Professional Documents
Culture Documents
รวยด้วย
การตลาด
(ฉบับ ยักษ์เล็กหัดทําการตลาด)
หนังสือที่จะปูพื้นฐานการตลาดเบื้องต้น
สําหรับมือใหม่หัดขับ
แก้ไขครั้งที่ 3
(ฉบับร่าง)
ประวัติการแก้ไข
ครั้งที่ วันที่ รายละเอียดการแก้ไข
1 15 ก.ย. 2560 ฉบับร่าง (ยังไม่สมบูรณ์)
2 8 ต.ค. 2560 เพิ่มเติมเนือ้ หา
3 28 ต.ค. 2560 แก้ไขนิดหน่อย
ถ้าใครไปดาวน์โหลดมาจากที่อื่น อาจไม่ได้ฉบับแก้ไขล่าสุดครับ
ถ้ายังไงใช้ลิงค์ดาวน์โหลดนี้ดีกว่า
http://www.ebooks.in.th/adminho/
คํานํา
ต้องเกริ่นก่อนว่า หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนไม่ได้จบบริหารธุรกิจ หรือการตลาดมาโดยตรง แต่
สนใจศึกษาการทําธุรกิจและการตลาด โดยมีโอกาสลองทําผิดทําถูกกับพี่สาวมาได้ระยะ
หนึ่ง อาจไม่ได้ร่ํารวยเป็นอายุน้อยร้อยล้านเหมือนดังคนอื่นเขา แต่ถึงกระนั้นก็ดี ผู้เขียน
ก็อยากแชร์ประสบการณ์ความรู้ที่ผ่านมาให้คนอื่นได้อ่านกันฟรีๆ
เมื่อพูดถึงหลักธรรมในทางพุทธศาสนา มีเยอะ
มากมาย ไม่ต่างกับใบไม้ทั้งหมดในป่า
แต่ พุ ท ธเจ้า ตรั ส ว่ า ให้ นํา ความรู้ ที่ สํา คั ญ จริ งๆ
เพียงใบไม้กํามือเดียวมาสอนคนก็พอแล้ว
การตลาดคืออะไร?
คําว่า Market หรือตลาด ในที่นี้
ไม่ ไ ด้ ห มายถึ ง ตลาดสํ า เพ็ ง ตลาดคลองเตย
ปากคลองตลาด ตลาดนัดจตุจักร อะไรพวกนี้นะ
Satisfying: ความพึงพอใจ
จริงๆ แล้ว
การตลาดขอ 3 คําในการอธิบาย ได้แก่ Customer: ผู้บริโภค หรือผู้ซอื้
Need: ความต้องการ
ทําการตลาดเพื่อ?
การตลาดคํานี้ จริงๆ มันมีหลายนิยามนะ อย่างนิยามหนึ่งที่ดูวิชาการหน่อย เช่น
แต่ถ้าตอบแบบโลกไม่สวย เป้าหมายของการทําตลาดที่ทุกคนคงอย่างได้ก็คือ
ทําไงให้ของขายได้ แล้วมีกําไรสูงสุด
…ไม่งั้นเขาไม่ทาํ การตลาดกันหรอกใช่ป่ะ!
สินค้าดีมีชัยตั้งแต่อยู่ในมุ้ง
คําถาม ถ้าเปรียบเทียบการเริ่มต้นทําธุรกิจ
คือก้าวเท้าเดินของคนเรา
แล้วหลักการทําธุ รกิจเพื่ อให้ไม่เ จ๊ ง อย่าง
แรก ต้องก้าวเท้าแรกแบบไหน?
การบริหารจัดการภายใน
เรื่องการเงิน (โดยเฉพาะกระแสเงินสดในธุรกิจ)
ทําให้ลูกค้ากลับมาอุดหนุนเราอีกครั้ง
ป้องกันการแข่งขันจากคู่แข่งรายเดิม และรายใหม่
การสร้างแบรนด์ (Brand) ให้แข็งแกร่ง
และอื่นๆ
ผมของเล่าประสบการณ์ตัวเอง ในฐานะมนุษย์
เงิ นคนหนึ่ง ที่ คิดจั บมื อ พี่ส าวตนเอง ลองทํ า
ธุรกิจขายสินค้าบนโลกออนไลน์
โดยเริ่มแรกพวกเราขายสินค้าแบบเดียวที่คน
อื่นทํากัน ก็เห็นเขาทําแล้วรวยกันนิ ก็ต้องทํา
บ้างซิ แต่เชื่อไหมสิ่งที่เรียนรู้ในตอนนั้นคือ…
ไอเดียธุรกิจเริ่มจากไหน?
…เคยเป็นกันไหมครับ?
…พอคิดจะทําธุรกิจอะไรขึ้นมา
…ตูจะขายสินค้า หรือบริการอะไรดีฟ่ะ?
…มึนตึบเลย (ผมก็เป็น 5555)
เมื่อกลับมามองในการแง่การทําธุรกิจ ไม่ว่าประเภท
ไหนก็ตาม เริ่มต้นเราต้องชอบก่อนเสมอ จากนั้นก็ไป
ศึกษาสิ่งนั้น ในระดับมีอินเนอร์จนเข้าใจลูกค้า
เมื่อนั้นไอเดียการทําธุรกิจจึงจะบังเกิด
ตัวอย่าง
ทําธุรกิจขายอุปกรณ์กีฬา ก็ต้องรักและชอบในด้านกีฬา
ทําธุรกิจขายอาหารจีน ก็ต้องรักและชอบในการทําอาหารจีน
ทําธุรกิจขายสินค้าความงาม ก็ต้องรักและชอบในด้านความสวยความงาม
แล้วเราจะรู้ได้ไงว่า ตัวเองชอบและรักอะไร?
…บางทีก็ตอบยากเนอะ! เรื่องหัวใจตัวเองเนีย่
…เพราะตัวเราเองยังไม่รู้เลย แต่ถ้าลองเปลีย่ นมาสังเกตตัวเองดู ด้วยคําถามที่วา่
ตนเองถนัดอะไรมากที่สุด?
…แต่ถ้ายังตอบไม่ได้ ก็ลองถามใหม่ว่า
…ตัวเราเองมักโดนเพื่อนหรือคนรอบข้าง ถามเราเรื่องอะไรมากที่สุด?
…หรือขอความช่วยเหลือเรื่องอะไรมากที่สุด?
ไอเดียที่ขายได้
…ต่อให้เราปิ๊งแว็บเกิดไอเดียทําธุรกิจ
…มีเป็นร้อยแปด พันไอเดีย
…แต่ไม่ใช่ทุกไอเดียจะขายได้เสมอไป
ซึ่งแต่ละคําถาม จะถามประมาณนี้
ลูกค้ามีปัญหาอะไรบ้างล่ะ?
แล้วเราลองมองไปที่ก้นบึ้งหัวใจลูกค้าว่า
จะแก้ปัญหาให้เขาได้อย่างไร? เขาจะได้ประโยชน์ไหม?
ตัวอย่างเช่น
ปัญหา วิธีแก้ปัญหา
คนที่ออกกําลังกายด้วยการวิ่ง มักมี เราจึงสร้างรองเท้ากีฬาชนิดพิเศษ ที่ป้องกัน
ปัญหาบาดเจ็บเป็นโรครองช้ํา การบาดเจ็บที่ฝ่าเท้าได้
คนที่น้ําหนักเกิน ต้องการอาหารที่ เราจึงให้บริการผลิตอาหารไขมันต่ํา และ
ไขมันต่ํา แต่ทว่าหาซื้อยากมากๆ จําหน่ายแบบ delivery ส่งตรงถึงที่บ้านลูกค้า
ตัวอย่าง
เราต้องชอบวิ่งมาก่อน ถึงจะรู้และเข้าใจว่าคนที่วิ่งมีปัญหาเรื่องโรครองช้ํา
เราสนใจเรือ่ งลดน้ําหนัก ถึงจะรู้และเข้าใจว่าคนลดน้ําหนัก มีปัญหาเรือ่ งหาของ
กินที่ไข้มันต่ํามารับประทานยากมาก
ถ้าวันนี้เราเป็นลูกค้าเสียเอง แล้วมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมาในใจ
ถ้ามีใครทําสินค้า/บริการ เพื่อแก้ปัญหาในใจเราตรงนี้ได้
เราจะซื้อหรือใช้บริการของเขาไหม?
ตัวอย่าง
ถ้าเราเป็นลูกค้า แล้วถ้าเกิดมีคนแก้ปัญหานี้
เราเจอปัญหา เรือ่ งระบบขนส่งสาธารณะ ถ้ามีคนสร้างแอพพลิเคชั่น ที่ทําให้รู้ได้
เช่น ว่า รถเมล์เดินทางถึงไหนแล้ว สามารถ
ประมาณเวลาเข้าจอดตามป้ายได้
ต้องรอรถเมล์นาน
รวมทั้งให้ข้อมูลเดินสายรถเมล์วา่ เมือ่
ไม่รู้เวลารถจะมาถึงเมือ่ ไร
ขึ้นสายนีไ้ ปแล้ว จะต่อสายไหนได้บ้าง
หรือขึ้นรถไปแล้ว จะต้องไปต่อรถ
สายอะไรบ้าง …เราก็ไม่รู้อีก ถ้าวันนี้มีแอพฯ แบบนี้บนมือถือ ..เราจะ
ใช้บริการนี้ไหม?
ทฤษฎีลําดับความต้องการ
เนื้อหานี้เสริมขึ้นมา เผือ่ ใครยังมองหาไอเดียทีจ่ ะแก้ปัญหาให้กับลูกค้าไม่ออก ยังคิดตัว
ธุรกิจไม่ได้ ไม่รู้จะทําสินค้า/บริการอะไร ผมเลยจะแนะนําทฤษฎีลําดับความต้องการ
(Hierachy of Needs Theory) ของอับราฮัม มาสโลว์ (Abrahum Maslow) เอามา
ใช้วิเคราะห์ดู
อธิบาย ตัวอย่าง
ขั้นที่ 1 ความต้องการทางร่างกายหรือกายภาพ เช่น ความต้องการด้าน
(Physiological Needs) อาหาร น้าํ ยารักษาโรค ที่
อยู่อาศัย
ขั้นที่ 2 ความต้องการความปลอดภัย เช่น การประกันชีวิตและ
(Safety Needs) สุขภาพ ความปลอดภัยด้าน
การเงิน
ขั้นที่ 3 ความต้องการความรักและความเป็น เช่น ต้องการความรัก
เจ้าของ ต้องการมิตรภาพ ความ
(Belongingness and Love Needs) ใกล้ชิดผูกพัน ต้องการเพื่อน
…หรือก็คือความต้องการ
ทางสังคมนั่นเอง
ขั้นที่ 4 ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือ เช่น ต้องการชื่อเสียง
(Esteem Needs) ต้องการตําแหน่ง
ขั้นที่ 5 ความต้องการเติมความสมบูรณ์ให้ชีวิต เนื่องด้วยคนกลุ่มนี้ จะเป็น
(Self-actualization Needs) ผู้ให้เสียมากกว่า จึงมี
จะเป็นความต้องการทีเ่ พ่งเล็งประโยชน์ของ ปริมาณน้อยมาก
คนอื่นและสังคมส่วนรวมเป็นสําคัญ
…จึงไม่ใช่เป้าหมายในการ
ทําการตลาดของเรา
ที่มารูป https://th.wikipedia.org/wiki/ลําดับขั้นความต้องการของมาสโลว์
ตอบสนองความ ตัวอย่างธุรกิจที่จะทํา
ต้องการขันที่
ขั้นที่ 1 ขายเครื่องดื่ม อาหาร ยารักษาโรค บ้าน คอนโด
ขั้นที่ 2 ขายประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ กองทุนรวมเลี้ยงชีพ
ขั้นที่ 3 สร้างเว็บโซเซียลแบบ Facebook เอาไว้ติดต่อเพื่อน ทําธุรกิจ
หาคู่เดต หาแฟน
ขึ้นที่ 4 ขายเครื่องเพชร กระเป๋าหรู ของใช้ที่บ่งบอกสถานะทางสังคม
เหตุที่เราต้องระบุกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจน เพราะต่อให้หาสินค้า/บริการมาได้ดีเลิศแค่ไหน
แต่ถ้าขายผิดกลุ่ม มันก็ขายไม่ได้ อาทิ
ถ้าเปรียบเทียบสินค้า/บริการ คือลูกธนู
กลุ้มเป้าหมายก็คือ เป้าธนู
ส่วนความต้องการลูกค้าก็คือ ตรงกลางเป้าธนู
….แน่นอนเราต้องยิงสินค้า/บริการออกไป ให้
ถูกเป้า และตรงกลางเป้า
…หรือก็คือให้ถกู กลุ่มเป้าหมาย
และตรงตามความต้องการลูกค้านั่นเอง
อั น นี้ ข อยกตํ า รามาอ้ า งเล่ น ๆ อย่ า งที่ บ อกเมื่ อ เริ่ ม จากคํ า ว่ า Segmenting ก็ ไ ปหา
Targeting แต่ ยั ง ไม่ จ บนะ ต้ อ งมองต่ อ เรื่ อ ง Positioning (ตํ า แหน่ ง หรื อ จุ ดยื น ของ
สินค้ า/บริการว่า แตกต่า งจากคนอื่ นอย่ างไร? เรื่ องแตกต่างนี้จะกล่ าวอี กทีในหัวข้ อ
Why?)
The STP marketing
ประเมินขนาดกลุม่ เป้าหมาย
การรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร มันยังไม่พอหรอกครับ เรายังต้องประเมินจํานวนประชากร
ในกลุ่มเป้าหมายว่า มีประมาณเท่าไรอีกด้วย?
….เพราะถ้ากลุ่มเป้าหมายมีจํานวนน้อย ก็ยากที่จะทํากําไร การเติบโตก็ยาก โอกาสอยู่
รอดยากมากเลย เนื่องจากกําไรคือสิ่งที่เราต้องการ ไม่มีมันเราคงอดตายกันพอดี
….ในกรณี ที่กลุ่ มเป้า หมายเรามีน้อ ยเกินไป ก็ต้องเปลี่ ยนไอเดีย ทําธุ รกิ จ โดยมองหา
กลุ่มเป้าหมายใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม เพื่อให้ทํากําไรแล้วอยู่รอดได้
ยิ่งถ้าเราจะไปเขียนแผนธุรกิจต่อ ก็ต้องมีการประเมินยอดขายของธุรกิจตัวเองด้วย ซึ่งถ้า
เราประเมิ น จํ า นวนลู กค้ า ในกลุ่ ม เป้ า หมายได้ ก็ ส ามารถปั กธงคาดหมายรายได้ ใ น
อนาคตตอนเขียนแผนธุรกิจได้ด้วยนะ
ตัวอย่างขนาดกลุ่มลูกค้า
ประเภทสินค้า ตลาดนิซ ตลาดแมส
เสื้อผ้า เสื้อผ้าเจาะกลุ่มคนอ้วนโดยเฉพาะ เสื้อผ้าทั่วไปใครๆ ก็ใส่ได้
โดยมีหลากหลายขนาด
(s, m, L, XL)
เพลง เพลงแจ็ส, หมอลํา ลูกทุ่ง, สตริง
ที่มา https://ttmemedia.wordpress.com/นิช-มาร์เก็ตniche-market-ตลาดเฉพาะ/
(ที่มาข้อมูล http://thaimarketing.in.th/2015/02/05/lean-canvas/)
…แต่เคยเป็นกันไหมครับ?
…ไอเดียนะคิดได้ ไม่ยากหรอก
…แต่ยิ่งมองไปทางไหนนะ ไอเดียที่เราคิดได้นั้น
…คนอื่นก็คิดได้ เขาทํากันไปหมดแล้ว
…ให้ตาบผับผ่าซิ!
เราอยากทําธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อ เพราะชอบและถนัด
เห็นปัญหาคนอ้วนไม่มเี สื้อผ้าให้เลือกใส่มากนัก
What?
แก้ปัญหาด้วยการผลิตเสื้อผ้าสําหรับคนอ้วน
คําถาม What?
มองเห็นความต้องการลูกค้า
คําถาม Why?
มองเห็น
คําถาม Who? สินค้า/บริการแตกต่างจากคู่แข่ง
มองเห็นกลุ่มเป้าหมาย
ประเมินขนาดกลุ่มเป้าหมาย
แล้วคําว่าธุรกิจโดดเด่นเป็นอย่างไร?
วิธีหาคําตอบก็ง่ายๆ เราลองเดินไปบอกกลุ่มเป้าหมายว่า เราจะทําอะไร ถ้าเขาเข้าใจสิ่ง
ที่เราพูด แล้วพอเราอธิบายต่อว่าของเราแตกต่างจากเจ้าอื่นอย่างไร จนเขาร้องอ๋อ เกิด
อยากซื้อหรือใช้บริการจากเรา แสดงว่าไอเดียเราใช้ได้ …แต่ถ้าเดินไปบอกแล้วคนยังงง
ไม่มีความคิดอยากซื้อหรือใช้บริการเลย แสดงว่าไอเดียยังไม่โอเค
ทําก่อนคนอื่น ยอมได้เปรียบเสมอ
…เชื่อไหม! ไอเดียธุรกิจที่เราคิดได้ ไม่แน่บางทีอาจมีคนบนโลกนี้คิดได้เช่นกัน เพียงแต่
เขาอาจฝันลมๆ แล้งๆ เหมือนกับเรา หรือเขาคิดอยากทําจริงจังเดี่ยวนีเ้ ลย
…คราวนีอ้ ยูท่ ี่ใครจะชิงลงมือทําก่อน ใครทําก่อนยอมได้เปรียบเสมอ เพราะทําคนแรก ก็
ย่อมได้ลูกค้าประจําก่อน
ด้วยเหตุนี้เมื่อคิดไอเดียเจ๋งๆ ได้แล้ว ไม่เริม่ ทํามันสักที เดี่ยวคนอื่นก็ชิงตัดหน้าไปหรอก
เช่น เราอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งรอบข้างไม่มีใครเปิดร้านล้างรถ (คาร์แคร์) ถ้าเราสร้างก่อนที่
จะมีคู่แข่งก็ยอ่ มได้เปรียบ เพราะคนในพื้นทีย่ ่อมมาใช้ร้านเราร้านเดียว โอกาสชิงทํา
การตลาดก่อน เพื่อหาลูกค้าประจําก่อนย่อมได้เปรียบ
คําถามปราบเซียน
ถ้ า ใครเคยดู ร ายการเสนอแผนธุ ร กิ จ คํ า ถามที่ มั ก เจอประจํ า แถมตอบยากด้ ว ย จะ
ประมาณนี้
หัวใจธุรกิจคุณคืออะไร?
ธุรกิจคุณดีอย่างไร?
จุดเด่นธุรกิจคุณคืออะไร?
อะไรที่คนอื่นเลียนแบบคุณยาก?
ธุรกิจคุณเหนือกว่าคนอื่นอย่างไร? จนคนอื่นไม่สามารถมาแข่งกับคุณได้
ธุรกิจคุณแตกต่างจากเจ้าอื่นอย่างไร?
ทําไมเราต้องซื้อของจากคุณ
และอื่นๆ
ยกตัวอย่างคําถามปราบเซียน เมียคุณทําร้านขายเสื้อ
…อาจเจอกรรมการถามว่า “จุดเด่นร้านคุณคืออะไร”
…ถ้าคุณบอกกรรมการว่า “ผมขายเสื้อผ้าราคาถูก”
…ก็จะเจอกรรมการยิงคําถาม ทําให้จุกเสียดอกว่า “ร้านอื่นก็ขายถูกเหมือนกัน สิ่งที่
คุณทํา ใครๆ เขาก็ขายกัน”
สํารวจความต้องการผู้บริโภค
การตอบคําถาม Who? What? Why? เพื่อเฟ้นหาจุดแข็งของธุรกิจทีแ่ ตกต่างจากเจ้า
อื่น บางทีก็เหมือนมโนไปเองในอากาศ เป็นแค่ความคิดที่ยังไม่พิสูจน์ หรือเป็นแค่ความ
เฟ้อฝันที่หลงทาง …ถ้าเป็นไปได้ก็ควรสํารวจความต้องการของผู้บริโภคโดยตรง ด้วยการ
ใช้แบบสอบถาม
แม้ว่าเราไม่ได้เป็นนักวิจัยการตลาด แต่ก็พอทําได้อยู่ ด้วยการส่งแบบสอบถามให้คนได้
ตอบจริงๆ หรือถ้าไม่สะดวกก็ใช้แบบสํารวจออนไลน์ ที่ง่ายดี (แต่ข้อจํากัดจะได้
กลุ่มเป้าหมายที่อยู่บนโลกออนไลน์เท่านั้น)
เรื่องแบบฟอร์มสํารวจออนไลน์ ปัจจุบันก็มีผู้ให้บริการมากมายฟรี เช่น Google Form
ก็สามารถใช้สร้างแบบสอบถามได้ และดูข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา ตามลิงค์นี้
https://www.google.com/intl/th_th/forms/about/
แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค
การมองแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค ก็เป็นสิ่งสําคัญ เพื่อมองหาโอกาสในการทําธุรกิจ
จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ดังตัวอย่าง
ตัวอย่างแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคที่ ตัวอย่างโอกาสทางธุรกิจ
เปลี่ยนไป
ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้มือถือ (Smart พัฒนาแอพพลิเคชั่นบนมือถือ เช่น แอพจ
phone) มากขึ้น องร้านอาหารผ่านมือถือ
ผู้คนนิยมสั่งซือ้ สินค้าทางโลกออนไลน์ จากเดิมที่เราเปิดร้านขายรองเท้าที่
(ห้างอาจเป็นแค่สถานทีโ่ ชว์สินค้า หรือนัด ห้างสรรพสินค้า ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายแพง
พบเพื่อนกินข้าว ดูหนัง หรือมาแค่ทาํ
ต่อไปอาจย้ายร้านมาอยูบ่ นโลกออนไลน์
ธุรกรรมทางการเงิน)
แทน ซึ่งมีคา่ ใช้จ่ายที่ถูกกว่า
คนดูทีวีน้อยลง ดูผ่านอินเตอร์เนตมากขึ้น คิดสร้างรายการทีวีใหม่ๆ ผ่านทาง
youtube หรือ facebook
ปัจจุบันคนไทยนิยมใช้ facebook มาก เป็นโอกาสที่จะเปิดแฟนเพจ เช่น ให้
โดยเลือกชมเพจที่ตัวเองสนใจ ความรู้เกี่ยวกับหุ้น พร้อมเปิดคอร์สเล่น
หุ้น หรือขายหนังสือวิธเี ล่นหุ้น
ผู้ประกอบการสามารถเลือกวิธีโลจิสติกส์ ตั้งบริษัทขนส่ง ที่ให้บริการส่งเฉพาะ
ที่ดีที่สุด วัตถุดิบจากทะเลสดๆ โดยมีลูกค้าเป็น
ร้านอาหารทะเลทั่วประเทศ
สังคมเริ่มก้าวสู่ยคุ ไร้เงินสด ลูกค้าเริ่มใช้ ร้านค้าปรับตัว ให้สามารถรับชําระเงิน
เงินสดน้อยลง เช่น เริม่ มีการนํา QR ด้วยวิธีไร้เงินสด
code มาซื้อสินค้าแทนจ่ายด้วยเงินสด
ไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทําธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ โดยมีเป้าหมาย
เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ
ไอเดียคิดยังไงก็ซ้ําคนอื่น
สมมติเราคิดจะผลิตสว่าน หน้าที่ของมันหรือพื้นฐานการใช้งานคืออะไร?
คําตอบ คือเจาะรู
สรุป
คุณค่า (Value)
มากกว่าพื้นฐานเดิม
Why?
ลูกค้า
ทําไมลูกค้าต้อง
ตอบสนองลูกค้า พึงพอใจ
ซื้อจากเรา?
(ตอบโจทย์)
เป็นคุณค่าพื้นฐาน
กรณีที่สินค้า/บริการแตกต่างจากเจ้าอื่นแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะโดดเด่น
มีบางกรณีที่ต่อให้สินค้า/บริการเราแตกต่างจากคู่แข่งแล้ว แต่ใช่ว่าจะโดดเด่น จนลูกค้า
เลือกเรามาสนองความต้องการเพียงคนเดียว (ไม่เหลียวมองเจ้าอื่น) …ในโลกความเป็น
จริง เราอาจเป็นแค่ทางเลือกหนึ่ง ท่ามกลางสินค้า/บริการอื่นที่มีอยูใ่ นท้องตลาดตอนนี้
เรียกว่าแตกต่างบนเส้นทางเลือกของลูกค้า …ไม่ใช่แตกต่าง ที่โดดจากเจ้าอื่น จนเตะตา
ลูกค้า
ยกตัวอย่าง เราทําบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปขาย
ตอบโจทย์ลูกค้า ทําให้อิ่ม ราคาประหยัด สะดวกทํากินเองได้ สามารถต้มเสร็จภายใน 3
นาที …คุณสมบัติพวกนี้ ถือว่าใครๆ ก็ทําได้ มันพื้นฐานมากสําหรับอาหารชนิดนี้
ส่วนสิ่งที่แตกต่างจากเจ้าอื่น ก็คือ รสชาติเราอร่อย จนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ก็อปปี้ไม่ได้
…แต่ทว่าบอกแค่นี้ก็ไม่โดดเด่น จนลูกค้าเลือก (เพราะมีหลายเจ้าในท้องตลาด)
…ด้วยเหตุนี้รสชาติ ก็ยังเป็นแค่คุณค่าในระดับพื้นฐานเดิม
ถ้าเปรียบเทียบนักร้องคือสินค้า เราต้องยกระดับ
แบรนด์ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ต้องใส่คุณค่าอะไรลง
ไปที่มากกว่าพื้นฐาน จนทําให้ลูกค้ารับรูไ้ ด้ เช่น
รู้สึกดีต่อแบรนด์จัง หรือศรัทธาในตัวแบรนด์อย่าง
บอกไม่ถูก …พอนักร้องคนนี้ปล่อยเพลงอะไรมา ก็
จะคอยติดตามอุดหนุนผลงานเสมอ เป็นต้น
เทคนิค 2 เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย
ถึงตัวสินค้า/บริการ จะไม่แตกต่าง หรือไม่โดดเด่นก็จริง แต่ถ้าลองเปลี่ยนกลุ่มตลาดดูล่ะ!
ก็จะได้ผลอีกอย่าง (เปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย)
หาไอเดียจากอินเตอร์เนต
เครื่องมือของ google และ facebook ต่อไปนี้ จะช่วยหาไอเดียทําธุรกิจ ใครไม่คุ้น ก็ให้
ดูเบื้องต้นเป็นไกด์ไลน์แล้วกัน ที่สําคัญเครื่องมือพวกนี้ฟรี (เนื้อหาต่อไปนี้เหมาะกับคนที่
คุ้นเคยเครื่องมือพวกนี้แล้วนะครับ เพราะจะอธิบายคร่าวๆ)
1. Google (www.google.com)
4. Facebook Ads
ศึกษาคู่แข่ง
การศึกษาคู่แข่ง จะช่วยทําให้เกิดไอเดีย ได้ศึกษาแผนธุรกิจของคู่แข่ง รวมทั้งได้ไอเดีย
วางแผนการทําตลาด ไม่เพียงเท่านั้นยังทําให้เราปรับตัวได้ทัน ก่อนเจอคู่แข่งมาฆ่าเรา
สําหรับวิธีแอบดูคู่แข่งอาจทําได้ดังนี้
Sharing Economy
Sharing Economy อาจแปลตรงตัวได้ว่า เศรษฐกิจร่วมกัน หรือแบ่งปันกัน ซึ่ง
เศรษฐกิจแบบนี้ เอามาใช้เป็นไอเดียทําธุรกิจรูปแบบหนึ่ง ด้วยการนําทรัพย์สินทีเ่ รามีอยู่
แล้ว มาแชร์หรือแบ่งปันให้คนอื่นได้ใช้ แล้วเราก็เรียกเก็บเงินเป็นค่าใช้จ่าย
ยกตัวอย่าง
Uber เป็นแอพพลิเคชัน่ เรียกรถโดยสาร
โดยแนวคิดเปิดโอกาสให้คนที่มีรถส่วนตัว
สามารถนํามาแชร์ เพื่อขับรับผู้โดยสารได้
ทํme.
าให้ใครก็ตามที่มรี ถส่วนตัว ก็สามารถมาสมัคร
Uber เพื่อขับรถส่งผูโ้ ดยสาร ถือว่าเป็นไอเดียหา
รายได้ที่น่าสนใจไม่น้อย (ตอนที่เขียนหนังสือ
บริการแบบนี้ในไทยยังถือว่าผิดกฎหมาย)
Airbnb คือบริการเปิดให้จองที่พัก
โดยไอเดียจะเปิดให้ใครก็ตามที่มีทพี่ ักหรือ
ห้องว่าง สามารถเปิดให้คนอื่นมาเช่าอยู่ได้
S
หาสินค้า/บริการมาขาย
จากคําถาม What? Who? และ Why? …เมือ่ เราได้ไอเดียทําธุรกิจ จนรู้ว่าจะขาย
สินค้า/บริการอะไรแล้ว ต่อไปก็นํามันมาขาย ซึง่ สินค้าก็มีหลากหลายชนิด เช่น
บ้าน / ที่ทํางาน
โรงเรียน / มหาวิทยาลัย
โรงแรม / ร้านอาหาร / สถานที่ทอ่ งเทีย่ ว
ผับ / โรงเบียร์ / สถานบันเทิง
ภูเขา / น้ําตก / ทะเล
ในประเทศ / ต่างประเทศ
ของทุกอย่างมีแหล่งทีข่ ายรออยู่
ของทุกอย่างในโลกนี้มนั ขายได้หมดแหละ มันมีแหล่งซื้อหรือขายของมัน (มีตลาดของ
มัน) อยู่ที่ว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะไปสถิตอยู่แห่งหนตําบลใด (ส่วนจะขายได้ ขายดี ขาย
ยาก/ง่าย ก็เป็นอีกเรือ่ งหนึ่งนะ)
สําหรับของเก่าๆ บางอย่าง เช่น แก้วทรงโบราณ เก้าอีโ้ บราณ ตูโ้ บราณ เป็นต้น สินค้าที่ดู
ตกยุคล้าสมัย ดูยังไงก็ขายไม่ออก
…แต่ถ้าไปอยูแ่ หล่งที่เหมาะสม เช่น วางขายบนเว็บไซต์ ebay.com หรือขายที่ตลาดนัด
รถไฟ (กรุงเทพ) เป็นต้น ก็ยอมขายออก เพราะเป็นแหล่งทีค่ นมาหาซือ้ สินค้าเก่าๆ สินค้า
โบราณ หาซือ้ ยาก
How? เป็ น คํ า ถามที่ ห าวิ ธี เ ข้ า ถึ ง กลุ่ ม ลู ก ค้ า เป้ า หมายที่ ตั้ ง ไว้ ให้ ไ ด้ แ ม่ น ยํ า และมี
ประสิทธิภาพมากสุด ซึ่งปกติจะนิยมใช้การโฆษณา เพื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อเข้าถึงลูกค้า
วิธีชําระเงิน
สําหรับช่องทางการขาย เมื่อเราตอบได้ว่ามีอะไรแล้ว ต่อไปก็ต้องมีช่องทางการชําระเงิน
ให้แก่ลูกค้า ซึ่งมีหลากหลายวิธีมากในยุคนี้ เช่น
จ่ายเงินสด, โอนเงิน, บัตรเครดิต, บัตรเดบิต, บัตรแทนเงินสด, ใช้ paypal, propmpay,
ออกบิลเรียกเก็บเงิน, เรียกเก็บเงินปลายทาง
หรือสมัยนี้ได้มีการใช้ QR code …โดยลูกค้าเพียงยกมือถือตัวเองมาถ่ายรูป QR code
ของสินค้า ก็สามารถชําระเงินได้เลย
หรือบางประเทศพัฒนาการชําระเงินไปไกล โดยระบุตัวตนด้วยใบหน้า ก็จ่ายเงินได้แล้ว
พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผู้บริโภค
นอกจากรู้จักช่องทางการสื่อสารและการขาย เราต้องรู้เส้นทางการซื้อของผู้บริโภค หรือ
เรียกอีกอย่างว่า ทางเดินของผู้บริโภค (Customer Journey) ซึ่งจะมีลําดับดังนี้
ขั้นที่ 1.การรับรู้ (Awareness) หมายถึง วิธีรบั รู้สินค้า/บริการของผูบ้ ริโภค เช่น รับรู้
จากทีวี โปสเตอร์ สือ่ สิ่งพิมพ์ เป็นต้น
ขั้นที่ 2.การหาข้อมูล (Search) ของสินค้า/บริการ เช่น ไปตามงานอีเว้นท์ หรือหา
ข้อมูลจากแคตตาล็อก เป็นต้น
ขั้นที่ 3.การเปรียบเทียบ (Evaluation) เช่น สอบถามจากเพื่อน หรือดูข้อมูลจากแคต
ตาล็อก หรือไปดูสินค้าจริงในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
4.การเลือกซือ้ (Selection) เช่น เดินไปซื้อตามร้าน หรือซื้อยังจุดขายสินค้า/บริการ
เป็นต้น
เราจําเป็นต้องรูพ้ ฤติกรรมผู้บริโภคก่อนซือ้ และหลังใช้ เพื่อที่จะเชื่อมโยงช่องทางการ
สื่อสารและการขาย แล้วตรงดิ่งไปหาผู้บริโภคได้ถูกจุด
สําหรับเส้นทางพฤติกรรมผู้บริโภคที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่เหมาะกับยุคนี้ (แล้วอธิบาย
ทําไมฟ่ะ! หลายบรรทัด) ซึ่งในยุคดิจิตอล ทางเดินผู้บริโภคจะเป็นดังรูปหน้าถัดไป
รวยด้วยการตลาด โดย จตุรพัชร์ พัฒนทรงศิวิไล (แอดมินโฮ โอน้อยออก)
57
1. การรับรู้ (Awareness)
2. การเปรียบเทียบข้อมูล (Evaluation)
3. ตัดสินใจซื้อ (Purchase)
4. การใช้ (Usage)
5. การซื้อซ้ํา (Repurchase)
6. การสนับสนุน (Advocacy)
มาดูรายละเอียดทางเดินของผู้บริโภคในยุคดิจิตอลกันดีกว่า ดังตารางข้างล่าง
ขั้นตอน รายละเอียด
1 การรับรู้ ช่องทางรับรู้ขอ้ มูลสินค้า/บริการ เช่น facebook,
(Awareness) instragram, line, เว็บ, youtube เป็นต้น (ไม่ได้มี
แค่ทีวี วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ …แบบออฟไลน์อย่างเดียว)
2 การเปรียบเทียบข้อมูล สามารถเปรียบเทียบข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ เช่น
(Evaluation) จากเว็บไซต์, youtube, บทความรีวิว เป็นต้น
3 ตัดสินใจซื้อ ผู้บริโภคต้องการสินค้า/บริการ เพียงแค่สั่งซื้อผ่าน
(Purchase) ทางแอพพลิเคชั่น หรือเว็บไซต์ของร้านนั้นๆ หรือ
นัดโอนเงินได้เลย (ไม่ใช่มีแค่วิธีเดินไปซื้อที่รา้ น)
4 การใช้ หลังจากทําการซือ้ สินค้ามาแล้ว หากสินค้าดีหรือไม่
(Usage) ดีจริง อาจมีการพูดถึงหรือติชมบนโลกออนไลน์
5 การซื้อซ้ํา การที่ลูกค้าซื้อซ้ํา ก็อาจมาจากส่วนลด/คูปอง
(Repurchase) ออนไลน์ หรือเห็นลดราคาในโลกออนไลน์
6 การสนับสนุน ถ้าสินค้า/บริการดีจริง ก็จะบอกแบบปากต่อปาก
(Advocacy) (Word of Mouth) ด้วยการเขียนรีวิวสินค้าให้
หรือแชร์ผา่ นโซเชียล เป็นต้น
ที่มา http://www.monmai.net/customer-journey/
http://www.yengobuzz.com/customerjourneyเปลี่ยนไปแค่ไหน/
สรุปคําถาม 5W+1
Where?
Who? When?
How?
เครื่องมือในโลกออนไลน์
จะอธิบายเรื่องช่องทางการเข้าถึงลูกค้า (ต่อยอดจากคําถาม How?) โดยในบทนี้จะเน้น
เครื่องมือที่ใช้ติดต่อลูกค้าผ่านโลกออนไลน์เป็นหลัก ตามรายละเอียดต่อไปนี้
1 เว็บไซต์
ในกรณีอีคอมเมิร์ซ (ecommerce) ปกติเราต้องมีหน้าเว็บไซต์ใช้แทนหน้าร้าน ซึ่งถือ
ว่าเป็นช่องทางหลักในการติดต่อลูกค้า (ทั้งขายของและประชาสัมพันธ์) โดยเรามีวิธี
จัดหาเว็บไซต์มาใช้ขายของดังนี้
1.1 สร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเอง
เราอาจสร้าง (ถ้าเขียนเป็น) หรือจ้างคนมาทําเว็บไซต์ให้ก็ได้ …ทั้งนี้องค์ประกอบของเว็บ
ที่จะเป็นอีคอมเมิร์ซได้ นอกจากมีหน้าตาเว็บไซต์แล้ว ยังต้องมีฟังก์ชั่นใช้งานดังนี้
มีตะกร้าสินค้า
ระบบรักษาความปลอดภัยในการรับชําระเงิน
ระบบจัดส่งสินค้า
ต้องป้องกันความเสีย่ งจากข้อมูลลูกค้า เช่น ป้องการ hack ข้อมูล
มีระบบจัดการหลังบ้าน เช่น จัดการสินค้าคงคลัง ตรวจสอบยอดสั่งซื้อ วิเคราะห์
การซื้อของลูกค้า เป็นต้น
การสร้างเว็บด้วยวิธีนี้ มีข้อดีคอื เราสามารถปรับแต่งหน้าเว็บได้ตามใจชอบ ตาม
วัตถุประสงค์ของธุรกิจนั้นๆ
แต่ข้อเสีย ต้องลงทุนสูงทั้งในด้านซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ รวมทั้งต้องจ้างพนักงานมา
ดูแลระบบอีกด้วย
1.2 ใช้บริการเว็บขายของออนไลน์สําเร็จรูปฟรี
ธุรกิจบางอย่าง เช่น การจองร้านอาหาร การประมูลสินค้า …หน้าร้านของธุรกิจพวกนี้
อาจต้องสร้างเว็บขึ้นมาโดยเฉพาะ (ใช้วิธีข้อ 1.1) จะได้หน้าเว็บตรงตามธุรกิจที่สุด
แต่ถ้าเป็นเว็บสั่งซื้อของออนไลน์ทั่วไป ที่มีรูปแบบการใช้งานซ้ําๆ กัน อาจใช้บริการเว็บ
ขายของออนไลน์สําเร็จรูปฟรีที่เขามีให้บริการ (บางเว็บ ถ้าเพิ่มออปชั่นบางอย่างต้อง
เสี ย เงิ น เพิ่ ม ) โดยเราเพี ย งเข้ า ไปในระบบ กรอกข้ อ มู ล สิ น ค้ า ราคา รู ป ภาพ และ
รายละเอียดลงไป ไม่นานนักเราก็จะได้หน้าเว็บไซต์สวยๆ พร้อมขายทั่วโลกทันที
ตัวอย่างเว็บที่ให้บริการเหล่านี้
http://www.lnwshop.com
http://www.siamvip.com/shoppingon
line.aspx
http://www.tarad.com/ร้านค้าออนไลน์
ตัวอย่างเว็บ เทพ SHOP http://www.siamshop.com
http://portal.weloveshopping.com/w
hy-choose-us
http://www.shopup.com
http://www.sasacool.com
http://www.opencart2u.com
http://www.dapzit.com
ตัวอย่างเว็บ siamshop https://www.bentoweb.com/th
อื่นๆ
1.4 เว็บไซต์ที่รับประกาศโพสต์ขายของฟรี
เว็บไซต์พวกนี้จะให้เราไปแปะประกาศขายของฟรี แล้วให้ลูกค้าติดต่อเราทางที่อยู่ซึ่ง
โพสต์ไว้ หรือจะให้นัดเจอกันเองก็ได้ หรือจะติดต่อกันผ่านช่องทางที่เว็บพวกนี้เตรียมไว้
ให้ …เว็บประเภทนี้อาจดูง่ายๆ โบราณไปหน่อย แต่ก็ได้ผลเสมอ ถ้าลูกค้าค้นหาเจอ
ตัวอย่างเว็บแนวนี้ เช่น pantipmarket.com, kaidee.com เป็นต้น
ส่วนการใช้อินสตราแกรม ประกาศโพสต์ขายของ ก็
เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ยิ่งตอนนี้เราสามารถลง
โฆษณาได้แล้วด้วย
ซึ่งการขายของวิธีนี้ เหมาะกับสินค้าที่ต้องโชว์รูปสินค้า
แล้วแสดงความสวยงามของสินค้าออกมา เช่น เสื้อผ้า
งานศิลปะ ท่องเที่ยว อาหาร เฟอนิเจอร์ เป็นต้น
(มีข้อจํากัดเรื่องสินค้าที่เหมาะจะทําการตลาดหน่อย)
รวยด้วยการตลาด โดย จตุรพัชร์ พัฒนทรงศิวิไล (แอดมินโฮ โอน้อยออก)
64
3. ใช้แอพลิเคชั่นแชท
เครดิตรูป https://line.me/th/download
line@ เป็นอีกบัญชีหนึ่งแยกจากบัญชี line ธรรมดา
4. live หรือทําเป็นวีดีโอ
4. Email
การสื่อสาร
การสื่อสารกับผู้บริโภค ไม่ว่าจะประชาสัมพันธ์ หรือยิงโฆษณาไปยังช่องทางการตลาดที่
ได้กล่าวมาในบทก่อน ไม่ว่าจะสื่อสารรูปแบบใด มันก็ต้องมีเทคนิค ดังที่จะเสนอต่อไปนี้
เทคนิคที่ 1 ใช้สโลแกน
การสื่อสารให้ลูกค้ารับทราบ สามารถใช้สโลแกนเป็นประโยคทองสั้นๆ ง่ายๆ ซึ่งใช้ได้ไม่
ว่าจะสือ่ สาร เพื่อการโปรโมทแบรนด์ ประชาสัมพันธ์แคมเปญ เป็นต้น
ตัวอย่าง สโลแกนที่เราน่าจะคุ้นหู
“รับขนมจีบ ซาเปาเพิม่ มั๊ยค่ะ” …สโลแกนของเซเว่น
“เบอร์ดี้หนึ่งในใจคุณ” …สโลแกนของกาแฟเบอร์ดี้
“ซอลส์ เค็มแต่ด”ี …สโลแกนของยาสีฟันซอลส์
เทคนิคที่ 2 อย่าสักแต่พูดสิ่งที่เราต้องการ
ถ้าเราจะสื่อสารเพือ่ การขายของโดยตรง (Hard sell) มันก็มีอยู่ 2 เทคนิคในการสื่อสาร
ให้ลูกค้ารับรู้
1. อย่าพูดในสิ่งที่เราต้องการบอกลูกค้า
2. แต่จงพูดในสิ่งที่ลูกค้าต้องการจากเรา
ตัวอย่าง
วิธีการ ตัวอย่าง
1 อย่าพูดในสิ่งที่เรา รับจัดดอกไม้ในเทศกาลวาเลนไทน์
ต้องการบอกลูกค้า โทร 0-2xxx-xxxx คลิกที่นี่
2 แต่จงพูดในสิ่งทีล่ ูกค้า “วาเลนไทน์” ปีนี้มอบดอกไม้แทนใจให้คนที่คณ
ุ รัก
ต้องการจากเรา โทร 0-2xxx-xxxx คลิกที่นี่
ลองดูตัวอย่างนี้
ตัวอย่าง
1 “รับสร้างบ้านสําเร็จรูป ด้วยเทคนิคเชื่อมเหล็กพิเศษ ทําให้บ้านทนทานแข็งแรง
เป็นสิบๆ ปี”
2 “ผู้เชี่ยวชาญสร้างบ้านสําเร็จรูป มากกว่า 1,000 หลังคา”
เทคนิค 3 ทําให้สินค้าน่าบอกต่อ
วิธีการสือ่ สารไปยังกลุม่ ลูกค้าให้ตรงใจ จนบอกต่อไปยังกลุ่มลูกค้าคนอืน่ ๆ เราก็สามารถ
ทําได้ดังนี้
“คุ้มค่าคุ้มราคา” …ต้องการบอกถึงราคาที่ถูก
“ถูกและดี” …ต้องการบอกถึงราคาที่ถูก
“บริการจากใจ” …ต้องการบอกถึงบริการที่เอาใจลูกค้า
การทําให้เนื้อหากระจายบนโซเซียล
การทําให้บอกต่อบนโลกโซเซียล สามารถใช้เฟสบุ๊คเป็นตัวกระจายคอนเทนต์ใช้เลิศ ยิ่ง
ถ้าสิ่งที่บอกต่อ มันตรงใจกลุ่มลูกค้าแบบโดนๆ ละก็ ..จะเกิดการกด share เผยแพร่สู่
สาธารณะจํานวนมาก มีโอกาสเป็น viral ได้สงู
ขอย้ํานะครับ สิ่งที่บอกต่อควรเป็นไปในทางบวก …ถ้าบอกต่อไปในแง่ลบ ตัวคนที่
เผยแพร่เนือ้ หามีสิทธิเจอรุมด่าภายหลัง จะหาว่าไม่เตือน
เทคนิค 4 โหนกระแส
เราสามารถใช้กิจกรรมเพื่อสังคม โดยอาศัยเหตุการณ์ในปัจจุบัน นําธุรกิจเราไปมีส่วน
ร่วมในเหตุการณ์นั้น …ทั้งนี้กิจกรรมควรเป็นในแง่บวกต่อสังคม
เช่น เกิดเหตุการณ์น้ําท่วม เราก็ร่วมจัดกิจกรรมบริจาค ส่งน้าํ ดื่มไปให้ผู้ที่เดือดร้อน
ไอเดียใช่ว่าจะโอเค?
ความต้องการผู้บริโภค หรือผู้ซอื้ หรือลูกค้า
เป็นสิ่งที่ต้องโฟกัสลงไปเวลาทําการตลาด
ซึ่ ง มื อ อาชี พ เขาจะศึ ก ษาผู้ บ ริ โ ภคให้ เ ข้ า ใจ
เสียก่อน ก่อนหาสินค้า/บริการมาตอบสนอง
โดยปกติธุรกิจใหญ่จะมีทีมนักการตลาดมาทําวิจัยการตลาด หรือบางทีก็ไปจ้างข้างนอก
มาทําวิจัยให้ เป้าหมายเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค จะได้ค้นหาความต้องการ
ของลูกค้าได้ถูกจุด …ด้วยเหตุนี้สินค้า/บริการจึงมีโอกาสตอบโจทย์ลูกค้า มากที่สุด
ลองทําสินค้า ทดสอบตลาด
1 2
หรือบริการขึ้นมา
ปรับปรุง/ วัดผล 3
4
พัฒนา
เพื่อให้เห็นภาพชัดมากยิ่งขึ้น ขออธิบายด้วยรูปข้างล่างเพิ่มเติม
Prototype สินค้า/บริการ
ไอเดีย
ของจริง
ทําแบบหยาบๆ ไม่ต้องละเอียด
ทําให้เร็วไว้ก่อน
ทําให้ใช้งานได้ก่อน
ซึ่งวิธีทําธุรกิจแบบนี้ ก็มีข้อเสียเหมือนกันนะ
เราจะเริ่มทําธุรกิจแบบติดลบ ไอเดียทีค่ ิดทําขึน้ มาสําเร็จหรือไม่ ยังไม่รู้เลย
(Business model หรือรูปแบบการทําธุรกิจยังไม่นิ่งเลย)
ต้องใช้ความอดทนสูง ต้องมีภูมิต้านทานต่อความล้มเหลว เพือ่ รอเก็บเกี่ยว
ผลสําเร็จในภายภาคหน้า …ด้วยเหตุนี้ต้องรักและชอบในสิ่งที่ทําก่อน ถึงจะอยู่
รอดได้นานๆ
ในช่วงแรกไม่สามารถตอบได้ว่า เงินทีล่ งทุนไปแล้ว เราจะได้กลับคืนมาเท่าไร
เนื่องจากเป็นการลงทุนทดลองเสียมากกว่า (ก็เพราะระยะเวลาคืนทุนยังไม่
ชัดเจน ด้วยเหตุนี้ช่วงทํา Prototype จึงควรใช้ทุนน้อยๆ แล้ววัดผลให้ไว)
ทําการตลาดใช่ว่าจะสําเร็จ
เวลาทําการตลาด ด้วยการคิดแคมเปญโฆษณา อุตสาห์วางแผนมาอย่างดีแล้ว ก็ยังบอก
ไม่ได้ว่าจะสําเร็จหรือไม่ …ซึ่งไม่ต่างกับสินค้า/บริการที่เราคิดหรือหามาได้นั้น มันอาจ
ล้มเหลวได้ เมื่อลองนําไปขายจริง
การตลาดบางทีก็เหมือนทําวิจัยเหมือนกันนะ เราสามารถลองทําก่อน ลงโฆษณาด้วยเงิน
น้อยๆ แล้ววัดผล จนกว่าจะมั่นใจในโฆษณาตัวนั้นว่า ทําแล้วเข้าเป้าจริง จึงค่อยใส่เงิน
เต็มแม็กซ์ก็ยังไม่สาย (ต้องทําใจ ถ้าเงินโฆษณาก่อนหน้านี้เหมือนเททิ้งลงแม่น้ํา)
ตัวอย่างง่ายๆ เวลาทําโฆษณา
เราสามารถทําการตลาดก่อนขายจริงก็ได้
สําหรับวิธีทาํ การตลาด เราสามารถทําไปพร้อมกับตอนพัฒนา หรือหาสินค้า/บริการ เช่น
โปรโมตให้เห็นว่าเรากําลังพัฒนาสินค้าอยู่ แม้วา่ ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ตามที
….ให้นึกถึงละครหรือภาพยนตร์ ช่วงระหว่างถ่ายทํา หรือก่อนออกฉาย มันก็ยังมีข่าวเล็ด
รอดออกมาให้เห็นเป็นระลอก หรือมีภาพหลุดจากกองถ่ายออกมาบ้าง หรือมีการถ่าย
เบื้องหลังให้เห็นก่อนฉายจริง …ซึ่งถือว่าทําการตลาดก่อนขายจริงนั่นเอง
การซื้อซ้ํา
วิธีทําให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ํา ก็คอื ทําให้เกิดลูกค้าขาประจํา ทําให้เขามาซื้อสินค้า/
บริการเราบ่อยๆ แน่นอนควรทําให้เกิดการซื้อซ้าํ มากที่สุด ซึ่งกลยุทธ์เหมะสมสุดน่าจะ
เป็นการสร้างความสัมพันธ์แนบแน่นกับลูกค้า …โดยใช้การตลาดแบบ Relationship
Marketing (เดี่ยวจะกล่าวอีกทีในบทถัดๆ ไป)
วางแผนการตลาด
สําหรับวิธีวางแผนการตลาด ก็อาจเรียงลําดับขั้นตอนได้ดังนี้
1. กําหนดวัตถุประสงค์ทําการตลาด
2. กําหนดกลุ่มเป้าหมาย
3. กําหนดงบประมาณที่นํามาใช้
4. กําหนดแผนกลยุทธ์ทําการตลาด
5. ทําตามแผนการตลาด
6. วัดผลงาน
1 กําหนดวัตถุประสงค์ทําการตลาด
1. Specific (เจาะจง)
2. Measurable (วัดผลได้)
3. Aggressive (ทะเยอทะยาน)
4. Reality (เป็นไปได้)
5. Timing (ระยะเวลา)
2 กําหนดกลุ่มเป้าหมาย
3 กําหนดงบประมาณที่นํามาใช้
สําหรับวิธีการตั้งงบประมาณ อาจทําได้ดังนี้
วิธีการโฆษณา อธิบาย
1 Flat Rate เป็นการคิดค่าโฆษณาแบบเหมาจ่าย
ซึ่งอาจคิดเป็น รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน
หรือรายปีก็ได้ ตามข้อตกลงของเว็บไซต์ผู้ให้นํา
โฆษณามาแปะได้
2 CPM เป็นการคิดค่าโฆษณาต่อการแสดงโฆษณาบน
(Cost per 1,000 impression) หน้าเว็บไซต์ครบทุก 1,000 ครั้ง
3 CPC เป็นการคิดค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อมีผู้ “คลิก”
(Cost Per Click) โฆษณาที่ปรากฏขึ้นเท่านั้น (บนเว็บไซต์)
4 กําหนดแผนกลยุทธ์ทําการตลาด
ตัวอย่างกลยุทธ์บนโลกออนไลน์ ตัวอย่างกลยุทธ์บนโลกออฟไลน์
ใช้แบนเนอร์ ทีวี
แลกเปลี่ยนลิงค์กับเว็บอื่นๆ วิทยุ
ใช้ e-mail Marketing สื่อสิ่งพิมพ์
ใช้ Search Engine Marketing แจกใบปลิว
ใช้ Affiliate Marketing ประกาศบนบิลบอร์ด
ใช้ Viral Marketing ไปออกบูธ/นิทรรศการแสดงสินค้า
ใช้ Blog Marketing อบรม สัมมนา
ใช้ VDO Marketing
ใช้ Mobile Marketing
ใช้ Social Marketing
ใช้ e-Marketplace
5 ทําการตามแผนการตลาด
“เมื่อคิดได้แล้ว ก็ทําทันที”
6 วัดผลงาน
วัดผลจากยอดขาย
ถ้าโฆษณาที่เน้นขายของโดยตรง (Hard sell) เราก็ต้องมั่นใจว่าลงเงินโฆษณาไปแล้ว
ต้องการรันตีว่าจะได้ยอดขายกลับมาตามที่ตั้งเป้าไว้ …ซึ่งในกรณีนี้เราจะวัดผลโฆษณา
จากยอดขายทั้งหมดที่ได้รับกลับมา (หลังโฆษณาไปแล้ว)
วัดผลจากการใช้งานเว็บไซต์
อันนี้เผือ่ ใจไว้เลย ถ้าเน้นสร้างแบรนด์ให้โลกรับรู้ เมื่อเราลงเงินโฆษณาไปแล้ว คงไม่ได้
อะไรกลับมาเป็นตัวเงินตรงๆ
อันนี้อาจคิดว่าเหมือนลงโฆษณาแบบตําน้ําพริกละลายแม่น้ํา (ยังไม่รู้จะได้กําไรกลับคืน
มา) แต่จริงๆ แล้ว ลงโฆษณาด้วยวิธีนี้ไปแล้ว เราได้อะไรกลับคืนมาแน่นอน เพียงแค่
ไม่ใช่ตัวเงินเท่านั้นเอง (เดี่ยวจะอธิบายการตลาดที่ไม่ได้เน้นยอดขาย ในบทถัดไป)
…ถ้าจะวัดฟีดแบ็คจากโฆษณาแนวนี้ จากสือ่ ทางออฟไลน์ อาจยากสักหน่อย
…แต่ถ้าวัดฟีดแบ็คจากโลกออนไลน์ สามารถทําได้ง่ายมาก ยิ่งถ้าธุรกิจมีเว็บไซต์ส่วนตัว
ก็สามารถวัดผลเวลาคนเข้าเว็บ หลังจากลงโฆษณาไปแล้ว ซึ่งสามารถทําได้ดังนี้
เทคนิคการวัดผลใน Facebook
ถ้าใครใช้เฟสบุ๊คทําแฟนเพจ เอาไว้ขายของ หรือทําประชาสัมพันธ์ เขาจะมีบริการ
ตรวจสอบข้อมูล Insights (ข้อมูลเชิงลึก) ซึ่งเราสามารถใช้งานได้ฟรีที่เว็บ
http://www.facebook.com/insights (วัดผลเฉพาะหน้าแฟนเพจเรา)
ซึ่งข้อมูลที่ได้มานั้นจะละเอียดมาก เช่น ยอดกด like, ยอดกด share, ยอด comment,
จํานวนคนที่มองเห็น, หรือสามารถบอกได้ว่ากลุม่ คนที่เข้าเยีย่ มชมแฟนเพจเรามาจาก
จังหวัดไหน อายุ เพศอะไร และข้อมูลอื่นๆ เป็นต้น
รูปแบบธุรกิจ
ก่อนจะไปบทถัดไป เราจะพูดถึงรูปแบบธุรกิจ ที่เหมาะสมกับธุรกิจในยุคอินเตอร์เน็ต ยิ่ง
เป็นยุคของอีคอมเมิร์ซ (หรือการขายของบนโลกออนไลน์) ก็จะมีธุรกิจ 2 รูปแบบดังนี้
แต่เวลาทําการตลาดก็ต้องทําทั้งสองฝั่งทั้ง
ออฟไลน์ และออนไลน์
…ให้สองสิ่งเกื้อกูลหนุนกัน เพื่อเพิม่ ยอดขาย
การตลาดดั้งเดิม
…ไอเดียทําธุรกิจที่จะขายได้ ต้องมาควบคู่กับการตลาด
…ถ้าจะขายได้ ขายดี มีกําไรงาม ก็ต้องเอาการตลาดเชิงรุก เน้นทํากําไรมาจับ
…ซึ่งการตลาดที่เน้นทํากําไรสูงสุด ก็อาจใช้ Integrated Marketing (การตลาดแบบ
บูรณการ) โดยใช้กลยุทธ์ 4P’s หรือที่เรียกว่าส่วนผสมทางการตลาด (Marketing Mix)
…คําว่า 4P ย่อมาจาก 4 คําได้แก่ Product, Price, Place, Promotion
ตั้งตามต้นทุนของเรา + กําไรที่ต้องการ
ตั้งตามคุณค่าที่ลูกค้ารับรู้ (บวกคุณค่าทางใจ หรือยี่ห้อเข้าไป)
กําหนดราคาโดยใช้คู่แข่งขันเป็นฐาน
ตั้งราคาตามคู่แข่ง
ตั้งราคาโดยคิดว่าคู่แข่งจะตั้งเท่าไหร่
และวิธีอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึง
กลยุทธ์ราคา
เรื่ อ งราคาถื อ ว่ า เป็ นกลยุ ท ธ์อ ย่ า งหนึ่ง สิ นค้ า /บริ การบางอย่ า งถื อว่ า แพงจริ ง แต่ ถ้า
เจ้าของธุรกิจสามารถควบคุมการผลิตได้ แล้วกดต้นทุนให้ต่ําลง ก็สามารถใช้กลยุทธ์ขาย
ถูกกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นที่ขายแพงกว่า
กลยุทธ์ขายถูก กลยุทธ์ขายแพง
ต้องเน้นขายเยอะๆ เน้นปริมาณให้มาก ไม่เน้นขายเยอะ ถึงจะขายน้อยก็จริง แต่
เข้าไว้ โดยอาศัยยอดขายมาชดเชยกําไร ขายทีกําไรต่อชิ้นมากโข ก็ทําให้ได้กําไร
ต่อชิ้นที่มีน้อยอยู่แล้ว ถึงจะกําไรเยอะ งามเช่นกัน
ถ้าสินค้ามีกําลังการผลิตต่อวันใน ถ้าสินค้ามีกําลังการผลิตต่อชิ้นปริมาณ
ปริมาณมากๆ วิธีขายถูกจะเข้าท่ามาก จํากัดต่อวัน ทําได้ไม่มากนัก วิธีขายด้วย
เพราะสามารถขยายยอดขายได้เยอะๆ จํานวนน้อยแต่แพง จะมาชดเชยยอดการ
ผลิตที่ทาํ ได้น้อย
สิ่งที่ต้องพึงระวังวิธีนี้ ต้องพยายามเพิม่ สิ่งที่ต้องพึงระวังวิธีนี้ ต้องพยายามเจาะ
ยอดขาย โดยไม่ทาํ ให้ต้นทุนการผลิต กลุ่มลูกค้าคนมีเงิน และพยายามทําให้เข้า
เพิ่มขึ้นตาม กลับมาซื้อให้ได้ (สร้างความจงรักภักดีต่อ
แบรนด์)
คุณภาพสินค้า/บริการ กับราคา
เมือกล่าวถึงคุณภาพสินค้า/บริการ กับราคา อาจมองความสัมพันธ์ได้หลายแบบดังนี้
1. สินค้า/บริการคุณภาพต่ํา แต่ราคาต่ํา
2. สินค้า/บริการคุณภาพต่ํา แต่ราคาแพง
3. สินค้า/บริการคุณภาพสูง แต่ราคาต่าํ
4. สินค้า/บริการคุณภาพสูง แต่ราคาแพง
มาดูกรณีตัวอย่าง ดังนี้
คุณภาพสินค้า/บริการต่ํา คุณภาพสินค้า/บริการสูง
รายละเอียดเสริมนิดหน่อย
เมื่อพูดถึงวิธีเพิม่ กําไรให้กับธุรกิจ สามารถทําได้ดังนี้
1) ลดต้นทุน
2) เพิ่มราคา
3) หาลูกค้าใหม่ๆ ในตลาดเดิม
4) ทําให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้าํ
5) เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ๆ
6) หาตลาดใหม่เอีย่ ม …สร้างไลน์ผลิตใหม่ (สินค้า/บริการใหม่)
การเพิ่มกําไรในข้อ 2-6 สามารถใช้การตลาดเชิงรุกด้วย 4P’s (ยกเว้นข้อ 1 ซึ่งเกี่ยวกับ
การบริหารจัดการภายในธุรกิจ เพื่อลดต้นทุนลง)
วิธีทําการตลาดอืน่ ๆ
เป้าหมายการทําธุรกิจ ถ้าพูดแบบไม่โลกสวย ทุกคนก็อยากได้กําไรเยอะ แต่ผมอยากให้
เลิกคิดถึงยอดขายและกําไร ตอนนี้โยนมันทิ้งไปก่อนชั่วคราว เพราะบางทีความต้องการ
ของผู้บริโภค ไม่จําเป็นต้องขายสินค้าตอบสนองพวกเขาโดยตรงก็ได้
การทําตลาดบางครั้ง แค่ทําให้ผู้บริโภคพึงพอใจก็ได้เหมือนกันนะ ขณะเดียวกันสิ่งที่ทํา
ให้พึงพอใจนั้น ก็อาจไม่เกี่ยวกับสินค้า/บริการหลักๆ เลยก็ได้ …อาจมองว่าขายอย่างอื่น
แทน ที่ไม่ใช่สินค้า/บริการ (แล้วแบบนี้จะทํากําไรได้ไงฟ่ะ)
ลองดูตัวอย่างการทําตลาดแนวนี้ดูบ้าง
หรือสร้างกิจกรรมสาน
สัมพันธ์ที่ดีระหว่าง
บุคคลากรกับองค์กร
หรืออบรมให้ความรู้
เกี่ยวกับวิชาชีพให้แก่
พนักงาน
และวิธอี ื่นๆ ที่ไม่ได้
กล่าวถึง (ส่วนใหญ่ถ้าเป็น
องค์ใหญ่ๆ มักทํากันอยู่
แล้ว แต่เราอาจไม่รู้วา่ เป็น
การตลาด)
Relationship แปลว่า “การทําตลาด ถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็น
Marketing สร้างความสัมพันธ์ที่ด”ี ผู้บริโภค ก็สามารถใช้
หลักการบริหาร
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้บริโภค,
ความสัมพันธ์กับลูกค้า
channels (ช่องทางการ
(CRM: Customer
ขาย), หุ้นส่วน, ซัพพลาย
Relationship Exchange)
เออร์, นักลงทุน และอืน่ ๆ
เพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจเมือ่
เพื่อทําให้พวกเขาได้รับ
ซื้อสินค้า/บริการไปแล้ว
ความพึงพอใจ
แต่ถ้าเป็น channels ,
หุ้นส่วน, ซัพพลายเออร์,
นักลงทุน เราก็พยายาม
สร้าง connection ที่ดี ทํา
ไงให้เขาพอใจอยากทํา
ธุรกิจร่วมกับเรา
ความรู้เพิ่มเติม
การตลาดสมัยใหม่ยุคทศวรรษ 21 ต่อจากนี้ไปจะเป็นการตลาดแบบองค์รวม
ภาษาอังกฤษเรียกว่า Holistic Marketing
1. การตลาดภายในองค์กร 3. การตลาดสร้างความสัมพันธ์
(Internal Marketing) (Relationship Marketing)
2. การตลาดแบบบูรณการ 4. การตลาดทีม่ ุ่งรับผิดชอบต่อสังคม
(Integrated Marketing) (Social Responsibility Marketing)
วิธีทําการทําตลาดที่เหลือ
จะว่าไปแล้ววิธีทาํ การตลาดมันมีหลายชนิดมากๆๆๆ เล่าทั้งคืนคงไม่หมด ซึ่งตามลิงค์ที่
ระบุไว้ข้างล่าง เขารวมรวบการตลาดไว้ได้ทั้งหมด 159 รูปแบบ
https://www.splashcopywriters.com/blog/types-of-marketing
เนื่องจากรูปแบบทําการตลาดมันเยอะ ดังนั้นในบทนี้จะขอยกตัวอย่างการทําการตลาด
วิธีอื่นที่เหลือ มาอธิบายพอสังเขป ดังนี้
รูปแบบการตลาดต่างๆ อธิบาย
Viral Marketing (ไวรอล มาเก็ตติ้ง) เป็นเทคนิคทําการตลาดที่ใช้สื่อโซเซียลที่
หรือ การตลาดแบบแพร่ไวรัส มีอยู่แล้ว เช่น Facebook, Twitter และ
อื่นๆ
โดยใช้วิธีแบบปากต่อปาก (Word of
Mouth) แต่ทว่าอยู่ในโลกออนไลน์นะ
Search Engine Marketing เป็นเทคนิคทําการตลาด ทํายังให้ลูกค้าที่
เป็นกลุ่มเป้าหมาย ค้นหาเว็บไซต์เราเจอ
บนอินเตอร์เน็ต ผ่าน search engine
เช่น google, yahoo, baidu และอื่นๆ
e-mail Marketing เป็นการทําการตลาดผ่านอีเมล
Affiliate Marketing เป็นวิธีการทําให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตรายอื่น
มาเป็นนายหน้าเพือ่ เสนอขายสินค้า/
บริการแทนธุรกิจเรา
อยู่กับลูกค้าตลอดเวลา
การทําธุรกิจ เราต้องติดต่อกับลูกค้าอยู่ตลอดเวลา (สื่อสาร) เสมือนหนึง่ อยู่กับลูกค้า
ตลอดเวลา จนพวกเขารู้สึกว่าเราเป็นเพือ่ น เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต …จุดประสงค์เพือ่ ให้
ลูกค้ามั่นใจว่าเมื่อซือ้ สินค้า/บริการเรา จะไม่ผิดหวังแน่นอน ถือเสียว่าเป็นการสร้างภาพ
แบรนด์ให้ลูกค้าจําได้ จนทําให้ลูกค้าอุดหนุนเราเพราะเชื่อใจ เชื่อมั่น
นอกจากอยู่กับลูกค้าตลอดแล้ว เรายังต้องติดตามและสังเกตลูกค้าอยู่ตลอดด้วย
โดยเฉพาะเมื่อมีการคอมเมนต์หรือวิจารณ์อะไรบนอินเตอรเน็ต โดยเฉพาะบนเว็บดังๆ
หรือบนโลกโซเซียล อย่าง pantip.com, facebook เป็นต้น
หากพูดถึงเราในแง่บวก …เราก็ต้องแสดงคําขอบคุณ
ถ้าพูดถึงเราในแง่ลบ เช่น ด่าท่อ วิจารณ์โน่นนีน้ ั้น เราต้องแสดงความ
รับผิดชอบและปรับปรุงแก้ไข ด้วยความบริสทุ ธิใ์ จ เพราะมันคือวิธีเดียวที่
จะเรียกความเชือ่ มั่นต่อลูกค้ากลับคืนมา ดีไม่ดลี ูกค้าเชื่อถือเรามากอีกนะ
2 การเปรียบเทียบ เมื่อผู้บริโภคสนใจสินค้า/บริการก็จะเริ่มค้นหาข้อมูล
ข้อมูล เช่น ค้นหาในอินเตอร์เนต เพื่อนํามาเปรียบเทียบ
(Evaluation)
…ฝั่งเราอาจให้ข้อมูลโดยเขียนบทความลงบน blog
…รวมทั้งลงโฆษณาบน google เพื่อให้คนเห็นข้อมูล
สินค้า/บริการของเรา (ใช้ Search engine
marketing)
3 ตัดสินใจซื้อ ถ้ากลุ่มลูกค้าอยู่บนโลกออนไลน์ ก็ต้องใช้หน้าเว็บเป็น
(Purchase) ตัวปิดการขาย ด้วยการบอกวิธีสั่งซื้อและชําระเงิน
หรือจะใช้ line@ คุยกับลูกค้า เพื่อรับคําสั่งซือ้ โดยตรง
ก็ทําได้ เป็นต้น
4 การใช้ (Usage) อาจให้ผู้ใช้มาแนะนํา วิจารณ์สินค้า/บริการเราผ่าน
ทางโลกออนไลน์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าคนอื่น
ถ้าใครวิจารณ์แง่ลบ ก็พร้อมปรับปรุง และนําไปแก้ไข
5 การซื้อซ้ํา อาจใช้วิธีสร้างความสัมพันธ์ (เอาใจลูกค้า) เช่น มี
(Repurchase) สะสมยอดซื้อ ให้รางวัล ให้ความรู/้ จัดอบรม เป็นต้น
(ใช้ Relationship marketing)
6 การสนับสนุน สามารถใช้กลยุทธ์ปากต่อปาก อย่างในโลกออนไลน์ก็
(Advocacy) ใช้โซเชียล เพือ่ ทําให้เกิดการกด like, share,
comment เป็นต้น
(อาจใช้ Content marketing หรือ viral
marketing)
วิเคราะห์ธุรกิจตัวเอง
ธุรกิจเมื่อดําเนินการไปแล้ว ก็ต้องมีการวิเคราะห์ว่าเรามีโอกาสอยู่รอดในสมรภูมิหรือไม่
โดยจะขอนํา 2 เทคนิค ได้แก่ SWOT กับ Five Force Model มาแนะนําดังนี้
1. อํานาจต่อรองของลูกค้า
2. อํานาจการต่อรองของซัพพลายเออร์
3. สภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรม
4. ภัยคุกคามจากคู่แข่งหน้าใหม่
คู่แข่งหน้าใหม่
5. ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน
การแข่งขันใน
ซัพพลายเออร์ อุตสาหกรรม ลูกค้า
สินค้า
ทดแทน
ตัวอย่างเทคโนโลยีเกิดใหม่มาแทนที่แบบเดิมๆ
กล้องแบบฟิล์มธรรมดา ภายหลังถูกแทนที่ด้วยกล้องถ่ายรูประบบดิจิตอล
(รวมทั้งมือถือที่ถ่ายรูปได้)
สมาร์ทโฟน ก็มาแทนทีม่ ือถือระบบจอขาวดํา แบบปุ่มกดธรรมดา
เทปคาสเซ็ท ม้วนวีดีโอ ก็เจอเทคโนโลยีอย่าง ซีดี หรือ youtube มาแทนที่
ขายดีแล้วเจ๊งได้อย่างไร
ต่อให้เราคิดธุรกิจ ทําสินค้า/บริการถูกใจตลาด จนขายดีเป็นเทน้ําเทท่า แต่ใช่ว่า จะไม่
เจ๊ง ซึ่งเงื่อนไขการทําธุรกิจแล้วขายดี แต่ทําไมถึงเจ๊งนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องบริหาร
ภายในที่ผิดพลาด โดยสามารถแจกแจงได้ประมาณนี้
ถ้าสินค้าเราเจอก็อปปี้ จะแก้ปัญหาอย่างไร?
หรือสินค้าผลิตไม่ทันตามคําสั่งซื้อ จะทําอย่างไร?
หรือเงินสดหมุนเวียนในธุรกิจไม่ทัน จะทําอย่างไร?
หรือเมือ่ ก่อนเราเป็นตัวแทนนําเข้าสินค้าแบรนด์นี้เพียงราย
เดียวในประเทศ แต่อยูด่ ีวันหนึ่งเจอเจ้าของแบรนด์มาเปิด
แข่ง จะทําอย่างไร?
เป็นต้น
Brand
แบรนด์ในที่นี้หมายถึง แบรนด์ซุปไก่สกัด นะครับ …เฮยไม่ช่ายผิดๆๆ แบรนด์ในที่นี้
แปลตรงตัวก็คือ ยี่ห้อ อาจเป็นชื่อ หรือโลโก้ หรือตราสินค้าก็ได้
ตัวอย่าง
การสร้างแบรนด์ให้แข็ง หมายถึง?
…เมื่อผู้บริโภคนึกถึงเรื่องนี้ ก็จะนึกถึงยี่ห้อเราทันที เช่น นึกถึงร้านส้มตําจานด่วนที่อร่อย
สุดในอําเภอ ก็จะนึกถึงร้านเราอันดับแรก เป็นต้น
…หรือพอเห็นแบรนด์เรา ลูกค้าก็ตัดสินใจซื้อโดนไม่ลังเล เช่น ตอนพักเที่ยงกําลังหิวข้าว
พอเดินผ่านร้านอาหารเรา แค่หางตาเหลือบเห็นชื่อร้านเรา ก็เดินเข้าไปกินโดยไม่ลังเล
นี้คือตัวอย่างของคําว่า แบรนด์ที่แข็งแกร่ง ….มันจะทําให้ลูกค้าเกิดความจงรักภักดีใน
ตราสินค้าหรือแบรนด์ (Brand Loyalty)
ในรูปเป็นเรื่องราวของเด็กสาวผู้ไม่ยอมรับใน
พ่อตนเอง เนื่องจากมีพอ่ เป็นใบ้ เธออายเพือ่ น
มาก เพราะถูกล้อทีโ่ รงเรียน จนอยู่มาวันหนึ่ง
เด็กสาวทะเลาะกับพ่ออย่างหนัก เรื่องคบ
ผู้ชาย ลูกจึงโกรธพ่อมาก
ขณะทีพ่ ่อคิดจะง้อลูกสาวในวันเกิด เด็กสาวผู้
โง่เขลาคนนี้ก็ฆ่าตัวตายในวันนี้เช่นกัน วันที่ ภาพตัวอย่างจากโฆษณา "Silence of Love" ของไทย
พ่อเธอเตรียมเค้กวันเกิดให้เป่า ประกันชีวิตในปี พ.ศ.255
เมื่อพ่อใบ้คนนี้เห็นร่างลูกสาวกําลังจะสิ้นใจ ก็รีบนําตัวลูกส่งโรงพยาบาลโดนด่วน คน
เป็นพ่ออ้อนวอนต่อคุณหมอให้ช่วยชีวิตลูกสาวสุดที่รัก …วินาทีห้วงความเป็นตาย ลูกสาว
นึกถึงหน้าพ่อตัวเอง และแล้วปาฏิหาริย์ก็มีจริง เธอพ้นจากเอื้อมมือมัจจุราช เมื่อเด็กสาว
คนนี้ลืมตาตื่นขึ้นมา ก็รแู้ ล้วว่า แม้ว่าตัวเองจะไม่มีพอ่ ที่ดีทสี่ ุด แต่เธอก็มีพ่อที่รักเธอมาก
ที่สุด ก่อนปิดท้ายสโลแกนสวยๆ "ดูแลคน ที่ดูแลคุณ" (โลโก้แบรนด์โผล่มาตอนจบ)
จากตัวอย่างนี้บริษัทเขาใช้แบรนด์ ทําหน้าที่เป็นนักเล่าเรือ่ ง ขายสิ่งที่เรียกว่าคุณค่าทาง
อารมณ์ (emotional value ตามที่กล่าวมาในบทต้นๆ) เพือ่ เข้าถึงอารมณ์คนดู จะได้
น้ําตาท่วมจอ ซึ้งกินใจ …เรียกว่าไม่ได้ขายแบรนด์โดยตรง แต่ขาย content ที่ทําให้เกิด
การกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง
Mobile Marketing
สมัยนี้การมีมอื ถือใช้เป็นเรื่องปกติ แต่ละคนมีมือถืออย่างน้อยคนละเครื่อง ดังนั้น
การตลาดบนมือถือจึงหนีไม่พ้น ซึ่งอาจทําได้ดังนี้ เช่น
2. ใช้การส่งข้อความด้วย SMS
สิ่งหนึ่งที่มือถือแตกต่างจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือโน๊ตบุ๊ค ก็คอื มันส่ง SMS ได้ ด้วย
เหตุนี้เราจึงสามารถใช้ยงิ โฆษณาไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของกลุ่มเป้าหมายได้
3. โฆษณาผ่านแอพลิเคชั่น
เนื่องจากบางธุรกิจมีแอพพลิเคชั่นบนมือถือ ซึ่งพวกเขาไม่เพียงมีรายได้จากแอพฯ
โดยตรงเท่านั้น บางเจ้ายังเปิดให้โฆษณามาลงบนแอพฯ ได้อีกด้วย
ดังนั้นการตลาดของเราจึงสามารถใช้การยิงโฆษณา ไปยังแอพลิเคชั่นต่างๆ เพือ่ ให้ลูกค้า
กลุ่มเป้าหมายเห็นได้
สําหรับรายละเอียดการตลาดบนมือถือขอจบแค่นี้นะครับ (ขอไม่ลงลึกมาก)
Content Marketing
เมื่อดูคา่ ลงโฆษณาบนสือ่ ออฟไลน์ เช่น ทีวี วิทยุ เป็นต้น …คงไม่ตอ้ งบอกว่าแพงแน่นอน
แต่ในโลกออนไลน์ เมื่อใช้กลยุทธ์ content marketing ที่ทําได้ง่าย ยิ่งถ้าทําการตลาด
ด้วยวิธีนี้เป็น โฆษณาก็จะยิ่งถูกกว่าด้วย
Content marketing การตลาดวิธีนี้จะทํา Content (เนื้อหา) ไม่ว่าจะเป็นรูป วีดีโอ
บทความ และอื่นๆ ให้โดนใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต (ในบทนี้
เน้นบนโลกออนไลน์)
ซึ่งการตลาดวิธีนี้ไม่จําเป็นต้องขายของโดยตรง ด้วยเหตุนี้มันจึงเหมาะกับการสร้างแบ
รนด์ให้ เป็นที่ รู้จักต่อผู้บริโภคมากๆ หรื อศัพ ท์ในวงการเรีย กว่า Brand Awareness
(อาจแปลว่า การรับรู้ถึงแบรนด์)
ยิ่งถ้า content โดนใจกลุ่มเป้าหมายแบบเจ๋งๆ บนโลกโซเซียล ก็จะเกิดการบอกปากต่อ
ปาก กลายเป็น viral (viral marketing) ที่เผยแพร่อย่างกว้างขวาง จนเรานึกไม่ถึงก็มี
ธนาคารไทยพาณิชย์ เขาให้ความรู้เรื่องการ
ออมเงิน โดยทําคลิปเป็นเรื่องราวของสาวมั่น
คนหนึ่ง ที่ภายนอกดูแพงและรวย แต่ที่ไหนได้
หล่อนมีปัญหาเรื่องเงิน เธอช็อตค่ะ…
…สุดท้ายตอนจบท้ายคลิป คลายปม โดยให้
เธอตระหนักถึงเรือ่ งการออม จนในทีส่ ุดเธอ
ที่มา https://www.facebook.com/scb.thailand/videos/10155646773043545/
กลายเป็นคุณนายออม ที่พร้อมจะช่วยเหลือ
คนไทยให้รู้จักการใช้เงินอย่างมีประโยชน์
ที่มา https://www.facebook.com/saveonemarket/videos/1672932176071460/
ที่มา https://www.facebook.com/IJUsupply/photos/a.962179900545791.1073741828.961630883934026/1222801977816914/?type=3&theater
รูปนี้เป็นโพสต์ของเพจ
vstudy.in.th เนื้อหาในรูปจะให้
สาระความรู้เกีย่ วกับสมอง
โดยมีคนแชร์เยอะเลย 480 ครั้ง
เพราะต่อให้เป็นความรูว้ ิชาการ ก็มี
คนแชร์เยอะ ถ้าพวกเขาเห็นว่ามี
ประโยชน์เชิงบวก (และเข้าใจง่าย)
ดังนั้นโอกาสเกิดการบอกต่อบนโลก
โซเซียลจะมีสูง
ที่มา https://www.facebook.com/vstudy.in.th/
เศรษฐกิจพอเพียง
หลักเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ประกอบด้วย 3 อย่างได้แก่
ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และมีภมู ิคุ้มกันที่ดี โดยมีเงื่อนไขต้องอยู่บน 2
พื้นฐาน ได้แก่ ความรู้ คู่กับคุณธรรม
…หรือที่เรียกกันติดปากว่า 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ดังรูปข้างล่าง
ทางสายกลาง
พอประมาณ
มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันที่ดี
ความรู้ คุณธรรม
รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง ซื่อสัตย์สุจริต ขยันอดทน สติปัญญา แบ่งปัน
หลักการนี้เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ตอกรับอาคาร เป็นพื้นฐานที่จะทําให้ธุรกิจเดินหน้าถึง
ฝัน อย่างมั่นคง ยั่งยืน
4. เปรียบเทียบกรณีศึกษาอื่นหรือยัง? …เราต้องศึกษาหาความรู้ในการทําธุรกิจจาก
กรณีศึกษาต่างๆ ซึ่งมันก็คือการมีความรู้ ตามหลักพอเพียง
จรรยาบรรณ
ในการทําธุรกิจเราต้องมีจรรยาบรรณ ซึ่งควรคํานึงถึงเรื่องต่อไปนี้
1. ข้อมูลลูกค้า...อย่าให้รวั่ ไหล
ตัวอย่างข้อมูลส่วนตัวลูกค้า เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล หมายเลขบัตร
เครดิต สินค้าที่ซอื้ ที่อยูส่ ําหรับจัดส่ง รายการสินค้าทีล่ ูกค้าสนใจ เป็นต้น
ข้อมูลเหล่านีอ้ ย่าปล่อยให้แพร่งพรายรัว่ ไหลออกไปได้ …ถ้าขืนปล่อยให้หลุดออกไปละก็
เราจะหมดความน่าเชื่อถือทันที ยังสุ่มเสีย่ งผิดกฎหมาย อาจถูกฟ้องร้องตามมาด้วย
2. ทรัพย์สินทางปัญญา...อย่าไปละเมิดของคนอืน่
ทรัพย์สินทางปัญญาอาจแสดงออกในรูปแบบของสิ่งที่จับต้องได้ เช่น
สินค้าต่างๆ หรือในรูปของสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น บริการ แนวคิดในการ
ดําเนินธุรกิจ กรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม เป็นต้น
ทรัพย์สินทางปัญญาแบ่งเป็น 2 ประเภท
ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม ลิขสิทธิ์
(Industrial Property) (Copyright)
หมายถึง ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่ หมายถึง สิทธิแต่เพียงผูเ้ ดียวของผู้
เกี่ยวกับสินค้าอุตสาหกรรมต่างๆ จึง สร้างสรรค์ที่จะกระทําการใดๆ เกี่ยวกับ
สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้ งานที่ผสู้ ร้างสรรค์ได้ทาํ ขึ้นตามประเภท
ลิขสิทธิท์ ี่กฎหมายกําหนด ได้แก่ งาน
-สิทธิบัตร วรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรี
-สิทธิบัตรการประดิษฐ์ กรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่ง
-อนุสิทธิบัตร บันทึกเสียง งานแพร่เสียงแพร่ภาพ หรือ
-สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนก
-แบบผังภูมิของวงจรรวม วิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ ไม่ว่างาน
-เครื่องหมายการค้า (Trademark) ดังกล่าวจะแสดงออกโดยวิธีหรือรูป
-ความลับทางการค้า แบบอย่างใดๆ
-สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์
นอกจากนั้นกฎหมายลิขสิทธิ์ยังให้ความ
คุ้มครองถึงสิทธิของนักแสดงด้วย
การคุ้มครองลิขสิทธิ์ไม่ครอบคลุมถึง
ความคิดหรือขั้นตอน กรรมวิธีหรือระบบ
หรือวิธีใช้หรือวิธที ํางาน หรือแนวความคิด
หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทาง
วิทยาศาสตร์
ที่มาข้อมูล http://www.trueinnovationcenter.com/ip.php
ทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้ คนทําธุรกิจห้ามไปละเมิดของคนอื่นอย่างเด็ดขาด
ดังนั้นแนวทางป้องกัน อาจทําได้ดังนี้
ทั้งนี้เมื่อพบการละเมิด สามารถร้องเรียนหรือขอคําปรึกษาได้ที่กรมทรัพย์สินทาง
ปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ที่เว็บ www.ipthailand.go.th
สุดท้ายหากเราทําธุรกิจอย่างตั้งใจและมีจรรยาบรรณ โอกาสที่คนรู้จักสินค้า/บริการเราก็
จะบอกปากต่อปาก ส่งผลให้ธุรกิจเราประสบผลสําเร็จอย่างยั่งยืน
ภัยคุกคามจากไซเบอร์
อาชญากรทางคอมพิวเตอร์ จะแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบด้วยกัน ดังนี้
Hacker Cracker
ผู้มีความรู้ในระบบคอมพิวเตอร์เป็นอย่าง ผู้มีความรูแ้ ละทักษะทางคอมพิวเตอร์เป็น
ดี จนสามารถเข้าไปถึงข้อมูลใน อย่างดี จนสามารถเข้าสู่ระบบได้
คอมพิวเตอร์ โดยเจาะผ่านระบบรักษา เพื่อเข้าไปทําลายหรือลบแฟ้มข้อมูลหรือ
ความมั่นคงปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ได้ ทําให้เครือ่ งคอมพิวเตอร์เสียหาย
แต่บางส่วนอาจจะไม่ใช่คนที่แสวงหา รวมทั้งการทําลายระบบปฏิบัติการของ
ผลประโยชน์ เครื่องคอมพิวเตอร์
ควรตั้งให้ยากเข้าไว้ ซึ่งสามารถทดสอบความยากได้ที่เว็บ
http://www.passwordmeter.com/
ควรเปลีย่ นบ่อยๆ เช่นทุก 3 เดือน 6 เดือน เป็นต้น
เรื่องภาษีต้องรู้
ภาษีที่คนทําธุรกิจต้องเกี่ยวข้องประกอบด้วย (เอาเฉพาะที่สาํ คัญ)
1. เมื่อเราไม่ได้จดทะเบียนในรูปแบบนิติบุคคล (บริษัท หรือห้างหุ้นส่วน) …ต้องจ่าย
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2. แต่ถ้าเราจดทะเบียนเป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วน (รูปแบบนิติบุคคล) ไม่ใช่ข้อ 1 …ก็
ต้องเปลี่ยนมาเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแทน
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่นิยมเรียกกันว่า VAT โดยหากเรามีรายได้จากการขาย
สินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เรามีหน้าที่ต้องยื่นคําขอจด
ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน …เน้นอีกครั้งนะครับว่า
รายได้หรือยอดขาย ไม่ใช่กําไรนะ
คําแนะนําเพิ่มเติม
การจดทะเบียนพาณิชย์ต่างๆนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับการเสียภาษีเลย เป็นเรื่องสร้างความ
น่าเชื่อถือของกิจการ ซึ่งรายละเอียดวิธีจดทะเบียนพาณิชย์ กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
(กระทรวงพาณิชย์) ก็ให้ไปที่ลิงค์
http://www.dbd.go.th/more_news.php?cid=36&filename=index
สําหรับธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มก็หาอ่านได้ตามลิงค์นี้
http://www.rd.go.th/publish/7052.0.html
กระจายงาน
เริ่มต้นทําธุรกิจ หลายคนคงต้องทําเองตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ เป็นทั้งแม่บ้าน รปภ
เสมียน คนขนของ ฯลฯ …แต่เมื่อเริ่มตั้งตัวได้แล้ว ก็ควรค่อยๆ กระจายงานออกจาก
ตัวเอง รวมทั้งใช้เครือ่ งทุนแรงต่างๆ แต่ส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นจ้างคนมาช่วยทํา จะได้มี
เวลาไปโฟกัสเรื่องบริหารธุรกิจ หรือคิดทขยายธุรกิจของเราต่อไปดีกว่า
ตัวอย่างการกระจายงานออกไป ด้วยการจ้างคนเพิ่ม
จ้างคนมาเฝ้าหน้าร้าน (กรณีมีหน้าร้าน)
จ้างคนมาทํางานบรรจุสนิ ค้า
จ้างคนมารับโทรศัพท์ตดิ ต่อลูกค้า
เป็นต้น
สําหรับเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งรวบรวมฟรีแลนซ์ ก็มีดังตัวอย่างต่อไปนี้
เว็บ ลิงค์ หมายเหตุ
http://thaifreelanceonline.com/
http://freelancebay.com/
http://friendlyfreelance.com/
http://onboardfreelance.com/
http://fastwork.co/
http://thaiprogrammer.org/ แหล่งหาโปรแกรมเมอร์
ที่เป็นฟรีแลนซ์
https://www.facebook.com/grou กลุ่มเฟสบุ๊คที่รับรีวิว
ps/445091155701593/?fref=nf สินค้าต่างๆ เรทฟรี -
ราคาถูก
ที่มาข้อมูล https://moneyhub.in.th/article/10-website-for-freelance/
การใช้บริการบริษัทอื่นๆ ให้ทํางานแทนเรา
งานไหนที่เราจ้างบริษัทอื่นทําแทนได้ ถ้ามันช่วยลดต้นทุนการบริหาร ทั้งในแง่เวลาและ
เงิน ก็น่าจะลองให้เขาทําแทนเรา
คอร์สเรียนออนไลน์
จะขอแนะนําคอร์สเรียนออนไลน์ฟรีๆ เกี่ยวกับการตลาดและธุรกิจ ดังต่อไปนี้
[1] https://mooc.chula.ac.th/: จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เลือกวิชาเรียน
“การตลาดในศตวรรษที่ 21”)
[3] https://courses.edx.org/courses/course-
v1:UBCx+Marketing1x+3T2015/course/: จาก Sauder School of Business at
UBC (สอนเป็นภาษาอังกฤษ)
ทิ้งท้าย
พูดถึงหลักการทําธุรกิจ การทําตลาด จะว่าไปก็มีเยอะแยะ จนจับต้นปลายไม่ได้ถูก
ศาสตร์พวกนี้มันพลิกแพงไร้รูปแบบ ไม่มีถูก ไม่มีผิด เราควรรูพ้ ื้นฐานให้แน่น แต่อย่ายึด
ติด รู้เป็นแค่แนวทาง สุดท้ายก็ปิดตํารา ลืมมันไปก่อน ลองออกเดินหาแนวทางของ
ตนเองให้เจอ ลองทําจริงเสียเลย …ลุยเลย
เพราะบางคนไม่ได้เรียนการตลาด แต่ใช้สามัญสํานึกเรียนรู้จากการลองทําจริง จนเข้าใจ
มากกว่าคนทีค่ ลุกอยู่ในตําราเสียอีก
อ้างอิง
หนังสือ
[1] การจัดการการตลาด Marketing Management, ดร.เกริกฤทธิ์ อัมพะวัต
(http://www.info.ms.su.ac.th/sums01/PDF04/21_20150127_.pdf)
[2] จุดประกาย สู.่ ..เถ้าแก่ออนไลน์ e-Commerce StartUP! , สํานักงานพัฒนา
ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ทด้า)
(https://www.etda.or.th/files/system/ECommerce.pdf)
เครดิตรูป
[1] https://pixabay.com