประจุ 3 ไมโครฟารัด และ 6 ไมโครฟารัด
ตามลําดับ (ขอ 4)
1. 12 V และ 12 V 2. 6 V และ 6 V 3. 4 V และ 8 V 4. 8 V และ 4 V
วิธที าํ
!
! &"!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
83. C1 = 4 ไมโครฟารัด C2 = 6 ไมโครฟารัด
C3 = 6 ไมโครฟารัด C4 = 6 ไมโครฟารัด
ตอตัวเก็บประจุ C1 , C2 , C3 และ C4 ดังรูป จงหา
!
ความจุรวมของตัวเก็บประจุทง้ั หมดในหนวยไมโครฟารัด (6 ไมโครฟารัด)
วิธที าํ
!
กฏเกีย่ วกับการแตะกันของตัวเก็บประจุ
เมือ่ นําตัวเก็บประจุหลาย ตัวมาแตะกัน
1) หลังแตะ ศักยไฟฟาของตัวเก็บประจุทกุ ตัวจะเทากัน
2) ประจุ ( Q ) รวมกอนแตะ = ประจุ ( Q ) รวมหลังแตะ
84. ตัวนําทรงกลมรัศมี a ที่มีประจุ –Q ไปแตะกับตัวนําทรงกลมรัศมี 2 a ที่มีประจุ +4Q
หลังจากแยกออกจากกันแลวตัวนําทรงกลมรัศมี a จะมีประจุเทาใด
1. Q2 2. Q 3. 3Q
2 4. 2Q (ขอ 2)
วิธที าํ
!
! &%!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
85. ตัวนําทรงกลมรัศมี a ที่มีประจุ –Q ไปแตะกับตัวนําทรงกลมรัศมี 3a ที่มีประจุ +9Q หลัง
จากแยกออกจากกันแลวตัวนําทรงกลมรัศมี a จะมีประจุเทาใด
1. Q2 2. Q 3. 3Q2 4. 2Q (ขอ 4.)
วิธที าํ
!
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! &&!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
7. ประจุไฟฟา และการเหนี่ยวนําทางไฟฟา
พิจารณาตัวอยางสมมุติ การถูแทงพลาสติกกับผาสักหลาด!
2!
1!ปกติแลวอะตอมในแทงพลาสติก และในผาสักหลาดจะมี! 2!
+ +!
! ! จํานวนอิเลคตรอน (ประจุลบ) เทากับจํานวนโปรตรอน! 2! +++!! 2!
'2! 2! 2!
(ประจุบวก) แตเมือ่ เกิดการเสียดสี จะทําใหเกิดการหมุน! 2! 2!
เวียนของอิเลคตรอนของแทงพลาสติกกับผาสักหลาด ! + +!
2! + +!2!
1!หากแทงพลาสติกไดรับอิเลคตรอนมากกวาที่เสียไป!
! จะทําใหแทงพลาสติกมีประจุสะสมเปนลบ ! −
+ −
1! ประจุที่สะสมตรงนี้เรียกวา ไฟฟาสถิตย ! − + −
! − 3
−
!! 1! ตอไปหากเรานําแทง พลาสติกที่มีประจุลบสะสม!
อยูน ้ี ไปวางใกลๆ วัตถุเล็กๆ ซึง่ ปกติในวัตถุนน้ั จะมีอเิ ลคตรอน และ โปรตรอนของ!
อะตอมกระจายตัวอยูอยางสม่ําเสมอในปริมาณที่เทากัน แตเมื่อถูกแทงพลาสติกเขาใกล!
ประจุลบบนแทงพลาสติก จะผลักอิเลคตรอนในวัตถุใหเคลือ่ นไปอยูฝ ง ตรงกันขาม !
เหลือประจุบวกในฝงใกลแทงพลาสติก และจะทําใหเกิดแรงดูดระหวางประจุบวกบน!
วัตถุกับลบบนแทงพลาสติก ทําใหวัตถุเคลื่อนที่ เขามาหาแทงพลาสติกใหเห็นได !
1!การจัดเรียงประจุบนวัตถุ เมื่อถูกไฟฟาสถิตยเขาใกล เรียกวาเปนการเหนีย่ วนําทางไฟฟา!
! &'!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
1 ! จากตัวอยางสมมุติที่ผานมา หากแทงพลาสติก ! 2!
เสียอิเลคตรอนมากกวาที่ไดรับมา จะทําใหแทง! 2!
+ +!
2! +++!! 2!
พลาสติกมีประจุสะสมเปนบวก ประจุที่สะสม! 2! 2! (2!
และจะทําใหเกิดแรงดูดระหวางประจุบวกบนแทง! 3 −
พลาสติกกับลบบนวัตถุ ทําใหวัตถุเคลื่อนที่เขามาหาแทงพลาสติกใหเห็นไดเชนกัน !
1! การจัดเรียงประจุบนวัตถุ เมื่อถูกไฟฟาสถิตยเขาใกล เรียกวาเปนการเหนีย
่ วนําทางไฟฟา!
/
3
3
+
การจัดเรียงประจุบนวัตถุเล็กๆ หลังจากนํา (2) (3)
วัตถุ A เขาใกล เรียก (4)
เติมประจุ + หรือ −!
( 1. บวก 2. + 3. − 4. การเหนีย่ วนําทางไฟฟา )
! &(!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
90. เมื่อถูแทงแกวดวยผาไหม แทงแกวจะมีประจุไฟฟาเปนบวกเพราะวาสาเหตุใด
1. โปรตรอนบางตัวในไหมถายเทไปแทงแกว
2. อิเล็กตรอนบางตัวหลุดจากแทงแกว และถายเทไปยังผาไหมทําใหเหลือประจุไฟฟา
บวกบนแทงแกวมากกวาประจุไฟฟาลบ
3. ทั้งขอ ก และ ข ถูกตอง
4. ผิดหมดทุกขอ (ขอ 2)
91(มช 32) เมื่อนําแทงพีวีซีที่ถูกับผาสักหลาดแลวไปวางใกล ๆ กับลูกพิธที่เปนกลางทางไฟฟา
จะสังเกตเห็นเหตุการณทเ่ี กิดขึน้ ดังนี้
ก. ลูกพิธจะหยุดนิ่ง
ข. ลูกพิธจะเคลื่อนที่เขาหาแทงพีวีซี
ค. ลูกพิธจะเคลื่อนที่ออกหางจากแทงพีวีซี
ง. ลูกพิธจะเคลื่อนที่เขาหาแทงพีวีซีในตอนแรก แลวจะเคลื่อนที่จากไปภายหลัง (ขอ ข)!
92(มช 36) ทรงกลมโลหะ A และ B วางสัมผัสกันโดยยึดไว
ดวยฉนวน เมื่อนําแทงอิโบไนทซึ่งมีประจุลบเขาใกลทรงกลม
A ดังรูป จะมีประจุไฟฟาชนิดใด เกิดขึ้นที่ตัวนําทรงกลมทั้งสอง
ก. ทรงกลมทั้งสองจะมีประจุบวก
!
ข. ทรงกลมทั้งสองจะมีประจุลบ
ค. ทรงกลม A จะมีประจุบวก และทรงกลม B มีประจุลบ
ง. ทรงกลม A จะมีประจุลบ และทรงกลม B มีประจุบวก
จ. ไมเกิดไฟฟาที่ทรงกลมทั้งสอง (ขอ ค)
93(En 34) โลหะทรงกระบอกยาวปลายมนเปนกลางทาง
ไฟฟาตั้งอยูบนฐานที่เปนฉนวน ถานําประจุบวก
ขนาดเทากันมาใกลปลายทั้งสองขางพรอมกันโดยระยะ
หางจากปลายเทา ๆ กัน ตามลําดับ การกระจายของประจุสวน A สวน B และ C ของ
ทรงกระบอกเปนอยางไร
1. A และ C เปนลบแต B เปนกลาง 2. A และ C เปนกลาง แต B เปนบวก
3. A และ C เปนบวก แต B เปนลบ 4. A และ C เปนลบแต B เปนบวก (ขอ 4)
! &)!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
94(มช 31) เมื่อนําสาร ก มาถูกกับสาร ข พบวา สาร ก มีประจุไฟฟาเกิดขึน้ สาร ก ตองเปนสารใด
ก. ตัวนํา ข. ฉนวน ค. กึง่ ตัวนํา ง. โลหะ (ขอ ข)
3
− 3
(1) (2) −− (3) (4) +
2) อิเลคโตรสโคปแบบจานโลหะ
มีลักษณะดังรูป เมื่อถูกวัตถุที่มีไฟฟาสถิตยเขาใกลจานโลหะดานบน จะเกิดการเหนีย่ วนํา
ทางไฟฟาทําใหแผนโลหะบาง ๆ ดานลางกางออก
! &*!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
96. จงเติมขอความลงในชองวางตอไปนี้ใหไดใจความที่ถูกตอง และ สมบูรณ
−− +
+3
−
(1) (4)
.! .!
(2) (3) !
(5) (6) !
การตอสายดิน!
พิจารณาการทดลองตอไปนี้!
!
− − −
! − − −
! + + + + + +! + + + + + +!
+ + + + + +!
!
−!
!
−!
! − −−
!
1)! อิเลคตรอนถูกผลักลง 2) ตอสายดิน อิเลคตรอนจะวิง่ 3) ตัดสายดินออก
!
! ขางลางแผนโลหะจะกาง ลงสูพื้นโลกแผนโลหะจะหุบ ไมเปลี่ยนแปลง
!
! + + + +! +− + − + −!
! +! !
! +! +! !
+! +!
! + +! −
−
!
!4) นําวัตถุทม
่ี ปี ระจุดา นบนออกอิเลคโตร- หากนําวัตถุทม่ี ปี ระจุออกกอนตัดสายดิน อิเลค-
! ตรอนทีพ่ น้ื โลกจะวิง่ ขึน้ มาบนอิเลคโตรสโคป
สโคปจะเหลื
!
อประจุบวกมากกวาลบแผน
โลหะด
! านลางจะกางออก ทําใหเปนกลางทางไฟฟาแผนโลหะจะไมกางออก!
! &+!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
97. จงเติมประจุ + หรือ − หรือ 0 หากเปนกลางทางไฟฟา ในตําแหนงที่ 1 − 12
− − −
− − −
(1) ! (4) ! (7) ! (10)
พิจารณาการทดลองตอไปนี้!
3 3 3
3 3 3
− − − − − −! − − − − − −! − − − − − −!
+! ! !
+! +! !
+! !
+! +!
+! − −
+ +! − −
1) อิเลคตรอนถูกดูดขึน้ แผน 2) ตอสายดิน อิเลคตรอนจากพืน้ 3) ตัดสายดินออก
โลหะดานลางจะเหลือบวก โลกจะวิง่ ขึน้ มาอยูบ นแผนโลหะ ไมเปลี่ยนแปลง
และเกิดแรงผลักทําใหกางออก! ดานลาง ทําใหแผนโลหะเปนกลาง
ทางไฟฟาแลวหุบลง
!
− − −!
−! !
+! +! !
+!
− −
− + −! −
4) นําวัตถุทม่ี ปี ระจุดา นบนออกอิเลคตรอน หากนําวัตถุทม่ี ปี ระจุออกกอนตัดสายดิน อิเลค-
ดานบนจะเคลือ่ นลงมาดานลาง ทําใหมลี บ ตรอนบนอิเลคโตรสโคปทีม่ ากเกินไปจะวิง่ ลงพืน้
มากเกินไป แผนโลหะดานลางจะกางออก โลก จนอิเลคโตรสโคปเปนกลาง และจะหุบลง
! &,!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
98. จงเติมประจุ + หรือ − หรือ 0 หากเปนกลางทางไฟฟา ในตําแหนงที่ 1 − 12
+3 +3 +3
(ขอ 2)
! !
ตอบ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! '-!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
ฟ สิ ก ส บทที่ 15 ไฟฟ า สถิ ต ย
!
! กฎของคูลอมบ!
1. จงหาระยะหางที่เกิดจากจุดประจุทั้งสองที่มีขนาด +1.0 และ –1.0 ไมโครคูลอมบ และมี
แรงดึงดูดตอกัน 440 นิวตัน (4.5x10–3 ม.)
2. นิวเคลียสของอะตอมฮีเลียมประกอบดวยโปรตอน 2 ตัว ซึ่งอยูหางกันประมาณ 3.0x10–15
เมตร จงหาขนาดของแรงทีเ่ กิดกับโปรตอนแตละตัว
(โปรตรอน 1 ตัว มีประจุ 1.6 x 10–19 คูลอมบ ) (25.6 N)
3. ประจุคหู นึง่ วางใหหา งกันเปนครึง่ หนึง่ ของระยะเดิม แรงกระทําระหวางประจุจะเพิม่ หรือ
ลดจากเดิมเทาไร
ก. เพิ่มขึ้น 12 เทา ข. เพิ่มขึ้น 2 เทา
! ! ค. เพิ่มขึ้น 4 เทา! ! ! ! ! ! ! ง. ลดลง 2 เทา! (ขอ ค)!
4. แรงผลักระหวางประจุทเ่ี หมือนกันคูห นึง่ เปน 3.5 นิวตัน จงหาขนาดของแรงผลักระหวาง
ประจุคนู ้ี ถาระยะหางของประจุเปน 5 เทาของเดิม (0.14 N)
5. เมื่อวางลูกพิธที่มีประจุหางกัน 10.0 เซนติเมตร ปรากฎวามีแรงกระทําตอกัน 10–6 นิวตัน
ถาวางลูกพิธทั้งสองหางกัน 2.0 เซนติเมตร จะมีแรงกระทําระหวางกันเทาใด (2.5x10–5 N)
6. ลูกพิธ 2 ลูกวางหางกัน 8 ซม. จะเกิดแรงผลักกันคาหนึ่ง ถาเพิ่มประจุลูกหนึ่งเปน 2 เทา
และอีกลูกหนึ่งเปน 3 เทา จะตองวางลูกพิธทั้งสองหางกันเทาใด จึงจะเกิดแรงกระทําเทาเดิม
! ! ( วางหางกัน 8 6 !ซม.)!
7. กอนทองแดง 2 กอน วางหางกัน 3 เมตร แตละกอนมีอเิ ล็กตรอนอิสระอยู 5 x 1014 ตัว
จงหาขนาดของแรงผลักทีเ่ กิดขึน้ ในหนวยนิวตัน
ก. 1.4 ข. 2.4 ค. 4.4 ง. 6.4 (ขอ ง)
8. ทรงกลมโลหะลูกเล็ก ๆ เริ่มแรกไมมีประจุสองลูก จะตองมีการถายเทอิเล็กตรอน จํานวน
กี่ตัว จากลูกหนึ่งไปยังอีกลูกหนึ่ง จึงจะทําใหเกิดแรงดึงดูดระหวางทรงกลมทั้งสอง เทากับ
1.0 นิวตัน ขณะที่อยูหางกัน 10 เซนติเมตร
1. 6.59x1010 ตัว 2. 6.59x109 ตัว
3. 6.59x108 ตัว! ! ! ! ! ! ! 4. 6.59x1012 ตัว! (ขอ 4)
! '"!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
9. ประจุ q1 = +4 x 10–6 คูลอมบ , q2 = –5 x 10–6 คูลอมบ และ q3 = +6 x 10–6
คูลอมบ วางอยู ดังรูป จงหาแรงทีเ่ กิดขึน้ กับประจุ q2 (0.0281 N)
4m
-– – – – – – – – –2–m– – – –!4!4!4!!4!4!4!4!!
+ +
q1= 4x10–6 C q2 = –5x10–6 C q3 = +6x10–6 C!
10. ประจุไฟฟา 3 ตัว ขนาด +6 ไมโครคูลอมบ
+ 10 µC
+10 ไมโครคูลอมบ และ –8 ไมโครคูลอมบ + – – – – –30– –cm– – – – – – – ! +
วางอยูใ นตําแหนงดังแสดงในรูป จงหาแรง + 6 µC
20 cm
ลัพธที่เกิดขึ้นกับประจุ +10 ไมโครคูลอมบ
(19 นิวตัน) – 8 µC
11. ประจุไฟฟาเทากันวางอยูที่จุด A , B และ C
A
โดยระยะ AB = 2 !56!!7!!BC = 1 cm ถา
แรงไฟฟาที่กระทําตอ C เนือ่ งจาก B เทากับ 2 cm !
1x104 นิวตัน แรงไฟฟาทั้งหมดที่กระทําตอ
C
B มีขนาดเทาใด ( 25 x104 N) 1 cm
12. จากรูป จงหาขนาดของแรงทีก่ ระทําตอ +3 µC +10 µC
ก. 6.75x10–2 N ข. 13.5 N •!
ค. 22.5 N ง. 675 N 2 cm
2 cm
จ. 1350 N (ขอ ง)
+3 µC •! 2 cm •!–10 µC
! '%!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
สนามไฟฟา
14. จงหาความเขมสนามไฟฟาที่ระยะ 50 ซม. จากประจุ +10–4 คูลอมบ (3.6x106 N/C ทิศออก)
15. ความเขมสนามไฟฟาที่จุดหางจากประจุ 0.15 เมตร เปน 160 นิวตันตอคูลอมบ ทีจ่ ดุ หาง
จากประจุ 0.45 เมตร จะมีความเขมสนามไฟฟาเทาใด (17.8 N/C)
16. ที่ตําแหนงซึ่งหางจากประจุหนึ่งเปนระยะ 2.0 เซนติเมตร มีขนาดของสนามไฟฟาเปน 105
นิวตันตอคูลอมบ จงหาขนาดของสนามไฟฟาที่หางจากจุดนี้ 1.0 เซนติเมตร (4x105 N/C)
17 (มช 42) วางประจุ 3 x 10–3 คูลอมบ , 2 x 10–3 คูลอมบ
และ –8x10–3 คูลอมบ ทีต่ าํ แหนง A , B และ C ตามลําดับ
จงหาสนามไฟฟาที่ตําแหนง B ในหนวยของนิวตัน/คูลอมบ AB = 3 เมตร , BC = 2 เมตร
1. 21x106 2. 15x106 3. 30x106 4. 42x106 (ขอ 1)
18. ทีต่ าํ แหนง ก , ข และ ค มีประจุเปน 1.0 x 10–7 , !
–1.0 x 10–7 และ –10 x 10–7 คูลอมบ ตามลําดับ 16
จงหาขนาดของสนามไฟฟาตําแหนง ค. เนือ่ งจาก
ประจุทต่ี าํ แหนง ก และ ข (900 N/C)
!
19. จงหาความเขมสนามไฟฟาที่จุด B ในรูปที่กําหนด +5 µC –3.6 µC
( กําหนด cos 127o = cos 53o = 0.6 ) 8 cm
37o
(7.26x106 N/C)
6 cm
10 cm
53o
B
20 (En 38) ประจุ –1 คูลอมบ อยูท จ่ี ดุ A และจุด B ซึ่งอยู
หางกัน 5 เมตร ทีจ่ ดุ C ซึ่งอยูหางจากทั้งจุด A และจุด B
เปนระยะทาง 5 เมตร จะมีขนาดของสนามไฟฟาเทาไร
k k
1. 3 25E N/C 2. 23 ⋅ 25E N/C
2k k
3. 25E N/C 4. 25E N/C (ขอ 1)
! '&!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
21. สนามไฟฟาที่ทําใหโปรตอนมวล 1.67x10–27 กิโลกรัม มีประจุ 1.6x10–19 คูลอมบ
เกิดความเรง 2x102 เมตรตอวินาที2 มีคาเทาไร
ก. 2x10–6 N/C ข. 2x10–5 N/C
ค. 2x10–4 N/C ง. 2x10–3 N/C (ขอ ก)
22. ทีจ่ ดุ หางจากประจุตน เหตุ 1.2 m ประจุขนาด 6x10–12 C ถูกแรงกระทํา 6x10–10 N
จงหาคาประจุตน เหตุน้ี (1.6x10–8 C)
23. ที่จุด ๆ หนึง่ ในสนามไฟฟา ปรากฎวาเกิดแรงกระทําตออิเล็กตรอนที่จุดนั้นมีคา 4.8 x 10–14 N
จงหาแรงทีก่ ระทําตอประจุขนาด 9.0 x 10−7 C ทีจ่ ดุ เดียวกันนัน้ (0.27 N)
24. ประจุ q1 , q2 มีขนาดเทากันอยูหางกัน 0.1 m สนามไฟฟา ณ จุดกึ่งกลางระหวางประจุ
ทั้งสองมีทิศพุงเขาหา q2 และมีขนาด 4.8x104 V/m จงหา q1 , q2 ( ± 6.67x10–9 C)
26. จุดประจุ +4 x 10–8 คูลอมบ และ +9 x 10–8 คูลอมบ อยูหางกัน 0.5 เมตร จงหาตําแหนง
ตามแนวเสนตรงระหวางจุดประจุทั้งสองที่มีขนาดของสนามไฟฟาเปนศูนย ณ ตําแหนงนัน้
(0.2 เมตร)
27. ประจุสองประจุมีขนาด –16 และ +4 ไมโครคูลอมบ วางอยูในตําแหนงซึ่งหางกัน 3 เมตร
จงหาตําแหนงที่อยูในแนวระหวางประจุทั้งสองที่จะใหเกิดสนามไฟฟาเปนศูนย (3 เมตร)
28. ประจุ +1 x 10–5 คูลอมบ และ –2 x 10–5 คูลอมบ วางอยูหางกัน 10 ซม. จงหาตําแหนง
ของจุดสะเทิน (จุดที่มีความเขมสนามไฟฟาเปนศูนย) (24.14 cm)
29. จุดประจุ 2 จุด อยูหางกัน 0.5 m จุดประจุหนึง่ มีคา +4 x 10–8 C หากสนามไฟฟาเปน
ศูนยอยูระหวางประจุทั้งสอง และหางจากจุดประจุ +4x10–8 C เทากับ 0.2 m คาของอีก
ประจุหนึ่งมีกี่คูลอมบ
ก. 0.9x10–8 ข. 3x10–8 ค. 9x10–8 ง. 30x10–8 (ขอ ค)
!
! ''!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
ศักยไฟฟา
30 (En 36) โลหะรูปทรงกลมรัศมี 10 cm มีประจุ 10–9 C
จากรูปจงหางานในการนําโปรตรอน 1 ตัว เคลือ่ นที่
จากจุด B มายังจุด A ดังรูป
1. 2.9x10–18 J 2. 4.3x10–18 J
!
3. 7.2x10–18 J 4. 30x10–18 J (ขอ 2)
31. เมือ่ นําประจุ 0.5 คูลอมบ จาก A ไป B ตองใชงาน 12.5 จูล ศักยไฟฟาที่ A และ B จะ
ตางกันกีโ่ วลต
ก. 25 ข. 12.5 ค. 2.5 ง. 0.25 (ขอ ก)
32. ในการเคลือ่ นประจุ 5 x 10–2 คูลอมบ จาก A ไปยัง B เปนระยะ 10 เมตร ตองใชแรง
เฉลี่ย 2 นิวตัน ความตางศักยระหวาง AB มีคาเทาไร
ก. 4 x 102 V ข. 2.25 x 102 V
ค. 4 x 103 V ง. 2.25 x 103 V (ขอ ก)
33. จุด A อยูหางจากประจุ Q เปนระยะ r มีศักยไฟฟา V เมือ่ นําประจุทดสอบ q
จากระยะอนันตมายังจุด A ตองเปลืองงานเทาไร
ก. Kq
r ข. KQr ค. KQqr ง. KQq (ขอ ค)
r2
34. จุด A อยูหางจากประจุ Q เปนระยะ d มีศักยไฟฟา V เมือ่ นําประจุทดสอบ q จาก
ระยะอนันต (infinity) มายังจุด A จะสิ้นเปลื้องงานไปเทาใด
ก. kg/d ข. KQ/d ค. KQ/qd ง. KQq/d (ขอ ง)
35. จากรูป ถา O เปนจุดที่มีศักยไฟฟาเปนศูนย และอยูในระหวาง A, B แลว BO เทากับ
A O B!
• • • แนว AB
+2 µC –1 µC
ก. 13 AB ข. 12 AB ค. 23 AB ง. AB (ขอ ก)
! '(!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
36 (มช 38) ทีต่ าํ แหนง O และ Q มีประจุไฟฟา
3.0x10–6 คูลอมบ และ –1.0 x 10–6 คูลอมบ
ดังรูป OR = QR = 0.4 เมตร และ PR = 0.3
เมตร จงหาความตางศักยระหวาง R และ P
(9000 โวลต) !
37(มช 42 ) สี่เหลี่ยมจัตุรัสมีเสนทะแยงมุมยาว 0.2 เมตร วางประจุ 5 x 10–6 คูลอมบ ,
3 x 10–6 คูลอมบ –4 x 10–6 คูลอมบ และ –2 x 10–6 คูลอมบ ที่มุมทั้งสี่ของรูปสี่เหลี่ยมนี้
จงหาศักยไฟฟาที่จุดศูนยกลางของสี่เหลี่ยมจัตุรัสในหนวยโวลต
1. 18x104 2. 2x104 3. 14x104 4. 9x104 (ขอ 1)
38(มช 32) จุดประจุ 3 จุดประจุ วางอยูที่มุมของสามเหลี่ยมดานเทายาวดานละ 2 cm ทําให
จุดที่เสนมัธยฐานทั้งสามตัดกันมีศักยไฟฟาเปนศูนยหากจุดประจุ 2 ประจุ มีคา +2 ไมโคร–
คูลอมบ และ +4 ไมโครคูลอมบ จงหาคาจุดประจุตัวที่สามในหนวยไมโครคูลอมบ
ก. –8 ข. –6 ค. +6 ง. +8 (ขอ ข)
! '*!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
49. วัตถุเล็ก ๆ ชิน้ หนึง่ มีประจุ –5 x 10–9 C ถูกนําไปวางที่จุดๆ หนึ่งในสนามไฟฟา ปรากฎวา
มีแรงกระทํา 2.0 x 10–9 N บนวัตถุนน้ั สนามไฟฟาที่จุดนั้นมีคาเทาใด
ก. 0.4 N/C ทิศเดียวกับแรง ข. 0.4 N/C ทิศตรงขามกับแรง
ค. 4.0 N/C ทิศเดียวกับแรง ง. 4.0 N/C ทิศตรงขามกับแรง (ขอ ข)
50. จากรูป จงหาแรงไฟฟาทีก่ ระทําตออิเล็กตรอนทีอ่ ยูใ นระหวางแผนโลหะขนาน AB
ก. 3.0 x 10 –33 N ทิศขึ้น
ข. 5.3 x 10–20 N ทิศขึ้น ! 1
E = 3 ! :;<!
–20
ค. 5.3 x 10 N ทิศลง
ง. 4.8 x 10–19 N ทิศขึ้น (ขอ ข)
51. สนามไฟฟาขนาด 280,000 N/C มีทิศไปทางใต จงหาขนาดและทิศทางของแรงที่กระทํา
ตอประจุ –4.0 µC วางอยูในสนามไฟฟานี้ (ขนาด 1.12 N , ทิศเหนือ)
52. อนุภาคไฟฟาซึ่งมีประจุ –2.0 x 10–9 C ไดรับแรงเนื่องจากสนามไฟฟาสม่ําเสมอ
3.0 x 10–6 N ทิศลง จงหา
ก. สนามไฟฟา ( 1500 N/C)
ข. ขนาดและทิศของแรงทีก่ ระทําตอโปรตอนเมือ่ อยูใ นสนามนี้ ( 2.4x1016 N)
53. แผนตัวนําขนานหางกัน 0.2 เซนติเมตร ทําใหเกิดสนามสม่ําเสมอตามแนวดิ่ง ถาตองการ
ใหอเิ ล็กตรอนมวล 9.1 x 10–31 กิโลกรัม ที่มีประจุ –1.6x10–19 คูลอมบ ลอยอยูนิ่ง ๆ ได
ทีต่ าํ แหนงหนึง่ ระหวางแผนตัวนําขนานนี้ ความตางศักยระหวางตัวนําขนานตองเปนเทาใด
(1.14x10–13 โวลต)
54. หยดน้ํามันหยดหนึ่งมวล 0.02 กรัม ประจุ +q อยูในสนามไฟฟา ความเขม 10 N/C
ปรากฎวาหยดน้ํามันหยุดนิ่งโดยสมดุลกับแรงโนมถวงของโลก จงหาคา q
ก. 2x10–5 C ข. 2x10–4 C ค. 2x10–3 C ง. 2x10–2 C (ขอ ก)
55. หยดน้ํามันมวล 2.88 x 10–14 kg มีประจุไฟฟาทําใหลอยหยุดนิ่งในสนามไฟฟา
3 x 105 N/C ที่มีทิศขึ้นในแนวดิ่ง จงหาคาประจุบนหยดน้ํามัน
ก. 0 ข. 1.6x10–19 C ค. 3.2x10–19 C ง. 9.6x10–19 C (ขอ ง)
! '+!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
ตัวเก็บประจุ
56. โลหะทรงกลมรัศมี 10 เซนติเมตร มีความจุไฟฟาเทาใดในหนวย pF (pico farad)
ก. 11 ข. 22 ค. 90 ง. 100 (ขอ ก)
57. ถาศักยไฟฟาสูงสุดของตัวนําทรงกลมรัศมี 30 เซนติเมตร มีคา 9 x 105 โวลต จงคํานวณ
หาปริมาณประจุไฟฟาที่มากที่สุดที่ตัวนําทรงกลมนี้จะสามารถรับได (3x10–5 คูลอมบ)
58. ตัวเก็บประจุหนึ่งสะสมประจุไว 5.3 x 10–5 คูลอมบ เมื่อตอกับความตางศักย 6 โวลต
จงหาประจุที่สะสมในตัวเก็บประจุ ถาตอเขากับความตางศักย 9 โวลต (79 µC)
59. ในการเกิดฟาผาครัง้ หนึง่ ปรากฎวามีประจุถายเทระหวางเมฆและพื้นดิน 40 คูลอมบ และ
ความตางศักยระหวางเมฆกับพื้นดินมีคา 8 x 106 โวลต จงหาพลังงานที่เกิดขึ้นเนื่องจาก
ฟาผาครั้งนี้ (3.2x108 จูล)
59(มช 33) ถาใชตัวตานทาน 10 โอหม ตอครอมตัวเก็บประจุขนาด 2000 ไมโครฟารัด
เพือ่ คายประจุจากคาประจุเริม่ ตน 2 คูลอมบ จนไมมีประจุเหลืออยูเลย จะเกิดความรอน
บนตัวตานทานกีจ่ ลู
ก. 100000 ข. 5000 ค. 2000 ง. 1000 (ขอ ง)
60(En 39) ตัวเก็บประจุ (C) มีประจุทแ่ี ผนบวก และลบ +q0 และ –q0 ตามลําดับ หลังเปด
สวิตซ S ใหมีกระแสในวงจร จะเกิดความรอนใน R เทาไร
1. 0 2. q0C 3. 2 ( q 02 /C ) 4. %" ( q 02 /C ) (ขอ 4)
! ',!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
63(มช 43) ตัวเก็บประจุ 3 ตัว C1 มีความจุ 6 ไมโครฟารัด
C2 มีความจุ 12 ไมโครฟารัด และ C3 มีความจุ 8 ไม-
โครฟารัด เมื่อนํามาตอกับความตางศักย 100 โวลต ดังรูป
จงหาพลังงานสะสมที่ตัวเก็บประจุ C3 ในหนวยจูล
1. 8x10–2 2. 4x10–2 3. 8x10–4 4. 4x10–4 (ขอ 2)
64(มช 37) C1 = 4 ไมโครฟารัด C2 = 6 ไมโครฟารัด
C3 = 9 ไมโครฟารัด C4 = 3 ไมโครฟารัด
ตอตัวเก็บประจุ C1, C2, C3 และ C4 ดังรูป และตอเขา
กับความตางศักย 11 โวลต ความจุรวมของตัวเก็บประจุ
ทัง้ หมดจะเปนกีไ่ มโครฟารัด
1. 10.5 2. 7.3 3. 9.2 4. 5.6 (ขอ 4)
65(มช 37) ความตางศักยของตัวเก็บประจุ C4 ขอทีผ่ า นมาจะเปนกีโ่ วลต
1. 3 2. 6 3. 2 4. 4 (ขอ 2)
66(En 37) ตัวเก็บประจุ C1 , C2 และ C3 มีขนาดความจุ 1 , 2
และ 3 ไมโครฟารัด ตามลําดับ กอนนํามาตอกับแบตเตอรี่
ขนาด 2 โวลต ดังรูป ตัวเก็บประจุทั้งสามยังไมมีประจุอยู
ภายในเลย เมื่อปดสวิตซ S เปนเวลานานพอที่จะทําใหอยู
ในสภาพสมดุล พลังงานไฟฟาที่สะสมอยูในตัวเก็บประจุ C2
จะมีขนาดเทาใดในหนวยไมโครจูล (1.44 µJ)
การเหนี่ยวนําทางไฟฟา
67(มช 27) เมื่อนําแทงแกวถูผาไหม จะพบวาวัตถุทั้งสองกลายเปนวัตถุที่มีประจุ การที่วัตถุ
ทั้งสองมีประจุได เนือ่ งจาก
ก. ประจุถูกสรางขึ้น ข. การแยกของประจุ
! ! ค. การเสียดสี ! ! ! ง. แรงที่ถู (ขอ ข)
! (-!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
68. ขอใดไมใชคุณสมบัติของประจุไฟฟา
1. ประจุบวกดึงดูดวัตถุที่เปนกลาง 2. ประจุบวกดึงดูดประจุลบ
3. ประจุบวกผลักประจุบวก 4. ประจุลบผลักวัตถุทเ่ี ปนกลาง (ขอ 4)
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! ("!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
! (%!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
33. ตอบขอ ค.
วิธที าํ ตอน 1! จาก! V = KQ
R
VA = KQr
V∝ = KQ = 0
!
37. ตอบขอ 1.
วิธที าํ VA = V1 + V2 + V3 + V4
KQ KQ KQ KQ
= R1 + R2 + R 3 + R4
= KR ( Q1+ Q2 + Q3 + Q4)
= 9x10 9 –6 –6 –6 –6
0.1 (5x10 + 3x10 – 4x10 –2x10 )
= 9x10 9 –6
0.1 (2x10 )
VA = 18 x 104 โวลต
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
38. ตอบขอ ข.
วิธที าํ ! ตามภาพจะเห็นวาจุด A อยูหางจากประจุทั้งสามเทา ๆ กัน
สมมติระยะหางนั้นเปน R
จากโจทยจะไดวา V1 + V2 + V3 = 0
KQ + KQ + KQ
[ ] [ ] [ ]
R 1 R 2 R 3 = 0! !
! ! ! ! ! ! !!2+ Q + 4 = 0
Q = –6 ไมโครคูลอมบ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! ('!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
40. ตอบขอ ค.
วิธที าํ จาก Q = ne
8 x 104 = n (1.6 x 10–19 )
n = 5.0 x 1023
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
42. ตอบขอ ก.
วิธที าํ จาก E = kQ2
R
Q = E !kR2
-3 2
Q = (1.3x10 9)(0.1 )
9x10
Q = 1.4 x 10–15
จาก Q = nE
1.4x10–15 = n(1.6x10–19)
n = 1.4x10-- 19
15
1.6x10
n = 8.75 x 103
∴ จะตองใชอิเล็กตรอนแกทรงกลม 9 x 103 อนุภาค
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
45. ตอบขอ ง.
วิธที าํ จากV = Ed
V = E1(2) → #
V = E2(4) → $
# / $ E2 = 12 E1
∴ ความเขมของสนามไฟฟาระหวางแผนโลหะทั้งสองคือ E2
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! ((!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
53. ตอบ 1.14x10–13 โวลต
วิธที าํ เขียนรูปแรงทีเ่ กิดกับอิเล็กตรอนในสนามไฟฟา
+
FE
d = 0.2 cm e Q = –1.6 x 10–19 C
E mg
–
จากรูป FE = mg
q dv = mg
V = mgd q
แทนคา V = 9.1 x 10−31 x 10−x19 0.2 x 10−2
1.6 x 10
V = 1.14 x 10–13 โวลต
∴ ความตางศักยระหวางตัวนําขนาน = 1.14 x 10–13 โวลต
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
58. ตอบ 79 µC
วิธที าํ จาก Q = CV
C = Qv
จะได C = 5.3 x10- 5 = 8.83 x 10–6
6
Q = CV
Q = 8.83 x 10–6 x 3 = 79 x 10–6 C
Q = 79 µC
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! ()!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
59. ตอบขอ ง.
วิธที าํ พลังงานความรอนทีเ่ กิดขึน้ จริง ๆ แลวเปลี่ยนสภาพจากพลังงานไฟฟา ดังนัน้ จึงไดวา
พลังงานความรอน = พลังงานในตัวเก็บประจุ
ΔQ = u
2
ΔQ = 12 qC
ΔQ = (2)2
2(2000 x10- 6 )
ΔQ = 1000 จูล
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
61. ตอบ ก. 12 µC , 12 µC ข. 6 V , 4 V
วิธที าํ ก. Cรวม = 22+33 = 65 = 1.2 =" ! =%!
>" ! >% !
Qรวม = CV = 1.2 x 10 = 12
∴ Q1 และ Q2 เทากับ 12 µF =รวม "-!=!
Q
ข. V1 = C1 = 122 = 6 โวลต
1
Q2 12
V2 = C = 3 = 4 โวลต
2
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
64. ตอบขอ 4.
จาก 1 1 1 1 11 18
วิธที าํ Cกลาง = 6 + 9 + 3 = 18 ∴ Cกลาง = 11
Cรวม = C1 + Cกลาง = 4 + 18
11 = 5.63 µF
∴ Cรวม = 5.63 F
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! (*!
บทที่ 15 ไฟฟาสถิตย
66. ตอบ 1.44 ไมโครจูล
จาก 1 1 1
วิธที าํ Cรวมบน = C2 + C3
จะได C 1 = 12 + 13 = 65
รวมบน
∴ Cรวม = 65
และจาก Qบน = CV หา VC2 = Q
C
จะได Qบน = 65 x 2 VC2 = 12 x 1
5 2
Qบน = 125 VC2 = 6
5
จาก U = 12 CV2
จะได U = 12 x 2 x 10–6 x ( 65 )2
U = 10–6 x 36
25
U = 1.44 x 10–6
U = 1.44 µ J
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! (+!
a
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
ฟ สิ ก ส บทที่ 16 ไฟฟ า และแม เ หล็ ก (1)
ตอนที่ 1 กระแสไฟฟา
+ –
+ –
+ –
+ –
+ –
ควรทราบ
1) กระแสไฟฟา เปนเพียงกระแสสมมุติ
2) กระแสไฟฟา ไมใชกระแสอิเลคตรอน
3) กระแสไฟฟาจะไหลสวนทางกับอิเลคตรอน
และกระแสไฟฟาจะไหลทางเดียวกับประจุบวก
และกระแสไฟฟาจะมีทศิ ทางกับสนามไฟฟา (E)
3. 4.
เราสามารถคํานวณหาปริมาณกระแสไฟฟาไดจากสมการ
I = Qt
เมือ่ Q = ปริมาณประจุไฟฟาทีไ่ หลผานพืน้ ทีห่ นาตัดตัวนํา ณ.จุดหนึง่ ๆ (คูลอมบ)
t = เวลาทีป่ ระจุไฟฟาไหลผานจุดนัน้ ๆ (วินาที)
I = กระแสไฟฟาทีเ่ กิด ( แอมแปร , A)
41
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
2. ถาประจุไฟฟาที่ผานลวดตัวนําหนึ่ง ภายในเวลา 2 นาที เทากับ 600 ไมโครคูลอมบ
กระแสไฟฟาที่ไหลผานลวดตัวนํานี้จะมีคากี่แอมแปร ( 5 x 10–6)
วิธที าํ
เราอาจคํานวณหาปริมาณกระแสไฟฟาไดจากอีกสมการหนึ่ง คือ
I = Nev A
เมือ่ N = ความหนาแนนอิเลคตรอน ( m–3 )
e = 1.6 x 10 –19 C ( คือ ประจุอเิ ลคตรอน 1 ตัว )
v = ความเร็วลอยเลือ่ นของอิเลคตรอน (m /s )
A = พืน้ ทีห่ นาตัดของตัวนํา ( m2)
42
หู
G
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
6. ลวดเสนหนึ่งมีพื้นที่หนาตัด 5 ต.ร.มม มี e 1x1028 อนุภาคตอ ล.บ เมตร ถา e เคลือ่ นที่
ดวยความ เร็วลอยเลือ่ น 1 มม/วินาที จงหากระแสที่ไหลในเสนลวด (8 A)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦
43
เ
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
ตอนที่ 2 กฏของโอหม และความตานทาน
กฏของโอหม กลาววา
“ปริมาณกระแสไฟฟาที่ไหลผานตัวนําหนึ่ง ๆ จะแปรผันตรงกับความตางศักย”
เขียนความสัมพันธจะได I ϒ V
I = kV
V = 1k I
V = IR
เมือ่ V = ความตางศักย (โวลต)
I = ปริมาณกระแสไฟฟา (แอมแปร)
R = ความตานทาน (โอหม)
9. จะตองใชความตางศักยเทาใดตอกับตัวตานทาน 1 เมกะโอหม (106 υ) เพือ่ ใหมกี ระแส
ไฟฟาผานตัวตานทาน 1 mA (100 โวลต )
วิธที าํ
จาก V = IR
จะได V = I
R
จะเห็นวา หาก R มาก I จะนอย
หาก R นอย I จะมาก
และเกี่ยวกับความตานทานของตัวนําใด ๆ
R ϒ AL
R = ″ AL
44
น
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
เมือ่ R = ความตานทาน (โอหม)
″ = สภาพตานทาน (โอหม . เมตร)
L = ความยาว (เมตร)
A = พืน้ ทีห่ นาตัดของตัวนํา (เมตร2)
11(En 18) หนวยของความตานทานจําเพาะ คือ (ขอ ก)
ก. โอหม . เมตร ข. โอหม ค. โอหมตอเมตร2 ง. โอหมตอเมตร
12. ลวดโลหะชนิดหนึง่ มีสภาพตานทาน 2.0 x 10–8 โอหม . เมตร และ มีพน้ื ทีห่ นาตัด 1.0
ตารางเซนติเมตร ถาตองการใหลวดโลหะนี้มีความตานทาน 1 โอหม จะตองใชลวดยาวกี่เมตร
1. 5.0 x 10–3 2. 2.0 x 10–2 3. 50 4. 5.0 x 107 (ไมมีขอถูก)
วิธที าํ
45
ย
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
15. สายไฟ 2 เสน ทําจากโลหะชนิดเดียวกัน เสนทีส่ องมีพน้ื ทีห่ นาตัดเปน 6 เทาของเสน
แรก และมีความยาวเปน 3 เทาของเสนแรก จงหาวาความตานทานของเสนแรกวามีคา เปน
กีเ่ ทาของเสนทีส่ อง (2 เทา)
วิธที าํ
46
↳
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
18. ลวดเสนหนึง่ มีความตานทาน 6.0 โอหม เมือ่ นํามารีดใหเสนลวดมีขนาดเล็กลงจนมีความ
ยาวเปนสามเทาของตอนเริม่ ตน ถาคุณสมบัติตางๆ ของสารที่ทําเสนลวดไมเปลี่ยน ความ
ตานทานของเสนลวดตอนสุดทายจะเปนกีโ่ อหม ( ขอ ง. )
ก. 18 ข. 24 ค. 36 ง. 54
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦
สมการที่ใชหากําลังไฟฟา
P = Wt
QV
P = t
P = IV
P = I2 R
2
P = VR
เมือ่ P = กําลังไฟฟา (วัตต)
19. ตอหลอดไฟกับความตางศักย 220 V แอมมิเตอรอา นกระแสไฟฟาได 0.1 A จงหาพลัง
งานไฟฟาทีส่ ญ
ู เสียไฟเมือ่ เปดหลอดไฟนี้ 1 นาที ( 1320 จูล)
วิธที าํ
48
ย
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
49
ฏ V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
26(มช 38) เครือ่ งกําเนิดไฟฟาเครือ่ งหนึง่ สามารถสงกําลังไฟฟาได 345 กิโลวัตต ใหหาคา
พลังงานทีส่ ญู เสียไปในรูปของความรอนภายในสายไฟ ถาสงกําลังไฟฟาผานสายไฟยาว
500 เมตร ความตานทาน 0.25 โอหม เปนเวลา 20 วินาที ดวยความตางศักย 69 กิโลโวลต
วิธที าํ (125 จูล)
27(En 36) เครือ่ งใชไฟฟาในบานชนิด 100 วัตต 220 โวลต เมือ่ นํามาใชขณะทีไ่ ฟตกเหลือ
200 โวลต เครือ่ งใชไฟฟานัน้ จะใชกาํ ลังไฟฟาเทาใด
1. 78 W 2. 83 W 3. 88 W 4. 93 W (ขอ 2)
วิธที าํ
28. เตารีดไฟฟาขนาด 1,000 วัตตใชกบั ไฟฟา 220 V ถานํามาตอกับไฟ 110 V จะไดกาํ ลัง
ไฟฟาเทาใด
ก. 250 W ข. 500 W ค. 700 W ง. 750 W (ขอ ก)
วิธที าํ
50
g
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
29. จากขอทีผ่ า นมา ใชเตารีดนีโ้ ดยถูกตองคือใชกบั ไฟฟา 220 V ตองใหอตั ราความรอนเทาใด
ก. 220 จูล/วินาที ข. 240 จูล/วินาที
ค. 1000 จูล/วินาที ง. 2400 จูล/วินาที (ขอ ค)
วิธที าํ
51
เ
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
ุ หภูมขิ องน้าํ จํานวน 2 กิโลกรัม เปลีย่ นจาก 15oC
32. ถาตัวทําใหเกิดความรอน ทําใหอณ
เปน 21oC ในเวลา 20 นาที จงหากําลังของตัวทําใหเกิดความรอนนี้ (วัตต)
(ความจุความรอนจําเพาะของน้าํ มีคา 4200 จูล/กก.เคลวิน)
ก. 0.6 ข. 42.0 ค. 105.0 ง. 142 (ขอ ข)
วิธที าํ
P
สมการที่ใชหาคาไฟฟา คาไฟฟา = ( 1000 ) t (ราคาตอหนวย)
เมือ่ t = เวลา (ชัว่ โมง)
34. เมือ่ เปดหลอดไฟขนาด 100 วัตต เปนเวลานาน 20 ชัว่ โมงตอเนือ่ ง จะตองเสียคาไฟกี่
บาท ( กําหนดคาไฟฟาหนวยละ 2 บาท ) (4)
วิธที าํ
52
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
35(มช 37) เครือ่ งทําน้าํ อุน ไฟฟาขนาด 3000 วัตต 220 โวลต ถาอาบน้าํ อุน เปนเวลา 15 นาที
จะเสียคาไฟฟาประมาณ (อัตราคาไฟฟาสําหรับ 5 หนวยแรก เปน 3 บาท/หนวย) (2.25 บาท)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦
ตอนที่ 4 การตอตัวตานทาน
4.1 การตอแบบอนุกรม มีกฏการตอดังนี้
1) Iรวม = I1 = I2
2) V1 ¬ V2
3) Vรวม = V1 + V2
4) Rรวม = R1 + R2
36. จากรูป ก. ใหหาความตานทานรวม (5 ϖ)
ข. ใหหา I1 และ I2 (5 แอมแปร)
ค. ใหหา V1 และ V2 (10 V , 15 V)
ง. ใหหา Vรวม (25 โวลต)
วิธที าํ
53
หุ
ย
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
37. จากรูปจงหา กระแสไฟฟารวมของวงจร และ
1ϖ 2ϖ 3ϖ
กระแสไฟฟาทีไ่ หลผานตัวตานทาน 1 ϖ
วิธที าํ ( Iรวม = I1= 3 แอมแปร) V=9V
54
←V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
42(มช 41) ถาตองการแบงศักยไฟฟา V โดยใชความตานทาน จะตอง
ใชตวั ตานทาน R1 ขนาดกีโ่ อหม จึงจะไดความตางศักยระหวางจุด
A และ B มีคา เปน 13 V (15 โอหม)
วิธที าํ
55
z
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
44. จากรูปจงหา ความตานทานรวม
6ϖ
และ ความตางศักยรวมของวงจร
วิธที าํ (12 โวลต) I รวม = 3 A
12 ϖ
56
2
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
48. ลวดความตานทาน 2 , 3 และ 4 ♠ ตอกันอยาง
ขนาน ถามีกระแสไหลผานลวด 3 ♠ เปน 4
แอมแปร กระแสทัง้ หมดในวงจรเปนเทาไร (13 A)
วิธที าํ
57
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
52. ลวดความตานทาน 4 เสน ตอกันดังรูป ถา
ความตางศักยระหวางปลายทัง้ สองของความ
ตานทาน 4 โอหม มีคา 8 โวลต จงหากระ
แสทีผ่ า นความตานทานทุกเสน
( I7♠ = 0.8 A , I8♠ = 0.8 A , I10♠ =1.2 A , I4♠ = 2 A)
วิธีทํา
E 8 ♠ 3 ♠
5 ♠ 4 ♠
58
คู
E
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
54. จากรูปวงจรตอไปนี้ จงหากระแส
R1 = 3 ♠
ทีไ่ หลผาน R2 , R3 , R4 (4 A)
วิธที าํ R2 = 6 ♠ R4 = 6 ♠
60 V
R3 = 6 ♠
Vรวม= 33 V
59
G
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
56. วงจรดังรูป จงหาความตางศักยระหวางจุด a และ b (ก. 6V ข. 4.5 V ค. 6 V)
ก. เมือ่ ไมมตี วั ตานทาน ข. เมือ่ มีตวั ตานทาน 2 k♠ ค. เมือ่ มีตวั ตานทาน 1 M♠
R1=1k♠ R1=1k♠ R1=1k♠
Vin 9V 9V a 9V a
a
Vout R2=2k♠ 2 k♠ R2=2k♠ 1 M♠
R2=2k♠ b b b
ก ข. ค.
วิธีทํา
4.3 วงจรที่มีบางจุดยุบรวมกันได
57. จากรูปตอไปนีจ้ งหาความตานทานรวม 6♠ 3♠ 6♠
ระหวางจุด A กับ B (1.5 โอหม)
C B
A D
วิธีทํา
60
อ
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
58. จากรูปตอไปนีจ้ งหาความตานทานรวม 6♠ 3♠ 6♠
ระหวางจุด A กับ B (3.75 โอหม)
C B
A D
วิธีทํา
8♠
61
ย
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
61. จากรูปตอไปนีจ้ งหาความตานทานรวม 1.2 ♠ 5.6 ♠
A C D
ระหวางจุด A กับ B (6 โอหม)
12 ♠ 6♠
วิธีทํา
4♠
B E
F
62
อ
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
4.4 วงจรแบบสมมาตร
63. จงหาความตานทานรวมระหวางจุด
2♠ 2♠
A กับ B ถาตัวตานทานแตละตัว
มีความตานทาน 2 ♠ ( 3 ♠)
วิธีทํา
2♠ 2♠ 2♠ 2♠
A 2♠ 2♠ B
2♠
2♠
2♠
2♠
2♠ 2♠
63
w
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
65. จากรูป จงหาความตานทานรวมระ
หวางจุด x และ y (10 ♠) 20♠
วิธีทํา
5♠ 5♠
6♠ 6♠
x 4♠ y
6♠ 6♠ 5♠
5♠
20♠
100♠ 100♠
64
h
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
67. จงหาความตานทานรวมระหวางจุด 1♠ 2♠
A กับ B (2.5 โอหม)
วิธีทํา
A 6♠ B
5♠ 10♠
65
h
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
70. จากวงจรในรูป โวลมิเตอรอา นคาไดศนู ย 20♠ R
C
จงหาตัวตานทาน R ในวงจรมีคา กีโ่ อหม
วิธีทํา (6 โอหม)
40♠ 30♠ B
A V
E D
10♠
2.5♠ 3♠
D
66
ย
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
72. จากวงจรดังรูปตัวตานทานทุกตัวมีความตาน
ทานตัวละ 30 โอหม จงหาความตานทานรวม C
ระหวางจุด A และ B ( 100 30♠ 30♠
3 โอหม)
วิธีทํา 30♠
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
68
า
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
76. เซลไฟฟาเซลหนึง่ มีแรงเคลือ่ นไฟฟา 2 โวลต ความตานทานภายใน 2♠ ตอเปนวงจร
ดวยลวดความตานทาน 8♠ จงหา
ก. กระแสไฟฟาทีไ่ หลผานวงจร ( 0.2 A)
ข. ความตางศักยทข่ี ว้ั เซล ( 1.6 V)
ค. ความตางศักยภายในเซล ( 0.4 V)
วิธที าํ
69
ย
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
79. จากขอทีผ่ า นมา หากตัวตานทาน 6 และ 12 υ เปลีย่ นเปนตอกันแบบขนาน จะเกิดความ
ตางศักยระหวางขัว้ เซลเทาใด (12 V)
วิธที าํ
70
ะV บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
82(มช 35) ความตานทานตัวหนึง่ ตอกับแบตเตอรี่ ทําใหมกี ระแส 0.6 แอมแปร ไหลผาน
เมือ่ นําความตานทาน 4 โอหม มาตออนุกรมกับความตานทานตัวแรก จะทําใหกระแส
ลดลงไปจากเดิม 0.1 แอมแปร จงหาแรงเคลือ่ นไฟฟาของแบตเตอรี่
ก. 5 โวลต ข. 6 โวลต ค. 12 โวลต ง. 0.48 โวลต (ขอ ค.)
วิธที าํ
71
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
วิธที าํ
กรณี 2 ตออนุกรมแบบกลับทิศ
Eรวม = E1 – E2
rรวม = r1 + r2
85. จากรูปจงหากระแสทีไ่ หลในวงจร (5 แอมแปร)
วิธที าํ
72
นั
E
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
86. จากวงจรทีแ่ สดงตามรูป จงหากระแสในวงจร (ขอ ค)
ก. 0.25 A ข. 0.50 A
ค. 1.00 A ง. 1.50 A
วิธที าํ
73
ส
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
2) การตอแบบขนาน คือ การตอเซลลไฟฟาแบบแยกอยูคนละสาย
Eรวม = E และ 1 = r1 + r1
rรวม 1 2
74
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
92. ไดโอดเปลงแสงตัวหนึง่ จะเปลงแสงเมือ่ มีกระแสไฟฟา 20 มิลลิแอมแปร ผานขณะตอไบ
แอสตรง และความตางศักยระหวางขัว้ 1.7 โวลต ถานําไดโอดตัวนีไ้ ปตอกับแบตเตอรี่ 6
โวลต ทีม่ คี วามตานทานภายในนอยมาก จะตองนําตัวตานทานคาเทาใดมาตออยางไรกับ
วงจรเพือ่ ไมใหไดโอดเสียหาย ( นําความตานทาน 215 โอหม ตออนุกรมกับไดโอด)
วิธีทํา
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
ตอนที่ 6 การหาความตางศักยระหวางเซลล
เราสามารถหาความตางศักยระหวางเซลลไฟฟาใด ๆ ไดจากสมการ
Vab = ϒIR – ϒE
เมือ่ Vab คือ ความตางศักยระหวางจุด a กับจุด b
I คือ กระแสไฟฟาในวงจร
R คือ ความตานทานระหวางจุด a กับ b
E คือ แรงเคลือ่ นไฟฟาระหวางจุด a กับ b
ตองทราบเพิ่มเติม
1. ตองคิดจากจุด a ไปจุด b ตามทิศการไหลของกระแสไฟฟา
2. หาก E มีทศิ ตานกระแสไฟฟา I (คือกระแสเขาขัว้ บวกของเซลล) ตองใช E เปนลบ
หาก E มีทิศเดียวกับกระแสไฟฟา I (คือกระแสเขาขั้วลบของเซลล) ตองใช E เปนบวก
3. Vab = Va – Vb
Vab = –Vba
4. หากเราคิดจนครบรอบวงจร จะไดวา V = 0 จะไดออกมาวา
0 = θIR – θE
ϒE = ϒIR
75
ธึ
EV บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
93. จากวงจรดังรูป จงหาความตางศักย a b
ไฟฟาระหวางจุด b กับ c และระ- 6V 6V 1υ 6υ 12V 2υ
หวางจุด d กับ a (12 , 7.5 โวลต ) 1υ
วิธีทํา 2υ 3υ
d 2V
c
4υ 1υ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
76
EV บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
ตอนที่ 7 Kirchoft’s Law
กฏของจุด ( Point Rule ) กลาววา “ ทีจ่ ดุ ใดๆ ในวงจรไฟฟาผลรวมของกระแสไฟฟาที่
เขาสูจ ดุ นัน้ ทัง้ หมด จะเทากับผลรวมของกระแสไฟฟาทีไ่ หลออกจากจุดนัน้ ทัง้ หมดเสมอ ”
กฏของวง (Loop Rule ) กลาววา “ ในวงจรไฟฟาทีค่ รบวงจรใดๆ ( วงจรปด ) ผลรวม
ของแรงเคลือ่ นไฟฟาตลอดวงจรนัน้ ๆ จะมีคา เทากับผลรวมของความตางศักยของทุกๆ จุดในวง
จรปดนัน้ ” เขียนเปนสมการจะไดวา ρ E = ρ IR
95. จากวงจรดังรูป จงหากระแสไฟฟาทีผ่ า น 2υ 12V
เซลล 8 โวลต ( 0.5 A) 2υ
วิธีทํา 10V 3υ
1υ
2υ
8V
2υ
2V,1υ
77
a
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
97. จากวงจรดังรูป แอมมิเตอรจะอานคาได
3υ
เทาไร (4.2 แอมแปร)
1υ 2υ
วิธีทํา A
3V 6V
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
78
g
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
98. แกลแวนอมิเตอรเครือ่ งหนึง่ ความตานทาน RG = 100 โอหม กระแสไฟฟาผานสูงสุด 10
ไมโครแอมแปร ถาตองการกระแสไฟฟา 210 ไมโครแอมแปร ผานตองใช ความตานทาน
Rs ขนาดเทาใดมาตอขนาน (5 ϖ )
วิธที าํ
79
ร
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
101(En 44/2) แกลแวนอมิเตอรตวั หนึง่ มีความตานทาน 20 โอหม อานไดเต็มสเกลเมือ่ ตอเขา
กับความตางศักย 0.2 โวลต ถาตองการทําใหเปนแอมมิเตอรทอ่ี า นเต็มสเกลได 1 แอมแปร
โดยตอตัวตานทานขนาน (หรือซันต) กับแกลแวนอมิเตอรน้ี ขณะทีแ่ อมมิเตอรอา นไดเต็ม
สเกลกระแสทีผ่ า นซันตมคี า เทาใด
1. 0.01 A 2. 0.10 A 3. 0.90 A ง. 0.99 A (ขอ 4)
วิธที าํ
การวัดความตางศักยไฟฟา
1) ตองตอ กัลวานอมิเตอร แบบ................กับตัวตานทานในวงจร
2) ตองนํามัลติพลายเออร (Rm) ซึ่งมีคามากๆ มาตอแบบ..............
กับกัลวานอมิเตอร เพือ่ ใหกระแสไหลมาหากัลวานอมิเตอร
นอยๆ ทําใหเหลือกระแสไหลผานตัวตานทาน (R) ใกลเคียง
กับกระแสเดิม จะทําใหวดั ความตางศักยไดใกลเคียงความจริง
3) กัลวานอมิเตอร + มัลติพลายเออร เรียกวา ..................... ใชวดั
ความตางศักย
102(มช 27) การดัดแปลงกัลวานอมิเตอรเปนโวลต จะตองนําความตานทานมาตอรวมแบบใด
ก. ซันตและความตานทานมีคา นอย ข. ซันตและความตานทานมีคา มาก
ค. อนุกรมและความตานทานมีคา นอย ง. อนุกรมและความตานทานมีคา มาก (ขอ ง)
103 (มช 37) แกลแวนอมิเตอรเครือ่ งหนึง่ มีความตานทาน 1000 โอหม วัดกระแสไฟฟาสูงสุด
100 ไมโครแอมแปร จงหาขนาดของความตานทานทีน่ าํ มาตอกับแกลแวนอมิเตอรน้ี เพือ่
ดัดแปลงใหเปนโวลตมเิ ตอรทว่ี ดั ความตางศักยสงู สุด 1 โวลต (9000 ϖ)
วิธที าํ
80
ก
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
104(มช 44) แกลแวนอมิเตอรเครือ่ งหนึง่ มีความตานทาน 0.2 โอหม กระแสไฟฟาสูงสุดทีไ่ หล
ผานไดมคี า 50 มิลลิแอมแปร ตองหาความตานทานเทาไร (โอหม) มาตอกับแกลแวนอ–
มิเตอรน้ี เพือ่ ใหวดั ความตางศักยไดสงู สุด 100 มิลลิโวลต
1. 0.2 2. 1.8 3. 2 4. 2.4 (ขอ 2)
วิธที าํ
การวัดความตานทาน
โอหมมิเตอร (Ohmmeter) คือ G
เครือ่ งมือทีใ่ ชวดั ความตานทาน สวน E
ประกอบทีส่ าํ คัญของโอหมมิเตอร คือ R0
แกลแวนอมิเตอร ตอกับตัวตานทาน
แปรคา R0 และ เซลลไฟฟา E ดังรูป
x y
Rx
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
106. จงวาดรูปเสนแรงแมเหล็กตอไปนี้
ใหสมบูรณ N S
83
ย
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
110. จากขอทีผ่ า นมา จงหาคาฟลักซแมเหล็กทีผ่ า นขดลวด เมือ่ ระนาบของขดลวดทํามุม 0o
กับสนามแมเหล็ก (0 เวเบอร)
วิธที าํ
111(มช 34) กลองสีเ่ หลีย่ มซึง่ แตละดานมีพน้ื ทีเ่ ทากันหมดเทากับ 0.10 ตารางเมตร วางอยูใ น
สนามแมเหล็กสม่าํ เสมอขนาด 5 เทสลา โดยทีท่ ศิ ทางของสนามแมเหล็กตัง้ ฉากกับระนาบ
ของกลองดานใดดานหนึง่ ฟลักซสนามแมเหล็กทีผ่ า นกลองนีค้ อื (ขอ ข)
ก. 0 Wb ข. 0.5 Wb ค. 1.0 Wb ง. 03 Wb
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
84
t
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
ตอนที่ 10 แรงกระทําตออนุภาคไฟฟาซึง่ เคลือ่ นทีใ่ นสนามแมเหล็ก
เมือ่ อิเลคตรอนหรือประจุลบใด ๆ เคลือ่ นทีต่ ดั สนามแมเหล็ก จะเกิดแรงกระทําตอประจุ
ไฟฟานัน้ ซึง่ สามารถหาทิศของแรงกระทําตออิเลคตรอนนีไ้ ดโดยใชกฎมือซาย
85
a
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
สําหรับขนาดของแรงทีก่ ระทําตอประจุลบ เราสามารถหาคาไดจากสมการ
F = qv B sin ±
เมือ่ q = ประจุ (คูลอมบ)
V = ความเร็วของประจุนน้ั (m/s)
B = ความเขมสนามไฟฟา (เทสลา)
± = มุมระหวางสนามแมเหล็กกับทิศความเร็ว
114. ประจุไฟฟา –3.2 x10–19 คูลอมบ เคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็ว 2.5 x 105 เมตรตอวินาที
ผานเขาไปในบริเวณทีม่ สี นามแมเหล็กขนาด 1.2 เทสลา โดยทิศของความเร็วตัง้ ฉากกับ
ทิศของสนามแมเหล็ก จงหาขนาดของแรงทีก่ ระทําตอประจุไฟฟานี้ (9.6 x 10–14 N )
วิธที าํ
ควรทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับแรงที่สนามแมเหล็กกระทําตอประจุไฟฟา
1) หากประจุบวกเคลือ่ นทีต่ ดั สนามแมเหล็ก ก็จะเกิดแรงกระทํา
ตอประจุบวกนัน้ เชนกันเราสามารถหาขนาดของแรงกระทําได
จากสมการ F = q v B sin ± (เหมือนแรงกระทําตอ e )
และหาทิศของแรงไดโดยใชกฎมือขวา ดังรูป
2) กรณีตอ ไปนี้ แรงกระทํามีคา เปนศูนย
2.1 q = 0 เชนกรณีทน่ี วิ ตรอนเคลือ่ นทีต่ ดั สนามแมเหล็ก
2.2 กรณีความเร็ว (V) มีคา เปนศูนย
2.3 กรณีทป่ี ระจุไฟฟาเคลือ่ นขนานกับทิศสนามแมเหล็ก กรณีน้ี ± = 0o จะได
sin ± = sin 0o = 0 ทําใหแรงกระทํามีคา เปนศูนยเชนกัน
86
r
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
3) เมือ่ ประจุไฟฟาถูกแรงกระทําในสนามแมเหล็ก ประจุไฟฟานัน้ จะเคลือ่ นทีเ่ ปนรูปวงกลม
ซึง่ หารัศมีไดจาก
sin±
R = m vqB
หากประจุเคลื่อนที่ตั้งฉากกับสนามแมเหล็ก จะได
R = m v qB sin90o
89
รV บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
125. ในเครือ่ งเรงอนุภาคบางแบบ อนุภาคจะถูกทําใหวิ่งเปนวงกลม โดยใชสนามแมเหล็กที่มี
ทิศทางตัง้ ฉากกับแนวทีอ่ นุภาควิง่ ถาสนามแมเหล็กสม่ําเสมอขนาด B เทสลา และอนุภาค
มีมวล m ประจุ q เวลาทีอ่ นุภาควิง่ แตละรอบจะตองเปนกีว่ นิ าที
1. 2mB
°q 2. 2°
qB
m 3. 3qB
°B 4. 2°mqB (ขอ 2)
วิธที าํ
127. อนุภาคมวล 0.5 กรัม มีประจุไฟฟา –2.5 x 10–8 คูลอมบ เคลือ่ นทีใ่ นแนวระดับดวย
ความเร็วตน 6 x 104 m/s เขาไปในสนามแมเหล็ก แตยงั คงเคลือ่ นทีไ่ ปไดในแนวระดับ
จงหาขนาดของสนามแมเหล็ก (3.33 เทสลา)
วิธที าํ
90
q
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
ตอนที่ 11 สนามแมเหล็กทีเ่ กิดจากกระแสไฟฟาไหลในตัวนํา
เออรเสตด นักฟสิกสชาวเดนมารค เปนผูค น พบวา เมือ่ ปลอย
ใหกระแสไฟฟาไหลผานตัวนําจะเกิดสนามแมเหล็กขึ้นรอบ ๆ ตัวนํา
ในทิศทางที่เราสามารถหาได โดยใชกฏมือขวาโดยใหใชมอื ขวาโดย
ใชมือขวากําเสนลวดนั้น และใหชน้ี ว้ิ หัวแมมอื ไปตามทิศของกระแส
จะไดวาทิศของสนามแมเหล็กจะไหลตามทิศสี่ ที่กําขดลวด
สําหรับขนาดของสนามแมเหล็กหาจาก
B = (2x10–7) RI
เมือ่ B = สนามแมเหล็กเหนีย่ วนํารอบลวดโลหะตัวนํา (Tesla)
I = กระแสไฟฟา (A)
R = ระยะหางจากตัวนําถึงจุดที่วัดคาสนาม (m)
โปรดสังเกตุ ทิศของสนามแมเหล็กจะตั้งฉากกับทิศของกระแสไฟฟาเสมอ
129(En42/1) AB เปนสวนของลวดตรงยาวมีกระแส I
จาก A ไป B และมีอเิ ล็กตรอนประจุ –e กําลัง
วิง่ ผานจุด C ดวยความเร็ว v ซึ่งมีทิศขนานกับ
AB ดังรูป ขณะนัน้ อิเล็กตรอนมีความเรงตามขอใด
1. มีความเรงในทิศเขาหาเสน AB 2. มีความเรงในทิศออกจากเสน AB
3. มีความเรงในทิศขนานกับการเคลือ่ นที่ 4. ไมมคี วามเรง (ขอ 2)
91
q
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
หากเราปลอยกระแสไฟฟาไหลวนเกลียวขดลวด
จะเกิดสนามแมเหล็กไหลวนรอบเกลียวขดลวดนัน้ ดังแสดง
ในรูป ทิศการไหลวนของสนามแมเหล็กนี้สามารถหาได
โดยใชกฏมือขวา โดยเอามือขวากําขดลวดทัง้ เกลียว และ
ใหนิ้วทั้งสี่วนตามกระแสไฟฟา หากหัวแมมือชี้ไปทางทิศใด สนามแมเหล็กจะวนออกขด
ลวดทางดานนัน้ ลักษณะนี้จะทําใหขดลวดนี้เปนเสมือนแทงแมเหล็กแทงหนึ่ง โดยดานที่
หัวแมมอื ชีไ้ ปจะเปนขัว้ แมเหล็กเหนือ เพราะมีสนามแมเหล็กพุงออกดังกลาว ขดลวดที่มี
กระแสไฟฟาไหลผานแลวกลายเปนเสมือนแทงแมเหล็กเชนนี้ เรียก ขดลวดโซลินอยด
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
92
ร
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
131(มช 36) ลวดเสนหนึ่งยาว 5 เมตร มีกระแสไหลผาน 4 แอมแปร วางอยูในสนามแมเหล็ก
ขนาดสม่ําเสมอ 10–3 เทสลา โดยลวดทํามุมฉากกับสนามแมเหล็กขนาดของแรงที่กระทํา
ตอลวดเปนกีน่ วิ ตัน (0.02 นิวตัน)
วิธที าํ
93
๔
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
แรงกระทําระหวางลวดตัวนํา 2 เสนที่ขนานกันและมีกระแสไฟฟาไหลผาน
กรณีทม่ี ลี วดตัวนํา 2 เสน ขนานกัน
หากมีกระแสไฟฟาไหลไปในทางตรงกันขาม
ลวดทั้ง 2 จะเกิดแรงผลักกัน
หากมีกระแสไฟฟาไหลไปทางเดียวกัน
ลวดทั้ง 2 จะเกิดแรงดูดกัน
134(En 44/1) สายไฟทีเ่ ดินในอาคารประกอบขึน้ ดวยลวดทองแดง 2 เสน หุมฉนวนและมี
เปลือกหุมให 2 เสน รวมอยูด ว ยกันอีกชัน้ หนึง่ เมื่อมีการใชเครื่องไฟฟาในบาน ลวด 2 เสน
จะมีแรงกระทําตอกันหรือไม และอยางไร
1. ไมมแี รงกระทําตอกัน เพราะมีฉนวนหุมแยกจากกันไมได
2. มีแรงกระทําตอกัน โดยผลักและดูดสลับกันเพราะเปนไฟฟากระแสสลับ
3. มีแรงกระทําตอกันและเปนแรงดูดเขาหากัน
4. มีแรงกระทําตอกันและเปนแรงผลักซึ่งกันและกัน (ขอ 4)
95
E
V บทที่ 16 ไฟฟาและแมเหล็ก (1)
มอเตอรกระแสตรง
96
*
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
ฟ สิ ก ส บทที่ 17 ไฟฟ า และแม เ หล็ ก (2)
ตอนที่ 1 กระแสเหนีย่ วนํา
หากเราเคลือ่ นลวดตัวนํา หรือ ขดลวดตัวนํา
ตัดสนามแมเหล็ก หรือเคลื่อนฟลักซแมเหล็กตัด
ขดลวดตัวนําจะทําใหเกิดกระแสไฟฟาไหลในตัว
นํานัน้ เรียกปรากฏการณนี้วาเปน การเหนีย่ วนํา
ทางไฟฟา (electromagnetic induction)
กระแสไฟฟาที่เกิดเรียก กระแสเหนีย่ วนํา
(induced current)
แรงเคลื่อนไฟฟาที่เกิด เรียก แรงเคลื่อนไฟฟา
เหนีย่ วนํา (induced electromotive force)
กรณีลวดเสนตรง เราหาแรงเคลื่อนไฟฟาไดจาก
E = BLv
เมือ่ L = ความยาวเสนลวด (m)
v = ความเร็วในการเคลือ่ นที่ (m/s)
กรณีใชขดลวดหมุนตัดสนามแมเหล็กกระแสไฟ
ฟาที่ไหลออกมาจะมีทิศกลับไปมากลับมา เรียกวา
กระแสไฟฟาสลับ
1. B เปนสนามแมเหล็ก มีทิศพุงตั้งฉากลงใน
!
กระดาษมีขนาด 1.0 เทสลา PQ เปนตัวนําวาง
อยูบ นรางโลหะ TS และ UR โดย PQ เคลือ่ น
ที่ไปทางซายดวยความเร็ว 8 เมตร/วินาที ระ
หวาง S และ R มีความตานทานตออยู 5 โอหม
แรงเคลือ่ นไฟฟาเหนีย่ วนําในตัวนํา PQ มีคา
เทาใดในหนวยของโวลต (3.2)
วิธที าํ
97
8
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
หากเราเคลือ่ นฟลักซแมเหล็กตัดขดลวด ก็จะทําใหเกิดกระแสไหลเวียนในขดลวดนัน้
เชนกัน เราสามารถหาทิศการไหลวนของกระแสไฟฟาทีเ่ กิดไดโดยใชกฏมือซาย ดังนี้
1) ใชมอื ซายกําขดลวดตัวนํา โดยใหนว้ิ หัวแมมอื ชีต้ ามทิศของสนามแมเหล็ก
2) หากฟลักซแมเหล็กทีไ่ หลผานพืน้ ทีข่ ดลวดมีปริมาณเพิม่ ขึน้ กระแสเหนีย่ วนําจะมีทศิ
วนตามนิว้ ทัง้ 4 ทีเ่ หลือ แตหากฟลักซมีปริมาณลดลง กระแสเหนีย่ วนําจะมีทศิ
วนในทิศตรงกันขามกับนิว้ ทัง้ 4
ค. ง.
วิธที าํ
98
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
3(มช 43) เมือ่ มีการเปลีย่ นแปลงสนามแมเหล็ก β B จะทําใหเกิดกระแสเหนีย่ วนําในขดลวด
ถา β B ชีท้ ศิ เดียวกับ B แสดงวาสนามแมเหล็กเพิม่ ขึน้ และถา β B ชีท้ ศิ ตรงขามกับ B
แสดงวาสนามแมเหล็กลดลง จงเลือกขอทีถ่ กู (ขอ 1)
1. 2.
3. 4.
วิธที าํ
แรงเคลื่อนไฟฟาดันกลับ
ในกรณีของมอเตอรกระแสตรงนัน้ เราจะปลอยกระแสไฟฟาไหลเขาไปในขดลวด
ทีอ่ ยูใ นสนามแมเหล็กจะทําใหมอเตอรเกิดการหมุน
ในขณะเดียวกัน การหมุนนีก้ ท็ าํ ใหเกิดกระแสไฟฟา
เหนีย่ วนําและแรงเคลือ่ นไฟฟาเหนีย่ วนํา ซึ่งจะมีทิศ
ตรงกันขามกับแรงเคลือ่ นไฟฟาทีเ่ ราใส (E) จึงเรียก
แรงเคลือ่ นไฟฟาดันกลับ (e)
ดังนัน้ แรงเคลือ่ นไฟฟาลัพธ = E – e
และกระแสไฟฟาทีไ่ หลเขามอเตอร จะหาคาไดจาก
I = ER ΙΚ re
เมือ่ I = กระแสทีไ่ หลเขามอเตอร
E = แรงเคลือ่ นไฟฟาทีใ่ สเขาไป (โวลต )
e = แรงเคลือ่ นไฟฟาดันกลับ (โวลต )
r = ความตานทานภายในของแหลงกําเนิดไฟฟา (โอหม)
R = ความตานทานภายนอกแหลงกําเนิดไฟฟา ( ความตานทานของมอเตอร )
จากสมการนี้ จะเห็นวา ถามอเตอรฝด หรือ ไฟฟาตก จะทําใหมอเตอรหมุนชาลงทําให
แรงเคลือ่ นไฟฟาดันกลับ(e) จะมีคา นอยลง ดังนัน้ แรงเคลือ่ นไฟฟาลัพธ (E – e) จะมีคา
มาก ทําใหกระแสไฟฟา (I) ทีไ่ หลเขามอเตอรมคี า มากกวาทีค่ วรอาจทําใหมอเตอรไหมได
99
ย์
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
4(มช 28) แบตเตอรี่ขนาด 6 V มีความตานทานภายใน 1 υ ตอเขากับมอเตอรกระแสตรง
ซึ่งมีความตานทานของขดลวดของมอเตอรเทากับ 1υ ในขณะทีม่ อเตอรหมุนสามารถวัด
กระแสไฟฟา 0.5 A แรงเคลื่อนไฟฟาดันกลับมอเตอรมีคา
ก. 7.5 V ข. 5.5 V ค. 5.0 V ง. 4.5 V (ขอ ค)
วิธที าํ
100
สิ์
•
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
วงจรกรองกระแส
วงจรกรองกระแสเปนวงจรทีใ่ ชเปลีย่ นกระแสไฟฟาตรงโดยการนําไดโอดไปตออนุกรม
กับแหลงกําเนิดไฟฟาสลับ ไฟฟาทีผ่ า นไดโอดออกมาจะเปนไฟฟากระแสตรงทีม่ คี า ไมสม่าํ
เสมอวงจรกรองกระแสนี้ อาจดัดเปนประเภทครึง่ คลืน่ หรือเต็มคลืน่ ได
ไดโอดเปนอุปกรณทางไฟฟา ซึ่งยอมใหกระแสไฟฟาผานไดในทิศทางเดียว
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
101
๒
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
ตอนที่ 2 หมอแปลงไฟฟา
หมอแปลงไฟฟา คือ เครือ่ งมือทีใ่ ชเปลีย่ นความตางศักย (หรือ แรงเคลือ่ นไฟฟา) ใหมีคาสูงขึ้น
หรือต่าํ ลงตามตองการ หมอแปลงไฟฟามี 2 แบบใหญ ๆ คือ
1. หมอแปลงขึน้ (Set up Tramformer)
ใชเปลีย่ นความตางศักยจากต่าํ เปนสูง
2. หมอแปลงลง (Step down Tranformer)
ใชเปลีย่ นความตางศักยจากสูงเปนต่าํ
สวนประกอบของหมอแปลงไฟฟา
1. แกนเหล็กออน ทําดวยเหล็กออนแผนบาง ๆ หลาย ๆ แผนวางซอนกัน นิยมตัดเปน
สีเ่ หลีย่ มจัตรุ สั กลางกลวงหรือตัดเปนรูปตัว E ทําหนาทีร่ วมเสนแมเหล็กจากขดลวด
2. ขดลวดปฐมภูมิ (Pimarycoil) เปนขดลวดทีป่ ลอยใหกระแสเขา พันอยูท ข่ี าขางหนึง่
ของแกนเหล็ก
3. ขดลวดทุตยิ ภูมิ (Secondary) เปนขดลวดทีส่ ง กระแสไฟฟาออก จะพันอยูท ป่ี ลายอีก
ขางหนึง่ ของแกนเหล็ก
หลักการทํางานของหมอแปลงไฟฟา
เมือ่ ใหแรงเคลือ่ นไฟฟา (E1) ผานไปยังขดลวด
ปฐมภูมิ จะเกิดสนามแมเหล็กวนรอบ ๆ ขดลวด
ปฐมภูมขิ น้ึ และฟลักซแมเหล็กที่เกิดขึ้น จะเหนีย่ ว
นําใหเกิดแรงเคลือ่ นไฟฟา(E 2) ทีข่ ดลวดทุตยิ ภูมิ
ความสัมพันธ ของแรงเคลือ่ นไฟฟาทัง้ สองคือ
E1 N1 V1
E2 = N2 = V2
เมือ่ E1 , E2 = แรงเคลือ่ นไฟฟาของขดลวดปฐมภูมิ และทุติยภูมิ ตามลําดับ
N1 , N2 = จํานวนขดลวดปฐมภูมิ และทุติยภูมิ ตามลําดับ
V1 , V2 = ความตางศักยของขดลวดปฐมภูมิ และ ทุตยิ ภูมิ ตามลําดับ
ขอควรรู 1. หมอแปลงลง จะมีคา E1 > E2 และ V1 > V2 และ N1 > N2
หมอแปลงขึน้ จะมีคา E1 < E2 และ V1 < V2 และ N1 < N2
102
ฏV บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
2. ถาหมอแปลง มีประสิทธิภาพเต็ม 100% เราจะไดวา
กําลังไฟฟาที่ขดลวดปฐมภูมิ = กําลังไฟฟาที่ขดลวดทุติยภูมิ
P1 = P 2
I1 V1 = I2 V2
8(มช 27) กระแสไฟฟาสลับในขดทุตยิ ภูมขิ องหมอแปลงไฟฟาเกิดขึน้ ไดเนือ่ งจาก
ก. การเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟา ข. การเปลีย่ นแปลงสนามแมเหล็ก
ค. แกนเหล็กของหมอแปลงไฟฟา ง. กระแสไฟฟาในขดปฐมภูมิ (ขอ ข)
9(En 44/1) หมอแปลงไฟฟาซึ่งใชไฟฟา 110 โวลต มีขดลวดปฐมภูมิ 80 รอบ ถาตองการให
หมอแปลงนีส้ ามารถจายไฟฟาได 2200 โวลต ขดลวดทุตยิ ภูมติ อ งมีจาํ นวนรอบเทาไร
1. 8000 รอบ 2. 1600 รอบ 3. 2400 รอบ 4. 3200 รอบ (ขอ 2)
วิธที าํ
10(En 42/1) หมอแปลงไฟลงจาก 20000 โวลต เปน 220 โวลต เกิดกําลังในขดลวดทุตยิ ภูมิ
5.4 กิโลวัตต หมอแปลงมีประสิทธิภาพรอยละ 90 กระแสไฟฟาทีผ่ า นขดลวดปฐมภูมมิ คี า เทาใด
1. 0.24 A 2. 0.27 A 3. 0.30 A 4. 0.54 A (ขอ 3)
วิธที าํ
104
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
ตอนที่ 3 ลักษณะของไฟฟากระแสสลับ
เครือ่ งกําเนิดไฟฟากระแสสลับซึง่ หมุนขดลวดตัดสนามแมเหล็กดวยอัตราเร็วเชิงมุม
ขนาดหนึง่ จะทําใหเกิดความตางศักย (แรงเคลือ่ นไฟฟา) และกระแสไฟฟาเปลี่ยนแปลงตาม
เวลาดวยอัตราเร็วเชิงมุมเดียวกับอัตราเร็วเชิงมุมการหมุนขดลวด
105
ษิ
Se
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
คารากที่สองของกําลังสองเฉลี่ยของกระแสไฟฟาสลับ (Root Mean Square)
106
ะ
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
ตอนที่ 4 ตัวตานทาน ตัวเก็บประจุ และขดลวดเหนีย่ วนําในวงจรกระแสสลับ
ตัวตานทานในวงจรไฟฟากระแสสลับ
เมือ่ มีกระแสไฟฟาสลับไหลผานตัวตานทาน
จะเกิดความตางศักยครอมตัวตานทานนัน้
เราสามารถหาคาความตางศักยทเ่ี กิดไดจาก
V = i.R
เมือ่ V คือ ความตางศักยครอมตัวตานทาน
i คือ กระแสไฟฟาทีไ่ หลผานตัวตานทาน
R คือ คาความตานทาน (υ)
Vm = im⌡R
Vrms = irms R
และคากระแส ณ เวลาใดๆ หาคาไดจาก
iR = im sin • t
และ vR = vm sin • t
เมือ่ iR ,VR = กระแสทีไ่ หล และความตางศักยของตัวตานทาน ณ เวลา t ใด ๆ
im , Vm = กระแสทีไ่ หล และความตางศักยสงู สุดของตัวตานทาน
107
g
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
ตัวเก็บประจุในวงจรไฟฟากระแสสลับ
เมือ่ มีกระแสไฟฟาสลับไหลผานตัวเก็บประจุ
จะเกิดความตางศักยครอมตัวเก็บประจุนน้ั
เราสามารถหาคาความตางศักยทเ่ี กิดไดจาก
V = i . XC และ XC = •1 C = 2°1 fC
เมือ่ V คือ ความตางศักยครอมตัวเก็บประจุ
i คือ กระแสไฟฟาทีไ่ หลผานตัวเก็บประจุ
Xc คือ คาความตานทานเชิงความจุ (υ)
C คือ คาความจุประจุ (ฟารัด)
f คือ ความถีก่ ระแสไฟฟา (Hz)
Vm = im⌡Xc
Vrms = irms⌡Xc
และคากระแส ณ เวลาใด ๆ หาคาไดจาก
ic = im sin • t และ Vc = Vm sin (• t – 90o)
เมือ่ ic ,Vc = กระแสทีไ่ หล และความตางศักยของตัวเก็บประจุ ณ เวลา t ใด ๆ
im , Vm = กระแสทีไ่ หล และความตางศักยสงู สุดของตัวเก็บประจุ
(• t – 90o) เปนมุมเฟส
18. เมือ่ ตอตัวเก็บประจุอนั มีคา ความตานทานเชิงความจุ 1000 υ เขากับวงจรไฟฟากระแส
สลับ ปรากฏวาเกิดความตางศักยครอมตัวเก็บประจุ 3 โวลต จงหาปริมาณกระแสไฟฟา
ทีไ่ หลผานตัวเก็บประจุนน้ั (3 มิลลิแอมป)
วิธที าํ
108
ร
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
19. ความตางศักยครอมตัวเก็บประจุมคี า เทาใด จึงจะทําใหเกิดกระแสไฟฟา 3.14 mA ในวงจร
ตัว เก็บประจุทม่ี คี วามจุ 0.5 ↑F เมือ่ ความถีข่ องกระแสไฟฟาเปน 1 kHz (1 โวลต)
วิธที าํ
ขดลวดเหนี่ยวนําในวงจรไฟฟากระแสสลับ
เมือ่ มีกระแสไฟฟาสลับไหลผานขดลวดเหนีย่ ว
นํา จะเกิดความตางศักยครอมขดลวดเหนีย่ วนํานัน้
เราสามารถหาคาความตางศักยทเ่ี กิดไดจาก
V = i . XL และ XL= •L = 2°fL
เมือ่ V คือ ความตางศักยครอมขดลวดเหนีย่ วนํา
i คือ กระแสไฟฟาทีไ่ หลผานขดลวดเหนีย่ วนํา
XL คือ คาความตานทานเชิงหนีย่ วนํา (υ)
L คือ คาความเหนีย่ วนําของขดลวด (เฮนรี)
f คือ ความถีก่ ระแสไฟฟา (Hz)
Vm = im⌡XL
Vrms = irms⌡XL
109
ย
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
และคากระแส ณ เวลาใด ๆ หาคาไดจาก
iL = im sin • t และ VL = Vm sin (• t + 90o)
เมือ่ iL ,VL = กระแสทีไ่ หล และความตางศักยของขดลวดเหนีย่ วนํา ณ เวลา t ใด ๆ
im , Vm = กระแสทีไ่ หล และความตางศักยสงู สุดของขดลวดเหนีย่ วนํา
(• t + 90o) เปนมุมเฟส
21. ตัวเหนีย่ วนํา 0.07 เฮนรี ตอเปนวงจรกับแหลงกําเนิดไฟฟาสลับ ความตางศักย 220 V
50 Hz จะเกิดกระแสไหลในวงจรเทาไร (10 A)
วิธที าํ
110
G
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
24(มช 41) วงจรกระแสไฟฟาสลับดังรูป มีกระแส i เปน i = 5 sin 1000 t แอมแปร
วัดความตางศักยระหวางปลายของตัวเหนีย่ วนําได 70.7 โวลต จงหาคาความเหนีย่ วนํา
ของตัวเหนีย่ วนําในหนวยเฮนรี (ขอ 2.)
1. 12 x 10–3 2. 20 x 10–3 3. 28 x 10–3 4. 40 x 10–3
วิธที าํ
111
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
112
หึ่
ย
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
29(En 38) ขดลวดเหนีย่ วนํา 0.2 เฮนรี่ และ ตัวเก็บประจุ 10 ไมโครฟารัด ตออนุกรมกับ
แหลงกําเนิดไฟฟากระแสสลับทีใ่ หความตางศักยสงู สุด 100 โวลต และความเร็วเชิงมุม
• = 1,000 เรเดียนตอวินาที จงหากระแสทีอ่ า นไดจากแอมมิเตอร (ขอ 4.)
1. 1 A 2. 13 A 3. 2 A 4. 1 A
2
วิธที าํ
113
เ
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
31. จากวงจรไฟฟากระแสสลับดังรูป แหลงกําเนิดไฟ
ฟากระแสสลับมีความถี่ 50 เฮิรตซ ใหคายังผล
ของแรงเคลือ่ นไฟฟา (Vrms) 100 โวลต เมือ่ นํา VR VL
โวลตมเิ ตอรวดั คายังผลของความตางศักยระหวาง
ปลายของความตานทาน (VR) และ ระหวางปลาย
ของตัวเหนีย่ วนํา (VL) ไดคาเทากัน โวลตมเิ ตอรจะอานไดกโ่ี วลต (ขอ 3)
1. 50 2. 100 3. 50 2 4. 100 2
วิธที าํ
ความถีเ่ รโซแนนซ
พิจารณาสมการ Z = R 2 Ι (X L Κ X C ) 2
จะเห็นวา เมือ่ XL = XC คาความตานทานเชิงซอนจะมีคา ต่าํ สุด ทําใหกระแสไฟฟามีคา สูงสุด
จาก XL = XC
2°fL = 1
2° fC
(2°f)2 = 1
LC
2°f = LC 1
f = 1
2° LC
ความถี่ที่ทําใหกระแสไฟฟาในวงจรมีคามากที่สุดนี้เรียก ความถีเ่ รโซแนนซ
114
น
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
การหากําลังไฟฟากระแสสลับ
P = i V cos
เมือ่ P = กําลังไฟฟาของวงจร (วัตต)
i = กระแสรวมในวงจร (แอมแปร)
V = ความตางศักยรวมในวงจร (โวลต)
cos = R ( เรียก ตัวประกอบกําลัง )
Z
115
ย
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
33(En 44/2) ถาเฟสของกระแสยังผลและความตางศักยยังผลของวงจรไฟ
ฟากระแสสลับเปนดังรูป กําลังไฟฟาเฉลี่ยที่สูญเสียในวงจรนี้มีคาเทาใด
1. 1.8 kW 2. 2.4 kW
3. 3.0 kW 4. 3.5 kW (ขอ 4.)
วิธที าํ
พิจารณา P = i V RZ
P = i i Z RZ เนื่องจาก V = i Z
P = i2R เนื่องจาก i = VZ
2
P = ΦVZ Γ R
116
g
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
36. ขดลวดเหนีย่ วนํา 0.03 เฮนรี และตัวตานทาน 40 โอหม ตออนุกรมกับแหลงกําเนิดไฟฟา
กระแสสลับ กระแสไฟฟาของวงจร( i ) มีคาดังสมการ i = 5 sin ( 1000t ) แอมแปร จงหา
กําลังเฉลี่ยของวงจร (500 W)
วิธที าํ
37. ตัวเหนี่ยวนําและตัวตานทานตออนุกรมกันและตอกับแหลงกําเนิดไฟฟากระแสสลับที่มีกระ
แสไฟฟาที่เวลา t (วินาที) ใดๆ i = 4 sin 100 °t ถาวงจรมีความตานทานเชิงเหนีย่ วนํา
20 โอหม และมีความตานทานเชิงซอนของวงจร 25 โอหม กําลังเฉลีย่ ของวงจรเปนกีว่ ตั ต
1. 120 2. 160 3. 200 4. 240 (ขอ 1)
วิธที าํ
117
}
V บทที่ 17 ไฟฟาและแมเหล็ก (2)
38. ขดลวดเหนีย่ วนํา 0.03 เฮนรี และตัวตานทาน 40 โอหม ตออนุกรมกับแหลงกําเนิดไฟฟา
กระแสสลับ ความตางศักยของวงจร( i ) มีคาดังสมการ V = 100 sin (1000t ) โวลต จงหา
กําลังสูงสุดของวงจร (160 วัตต)
วิธที าํ
⌫⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌫⌦⌦
118
ย
VI บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
บทที่ 18 คลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า
! ตอนที่ 1 คลืน่ แมเหล็กไฟฟา!! ! ! ! ! ! ! ! !
ทฤษฎี ของแมกซเวลล กลาววา “สนามแมเหล็กที่มีการเปลี่ยนแปลง สามารถเหนี่ยวนํา
ใหเกิดสนามไฟฟา และสนามไฟฟาที่เปลี่ยนแปลง สามารถทําใหเกิดสนามแมเหล็กได”
!
1) สนามไฟฟา สนามแมเหล็ก และทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น จะอยูในทิศที่ตั้งฉากกัน
ตลอดเวลา จึงถือวา คลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคลื่นตามขวาง
2) อิเลคตรอนทีส่ น่ั สะเทือน จะเหนี่ยวนําทําใหเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟารอบแนวการสั่น
ได ตัวอยางเชนอิเลคตรอนในเสนลวดตัวนําที่มีกระแสไฟฟาสลับไหลผาน หรือ อิเลคตรอน
ในวัตถุที่มีอุณหภูมิสูง ๆ หรืออิเลคตรอนทีเ่ ปลีย่ นวงโคจรรอบๆ อะตอม
3) อิเลคตรอนทีเ่ คลือ่ นทีด่ ว ยความเรง จะเหนี่ยวนําใหเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟาไดเชนกัน
4) อิเลคตรอนทีส่ น่ั สะเทือน จะทําใหเกิด
คลื่นแมเหล็กไฟฟารอบแนวการสั่นทุก
ทิศทาง ยกเวนแนวที่ตรงกับการสั่นสะ
เทือน จะไมมีคลื่นแผออกมา
5) คลื่นแมเหล็กไฟฟาทุกชนิด จะเคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็วเทากัน คือ 3x108 เมตร/วินาที
6) สนามแมเหล็ก และสนามไฟฟาทุกสนามในคลืน่ แมเหล็กไฟฟา ถือวาเกิดพรอมกันหมด
! "!
Z VI บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
2. ไฟฟากระแสตรงเหนี่ยวนําใหเกิดสนามแมเหล็กได แตไมเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟา
เพราะ.......................................................................................................................................
3. ขอความตอไปนี้ขอใดกลาวถูกตองตามทฤษฎีเกี่ยวกับคลื่นแมเหล็กไฟฟา (ขอ ข.)
1. ขณะประจุเคลือ่ นทีด่ ว ยความเรงหรือความหนวง จะแผคลื่นแมเหล็กไฟฟา
2. เมื่อสนามแมเหล็กเปลี่ยนแปลงจะเหนี่ยวนําใหเกิดสนามไฟฟาโดยรอบยกเวนบริเวณ
นัน้ เปนฉนวน
3. บริเวณรอบตัวนําที่มีกระแสไฟฟาจะเกิดสนามแมเหล็ก
ก. 1 , 2 และ 3 ข. 1 และ 3 ค. 3 เทานัน้ ง. ตอบเปนอยางอืน่
ตอบ
4(มช 38) คลื่นแมเหล็กไฟฟาเกิดจาก
1. กระแสไฟฟาที่มีคาคงที่ไหลจากแบตเตอรี่ผานตัวนําไฟฟาวงจรไฟฟา
2. การเคลือ่ นทีข่ องนิวตรอนดวยความเรง
3. วัตถุที่มีอุณหภูมิสูง
4. การเคลื่อนที่ของประจุไฟฟาดวยความเร็วคงที่ (ขอ 3.)
ตอบ
5(มช 31) ขอใด ไมใช แหลงกําเนิดของคลื่นแมเหล็กไฟฟา (ขอ ง.)
ก. วัตถุมีอุณหภูมิสูง
ข. อะตอมปลดปลอยพลังงาน
ค. อิเล็กตรอนปลดปลอยพลังงาน
ง. อิเล็กตรอนในกระแสไฟฟาตรงปลดปลอยพลังงาน
ตอบ
6(En 33) จงพิจารณาขอความตอไปนี้
ก. อิเลกตรอนเคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็วสูง
ข. กลุม อิเลกตรอนเคลือ่ นทีใ่ นตัวนํา
ค. อิเลกตรอนเคลือ่ นทีด่ ว ยความหนวง
เหตุการณที่จะทําใหเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟาคือ
1. ก และ ข 2. ข และ ค 3. ข 4. ค (ขอ 4.)
! #!
9
VI บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
7(มช 32) หากมีประจุเคลื่อนกลับไปมาคูหนึ่งดังรูป
ตามทฤษฎีแมกซเวลล ประจุคูนี้จะแผคลื่นแมเหล็ก
ไฟฟาออกมา แตมีแนวหนึ่งที่ไมมีคลื่นแผออกมา
เลยแนวนัน้ คือ (ขอ ก.)
ก. A ข. B ค. C ง. D
ตอบ
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
! $!
ย
VI บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
! ตอนที่ 2 สเปกตรัมคลืน่ แมเหล็กไฟฟา! ! ! ! ! ! ! ! ! !
แหลงกําเนิดคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ใหญที่สุดในจักรวาลนี้ คือ ดวงอาทิตย
คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ออกมาจากดวงอาทิตย จะแบงแยกได 8 ชนิด ดังตารางตอไปนี้
การเรียง การเรียงลําดับ การเรียงลําดับ
สเปกตรัม
ลําดับความถี่ ความยาวคลื่น พลังงาน
รังสีแกมมา มาก นอย มาก
รังสีเอกซ
รังสีอลั ตราไวโอเลต
แสงขาว
รังสีอนิ ฟาเรด
คลืน่ ไมโครเวฟ
คลื่นวิทยุ
ไฟฟากระแสสลับ นอย มาก นอย
อยาลืม คลื่นแมเหล็กไฟฟาทุกสเปกตรัม จะมีความเร็วเทากันหมด คือ 3x108 m/s
! %!
ย
VI บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
12(มช 33) การแผรังสีคลื่นแมเหล็กไฟฟาตอไปนี้ขอใดมีความยาวคลื่นสั้นที่สุด
ก. รังสีแกมมา ข. แสงทีต่ ามองเห็น
ค. ไมโครเวฟ ง. รังสีอลั ตราไวโอเลต (ขอ ก.)
ตอบ
13. คลื่นแมเหล็กไฟฟาตอไปนี้คลื่นชนิดใดมีพลังงานมากที่สุด
ก. ไมโครเวฟ ข. อินฟราเรด ค. แสง ง. รังสีเอ็กซ (ขอ ง.)
ตอบ
พลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
เราสามารถหาคาพลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟาไดจากสมการ
E = hf และ E = hC
λ
เมือ่ E = พลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟา (จูล)
h = คานิจของพลังค = 6.62 x 10–34 J.s
f = ความถี่ (s–1)
λ = ความยาวคลื่น (m)
C = ความเร็วคลื่นแมเหล็กไฟฟา = 3 x 108 m/s
หรือ E = hef และ E = hC
eλ
เมือ่ E = พลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟา หนวยเปน อิเลคตรอนโวลต (eV)
e = 1.6 x 10–19
หมายเหตุ 1eV = 1.6 x 10–19 จูล
14. คลื่นแมเหล็กไฟฟาชนิดหนึ่ง มีความถี่ 1x1014 Hz คลื่นนี้จะมีพลังงานกี่จูล (6.62x10–20)
วิธที าํ
! &!
ึ
VI บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
16. คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีพลังงาน 1.324 x 10–20 จูล จะมีความถี่เทาใด (2x1013 Hz)
วิธที าํ
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เมื่อคลื่นวิทยุที่ผสมสัญญาณเสียงกระจายออกจากสายอากาศไปยังเครื่องรับวิทยุเครื่องรับ
วิทยุจะทําหนาที่แยกสัญญาณเสียงซึ่งอยูในรูปของสัญญาณไฟฟาออกจากสัญญาณคลื่นวิทยุ
แลวขยายใหมีแอมพลิจูดสูงขึ้น เพื่อสงใหลําโพงแปลงสัญญาณออกมาเปนเสียงที่หูรับฟงได
2. คลื่นวิทยุระบบ FM เปนการผสมสัญญาณเสียงเขากับคลื่นพาหะโดยใหความถี่ของ
คลื่นพาหะเปลี่ยนแปลงสัญญาณเสียง
! '!
น VI บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
การสงคลื่นในระบบ FM ใชชวงความถี่จาก 88–108 เมกะเฮิรตซ ระบบการสงคลื่น
แบบเอเอ็มและเอฟเอ็มตางกันที่วิธีการผสมคลื่น ดังนัน้ เครือ่ งรับวิทยุระบบเอเอ็มกับเอฟเอ็มจึง
ไมสามารถรับคลื่นวิทยุของอีกระบบหนึ่งได
ในการสงกระจายเสียงดวยคลื่นวิทยุระบบเอเอ็ม คลื่นสามารถเดินทางถึงเครื่องรับวิทยุได
สองทาง คือเคลื่อนที่ไปตรงๆในระดับสายตา ซึ่งเรียกวา คลื่นดิน สวนคลื่นที่สะทอนกลับลงมา
จากชัน้ ไอโอโนสเฟยร ซึ่งเรียกวาคลื่นฟา สวนคลื่นวิทยุระบบเอฟเอ็ม ซึ่งมีความถี่สูงจะมีการ
สะทอนทีช่ น้ั ไอโอโนสเฟยรนอ ย ดังนั้นถาตองการสงกระจายเสียงดวยระบบเอฟเอ็มใหครอบ
คลุมพื้นที่ไกลๆ จึงตองมีสถานีถายทอดเปนระยะๆ และผูรับตองตั้งสายอากาศใหสูง ในขณะที่
คลื่นวิทยุเคลื่อนที่ผานสิ่งกีดขวางที่มีขนาดใกลเคียงความยาวคลื่นจะมีการเลี้ยวเบนเกิดขึ้น ทํา
ใหคลื่นวิทยุออมผานไปได แตถาสิ่งกีดขวางมีขนาดใหญมากเชน ภูเขา คลื่นวิทยุที่มีความยาว
คลื่นสั้นจะไมสะทอนออนผานภูเขาไปได ทําใหดา นตรงขามของภูเขาเปนจุดปลอดคลืน่
โลหะมีสมบัติสามารถสะทอนและดูดกลืนคลื่นแมเหล็กไฟฟาไดดี ดังนั้นคลื่นวิทยุจะ
ทะลุผานเขาไปถึงภายในโลหะไดยาก อาจจะสังเกตไดงายเมื่อฟงวิทยุในรถยนต เมือ่ รถยนต
ผานใตสะพานที่มีโครงสรางเปนเหล็ก เสียงวิทยุจะเบาลง หรือเงียบหายไป
ในการสงกระจายเสียง สถานีสงคลื่นวิทยุหนึ่งๆ จะใชคลื่นวิทยุที่มีความถี่คลื่นโดยเฉพาะ
เพราะถาใชคลื่นที่มีความถี่เดียวกัน จะเขาไปในเครือ่ งรับพรอมกัน เสียงจะรบกวนกัน แตถา
สถานีสงวิทยุอยูหางกันมากๆ จนคลื่นวิทยุของสถานีทั้งสองไมสามารถรบกวนกันได สถานีทั้ง
สองอาจใชความถี่เดียวกันได
! (!
ย
VI บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
คลื่นไมโครเวฟ
คลื่นไมโครเวฟมีความถี่ตั้งแต 1x109 เฮิรตซ ถึง 3x1011 เฮิรตซ ปจจุบันเราใชคลื่น
ไมโครเวฟที่มีความถี่ 2400 เมกะเฮิรตซ ในการทําอาหาร เปดปดประตูโรงรถ ถายภาพพื้นผิว
ดาวเคราะห ศึกษากําเนิดของจักรวาล เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟสะทอนจากผิวโลหะไดดี ดังนัน้
จึงมีการนําสมบัตินี้ไปใชประโยชน ในการตรวจหาตําแหนงของอากาศยาน ตรวจจับอัตราเร็ว
ของรถยนต ซึ่งอุปกรณดังกลาวเรียกวา เรดาร
รังสีอนิ ฟราเรด
เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่ในชวง 1011–1014 เฮิรตซ สามารถแบงเปน 3 ชวง
1. อินฟราเรดใกล (0.7–1.5 ไมโครเมตร)
2. อินฟราเรดปานกลาง (1.5–4.0 ไมโครเมตร)
3. อินฟราเรดไกล (4.0–1000 ไมโครเมตร)
วัตถุรอ นจะแผรงั สีอนิ ฟราเรดทีม่ คี วามยาวคลืน่ สัน้ กวา 100 ไมโครเมตร ประสาทสัมผัสทาง
ผิวหนังของมนุษยรับรังสีอินฟราเรดที่มีความยาวคลื่นบางชวงได ฟลมถายรูปบางชนิดสามารถ
ตรวจจับรังสีอนิ ฟราเรดได ตามปกติแลวสิง่ มีชวี ติ ทุกชนิดจะแผรงั สีอนิ ฟราเรดตลอดเวลา และ
รังสีอินฟราเรดสามารถทะลุผานเมฆหมอกที่หนาทึบเกินกวาที่แสงธรรมดาจะผานได นักเทค
โนโลยีจึงอาศัยสมบัตินี้ในการถายภาพพื้นโลกจากดาวเทียม เพื่อศึกษาการแปรสภาพของปาไม
หรือการอพยพเคลือ่ นทีย่ า ยของฝูงสัตวเปนตน รังสีอนิ ฟราเรดมีใชในระบบควบคุมทีเ่ รียกวา
รีโทคอนโทรล (remote control) หรือการควบคุมระยะไกล ซึ่งเปนระบบควบคุมการทํางานของ
เครือ่ งรับโทรทัศนจากระยะไกล เชนทําการปดเปดเครือ่ ง การเปลี่ยนชอง ฯลฯ ในกรณีนี้รังสี
อินฟราเรดจะเปนตัวนําคําสัง่ จากอุปกรณควบคุมไปยังเครือ่ งรับ นอกจากนี้ในทางการทหารก็มี
การนํารังสีอินฟราเรดมาใชควบคุมอาวุธนําวิถีใหเคลื่อนไปยังเปาหมายไดอยางแมนยํา
เทคโนโลยีปจจุบันใชการสงสัญญาณดวยเสนใยนําแสง (optical fiber) และคลื่นที่เปน
พาหะนําสัญญาณคือ รังสีอนิ ฟราเรด เพราะการใชแสงธรรมดานําสัญญาณอาจถูกรบกวนโดย
แสงภายนอกไดงาย!
!
!
!
!
! )!
Et
VI บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
แสง!
แสงมีความถี่โดยประมาณตั้งแต 4x1014 เฮิรตซ ถึง 8x1014 เฮิรตซ ประสาทตาของมนุษย
ไวตอคลื่นแมเหล็กไฟฟาชวงนี้มาก วัตถุที่มีอุณหภูมิสูงมากๆ เชน ไสหลอดไฟฟาที่มีอุณหภูมิ
สูงประมาณ 2500 องศาเซลเซียส หรือผิวดวงอาทิตยทม่ี อี ณ ุ หภูมปิ ระมาณ 6000 องศาเซลเซียส
จะเปลงแสงได สําหรับแสงที่มีความยาวคลื่นประมาณ 700 นาโนเมตร ประสาทตาจะรับรูเ ปน
แสงสีแดง สวนแสงที่มีความยาวคลื่นนอยกวาประสาทตาจะรับรูเปนแสงสีสม เหลือง เขียว
น้าํ เงิน ตามลําดับ จนถึงแสงสีมวง ซึ่งมีความยาวคลื่นประมาณ 400 นาโนเมตร แสงสีตางๆ ที่
กลาวมานี้เมื่อรวมกันดวยปริมาณที่เหมาะสม จะเปนแสงสีขาว
แสงเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาเชนเดียวกับคลื่นวิทยุ ดังนั้นอาจใชแสงเปนคลื่นพาหนะนํา
ขาวสารในการสื่อสารไดเชนเดียวกับการใชคลื่นวิทยุและคลื่นโทรทัศนเปนพาหะนําเสียงและ
ภาพดังกลาวแลว เหตุที่ไมสามารถใชแสงที่เกิดจากวัตถุรอนเปนคลื่นพาหะเพราะวาแสงเหลานี้
มีหลายความถี่และเฟสที่ไมแนนอน ปจจุบนั เรามีเครือ่ งกําเนิดเลเซอร ซึ่งเปนแหลงกําเนิดแสง
อาพันธที่ใหแสงได ไดมีผูทดลองผสมสัญญาณเสียงและภาพกับเลเซอรไดสําเร็จ นอกจากใชสื่อ
สารแลว เลเซอรยังใชในวงการตางๆไดอยางกวางขวาง เชน วงการแพทย ใชในการผาตัดนัยน
ตาเปนตน
เลเซอรเขียนภาษาอังกฤษวา LASER ซึ่งยอมาจาก Light Amplification by Stimulated
Emission of Radiation ที่แปลเปนภาษาไทยไดวา “การขยายสัญญาณแสงโดยการปลอยรังสี
แบบเรงเรา” เพราะแสงเลเซอรเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ไดจากกระบสนการปลอยรังสีแบบเรง
เรา และสัญญาณแสงถูกขยาย
รังสีอลั ตราไวโอเลต
!
รังสีเอกซ
เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่อยูในชวง 1017–1021 เฮิรตซ รังสีเอกซ สามารถทะลุ
ผานสิ่งกีดขวางหนาๆ ได ดังนัน้ วงการอุตสาหกรรม จึงใชรงั สีเอ็กซตรวจหารอยราวภายในชิน้
สวนโลหะขนาดใหญ เจาหนาทีด่ า นตรวจก็ใชรงั สีเอ็กซตรวจหาอาวุธปนหรือวัตถุระเบิดใน
กระเปาเดินทางโดยไมตอ งเปดกระเปา โดยอาศัยหลักการวา รังสีเอกซจะถูกขวางกั้นโดย
อะตอมของธาตุหนักไดดีกวาธาตุเบา แพทยจึงใชวิธีฉายรังสีเอกซผานรางกายคน ไปตกบน
ฟลมเพื่อตรวจดูลักษณะผิดปกติของอวัยวะภายในและกระดูก
เมื่อฉายรังสีเอกซที่มีความยาวคลื่นประมาณ 10 นาโนเมตร ซึ่งเปนความยาวคลื่นที่ใกลเคียง
กันกับขนาดของอะตอม และระยะหางระหวางอะตอมของผลึกผานผลึกของโลหะที่จัดเรียงตัว
กันอยางมีระเบียบ จะเกิดปรากฏการณเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ เชนเดียวกับเมือ่ แสงผานเกรตติง
ทําใหสามารถคํานวณหาระยะหางระหวางอะตอมและลักษณะการจัดเรียงตัวของอะตอม จึงทํา
ใหทราบโครงสรางของผลึกแตละชนิดได
รังสีแกมมา
รังสีแกมมาเปนคลี่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่สูงกวารังสีเอกซ แตเดิมรังสีแกมมาเปนชือ่
เรียกคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่สูงที่เกิดจากการสลายของนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสี แตใน
ปจจุบันคลื่นแมเหล็กไฟฟาใด ๆที่มีความถี่สูงกวารังสีเอกซ โดยทั่วไปจะเรียก รังสีแกมมา ทั้ง
นัน้ ปฏิกิริยานิวเคลียรบางปฏิกิริยาปลดปลอยรังสีแกมมา การระเบิดของลูกระเบิดนิวเคลียรก็
ใหรังสีแกมมาปริมาณมาก การมีความถี่สูงทําใหรังสีนี้เปนอันตรายตอสิ่งมีชีวิตทุกชนิด นอก
จากนี้ยังมีรังสีแกมมาที่ไมไดเกิดจากการสลายของธาตุกัมมันตรังสี เชน รังสีแกมมาที่มาจาก
อวกาศและรังสีคอสมิกนอกโลก อนุภาคประจุไฟฟาทีถ่ กู เรงในเครือ่ งเรงอนุภาคก็สามารถให
กําเนิดรังสีแกมมาไดเชนกัน
! "+!
ย
VI บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
! ตอนที่ 3 โพลาไรเซชันของคลืน่ แมเหล็กไฟฟา!
ปกติแลวคลื่นแมเหล็กไฟฟาของแสงทั่วไป จะมีระนาบการเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟา (E )
ประกอบกันอยูหลายระนาบ ถาเราสามารถทําใหระนาบของสนามไฟฟา( E) ในคลื่นแมเหล็ก
ไฟฟา เหลือเพียงระนาบเดียวได คลื่นแมเหล็กไฟฟานั้นจะเรียกเปน คลื่นโพลาไรส
สําหรับแสงที่ไมโพลาไรส เราสามารถทําใหโพลาไรสได ซึ่งอาจทําไดหลายวิธีเชน
1. ฉายแสงผานแผนโพลารอยด
แผนโพลารอยดเปนแผนพลาสติกที่มีโมเลกุลของพอลิไวนิลแอลกอฮอล (polyvinyl
alcohol) ฝงอยูในเนื้อพลาสติก และแผนพลาสติกถูกยึดใหโมเลกุลยาวเรียงตัวในแนวขนานกับ
เมือ่ แสงผานแผนโพลารอยด สนามไฟฟาที่มีทิศตั้งฉากกับแนวการเรียงตัวของโมเลกุลจะผาน
แผนโพลารอยดออกไปได สวนสนามไฟฟาที่มีทิศขนานกับแนวการเรียงตัวของโมเลกุลจะถูก
โมเลกุลดูดกลืน ตอไปจะเรียกแนวทีต่ ง้ั ฉากกับแนวการเรียงตัวของโมเลกุลนีว้ า ทิศของโพลา
ไรส
2. ใชการสะทอนแสง เมื่อใหแสงไมโพลาไรสตกกระทบผิววัตถุ เชน แกว น้าํ หรือ
กระเบือ้ ง หากใชมุมตกกระทบที่เหมาะสม แสงที่สะทอนออกมาจะเปนแสงโพลาไรส
มุมที่ทําใหแสงสะทอนเปนแสงโพลาไรส สามารถหาคาไดจากสมการ
tanθB = n ( สมการนีเ้ รียกวา กฏของบรูสเตอร )
เมือ่ n คือ คาดัชนีหักเหของสสารที่แสงตกกระทบ
18. แสงไมโพลาไรสตกกระทบผิววัตถุ โดยทํามุมตกกระทบเทากับ 48 องศา พบวาแสง
สะทอนจากผิววัตถุเปนแสงโพลาไรส ดรรชนีหกั เหของวัตถุนเ้ี ปนเทาใด
วิธที าํ
19. นิลในอากาศ จงคํานวณหามุมบรูสเตอรของนิล ถามุมวิกฤตของนิลเทากับ 34.4 องศา
วิธที าํ
3. โพลาไรเซชันโดยการกระเจิงของแสง
เมื่อแสงอาทิตยผานเขามาในบรรยากาศของโลก แสงจะกระทบโมเลกุลของอากาศหรือ
อนุภาคในบรรยากาศ อิเล็กตรอนในโมเลกุลจะดูดกลืนแสงที่ตกกระทบนั้น และจะปลดปลอย
แสงนั้นออกมาอีกครั้งหนึ่งในทุกทิศทาง ปรากฏการณนี้เรียกวา การกระเจิงของแสง แสงที่
กระเจิงออกมาจะเนแสงโพลาไรส
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! !
! ""!
น
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
ฟ สิ ก ส บทที่ 19 ฟ สิ ก ส อ ะตอม
!
ตอนที่ 1 การคนพบอิเลคตรอนและโปรตรอน
ทฤษฎีอะตอมของดาลตัน
จากกฎทรงมวลของสาร และกฎสัดสวนทีค่ งทีเ่ ปนพืน้ ฐาน
ดาลตันนักฟสกิ สและนักเคมีชาวอังกฤษตัง้ ทฤษฎีอะตอมขึน้ ในป !
พ.ศ. 2351 ซึง่ มีใจความวา
1) สสารทัง้ หลายประกอบดวยอะตอมซึง่ เปนหนวยทีเ่ ล็กทีส่ ดุ ทีไ่ มสามารถ.........................
2) ธาตุแตละชนิดประกอบดวยอะตอม โดยธาตุชนิดเดียวกันจะมีอะตอมเหมือนกัน สวนธาตุตา ง
ชนิดกันอะตอมจะ...................
3) อะตอมชนิดหนึง่ จะเปลีย่ นแปลงไปเปน..............................ไมได
4) หนวยยอยของสารประกอบคือ โมเลกุล ซึง่ จะประกอบดวยอะตอมของธาตุองคประกอบ !
ในสัดสวนที.่ ...................!
5) ในปฏิกริ ยิ าเคมีใด ๆ อะตอมไมมกี ารสูญหาย และไมสามารถทําให..................... แตอะตอมจะ
เกิดการจัดเรียงตัวกันเปนโมเลกุลใหมเกิดขึน้ เปนสารประกอบ
2. ทฤษฏีอะตอมของดาลตัน
ขอ 1. ผิดเพราะ.... ............... ............... ............... ............... ............... ............... .................
ขอ 2. ผิดเพราะ.... ............... ............... ............... ............... ............... ............... .................
ขอ 3. ผิดเพราะ.... ............... ............... ............... ............... ............... ............... .................
ขอ 5. ผิดเพราะ.... ............... ............... ............... ............... ............... ............... .................
!
การคนพบอิเล็กตรอน
สมบัติของรังสีคาโทด
1) ทําใหสารเรืองแสงเกิดการเรืองแสงได
! "#!
VI
_ บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
2) เบีย่ งเบนเขาหาขัว้ ไฟฟา..............
แสดงใหรูวามีประจุ!
3) เบีย่ งเบนในสนามแมเหล็กและ ไฟฟาเปน..............! ทอมสันเรียกกอน!
ทิศการเบีย่ งเบนเปนไปตามกฎ............ อนุภาคที่มีประจุ
4) ไมสามารถทะลุ...................... เปนลบนี้วา!
ทีข่ วางกัน้ ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! แสดงให ! รวู า ภายในรังสีคาโทด! %%%%&&!
5) หมุน........................... ได ประกอบไปดวย.................!
!
ทอมสันอธิบายสาเหตุการเกิดรังสีคาโทดวา เมื่อโลหะที่เปนขั้วคาโทดไดรับพลังงาน
ไฟฟาที่มีศักยสูง จะทําใหอเิ ล็กตรอนภายในอะตอมโลหะนัน้ หลุดออกมา แลวเคลื่อนที่ไปยังขั้ว
อาโนด (ขั้วบวก) ทอมสันจึงสรุปวา ในอะตอมจะตองมีอเิ ล็กตรอนเปนองคประกอบอยูภ ายใน
! "'!
ะVI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
8. ในการทดลองหาอัตราเร็วอิเลคตรอน ถาใชสนามแมเหล็กความเขม 1x10–3 เทสลา และใช
สนามไฟฟาที่เกิดจากเพลตสองเพลตที่อยูหางกัน 0.01 เมตร และ มีความตางศักย 200 โวลต
ทําใหรังสีคาโทดเปนเสนตรงพอดี จงหาความเร็วของอนุภาครังสีคาโทด (2x107 m/s )
วิธที าํ
! "(!
ย VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
การทดลองหาคาประจุตอมวลของอิเล็กตรอน
! ")!
น
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
วิธที าํ
! "*!
ย
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
15(En 43/1) อนุภาคที่มีประจุไฟฟาหลายอนุภาควิ่งผาน บริเวณสนามไฟฟาตัง้ ฉากกับสนามแมเหล็ก!
โดยทิศทีว่ ง่ิ ตัง้ ฉากกับสนามทัง้ สอง อนุภาควิง่ ไปโดยไมเบนจากแนวเดิม จะมีปริมาณใดเทากัน !
! ! 1. ประจุ! ! ! 2. อัตราเร็ว! ! ! 3. มวล! ! 4. อัตราสวนประจุตอ มวล! ! (ขอ 2.)!
วิธที าํ
การคนพบโปรตรอน
Ergen goldstein นักฟสกิ สชาวเยอรมัน ไดทาํ การดัดแปลงหลอดรังสีคาโทด โดยจัดให
ขัว้ คาโทดอยูเ กือบตรงกลางและเจาะรูขว้ั คาโทดไว
เมือ่ ตอความตางศักยสงู เขาไป นอกจากจะมีรังสีคา
แลว ยังจะมีรงั สีอกี ชนิดหนึง่ วิง่ ยอนกลับมาหาขัว้
คาโทด (ขัว้ ลบ) รังสีนจ้ี ะประกอบไปดวยอนุภาคที่
ประจุบวก เรียกรังสีแคแนล(Canal ray) หรือ .............
! ! รังสีนเ้ี กิดจากอะตอมของกาซภายในหลอดถูกชนดวยอนุภาคอิเล็กตรอนทีพ่ งุ มาจากขัว้ คาโทด!
ทําใหอะตอมของกาซอิเล็กตรอนในอะตอมไป แลวกลายเปนอนุภาคทีม่ ปี ระจุ..............อนุภาคนีก้ !็
จะวิง่ เขาหาขัว้ คาโทดอันเปนขัว้ ลบนัน่ เอง!
การทดลองนีท้ าํ ใหเชือ่ วาในอะตอมตองมีอนุภาคไฟฟาบวกอยูด ว ยเรียกอนุภาคบวกนีว้ า .................!
*หากเปลีย่ นชนิดกาซทีบ่ รรจุอยูใ นหลอด แลวทดลองหาคาประจุตอ มวล (q/m) จะพบวาอนุภาครังสี
บวกของกาซแตละชนิดจะมีคา q/m ไมเทากัน ทัง้ นีเ้ พราะกาซแตละชนิดจะมีมวลไมเทากันนัน้ เอง
16. รังสีแคแนลเกิดจาก ............. ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... .......
17. การคนพบรังสีแคแนลทําใหเรารูจ กั อนุภาคมูลฐานในอะตอมตัวหนึง่ คือ ......... .........
18. รังสีแคแนลมีคาประจุตอมวลไมคงที่ เพราะ ......... ......... ......... ......... ......... ......... .............
แบบจําลองอะตอมของทอมสัน
จากการทดลองของทอมสัน, โกลดสไตน และนักวิทยาศาสตรอีกหลายทาน ทําใหเชือ่ วา
ในอะตอมใดๆ จะตองประกอบดวยอนุภาคทีม่ ปี ระจุบวก (โปรตอน) และอนุภาคที่มีประจุลบ
(อิเล็กตรอน) ทอมสันจึงไดเสนอแบบจําลองของอะตอมเอาไววา
“ อะตอมมีลักษณะเปนทรงกลม ประกอบไปดวยโปรตรอน
ซึ่งมีประจุบวก และอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบกระจายอยูทั่วไป
อยางสม่ําเสมอและในอะตอมที่เปนกลางทางไฟฟาจะมีจํานวน
โปรตรอนเทากับจํานวนอิเล็กตรอน ”
! "+!
z
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
19. จงวาดรูป แบบจําลองอะตอมของดาลตัน แบบจําลองอะตอมของทอมสัน
!
!
!
!
!
!
20. ตามแบบจําลองอะตอมของทอมสัน ขอใดกลาวถูกตอง
1. อะตอมมีลักษณะเปนทรงกลม โดยเนือ้ ของทรงกลมเปนประจุบวกกระจายอยาง
สม่ําเสมอและมีอิเล็กตรอนฝงอยูในเนื้อทรงกลม
2. ปริมาณประจุบวกและปริมาณประจุลบมีจํานวนเทากัน
3. ในสภาพปกติอะตอมเปนกลางทางไฟฟา
4. ถูกทุกขอ (ขอ 4.)
วิธที าํ
การคนพบนิวตรอน
ป พ.ศ. 2473 W.Bothe และ H.Becker
นักเคมีชาวเยอรมันไดทาํ การทดลองใชอนุ
ภาคอัลฟายิ่งแผนโลหะแบริลเลียม ปรากฏ !
วาเกิดรังสีซึ่งไมมีประจุชนิดหนึ่งที่มีอํานาจทะลวงไดดี และรังสีนี้เมื่อชนกับโมเลกุลของพารา
ฟนจะไดโปรตรอนออกมา ตอมาในป พ.ศ. 2475 Jame Chadwich ไดเสนอวารังสีนต้ี อ ง
ประกอบดวยอนุภาคและใหชื่อวา นิวตรอน และไดทําการพิสูจนไดวานิวตรอนไมมีประจุ และ
คํานวณมวลนิวตรอนไดคา ใกลเคียงกับมวลของโปรตรอน
21. จงเติมคําลงในชองวางใหสมบูรณ
พิจารณาเฉพาะหยดที่อยูนิ่ง ๆ
จาก Fขึ้น = Fลง
qE = mg
neE = mg เพราะ q = ne
ne = mg E
เมือ่ q คือ ประจุรวมทัง้ หมดในหยดน้าํ มัน(C) n คือ จํานวนอิเล็กตรอน
e คือ ประจุอเิ ล็กตรอน 1 ตัว m คือ มวลของหยดน้ํามันทั้งหมด (kg)
E คือ ความเขมสนามไฟฟา (N/C)
จากการทดลองจะได ne = จํานวนเต็ม x 1.6 x 10–19 C
เชน ne = 1 x 1.6 x 10–19 C
ne = 2 x 1.6 x 10–19 C
ne = 3 x 1.6 x 10–19 C
จึงสรุปวา อิเล็กตรอน 1 ตัว มีประจุ 1.6 x 10–19 คูลอมบ สวนจํานวนเต็มคูณอยู ก็คือ
จํานวนอิเล็กตรอนนัน่ เอง
22. หยดน้าํ มันอันมีจาํ นวนอิเลคตรอนมากกวาจํานวนโปรตรอนอยู 5 ตัว มีมวล 1.6x10–15 kg
ลอยแขวนอยูระหวางแผนประจุในเครื่องทดลองของมิลลิแกนซึ่งมีสนามไฟฟาเขม 2x104
โวลตตอ เมตร จงหาประจุของอิเลคตรอน 1 ตัว (1.6x10–19 C)
วิธที าํ
! #-!
2
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
23. หยดน้าํ มันอันมีจาํ นวนอิเลคตรอนมากกวาจํานวนโปรตรอนอยู 10 ตัว มีมวล 1.6x10–15 kg
ลอยแขวนอยูระหวางแผนประจุในเครื่องทดลองของมิลลิแกนซึ่งมีความตางศักย 100 โวลต
ระยะหางระหวางขั้วไฟฟา 1 เซนติเมตร จงหาประจุของอิเลคตรอน 1 ตัว (1.6x10–19 C)
วิธที าํ
! #"!
น
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
26. หยดน้ํามันมีความหนาแนน 400 กิโลกรัม/ลูกบาศกเมตร มีปริมาตร 2.5x10–12 ลูกบาศก–
เมตร ลอยนิ่งอยูในสนามไฟฟาขนาดสม่ําเสมอ 4x105 นิวตัน/คูลอมบ จงหาขนาดของ
ประจุบนหยดน้ํามัน (2.5x10–14 C)
วิธที าํ
! ##!
ยVI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
ผลการทดลองจริงเปนดังรูป
รัทเทอรฟอรดอธิบายวา
1. จริง ๆ แลวอะตอมจะมีโปรตรอนทัง้ หมดจะรวมตัวกันอยูใ นพืน้ ทีเ่ ล็ก ๆ ตรงกลาง
อะตอมเรียกวา นิวเคลียส สวนอิเล็กตรอนจะอยูร อบนอกนิวเคลียสระหวางนิวเคลียส
กับอิเล็กตรอนจะเปนทีว่ า ง ซึ่งจะกวางมากเมื่อเทียบกับนิวเคลียส รังสีแอลฟา
สวนมากจะผานชองวางนีไ้ ปจึงเคลือ่ นทีเ่ ปนเสนตรง
2. รังสีแอลฟา สวนนอยจะวิ่งเฉี่ยวนิวเคลียส ทําใหเกิดแรงผลักแลวเบี่ยงเบนการเคลื่อนที่
3. รังสีแอลฟาสวนนอยที่สุดจะชนนิวเคลียสตรงๆ แลวรังสีแอลฟาจะสะทอนกลับ เพราะ
มีมวลนอยกวานิวเคลียส ซึง่ มีโปรตรอนรวมอยูภ ายในอยางมากมาย
แบบจําลองอะตอมแบบนี้ เรียก แบบจําลองอะตอมของรัทเทอรฟอรด
28. ถาเชื่อวาอะตอมเปนไปตามแบบจําลองของทอมสัน เมื่อยิงรังสีอัลฟาเขาไปในอะตอมของ
ทองคํา รังสีสวนมากจะเคลื่อนที่ .......................................... ทั้งนี้เพราะเกิดแรงผลักระหวาง
ประจุบวกของอนุภาคอัลฟา กับ ......... ......... .... ในนิวเคลียส
29. จากการทดลองยิงรังสีอัลฟากระทบอะตอมทองคํา พบวารังสีสวนมากจะเคลื่อนที่เปนเสนตรง
เพราะ ............................................................................................................................................
รังสีสวนนอยจะ ............................เพราะ ................ .......... .......... .......... .......... .......... ............
และรังสีสวนนอยที่สุดจะ ..................................เพราะ .......... .......... .......... .......... .......... .........
30(En 36) การที่รัทเทอรฟอรดทําการทดลองยิงอนุภาคแอลฟาไปยังแผนทองคําบางแลว พบวา
โครงสรางของอะตอมไมเปนไปตามแบบของทอมสัน เนือ่ งจากรัทเทอรฟอรดพบวา (ขอ 4.)
1. อนุภาคแอลฟาเกือบทั้งหมดเบนไปจากแนวเดิมเปนมุมใดๆ และบางทีมีการสะทอนกลับ
2. อนุภาคแอลฟาเบนไปจากแนวเดิมทุกทิศทางเทา ๆ กัน
3. อนุภาคแอลฟาทั้งหมดวิ่งทะลุผาน แผนทองไปในแนวเกือบเปนเสนตรง
4. อนุภาคแอลฟาบางสวนเบนไปจากแนวเดิมเปนมุมใดๆ ทัง้ ทีส่ ว นใหญผา นไปในแนวตรง
31. ตามแบบจําลองอะตอมของรัทเทอรฟอรด ขอใดกลาวถูกตอง
1. อะตอมมีลกั ษณะเปนทรงกลม มีนวิ เคลียสอยูท จ่ี ดุ ศูนยกลาง มีอเิ ล็กตรอนเคลือ่ นอยูร อบๆ
นิวเคลียส
2. ภายในนิวเคลียสจะมีอนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟาบวกรวมกันอยู
! #$!
รVI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
3. เนือ้ ทีส่ ว นใหญภายในอะตอมเปนทีว่ า งเปลา
4. เมือ่ ยิงอนุภาคแอลฟาเขาไปในอะตอมของทองคํา อนุภาคแอลฟาไมมโี อกาสทีจ่ ะ
สัมผัสนิวเคลียสเลยเพราะจะเกิดการเบีย่ งเบนออกจากนิวเคลียส
5. ถูกทุกขอ (ขอ 5.)
32. จงวาดรูปแบบจําลองอะตอมของ
ดาลตัน ทอมสัน รัทเทอรฟอรด
!
!
!
33(En 42/1) ถายิงอนุภาคแอลฟาเขาไปในนิวเคลียสของ
โลหะทางเดินของอนุภาคแอลฟาทีเ่ ปนไปได คือ
1. ก และ ง เทานัน้ 2. ข และ ค เทานัน้
3. ก , ค และ ง เทานัน้ 4. ก, ข , ค และ ง (ขอ 1.)
วิธที าํ
34. มีอนุภาคแอลฟาวิง่ ตรงเขาสูน วิ เคลียสของอะตอมทองคํา อนุภาคแอลฟาจะหยุดนิ่งก็ตอ
เมือ่ อนุภาคนัน้ (ขอ 4.)
1. มีพลังงานรวมเปนศูนย 2. กระทบผิวนิวเคลียส
3. กระทบกับอิเล็กตรอนในชัน้ ใดชัน้ หนึง่ 4. มีพลังงานศักยเทากับพลังงานจลนเดิม
วิธที าํ
35(En 39) รังสีแอลฟาเคลื่อนที่เฉียดนิวเคลียสของทองคํา พลังงานจลนของรังสีแอลฟา
ณ. ตําแหนงที่เขาใกลนิวเคลียสของทองคํามากที่สุดมีคา (ขอ 1.)
1. ศูนย 2. มากทีส่ ดุ 3. เทาเดิม 4. นอยทีส่ ดุ
วิธที าํ
36. อนุภาคแอลฟาถูกเรงดวยความตางศักยกี่โวลต เมื่อวิ่งตรงไปยังนิวเคลียสของทองคํา (79Au )
ไดมากที่สุด 7.9 x 10–15 เมตร (1.44x107 โวลต)
วิธที าํ
! #'!
ze
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
ตอนที่ 4 แบบจําลองอะตอมของโบร (1)
! !
โบร ไดเสนอแบบจําลองอะตอมของไฮโดรเจนขึ้นมาโดยนําแนวคิดเรื่องควอนตัมของพลังงาน
ของพลังคมาใชกบั แบบจําลองอะตอมของรัทเทอรฟอรด พรอมทัง้ เสนอสมมติฐานขึน้ ใหม 2 ขอ คือ!
! ! 1. อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่เปนวงกลมรอบนิวเคลียสจะมีวงโคจรบางวงที่อิเล็กตรอนไมแผ!
รังสีคลื่นแมเหล็กไฟฟาออกมา ในวงโคจรดังกลาวอิเล็กตรอนจะมีโมเมนตัมเชิงมุม (L)
คงตัว และโมเมนตัมเชิงมุมนี้มีคาเปนจํานวนเต็มเทาของคาตัวมูลฐานคาหนึ่งคือ h
h
(อานวา เอซบาร) ซึ่งมีคาเทากับ 2π
ดังนั้น สําหรับอิเล็กตรอนมวล m ทีเ่ คลือ่ นทีร่ อบนิวเคลียสในวงโคจรรัศมี r
โดยมีอัตราเร็วเชิงเสน v ตามสมมติฐานขอนี้จะไดวา
L = mvr = n h
เมือ่ n เปนเลขจํานวนเต็มบวก 1, 2, 3, .... ในที่นี้เรียกวา เลขควอนตัม ของวงโคจร
2. อิเล็กตรอนจะรับหรือปลอยพลังงานออกมา เมือ่ มีการเปลีย่ นวงโคจรตามขอ 1.
พลังงานที่อิเล็กตรอนรับหรือปลอยออกมาจะอยูในรูปคลื่นแมเหล็กไฟฟา
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับทฤษฎีอะตอมของโบร
1. สูตรหารัศมีวงโคจรของอิเลคตรอนในอะตอมไฮโดรเจน
rn = h 2 2 n 2
mke
= (1.05x10−34 )2 n2
(9.1x10−31 )(9x109 )(1.6x10−19 )2
rn = 5.3 x 10–11 n2
เมือ่ rn คือ รัศมีวงโคจรที่ n (เมตร)
h = 2π h = 6.6x10−34 = 1.05 x 10–34 J.s
2π
m คือ มวลของอิเล็กตรอน = 9.1 x 10–31 kg
k = 9 x 109 N/m2 / c2
e = ประจุอเิ ล็กตรอน = 1.6 x 10–19 C
n คือ ลําดับของวงโคจร
37(มช 34) รัศมีวงโคจรที่สองจากในสุดของอะตอมไฮโดรเจนมีคาเทากับ..................เมตร
วิธที าํ
! #(!
ย
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
38(En 41) ในแบบจําลองอะตอมไฮโดรเจนของโบรรัศมี วงโคจรของอิเล็กตรอนในสถานะ
n = 4 เปนกีเ่ ทาของรัศมีวงโคจรในสถานะ n = 1 (16 เทา)
วิธที าํ
2. สูตรหาพลังงานของอิเล็กตรอนในวงโคจรตางๆ ของอะตอมไฮโดรเจน
เนือ่ งจาก พลังงานรวมของอิเลคตรอน = พลังงานศักยไฟฟา + พลังงานจลนของอิเล็คตรอน
En = – k e 2 + 1 k e2
r 2 r
n n
En = – 1 k e2
เมือ่ rn = h 2 2 n 2
2 r mke
n
En = – 1 mk 2 e 4
2 n2 h 2
E1
หรือ En =
n2
เพราะ – 12 mk 2 e 4 = – 12 (9.1x10 - 19 )(9x10 9 ) 2 (1.6x10 - 19 ) 4
h2 (1.05x10 - 34 ) 2
= –21.76x10–19 จูล
= –13.6 อิเลคตรอนโวลต
พลังงานจํานวนนีค้ อื พลังงานรวมของอิเลคตรอนซึง่ อยูใ นวงโคจรที่ 1 เรียก E1
E
สรุปไดวา En = 21
n
เมือ่ En คือ พลังงานอิเล็กตรอนในวงโคจรที่ n (อิเล็กตรอนโวลต , eV)
E1 คือ พลังงานของอิเล็กตรอนไฮโดรเจนในวงโคจรที่ 1 คือ –13.6 eV
** พลังงาน (En) มีคาเปนลบ มีความหมายวา อิเล็กตรอนถูกนิวเคลียสยึดไว **
! #)!
ง
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
39. จากทฤษฏีอะตอมของโบร
พลังงานของอิเลคตรอนของไฮโดรเจนในวงโคจรที่ 4 (E4) = …………………………………
พลังงานของอิเลคตรอนของไฮโดรเจนในวงโคจรที่ 3 (E3) = …………………………………
พลังงานของอิเลคตรอนของไฮโดรเจนในวงโคจรที่ 2 (E2) = …………………………………
พลังงานของอิเลคตรอนของไฮโดรเจนในวงโคจรที่ 1 (E1) = …………………………………
! #*!
ห
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
สเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน
44. จงเติมคําลงในชองวางตอไปนี้ใหถูกตองและสมบูรณ
( เกีย่ วกับการเปลีย่ นวงโคจรของอิเลคตรอนในอะตอมไฮโดรเจน )
การเคลื่อน e คลื่นแมเหล็กไฟฟา อนุกรม
บน → 1 ............................... ..............
6 → 2 ...............................
5 → 2 ............................... ..............
4 → 2 ...............................
3 → 2 ...............................
บน → 3 ............................... ..............
บน → 4 ............................... ..............
บน → 5 ............................... ..............
45. อนุกรมของเสนสเปกตรัมชุดใด ที่ปลดปลอยพลังงานโฟตอนเปนอัลตราไวโอเลต
ก. อนุกรมไลมาน ข. อนุกรมบาลมเมอร
ค. อนุกรมพาสเซน ง. อนุกรมแบรกเกต (ขอ ก.)
!
! #+!
น
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
46. อนุกรมของเสนสเปกตรัมชุดแบรกเกตใหพลังงานในระดับรังสีใด (ขอ ข.)
ก. อัลตราไวโอเลต ข. อินฟาเรด ค. รังสีเอกซ ง. แสงที่ตาสัมผัสได
47. สเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจนชุดใดทีต่ ามองเห็นได (ขอ ข.)
ก. ชุดไลมาน ข. ชุดบาลมเมอร ค. ชุดพาสเซน ง. ชุดฟุนต
48. สเปคตรัมทีไ่ ดจากอะตอมของธาตุตา ง ๆ จะ
ก. เหมือนกันสําหรับธาตุทุกธาตุ
ข. จะแสดงคุณสมบัติเฉพาะของแตละธาตุ
ค. จะไดเปนแถบสวางเสมอ
ง. ไดเปนเสนมืดเสมอ (ขอ ข.)
49(มช 32) ภาพของอะตอมจากทฤษฎีของเบอร (Bohr) คือ
! ! ก. อิเล็กตรอนจะวิง่ วนรอบนิวเคลียสในวงโคจรบางวงโดยไมแผคลืน่ แมเหล็กไฟฟาออกมา
ข. อิเล็กตรอนรอบ ๆ นิวเคลียสเปนเสมือนกลุม หมอกทีห่ อ หุม นิวเคลียสอยูท ใ่ี ดมีหมอกหนา
แนนมากจะมีโอกาสพบอิเล็กตรอน ณ. ทีน่ น้ั มาก!
ค. อิเล็กตรอนวิง่ วนรอบนิวเคลียสดวยระยะหางจากนิวเคลียสมาก เมือ่ เทียบกับขนาดนิวเคลียส
ง. อิเล็กตรอนทีอ่ ยูร อบนิวเคลียสมีสมบัตคิ ลืน่ นิง่ (ขอ ก.)
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! #,!
←
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
⏐ΔE ⏐ = 1237.5x10 9 −
f คือ ความถี่คลื่นแมเหล็กไฟฟา (Hz)
λ
e คือ ประจุอเิ ล็กตรอน 1 ตัว = 1.6 x 10–19 C
c คือ ความเร็วคลื่นแมเหล็กไฟฟา = 3x108 m/s
λ คือ ความยาวคลื่น (m)
1 =R 1-1 เมือ่ R คือ คาคงตัวของริดเบอรก = 1.097 x 107 m–1
λ n 2f n 2i
nf คือ ลําดับชั้นสุดทาย
ni คือ ลําดับชัน้ เริม่ ตน!
50. จงหาพลังงานของอิเลคตรอนของไฮโดรเจนในวงโคจรที่ 4 (E4) = ……………………..
และพลังงานของอิเลคตรอนของไฮโดรเจนในวงโคจรที่ 2 (E2) = ……………………..
วิธที าํ
! $-!
ยVI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
54. ถาอะตอมเปลี่ยนระดับพลังงานเดิมจาก E3 มายัง E1 จะปลดปลอยโฟตอนที่มีพลังงาน
เทาใด และความยาวชวงคลื่นมีคาเทาใด (12. 09 eV, 1.02x10–7 m)
วิธที าํ
! $"!
←
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
57(En 34) สมมติวาแผนภาพแสดงระดับพลังงานของอะตอม
ชนิดหนึง่ เปน ดังรูป ใหหาคาความยาวคลื่นของคลื่นแมเหล็ก
ไฟฟาทีจ่ ะทําใหอะตอมในสถานะพืน้ ฐานแตกตัวเปนไอออน
.! !
ไดพอดี
1. 62 nm 2. 100 nm 3. 210 nm 4. 310 nm (ขอ 1.)
วิธที าํ
! $#!
ห
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
60. จงหาความยาวคลื่นที่ยาวที่สุดในอนุกรมไลมาน เมือ่ กําหนดให k เปนคานิจของริดเบอรก
1. 1k 2. k 3. 3k4 4. 3k4 (ขอ 4.)
วิธที าํ
สรุปผลการทดลองของพลังคและเฮิรตซ
! $)!
•
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
ความไมสมบูรณของทฤษฎีอะตอมโบร
ถึงแมวา ทฤษฎีของโบรจะสามารถอธิบาย
1. การเกิดสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจนไดดี
2. การจัดตัวของอิเล็กตรอนในอะตอมของธาตุไฮโดรเจน
3. คาพลังงานทีท่ าํ ใหอะตอมทีม่ อี เิ ล็กตรอนเพียงตัวเดียวแตกตัวเปนอิออนได
แตทฤษฎีของโบรไมสามารถอธิบาย
1. การเกิดสเปกตรัมของอะตอมอืน่ ๆ
2. วาทําไมอะตอมทีอ่ ยูใ นบริเวณทีม่ สี นามแมเหล็ก ใหสเปกตรัมทีผ่ ดิ ไปจากเดิม
คือ สเปกตรัมหนึง่ ๆ แยกออกเปนหลายเสน
3. คาความเขมของแสงของเสนสเปกตรัมวาทําไมมีความเขมไมเทากัน
4. ทําไม L = mvr = nh
68(En 36) ตามการทดลองของฟรังกและเฮิรตซ ขอสรุปใดไมจริง
1. อิเลกตรอนทีม่ พี ลังงานนอยกวา 4.9 eV จะมีการชนแบบยืดหยุน กับอะตอมของไอปรอท
2. อิเลกตรอนทีม่ พี ลังงานมากกวา 4.9 eV จะสูญเสียพลังงานสวนหนึง่ ใหกบั อะตอมของ
ไอปรอท
3. อะตอมของไอปรอทมีคา พลังงาน ระดับพืน้ เทากับ 4.9 eV
4. อะตอมของไอปรอทมีคา พลังงานเปนชัน้ ๆ ไมตอ เนือ่ ง (ขอ 3.)
วิธที าํ
-
! $*!
*
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
70(En 44/1) อิเล็กตรอนตัวหนึง่ ถูกเรงดวยความตางศักย 13.2 โวลต เขาชนกับอะตอมไฮโดร–
เจน ที่อยูในสถานะพื้น การชนครัง้ นีจ้ ะสามารถทําใหอะตอมไฮโดรเจนอยูใ นระดับพลังงาน
สูงสุดในระดับ n เทาใด (พลังงานสถานะพื้นของไฮโดรเจน = –13.6 eV)
1. n = 7 2. n = 6 3. n = 5 4. n = 4 (ขอ 3.)
วิธที าํ
72. การทดลองของฟรังคและเฮิรตซใหผลสรุปที่สําคัญขอใด
1. อิเล็กตรอนชนอะตอมแบบยืดหยุน เปนสวนใหญ
2. อิเล็กตรอนชนกับอะตอมแบบไมยืดหยุน
3. อะตอมมีระดับพลังงานเปนชั้น ๆ
4. กระแสไฟฟาผานแกสที่มีความดันต่ํา (ขอ 3.)
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! $+!
ย
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
ตอนที่ 7 ปรากฏการณโฟโตอิเลคทริก (1)
ปรากฏการณโฟโตอิเล็กทริก
เมือ่ จัดหลอดสุญญากาศดังรูป แลวใชแสง
ตกกระทบใสขั้วคาโทด เมือ่ อิเล็กตรอนของอะ
ตอมในขั้วคาโทดไดรับพลังงานแสงจํานวนมาก
พอ ก็จะหลุดออกจากอะตอมแลวเคลื่อนที่พุงเขา
หาขัว้ อาโนด แลวเกิดกระแสไฟฟาไหลในวงจร
! ! ปรากฏการณนี้เรียก ปรากฏการณ................................ (photoelectric effect)
ตัวอิเล็กตรอนทีห่ ลุดออกมาจากคาโทด เรียก .................................. (photo electron)
73. ปรากฏการณโฟโตอิเลคทริก คือ ........................................................................................
โฟโตอิเลคตรอน คือ ............... ............... ............... ............... ............... ............... ........
74. โฟโตอิเล็กตรอน คือ อิเล็กตรอนชนิดใด
ก. อิเล็กตรอนทีม่ ปี ระจุมากกวาอิเล็กตรอนธรรมดา
ข. อิเล็กตรอนทีท่ าํ ปฏิกิริยากับฟลมถายรูป
ค. อิเล็กตรอนที่หลุดจากผิวโลหะโดยการฉายแสง
ง. อิเล็กตรอนทีม่ ปี ระจุเปนบวก
จ. อิเล็กตรอนที่มีอยูในลําแสง (ขอ ค.)
วิธที าํ
ขอตองทราบเกีย่ วกับปรากฏการณโฟโตอิเล็กทริก
1. เมื่อใหพลังงานแสงแกอิเล็กทริก ในขัว้
คาโทดอิเล็กตรอนจะเสียพลังงานปริมาณหนึง่
เทากับพลังงานที่โลหะใชยึดอิเล็กตรอนไว พลัง
งานนีเ้ รียก พลังงานยึดเหนี่ยวหรือ.....................
(Work function) แทนดวยสัญลักษณ W
และพลังงานสวนที่เหลือก็จะเปลี่ยนเปนพลังงานจลนของอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ออกไป
จึงไดวา Eแสง = W + Ek ของอิเล็กตรอน
! $,!
Z
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
75. ถาฉายแสงอันมีพลังงาน 8 อิเลคตรอนโวลต ตกกระทบโลหะอันมีพลังงานยึดเหนี่ยว 3.7
อิเลคตรอนโวลต อิเลคตรอนที่หลุดออกมาจะมีพลังงานจลนสูงสุดเทาใด (4.3 eV)
วิธที าํ
2. หากเราใหแสงที่มีความถี่ต่ํา จะทําให
พลังงานแสงมีคานอย (เพราะ E = hf) และ
หากพลังงานแสงนี้มีคานอยกวาพลังงานยึด
เหนีย่ ว (W) อิเล็กตรอนจะไมหลุดออกมา
จึงตองเพิ่มความถี่ (f) แสงใหมากขึ้นจนกระ
ทั่งพลังงานมีคาอยางนอยเทากับพลังงานยึดเหนี่ยวอิเล็กตรอนจึงจะหลุดออกมาไดความถี่
แสงตรงนี้ เรียก ความถี่............. ( fo) และความยาวคลื่นตรงนี้เรียก ความยาวคลื่นขีดเริ่ม (λo)
77. หากฉายแสงอันมีความถี่เทากับความถี่ขีดเริ่ม ตกกระทบโลหะ สิ่งที่จะเกิด คือ
1. พลังงานแสงจะมีคาเทากับ.......... .......... .......... .......... .......... .......... ..........
2. อิเลคตรอนจะหลุดออกจากอะตอมโลหะหรือไม .......... .......... .......... .......
3. อิเลคตรอนที่หลุดออกมาจะมีพลังงานจลนเทากับ .......... .......... .......... .......
78. ความถีข่ ดี เริม่ หรือความถีต่ ดั ขาดของแสงทีใ่ ชในปรากฎการณโฟโตอิเล็กตริก คืออะไร
ก. ความถี่ของแสงที่ทําใหเกิดโฟตอนสูงสุด
ข. ความถีข่ องแสงทีไ่ มทาํ ใหเกิดโฟโตอิเล็กตรอน
ค. ความถี่ที่ทําใหโฟตอนมีพลังงานเทากับพลังงานยึดเหนี่ยว
ง. ความถี่ที่พอดี ทําใหอเิ ล็กตรอนหลุดจากโลหะ
จ. ขอ ค , ง. ถูก (ขอ จ.)
! '-!
W
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
79. ถาโฟตอนของแสง ทีใ่ หกบั โลหะมีคา เทากับพลังงานยึดเหนีย่ วของโลหะนัน้ จะเกิดผลตามขอใด
ก. พอดีทาํ ใหเกิดโฟโตอิเล็กตรอน ข. พลังงานจลนของโฟโตอิเล็กตรอนเปนศูนย
ค. ไมมีกระแสไฟฟาในวงจร ง. ถูกทุกขอ (ขอ ง.)
3. หากตองการทดลองหาพลังงานจลนของ
อิเล็กตรอนใหตอความตางศักยที่เหมาะสม โดยตอ
ขัว้ ลบเขากับอาโนด ขั้วบวกเขากับคาโทด ดังรูป
เมื่อใชความตางศักยเหมาะสม อิเล็กตรอนอันมีประ
จุลบ เมื่อเขาใกลขั้วลบ จะเกิดแรงตานทําใหอเิ ล็ก
ตรอนหยุดนิ่งแลวจะเปลี่ยนพลังงานจลนใหกลายเปนพลังงานศักยไฟฟา ความตางศักยที่ใช
หยุดอิเล็กตรอน เรียก ความตางศักย................... (Vo)
จึงไดวา Ek = Ep เมือ่ Ek คือ พลังงานจลนของอิเล็กตรอน(จูล)
Ek = q V e คือ ประจุอเิ ล็กตรอน (1.6 x 10–19 C)
Ek = e Vo Vo คือ ความตางศักยหยุดยั้ง (โวลต)
80. จากการทดลองปรากฏการณโฟโตอิเลคทริก
หากใชความตางศักยเทากับความตางศักยหยุดยั้ง อิเลคตรอนจะ.........................................
หากใชความตางศักยมากกวาความตางศักยหยุดยั้ง อิเลคตรอนจะ.......................................
หากใชความตางศักยนอยกวาความตางศักยหยุดยั้ง อิเลคตรอนจะ.......................................
4. พลังงานจลนของอิเล็กตรอน (Ek) จะแปรผันตรงกับ พลังงานแสง , ความถี่แสง
และจะแปรผกผันกับ พลังงานยึดเหนี่ยว (W)
เพราะ Eแสง = Ek + W
Eแสง – W = Ek
hf – W = Ek
5. พลังงานยึดเหนี่ยว (W) จึงขึ้นกับชนิดของโลหะที่นํามาใชเปนคาโทดและไม
เกี่ยวกับขนาดของโลหะขั้วคาโทดนั้น
6. จํานวนโฟโตอิเล็กตรอน จะแปรผันตรงกับความเขมแสง
จํานวน e α ความเขมแสง
! '"!
•
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
81. ขอความตอไปนี้ เปนจริง หรือ เท็จ
1. เมื่อใชแสงความถี่สูงขึ้น (และสูงกวาความถี่ขีดเริ่ม) ตกกระทบคาโทด โฟโต-
อิเล็กตรอนจะมีพลังงานจลนมากขึ้น
2. หากใชแสงที่มีความเขมสูงตกกระทบคาโทด หากเกิดโฟโตอิเล็กทริก จํานวน
โฟโตอิเล็กตรอนจะมีมาก
3. หากใชแสงที่มีความถี่สูง พลังงานแสงมากๆ จะทําใหจํานวนโฟโตอิเล็กตรอนมีมาก
4. หากใชแสงที่มีความเขมสูงตกกระทบคาโทด โฟโตอิเล็กตรอนจะมีพลังงานจลนสูง
5. หากใชแสงหนึ่งแลวไมเกิดโฟโตอิเล็กทริก หากตองใหเกิดโฟโตอิเล็กทริกตอง
เพิ่มความเขมแสง
82. พลังงานยึดเหนี่ยว (work function) ของโลหะ คือ (ขอ ง.)
ก. พลังงานยึดเกาะระหวางอะตอม ข. พลังงานที่โฟตอนใหกับโลหะ
ค. พลังงานสูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน ง. พลังงานระหวางอะตอมกับอิเล็กตรอน
วิธที าํ
83. พลังงานยึดเหนี่ยวของโลหะจะมีคามากหรือนอยขึ้นอยูกับ
ก. ขนาดของโลหะ ข. ชนิดของโลหะ
ค. ความถี่ของแสงที่ใช ง. ความเขมของแสงที่ใช (ขอ ข.)
วิธที าํ
84. พลังงานจลนสูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนมีคาตามขอใด
ก. เทากับพลังงานของโฟตอนที่ใหกับโลหะ
ข. เทากับพลังงานยึดเหนี่ยวของโลหะนั้น
ค. เทากับผลตางพลังงานของโฟตอนกับพลังงานยึดเหนี่ยว
ง. เทากับผลบวกพลังงานของโฟตอนและพลังงานยึดเหนี่ยว (ขอ ค.)
วิธีทํา
85(มช 34) พลังงานจลนสงู สุดของโฟโตอิเล็กตรอนนัน้
ก. ไมขึ้นกับความเขมของแสงที่มาตกกระทบ
ข. ขึ้นกับกําลังหนึ่งของความเขมของแสงที่มาตกกระทบ
ค. ขึ้นกับกําลังสองของความเขมของแสงที่มาตกกระทบ
ง. ขึ้นกับรากที่สองของความเขมของแสงที่มาตกกระทบ (ขอ ก.)
! '#!
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
86. ผลที่ไดจากการศึกษาปรากฎการณโฟโตอิเล็กตริก สรุปไดดังนี้ (ขอ ค.)
1. โฟโตอิเล็กตรอนเกิดขึน้ เมือ่ แสงทีต่ กกระทบมีความถีส่ งู กวาความถีข่ ดี เริม่
2. ถาแสงที่มีความถี่สูงกวาความถี่ขีดเริ่มจํานวนโฟโตอิเล็กตรอนจะเปนสัดสวนโดยตรง
กับความเขมแสง
3. พลังงานสูงสุดของอิเล็กตรอน เพิ่มขึ้นเปนสัดสวนกับความถี่ที่เพิ่ม
4. พลังงานสูงสุดของอิเล็กตรอนยอมเทากับผลบวกของพลังงานโฟตอนกับพลังงานยึดเหนีย่ ว
ก. ขอ 1, 2 ข. ขอ 1, 3 ค. ขอ 1, 2, 3 ง. ขอ 1, 2, 3, 4
วิธที าํ
87. ในปรากฎการณโฟโตอิเล็กตริก เมื่อแสงที่มีความถี่สูงกวาความถี่ขีดเริ่มตกกระทบผิวโลหะ
ถาเพิ่มความเขมของแสงขึ้นเปน 2 เทา พลังงานของโฟโตอิเล็กตรอนจะเปนเทาไร
ก. พลังงานและจํานวนอิเล็กตรอนเทาเดิม
ข. พลังงานเพิ่มขึ้นเปน 2 เทา และจํานวนอิเล็กตรอนเทาเดิม
ค. พลังงานเทาเดิมแตจาํ นวนอิเล็กตรอนเพิม่ เปน 2 เทา
ง. พลังงานเทาเดิมแตจาํ นวนอิเล็กตรอนเพิม่ เปน 4 เทา (ขอ ค.)
วิธที าํ
สูตรการคํานวณเกี่ยวกับโฟโตอิเล็กตริก
Eแสง = W + Vo เมือ่ Eแสง = พลังงานแสง (eV)
hfe = W + V W = พลังงานยึดเหนี่ยว , ฟงกชั่นงาน (eV)
o
hc = W + V Vo = พลังงานจลนของโฟโตอิเล็กตรอน (eV)
eλ o
Vo = ความตางศักยหยุดยั้ง (โวลต)
h = คานิจของพลังค (6.6 x 10–34 J.s)
f = ความถี่แสง (Hz)
e = ประจุอิเลคตรอน (1.6 x 10–19 C)
c = ความเร็วแสง (3 x 108 m/s)
hf λ = ความยาวคลื่นแสง (m)
พิเศษ e0 = w
hc = w! เมื่อ f0 = ความถี่ขีดเริ่ม (Hz)
eλ 0 λ0 = ความยาวคลืน่ ขีดเริม่ (m)
! '$!
พึ
ฏ
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
88(En 32) โลหะแมกนีเซียมมีพลังงานยึดเหนี่ยวอิเลกตรอน 3.79 eV ถูกฉายดวยแสง uv ซึ่งมี
ความยาวคลื่น 300 nm โฟโตอิเลกตรอนที่หลุดออกมาจะมีพลังงานจลนมากที่สุดกี่ eV (0.35)
วิธที าํ
! ''!
อ
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
92. กําหนดใหคาพลังงานยึดเหนี่ยวของแผนทองแดงเทากับ 4.2 อิเล็กตรอนโวลต ตองฉาย
แสงที่มีความยาวคลื่นเทาใดจึงเกิดปรากฏการณโฟโตอิเล็กทริก (294.6 nm)
วิธที าํ
! '(!
อ
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
95(En 33) วัตถุ A มีคาพลังงานยึดเหนี่ยว 3.3 eV วัตถุ B มีคาความถี่ขีดเริ่มเปน 4x1014 Hz
แสงความถี่เดียวกันตกกระทบผิววัตถุ A และ B จะทําใหโฟโตอิเลกตรอนจากวัตถุ A มี
พลังงานจลนสูงสุดเทากับ 1.2 eV อยากทราบวาพลังงานจลนสงู สุดของโฟโตอิเลกตรอน
จากวัตถุ B จะเปนกี่ eV (2.85 eV)
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! '*!
d
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
100(มช 42) หลอดไฟฟาชนิดพิเศษหลอดหนึง่ ใหแสงที่มี ความยาวคลืน่ คาเดียวคือ 663 นาโน–
เมตร โดยหลอดนีม้ ี คากําลัง 60 วัตต และมีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนพลังงานไฟฟาเปน
แสงสวางเทากับ 90% พบวาอายุการใชงานของหลอดนี้คือ 500 ชัว่ โมง ถาตลอดอายุการ
ใชงานมีโฟตอนออกมา A x 1024 ตัว จงหาคา A (324)
วิธที าํ
ปรากฎการณคอมปตัน
คอมปตนั (Arthur H. Compton) และดีบาย (Peter Debye) ทําการทดลองฉายรังสีเอกซ ไปที่
แทงกราไฟต ปรากฎวามีอเิ ล็กตรอน และรังสีเอกซกระเจิงออกมาดังรูป
จะพบวา ความยาวคลื่น และพลังงานของ
รังสีเอ็กซทก่ี ระเจิงออกมา จะแปรผันตามมุม
ทีก่ ระเจิง ซึง่ เปนไปตามกฎอนุรกั ษพลังงาน
และ กฎอนุรกั ษโมเมนตัม แสดงวาการชนระ
หวางโฟตอนของรังสีเอกซกบั อิเล็กตรอนในแทงกราไฟตเปนการชนกันของอนุภาค !
! '+!
ย
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
การทดลองของคอมปตนั นี้ สนับสนุนแนวคิดของไอนสไตลที่วา คลื่นแมเหล็กไฟฟา
สามารถประพฤติตัวเปนอนุภาคได
102. ตามปรากฏการณคอมตัน เมือ่ ยิง.....................................ตกกระทบแทงกราไฟต ปรากฏ
วาจะมี.................................และ.................................. กระเจิงออกมา จึงเชื่อวารังสีเอ็กซ
แสดงคุณสมบัตเิ ปนกอนอนุภาคได
สมมติฐานของเดอบรอยล
จาก P = mc และ E = mc2
m = E2
c
P = F2 c และ E = hc
c λ
P = (hc )2c
λc
P= h
λ
สมการนี้แสดงวา โมเมนตัมของโฟตอนขึน้ อยูก บั ความยาวคลืน่ ของโฟตอน
และ λ = Ph
λ = mv h และ λ= h
2mE k
สมการนี้ แสดงวา “ อนุภาคทีม่ มี วล m เคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็ว v สามารถแสดงสมบัติ
เปนคลื่นซึ่งมีความยาวเทากับ λ ได ” ตรงนีเ้ รียก สมมุตฐิ านของเดอบรอยล และ λ นีเ้ รียก
ความยาวคลื่นของเดอบรอยล (De Broglic wavelength)
หลังจากที่เดอบรอยล เสนอความคิดของเขาแลว ไดมีนักฟสิกสหลายทานพยายาม
ทดสอบความเปนไปไดของสมมติฐานดังกลาว โดยคิดวาถาอนุภาคมีสมบัติของคลื่น อนุภาคก็
นาจะแสดงสมบัติการแทรกสอด และการเลี้ยวเบนได เชนเดียวกับคลื่นทั่วไป
ในป พ.ศ. 2468 เดวิสสัน (Clinton J. Davission) และ เจอรเมอร (Lester A. Germer)
ไดทดลองยิงอิเล็กตรอนไปกระทบผลึกของนิกเกิล ปรากฎวาอิเล็กตรอนทีส่ ะทอนออกมาแสดง
สมบัติการแทรกสอด และเลี้ยวเบนเหมือนแสงได และเมื่อทําใหลําอิเล็กตรอน ผานขอบตัว
กําบังเสนตรง ปรากฎวาอิเล็กตรอน แสดงสมบัติการเลี้ยวเบนกอนแลวไปแทรกสอดกับบน
ฟลมที่อยูดานหลังคลายการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ
! ',!
อ
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
ในป พ.ศ. 2469 จีพี ทอมสัน (George P. Thomson) ทดลองยิงอิเล็กตรอนความเร็วสูง
ผานแผนโลหะบาง ๆ เชน อะลูมิเนียม เงิน และทองคํา ปรากฎวาอิเล็กตรอนเลีย้ วเบนผานแผน
โลหะไปแทรกสอดบนฟลม เชนเดียวกับรังสีเอ็กซ
จากที่กลาวมาจะเห็นวา คลื่นแสดงสมบัติของอนุภาคได และอนุภาคก็แสดงสมบัติของ
คลื่นได สมบัติดังกลาวนี้เรียกวา ทวิภาพของคลื่นและอนุภาค (duality of wave and particle)
103. รถยนตคนั หนึง่ มีมวล 1000 กิโลกรัม แลนดวยความเร็ว 72 กิโลเมตรตอชัว่ โมง ถาคิดวา
รถยนตคันนี้เปนคลื่นจะมีความยาวคลื่น เดอ บรอยล เทาใด
(คานิจของพลังคเทากับ 6.6 x 10–34 จูล. วินาที)
1. 0.92 x 10–38 เมตร 2. 3.3 x 10–38 เมตร
3. 0.33 x 10–38 เมตร 4. 1.1 x 10–38 เมตร (ขอ 2.)
วิธที าํ
! (-!
EVI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
106(En 33) อนุภาคมวล m มีพลังงานจลนเพิ่มขึ้นเปน 4 เทาของพลังงานจลนเดิม ความยาว
คลืน่ เดอบรอยลของอนุภาคนีใ้ นครัง้ หลัง จะเปนกีเ่ ทาของความยาวคลืน่ เดอบรอยลครัง้ แรก
1. 12 เทา 2. 2 เทา 3. 4 เทา 4. 8 เทา (ขอ 1.)
วิธที าํ
! ("!
•
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
109(En 44/1) อิเล็กตรอนตัวหนึง่ จะตองเคลือ่ นทีด่ ว ยอัตราเร็วเทาใดในหนวยเมตรตอวินาที จึง
จะมีโมเมนตัมเปนหนึง่ ในสิบของโมเมนตัมของโฟตอนของแสงความถี่ 4.5 x 1014 เฮิรตซ
(ใหใชมวลของอิเล็กตรอน = 9.0 x 10–31 กิโลกรัม) (110 m/s)
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
ตอนที่ 9 หลักความไมแนนอนของไฮเซนเบิรก
เนือ่ งจากอิเลคตรอนจะเคลือ่ นทีต่ ลอดเวลา จึงทําใหเราไมสามารถวัดตําแหนงทีแ่ นนอน
ของทีอ่ ยูข องอิเลคตรอนได และหากทําใหอิเลคตรอนหยุดนิ่งก็อาจทําใหสามารถวัดตําแหนง
ไดแมนยํามากขึ้น แตก็จะไมสามารถวัดคาโมเมนตัมที่แมนยําได ไฮเซนเบิรกจึงกลาววา
เราไมสามารถวัดตําแหนง และ โมเมนตัมของอิเลคตรอนใหไดคา ทีแ่ มนยําพรอมกัน และความ
ไมแนนอนของการวัดตําแหนงกับความไมแนนอนของโมเมนตัม จะสัมพันธกันดังสมการ
(Δx )( Δp ) > h
เมือ่ Δx = ความไมแนนอนของตําแหนง
Δp = ความไมแนนอนของโมเมนตัม = m Δv
! ($!
@
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
113. อนุภาคอัลฟามวล 6.7x10–27 kg เคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็ว 6.0x106 เมตร/วินาที ถาความ
ไมแนนอนของการวัดความเร็วเปน 0.5x106 เมตร/วินาที ความไมแนนอนของตําแหนง
อนุภาคอัลฟาเปนเทาใด กําหนดใหมวลอนุภาคมีคา 6.7x10–27 kg คงตัว (3.1x10–14 m)
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
2. สถานะถูกกระตุนกึ่งเสถียร
67869:;! <=>4?!
1. สถานะพื้น
รูปแสดงสถานะทัง้ สามทีเ่ กีย่ วของกับการทํางานของเลเซอร
! ('!
อ
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
เมือ่ อิเล็กตรอนจากสถานะ (2) กลับมาที่สถานะพื้น (1) มันจะปลดปลอยพลังงานออกมา
ในรูปของแสง กลไกในเครื่องเลเซอรที่ประกอบดวยกระจกพิเศษ 2 บาน ( บานหนึ่งสะทอน
100% อีกบานสะทอนไมถงึ 100% แตใหทะลุผานไดบาง) จะสะทอนแสงกลับไปมาในเครื่อง
ทําใหอะตอมตัวอื่นที่อยูในสถานะ (2) ปลดปลอยแสงออกมาเสริมแสงเดิมที่ไปกระตุนทําใหได
แสงในทิศเดียวกันที่มีความเขมสูง เปนแสงอาพันธที่มีความถี่เดียวและเฟสตรงกัน นั่นคือแสง
เลเซอร
สารกึ่งตัวนํา คือ สารที่สามารถนําไฟฟาไดในบางเหตุการณ ซึ่งมีกลไกการนําไฟฟาสามารถ
อธิบายไดดังนี้
พลังงาน
C n=2
.@.ABC!!BDE!
V n=1
ก. ระดับพลังงานในของแข็ง ข. ระดับพลังงานในอะตอมเดี่ยว
! ((!
ผ
VI บทที่ 19 ฟสิกสอะตอม
กึ่งตัวนํา (semiconductor) จะมีอิเล็กตรอนเต็มแถบวาเลนซคลายฉนวนแตมีชองวางพลัง!
งานเหนือแถบนัน้ คอนขางแคบ ทีอ่ ณ ุ หภูมปิ กติ พลังงานความรอน สามารถกระตุน อิเล็กตรอน!
จํานวนหนึ่งซึ่งไมมากนักที่กระโดดขามชองวางไปอยูแถบนําไฟฟาที่อยูถัดขึ้นไป อิเล็กตรอน
เหลานีเ้ องทีเ่ ปนตัวพาหะ (carrier) ของไฟฟาและทําใหนําไฟฟาไดบาง ทําใหความตานทาน
ไมสูงมากนักและนับเปนสารกลุมกึ่งตัวนํา สารกึง่ ตัวนําบางชนิดสามารถกระตุน อิเล็กตรอนจาก
แถบวาเลนซใหขึ้นไปแถบนําไฟฟาไดดวยแสง และสามารถนํามาใชเปนประเภท LDR (Light
Dependent Resistance) หรือเปนตัวรับรู (sensor) แสง
ในทางปฎิบัติจะมีการใชฉนวน เชน ยาง พลาสติก ทําที่หุมสายไฟฟาทําจากโลหะ ซึ่งเปน
ตัวนําไฟฟา สวนตัวตานทานที่ใชในวงจรไฟฟาและวงจรอิเล็กทรอนิกสนั้นจะมีคาความตาน
ทานไฟฟาอยูระหวางตัวนํากับฉนวน คือมีคา ตัง้ แต 1 โอหม ถึง 100 เมกะโอหม
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! ()!
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
ฟ สิ ก ส บทที่ 20 ฟ สิ ก ส นิ ว เคลี ย ร
!
ปูพน้ื ฐานการเขียนสัญลักษณแทนอะตอมเบือ้ งตน
อนุภาค ประจุ (C) ตัวแทน มวล (kg) มวล (amu)
โปรตรอน (p) +1.6 x 10–19 +1 1.672 x 10–27 1.007285
อิเล็กตรอน (e) –1.6 x 20 –19 –1 9.108 x 10 –31 0.000549
0 1.674 x 10–27
นิวตรอน (n) 0 1.008665
หมายเหตุ 1 amu = 1.66 x 10–27 kg
สัญลักษณแทน
เลขมวล (A) = จํานวน p + จํานวน n
4 = จํานวนนิวคลีออน
2 He !
! เลขอะตอม (Z) = จํานวน p
! "#!
ผ้
เ
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
ควรทราบ 1. เลขอะตอม = จํานวนโปรตรอน = ลําดับของธาตุในตารางธาตุ
ดังนัน้ หากทราบเลขอะตอมจะบอกไดวาเปนธาตุอะไร
2. อะตอมปกติ จํานวน p = จํานวน e
หากอะตอมปกติรบั e เพิม่ เขาตัว จะมีประจุรวมเปนลบ
หากอะตอมปกติเสีย e ออกไป จะมีประจุรวมเปนบวก
สัญลักษณแทน
เลขมวล (A)
4 ?! บอกประจุ (K)
2 He !
เลขอะตอม (Z)
3. สูตรตอไปนีใ้ ชหาจํานวน p , n , e
จากสัญลักษณอะตอม
จํานวน p = Z
จํานวน n = A – Z
จํานวน e = Z – K
!
21. รังสีที่เบี่ยงเบนในสนามแมเหล็กไดมากที่สุดคือ
ก. แอลฟา ข. เบตา ค. แกมมา ง. รังสีเอกซ (ขอ ข.)
วิธที าํ
!
22(มช 35) ถาใหรังสีบีตา แกมมา และแอลฟา เคลือ่ นทีอ่ ยูใ นน้าํ และ รังสีบีตาทั้งสามชนิดมี
พลังงานเทากัน เราจะพบวารังสีบีตาเคลื่อนที่ไดระยะทาง (ขอ ง.)
ก. สั้นที่สุด ข. ไกลที่สุด
ค. ไกลกวาแกมมาแตใกลกวาแอลฟา ง. ไกลกวาแอลฟาแตใกลกวาแกมมา
วิธที าํ
!
! &)!
•
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
24(มช 38) กระบวนการที่เกิดขึ้นในนิวเคลียส ซึ่งมีลักษณะ คลายกับการปลอยแสงของอะตอม
ที่อยูในสถานะกระตุน คือกระบวนการใด (ขอ 1.)
1. การแผรงั สีแกมมา 2. การปลอยอนุภาคบีตา
3. การปลอยอนุภาคอัลฟา 4. การปลอยอนุภาคนิวตรอน
วิธที าํ
!
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
ตอนที่ 2 สมการนิวเคลียร
แนะนําใหทราบถึงสัญลักษณบางอยาง
รังสีอัลฟา = α = 42 He รังสีบตี า = β = 0-1 e
รังสีแกมมา = γ โปรตรอน = p = 11 H
นิวตรอน = n = 10 n โพซิตรอน = e+ = 10 e
ดิวเทอรอน = 12 H ตริตรอน = 3
1H
238 U สลายตัวใหรังสีอัลฟาออกมา จงเขียนสมการแสดงการแตกตัวนี้
!
ตัวอยางที่ 1 กําหนด 92
วิธที าํ สมการเบื้องตนอยางงาย
ตัวเริม่ ตน → ตัวเกิดใหม + รังสีที่คาย
238 234 4
92 U → 90 Th + 2 He
! ! ในสมการนี้ ทุกตัวแสดงถึงนิวเคลียสของอะตอม สมการนี้จึงเรียกสมการนิวเคลียร!
!
! หลักในการเขียนสมการนิวเคลียร!
! 1) ผลรวมเลขมวล (เลขบน) กอนปฏิกิริยาและ ผลรวมเลขมวลหลังปฏิกริ ยิ า ตองมีคาเทากัน!
! 2) ผลรวมเลขอะตอม (เลขลาง) กอนปฏิกิริยา และ ผลรวมเลขอะตอมหลังปฏิกิริยาตอง!
! ! มีคาเทากัน
ตัวอยางที่ 2 กําหนด 86 222 Rn สลายตัวใหรังสีอัลฟาออกมา จงเขียนสมการแสดงการแตกตัว
วิธที าํ สมการเบื้องตนอยางงาย
ตัวเริม่ ตน → ตัวเกิดใหม + รังสีที่คาย
222 218 4
!
86 Rn → 84 Po + 2 He
!
!
! &*!
@
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
ตัวอยางที่ 3 กําหนด 83 210 Bi สลายตัวใหรังสีบีตาออกมา จงเขียนสมการแสดงการแตกตัวนี้
วิธที าํ สมการเบื้องตนอยางงาย
ตัวเริม่ ตน → ตัวเกิดใหม + รังสีที่คาย
210 210 0
! 83 Bi → 84 Po + -1 e
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
!
! &+!
•
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
29(มช 35) นิวเคลียส 84Po216 สลายตัวไปเปนนิวเคลียส 82Pb212 จะใหรงั สีหรืออนุภาค
ชนิดใดออกมา
ก. แกมมา ข. บีตา ค. นิวตรอน ง. แอลฟา (ขอ ง.)
วิธที าํ
!
ตอนที่ 3 การสลายตัวของนิวเคลียส
เมื่อนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีสลายตัวไป จํานวนที่เหลืออยูยอมมีคาลดลง !
! เราสามารถหาปริมาณที่เหลือไดเสมอ โดยอาศัยสมการดังนี!้
−t
N = No . 2 T หรือ N = N0 e −λ t
−t
m = mo . 2 T หรือ m = m0 e −λ t
−t
A = Ao . 2 T หรือ A = A0 e −λ t
!
! &&!
•
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
! เมือ่ No = จํานวนนิวเคลียสของธาตุกมั มันตรังสีเริม่ แรกทีพ่ จิ ารณา (t = 0)
N = จํานวนนิวเคลียสที่เหลืออยูเมื่อเวลาผานไป t
Ao = กัมมันตภาพขณะเริ่มตน (t = 0)
A = กัมมันตภาพเมื่อเวลา t ใด ๆ นับจากเริม่ ตน
mo = มวลขณะเริ่มตน (t = 0)
m = มวลเวลาผานไป t
e = 2.7182818
T = ครึง่ ชีวติ T = In2 = 0.693
λ λ
λ = คาคงตัวการสลาย
37. ธาตุกัมมันตรังสีชนิดหนึ่ง มีเวลาครึ่งชีวิต 10 วัน ถาเก็บธาตุนั้น จํานวน 24x1018 อะตอม
ไว 30 วัน จะเหลือธาตุนน้ั กีอ่ ะตอม (3 x 1018)
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
!
!
38(มช 44) สารกัมมันตรังสีชนิดหนึง่ ขณะเริม่ ตน (t = 0) มีกัมมันตภาพ 12800 เบ็กเคอเรล
มีครึง่ ชีวติ 6 วัน อยากทราบวาเวลาผานไปเทาใด กัมมันตภาพของสารนี้จะลดลงเหลือ
1600 เบ็กเคอเรล (ขอ 2.)
1. 12 วัน 2. 18 วัน 3. 21 วัน 4. 24 วัน
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
!
!
! &#!
•
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
39. ทิ้งน้ํายาซึ่งเปนสารกัมมันตรังสีไวเปนเวลานาน วัดกัมมันตภาพได 4200 ครัง้ /วินาที
ถาน้ํายานี้เปนของใหม จะวัดกัมมันตรังสีได 16800 ครัง้ /วินาที ถาชวงครึ่งชีวิตของสาร
ในน้ํายานี้เปน 8 วัน จงหาวาทิ้งน้ํายาไวเปนเวลานานเทาใด (16 วัน)
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
40(มช 35) ไอโซโทปกัมมันตรังสีชนิดหนึง่ มีคา ครึง่ ชีวติ 30 นาที อยากทราบวาจะตองใช
เวลากี่นาที จึงจะมีปริมาณลดลงเหลือเพียง 1/10 ของปริมาณเมือ่ ตอนเริม่ ตน (100 นาที)
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
41. เศษไมโบราณเมื่อนําไปวัดกัมมันตภาพจะได 12.5 ตอนาที ของคารบอน –14 แตไมชนิด
เดียวกัน ซึ่งมีชีวิตและอบแหงแลวเปนปริมาณเทากันวัดได 100 ตอนาที อยากทราบวา เศษ
ไมโบราณไดตายมากี่ปแลว กําหนดเวลาครึง่ ชีวติ ของ 14 C เทากับ 5600 ป (16800 นาที)
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
!
42(En 43/2) สารกัมมันตรังสีโคบอลต –60 สลายตัวใหรังสีเบตา และรังสีแกมมา โดยมีครึง่
ชีวิต 5.30 ป จงหาเปอรเซ็นตของสารกัมมันตรังสีทเ่ี หลือยูเ มือ่ เวลาผานไป 15.9 ป
1. 6.25 % 2. 12.5 % 3. 18.75 % 4. 25 % (ขอ 2.)
วิธที าํ
!
! &$!
อ
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
43(En 41/2) ในการทดลองวัดปริมาณรังสีจากธาตุ
กัมมันตรังสีชนิดหนึง่ เมื่อเขียนกราฟแสดงความ
สัมพันธระหวางมวล ของ ธาตุกัมมันตรังสีที่เวลา
ผานไป t ใดๆ กับเวลาที่ผานไป t จะไดผลดัง
รูป แสดงวาที่เวลาผานไป 8 ชัว่ โมง นับจาก
ตอนตนธาตุกัมมันตรังสีนี้จะเหลืออยูกี่มิลลิกรัม
1. 6.25 mg 2. 3.13 mg 3. 1.56 mg 4. 0.78 mg (ขอ 1.)
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
!
44(En 34) ไอโอดีน –131 มีคาคงตัวของการสลายเทากับ 0.087 ตอวัน ถามีไอโอดีน –131
อยู 10 กรัม ตอนเริม่ ตนเมือ่ เวลาผานไป 24 วัน จะมีไอโอดีน –131 เหลืออยูเ ทาไร
(กําหนดให In2 = 0.693) (ขอ 2.)
1. 0.63 กรัม 2. 1.25 กรัม 3. 2.50 กรัม 4. 5.00 กรัม
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
!
45(มช 37) คาคงตัวของการสลายของธาตุกมั มันตรังสีซง่ึ เริม่ ตนมีจาํ นวนอะตอม 24 x 1018
อะตอม เมือ่ เวลาผานไป 90 วัน จะเหลือ 3 x 1018 อะตอม คือขอใด (ขอ 3.)
1. 0.069/วัน 2. 0.035 /วัน 3. 0.023 / วัน 4. 0.017 / วัน
วิธที าํ
!
!
!
! &%!
•
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
46(มช 42) สารกัมมันตรังสี A มีคา กัมมันตภาพในตอนเริม่ ตนอยู 1.28 คูรี ขณะที่สารกัมมัน–
ตรังสี B มีคากัมมันตภาพอยู 160 มิลลิคูรี เมือ่ เวลาผานไป 36 ชัว่ โมง สารทั้ง 2 เหลือ
คากัมมันตภาพอยู 20 มิลลิคูรี เทากัน จงหาอัตราสวนของคาคงทีข่ องการสลายของสาร A
ตอสาร B (λA /λB ) (ขอ 3.)
1. 0.5 2. 1 3. 2 4. 4
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
!
คากัมมันตภาพ (A)
คากัมมันตภาพ คือ อัตราการสลายตัว ณ เวลาหนึง่ (นิวเคลียสตอวินาที , Bq)
A = dNdt
คากัมมันตภาพ อาจใชหนวยเปนนิวเคลียสตอวินาที เรียกอีกอยางหนึง่ Bq หรือ
อาจใช หนวยเปน คูรี (Ci)
1 Ci = 3x1010 Bq
เราอาจหาคากัมมันตภาพ (A) ไดจากสมการ
A = λN
เมือ่ A = กัมมันตภาพ (นิวเคลียสตอวินาที , ฺBq)
λ = คาคงตัวการสลาย (ตอวินาที)
N = จํานวนนิวเคลียส ณ. เวลานั้น ๆ (นิวเคลียส)
47(En 44/2) ธาตุกมั มันตรังสีจาํ นวนหนึง่ มีกัมมันตภาพ 1 ไมโครคูรี และมีครึ่งชีวิตเทากับ
1000 วินาที จํานวนนิวเคลียสกัมมันตรังสีขณะนั้นเปนเทาใด (1 คูรี = 3.7x1010 Bq )
1. 3.7x107 2. 5.3 x107 3. 3.7x109 4. 5.3x109 (ขอ 2.)
วิธที าํ
!
! #'!
•
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
48(En42/2)(En 43/1) ถาธาตุ x มีจาํ นวนอะตอมเปน 2 เทาของธาตุ y แตมีกัมมันตภาพเปน
3 เทาของธาตุ y ครึง่ ชีวติ ของธาตุ x จะเปนกีเ่ ทาของธาตุ y
1. 16 เทา 2. 23 เทา 3. 23 เทา 4. 6 เทา (ขอ 2.)
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
49. ธาตุกัมมันตรังสีชนิดหนึ่งครึ่งชีวิต 15 วัน และเริม่ ตนของธาตุนม้ี กี มั มันตภาพ 10 ไมโครคูรี
จํานวนอนุภาคที่ปลดปลอยออกมาใน 1 วินาที เปนเทาใด เมื่อทิ้งธาตุนี้ไวเปนเวลา 30 วัน
(กําหนด 1 คูรี = 3.7x1010 s–1) (9.25x 104 นิวเคลียส)
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
!
!
!
50(มช 38) คนไขคนหนึง่ ตองการไดรบั รังสีแกมมาจากโคบอลด–60 แตปริมาณรังสีแกมมาที่
ใชมีมากเกินไปนําแผนตะกั่วมากั้น จะตองใชแผนตะกั่ว 3 แผนมากั้น จึงจะไดปริมาณรังสี
แกมมาที่พอดี ถาตะกั่ว 1 แผน สามารถกั้นรังสีแกมมามาไมใหผานมาได 90 เปอรเซ็นต
อยากทราบวาปริมาณรังสีแกมมาทีอ่ อกมาไดพอดีจะคิดเปนกีเ่ ปอรเซ็นตของปริมาณเดิม
1. 0.01% 2. 0.1 % 3. 3% 4. 30% (ขอ 2.)
วิธที าํ
!
! #(!
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
51(En 35) คาคงที่ของการสลายตัวของธาตุธอเรียม–232 เทากับ 1.6x10–18 ตอวินาที ธาตุ
นัน้ จํานวน 464 กรัม จะสลายตัวกี่ลานอะตอมตอวินาที (1.92 ลานอะตอม/วินาที)
วิธที าํ
!
!
!
!
!
! #)!
ฮุ
•
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
ตอนที่ 4 แรงนิวเคลียร และพลังงานยึดเหนี่ยว
รัศมีนวิ เคลียส
เราสามารถหารัศมีนิวเคลียสของอะตอมธาตุใ ด ๆ ไดจากสมการ
1
R = r0 A 3
เมือ่ ro ≈ (1.2 x 10 –15) – (1.5 x 10–15) เมตร
A = เลขมวล
54. จงหารัศมีของนิวเคลียส 64 30 Zn กําหนด ro = 1.2x10 –15 เมตร (4.8 x 10–15)
วิธที าํ
!
!
!
55(En 33) ถารัศมีนิวเคลียสธาตุไฮโดรเจนเปน 1.4x10 –15 เมตร รัศมีนิวเคลียสของธาตุ 27Al
จะเปน กี่เมตร
1. 4.2x10–15 เมตร 2. 5.6x10–15 เมตร
3. 12.6x10–15 เมตร 4. 27x10–15 เมตร (ขอ 1.)
วิธที าํ
!
!
!
!
56. ธาตุไอโซโทปของ 224 28
88 Ra จะมีรศั มีเปนกีเ่ ทาของธาตุไอโซโทปของ 11 Na
1. 2 เทา 2. 3 เทา 3. 4 เทา 4. 5 เทา (ขอ 1.)
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
!
!
! #*!
•
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
แรงนิวเคลียร
แรงทีเ่ กีย่ วของกับนิวคลีออนในนิวเคลียส
1) แรงผลักระหวางประจุไฟฟา (มีคามาก)
2) แรงดึงดูดระหวางมวล (มีคา นอย)
3) แรงนิวเคลียร คอยผูกมัดนิวคลีออนตาง ๆ เอาไวมิใหฟุง
กระจายออกมานอกนิวเคลียส (มีคามหาศาล เมื่อเทียบกับ
แรงผลักประจุ)
ลักษณะของแรงนิวเคลียร
1) เปนแรงดึงดูดระยะสัน้
2) ไมเกี่ยวกับชนิดของประจุ
3) มีคามากกวาแรงผลักระหวางประจุไฟฟา
!
! #"!
•
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
59(มช 34) นิวเคลียส 10Ne20 มีมวลอะตอม 19.992434 จะมีพลังงานยึดเหนีย่ วตอนิวคลีออน
กี่ MeV กําหนดมวลนิวตรอน 1 ตัว = 1.008665 amu
มวลโปรตรอน 1 ตัว = 1.007825 amu
ก. 160.652 ข. 16.065 ค. 8.033 ง. 5.335 (ขอ ค.)
วิธที าํ
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
ตอนที่ 5 ปฏิกิริยานิวเคลียร
ปฏิกิริยานิวเคลียร คือ กระบวนการทีน่ วิ เคลียสเกิดการเปลีย่ นแปลงองคประกอบ หรือ ระดับพลังงาน
การเขียนรูป X (a, b) Y
14 N + 4 He → 17 1
7 2 8 O + 1H
เปา! ตัวชนเปา! ตัวเกิดใหม! ตัวคายหลังชน!
สมการนี้ อาจเขียนเปน 14 17 14
7 N (α!,!-) 8 O อานวา ปฏิกริ ยิ าอัลฟาโปรตรอนของ 7 N
! #&!
•
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
61. พิจารณาสมการนิวเคลียรดังนี้
27 4 30 + H1
13 Al + 2 He 14 Si 1
ก. ปฏิกิริยานี้เขียนแบบยอไดอยางไร ข. ปฏิกิริยานี้มีชื่อเรียกวาอยางไร
วิธที าํ
!
!
!
62. จงเขียนสมการปฏิกิริยานิวเคลียรตอไปนี้
ก. 73 Li (α , n) 105 B ข. 94 Be (p , α ) 63 Li
วิธที าํ
!
!
!
!
63. จงเขียนสมการปฏิกิริยานิวเคลียรตอไปนี้
23 Na (d , p) 24 Na
ก. 11 27 Al (!n!, γ ) 28 Al
ข. 13
11 13
วิธที าํ
!
!
!
!
64(En 35) ปฏิกิริยานิวเคลียร 198 197
80 Hg (!n!, Y ) 79 Au ถามวา Y คืออนุภาคอะไร
1. ดิวเทอรอน 2. อนุภาคแอลฟา 3. โปรตอน 4. ทริทอน (ขอ 1.)
วิธที าํ
!
!
!
! ##!
G
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
การหาพลังงานเกีย่ วกับปฏิกริ ยิ านิวเคลียร เงื่อนไขการใชสมการนี้
1. หาจากมวลที่เปลี่ยน (Δm) ใชสมการ 1. หาก ΔE เปนบวก แสดงวาปฏิกิริยาเปน
ΔE = 931 . Δm แบบคายพลังงาน เกิดเมื่อ *มวลรวมหลัง
ปฏิกริ ยิ ามีคา นอยกวามวลรวมกอนปฏิกริ ยิ า
Δm = มวลกอน – มวลหลัง
2. หาก ΔE เปนลบ แสดงวาปฏิกิริยาเปน
2. หาจากพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียส (B.E) แบบดูดพลังงาน เกิดเมื่อ *มวลรวมหลัง
ใชสมการ ΔE = BEกอน – BEหลัง ปฏิกริ ยิ ามีคา มากกวามวลรวมกอนปฏิกริ ยิ า
3. การใชคา B.E. ของนิวเคลียสมาคํานวณ
ตองใชคา B.E. มาเปนลบ
ในการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี ปฏิกิริยาที่ไดเปนปฏิกิริยาคายพลังงานทั้งหมด
พลังงานที่ปลอยออกมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร เรียกวา พลังงานนิวเคลียร (nuclear energy)
ซึ่งพลังงานนี้อาจอยูในรูปพลังงานจลนของอนุภาคหรือในรูปคลื่นแมเหล็กไฟฟาก็ได
65(มช 36) พลังงานนิวเคลียรที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียรที่กําหนดใหนี้จะมีคากี่ MeV
X + a → Y + b ในที่นี้ (9.31 MeV)
X มีมวล 196.966600 u Y มีมวล 194.968008 u
a มีมวล 2.014012 u b มีมวล 4.002604 u
และ มวล 1.0 u = 931 MeV
วิธที าํ
!
!
!
!
66. ในการยิงนิวตรอนเขาชนอลูมเิ นียม 13 27 Al เพื่อใหเกิดปฏิกิริยา 27 Al (n . p) 27 Mg
13 12
เราจะตองใชนวิ ตรอนซึง่ มีพลังงานจลนอยางนอยเทาใด กําหนดใหมวลอะตอมของ
27 27
13 Al = 26.981535 12 Mg = 26.984346
1 H = 1.007825 1 n = 1.008665 (1.84 MeV)
1 0
วิธที าํ
!
!
!
!
! #$!
อ
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
67. จากปฏิกิริยานิวเคลียร 4 He + 9 Be → 12 C + 1 n
2 4 6 0
จงหาพลังงานและบอกดวยวาเปนปฏิกิริยาประเภทใด กําหนด B.E ของ 42 He , 94 Be ,
12 C คือ 28.3 MeV , 58.1 MeV และ 92.1 MeV ตามลําดับ (5.7 MeV)
6
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
!
!
68. จงหาพลังงานที่ใชในการแยกนิวเคลียส 10 20 Ne ออกมาเปนแอลฟา 2 อนุภาค และ 12 C
6
1 นิวเคลียส กําหนดใหพลังงานที่ยึดเหนี่ยวตอนิวคลีออนในนิวเคลียสของ 10 Ne , 42 He
20
และ 126 C เปน 8.03 , 7.07 และ 7.68 MeV ตามลําดับ (11.88 MeV)
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
!
!
69. ในการเกิดปฏิกิริยา 42 He + 42 He → 11 H + 73 Li
พบวาตองใชพลังงาน 17.2 MeV ถาพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียส 73 Li = –39.2 MeV
จงหาพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียส 42 He (28.2 MeV)
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
!
! #%!
ะ
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
235 U ทําใหเกิดฟชชัน ไดพลังงานทั้งสิ้น
70. ในการทดลองระเบิดนิวเคลียรลูกหนึ่งใช 92
9.0 x 1012 จูล หลังจากการระเบิดมวลที่หายไปทั้งสิ้นกี่กิโลกรัม (10–4)
วิธที าํ
!
!
!
!
!
!
!
ฟชชัน คือ ปฏิกิริยานิวเคลียรที่เกิดจากนิวเคลียสของธาตุหนักเกิดการแตกตัวออกเปน 2
สวนที่มีขนาดใกลเคียงกันจะทําใหไดนิวเคลียสใหม ซึ่งมีพลังยึดเหนี่ยวตอนิวคลีออนเพิ่มขึ้น
ตัวอยางปฏิกิริยาที่เกิดจากการยิงนิวตรอนเขาไปในนิวเคลียสของยูเรเนียม ดังสมการ
92u235 + on1 → 56Ba141 + 36Kr92 + 3on1 + พลังงาน
นักเรียนจะเห็นวาผลของปฏิกิริยานี้ จะไดนิวเคลียสใหม 2 ตัว ตัวหนึง่ มีเลขอะตอมอยู
ระหวาง 30 ถึง 63 และอีกตัวอยูระหวาง 72 ถึง 158 และปฏิกิริยานี้ยังใหพลังงานออกมา
อยางมหาศาล และใหนวิ ตรอนอีก 3 ตัว ซึ่งถานิวตรอนเหลานี้มีพลังงานสูงพอ ก็จะวิ่งเขาชน
นิวเคลียสของยูเรเนียมอะตอมตอๆ ไป กอใหเกิดปฏิกริ ยิ าอยางตอเนือ่ งทีเ่ รียกวา ปฏิกิริยาลูกโซ
เฟรมี เปนนักวิทยาศาสตรคนแรกที่สามารถควบคุมอัตราการเกิดปฏิกิริยาลูกโซใหสม่ําเสมอได
โดยใชเครือ่ งมือทีเ่ รียกวา เครือ่ งปฏิกรณนวิ เคลียร ซึง่ ควบคุมอัตราการเกิดฟงชันโดยการควบ
คุมจํานวนนิวตรอนทีเ่ กิดขึน้
ฟวชัน คือ ปฏิกิริยาที่เกิดจากการรวมตัวกันของธาตุเบา 2 ธาตุ แลวยังผลใหเกิดธาตุซึ่ง
หนักกวาและมีการปลดปลอยพลังงานนิวเคลียรออกมาดวย
ตัวอยางเชน 41H1 → 2He4 + 2 1 e 0 + 26 MeV
จะเห็นวาปฏิกิริยานี้เกิดจาก 1H1 4 ตัว รวมกันเปน 2He4 1 ตัว แลวมีการปลอยอนุภาค
ที่มีประจุบวกและมีมวลใกลเคียงกับอิเลคตรอน เรียกวา โพชิตรอนอีก 1 ตัว ปฏิกิริยานี้มีการ
ปลดปลอยพลังงานออกมากมายเชนกัน ปฏิกิริยานี้เปนปฏิกิริยาที่เกิดบนดวงอาทิตย หรือ บน
ดาวฤกษ ที่มีพลังงานสูงทั้งหลาย สําหรับบนโลกเราปฏิกิริยาฟวชันสามารถทําใหเกิดขึ้นไดใน
หองปฏิบัติการ
! $'!
ย
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
! $)!
E
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
แบบฝ ก หั ด ฟ สิ ก ส บทที่ 20 ฟ สิ ก ส นิ ว เคลี ย ร
กัมมันตภาพรังสี
1(En 36) พิจารณาขอความตอไปนี้สําหรับรังสีแอลฟา บีตา และ แกมมา
ก. มีความสามารถในการทําใหกาซแตกตัว เปนไอออนไดดกี วา
ข. ตองใชวัสดุที่มีความหนามากในการกั้นรังสี
ค. เมือ่ เคลือ่ นทีผ่ า นบริเวณทีม่ สี นามแมเหล็กแนวการเคลือ่ นทีเ่ ปนแนวโคง
ง. อัตราสวนระหวางประจุตอมวลมีคามากที่สุด
ขอความใดเปนสมบัติของรังสีบีตา
1. ก และ ง 2. ก และ ค 3. ข และ ง 4. ค และ ง (ขอ 4)
2(En 39) ธาตุ A สลายเปนธาตุ B โดยปลอยรังสีบีตา ลบออกมาธาตุทั้งสองจะมีจํานวนใดเทากัน
1. นิวตรอน 2. โปรตอน
3. ผลรวมของนิวตรอนและโปรตอน 4. ผลตางของนิวตรอนและโปรตอน (ขอ 3)
สมการนิวเคลียร
238 U เมื่อสลายให
3(En 43/1) ในการสลายตัวตอ ๆ กันของธาตุกัมมันตรังสี โดยเริม่ จาก 92
อนุภาคทัง้ หมดเปน 2α , 2β– และ 2γ จะทําใหไดนวิ เคลียสใหมมจี าํ นวนโปรตอน
และจํานวนนิวตรอนเทาใด
1. จํานวนโปรตอน 88 จํานวนนิวตรอน 140
2. จํานวนโปรตอน 90 จํานวนนิวตรอน 140
3. จํานวนโปรตอน 88 จํานวนนิวตรอน 142
4. จํานวนโปรตอน 90 จํานวนนิวตรอน 142 (ขอ 2)
! $*!
•
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
5. จงหาจํานวนอนุภาคแอลฟา ( 42 He ) และอนุภาคบีตา ( 0-1 e ) จากอนุกรมการสลายตัวของ
238 U → 206 Pb
นิวเคลียสตอไปนี้ 92 (8α
α, 6β
β)
82
6. จงหาจํานวนอนุภาคแอลฟา ( 42 He ) และอนุภาคบีตา ( 0-1 e ) จากอนุกรมการสลายตัวของ
235 U → 207 Pb
นิวเคลียสตอไปนี้ 92 (7α
α, 4β
β)
82
การสลายตัวของนิวเคลียส
7. ธาตุกัมมันตรังสีชนิดหนึ่ง มีเวลาครึ่งชีวิต 5 วัน ถาเก็บธาตุนั้น จํานวน 64x1018 อะตอม
ไว 15 วัน จะเหลือธาตุนน้ั กีอ่ ะตอม ( 8x1018)
8. ทิ้งน้ํายาซึ่งเปนสารกัมมันตรังสีไวเปนเวลานาน วัดกัมมันตภาพได 4200 ครัง้ /วินาที
ถาน้ํายานี้เปนของใหม จะวัดกัมมันตรังสีได 16800 ครัง้ /วินาที ถาชวงครึ่งชีวิตของสาร
ในน้ํายานี้เปน 2 วัน จงหาวาทิ้งน้ํายาไวเปนเวลานานเทาใด (4 วัน)
9. สารกัมมันตรังสีจาํ นวนหนึง่ เมือ่ ทิง้ ไว 2 ชัว่ โมง ปรากฏวาสลายไป 16 15 เทาของของเดิม
จงหาคานิจของการสลายตัวของสารนี้ (1.386/ชัว่ โมง)
! $+!
6
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
13(En 35) คาคงที่ของการสลายตัวของธาตุธอเรียม–232 เทากับ 1.6x10–18 ตอวินาที ธาตุ
นัน้ จํานวน 464 กรัม จะสลายตัวกี่ลานอะตอมตอวินาที (1.92 ลานอะตอม/วินาที)
14(En 43/2) ในการทดลองทอดลูกเตาเพื่อเปรียบเทียบกับการสลายตัวของนิวเคลียสกัมมันตรังสี
นักเรียนคนหนึง่ ใชลกู เตา 6 หนา จํานวน 600 ลูก โดยแตมสีไวหนึ่งหนาทุกลูก และหยิบ
ลูกที่ขึ้นหนาสีออกทุกครั้งที่ทอด จงประมาณวาหลังจากการทอดลูกเตาครั้งที่ 3 เมือ่ หยิบ
ลูกที่ขึ้นหนาสีออกแลว นาจะเหลือลูกเตากี่ลูก
1. 250 ลูก 2. 300 ลูก 3. 350 ลูก 4. 400 ลูก (ขอ 4)
15(En 41) ในการทดลองอุปมาอุปไมยการทอดลูกเตากับการสลายของธาตุกมั มันตรังสี โดยการโยน
ลูกเตาแลวคัดหนาทีไ่ มแตมสีออกไป ถาลูกเตามี 6 หนา มีหนาทีแ่ ตมสี 2 หนา และมีจาํ นวน
90 ลูก จงหาวาถาทําการโยนลูกเตาทัง้ หมด 2 ครั้ง โดยสถิตจิ ะเหลือจํานวนลูกเตาเทาใด
1. 10 ลูก 2. 30 ลูก 3. 40 ลูก 4. 56 ลูก (ขอ 1)
16(En42/2) ในการทอดลูกเตา 6 หนาที่มีการแตมสี 1 หนาเหมือนกันทุกลูก จํานวน 180 ลูก
ถาทอดแลวทําการคัดลูกเตาที่มีหนาแตมสีหงายขึ้นออกไปถาทําการทอด 2 ครัง้ โดยเฉลีย่ จะ
คัดลูกเตาออกกี่ลูก
1. 60 ลูก 2. 55 ลูก 3. 30 ลูก 4. 25 ลูก (ขอ 2)
แรงนิวเคลียร และพลังงานยึดเหนี่ยว
17. ธาตุไอโซโทปของ 224 28
88 Ra จะมีรศั มีเปนกีเ่ ทาของธาตุไอโซโทปของ 11 Na
1. 2 เทา 2. 3 เทา 3. 4 เทา 4. 5 เทา (ขอ 1.)
18(En 34) จงหาเลขมวลของนิวเคลียสซึ่งมีรัศมีเปน 23 เทาของนิวเคลียส 27
13 Al
1. 8 2. 9 3. 16 4. 18 (ขอ 1)
19(มช 34) นิวเคลียส 10Ne20 มีมวลอะตอม 19.992434 จะมีพลังงานยึดเหนีย่ วตอนิวคลีออน
กี่ MeV กําหนดมวลนิวตรอน 1 ตัว = 1.008665 amu
มวลโปรตรอน 1 ตัว = 1.007825 amu
ก. 160.652 ข. 16.065 ค. 8.033 ง. 5.335 (ขอ ค.)
! $"!
อ
VI บทที่ 20 ฟสิกสนิวเคลียร
20(En 34) ธาตุตริเดียมซึง่ มีเลขอะตอมเปน 1 เลขมวลเปน 3 และมวลอะตอม 3.016049 u มี
คาพลังงานยึดเหนีย่ วตอนิวคลีออนเทากับเทาใดในหนวย MeV (ทศนิยม 2 ตําแหนง)
กําหนด มวลอะตอมของไฮโดรเจน = 1.007825 u
มวลของนิวตรอน = 1.008665 u
และ 1u = 930 MeV (2.82 MeV)
ปฏิกิริยานิวเคลียร
21. พิจารณาสมการนิวเคลียรดังนี้
14 N + 4 He → 17 1
7 2 8 O + 1H
ก. ปฏิกิริยานี้เขียนแบบยอไดอยางไร ข. ปฏิกิริยานี้มีชื่อเรียกวาอยางไร
22. จงเขียนสมการปฏิกิริยานิวเคลียรตอไปนี้
ก. 73 Li (α , n) 105 B ข. 94 Be (p , α ) 63 Li
23. ในปฎิกิริยา (n , γ) ของนิวเคลียส 47Ag109 นิวเคลียสที่เกิดใหมมีเลขมวลเทาใด ( 110 )
24(มช 36) พลังงานนิวเคลียรที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียรที่กําหนดใหนี้จะมีคากี่ MeV
X + a → Y + b ในที่นี้ ( 9.31 MeV)
X มีมวล 196.966600 u Y มีมวล 194.968008 u
a มีมวล 2.014012 u b มีมวล 4.002604 u
และ มวล 1.0 u = 931 MeV
4 He + 9 Be → 12 C + 1 n
!
25. จากปฏิกิริยานิวเคลียร 2 4 6 0
จงหาพลังงานและบอกดวยวาเปนปฏิกิริยาประเภทใด กําหนด B.E ของ 42 He , 94 Be ,
12 C คือ 28.3 MeV , 58.1 MeV และ 92.1 MeV ตามลําดับ (5.7 MeV)
6
! ! !
!!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!"!""
! $&!