You are on page 1of 82

จิตวิทยาการเรียนรู้

การเรียนรู้ เป็ นกระบวนการทีม ่ ีความสำาคัญและ


จำาเป็นในการดำารงชีวิต สิง ่ มีชีวิตไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์
เริม
่ เรียนรู้ตัง
้ แต่แรกเกิดจนตาย สำาหรับมนุษย์การ
เรียนรู้เป็ นสิง่ ทีช
่ ่วยพัฒนาใหูมนุษย์แตกต่างไปจาก
สัตว์โลก
อื่น ๆ ดังพระราชนิ พนธ์บทความของสมเด็จพระเทพ
รัตน์ราชสุดา ฯ ทีว ่ ่า "สิง
่ ทีท
่ ำาใหูคนเราแตกต่างจาก
สัตว์อ่ ืน ๆ ก็เพราะว่า คนย่อมมีปัญญา ทีจ ่ ะนึ กคิด
และปฏิบัติสิง ่ ดีมีประโยชน์และถ้กตูองไดู . " การ
เรียนรู้ช่วยใหูมนุษย์รู้จักวิธีดำาเนิ นชีวิตอย่างเป็ นสุข
ปรับตัวใหูเขูากับสภาพแวดลูอมและสภาพการต่างๆ
ไดู ความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์จะมี
อิทธิพลต่อความสำาเร็จและความพึงพอใจในชีวิตของ
มนุษย์ดูวย
ความหมายของการเรียนรู้
นักจิตวิทยาหลายท่านใหูความหมายของการ
เรียนรู้ไวู เช่น
คิมเบิล ( Kimble , 1964 ) "การเรียนรู้ เป็ นการ
เปลีย่ นแปลงค่อนขูางถาวรในพฤติกรรม อันเป็ นผลมา
จากการฝึกทีไ ่ ดูรับการเสริมแรง"
ฮิลการ์ด และ เบาเวอร์ (Hilgard & Bower, 1981)
"การเรียนรู้ เป็ นกระบวนการเปลีย ่ นแปลงพฤติกรรม
อันเป็ นผลมาจากประสบการณ์และการฝึก ทัง ้ นี้ ไม่
รวมถึงการเปลีย ่ นแปลงของพฤติกรรมทีเ่ กิดจากการ
ตอบสนองตามสัญชาตญาณ ฤทธิข ์ องยา หรือสารเคมี
หรือปฏิกริยาสะทูอนตามธรรมชาติของมนุษย์ "
คอนบาค ( Cronbach ) "การเรียนรู้ เป็ นการ
แสดงใหูเห็นถึงพฤติกรรมทีม ่ ีการเปลีย ่ นแปลง อันเป็ น
ผลเนื่ องมาจากประสบการณ์ทีแ ่ ต่ละบุคคลประสบมา "
พจนานุกรมของเวบสเตอร์ (Webster 's Third New
International Dictionary) "การเรียนรู้ คือ กระบวนการ
เพิม
่ พ้นและปรุงแต่งระบบความรู้ ทักษะ นิ สัย หรือ
การแสดงออกต่างๆ อันมีผลมาจากสิง ่ กระตูุนอินทรีย์
โดยผ่านประสบการณ์ การปฏิบัติ หรือการฝึกฝน"
ประดินันท์ อุปรมัย (๒๕๔๐, ชุดวิชาพื้นฐานการ
ศึกษา(มนุษย์กับการเรียนรู้) : นนทบุรี, พิมพ์ครัง ้ ที่ ๑๕,
หนูา ๑๒๑) “ การเรียนรู้คือการเปลีย ่ นแปลงของบุคคล
อันมีผลเนื่ องมาจากการไดูรับประสบการณ์ โดยการ
เปลีย ่ นแปลงนัน ้ เป็ นเหตุทำาใหูบุคคลเผชิญ
สถานการณ์เดิมแตกต่างไปจากเดิม “ ประสบการณ์
ทีก
่ ่อใหูเกิดการเปลีย ่ นแปลงพฤติกรรมหมายถึงทัง ้
ประสบการณ์ทางตรงและประสบการณ์ทางอูอม
ประสบการณ์ทางตรง คือ ประสบการณ์ทีบ ่ ุคคล
ไดูพบหรือสัมผัสดูวยตนเอง เช่น เด็กเล็กๆ ทีย ่ ังไม่
เคยรู้จักหรือเรียนรู้คำาว่า “รูอน” เวลาทีค ่ ลานเขูาไป
ใกลูกานำ้ารูอน แลูวผู้ใหญ่บอกว่ารูอน และหูามคลาน
เขูาไปหา เด็กย่อมไม่เขูาใจและคงคลานเขูาไปหาอย่้
อีก จนกว่าจะไดูใชูมือหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของ
ร่างกายไปสัมผัส
กานำ้ารูอน จึงจะรู้ว่ากานำ้ าทีว ่ ่ารูอนนัน
้ เป็ นอย่างไร ต่อ
ไป เมื่อเขาเห็นกานำ้ าอีกแลูวผู้ใหญ่บอกว่ากานำ้ านัน ้
รูอนเขาจะไม่คลานเขูาไปจับกานำ้ านัน ้ เพราะเกิดการ
เรียนรู้คำาว่ารูอนที่ผู้ใหญ่บอกแลูว เช่นนี้ กล่าวไดูว่า
ประสบการณ์
ตรงมีผลทำาใหูเกิดการเรียนรู้เพราะมีการเปลีย ่ นแปลง
ทีท่ ำาใหูเผชิญกับสถานการณ์เดิมแตกต่างไปจากเดิม
ในการมีประสบการณ์ตรงบางอย่างอาจทำาใหูบุคคลมี
การเปลีย ่ นแปลงพฤติกรรม แต่ไม่ถือว่าเป็ นการเรียนรู้
ไดูแก่
๑. พฤติกรรมทีเ่ ปลีย ่ นแปลงเนื่ องจากฤทธิย ์ า
หรือสิง ่ เสพติดบางอย่าง
๒. พฤติกรรมทีเ่ ปลีย ่ นแปลงเนื่ องจากความเจ็บ
ป่วยทางกายหรือทางใจ
๓. พฤติกรรมทีเ่ ปลีย ่ นแปลงเนื่ องจากความ
เหนื่ อยลูาของร่างกาย
๔. พฤติกรรมทีเ่ กิดจากปฏิกิริยาสะทูอนต่างๆ
ประสบการณ์ทางอูอม คือ ประสบการณ์ทีผ ่ ู้เรียน
มิไดูพบหรือสัมผัสดูวยตนเองโดยตรง แต่อาจไดูรับ
ประสบการณ์ทางอูอมจาก การอบรมสัง่ สอนหรือการ
บอกเล่า การอ่านหนังสือต่างๆ และการรับรู้จาก
สื่อมวลชนต่างๆ
จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้
พฤติกรรมการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายของนักการ
ศึกษาซึง ่ กำาหนดโดย บล้ม และคณะ (Bloom and
Others ) มุ่งพัฒนาผู้เรียนใน ๓ ดูาน ดังนี้
๑. ดูานพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) คือ ผลของ
การเรียนรู้ทีเ่ ป็ นความสามารถทางสมอง ครอบคลุม
พฤติกรรมประเภท ความจำา ความเขูาใจ การนำาไปใชู
การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และประเมินผล
๒. ดูานเจตพิสัย (Affective Domain ) คือ ผลของ
การเรียนรู้ทีเ่ ปลีย่ นแปลงดูานความรู้สึก ครอบคลุม
พฤติกรรมประเภท ความรู้สึก ความสนใจ ทัศนคติ
การประเมินค่าและค่านิ ยม
๓. ดูานทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) คือ ผล
ของการเรียนรู้ทีเ่ ป็ นความสามารถดูานการปฏิบัติ
ครอบคลุมพฤติกรรมประเภท การเคลื่อนไหว การกระ
ทำา การปฏิบัติงาน การมีทักษะและความชำานาญ

องค์ประกอบสำาคัญของการเรียนรู้
ดอลลาร์ด และมิลเลอร์ (Dallard and Miller) เสนอ
ว่าการเรียนรู้ มีองค์ประกอบสำาคัญ ๔ ประการ คือ
๑. แรงขับ (Drive) เป็ นความตูองการทีเ่ กิดขึ้น
ภายในตัวบุคคล เป็ นความพรูอมทีจ ่ ะเรียนรู้ของ
บุคคลทัง ้ สมอง ระบบประสาทสัมผัสและกลูามเนื้ อ
แรงขับและความพรูอมเหล่านี้ จะก่อใหูเกิดปฏิกิริยา
หรือพฤติกรรมทีจ ่ ะชักนำาไปส่้การเรียนรู้ต่อไป
๒. สิง่ เรูา (Stimulus) เป็ นสิง ่ แวดลูอมที่เกิดขึ้นใน
สถานการณ์ต่างๆ ซึง ่ เป็ นตัวการที่ทำาใหูบุคคลมี
ปฏิกิริยา หรือพฤติกรรมตอบสนองออกมา ในสภาพ
การเรียนการสอน สิง ่ เรูาจะหมายถึงคร้ กิจกรรมการ
สอน
และอุปกรณ์การสอนต่างๆ ทีค ่ ร้นำามาใชู
๓. การตอบสนอง (Response) เป็ นปฏิกิริยา หรือ
พฤติกรรมต่างๆ ทีแ ่ สดงออกมาเมื่อบุคคลไดูรับการก
ระตูุนจากสิง ่ เรูา ทัง้ ส่วนทีส ่ ังเกตเห็นไดูและส่วนทีไ ่ ม่
สามารถสังเกตเห็นไดู เช่น การเคลื่อนไหว ท่าทาง
คำาพ้ด การคิด การรับรู้ ความสนใจ และความรู้สึก
เป็นตูน
๔. การเสริมแรง (Reinforcement) เป็ นการใหูสิง
่ ทีม
่ ี
อิทธิพลต่อบุคคลอันมีผลในการเพิม ่ พลังใหูเกิดการ
เชื่อมโยง ระหว่างสิง
่ เรูากับการตอบสนองเพิม ่ ขึ้น การ
เสริมแรงมีทัง
้ ทางบวกและทางลบ ซึง ่ มีผลต่อการเรียน
รู้ของบุคคลเป็ นอันมาก

ธรรมชาติของการเรียนรู้
การเรียนรู้มีลักษณะสำาคัญดังต่อไปนี้
๑. การเรียนรู้เป็ นกระบวนการ การเกิดการเรียน
รู้ของบุคคลจะมีกระบวนการของการเรียนรู้จากการ
ไม่รู้ไปส่้การเรียนรู้ ๕ ขัน ้ ตอน คือ
๑.๑ มีสิง่ เรูามากระตูุนบุคคล
๑.๒ บุคคลสัมผัสสิง ่ เรูาดูวยประสาททัง้ ๕
๑.๓ บุคคลแปลความหมายหรือรับรู้สิง ่ เรูา
๑.๔ บุคคลมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างใดอย่าง
หนึ่งต่อสิง ่ เรูาตามทีร ่ ับรู้
๑.๕ บุคคลประเมินผลทีเ่ กิดจากการตอบสนอง
ต่อสิง ่ เรูา

Stimulus Sensation Perception


สิ่งเรูา การรับรู้
ประสาทรับ
เกิดการเรียน
Response
รู้ Concept
ปฏิกิรย
ิ าตอบ ความคิดรวบ
Learning
สนอง ยอด
การ
เปลี่ยนแปลง
การเรียนรู้เริม
่ เกิดขึ้นเมื่อมีสิง
่ เรูา (Stimulus) มากระตูุ
นบุคคล ระบบประสาทจะตื่นตัวเกิดการรับสัมผัส
(Sensation) ดูวยประสาทสัมผัสทัง ้ ๕ แลูวส่งกระแส
ประสาทไปยังสมองเพื่อแปลความหมายโดยอาศัย
ประสบการณ์เดิมเป็ นการรับรู้ (Perception)ใหม่ อาจ
สอดคลูองหรือแตกต่างไปจากประสบการณ์เดิม แลูว
สรุปผลของการรับรู้นัน้ เป็ นความเขูาใจหรือความคิด
รวบยอด (Concept) และมีปฏิกิรย ิ าตอบสนอง
(Response) อย่างใดอย่างหนึ่งต่อสิง
่ เรูา ตามทีร
่ ับรู้ซึง

ทำาใหูเกิดการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมแสดงว่า เกิด
การเรียนรู้แลูว

๒. การเรียนรู้ไม่ใช่วุฒิภาวะแต่การเรียนรู้อาศัยวุฒิ
ภาวะ
วุฒิภาวะ คือ ระดับความเจริญเติบโตส้งสุดของ

พัฒนาการดูานร่างกาย อารมยสังคม และสติปัญญา

ของบุคคลแต่ละวัยทีเ่ ป็ นไปตามธรรมชาติ แมูว่าการ

เรียนรู้จะไม่ใช่วุฒิภาวะแต่การเรียนรู้ตูองอาศัยวุฒิ

ภาวะดูวย เพราะการทีบ
่ ุคคลจะมีความสามารถใน

การรับรู้หรือตอบสนองต่อสิง
่ เรูามากหรือนูอยเพียงใด

ขึ้นอย่้กับว่าบุคคลนัน
้ มีวุฒิภาวะเพียงพอหรือไม่

๓. การเรียนรู้เกิดไดูง่าย ถูาสิง ่ ทีเ่ รียนเป็ นสิง


่ ทีม
่ ี
ความหมายต่อผู้เรียน
การเรียนสิง ่ ทีม
่ ีความหมายต่อผู้เรียน คือ การ
เรียนในสิง ่ ทีผ่ ู้เรียนตูองการจะเรียนหรือสนใจจะเรียน
เหมาะกับวัยและวุฒิภาวะของผู้เรียนและเกิด
ประโยชน์แก่ผู้เรียน การเรียนในสิง ่ ทีม ่ ีความหมายต่อ
ผู้เรียนย่อมทำาใหูผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ไดูดีกว่าการ
เรียนในสิง ่ ทีผ่ ู้เรียนไม่ตูองการหรือไม่สนใจ
๔. การเรียนรู้แตกต่างกันตามตัวบุคคลและวิธี
การในการเรียน
ในการเรียนรู้สิง ่ เดียวกัน บุคคลต่างกันอาจเรียนรู้
ไดูไม่เท่ากันเพราะบุคคลอาจมีความพรูอมต่างกัน มี
ความสามารถในการเรียนต่างกัน มีอารมณ์และความ
สนใจทีจ ่ ะเรียนต่างกันและมีความรู้เดิมหรือ
ประสบการณ์เดิมทีเ่ กีย ่ วขูองกับสิง
่ ทีจ
่ ะเรียนต่างกัน
ในการเรียนรู้สิง ่ เดียวกัน ถูาใชูวิธีเรียนต่างกัน
ผลของการเรียนรู้อาจมากนูอยต่างกันไดู และวิธีที่
ทำาใหูเกิดการเรียนรู้ไดูมากสำาหรับบุคคลหนึ่งอาจ
ไม่ใช่วิธีเรียนทีท
่ ำาใหูอีกบุคคลหนึ่งเกิดการเรียนรู้ไดู
มากเท่ากับบุคคลนัน ้ ก็ไดู

การถ่ายโยงการเรียนรู้
การถ่ายโยงการเรียนรู้เกิดขึ้นไดู ๒ ลักษณะ คือ
การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางบวก (Positive Transfer) และ
การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางลบ (Negative Transfer)
การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางบวก (Positive Transfer)
คือ การถ่ายโยงการเรียนรู้ชนิ ดทีผ ่ ลของการเรียนรู้งาน
หนึ่งช่วยใหูผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อีกงานหนึ่งไดูเร็วขึ้น
ง่ายขึ้น หรือดีข้ึน การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางบวก มัก
เกิดจาก
๑. เมื่องานหนึ่ง มีความคลูายคลึงกับอีกงานหนึ่ง
และผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
งานแรกอย่างแจ่มแจูงแลูว
๒. เมื่อผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างงาน
หนึ่งกับอีกงานหนึ่ง
๓. เมื่อผู้เรียนมีความตัง ้ ใจทีจ
่ ะนำาผลการเรียนรู้
จากงานหนึ่งไปใชูใหูเป็ นประโยชน์กับการเรียนรู้อีก
งานหนึ่ง และสามารถจำาวิธีเรียนหรือผลของการเรียน
รู้งานแรกไดูอย่างแม่นยำา
๔. เมื่อผู้เรียนเป็ นผู้ทีม
่ ีความคิดริเริม
่ สรูางสรรค์
โดยชอบทีจ ่ ะนำาความรู้ต่างๆ ทีเ่ คยเรียนรู้มาก่อนมา
ลองคิดทดลองจนเกิดความรู้ใหม่ๆ

การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางลบ (Negative Transfer) คือ


การถ่ายโยงการเรียนรู้ชนิ ดที่ผลการเรียนรู้งานหนึ่งไป
ขัดขวางทำาใหูผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อีกงานหนึ่ งไดูชูา
ลง หรือยากขึ้นและไม่ไดูดีเท่าทีค่ วร การถ่ายโยงการ
เรียนรู้ทางลบ อาจเกิดขึ้นไดู ๒ แบบ คือ
๑. แบบตามรบกวน (Proactive Inhibition) ผลของ
การเรียนรู้งานแรกไปขัดขวางการเรียนรู้งานที่ ๒
๒. แบบยูอนรบกวน (Retroactive Inhibition) ผล
การเรียนรู้งานที่ ๒ ทำาใหูการเรียนรู้งานแรกนูอยลง
การเกิดการเรียนรู้ทางลบมักเกิดจาก
- เมื่องาน ๒ อย่างคลูายกันมาก แต่ผู้เรียนยังไม่
เกิดการเรียนรู้งานใดงานหนึ่งอย่างแทูจริงก่อนทีจ ่ ะ
เรียนอีกงานหนึ่ง ทำาใหูการเรียนงาน ๒ อย่างในเวลา
ใกลูเคียงกันเกิดความสับสน
- เมื่อผู้เรียนตูองเรียนรู้งานหลายๆ อย่างในเวลา
ติดต่อกัน ผลของการเรียนรู้งานหนึ่งอาจไปทำาใหูผู้
เรียนเกิดความสับสนในการเรียนรู้อีกงานหนึ่ งไดู

การนำาความรู้ไปใชู
๑. ก่อนทีจ ่ ะใหูผู้เรียนเกิดความรู้ใหม่ ตูองแน่ใจ
ว่า ผู้เรียนมีความรู้พ้ ืนฐานทีเ่ กีย
่ วขูองกับความรู้ใหม่มา
แลูว
๒. พยายามสอนหรือบอกใหูผู้เรียนเขูาใจถึงจุดมุ่ง
หมายของการเรียนทีก ่ ่อใหูเกิดประโยชน์แก่ตนเอง
๓. ไม่ลงโทษผู้ทีเ่ รียนเร็วหรือชูากว่าคนอื่นๆ และ
ไม่มุ่งหวังว่าผู้เรียนทุกคนจะตูองเกิดการเรียนรู้ทีเ่ ท่า
กันในเวลาเท่ากัน
๔. ถูาสอนบทเรียนทีค ่ ลูายกัน ตูองแน่ใจว่าผู้
เรียนเขูาใจบทเรียนแรกไดูดีแลูวจึงจะสอนบทเรียนต่อ
ไป
๕. พยายามชี้แนะใหูผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์
ของบทเรียนทีม ่ ีความสัมพันธ์กัน
ลักษณะสำาคัญ ทีแ
่ สดงใหูเห็นว่ามีการเรียนรู้เกิด
ขึ้น จะตูองประกอบดูวยปั จจัย ๓ ประการ คือ
๑. มีการเปลีย
่ นแปลงพฤติกรรมทีค
่ ่อนขูางคงทน
ถาวร
๒. การเปลีย
่ นแปลงพฤติกรรมนัน
้ จะตูองเป็ นผลมา
จากประสบการณ์ หรือการฝึก การปฏิบัติซ้ ำาๆ เท่านัน

๓. การเปลีย
่ นแปลงพฤติกรรมดังกล่าวจะมีการ
เพิม
่ พ้นในดูานความรู้ ความเขูาใจ ความรู้สึกและ
ความสามารถทางทักษะทัง ้ ปริมาณและคุณภาพ

ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theory of Learning)


ทฤษฎีการเรียนรู้มีอิทธิพลต่อการจัดการเรียนการ
สอนมาก เพราะจะเป็ นแนวทางในการกำาหนดปรัชญา
การศึกษาและการจัดประสบการณ์ เนื่ องจากทฤษฎี
การเรียนรู้เป็ นสิง
่ ทีอ
่ ธิบายถึงกระบวนการ วิธีการ
และเงื่อนไขทีจ ่ ะทำาใหูเกิดการเรียนรู้และตรวจสอบว่า
พฤติกรรมของมนุษย์ มีการเปลีย ่ นแปลงไดูอย่างไร

ทฤษฎีการเรียนรู้ทีส
่ ำาคัญ แบ่งออกไดู ๒ กล่ม ุ ใหญ่ๆ
คือ
๑. ทฤษฎีกลุ่มสัมพันธ์ต่อเนื่ อง (Associative
Theories)
๒. ทฤษฎีกลุ่มความรู้ความเขูาใจ (Cognitive
Theories)
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มสัมพันธ์ต่อเนื่ อง
ทฤษฎีน้ี เห็นว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยง
ระหว่างสิง ่ เรูา (Stimulus) และการตอบสนอง (Response)
ปั จจุบันเรียกนักทฤษฎีกลุ่มนี้ ว่า "พฤติกรรมนิ ยม"
(Behaviorism) ซึง ่ เนูนเกีย
่ วกับกระบวนการเปลีย่ นแปลง
พฤติกรรมทีม ่ องเห็น และสังเกตไดูมากกว่า
กระบวนการคิด และปฏิกิริยาภายในของผู้เรียน
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มนี้ แบ่งเป็ นกลุ่มย่อยไดู ดังนี้
๑. ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning Theories)
๑.๑ ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
(Classical Conditioning Theories)
๑.๒ ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำา
(Operant Conditioning Theory)
๒. ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยง (Connectionism
Theories)
๒.๑ ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยง (Connectionism
Theory)
๒.๒ ทฤษฎีสัมพันธ์ต่อเนื่ อง (S-R Contiguity
Theory)

ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค

อธิบายถึงการเรียนรู้ทีเ่ กิดจากการเชื่อมโยง
ระหว่างสิง่ เรูาตามธรรมชาติ และสิง ่ เรูาทีว
่ างเงื่อนไข
กับการ ตอบสนอง พฤติกรรมหรือการตอบสนองที่
เกีย
่ วขูองมักจะเป็ นพฤติกรรมทีเ่ ป็ นปฏิกิริยาสะทูอน
(Reflex) หรือ พฤติกรรมทีเ่ กีย่ วขูองอารมณ์ ความรู้สึก
บุคคลสำาคัญของทฤษฎีน้ี ไดูแก่ Pavlov, Watson,
Wolpe etc.

Ivan P. Pavlov
นักสรีรวิทยาชาวรัสเซีย (1849 - 1936) ไดูทำาการ
ทดลองเพื่อศึกษาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมโยง
ระหว่างการตอบสนองต่อสิ่งเรูาตามธรรมชาติทีไ ่ ม่ไดู
วางเงื่อนไข (Unconditioned Stimulus = UCS) และสิง ่ เรูา
ทีเ่ ป็นกลาง (Neutral Stimulus) จนเกิดการเปลีย ่ นแปลง
สิง
่ เรูาที่เป็ นกลางใหูกลายเป็ นสิง ่ เรูาทีว
่ างเงื่อนไข
(Conditioned Stimulus = CS) และการตอบสนองทีไ ่ ม่มี
เงื่อนไข (Unconditioned Response = UCR) เป็ นการ
ตอบสนองทีม ่ ีเงื่อนไข (Conditioned Response = CR)
ลำาดับขัน้ ตอนการเรียนรู้ทีเ่ กิดขึ้นดังนี้

๑. ก่อนการวางเงื่อนไข
UCS (อาหาร) UCR
(นำ้าลายไหล)

สิง
่ เรูาที่เป็ นกลาง (เสียงกระดิง
่ )
นำ้าลายไม่ไหล

๒. ขณะวางเงื่อนไข
CS (เสียงกระดิง
่ ) + UCS (อาหาร) UCR
(นำ้าลายไหล)
๓. หลังการวางเงื่อนไข
CS (เสียงกระดิง
่ ) CR (นำ้าลาย
ไหล)

หลักการเกิดการเรียนรู้ทีเ่ กิดขึ้น คือ การตอบสนองที่


เกิดจากการวางเงื่อนไข
(CR) เกิดจากการนำาเอาสิง ่ เรูาทีว
่ างเงื่อนไข (CS) มา
เขูาค่้กับสิง่ เรูาทีไ
่ ม่ไดูวาง
เงื่อนไข (UCS) ซำ้ากันหลายๆ ครัง ้ ต่อมาเพียงแต่ใหู
สิง
่ เรูาทีว
่ างเงื่อนไข (CS)
เพียงอย่างเดียวก็มีผลทำาใหูเกิดการตอบสนองในแบบ
เดียวกัน

ผลจากการทดลอง Pavlov สรุปหลักเกณฑ์ของการ


เรียนรู้ไดู ๔ ประการ คือ
๑. การดับส้ญหรือการลดภาวะ (Extinction) เมื่อใหู
CR นานๆ โดยไม่ใหู
UCS เลย การตอบสนองทีม ่ ีเงื่อนไข (CR) จะ
ค่อยๆ ลดลงและหมดไป
๒. การฟื้ นกลับหรือการคืนสภาพ ( Spontaneous
Recovery ) เมื่อเกิด
การดับส้ญของการตอบสนอง (Extinction) แลูว
เวูนระยะการวางเงื่อนไขไปสักระยะหนึ่ง เมื่อใหู CS จะ
เกิด CR โดยอัตโนมัติ
๓. การแผ่ขยาย หรือ การสรุปความ
(Generalization) หลังจากเกิดการ
ตอบสนองทีม ่ ีเงื่อนไข ( CR ) แลูว เมื่อใหูสิง
่ เรูา
ทีว
่ างเงื่อนไข (CS) ที่
คลูายคลึงกัน จะเกิดการตอบสนองแบบ
เดียวกัน
๔. การจำาแนกความแตกต่าง (Discrimination)
เมื่อใหูสิง
่ เรูาใหม่ที่
แตกต่างจากสิง
่ เรูาทีว่ างเงื่อนไข จะมีการ
จำาแนกความแตกต่างของสิง ่ เรูา

และมีการตอบสนองทีแ
่ ตกต่างกันดูวย

John B. Watson

นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน (1878 - 1958) ไดูทำาการ


ทดลองการวางเงื่อนไขทางอารมณ์กับเด็กชายอายุ
ประมาณ ๑๑ เดือน โดยใชูหลักการเดียวกับ Pavlov
หลังการทดลองเขาสรุปหลักเกณฑ์การเรียนรู้ไดู ดังนี้
๑. การแผ่ขยายพฤติกรรม (Generalization) มีการ
แผ่ขยายการตอบสนองทีว ่ างเงื่อนไขต่อสิง ่ เรูา ที่
คลูายคลึงกับสิง ่ เรูาทีว
่ างเงื่อนไข
๒. การลดภาวะ หรือการดับส้ญการตอบสนอง
(Extinction) ทำาไดูยากตูองใหูสิง ่ เรูาใหม่ (UCS ) ทีม่ ีผล
ตรงขูามกับสิง ่ เรูาเดิม จึงจะไดูผลซึง ่ เรียกว่า Counter -
Conditioning
Joseph Wolpe

นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน (1958) ไดูนำาหลักการ


Counter - Conditioning ของ Watson ไปทดลองใชู
บำาบัดความกลัว (Phobia) ร่วมกับการใชูเทคนิ คผ่อน
คลายกลูามเนื้ อ (Muscle Relaxation) เรียกวิธีการนี้ ว่า
Desensitization

การนำาหลักการมาประยุกต์ใชูในการสอน
๑. คร้สามารถนำาหลักการเรียนรู้ของทฤษฎีน้ี มา
ทำาความเขูาใจพฤติกรรมของผู้เรียนทีแ ่ สดงออกถึง
อารมณ์ ความรู้สึกทัง ้ ดูานดีและไม่ดี รวมทัง ้ เจตคติ
ต่อสิง่ แวดลูอมต่างๆ เช่น วิชาทีเ่ รียน กิจกรรม หรือ
คร้ผู้สอน เพราะเขาอาจไดูรับการวางเงื่อนไขอย่างใด
อย่างหนึ่งอย่้ก็เป็ นไดู
๒. คร้ควรใชูหลักการเรียนรู้จากทฤษฎีปล้กฝั ง
ความรู้สึกและเจตคติทีด ่ ีต่อเนื้ อหาวิชา กิจกรรม
นักเรียน คร้ผู้สอนและสิง ่ แวดลูอมอื่นๆ ทีเ่ กีย่ วขูองใหู
เกิดในตัวผู้เรียน
๓. คร้สามารถปู องกันความรู้สึกลูมเหลว ผิดหวัง
และวิตกกังวลของผู้เรียนไดูโดยการส่งเสริมใหูกำาลัง
ใจในการเรียนและการทำากิจกรรม ไม่คาดหวังผลเลิศ
จากผู้เรียน และหลีกเลีย ่ งการใชูอารมณ์หรือลงโทษผู้
เรียนอย่างรุนแรงจนเกิดการวางเงื่อนไขขึ้น กรณี ทีผ ่ ู้
เรียนเกิดความเครียด และวิตกกังวลมาก คร้ควรเปิด
โอกาสใหูผู้เรียนไดูผ่อนคลายความรู้สึกไดูบูางตาม
ขอบเขตทีเ่ หมาะสม

ทฤษฎีการวางเขื่อนไขแบบการกระทำาของสกินเนอร์
(Skinner's Operant Conditioning Theory)
B.F. Skinner (1904 - 1990) นักจิตวิทยาชาว
อเมริกัน ไดูทำาการทดลองดูานจิตวิทยาการศึกษา
และวิเคราะห์สถานการณ์การเรียนรู้ทีม ่ ีการตอบสนอง
แบบแสดงการกระทำา (Operant Behavior) สกินเนอร์ไดู
แบ่ง พฤติกรรมของสิง ่ มีชีวิตไวู ๒ แบบ คือ
๑. Respondent Behavior พฤติกรรมหรือการตอบ
สนองทีเ่ กิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือเป็ นปฏิกิริยา
สะทูอน (Reflex) ซึง ่ สิง
่ มีชีวิตไม่สามารถควบคุมตัวเอง
ไดู เช่น การกระพริบตา นำ้าลายไหล หรือการเกิด
อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ
๒. Operant Behavior พฤติกรรมทีเ่ กิดจากสิง ่ มี
ชีวิตเป็ นผู้กำาหนด หรือเลือกทีจ ่ ะแสดงออกมา ส่วน
ใหญ่จะเป็ นพฤติกรรมทีบ ่ ุคคลแสดงออกในชีวิตประจำา
วัน เช่น กิน นอน พ้ด เดิน ทำางาน ขับรถ ฯลฯ.
การเรียนรู้ตามแนวคิดของสกินเนอร์ เกิดจาก
การเชื่อมโยงระหว่างสิง ่ เรูากับการตอบสนองเช่น
เดียวกัน แต่สกินเนอร์ใหูความสำาคัญต่อการตอบ
สนองมากกว่าสิง ่ เรูา จึงมีคนเรียกว่าเป็ นทฤษฎีการ
วางเงื่อนไขแบบ Type R นอกจากนี้ สกินเนอร์ใหูความ
สำาคัญต่อการเสริมแรง (Reinforcement) ว่ามีผลทำาใหู
เกิดการเรียนรู้ทีค ่ งทนถาวร ยิง ่ ขึ้นดูวย สกินเนอร์ไดู
สรุปไวูว่า อัตราการเกิดพฤติกรรมหรือการตอบสนอง
ขึ้นอย่้กับผลของการกระทำา คือ การเสริมแรง หรือ
การลงโทษ ทัง ้ ทางบวกและทางลบพฤติกรรม

การเสริม
การลงโทษแรง

ทางบวก ทางลบ ทาง


บวก ทางลบ

ความถีข่ องพฤติกรรมเพิม
่ ขึ้น
ความถีข
่ องพฤติกรรมลดลง
การนำาหลักการมาประยุกต์ใช้
๑. การเสริมแรง และ การลงโทษ
๒. การปรับพฤติกรรม และ การแต่งพฤติกรรม
๓. การสรูางบทเรียนสำาเร็จร้ป
การเสริมแรงและการลงโทษ
การเสริมแรง (Reinforcement) คือการทำาใหูอัตรา
การตอบสนองหรือความถีข ่ องการแสดงพฤติกรรม
เพิม ่ ขึ้นอันเป็ นผลจากการไดูรับสิง ่ เสริมแรง (Reinforce)
ทีเ่ หมาะสม การเสริมแรงมี ๒ ทาง ไดูแก่
๑. การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement )
เป็นการใหูสิง ่ เสริมแรงทีบ ่ ุคคลพึงพอใจ มีผลทำาใหู
บุคคลแสดงพฤติกรรมถีข ่ ้ ึน
๒. การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement)
เป็นการนำาเอาสิง ่ ทีบ ่ ุคคลไม่พึงพอใจออกไป มีผล
ทำาใหูบุคคลแสดงพฤติกรรมถีข ่ ้ ึน
การลงโทษ (Punishment) คือ การทำาใหูอัตรา
การตอบสนองหรือความถีข ่ องการแสดงพฤติกรรมลด
ลง การลงโทษมี ๒ ทาง ไดูแก่
๑. การลงโทษทางบวก (Positive Punishment)
เป็นการใหูสิง ่ เรูาทีบ ่ ุคคลทีไ ่ ม่พึงพอใจ มีผลทำาใหู
บุคคลแสดงพฤติกรรมลดลง
๒. การลงโทษทางลบ (Negative Punishment)
เป็นการนำาสิง ่ เรูาทีบ ่ ุคคลพึงพอใจ หรือสิง ่ เสริมแรง
ออกไป มีผลทำาใหูบุคคลแสดงพฤติกรรมลดลง
ตารางการเสริมแรง (The Schedule of Reinforcement)
๑. การเสริมแรงอย่างต่อเนื่ อง (Continuous
Reinforcement) เป็ นการใหูสิง ่ เสริมแรงทุกครัง ้ ทีบ
่ ุคคล
แสดงพฤติกรรมตามตูองการ
๒. การเสริมแรงเป็ นครัง ้ คราว (Intermittent
Reinforcement) ซึง ่ มีการกำาหนดตารางไดูหลายแบบ
ดังนี้
๒.๑ กำาหนดการเสริมแรงตามเวลา (Iinterval
schedule)
๒.๑.๑ กำาหนดเวลาแน่นอน (Fixed Interval
Schedules = FI)

๒.๑.๒ กำาหนดเวลาไม่แน่นอน (Variable Interval


Schedules = VI )

๒.๒ กำาหนดการเสริมแรงโดยใชูอัตรา (Ratio


schedule) ๒.๒.๑ กำาหนดอัตรา
แน่นอน (Fixed Ratio Schedules = FR)
๒.๒.๒ กำาหนดอัตราไม่แน่นอน (Variable Ratio
Schedules = VR

การปรับพฤติกรรมและการแต่งพฤติกรรม
การปรับพฤติกรรม (Behavior Modification)
เป็นการปรับเปลีย่ นพฤติกรรมทีไ
่ ม่พึงประสงค์ มาเป็ น
พฤติกรรมทีพ่ ึงประสงค์ โดยใชูหลักการเสริมแรงและ
การลงโทษ
การแต่งพฤติกรรม (Shaping Behavior )
เป็นการเสริมสรูางใหูเกิดพฤติกรรมใหม่ โดยใชูวิธี
การเสริมแรงกระตูุนใหูเกิดพฤติกรรมทีละเล็กทีละ
นูอย จนกระทัง่ เกิดพฤติกรรมตามตูองการ
บทเรียนสำาเร็จร้ป (Programmed Instruction)
เป็ นบทเรียนโปรแกรมทีน ่ ักการศึกษา หรือคร้ผู้
สอนสรูางขึ้น ประกอบดูวย เนื้ อหา กิจกรรม คำาถาม
และ คำาเฉลย การสรูางบทเรียนโปรแกรมใชูหลัก
ของ Skinner คือเมื่อผู้เรียนศึกษาเนื้ อหาและทำา
กิจกรรม จบ ๑ บท จะมีคำาถามยัว ่ ยุใหูทดสอบความรู้
ความสามารถ แลูวมีคำาเฉลยเป็ นแรงเสริมใหูอยาก
เรียนบทต่อๆ ไปอีก
ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike's
Connectionism Theory)
Edward L. Thorndike (1874 - 1949) นักจิตวิทยา
การศึกษาชาวอเมริกัน ผู้ไดูช่ ือว่าเป็ น"บิดาแห่ง
จิตวิทยาการศึกษา" เขาเชื่อว่า "คนเราจะเลือกทำาใน
สิง
่ ก่อใหูเกิดความพึงพอใจและจะหลีกเลีย ่ งสิง
่ ทีท
่ ำาใหู
ไม่พึงพอใจ" จากการทดลองกับแมวเขาสรุปหลักการ
เรียนรู้ไดูว่า เมื่อเผชิญกับปั ญหาสิง่ มีชีวิตจะเกิดการ
เรียนรู้ในการแกูปัญหาแบบลองผิดลองถ้ก (Trial and
Error) นอกจากนี้ เขายังใหูความสำาคัญกับการเสริม
แรงว่าเป็ นสิง ่ กระตูุนใหูเกิดการเรียนรู้ไดูเร็วขึ้น
กฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์
๑. กฎแห่งผล (Law of Effect) มีใจความสำาคัญคือ
ผลแห่งปฏิกิริยาตอบสนองใดทีเ่ ป็ นทีน ่ ่ าพอใจ
อินทรีย์ย่อมกระทำาปฏิกิริยานัน ้ ซำ้าอีกและผลของ
ปฏิกิริยาใดไม่เป็ นทีพ
่ อใจบุคคลจะหลีกเลีย ่ งไม่ทำา
ปฏิกิริยานัน
้ ซำ้าอีก
๒. กฎแห่งความพรูอม (Law of Readiness) มี
ใจความสำาคัญ ๓ ประเด็น คือ
๒.๑ ถูาอินทรีย์พรูอมทีจ ่ ะเรียนรู้แลูวไดูเรียน
อินทรีย์จะเกิดความพอใจ
๒.๒ ถูาอินทรีย์พรูอมทีจ ่ ะเรียนรู้แลูวไม่ไดู
เรียน จะเกิดความรำาคาญใจ
๒.๓ ถูาอินทรีย์ไม่พรูอมทีจ ่ ะเรียนรู้แลูวถ้ก
บังคับใหูเรียน จะเกิดความรำาคาญใจ
๓. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) มีใจความ
สำาคัญคือ พฤติกรรมใดทีไ ่ ดูมีโอกาสกระทำาซำ้าบ่อยๆ
และมีการปรับปรุงอย่้เสมอ ย่อมก่อใหูเกิดความ
คล่องแคล่วชำานิ ชำานาญ สิง ่ ใดทีท ่ อดทิ้งไปนานย่อม
กระทำาไดูไม่ดีเหมือนเดิมหรืออาจทำาใหูลืมไดู

การนำาหลักการมาประยุกต์ใช้
๑. การสอนในชัน ้ เรียนคร้ควรกำาหนด
วัตถุประสงค์ใหูชัดเจน จัดแบ่งเนื้ อหาเป็ นลำาดับเรียง
จากง่ายไปยาก เพื่อกระตูุนใหูผู้เรียนสนใจติดตามบท
เรียนอย่างต่อเนื่ อง เนื้ อหาทีเ่ รียนควรมีประโยชน์ต่อ
ชีวิตประจำาวันของผู้เรียน

๒. ก่อนเริม
่ สอนผู้เรียนควรมีความพรูอมทีจ
่ ะ
เรียน ผู้เรียนตูองมีวุฒิภาวะเพียงพอและไม่ตกอย่้ใน
สภาวะบางอย่าง เช่น ป่ วย เหนื่ อย ง่วง หรือ หิว จะ
ทำาใหูการเรียนมีประสิทธิภาพ
๓. คร้ควรจัดใหูผู้เรียนมีโอกาสฝึกฝนและ
ทบทวนสิง ่ ที่เรียนไปแลูว แต่ไม่ควรใหูทำาซำ้าซากจน
เกิดความเมื่อยลูาและเบื่อหน่าย
๔. คร้ควรใหูผู้เรียนไดูมีโอกาสพึงพอใจและรู้สึก
ประสบผลสำาเร็จในการทำากิจกรรม โดยคร้ตูองแจูง
ผลการทำากิจกรรมใหูทราบ หากผู้เรียนทำาไดูดีควร
ชมเชยหรือใหูรางวัล หากมีขูอบกพร่องตูองชี้แจงเพื่อ
การปรับปรุงแกูไข

ทฤษฎีสัมพันธ์ต่อเนื่ องของกัทรี (Guthrie's Contiguity


Theory)
Edwin R. Guthrie นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เป็ นผู้
กล่าวยำ้าถึงความสำาคัญของความใกลูชิดต่อเนื่ อง
ระหว่างสิง่ เรูากับการตอบสนอง ถูามีการเชื่อมโยง
อย่างใกลูชิดและแนบแน่นเพียงครัง ้ เดียวก็สามารถ
เกิดการเรียนรู้ไดู (One Trial Learning ) เช่น
ประสบการณ์ชีวิตทีว ่ ิกฤตหรือรุนแรงบางอย่าง ไดูแก่
การประสบอุบัติเหตุทีร ่ ุนแรง การส้ญเสียบุคคลอันเป็ น
ทีร
่ ัก ฯลฯ

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มความรู้ความเขูาใจ
ทฤษฎีการเรียนรู้ทีม ่ องเห็นความสำาคัญของ
กระบวนการคิดซึง ่ เกิดขึ้นภายในตัวบุคคลในระหว่าง
การเรียนรู้มากกว่าสิง ่ เรูาและการตอบสนอง นัก
ทฤษฎีกลุ่มนี้ เชื่อว่า พฤติกรรมหรือการตอบสนองใดๆ
ทีบ
่ ุคคลแสดงออกมานัน ้ ตูองผ่านกระบวนการคิดที่
เกิดขึ้นระหว่างทีม ่ ีสิง
่ เรูาและการตอบสนอง ซึง ่ หมาย
ถึงการหยัง่ เห็น (Insight) คือความรู้ความเขูาใจในการ
แกูปัญหา โดยการจัดระบบการรับรู้แลูวเชื่อมโยงกับ
ประสบการณ์เดิม
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มนี้ ยังแบ่งย่อยไดูอีกดังนี้
๑. ทฤษฎีกลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt's Theory)
๒. ทฤษฎีสนามของเลวิน ( Lewin's Field Theory)
ทฤษฎีกลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt's Theory)
นักจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt Psychology) ชาว
เยอรมัน ประกอบดูวย Max Wertheimer, Wolfgang
Kohler และ Kurt Koftka ซึง ่ มีความสนใจเกีย ่ วกับการ
รับรู้ (Perception ) การเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์
เก่าและใหม่ นำาไปส่้กระบวนการคิดเพื่อการแกูปัญหา
(Insight)
องค์ประกอบของการเรียนรู้ มี ๒ ส่วน คือ
๑. การรับรู้ (Perception) เป็ นกระบวนการแปล
ความหมายของสิง ่ เรูาทีม
่ ากระทบประสาทสัมผัส ซึง ่
จะเนูนความสำาคัญของการรับรู้เป็ นส่วนรวมทีส ่ มบ้รณ์
มากกว่าการรับรู้ส่วนย่อยทีละส่วน
๒. การหยัง่ เห็น (Insight) เป็ นการรู้แจูง เกิดความ
คิดความเขูาใจแวบเขูามาทันทีทันใดขณะทีบ ่ ุคคล
กำาลังเผชิญปั ญหาและจัดระบบการรับรู้ ซึง ่ เดวิส
(Davis, 1965) ใชูคำาว่า Aha ' experience
หลักของการหยัง่ เห็นสรุปไดูดังนี้
๒.๑ การหยัง่ เห็นขึ้นอย่้กับสภาพปั ญหา การ
หยัง่ เห็นจะเกิดขึ้นไดูง่ายถูามีการรับรู้องค์ประกอบของ
ปั ญหาทีส ่ ัมพันธ์กัน บุคคลสามารถสรูางภาพในใจ
เกีย
่ วกับขัน ้ ตอนเหตุการณ์ หรือสภาพการณ์ที่
เกีย่ วขูองเพื่อพยายามหาคำาตอบ
๒.๒ คำาตอบทีเ่ กิดขึ้นในใจถือว่าเป็ นการหยัง่
เห็น ถูาสามารถแกูปัญหาไดูบุคคลจะนำามาใชูใน
โอกาสต่อไปอีก
๒.๓ คำาตอบหรือการหยัง่ เห็นทีเ่ กิดขึ้น
สามารถนำาไปประยุกต์ ใชูในสถานการณ์ใหม่ไดู

ทฤษฎีสนามของเลวิน (Lewin's Field Theory)


Kurt Lewin นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน (1890 -
1947) มีแนวคิดเกีย
่ วกับการเรียนรู้เช่นเดียวกับกลุ่ม
เกสตัลท์ ทีว
่ ่าการเรียนรู้ เกิดขึ้นจากการจัด
กระบวนการรับรู้ และกระบวนการคิดเพื่อการแกูไข
ปั ญหาแต่เขาไดูนำาเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์มา
ร่วมอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ เขาเชื่อว่าพฤติกรรม
มนุษย์แสดงออกมาอย่างมีพลังและทิศทาง (Field of
Force) สิง ่ ทีอ่ ย่้ในความสนใจและตูองการจะมีพลังเป็ น
บวก ซึง ่ เขาเรียกว่า Life space สิง ่ ใดทีอ
่ ย่้นอกเหนื อ
ความสนใจจะมีพลังเป็ นลบ
Lewin กำาหนดว่า สิง ่ แวดลูอมรอบตัวมนุษย์
จะมี ๒ ชนิ ด คือ
๑. สิง ่ แวดลูอมทางกายภาพ (Physical
environment)
๒. สิง ่ แวดลูอมทางจิตวิทยา (Psychological
environment) เป็ นโลกแห่งการรับรู้ตามประสบการณ์
ของแต่ละบุคคลซึง ่ อาจจะเหมือนหรือแตกต่างกับ
สภาพทีส ่ ังเกตเห็นโลก หมายถึง Life space นัน ่ เอง
Life space ของบุคคลเป็ นสิง ่ เฉพาะตัว ความสำาคัญ
ทีม
่ ีต่อการจัดการเรียนการสอน คือ คร้ตูองหาวิธี
ทำาใหูตัวคร้เขูาไปอย่้ใน Life space ของผู้เรียนใหูไดู
การนำาหลักการทฤษฎีกลุ่มความรู้ ความเขูาใจ ไป
ประยุกต์ใชู
๑. คร้ควรสรูางบรรยากาศการเรียนที่เป็ นกันเอง
และมีอิสระทีจ ่ ะใหูผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างเต็ม
ทีท่ ัง
้ ทีถ
่ ้กและผิด เพื่อใหูผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์
ของขูอม้ล และเกิดการหยัง่ เห็น
๒. เปิดโอกาสใหูมีการอภิปรายในชัน ้ เรียน โดย
ใชูแนวทางต่อไปนี้
๒.๑ เนูนความแตกต่าง
๒.๒ กระตูุนใหูมีการเดาและหาเหตุผล
๒.๓ กระตูุนใหูทุกคนมีส่วนร่วม
๒.๔ กระตูุนใหูใชูความคิดอย่างรอบคอบ
๒.๕ กำาหนดขอบเขตไม่ใหูอภิปรายออกนอก
ประเด็น
๓. การกำาหนดบทเรียนควรมีโครงสรูางทีม ่ ีระบบ
เป็นขัน ้ ตอน เนื้ อหามีความสอดคลูองต่อเนื่ องกัน
๔. คำานึ งถึงเจตคติและความรู้สึกของผู้เรียน
พยายามจัดกิจกรรมทีก ่ ระตูุนความสนใจของผู้เรียนมี
เนื้ อหาทีเ่ ป็ นประโยชน์ ผู้เรียนนำาไปใชูประโยชน์ไดู
และควรจัดโอกาสใหูผู้เรียนรู้สึกประสบความสำาเร็จ
ดูวย
๕. บุคลิกภาพของคร้และความสามารถในการ
ถ่ายทอด จะเป็ นสิง
่ จ้งใจใหูผู้เรียนมีความศรัทธาและ
คร้จะสามารถเขูาไปอย่้ใน Life space ของผู้เรียนไดู

ทฤษฎีปัญญาสังคม (Social Learning Theory)


Albert Bandura (1962 - 1986) นักจิตวิทยาชาว
อเมริกัน เป็ นผู้พัฒนาทฤษฎีน้ี ข้ึนจากการศึกษาคูนควูา
ของตนเอง เดิมใชูช่ ือว่า "ทฤษฎีการเรียนรู้ทาง
สังคม" (Social Learning Theory) ต่อมาเขาไดูเปลีย ่ นชื่อ
ทฤษฎีเพื่อความเหมาะสมเป็ น "ทฤษฎีปัญญาสังคม"
ทฤษฎีปัญญาสังคมเนูนหลักการเรียนรู้โดยการ
สังเกต (Observational Learning) เกิดจากการทีบ ่ ุคคล
สังเกตการกระทำาของผู้อ่ ืนแลูวพยายามเลียนแบบ
พฤติกรรมนัน ้ ซึง่ เป็ นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในสภาพ
แวดลูอมทางสังคมเราสามารถพบไดูในชีวิตประจำาวัน
เช่น การออกเสียง การขับรถยนต์ การเล่นกีฬา
ประเภทต่างๆ เป็ นตูน

ขัน
้ ตอนของการเรียนรู้โดยการสังเกต
๑. ขัน้ ใหูความสนใจ (Attention Phase) ถูาไม่มีขัน ้
ตอนนี้ การเรียนรู้อาจจะไม่เกิดขึ้น เป็ นขัน ้ ตอน ทีผ ่ ู้
เรียนใหูความสนใจต่อตัวแบบ (Modeling) ความ
สามารถ ความมีช่ ือเสียง และคุณลักษณะเด่นของตัว
แบบจะเป็ นสิง ่ ดึงด้ดใหูผู้เรียนสนใจ
๒. ขัน
้ จำา (Retention Phase) เมื่อผู้เรียนสนใจ
พฤติกรรมของตัวแบบ จะบันทึกสิง ่ ทีส
่ ังเกตไดูไวูใน
ระบบความจำาของตนเอง ซึง ่ มักจะจดจำาไวูเป็ น
จินตภาพเกีย ่ วกับขัน ้ ตอนการแสดงพฤติกรรม
๓. ขัน ้ ปฏิบัติ (Reproduction Phase) เป็ นขัน ้ ตอนที่ผู้
เรียนลองแสดงพฤติกรรมตามตัวแบบ ซึง ่ จะส่งผลใหู
มีการตรวจสอบการเรียนรู้ทีไ ่ ดูจดจำาไวู
๔. ขัน ้ จ้งใจ (Motivation Phase) ขัน ้ ตอนนี้ เป็ นขัน้
แสดงผลของการกระทำา (Consequence) จากการแสดง
พฤติกรรมตามตัวแบบ ถูาผลทีต ่ ัวแบบเคยไดูรับ
(Vicarious Consequence) เป็ นไปในทางบวก (Vicarious
Reinforcement) ก็จะจ้งใจใหูผู้เรียนอยากแสดง
พฤติกรรมตามแบบ ถูาเป็ นไปในทางลบ (Vicarious
Punishment) ผู้เรียนก็มักจะงดเวูนการแสดงพฤติกรรม
นัน
้ ๆ
หลักพื้นฐานของทฤษฎีปัญญาสังคม มี ๓
ประการ คือ
๑. กระบวนการเรียนรู้ตูองอาศัยทัง ้ กระบวนการ
ทางปั ญญา และทักษะการตัดสินใจของผู้เรียน
๒. การเรียนรู้เป็ นความสัมพันธ์ระหว่างองค์
ประกอบ ๓ ประการ ระหว่าง ตัวบุคคล (Person) สิง ่
แวดลูอม (Environment) และพฤติกรรม (Behavior) ซึง ่
มีอิทธิพลต่อกันและกัน

B E
๓. ผลของการเรียนรู้กับการแสดงออกอาจจะแตก
ต่างกัน สิง
่ ทีเ่ รียนรู้แลูวอาจไม่มีการแสดงออกก็ไดู
เช่น ผลของการกระทำา (Consequence) ดูานบวก เมื่อ
เรียนรู้แลูวจะเกิดการแสดงพฤติกรรมเลียนแบบ แต่
ผลการกระทำาดูานลบ อาจมีการเรียนรู้แต่ไม่มีการ
เลียนแบบ

การนำาหลักการมาประยุกต์ใชู
๑. ในหูองเรียนคร้จะเป็ นตัวแบบทีม ่ ีอิทธิพลมาก
ทีส่ ุด คร้ควรคำานึ งอย่้เสมอว่า การเรียนรู้โดยการ
สังเกตและเลียนแบบจะเกิดขึ้นไดูเสมอ แมูว่าคร้จะ
ไม่ไดูตัง ้ วัตถุประสงค์ไวูก็ตาม
๒. การสอนแบบสาธิตปฏิบัติเป็ นการสอนโดยใชู
หลักการและขัน ้ ตอนของทฤษฎีปัญญาสังคมทัง ้ สิ้น
คร้ตูองแสดงตัวอย่างพฤติกรรมทีถ ่ ้กตูองทีส ่ ุดเท่านัน ้
จึงจะมีประสิทธิภาพในการแสดงพฤติกรรมเลียนแบบ
ความผิดพลาดของคร้แมูไม่ตัง ้ ใจ ไม่ว่าคร้จะพรำ่าบอก
ผู้เรียนว่าไม่ตูองสนใจจดจำา แต่ก็ผ่านการสังเกตและ
การรับรู้ของผู้เรียนไปแลูว
๓. ตัวแบบในชัน ้ เรียนไม่ควรจำากัดไวูทีค ่ ร้เท่านัน ้
ควรใชูผู้เรียนดูวยกันเป็ นตัวแบบไดูในบางกรณี
โดยธรรมชาติเพื่อนในชัน ้ เรียนย่อมมีอิทธิพลต่อการ
เลียนแบบส้งอย่้แลูว คร้ควรพยายามใชูทักษะจ้งใจใหู
ผู้เรียนสนใจและเลียนแบบเพื่อนทีม ่ ีพฤติกรรมทีด ่ ี
มากกว่าผู้ทีม ่ ีพฤติกรรมไม่ดี
พัฒนาการวัยรุ่น
Adolescent Development

วัยรุ่นเป็ นวัยทีม
่ ีการเปลีย
่ นแปลงเกิดขึ้น
หลายดูาน ทำาใหูตูองมีการปรับตัวหลายดูานพรูอมๆ
กัน จึงเป็ นวัยทีจ ่ ะเกิดปั ญหาไดูมาก การปรับตัวไดู
สำาเร็จจะช่วยใหูวัยรุ่นพัฒนาตนเองเกิดบุคลิกภาพทีด ่ ี
ซึง่ จะเป็ นพื้นฐานสำาคัญของการดำาเนิ นชีวิตต่อไป การ
เรียนรู้พัฒนาการวัยรุ่นจึงมีประโยชน์ทัง ้ ต่อการส่ง
เสริมใหูวัยรุ่นเติบโตเป็ นผู้ใหญ่ทีม ่ ีสุขภาพดีทัง้ ทาง
ร่างกายจิตใจสังคม และช่วยปู องกันปั ญหาต่างๆในวัย
รุ่น เช่น ปั ญหาทางเพศ หรือปั ญหาการใชูสารเสพ
ติด

พัฒนาการของวัยรุ่น

วัยรุ่น จะเกิดขึ้นเมื่อเด็กย่างอายุประมาณ 12
-13 ปี เพศหญิงจะเขูาส่้วัยรุ่นเร็วกว่าเพศชาย
ประมาณ 2 ปี และจะเกิดการพัฒนาไปจนถึงอายุ
ประมาณ 18 ปี จึงจะเขูาส่้วัยผู้ใหญ่ โดยจะเกิดการ
เปลีย
่ นแปลงอย่างมากในพัฒนาการดูานต่างๆ ดังนี้

1.พัฒนาการทางร่างกาย ( Physical Development


) ประกอบดูวยการเปลีย ่ นแปลงทางร่างกายทัว
่ ไป
และการเปลีย
่ นแปลงทางเพศ เนื่ องจากวัยนี้ มีการ
สรูางและหลัง่ ฮอร์โมนเพศ(sex hormones) และ
ฮอร์โมนของการเจริญเติบโต(growth hormone)
อย่างมากและรวดเร็ว

การเปลีย
่ นแปลงทางร่างกาย (physical
changes) ร่างกายจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แขนขา
จะยาวขึ้นก่อนจะเห็นการเปลีย
่ นแปลงอื่นประมาณ 2
ปี เพศหญิงจะไขมันมากกว่าชายทีม่ ีกลูามเนื้ อ
มากกว่า ทำาใหูเพศชายแข็งแรงกว่า

การเปลีย ่ นแปลงทางเพศ(sexual changes) สิง ่


ทีเ่ ห็นไดูชัดเจน คือวัยรุ่นชายจะเป็ นหนุ่มขึ้น นมขึ้น
พาน(หัวนมโตขึ้นเล็กนูอย กดเจ็บ) เสียงแตก หนวด
เคราขึ้น และเริม ่ มีฝันเปียก ( nocturnal
ejaculation - การหลัง่ นำ้าอสุจิในขณะหลับและฝั น
เกีย ่ วกับเรื่องทางเพศ) การเกิดฝั นเปียกครัง ้ แรกเป็ น
สัญญานของการเขูาส่้วัยรุ่นของเพศชาย ส่วนวัยรุ่น
หญิงจะเป็ นสาวขึ้น คือ เตูานมมีขนาดโตขึ้น ไขมันที่
เพิม ่ ขึ้นจะทำาใหูร้ปร่างมีทรวดทรง สะโพกผายออก
และเริม ่ มีประจำาเดือนครัง ้ แรก ( menarche) การมี
ประจำาเดือนครัง ้ แรก เป็ นสัญญานบอกการเขูาส่้วัยรุ่น
ในหญิง

ทัง
้ สองเพศจะมีการเปลีย
่ นแปลงของอวัยวะเพศ ซึง ่
จะมีขนาดโตขึ้น และเปลีย
่ นเป็ นแบบผู้ใหญ่ มีขนขึ้น
บริเวณอวัยวะเพศ มีกลิน
่ ตัว มีสิวขึ้น

2. พัฒนาการทางจิตใจ (Psychological
Development)

สติปัญญา(Intellectual Development) วัยนี้ สติ


ปั ญญาจะพัฒนาส้งขึ้น จนมีความคิดเป็ นแบบร้ป
ธรรม (Jean Piaget ใชูคำาอธิบายว่า Formal
Operation ซึง ่ มีความหมายถึงความสามารถเรียนรู้
เขูาใจเหตุการณ์ต่างๆ ไดูลึกซึ้งขึ้นแบบ abstract
thinking) มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และ
สังเคราะห์ สิง
่ ต่างๆไดูมากขึ้นตามลำาดับจนเมื่อพูนวัย
รุ่นแลูว จะมีความสามารถทางสติปัญญาไดูเหมือน
ผู้ใหญ่ แต่ในช่วงระหว่างวัยรุ่นนี้ ยังอาจขาดความยัง้
คิด มีความหุนหันพลันแล่น ขาดการไตร่ตรองใหู
รอบคอบ

ความคิดเกีย่ วกับตนเอง (Self Awareness) วัยนี้ จะ


เริม
่ มีความสามารถในการรับรู้ตนเอง ดูานต่างๆ ดังนี้

เอกลักษณ์ (identity) วัยรุ่นจะเริม ่ แสดงออกถึงสิง่


ตนเองชอบ สิง ่ ทีต
่ นเองถนัด ซึง ่ จะแสดงถึงความเป็ น
ตัวตนของเขาทีโ ่ ดดเด่น ไดูแก่ วิชาทีเ่ ขาชอบเรียน
กีฬาทีช ่ อบเล่น งานอดิเรก การใชูเวลาว่างใหูเกิด
ความเพลิดเพลิน กลุ่มเพื่อนทีช ่ อบและสนิ ทสนม
ดูวย โดยเขาจะเลือกคบคนทีม ่ ีส่วนคลูายคลึงกัน
หรือเขูากันไดู และจะเกิดการเรียนรู้และถ่ายทอด
แบบอย่างจากกลุ่มเพื่อนนี้ เอง ทัง ้ แนวคิด ค่านิ ยม
ระบบจริยธรรม การแสดงออกและการแกูปัญหาใน
ชีวิต จนสิง ่ เหล่านี้ กลายเป็ นเอกลักษณ์ของตน และ
กลายเป็ นบุคลิกภาพนัน ่ เอง สิง่ ทีแ ่ สดงถึงเอกลักษณ์
ตนเองยังมีอีกหลายดูาน ไดูแก่ เอกลักษณ์ทาง
เพศ(sexual identity and sexual orientation)
แฟชัน ่ ดารา นักรูอง การแต่งกาย ทางความเชื่อ
ในศาสนา อาชีพ คติประจำาใจ เปู าหมายในการ
ดำาเนิ นชีวิต ( Erik Erikson อธิบายว่าวัยรุ่นจะเกิด
เอกลักษณ์ของตนในวัยนี้ ถูาไม่เกิดจะมีความสับสน
ในตนเอง Identity VS Role confusion )

ภาพลักษณ์ของตนเอง (self image) คือการมอง


ภาพของตนเอง ในดูานต่างๆ ไดูแก่ หนูาตา ร้ป
ร่าง ความสวยความหล่อ ความพิการ ขูอดีขูอดูอย
ทางร่างกายของตนเอง วัยรุ่นจะสนใจหรือ ใหูเวลา
เกีย
่ วกับร้ปร่าง ผิวพรรณมากกว่าวัยอื่นๆ ถูาตัวมีขูอ
ดูอยกว่าคนอื่นก็จะเกิดความอับอาย

การไดูรับการยอมรับจากผู้อ่ ืน (acceptance) วัยนี้


ตูองการการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนอย่างมาก การไดู
รับการยอมรับจะช่วยใหูเกิดความรู้สึกมัน ่ คง
ปลอดภัย เห็นคุณค่าของตนเอง มัน ่ ใจตนเอง วัยนี้
จึงมักอยากเด่นอยากดัง อยากใหูมค ี นรู้จักมากๆ
ความภาคภ้มิใจตนเอง (self esteem) เกิดจากการที่
ตนเองเป็ นทีย
่ อมรับของเพื่อนและคนอื่นๆไดู รู้สึกว่า
ตนเองมีคุณค่า เป็ นคนดีและมีประโยชน์แก่ผู้อ่ ืนไดู
ทำาอะไรไดูสำาเร็จ

ความเป็ นตัวของตัวเอง (independent) วัยนี้ จะรัก


อิสระ เสรีภาพ ไม่ค่อยชอบอย่้ในกฎเกณฑ์กติกาใดๆ
ชอบคิดเอง ทำาเอง พึง ่ ตัวเอง เชื่อความคิดตนเอง
มีปฏิกิรย
ิ าตอบโตูผู้ใหญ่ทีบ ่ ีบบังคับส้ง ความอยากรู้
อยากเห็นอยากลองจะมีส้งสุดในวัยนี้ ทำาใหูอาจเกิด
พฤติกรรมเสีย ่ งไดูง่ายถูาวัยรุ่นขาดการยัง้ คิดทีด
่ ี การ
ไดูทำาอะไรดูวยตนเอง และทำาไดูสำาเร็จจะช่วยใหูวัย
รุ่นมีความมัน่ ใจในตนเอง (self confidence)

การควบคุมตนเอง (self control) วัยนี้ จะเรียนรู้ทีจ่ ะ


ควบคุมความคิด การรู้จักยัง ้ คิด การคิดใหูเป็ นระบบ
เพื่อใหูสามารถใชูความคิดไดูอย่างมีประสิทธิภาพ
และ อย่้ร่วมกับผู้อ่ ืนไดู

อารมณ์ (mood) อารมณ์จะปั ่ นป่ วน เปลีย ่ นแปลง


ง่าย หงุดหงิดง่าย เครียดง่าย โกรธง่าย อาจเกิด
อารมณ์ซึมเศรูาโดยไม่มีสาเหตุไดูง่าย อารมณ์ทีไ ่ ม่ดี
เหล่านี้ อาจทำาใหูเกิดพฤติกรรมเกเร กูาวรูาว มีผล
ต่อการเรียนและการดำาเนิ นชีวิต ในวัยรุ่นตอนตูน
การควบคุมอารมณ์ยังไม่ค่อยดีนัก บางครัง ้ ยังทำาอะไร
ตามอารมณ์ตัวเองอย่้บูาง แต่จะค่อยๆดีข้ึนเมื่ออายุ
มากขึ้น อารมณ์เพศวัยนี้ จะมีมาก ทำาใหูมีความสนใจ
เรื่องทางเพศ หรือมีพฤติกรรมทางเพศ เช่น การ
สำาเร็จความใคร่ดูวยตนเอง ซึง ่ ถือว่าเป็ นเรื่องปกติใน
วัยนี้ แต่พฤติกรรมบางอย่างอาจเป็ นปั ญหา เช่น
เบีย่ งเบนทางเพศ กามวิปริต หรือการมีเพศสัมพันธ์ใน
วัยรุ่น
จริยธรรม (moral development) วัยนี้ จะมีความคิด
เชิงอุดมคติส้ง(idealism) เพราะเขาจะแยกแยะ
ความผิดชอบชัว ่ ดีไดูแลูว มีระบบมโนธรรมของ
ตนเอง ตูองการใหูเกิดความถ้กตูอง ความชอบธรรม
ในสังคม ชอบช่วยเหลือผู้อ่ ืน ตูองการเป็ นคนดี เป็ น
ทีช
่ ่ ืนชอบของคนอื่น และจะรู้สึกอึดอัดคับขูองใจกับ
ความไม่ถ้กตูองในสังคม หรือในบูาน แมูแต่พ่อแม่
ของตนเองเขาก็เริม ่ รู้สึกว่าไม่ไดูดีสมบ้รณ์แบบเหมือน
เมื่อก่อนอีกต่อไปแลูว บางครัง ้ เขาจะแสดงออก
วิพากษ์วิจารณ์พ่อแม่หรือ คร้อาจารย์ตรงๆอย่าง
รุนแรง การต่อตูาน ประทูวงจึงเกิดไดูบ่อยในวัยนี้ เมื่อ
วัยรุ่นเห็นการกระทำาทีไ ่ ม่ถ้กตูอง หรือมีการเอาเปรียบ
เบียดเบียน ความไม่เสมอภาคกัน ในวัยรุ่นตอนตูน
การควบคุมตนเองอาจยังไม่ดีนัก แต่เมื่อพูนวัยรุ่นนี้
ไป การควบคุมตนเองจะดีข้ึน จนเป็ นระบบจริยธรรม
ทีส่ มบ้รณ์เหมือนผู้ใหญ่

3. พัฒนาการทางสังคม (Social Development)

วัยนี้ จะเริม
่ ห่างจากทางบูาน ไม่ค่อยสนิ ทสนมคลุกคลี
กับพ่อแม่พีน ่ อ
ู งเหมือนเดิม แต่จะสนใจเพื่อน
มากกว่า จะใชูเวลากับเพื่อนนานๆ มีกิจกรรมนอก
บูานมาก ไม่อยากไปไหนกับทางบูาน เริม ่ มีความ
สนใจเพศตรงขูาม สนใจสังคมสิง ่ แวดลูอม ปรับตัว
เองใหูเขูากับกฎเกณฑ์กติกาของกลุ่ม ของสังคมไดูดี
ขึ้น มีความสามารถในทักษะสังคม การสื่อสาร
เจรจา การแกูปัญหา การประนี ประนอม การยืดหยุ่น
โอนอ่อนผ่อนตามกัน และการทำางานร่วมกับผู้อ่ ืน
พัฒนาการทางสังคมทีด ่ ีจะเป็ นพื้นฐานมนุษยสัมพันธ์ที่
ดี และบุคลิกภาพทีด ่ ี การเรียนรู้สังคมจะช่วยใหู
ตนเองหาแนวทางการดำาเนิ นชีวิตทีเ่ หมาะกับตนเอง
เลือกวิชาชีพทีเ่ หมาะกับตน และมีสังคมสิง ่ แวดลูอมที่
ดีต่อตนเองในอนาคตต่อไป
เปู าหมายของการพัฒนาวัยรุ่น
1. ร่างกายทีแ
่ ข็งแรง ปราศจากความบกพร่องทาง
กาย มีความสมบ้รณ์ มีภ้มิตูานทานโรคและ
ปราศจากภาวะเสีย ่ งต่อปั ญหาทางกายต่างๆ

2. เอกลักษณ์แห่งตนเองดี

· บุคลิกภาพดี มีทักษะส่วนตัว และทักษะ


สังคมดี

· เอกลักษณ์ทางเพศเหมาะสม

· การเรียนและอาชีพ ไดูตามศักยภาพของตน
ตามความชอบความ
ถนัด และความเป็ นไปไดู ทำาใหูมีความ
พอใจต่อตนเอง

· การดำาเนิ นชีวิต สอดคลูองกับความชอบ


ความถนัด มีการผ่อน
คลาย กีฬา งานอดิเรก มีความสุขไดูโดยไม่
เบียดเบียนคนอื่น มี
การช่วยเหลือคนอื่นและสิง่ แวดลูอม

· มีมโนธรรมดี เป็ นคนดี

3. มีการบริหารตนเองไดูดี สามารถบริหารจัดการ
ตนเอง โดยไม่ตูองพึง
่ พาผู้อ่ ืน

4. มีความรับผิดชอบ มีความรับผิดชอบทัง ้ ต่อ


ตนเอง ต่อผู้อ่ ืน ต่อประเทศชาติ และต่อสิง่
แวดลูอมไดูดี

5. มีมนุษย์สัมพันธ์กับคนอื่นไดูดี
ปั ญหาพฤติกรรมในวัยรุ่น
ปั ญหาทีพ
่ บไดูบ่อยในวัยรุ่น มีดังนี้

ปั ญหาความสัมพันธ์กับพ่อแม่ วัยนี้ จะแสดง


พฤติกรรมทีแ ่ สดงความเป็ นตัวของตัวเองค่อนขูางมาก
การพ้ดจาไม่ค่อยเรียบรูอย อารมณ์แปรปรวน
เปลีย
่ นแปลงง่าย ความรับผิดชอบขึ้นๆลงๆ เอาแต่ใจ
ตัวเอง ทำาใหูพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือคร้อาจารย์
หงุดหงิดไม่พอใจไดูมากๆ ถูาใชูวิธีการจัดการไม่ถ้ก
ตูอง เช่น ใชูวิธีดุด่าว่ากล่าว ตำาหนิ หรือลงโทษ
รุนแรง จะเกิดปฏิกิริยาต่อตูาน เป็ นอารมณ์ต่อกัน
ไม่ไดูช่วยเปลีย
่ นแปลงพฤติกรรมวัยรุ่น

วิธีการจัดการกับปั ญหาพฤติกรรมเหล่านี้ เริม่ ตูนจาก


การทำาความเขูาใจความตูองการของวัยรุ่น มีการตอบ
สนองโดยประนี ประนอมยืดหยุ่น แต่ก็ยังคงมีขอบเขต
พอสมควร พยายามจ้งใจใหูร่วมมือมากกว่าการบังคับ
กันตรงๆหรือรุนแรง สรูางความสัมพันธ์ทีด ่ ีไวูก่อน
อย่าหงุดหงิดกับพฤติกรรมเล็กๆนูอยๆ

ปั ญหาการใชูสารเสพติด (substance use


disorders) ตามธรรมชาติของวัยรุ่นจะมีความอยากรู้
อยากเห็นอยากลองมาก ถูาขาดการยับยัง ้ ชัง่ ใจดูวย
การทีอ
่ ย่้ในกลุ่มทีใ
่ ชูสารเสพติด หรือเพื่อนใชูสารเสพ
ติด จะมีการชักชวนใหูใชูร่วมกัน บางคนไม่กลูา
ปฏิเสธเพื่อน บางคนใชูเพื่อใหูเหมือนเพื่อนๆ เมื่อ
ลองแลูวเกิดความพอใจก็จะติดไดูง่าย

ปั ญหาทางเพศ(Sexual Problems)

พฤติกรรมรักร่วมเพศ (homosexualism) เป็ น


พฤติกรรมทีจ ่ ะทำาใหูเกิดปำ ญหาตามมาไดูมาก คนที่
เป็นรักร่วมเพศมักจะเจอปั ญหาในการดำาเนิ นชีวิตไดู
มากกว่าคนทัว ่ ไป ในบางสังคมมีการต่อตูาน
พฤติกรรมรักร่วมเพศ มีการรังเกียจ ลูอเลียน ไม่
ยอมรับ บางประเทศมีกฎหมายลงโทษการมีเพศ
สัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันเอง

รักร่วมเพศ คือพฤติกรรมทีพ
่ ึงพอใจทางเพศกับ
เพศเดียวกัน อาจมีการแสดงออกภายนอกใหูเห็น
ชัดเจนหรือไม่ก็ไดู

การรักษาผู้ทีเ่ ป็ นรักร่วมเพศ มักไม่ไดูผล


เนื่ องจากผู้ทีเ่ ป็ นรักร่วมเพศมักจะพอใจในลักษณะ
แบบนี้ อย่้แลูว การช่วยเหลือทำาไดูโดยการใหูคำา
ปรึกษาผู้ทีเ่ ป็ นพ่อแม่ และผู้ป่วย เพื่อใหูปรับตัวไดู
ไม่รังเกียจล้กทีเ่ ป็ นแบบนี้ และผู้ป่วยแสดงออก
เหมาะสม ไม่มากเกินไปจนมีการรังเกียจต่อตูานจาก
คนใกลูชิด

การปู องกันภาวะรักร่วมเพศ ทำาไดูโดยการส่ง


เสริมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่เพศเดียวกับเด็ก
เพื่อใหูมีการถ่ายทอดแบบอย่างทางเพศจากพ่อหรือ
แม่เพศเดียวกับเด็ก

การสำาเร็จความใคร่ดูวยตนเอง (masturbation) ใน
วัยรุ่นการสำาเร็จความใคร่ดูวยตนเองเป็ นพฤติกรรม
ปกติ ไม่มีอันตราย ไม่มีผลเสียต่อร่างกายหรือจิตใจ
การทำาไม่ควรหมกมุ่นมากจนเป็ นปั ญหาต่อการใชูเวลา
ทีค
่ วรทำา หรือทำาใหูขาดกิจกรรมทีเ่ ป็ นประโยชน์อ่ ืนๆ

การมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น (sexual relationship)


มักเกิดจากวัยรุ่นทีข่ าดการยับยัง ้ ชัง่ ใจ หรือมีปัญหา
ทางอารมณ์ และใชูเพศสัมพันธ์เป็ นการทดแทน เพศ
สัมพันธ์ในวัยรุ่นมักไม่ไดูยัง
้ คิดใหูรอบคอบ ขาดการ
ไตร่ตรอง ทำาตามอารมณ์เพศ หรืออย่้ภายใตูฤทธิ ์
ของสารเสพติด ทำาใหูเกิดปั ญหาการติดโรคติดต่อ
ทางเพศสัมพันธ์ การตัง ้ ครรภ์ การทำาแทูง การ
เลี้ยงล้กทีไ
่ ม่ถ้กตูอง ปั ญหาครอบครัว และกลายเป็ น
ปั ญหาสังคมในทีส ่ ุด

ปั ญหาบุคลิกภาพ (personality problems) วัยรุ่น


จะเป็นวัยทีม ่ ีพัฒนาการของบุคลิกภาพอย่างชัดเจน
ทัง้ นิ สัยใจคอ การคิด การกระทำา จะเป็ นร้ปแบบที่
สมำ่าเสมอ จนสามารถคาดการณ์ไดูว่าในเหตุการณ์
แบบนี้ เขาจะแสดงออกอย่างไร ถูาการเรียนรู้ทีผ ่ ่าน
มาดี วัยรุ่นจะมีบุคลิกภาพดีดูวย แต่ในทางตรงขูาม
ถูามีปัญหาในชีวิต หรือเรียนรู้แบบผิดๆ จะกลายเป็ น
บุคลิกภาพทีเ่ ป็ นปั ญหา ปรับตัวเขูากับคนอื่นไดูนอู ย
เอาตัวเองเป็ นศ้นย์กลาง และจะติดตัวไปตลอดชีวิต
ถูาเป็นปั ญหามากๆเรียกว่าบุคลิกภาพผิดปกติ
(personality disorders)

ความประพฤติผิดปกติ (conduct disorder) คือ


โรคทีม
่ ีปัญหาพฤติกรรมกลุ่มทีท ่ ำาใหูผู้อ่ ืนเดือดรูอน
โดยตนเองพอใจ ไดูแก่ การละเมิดสิทธิผู้อ่ ืน การ
ขโมย ฉูอโกง ตีชิงวิง่ ราว ทำารูายผู้อ่ ืน ทำาลายขูาว
ของ เกเร หรือละเมิดกฎเกณฑ์ของหม่้คณะหรือ
สังคม การหนี เรียน ไม่กลับบูาน หนี เทีย ่ ว โกหก
หลอกลวง ล่วงเกินทางเพศ การใชูสารเสพติด
อาการดังกล่าวนี้ มักจะเกิดขึ้นต่อเนื่ องมานานพอ
สมควร สัมพันธ์กันปั ญหาในครอบครัว การเลี้ยงด้
ปั ญหาอารมณ์

การรักษาควรรีบทำาทันที เพราะการปล่อยไวู
นาน จะยิง
่ เรื้อรังรักษายาก และกลายเป็ นบุคลิกภาพ
แบบอันธพาล (antisocial personality disorder)

การปู องกันปั ญหาวัยรุ่น


1. การเลี้ยงด้อย่างถ้กตูอง ใหูความรักความอบอุ่น
2. การฝึกใหูรู้จักระเบียบวินัย การควบคุมตัวเอง

3. การฝึกทักษะชีวิต ใหูแกูไขปั ญหาไดูถ้กตูอง มี


ทักษะในการปฏิเสธสิง่ ทีไ
่ ม่ถ้กตูอง

4. การสอนใหูเด็กรู้จักคบเพื่อน ทักษะสังคมดี

5. การฝึกใหูเด็กมีเอกลักษณ์เป็ นของตนเอง

ทฤษฎี Constructivism
มีหลักการที่สำา คัญว่า ในการเรียนรู้ผู้เรียนจะตูอง
เป็นผู้กระทำา (active) และสรูางความรู้
ความเชื่ อพื้ นฐานของ Constructivism มี
รากฐานมาจาก 2 แหล่ง คือจากทฤษฎีพัฒนาการของ
พีอาเจต์ และวิก็อทสกี้

ทฤษฎี Constructivism จึ ง แบ่ ง ออกเป็ น 2


ทฤษฎี คือ

1. Cognitive Constructivism หมายถึ ง ทฤษฎี


การเรียนรู้พุทธิปัญญานิ ยม ที่มี รากฐานมาจากทฤษฎี
พั ฒ นาการของพี อ าเจต์ ทฤษฎี น้ี ถื อ ว่ า ผู้ เ รี ย นเป็ นผู้
กระทำา (active) และเป็ นผู้ ส รู า งความรู้ ข้ึ น ในใจเอง
ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมีบทบาทในการก่อใหูเกิดความ
ไม่ ส มดุ ล ทางพุ ท ธิ ปั ญญาขึ้ น เป็ นเหตุ ใ หู ผู้ เ รี ย นปรั บ
ความเขูาใจเดิมที่มีอย่้ใหูเขูากับขูอม้ลข่าวสารใหม่ จน
กระทัง ่ เกิดความสมดุลทางพุทธิปัญญา หรือเกิดความ
รู้ใหม่ข้ึน
2. Social Constructivism เป็ นทฤษฎี ที่ มี พ้ ื น
ฐานมาจากทฤษฎี พั ฒ นาการของวิ ก็ อ ทสกี้ ซึ่ ง ถื อ ว่ า ผู้
เรียนสรูางความรู้ดูวยการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้
อื่ น (ผู้ใ หญ่ หรือ เพื่ อน) ในขณะที่ผู้เรี ยนมีส่ว นร่ ว มใน
กิ จ กรรมหรื อ งาน ในสภาวะสั ง คม(Social Context)
ซึ่งเป็ นตั วแปรที่สำา คัญและขาดไม่ไ ดู ปฏิสัมพั นธ์ ทาง
สั ง คมทำา ใหู ผู้ เ รี ย นสรู า งความรู้ ดู ว ยการเปลี่ ย นแปร
ความเขูาใจเดิมใหูถ้กตูองหรือซับซูอนกวูางขวางขึ้น

คุณลักษณะของทฤษฎี Constructivism

1. ผู้ เ รี ย นสรู า งความเขู า ใจในสิ่ ง ที่ เ รี ย นรู้ ดู ว ย


ตนเอง
2. การเรียนรู้สิ่งใหม่ข้ึนกับความรู้เดิมและความ
เขูาใจทีม่ ีอย่้ในปั จจุบัน
3. การมี ป ฏิ สั ม พั น ธ์ ท างสั ง คมมี ค วามสำา คั ญ ต่ อ
การเรียนรู้
4. การจัดสิง ่ แวดลูอม กิจกรรมทีค ่ ลูายคลึงกับ
ชีวิตจริง ทำาใหูผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความ
หมาย

ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวความรู้ความเขูาใจนี้
จำาแนกย่อยออกเป็ นหลายทฤษฎีเช่นกัน แต่ทฤษฎีซึง ่
เป็นทีย
่ อมรับกันมากในระหว่างนักจิตวิทยาการเรียนรู้
และนำามาประยุกต์ใชูกันมากกับสถานการณ์การเรียน
การสอน ไดูแก่ ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการคูนพบของบ
ร้เนอร์ และทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของออ
ซ้เบล (Ausubel)

ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการคูนพบของบร้นเนอร์
บ ร้ น เ น อ ร์ ไดูใหูช่ ือการเรียนรู้ของท่านว่า
“Discovery Approach” หรื อ การเรี ย นรู้ โ ดยการ
คูนพบ บร้นเนอร์ เชื่อ ว่า การเรีย นรู้จ ะเกิด ขึ้นไดู ก็ ต่ อ
เมื่ อ ผู้ เ รี ย นไดู มี ป ฏิ สัม พั น ธ์ กั บ สิ่ ง แวดลู อ ม ซึ่ ง นำา ไปส่้
การคู น พบการแกู ปั ญหา ผู้ เ รี ย นจะประมวลขู อ ม้ ล
ข่ า วสาร จากการมี ป ฏิ สัม พั นธ์ กั บ สิ่ง แวดลู อ ม และจะ
รับรู้สิ่งที่ตนเองเลือก หรือสิ่งที่ใส่ใจ การเรียนรู้แบบนี้
จะช่วยใหูเกิดการคูนพบ เนื่ องจากผู้เรียนมีความอยาก
รู้ อ ยากเห็ น ซึ่ ง จะเป็ นแรงผลั ก ดั น ที่ ทำา ใหู สำา รวจสิ่ ง
แวดลูอม และทำาใหูเกิดการเรียนรู้โดยการคูนพบ โดย
มีแนวคิดทีเ่ ป็ นพื้นฐาน ดังนี้

ก ารเรี ย นรู้ เป็ นก ร ะ บ วนก าร ที่ ผู้ เรี ย น ม ร


ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดลูอมดูวยตนเอง ผู้เรียนแต่ละคน
จะมี ป ระสบการณ์ แ ละพื้ นฐานความรู้ ที่ แ ตกต่ า งกั น
การเรียนรู้จะเกิดจากการที่ผู้เรียนสรูางความสั มพั นธ์
ระหว่างสิ่งที่พบใหม่กับความรู้เดิมแลูวนำามาสรูางเป็ น
ความหมายใหม่

บร้นเนอร์ ไดูเห็นดูวยกับ พีอาเจต์ว่า คน


เรามี โ ครงสรู า งสติ ปั ญญา (Congnitive Structure)
มาตัง ้ แต่เกิด ในวัยทารกโครงสรูางสติปัญญายังไม่ซับ
ซู อ น เพราะยั ง ไม่ พั ฒ นาต่ อ เมื่ อมี ป ฏิ สั ม พั น ธ์ กั บ สิ่ ง
แวดลูอมจะทำาใหูโครงสรูางสติปัญญามีการขยายและ
ซั บ ซู อ นขึ้ น หนูา ที่ ข องโรงเรี ย นก็ คื อ การช่ ว ยเอื้ อการ
ขยายของโครงสรูางสติปัญญาของนักเรียน นอกจากนี้
บร้นเนอร์ ยังไดูใหูหลักการเกีย ่ วกับการสอนดังต่อไปนี้

1. กระบวนความคิ ด ของเด็ ก แตกต่ า งกั บ ผู้ ใ หญ่


เวลาเด็ก ทำา ผิ ด เกี่ยวกั บ ความคิ ด ผู้ ใ หญ่ ค วรจะคิ ดถึ ง
พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา ซึง ่ เด็กแต่ละวัยมีลักษณะ
การคิดทีแ ่ ตกต่างไปจากผู้ใหญ่ คร้หรือผู้มีความรับผิด
ชอบทางการศึกษาจะตูองมีความเขูาใจว่าเด็กแต่ละวัย
มี ก ารรู้ คิ ด อย่ า งไร และกระบวนการรู้ คิ ด ของเด็ ก ไม่
เหมือนผู้ใหญ่ (Intellectual Empathy)
2. เนู น ความสำา คั ญ ของผู้ เรี ย น ถื อ ว่ า ผู้ เ รี ย น
สามารถจะควบคุ ม กิ จ กรรม การเรี ย นรู้ ข องตนเองไดู
(Self- Regulation) และเป็ นผู้ ที่ จ ะริ เ ริ่ ม หรื อ ลงมื อ
กระทำา ฉะนัน ้ ผู้มีหนูาที่สอนและอบรมมีหนูาที่จัดสิ่ง
แวดลู อ มใหู เ อื้ อการเรี ย นรู้ โ ดยการคู น พบ โดยใหู
โอกาส ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิง ่ แวดลูอม

3. ในการสอนควรจะเริ่ ม จากประสบการณ์ ที่ ผู้


เรี ย นคูุ น เคย หรื อ ป ร ะ สบ ก าร ณ์ ที่ ใ ก ลู ตั วไ ป ห า
ประสบการณ์ ที่ไกลตัว เพื่อผู้เรียนจะไดูมี ความเขู า ใจ
เช่น การสอนใหูนักเรียนรู้จักการใชูแผนที่ ควรจะเริ่ม
จากแผนที่ของจังหวัดของผู้เรียนก่อนแผนที่จังหวัดอื่น
หรือแผนทีป ่ ระเทศไทย

บร้ น เนอร์ เชื่ อว่ า วิ ช าต่ า ง ๆ จะสอนใหู ผู้ เ รี ย น


เขูาใจไดูทุกวัยถูาคร้จะสามารถใชูวิธีการสอนที่เหมาะ
สมกั บ วั ย ของผู้ เ รี ย น ขู อ สำา คั ญ คร้ จ ะตู อ งใหู นั ก เรี ย น
เป็นผู้กระทำาหรือเป็ นผู้แกูปัญหาเอง บร้นเนอร์ ไดูสรุป
ความสำาคัญของการเรียนรู้โดยการคูนพบว่าดีกว่าการ
เรียนรู้ โดยวิธีอ่ ืนดังต่อไปนี้

1. ผู้เรียนจะเพิม ่ พลังทางสติปัญญา
2. เนูนรางวัลที่เกิดจากความอิ่มใจในสัมฤ
ท ธิ ผ ล ใ น ก า ร แ กู ปั ญ ห า
มากกว่ า รางวั ล หรื อ เนูน แรงจ้ ง ใจ
ภายในมากกว่าแรงจ้งใจภายนอก
3. ผู้เรียนจะเรียนรู้การแกูปัญหาดูวยการ
คูนพบและสามารถนำาไปใชูไดู
4. ผู้เรียนจะจำาสิ่งทีเ่ รียนรู้ไดูดีและไดูนาน

สรุ ป ไดู ว่ า บร้ น เนอร์ กล่ า วว่ า คนทุ ก คนมี


พั ฒนาการทางความรู้ค วามเขู า ใจ หรือ การรู้ คิ ด โดย
ผ่ า นกระบวนการที่ เ รี ย กว่ า Acting, Imagine และ
Symbolizing ซึ่ ง อย่้ ใ นขั ้น พั ฒ นาการทางปั ญญาคื อ
Enactive, Iconic และ Symbolic representation
ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตมิใช่เกิดขึ้นช่วง
ใดช่วงหนึ่ งของชีวิตเท่านัน ้ บร้เนอร์เห็นดูวยกับ พีอา
เ จ ต์ ที่ ว่ า ม นุ ษ ย์ เ ร า มี โ ค ร ง ส รู า ง ท า ง ส ติ ปั ญ ญ า
(Cognitive structure) มาตั ้ง แต่ เ กิ ด ในวั ย เด็ ก จะมี
โครงสรูางทางสติปัญญาทีไ ่ ม่ซับซูอน เมื่อมีปฏิสัมพันธ์
กับสิ่งแวดลูอมจะทำาใหูโครงสรูางทางสติปัญญาขยาย
และซับซูอนเพิ่มขึ้น หนูาที่ของคร้คือ การจัดสภาพสิ่ง
แวดลู อ มที่ ช่ ว ยเอื้ อต่ อ การขยายโครงสรู า งทางสติ
ปั ญญาของผู้เรียน

ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของออซุเบล

ออซุ เ บล (Ausubel) บ่ ง ว่ า ผู้ เ รี ย นเรี ย นรู้


ขู อม้ล ข่าวสารดูวยการรับ หรื อดู วยการคู นพบ และวิ ธี
เรียนอาจจะเป็ นการเรียนดูวยความเขูาใจอย่างมีความ
หมายหรื อ เป็ นการเรี ย นรู้ โ ดยการท่ อ งจำา โดยไม่ คิ ด
ออซุเบล จึงแบ่งการเรียนรู้ออกเป็ น 4 ประเภท ดังต่อ
ไปนี้

การเรียนรู้โดยการรับอย่างมีความหมาย
(Meaningful Reception Learning)

การเรี ย นรู้ โ ดยการรั บ แบบท่ อ งจำา โดยไม่


คิ ด หรื อ แบบนกแกู ว นกขุ น ทอง (Rote Reception
Learning)

การเรี ย นรู้ โ ดยการคู น พบอย่ า งมี ค วาม


หมาย ( Meaningful Discovery Learning)

การเรียนรู้โดยการคูนพบแบบท่องจำาโดยไม่
คิ ด หรื อ แบบนกแกู ว นกขุ นท อง (Rote Discovery
Learning)

ออซุเบล สนใจทีจ ่ ะหากฏเกณฑ์และวิธีการ


สอนการเรี ย นรู้ อ ย่ า งมี ค วามหมาย ไม่ ว่ า จะเป็ นโดย
การรับหรือคูนพบ
เพราะออซุ เบลคิ ดว่ าการเรีย นรู้ ใ นโรงเรี ย น
ส่วนมากเป็ นการท่องจำาโดยไม่คิดในที่น้ี จะขออธิบาย
เพียงการเรียนรู้อย่างมีความหมายโดยการรับ

การเรี ย นรู้ โ ดยการรั บ อย่ า งมี ค วามหมาย


( Meaningful Reception Learning)

ออซุเบล ใหูความหมายว่าเป็ นการเรียนรู้ที่


ผู้เรียนไดูรับมาจากการผู้สอนอธิบายสิ่งที่จะตูอง
เรี ย นรู้ ใ หู ฟั งและผู้ เ รี ย นรั บ ฟั งดู ว ยความเขู า ใจ
โดยผู้ เ รี ย นเห็ น ความสั ม พั น ธ์ กั บ โครงสรู า งพุ ท ธิ
ปั ญญาที่ไดูเก็บไวูในความทรงจำา และจะสามารถ
นำา มาใชู ใ นอนาคต ออซุ เ บลไดู บ่ ง ว่ า ทฤษฎี ข อง
ท่านมีวัตถุประสงค์ที่จะอธิบายการเรียนรู้เกี่ยวกับ
พุ ท ธิ ปั ญญาเท่ า นั ้ น (Cognitive learning) ไม่
รวมการเรียนรู้ แบบการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก
ก า ร เ รี ย น รู้ ทั ก ษ ะ ท า ง ม อ เ ต อ ร์ (Motor Skills
learning) และการเรียนรู้โดยการคูนพบ

ออซุ เ บล ไดูบ่งว่า การเรียนรู้อย่างมีความ


หมายขึ้นอย่้กับตัวแปร 3 อย่าง ดังต่อไปนี้

สิ่ ง (Materials) ที่ จ ะตู อ งเรี ย นรู้ จ ะตู อ งมี


ความหมาย ซึ่งหมายความว่ าจะตู องเป็ นสิ่งที่มีค วาม
สัมพันธ์กับสิง ่ ทีเ่ คยเรียนรู้และเก็บไวูในโครงสรูางพุทธิ
ปั ญ ญ า (cognitive structure) ผู้ เ รี ย น จ ะ ตู อ ง มี
ประสบการณ์ และมีความคิดทีจ ่ ะเชื่อมโยงหรือจัดกลุ่ม
สิ่ ง ที่ เ รี ย นรู้ ใ หม่ ใ หู สั ม พั น ธ์ กั บ ความรู้ ห รื อ สิ่ ง ที่ เ รี ย นรู้
เก่ า ความตั ้ง ใจของผู้ เ รี ย นและการที่ ผู้ เ รี ย นมี ค วาม
รู้คิดที่จะเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้ใหม่ใหูมีความสัมพันธ์กับ
โครงสรูางพุทธิปัญญา (Cognitive Strueture) ที่อย่้
ในความทรงจำาแลูว

โดยสรุ ป ทฤษฎีการเรียนรู้ของออซุเบลเป็ นทฤษฎี


พุทธิปัญญานิ ยม ทีเ่ นูนความสำาคัญของคร้ ว่าคร้มีหนูา
ที่ทีจ
่ ะจัดเรียบเรียงความรู้อย่างมีระบบ และสอนความ
คิ ด รวบยอดใหม่ ที่นัก เรี ย นจะตู อ งเรี ย นรู้ ซึ่ง แตกต่ า ง
กั บ แนวคิ ด ของพี อ าเจต์ แ ละบร้ น เนอร์ ที่ เ นู น ความ
สำา คั ญ ของผู้ เ รี ย น นอกจากนี้ ท ฤษฎี ข องออซุ เ บลเป็ น
ทฤษฎีทีอ ่ ธิบายการเรียนรู้อย่างมีความหมายเท่านัน ้

ทฤษฎี ก ารเรี ย นรู้ ท างสั ง คมเชิ ง พุ ท ธิ ปั ญญา (Social


Cognitive Learning Theory)

เป็ นทฤษฎี ข องศาสตราจารย์ บั น ด้ ร า แห่ ง มหาวิ


ท ย า ลั ย ส แ ต น ฟ อ ร์ ด (Stanford) ป ร ะ เ ท ศ
สหรั ฐ อเมริ ก า บั น ด้ ร ามี ค วามเชื่ อว่ า การเรี ย นรู้ ข อง
มนุษย์ส่วนมากเป็ นการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการ
เ ลี ย น แ บ บ แ ล ะ เ นื่ อ ง จ า ก ม นุ ษ ย์ มี ป ฏิ สั ม พั น ธ์
(interact) กับสิง ่ แวดลูอมทีอ ่ ย่้รอบ ๆ ตัวอย่้เสมอ
บันด้ราอธิบายว่ าการเรีย นรู้ เกิด จาก
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดลูอมในสังคม ซึ่ง
ทัง
้ ผู้เรียน และสิง
่ แวดลูอมมีอิทธิพลต่อกันและกัน

ความคิ ด พื้ นฐานของทฤษฎี ก ารเรี ย นรู้ ท างสั ง คมเชิ ง


พุทธิปัญญา

บั น ด้ ร า ไ ดู ใ หู ค ว า ม สำา คั ญ ข อ ง ก า ร
ปฏิสัมพันธ์ของอินทรีย์และสิ่งแวดลูอม และถือว่าการ
เรี ย นรู้ ก็ เ ป็ นผลของปฏิ สั ม พั นธ์ ร ะหว่ า งผู้ เ รี ย นและสิ่ง
แวดลูอม โดยผู้เรียนและสิ่งแวดลูอมมีอิทธิพลต่อกั น
และกั น บั นด้ ร าไดู ถื อ ว่ า ทั ง ้ บุ ค คลที่ตู อ งการจะเรี ย นรู้
และสิ่ ง แวดลู อ มเป็ นสาเหตุ ข องพฤติ ก รรมและไดู
อธิบายการปฏิสัมพันธ์ ดังนี้
บั น ด้ ร า ไ ดู ใ หู ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง ข อ ง ก า ร เ รี ย น รู้
(Learning) แ ล ะ ก า ร ก ร ะ ทำา (Performance) ว่ า
ความแตกต่ า งนี้ สำา คั ญ มาก เพราะคนอาจจะเรี ย นรู้
อะไรหลายอย่ า งแต่ ไ ม่ ก ระทำา เป็ นตู น ว่ า นิ สิ ต และ
นักศึกษาทุกคนที่กำา ลังอ่านตำา รานี้ คงจะทราบว่ า การ
โ ก ง ใ น ก า ร ส อ บ นั ้ น มี พ ฤ ติ ก ร ร ม อ ย่ า ง ไ ร แ ต่ นิ สิ ต
นักศึกษาเพียงนูอยคนทีจ ่ ะทำาการโกงจริง ๆ บันด้ราไดู
สรุปว่า
พฤติกรรมของมนุษย์อาจจะแบ่ง
ออกไดูเป็ น 3 ประเภท

2.1 พฤติกรรมสนองตอบที่เกิดจากการเรียนรู้ ผู้


ซึง
่ แสดงออก หรือ กระทำาสมำ่าเสมอ
2.2 พฤติกรรมที่เรียนรู้แต่ไม่เคยแสดงออกหรือ
กระทำา

2.3 พฤติกรรมที่ไม่เคยแสดงออกทางการ
กระทำา เพราะไม่เคยเรียนรู้จริง ๆ

บั น ด้ ร า ไ ดู ใ หู ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง ข อ ง ก า ร เ รี ย น รู้
(Learning) แ ล ะ ก า ร ก ร ะ ทำา (Performance) ว่ า
ความแตกต่ า งนี้ สำา คั ญ มาก เพราะคนอาจจะเรี ย นรู้
อะไรหลายอย่ า งแต่ ไ ม่ ก ระทำา เป็ นตู น ว่ า นิ สิ ต และ
นักศึกษาทุกคนทีก ่ ำาลังอ่านตำารานี้
คงจะทราบว่ า การโกงในการสอบนั ้ น มี
พฤติกรรมอย่างไร แต่นิสิตนักศึกษาเพียงนูอยคนที่จะ
ทำาการโกงจริง ๆ บันด้ราไดูสรุปว่า

พฤติกรรมของมนุษย์อาจจะแบ่งออกไดูเป็ น 3
ประเภท

2.1 พฤติกรรมสนองตอบที่เกิดจากการเรียนรู้
ผู้ ซึ่ ง แ ส ด ง อ อ ก ห รื อ
ก ร ะ ทำา ส มำ่ า เ ส ม อ
2.2 พฤติกรรมที่เรียนรู้แต่ไม่เคยแสดงออก
หรือกระทำา
2.3 พฤติ ก รรมที่ ไ ม่ เ คยแสดงออกทางการ
กระทำาเพราะไม่เคยเรียนรู้จริงๆ
บันด้รา ไม่เชื่อว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจะคงตัวอย่้
เสมอ ทัง ้ นี้ เป็ นเพราะสิ่งแวดลูอมเปลีย ่ นแปลงอย่้เสมอ
และทัง ้ สิ่งแวดลูอมและพฤติกรรมมีอิทธิพลซึ่งกันและ
กัน ตัวอย่างเช่น เด็กที่มีพฤติกรรมกูาวรูาวก็คาดหวัง
ว่ า ผู้ อ่ ื นจะแสดงพฤติ ก รรม กู า วรู า วต่ อ ตนดู ว ย ความ
คาดหวั ง นี้ ก็ ส่ ง เสริ ม ใหู เ ด็ ก แสดงพฤติ ก รรมกู า วรู า ว
และผลพวงก็คือว่า เด็กอื่น (แมูว่าจะไม่กูาวรูาว) ก็จะ
แสดงพฤติกรรมตอบสนองแบบกูาวรูาวดูวย และเป็ น
เหตุ ใ หู เ ด็ ก ที่ มี พ ฤติ ก รรมกู า วรู า วยิ่ ง แสดงพฤติ ก รรม
กูาวรูาวมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็ นการยำ้าความคาดหวังของตน
บันด้ราสรุปว่า “เด็กที่มีพฤติกรรมกูาวรูาว จะสรูาง
บรรยากาศกู า วรู า วรอบ ๆ ตั ว จึ ง ทำา ใหู เด็ ก อื่ นที่ มี
พฤติ ก รรมอ่ อ นโยนไม่ กู า วรู า วแสดงพฤติ ก รรมตอบ
สนองกู า วรู า ว เพราะเป็ นการแสดงพฤติ ก รรมต่ อ สิ่ ง
แวดลูอมทีก ่ ูาวรูาว”

ความหมายของจิตวิทยาการ
เรียนรู้

ความหมายของจิตวิทยาการเรียนรู้

จิตวิทยา ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Psychology มี


รากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำา คือ Phyche แปลว่า
วิญญาณ กับ Logos แปลว่า การศึกษา ตามร้ปศัพท์
จิตวิทยาจึงแปลว่า วิชาทีศ ่ ึกษาเกีย
่ วกับวิญญาณ แต่
ในปั จจุบัน
นี้ จิตวิทยาไดูมีการพัฒนาเปลีย ่ นแปลงไป ความ
หมายของจิตวิทยาไดูมีการพัฒนาเปลีย ่ นแปลงตามไป
ดูวย นัน ่ คือ จิตวิทยาเป็ นศาสตร์ที่ศึกษากีย่ วกับ
พฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์
การเรี ย นรู้ (Lrarning) ตามความหม าย ทาง
จิ ต วิ ท ยา หมายถึ ง การเปลี่ ย นแปลงพฤติ ก รรมของ
บุคคลอย่างค่อนขูางถาวร อันเป็ นผลมาจากการฝึกฝน
หรือการมีประสบการณ์ พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงที่ไม่
จั ด ว่ า เกิ ด จากการเรี ย นรู้ ไดู แ ก่ ฤติ ก รรมที่ เ ป็ นการ
เปลี่ยนแปลงชัว ่ คราว และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ทีเ่ นื่ องมาจากวุฒิภาวะ

จากความหมายดังกล่าว พฤติกรรมของบุคคลที่
เกิดจากการ เรียนรู้จะตูองมีลักษณะสำาคัญ ดังนี้

1. พฤติกรรมทีเ่ ปลีย ่ นไปจะตูองเปลีย ่ นไปอย่าง


ค่อนขูางถาวร จึงจะถือว่าเกิดการเรียนรู้ข้ึน หาก
เป็นการ เปลีย ่ นแปลงชัว ่ คราวก็ยังไม่ถือว่าเป็ นการ
เรียนรู้ เช่น นักศึกษาพยายามเรียนรู้การออกเสียง
ภาษาต่างประเทศ บางคำา หากนักศึกษาออกเสียงไดู
ถ้กตูองเพียงครัง ้ หนึ่ง แต่ไม่สามารถออกเสียงซำ้าใหูถ้ก
ตูองไดูอีก ก็ไม่นับว่า นักศึกษาเกิดการเรียนรู้การออก
เสียงภาษาต่างประเทศ ดังนัน ้ จะถือว่านักศึกษาเกิด
การเรียนรู้ก็ต่อเมื่อออก เสียงคำา ดังกล่าวไดูถ้กตูอง
หลายครัง ้ ซึง
่ ก็คือเกิดการเปลีย ่ นแปลงพฤติกรรมที่
ค่อนขูางถาวรนัน ่ เอง
อย่างไรก็ดี ยังมีพฤติกรรมทีเ่ ปลีย ่ นแปลง
ไปจากเดิมแต่เปลีย ่ นแปลงชัว ่ คราวอัน เนื่ องมาจาก
การที่ ร่างกายไดูรับสารเคมี ยาบางชนิ ด หรือเกิดจาก
ความเหนื่ อยลูา เจ็บป่ วยลักษณะดังกล่าวไม่ถือว่า
พฤติกรรมทีเ่ ปลีย ่ นไปนัน้ เกิดจากการเรียนรู้

2. พฤติกรรมทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปจะตูองเกิดจาก


การฝึกฝน หรือเคยมีประสบการณ์นัน ้ ๆ มาก่อน เช่น
ความ สามารถในการใชูคอมพิวเตอร์ ตูองไดูรับการ
ฝึกฝน และถูาสามารถใชูเป็ นแสดงว่าเกิดการเรียนรู้
หรือความ สามารถในการขับรถ ซึง ่ ไม่มีใครขับรถเป็ น
มาแต่กำาเนิ ดตูองไดูรับการฝึกฝน หรือมีประสบการณ์
จึงจะขับรถเป็ น ในประเด็นนี้ มีพฤติกรรมบางอย่างที่
เกิดขึ้นโดยทีเ่ ราไม่ตูองฝึกฝนหรือมีประสบการณ์
ไดูแก่ พฤติกรรมทีเ่ กิดขึ้นจากกระบวนการเจริญ
เติบโต หรือการมีวุฒิภาวะ และพฤติกรรมทีเ่ กิดจาก
แนวโนูมการตอบสนองของเผ่าพันธ์ุ (โบเวอร์ และอัล
การ์ด 1987, อูางถึงใน ธีระพร อุวรรณโน,2532:285)
ขอยกตัวอย่างแต่ละดูานดังนี้

ในดูานกระบวนการเจริญเติบโต หรือการมีวุฒิ
ภาวะ ไดูแก่ การทีเ่ ด็ก 2 ขวบสามารถเดินไดูเอง ขณะ
ที่ เด็ก 6 เดือน ไม่สามารถเดินไดูฉะนัน ้ การเดินจึงไม่
จัดเป็ นการเรียนรู้แต่เกิดเพราะมีวุฒิภาวะ เป็ นตูน
ส่วนใน ดูานแนวโนูมการตอบสนองของเผ่าพันธ์ุโบ
เวอร์ และฮิลการ์ด ใชูในความหมาย ทีห ่ มายถึงปฏิ
กริยาสะทูอน (Reflex) เช่น กระพริบตาเมื่อฝุ่นเขูาตา
ชักมือหนี เมื่อโดนของรูอน พฤติกรรมเหล่านี้ ไม่ไดูเกิด
จากการเรียนรู้ แต่เป็ นพฤติกรรมทีเ่ กิดขึ้นเองตาม
ธรรมชาติของเผ่าพันธ์ุมนุษย์

การเรียนรู้ของคนเรา เกิดจากการไม่รู้ไปส่้การ
เรียนรู้ มี 5 ขัน
้ ตอนดังที่ กฤษณา ศักดิศ ์ รี (2530)
กล่าวไวูดังนี้
"…การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อสิ่งเรูา (stimulus) มาเรูา
อินทรีย์ (organism) ประสาทก็ต่ ืนตัว เกิดการรับ
สัมผัส หรือเพทนาการ (sensation) ดูวยประสาททัง ้
5 แลูวส่งกระแสสัมผัสไปยังระบบประสาทส่วนกลาง
ทำาใหูเกิดการแปลความหมายขึ้นโดยอาศัย
ประสบการณ์เดิมและอื่น ๆ เรียกว่า สัญชาน หรือการ
รับรู้ (perception) เมื่อแปลความหมายแลูว ก็จะมี
การสรุปผลของการรับรู้เป็ นความคิดรวบยอดเรียกว่า
เกิดสังกัป (conception) แลูวมีปฏิกิริยาตอบสนอง
(response) อย่างหนึ่งอย่างใดต่อสิง ่ เรูาตามทีร่ ับรู้
เป็นผลใหูเกิดการเปลีย ่ นแปลงพฤิตกรรม แสดง
ว่าการเรียนรู้ไดูเกิดขึ้นแลูวประเมินผลทีเ่ กิดจากการ
ตอบสนองต่อสิง ่ เรูาไดูแลูว…"
การเรียนรู้เป็ นพื้นฐานของการดำาเนิ นชีวิต มนุษย์
มีการเรียนรู้ตัง ้ แต่แรกเกิดจนถึงก่อนตาย จึงมีคำากล่าว
เสมอว่า "No one too old to learn" หรือ ไม่มีใคร
แก่เกินทีจ ่ ะเรียน การเรียนรู้จะช่วยในการพัฒนา
คุณภาพชีวิตไดูเป็ นอย่างดี
ธรรมชาติของการเรียนรู้ มี 4 ขัน
้ ตอน คือ

1. ความตูองการของผู้เรียน (Want) คือ ผู้


เรียนอยากทราบอะไร เมื่อผู้เรียนมีความตูองการ
อยากรู้อยากเห็นในสิง ่ ใดก็ตาม จะเป็ นสิง ่ ทีย
่ ัว
่ ยุใหูผู้
เรียนเกิดการเรียนรู้ไดู
2. สิง่ เรูาทีน ่ ่าสนใจ (Stimulus) ก่อนทีจ ่ ะเรียนรู้
ไดู จะตูองมีสิง ่ เรูาทีน ่ ่ าสนใจ และน่าสัมผัสสำาหรับ
มนุษย์ ทำาใหูมนุษย์ด้ินรนขวนขวาย และใฝ่ใจทีจ ่ ะ
เรียนรู้ในสิง่ ทีน
่ ่ าสนใจนัน ้ ๆ
3. การตอบสนอง (Response) เมื่อมีสิง ่ เรูาที่
น่าสนใจและน่าสัมผัส มนุษย์จะทำาการสัมผัสโดยใชู
ประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่น ตาด้ ห้ฟัง ลิ้นชิม จม้กดม
ผิวหนังสัมผัส และสัมผัสดูวยใจ เป็ นตูน ทำาใหูมีการ
แปลความหมายจากการสัมผัสสิง ่ เรูา เป็ นการรับรู้ จำา
ไดู ประสานความรู้เขูาดูวยกัน มีการเปรียบเทียบ และ
คิดอย่างมีเหตุผล
4. การไดูรับรางวัล (Reward) ภายหลังจากการ
ตอบสนอง มนุษย์อาจเกิดความพึงพอใจ ซึง ่ เป็ นกำาไร
ชีวิตอย่างหนึ่ง จะไดูนำาไปพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น
การไดูเรียนรู้ ในวิชาชีพชัน ้ ส้ง จนสามารถออกไป
ประกอบอาชีพชัน ้ ส้ง (Professional) ไดู นอกจากจะ
ไดูรับรางวัลทางเศรษฐกิจเป็ นเงินตราแลูว ยังจะไดูรับ
เกียรติยศจากสังคมเป็ นศักดิศ ์ รี และความภาคภ้มิใจ
ทางสังคมไดูประการหนึ่งดูวย

ลำาดับขัน
้ ของการเรียนรู้
ในกระบวนการเรียนรู้ของคนเรานัน ้ จะประกอบ
ดูวยลำาดับขัน
้ ตอนพื้นฐานทีส
่ ำาคัญ 3 ขัน
้ ตอนดูวยกัน
คือ (1) ประสบการณ์ (2) ความเขูาใจ และ (3) ความ
นึ กคิด

1. ประสบการณ์ (experiences) ในบุคคลปกติ


ทุกคนจะมีประสาทรับรู้อย่้ดูวยกันทัง ้ นัน
้ ส่วนใหญ่ที่
เป็นทีเ่ ขูาใจก็คือ ประสาทสัมผัสทัง
้ หูา ซึง
่ ไดูแก่ ตา ห้
จม้ก ลิ้น และผิวหนัง ประสาทรับรู้เหล่านี้ จะเป็ น
เสมือนช่องประต้ทีจ ่ ะใหูบุคคลไดูรับรู้และตอบสนอง
ต่อสิง
่ เรูาต่าง ๆ ถูาไม่มีประสาทรับรู้เหล่านี้ แลูว บุคคล
จะไม่มีโอกาสรับรู้หรือมีประสบการณ์ใด ๆ เลย ซึง ่ ก็
เท่ากับเขาไม่สามารถเรียนรู้สิง ่ ใด ๆ ไดูดูวย
ประสบการณ์ต่าง ๆ ทีบ ่ ุคคลไดูรับนัน้ ย่อมจะแตก
ต่างกัน บางชนิ ดก็เป็ นประสบการณ์ตรง บางชนิ ดเป็ น
ประสบการณ์แทน บางชนิ ดเป็ นประสบการณ์ร้ปธรรม
และบางชนิ ดเป็ นประสบการณ์นามธรรม หรือเป็ น
สัญลักษณ์

2. ความเขูาใจ (understanding) หลังจาก


บุคคลไดูรับประสบการณ์แลูว ขัน ้ ต่อไปก็คือ ตีความ
หมายหรือสรูางมโนมติ (concept) ในประสบการณ์
นัน
้ กระบวนการนี้ เกิดขึ้นในสมองหรือจิตของบุคคล
เพราะสมองจะเกิดสัญญาณ (percept) และมีความ
ทรงจำา (retain) ขึ้น ซึง
่ เราเรียกกระบวนการนี้ ว่า
"ความเขูาใจ"
ในการเรียนรู้นัน้ บุคคลจะเขูาใจประสบการณ์ที่
เขาประสบไดูก็ต่อเมื่อเขาสามารถจัดระเบียบ
(organize) วิเคราะห์ (analyze) และสังเคราะห์
(synthesis) ประสบการณ์ต่าง ๆ จนกระทัง่ หาความ
หมายอันแทูจริงของประสบการณ์นัน ้ ไดู

3. ความนึ กคิด (thinking) ความนึ กคิดถือว่า


เป็นขัน้ สุดทูายของการเรียนรู้ ซึง ่ เป็ นกระบวนการที่
เกิดขึ้นในสมอง Crow (1948) ไดูกล่าวว่า ความ
นึ กคิดทีม ่ ีประสิทธิภาพนัน ้ ตูองเป็ นความนึ กคิดที่
สามารถจัดระเบียบ (organize) ประสบการณ์เดิมกับ
ประสบการณ์ใหม่ทีไ ่ ดูรับใหูเขูากันไดู สามารถทีจ ่ ะ
คูนหาความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ทัง ้ เก่าและ
ใหม่ ซึง ่ เป็ นหัวใจสำาคัญทีจ ่ ะทำาใหูเกิดบ้รณาการการ
เรียนรู้อย่างแทูจริง
การเรียนรู้ ( Learning )

7.1.1 ความหมายของการเรียนร้้
ความหมายของคำาว่า “การเรียนรู” ้ มีนัก
จิตวิทยาไดูใหูความหมายของการเรียนรู้ไวูหลายท่าน
ในทีน ่ ้ี จะสรุปพอเป็ นแนวทางใหูเขูาใจดังนี้ คือ
การเรียนรู้ หมายถึง การทีม ่ นุษย์ไดูรับรู้
ถึงสิง ่ แวดลูอมทีอ ่ ย่้รอบตัวเขา โดยเริม ่ ตูนตัง ้ แต่การมี
ปฏิสนธิอย่้ในครรภ์มารดาเรื่อยไป จนกระทัง่ คลอดมา
เป็นทารกแลูวอย่้รอด ซึง ่ บุคคลก็ตูองปรับตัวเพื่อใหู
ตนเองอย่้รอดกับสิง ่ แวดลูอมทัง ้ ภายในครรภ์มารดา
และเมื่อออกมาอย่้ภายนอกเพื่อใหูชีวิตดำารงอย่้รอด
ทัง ้ นี้ ก็เพราะการเรียนรู้ทัง ้ สิ้น
การเรียนรู้ มีความหมายลึกซึ้งมากกว่าการ
สัง่ สอน หรือการบอกเล่าใหูเขูาใจและจำาไดู
เท่านัน ้ ไม่ใช่เรื่องของการทำาตามแบบ ไม่ไดูมีความ
หมายต่อการเรียนในวิชาต่างๆเท่านัน ้ แต่ความหมาย
คลุมไปถึง การเปลีย ่ นแปลงทางพฤติกรรมอันเป็ นผล
จากการสังเกตพิจารณา ไตร่ตรอง แกูปัญหาทัง ้ ปวง
และไม่ช้ีชัดว่าการเปลีย ่ นแปลงนัน ้ เป็ นไปในทางที่
สังคมยอมรับเท่านัน ้ การเรียนรู้เป็ นการปรับตัวใหูเขูา
กับสิง ่ แวดลูอม การเรียนรู้เป็ นความเจริญงอกงาม
เนูนว่าการเปลีย ่ นแปลงพฤติกรรมทีเ่ ป็ นการเรียนรู้
ตูองเนื่ องมาจากประสบการณ์ หรือการฝึกหัด และ
พฤติกรรมทีเ่ ปลีย ่ นแปลงไปนัน ้ ควรจะตูองมีความ
คงทนถาวรเหมาะแก่เหตุเมื่อพฤติกรรมดัง ้ เดิมเปลีย ่ น
ไปส่้พฤติกรรมทีม ่ ุ่งหวัง ก็แสดงว่าเกิดการเรียนรู้แลูว
การเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการ
เปลีย ่ นแปลงของกิจกรรมในการแสดงปฏิกิริยาตอบ
สนอง ต่อสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ ง
การเรียนรู้ หมายถึง การเปลีย ่ นแปลง
พฤติกรรมอันมีผลมาจากการไดูมีประสบการณ์
การเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการทีท ่ ำาใหู
เกิดกิจกรรม หรือ กระบวนการทีท ่ ำาใหูกิจกรรม
เปลีย ่ นแปลงไปโดยเป็ นผลตอบสนองจากสภาพการณ์
หนึ่งซึง ่ ไม่ใช่ปฏิกิริยาธรรมชาติไม่ใช่วุฒิภาวะและ
ไม่ใช่สภาพการเปลีย ่ นแปลงของร่างกายชัว ่ ครัง

ชัว
่ คราวทีเ่ นื่ องมาจากความเหนื่ อยลูาหรือฤทธิย ์ า
การเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการทีเ่ นื่ องมา
จากประสบการณ์ตรงและประสบการณ์อูอมกระทำาใหู
อินทรีย์เกิดการเปลีย
่ นแปลงพฤติกรรมค่อนขูางถาวร
การเรียนรู้ หมายถึง การเปลีย ่ นแปลงค่อน
ขูางถาวรในพฤติกรรม ซึง ่ เป็ นผลของการฝึกหัด
จากความหมายของการเรียนรู้ขูางตูนอาจ
สรุปไดูว่า การเรียนรู้ หมายถึง การเปลีย ่ นแปลง
พฤติกรรมอันเป็ นผลจากการทีบ ่ ุคคลทำากิจกรรมใดๆ
ทำาใหูเกิดประสบการณ์และเกิดทักษะต่างๆ ขึ้นยังผล
ใหูเกิดการเปลีย
่ นแปลงพฤติกรรมค่อนขูางถาวร

7.1.2 ธรรมชาติของการเรียนร้้

ธรรมชาติของการเรียนรู้โดยทัว ่ ไปนักจิตวิทยาเชื่อ
ว่ามนุษย์จะมีการเรียนรู้ไดูก็ ต่อเมื่อมนุษย์
ไดูทำากิจกรรมใดๆ แลูวเกิดประสบการณ์
ประสบการณ์ทีส ่ ะสมมามากๆ และหลายๆ ครัง ้ ทำาใหู
มนุษย์เกิดการเรียนรู้ข้ึนและเกิดการพัฒนาสิง ่ ที่เรียนรู้
จนเกิดเป็ นทักษะ และเกิดเป็ นความชำานาญ ดังนัน ้
การเรียนรู้ของมนุษย์ก็จะอย่้กับตัวของมนุษย์เรียก
ว่าการเปลีย ่ นแปลงพฤติกรรมทีค ่ ่อนขูางถาวร ดัง
นัน
้ หัวขูอทีน ่ ่าศึกษาต่อไปคือธรรมชาติของการเรียนรู้
ของมนุษย์มีอะไรบูาง ในทีน ่ ้ี ขออธิบายเป็ นขูอๆ คือ
1. การเรียนรู้คือการเปลีย ่ นแปลงพฤติกรรมค่อน
ขูางถาวร
2. การเรียนรู้ย่อมมีการแกูไข ปรับปรุงและ
เปลีย่ นแปลง โดยการเปลีย ่ นแปลง
นัน
้ ๆ จะตูองเนื่ องมาจากประสบการณ์
3. การเปลีย ่ นแปลงชัว ่ ครัง ้ ชัว
่ คราวไม่นับว่าเป็ นการ
เรียนรู้
4. การเรียนรู้ในสิง ่ ใดสิง่ หนึ่ งย่อมตูองอาศัยการ
สังเกตพฤติกรรม
5. การเรียนรู้เป็ นกระบวนการที่ทำาใหูเกิดการ
เปลีย ่ นแปลงพฤติกรรม และ
กระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นตลอดเวลาทีบ ่ ุคคลมี
ชีวิตอย่้ โดยอาศัย
ประสบการณ์ในชีวิต
6. การเรียนรู้ไม่ใช่วุฒิภาวะแต่อาศัยวุฒิภาวะ วุฒิ
ภาวะคือระดับความ
เจริญเติบโตส้งสุดของพัฒนาการทางดูาน
ร่างกาย อารมณ์ สังคมและ
สติปัญญาของบุคคลในแต่ละช่วงวัยทีเ่ ป็ นไปตาม
ธรรมชาติ แต่การเรียนรู้ไม่ใช่
วุฒิภาวะแต่ตูองอาศัยวุฒิภาวะประกอบกัน
7. การเรียนรู้เกิดไดูง่ายถูาสิง
่ ทีเ่ รียนเป็ นสิง
่ ทีม
่ ี
ความหมายต่อผู้เรียน
8. การเรียนรู้ของแต่ละคนแตกต่างกัน
9. การเรียนรู้ย่อมเป็ นผลใหูเกิดการสรูางแบบแผน
ของพฤติกรรมใหม่
10. การเรียนรู้อาจจะเกิดขึ้นโดยการตัง ้ ใจหรือเกิด
โดยบังเอิญก็ไดู ดังร้ปที่ 7.1

ร้ปที่ 7.1 ล้กเป็ ดทีถ


่ ้กคนเลี้ยงคิดว่าคนเป็ นแม่ก็
จะว่ายตามเหมือนไดูใกลูแม่และไดูอาหารจากคน
เลี้ยง เป็ ดเกิดการเรียนรู้นัน ่ เองจะเป็ นการเรียนรู้แบบ
ตัง
้ ใจเพราะคนสอ

7.1.3 องค์ประกอบของการเรียนร้้
1. สิง ่ เรูา ( Stimulus ) เป็ นตัวการทีท
่ ำาใหูบุคคล
มีปฏิกิริยาโตูตอบออกมาและเป็ นตัว
กำาหนดพฤติกรรมว่าจะแสดงออกมาในลักษณะใด สิง ่
เรูาอาจเป็ นเหตุการณ์หรือวัตถุและอาจเกิดภายในหรือ
ภายนอกร่างกายก็ไดู เช่น เสียงนาฬิกาปลุกใหูเรา
ตื่น กำาหนดวันสอบเรูาใหูเราเตรียมสอบ
2. แรงขับ ( Drive ) มี 2 ประเภทคือแรงขับปฐม
ภ้มิ ( Primary Drive ) เช่น ความหิว
ความกระหาย การตูองการพักผ่อน เป็ นตูน และแรง
ขับทุติยภ้มิ ( Secondary Drive ) เป็ นเรื่องของความ
ตูองการทางจิตและทางสังคม เช่น ความวิตก
กังวล ความตูองการความรัก ความปลอดภัย เป็ นตูน
แรงขับทัง ้ สองประเภทเป็ นผลใหูเกิดปฏิกิริยาอันจะนำา
ไปส่้การเรียนรู้
3. การตอบสนอง ( Response ) เป็ นพฤติกรรม
ต่างๆ ทีบ ่ ค ุ คลแสดงออกมาเมื่อไดูรับการ
กระตูุนจากสิง ่ เรูาต่างๆ เช่น คน สัตว์ สิง
่ ของ หรือ
สถานการณ์ อาจกล่าวไดูว่าเป็ นสิง ่ แวดลูอมทีร ่ อบตัว
เรานัน่ เอง
4. แรงเสริม ( Reinforcement ) สิง ่ ทีม
่ าเพิม

กำาลังใหูเกิดการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเรูากับ
การตอบสนอง เช่น รางวัล การตำาหนิ การลงโทษ
การชมเชย เงิน ของขวัญ เป็ นตูน

กระบวนการของการเรียนรู้
กระบวนการของการเรียนรู้มีขัน
้ ตอนดังนี้
คือ
1. มีสิง่ เรูา( Stimulus ) มาเรูา
อินทรีย์ ( Organism )
2. อินทรีย์เกิดการรับ
สัมผัส ( Sensation ) ประสาทสัมผัสทัง ้ หูา ตา ห้
จม้ก ลิ้น ผิวกาย
3. ประสาทสัมผัสส่งกระแสสัมผัสไปยังระบบ
ประสาทเกิดการรับรู้
( Perception )
4. สมองแปลผลออกมาว่าสิง ่ ที่สัมผัสคืออะไรเรียก
ว่าความคิดรวบยอด
( Conception )
5. พฤติกรรมไดูรับคำาแปลผลทำาใหูเกิดความคิด
รวบยอดก็จะเกิดการเรียนรู้ (
Learning )
6. เมื่อเกิดกระบวนการเรียนรู้บุคคลก็จะเกิดการ
ตอบสนอง ( Response )
พฤติกรรมนัน ้ ๆ
ตัวอย่างเช่น เราฝึกสัตว์ใหูสามารถทำากิจกรรม
ใดๆ ก็ไดูอาจเป็ นการเล่นล้กบอลโยนห่วง หรือใหูนก
พิราบจิกบัตรสี หรือหัดใหูลิงชิมแฟนซีวาดร้ปภาพ
ต่างๆ หรือใหูนกแกูวเฝู าบูานโดยส่งเสียงรูองเวลาที่
คนแปลหนูาเขูาบูาน กิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ จะตูองมี
กระบวนการคือมีสิง ่ เรูามาเรูาอินทรีย์ ถูาในทีน่ ้ี อินทรีย์
คือตัวแลคค้น ตัวแลคค้นก็จะรู้สึก การเกิดความรู้สึก
เราเรียกว่าเกิดการรับสัมผัส จะดูวยทางตา ห้ จม้ก ลิ้น
ผิวกาย ประสาทสัมผัสจะทำาใหูเกิดการรับรู้ สมองก็จะ
แปลความหมาย พฤติกรรมทีส ่ มองแปลความหมาย
เรียกว่าเกิดการเรียนรู้ จะใหูเรียนรู้ไดูตูองทำา
บ่อยๆ โดยนักจิตวิทยาใหูแลคค้นจับล้กบอลบ่อยๆ
พรูอมใหูแรงเสริมดูวยอาหารที่เจูาแลคค้นชอบ ก่อน
ใหูอาหารก็ใหูเจูาแลคค้นจับล้กบอลบ่อยๆ ทำาซำ้าๆ
หลายครัง ้ เจูาแลคค้นก็จะเกิดการเรียนรู้ว่าถูาทำา
กิจกรรมจับล้กบอลแลูวพัฒนาไปถึงขัน ้ โยนล้กบอลเขูา
ห่วงก็จะไดูอาหาร การเรียนรู้ก็จะเกิดขึ้น คือถูาเจูา
แลคค้นหิวก็จับลุกบอลโยนห่วงเป็ นตูน ดังแสดงใน
แผนภ้มิ 7.1

สิง
่ เรูา
การเรียนรู้

การสัมผัส
การรับรู้
ความคิดรวบยอด
ปฏิกิริยา
ตอบสนอง
แผนภ้มิ 7.1 แสดงเรื่องกระบวนการเรียนรู้

7.2 ทฤษฎีการเรียนรู้ ( Theory of Learning )

ตามทีเ่ ราใหูความหมายของการเรียนรู้ว่า
การเปลีย ่ นแปลงพฤติกรรมของอินทรีย์ทีค ่ ่อนขูางถาวร
แต่สิง
่ ทีเ่ ราควรศึกษาคือเรื่องของทฤษฎีการเรียนรู้ เพร
าะทฤษฎีเป็ นคำาอธิบายทีม ่ ีระบบแบบแผน ช่วยใหูเกิด
ความเขูาใจและสามารถนำาไปใชูควบคุม หรือทำานาย
พฤติกรรมไดูอีกดูวย เพราะทฤษฎีการเรียนรู้จะช่วย
อธิบายถึงกระบวนการ วิธีการและเงื่อนไขทีท ่ ำาใหูเกิด
การเรียนรู้ รวมทัง ้ อธิบายถึงสภาพสิง
่ แวดลูอมทีม ่ ี
อิทธิพลต่อบุคคลอีกดูวย ซึง
่ ในทีน
่ ้ี จะอธิบายโดย
สังเขปคือ

ทฤษฎีการเรียนร้้แบบวางเงื่อนไข ( Conditioning
Theory )
การเรียนรู้แบบนี้ คือ การทีบ ่ ุคคลมี
ความสัมพันธ์ต่อการตอบสนองต่างๆ ของอินทรีย์กับ
สิง
่ แวดลูอมภายนอกอื่นๆ ทีม ่ ีความเขูมพอทีจ ่ ะเรูา
ความสนใจไดูซึง ่ การเรียนรู้เป็ นการเปลีย ่ นแปลง
พฤติกรรมทีค ่ ่อนขูางถาวรซึง ่ เป็ นผลของประสบการณ์
และการทำาบ่อยๆ หรือการทำาแบบฝึกหัดแสดงใหูเห็น
ว่าเรามีความเขูาใจเบื้องตูนว่าบุคคลไดูเรียนอะไรบาง
อย่างเมื่อพฤติกรรมของเขาเปลีย ่ นแปลงไปในทางใด
ทางหนึ่งนักจิตวิทยาเชื่อว่า เงื่อนไข
( Conditioning ) เป็ นกระบวนการเรียนรู้ขัน ้ พื้น
ฐาน การวางเงื่อนไขมี 2 อย่างคือ การวางเงื่อนไขแบบ
คลาสสิค ( classical Conditioning ) และการวาง
เงื่อนไขแบบการกระทำา ( operant
Conditioning ) การเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขนัน ้ แต่ละ
แบบเนูนตรงเงื่อนไขซึง ่ จะทำาใหูเกิดการตอบสนอง
เฉพาะขึ้น ในการวางเงื่อนไขทัง ้ สองแบบสิง ่ เรูาเฉพาะ
จะเป็นตัวกำาหนดการตอบสนองหรือกำาหนดพฤติกรรม
การเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข เป็ นการเรียนรู้ทีเ่ กิด
เนื่ องมาจากการตอบสนองของอินทรีย์ทีม ่ ีต่อสิง ่ เรูา
ตัง้ แต่สองสิง ่ ขึ้นไป โดยสิง ่ เรูาหนึ่งเป็ นสิง ่ เรูาทีไ ่ ม่มี
อิทธิพลทำาใหูเกิดพฤติกรรมทีต ่ ูองการคือไม่สามารถ
ดึงการตอบสนองออกมาไดูถูาไม่มีเงื่อนไข เรียกว่า สิง ่
เรูาทีต่ ูองการเงื่อนไขหรือสิง ่ เรูาเทียม ส่วนอีกสิง ่ เรูา
หนึ่งเป็ นสิ่งเรูาทีอ ่ ินทรีย์พอใจสามารถดึงการตอบ
สนองออกมาไดูเอง เรียกว่าสิง ่ เรูาทีไ
่ ม่ตูองการวาง
เงื่อนไขหรือสิง ่ เรูาแทูเหตุทีน ่ ำาสิ่งเรูาทีอ ่ ินทรีย์พอใจมา
เขูาค่้กับสิง
่ เรูาทีไ ่ ม่มีอิทธิพลทำาใหูเกิดพฤติกรรมที่
ตูองการ ก็เพื่อใหูสามารถดึงการตอบสนองทีต ่ ูองการ
ออกมาไดูจนในทีส ่ ุดปฏิกิริยาตอบสนองนัน ้ ค่อนขูาง
คงทนถาวร แมูจะนำาสิง ่ เรูาแทูหรือสิง ่ เรูาที่เป็ นเงื่อนไข
ออกไปแลูวปฏิกิริยาตอบสนองเช่นเดิมก็ยังมีอย่้เรียก
ว่า ไดูเกิดการเรียนรู้แลูว โดยจะอธิบายทฤษฎีการวาง
เงื่อนไขทัง ้ สองแบบคือ
7.2.1 การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค ( classical
Conditioning )
การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค ( classical
Conditioning ) ผู้คิดคือ อีวาน พาฟลอฟ
( Ivan Pavlov 1849-1936) นักสรีระวิทยาชาว
รัสเซีย เขาทำาการทดลองเกีย ่ วกับต่อมนำ้าลายและ
ต่อมนำ้าย่อยของสัตว์ เพื่อการศึกษาระบบย่อยอาหาร
พาฟลอฟสังเกตว่าสัตว์จะเริม ่ หลัง่ นำ้ าลายเมื่อไดูรับ
อาหาร ซึง ่ พฤติกรรมนี้ เกิดขึ้นโดยปฏิกิริยาสะทูอน
อัตโนมัติไม่จำาเป็ นตูองมีการเรียนรู้ เขายังสังเกตดูวย
อีกว่าสัตว์เริม ่ หลัง่ นำ้ าลายทันที เมื่อเห็นผู้ทดลองที่เคย
เป็นผู้ใหูอาหารเขูามาในหูองนัน ้ หรือเมื่อมีใครยกจาน
อาหารของสุนัข มันจะนำ้าลายไหลเช่นกันราวกับว่ามัน
กำาลังจะไดูกินอาหารนัน ่ คือสิ่งเรูาที่สัมพันธ์
(associated) กับอาหารทีจ ่ ะทำาใหูเกิดการตอบสนอง
ไดูเช่นกันกับตัวอาหารเอง ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำาใหู
พาฟลอฟสนใจทีจ ่ ะทำาการทดลองเพื่ออธิบายเหตุผล เ
พราะเขาคิดว่าจะเป็ นพื้นฐานของทฤษฎีเกีย ่ วกับการ
ทำางานของสมอง การทดลองของพาฟลอฟไดูแสดงใหู
เห็นกฎเบื้องตูนของการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
พาฟลอฟทำาการทดลองกับสุนัขในหูองทดลอง ก่อ
นการทดลองเขาเจาะต่อมนำ้าลายของสุนัขและต่อ
สายนำ้าลายทีใ ่ หลออกมาส่้หลอดแกูวสำาหรับวัด
ปริมาตรนำ้าลายขณะทำาการทดลองเขานำาสุนัขไปยืนไวู
บนแท่นซึง ่ มีทีย ่ ึดตัวสุนัขเอาไวู มีฉากกัน ้ เอาไวูเพื่อมิ
ใหูสุนัขมองเห็นตัวผู้ทดลองใหูสิง ่ เรูาใจแก่สุนัขและ
บรรณทึกพฤติกรรมอย่้ ก่อนการวางเงื่อนไขนัน ้ ควร
สังเกตสองประการคือ ประการแรก อาหารซึง ่ ใหูแก่
สุนัขเป็ นสิง ่ เรูาทีท ่ ำาใหูเกิดนำ้าลายไหลการตอบสนองนี้
เป็นไปโดยอัตโนมัติเนื่ องจากการใหูอาหารนี้ ยังไม่ใดูมี
การวางเงื่อนไขจึงเรียกว่าสิง ่ เรูาทีไ ่ ม่ไดูวางเงื่อนไข
(Unconditioned stimulus หรือ ucs)นำ้าลายไหล
ตามปกติเมื่อไดูรับอาหารเรียกว่าการตอบสนองทีไ ่ ม่
ไดูวางเงื่อนไข (Unconditioned
response หรือ ucr)ประการทีส ่ องสิง ่ เรูาอื่นๆซึง ่ แต่
เดิมเป็ นสิ่งทีไ ่ ม่เคยทำาใหูสุนัขตอบสนองดูวยการนำ้า
ลายใหลมาก่อน เช่น เสียงกระดิง ่ แสงไฟเป็ นตูน สิง ่
เรูาประเภทนี้ เรียกว่า สิง ่ เรูากลาง(neutral stimulus)
การทดลองขูางตูนต่อไปจะเป็ นขัน ้ ตอนวาง
เงื่อนไขซึง ่ ใชูเวลา 2-3 วันในระยะการใหูเงื่อนไขนัน ้ ผู้
ทดลองเปิดเสียงกระดิง ่ ใหูดังขึ้นต่อจากนัน ้ อีกครึง่
วินาที อาหารจะถ้กส่งไปยังทีใ ่ กลูปากสุนัขโดย
อัตโนมัติ ทำาใหูสุนัขนำ้าลายไหล โดยปรกติแลูวสุนัขจะ
ไม่เคยนำ้าลายไหลเมื่อไดูยินเสียงกระดิง ่ มาก่อนหลัง
จากใหูสิง ่ รูาใจเป็ นเสียงกระดิง ่ ตามดูวยอาหารควบค่้
กัน เช่นนี้ ประมาณ 30 ครัง ้ ต่อมาเมื่อมีเสียงกระดิง ่
สุนัขจะนำ้าลายไหลออกมาไดู เสียงกระดิง ่ ทีท่ ำาใหูสุนัข
นำ้าลายไหลนี้ เรียกว่า สิง ่ เรูาวางเงื่อนไข
(conditioned stimulus หรือ cs) และการตอบ
สนองต่อเสียงกระดิง ่ ดูวยนำ้าลายไหลเป็ นการตอบ
สนองทีว ่ างเงื่อนไข(conditioned response
หรือ CR) การทีส ่ ุนัขนำ้าลายไหลเมื่อไดูยินเสียงกระดิง ่
นัน ้ แสดงว่าสุนัขไดูเกิดการเรียนรู้ความสัมพันธ์ของ
สิง่ เรูาทีค
่ วบค่้กันจนกระทัง่ ตอบสนองต่อเสียงกระดิง ่
ดูวยพฤติกรรมเดียวกันกับการตอบสนองต่ออาหาร กา
รตอบสนองนี้ เป็ นปฏิกิริยาระดับสรีระเท่านัน ้ มิไดูเกีย ่ ว
กับการคิดลำาดับขัน ้ ตอนของการเรียนรู้การวางเงื่อนไข
แบบคลาสสิคแสดงไวูในร้ปแผนภ้มิ 7.2
แผนภ้มิ 7.2 แสดงเรื่องการเกิดการวางเงื่อนไขแบบ
คลาสิก

และจากแผนภ้มิ7.2 นี้ ฟาฟลอฟไดูทดลองกับสุนัขดัง


แสดงในร้ปที่ 7.1

สิง
่ เรูาทีไ
่ ม่ไดูวางเงื่อนไข การตอบสนองที่
ไม่ไดูวางเงื่อนไข
CS ( ผงเนื้ อ ) UCR (
นำ้าลายไหล )

สิง
่ เรูาทีไ
่ ม่ไดูวางเงื่อนไข สิง
่ เรูาทีไ
่ ม่ตูองวาง
เงื่อนไข การตอบสนอง

CS ( กระดิง ่ ) UCR ( ผงเนื้ อ )


ทีไ
่ ม่ตูองวาง
เงื่อนไข UCR

( นำ้าลายไหล )

สิง
่ เรูาทีไดูวางเงื่อนไข การตอบสนองที่
ตูองวางเงื่อนไข
CS ( กระดิง ่ ) UCR ( นำ้าลายไหล
)

ร้ปที่ 7.1 การทดลองของฟลาฟลอฟ

ตัวอย่างการทดลองเกีย ่ วกับการวางเงื่อนไข
แบบคลาสสิคอีกอันหนึ่งคือ การทดลองเรื่องการกระ
พริบตาเมื่อเปาลมไปทีล ่ ้กตาก็จะเกิดการกระพริบตา ก
ารตอบสนองนี้ เป็ นปฏิกิริยาสะทูอนทีไ ่ ม่ไดูวางเงื่อนไข
( unconditioned reflex )ซึง ่ การตอบสนองนี้ เป็ น
ธรรมชาติของมนุษย์และไม่ใช่พฤติกรรมทีเ่ กิดจากการ
เรียนรู้ในสภาพการทดลอง ผู้ทดลองไดูใหูสัญญาณ
เป็นเสียงกริง๊ ล่วงหนูาก่อนการเปผ่าลมไปถ้กล้ก
นัยน์ตาครึง ่ วินาที ผู้ทดลองทำาเช่นนี้ ซ้ ำาๆ ต่อเนื่ องกัน
ระยะหนึ่งการเป่ าลมไปยังล้กนัยน์ตาเป็ นสิ่งเรูาทีไ ่ ม่ไดู
วางเงื่อนไขส่วนเสียงกริง๊ เปู นสิง ่ เรูาทีว
่ างเงื่อนไข เมื่อผู้
ไดูรับการทดลองกระพริบตาเมื่อไดูยินแต่เพียงเสียง
กริง๊ การกระพริบตาหรือการตอบสนองประเภทนี้
เป็นการตอบสนองทีไ ่ ดูมีการวางเงื่อนไข
ในการเรียนรู้ของมนุษย์นัน ้ มีหลายอย่างที่
เราเรียนรู้การตอบสนองต่อสิง ่ เรูา โดยการวางเงื่อนไข
แบบคลาสสิค การเรียนรู้ทางอารมณ์ความรู้สึกและ
เจตคติส่วนใหญ่จะเกิดจากการวางเงื่อนไขแบบ
คลาสสิค เราจะเห็นตัวอย่างไดูจากการโฆษณาสินคูา
การสรูางและการเปลีย ่ นเจตคติเรื่องต่างๆ ของคนใน
สังคมเช่นโฆษณาเมาไม่ขับ เป็ นตูน
กฎของการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
ถูาตูองการทำาใหูการตอบสนองเงื่อนไขยัง
คงมีต่อไปก็จำาเป็ นจะตูองนำาสิง ่ เรูาทีไ
่ ม่วางเงื่อนไขมา
ควบค่้กับสิง ่ เรูาทีว
่ างเงื่อนไขซำ้าอีก การใหูสิง ่ เรูาทีไ่ ม่
ไดูวางเงื่อนไขควบค่้กับสิง ่ เรูาทีว ่ างเงื่อนไขจะเสริมแรง
ความสัมพันธ์ของสิง ่ เรูาทัง้ สอง ถูาหากใหูแต่สิง ่ เรูาที่
วางเงื่อนไขซำ้าแลูวซำ้าอีกโดยปรารถจากสิง ่ เรูาใจทีไ ่ ม่
วางเงื่อนไขการตอบสนองจะอ่อนลง และจะเกิดขึ้น
นูอยลงเมื่อ
ฟาลลอฟสัน ่
กระดิง ่ ( สิง ่
เรูาใจทีว่ าง
เงื่อนไข ) ซู
ำแลูวซำ้าอีก
โดยไม่ใหู
อาหารแก่
สุนัข ( สิง ่
เรูาใจทีไ ่ ม่
ไดูวาง
เงื่อนไข )
นำ้าลายของ
สุนัขจะมี
ปริมาณนูอย
ลงๆ การลด
ลงของการ
ตอบสนองที่
เรียนรู้แลูว
นักจิตวิทยา
เรียกว่า การลดภาวะ ( extinction ) ดังแสดงในร้ป
ที่ 7.2

ร้ปที่ 7.2.1 แสดงเรื่องการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (


ก,ข.ค)

การลดภาวะ ( extinction ) นัน ้ ความเขูมและ


อัตราความถีข ่ องการตอบสนองจะค่อยลดลงและจาง
ลงไป อย่างไรก็ตามการหมดไปนี้ มิใช่หมดส้ญหายโดย
สิ้นเชิง การตอบสนองทีเ่ คยเรียนรู้แลูวนี้ จะฟื้ นกลับคืน
มาไดูอีก ปรากฏการนี้ เรียกว่า การฟื้ นกลับโดยพละ
การ นอกจากนี้ ยังมีกฎอีกสอง
ขูอทีเ่ กีย ่ วกับการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค คือ การแผ่
ขยาย ( generalization ) และการจำาแนกความแตก
ต่าง ( discrimination ) การแพร่ขยายหมายถึง การ
ทีผ ่ ู้เรียนเมื่อพบกับสิง ่ เรูาใจใหม่จะมีการตอบสนอง
เหมือนกันกับสิง ่ เรูาเดิมทีเ่ คยเรียนมาแลูว การแผ่
ขยายจะยิง ่ มีมากถูาสิง ่ เรูาใหม่นัน ้ ยิง
่ มีความเหมือนกับ
สิง่ เรูาเดิมทีเ่ คยเรียนรู้แลูวมนุษย์มีความแผ่ขยาย
ความคิดทางสังคมอารมณ์ และทางความรู้สึก ฯลฯ
บางครัง ้ การแผ่ขยายอาจจะมีมากจนเกินความเป็ นจริง
ก็ไดู ( overgeneralization ) การจำาแนกความแตก
ต่างหมายถึง การทีผ ่ ู้เรียนตอบสนองต่อสิง ่ เรูาใจสอง
สิง ่ หรือหลายสิง ่ แตกต่างกัน เช่น เรียนรู้จากความแตก
ต่างของเครื่องหมายบวก และเครื่องหมายลบเมื่อ
เรียนรู้จำาแนกความแตกต่างไดูมากขึ้น สิง ่ เรูาทีม
่ ีความ
แตกต่างในสิง ่ แวดลูอมก็ยิง ่ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม
ตอบสนองของเรามากขึ้นการจำาแนกความความแตก
ต่างนัน ้ อาจมีมากเกินความจริง
( overdiscrimination ) ไดูเช่นเดียวกันกับการแผ่
ขยายมากเกินไปการแผ่ขยาย และการจำาแนกความ
แตกต่างนัน ้ เป็ นกระบวนการทีเ่ กิดขึ้นต่อเนื่ องกันขณะ
ทีผ ่ ู้เรียนตอบสนองต่อสิง ่ เรูาหนึ่ง เหตุการณ์หนึ่งหรือ
สิง
่ เรูา หรือเหตุการณ์หลายๆอย่าง
7.2.2 วางเงื่อนไขแบบการกระทำา ( operant
Conditioning )
การตอบสนองในแบบของการวางเงื่อนไข
แบบคลาสสิคนัน ้ เป็ นไปโดยเจูาตัวควบคุมการตอบ
สนองโดยตรงไม่ไดูส่วนการตอบสนองในแบบการวาง
เงื่อนไขนัน ้ เราสามารถควบคุมการกระทำาของตนเอง
ไดู เราทำาอะไรหลายอย่างเพราะเรารู้สึกว่าการกระทำา
นัน้ จะใหูผลดีต่อเราและเราทำาอะไรหลายอย่างเพื่อ
หลีกเลีย ่ งประสบการณ์ทีไ ่ ม่ดี เราสามารถเปลีย ่ น
พฤติกรรมของเราไดูเมื่อเราไดูรับผลดีจากการกระทำา
หรือเมื่อกระทำาแลูวเราถ้กลงโทษการเรียนรู้ทางการ
วางเงื่อนไขแบบการกระทำาอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
instrumental learning การตอบสนองต่อเงื่อนไข
แบบนี้ เราตูองมีการกระทำา ( operate ) ต่อสิง ่
แวดลูอม กฎของการวางเงื่อนไขแบบการกระทำาจะ
อธิบายถึงการปรับพฤติกรรม ( shaping
behavior ) และการปรับพฤติกรรม
(behavior modification ) โดยการใชูผลของการก
ระทำาทีจ ่ ะไดูรับการเสริมแรงหรือไดูรับการลงโทษตาม
มา ดังร้ปที่ 7.3

ร้ปที่ 7.3 แสดงเรื่องวางเงื่อนไขแบบ


การกระทำา ( operant Conditioning )
ก่อนการทดลองการวางเงื่อนไขแบบการก
ระทำาเราตูองแน่ใจก่อนว่าผู้เรียนมีความสามารถเบื้อง
ตูนในการตอบสนองอย่างจำาเพาะไดูก่อน เช่น หน้กด
คานไดู นกพิราบจิกไดู เด็กยกมือขึ้นไดูเป็ นตูน ต่อ
จากนัน้ จึงจะนำามาใหูเงื่อนไขเพื่อใหูการตอบสนอง
จำาเพาะนัน ้ เพิม
่ ความเขูมขูนขึ้นหรือเพิม ่ อัตราความถี่
ในการกระทำายิง ่ ขึ้น
สกินเนอร์ ( B.F. Skinner ) ไดูทดลอง
เอาหน้ไปใส่ในกรงทดลองเรียกว่า Skinner box
กล่องนี้ เป็ นกล่องทีป ่ ิ ดมิดชิดเสียงรอดออกไม่ไดู
ภายในมีคานอันเล็กๆและถูวยใส่อาหาร สิง ่ ทีผ
่ ู้ทดลอง
ตูองการใหูหน้ทีถ ่ ้กใส่ลงไปก็คือ กดคานเพื่อทีจ ่ ะไดูรับ
อาหาร ในตอนแรกทีห ่ น้ถ้กนำาไปใส่กล่องมันจะแสดง
การตอบสนองหลายอย่างทีไ ่ ม่เกีย
่ วกับการกดคาน
เช่น วิง
่ ไปรอบๆ กล่อง พยายามปีนผนังหูอง หรือเกา
ตัวเอง เป็ นตูน ในทีส ่ ุดหน้ก็กดคานโดยบังเอิญ ผลที่
ตามมาคือมีอาหารเม็ดเล็กๆ ตกลงมาในถูวยอย่าง
อัตโนมัติ หน้ไดูรับเม็ดอาหารเป็ นรางวัลหลังจากนัน ้
หน้กดคานอีกและไดูรับอาหารอีกต่อเนื่ องกันไป หน้มี
ความสามารถในการกดคานไดูเร็วขึ้นและถีย ่ ิง
่ ขึ้นการ
ตอบสนองทีไ ่ ม่เกีย่ วขูองหายไป

เงื่อนไขทีจ
่ ำาเป็ นในการวางเงื่อนไขแบบการกระทำามี
ปั จจัยสำาคัญ 3 เรื่องคือ
1. การเสริมแรง (Reinforcement )
2. ความต่อเนื่ อง ( Contiguity )
3. การฝึกหัด ( Practice )
สำาหรับการวางเงื่อนไขแบบการกระทำาสามารเขียน แ
ผนภ้มิแสดงไดูตามแผนภ้มิ
7.3

R ( การกดคาน )
S ( เม็ดอาหาร )
แผนภ้มิ 7.3 แสดงเรื่องวางเงื่อนไขแบบ
การกระทำา ( operant Conditioning )

การแผ่ขยายและการจำาแนกอำานาจความแตก
ต่างระหว่างสิง ่ เรูาต่างๆ ดังทีไ ่ ดูกล่าวไวูในเรื่องการ
วางเงื่อนไขแบบคลาสสิคนัน ้ มีควมสำาคัญต่อการเรียน
รู้การวางเงื่อนไขแบบการกระทำาเช่นกัน โดนเฉพาะ
อย่างยิง ่ การเรียนรู้จักการจำาแนกอำานาจความแตกต่าง
ของสิง ่ เรูานัน
้ สำาคัยมากต่อการตอบสนองต่อเงื่อนไข
แบบการกระทำา
ความคิดรวบยอดเกีย ่ วกับการเสริมแรง
( The concept of reinforcement ) ในการ
พิจารณาการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคเราใชูคำาว่า การ
เสริมแรง ในความหมายของการใชูสิง ่ เรูาทีไ่ ม่ไดูวาง
เงื่อนไขควบค่้กับการใหูสิง ่ เรูาที่วางเงื่อนไข ส่วนใน
การวางเงื่อนไขแบบการกระทำา การเสริมแรงการเกิด
ขึ้นของเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เช่น การใหูอาหาร
หรือนำ้า หลังจากการกระทำาทีพ ่ ึงปรารถนา แมูว่าการ
เสริมแรงแตกต่างกันในสถานการณ์ดังกล่าว ผลทีเ่ กิด
ขึ้นในทัง ้ สองกรณี ( ในการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
และการวางเงื่อนไขแบบการกระทำา ) ก็คือ การเพิม ่
ความเป็ นไปไดูของการตอบสนอง ดังนัน ้ แรงเสริมจึง
เป็นเหตุการณ์ใดๆ ทีส ่ ามารถเพิม ่ ความน่ าจะเป็ นของ
การตอบสนองดังจะไดูอธิบายทฤษฎีแรงเสริมต่อไป
ความแตกต่างระหว่างการวางเงื่อนไขแบบ
คลาสสิคกับการวางเงื่อนไขแบบการกระทำา การวาง
เงื่อนไขแบบคลาสสิคนัน ้ เป็ นการตอบสนองของ
อินทรีย์เกิดขึ้นโดยมิไดูอย่้ภายใตูการควบคุมของ
อินทรีย์ การตอบสนองเกิดขึ้นเพราะถ้กสิง ่ เรูาไปดึง
( elicit ) ออกมา เช่นการทีน ่ ้ ำ าลายไหลของสุนัข
เป็นการใชูสิ่งแวดลูอมในร้ปของสิง ่ เรูาต่างๆที่นำามา
เป็นตัวกระทำาต่ออินทรีย์ ส่วนการวางเงื่อนไขแบบ
การกระทำาเป็ นการตอบสนองของอินทรีย์ทีเ่ กิดขึ้น
โดยทีก ่ ารตอบสนองเกิดขึ้นเพราะอินทรีย์เป็ นผู้สัง ่
( emit ) ออกมาและไม่ไดูข้ึนอย่้กับสิง ่ เรูาโดยตรง
เช่นการกดคานของหน้ หรือการจิกแผ่นสีของนกพิราบ
อาจกล่าวไดูว่า อินทรีย์เป็ นผู้แสดงอาการกระทำาต่อสิ่ง
แวดลูอม
ในแง่ของการเรียนรู้ การวางเงื่อนไขแบบ
คลาสสิคนัน ้ เป็ นการเรียนรู้ทีเ่ กิดโดยไม่ไดูอย่้ใตูการ
ควบคุมของจิตใจ เช่นนำ้าลายของสุนัขไหลเป็ นไปโดย
อย่้นอกบังคับของจิตใจ ส่วนการเรียนรู้แบบการวาง
เงื่อนไขแบบการกระทำานัน ้ เป็ นการเรียนรู้ทีอ ่ ินทรีย์
กระทำาไปโดยจงใจ คืออย่้ใตูบังคับของจิตใจ เช่นการ
กดคานของหน้ เมื่อหน้ไดูอาหารหน้ก็เลือกพฤติกรรม
กดคานเมื่อรู้สึกหิวดังนัน ้ การกดคานจึงอยู้ภายใตู
บังคับของจิตใจ
7.2.3 ทฤษฎีสิง ่ เสริมแรง
(Reinforcement Theory )
เบอร์ฮัส เฟดเดอริค สกินเนอร์ (Burrhus
Federick Skinner) นักจิตวิทยาพัฒนาทฤษฎีสิง ่ เส
รีมแรงเรียกว่า สิง ่ เสริมแรงทางบวก(Positive
Reinforcement) ใชูหลักการจ้งใจแต่ละบุคคลใหู
ทำางานไดูอย่างเหมาะสม โดยชการออกแบบและจัด
สภาพแวดลูอมในการทำางานใหูมีบรรยากาศน่ าทำางาน
ในการยกย่องชมเชยบุคคลทีม ่ ีประสิทธิภาพในการ
ทำางานดี และใชูการลงโทษซึง ่ ทำาใหูเกิดผลลบแก่
บุคคลทีม ่ ีประสิทธิภาพในการทำางานตำ่ามาก
สกินเนอร์ไดูทำาการจ้งใจในขัน ้ ทีส่ ้งกว่า
ใหูการยกย่องชมเชยแก่พนักงานทีท ่ ำางานมี
ประสิทธิภาพดี โดยจัดใหูมีการวิเคราะห์สภาพการ
ทำางาน เพื่อหาสาเหตุว่าทำาไมพนักงานจึงตูองทำางาน
เหมือนอย่างเดิมทีเ่ คยทำาอย่้ สกินเนอร์เป็ นผู้เริม ่ ใหู
เกิดการเปลีย ่ นแปลงในการทำางานโดยใหูพนักงาน
แจูงปั ญหาทีเ่ กิดขึ้นในหน่วยงานและอุปสรรคทีม ่ าขัด
ขวางในการทำางาน มีการจัดตัง่ เปู าหมายในการทำางาน
ขึ้น โดยเฉพาะใหูมีการร่วมมือของพนักงาน มีการช่วย
แหลือพนักงานในการทำางานมีการจัดใหูมีการรายงาน
ผลปู อนขูอม้ลส่งกลับแบบธรรมดาอย่างรวดเร็วฉับ
พลัน ทำาใหูประสิทธิภาพการทำางาน ถึงแมูว่าบางครัง ้
การทำางานจะไม่ไดูประสิทธิภาพในการทำางานตามเปู า
หมายทีต ่ ัง
้ ไวู มีหลายอย่างทีจ ่ ะช่วยเหลือพนักงาน
ทำางานไดู การจ้งใจทีท ่ ำางานดีก็มีคำายกย่องชมเชย แล
ะพบว่าจะเป็ นประโยชน์ต่อบริษท ั อย่างมากถูาสามารถ
จ้งใจใหูพนยักงานใหูความร่วมมือในการทำาหนูาทีใ ่ หู
ข่าวสารอย่างสมบ้รณ์เกีย ่ วกับปั ญหาทีข ่ องบริษท ั โดย
เฉพาะในส่วนทีเ่ กีย ่ วขูองกับตัวพนักงาน
เทคนิ คการทำางานทีม ่ ีช่ ือเสียงเกือบ
ทัง้ หมดจะเป็ นแบบง่ายสำาหรับการทำางาน นัก
วิทยาศาสตร์ทางดูานพฤติกรรมและผู้จัดการเป็ น
จำานวนมากต่างมีความสงสัยในเรื่องประสิทธิภาพการ
ทำางาน แต่มีบริษท ั ทีม่ ีช่ ือเสียงในการทำางานคูนพบว่า
การจ้งใจพนักงานใหูทำางานอย่างมีประสิทธิภาพตูอง
ใชูแนวทางการใหูผลประโยชน์ตอบแทน
แนวทางการจ้งใจของสกินเนอร์ที่ใชูไดู
ผล ตูองมีการจัดการทีด ่ ี เนูนการขจัดอุปสรรคทีข ่ ัด
ขวางประสิทธิภาพการทำางาน ควบคุมการทำางานโดย
ผ่านกระบวนการรายงานผลปู อนขูอม้ลข่าวสารส่งกลับ
และขยายการติดต่อสื่อสารใหูทัว ่ ถึงกับพนักงานทุกคน
สิง
่ เสริมแรงและการลงโทษ(Reintorcement an
d Punishment)
การใหูรางวัลและการใหูโทษในหน่วย
งาน องค์การเป็ นทีท ่ ราบกันดีว่า มีผลกระทบต่อ
พฤติกรรมของบุคคล ถูาเราตูองการใหูบุคคลทำางาน
ในแนวทางที่เหมาะสม เราก็ควรจ้งใจบุคคลเหล่านัน ้
โดยการใหูสิง ่ เสริมแรงเอใหูเขาทำางานใหูตามที่เรา
ตูองการ จากผลการศึกษาเป็ นจำานวนมากแสดงใหู
เห็นว่า การผู้บริหารมีการใชูวิธีการใหูรางวัลและการ
ใหูโทษ ย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการ
ทำางาน และความพอใจในการทำางานในกลุ่มบุคคล ผู้
ร่วมงาน การใหูรางวัลอย่างเหมาะสมคือ ใหูรางวัลแก่
ผู้ทำางานทีม ่ ีผลงานดี และไม่ใหูรางวัลแก่บุคคลที่
ทำางานไม่มีประสิทธิภาพ ผู้บริหารทีไ ่ ม่รู้จักใหูรางวัล
อย่างเหมาะสมจะทำาใหูบุคคลทีท ่ ำางานเกิดความรู้สึก
ไม่พอใจว่า ไม่ไดูรับความยุติธรรม ทำาใหูผลผลิตมี
แนวโนูมลดลง และทำาใหูกลุ่มของผู้ใตูบังคับบัญชา
เกิดความรู้สึกไม่พอใจมากขึ้น ดังนัน ้ การรู้จักใชูการใหู
รางวัลอย่างเหมาะสมจะช่วยทำาใหูเกิดความพอใจใน
การทำางานและเพิม ่ ประสิทธิภาพการทำางาน
สิง ่ ล่อใจ (Incentives )
สิง
่ ล่อใจ จัดว่าเป็ นการจ้งใจโดยการใหู
รางวัล นับว่ามีความสำาคัญต่อการกระตูุนพฤติกรรม
สเปนซ์(Spence) เชื่อว่า สิง ่ ล่อใจของทฤษฏีการจ้งใจ
ประกอบดูวย ลัทธิพฤติกรรมและแนวทางความเขูาใจ
ตัง
้ อย่้บนสมมติฐานทีว ่ ่า พฤติกรรมเป็ นสิง ่ ชี้นำาไปส่้จุด
หมายปลายทางและบุคคลนัน ้ ก็มีความพยายามทีจ ่ ะ
ทำาใหูไดูรับประเภทสิง ่ ล่อใจทางบวก(สิง ่ ทีป ่ รารถนา)
และพยายามหลีกเลีย ่ งสิง ่ ล่อใจทางลบ(สิง ่ ทีไ่ ม่
ปรารถนา)
ประเภทของสิง ่ ล่อใจ (Types of Incentives)
สิง่ ล่อใจอาจจัดแบ่งเป็ น 5 ประเภทคือ
ประเภทที่ 1 สิง ่ ล่อใจปฐม
ภ้ม(ิ Primary Incentives) เป็ นสิง ่ ล่อใจที่สามารถ
ทำาใหูเกิดความพึงพอใจในดูานความตูองการทางดูาน
สรีระ เพื่อความมีชีวิตอย่้รอด ไดูแก่ ปั จจัย 5 คือ อาห
าร,เสื้อผูา,ทีอ ่ ย่้อาศัย,ยารักษาโรคและความตูองการ
ทางเพศ
ประเภทที่ 2 สิง ่ ล่อใจทุติย
ภ้ม(ิ Secondary Incentives) เป็ นสิง ่ ล่อใจทีท ่ ำาใหู
เกิดประสบการณ์แปลกใหม่ และมีการเรูาใจใหูเกิด
การเปลีย ่ นแปลงในหนูาทีก ่ ารทำางานทีต ่ รงกับความ
สนใจ ความถนัด ทูาทายความสามารถหรือเป็ นงาน
ใหม่ทีล ่ ดความจำาเจซำ้าซาก ทีท ่ ำาใหูเกิดความหนูาเบื่อ
หน่ายต่อผู้ปฏิบัติงานหรือเป็ นงานทีม ่ ีการแข่งขันใชู
ความรู้ความสามารถ ซึง ่ ตรงกับลักษณะทีเ่ ป็ นบุคคลที่
มีความกระตือรือรูน มีความขยันหมัน ่ เพียร ตัง ้ ใจการ
ทำางานอย่างจริงจัง
ประเภทที่ 3 สิง ่ ล่อใจทางสังคม
(Social Incentives) เป็ นสิง ่ ล่อใจที่เกีย ่ วกับการ
ใหูการยอมรับยกย่องนับถือ ใหูความไวูวางใจ ใหูความ
เชื่อถือ ใหูอิสรภาพและการแสดงความคิดเห็นเสนอ
แนะทีด ่ ีในการทำางาน โดยกระทำาใหูเป็ นทีป ่ รากฏและ
รู้จักแก่เพื่อนร่วมงาน ผู้บริหารงาน และบุคคลทีเ่ รา
ยอมรับและนับถือนี้ เป็ นบุคคลทีม ่ ีผลงานดีเด่น มี
ความประพฤติเป็ นตัวอย่างทีด ่ ีไดูจะทำาใหูผู้ร่วมงานดี
มีความรู้สึกว่าตนสำาคัญต่อหน่วยงาน และจะมีกำาลังใน
การทำางานเพิม ่ มากขึ้น

ประเภทที่ 4 สิง ่ ล่อใจทีเ่ ป็ นเงิน


(Monetary Incentives) สิง ่ ล่อใจทีเ่ ป็ นเงินเป็ นการ
ใหูผลประโยชน์ตอบแทนแก่บุคคลทีท ่ ำางานมีผลงานดี
หรือผลผลิตเพิม ่ ขึ้น หรือมีผลกำาไรเพิม ่ มากขึ้นเพื่อเป็ น
สิง่ ล่อใจใหูบุคคลทีท ่ ำางานดีอย่้แลูว หรือบุคคลที่
ทำางานยังไม่ถึงเกณฑ์ระดับดีไดูมีของขวัญและกำาลังใจ
เพิม ่ ขึ้นทีจ
่ ะอุทิศทัง ้ สติปัญญา พลังร่างกายใหูแก่การ
ทำางานอย่างเต็มที่
สิง
่ ล่อใจทีเ่ ป็ นเงิน ไดูแก่ ค่าจูาง ค่าล่วง
เวลา สวัสดิการ โบนัส และรางวัลเป็ นตูน สิง ่ ล่อใจที่
เป็นเงินนี้ มีอิทธิพลต่อบุคคลทีท ่ ำางาน ถูาไดูรับการ
เอาใจใส่ด้แลจากผู้บริหารก็สามารถจัดเป็ นผล
ประโยชน์ตอบแทนใหูแก่ผู้ปฏิบัติงานไดูอย่างเหมาะ
สม จะทำาใหูผู้ปฏิบัติงานมีความรู้สึกว่าผู้บริหารมีความ
ยุติธรรมในการบริหารงานและจะทำาใหูเกิดความพอใจ
ทีจ ่ ะทำางานใหูมีผลงานหรือผลผลิตและกำาไรเพิม ่ มาก
ขึ้น เป็ นสัดส่วนโดยตรงกับผลประโยชน์ตอบแทนทีผ ่ ู้
ปฏิบัติงานไดูรับ
ประเภทที่ 5 สิง ่ ล่อใจทีเ่ ป็ น
กิจกรรม(Activity Incentives) เป็ นสิง ่ ล่อใจที่เกีย
่ ว
กับกิจกรรมทำางานตามตำาแหน่งหนูาที่ ผู้บริหารงาน
มีหนูาทีจ ่ ะตูองจัดการใหูผู้ทำางานไดูทำางานตรงกับ
ความรู้ความสามารถ ความสนใจ ความถนัด เพื่อ
เป็นการจ้งใจในการทำางาน ผู้บริหารงานสามารถจัดใหู
มีการแข่งขันในการทำางาน โดยกำาหนดเปู าหมายเป็ น
จำานวนผลงานหรือผลผลิตภายในเวลาเท่าใดและ
กำาหนดการใหูรางวัลแก่ผู้ทำางานที่สามารถทำางานไดู
ตามเกณฑ์ทีก ่ ำาหนดไวู วิธีดังกล่าวนี้ จะเป็ นการจ้งใจผู้
ทำางานเกิดความรู้สึกอยากจะทำางานใหูมีผลงานหรือ
ผลผลิตเพิม ่ ขึ้น
สิง
่ ล่อใจทีเ่ ป็ นกิจกรรมนี้ เราจะเห็นไดูจาก
บริษทั ประกันชีวิต ถูาพนักงานขายประกันชีวิตทำาการ
ขายประกันชีวิตในรอบปีไดูจำานวนเงินยอดขายถึงเปู า
หมายหรือเกินกว่าเปู าหมายทีท ่ างบริษท
ั ประกันชีวิต
ไดูกำาหนดไวู พนักงานผู้นัน ้ ก็จะไดูรับรางวัลเป็ น
รายการเดินทางไปด้งานรอบโลกหรือเดินทางไปด้รอบ
ทวีปยุโรป หรือรอบทวีปเอเชีย การจัดกิจกรรมดัง
กล่าวเป็ นการส่งเสริมพนักงานขายประกันชีวิตไดูมี
ขวัญและกำาลังใจในการขายกรมธรรม์ประกันชีวิตไดู
เพิม
่ มากขึ้น ซึง่ เป็ นผลดีและสรูางความมัน ่ คงใหูแก่
กิจการของบริษท ั ประกันชีวิตอีกดูวย

จิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม
(Cognitivism)

จิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม
(Cognitivism)

กลุ่มพุทธินิยม หรือกลุ่มความรู้ความเขูาใจ หรือกลุ่มที่


เนูนกระบวนการทางปั ญญาหรือความคิด นักคิดกลุ่มนี้
เชื่อว่า การเรียนรู้เป็ นกระบวนการทางความคิดทีเ่ กิด
จากการสะสมขูอม้ล การสรูางความหมาย และความ
สัมพันธ์ของขูอม้ล และการดึงขูอม้ลออกมาใชูในการก
ระทำาและการแกูปัญหาต่าง ๆ การเรียนรู้เป็ นกระบวน
การทางสติปัญญาของมนุษย์ในการทีจ ่ ะสรูางความรู้
ความเขูาใจใหูแก่ตนเอง

ทฤษฎีในกลุ่มนี้ ทีสำาคัญ ๆ มี 5 ทฤษฎี คือ


1. ทฤษฎีเกสตอลท์(Gestalt’s Theory)
2. ทฤษฎีสนาม (Field Theory)
3. ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory)
4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา
(Intellectual Development Theory)
5. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (A
Theory of Meaningful Verbal Learning)
ทฤษฎีเกสตอลท์ (Gestalt’s Theory)
กลุ่มเกสตอลท์ เกิดจากนักจิตวิทยาชาวเยอรมัน
โดยมีผู้นำากลุ่มคือ แมกซ์ เวอร์ไธเมอร์ (Max
Wertheimer) และล้กศิษย์ 2 คนไดูแก่ วู้ลฟ์ แกงค์
โคห์เลอร์ (Wolfgang Kohler) เคิร์ท คอฟฟ์ กา
(Kurt Koffka) และเคิร์ท เลวิน (Kurt Lawin) ทัง ้
กลุ่มมีแนวความคิดว่า การเรียนรู้เกิดจากการจัด
ประสบการณ์ทัง ้ หลายทีอ
่ ย่้กระจัดกระจายใหูมารวม
กันเสียก่อน แลูวจึงพิจารณาส่วนย่อยต่อไป เพราะเกส
ตอลท์ (Getstalt) หมายถึง ร้ป แบบแผน (Form or
Pattern) ต่อมาไดูแปลว่า ส่วนรวม (Whole) เพื่อใหู
สอดคลูองกับแนวคิดของกลุ่มทีว ่ ่า “ส่วนรวมมีค่า
มากกว่าผลบวกของส่วนย่อย” (The whole is
greater than the sum of the parts)

ก. ทฤษฎีการเรียนรู้

1) การเรียนรู้เป็ นกระบวนการทางความคิดซึง ่
เป็ นกระบวนการภายในตัวของมนุษย์
2) บุคคลจะเรียนรู้จากสิง ่ เรูาทีเ่ ป็ นส่วนรวมไดู
ดีกว่าส่วนย่อย
3) การเรียนรู้เกิดขึ้นไดู 2 ลักษณะ คือ
3.1) การรับรู้ (Perception) การรับรู้
เป็นกระบวนการทีบ ่ ุคคลใชูประสาทสัมผัสรับสิง ่ เรูา
แลูวถ่ายโยงเขูาส่้สมองเพื่อผ่านเขูาส่้กระบวนการคิด
สมองหรือจิตจะใชูประสบการณ์เดิมตีความหมายของ
สิง
่ เรูาและแสดงปฏิกิริยาตอบสนองออกไปตามที่
สมอง/จิต ตีความหมาย
3.2) การหยัง่ เห็น (insight) เป็ นการ
คูนพบหรือการเกิดความเขูาใจในช่องทางแกูปัญหา
อย่างฉับพลันทันที อันเนื่ องจากผลการพิจารณาปั ญหา
โดยส่วนรวม และการใชูกระบวนการทางความคิดและ
สติปัญญาของบุคคลนัน ้
4) กฎการจัดระเบียบการรับรู้ (perception)
เป็นการแปลความหมายจากการสัมผัสดูวยอวัยวะ
สัมผัสทัง้ 5 ส่วน คือ ห้ ตา จม้ก ลิ้น และผิวหนัง การ
รับรู้ทางสายตาจะประมาณรูอยละ 75 ของการรับรู้
ทัง
้ หมด ดังนัน้ กลุ่มทฤษฎีเกสตัลท์จึงจัดระเบียบการ
รับรู้โดยการแบ่งเป็ น 7 กฎ ดังนี้
4.1) กฎการรับรู้ส่วนรวมและส่วนย่อย
(Law of Pragnanz) ประสบการณ์เดิมมีอิทธิพลต่อ
การรับรู้ของบุคคล การรับรู้ของบุคคลต่อสิง ่ เรูา
เดียวกันอาจแตกต่างกันไดู เพราะการใชูประสบการณ์
เดิมมารับรู้ส่วนรวมและส่วนย่อยต่างกัน
4.2) กฎแห่งความคลูายคลึง (Law of
Similarity) สิง ่ เรูาใดทีม
่ ีลักษณะเหมือนกัน หรือ
คลูายคลึงกัน บุคคลมักรับรู้เป็ นพวกเดียวกัน

จากร้ป จะเห็นจุดกลมทึบตามแนวตัง ้ เด่นและ


เห็นจุดความโปร่ง แนวตัง ้ เด่น ตามแนวนอนมีจุด
ความทึบและโปร่งสลับกัน เราจะไม่เห็นเด่น ในครัง ้
แรกทีม่ องเราตูองตัง ้ ใจจึงจะเห็น
4.3) กฎแห่งความใกลูเคียง/ใกลูชิด
(Law of Proximity) สิง ่ เรูาทีม
่ ีความใกลูเคียงกัน
บุคคลมักรับรู้เป็ นพวกเดียวกัน และถูาทุกสิง ่ ทุกอย่าง
เท่ากัน สิง
่ ทีอ
่ ย่้ใกลูชิดกันจะถ้กรับรู้ดูวยกัน
ร้ป ก ร้ป ข

จากร้ป จะเห็นเสูนขนาน 6 ค่้ ตามแนวตัง ้ แทนเสูน


เดีย
่ ว 12 เสูน ซึง ่ เป็ นการพิส้จน์ (law of
proximity) ของแวร์ไทมเมอร์ โดยตาจะมองเห็น
เสูนตรงตัง
้ ทีอ
่ ย่้ใกลูชิดกันจะถ้กรับรู้พรูอมกัน

4.4) กฎแห่งความสมบ้รณ์ (Law of


Closure) แมูสิง ่ เรูาทีบ ่ ุคคลรับรู้จะยังไม่สมบ้รณ์ แต่
บุคคลสามารถรับรู้ในลักษณะสมบ้รณ์ไดู ถูาบุคคลมี
ประสบการณ์เดิมในสิ่งเรูานัน ้
4.5) กฎแห่งความต่อเนื่ อง สิง ่ เรูาทีม
่ ี
ความต่อเนื่ องกัน หรือมีทิศทางไปในแนวเดียวกัน
บุคคลมักรับรู้เป็ นพวกเดียวกัน หรือเรื่องเดียวกัน หรือ
เป็นเหตุเป็ นผลกัน
4.6) บุคคลมักมีความคงทีใ ่ นความ
หมายของสิง ่ ทีร
่ ับรู้ตามความเป็ นจริง กล่าวคือ เมื่อ
บุคคลรับรู้สิง ่ เรูาในภาพรวมแลูวจะมีความคงทีใ ่ นการ
รับรู้สิง
่ นัน
้ ในลักษณะเป็ นภาพรวมดังกล่าว ถึงแมูว่าสิง ่
เรูานัน้ จะไดูเปลีย ่ นแปรไปเมื่อรับรู้ในแง่มุมอื่น เช่น
เมื่อเห็นปากขวดกลมเรามักจะเห็นว่ามันกลมเสมอ ถึง
แมูว่าในการมองบางมุม ภาพทีเ่ ห็นจะเป็ นร้ปวงรีก็ตาม
4.7) การรับรู้ของบุคคลอาจผิดพลาด
บิดเบือน ไปจากความเป็ นจริงไดู เนื่ องมาจากลักษณะ
ของการจัดกลุ่มสิง ่ เรูาที่ทำาใหูเกิดการลวงตา เช่น เสูน
ตรงในภาพ ก. ด้สัน ้ กว่าเสูนตรงในภาพ ข. ทัง ้ ๆ ที่
ยาวเท่ากัน
เสูน ก.

เสูน ข.
5) การเรียนรู้แบบหยัง่ เห็น (insight) ของโคห์
เลอร์ (Wolfgang Kohler) โดยไดูทำาการทดลองขัง
ลิงชิมแพนซีทีช ่ ่ ือ “สุลต่าน”ไวูในกรงพรูอมท่อนไมู
ขนาดสัน ้ ยาวต่าง ๆ กัน นอกกรงไดูแขวนกลูวยไวูหวี
หนึ่งไกลเกินกว่าทีล ่ ิงจะเอื้อมหยิบไดู ซึง ่ ลิงก็ไดูใชูวิธี
การต่าง ๆ เพื่อใหูไดูกินกลูวย เช่น เอื้อมมือหยิบ ส่ง
เสียงรูอง เขย่ากรง ปีนป่ าย จนกระทัง่ การหยิบไมูมา
เล่น ในทีส ่ ุดลิงก็สามารถใชูไมูสอยกลูวยมากินไดู
สรุปไดูว่า ลิงมีการเรียนรู้แบบหยัง่ เห็น เป็ นการคูนพบ
หรือเกิดความเขูาใจในช่องทางแกูปัญหาอย่างฉับพลัน
ทันที อันเนื่ องมาจากผลการพิจารณาปั ญหาโดยส่วน
รวมและการใชูกระบวนการทางความคิดและสติ
ปั ญญาของอบุคคลนัน ้ ในการเชื่อมโยงประสบการณ์
เดิมกับปั ญหาหรือสถานการณ์ทีเ่ ผชิญ ดังนัน ้ ปั จจัย
สำาคัญของการเรียนรู้แบบหยัง่ เห็นก็คือประสบการณ์
หากมีประสบการณ์สะสมไวูมาก การเรียนรู้แบบหยัง่
เห็นก็จะเกิดขัน ้ ไดูมากเช่นกัน
ข. หลักการจัดการศึกษา / การสอน
1) กระบวนการคิดเป็ นกระบวนการสำาคัญ
ในการเรียนรู้ การส่งเสริมกระบวนการคิดจึงเป็ นสิ่ง
จำาเป็นและเป็ นสิง ่ สำาคัญในการช่วยใหูผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้
2) การสอนโดยการเสนอภาพรวมใหูผู้เรียน
เห็นและเขูาใจก่อนการเสนอส่วนย่อยจะช่วยใหูผู้เรียน
เกิดการเรียนรู้ไดูดี
3) การส่งเสริมใหูผู้เรียนมีประสบการณ์มาก
ไดูรับประสบการณ์ทีห ่ ลากหลายจะช่วยใหูผู้เรียน
สามารถคิดแกูปัญหาและคิดริเริม ่ ไดูมากขึ้น
4) การจัดประสบการณ์ใหม่ ใหูมีความ
สัมพันธ์กับประสบการณ์เดิมของผู้เรียนจะช่วยใหูผู้
เรียนสามารถเรียนรู้ไดูดีและง่ายขึ้น
5) การจัดระเบียบสิง ่ เรูาทีต
่ ูองการใหูผู้เรียน
เกิดการเรียนรู้ไดูดี คือ การจัดกลุ่มสิง ่ เรูาที่เหมือนกัน
หรือคลูายคลึงกันไวูเป็ นกลุ่มเดียวกัน
6) ในการสอน คร้ไม่จำาเป็ นตูองเสียเวลา
เสนอเนื้ อหาทัง ้ หมดทีส ่ มบ้รณ์ คร้สามรรถเสนอเนื้ อหา
แต่เพียงบางส่วนไดู หากผู้เรียนสามารถใชู
ประสบการณ์เดิมมาเติมใหูสมบ้รณ์
7) การเสนอบทเรียนหรือเนื้ อหาควรจัดใหูมี
ความต่อเนื่ องกันจะช่วยใหูผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ไดูดี
และรวดเร็ว
8) การส่งเสริมใหูผู้เรียนไดูรับประสบการณ์
ทีห
่ ลากหลาย จะช่วยใหูนักเรียนเกิดการเรียนรู้แบบ
หยัง่ เห็นไดูมากขึ้น

ทฤษฎีสนาม (Field Theory)


จากทฤษฎีเกสตอลท์ไดูจัดตัง ้ กฎของการจัดระบบ
อย่างสมบ้รณ์แบบเกสตอลท์ คือ กฎ ของ Figure –
Ground ซึง ่ เป็ นทฤษฎีสนามของการรับรู้ โดย เคิร์ท
เลวิน (Kurt Lewin) เป็ นผู้ริเริม ่ ทฤษฎี
“Figure” เป็ นสิง ่ ทีเ่ ราเห็นหรือรับรู้ เป็ น
ศ้นย์กลางของโฟกัส
“ground” คือ พื้นอย่้ขูางหลังของร้ป ทีเ่ ราเห็น
หรือรับรู้
กฎของ (Figure - Ground) กล่าวว่า
สนามของการรับรู้ (Perceptueld) แบ่งเป็ น 2 ส่วน
คือ ส่วนทีอ ่ ย่้ขูางหนูา (Foreground) และส่วนทีอ ่ ย่้
ขูางหลัง (Background) ในการมองสิง ่ แวดลูอม ถูา
รับรู้อย่างหนึ่งเป็ นร้ปอีกอย่างหนึ่ งก็จะเป็ น ground
“Figure” และ (Ground) จะผลัดเปลีย ่ นกัน
ตัวอย่างเช่น การมองภาพร้ป “หนูาคนแก่” และ
“หนูาหญิงสาว”

ก. ทฤษฎีการเรียนรู้
1) พฤติกรรมของคนมีพลังและทิศทาง สิง ่ ใด
ทีอ
่ ย่้ในความสนใจและความตูองการของตนจะมีพลัง
เป็น + สิง ่ ทีน
่ อกเหลือจากความสนใจ จะมีพลังเป็ น -
ในขณะใดขณะหนึ่งคนทุกคนจะมี “โลก” หรือ
”อวกาศชีวิต” (Life space) ของตน ซึง ่ จะประกอบ
ไปดูวย สิง
่ แวดลูอมทางกายภาพ (physical
environment) ซึง ่ สถานที่ สิง่ แวดลูอมอื่น ๆ และสิง

แวดลูอมทางจิตวิทยา (phychological
environment) ซึง ่ ไดูแก่ แรงขับ (drive) แรงจ้งใจ
(motivation) เปู าหมายหรือจุดหมายปลายทาง
(goal) รวมทัง ้ ความสนใจ (interest)
2) การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีแรงจ้งใจ
หรือแรงขับทีจ่ ะกระทำาใหูไปส่้จุดหมายปลายทางทีต ่ น
ตูองการ

ข. หลักการจัดการศึกษา / การสอน
1) การช่วยใหูผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ จำาเป็ น
ตูองอาศัยการทำาความเขูาใจ “โลก” ของผู้เรียนว่า ผู้
เรียนมีจุดมุ่งหมายและความตูองการอะไร อะไรเป็ น
พลัง + และอะไรเป็ นพลัง - ของเขา และพยายามจัด
สิง
่ แวดลูอมทีเ่ หมาะสมทีจ ่ ะช่วยใหูผู้เรียนไปส่้จุด
หมาย
2) การจัดการเรียนรู้ใหูเขูาไปอย่้ใน “โลก”
ของผู้เรียน โดยการจัดสิง ่ แวดลูอมทัง ้ ทางกายภาพ
และจิตวิทยาใหูดึงด้ดความสนใจและสนองความ
ตูองการของผู้เรียน เป็ นสิง ่ จำาเป็ นในการจัดการเรียน
การสอน
3) การสรูางแรงจ้งใจ และ/หรือแรงขับทีจ ่ ะ
ทำาใหูผู้เรียนไปส่้ทิศทางหรือจุดหมายทีต ่ ูองการ เป็ น
สิง่ ทีจ
่ ำาเป็ นในการช่วยใหูผู้เรียนเกิดการเรียนรู้

ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory)


ทอลแมน (Tolman) กล่าวว่า “การเรียนรู้เกิด
จากการใชูเครื่องหมาย เป็ นตัวชี้ทางใหูแสดง
พฤติกรรมไปส่้จุดหมายปลายทาง” ทฤษฎีของทอล
แมนสรุปไดูดังนี้
ก. ทฤษฎีการเรียนรู้
1) ในการเรียนรู้ต่าง ๆ ผู้เรียนมีการคาด
หมายรางวัล (reward expentancy) หากรางวัลที่
คาดว่าจะไดูรับไม่ตรงตามความพอใจและความ
ตูองการ ผู้เรียนจะพยายามแสวงหารางวัลหรือสิง ่ ที่
ตูองการต่อไป
2) ขณะทีผ ่ ู้เรียนพยายามจะไปใหูถึงจุด
หมายปลายทางทีต ่ ูองการ ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้
เครื่องหมาย สัญลักษณ์ สถานที่ (place learning)
และสิง ่ อื่น ๆ ทีเ่ ป็ นเครื่องชี้ทางตามไปดูวย
3) ผู้เรียนมีความสามารถทีจ ่ ะปรับการเรียน
รู้ของตนไปตามสถานการณ์ที่เปลีย ่ นไป จะไม่กระทำา
ซำ้า ๆ ในทางทีไ ่ ม่สามารถสนองความตูองการหรือ
วัตถุประสงค์ของตน
4) การเรียนรู้ทีเ่ กิดขึ้นในบุคคลใดบุคคล
หนึ่งนัน้ บางครัง ้ จะไม่แสดงออกในทันที อาจจะแฝง
อย่้ในตัวผู้เรียนไปก่อนจนกว่าจะถึงเวลาทีเ่ หมาะสม
หรือจำาเป็ นจึงจะแสดงออก (latent learning)

ข. หลักการจัดการศึกษา / การสอน
1) การสรูางแรงขับ และ/หรือแรงจ้งใจใหู
เกิดขึ้นกับผู้เรียนจะกระตูุนใหูผู้เรียนพยายามไปใหูถึง
จุดมุ่งหมายทีต ่ ูองการ
2) ในการสอนใหูผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายใด
ๆ นัน ้ คร้ควรใหูเครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือสิง่ อื่น ๆ
ทีเ่ ป็นเครื่องชี้ทางควบค่้ไปดูวย
3) การปรับเปลีย ่ นสถานการณ์การเรียนรู้
สามารถช่วยใหูผเู้ รียนปรับเปลีย ่ นพฤติกรรมของตนไดู
4) การเรียนรู้บางอย่างอาจยังไม่สามารถ
แสดงออกไดูในทันที การใชูวิธีการทดสอบหลาย ๆ วิธี
ทดสอบบ่อย ๆ หรือติดตามผลระยะยาว จึงเป็ นสิง ่
จำาเป็นในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในลักษณะ
นี้
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual
Development Theory)

1. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์

เพียเจต์ (Piaget) ไดูศึกษาเกีย ่ วกับ


พัฒนาการทางดูานความคิดของเด็กว่ามีขัน ้ ตอนหรือ
กระบวนการอย่างไร ทฤษฎของเพียเจต์ตัง ้ อย่้บน
รากฐานของทัง ้ องค์ประกอบทีเ่ ป็ นพันธุกรรม และสิง ่
แวดลูอม เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็ นไปตาม
พัฒนาการทางสติปัญญา ซึง ่ จะมีพัฒนาการไปตามวัย
ต่าง ๆ เป็ นลำาดับขัน ้ พัฒนาการเป็ นสิง ่ ที่เป็ นไปตาม
ธรรมชาติ ไม่ควรทีจ ่ ะเร่งเด็กใหูขูามจากพัฒนาการขัน ้
หนึ่งไปส่้อีกขัน้ หนึ่ง เพราะจะทำาใหูเกิดผลเสียแก่เด็ก
แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กใน
ช่วงทีเ่ ด็กกำาลังจะพัฒนาไปส่้ขัน ้ ที่ส้งกว่า สามารถช่วย
ใหูเด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เพียเจต์
เนูนความสำาคัญของการเขูาใจธรรมชาติและ
พัฒนาการของเด็กมากกว่าการกระตูุนเด็กใหูมี
พัฒนาการเร็วขึ้น เพียเจต์สรุปว่า พัฒนาการของเด็ก
สามารถอธิบายไดูโดยลำาดับระยะพัฒนาทางชีววิทยา
ทีค
่ งที่ แสดงใหูปรากฏโดยปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสิง ่
แวดลูอม

ก. ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพีย
เจต์ มีสาระสรุปไดูดังนี้ (Lall and Lall, 1983:45-
54)
1) พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคล
เป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็ นลำาดับขัน ้ ดังนี้
1.1) ขัน ้ รับรู้ดูวยประสาทสัมผัส
(Sensorimotor Period) เป็ นขัน ้ พัฒนาการในช่วง
อายุ 0-2 ปี ความคิดของเด็กวัยนี้ ข้ึนกับการรับรู้และ
การกระทำา เด็กยึดตัวเองเป็ นศ้นย์กลาง และยังไม่
สามารถเขูาใจความคิดเห็นของผู้อ่ ืน
1.2) ขัน ้ ก่อนปฏิบัติการคิด
(Preoperational Period) เป็ นขัน ้ พัฒนาการในช่วง
อายุ 2-7 ปี ความคิดของเด็กวัยนี้ ยังขึ้นอย่้กับการรับรู้
เป็นส่วนใหญ่ ยังไม่สามารถทีจ ่ ะใชูเหตุผลอย่างลึกซึ้ง
แต่สามารถเรียนรู้และใชูสัญลักษณ์ไดู การใชูภาษา
แบ่งเป็ นขัน้ ย่อย ๆ 2 ขัน
้ คือ
2.1.1) ขัน ้ ก่อนเกิดความคิด
รวบยอด (Pre-Conceptual Intellectual Period)
เป็นขัน้ พัฒนาการในช่วงอายุ 2-4 ปี
2.1.2) ขัน ้ การคิดดูวยความ
เขูาใจของตนเอง (Intuitive Thinking Period) เป็ น
พัฒนาการในช่วงอายุ 4-7 ปี
1.3) ขัน ้ การคิดแบบร้ปธรรม
(Concrete Operational Period) เป็ นขัน ้ พัฒนาการ
ในช่วงอายุ 7-11 ปี เป็ นขัน ้ ทีก ่ ารคิดของเด็กไม่ข้ึนกับ
การรับรู้จากร้ปร่างเท่านัน ้ เด็กสามารถสรูางภาพในใจ
และสามารถคิดยูอนกลับไดู และมีความเขูาใจเกีย ่ ว
กับความสัมพันธ์ของตัวเลขและสิง ่ ต่าง ๆ ไดูมากขึ้น
1.4) ขัน ้ การคิดแบบนามธรรม
(Formal Operational Period) เป็ นขัน ้ พัฒนาการ
ในช่วงอายุ 11-15 ปี เด็กสามารถคิดสิง ่ ที่เป็ น
นามธรรมไดู และสามารถคิดตัง ้ สมมติฐานและใชู
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไดู
2) ภาษาและกระบวนการคิดของเด็ก
แตกต่างจากผู้ใหญ่
3) กระบวนการทางสติปัญญามีลักษณะ
ดังนี้
3.1) การซึมซับหรือการด้ดซึม
(assimilation) เป็ นกระบวนการทางสมองในการรับ
ประสบการณ์ เรื่องราว และขูอม้ลต่าง ๆ เขูามาสะสม
เก็บไวูเพื่อใชูประโยชน์ต่อไป
3.2) การปรับและจัดระบบ
(accommodation) คือ กระบวนการทางสมองในการ
ปรับประสบการณ์เดิมและประสบการณ์ใหม่ใหูเขูากัน
เป็นระบบหรือเครือข่ายทางปั ญญาทีต ่ นสามารถเขูาใจ
ไดู เกิดเป็ นโครงสรูางทางปั ญญาใหม่ข้ึน
3.3) การเกิดความสมดุล
(equilibration) เป็ นกระบวนการทีเ่ กิดขึ้นจากขัน้ ของ
การปรับ หากการปรับเป็ นไปอย่างผสมผสานกลมกลืน
ก็จะก่อใหูเกิดสภาพทีม ่ ีความสมดุลขึ้น หากบุคคลไม่
สามารถปรับประสบการณ์ใหม่และประสบการณ์เดิม
ใหูเขูากันไดู ก็จะเกิดภาวะความไม่สมดุลขึ้น ซึง
่ จะ
ก่อนใหูเกิดความขัดแยูงทางปั ญญาขึ้นในตัวบุคคล

ข. หลักการจัดการศึกษา / การสอน
1) ในการพัฒนาเด็ก ควรคำานึ งถึง
พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก และจัด
ประสบการณ์ใหูเด็กอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการนัน ้
ไม่ควรบังคับใหูเด็กเรียนในสิ่งทีย ่ ังไม่พรูอม หรือยาก
เกินพัฒนาการตามวัยของตน เพราะจะก่อใหูเกิด
เจตคติทีไ่ ม่ดีไดู
1.1) การจัดสภาพแวดลูอมทีเ่ อื้อ
ใหูเด็กเกิดการเรียนรู้ตามวัยของตนสามารถช่วยใหู
เด็กพัฒนาไปส่้พัฒนาการขัน ้ ส้งขึ้นไดู
1.2) เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการ
แตกต่างกัน ถึงแมูอายุจะเท่ากัน แต่ระดับพัฒนาการ
อาจไม่เท่ากัน ดังนัน ้ จึงไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก ควรใหู
เด็กมีอิสระทีจ่ ะเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของ
เขาไปตามระดับพัฒนาการของเขา
1.3) ในการสอนควรใชูสิ่งทีเ่ ป็ นร้ป
ธรรม เพื่อช่วยใหูเด็กเขูาใจลักษณะต่าง ๆ ไดูดีข้ึน แมู
ในพัฒนาการช่วงการคิดแบบร้ปธรรม เด็กจะสามารถ
สรูางภาพในใจไดู แต่การสอนทีใ ่ ชูอุปกรณ์ทีเ่ ป็ นร้ป
ธรรมจะช่วยใหูเด็กเขูาใจแจ่มชัดขึ้น
2) การใหูความสนใจและสังเกตเด็ก
อย่างใกลูชิด จะช่วยใหูไดูทราบลักษณะเฉพาะตัวของ
เด็ก
3) ในการสอนเด็กเล็ก ๆ เด็กจะรับรู้
ส่วนรวม (Whole) ไดูดีกว่าส่วนย่อย (part) ดังนัน ้
คร้จึงควรสอนภาพรวมก่อนแลูวจึงแยกสอนทีละส่วน
4) ในการสอนสิง ่ ใดใหูกับเด็ก ควรเริม ่
จากสิง่ ทีเ่ ด็กคูุนเคยหรือมีประสบการณ์มาก่อนแลูวจึง
เสนอสิ่งใหม่ทีม ่ ีความสัมพันธ์กับสิง
่ เก่า การทำาเช่นนี้
จะช่วยใหูกระบวนการซึมซับและจัดระบบความรู้ของ
เด็กเป็ นไปดูวยดี
5) การเปิดโอกาสใหูเด็กไดูรับ
ประสบการณ์ และมีปฏิสัมพันธ์กับสิง ่ แวดลูอมมาก ๆ
ช่วยใหูเด็กด้ดซึมขูอม้ลเขูาส่้โครงสรูางทางสติปัญญา
ของเด็กอันเป็ นการส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา
ของเด็ก
2. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์
บรุนเนอร์ (Bruner) เป็ นนักจิตวิทยาทีส ่ นใจ
และศึกษาเรื่องของพัฒนาการทางสติปัญญาต่อเนื่ อง
จากเพียเจต์ บรุนเนอร์เชื่อว่ามนุษย์เลือกทีจ
่ ะรับรู้สิง
่ ที่
ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากกระบวนการคูนพบ
ดูวยตัวเอง (discovery learning) แนวคิดทีส ่ ำาคัญ ๆ
ของบรุนเนอร์ มีดังนี้ (Brunner,1963:1-54)
ก. ทฤษฎีการเรียนรู้
1) การจัดโครงสรูางของความรู้ใหูมี
ความสัมพันธ์ และสอดคลูองกับพัฒนาการทางสติ
ปั ญญาของเด็ก มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก
2) การจัดหลักส้ตรและการเรียนการ
สอนใหูเหมาะสมกับระดับความพรูอมของผู้เรียน และ
สอดคลูองกับพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนจะ
ช่วยใหูการเรียนรู้เกิดประสิทธิภาพ
3) การคิดแบบหยัง่ รู้ (intuition)
เป็นการคิดหาเหตุผลอย่างอิสระทีส ่ ามารถช่วยพัฒนา
ความคิดริเริม ่ สรูางสรรค์ไดู
4) แรงจ้งใจภายในเป็ นปั จจัยสำาคัญทีจ
่ ะ
ช่วยใหูผู้เรียนประสบผลสำาเร็จในการเรียนรู้
5) ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ
มนุษย์แบ่งไดูเป็ น 3 ขัน
้ ใหญ่ ๆ คือ
5.1) ขัน ้ การเรียนรู้จากการกระทำา
(Enactive Stage) คือ ขัน ้ ของการเรียนรู้จากการใชู
ประสาทสัมผัสรับรู้สิง่ ต่าง ๆ การลงมือกระทำาช่วยใหู
เด็กเกิดการเรียนรู้ดี การเรียนรู้เกิดจากการกระทำา
5.2) ขัน ้ การเรียนรู้จากความคิด
(Iconic Stage) เป็ นขัน ้ ทีเ่ ด็กสามารถสรูางมโนภาพ
ในใจไดู และสามารถเรียนรู้จากภาพแทนของจริงไดู
5.3) ขัน ้ การเรียนรู้สัญลักษณ์และ
นามธรรม (Symbolic Stage) เป็ นขัน ้ การเรียนรู้สิง
่ ที่
ซับซูอนและเป็ นนามธรรมไดู
6) การเรียนรู้เกิดขึ้นไดูจากการทีค ่ นเรา
สามารถสรูางความคิดรวบยอด หรือสามารถจัด
ประเภทของสิง ่ ต่าง ๆ ไดูอย่างเหมาะสม
7) การเรียนรู้ทีไ ่ ดูผลดีทีส
่ ุด คือ การใหู
ผู้เรียนคูนพบการเรียนรู้ดูวยตนเอง (discovery
learning)

ข. การจัดการศึกษา / การสอน
1) กระบวนการคูนพบการเรียนรู้ดูวย
ตนเอง เป็ นกระบวนการเรียนรู้ทีด ่ ีมีความหมาย
สำาหรับผู้เรียน
2) การวิเคราะห์และจัดโครงสรูาง
เนื้ อหาสาระการเรียนรู้ใหูเหมาะสมเป็ นสิง่ ที่จำาเป็ นที่
ตูองทำาก่อนการสอน
3) การจัดหลักส้ตรแบบเกลียว (Spiral
Curriculum) ช่วยใหูสามารถสอนเนื้ อหาหรือความ
คิดรวบยอดเดียวกันแก่ผู้เรียนทุกวัยไดู โดยตูองจัด
เนื้ อหาความคิดรวบยอดและวิธีสอนใหูเหมาะสมกับ
ขัน
้ พัฒนาการของผู้เรียน
4) ในการเรียนการสอนควรส่งเสริมใหูผู้
เรียนไดูคิดอย่างอิสระใหูมากเพื่อช่วยส่งเสริมความคิด
สรูางสรรค์ของผู้เรียน
5) การสรูางแรงจ้งใจภายในใหูเกิดขึ้น
กับผู้เรียน เป็ นสิง่ จำาเป็ นในการจัดประสบการณ์การ
เรียนรู้แก่ผู้เรียน
6) การจัดกระบวนการเรียนรู้ใหูเหมาะ
สมกับขัน ้ พัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียน จะช่วย
ใหูผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ไดูดี
7) การสอนความคิดรวบยอดใหูแก่ผู้
เรียนเป็ นสิง่ จำาเป็ น
8) การจัดประสบการณ์ใหูผู้เรียนไดูคูน
พบการเรียนรู้ดูวยตนเอง สามารถช่วยใหูผู้เรียนเกิด
การเรียนรู้ไดูดี

3. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา%A
การเรียนรู้: จิตวิทยาการเรียนรู้ภาษา
Piaget เชื่อว่า
พัฒนาการของเด็กนัน ้ จะเกิดขึ้นตาม
ลำาดับขัน
้ จะไม่สามารถพัฒนาขูาม
ขัน
้ ไดู เด็กจะสามารถพัฒนาสติปัญญา ไดูจากความ
สัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับโลกภายนอก ซึง ่
กระบวนการสติปัญญาของบุคคลจะพัฒนาตามขัน ้
ตอนต่อไปนี้ (อูางใน กานต์ รัตนพันธ์. 2532 : 22 –
23)

่ นึ่ง แรกเกิด จนถึง 2 ขวบ


ระยะทีห
เด็กจะเรียนรู้โดยการสัมผัส
่ อง อายุ 2 – 7 ขวบ เด็ก
ระยะทีส
เริม่ จัดกระทำากับสภาพแวดลูอม โดยใชูสัญลักษณ์
เด็กเริม ่ เขูาใจความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับวัตถุ
รู้จักสิง
่ ทีเ่ ป็ นตัวแทน รู้จักคิดอย่างเป็ นเหตุเป็ นผลมาก
ขึ้น เริม ่ เรียนรู้ภาษาพ้ดและเขูาใจความหมาย ชอบ
ลองผิดลองถ้ก สามารถแยกแยะสิง ่ ของไดู แต่ไม่
สามารถบอกคุณสมบัติไดู
ระยะที่ 3 อายุ 7 – 11 ขวบ เด็กมี
การพัฒนาโครงสรูางทางสติปัญญาทีม ่ ีความซับซูอน
มากขึ้น
ระยะที่ 4 อายุ 11 ปีขึ้นไป เป็ น
ระยะทีเ่ ด็กมีความเขูาใจ ทดลองใชูเหตุผล เขูาใจสิง่
ทีเ่ ป็นนามธรรมมากขึ้น คาดคะเนเหตุการณ์จาก
ประสบการณ์และความคิดเห็น
Piaget and Inhelde (อูางใน ประภา
พันธ์ นิ ลอรุณ. 2530 : 27) กล่าวไวูว่า เด็กอายุ 2 –
4 ปี จะพัฒนาการเรียนรู้คำามากขึ้นตามลำาดับ มี
ลักษณะการพ้ดคุยโดยใชูการสื่อสารแบบสังคม
(Social Communication) แต่เด็กจะยึดตัวเองเป็ น
ศ้นย์กลาง คือ เด็กจะพ้ดกับตนเอง ซึง ่ เรียกว่า การ
พ้ดคนเดียวแบบรวมหม่้ (Collection Monologues) เด็ก
จะมีทัศนะต่าง ๆ จากการมองเห็นของตัวเอง และจะ
เป็นการยากทีจ่ ะใหูเด็กยอมรับสิง
่ ต่าง ๆ จากภาพที่
เห็น เด็กไม่เขูาใจคำาพ้ดของผู้อ่ ืน ในช่วง 5 – 6 ปี
้ การคิดแบบหยัง่ รู้ (Intuitive) ซึง
เด็กกูาวเขูาส่้ขัน ่
เป็นการคิดโดยอาศัยการรับรู้ คือ การมองเห็นสิง ่
ต่าง ๆ แลูวบอกว่าสิง ่ นัน
้ เป็ นอย่างไร การหยัง่ เห็น
ของเด็ก เด็กจะกูาวหนูาไปส่้การแยกแยะ เด็กเกือบ
จะไปถึงการรู้จักคิดอย่างมีเหตุผล
พัฒนาพร สุทธิยานุช (อูางใน ประภา
พันธ์ นิ ลอรุณ. 2530 : 28 – 29) ไดูกล่าวถึง
พัฒนาการทางภาษาว่า มนุษย์มีขัน ้ ตอนในการใชู
ภาษาติดต่อสื่อสาร ซึง่ มีพัฒนาการดังนี้
1. อายุแรกเกิด – 1 ปี เด็กเริม
่ ส่ง
เสียงรูอง การโตูตอบ อาจมีหรือไม่มีความหมายก็ไดู
เริม
่ เรียนคำาง่ายใกลูตัว เช่น พ่อ แม่ บางครัง
้ เล่น
เสียงเพื่อความเขูาใจของตนเองเท่านัน ้ แต่ไม่มีความ
หมายสำาหรับผู้อ่ ืน
2. อายุ 1 – 5 ปี มีการพัฒนาภาษา
พ้ดในระยะเริม่ แรก (Early Linguistic Development)
เริม
่ ใชูภาษาพ้ดเป็ นประโยคง่าย ๆ เช่น แม่มา พ่อ
ทำางาน จากการวิจัยปรากฏว่า เมื่อเด็กเริม่ พ้ดมักพ้ด
เป็นคำานามก่อน เช่น แมว หมา นม ต่อมาจึงเป็ น
คำากริยา
3. อายุ 5 – 11 ปี เป็ นการ
พัฒนาการพ้ดในระยะหลัง ( Later Linguistic
Development) ระยะนี้ เด็กเริม
่ เรียนคำาศัพท์ การอ่าน
ความหมาย เริม ่ สนใจไวยากรณ์ เริม ่ ใชูภาษาพ้ดใน
ลักษณะร้ปประโยคทีส ่ มบ้รณ์ และเริม ่ เขูาใจคำาและ
ความหมายของคำามากขึ้น
4. อายุ 11 ปีขึ้นไป เป็ นการ
พัฒนาการสรูางประโยค (Development of Syntax)
เด็กเริม
่ ศึกษาไวยากรณ์อย่างแทูจริง และสามารถใชู
ภาษาไดูดียิง ่ ขึ้น
ศรียา นิ ยมธรรม (2519 : 47) การใชู
ภาษาสื่อความหมายซึง ่ กันและกันไดูนัน
้ มีการเรียนรู้
ทีพ
่ ัฒนาขึ้นตามทฤษฎีต่อไปนี้
1. ทฤษฎีการเลียนแบบ (The
Imitation Theory) ผู้ทีศ
่ ึกษาเกีย
่ วกับการเลียนแบบใน
การพัฒนาภาษาอย่างละเอียด ทฤษฎีน้ี เชื่อว่า
พัฒนาการทางภาษานัน ้ เกิดจากการเลียนแบบ ซึง ่
อาจเกิดจากการมองเห็นหรือการไดูยินเสียง
2. ทฤษฎีการเสริมแรง (Reinforcement
Theory) ทฤษฎีน้ี อาศัยพื้นฐานและหลักการจากทฤษฎี
การเรียนรู้ ซึง
่ ถือว่าพฤติกรรมทัง
้ หลายถ้กสรูางขึ้น
โดยอาศัยเงื่อนไขว่า หากเด็กไดูรับรางวัลหรือไดูรับ
การส่งเสริมกำาลังใจ เด็กจะพ้ดมากขึ้น
3. ทฤษฎีการรับรู้ (Motor Theory of
Perception) ทฤษฎีน้ี เชื่อว่า เด็กเรียนรู้ภาษาโดยการ
รับรู้ทางการฟั ง เด็กจะพ้ดซำ้ากับตนเอง และหัดเปล่ง
เสียงโดยอาศัยการอ่านริมฝีปาก ซึง ่ จะนำาไปส่้การ
เรียนรู้คำา
4. ทฤษฎีความบังเอิญจากการเล่น
เสียง (Bubbling Buck) Thorndike ไดูอธิบายว่า เมื่อ
เด็กเล่นเสียงอย่้นัน้ เผอิญมีบางเสียงไปคลูายกับเสียง
ทีม
่ ีความหมายในภาษาพ้ด พ่อแม่จึงใหูการเสริมแรง
ทันที ดูวยวิธีน้ี เด็กจึงมีพัฒนาการทางภาษาเพิม
่ ขึ้น
เรื่อย ๆ
กระบวนการเรียนรู้ภาษาพ้ดของเด็ก
ตัง
้ แต่แรกเกิดจนกระทัง่ สามารถใชูภาษาในการสื่อ
ความหมายไดูนัน ้ ศรีเรือน แกูวกังวาน (2530 : 16)
ไดูกล่าวถึงกระบวนการเรียนรู้ภาษาตามลำาดับดังนี้
1. การเลียนแบบ (Imitation) เป็ นกระ
บวนการสำาคัญในการเรียนรู้ภาษา เพราะเป็ นขัน
้ ทีเ่ ด็ก
เลียนเสียงของคำา และพ้ดตามเสียงทีไ
่ ดูยิน
2. การเอาอย่าง (Identification) เด็กมี
การเลียนแบบการออกเสียงอย่างเดียวเท่านัน ้ แต่จะ
เลียนแบบท่าทาง นิ สัยใจคอจากบุคคลตามเสียงที่
ไดูยินดูวย
3. การเลียนแบบพฤติกรรมตอบสนอง
่ เรูาหลายตัว (Multiple Response) เป็ น
พรูอมกับสิง
พฤติกรรมตอบสนองสิง ่ เรูาทีเ่ ด็กพยายามทำาตาม
โดยลองใชูอวัยวะการเปล่งเสียงต่าง ๆ นัน ้ ใหูทำางาน
ร่วมกัน ไดูแก่ ส่วนสมองทีร ่ ับรู้ มองเห็น ไดูยิน ส่วน
ทีส
่ ะสมความจำา ควบคุมริมฝีปาก สีหนูา ท่าทาง
และสายตา
4. การเรียนรู้โดยสัมพันธ์กับสภาวะ
(Association Learning) เด็กเรียนรู้คำาและความหมาย
โดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างเสียงและสิง ่ ของหรือ
พฤติกรรม เช่น เด็กเรียนรู้คำาว่า ตุุกตา เมื่อแม่ย่ ืน
ตุุกตาใหูแลูวบอกว่า “ตุุกตา” เด็กเรียนรู้ไดูจากการ
เชื่อมโยงเสียงและสิง ่ ของเขูาดูวยกัน
5. การเรียนรู้แบบสอบถาม (Question -
Answering) เมื่อไดูเรียนรู้ภาษาไปบูางแลูว เด็กจะเกิด
ความคิดอย่างมีเหตุผลขึ้น ความสงสัยและความ
อยากรู้ อยากเห็น ทำาใหูเด็กชอบใชูคำาถาม การตอบ
สนองความอยากรู้อยากเห็น โดยการตอบคำาถาม จะ
ช่วยใหูพัฒนาการทางภาษาของเด็กดีข้ึน
6. การลองผิดลองถ้ก (Trial and
Error) ช่วงนี้ เป็ นช่วงลองปฏิบัติ อาจจะถ้กบูาง ผิด
บูาง การเรูาใจและการชมเชยเมื่อเด็กออกเสียงไดูถ้ก
ตูอง จะทำาใหูเด็กมัน ่ ใจ และช่วยใหูภาษาพัฒนาไดู
รวดเร็วขึ้น

You might also like