Professional Documents
Culture Documents
เต๋าแห่งฟิ สก
ฟริตจอฟ คาปรา
ค ัดลอกจาก http://www.rit.ac.th/homepage-
sc/charud/scibook/tao%20of%20physics
ภาคที่ 1 วิถแ ิ ส์
ี ห่งฟิ สก
ิ สส
ฟิ สก ์ มัยใหม่มอ ิ ธิพลอย่างลึกซงึ้ ต่อสงั คมมนุษย์ในแง่มม
ี ท ุ ต่างๆ เกือบทัง้ หมด
เป็ นพืน
้ ฐานของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และทัง้ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติและเทคโนโลยี ได ้
เปลีย
่ นแปลงไขพืน ่ องชวี ต
้ ฐานของการดํารงอยูข ิ บนพืน
้ พิภพนี้ ทัง้ ในทางทีเ่ ป็ นคุณและเป็ น
โทษ ในปั จจุบัน อุตสาหกรรมสว่ นใหญ่ใชประโยชน์
้ ิ สท
จากความรู ้ของวิชาฟิ สก ์ วี่ า่ ด ้วย
้
อะตอม (Atomic Physics) และจากการประยุกต์ไปใชในการสร ้างอาวุธนิวเคลียร์ มันได ้มี
อิทธิพลต่อโครงสร ้างทางการเมืองของโลก ซงึ่ เป็ นทีท
่ ราบกันดีอยูแ
่ ล ้ว อย่างไรก็ตาม
ิ สส
อิทธิพลของวิชาฟิ สก ์ มัยใหม่ไม่จํากัดอยูเ่ ฉพาะด ้านเทคโนโลยี หากก ้าวเลยไปถึง
ความคิดและวัฒนธรรมของมนุษย์ ซงึ่ ทําให ้มนุษย์เปลีย
่ นทัศนคติของตนต่อจักรวาล และ
ั พันธ์ของตนกับจักรวาลด ้วย การศก
ต่อความสม ึ ษาสํารวจในขอบเขตของอะตอม และ
อนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอม ในศตวรรษที่ 20 ได ้เปิ ดเผยถึงข ้อจํากัดของแนวคิดแบบดัง้ เดิม
และได ้แสดงถึงความจําเป็ น ของการเปลีย
่ นแปลงทัศนคติพน ่
้ื ฐานของเรา ยกตัวอย่างเชน
ความคิดเรือ ิ ส ์ ทีว่ า่ ด ้วยอนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอมนั น
่ งวัตถุในวิชาฟิ สก ิ้ เชงิ
้ แตกต่างอย่างสน
ิ สด
กับความคิดในวิชาฟิ สก ์ งั ้ เดิม เชน
่ เดียวกันกับความคิดในเรือ
่ งอวกาศ เวลา หรือเหตุและ
ผล ความคิดในเรือ
่ งเหล่านีเ้ ป็ นพืน
้ ฐานของทัศนะต่อโลกรอบตัวเรา และเมือ
่ มันมีการ
เปลีย ิ้ เชงิ โลกทัศน์ของเราก็เริม
่ นแปลงอย่างสน ่ เปลีย ่ กัน
่ นเชน
คุณูปการสําคัญ ๆ ในทางทฤษฏีของวิชาฟิ สก
ิ ส ์ ซงึ่ มาจากญีป
่ น ุ่ นั บแต่หลัง
่ งชใี้ ห ้เห็นความสม
สงคราม อาจเป็ นเครือ ั พันธ์ ระหว่างแนวคิดทางปรัชญาของ
ตะวันออกไกล กับปรัชญาของทฤษฏีควอนตัม
เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบิรก
์
ว ัตถุประสงค์หล ัก
ื เล่มนีค
วัตถุประสงค์ของหนั งสอ ้ อ ึ ษาสํารวจความสม
ื การศก ั พันธ์ระหว่างความคิด
ิ สส
ในวิชาฟิ สก ์ มัยใหม่ กับความคิดพืน
้ ฐานในปรัชญาและศาสนาของตะวันออกไกล เราจะ
ิ สใ์ นศตวรรษที่ 20 คือ ทฤษฏีควอนตัมและทฤษฏี
พบว่า รากฐานทัง้ สองของวิชาฟิ สก
ั พัทธภาพ ได ้ทําให ้โลกทัศน์ของเราคล ้ายคลึงกับโลกทัศน์ของชาวฮน
สม ิ ดู พุทธ และเต๋า
อย่างไร และความคล ้ายคลึงนีด
้ เู ป็ นจริงยิง่ ขึน
้ อย่างไร เมือ ึ ษาความพยายามทีจ
่ เราศก ่ ะรวม
เอา 2 ทฤษฏีนม
ี้ าอธิบายปรากฏการณ์ในโลกของอนุภาคทีเ่ ล็กมากจนไม่อาจเห็นได ้แม ้ด ้วย
กล ้องจุลทรรศน์ นั่ นคืออธิบายคุณสมบัตแ ิ าของอนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอมซงึ่ เป็ น
ิ ละปฏิกริ ย
ุ ชนิด ตรงจุดนี้ ซงึ่ เราพบความคล ้ายคลึงอย่างยิง่ และเรา
องค์ประกอบของสสารวัตถุทก
มักจะพบข ้อความทีไ่ ม่อาจทีจ ิ สห
่ ะบ่งบอกได ้ว่า กล่าวโดยนั กฟิ สก ์ รือโดยนั กปราชญ์ของ
ตะวันออกอยูเ่ สมอ
ิ ดู
่ ข ้าพเจ ้ากล่าวถึง “ศาสนาตะว ันออก” ข ้าพเจ ้าหมายถึงปรัชญาศาสนาฮน
เมือ
ิ งึ่ มีละเอียดอ่อนและ
พุทธ และเต๋า แม ้ว่าเรากําลังกล่าวถึงระบบปรัชญาและวินัยปฏิบัตซ
ื้ ฐานของปรัชญาศาสนาเหล่านี้เป็ นสงิ่ เดียวกัน ทัศนะเชน
แตกต่างกันมาก ทว่าโลกทัศน์พน ่ นี้
่ กันในลัทธิศาสนาอืน
มิได ้จํากัดอยูเ่ ฉพาะในตะวันออก แต่จะพบได ้เชน ่ ๆ ในระดับต่าง ๆ กัน
ดังนัน ื เล่มนีก
้ ประเด็นแห่งการวิพากษ์วจิ ารณ์ในหนั งสอ ้ ็ คอ ิ สส
ื วิชาฟิ สก ์ มัยใหม่ได ้นํ ามาสู่
โลกทัศน์ซงึ่ คล ้ายคลึงเป็ นอย่างยิง่ กับโลกทัศน์ของปราชญ์ตะวันออกทุกยุคสมัยและทุก
ิ งึ่ ลึกซงึ้ (และดูลก
วัฒนธรรม ธรรมเนียมปฏิบัตซ ึ ลับ) นั น
้ ปรากฏอยูใ่ นทุกศาสนา และคําสอน
สว่ นทีล ึ ซงึ้ ก็ปรากฏในปรัชญาตะวันตกหลายสํานั กเชน
่ ก ่ กัน ความสอดคล ้องต ้องกันกับวิชา
ิ สส
ฟิ สก ์ มัยใหม่ มิใชม
่ เี พียงคําสอนทีป
่ รากฏในคัมภีรพ ิ ดู หรือในคัมภีรอ
์ ระเวทของฮน ์ จ
ี้ งิ (I
Ching) หรือใน พระสูตร ของพุทธศาสนาเท่านั น
้ แต่ยังปรากฏอยูใ่ นลัทธิซฟ
ู ี ของอิบบ์ อรา
บี หรือในคําสอนของดอน ฮวน อาจารย์แห่งเผ่ายาคี* ความแตกต่างระหว่างคําสอนสว่ นที่
ลึกซงึ้ ของตะวันออกและตะวันตกก็คอ ้ เป็ นเพียงองค์ประกอบทีไ่ ม่สําคัญ แต่
ื ในตะวันตกนั น
ในตะวันออกมันเป็ นองค์ประกอบใหญ่และสําคัญของลัทธิศาสนาตะวันออกทัง้ หมด ดังนั น
้
ข ้าพเจ ้าจะใชคํ้ าว่า “โลกท ัศน์แบบตะว ันออก” แทนสว่ นนีเ้ พือ
่ ความสะดวก และจะอ ้างถึง
แหล่งทีม
่ าอืน
่ ๆ ประกอบบ ้าง
ิ ส์
ความหมายของฟิ สก
ิ สก
รากฐานของฟิ สก ์ ็เชน
่ เดียวกับวิทยาศาสตร์ตะวันตกแขนงอืน
่ ๆ ทีไ่ ด ้ก่อตัวขึน
้
ในยุคต ้นของปรัชญากรีกในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล ในวัฒนธรรมซงึ่ วิทยาศาสตร์
ปรัชญา และศาสนามิได ้แยกจากกัน นั กปราชญ์แห่งสํานั กไมลีเซย
ี ทีเ่ มืองไอโอเนียไม่เคย
ใสใ่ จกับการแบ่งแยกเชน
่ นัน
้ เลย เป้ าหมายของพวกท่านคือ เพือ
่ ค ้นหาธรรมชาติหรือ
ิ ” (Physis) คําว่าฟิ สก
องค์ประกอบแท ้จริงของสงิ่ ทัง้ หลาย ซงึ่ เรียกว่า “ไฟซส ิ ส ์ ซงึ่ มาจาก
้ งึ มีความหมายดัง้ เดิมว่า วิชาซงึ่ พยายามค ้นหาธรรมชาติแท ้จริงของสรรพสงิ่
ภาษากรีกคํานีจ
ี ใกล ้เคียงกับปรัชญาของอินเดียและจีนโบราณ
ทัศนะดังกล่าวของพวกไปลีเซย
ั เจนขึน
มาก ความสอดคล ้องกับปรัชญาตะวันออกยิง่ ชด ้ ในปรัชญาของเฮราคลิตัสและเอเฟ
ั เฮราคลิตส
ซล ื่ ว่าโลกมีการเปลีย
ั เชอ ่ นแปลงตลอดเวลา “แปรเปลีย
่ น” (Becoming) อยู่
ตลอดนิรันดร สําหรับเขาการเห็นว่าสงิ่ มีชวี ต
ิ ทัง้ มวลไม่เคลือ
่ นไหวเปลีย
่ นแปลงเป็ นผลจาก
ทัศนะทีผ ิ และกฎของจักรวาลสําหรับเขาคือ ไฟ สญ
่ ด ั ลักษณ์แห่งการเลือ
่ นไหล และ
เปลีย ่ งของสรรพสงิ่ เฮราคลิตัสสอนว่า การเปลีย
่ นแปลงอย่างต่อเนือ ่ นแปลงทัง้ หลายใน
โลก เกิดขึน ่ วกันระหว่างสงิ่ ซงึ่ ตรงกันข ้าม และคูข
้ จากการขับเคีย ่ องสงิ่ ซงึ่ ตรงกันข ้ามนั น
้
แท ้จริงเป็ นเอกภาพ เอกภาพซงึ่ กอปรขึน
้ จากสงิ่ ตรงข ้าม แล ้วไปพ ้นแรงผลักระหว่างกันนี้
เรียกว่า โลโกส (Logos)
ก ้าวสําคัญในทิศทางดังกล่าวเริม
่ โดยปาร์เมนนิเดสแห่งอีเลีย ซงึ่ เห็นแย ้งกับเฮ
ั (Being) ซงึ่ ไม่อาจ
้ ฐานของเขาว่า “สต”
ราคลิตัสอย่างรุนแรง เขาเรียกหลักการพืน
แบ่งแยกและไม่เปลีย
่ นแปลง เขากล่าวว่าการเปลีย
่ นแปลงไม่อาจมีได ้และเป็ นเพียงการลวง
ั ผัส ความคิดเรือ
ของประสาทสม ่ งวัตถุซงึ่ ไม่อาจทําลายได ้ ทว่ามีคณ
ุ สมบัตต
ิ า่ ง ๆ กันเติบโต
้ จากปรัชญาสํานักนี้ และกลายเป็ นความคิดพืน
ขึน ้ ฐานกระแสหนึง่ ในปรัชญาตะวันตก
อริสโตเติล
่ ะหาทางออก สําหรับ
ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล นั กปรัชญากรีกพยายามทีจ
ความขัดแย ้งอย่างรุนแรง ระหว่างปาร์เมนนิเดสและเฮราคลิตัส ระหว่างความคิดเรือ ั ซงึ่
่ งสต
ไม่เปลีย
่ นแปลง (ปาร์เมนนิเดส) และความคิดเรือ
่ งการแปรเปลีย
่ นอยูเ่ สมอ (เฮราคลิตัส)
ั ปรากฏในวัตถุซงึ่ ไม่เปลีย
พวกเขาได ้ข ้อสรุปว่า สต ่ นแปลงการผสมผสาน และการแยกออก
ของสสาร วัตถุเหล่านีท
้ ําให ้เกิดการเปลีย
่ นแปลงในโลก ความคิดนีน ่ วามคิดเรือ
้ ่าไปสูค ่ ง
อะตอม หน่วยของวัตถุทเี่ ล็กทีส ุ ซงึ่ ไม่อาจแบ่งแยกได ้ผู ้ทีอ
่ ด ่ ธิบายเรือ
่ งนีช ั เจนทีส
้ ด ่ ด
ุ คือ ลิว
ิ ปั สและเดโมครีตัสนั กคิดเรือ
ซป ั เจน
่ งอะตอมชาวกรีกทัง้ สองได ้แบ่งแยกจิตและวัตถุอย่างชด
้ ฐาน” หลาย ๆ หน่วยรวมเข ้าด ้วยกัน
และให ้ภาพทีว่ า่ วัตถุประกอบด ้วย “องค์ประกอบพืน
ี วี ต
ไม่มช ิ และเคลือ
่ นไหวอยูใ่ นทีว่ า่ ง ไม่มก
ี ารอธิบายถึงเหตุแห่งการเคลือ
่ นไหวนั น
้ แต่
่ วข ้องกับแรงผลักดันภายนอก ซงึ่ มักจะสมมติวา่ มาจากพลังของจิตวิญญาณ อัน
มักจะเกีย
แตกต่างจากวัตถุโดยพืน
้ ฐาน ในศตวรรษต่อมา ภาพพจน์อันนีไ ้ หาสําคัญ
้ ด ้กลายเป็ นเนือ
ของความคิดแบบตะวันตก อันเป็ นความแบบทวิภาวะ ซงึ่ มีการแบ่งแยกออกเป็ นสองฝั กฝ่ าย
ระหว่างจิตและวัตถุ กายและวิญญาณ
ในขณะทีค
่ วามคิดในการแบ่งแยกระหว่างจิตและวัตถุดําเนินไป นั กปรัชญาได ้หัน
ความสนใจไปสูโ่ ลกของจิตวิญญาณมากกว่าโลกของวัตถุ และให ้ความสนใจกับวิญญาณ
ของมนุษย์และปั ญหาทางจริยศาสตร์เป็ นหลัก ปั ญหาเหล่านีไ
้ ด ้ครอบคลุมกระแสความคิด
ของตะวันตกกว่า 2,000 ปี นับแต่เริม
่ ต ้นของวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของกรีกในศตวรรษ
ทีห ี่ อ
่ ้าและสก ่ นคริสตกาล ความรู ้ในทางวิทยาศาสตร์ในสมัยโบราณถูกจัดระบบโดย
อริสโตเติล ผู ้ซงึ่ วางโครงร่างพืน
้ ฐานของทัศนะต่อจักรวาลของตะวันตกมานานถึงสองพันปี
แต่โดยสว่ นตัวของอริสโตเติลเองเชอ
ื่ ว่า ปั ญหาเกีย
่ วกับวิญญาณของมนุษย์และการเพ่ง
ิ ต่อความสมบูรณ์ของพระเจ ้า เป็ นสงิ่ ทีม
พินจ ี า่ มากกว่าการสํารวจโลกทางวัตถุ เหตุทแ
่ ค ี่ บบ
แผนเกีย
่ วกับจักรวาลของอริสโตเติล ไม่ถก
ู ท ้าทายเป็ นเวลายาวนาน ก็เนือ
่ งมาจากการขาด
ความสนใจในโลกของวัตถุดังกล่าวมานี้ ประกอบกับการสนับสนุนอย่างแข็งขันของ
คริสตจักร ต่อความคิดของอริสโตเติลมาตลอดยุคกลาง
ฉ ันคิด ด ังนนฉ
ั้ ันจึงมีอยู่
พัฒนาการขัน
้ ต่อมาของวิทยาศาสตร์ตะวันตกมาเริม ิ ปวิทยา
่ เอาในสมัยฟื้ นฟูศล
การ เมือ
่ ผู ้คนเริม ื่ ตามอิทธิพลของอริสโตเติลและศาสน
่ ปลดปล่อยตนเองออกจากความเชอ
จักร และเริม
่ แสดงความสนใจแนวใหม่เกีย
่ วกับธรรมชาติ ในปลายศตวรรษที่ 15 เริม
่ มี
ึ ษาธรรมชาติด ้วยจิตใจของวิทยาศาสตร์อย่างแท ้จริง และมีการทดลองเพือ
การศก ่ ทดสอบ
ความคิดแบบคํานึงคํานวณนัน
้ ขึน
้ เป็ นครัง้ แรก พัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ ดําเนินควบคูม
่ า
กับความสนใจทางด ้านคณิตศาสตร์ ในทีส
่ ด ่ ารสร ้างสูตรของทฤษฏีทาง
ุ ได ้นํ าไปสูก
วิทยาศาสตร์ ซงึ่ มีพน
ื้ ฐานจากการทดลองและแสดงออกมาในรูปแบบภาษาทางคณิตศาสตร์
กาลิเลโอเป็ นคนแรกทีร่ วมเอาความรู ้จากการสงั เกตกับคณิตศาสตร์เข ้าด ้วยกัน ดังนั น
้ กาลิเล
โอจึงได ้รับการยกย่องให ้เป็ นบิดาแห่งวงการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ถอ
ื ว่ากําเนิดและพัฒนาขึน
้ ภายหลังพัฒนาการของปรัชญา
และต่อมาได ้ดําเนินควบคูก ่ วามคิดสุดโต่ง แห่งการแบ่งแยกระหว่างจิตใจและวัตถุ
่ ันไปสูค
สูตรสําเร็จนีป
้ รากฏในปรัชญาของเดคาร์ต (Descartes) ในศตวรรษที่ 17 ความคิดเกีย
่ วกับ
ธรรมชาติของเขา ยืนพืน ่ นการแบ่งแยกระหว่างสองอาณาจักร ซงึ่ เป็ นอิสระจากกันและ
้ อยูบ
กัน นั่นคือ จิตใจ (res cogitans) และ วัตถุ (res extensa) แนวคิดของเดคาร์ตนี้
้
นักวิทยาศาสตร์ได ้รับเอาไว ้ใชในการจั ึ ษาวัตถุ โดยถือว่า วัตถุเป็ นสงิ่ ไม่มช
ดการหรือศก ี วี ต
ิ
และแยกออกอย่างเด็ดขาดจากตัวนั กวิทยาศาสตร์ และมีทัศนะว่า โลกของวัตถุ ประกอบขึน
้
จากวัตถุหลากหลายชนิด คุมกันขึน
้ เป็ นเครือ
่ งจักรอันมหึมา ไอแซก นิวตัน ได ้ยึดเอาโลก
ทัศน์ในเชงิ กลจักร (mechanistic) ดังกล่าวในการสร ้างวิชากลศาสตร์ ซงึ่ เป็ นพืน
้ ฐานของ
ิ สด
วิชาฟิ สก ์ งั ้ เดิม แบบแผนของจักรวาลในเชงิ กลจักรของนิวตันนี้ ได ้มีอท
ิ ธิพลอย่างมากต่อ
ิ้ ศตวรรษที่ 19
แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ตงั ้ แต่ครึง่ หลังของศตวรรษที่ 17 จนกระทั่งถึงสน
แนวคิดนี้ ดําเนินควบคูก
่ ับภาพของพระเจ ้า ผู ้เป็ นกษั ตริยป
์ กครองโลก จากสวรรค์เบือ
้ งบน
ั ดิส
โดยกฎอันศก ิ ธิข
์ ท ์ องพระองค์ กฎธรรมชาติทน
ี่ ั กวิทยาศาสตร์เฝ้ าแสวงหาจึงถือว่าเป็ นกฎ
ของพระเจ ้า ซงึ่ ครอบคลุมโลกโดยไม่เปลีย
่ นแปลงและเป็ นนิรันดร์
ท ัศนะแบบองค์รวม
่ งิ่
ในทัศนะของตะวันออก การแบ่งแยกธรรมชาติออกเป็ นวัตถุตา่ ง ๆ กัน มิใชส
้ ฐาน และสงิ่ ต่าง ๆ เหล่านัน
พืน ้ ก็อยูใ่ นสภาพแห่งการเปลีย
่ นแปลงเลือ
่ นไหลตลอดเวลา
ดังนัน ้ หาจึงเป็ นสงิ่ ทีเ่ กีย
้ โลกทัศน์ของตะวันออกโดยเนือ ่ วเนือ
่ งกับการเคลือ
่ นไหว มีเวลา
่ นแปลงเป็ นลักษณะสําคัญ เอกภพเป็ นความจริงหนึง่ เดียวซงึ่ ไม่อาจแบ่งแยก
และการเปลีย
เคลือ ่ ลอดเวลา มีชวี ต
่ นไหวอยูต ิ เป็ นองค์รวม เป็ นทัง้ จิตใจและวัตถุในเวลาเดียวกัน
เมือ
่ การเคลือ
่ นไหว และการเปลีย ิ ําคัญของสรรพสงิ่ แรง
่ นแปลง เป็ นคุณสมบัตส
ซงึ่ ผลักดันการเคลือ
่ นไหวนัน ่ ทีป
้ จึงมิได ้มาจากภายนอก ดังเชน ่ รากฏในทัศนะของกรีก
โบราณ แต่เป็ นคุณสมบัตภ
ิ ายในของวัตถุเอง ทํานองเดียวกัน ภาพของพระผู ้เป็ นเจ ้าใน
่ าพของผู ้ปกครองซงึ่ กําหนดความเป็ นไปของโลกจากเบือ
ความคิดของตะวันออก มิใชภ ้ งบน
แต่เป็ นกฎเกณฑ์ซงึ่ ควบคุมสรรพสงิ่ จากภายในเอง
พระองค์สถิตอยูใ่ นสรรพสงิ่
แต่สรรพสงิ่ มิใชพ
่ ระองค์
ไม่มผ
ี ู ้ใดรู ้จักพระองค์
สรรพสงิ่ คือกายของพระองค์
เป็ นอมตะ
่ วามสว่าง
จากความมืด จงนํ าข ้าฯ สูค
่ มตะ
จากความตาย จงนํ าข ้าฯ สูอ
อุปนิษัท
ึ ษาความสอดคล ้องระหว่างวิชาฟิ สก
ก่อนทีเ่ ราจะศก ิ สส
์ มัยใหม่และศาสนา
ตะวันออก เราจะต ้องพิจารณาปั ญหาว่า เราจะเปรียบเทียบอย่างไร ระหว่างวิทยาศาสตร์ ซงึ่
ถูกอธิบายด ้วยภาษาทางคณิตศาสตร์อน ั ซอนเป็
ั สลับซบ ้ นอย่างยิง่ กับวินัยปฏิบัตใิ นทาง
ศาสนา ซงึ่ มีพน
ื้ ฐานอยูท
่ ก
ี่ ารภาวนา และยืนยันว่า แท ้จริงความรู ้แจ ้งในภายในนั น
้ ไม่อาจ
อธิบายได ้
สงิ่ ทีจ ่ ี้ คือข ้อความซงึ่ กล่าวโดยนั กวิทยาศาสตร์ และ
่ ะนํ ามาเปรียบเทียบในทีน
นักปราชญ์ของตะวันออกเกีย
่ วกับความรู ้ของตน เพือ
่ ทีจ
่ ะให ้การเปรียบเทียบนีม
้ ี
ิ ธิภาพ
ประสท
ในประวัตศ
ิ าสตร์ทผ
ี่ า่ นมาเป็ นทีย
่ อมรับกันว่า ความรู ้ของมนุษย์นัน
้ มีสองลักษณะ
คือ ความรู ้ทีเ่ กิดจากการคิดในแนวเหตุผล และความรู ้ทีผ
่ ด
ุ ขึน
้ ในใจหรือญาณทัศน์
(rational and intuitive) ซงึ่ เทียบได ้กับวิทยาศาสตร์และศาสนาตามลําดับ
้ ของจีนกล่าวว่า “การไม่รว
เหลาจือ ู้ า
่ ตนรูอ
้ ะไร เป็นการดีทส
ี่ ด
ุ ”
ั เจนในชอ
ในตะวันออกคุณค่าของความรู ้ทัง้ สองประการปรากฏชด ื่ ทีเ่ รียก
่ ในคัมภีรอ
ตัวอย่างเชน ์ ป ั บูรณ์ หรือ “สมมติ
ุ นิษัทกล่าวถึงความรู ้อย่างสูงและความรู ้สม
ั
สจจะ” ั
และ “ปรม ัตถสจจะ”
้ สนั บสนุนซงึ่
ในทางตรงกันข ้ามปรัชญาจีนกลับสอนว่า ความรู ้ทัง้ สองประการนั น
กันและกัน ซงึ่ แสดงออกในคูห
่ ยินและหยัง อันเป็ นพืน
้ ฐานของความคิดจีน ดังนั น
้ ปรัชญา
เต๋าและขงจือ
้ จึงเกิดขึน
้ ในจีนยุคโบราณ เพือ
่ รองรับความรู ้ทัง้ สองลักษณะไว ้อย่าง
สอดคล ้องกัน
ี้ ด
2.2 นิว้ ชท ่ วงจ ันทร์ไม่
ี่ วงจ ันทร์หาใชด
ี้ ระเด็น
ในตะวันตก อัลเฟรด คอร์เยฟซกี (Alfred Korzybski) นั กภาษาศาสตร์ได ้ชป
เดียวกันด ้วยคําขวัญของเขาว่า “แผนทีม ่ ัวอาณาเขต”
่ ใิ ชต
สงิ่ ทีน
่ ั กปราชญ์ทางตะวันออกกล่าวถึงหรือสนใจ คือ ประสบการณ์โดยตรงแห่ง
ั จะ ซงึ่ ล่วงพ ้นทัง้ ความคิดและการรับรู ้ในทางประสาทสม
สจ ั ผัส ใน คัมภีรอ
์ ป
ุ นิษัท กล่าวไว ้ว่า
ไม่มต
ี ้น ไม่มป
ี ลาย ยิง่ ใหญ่กว่ามหาราช คงสภาพอยูน
่ ิ
รันดร์
่ บุคคลหยั่งรู ้สงิ่ นั น
เมือ ้ ย่อมรอดพ ้นจากปากขอ
งมรณา (3)
ั จะสูงสุดมิใชว่ ต
ศาสนาตะวันออกเน ้นยํ้าอยูเ่ สมอว่า สจ ั ถุทต
ี่ งั ้ แห่งการคิดคํานึงหรือ
ั จะได ้ครบถ ้วน ทัง้ นี้ เพราะสจ
การอรรถาธิบาย คําพูดมิอาจจะอธิบายถึงสจ ั จะนัน
้ อยูเ่ หนือการรับรู ้
ทางอายตนะ เหนือความนึกคิดซงึ่ เป็ นจุดเริม
่ ต ้นของทัศนะและคําพูด คัมภีรอ
์ ป
ุ นิษัทกล่าวไว ้ว่า
่ งึ่ จักษุ ไม่อาจแลเห็น
ทีซ
2.3 เต๋าเตอจิง
ิ สจ
ถึงแม ้ว่านักฟิ สก ์ ะสม
ั พันธ์กับความรู ้เชงิ เหตุผลมาก และศาสนิกจะสม
ั พันธ์กับ
ญาณปั ญญา ทว่าความรู ้ทัง้ สองลักษณะเกิดขึน ั เจนยิง่ ขึน
้ ในทัง้ สองสาขา เราจะเห็นได ้ชด ้
เมือ ี ารได ้มาและการแสดงออกซงึ่ ความรู ้ทัง้ ในฟิ สก
่ เราตรวจสอบวิธก ิ สแ
์ ละในศาสนา
ตะวันออก
2.4 วิธท
ี างวิทยาศาสตร์
ิ ส ์ ความรู ้ได ้มาจากกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซงึ่ มีสาม
ในวิชาฟิ สก
ขัน
้ ตอน
ขนตอนแรก
ั้ ่ วกับปรากฏการณ์ซงึ่
เป็ นการรวบรวมข ้อเท็จจริงในการทดลองเกีย
ึ ษา
ทําการศก
ขนตอนที
ั้ ส
่ อง นํ าเอาข ้อเท็จจริงจากการทดลองมาโยงเข ้ากับคณิตศาสตร์ และ
ึ้ ซงึ่ จะเชอ
สร ้างเป็ นโครงร่าง (scheme) ทางคณิตศาสตร์ขน ื่ มโยงสญ
ั ลักษณ์ตา่ ง ๆ เข ้า
ั และเทีย
ด ้วยกันอย่างกระชบ ่ งตรง โครงร่างนีเ้ รียกว่าแบบจําลอง (model) ทางคณิตศาสตร์
ื่ สารความเข ้าใจได ้มาก ก็จะเรียกว่า ทฤษฎี (theory) ทฤษฎีนก
หรือหากว่ามันสอ ้
ี้ ็จะถูกใชใน
การทํานายผลของการทดลองอันต่อไป ซงึ่ กระทําขึน
้ เพือ
่ ทดสอบความเป็ นไปได ้ในแง่มม
ุ
ต่าง ๆ ของทฤษฎีนัน
้ ในขัน
้ นีน ิ สอ
้ ักฟิ สก ์ าจจะพึงพอใจเมือ
่ ได ้พบโครงร่างทางคณิตศาสตร์
แล ้ว และรู ้วิธท
ี จ ้ านายการทดลองต่อ ๆ มา
ี่ ะใชทํ
แต่กระนัน
้ ก็ตาม เขาก็อาจจะต ้องการทีจ
่ ะแสดงผลของการทดลองของเขาแก่ผู ้ที่
่ ักฟิ สก
มิใชน ิ ส ์ ดังนัน
้ จึงต ้องอธิบายมันในภาษาทั่ว ๆ ไป นั่นหมายความว่าเขาจะต ้องสร ้าง
แบบจําลองโดยอาศัยภาษาสามัญ ซงึ่ จะอธิบายโครงร่างทางคณิตศาสตร์ของเขา แม ้
สําหรับนักฟิ สก
ิ สเ์ อง การสร ้างแบบจําลองทางภาษาเชน
่ นั น
้ อันเป็ น ขนที
ั้ ส่ าม ของการวิจัย
จะเป็ นบรรทัดฐานของความเข ้าใจซงึ่ เขาบรรลุถงึ
ปรัชญากรีกกลับมีวธิ ท
ี แ
ี่ ตกต่างกันออกไป ถึงแม ้ว่านั กปรัชญากรีกหลายคนมี
ความคิดทีล ึ ซงึ้ มากเกีย
่ ก ่ วกับธรรมชาติ ซงึ่ มักจะคล ้ายคลึงเป็ นอย่างยิง่ กับแบบจําลองทาง
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ แต่ความแตกต่างอันสําคัญระหว่างวิทยาศาสตร์และปรัชญากรีกก็
คือ ทัศนคติแห่งวิทยาศาสตร์ซงึ่ ถือการสงั เกตเป็ นหลัก อันเป็ นสงิ่ ทีจ
่ ต
ิ ใจแบบกรีกไม่คุ ้นเคย
เป็ นอย่างยิง่
ความทีภ ั เจนนัน
่ าษาของเรามีความหมายกํากวมไม่ละเอียดชด ้ จําเป็ นสําหรับกวี
ซงึ่ รังสรรค์งานของเขาโดยอาศัยความหมายของภาษาทีแ
่ ฝงฝั งในจิตใต ้สํานึก และสงิ่ ที่
เกีย ้ เป็ นสว่ นใหญ่ ในทางตรงกันข ้าม วิทยาศาสตร์มงุ่ ทีจ
่ วโยงกับความหมายนั น ่ ะจับฉวย
ภาษาทีม
่ ค ั เจนและความเกีย
ี วามหมายชด ่ วพันของภาษาทีไ่ ม่กํากวม ดังนัน
้ จึงย่อสรุปภาษา
ั ้ หนึง่ โดยจํากัดความหมายของคํา ทําให ้โครงสร ้างของมันเป็ นมาตรฐานเดียวกัน โดย
อีกชน
กฎของตรรกศาสตร์ การย่อสรุปดังกล่าวถึงขัน ั บูรณ์ในคณิตศาสตร์ เมือ
้ สม ่ คําพูดถูกแทน
ั ลักษณ์และความเกีย
ด ้วยสญ ั ลักษณ์ตา่ ง ๆ ถูกกําหนดอย่างชด
่ วโยงระหว่างสญ ั เจนตายตัว
่ นี้ นักวิทยาศาสตร์สามารถสรุปเอาข ้อมูลต่าง ๆ ลงในสมการทางคณิตศาสตร์
ในลักษณะเชน
ั ลักษณ์บรรทัดเดียว ซงึ่ หากจะอธิบายเป็ นภาษา
เพียงสมการเดียว กล่าวคือสรุปลงเป็ นสญ
้
ธรรมดาอาจใชความยาวหลายหน ้ากระดาษ
่ ะไรอืน
ทัศนะทีว่ า่ คณิตศาสตร์มใิ ชอ ่ นอกจากภาษาซงึ่ ย่นย่อสรุปและถูกอัดแน่น
เท่านัน ่ กัน โดยแท ้จริงนั กคณิตศาสตร์หลายคนเชอ
้ ได ้รับการท ้าทายเชน ื่ ว่าคณิตศาสตร์
มิใชเ่ พียงภาษาซงึ่ ใชอธิ
้ บายธรรมชาติ หากทว่าเป็ นสงิ่ ทีม
่ อ
ี ยูใ่ นธรรมชาติเองแล ้ว ผู ้ริเริม
่
ความคิดนีค ื ปิ ทากอรัส (Pythagoras) ผู ้ซงึ่ กล่าวประโยคทีม
้ อ ่ ช
ี อ ี งว่า “ทุกสงิ่ เป็น
ื่ เสย
ต ัวเลข” และได ้พัฒนารหัสยลัทธิอันมีลักษณะพิเศษในเชงิ คณิตศาสตร์ได ้อย่างลึกซงึ้
ปรัชญาของปิ ทากอรัสได ้เสนอเหตุผลเชงิ ตรรกะเข ้าสูข
่ อบเขตของศาสนา จนพัฒนามาเป็ น
พืน
้ ฐานทีม
่ ั่นคงของปรัชญาศาสนาตะวันตก เบอร์ทรันด์ รัสเซล กล่าวว่า
2.6 ต ัวเลขทีค
่ ับแคบและอึดอ ัด
แม ้ว่าศาสนาตะวันออกอืน ั เจนก็ตาม
่ ๆ จะไม่เน ้นไปในด ้านใดด ้านหนึง่ อย่างชด
แต่ตัวประสบการณ์โดยตรงยังเป็ นแกนสําคัญของทุกศาสนา แม ้แต่ศาสนิกทีม
่ ค
ี วามสนใจใน
การวิเคราะห์วจิ ารณ์อย่างลึกซงึ้ ก็มไิ ด ้ยึดความนึกคิดเป็ นแหล่งทีม
่ าของความรู ้ ทว่าใช ้
ความนึกคิดเพือ
่ วิเคราะห์และอธิบายประสบการณ์โดยตรงในการปฏิบัตศ
ิ าสนธรรมของตน
ความรู ้ทัง้ มวลตัง้ อยูบ ่ ทีว่ า่ นี้ ดังนั น
่ นประสบการณ์เชน ้ ธรรมเนียมปฏิบัตข
ิ องตะวันออกจึงมี
ลักษณะสําคัญอยูท ี่ ารเฝ้ าสงั เกต ซงึ่ ผู ้สอนมักจะเน ้นอยูเ่ สมอ ดังเชน
่ ก ่ ที่ ดี.ที. สซ
ี ก
ึ ิ เขียน
เกีย
่ วกับพุทธศาสนาว่า
ประสบการณ์ของบุคคลเป็ น...รากฐานของพุทธ
ปรัชญา ในแง่นพ ุ ธศาสนา เป็ นศาสนาแห่งการสงั เกตและ
ี้ ท
ทดลอง เหตุผลต่าง ๆ เกิดขึน
้ ภายหลัง เพือ
่ หยั่งถึง ความหมาย
ของประสบการณ์แห่งการรู ้แจ ้ง (8)
ั ัส
2.7 นอกเหนือจากประสาทสมผ
โจเซฟ นีดแฮมได ้นํ าเอาทัศนคติแห่งการเฝ้ าสงั เกตของเต๋ามาเป็ นจุดเด่นในงาน
ื่ Science and Civilization in china เขาได ้ค ้นพบว่าทัศนคติเชน
เขียนของเขาชอ ่ นีไ
้ ด ้สง่ ให ้
เต๋าเป็ นรากฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน
ผู ้ทีอ
่ าจจะเข ้าใจในความหมายของธรรมชาติแห่งความ
เป็ นพุทธะ คือผู ้ทีเ่ ฝ้ าสงั เกต ฤดูกาลและความสม
ั พันธ์แห่งเหตุ
ปั จจัย (10)
มีข ้อควรระวังทีจ
่ ด
ุ นีค
้ อ
ื ไม่ควรถือการเน ้นทีก
่ ารเห็นในธรรมเนียมปฏิบัตข
ิ อง
้ อย่างเถรตรงเกินไป แต่ต ้องเข ้าใจในเชงิ เปรียบเทียบเนือ
ศาสนาตะวันออกนัน ่ งจาก
ประสบการณ์ตอ ั จะในทางศาสนาโดยเนือ
่ สจ ่ ระสบการณ์ของประสาทสม
้ แท ้มิใชป ั ผัส เมือ
่
ปราชญ์ทางตะวันออกกล่าวถึงการเป็ น หมายถึงขบวนการรับรู ้ซงึ่ อาจรวมการมองเห็น แต่
โดยสาระแล ้วมีความหมายเลยพ ้นออกไปถึงประสบการณ์ตอ ั จะทีน
่ สจ ่ อกเหนือจากประสาท
ั ผัส อย่างไรก็ตาม สงิ่ ทีท
สม ่ า่ นเหล่านั น ่ กล่าวถึงการเห็น การดู หรือการสงั เกต
้ มุง่ เน ้นเมือ
คือลักษณะการทีไ่ ด ้ความรู ้จากการสงั เกต ท่าทีการแสวงหาความรู ้จากการสงั เกตเชน
่ นีข
้ อง
ปรัชญาตะวันออกได ้เตือนให ้ระลึกถึงการมุง่ เน ้นอยูท ี่ ารสงั เกตในวิทยาศาสตร์ โดยทีเ่ ป็ น
่ ก
ึ ษาเปรียบเทียบของเรา ขัน
ประเด็นแห่งการศก ้ ตอนการทดลองในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์
อาจเทียบได ้กับการมองด ้านในของศาสนาตะวันออก และแบบจําลองและทฤษฎีทาง
วิทยาศาสตร์ก็อาจเทียบได ้กับการอธิบายความหมายของญาณทัศนะ ซงึ่ เกิดจากการมอง
นัน
้ ในหลาย ๆ แบบ
ั อ
2.8 ความซบซ ้ นทีค
่ ล้ายๆก ัน
ความคล ้ายคลึงระหว่างการทดลองทางวิทยาศาสตร์และประสบการณ์ทาง
ศาสนา ดูเป็ นสงิ่ น่าประหลาดเมือ
่ พิจารณาความแตกต่างของกระบวนการสงั เกต ทดลองทัง้
ิ สท
สองฝ่ าย นักฟิ สก ์ ําการทดลองโดยมีผู ้ร่วมงานซงึ่ ทํางานอย่างละเอียดลออและอาศัย
เทคโนโลยีทซ ั ซอนมาก
ี่ บ ้ ในขณะทีศ
่ าสนิกได ้ความรู ้จากการพิจารณาใคร่ครวญ โดยมิได ้
อาศัยเครือ
่ งจักรใด ๆ ในชว่ งเวลาแห่งการภาวนายิง่ ไปกว่านั น
้ การทดลองทางวิทยาศาสตร์
จะกระทําซํ้าและได ้ผลอย่างเต็มได ้ ณ เวลาใด หรือโดยบุคคลใดก็ตาม ในขณะที่
ประสบการณ์ทางศาสนาทีล ึ ซงึ้ ดูจะมีเพียงบางคนเท่านั น
่ ก ้ ทีอ
่ าจเข ้าใจถึงได ้ และในโอกาส
พิเศษเฉพาะเท่านัน
้ อย่างไรก็ด ี เมือ ึ ษาอย่างละเอียดลึกซงึ้ ลงไปก็จะพบว่า ข ้อแตกต่าง
่ ศก
ของการเฝ้ าสงั เกตสองแนวนัน
้ อยูท
่ วี่ ธิ ก
ี ารมากกว่าอยูท
่ ค ื่ ถือได ้ หรือความซบ
ี่ วามเชอ ั ซอน
้
ของมัน
่ ้องการทําการทดลองซํ้าและได ้ผลเชน
ใครก็ตามทีต ่ เดิมนั น
้ ในการทดลองทาง
ิ สท
ฟิ สก ์ วี่ า่ ด ้วยอนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอม จะต ้องผ่านการฝึ กอบรมเป็ นเวลาหลายปี ผู ้ทีผ
่ า่ น
การฝึ กอบรมแล ้วเท่านัน
้ จึงจะสามารถตัง้ คําถามพิเศษเฉพาะแก่ธรรมชาติโดยผ่านทางการ
ทดลองและสามารถเข ้าใจคําตอบนัน
้ ได ้ โดยนั ยเดียวกัน การจะได ้ประสบการณ์ทางศาสนา
ทีล ึ ซงึ้ ธรรมดาแล ้วบุคคลนัน
่ ก ้ จะต ้องผ่านการฝึ กฝนเป็ นเวลาหลายปี โดยมีอาจารย์ท ี่
ชํานาญคอยแนะนํ าให ้ และเชน
่ เดียวกับการฝึ กอบรมทางวิทยาศาสตร์ ระยะเวลาในการ
ฝึ กฝนมิได ้เป็ นสงิ่ เดียวทีจ
่ ะประกันความสําเร็จได ้ หากว่านั กศก
ึ ษาเหล่านั น
้ ประสบผลสําเร็จ
เขาก็สามารถทีจ ่ เดิมได ้ การทีจ
่ ะทําการทดลองทีใ่ ห ้ผลเชน ่ ระสบการณ์ซงึ่
่ ะสามารถเข ้าสูป
้ โดยเท็จจริงแล ้วเป็ นสงิ่ จําเป็ นของการฝึ กฝนปฏิบัตธิ รรมทุก
ได ้บรรลุถงึ แล ้วได ้อีกนัน
รูปแบบและเป็ นเป้ าหมายอันสําคัญของคําสอนในทุกศาสนา
จุดมุง่ หมายขัน
้ พืน
้ ฐานของเทคนิคเหล่านี้ คือการทําให ้ใจทีเ่ ต็มไปด ้วยความนึก
คิดเงียบสงบลง เปลีย
่ นความตระหนักรู ้จากฐานของเหตุผลมาเป็ นฐานของญาณทัศน์ ใน
การทําใจให ้สงบนัน
้ วิธภ
ี าวนาหลาย ๆ แบบได ้แนะนํ าให ้จดจ่อความสนใจอยูท ี่ งิ่ ใดสงิ่ หนึง่
่ ส
เพียงสงิ่ เดียว เชน
่ ลมหายใจ เสย
ี งสวดมนต์ หรือนิมต
ิ ของมณฑล (ในพวกธิเบต) ในการ
่ ๆ แนะให ้ใสใ่ จในการเคลือ
ภาวนาแบบอืน ่ นไหวของร่างกายซงึ่ เกิดขึน
้ อย่างต่อเนือ
่ ง และ
เป็ นไปเองโดยไม่ถก
ู ความคิดรบกวน นีค
่ อ ิ ดู และ ไท ้จิฉวน (T’ai Chi
ื วิธ ี โยคะ ของฮน
Ch’uan) ของเต๋า การเคลือ ่ นี้ นํ าไปสูค
่ นไหวเป็ นจังหวะเชน ่ วามรู ้สก
ึ สงบและสติ
่ เดียวกับวิธก
เชน ึ เชน
ี ารภาวนาแบบแรก ความรู ้สก ่ นีอ
้ าจเกิดขึน
้ ได ้ในการเล่นกีฬาบางชนิด
่ การเล่นสกี เป็ นต ้น
เชน
2.10 ผูแ
้ สวงหาเต๋าจะลดลง
ิ ปะของตะวันออกก็เชน
ศล ่ กัน เป็ นศล
ิ ปะของการภาวนา ซงึ่ มิใชส
่ อ
ื่ ของการแสดง
ิ ปิ นเท่านัน
ความคิดของศล ้ แต่ยังมีความหมายมากกว่า คือเป็ นวิถท
ี างแห่งการเข ้าใจตนเอง
โดยผ่านการพัฒนาของญาณทัศนะ ดนตรีอน
ิ เดียไม่ได ้เรียนกันด ้วยการอ่านโน ้ตดนตรี แต่
โดยการฟั งครูผู ้สอนเล่นดนตรี ซงึ่ จะพัฒนาความรู ้สก
ึ ในดนตรี เชน
่ เดียวกับไท ้จี ซงึ่ ไม่ได ้
สอนด ้วยคําพูด แต่โดยการให ้ฝึ กร่วมกับครูซํ้าแล ้วซํ้าอีก พิธช
ี งชาของญีป
่ น ุ่ กอปรด ้วยการ
เคลือ
่ นไหวทีแ ่ ชาและเป็
่ ชม ้ ี รรมมาก การเขียนตัวอักษรจีนต ้องใชมื้ อทีเ่ คลือ
นพิธก ่ นไหว
ี งิ่ ยับยัง้ และเป็ นไปเอง ในตะวันออกความชํานิชํานาญเหล่านี้ ถูกใชเป็
อย่างไม่มส ้ นเครือ
่ งมือ
ึ ตัวทั่วพร ้อม
ในการพัฒนาความรู ้สก
2.11 วิถแ
ี ห่งน ักรบ
เมือ ั เจนขึน
่ ความคิดนึกเงียบสงบลง ความรับรู ้ก็ชด ้ การรับรู ้สภาพแวดล ้อมก็
ตรงไปตรงมาโดยไม่ต ้องอาศัยเครือ ้ “จิตทีส
่ งกรองของความคิดนึก ในคําของจางจือ ่ งบนิง่
ของผูร้ ู ้ คือกระจกเงาสะท้อนภาพของสวรรค์และโลก – กระจกสะท ้อนสรรพ
สงิ่ ” ่ เดียวกับธรรมชาติรอบข ้างเป็ นลักษณะสําคัญของการ
(15) การหยั่งรู ้ความเป็ นหนึง
ภาวนาขัน
้ นี้ เป็ นภาวะการรับรู ้ทีก
่ ารแบ่งแยกในรูปแบบต่าง ๆ ยุตล
ิ ง และรับรู ้ความเป็ นหนึง่
เดียวของสรรพสงิ่
ในการภาวนาขัน
้ ลึก จิตตืน ั จะ ซงึ่ มิใช ่
่ ตัวอย่างเต็มที่ นอกจากความรู ้เข ้าใจในสจ
ั ผัสแล ้ว จิตก็ยังรับรู ้เสย
ความรับรู ้ทางประสาทสม ี ง ภาพ และสงิ่ แวดล ้อมต่าง ๆ โดย
ปราศจากการวิเคราะห์วจิ ารณ์ ความตัง้ ใจตืน
่ ตัวของจิตไม่สญ ี ไปภาวะความตระหนั กรู ้
ู เสย
่ นัน
เชน ่ เดียวกับภาวะจิตใจของนั กรบ ทีม
้ เป็ นเชน ่ งุ่ จูโ่ จมศัตรูด ้วยความตืน
่ ตัวเต็มทีโ่ ดยไม่ให ้
ทุกสงิ่ รอบข ้างมาหันเหความสนใจไปได ้ อาจารย์เซน ยาสต
ึ านิ โรช ิ (Yasutani Roshi) ใช ้
ภาพพจน์อน ิ ัน ทะซะ (Shikan-taza) การฝึ กภาวนาแบบเซนว่า
ั นีใ้ นการอธิบายชก
ิ ัน ทะซะเป็ นสภาวะของสติขน
ชก ั ้ สูง ในภาวะนั น
้
ปราศจากความเครียดหรือเร่งรีบและไม่เกียจคร ้าน เป็ นจิตใจของ
ิ หน ้ากับความตาย ให ้ลองนึกว่าเรากําลังอยูใ่ นการต่อสู ้
ผู ้เผชญ
ระหว่างซามูไรสองคน ขณะทีท ิ หน ้ากับศัตรู ท่านต ้องมี
่ า่ นเผชญ
จิตใจจดจ่อมั่นคงและพร ้อมอยูต
่ ลอดเวลา หากท่านผ่อนความ
ระมัดระวังลงแม ้เพียงแวบเดียว ท่านก็อาจจะถูกฟั นทันที ฝูงชน
ได ้มามุงดูการต่อสู ้ ในเมือ
่ ท่านมิได ้ตาบอด ท่านก็เห็นพวกเขา
จากทางตาของท่าน ในเมือ ี ง
่ ท่านหูไม่หนวก ท่านย่อมได ้ยินเสย
ของพวกเขา แต่ไม่มแ
ี ม ้ขณะเดียวทีจ
่ ต
ิ ใจของท่านถูกจับอยูด
่ ้วย
สงิ่ เหล่านี้ (16)
ศาสนาตะวันออกมีพน
ื้ ฐานอยูบ ั จะ สว่ นฟิ สก
่ นการเห็นแจ ้งโดยตรงต่อสจ ิ สม
์ ี
พืน ่ นการสงั เกตปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ใน
้ ฐานอยูบ
สาขาทัง้ สอง การสงั เกตได ้ถูกแปลความหมาย และความหมายนัน ื่ สารด ้วยภาษา
้ ถูกสอ
คําพูด ในเมือ ่ งึ่ ย่อสรุปสจ
่ ภาษาคําพูดเป็ นแผนทีซ ั จะอย่างคร่าว ๆ ดังนั น
้ การแปล
ความหมายการทดลองทางวิทยาศาสตร์ หรือความเข ้าใจภายในทางศาสนา ออกเป็ นภาษา
คําพูด จึงเป็ นสงิ่ ทีไ่ ม่สมบูรณ์และไม่ละเอียดเพียงพออย่างเลีย ิ สส
่ งไม่ได ้ ทัง้ ฟิ สก ์ มัยใหม่
และศาสนาตะวันออกต่างตระหนักในความจริงข ้อนีเ้ ป็ นอย่างดี
ิ ส ์ การอธิบายความหมายของการทดลองนั น
ในฟิ สก ้ เรียกว่าแบบจําลอง (model)
หรือทฤษฎี (Theory) และความเข ้าในทีว่ า่ แบบจําลองและทฤษฎีทัง้ หมดเป็ นประมาณการ
(approximation) นัน
้ ถือเป็ นพืน
้ ฐานของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ดังนัน
้ คําพังเพยของ
่ ฎทางคณิตศาสตร์อา้ งโยงถึงความจริง ม ันก็เป็นสงิ่ ทีไ่ ม่
ไอน์สไตน์ทวี่ า่ “ตราบเท่าทีก
แน่นอน และหากว่าม ันเป็นสงิ่ ทีแ
่ น่นอนตายต ัว ม ันก็ไม่อาจอ้างโยงถึงความจริง
ิ สร์ ู ้ว่าวิธก
ได้” นักฟิ สก ้ ผลเชงิ ตรรก ไม่อาจอธิบายปรากฏการณ์
ี ารวิเคราะห์และการใชเหตุ
ธรรมชาติทัง้ หมดในทันทีได ้ ดังนัน ิ สจ์ งึ เลือกเอาปรากฏการณ์เพียงกลุม
้ นักฟิ สก ่ ใดกลุม
่ หนึง่
และพยายามสร ้างแบบจําลองขึน
้ มาอธิบายปรากฏการณ์กลุม
่ นั น
้ ในการกระทําดังกล่าว พวก
เขาได ้ละเลยปรากฏการณ์สว่ นอืน
่ แบบจําลองทีส
่ ร ้างขึน
้ จึงไม่อาจอธิบายถึงสภาพการณ์
่ งจากปรากฏการณ์สว่ นทีม
ทัง้ หมดได ้ อาจจะเนือ ึ ษานั น
่ ไิ ด ้นํ ามาศก ้ สง่ ผลน ้อยมากจนกระทั่ง
ึ ษาด ้วยก็จะไม่มผ
ว่าหากนํ ามารวมศก ่ นแปลงทฤษฎีอย่างมีนัยสําคัญ หรือไม่เชน
ี ลเปลีย ่ นั น
้
ก็เพราะมันไม่เป็ นทีท
่ ราบกันในระยะเวลาทีม
่ ก
ี ารทฤษฎีสร ้างขึน
้
2.13 เทพปรกรณัม
ในจีนและญีป
่ น ุ่ นักปฏิบัตธิ รรมใชวิ้ ธก
ี ารทีแ
่ ตกต่างออกไปในการแก ้ปั ญหา
ข ้อจํากัดของภาษา แทนทีจ ั จะ ซงึ่ โดยธรรมชาติขด
่ ะแสดงสจ ึ สามัญในรูป
ั กับความรู ้สก
ั ลักษณ์และภาพต่าง ๆ ในเทพปกรณั มซงึ่ รับได ้ง่าย ท่านเหล่านั น
สญ ั จะ
้ กลับมุง่ แต่แสดงสจ
้
โดยใชภาษาแห่ ้ พวกเต๋าจึงใชคํ้ าผกผันผิดธรรมดาบ่อยครัง้ เพือ
งข ้อเท็จจริง ดังนัน ่ ทีจ
่ ะให ้
้
เห็นข ้อจํากัดและความไม่อาจวางใจได ้ในการใชภาษาคํ าพูดวิธก ่ นีไ
ี ารเชน ้ ด ้ถูกถ่ายทอดไป
ยังพุทธศาสนาในจีนและญีป
่ น ุ่ ซงึ่ ได ้พัฒนาวิธก
ี ารขึน
้ ไปอีก จนถึงจุดสูงสุดในพุทธศาสนา
แบบเซนในรูปโกอันปริศนาธรรม ซงึ่ ดูเหมือนเรือ
่ งตลก แต่อาจารย์เซนหลาย ๆ ท่านได ้ใช ้
มันในการถ่ายทอดคําสอนของตน โกอันเหล่านีม
้ ค ิ สส
ี วามคล ้ายคลึงกับวิชาฟิ สก ์ มัยใหม่ ซงึ่
เป็ นประเด็นทีจ
่ ะพิจารณากันต่อไป
2.14 เหนือจากภาษา
ในญีป
่ น ุ่ ยังมีวธิ ก
ี ารอืน ้
่ อีกทีใ่ ชในการแสดงทั ศนะทางปรัชญา อาจารย์เซนนิยมใช ้
บทกวีซงึ่ กระชบ
ั และมีลก ี้ รงไปทีค
ั ษณะพิเศษเฉพาะตัวมาก ชต ่
่ วามเป็ น “เชน
นนเอง”
ั้ ั จะ
(suchness) ของสจ
อาจารย์เซนได ้ตอบว่า
ฉั นจําเกียวชูในเดือนมีนาคม
ได ้เสมอ
ี งร ้องของนกกระทา
เสย
บทกวีแห่งจิตวิญญาณนีไ
้ ด ้ถึงจุดสมบูรณ์ใน ไฮขึบทกวีดงั ้ เดิมของญีป
่ น ุ่ อันมี
ิ เจ็ดพยางค์ ซงึ่ ได ้รับอิทธิพลอย่างมากจากเซน ญาณทัศนะทีห
เพียงสบ ่ ยั่งรู ้ธรรมชาติแห่ง
ชวี ต
ิ ซงึ่ แสดงออกในบทกวีไฮขึนย ึ สม
ี้ ังสามารถรู ้สก ั ผัสได ้ แม ้เมือ
่ ได ้รับการถ่ายทอดมาเป็ น
อีกภาษาหนึง่
ใบไม ้ร่วง
กองทับถมกัน
สายฝนกระหนํ่า (19)
เมือ
่ ใดก็ตามทีน
่ ักปราชญ์ชาวตะวันออกแสดงความรู ้ของตนออกมาเป็ นภาษาพูด
ั ลักษณ์ตา่ ง ๆ บทกวีหรือถ ้อยคําผกผันผิดธรรมดาก็ตาม
ไม่วา่ จะในรูปของเทพปกรณั ม สญ
้ ต่างตระหนักดีในข ้อจํากัดของภาษาและความเชงิ เสนตรง
ท่านเหล่านัน ้ ิ สส
ฟิ สก ์ มัยใหม่ม ี
่ เดียวกันในการใชภาษาพู
ทัศนะเกือบจะเชน ้ ดในแบบจําลองและทฤษฎี แบบจําลองและ
ื่ ทีแ
ทฤษฎีก็เป็ นสอ ่ สดงออกของสงิ่ ทีป ั เจน มันเป็ นสอ
่ ระสงค์ได ้อย่างคร่าว ๆ และไม่ชด ื่ ใน
ั ลักษณ์ และบทกวีตา่ ง ๆ และสงิ่ ทีข
แนวทางเดียวกับเทพปกรณั มสญ ่ ้าพเจ ้ามุง่ แสดงก็คอ
ื
่ ความคิดอย่างเดียวกันในเรือ
ความคล ้ายคลึงในระดับนี้ ตัวอย่างเชน ่ งวัตถุ ซงึ่ ชาวฮน
ิ ดู
แสดงออกในรูปการเริงรําของศวิ ะเทพ ในขณะทีน ิ สแ
่ ั กฟิ สก ์ สดงออกในทฤษฎีสนาม
ิ สต
ควอนตัมทัง้ เทพและทฤษฎีทางฟิ สก ์ า่ งเป็ นสงิ่ สร ้างสรรค์ของจิต เป็ นแบบจําลองทีจ
่ ะ
ั จะของแต่ละบุคคล
อธิบายญาณทัศนะในสจ
จบบทที่ 2
ภาษาทีจ ้
่ ะใชในสถานการณ์ ่ นีเ้ ป็ นปั ญหาทีส
เชน ่ ําคัญมาก เรา
ปรารถนาทีจ
่ ะพูดเกีย
่ วกับอะตอมในทางใดทางหนึง่ ...แต่เราไม่อาจพูดถึง
อะตอมในภาษาธรรมดาได ้
เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบิรก
์
ปั ญหาทีย
่ ากทีส
่ ด
ุ ...เกีย ้
่ วกับการใชภาษา ปรากฏขึน
้ ในทฤษฏี
ควอนตัม แรกทีส
่ ด
ุ เรา ไม่มแ
ี นวทางอย่างง่าย ๆ ทีจ ื่ มโยงสญ
่ ะเชอ ั ลักษณ์
ทางคณิตศาสตร์กับแนวคิดในภาษา สามัญ และเพียงประการเดียวทีเ่ รา
ได ้ตระหนักตัง้ แต่จด
ุ เริม
่ ต ้นก็คอ
ื ความจริงทีว่ า่ แนว คิดสามัญของเราไม่
้ ้กับโครงสร ้างของอะตอม
อาจใชได (1)
เมือ
่ พิจารณาจากทัศนะทางปรัชญา จุดนีเ้ ป็ นพัฒนาการทีน
่ ่าสนใจมากทีส
่ ด
ุ ใน
ิ สส
วิชาฟิ สก ์ มัยใหม่ และเป็ นรากฐานอันหนึง่ ในความสม
ั พันธ์กับปรัชญาตะวันออก ในสํานั ก
้ นเครือ
ปรัชญาตะวันตกต่าง ๆ ตรรกศาสตร์และเหตุผลถูกใชเป็ ่ งมือสําคัญในการสร ้าง
แนวคิดทางปรัชญา และแม ้กระทั่งในปรัชญาศาสนา ตามทีเ่ บอร์ทรันด์ รัสเซล กล่าวไว ้
ั จะเป็ นสงิ่ พ ้นวิสย
ในทางตรงกันข ้าม ในศาสนาตะวันออก เป็ นทีเ่ ข ้าใจกันดีวา่ สจ ั ของภาษา
สามัญ และนักปราชญ์ชาวตะวันออกก็ไม่เกรงกลัวทีจ ้
่ ะใชภาษาที
ไ่ ปพ ้นตรรกะและแนวคิด
สามัญ ข ้าพเจ ้าคิดว่านีเ่ ป็ นเหตุผลสําคัญทีว่ า่ เหตุใด สจ
ั จะในทัศนะของตะวันออกจึงมีภม
ู ิ
หลังทีค ิ สส
่ ล ้ายคลึงกันฟิ สก ์ มัยใหม่มากกว่าทางปรัชญาตะวันตก
3.1 โฟโตอิเล็กทริก
้
ปั ญหาของการใชภาษาที
ศ ิ อยู่ ในข ้อความสองตอนที่
่ าสนิกของตะวันออกเผชญ
ี ก
อ ้างถึงในตอนต ้นบทนี้ ดี.ที.สซ ึ ิ กล่าวถึงพุทธศาสนา (2) และเวอร์เนอร์ ไฮเซนเบิรก
์
ิ สท
กล่าวถึงวิชาฟิ สก ์ วี่ า่ ด ้วยอะตอม (3) และข ้อความทัง้ สองแทบจะเหมือนกันเลยทีเดียว
ิ ส ์ ต่างต ้องการถ่ายทอดความรู ้ของตนออกมาก เมือ
ทัง้ ศาสนิกและนั กฟิ สก ่ แสดงออกใน
คําพูดประโยคทีเ่ ขากล่าวจึงดูผด
ิ ธรรมดา ผิดตรรกะ ลักษณะทีผ
่ กผันผิดธรรมดานีเ้ ป็ น
ลักษณะเฉพาะของศาสนาและความคิดในแนวนีท
้ ัง้ หมด ตัง้ แต่เฮราคลิตัสจนถึงดอน ฮวน
และเมือ
่ เริม ิ สด
่ ต ้นศตวรรษนี้ ก็ได ้กลายเป็ นลักษณะเฉพาะของวิชาฟิ สก ์ ้วย
ิ สท
ในวิชาฟิ สก ์ วี่ า่ ด ้วยอะตอม สถานการณ์หลาย ๆ อันซงึ่ ผิดไปจากความเข ้าใจ
ทั่วไปนัน
้ เกีย ี ม่เหล็กไฟฟ้ า ซงึ่ มี
่ วข ้องกับธรรมชาติของแสง หรือกล่าวโดยกว ้างคือรังสแ
ลักษณะทีต
่ รงกันข ้ามอยูใ่ นตัวเอง ในด ้านหนึง่ เป็ นทีแ ั ว่ารังสแ
่ น่ชด ี ม่เหล็กไฟฟ้ านี้
ประกอบด ้วยคลืน
่ เนือ
่ งจากมันแสดงคุณสมบัตก
ิ ารแทรกสอดของคลืน
่ (interference of
wave) ได ้ เมือ
่ มีแหล่งกําเนิดแสงสองแหล่ง ความเข ้มของแสงในทีใ่ ดทีห
่ นึง่ ไม่จําเป็ นต ้อง
เท่ากับ ผลรวมของความเข ้มของแสงต ้นกําเนิด แต่อาจจะมากกว่าหรือน ้อยกว่าก็ได ้
่ ซงึ่ มาจาก
ปรากฏการณ์น้ี อาจอธิบายได ้อย่างง่ายดายว่า เป็ นการแทรกสอดของคลืน
่ งึ่ ยอดคลืน
แหล่งกําเนิดสองแหล่ง ในทีซ ่ ของแสงจากสองแหล่งมาทับกันสนิท บริเวณนั น
้ จะ
มีความสว่างมากกว่าผลรวมของความเข ้มของแสง บริเวณใดทีย
่ อดคลืน
่ ของแสงอันหนึง่ ทับ
กับท ้องคลืน
่ ของแสงอีกอันหนึง่ ความเข ้มของแสงบริเวณนั น
้ จะน ้อยกว่าผลรวมของความ
่ น่นอนของความเข ้ม ซงึ่ เกิดจากการแทรกสอดของคลืน
เข ้มของแสงทัง้ สอง ปริมาณทีแ ่ ทัง้
สอง สามารถคํานวณหาได ้อย่างง่ายดาย ปรากฏการณ์การแทรกสอดของคลืน
่ นี้ เราสามารถ
สงั เกตได ้จากการศก
ึ ษา เกีย ี ม่เหล็กไฟฟ้ า ซงึ่ แสดงว่ารังสแ
่ วกับการแผ่รังสแ ี ม่เหล็กไฟฟ้ ามี
ลักษณะเป็ นคลืน
่
ี ม่เหล็กไฟฟ้ าก็กอ
ในอีกด ้านหนึง่ รังสแ ่ ให ้เกิดปรากฏการณ์ทเี่ รียกว่า โฟโตอิเล็กท
ริก เอฟเฟก (Photoelectric Effect) นั่ นคือ เมือ
่ แสงเหนือม่วง (Ultraviolet Light) ถูกฉาย
ลงบนพืน
้ ผิวของโลหะบางชนิด มันทําให ้อิเล็กตรอนหลุดออกมาจากผิวของโลหะได ้ ดังนั น
้
แสงชนิดนี้ จึงต ้องประกอบด ้วยอนุภาคทีเ่ คลือ
่ นที่ ปรากฏการณ์ทค
ี่ ล ้ายคลึงกันนี้ เกิดขึน
้ ใน
ึ ษาการกระจายตัวของรังสเี อกซ ์ การทดลองนีเ้ ราสามารถจะอธิบายได ้อย่างถูกต ้อง ก็
การศก
ต่อเมือ ่ รังส ี
่ เราอธิบายว่าเป็ นการชนกันระหว่างอนุภาคของแสงกับอิเล็กตรอน และในเมือ
เหล่านีแ ่ ด ้วย ปั ญหาซงึ่ สร ้างความฉงนให ้แก่นัก
้ สดงคุณลักษณะการแทรกสอดของคลืน
ิ สเ์ ป็ นอันมาก ในระยะเริม
ฟิ สก ี ม่เหล็กไฟฟ้ าจะเป็ นทัง้
่ แรกของทฤษฏีอะตอมนั่ นคือ รังสแ
่ ซงึ่ แผ่กระจายไปทั่วอาณา
อนุภาค (นั่นคือมีมวลอยูใ่ นปริมาตรทีเ่ ล็กมาก) และเป็ นทัง้ คลืน
บริเวณอันกว ้างขวางในอวกาศ ในขณะเดียวกัน ได ้อย่างไร ไม่วา่ ภาษาหรือจินตนาการ ก็ไม่
อาจอธิบายความจริงในลักษณะนีไ ั เจน
้ ด ้อย่างถูกต ้องชด
ศาสนาตะวันออกได ้พัฒนาวิธก
ี ารต่าง ๆ หลายวิธใี นการอธิบายลักษณะทีผ
่ ด
ิ
ั จะ ในขณะทีฮ
ธรรมดาของสจ ิ ดูใชวิ้ ธอ
่ น ี ธิบายในรูปของเทพปกรณั ม พุทธศาสนาและลัทธิ
ั จะนั น
เต๋า นิยมเน ้นประเด็นความผกผันผิดธรรมดาของสจ ้ มากกว่า คัมภีรเ์ ต๋าเตอจิงของ
เหลาจือ
้ เขียนด ้วยภาษาทีช ี เลย เต็มไปด ้วย
่ วนให ้ฉงน และดูเหมือนไม่มเี หตุผลเอาเสย
ข ้อความทีข
่ ด ้ งึ่ มีลักษณะเป็ นบทกวี อันกระทบความรู ้สก
ั แย ้งกันอย่างน่าทึง่ และภาษาทีใ่ ชซ ึ
อย่างมีพลังนัน
้ มุง่ หมายทีจ
่ ะจับจิตใจของผู ้อ่าน และขว ้างภาษานั น
้ ออกจากร่องของ
ความคิดเชงิ เหตุผล ซงึ่ มันคุ ้นเคย
3.2 โกอ ัน
พุทธศาสนาในจีนและญีป
่ น ุ่ ได ้นํ าวิธก
ี ารของเต๋าในการถ่ายทอดประสบการณ์ใน
้ มาใช ้ โดยเปิ ดเผยลักษณะผกผันผิดธรรมดาของมันอย่างง่าย ๆ เมือ
การปฏิบัตธิ รรมนัน ่
อาจารย์เซน ไดโตะ (Daito) ได ้พบกับจักรพรรดิโกไดโกะ (Godaigo) ซงึ่ เป็ นผู ้ทีก
่ ําลัง
ึ ษาเซน อาจารย์เซนกล่าวว่า
ศก
เมือ
่ หลายพันกัปทีล
่ ว่ งไปแล ้ว เราแยกจากกัน แต่เราไม่เคยถูก
แยกจากกันแม ้เพียงขณะ เดียว ขณะนีเ้ ราเห็นหน ้ากันทุกวัน แต่เราไม่เคย
พบกัน (4)
โกอันทีด
่ ท
ี ส
ี่ ด
ุ อันหนึง่ คือ โกอันมู (Mu) เนือ
่ งจากความเรียบง่าย
ทีส
่ ด
ุ และนีค
่ อ
ื ทีม
่ าของมัน
่ อบว่า “มู”
ท่านเย่อซูต
สําหรับผู ้เริม
่ ต ้น อาจารย์เซนมักจะมอบโกอัน มู ให ้ หรือโกอันข ้อหนึง่ ข ้อใดใน
สองประการนี้
“อะไรคือหน้าตาดงเดิ
ั้ มของท่าน ก่อนทีพ
่ อ
่ แม่จะให้กา
ํ เนิด
ท่านมา”
ี งจากการปรบมือสองข้างได้ แล้วเสย
“ท่านทําเสย ี งของ
การปรบมือข้างเดียวเล่าเป็นอย่างไร”
โกอันเหล่านีท
้ ก ่ ปลกเฉพาะตัวมากน ้อยต่างกัน ซงึ่ อาจารย์เซนที่
ุ อันมีคําตอบทีแ
ิ้ สุดสภาพผกผันผิดธรรมดาและ
สามารถจะทราบได ้ทันที ในทันทีทไี่ ด ้คําตอบ โกอันก็สน
กลายเป็ นประโยคทีม ี วามหมายสมบูรณ์ ซงึ่ เกิดขึน
่ ค ้ จากสภาวะจิตแห่งการรู ้แจ ้งทีโ่ กอันนั น
้
นํ าให ้ถึง
้ ฐานของธรรมชาติ
3.3 กฎพืน
ทีจ
่ ด ้ ําให ้เราได ้เห็นความคล ้ายคลึงอย่างยิง่ กับสถานการณ์ซงึ่ ผิดไปจากความ
ุ นีท
ิ หน ้ากับนักฟิ สก
เข ้าใจทั่วไป ทีไ่ ด ้เผชญ ิ สใ์ นตอนเริม ึ ษาฟิ สก
่ ต ้นศก ิ สข
์ องอะตอมเชน
่ เดียวกับ
่ นอยูใ่ นลักษณะทีผ
เซน ความจริงถูกซอ ่ กผันผิดธรรมดาซงึ่ ไม่อาจจะเฉลยออกมาได ้ด ้วย
เหตุผลเชงิ ตรรกะ แต่จะต ้องเข ้าใจโดยความตระหนั กรู ้อย่างใหม่ ความตระหนั กรู ้ในความ
จริงของอะตอม แน่นอนทีเดียวว่า ผู ้เป็ นอาจารย์ในทีน
่ ค ื ตัวธรรมชาติ ซงึ่ เชน
ี้ อ ่ เดียวกับ
อาจารย์เซนทีจ ั ประโยคหนึง่ ธรรมชาติเพียงแต่ตงั ้ ปริศนาให ้ขบคิด
่ ะไม่อธิบายอะไรแม ้สก
เท่านัน
้
้
ข ้าพเจ ้าจําการถกเถียงของข ้าพเจ ้ากับบอหร์ได ้ว่าใชเวลาหลาย
ชวั่ โมง จนเวลา ล่วงเลยไปถึงยามดึก โดยสุดท ้ายก็ไม่เกิดผลอันใด และ
เมือ
่ จบการสนทนา ข ้าพเจ ้าได ้ออกไปเดินเล่นโดยลําพังในสวนสาธารณะ
ใกล ้ ๆ และเฝ้ ายํ้าถามตนเอง ซํ้าแล ้วซํ้าเล่าว่า ธรรมชาติจะดูไร ้สาระได ้
มากถึงขนาดเท่าทีป
่ รากฏต่อเราใน การทดลองเกีย
่ วกับอะตอม กระนั น
้
หรือ (6)
ิ สส
อย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 20 นั กฟิ สก ์ ามารถทีจ
่ ะจัดการกับปั ญหาเรือ
่ ง
ธรรมชาติแท ้จริงของสสารวัตถุได ้โดยการทดลอง โดยอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่
นักวิทยาศาสตร์สามารถทีจ
่ ะเจาะลึกลงไปในธรรมชาติมากยิง่ ขึน ั้ ๆ
้ ผ่านเปลือกหุ ้มทีละชน
้ ฐาน” ของสสารวัตถุ ดังนัน
สู่ “องค์ประกอบพืน ้ จึงพิสจ
ู น์ได ้ว่ามีอะตอม แต่ตอ
่ มาก็พบ
องค์ประกอบของมันได ้แก่ นิวเคลียสและอิเล็กตรอน และในทีส
่ ด
ุ ก็พบองค์ประกอบของ
นิวเคลียส คือโปรตอนและนิวตรอนรวมทัง้ อาจจะมีอนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอมชนิดอืน
่ ๆ อีก
ด ้วย
เครือ
่ งมือทีม
่ ค ั ซอนในการทดลองทางฟิ
ี วามละเอียดอ่อน และซบ ้ ิ สส
สก ์ มัยใหม่
ได ้เจาะลึกลงไปสูโ่ ลก ทีไ่ ม่อาจมองเห็นได ้ แม ้ด ้วยกล ้องจุลทรรศน์ สูอ
่ าณาจักรของ
ธรรมชาติ ซงึ่ ไกลพ ้นจากสภาพแวดล ้อมและทําให ้เรารับรู ้มันได ้ อย่างไรก็ด ี เรารับรู ้มันโดย
่ องจุดจบของกระบวนการเท่านั น
ผ่านลูกโซข ่ เสย
้ ยกตัวอย่างเชน ี งกระดิกของเครือ
่ งไกเกอร์
์ รับแสง สงิ่ ทีเ่ ราเห็นหรือได ้ยินมิใช ่
เคาน์เตอร์ (Geiger counter)* หรือจุดดําบนแผ่นฟิ ลม
ตัวปรากฏการณ์เอง แต่เป็ นสงิ่ ทีส ื เนือ
่ บ ่ งจากมัน โลกของอะตอมและอนุภาคทีเ่ ล็กกว่า
อะตอม ยังอยูน ั ผัสของเรา
่ อกเหนือประสาทสม
ั
้ เราจึงสามารถ “สงเกต”
ดังนัน ิ องอะตอมและสว่ นประกอบของมันได ้
คุณสมบัตข
โดยอ ้อม โดยอาศัยเครือ
่ งมือทีท ้ เราจึง “มีประสบการณ์” เกีย
่ ันสมัย ดังนั น ่ วอนุภาคทีเ่ ล็ก
กว่าอะตอมได ้บางสว่ น อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ทวี่ า่ นี้ มิใชป
่ ระสบการณ์สามัญเมือ
่ เทียบ
กับสงิ่ แวดล ้อมของเราในประจําวัน ความรู ้เกีย
่ วกับวัตถุในระดับนีม ่ าจากประสบการณ์
้ ใิ ชม
ั ผัส จึงไม่เพียงพอแก่การอธิบายปรากฏการณ์ทส
โดยตรงของประสาทสม ี่ งั เกตได ้ เมือ
่ เรา
้ เท่าใด เราจําเป็ นต ้องละทิง้ ภาพพจน์และความคิดซงึ่ รวม
เจาะลึกลงไปในธรรมชาติมากขึน
เป็ นความหมายของภาษาสามัญมากเท่านัน
้
จบบทที่ 3
์ นวใหม่
ิ สแ
บทที่ 4 ฟิ สก
ปฏิกริ ย
ิ าทีร่ น ิ สส
ุ แรงในพัฒนาการของฟิ สก ์ มัยใหม่ในระยะเวลา
อันใกล ้นี้ จะเป็ น ทีเ่ ข ้าใจได ้ก็แต่เมือ
่ บุคคลตระหนั กว่า ทีจ
่ ด
ุ นีร้ ากฐานของ
ิ สไ์ ด ้เคลือ
ฟิ สก ่ นที่ ไปและการเคลือ
่ นทีอ
่ ันนีไ ึ ทีว่ า่
้ ด ้ก่อให ้เกิดความรู ้สก
้ ฐานต่าง ๆ กําลังถูก แยกออกจากวิทยาศาสตร์ (2)
พืน
ึ ตกใจมากเชน
ไอน์สไตน์รู ้สก ่ กันเมือ ิ สใ์ น
่ เขาได ้ประจักษ์ความจริงใหม่ของฟิ สก
่ งอะตอม ไอน์สไตน์ได ้เขียนไว ้ในอัตชวี ประวัตวิ า่
เรือ
ิ สส
การค ้นพบของวิชาฟิ สก ์ มัยใหม่ ได ้ก่อให ้เกิดความจําเป็ น ในการเปลีย
่ นความ
คิดเรือ
่ งอวกาศ เวลา สสาร วัตถุ เหตุและผล และอืน
่ ๆ ในเมือ
่ ความคิดในเรือ
่ งเหล่านีเ้ ป็ น
สงิ่ พืน
้ ฐานของประสบการณ์ในโลกของเรา มันจึงไม่น่าประหลาดใจ ทีน ิ สซ
่ ั กฟิ สก ์ งึ่ จําต ้อง
เปลีย
่ นความเข ้าใจในเรือ ึ ตกใจสุดขีด โลกทัศน์อย่างใหม่ซงึ่ เปลีย
่ งเหล่านี้ จะรู ้สก ่ นจากเดิม
อย่างถอนรากถอนโคน ได ้ปรากฏขึน
้ จากการเปลีย
่ นแปลงเหล่านี้ และยังคงอยูใ่ น
กระบวนการก่อรูปก่อร่าง ในกระแสของการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในปั จจุบัน
การขยายตัวของประสบการณ์ของเราออกไปอย่างมากมายใน
สองสามปี ทผ ิ ธิภาพของแนวคิดเชงิ กลจักร
ี่ า่ นมา ทําให ้ความด ้อยประสท
ั ขึน
อย่างสามัญปรากฏชด ั่ สะเทือนรากฐานของการตีความการ
้ และได ้สน
ทดลองซงึ่ เคยรับสบ
ื ต่อกันมา (4)
นิลส ์ บอหร์
ศรี อรพินโท
ื้ ฐานของฟิ สิกส์สม ัยใหม่ –ได ้ผลักดันให ้เราต ้องปรับทัศนะต่อธรรมชาติให ้ลึกซึง้ เป็ นองค์รวมและกอปรด ้วย
สัมพันธภาพ –ทฤษฏีพน
ชีวต
ิ จิตใจมากขึน
้
4.1 ฟิ สิกส์ดงเดิ
ั้ ม
โลกทัศน์ซงึ่ ถูกเปลีย
่ นแปลงไปเนือ ิ ส์สมัยใหม่ มีรากฐานอยูบ
่ งจากการค ้นพบของฟิ สก ่ นทฤษฏีกลศาสตร์วา่ ด ้วยจักรวาล
ของนิวตัน ทฤษฏีนเี้ ป็ นโครงสร ้างทีแ ิ ส์ดงั ้ เดิม โดยแท ้จริงแล ้ว มันเป็ นรากฐานอันแข็งแกร่งน่าเกรงขาม เปรียบดังศิลาซึง่
่ ข็งแรงของฟิ สก
รองรับวิทยาศาสตร์ทก
ุ แขนง และเป็ นพืน
้ ฐานของปรัชญาธรรมชาติ มาร่วมสามศตวรรษ
ิ ส์ถก
ทัง้ หมดในทางฟิ สก ิ นึง่ ซึง่ เรียกว่า เวลา ซึง่ ก็เป็ นสิง่ สัมบูรณ์อก
ู อธิบายในอีกมิตห ี อันหนึง่ ไม่เกีย
่ วข ้องกับโลกของสสาร วัตถุ และไหล
เลือ
่ นอย่างสมํา่ เสมอจากอดีตมาถึงปั จจุบน ่ นาคต นิวตันกล่าวว่า “โดยสภาวะธรรมชาติของม ัน เวลาในเชิงคณิตศาสตร์
ั และไปสูอ
ั ถูกกระทําเหมือนกับเป็ น “จุดทีม
คณิตศาสตร์มน ี วลสาร” นิวตันเห็นว่ามันเป็ นวัตถุซงึ่ เล็กแข็งและทําลายไม่ได ้ซึง่ ประกอบกันขึน
่ ม ้ เป็ น
วัตถุทก
ุ ชนิดแบบจําลองดังกล่าวนีค
้ ล ้ายคลึงกับแบบจําลองของนักคิดเรือ
่ งอะตอมของชาวกรีก ทัง้ สองต่างตัง้ อยูบ
่ นพืน
้ ฐานในเรือ
่ งความ
ระหว่างลัทธิอะตอมของเดโมคริตส
ั กับนิวตันก็คอ
ื นิวตันได ้แสดงแรงทีก
่ ระทําต่ออนุภาคของวัตถุนัน
้ อย่างชัดเจนด ้วย กล่าวอย่างง่าย ๆ
แรงกระทํานีข
้ น
ึ้ อยูก
่ บ ่ มโยงต่อสิง่ ทีม
ั มวลสารและระยะห่างระหว่างอนุภาค มันคือแรงโน ้มถ่วงของโลก นิวตันเห็นว่าแรงนีเ้ ชือ ่ น
ั กระทําอย่าง
ั ลงไปเป็ นทีย
ประหลาด แต่ก็ไม่เคยมีการตรวจสอบให ้แน่ชด ่ อมรับกันว่าอนุภาคและแรงกระทําระหว่างอนุภาคถูกสร ้างโดยพระเจ ้า ดังนัน
้
สร ้างโลกแห่งสรรพวัตถุขน
ึ้
ข ้าพเจ ้าคิดว่ามันอาจจะเป็ นไปในลักษณะนีว้ า่ ในตอนเริม
่ ต ้น
พระเจ ้าจะทรงสร ้างสสารวัตถุในรูปของอนุภาค ซงึ่ มีสถานะเป็ นของแข็ง
ทรงมวล มีความแข็ง ไม่อาจชําแรกมันได ้และเคลือ
่ นทีไ่ ด ้ ให ้มีขนาดและ
รูปร่างดังทีม
่ ันเป็ นพร ้อมด ้วยคุณสมบัตอ
ิ น
ื่ ๆ ทีม
่ ันมีและทรงสร ้างให ้มี
ั สว่ นพอดีกับชอ
จํานวนทีเ่ ป็ นสด ่ งว่าง ซงึ่ ทัง้ หมดจะประกอบกันขึน
้ อย่าง
เหมาะเจาะเป็ นสสาร
วัตถุอันนัน
้ ทีพ
่ ระองค์ทรงสร ้าง และอนุภาคเริม
่ แรกนัน
้ มีความ
แข็งมากมายอย่างทีไ่ ม่อาจเทียบกันได ้กับสสารวัตถุซงึ่ มันประกอบกันขึน
้
ิ้ สว่ น
เป็ น มันมีความแข็งมากและไม่อาจฉีกหรือทําให ้มันแตกออกเป็ นชน
ได ้ ไม่มก ่ าจจะแบ่งแยกสงิ่ ทีพ
ี ําลังสามัญชนิดใด ทีอ ่ ระเจ ้าพระองค์เองทรง
้ ให ้เป็ นหนึง่ ในการรังสรรค์ครัง้ แรกของพระองค์ได ้ (8)
สร ้างขึน
ิ ส์ทงั ้ หมดถูกพิจารณาแต่เพียงในแง่ของการเคลือ
ในกลศาสตร์ของนิวตัน เหตุการณ์ทางฟิ สก ่ นทีข
่ องสสารวัตถุในทีว่ า่ ง
ซึง่ เกิดขึน
้ จากแรงดึงดูดระหว่างกันของวัตถุ นั่นคือ โดยแรงโน ้มถ่วงของโลก ในการคํานวณหาแรงทีก
่ ระทําบนมวลสารแคลคูลส
ั
ความก้าวหน้าทางความคิดทีย
่ งิ่ ใหญ่ทส
ี่ ด
ุ เท่าทีป
่ จ
ั เจกบุคคลได้เคยกระทํามา”
สมการเกีย
่ วกับการเคลือ ่ องนิวตันเป็ นรากฐานของกลศาสตร์ดงั ้ เดิม ซึง่ ถูกถือเอาว่าเป็ นกฎเกณฑ์ทต
่ นทีข ี่ ายตัวแน่นอน
ของการเคลือ
่ นทีข
่ องวัตถุ และเป็ นสาเหตุของการเปลีย ิ ส์ ในทัศนะของนิวตันในตอนต ้น พระ
่ นแปลงทัง้ หมดของปรากฏการณ์ในทางฟิ สก
4.2 ล ัทธินย
ิ ัตินย
ิ ม
เหตุทแ ่ ลทีแ
ี่ น่นอนอันหนึง่ และนําไปสูผ ่ น่นอนเช่นกัน และโดยหลักการแล ้ว ความเป็ นไปในอนาคตของส่วนใดส่วนหนึง่ ในระบบจะ
่ อันนีไ้ ด ้รับการอธิบายอย่างชัดเจนในคํากล่าวทีม
เชือ ่ ช ื่ เสียง ปิ แอร์ ซีโมน ลาปลาซ (Pierre Simon Laplace) นักคณิตศาสตร์ฝรั่งเศสว่า
ี อ
ั นัน
เป็ นมนุษย์ และการสามารถอธิบายธรรมชาติอย่างเป็ นภาววิสย ้ ได ้กลายมาเป็ นอุดมคติของวิทยาศาสตร์ทก
ุ แขนง
ในการอธิบายการโคจรของดาวเคราะห์ และสามารถทีจ
่ ะอธิบายลักษณะพืน
้ ฐานของระบบสุรย
ิ ะได ้ อย่างไรก็ตาม แบบจําลองของระบบ
้ นิวตันจึงพบว่า มีความผิดแปลกหลายอย่างซึง่ ไม่อาจอธิบายได ้ เขาได ้แก ้ปั ญหานีโ้ ดยสมมติฐานทีว่ า่ พระเจ ้าทรง
เคราะห์ด ้วยกัน ดังนัน
ตําราซึง่ จะ “เสนอคําตอบทีส
่ มบูรณ์ตอ
่ ปัญหาทางกลศาสตร์เกีย ิ ะ และทําให้ทฤษฎีก ับการส ังเกตการณ์
่ วก ับระบบสุรย
้ งอาศ ัยสมมติฐานแบบนนเลย”
อย่างขวานผ่าซากว่า “กระผมไม่ตอ ้ั
ด ้วยความสําเร็จอย่างงดงามของกลศาสตร์แบบนิวตันทีส ิ ส์ได ้
่ ามารถอธิบายกฏเกณฑ์ตา่ ง ๆ ทางดาราศาสตร์ได ้ นักฟิ สก
ขยายขอบเขตของมันเข ้าไปในการอธิบายการเคลือ
่ นไหวอย่างต่อเนือ ่ สะเทือนของวัตถุทม
่ งของของไหล และอธิบายการสัน ี่ ค
ี วามยืดหยุน
่
เกีย
่ วกับอุณหภูมก
ิ อ
็ าจจะเป็ นทีเ่ ข ้าใจได ้เป็ นอย่างดีจากทัศนะในทางกลศาสตร์ล ้วน ๆ
อันมหึมาซึง่ เคลือ
่ นไหวไปตามกฏการเคลือ
่ นทีข
่ องนิวตันจริง ๆ กฏเกณฑ์เหล่านีถ
้ อ
ื เป็ นกฏพืน
้ ฐานของธรรมชาติและก็ถอ
ื กันว่ากลศาสตร์
ของนิวตันเป็ นทฤษฏีทอ
ี่ ธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติทส ั บูรณ์ เป็ นเวลาไม่น ้อยกว่าร ้อยปี หลังจากนัน
ี่ ม ้ ทีค ิ ส์อน
่ วามจริงในทางฟิ สก ั ใหม่ถก
ู
4.3 ความเข้าใจเรือ
่ งแสง
ความเข ้าใจเช่นว่านีม
้ ไิ ด ้เกิดขึน
้ อย่างกะทันหัน แต่ได ้เริม ้ โดยพัฒนาการในศตวรรษที่ 19 ซึง่ ได ้แผ ้วถางทางสําหรับการ
่ ขึน
ปฏิวต
ั ท
ิ างวิทยาศาสตร์ในรุน ้ แรกในกระบวนพัฒนาการนีค
่ ของเรา งานชิน ้ อ
ื การค ้นพบและศึกษาสํารวจปรากฏการณ์ทางไฟฟ้ าและ
เรเดย์และเคลิรก
์ แมกซ์เวลส์ ท่านแรกนัน
้ เป็ นนักทดลองผู ้ยิง่ ใหญ่ทส
ี่ ด
ุ คนหนึง่ ในประวัตศ
ิ าสตร์ของวิทยาศาสตร์ และท่านทีส
่ องนัน
้ เป็ น
นักทฤษฎีทป
ี่ ราดเปรือ
่ ง เมือ
่ ฟาราเดย์ผลิตกระแสไฟฟ้ าในขดลวดทองแดงได ้โดยการเลือ
่ นแท่งแม่เหล็กไปมาใกล ้ ๆ ขดลวด เขาได ้
เปลีย
่ นงานทางกลศาสตร์ในการเลือ
่ นแท่งแม่เหล็กเป็ นพลังงานไฟฟ้ า เขาได ้นําวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางวิศวกรรมไฟฟ้ าอย่าง
แม่เหล็กไฟฟ้ าทีส
่ มบูรณ์ ฟาราเดย์และแมกซ์เวลส์มไิ ด ้ศึกษาแต่เพียงผลทีเ่ กิดขึน
้ จากแรงไฟฟ้ าและแม่เหล็ก แต่ได ้ศึกษาแรงนัน
้ ๆ เอง
ิ ส์แบบนิวตัน
ไปไกลกว่าฟิ สก
แทนทีจ
่ ะอธิบายแรงกระทําระหว่างประจุบวกและลบอย่างง่าย ๆ ว่าเป็ นแรงดึงดูดระหว่างประจุทงั ้ สอง เช่นเดียวกับทีม
่ วล
สารสองอันกระทําต่อกันในกลศาสตร์แบบนิวตัน ฟาราเดย์และแมกซ์เวลส์พบว่าควรทีจ
่ ะอธิบายว่า ประจุแต่ละชนิดสร ้าง “กระแสรบกวน”
ซึง่ มีศก
ั ยภาพแห่งการสร ้างแรงขึน
้ นีเ้ รียกว่าสนาม (Field) มันเกิดจากประจุเดีย
่ ว ๆ อันหนึง่ และคงอยูแ
่ ม ้ว่าจะมีหรือไม่มป
ี ระจุอน
ื่ ๆ อยูก
่ ็
ตาม
ทีม
่ น
ั กระทําอย่างไม่อาจแยกจากกัน ในปั จจุบน
ั ความคิดเรือ
่ งแรงถูกแทนทีด
่ ้วยความคิดเรือ
่ งสนามทีล ึ ซึง้ กว่า ซึง่ มีความจริงของมันเอง
่ ก
และเราศึกษามันได ้โดยไม่ต ้องอ ้างโยงถึงตัววัตถุ จุดสูงสุดของทฤษฎีนค ื พลศาสตร์ไฟฟ้ า (Electrodynamics) ซึง่ เป็ นการเข ้าใจชัดเจน
ี้ อ
คลืน
่ วิทยุ คลืน ่ แม่เหล็กไฟฟ้ า เป็ นสนามไฟฟ้ าและสนามแม่เหล็กซึง่ สัน
่ แสง หรือรังสีเอกซ์ ทัง้ หมดเป็ นคลืน ่ ด ้วยความถีท
่ แ
ี่ ตกต่างกัน
ถึงแม ้จะมีการเปลีย
่ นแปลงทีก ้ ต ้น กลศาสตร์แบบนิวตันก็ยังเป็ นพืน
่ ้าวหน ้ามากถึงเพียงนี้ ในชัน ิ ส์ทงั ้
้ ฐานของวิชาฟิ สก
มวล แมกซ์เวลส์เองพยายามทีจ
่ ะอธิบายผลการทดลองของเขาในแง่กลศาสตร์ โดยอธิบายว่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้ าเป็ นความเค ้นทาง
คลืน
่ แห่งความยืดหยุน
่ ของอีเทอร์ การอธิบายต ้องเป็ นไปเช่นนัน
้ เพราะในความเข ้าใจทัว่ ไป คลืน ่ สะเทือนของบาง
่ เกิดจากการสัน
ปี ตอ
่ มาไอน์ไสตน์จงึ ได ้ประจักษ์ในความจริงอันนี้ เมือ ี เี ทอร์ และสนามแม่เหล็กไฟฟ้ าเป็ นสิง่ ทีม
่ เขาประกาศว่า ไม่มอ ่ จ
ี ริงในทาง
ิ ส์ โดยตัวของมันเองสามารถเคลือ
ฟิ สก ่ นทีผ
่ า่ นอวกาศอันว่างเปล่า และไม่อาจอธิบายได ้โดยอาศัยกลศาสตร์
นําไปใช ้อธิบายปรากฏการณ์ทต
ี่ า่ งกัน คือ กลศาสตร์ของนิวตัน และพลศาสตร์ไฟฟ้ าของแมกซ์เวลส์ ดังนัน
้ แบบจําลองของนิวตันจึง
ิ ส์ได ้ถูกเปลีย
ในช่วงสามทศวรรษแรกของศตวรรษนี้ โฉมหน ้าของวิชาฟิ สก ้ เชิง พัฒนาการสองกระแส
่ นแปลงอย่างสิน
ั พัทธภาพ และวิชาฟิ สก
คือ ทฤษฎีสม ิ ส์ทวี่ า่ ด ้วยอะตอม ได ้ป่ นทําลายความคิดหลักในโลกทัศน์แบบนิวตันอย่งสิน
้ เชิงความคิดเรือ
่ ง
อวกาศและเวลาทีส ั บูรณ์ อนุภาคพืน
่ ม ้ ฐานซึง่ ไม่อาจแบ่งย่อยลงไปได ้ความทีต ิ ส์ และ
่ ้องมีเหตุอย่างตายตัวของปรากฎการณ์ทางฟิ สก
ิ ส์กลุม
นักฟิ สก ั พัทธภาพสําเร็จสมบูรณ์ด ้วยตนเองเป็ นส่วนใหญ่ ข ้อเขียนทาง
่ หนึง่ อย่างไรก็ตาม ไอน์สไตน์ได ้สร ้างทฤษฎีสม
ิ ซึง่ เกีย
จริงจังตลอดช่วงชีวต ่ วข ้องกับวงการวิทยาศาสตร์ก็คอ ิ ส์ เขาเริม
ื การค ้นหารากฐานร่วมของวิชาฟิ สก ่ มุง่ เข ้าสูเ่ ป้ าหมายนี้ โดยการ
เปลีย
่ นแปลงอย่างรุนแรง ในความคิดแบบเดิม เกีย
่ วกับเวลา และได ้บ่อนทําลายรากฐานประการหนึง่ ของโลกทัศน์แบบนิวตัน
่ มโยงสัมพันธ์กน
เชือ ่ ต
ั เป็ นสภาพสีม ิ เี่ รียกว่า “กาล – อวกาศ” (space – time) ดังนัน
ิ ท ั พัทธภาพ เราไม่อาจกล่าวถึง
้ ในทฤษฎีสม
จักรวาล อย่างทีป
่ รากฏในทฤษฎีของนิวตัน ผู ้สังเกตแต่ละคน จะเรียงลําดับเหตุการณ์กอ
่ นหลังต่างกัน ขึน
้ อยูก
่ บ
ั ความเร็วของผู ้สังเกต
คน อาจเห็นว่าเกิดขึน
้ ในเวลาไม่พร ้อมกัน ดังนัน
้ การวัดค่าต่างๆ ทีเ่ กีย
่ วกับอวกาศและเวลาจะไม่ใช่คา่ สัมบูรณ์อก
ี ต่อไป ในทฤษฏี
สัมพันธภาพ ความคิดของนิวตันเกีย
่ วกับอวกาศทีส ั บูรณ์ ซึง่ รองรับปรากฏการณ์ทางฟิ สก
่ ม ิ ส์ตา่ งๆ ได ้ถูกยกเลิกไป เช่นเดียวกับความคิด
เรือ
่ งเวลา ทีม ี ภาพสัมบูรณ์ ทัง้ อวกาศและเวลากลายเป็ นแต่เพียงภาษาพูด ซึง่ ผู ้สังเกตแต่ละคน ใช ้ในการอธิบายปรากฏการณ์ซงึ่ เขา
่ ส
สังเกตเห็น
เปลีย
่ นแปลงในความคิดเรือ
่ งนี้ ก็ได ้กลายเป็ นเงือ ่ นโครงสร ้างซึง่ เราใช ้ในการอธิบายธรรมชาติเลยทีเดียว ผลที่
่ นไขในการปรับเปลีย
สถิตก็มพ
ี ลังงานสะสมอยูใ่ นมวลสารของมันและความสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงานได ้โดยสมการทีม
่ ช ื่ เสียงมาก คือ E
ี อ
ิ ส์โดยสัมพันธ์กบ
ปรากฏการณ์ทางฟิ สก ั ความเร็วซึง่ เข ้าใกล ้ความเร็วของแสง เราต ้องใช ้ทฤษฏีสม
ั พัทธภาพในการอธิบาย โดยเฉพาะ
นัน
้ ได ้นําให ้ ไอน์สไตน์ สร ้างทฤษฎีของเขาขึน ั พัทธภาพทัว่ ไป
้ มาใน พ.ศ. 2458 ไอน์สไตน์ ได ้เสนอทฤษฎีสม
ระหว่างกันของวัตถุทม
ี่ ม
ี วลสูงเข ้าไว ้ ในขณะทีท ั พัทธภาพพิเศษ ได ้รับการยืนยันโดยการทดลองมากมายนับไม่ถ ้วน แต่ทฤษฏี
่ ฤษฏีสม
(Cosmology) เพือ
่ อธิบายภาพของจักรวาล
4.5 อวกาศโค้ง
ของยูคลิดไม่อาจใช ้ได ้อีกต่อไปในอวกาศซึง่ โค ้ง ดังเช่นทีเ่ รขาคณิต 2 มิตข ้ ผิวราบไม่อาจใช ้ได ้กับผิวของทรงกลม ยกตัวอย่าง
ิ องพืน
เส ้น ยาว 1 เมตรจากนีโ้ ยงปลายเส ้นตรงทีเ่ หลือเข ้าด ้วยกัน ก็จะได ้รูป 4 เหลีย
่ มจตุรัส อย่างไรก็ตามบนพืน ี ารเช่นนีใ้ ช ้
้ ผิวของทรงกลมวิธก
ตามทีว่ ต
ั ถุมม
ี วลอยูส
่ งู เช่น ดาวฤกษ์ หรือดาวเคราะห์ อวกาศรอบๆ มันจะถูกทําให ้โค ้งและความโค ้งจะมากหรือน ้อยขึน
้ อยูก
่ บ
ั มวลของ
วัตถุนัน
้ ๆ ในเมือ ั พัทธภาพ เวลาก็เช่นเดียวกันถูกอิทธิพลของวัตถุซงึ่ ปรากฏอยูท
่ อวกาศไม่อาจแยกออกจากเวลาได ้ในทฤษฎีสม ่ ําให ้เวลา
เคลือ
่ นทีด
่ ้วยความเร็วทีแ
่ ตกต่างกันในส่วนต่างๆ ของจักรวาล ดังนัน ั พัทธภาพทัว่ ไปของไอน์สไตน์ได ้ลบล ้างแนวคิดเรือ
้ ทฤษฎีสม ่ งอวกาศ
และเวลาทีส ั บูรณ์ไปอย่างสิน
่ ม ้ เชิง มิใช่แต่เพียงการวัดค่าต่างๆเกีย
่ วกับอวกาศ เวลาขึน
้ อยูก
่ บ
ั การกระจายตัวของวัตถุในจักรวาล และ
ิ ส์ดงั ้ เดิมนัน
โลกทัศน์เชิงกลจักรของฟิ สก ้ ตัง้ อยูบ
่ นพืน
้ ฐานของความคิดเรือ
่ งวัตถุแข็งเคลือ
่ นทีใ่ นอากาศทีว่ า่ ง
ประสบการณ์ประจําวันของมนุษย์ซงึ่ ฟิ สก
ิ ส์แบบดัง้ เดิมยังคงเป็ นทฤษฎีทม
ี่ ป
ี ระโยชน์ ความคิดทัง้ สองประการคือความคิดเรือ
่ งอากาศที่
เจาะลึกลงไปในวัตถุ
ผลึกชนิดต่างๆ และ เออร์เนสต์ รัตเทอร์ฟอร์ด ได ้ตระหนักว่า สิง่ ทีเ่ รียกว่าอนุภาคแอลฟา (Alpha Particles) ซึง่ สารกัมมันตรังสี
้ เป็ นอนุภาคซึง่ เล็กกว่าอะตอม และเป็ นประดุจกระสุนความเร็วสูงซึง่ อาจจะนําไปใช ้ในการศึกษาสํารวจภายใน
ปลดปล่อยออกมานัน
อะตอมได ้ เรายิงมันไปทีอ
่ ะตอมและผลทีต
่ ด
ิ ตามต่อมาอาจจะทําให ้เราสรุปเกีย
่ วกับโครงสร ้างอะตอมได ้
ทีเ่ ล็กมากคืออิเล็กตรอนเคลือ
่ นทีผ
่ า่ นไปรอบๆ นิวเคลียสโดยยึดเกาะด ้วยแรงทางไฟฟ้ า มันไม่งา่ ยนักทีจ
่ ะนึกถึงขนาดของอะตอม
เนือ
่ งจากมันมีขนาดทีอ ่ อกเหนือขอบเขตของขนาดซึง่ เราใช ้กันอยู่ เส ้นผ่าศูนย์กลางของอะตอมมีขนาดประมาณหนึง่ ในร ้อยล ้านของ
่ ยูน
อะตอมในผลส ้ม
เราสามารถสมมติกน
ั นิวเคลียสของอะตอมก็จะเล็กมากจนเราไม่อาจมองเห็นได ้ ถึงแม ้เราขยายอะตอมให ้โตเท่ากับลูกฟุตบอล หรือ
ราวๆ เกลือเม็ดหนึง่ เม็ดเกลือหนึง่ ตรงใจกลางของโดมของโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ และละอองฝุ่ นผงซึง่ ล่องลอยอยูร่ อบๆ ในทีว่ า่ งของ
นิวตรอนเข ้ากับนิวเคลียสของอะตอมทีเ่ บาทีส ุ คือ อะตอมของไฮโดรเจน (ซึง่ มีโปรตรอน 1 ตัวกับอิเล็กตรอน 1 ตัว) และเพิม
่ ด ่ อิเล็กตรอน
เป็ นต ้นกําเนิดของปฎิกริ ย
ิ าทางเคมีหลายประการ ดังนัน
้ วิชาเคมีทงั ้ หมดจึงเป็ นทีเ่ ข ้าใจได ้ในหลักการ บนพืน ิ ส์ของ
้ ฐานของกฎทางฟิ สก
อะตอม
ประเทศ ได ้แก่ นีลส์ บอห์ร จากเดนมาร์ก หลุยส์ เดอ บร็อคลีย ์ จากฝรั่งเศส เออร์วน
ิ ชโรดิงเจอร์ และโวลฟ์ แกง เพาลี จากออสเตรีย
เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบิรก
์ จากเยอรมันนี และพอล ดีแร็ก จากอังกฤษ
ั ผัสกับความจริงทีน
นําให ้มมนุษย์ชาติสม ่ ่าประหลาด และไม่คาดคิดมาก่อน ในโลกของอนุภาคซึง่ เล็กกว่าอะตอมได ้เป็ นครัง้ แรก ทุกครัง้ ที่
ิ ส์ถามปั ญหาต่อธรรมชาติโดยการทดลองเกีย
นักฟิ สก ่ วกับอะตอม ธรรมชาติได ้ตอบโดยนัยทีผ ิ ส์พยายามจะ
่ กผันผิดธรรมดา และยิง่ นักฟิ สก
ทําความชัดเจนมากขึน
้ เท่าใด ความผกผันผิดธรรมดายิง่ ปรากฏชัดเจนขึน
้ เท่านัน
้ เป็ นเวลานานทีเดียวกว่าทีพ
่ วกเขาจะยอมรับความจริง
เมือ
่ มีผู ้พยายามทีจ
่ ะอธิบายเหตุการณ์ทเี่ กีย
่ วกับอะตอม ในวิธก ิ ส์ เมือ
ี ารแบบเดิมของฟิ สก ิ ส์เริม
่ สถานการณ์เช่นนีเ้ ป็ นทีร่ ับรู ้กัน นักฟิ สก ่
เรียนรู ้ทีจ
่ ะถามคําถามทีถ
่ ก
ู ต ้อง และหลีกเลีย ์ กล่าวว่า ”ในทีส
่ งความขัดแย ้งได ้ ไฮเซนเบิรก ่ ด
ุ พวกเขาก็ได้หยง่ ั ถึงจิตวิญญาณของ
ไม่ใช่เรือ
่ งง่ายทีจ
่ ะเกิดการยอมรับความคิดของทฤษฎีควอนตัม แม ้ว่าจะมีสต
ู รทางคณิตศาสตร์ทส
ี่ มบูรณ์แล ้วก็ตาม ผล
ิ ส์ก็คอ
ของมันต่อจินตนาการของนักฟิ สก ื ทําให ้ความคิดแตกทําลายลง การทดลองของรัตเทอร์ฟอร์ดได ้แสดงให ้เห็นว่า อะตอมมิใช่สงิ่ ที่
ยาก มีลก
ั ษณะทีต
่ รงกันข ้ามกันสองลักษณะอยูใ่ นตัวมัน โดยขึน
้ อยูก
่ บ
ั วิธก
ี ารทีเ่ ราศึกษา บางครัง้ มันปรากฏเป็ นอนุภาค และบางครัง้ เป็ น
คลืน
่ ลักษณะตรงกันข ้ามเช่นนีม ี รากฏในแสงด ้วย ซึง่ แสงอาจจะอยูใ่ นรูปของคลืน
้ ป ่ แม่เหล็กไฟฟ้ า หรืออยูใ่ นรูปอนุภาคก็ได ้
ู ปล่อยออกมาเป็ น “กลุม
ปล่อยออกมาอย่างสมํา่ เสมอ แต่ถก ่ พล ังงาน” ไอน์สไตน์เรียกกลุม
่ พลังงานนีว้ า่ “ควอนตา” (Quanta) และถือ
ว่ามันเป็ นลักษณะพืน
้ ฐานของธรรมชาติ ไอน์สไตน์กล ้าพอทีจ
่ ะสันนิษฐานว่า แสงและรังสีแม่เหล็กไฟฟ้ ารูปอืน
่ ๆ ปรากฏเป็ นได ้ทัง้ คลืน
่
แม่เหล็กไฟฟ้ าและในรูปของ “ควอนตา” ควอนตา แสงซึง่ เป็ นทีม ่ ทฤษฎีควอนตัมได ้ถูกยอมรับอย่างสุจริตใจว่าเป็ นอนุภาค
่ าของชือ
ตัง้ แต่นัน
้ มา โดยในปั จจุบน ื่ เรียกว่า โฟตอน (Photon) อย่างไรก็ตามโฟตอนเป็ นอนุภาคชนิดพิเศษ ไม่มม
ั มีชอ ี วลและเคลือ
่ นทีด
่ ้วย
ความเร็วแสงเสมอ
ความขัดแย ้งทีป
่ รากฏระหว่างภาวะความเป็ นคลืน ี ารซึง่ ไม่คาดฝั นอย่างสิน
่ ถูกแก ้ไขโดยวิธก ้ เชิง ซึง่ ก่อให ้เกิดคําถามต่อ
รากฐานของโลกทัศน์เชิงกลจักร ความคิดเรือ
่ งความจริงของวัตถุ ในระดับของอนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอม สสารมิได ้ปรากฏทีใ่ ดทีห
่ นึง่
สัมพันธ์กบ
ั ความเป็ นไปได ้นีเ้ ราไม่อาจทํานายเหตุการณ์ทเี่ กีย
่ วข ้องกับอะตอมได ้ด ้วยความแน่นอน เราอาจทําได ้แต่เพียงกล่าวว่า มันอาจ
เกิดขึน
้ ได ้มากน ้อยเพียงใด
ได ้ ซึง่ มีลก
ั ษณะเป็ นคลืน
่ และแบบแผนดังกล่าวโดยความหมายทีล ึ ซึง้ ทีส
่ ก ุ มิใช่ความอาจเป็ นไปได ้ของสิง่ ต่างๆ แต่เป็ นความอาจ
่ ด
ระหวางการเตรียมการทดลอง และการตรวจวัดผลเท่านัน
้ ทฤษฎีควอนตัมจึงได ้เปิ ดเผยความเป็ นหนึง่ เดียวของจักรวาล มันได ้แสดงให ้
ปฎิกริ ย
ิ าระหว่างวัตถุและผู ้สังเกตการณ์เท่านัน ั นัน
้ นั่นหมายความว่าความคิดดัง้ เดิมในการอธิบายธรรมชาติอย่างเป็ นภาวะวิสย ้ เป็ นสิง่ ที่
เป็ นไปไม่ได ้ สิง่ กัน
้ ขวางระหว่างฉันและโลกตามแนวคิดของเดคาร์ต ระหว่างผู ้สังเกตและสิง่ ทีถ
่ ก
ู สังเกต ไม่อาจจะมีได ้เมือ
่ ต ้องเกีย
่ วข ้อง
4.8 คลืน
่ ยืน
ปั ญหาประการทีส
่ องก็คอ
ื ความคงตัวเป็ นพิเศษในกลศาสตร์ของอะตอม ยกตัวอย่างเช่น ในอากาศ อะตอมปะทะกันเป็ น
ละชนิด จะมีลก
ั ษณะเช่นเดียวกันทุก ๆ อะตอม อะตอมของเหล็กสองอะตอมและเหล็กบริสท
ุ ธิช ิ้ เล็ก ๆ สองชิน
์ น ้ จะมีลก
ั ษณะเหมือนกัน ไม่
ทีท
่ ําให ้อะตอมดูเหมือนเป็ นทรงกลมทีแ
่ ข็งแรง เช่นเดียวกับทีเ่ ราเห็นใบพัดทีห
่ มุนเร็วมากเป็ นเหมือนจาน เป็ นเรือ
่ งยากมากทีจ
่ ะอัดอะตอม
ให ้เล็กลงไปอีก และนีค
่ อ
ื เหตุผลทีท
่ ําให ้สสารวัตถุมล
ี ก
ั ษณะทีป
่ รากฏเป็ นของแข็งตัน
ดังนัน
้ ในอะตอม อิเล็กตรอนถูกจัดให ้อยูใ่ นวงโคจรทีม
่ ค
ี วามสมดุลพอดี ระหว่างแรงดึงดูดของนิวเคลียสและความอึดอัดใน
เนือ
่ งจากธรรมชาติการเป็ นคลืน
่ ของอิเล็กตรอน เราไม่อาจจะคิดว่าอะตอมเป็ นเหมือนระบบสุรย
ิ ะได ้ แทนทีจ
่ ะคิดว่าอิเล็กตรอนในรูป
อย่างในกลศาสตร์ดงั ้ เดิม
ในวงโคจร คลืน
่ ของอิเล็กตรอนต ้องจัดตัวมันเอง ให ้ปลายของคลืน
่ บรรจบกันนั่นคือเป็ นแบบคลืน
่ ยืน (standing waves)
รูปแบบดังกล่าวจะปรากฏขึน
้ ในทุกทีท
่ ค
ี่ ลืน
่ ถูกจํากัดให ้อยูใ่ นขอบเขตทีต
่ ายตัวอันหนึง่ เช่นเดียวกับเคลืน
่ ทีเ่ กิดขึน
้ ในสายกีตาร์หรือคลืน
่
อากาศในลําขลุย
่ จากตัวอย่างนี้ เป็ นทีท
่ ราบกันดีวา่ คลืน
่ ยืน อาจจะมีรป
ู ร่างได ้จํากัดเพียงไม่กรี่ ป
ู แบบ ในกรณีคลืน
่ ของอิเล็กตรอนภายใน
้ ทีต
อยูใ่ นชัน ่ าํ่ ทีส
่ ด ้ ฐาน” (ground state) ของอะตอม จากสภาพนัน
ุ ซึง่ เรียกว่า “สถานะพืน ้ อิเล็กตรอนอาจกระโดดขึน ้
้ ไปยังวงโคจรชัน
สูงขึน
้ ไป หากว่ามันได ้รับพลังงานทีเ่ พียงพอจํานวนหนึง่ อะตอมนัน ้ ” (excited state) ซึง่
้ จะอยูใ่ นสภาพทีเ่ รียกว่า “สถานะถูกกระตุน
หลังจากนัน ่ ถานะพืน
้ ระยะหนึง่ อิเล็กตรอนก็จะกลับสูส ้ ฐานดังเดิม โดยปลดปล่อยพลังงานทีไ่ ด ้รับเข ้าไปออกมาในรูปรังสีแม่เหล็กไฟฟ้ า
การเป็ นคลืน
่ ของอิเล็กตรอนจึงทําให ้อะตอมมีเอกลักษณ์ของตัว และทําให ้อะตอมมีความคงตัวมากในทางกลศาสตร์
4.9 เลขควอนต ัม
ควอนตัมอีกสองตัวกําหนดรูปร่างของคลืน
่ อิเล็กตอนในวงโคจรสัมพันธ์กบ
ั ความเร็วและ สภาพการหมุนของอิเล็กตรอน* ข ้อเท็จจริงทีว่ า่
น ้อยทีส
่ ด
ุ เท่าทีจ
่ ะเป็ นไปได ้
ของคลืน
่ อิเล็กตรอน ในรูปของค่าความอาจเป็ นไปได ้สําหรับการปรากฏของอนุภาคในส่วนใดส่วนหนึง่ ของวงโคจร รอยของอนุภาค
ในบับเบิลแชมเบอร์
ความโน ้มเอียงทีจ
่ ะปรากฏ ณ ทีใ่ ดทีห
่ นึง่ ในเวลาใดเวลาหนึง่ กับการทีอ
่ นุภาคมีปฏิกริ ย
ิ าต่อการจํากัดขอบเขตของมัน
้ สิง่ เหล่านีล
อย่างมีนัยสําคัญของปรากฏการณ์ทงั ้ มวลนัน ้ ้วนเป็ นคุณลักษณะซึง่ ไม่เคยรู ้กันมาก่อนในแวดวงของอะตอม ในทางตรงกันข ้าม
ิ ส์เริม
นักฟิ สก ่ ตระหนักว่าพวกเขาได ้เผชิญกับแรงชนิดใหม่ในธรรมชาติ ซึง่ ไม่ได ้แสดงตัวมันเองในทีอ
่ น
ื่ ใดนอกจากภายในนิวเคลียส
สสารทีอ
่ ยูภ
่ ายในนิวเคลียสต ้องหนาแน่นมาก เมือ
่ เทียบกับรูปร่างของสสารวัตถุทเี่ ราคุ ้นเคย โดยแท ้จริงแล ้ว หากเราจะบีบอัดร่างกายของ
ความเร็วสูงมาก และในเมือ
่ มันถูกบีบให ้อยูภ
่ ายในประมาตรทีเ่ ล็กมาก ๆ ปฏิกริ ย
ิ าของมันจึงรุนแรงมากตามไปด ้วย มันเคลือ
่ นทีไ่ ปรอบ ๆ
ขนาดนัน
้ แรงดึงดูดจะสูงมาก แต่เมือ ้ ลงไปกว่านัน
่ ระยะสัน ้ จะกลายเป็ นแรงผลักทีส
่ งู มากเช่นกัน ดังนัน
้ นิวคลีออนจึงไม่อาจเข ้าใกล ้กันได ้
มากไปกว่านัน
้ โดยวิธก
ี ารเช่นนี้ แรงกระทําภายในจึงทําให ้นิวเคลียสมีสภาพคงตัวสูง ถึงแม ้ว่าจะอยูใ่ นสภาพสมดุลทางพลศาสตร์สงู มากก็
ตาม
ภาพของวัตถุซงึ่ เกิดขึน
้ จากการศึกษาอะตอมและนิวเคลียสได ้แสดงให ้เห็นว่า มันรวมตัวกันอยูใ่ นหยดเล็ก ๆ และอยูห
่ า่ ง
ปฏิกริ ย
ิ าเคมี และเป็ นตัวกําหนดคุณสมบัตท
ิ างเคมีของวัตถุ ในทางตรงกันข ้าม ปฏิกริ ย
ิ านิวเคลียร์โดยทัว่ ไปไม่เกิดขึน
้ เองโดยธรรมชาติใน
รูปลักษณ์ของวัตถุเช่นนี้ เนือ
่ งจากพลังงานในธรรมชาติไม่สงู พอทีจ
่ ะทําลายสมดุลในนิวเคลียสได ้
4.10 ภายในนิวเคลียส
สภาพเงือ
่ นไขทีพ
่ เิ ศษเท่านัน
้ เช่นเมือ ่ มากเกินไป เมือ
่ อุณหภูมไิ ม่สงู เกินไปจนทําให ้โมเลกุลของมันสัน ่ พลังงานความร ้อนเพิม
่ มากขึน
้
ประมาณร ้อยเท่า เช่น ในดาวฤกษ์ ส่วนใหญ่ โครงสร ้างของอะตอมและโมเลกุลทัง้ หมดถูกทําลายลง โดยแท ้จริงแล ้วสสารวัตถุในจักรวาล
คงอยูใ่ นสภาพทีแ
่ ตกต่างไปจากทีไ่ ด ้กล่าวมาแล ้ว ในศูนย์กลางของดวงดาวต่าง ๆ มีการสะสมสสารวัตถุของนิวเคลียสเป็ นจํานวน
ิ านิวเคลียร์ซงึ่ แทบไม่เกิดขึน
มหาศาล และปฏิกริ ย ้ บนพืน
้ โลกกลับเป็ นปฏิกริ ย
ิ าส่วนใหญ่ทเี่ กิดขึน
้ ในดวงดาว ปฏิกริ ย
ิ าดังกล่าวเป็ นตัวการ
่ ําหนดปรากฏการณ์ของดวงดาวต่างๆ ซึง่ สังเกตได ้ในวิชาดาราศาสตร์ ส่วนใหญ่เกิดขึน
สําคัญทีก ้ จากอิทธิพลของปฏิกริ ย
ิ านิวเคลียสและ
อย่างไม่มท
ี ส
ี่ ด
ุ
นักวิทยาศาสตร์คด
ิ ว่า ในทีส
่ ด ้ ฐาน” ของวัตถุแล ้ว ในต ้นทศวรรษของปี 2473 เป็ นทีท
ุ พวกเขาก็ได ้ค ้นพบ “หน่วยพืน ่ ราบกันดีวา่ วัตถุทงั ้
้ ฐาน” เหล่านีถ
มวลล ้วนประกอบด ้วยอะตอม และอะตอมประกอบด ้วย โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน “อนุภาคพืน ้ ก
ู ถือว่าเป็ นหน่วย
เป็ นหน่วยแรกของวัตถุนัน
้ จําต ้องถูกยกเลิกไป พัฒนาการทัง้ สองนีม
้ ท
ี งั ้ ส่วนทีเ่ ป็ นการทดลองและส่วนทีเ่ ป็ นทฤษฏีทงั ้ สองเริม
่ ขึน
้ หลังปี
ชนิดใหม่ในการตรวจวัดอนุภาค ดังนัน
้ จํานวนของอนุภาคจึงเพิม
่ ขึน
้ จากสามเป็ นหกในปี พ.ศ. 2478 และเป็ นสิบแปดในปี พ.ศ. 2498 ใน
้ ฐาน” นัน
ั เรารู ้จักอนุภาคมากกว่าสองร ้อยชนิด นั่นแสดงให ้เห็นว่า คําวิเศษณ์วา่ “พืน
ปั จจุบน ้ ไม่อาจเป็ นสิง่ ดึงดูดใจได ้อีกต่อไปใน
สภาวการณ์เช่นนี้ ในเมือ
่ ได ้มีการค ้นพบอนุภาคชนิดต่าง ๆ เพิม
่ ขึน ่ ย ๆ ในแต่ละปี มันก็เป็ นสิง่ ทีช
้ เรือ ั เจนว่า อนุภาคทัง้ หมดจะถูกเรียกว่า
่ ด
หน่วยพืน
้ ฐานไม่ได ้ ในปั จจุบน ่ อย่างกว ้างขวางในหมูน
ั มีความเชือ ิ ส์วา่ ไม่มอ
่ ักฟิ สก ี นุภาคใดทีค ่ นีไ้ ด ้เลย
่ วรจะเรียกด ้วยชือ
สมบูรณ์เกีย
่ วกับนิวเคลียสได ้ ถึงแม ้ว่าเราจะมีความรู ้มากพอสมควร เกีย
่ วกับโครงสร ้างของนิวเคลียส และปฏิกริ ย
ิ าระหว่างอนุภาคภายใน
เกีย ่ เทียบกับทีเ่ รามีทฤษฏีควอนตัมสําหรับอะตอม เรามีแบบจําลอง “ควอนต ัม-ส ัมพ ัทธ์” หลายอัน ซึง่ ใช ้
่ วกับอนุภาคในนิวเคลียส เมือ
สมบูรณ์เกีย ่ ําคัญต่อฟิ สก
่ วกับอาณาจักรของอนุภาค ยังคงเป็ นปั ญหาสําคัญทีเ่ ป็ นแกนกลาง และเป็ นการท ้าทายทีส ิ ส์พน
ื้ ฐานสมัยใหม่
4.11 ว ัตถุคต
ู่ รงข้าม
ั พัทธภาพได ้มีอท
ทฤษฏีสม ิ ธิพลอย่างสําคัญต่อภาพของวัตถุในความคิดของเรา โดยทําให ้เราจําเป็ นต ้องปรับเปลีย
่ น
สร ้างขึน
้ ได ้ด ้วยพลังงานทีเ่ พียงพอ และอาจถูกเปลีย
่ นกลับเป็ นพลังงานได ้ในกระบวนการทําลายล ้าง (annihilation) กระบวนการสร ้าง
ล ้าน ๆ ครัง้
การสร ้างอนุภาคของวัตถุจากพลังงานบริสท
ุ ธิเ์ ป็ นผลอันน่าตืน
่ เต ้นทีส
่ ด ั พัทธภาพ และจะเข ้าใจมันได ้ก็โดย
ุ จากทฤษฏีสม
้ ฐานซึง่ ไม่แตกทําลายและไม่เปลีย
พืน ่ นแปลง หรือไม่ก็เป็ นสิง่ ซึง่ อาจแบ่งแยกออกต่อไปได ้อีก และปั ญหาพืน
้ ฐานก็คอ
ื ว่า เราอาจทีจ
่ ะแบ่ง
แร็ก ปัญหาเรือ
่ งการแบ่งแยกวัตถุทงั ้ หมดก็ปรากฏในลักษณะใหม่ เมือ
่ อนุภาคสองตัวชนกันด ้วยพลังงานสูง โดยทัว่ ไปมันจะแตกออกเป็ น
้ ส่วนทีเ่ ล็กลงไปอีกเนือ
อีก แต่เราจะไม่เคยได ้ชิน ้ มาใหม่จากพลังงานซึง่ ใช ้ในกระบวนการ อนุภาคซึง่ เล็กกว่า
่ งจากเราได ้สร ้างอนุภาคขึน
4.12 บ ับเบิลแชมเบอร์
ั พัทธภาพไม่เพียงแต่กระทบความคิดในเรือ
ทฤษฏีสม ่ งอนุภาคของเราอย่างรุนแรงเท่านัน
้ แต่ยังส่งผลถึงความคิดในเรือ
่ ง
แรงระหว่างอนุภาคเหล่านี้ ในการอธิบายเชิงสัมพัทธ์ในเรือ
่ งปฏิกริ ย
ิ าระหว่างอนุภาค แรงกระทําระหว่างอนุภาคนั่นคือแรงดึงดูดหรือแรง
ผลักระหว่างกันของอนุภาคสองอนุภาคนัน
้ เกิดขึน
้ โดยการแลกเปลีย
่ นอนุภาคชนิดอืน
่ ระหว่างอนุภาคทัง้ สอง ความคิดนีย
้ ากทีจ
่ ะนึกให ้เห็น
เหมือนจะแตกต่างกันโดยพืน
้ ฐานตัง้ แต่สมัยของนักศึกษาเรือ
่ งอะตอมชาวกรีก ทัง้ แรงและวัตถุถก
ู ถือว่ามีจด
ุ กําเนิดร่วมกันจากแบบแผนอัน
่ มองจากระดับใหญ่ลงไปสูร่ ะดับเล็กจนถึง
ไม่อาจย่อยสลายอาณาจักรของอนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอมออกเป็ นส่วนประกอบต่าง ๆ เมือ
เมือ
่ เร็ว ๆ นี้ มีหลักฐานปรากฏเพิม
่ เติมขึน ่ นับสนุนความเข ้าใจทีว่ า่ ทัง้ โปรตอนและนิวตรอนต่าง ก็เป็ นสิง่ ที่
้ อีกมากมายทีส
้ จากสิง่ อืน
ประกอบขึน ่ แต่แรงยึดเหนีย
่ วระหว่างองค์ประกอบเหล่านัน
้ สูงมาก หรืออยูใ่ นปริมาณเดียวกัน ความเร็วทีอ
่ งค์ประกอบเหล่านัน
้ มี
ด ้วยเสมอ ในประสบการณ์เช่นนีค
้ วามคิดแบบเดิมทีย
่ ด
ึ ถือกันมาในเรือ
่ งของอวกาศและเวลา ในเรือ
่ งวัตถุเดีย
่ ว ๆ ในเรือ
่ งเรือ
่ งเหตุและผล
คล ้ายคลึงนีป
้ รากฏชัดในทฤษฎีควอนตัมและทฤษฎีสม ้ ในแบบจําลอง “ควอนต ัม-ส ัมพ ัทธ์” ของวิชา
ั พัทธภาพ และยิง่ ชัดเจนมากขึน
ก่อนทีจ
่ ะได ้แสดงความคล ้ายคลึงดังกล่าวโดยละเอียด ข ้าพเจ ้าจะนําเสนออย่างคร่าว ๆ เกีย
่ วสํานักนิกายต่าง ๆ ของ
่ ะมีสว่ นสัมพันธ์กบ
ปรัชญาตะวันออก ทีจ ั การเปรียบเทียบของเรา (ต่อผู ้อ่านซึง่ ไม่คุ ้นเคย) อันได ้แก่ ฮินดู พุทธ และเต๋า ในอีกห ้าบท
ั พัทธภาพไม่เพียงแต่กระทบความคิดในเรือ
ทฤษฏีสม ่ งอนุภาคของเราอย่างรุนแรงเท่านัน
้ แต่ยังส่งผลถึงความคิดในเรือ
่ ง
แรงระหว่างอนุภาคเหล่านี้ ในการอธิบายเชิงสัมพัทธ์ในเรือ
่ งปฏิกริ ย
ิ าระหว่างอนุภาค แรงกระทําระหว่างอนุภาคนั่นคือแรงดึงดูดหรือแรง
ผลักระหว่างกันของอนุภาคสองอนุภาคนัน
้ เกิดขึน
้ โดยการแลกเปลีย
่ นอนุภาคชนิดอืน
่ ระหว่างอนุภาคทัง้ สอง ความคิดนีย
้ ากทีจ
่ ะนึกให ้เห็น
เหมือนจะแตกต่างกันโดยพืน
้ ฐานตัง้ แต่สมัยของนักศึกษาเรือ
่ งอะตอมชาวกรีก ทัง้ แรงและวัตถุถก
ู ถือว่ามีจด
ุ กําเนิดร่วมกันจากแบบแผนอัน
่ มองจากระดับใหญ่ลงไปสูร่ ะดับเล็กจนถึง
ไม่อาจย่อยสลายอาณาจักรของอนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอมออกเป็ นส่วนประกอบต่าง ๆ เมือ
เมือ
่ เร็ว ๆ นี้ มีหลักฐานปรากฏเพิม
่ เติมขึน ่ นับสนุนความเข ้าใจทีว่ า่ ทัง้ โปรตอนและนิวตรอนต่าง ก็เป็ นสิง่ ที่
้ อีกมากมายทีส
้ จากสิง่ อืน
ประกอบขึน ่ แต่แรงยึดเหนีย
่ วระหว่างองค์ประกอบเหล่านัน
้ สูงมาก หรืออยูใ่ นปริมาณเดียวกัน ความเร็วทีอ
่ งค์ประกอบเหล่านัน
้ มี
ด ้วยเสมอ ในประสบการณ์เช่นนีค
้ วามคิดแบบเดิมทีย
่ ด
ึ ถือกันมาในเรือ
่ งของอวกาศและเวลา ในเรือ
่ งวัตถุเดีย
่ ว ๆ ในเรือ
่ งเรือ
่ งเหตุและผล
คล ้ายคลึงนีป
้ รากฏชัดในทฤษฏีควอนตัมและทฤษฎีสม ้ ในแบบจําลอง “ควอนต ัม-ส ัมพ ัทธ์” ของวิชา
ั พัทธภาพ และยิง่ ชัดเจนมากขึน
ก่อนทีจ
่ ะได ้แสดงความคล ้ายคลึงดังกล่าวโดยละเอียด ข ้าพเจ ้าจะนําเสนออย่างคร่าว ๆ เกีย
่ วสํานักนิกายต่าง ๆ ของ
่ ะมีสว่ นสัมพันธ์กบ
ปรัชญาตะวันออก ทีจ ั การเปรียบเทียบของเรา (ต่อผู ้อ่านซึง่ ไม่คุ ้นเคย) อันได ้แก่ ฮินดู พุทธ และเต๋า ในอีกห ้าบท
ิ ดู
บทที่ 5 ศาสนาฮน
ในการทีจ
่ ะทําความเข ้าในปรัชญาใด ๆ ทีจ
่ ะอธิบายต่อไปนีจ
้ ะต ้องเข ้าใจว่าแก่น
แท ้ของมันคือศาสนา จุดประสงค์สําคัญของปรัชญาเหล่านีก
้ ็ คอ
ื ประสบการณ์โดยตรงต่อ
ั จะ ซงึ่ โดยลักษณะธรรมชาติของประสบการณ์นเี้ ป็ นไปในทางศาสนามันจึงไม่อาจแยก
สจ
่ นีป
ออกจากศาสนา ลักษณะเชน ั ในศาสนาฮน
้ รากฏชด ิ ดูมากยิง่ กว่าธรรมเนียมปฏิบัตอ
ิ น
ื่ ๆ
ิ ดูความเกีย
ของตะวันออก ในฮน ่ วพันระหว่างปรัชญาและศาสนาเป็ นไปอย่างแน่นแฟ้ น กล่าว
กันว่าแนวคิดแทบทัง้ หมดในอินเดียเป็ นแนวคิดทางศาสนา และในหลายศตวรรษทีผ
่ า่ นมา
ิ ดูมไิ ด ้มีอท
ศาสนาฮน ี วี ต
ิ ธิพลเฉพาะต่อวิถช ้ แต่ยังเป็ นสงิ่
ิ ในทางปั ญญาของอินเดียเท่านั น
กําหนดสภาพสงั คมและวัฒนาธรรมอินเดียด ้วยอย่างสน
ิ้ เชงิ
ทีม ิ ดูนัน
่ าของคําสอนของศาสนาฮน ้ คือคัมภีร ์ พระเวท (Vedas) ซงึ่ เป็ นคัมภีรท
์ ี่
ิ ดูผู ้ไม่ปรากฏนามหลายท่าน
รวบรวมคําสอนนับแต่โบราณกาล ประพันธ์โดยปราชญ์ชาวฮน
มักเรียกกันว่า “ผูพ
้ ยากรณ์” พระเวท
คัมภีรพ
์ ระเวทแต่ละคัมภีรป
์ ระกอบด ้วยหลายภาค แต่ละภาคเขียนขึน
้ ในระยะเวลา
ต่าง ๆ กัน คงจะอยูใ่ นระหว่าง 1,500 – 500 ปี กอ
่ นคริสตกาล ภาคทีเ่ ก่าทีส
่ ด
ุ เป็ นบทเพลง
ี วงสรวงบูชาซงึ่ เชอ
และบทสวดสรรเสริญพระผู ้เป็ นเจ ้า ภาคต่อมาว่าด ้วยพิธบ ื่ มโยงกับบท
เพลงในพระเวท และภาคสุดท ้ายซงึ่ เรียกว่า “อุปนิษ ัท” (Upanishads) เต็มไปด ้วยหลัก
ปรัชญาและหลักปฏิบัต ิ คัมภีรอ
์ ป ิ ดูเอาไว ้ มันได ้ชน
ุ นิษัทจึงบรรจุแก่นคําสอนของศาสนาฮน ี้ ํ า
และเร่งเร ้าจิตใจอันใหญ่หลวงของอินเดียตลอดเวลายีส ิ ห ้าศตวรรษทีผ
่ บ ่ า่ นมา ให ้สอดคล ้อง
ไปกับคําสอนในรูปของบทประพันธ์ของอุปนิษัท:
5.1 มหาภารตะ
พืน ่ เดียวกับคําสอนอืน
้ ฐานแห่งคําสอนของพระกฤษณะ เชน ิ ดู คือ
่ ๆ ในศาสนาฮน
แนวคิดทีว่ า่ สงิ่ ต่าง ๆ และเหตุการณ์ทัง้ หลายรอบตัวเรา ซงึ่ ดูเสมือนว่าหลายสงิ่ แตกต่างกัน
ออกไปนัน ั จะสูงสุดประการเดียว
้ แท ้จริงเป็ นการปรากฏในรูปลักษณ์ตา่ ง ๆ กันของสจ
เรียกว่า พรหมัน (Brahman) แนวคิดนีท ิ ดูมล
้ ําให ้ศาสนาฮน ี ักษณะเป็ นเอกเทวนิยม แม ้ว่าจะ
มีการบูชาเทพและเทวีทแ
ี่ ตกต่างกันมากมาย
ั จะสูงสุดหรือพรหมันนัน
สจ ้ คือ “วิญญาณ” หรือแก่นแท ้ภายในของสรรพสงิ่ เป็ น
อนันต์ และไปพ ้นความคิดทุกชนิด ไม่อาจเข ้าใจได ้ด ้วยความชาญฉลาด ทัง้ ไม่อาจกล่าว
อธิบายได ้ด ้วยภาษา
“พรหม ันไม่มต
ี น ่ เป็นอะไร หรือมิใช่
้ กําเนิดสูงสุด ไม่อาจกล่าวได้วา
อะไร” (3)
“วิญญาณสูงสุดนน
ั้ ไม่อาจเข้าใจได้ดว้ ยความคิดนึกสาม ัญ เป็นปรม ัตถ์
ไม่มเี กิด อยูเ่ หนือเหตุผล คิดคํานึงเอาไม่ได้” (4)
กระนัน
้ ประชาชนก็ปรารถนาทีจ ั จะนี้ นั กปราชญ์ฮน
่ ะกล่าวถึงสจ ิ ดูจงึ ได ้สร ้างภาพ
้
ของพรหมันในลักษณะทีเ่ ป็ นพระเจ ้า และกล่าวถึงโดยใชภาษาของเทพปกรณั มลักษณะ
ต่างๆ มากมาย แต่ละลักษณะของพระเจ ้า ถือเป็ นเทพองค์หนึง่ ๆ ซงึ่ ชาวฮน
ิ ดูนับถือบูชา
ั เจนว่า เทพเหล่านั น
แต่ในคัมภีรไ์ ด ้ระบุไว ้ชด ั จะสูงสุดเพียง
้ เป็ นแต่เพียงภาพสะท ้อนของสจ
ประการเดียว
5.2 กรรม
เรือ
่ งราวแห่งลีลานีม
้ ล
ี ักษณะเป็ นปาฏิหาริยอ
์ ยูม ่ เรือ
่ ากดังเชน ่ งเกีย
่ วกับเทพของ
ิ ดูทั่ว ๆ ไป พรหมันเป็ นผู ้แสดงปาฏิหาริยผ
ฮน ์ ู ้ยิง่ ใหญ่ โดยได ้แปลงตนเองเป็ นโลก โดย
อาศัย “พล ังสร้างสรรค์อย่างปาฏิหาริย”์ ซงึ่ เป็ นความหมายเดิมของคําว่า มายา (maya)
ในคัมภีรฤ
์ คเวท
ดังนัน
้ มายาจึงมิได ้หมายความว่าโลกคือภาพลวง ดังทีก
่ ล่าวกันทั่วไป ภาพลวง
เพียงแต่คงอยูท ้ หากเราคิดว่ารูปร่างและโครงสร ้างสรรพสงิ่ และ
่ ัศนะของเราเท่านัน
เหตุการณ์รอบ ๆ ตัวเราเป็ นสงิ่ ทีแ ่ ะตระหนั กรู ้ว่าสงิ่ เหล่านั น
่ ท ้จริงของธรรมชาติ แทนทีจ ้ เป็ น
เพียงความคิดในการวัดค่าและจําแนกแจกแจงของจิตใจของเราเท่านั น
้ มายาก็คอ
ื ภาพลวง
แห่งการยึดเอาความคิดเหล่านัน
้ ว่าเป็ นความจริงหลงยึดเอาแผนทีว่ า่ เป็ นตัวเขตแดน
ในทัศนะเกีย ิ ดู รูปลักษณ์ทก
่ วกับธรรมชาติของฮน ุ รูปเป็ นสงิ่ สม
ั พันธ์ เลือ
่ นไหล
และเป็ นมายาทีเ่ ปลีย ่ ลอดเวลา สงิ่ เหล่านีถ
่ นแปลงอยูต ้ ก
ู สร ้างขึน
้ ลวงมนุษย์ โดยปาฏิหาริย ์
อันยิง่ ใหญ่ของพระผู ้สร ้าง โลกแห่งมายาเปลีย
่ นแปลงต่อเนือ
่ งกัน เนือ
่ งจากลีลาของพระ
เจ ้า เป็ นการแสดงซงึ่ เคลือ
่ นไหวเป็ นจังหวะ แรงแห่งการเคลือ
่ นไหวของการแสดงนีก
้ ็คอ
ื
กรรม ซงึ่ เป็ นความคิดทีส
่ าํ คัญอีกประการหนึง่ ในแนวคิดของอินเดีย กรรม หมายถึง “การ
กระทํา” เป็ นหลักการอันมีชวี ต
ิ ชวี าของการแสดง จักรวาลทัง้ หมดเป็ นจักรวาลแห่งการ
กระทําซงึ่ ทุก ๆ สงิ่ เชอ
ื่ มโยงอย่างเคลือ
่ นไหวกับสงิ่ อืน
่ ในภาษาของ คีตา “กรรม คือ แรง
กระทําแห่งการสร้างสรรค์ ซงึ่ ให้กา ี ”
ํ เนิดแก่สรรพชพ (7)
่ เดียวกับคําว่ามายา ความหมายของกรรมก็ถก
เชน ู จํากัดลงมาจากความหมาย
ระดับกว ้างขวางทีส ุ ครอบคลุมทัง้ เอกภพ สูร่ ะดับทีเ่ กีย
่ ด ่ วข ้องกับมนุษย์ในแง่จต
ิ วิทยา ตราบ
ใดทีโ่ ลกทัศน์ของเรายังคงมีพน ่ นความแบ่งแยกสรรพสงิ่ ออกเป็ นสว่ น ๆ ตราบ
ื้ ฐานอยูบ
้ แยกจากสงิ่ แวดล ้อม และสามารถกระทําสงิ่
เท่าทีเ่ ราตกอยูใ่ ต ้มนต์ของมายา คิดว่าตัวเรานัน
ใด ๆ ได ้อย่างอิสระ ตราบนัน
้ เรากําลังถูกยึดเหนีย
่ วโดยกรรม การหลุดพ ้นจากกรรม หมายถึง
การตระหนั กรู ้ในเอกภาพและความบรรสานสอดคล ้องของธรรมชาติ ซงึ่ รวมทัง้ มนุษย์ และ
กระทําการต่าง ๆ ให ้สอดคล ้องกับความรู ้นั น ั เจนว่า
้ ในประเด็นนี้ ในคีตาได ้กล่าวไว ้ชด
5.3 ความหลุดพ้น
ิ ดูถอ
ศาสนาฮน ื ว่ามีวถ
ิ ท
ี างมากมายทีจ ่ วามหลุดพ ้นได ้ ศาสนาฮน
่ ะนํ าเข ้าสูค ิ ดูมไิ ด ้
มุง่ หวังให ้ศาสนิกของตนทัง้ หมดเข ้าถึงพระผู ้เป็ นเจ ้าด ้วยมรรคาสายเดียว ดังนั น
้ จึงมีแนวคิด
พิธก ิ ลายรูปหลายแนว ซงึ่ ให ้ผลแตกต่างกัน ข ้อเท็จจริงทีว่ า่ ความคิด
ี รรม และการปฏิบัตห
และการปฏิบัตห
ิ ลาย ๆ แนวขัดแย ้งกันนั น ิ ดูแม ้แต่น ้อย
้ มิได ้กระทบกระเทือนชาวฮน
เนือ
่ งจากพวกเขารู ้ว่า พรหมันนัน
้ อยูเ่ หนือความคิดและภาพพจน์ในทุก ๆ กรณี จากทัศนคติ
ิ ดูมค
ดังกล่าวนี้ ทําให ้ศาสนาฮน ี วามยืดหยุน
่ และมีความใจกว ้างเป็ นอย่างยิง่
นิกายซงึ่ เปรือ
่ งปราดหลักแหลมทีส ุ ได ้แก่ นิกายเวทานตะ (Vedanta) ซงึ่ มีคํา
่ ด
สอนทีม
่ รี ากฐานอยูบ
่ นคัมภีรอ
์ ป
ุ นิษัท นิกายนีส ่ ค
้ อนเน ้นว่าพรหมันมิใชบ ุ คลและไม่มเี รือ
่ งราว
เกีย
่ วกับเทพทัง้ หลาย อย่างไรก็ตาม ถึงแม ้ว่าจะเป็ นนิกายทีม ี รัชญาสูง ลึกซงึ้ และหลัก
่ ป
ี างแห่งการหลุดพ ้นตามแบบเวทานตะก็แตกต่างจากสํานั กปรัชญา
แหลมเพียงใด วิถท
ตะวันตกอย่างมากมายด ้วยการทําสมาธิภาวนาทุกวันและการปฏิบัตธิ รรมแบบอืน
่ ๆ เพือ
่ นํ า
ตนเข ้ารวมกับพรหมัน
5.4 เทพหลายปาง
สําหรับชาวฮน
ิ ดูทั่วไป วิธก
ี ารเข ้าถึงพระผู ้เป็ นเจ ้าทีน
่ ย
ิ มกระทํากันมากทีส
่ ด
ุ คือ
การบูชาเทพและเทพีประจําตัว จินตนาการอันเฟื่ องฟูของชาวอินเดียให ้กําเนิดแก่เทพต่าง ๆ
นับเป็ นพัน ซงึ่ มีลักษณะแตกต่างกันออกไป เทพซงึ่ ได ้รับการนั บถือมากทีส
่ ด
ุ สามองค์ของ
อินเดียในปั จจุบัน คือ พระศวิ ะ พระวิษณุ และพระแม่เจ ้า พระศวิ ะนั บเป็ นเทพทีเ่ ก่าแก่ทส
ี่ ด
ุ
องค์หนึง่ ของอินเดีย และปรากฏกายในรูปต่าง ๆ กันมากมาย พระองค์ทรงพระนามว่า
มเหศวร (Mahesvara) หมายถึง พระเจ ้าผู ้เป็ นใหญ่ เมือ
่ ปรากฏในฐานะเป็ นบุคคลแทน
สภาพพรหมันทีส
่ มบูรณ์และยังปรากฏในปางย่อย ๆ ได ้อีกมากมาย ปางทีม
่ ผ
ี ู ้นั บถือกันมาก
์ ู ้เริงรํา ในฐานะผู ้เริงรําแห่งเอกภพ พระศวิ ะเป็ นเทพ
เรียกว่า นาฏราช (Nataraja) กษั ตริยผ
แห่งการสร ้างสรรค์และการทําลาย เป็ นผู ้ซงึ่ ให ้จังหวะแก่การเคลือ ิ้ สุดของ
่ นไหวอันไม่รู ้สน
จักรวาลโดยการเริงรําของพระองค์
ศักติ ปรากฏในฐานะมเหสข
ี องพระศวิ ะด ้วย และทัง้ สององค์มก
ั ปรากฏเป็ นภาพที่
กําลังสวมกอดซงึ่ กันและกันบนหินสลักของวิหารสําคัญ ๆ เปล่งประกายแห่งความรู ้สก
ึ
่ เิ ศษสุด ซงึ่ ไม่เป็ นทีร่ ู ้จักเลยในศล
ในทางกามารมณ์ชนิดทีพ ิ ปะศาสนาของตะวันตก ตรงกัน
้ ปิ ตใิ นกามารมณ์ มิได ้เป็ นสงิ่ ต ้องห ้ามในศาสนาฮน
ข ้ามกับศาสนาของตก ความปลืม ิ ดู
่ งจากร่างกายถือว่าเป็ นสว่ นหนึง่ ของชวี ต
เนือ ิ มนุษย์โดยไม่แยกจากสว่ นจิตวิญญาณ ดังนั น
้
ิ ดูจงึ มิได ้พยายามทีจ
ชาวฮน ่ ะควบคุมความปรารถนาของกายด ้วยเจตจํานงแน่วแน่ แต่มงุ่
มาดทีจ ิ ดูในยุคกลางได ้เคยมีนก
่ ะเรียนรู ้จักตนเองด ้วยกายและจิตของตน ศาสนาฮน ิ ายย่อย
ทีเ่ รียกว่านิกายตันตระ (Tantrism) ซงึ่ สอนว่าสามารถค ้นพบความรู ้แจ ้งโดยผ่าน
ประสบการณ์แห่งความรักในเชงิ กามารมณ์ “ซงึ่ แต่ละบุคคลก็คอ
ื ทงสอง”
ั้ คัมภีรอ
์ ป
ุ นิษัท
ได ้กล่าวถึงเรือ
่ งนีไ
้ ว ้ว่า
ั สนได ้อย่างง่ายดายกับเทพและเทวีจํานวน
จิตใจแบบตะวันตกจะเกิดความสบ
ื่ ซงึ่ ปรากฏในเทพปกรณั มของฮน
มากมายเหลือเชอ ิ ดูในรูปลักษณะและอวตารต่าง ๆ กัน นั่ น
ิ ดูรับเอาความหลากหลายของเทพเหล่านีไ
คือจะไม่เข ้าใจว่าชาวฮน ้ ด ้อย่างไร เราต ้อง
ตระหนักถึงทัศนคติพน ิ ดูทวี่ า่ โดยสาระแล ้ว เทพทัง้ มวลนั น
ื้ ฐานของศาสนาฮน ้ มีเอกลักษณ์
ั จะหนึง่ เดียว เป็ นภาพสะท ้อนลักษณะต่าง ๆ
เดียวกัน ทัง้ หมดเป็ นการปรากฏแสดงของสจ
ของพรหมันซงึ่ เป็ นอนันต์ ปรากฏในทุกหนแห่งและโดยปรมัตถ์แล ้ว ไม่อาจเข ้าใจได ้ด ้วย
ความรับรู ้อย่างสามัญ
บทที่ 6 พุทธศาสนา
ภายหลังการปรินพ
ิ พานของพระพุทธเจ ้า พุทธศาสนาได ้แยกออกเป็ นสองนิกาย
คือหินยานและมหายาน นิกายหินยานหรือยานเล็ก เป็ นนิกายดัง้ เดิมซงึ่ ยึดถือคําสอนในพระ
คัมภีรเ์ ป็ นหลัก สว่ นมหายานหรือยานใหญ่นัน
้ มีทัศนะซงึ่ ยืดหยุน ื่ ว่าเจตนารมณ์
่ กว่า โดยเชอ
ของคําสอนสําคัญมากกว่าพระคัมภีร ์
ั ี่
6.2 อริยสจส
ตามพุทธประวัตน
ิ ัน ิ ตนมฤคทายวันแขวงเมือง
้ พระพุทธเจ ้าเสด็จไปยังป่ าอิสป
ี ันทีหลังการตรัสรู ้ของพระองค์ เพือ
พาราณสท ่ เทศนาโปรดปั ญจวัคคีย ์ พระองค์ทรงแสดง
ั ส ี่ ซงึ่ สรุปแก่นคําสอนของพระองค์ในลักษณะเดียวกับทีแ
หลักอริยสจ ่ พทย์กระทําในการ
รักษาผู ้ป่ วย คือประการแรก ค ้นหาสมุฏฐานโรคของมนุษย์จากนั น
้ ก็ยน
ื ยันว่าความเจ็บป่ วย
นัน
้ สามารถรักษาให ้หายได ้ และท ้ายทีส
่ ด
ุ ก็ประกอบยาให ้รับประทาน
ั ข ้อแรก แสดงลักษณะสภาวะของมนุษย์ อันได ้แก่ ทุกข์ คือความทุกข์ทน
อริยสจ
และความผิดหวัง สงิ่ เหล่านีเ้ กิดขึน ่ งจากเราไม่ยอมรับความจริงของชวี ต
้ เนือ ิ ทีว่ า่ สรรพสงิ่
รอบตัวเราล ้วนไม่เทีย ่ นแปลงไป พระพุทธเจ ้าตรัสว่า “สรรพสงิ่ ย่อมเกิดขึน
่ งและเปลีย ้
และด ับไป” (1)
ความคิดทีว่ า่ ธรรมชาติมล
ี ักษณะเลือ
่ นไหลเปลีย
่ นแปลงนั บเป็ นรากฐานของพุทธ
ศาสนา ในทัศนะของชาวพุทธ ความทุกข์เกิดขึน ่ เราต ้านกระแสของชวี ต
้ เมือ ิ และพยายามยึด
เหนีย
่ วเอารูปลักษณ์อันใดอันหนึง่ อย่างตายตัว ทัง้ ทีท
่ ัง้ หมดนั น
้ ล ้วนเป็ นมายา ไม่วา่ จะเป็ น
สงิ่ ของ เหตุการณ์ บุคคล หรือความคิดก็ตาม คําสอนเรือ
่ งความไม่เทีย
่ ง รวมไปถึงความคิด
ทีว่ า่ ไม่มต ี ัตตาซงึ่ เทีย
ี ัวตน ไม่มอ ่ งแท ้ถาวรเป็ นผู ้รับรู ้ประสบการณ์ทัง้ หลายของเรา
พุทธศาสนาถือว่าความคิดเรือ
่ งอัตตาของปั จเจกบุคคลเป็ นเพียงภาพลวง เป็ นอีก
รูปหนึง่ ของมายา เป็ นความคิดนึกทีเ่ ฉลียวฉลาดแต่หาความจริงไม่ได ้ การยึดติดกับ
ความคิดนีน ่ วามพลาดหวังเชน
้ ํ าไปสูค ่ เดียวกับการยึดติดกับความคิดลักษณะอืน
่ ๆ
ั ข ้อทีส
อริยสจ ่ อง กล่าวถึงสาเหตุแห่งความทุกข์ คือ ตัณหา ความยึดอยาก การ
จับฉวยเอาด ้วยความอยาก การไขว่คว ้าอย่างไร ้ประโยชน์ของชวี ต
ิ อันเนือ
่ งมาจากทัศนะที่
ผิดซงึ่ เรียกว่า อวิชชา หรือความไม่รู ้ จากอวิชชาเราได ้แบ่งโลกซงึ่ เรารับรู ้ออกเป็ นปั จเจกชน
และสงิ่ ต่าง ๆ ทีแ
่ ยกจากกัน ดังนัน
้ จึงพยายามทีจ ั จะซงึ่ มีลักษณะ
่ ะจํากัดขอบเขตของสจ
เลือ
่ นไหล ให ้อยูล
่ ก
ั ษณะคงทีต
่ ามทีจ
่ ต
ิ ในของเราสร ้างขึน
้ ตราบเท่าทีท ่ นีย
่ ัศนะเชน ้ ังคงอยู่
เราก็ตกอยูภ
่ ายใต ้ความทุกข์ทนวนเวียน เมือ
่ เราพยายามทีจ ่ ับสงิ่ ซงึ่ เราเห็นว่ามั่นคง
่ ะยึดอยูก
และเทีย ่ ริงมันเป็ นสงิ่ คงอยูช
่ งแท ้ ทัง้ ทีจ ่ วั่ ครัง้ ชวั่ คราวและเปลีย
่ นแปลงตลอดเวลา เราก็ถก
ู
จับอยูใ่ นวังวนซงึ่ ทุก ๆ การกระทําก่อให ้เกิดการกระทําต่อไปอีก และคําตอบต่อทุกคําถาม
แฝงไว ้ด ้วย คําถามใหม่ วังวนอันนีใ้ นพุทธศาสนาเรียกว่า สงั สารวัฏ วังวนแห่งการเกิดและ
่ ห่งเหตุและผลอันไม่รู ้จบ
การตาย ถูกผลักดันให ้หมุนไปโดย กรรม ลูกโซแ
ั ข ้อทีส
อริยสจ ่ าม กล่าวว่าความทุกข์ความพลาดหวังอาจทําให ้หมดไปได ้เป็ นไป
ได ้ทีเ่ ราจะก ้าวพ ้นวังวนแห่งสงั สารวัฏ หลุดพ ้นจากกรรมและลุถงึ ภาวะแห่งความหลุดพ ้นที่
เรียกว่า นิพพาน ในภาวะนิพพาน ความคิดทีผ
่ ด ่ งตัวตนซงึ่ เป็ นเอกเทศได ้มลาย
ิ พลาดในเรือ
ี ปรากฏขึน
ไป และความเป็ นหนึง่ เดียวของสรรพชพ ้ อย่างคงทีใ่ นความรับรู ้ นิพพานเทียบเท่า
ิ ดู เป็ นภาวะการรับรู ้ทีไ่ ปพ ้นปั ญญาอย่างสามัญ และท ้าทายต่อ
กับโมกษะในปรัชญาฮน
คําอธิบายอีกมากมาย การบรรลุนพ
ิ พานคือการบรรลุถงึ ความตืน
่ หรือพุทธภาวะ
ั ข ้อทีส
อริยสจ ่ ี่ คือ โอสถของพระพุทธเจ ้าซงึ่ ใชบํ้ าบัดรักษาความทุกข์ทัง้ มวล นั่ น
่ ท
คือ อริยมรรคมีองค์แปด หนทางแห่งการพัฒนาตนเองสูพ ุ ธภาวะ องค์มรรคสองแรกคือ
ั มาทิฐแ
สม ั มาสงั กัปปะ นั่นคือญาณทัสนะทีก
ิ ละสม ั สอ
่ ระจ่างชด ่ งเข ้าไปภายในสภาวะของ
มนุษย์ อันเป็ นจุดเริม
่ ต ้นทีจ ี่ ้อต่อมาเป็ นเรือ
่ ําเป็ น องค์มรรคสข ่ งการกระทําทีถ
่ ก
ู ต ้อง อัน
ประกอบขึน ี วี ต
้ เป็ นวินัยของวิถช ิ ของชาวพุทธ เป็ นทางสายกลางระหว่างทางสุดโต่งสองสาย
ั มาสติและสม
องค์มรรคสองข ้อสุดท ้าย คือ สม ั มาสมาธิ ในตอนท ้ายได ้บรรยายถึง
ั จะ ซงึ่ เป็ นเป้ าหมายสุดท ้ายของมนุษย์
ประสบการณ์โดยตรงต่อสจ
่ นนเอง
6.3 ตถตา ความเป็นเชน ั้
บุคคลแรกทีอ
่ ธิบายหลักคําสอนตามแนวมหายาน และเป็ นนักคิดทีล ึ ซงึ้ ทีส
่ ก ่ ด
ุ ผู ้
หนึง่ ในหมูพ ื ท่านอัศวโฆษา (Ashvaghosha) ซงึ่ มีชวี ต
่ ระเถระของพุทธศาสนาก็คอ ิ อยู่
ในชว่ งศตวรรษแรกของคริสตกาล ท่านได ้อธิบายแนวความคิดพืน
้ ฐานของพุทธศาสนาแบบ
มหายาน โดยเฉพาะในหลักธรรมเรือ ่ นนเอง”
่ ง “ความเป็นเชน ั้ ื เล่มเล็ก ๆ
ในหนั งสอ
ื่ “การตืน
ชอ ้ ของศร ัทธา” (The Awakdning of Faith) เป็ นคัมภีรท
่ ขึน ้
์ ใี่ ชภาษาซ งึ่
สละสลวยมากและเข ้าใจง่าย คัมภีรเ์ ล่มนีค
้ ล ้ายกับคัมภีรภ
์ ควัทคีตาในหลาย ๆ เรือ
่ ง เป็ น
คัมภีรเ์ ล่มแรก ซงึ่ ถือว่าแสดงหลักธรรมของมหายาน และยอมรับกันว่าเป็ นคัมภีรห
์ ลักของ
ทุกนิกาย ของพุทธศาสนาแบบมหายาน
ท่านอัศวโฆษาอาจจะเป็ นผู ้ทีม
่ อ
ี ท
ิ ธิพลอย่างมากต่อท่านนาคารชุน นั กปรัชญา
ของมหายานซงึ่ ทรงภูมป
ิ ั ญญาทีส ุ ท่านนาคารชุนได ้ใชวิ้ ธวี เิ คราะห์เหตุและผล อย่าง
่ ด
ละเอียดลออในการแสดงข ้อจํากัดของความคิดทัง้ มวลเกีย ั จะ ท่านได ้หักล ้างข ้อ
่ วกับสจ
โต ้แย ้งทางอภิปรัชญาในยุคของท่านได ้อย่างชาญฉลาดและได ้แสดงให ้เห็นว่า โดยปรมัตถ์
ั จะมิใชเ่ ป็ นสงิ่ ทีจ
แล ้ว สจ ่ ับฉวยเอาได ้ด ้วยความคิด ดังนั น ั จะนัน
้ ท่านจึงเรียกสจ ้ ว่า สุญตา –
่ นนเอง”
ความว่าง ซงึ่ มีความหมายตรงกันกับคําว่า “ตถตา” หรือ “ความเป็นเชน ั้ ของ
ท่านอัศวโฆษา เมือ ั จะแห่งความ
่ ระลึกได ้ถึงความไร ้สาระของความคิดนึก เราจะประจักษ์ สจ
่ นัน
เป็ นเชน ้ เอง
6.4 เมตตาและกรุณา
ั จะคือความว่างนัน
คําสอนของท่านนาคารชุนทีว่ า่ ธรรมชาติแท ้ของสจ ้ มิได ้
หมายถึงความสาบสูญอย่างทีเ่ ข ้าใจกันเพียงแต่วา่ หมายความว่าความคิดทุกชนิดเกีย
่ วกับ
ั จะทีจ
สจ ่ ต ้ โดยแท ้จริงเป็ นสงิ่ ว่างเปล่า สจ
ิ ใจของมนุษย์สร ้างขึน ั จะหรือความว่างเปล่า มิใช ่
ี ะไรแต่กลับเป็ นแหล่งกําเนิดของทุกชวี ต
ภาวะแห่งความไม่มอ ิ และเป็ นแก่นแท ้ของ
รูปลักษณ์ทัง้ มวล
ประการต่อมา ในพุทธศาสนาแบบมหายานนั น
้ มิได ้อธิบายธรรมชาติแท ้ของสรรพ
่ นนเอง
สงิ่ ด ้วยเพียงคําว่า ความเป็นเชน ั้ ้ แต่ยังใชคํ้ าว่าธรรมกาย-
และ ความว่าง เท่านั น
กายแห่งสภาวะ ซงึ่ หมายถึงสจ
ั จะ ในสภาพทีป
่ รากฏแก่ชาวพุทธในขณะทีป
่ ฏิบต
ั ธิ รรม
ิ ดู สงิ่ นีแ
ธรรมกาย มีความหมายคล ้ายคลึงกับ พรหมัน ในศาสนาฮน ึ อยูใ่ นทุกสงิ่ ใน
้ ทรกซม
จักรวาล และในจิตใจมนุษย์ในรูปของ โพธิ-ปั ญญาแห่งการตรัสรู ้ ดังนั น
้ จึงเป็ นทัง้ จิตใจและ
วัตถุในขณะเดียวกัน
ท ้ายทีส
่ ด
ุ หลักศรัทธาได ้รับการสอนเน ้นในนิกายสุขาวดี คําสอนของนิกายนี้มพ
ี น
ื้
อยูบ
่ นหลักธรรมทีว่ า่ ธรรมชาติเดิมแท ้ของมนุษย์คอ
ื ธรรมชาติแห่งการเป็ นพุทธะ ดังนั น
้ นิกาย
นีจ ่ พ
้ งึ ถือว่าในการจะเข ้าสูน ิ พาน หรือ “แดนสุขาวดี” สงิ่ ทีท
่ ก
ุ คนจะต ้องกระทําคือ ให ้มี
ศรัทธามั่นคงในธรรมชาติเดิมแห่งความเป็ นพุทธะของตน
พระสูตรนีไ ่ ําคัญต่อชาวจีนและญีป
้ ด ้เป็ นแรงเร ้าทีส ่ น ุ่ ในเมือ
่ พุทธศาสนาแบบ
ี ความแตกต่างระหว่างชาวจีนและญีป
มหายานได ้แพร่ไปทั่วเอเชย ่ นกั ุ่ บชาวอินเดียมีมาก จน
กล่าวกันว่าทัง้ สองฝ่ ายเปรียบได ้กับสองด ้านซงึ่ แตกต่างกันในจิตใจมนุษย์ ในขณะทีช
่ าวจีน
และญีป
่ นมี ิ ใจทีเ่ ป็ นนักปฏิบัต ิ เอาจริงเอาจังและถูกหล่อหลอมโดยสงั คม ชาวอินเดียกลับ
ุ่ จต
มีจต ่ งลึกซงึ้ พ ้นวิสย
ิ ใจทีเ่ ต็มไปด ้วยจินตนาการสนใจในอภิปรัชญา และเรือ ั สามัญ เมือ
่ นั ก
ปรัชญาจีนและญีป
่ นเริ
ุ่ ม ่ แปลและตีความอวตังสกสูตร ซงึ่ เป็ นคัมภีรท
์ ย
ี่ งิ่ ใหญ่ทส
ี่ ด
ุ ทีป
่ ระพันธ์
้ โดยอัจฉริยะทางธรรมชาวอินเดีย ซงึ่ สองด ้านของจิตใจได ้หล่อหลอมรวมกันเป็ น
ขึน
เอกภาพซงึ่ มีลักษณะเป็ นพลวัตอันใหม่ กลายเป็ นปรัชญา ฮัว-เอีย
้ น ในจีน และปรัชญา คี
กอน ในญีป
่ น ุ่ ซงึ่ สซ ึ ิ ถือว่าเป็ น “จุดยอดของความคิดแบบพุทธ ซงึ่ ได้ร ับการพ ัฒนา
ึ ก
มาในตะว ันออกไกล ในระยะเวลาสองพ ันปี ทีผ
่ า
่ นมา”
แก่นกลางของพระสูตรนีค
้ อ ื่ มโยงสม
ื เอกภาพและความเชอ ั พันธ์กันของสรรพสงิ่
้ ใิ ชเ่ ป็ นแก่นแท ้ของโลกทัศน์แบบตะวันออกเท่านั น
และเหตุการณ์ ความคิดนีม ้ แต่ยังเป็ น
้ ฐานอันหนึง่ ของโลกทัศน์ซงึ่ พัฒนามาจากฟิ สก
พืน ิ สส
์ มัยใหม่ดังนั น
้ จะเห็นได ้ว่า อวตังสก
สูตรอันเป็ นคัมภีรโ์ บราณเล่มนี้ เสนอแนวคิดซงึ่ คูข
่ นานไปกับแบบจําลองและทฤษฎีของวิชา
ิ สส
ฟิ สก ์ มัยใหม่
บทที่ 7 ปร ัชญาจีน
่ พระพุทธศาสนาแผ่มาถึงประเทศจีนในชว่ งศตวรรษแรกของคริสตกาล ก็ได ้
เมือ
ปะทะสงั สรรค์กับวัฒนธรรมซงึ่ มีอายุเก่าแก่กว่าสองพันปี ในวัฒนะธรรมโบราณนีค
้ วามคิด
เชงิ ปรัชญาได ้ถึงจุดสมบูรณ์สด
ุ ยอดในปลายราชวงศโ์ จว ซงึ่ นั บเป็ นยุคทองของปรัชญาจีน
และก็ยังเป็ นทีน
่ ับถืออย่างสูงสุดเรือ
่ ยมา
อย่างไรก็ตามนักปราชญ์ของจีนนั น
้ มิได ้ดํารงอยูเ่ ฉพาะในภูมแ ่ งู สง่
ิ ห่งจิตทีส
เท่านัน
้ ทว่ายังคงเกีย
่ วข ้องกับเรือ
่ งราวทางโลกอยูเ่ ท่า ๆ กันในตัวท่านมีทัง้ ด ้านทีเ่ ป็ น
ิ ารทางสงั คม
ปั ญญาญาณและความรู ้แห่งการปฏิบัต ิ ความสงบระงับ และปฏิบัตก
่ นีไ
คุณลักษณะเชน ้ ด ้ปรากฏในคุณลักษณะของนั กปราชญ์และพระจักรพรรดิ จางจือ
้ กล่าว
้ “เมือ
ไว ้ว่ามนุษย์ผู ้รู ้แจ ้งอย่างสมบูรณ์นัน ่ สงบนิง่ อยูท
่ า
่ นคือปราชญ์ หากเมือ
่ เคลือ
่ นไหว
ท่านคือจ ักรพรรดิ”
้ ก ับเต๋า
7.1 ขงจือ
สองแนวคิดนีไ
้ ด ้แทนขัว้ ตรงกันข ้ามในปรัชญาจีน แต่ในประเทศจีนถือว่าเป็ นขัว้
เดียวกัน ดังนัน ่ ง่ เสริมซงึ่ กันและกัน โดยทั่วไปลัทธิขงจือ
้ จึงอยูใ่ นฐานะทีส ้ จะเน ้นที่
ึ ษาของเยาวชน ซงึ่ จะต ้องเรียนรู ้กฎระเบียบและค่านิยมทีจ
การศก ่ ําเป็ นสําหรับการดําเนิน
ชวี ต
ิ ในสงั คม ในขณะทีล
่ ัทธิเต๋าจะมีผู ้สูงอายุยด
ึ ถือปฏิบัต ิ มุง่ ทีจ
่ ะแสวงหาและพัฒนาความ
เป็ นไปเองตามธรรมชาติในชวี ต
ิ ซงึ่ มีอยูเ่ ดิมแล ้ว แต่ได ้ถูกทําลายไปโดยค่านิยมทางสงั คม
ในศตวรรษที่ 11 และ 12 ลัทธิขงจือ ่ ะสงั เคราะห์ลัทธิขงจือ
้ แนวใหม่ได ้พยายามทีจ ้ พุทธ
ศาสนา และลัทธิเต๋าเข ้าด ้วยกัน ก่อกําเนิดเป็ นปรัชญาของจูส ี นั กคิดผู ้ยิง่ ใหญ่คนหนึง่ ของ
จีน จูสเี ป็ นนักปราชญ์ทส
ี่ าํ คัญ ซงึ่ รวมเอาความเป็ นนั กศก
ึ ษาของขงจือ
้ เข ้ากับการเข ้าใจ
ชวี ต
ิ อย่างลึกซงึ้ ตามแนวพุทธและเต๋า สงั เคราะห์ขน
ึ้ เป็ นปรัชญาของตน
คําสอนของขงจือ
้ มีรากฐานอยูบ
่ นคัมภีรส ุ ยอดทัง้ หก ซงึ่ เป็ นคัมภีรโ์ บราณอัน
์ ด
บรรจุอยูด
่ ้วยปรัชญา พิธก
ี รรม กวีนพ
ิ นธ์ ดนตรี และประวัตศ
ิ าสตร์ ถือเป็ นมรดกทางจิตใจ
ื่ กันว่าขงจือ
และวัฒนธรรมของนักปราชญ์ของจีนในอดีต ตามธรรมเนียมของจีนเชอ ้ เป็ น
ึ ษาสมัยใหม่ไม่ยอมรับเชน
ผู ้ประพันธ์ ผู ้วิจารณ์ และผู ้จัดทําคัมภีรเ์ หล่านี้ แต่นักศก ่ นั น
้
ความคิดของขงจือ
้ เองเริม
่ เป็ นทีร่ ู ้จักกันในคัมภีร ์ ลุน
่ อวี้ (Lun Yu) หรือคัมภีรห
์ ลักลัทธิขงจือ
้
ซงึ่ รวบรวมสรุปคําสอนต่างๆโดยลูกศษ
ิ ย์บางคนของขงจือ
้
ผู ้เป็ นปรมาจารย์ของลัทธิเต๋าก็คอ
ื เหล่าจือ ื่ ของท่านมีความหมาย
้ ชอ
ว่า “อาจารย์ผเู ้ ฒ่า” ท่านเป็ นคนร่วมสมัยกับขงจือ
้ ทว่ามีอายุมากกว่า เป็ นทีย
่ อมรับกัน
ทั่วไปว่า เหลาจือ
้ เป็ นผู ้รจนาคัมภีรส ั ้ ๆ ซงึ่ รวมคําสอนสําคัญของเต๋าเอาไว ้ ในประเทศจีน
์ น
โดยทั่วไปเรียกคัมภีรเ์ ล่มนีว้ า่ เหลาจือ
้ และในตะวันตกเรียกคัมภีรเ์ ล่มนีว้ า่ เต๋าเตอจิง
แปลว่า “จินตกวีนพ ี างและอํานาจ” ซงึ่ เป็ นชอ
ิ นธ์แห่งวิถท ื่ ทีเ่ รียกกันภายหลัง ข ้าพเจ ้าได ้
เอ่ยถึงวิธก ่ กผันผิดธรรมดา และสํานวนภาษาทีท
ี ารเขียนทีผ ่ รงพลังในท่วงทํานองของกวี
นิพนธ์ของคัมภีรเ์ ล่มนี้ ซงึ่ โจเซฟนีแดรม ถือว่าเป็ น “งานทีล ึ ซงึ้ และงดงามทีส
่ ก ่ ด
ุ ใน
ภาษาจีน”
์ ําคัญอันดับสองของเต๋าคือคัมภีร ์ จางจือ
คัมภีรส ้ ซงึ่ ใหญ่กว่าเต๋าเตอจิงมาก ผู ้
้ ซงึ่ มีชวี ต
รจนาคือ จางจือ ิ อยูร่ าวสองร ้อยปี หลังเหลาจือ ึ ษาสมัยใหม่
้ อย่างไรก็ตามนั กศก
เห็นว่า ทัง้ คัมภีรจ
์ างจือ ้ มิใชง่ านของผู ้ประพันธ์เพียงคนเดียว แต่เป็ นคัมภีรท
้ และเหลาจือ ์ รี่ วม
บทประพันธ์เต๋าของผู ้ประพันธ์หลาย ๆ คนในระยะเวลาต่าง ๆ กัน
่ หมายสงิ่ เดียวก ัน
7.2 มุง
ทัง้ คัมภีรห
์ ลักลัทธิขงจือ
้ และคัมภีรเ์ ต๋าเตอจิง ประพันธ์ขน
ึ้ ในท่วงทํานองที่
ั ซงึ่ เป็ นแบบฉบับของแนวคิดแบบจีน จิตใจแบบจีนไม่ถก
เสนอแนะอย่างกระชบ ู หน่วงอยู่
ด ้วยความคิดเชงิ ตรรกะแบบย่อสรุป และได ้พัฒนาภาษาทีแ
่ ตกต่างจากภาษาตะวันตกอยู่
้ นคํานาม คําวิเศษณ์ หรือคํากริยา และลําดับของคํา ในประโยค
มาก คําหลายคําอาจใชเป็
มิได ้ถูกกําหนดด ้วยกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ มากเท่ากับเนือ
้ หาทางอารมณ์ของประโยค
ั ลักษณ์ยอ
คําในภาษาจีนดัง้ เดิม แตกต่างจากสญ ่ สรุป ซงึ่ แทนความคิดแยกแยะ
ั เจนเป็ นอันมาก มันเป็ นสญ
วิเคราะห์อย่างชด ั ลักษณ์ทางเสย
ี งเสย
ี มากกว่า และมีพลังแห่ง
การนํ าเสนอความหมายทีร่ น
ุ แรง ก่อให ้เกิดภาพแห่งจินตนาการ และอารมณ์ทซ ั ซอนได
ี่ บ ้ ้
อย่างฉั บพลัน ความตัง้ ใจของผู ้พูดมิได ้มุง่ แสดงความคิดทีเ่ ฉลียวฉลาดมากนั ก แต่มงุ่ ทีจ
่ ะ
ิ ธิพลต่อผู ้ฟั งมากกว่า ในทํานองเดียวกัน ลักษณะตัวเขียนก็มใิ ช ่
ให ้เกิดผลกระทบอย่างมีอท
ั ลักษณ์ยอ
สญ ่ สรุป แต่เป็ นแบบแผนของสงิ่ ทีท
่ รงชวี ต
ิ ทีเ่ รียกว่า “เกสตอลต์” ซงึ่ รักษา
จินตนาการ และพลังแห่งการนํ าเสนอความหมายของคํานั น
้ ไว ้ได ้อย่างสมบูรณ์
ด ้วยเหตุผลทีน
่ ักปราชญ์ของจีนมีการแสดงออกทางภาษาทีเ่ หมาะกับวิธค
ี ด
ิ ของ
ตน การเขียนการพูดของท่านเหล่านัน
้ จึงเป็ นแบบทีห ั ้ แต่มั่งคั่งด ้วยจินตนาการ
่ ้วนสน
้ ว่ นมากจะสูญหายไป เมือ
จินตนาการเหล่านีส ่ มีการแปลถ ้อยคําเหล่านีเ้ ป็ นภาษาอังกฤษ
่ การแปลข ้อความจากคัมภีรเ์ ต๋าเตอจิง จะเก็บใจความได ้เป็ นสว่ นน ้อยจาก
ยกตัวอย่างเชน
ความคิดทีม
่ ั่งคั่งในภาษาเดิม นั่นเป็ นเหตุผลทีท
่ ําให ้คัมภีรน ี้ ลายสํานวน ดูเหมือนจะ
์ ห
ิ้ เชงิ ฟุงยูห
แตกต่างกันอย่างสน ํ นวนทีม
่ ลาน ได ้กล่าวไว ้ว่า “ต้องรวมเอาคําแปลทุกสา ่ อ
ี ยู่
แล้ว และทีจ
่ ะมีขน ้ และค ัมภีร ์
้ึ เข้าด้วยก ัน จึงจะแสดงความหมายของค ัมภีรเ์ หลาจือ
้ ได้อย่างสมบูรณ์ ตามความหมายในภาษาเดิม”
หล ักของล ัทธิขงจือ
่ เดียวกับชาวอินเดีย ชาวจีนเชอ
เชน ื่ ว่ามีปรมัตถ์สจ
ั จะ ซงึ่ เป็ นทีร่ วมและทีม
่ าของ
สรรพสงิ่ และเหตุการณ์ทงั ้ หลายทีเ่ ราสงั เกตได ้
7.3 หล ักอนิจจ ัง
พุทธศาสนาเป็ นหลักอนิจจังซงึ่ คล ้ายคลึงกับเต๋ามาก แต่ในพุทธศาสนา หลัก
้ นหลักเบือ
อนิจจัง ถูกนํ ามาใชเป็ ้ งต ้น ในการอธิบายสภาพการณ์ของมนุษย์เท่านั น
้ โดยได ้
ื เนือ
แจกแจงรายละเอียดทางจิตวิทยาสบ ่ งจากหลักการดังกล่าว ในทางตรงกันข ้าม ชาวจีน
ื่ ว่าการเลือ
มิได ้เพียงแต่เชอ ่ นแปลง เป็ นลักษณะสําคัญของธรรมชาติ แต่ยังเชอ
่ นไหลเปลีย ื่
ด ้วยว่าการเปลีย
่ นแปลงเหล่านีม
้ แ ่ น่นอน ซงึ่ มนุษย์สงั เกตรู ้ได ้ นั กปราชญ์ได ้เห็น
ี บบแผนทีแ
ถึงแบบแผนเหล่านี้ ดังนัน
้ จึงมุง่ การกระทําของท่าน ให ้สอดคล ้องกับมัน โดยวิธก ่ นี้
ี ารเชน
ท่านกลายเป็ น “หนึง่ เดียวก ับเต๋า” มีชวี ต ่ ย่างสอดคล ้องกับธรรมชาติ และจึงสําเร็จใน
ิ อยูอ
ทุกสงิ่ ทีก ้ นั กปราฃญ์ซงึ่ มีชวี ต
่ ระทํา ฮวยหนั่ นจือ ิ อยูร่ ะหว่างศตวรรษทีส
่ อง ก่อนคริสตกาล
ได ้กล่าวไว ้ว่า
ผู ้กระทําตามวิถท
ี างแห่งเต๋า ปฏิบัตส
ิ อดคล ้องกับกระบวนการ
ธรรมชาติของฟ้ าและดิน จะจัดการกับโลกได ้อย่างง่ายดาย
้ ด ้จากการสงั เกตการเคลือ
ความคิดนีไ ่ นไหวของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และ
จากการเปลีย ั และได ้ถูกยึดถือเป็ นกฎเกณฑ์ของ
่ นแปลงของฤดูกาลอย่างไม่ต ้องสงสย
ชวี ต ื่ ว่าเมือ
ิ ชาวจีนเชอ ่ ใดก็ตามทีส
่ ภาพการณ์หนึง่ ใดได ้พัฒนาไปจนถึงทีส
่ ด
ุ ในทาง
หนึง่ มันจะต ้องหมุนย ้อนกลับมาถึงทีส
่ ด ื่ พืน
ุ ในอีกทางหนึง่ ความเชอ ้ ฐานอันนีไ
้ ด ้ให ้ความ
่ ระสบความสําเร็จ และได ้นํ าไปสู่
กล ้าหาญและอดทนในยามลําบาก ทําให ้มัธยัสถ์ในยามทีป
หลักคําสอนแห่งหนทางอันเรืองรองซงึ่ ผู ้นั บถือลัทธิเต๋าและลัทธิขงจือ
้ เหลาจือ
้ กล่าว
ว่า “น ักปราชญ์ยอ
่ มหลีกเลีย
่ งความฟุ้งเฟ้อเกินพอดี และการทําตามอําเภอใจ”
เมือ
่ หยังถึงจุดสูงสุดก็ต ้องถอยให ้กับหยิน
เมือ
่ หยินถึงจุดสูงสุดก็ต ้องถอยให ้กับหยัง
สงิ่ ทีป
่ รากฏเดีย
๋ วมืดเดีย
๋ วสว่างเรียกว่า เต๋า
นับแต่ยค
ุ แรกสุด ขัว้ ทัง้ สองของธรรมชาติไม่เพียงแต่แทนความสว่างและความ
มืดเท่านัน
้ แต่ยังแทนด ้วยความเป็ นชายและความเป็ นหญิง แข็งและอ่อนข ้างบนและ
ข ้างล่าง หยังสว่ นทีเ่ ป็ นความเข ้มแข็ง ความเป็ นชาย พลังสร ้างสรรค์น่ันคือฟ้ า ในขณะทีห
่
ยินสว่ นทีเ่ ป็ นความมืด ความอ่อนโยน ความเป็ นหญิงและความเป็ นแม่นั่นคือดิน ฟ้ าอยูเ่ บือ
้ ง
บนและเต็มไปด ้วยความเคลือ
่ นไหว ดิน ในทัศนะเดิม อยูเ่ บือ
้ งล่างและสงบนิง่ ดังนั น
้ หยัง
แทนความเคลือ
่ นไหว และหยินแทนการสงบนิง่ ในเรือ
่ งของความคิด หยินคือจิตใจที่
ั ซอนแบบหญิ
ซบ ้ งเป็ นไปในทางญาณปั ญญา หยังคือจิตใจทีช ั เจน มีเหตุมผ
่ ด ี ลอย่างชาย
หยินคือความเงียบนิง่ อย่างสงบของปราชญ์ หยังคือการกระทําทีส
่ ร ้างสรรค์อย่างมีพลังของ
จักรพรรดิ
ลักษณะการเคลือ ั ลักษณ์ของจีนโบราณ
่ นไหวของหยินและหยัง ถูกแสดงด ้วยสญ
ั
ทีเ่ รียกว่า ไท ้ จิ ถู หรือ “แผนผ ังแสดงสจธรรมสู
งสุด” แผนผังนีแ
้ สดงสมมาตรระหว่าง
สว่ นทีม ื คือหยินกับสว่ นทีส
่ ด ่ มมาตรทีอ
่ ว่างคือหยัง ทว่ามิใชส ่ ยูน
่ งิ่ แต่เป็ นสมมาตรแห่งการ
หมุนวนอันเปี่ ยมไปด ้วยพลัง
เมือ ่ ด
่ หย ังหมุนกล ับสูจ ุ เริม ่ ย ังอีก
่ ต้น หยินก็เป็นใหญ่ แล้วก็หมุนไปสูห
จุดสองจุดในแผงผ ังแทนความคิดทีว่ า
่
เมือ
่ ใดทีแ
่ รงหนึง่ แรงใดถึงจุดสูงสุดในต ัวม ันขณะนนก็
ั้ มพ ื พ ันธ์ของสงิ่ ตรงข้ามอยูด
ี ช ่ ว้ ย
แล้ว
การขับเคีย
่ วระหว่างหยินและหยัง อันเป็ นคูต
่ รงข ้าม จึงเป็ นเสมือนกฎเกณฑ์แห่ง
การเคลือ
่ นไหวของเต๋า แต่ชาวจีนมิได ้หยุดอยูเ่ พียงแค่นัน ึ ษาต่อไปถึง
้ พวกเขาได ้ทําการศก
ั พันธ์หลายรูปแบบ ของหยินและหยาง ซงึ่ ได ้พัฒนาขึน
ความสม ้ เป็ นระบบของแบบแผนแห่ง
เอกภาพ ปรากฏอย่างละเอียดลอออยูใ่ นคัมภีร ์ อีจ
้ งิ คัมภีรแ
์ ห่งการเปลีย
่ นแปลง
คัมภีรแ
์ ห่งการเปลีย
่ นแปลงนีเ้ ป็ นคัมภีรเ์ ล่มแรกในบรรดาคัมภีรส
์ ด
ุ ยอดทัง้ หกของ
ขงจือ
้ และต ้องถือว่า เป็ นงานทีเ่ ป็ นหัวใจของความคิด และวัฒนธรรมของจีน ความนิยมและ
ความยอมรับนั บถือของชาวจีน ต่อคัมภีรเ์ หล่านีต
้ ลอดหลายพันปี ทผ
ี่ า่ นมา เทียบได ้กับความ
่ คัมภีรพ
นิยมและยอมรับในหลาย ๆ คัมภีร ์ เชน ์ ระเวทและคัมภีรไ์ บเบิล
้ ในวัฒนธรรมอืน
่ ริ
ี่ วชาญเรือ
ชาร์ด วิลเฮล์ม ผู ้เชย ่ งจีนได ้เขียนคํานํ าในการแปลคัมภีรเ์ ล่มนีไ
้ ว ้ว่า
อีจ
้ งิ้ : คัมภีรแ
์ ห่งการเปลีย ื ทีส
่ นแปลงของจีนเล่มนี้ นับเป็ นหนังสอ ่ ําคัญทีส
่ ด
ุ เล่ม
ั ต ้นกําเนิดของคัมภีรน
หนึง่ ในโลกของ วรรณกรรมอย่างไม่ต ้องสงสย ่ มัย
์ ั บย ้อนไปสูส
โบราณซงึ่ เต็มไปด ้วยเรือ
่ งราวของเทพ
้ ตรงหกเสน
7.6 เสน ้
คัมภีรแ ั ้ หลาย
์ ห่งการเจริญเติบโตมาเป็ นเวลาหลายพันปี ประกอบด ้วยหลายชน
เชงิ ซงึ่ แตกกิง่ ก ้านมาจากยุคสมัยสําคัญทีส
่ ด
ุ ของความคิดจีน จุดเริม
่ แรกในคัมภีรเ์ ป็ นการ
ั ลักษณ์ จํานวน 64 อัน สร ้างขึน
รวบรวมภาพหรือสญ ่ งหยิน หยาง และใช ้
้ จากความคิดเรือ
เป็ นการทํานายเหตุการณ์ตา่ ง ๆ
คัมภีรย
์ อ
่ ยทัง้ สามเล่มนี้ ประกอบกันขึน
้ เป็ นคัมภีรแ ่ นแปลง ซงึ่ ใช ้
์ ห่งการเปลีย
ั หรือความทุกข์ เมือ
เป็ นคําทํานาย ผู ้มีความสงสย ่ ต ้องการทราบสงิ่ ทีจ
่ ะเกิดขึน
้ กับตนก็ต ้อง
ทําพิธแ ั่ ติว้ ซงึ่ มีจํานวนห ้าสบ
ี ละสน ิ อัน เมือ
่ ได ้ติว้ อันใดอันหนึง่ ก็ไปดูทส ั ลักษณ์ทต
ี่ ญ ี่ รงกัน
จะมีคําทํานายและแนะนํ าถึงสงิ่ ทีต
่ ้องกระทําให ้เหมาะสมกับสภาพการณ์ตา่ ง ๆ
ในคัมภีรแ
์ ห่งการเปลีย
่ นแปลง มีภาพพจน์ทจ
ี่ ะเปิ ดเผย ตอนท ้ายมีคําทํานายให ้
ตีความ โชคและ
ิ ใจ
เคราะห์ได ้บ่งบอกไว ้ให ้ตัดสน
จุดมุง่ หมายในการปรึกษากับคัมภีรอ
์ จ ่ จ
ี้ งิ จึงไม่ใชท ้ แต่ยังชว่ ย
ี่ ะรู ้อนาคตเท่านั น
ค ้นหาสงิ่ ทีก
่ ําหนดสภาพการณ์ปัจจุบันของตน เพือ
่ ทีจ
่ ะเลือกกระทําการใดได ้อย่างถูกต ้อง
ทัศนคติอันนีไ
้ ด ้ยกระดับคัมภีรอ
์ จ
้ี งิ ขึน ื คาถาเวทมนต์ธรรมดา เป็ นคัมภีรท
้ เหนือหนั งสอ ์ ก
ี่ อปร
ด ้วยปั ญญา
7.7 การเปลีย
่ นแปลง
ทีแ
่ กนกลางคําอธิบายขยายความของขงจือ ่ เดียวกับแกนกลางของคัมภีรอ
้ เชน ์ จ
ี้ งิ
ได ้เน ้นยํ้าอยูท
่ ล
ี่ ักษณะการเคลือ
่ นไหวของปรากฏการณ์ทัง้ มวล การเปลีย
่ นแปลงอย่างไม่ม ี
ทีส ิ้ สุดของสรรพสงิ่ และสภาพการณ์ทัง้ มวล เป็ นสงิ่ สําคัญซงึ่ แสดงไว ้ในคัมภีรแ
่ น ์ ห่งการ
เปลีย
่ นแปลง
การเปลีย
่ นแปลงก็คอ
ื คัมภีร ์
ซงึ่ เราไม่อาจยึดถือย่างโดดเดีย
่ ว
เต๋าของมันคือการเปลีย
่ นแปลงเสมอ
กลับกลาย เคลือ
่ นไหว ไม่รู ้หยุด
เลือ
่ นไหลผ่านทีว่ า่ ง ทัง้ หก
ลอยและจมโดยปราศจากกฎเกณฑ์ตายตัว
ความมั่นคงและความอ่อนน ้อมเปลีย
่ นกลับไปมา
มันไม่อาจจํากัดได ้ด ้วยกฎเกณฑ์หนึง่ ใด
คงมีแต่การเปลีย
่ นแปลงเท่านั น
้ ทีจ
่ ะกระทําการอยู่
บทที่ 8 ล ัทธิเต๋า
ในระหว่างความคิดสองแนวของจีน คือลัทธิเต๋าและลัทธิขงจือ
้ นั น
้ ลัทธิเต๋ามีคํา
สอนลึกซงึ้ ซงึ่ อยูใ่ นประเด็นทีจ ิ สส
่ ะนํ ามาเปรียบเทียบกับ ฟิ สก ์ มัยใหม่ เชน
่ เดียวกับศาสนา
ิ ดูและพุทธศาสนา ลัทธิเต๋ามุง่ สนใจในญาณปั ญญา มากกว่าความรู ้เชงิ เหตุผล ลัทธิเต๋า
ฮน
ยอมรับข ้อจํากัด และความเป็ นสงิ่ สม
ั พัทธ์ของโลกแห่งความนึกคิดเชงิ เหตุผล ดังนั น
้ ลัทธิ
เต๋า โดยพืน
้ ฐาน จึงเป็ นหนทางแห่งความอิสระจากโลกแห่งเหตุผล และในแง่มม
ุ นีจ
้ งึ อาจ
เทียบเท่ากับ วิถแ ิ ดู หรืออริยมรรคมีองค์แปด ของ
ี ห่งโยคะ หรือ เวทานตะ ในศาสนาฮน
ของพุทธศาสนา ในขอบเขตของวัฒนธรรมจีน ความเป็ นอิสระอย่างของเต๋ามีความหมาย
ั เจนว่า คือความเป็ นอิสระจากกฎเกณฑ์ทต
ค่อนข ้างชด ี่ ายตัวในทางสงั คม ความไม่เชอ
ื่ ใน
ความรู ้และเหตุผล ซงึ่ มนุษย์กําหนดขึน
้ เป็ นแบบแผนต่างๆ นั น ั เจนในลัทธิเต๋า
้ ปรากฏชด
มากกว่าในปรัชญาสาขาใดๆ ของตะวันตก สงิ่ นีม
้ รี ากฐานอยูบ ื่ ทีแ
่ นความเชอ ่ น่นแฟ้ นว่า
ความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ ไม่อาจเข ้าใจเต๋าได ้ จางจือ
้ ได ้กล่าวว่า
ความรู ้ทีก
่ ว ้างขวางทีส
่ ด
ุ ไม่จําเป็ นว่า จะต ้องรู ้มันด ้วยเหตุผล จะ
ไม่ทําให ้คนฉลาดในเรือ
่ งราวของมัน ปราชญ์ยอ ิ ว่าทัง้ สองวิธน
่ มตัดสน ี ใี้ ช ้
ไม่ได ้
ั
8.1 การชบเคี
ย ่ วระหว่างขวั้
่ ําคัญทีส
ญาณทัสนะทีส ่ ด
ุ ประการหนึง่ ของเต๋าก็คอ
ื การประจักษ์ แจ ้งในความจริง
่ นแปลงกลับกลายเป็ นลักษณะสําคัญของธรรมชาติ ข ้อความในคัมภีรจ
ทีว่ า่ การเปลีย ์ างจือ
้
ั เจนว่า การสงั เกตโลกแห่งสรรพชพ
ได ้แสดงอย่างชด ี ได ้ให ้ความรู ้ในเรือ
่ งความ
่ นแปลง ซงึ่ เป็ นสงิ่ ทีส
เปลีย ่ ําคัญขัน
้ พืน
้ ฐาน
ผู ้นับถือเต๋ามีทัศนะว่า การเปลีย
่ นแปลงทัง้ มวลในธรรมชาติ เป็ นการปรากฏ
แสดงของการขับเคีย
่ วระหว่างขัว้ ตรงกันข ้าม คือหยินและหยัง ดังนั น ื่ ว่าคู่
้ ผู ้นั บถือเต๋าจึงเชอ
ื่ มสม
ตรงข ้ามใดๆก็ตาม ต่างเชอ ั พันธ์กันอย่างเคลือ
่ นไหว สําหรับจิตใจแบบตะวันตก
แล ้ว ความคิดทีว่ า่ สงิ่ ตรงกันข ้ามทัง้ มวลต่างเป็ นเอกภาพนั น
้ เป็ นสงิ่ ทีร่ ับได ้ยากยิง่ มันดู
่ ประสบการณ์และคุณค่าต่างๆ ซงึ่ เราเชอ
เหมือนผิดธรรมดาเป็ นอย่างยิง่ เมือ ื่ มาโดยตลอดว่า
เป็ นสงิ่ ตรงกันข ้าม ควรเป็ นแง่มม ่ า่ งกันของสงิ่ เดียวกัน อย่างไรก็ตามในตะวันออกถือ
ุ ทีต
้ บุคคลจะต ้อง “ก้าวพ้นสงิ่ ทีเ่ ป็นคูต
กันว่าการจะรู ้แจ ้งได ้นัน ่ รงข้ามในโลก ” ในจีน
ั พันธ์เชงิ ขัว้ ของสงิ่ ตรงกันข ้ามทัง้ มวลเป็ นพืน
ความสม ้ ฐานอย่างยิง่ ของความคิดของ
เต๋า ดังทีจ
่ างจือ
้ กล่าวว่า
“นี”่ ก็คอ
ื “นน
่ ั ” “นั่ น” ก็คอ
ื “นี”่ เมือ
่
ทัง้ “นน
่ ั ” และ “นี”่ ต่างหยุดเป็ นปฏิปักษ์ ตอ
่ กัน นั่ นเป็ นแก่นแท ้ของ
เต๋า แก่นแท ้นีเ้ ท่านัน
้ ทีเ่ ป็ นศูนย์กลางของวงเวียนแห่งการเปลีย
่ นแปลงไม่
รู ้หยุด
จากความคิดทีว่ า่ การเคลือ
่ นไหวของเต๋าเป็ นการขับเคีย ่ งของสงิ่ ที่
่ วอย่างต่อเนือ
ตรงกันข ้าม ผู ้นับถือเต๋าจึงได ้สรุปเป็ นกฎสองประการสําหรับการกระทําของมนุษย์เมือ
่ ใดก็
ตามทีเ่ ราต ้องการจะได ้สงิ่ ใด เราควรจะเริม
่ จากสงิ่ ทีต
่ รงกันข ้าม ดังทีเ่ หล่าจือ
้ กล่าวว่า
ิ ชูความถูกต้อง และไม่
คํากล่าวทีว่ า่ “เราจะไม่กระทําตามและเชด
เกีย ่ รือไม่” และ “เราจะไม่เชอ
่ วข้องก ับความผิด ใชห ื่ ฟังและเชด
ิ ชูผป
ู ้ กครองที่
ดี และไม่เกีย
่ วข้องก ับผูป ่ รือไม่” แสดงความปรารถนาทีจ
้ กครองทีเ่ ลว ใชห ่ ะทํา
่ ตกต่างกันของสรรพสงิ่ เป็ นการง่าย
ความคุ ้นเคยกับหลักการของฟ้ าและดินและคุณภาพทีแ
ทีจ ิ ชูฟ้า และไม่สนใจต่อดิน เป็ นการง่ายทีจ
่ ะกระทําตามและเชด ิ ชูห
่ ะกระทําตามและเชด
ยิน และไม่สนใจหยัง เป็ นทีช ั เจนว่า วิถท
่ ด ่ นั น
ี างเชน ้ เป็ นสงิ่ ทีไ่ ม่ควรกระทํา
เป็ นทีน
่ ่าประหลาดใจว่า ในเวลาเดียวกับทีเ่ หล่าจือ ิ ย์ของท่านได ้
้ และสานุศษ
พัฒนาโลกทัศน์ของตน คุณลักษณะสําคัญแห่งทัศนะแบบเต๋านั น
้ เป็ นสงิ่ ทีส
่ อนกันในกรีก
่ เดียวกัน โดยบุคคลซงึ่ คําสอนของเขาเป็ นทีร่ ู ้จักเพียงบางสว่ นและผู ้ซงึ่ ถูกเข ้าใจผิด
เชน
ตลอดมาจนปั จจุบัน ชาวเต๋าแห่งกรีกผู ้นีก
้ ็คอ
ื เฮราคลิตส ั
ั แห่งเอเฟซส เฮราคลิตัสมีทัศนะ
่ เดียวกับเหล่าจือ
คติเชน ้ ไม่เพียงแต่เน ้นถึงความเปลีย ่ ง ซงึ่ เขา
่ นแปลงอย่างต่อเนือ
แสดงออกในประโยคซงึ่ มีชอ ี งว่า “ทุกสงิ่ เลือ
ื่ เสย ่ นไหล” เท่านัน
้ แต่ยังมีทัศนะ
่ นแปลงทัง้ มวลมีลักษณะเป็ นวงเวียน เขาเปรียบเทียบโองการแห่ง “ดวง
ทีว่ า่ การเปลีย
ไฟอ ันนิร ันดร บางครงลุ
ั้ กโพลง และบางครงมอดลง”
ั้ ซงึ่ คล ้ายคลึงกับแนวคิดของ
่ งเต๋า ซงึ่ แสดงตัวมันเองออกมาในการขับเคีย
จีนในเรือ ่ วในลักษณะวงเวียนระหว่างหยิน
กับหยาง
เป็ นทีน
่ ่าประหลาดใจทีว่ า่ ความคล ้ายคลึงกันอย่างมาก ในทัศนะของปราชญ์ทัง้
สอง แห่งศตวรรษทีห
่ กก่อน
ื่ มโยงกับฟิ สก
คริสตกาลไม่เป็ นทีร่ ู ้กันโดยทั่วไป เฮราคริตัสมักจะถูกเอ่ยถึงเชอ ิ ส์
สมัยใหม่ แต่แทบจะไม่เคยเอ่ยถึงเฮราคริตัสกับเต๋าเลย และความเกีย
่ วโยงกับเต๋านีเ้ อง เป็ น
สงิ่ ทีแ
่ สดงได ้อย่างดีทส ุ ว่า ทัศนะของเฮราคริตัสแฝงในเชงิ ศาสนา จึงทําให ้ความ
ี่ ด
คล ้ายคลึง ระหว่างความคิดของเฮราคริตส ิ สส
ั กับความคิดในวิชาฟิ สก ์ มัยใหม่ เป็ นสด
ั สว่ นที่
เหมาะสมกันในทัศนะของข ้าพเจ ้า
เมือ
่ เรากล่าวถึงความคิดของเต๋าเกีย ่ นแปลง สง่ิ สําคัญคือ ต ้องระลึก
่ วกับการเปลีย
เสมอว่า การเปลีย ้ ใิ ชเ่ กิดจากแรงผลักดันภายนอก หากเป็ นแนวโน ้มภายใน
่ นแปลงทีว่ า่ นีม
ของสรรพสงิ่ และเหตุการณ์ทัง้ มวล การเคลือ
่ นไหวของเต๋า ไม่มต
ี ัวการผลักดันแต่การ
เปลีย
่ นแปลงนัน
้ เกิดโดยธรรมชาติ ความเป็ นไปเองของกฎแห่งการกระทําของเต๋า และใน
เมือ
่ การกระทําของมนุษย์ ควรทีจ
่ ะจําลองเอามาจากวิถท
ี างของเต๋า ความเป็ นไปเอง จึงควร
เป็ นลักษณะสําคัญของการกระทําทัง้ มวลของมนุษยชาติ สําหรับเต๋า การกระทําที่
ื่ มั่นต่อปั ญญาญาณของบุคคล
สอดคล ้องกับธรรมชาติแท ้ของบุคคล มันหมายถึงความเชอ
ซงึ่ เป็ นเนือ ่ เดียวกับทีก
้ หาของใจมนุษย์ เชน ่ ฏของการเปลีย ้ หาของสรรพสงิ่
่ นแปลงเป็ นเนือ
รอบ ๆ ตัวเรา
หากว่าเราละเว ้นจากการกระทําทีข
่ ด
ั แย ้งกับธรรมชาติ หรือดังทีโ่ จเซฟ นีลแฮม
่ ัดแย้งก ับแก่นแท้ของสงิ่ ทงหลาย”
กล่าวไว ้ว่า จาก “การดําเนินทีข ั้ เราก็จะดําเนินไป
อย่างสอดคล ้องกับเต๋า ซงึ่ จะได ้รับความสําเร็จ
8.3 ไม่รว
ู้ า
่ ตนรูน
้ นดี
ั้ สด
ุ
แม ้ว่าเซนจะมีลักษณะทีพ
่ เิ ศษเฉพาะตัว แต่แก่นแท ้ของเซนก็คอ
ื พุทธศาสนา
เนือ ื การตรัสรู ้อย่างพระพุทธองค์ซงึ่ เรียกกันในภาษาของ
่ งจากความมุง่ หมายของเซนก็คอ
เซนว่า สาโตริ ประสบการณ์แห่งการตรัสรู ้เป็ นแก่นแท ้ของปรัชญาตะวันออกสาขาต่าง ๆ
แต่เซนมีลักษณะจําเพาะตัว ตรงทีม
่ งุ่ เน ้นเป็ นพิเศษ เฉพาะประสบการณ์แห่งการตรัสรู ้นี้
ึ ก
โดยไม่สนใจในการตีความทัง้ หลาย สซ ึ ิ กล่าวว่า “เซน เป็นระเบียบปฏิบ ัติแห่งการตร ัส
รู”้ ในทัศนะของเซน การตรัสรู ้ของพระพุทธเจ ้า และคําสอนของพระพุทธองค์ทวี่ า่ ทุกคนมี
ศักยภาพทีจ
่ ะบรรลุถงึ ความตืน
่ อย่างสมบูรณ์ เป็ นแก่นแท ้ของพระพุทธศาสนา คําสอนอืน
่ ๆ
นอกจากนัน ่ ธิบายกันในพระสูตรหลายเล่มถือว่าเป็ นสว่ นเสริมประกอบ
้ ดังทีอ
ื่ มั่นว่าคําพูดไม่อาจแสดงสจ
เซนเชอ ั จะสูงสุดได ้ สงิ่ นีแ ั เจนใน
้ สดงออกอย่างชด
เซนมากกว่าในศาสนาอืน
่ ๆ ของตะวันออก เซนคงต ้องได ้รับอิทธิพลในเรือ
่ งนีจ
้ ากลัทธิเต๋า
ซงึ่ แสดงทัศนะในทํานองเดียวกัน จางจือ
้ กล่าวว่า “ หากมีคนถามถึงเต๋า และอีกคนหนึง่
ตอบ ทงสองคนน
ั้ นไม่
ั้ รเู ้ รือ
่ งเต๋าเลย ”
9.1 ไปล้างชาม
ู่ ษ
คําสอนของเซนได ้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์สศ ิ ย์ด ้วยวิธพ
ี เิ ศษเฉพาะ ในแบบ
ทีเ่ หมาะสมกับเซน มาเป็ นเวลานานหลายศตวรรษแล ้ว เซนได ้รับคําอธิบายอย่างเหมาะสม
ทีส
่ ด ี่ รรทัดนี้
ุ ในวลีสบ
การถ่ายทอดนอกคัมภีร ์
ี้ รงไปทีจ
ชต ่ ต
ิ ของมนุษย์
ค ้นหาธรรมชาติของมนุษย์และการบรรลุพท
ุ ธภาวะ
่ ยทําให้ใจของผมสงบลง
“ใจของผมไม่สงบ ได้โปรดชว
ด้วย”
“แต่เมือ
่ ผมหาใจของผม” ภิกษุ รป
ู นัน
้ กล่าว
“ผมก็หาม ันไม่พบ ”
“นน
่ ั ไง” ท่านโพธิธรรมสวนมาทันควัน
“ฉ ันได้ทําให้ใจของเธอสงบแล้ว ”
ี ล่าวว่า “ถ้างนไปล้
ท่านโจชก ั้ างชาม”
9.2 สาโตริ
่ นี้ ลึกลับอะไรเชน
อัศจรรย์อะไรเชน ่ นี้
ฉั นหาบฟื น ฉั นตักนํ้ า
ื การดําเนินชวี ต
ความสมบูรณ์แบบของเซนก็คอ ิ ประจําวันอย่างเป็ นไปตาม
่ มีผู ้ขอให ้ท่านป้ อจัง อธิบายเซน ท่านกล่าวว่า “เมือ
ธรรมชาติและเป็ นไปเอง เมือ ่ หิวกิน
เมือ
่ เหนือ ั เจน ทีม
่ ยนอน” ถึงแม ้ว่ามันจะดูงา่ ย ๆและชด ่ ักปรากฏอยูเ่ สมอในซนแต่จริง ๆ
แล ้วมันเป็ นงานทีย ่ ะดํารงชวี ต
่ ากเอาการ การทีจ ิ ได ้อย่างเป็ นธรรมชาติต ้องผ่านการฝึ กฝนที่
ี่ วชาญ และต ้องมีความมุง่ มั่นในการแสวงหาคุณค่าทางจิตใจ ดังประโยคทีม
เชย ่ ช ื่ เสย
ี อ ี งของ
เซนว่า
แต่เมือ
่ ตรัสรู ้ ภูเขากลับเป็ นภูเขา และแม่นํ้าก็เป็ นแม่นํ้า
9.3 โดคือเต๋า
ในญีป
่ นปั ุ่ จจุบัน เซนได ้แยกเป็ นสองนิกายย่อย ซงึ่ แตกต่างกันโดยวิธก
ี ารสอน
้
นิกายรินไซ หรือนิกาย “ฉ ับพล ัน” สอนโดยใชโกอั น และให ้ความสําคัญกับชว่ งเวลาที่
ึ ษา ทีเ่ รียกว่า ซานเซน ในชว่ งนีอ
อาจารย์เซนจะสนทนากับนักศก ึ ษา
้ าจารย์เซนจะให ้นั กศก
อธิบายโกอันซงึ่ ตนกําลังขบอยู่ การไขปริศนาของโกอันต ้องผ่านการทําสมาธิอย่างแน่วแน่
เป็ นเวลานาน จนกระทั่งเกิดการรู ้แจ ้งแห่งสาโตริ อาจารย์เซนทีม
่ ป
ี ระสบการณ์จะรู ้ว่าเมือ
่ ใด
ทีน ึ ษาเซนมาถึงขอบแห่งการรู ้แจ ้งอย่างฉั บพลัน และสามารถทีจ
่ ักศก ่ ะใชคํ้ าพูด หรือการ
่ ระสบการณ์ของสาโตริได ้ ด ้วยวิธก
กระทํากระตุกให ้สะดุ ้ง และนํ าเขาหรือเธอเข ้าสูป ี ารทีไ่ ม่
่ การตีด ้วยไม ้ หรือ การตะโกนเสย
คาดฝั น เชน ี งดัง
ื่ งชา้ ” เลีย
นิกายโสโตะ หรือนิกาย “เชอ ่ งวิธก
ี ารทีจ
่ ะทําให ้สะดุ ้งของนิกายรินไซ
ึ ษาเซนค่อย ๆ สุกงอมในทางจิตใจ “เปรียบเหมือนสายลมอ่อน ๆ ในฤดู
และมุง่ ให ้นักศก
ใบไม้ผลิซงึ่ ทนุถนอมดอกไม้และชว
่ ยให้เบ่งบาน” นิกายนีส
้ ง่ เสริมการ “นง่ ั
เงียบๆ” และการงานประจําวัน โดยถือเป็ นการทําสมาธิภาวนาทัง้ สองแบบ
เมือ
่ เซนยืนยันว่า การตรัสรู ้ปรากฏได ้ในกิจการประจําวัน เซนจึงมีอท
ิ ธิพลอย่าง
ี วี ต
มากต่อวิถช ิ ของชาวญีป
่ น ่ ต่เพียงมีอท
ุ่ มิใชแ ิ ธิพลในด ้านจิตกรรม การประดิษฐ์อักษร การ
จัดสวน และงานหัตถกรรมหลายอย่างเท่านั น
้ แต่ยังรวมไปถึงพิธก
ี รรมและกิจกรรมต่าง ๆ
่ การชงชา หรือการจัดดอกไม ้ การยิงธนู การต่อสูด้ ้วยดาบและยูโด สงิ่ ต่าง ๆ เหล่านี้
เชน
ถูกลือกันในญีป
่ นว่ ่ ารตรัสรู ้ บรรจุอยูด
ุ่ าเป็ น โด นั่ นคือ เต๋า หรือหนทางสูก ่ ้วยลักษณะต่างๆ
ของประสบการณ์ของเซน และนํ าไปใชฝึ้ กฝนเพือ ั ผัสกับสจ
่ นํ าจิตใจให ้สม ั ธรรมสูงสุดได ้
9.4 ยิงไปเอง
เป็ นโชคดีของเราทีม
่ ห ื ของ ยูเกน เฮอร์รเิ กล ชอ
ี นังสอ ิ ปะการยิง
ื่ “เซนในศล
ิ ปะแห่งความไม่มศ
ธนู” อธิบาย “ศล ิ ปะ” นั น
ี ล ้
้ เฮอร์รเิ กล ได ้ใชเวลากว่
าห ้าปี อยูก
่ ับ
อาจารย์ชาวญีป
่ นเพื
ุ่ อ ิ ปะ “อ ันลึกล ับ” และเขาได ้ให ้ทัศนะในหนั งสอ
่ เรียนรู ้ศล ื ของเขา
เกีย
่ วกับเซนจากประสบการณ์ในการยิงธนู เขาอธิบายถึงการทีย
่ งิ ธนูถก
ู ถือปฏิบัตเิ หมือน
ี รรมทางศาสนา ซงึ่ “ร่ายรํา” ในท่วงทํานองแห่งการเป็ นไปเอง ไร ้ความพยายามและ
พิธก
้
ความมุง่ หมาย เขาใชเวลาฝึ กฝนหลายปี จนกระทั่งมันได ้เปลีย ี วี ต
่ นวิถช ิ ของเขา เพือ
่ เรียนรู ้
วิธท ี่ ะน ้าวคันธนู “โดยปราศจากความตงใจ”
ี จ ั้ ให ้การยิง “ไปจากน ักยิงธนูเหมือนก ับ
ผลไม้สก
ุ (หล่นจากต้น)” เมือ
่ เขาบรรลุความสมบูรณ์ คันธนู ลูกศร เป้ าและคนยิง หลอม
้ เขามิได ้เป็ นผู ้ยิง แต่ “ม ัน” ทําของมันเอง
รวมเป็ นอันหนึง่ อันเดียวกัน ในขณะนั น
คําอธิบายของเฮอร์รเิ กล ในเรือ
่ งการยิงธนู เป็ นทัศนะทีบ
่ ริสท
ุ ธิอ
์ ย่างยิง่ ในเรือ
่ ง
เซน ทัง้ นีเ้ พราะไม่ได ้พูดเกีย
่ วกับเซนไว ้เลย
ภาคที่ 3 ความสอดคล้อง
บทที่ 10 เอกภาพแห่งสรรพสงิ่
่ ําคัญทีส
ลักษณะทีส ่ ด
ุ หรือแก่นแท ้ของโลกทัศน์แบบตะวันออกก็คอ
ื การตระหนั ก
ั พันธ์เนือ
รู ้ในความเป็ นเอกภาพและความสม ่ งกันของสรรพสงิ่ และเหตุการณ์ทัง้ มวล คือ
ประสบการณ์แห่งการหยั่งรู ้ว่าปรากฏการณ์ทัง้ หลายในโลกล ้วนเป็ นปรากฏแสดงของความ
เป็ นหนึง่ เดียว สงิ่ ทัง้ หลายล ้วนเป็ นสว่ นประกอบของเอกภาพ ซงึ่ ต ้องอิงอาศย
ั กันอย่างไม่
อาจแยกจากกันได ้ สรรพสงิ่ เป็ นการปรากฏแสดงในแง่มม ั จะสูงสุดอันเดียวกัน
ุ ต่าง ๆ ของสจ
ั จะสูงสุดอันไม่อาจแบ่งแยก ซงึ่ ปรากฏแสดงอยู่
ในศาสนาตะวันออกได ้กล่าวอยูเ่ สมอถึงสจ
ในสรรพสงิ่ และซงึ่ สงิ่ ทัง้ หลาย ล ้วนเป็ นสว่ นประกอบของมัน ฮน
ิ ดูเรียกว่า พรหมัน พุทธ
ศาสนาเรียกว่า ธรรมกาย และลัทธิเต๋าเรียกว่า เต๋า เนือ ั จะนีอ
่ งจากสจ ้ ยูเ่ หนือแนวคิดและ
ั จะนีอ
การแบ่งแยกทัง้ มวล ชาวพุทธจึงเรียกสจ ้ ก ื่ หนึง่ ว่า ตถตา หรือ ความเป็ นเชน
ี ชอ ่ นั น
้ เอง
่ นัน
ความเป็ นเชน ื ความเป็ นหนึง่ เดียวของสรรพสงิ่ ทัง้ มวล
้ เองแห่งวิญญาณ ก็คอ
เป็ นมหาธาตุซงึ่ รวมทุกสงิ่ ไว ้
ในชวี ต
ิ สามัญเรามิได ้ตระหนั กถึงเอกภาพแห่งสรรพสงิ่ ทีว่ า่ นี้ แต่กลับแบ่งแยก
้ อกเป็ นวัตถุและเหตุการณ์ตา่ ง ๆ กัน การแบ่งแยกดังกล่าว เป็ นสงิ่ ทีม
โลกนีอ ่ ป
ี ระโยชน์และ
จําเป็ น สําหรับการเกีย
่ วข ้องกับสภาพแวดล ้อมในประจําวัน ทว่ามันไม่ได ้เป็ นลักษณะ
พืน ั จะ เป็ นเพียงการย่อสรุปของความคิดแยกแยะแจกแจง การเชอ
้ ฐานของสจ ื่ และการยึดใน
ความคิดทีเ่ ห็นเหตุการณ์และสงิ่ ต่าง ๆ แยกจากกันว่าเป็ นความจริงของธรรมชาตินัน
้ เป็ น
ิ ดูและชาวพุทธถือว่า ภาพลวงดังกล่าวสบ
เพียงภาพลวง ชาวฮน ื เนือ
่ งมาจาก อวิชชา ความ
ไม่รู ้ เกิดกับจิตใจซงึ่ อยูใ่ ต ้อํานาจสะกดของ มายา ศาสนาตะวันออกจึงมีเป้ าหมายสําคัญอยู่
ทีก ี ใหม่ โดยการควบคุมจิตใจให ้รวมอยูท
่ ารปรับสภาพจิตใจเสย ่ จ
ี่ ด
ุ เดียวและสงบจากความ
ั สกฤตมีความหมาย
รบกวนต่าง ๆ โดยผ่านการทําสมาธิภาวนา คําว่า “สมาธิ” ในภาษาสน
ตามตัวอักษรว่า “สมดุลทางใจ” ซงึ่ แสดงถึงความสมดุลและความสงบของจิตใจ อันหยัง่ รู ้
ถึงความเป็ นเอกภาพของจักรวาล
เมือ ่ มาธิทบ
่ เข ้าสูส ุ ธิ์ (เราย่อมได ้) ญาณซงึ่ ชําแรกสูค
ี่ ริสท ่ วามเป็ นหนึง่ เดียวอัน
สมบูรณ์แห่งจักรวาล
10.1 การตีความของโคเปนฮาเกน
ในบทนีข
้ ้าพเจ ้าว่า ความคิดเรือ
่ งความเกาะเกีย ั พันธ์กัน โดยพืน
่ วสม ้ ฐานของ
ธรรมชาติ เกิดขึน
้ ในทฤษฎีควอนตัม อันเป็ นทฤษฎีเกีย
่ วกับปรากฏการณ์ของอะตอมได ้
ึ ษาสงั เกต
อย่างไร โดยจะเสนอการวิเคราะห์อย่างละเอียดต่อกระบวนการในการศก
คําอธิบายต่อไปนี้ ยืนพืน
้ อยูบ
่ นการตีความทฤษฎีควอนตัม ตามแบบ โคเปนฮาเกน (
Copenhagen Interpretation ) เสนอโดย บอหร์ และไฮเซนเบิรก
์ ในปลายทศวรรษ 2463
ซงึ่ ยังคงเป็ นแบบทีย
่ อมรับกันมากทีส
่ ด ั และข ้าพเจ ้าจะใชวิ้ ธใี นการนํ าเสนอ
ุ จนถึงปั จจุบน
ของเฮนดรี แสตป แห่งมหาวิทยาลัยคาลิฟอเนีย ซงึ่ มุง่ สนใจเฉพาะบางแง่มม
ุ ของทฤษฎี
และสภาพการทดลอง ทีม
่ ักจะเกีย ิ สข
่ วข ้องกับวิชาฟิ สก ์ องอนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอมอยูเ่ สมอ
การนํ าแสดงของแสตป แสดงให ้เห็นถึงความเกาะเกีย ั พันธ์กัน ของธรรมชาติอย่างไร
่ วสม
10.2 เตรียมการเพือ
่ ตรวจว ัด
ประเด็นสําคัญในการวิเคราะห์กระบวนการในการสงั เกตก็คอ
ื ว่า อนุภาคได ้
ื่ มโยงกระบวนการ ก. และ ข. เข ้าด ้วยกัน การดํารงอยูข
เชอ ่ องมันมีความหมาย แต่ใน
ขอบเขตนีเ้ ท่านัน
้ มันจะไม่มค
ี วามหมาย เมือ
่ มันอยูโ่ ดดเดีย
่ ว แต่จะมีความหมายเมือ
่ มัน
เป็ นสงิ่ เชอ
ื่ มโยงระหว่างกระบวนการในการเตรียมการ และกระบวนการตรวจวัดผล
คุณสมบัตข ื่ มโยงกับกระบวนการเหล่านี้ หาก
ิ องอนุภาคไม่อาจจะอธิบายได ้โดยไม่เชอ
กระบวนการในการเตรียมการหรือกระบวนการตรวจวัดผลเปลีย
่ นแปลงไป คุณสมบัตข
ิ อง
อนุภาคก็จะเปลีย
่ นไปด ้วย
10.3 แยกออกจากการเตรียม
ดังนัน
้ ทฤษฎีควอนตัมจึงเปิ ดเผยให ้เห็นถึงความเกีย ื่ มโยงกันของสรพสงิ่
่ วพันเชอ
จักรวาล มันแสดงให ้เห็นว่าเราไม่อาจย่อยสลายโลกลงเป็ นหน่วยเล็ก ๆ ทีเ่ ป็ นอิสระได ้ เมือ
่
้ ฐาน” ใน
เราเจาะลึกลงไปในวัตถุ เราพบว่ามันประกอบด ้วยอนุภาคแต่ทว่ามิใช ่ “หน่วยพืน
ความหมายตามแบบของ เดโมคริตัสและนิวตัน มันเป็ นสงิ่ ในอุดมคติซงึ่ มีคณ
ุ ประโยชน์ในแง่
ี วามหมายสําคัญในขัน
ของการปฏิบัต ิ แต่ไม่มค ้ ฐาน นีลส ์ บอหร์ กล่าวว่า “อนุภาคของ
้ พืน
ว ัตถุซงึ่ เป็นอิสระไม่เกีย
่ วก ับสงิ่ อืน
่ เป็นผลของความคิดแบบย่อสรุป เราจะอธิบาย
ั
และสงเกตคุ
ณสมบ ัติของม ันได้ ก็แต่ในปฏิกริ ย
ิ าของม ันก ับระบบอืน
่ ”
10.4 ข่ายใยแห่งการถ ักทอ
่ วามคิดใหม่ในเรือ
เราถูกนํ ามาสูค ่ งความเป็ นทัง้ หมดอันมิอาจ
แบ่งแยกได ้ ซงึ่ ได ้ปฏิเสธความคิดดัง้ เดิม ในการแยกวิเคราะห์โลก
ออกเป็ นสว่ น ๆ เป็ นอิสระแยกจากสว่ นอืน
่ …เราได ้หันกลับจากความคิดเดิม
้ ฐาน” ของโลกเป็ นความจริงพืน
ทีว่ า่ “หน่วยพืน ้ ฐาน และระบบต่าง ๆ เป็ น
เพียงการจัดเรียงตัว และรูปลักษณ์ในแบบหนึง่ ๆ ซงึ่ เกิดจากหน่วยเหล่านี้
ประกอบกันขึน ื่ มโยงสม
้ เราควรจะกล่าวว่า ความเชอ ั พันธ์ในทางควอนตัม
อันไม่อาจแบ่งแยกได ้ ของจักรวาลทัง้ หมด เป็ นความจริงพืน
้ ฐาน และ
ั พันธ์นัน
หน่วยต่าง ๆ ทีเ่ ป็ นอิสระอย่างสม ้ เป็ นเพียงรูปลักษณะเฉพาะสว่ น
ซงึ่ อาจเกิดขึน
้ ได ้ในพืน
้ ฐานทัง้ หมดนั น
้
ิ สด
ในระดับอะตอมสสารวัตถุในทัศนะของวิชาฟิ สก ์ งั ้ เดิม ได ้กลายเป็ นแบบแผน
แห่งความอาจเป็ นไปได ้ และแบบแผนดังกล่าวมิได ้แสดงความอาจเป็ นไปได ้ของสงิ่ ต่าง ๆ
่ ารรวมกันของวัตถุทางฟิ สก
มากกว่า ทฤษฎีควอนตัมได ้ทําให ้เราเห็นว่าจักรวาลมิใชก ิ ส ์ แต่
ั ซอนของความส
เป็ นข่ายใยอันซบ ้ ั พันธ์ระหว่างสว่ นต่าง ๆ ของจักรวาลทัง้ หมด อย่างไรก็
ม
ตาม นีเ่ ป็ นวิธก
ี ารทีน
่ ั กปรัชญาตะวันออกหยั่งรู ้โลก และบางท่านได ้สะท ้อนประสบการณ์นัน
้
ออกมาในคําพูด ซงึ่ เกือบจะเหมือนกับคําพูดของนักฟิ สก
ิ สผ
์ ู ้ค ้นคว ้าเรือ
่ งอะตอมดังตัวอย่าง
นี้
่ ําคัญยิง่ ขึน
ในพุทธศาสนา ภาพของข่ายใยแห่งเอกภพมีบทบาททีส ้ ไปอีก แก่น
คําสอนของ อวตังสกสูตร ซงึ่ เป็ นพระสูตรสําคัญ สูตรหนึง่ ของมหายานก็คอ
ื การอธิบายว่า
ั พันธ์ โดยทีเ่ หตุการณ์และสงิ่ ทัง้ หลายมีปฏิกริ ย
โลกเป็ นข่ายใยอันสมบูรณ์แห่งสหสม ิ าต่อกัน
และกันอย่างต่อเนือ
่ งไม่รู ้จบ ชาวพุทธมหายานได ้สร ้างสรรค์ตํานานและเรือ
่ งราวต่าง ๆ
มากมายเพือ ื่ มโยงถึงกันหมดของทุกสงิ่ ในจักรวาล ข่ายใยแห่ง
่ เปรียบเทียบให ้เห็นความเชอ
เอกภพเป็ นแกนกลางของคําสอนในพุทธศาสนานิกายตันตระซงึ่ เป็ นสาขาหนึง่ ของมหายาน
ทีถ ื กําเนิดในอินเดียในราวศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล และในปั จจุบันเป็ นสายสําคัญของ
่ อ
พุทธศาสนาแบบทิเบต คําภีรข ั สกฤตซงึ่
์ องสายนีเ้ รียกว่า ตันตะ มีรากเดิมในภาษาสน
ั พันธ์และอิงอาศัยกันของสงิ่ ต่างๆ และ
แปลว่า “ถ ักทอ” อันแสดงถึงการประสานสม
เหตุการณ์ทัง้ มวล
10.5 จากผูส ั
้ งเกตเปลี
ย ่ นเป็นผูม ี ว่ นร่วม
้ ส
ั พันธ์ของจักรวาลดังกล่าว รวมเอาผู ้
ในศาสนาตะวันออก การประสานสม
สงั เกตการณ์ ซงึ่ เป็ นมนุษย์และความรับรู ้ของเขาไว ้ด ้วย และสงิ่ นีก ิ สท
้ ็เป็ นใจในวิชาฟิ สก ์ ส
ี่ า่
ด ้วยอะตอมด ้วย ในระดับของอะตอม เราจะเข ้าใจ “ว ัตถุ” ได ้ก็แต่ในแง่ของปฏิกริ ย
ิ าระหว่าง
กระบวนการเตรียม และกระบวนการตรวจวัดผล จุดสุดท ้ายของกระบวนการต่อเนือ
่ งเหล่านี้
่ ํานักของมนุษย์ ผู ้ทําหน ้าทีส
จบลงทีส ่ งั เกตการตรวจวัดผล เป็ นปฏิกริ ย
ิ าทีก
่ อ
่ ให ้เกิด
“ความรูส ึ ” ขึน
้ ก ้ ในสํานึกของเรา ยกตัวอย่างเชน
่ การเห็นภาพแสงสว่างแวบ หรือจุดดําบน
ิ สท
แผ่นภาพถ่ายและกฎของฟิ สก ์ วี่ า่ ด ้วยอะตอมได ้แสดงให ้เรารู ้ว่า ความอาจเป็ นไปได ้ใน
ลักษณะใดทีอ ึ ขึน
่ ะตอมจะก่อให ้เกิดความรู ้สก ้ ในลักษณะใดลักษณะหนึง่ หากเราให ้มันมี
ปฏิกริ ย ์ กล่าวไว ้ว่า “วิทยาศาสตร์ธรรมชาติมไิ ด้เพียงอธิบายและ
ิ าต่อเรา ไฮเซนเบิรก
นิยามธรรมชาติและต ัวเราเอง”
้ ลักษณะอันสําคัญอย่างยิง่ ยวดในวิชาฟิ สก
ดังนั น ิ สท
์ วี่ า่ ด ้วยอะตอมก็คอ
ื มนุษย์ไม่
เพียงเป็ นสงิ่ จําเป็ นในการสงั เกตคุณสมบัตข
ิ องวัตถุเท่านั น
้ แต่จําเป็ นในการอธิบาย
คุณสมบัตเิ หล่านีด ิ สท
้ ้วย ในวิชาฟิ สก ์ วี่ า่ ด ้วยอะตอม เราไม่อาจจะอธิบายถึงคุณสมบัตข
ิ อง
วัตถุในตัวของมันเอง คุณสมบัตด
ิ ังกล่าวมีความหมายแต่ในขอบเขตแห่งปฏิกริ ย
ิ าระหว่าง
วัตถุและผู ้สงั เกต ดังกล่าวของไฮเซนเบิรก ั
์ ว่า “สงิ่ ทีเ่ ธอสงเกตมิ ่ ัวธรรมชาติเอง แต่
ใชต
เป็นธรรมชาติทป
ี่ รากฏต่อวิธก ั้ าถามของเรา” ผู ้สงั เกตเป็ นผู ้เลือกวิธก
ี ารตงคํ ี ารในการ
ตรวจวัดผล ซงึ่ วิธด
ี ังกล่าวจะเป็ นตัวกําหนดคุณสมบัตข
ิ องวัตถุทถ ู สงั เกตด ้วยเชน
ี่ ก ่ กันใน
ปริมาณหนึง่ หากว่าการจัดเตรียมการทดลองเปลีย
่ นไป คุณสมบัตข
ิ องวัตถุทถ ู สงั เกตจะ
ี่ ก
เปลีย ่ กัน
่ นไปเชน
ดังนั น ิ สท
้ ในวิชาของฟิ สก ์ วี่ า่ ด ้วยอะตอม นั กวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะแสดงบทบาท
ของผู ้สงั เกตซงึ่ ไม่เกีย
่ วข ้องกับวัตถุทถ ู สงั เกต แต่จะต ้องเข ้าเกีย
ี่ ก ่ วข ้องกับสงิ่ ทีถ ู สงั เกต
่ ก
จนกระทั่งมีอท
ิ ธิพลต่อคุณสมบัตต
ิ อ
่ วัตถุด ้วย จอห์น วีลเลอร์ เห็นว่าการเข ้าไปเกีย
่ วข ้องของ
ผู ้สงั เกตเป็ นสงิ่ ทีส
่ ําคัญทีส
่ ด ้ เขาจึงเสนอให ้ใชคํ้ าว่า “ผูม
ุ ในทฤษฎีควอนตัม ดังนั น ี ว่ น
้ ส
ร่วม” (participator) แทนคําว่า “ผูส ั
้ งเกต” (observer)
10.6 ลืมทุกสรรพสงิ่
ความคิดในเรือ ั
่ ง “การเข้ามีสว่ นร่วมแทนทีจะเป็นการสงเกต” ได ้ถูกคิดค ้นใน
ิ สส
วิชาฟิ สก ์ มัยใหม่เมือ
่ ไม่นานมานี้เอง แต่มันเป็ นความคิดทีร่ ู ้จักกันดีในหมูน ึ ษาศาสนา
่ ั กศก
ความรู ้ในทางศาสนาไม่อาจได ้มาด ้วยเพียงแต่การสงั เกต แต่โดยการเข ้ามามีสว่ นร่วมอย่าง
่ ับชวี ต
เต็มทีก ่ งผู ้มีสว่ นร่วมจึงเป็ นสงิ่ สําคัญ
ิ จิตใจทัง้ หมดของแต่ละบุคคล ความคิดเรือ
ยิง่ ยวด ในโลกทัศน์แบบตะวันออก และได ้ไปถึงจุดสูงสุดในศาสนาตะวันออก ซงึ่ ผู ้สงั เกต
และผู ้ทีถ ู สงั เกต ผู ้กระทําและถูกกระทํา ไม่เพียงแต่ไม่อาจแยกจากกันเท่านั น
่ ก ้ หากทว่า
ิ สท
ไม่แตกต่างกันอีกด ้วย ต่างจากวิชาฟิ สก ์ วี่ า่ ด ้วยอะตอม ซงึ่ ถึงแม ้ผู ้สงั เกตและสงิ่ ทีถ
่ ก
ู
สงั เกตไม่อาจแยกจากกัน แต่ทว่ายังแตกต่างกันอยู่ พวกนั กปฏิบัตใิ นศาสนาไปไกล
ยิง่ กว่านัน
้ ในสมาธิทล ึ ซงึ้ พวกเขาบรรลุถงึ จุดทีค
ี่ ก ่ วามแตกต่าง ระหว่างผู ้สงั เกต และสงิ่ ที่
ถูกสงั เกต ได ้สูญเสย
ี ความหมายอย่างสน
ิ้ เชงิ ผู ้กระทําและสงิ่ ทีถ
่ ก
ู กระทําได ้หลอมรวมเป็ น
อันหนึง่ อันเดียวกัน ดังทีก
่ ล่าวไว ้ในคัมภีรอ
์ ป
ุ นิษัทว่า
ณ ทีใ่ ดซงึ่ ทวิภาวะดํารงอยู่ ณ ทีน
่ ัน
้ บุคคลย่อมเห็นผู ้อืน
่ ย่อมได ้กลิน
่ ผู ้อืน
่ ย่อม
ได ้ลิม ่ ….ณ ทีใ่ ดซงึ่ สรรพสงิ่ ได ้กลายเป็ นตัวตนเองแล ้ว ณ ทีน
้ รสผู ้อืน ่ ัน
้ บุคคลทีจ
่ ะเห็นใคร
ด ้วยอะไร จะได ้กลิน
่ ใครด ้วยอะไร
สงิ่ ทีต
่ รงกันข ้ามเป็ นความคิดเชงิ ย่อสรุป เป็ นฝั กฝ่ ายของอาณาจักรเชงิ ความคิด
และดังนัน ่ นเป็ นสงิ่ สม
้ จึงเปลีย ั พัทธ์ โดยการทีเ่ รามุง่ สนใจต่อความคิดอันใดอันหนึง่ เราได ้
สร ้างความคิดทีต
่ รงกันข ้ามขึน ่ ทุกคนในโลกนีเ้ ห็ นสงิ่
้ มาด ้วย ดังทีเ่ หล่าจื๊ อกล่าวไว ้ว่า “เมือ
สวยงามว่าสวยงาม เมือ
่ นนความน่
ั้ าเกลียดก็ปรากฏ” (1) ศาสนิกก ้าวพ ้นอาณาจักรแห่ง
ความชาญฉลาดดังกล่าว โดยการตระหนั กถึงความเป็ นสงิ่ สม
ั พัทธ์และความสม
ั พัทธ์เชงิ ขัว้
ของสงิ่ ทีต
่ รงกันข ้าม เขาตระหนักว่าสงิ่ ทีด ี ละชวั่ สุขและทุกข์ ชวี ต
่ แ ่ งิ่
ิ และความตาย มิใชส
ั บูรณ์ทแ
สม ี่ ยกเป็ นคนละฝ่ าย แต่เป็ นเพียงสองด ้านของความจริงอันเดียวกัน เป็ นสว่ น
สุดโต่งสองด ้านของสงิ่ เดียวกัน ความตระหนั กรู ้ว่าสงิ่ ตรงกันข ้ามทัง้ หมดเป็ นเพียงขัว้ คนละ
ขัว้ ของสงิ่ เดียวกัน และทุกสงิ่ เป็ นเอกภาพนี้ ถือเป็ นเป้ าหมายสูงสุดของมนุษย์ตามคําสอน
ั
ในทางจิตวิญญาณของตะวันออก “จงดํารงอยูใ่ นสจจะตลอดไป จงอยูเ่ หนือความ
ข ัดแย้งของโลก” พระกฤษณะกล่าวแนะนํ าอรชุนในภควทคีตา และคําแนะนํ าเดียวกันมีใน
หมูพ
่ ท ึ ก
ุ ธศาสนิกชน ดี. ที. สซ ึ ิ เขียนไว ้ว่า
้ ฐานในพุทธศาสนาคือการไปพ ้นโลกแห่งสงิ่ ทีต
ความคิดพืน ่ รงกันข ้าม โลกซงึ่
สร ้างขึน
้ ด ้วยการแบ่งแยกอันชาญฉลาดและแปดเปื้ อนทางอารมณ์ และเพือ
่ หยั่งรู ้โลกแห่ง
จิตวิญญาณ ซงึ่ ปราศจากการแบ่งแยก อันบุคคลได ้บรรลุทัศนะทีส
่ มบูรณ์(2)
11.1 สภาพขวตรงก
ั้ ันข้าม
เมือ
่ คํา่ ไก่ขน
ั บอกเวลารุง่ อรุณ
เมือ
่ เทีย ่ งสว่างเจิดจ ้า
่ งคืน พระอาทิตย์สอ
่ ภาพทีส
ในศาสนาตะวันออก ได ้มีการพัฒนาอิตถีภาวะสูส ่ มดุลกับปุรส
ิ ภาวะเป็ น
ธรรมชาติของมนุษย์ บุคคลผู ้รู ้แจ ้งในทัศนะของเหลาจื๊ อ คือผู ้ที่ “รูจ
้ ักความแข็งแรงอย่าง
ชาย และ ย ังร ักษาความนุม
่ นวลอย่างหญิงไว้ได้”
ในศาสนาตะวันออกหลายๆศาสนา เป้ าหมายหลักของการทําสมาธิภาวนาก็คอ
ื
การสร ้างดุลยภาพอันเป็ นพลวัตระหว่างความรับรู ้สองด ้าน ชายและหญิง และมักจะ
ิ ปะ
แสดงออกในรูปของงานศล
รูปสลักของศวิ ะเทพในโบสถ์ของฮน
ิ ดูท ี่ เอลีเฟนตา (Elephanta) แสดงภาพพระ
พักตร์สามด ้านของเทพ พระพักตร์ด ้านขวาแสดงภาคบุรษ
ุ แทนความเข ้มแข็งและอํานาจ
้
ด ้านซายแสดงถึ
งสตรีแสดงความนุ่มนวลความสง่างาม ความมีเสน่ห ์ ตรงกึง่ กลางอันเป็ น
ี รอันงดงามของพระศวิ ะมเหศวร พระผู ้เป็ นใหญ่ ซงึ่ ฉายแววแห่งความสงบและ
ภาพพระเศย
อุเบกขา แทนเอกภาพอันสูงสง่ อันรวมทัง้ สองภาคเข ้าไว ้ ในโบสถ์เดียวกัน ยังมีรป
ู สลักของ
พระศวิ ะลักษณะครึง่ หญิงครึง่ ชาย สว่ นพระกายอยูใ่ นท่าทีช ้
่ ดชอยอ่
อนไหว พระพักตร์อม
ิ่
เอมอย่างสงบและปล่อยวาง รูปลักษณะนีแ
้ สดงเอกภาพของอิตถีภาวะและปริสะภาวะอีก
ภาพหนึง่
ี่ ต
11.3 โลกสม ิ ิ
ิ สส
ข ้าพเจ ้าได ้เคยกล่าวมาแล ้วว่า ฟิ สก ์ มัยใหม่ได ้เสนอสงิ่ ทีค
่ ล ้ายคลึงกันนี้
ึ ษาสํารวจอนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอมได ้เปิ ดเผยความจริงซงึ่ ได ้แสดงให ้เห็นซํ้าแล ้วซํ้า
การศก
ื่ ว่าเป็ นสงิ่
เล่าว่าไปพ ้นภาษาและเหตุผล และการรวมเป็ นเอกภาพของความคิดที่ เคยเชอ
ตรงกันข ้ามและไม่อาจผสมผสานกันได ้ นั น
้ ได ้กลายเป็ นคุณลักษณะอันน่าตืน
่ ใจของความ
จริงอันใหม่นี้ แนวความคิดซงึ่ ดูแล ้วว่าไม่น่าจะเข ้ากันได ้ดังกล่าวนี้ มิใชแ
่ นวทีศ
่ าสนา
ตะวันออกสนใจเกีย
่ วข ้องด ้วยทว่าการรวมเป็ นเอกภาพของมันในความจริงระดับทีส
่ งู ขึน
้ ไป
เป็ นสงิ่ ทีส
่ อดคล ้องกับศาสนาตะวันออก ดังนั น ิ สส
้ นั กฟิ สก ์ มัยใหม่อาจทีจ
่ ะบรรลุถงึ ญาณ
ทัศนะอันปรากฏในคําสอนสําคัญของตะวันออกไกล โดยการค ้นหาประสบการณ์ในสาขา
ิ สร์ น
ของตน เป็ นนักฟิ สก ่ เล็กๆซงึ่ กําลังทวีจํานวนขึน
ุ่ ใหม่กลุม ้ ได ้พบว่าวิธก
ี ารดังกล่าว เป็ น
สงิ่ ทีม
่ ค
ี ณ
ุ ค่า และกระตุ ้นให ้เกิดความสนใจในศาสนาตะวันออกมากขึน
้ ตัวอย่างของการ
รวมตัวกัน ของแนวความคิดทีต ิ สส
่ รงกันข ้าม ในวิชาฟิ สก ์ มัยใหม่ อาจจะพบได ้ในการศก
ึ ษา
ในระดับอนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอม ซงึ่ อนุภาคเป็ นทัง้ สงิ่ ทีท
่ ัง้ ทําลายได ้ และทําลายไม่ได ้
และสสารวัตถุ เป็ นสงิ่ ทีม
่ ส
ี ภาพต่อเนือ
่ งและไม่ตอ
่ เนือ
่ ง และแรงกับสสารวัตถุเป็ นเพียงสอง
ด ้านของปรากฏการณ์เดียวกัน ตัวอย่างทัง้ หมดเหล่านีแ
้ สดงให ้เห็นว่ากรอบแนวคิดทีต
่ รงกัน
ข ้าม อันเกิดจากประสบการณ์ในชวี ต ้ เป็ นสงิ่ ทีค
ิ ประจําวันของเรานั น ่ ับแคบเกินไปสําหรับ
ั พัทธภาพเป็ นทฤษฎีทส
โลกของอนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอม ทฤษฎีสม ี่ ําคัญยิง่ ในการอธิบาย
ั ัทธ์” นัน
โลภพิภพนี้ และในโครงร่าง “สมพ ่ ต
้ แนวคิดดัง้ เดิมได ้ถูกก ้าวว่างไปสูม ิ ท
ิ ส
ี่ งู กว่า
ี่ ต
คือ กาล-อวกาศสม ิ ิ อวกาศและเวลาในตัวของมันเองเป็ นความคิดสองประการซงึ่ ดู
ิ สแ
เหมือนว่าแตกต่างกัน แต่ปรากฏเป็ นเอกภาพในฟิ สก ์ ห่งสม
ั พัทธภาพ เอกภาพพืน
้ ฐาน
่ รงกันข ้ามทัง้ มวลซงึ่ กล่าวถึงข ้างต ้น และ
ประการนีเ้ ป็ นรากฐานแห่งเอกภาพของความคิดทีต
่ เดียวกับเอกภาพของสงิ่ ทีต
เชน ้ ใน “ระด ับที่
่ รงกันข ้ามในศาสนาตะวันออก เอกภาพนีเ้ กิดขึน
สูงกว่า” นั่นคือในมิตท ี่ งู กว่า ทัง้ ยังเป็ นเอกภาพซงึ่ มีลักษณะเคลือ
ิ ส ่ นไหว เนือ
่ งจากความ
จริงในเรือ ั พันธ์นม
่ งกาล-อวกาศอันสม ี้ ล
ี ักษณะเป็ นความจริงอันมีสภาพเคลือ
่ นไหวอยูใ่ น
เนือ
้ หาของมันเอง โดยทีว่ ต
ั ถุตา่ งๆ เป็ นตัวกระบวนการด ้วย และรูปลักษณ์ทัง้ มวลเป็ นแบบ
แผนแห่งการเคลือ
่ นไหว
เพือ
่ ทีจ ั เจนในเอกภาพของสงิ่ ทีด
่ ะให ้เห็นชด ่ เู หมือนว่าแยกจากกันในมิตท
ิ ส
ี่ งู กว่า
นัน ั พัทธภาพ เพียงแต่ขน
้ เราไม่จําเป็ นต ้องไปถึงทฤษฎีสม ึ้ ไปจากหนึง่ มิตส ู่ องมิต ิ หรือจาก
ิ ส
สองไปสามมิต ิ ตัวอย่างของการเคลือ
่ นทีข
่ องลูกบอลเป็ นวงกลม (ทีก
่ ล่าวถึงแล ้ว) และเงา
ของมันซงึ่ เคลือ
่ นทีก ่ เู หมือนเป็ นสงิ่ ตรงกันข ้ามในสภาวะ
่ ลับไปกลับมาระหว่างขัว้ สองขัว้ ทีด
้
หนึง่ มิต ิ (ตามเสนตรง) กลับรวมเป็ นเอกภาพของการเคลือ
่ นไหวเป็ นวงกลมในสภาวะสอง
มิต ิ (ในระนาบหนึง่ ) ภาพข ้างล่างนีเ้ ป็ นอีกตัวอย่างหนึง่ ซงึ่ เปลีย ่ าม
่ นจากสภาพสองมิตไิ ปสูส
มิต ิ
11.4 คลืน
่ ก ับอนุภาค
ในระดับอะตอมสสารวัตถุมส
ี องด ้าน มันปรากฏเป็ นทัง้ อนุภาคและคลืน
่ มันจะ
แสดงด ้านใดก็ขน
ึ้ อยูก
่ ับสภาพการณ์ ในบางสภาพการณ์ด ้านอนุภาคเป็ นด ้านทีเ่ ด่น แต่ในอีก
สภาพการณ์หนึง่ อนุภาคมีพฤติกรรมไปในทางทีเ่ ป็ นคลืน
่ มากกว่า และธรรมชาติของทวิภาวะ
นีป ี ม่เหล็กไฟฟ้ าอืน
้ รากฏในแสงและรังสแ ่ แสงจะถูกปล่อยออกมา
่ ๆ ทัง้ หมดยกตัวอย่างเชน
ึ เข ้าไปในรูปของ “ควอนตา” หรือโฟตอน แต่เมือ
และดูดซม ่ อนุภาคของแสงเหล่านี้
เคลือ
่ นทีผ
่ า่ นทีว่ า่ งมันจะปรากฏเป็ นสนามแม่เหล็กหรือสนามไฟฟ้ าทีส ั่ สะเทือน ซงึ่ แสดง
่ น
พฤติกรรมทัง้ หมดของคลืน
่ โดยปรกติอเิ ล็กตรอนถือว่าเป็ นอนุภาค และเมือ
่ ลําของ
่ งเล็กๆ มันจะเกิดการหักเหเชน
อิเล็กตรอนถูกฉายผ่านชอ ่ เดียวกับลําแสง พูดอีกอย่างหนึง่
คือ อิเล็กตรอนก็ประพฤติตัวเป็ นคลืน ่ เดียวกัน
่ เชน
เมือ
่ พิจารณาภาพข ้างบน คนทั่วไปอาจจะคิดว่า ข ้อขัดแย ้งดังกล่าวอาจจะได ้รับ
การแก ้ไขโดยกล่าวว่า รูป ข. แสดงอยูใ่ นอนุภาคซงึ่ กําลังเคลือ
่ นทีอ
่ ยูใ่ นลักษณะของคลืน
่
อย่างไรก็ตาม ข ้อโต ้แย ้งอันนีต
้ งั ้ อยูบ
่ นความเข ้าไจผิดพลาดต่อธรรมชาติของคลืน
่ อนุภาค
ซงึ่ เคลือ
่ นทีใ่ นลักษณะเป็ นคลืน
่ ไม่มอ
ี ยูจ ่ คลืน
่ ริงในธรรมชาติ ยกตัวอย่างเชน ่ นํ้ า อนุภาคของ
นํ้ ามิได ้เคลือ
่ นไปตามลูกคลืน
่ แต่เคลือ
่ นทีเ่ ป็ นวงกลมในลักษณะทีค
่ ลืน
่ ผ่านไป ในทํานอง
เดียวกัน อนุภาคของอากาศในคลืน ี งก็เพียงแต่สน
่ เสย ั่ สะเทือนกลับไปมาโดยทีม
่ ไิ ด ้ไปตาม
่ สงิ่ ทีถ
คลืน ู สง่ ต่อไปตามคลืน
่ ก ื การรบกวน ซงึ่ ก่อให ้เกิดปรากฏการณ์ของคลืน
่ ก็คอ ้ มิใช ่
่ ขึน
อนุภาคของสสารวัตถุแต่ประการใด ดังนั น
้ ในทฤษฎีควอนตัมเรา ไม่ได ้กล่าวถึงการโคจร
ของอนุภาค เมือ ่ ด ้วย สงิ่ ทีเ่ ราหมายถึงคือแบบแผนของคลืน
่ เรากล่าวว่าอนุภาคเป็ นคลืน ่
ทัง้ หมดนั่นเป็ นการแสดงออกของอนุภาค ดังนั น ่ ซงึ่ กําลังเคลือ
้ ภาพของคลืน ่ นทีจ
่ งึ แตกต่าง
ิ้ เชงิ จากภาพของอนุภาคซงึ่ กําลังเคลือ
อย่างสน ่ นที่ มันแตกต่างกันดังคําเปรียบเทียบของ
์ อปฟ์ ทีว่ า่ “เหมือนความคิดเรือ
วิคเตอร์ ไวสค ่ งระลอกคลืน
่ บนผิวนํา้ ในสระ ทีแ
่ ตกต่าง
จากฝูงปลาซงึ่ กําล ังแหวกว่ายในทิศทางเดียวก ันก ับคลืน
่ นน”
ั้
11.5 ความอาจเป็นไปได้
ปรากฏการณ์ของคลืน
่ ทีพ
่ บเห็นในปริมณฑลทีแ ิ ส ์ และ
่ ตกต่างกันมากในวิชาฟิ สก
อาจจะอธิบายมันได ้ด ้วยสูตรทางคณิตศาสตร์ ในทฤษฎีควอนตัมสูตรทางคณิตศาสตร์
ในทางเดียวกันนีย ้
้ ังใชในการอธิ ่ ซงึ่ เกีย
บายคลืน ่ วพันกับอนุภาคอย่างไรก็ตาม ในกรณีนค
ี้ ลืน
่
เป็ นสงิ่ ทีม ี วามหมายลึกซงึ้ ยิง่ ขึน
่ ค ั ผัสอย่างใกล ้ชด
้ โดยสม ิ กับลักษณะทางสถิตข
ิ องทฤษฎี
้ บายคลืน
ควอนตัม กล่าวอีกนั ยหนึง่ ได ้ว่ามันเหมือนกับสูตรทางคณิตศาสตร์ทใี่ ชอธิ ่ อืน
่ ๆ
่ ซงึ่ เกีย
ด ้วย คลืน ่ วเนือ
่ งด ้วยอนุภาคนีม ่ ลืน
้ ใิ ชค ่ คลืน
่ 3 มิตจิ ริง ๆ เชน ่ นํ้ าหรือคลืน ี งแต่เป็ น
่ เสย
่ ของ “ความอาจเป็นไปได้” ซงึ่ เป็ นปริมาณย่อสรุปทางวิทยาศาสตร์ทส
คลืน ั ผัสกับค่า
ี่ ม
ความอาจจะเป็ นไปได ้ของการพบอนุภาคในทีต
่ า่ ง ๆ และด ้วยคุณสมบัตต ่ กัน
ิ า่ ง ๆ เชน
การนํ าเสนอความคิดของความอาจเป็ นไปได ้ ได ้คลีค
่ ลายสภาพผกผันผิดธรรมดา
อนุภาคอาจเป็ นคลืน ่ ริมณฑลอันใหม่ นั น
่ ได ้ โดยได ้นํ ามันเข ้าสูป ้ คือความคิดเรือ
่ งการดํารง
อยูแ ่ งึ่ ก็เป็ นคูไ่ ม่ตรงกันข ้ามอีกคูห
่ ละการไม่ดํารงอยูซ ่ นึง่ ทีค
่ วามจริงในเรือ
่ งของอะตอม
ดํารงอยูใ่ นทีแ
่ ห่งใดแห่งหนึง่ และไม่อาจกล่าวได ้ว่ามันไม่มอ
ี ยู่ โดยทีม
่ ันอยูใ่ นรูปของค่า
ความเป็ นไปได ้ และอนุภาคมีแนวโน ้มทีจ
่ ะปรากฏได ้ในหลาย ๆ แห่ง ดังนั น
้ มันจึงแสดง
ิ สท
ความจริงทางฟิ สก ์ ป
ี่ ระหลาดระหว่างการดํารงอยูแ
่ ละไม่ดํารงอยู่ เราจึงไม่อาจอธิบาย
สภาพของอนุภาคในแบบของความคิดซงึ่ ตรงกันข ้ามอย่างตายตัวอนุภาคมิได ้ปรากฏ ณ ที่
ใดทีห
่ นึง่ ทัง้ มีได ้ไม่ปรากฏ มันมิได ้เปลีย ่ งิ่ สงิ่ ทีเ่ ปลีย
่ นตําแหน่งของมัน ทัง้ มิได ้อยูน ่ นแปลง
ก็คอ
ื แบบแผนของการอาจเป็ นไปได ้ และนั น
้ คือแนวโน ้มของอนุภาคทีจ
่ ะดํารงอยู่ ณ ทีแ
่ ห่ง
ใดแห่งหนึง่ โรเบิรต
์ ออปเคนไฮเมอร์ (Robert Oppenheimer) กล่าวว่า
ิ สท
ความจริงในวิชาฟิ สก ์ วี่ า่ ด ้วยอะตอมก็เป็ นเชน
่ เดียวกับความจริงในศาสนา
ตะวันออกทีไ่ ปพ ้นกรอบแคบ ๆ ของความคิดทีต
่ รงกันข ้าม คํากล่าวของ ออปเคนไฮเมอร์
ี งสะท ้อนของคัมภีรอ
จึงเปรียบเสมือนเสย ์ ป
ุ นิษัท
มันเคลือ
่ นที่ มันไม่เคลือ
่ นที่
มันปรากฏในสงิ่ เหล่านีท
้ ัง้ หมด
และมันปรากฏนอกสงิ่ เหล่านีท ิ้
้ ัง้ สน
ความคิดในเรือ
่ งแรงและสสารของวัตถุ อนุภาคและคลืน
่ การเคลือ
่ นไหวและการ
่ ละการไม่ดํารงอยู่ เหล่านีเ้ ป็ นความคิดตรงกันข ้ามหรือขัดแย ้งกัน ซงึ่
หยุดนิง่ การดํารงอยูแ
ิ สส
วิชาฟิ สก ์ มัยใหม่ข ้ามพ ้นไปได ้ ในบรรดาความคิดตรงกันข ้ามเหล่านี้ คูส
่ ด
ุ ท ้ายดูจะเป็ น
ความคิดพืน
้ ฐานทีส
่ ด ิ สท
ุ และในวิชาฟิ สก ์ วี่ า่ ด ้วยอะตอมเราต ้องไปให ้พ ้นแม ้กระทั่งความคิด
เรือ
่ งการดํารงอยูแ
่ ละการไม่ดํารงอยู่ นีค ื ลักษณะของทฤษฎีควอนตัมซงึ่ ยากทีส
่ อ ่ ด
ุ ทีจ
่ ะ
ยอมรับได ้ และเป็ นหัวใจของการวิภาควิจัยต่อ ๆ มาเกีย
่ วกับการตีความของมัน ใน
ขณะเดียวกันการก ้าวพ ้นความคิดเรือ
่ งการดํารงอยูแ ุ หนึง่ ซงึ่ ชวน
่ ละไม่ดํารงอยู่ ก็เป็ นแง่มม
ฉงนมากทีส
่ ด ่ เดียวกับนั กฟิ สก
ุ ในศาสนาตะวันออก เชน ิ สท
์ ศ ึ ษาเรือ
ี่ ก ่ งอะตอม นั กปราชญ์
ั จะซงึ่ อยูเ่ หนือการดํารงอยูแ
ชาวตะวันออกสนใจค ้นหาสจ ่ ละการไม่ดํารงอยู่ และท่าน
เหล่านัน ่ ําคัญประการนี้ ดังทีท
้ ได ้เน ้นยํ้าอยูเ่ สมอถึงข ้อเท็จทีส ่ า่ นอัศวโฆษะกล่าวว่า
่ นัน
ความเป็ นเชน ่ าวะแห่งการดํารงอยู่ และมิใชภ
้ เอง มิใชภ ่ าวะแห่งการไม่ดํารงอยู่
่ าวะแห่งการดํารงอยูห
ในเวลาเดียวกัน ทัง้ มิใชภ ่ รือไม่ดํารงอยูใ่ นเวลาต่างกัน
“”วิธค
ี ด ั้ ็ นการวนรอบว ัตถุทต
ิ ของตะว ันออกสนเป ี่ งแห่
ั้ งความคิดและ
การเพ่งพินจ
ิ พิจารณา..มีล ักษณะหลายแง่มม
ุ นน
่ ั คือว่า เป็นความรูส ึ หลาย
้ ก
มิตซ ้ นก ันของ ความรูส
ิ งึ่ เกิดจากการซอ ึ แต่ละอ ัน จากแง่มม
้ ก ุ ต่าง ๆ ก ัน”
จุดหมายสําคัญอันเป็ นแกนกลางของศาสนาตะวันออกก็คอ
ื การหยั่งรู ้การที่
ปรากฏทัง้ มวลในโลกพิภพนีเ้ ป็ นสงิ่ ปรากฏแสดงของสจ
ั ธรรมสูงสุดประการเดียว สจ
ั ธรรมนี้
ถือเป็ นแก่นแท ้ของจักรวาล รองรับและเอาสรรพสงิ่ และเหตุการณ์อันหลากหลาย ซงึ่ เรา
สงั เกตเห็นได ้นัน ิ ดูเรียกสงิ่ นั น
้ อยูใ่ นเอกภาพอันหนึง่ อันเดียวกันฮน ้ ว่า พรหมัน ชาวพุทธ
ั ตะ) หรือ ตถตา (ความเป็ นเชน
เรียกว่า ธรรมกาย (กายแห่งสต ่ นั น
้ เอง) และเต๋า สําหรับผู ้นั บ
ั ธรรมดังกล่าวอยูเ่ หนือความคิดนึก และท ้าทายต่อ
ถือลัทธิเต๋า แต่ละฝ่ ายล ้วนยืนยันว่าสจ
คําอธิบายต่าง ๆ
ความคิดสําคัญอันเป็ นแกนกลางของนิกายคีกอนก็คอ
ื การเข ้าใจจักรวาลในเชงิ
่ นไหว จักรวาลซงึ่ มีลักษณะสําคัญคือเคลือ
เคลือ ่ นทีอ
่ ยูเ่ สมอ อยูใ่ นภาวะแห่งการณ์
เคลือ
่ นไหวตลอดเวลา นัน ื ชวี ต
้ ก็คอ ิ
การสอนเน ้นอยูท
่ ก
ี่ ารเคลือ
่ นไหว เลือ ่ นแปลง มิใชเ่ ป็ นลักษณะ
่ นไหล และเปลีย
สําคัญของคําสอนของศาสนาตะวันออกเท่านั น ุ สําคัญในโลกทัศน์ของ
้ หากยังเป็ นแง่มม
ผู ้สนใจ ในความลึกซงึ้ ของชวี ต ั สอนว่า “ทุก
ิ ตลอดทุกยุคทุกสมัย ในกรีกโบราณเฮราคลิตส
สงิ่ เลือ
่ นไหล” และเปรียบโลกกับไฟซงึ่ ดํารงอยูต
่ ลอดเวลาในเม็กซโิ ก ดอน ฮวน อาจารย์
แห่งเผ่ายาคีกล่าวถึง “โลกซงึ่ ลอยต ัว” และยืนยันว่า “การจะเป็นผูร้ น
ู ้ น”
ั้ บุคคลต ้องทํา
ตนให ้เบาและเลือ
่ นไหลได ้
12.1 องค์รวมทีม ี วี ต
่ ช ิ
แนวความคิดเรือ
่ งฤตา ในคัมภีรพ
์ ระเวท ได ้เกิดขึน ่ ง กรรม ซงึ่ ถูก
้ ก่อนความคิดเรือ
พัฒนาขึน
้ ในภายหลัง เพือ ั พันธ์เชงิ เคลือ
่ แสดงความสม ่ นไหวของสรรพสงิ่ และเหตุการณ์
ั พันธ์อย่างเคลือ
ทัง้ หลาย กรรม หมายถึง “การกระทํา” และมุง่ แสดงความสม ่ นไหว หรือ
อย่าง “กระตือรือร้น” ของปรากฎการณ์ทัง้ หลาย ในคัมภีรภ
์ ควัทคีตากล่าวไว ้ว่า “ การ
้ ภายใต้เงือ
กระทําทุกชนิดเกิดขึน ่ นไขของกาลเวลาโดยการสานต่อของแรงต่างๆ
ของธรรมชาติ” พระพุทธเจ ้าได ้นํ าความคิดเรือ ้
่ งกรรมมาใชและให ้ความหมายใหม่ โดย
ขยายขอบเขตความคิดในเรือ ั พันธ์ อันเป็ นพลวัตนั น
่ ง การสอดประสานสม ่ ภาพการณ์
้ สูส
้ กรรม จึงกลายมาเป็ นสว่ นขยายของสายโซแ
ของมนุษย์ ดังนัน ่ ห่งเหตุและผล อันไม่รู ้สน
ิ้ สุด
ของชวี ต
ิ มนุษย์ ซงึ่ พระพุทธองค์ทรงหักทําลายลงได ้ในการตรัสรู ้ของพระองค์
ิ ดูมวี ธิ ม
ศาสนาฮน ี ากมายทีจ
่ ะแสดงธรรมชาติอันเคลือ
่ นไหวของจักรวาลในภาษา
่ ระกฤษณะกล่าวไว ้ใน คีตา ว่า “หากข้าฯ ไม่ตงตนอยู
ของเทพปกรณั ม ดังทีพ ั้ ใ่ นการ
้ ็จะสลายลง” และพระศวิ ะ พระผู ้เริงรําแห่งเอกภพดูจะเป็ น
กระทํา โลกพิภพนีก
บุคลาธิษฐาน แทนจักรวาลอันเคลือ
่ นไหวทีส
่ มบูรณ์ทส
ี่ ด
ุ ด ้วยการเริงรําของพระองค์ พระ
ศวิ ะได ้ทําให ้ปรากฏการณ์อันหลากหลายในโลกดําเนินไป พระองค์รวมเอาทุกสงิ่ ไว ้ใน
จังหวะแห่งการร่ายรําของพระองค์ นับเป็ นรูปเคารพซงึ่ แสดงถึงเอกภาพอันเป็ นพลวัตของ
จักรวาลได ้งดงามยิง่
“ปร ัชญาแห่งการเคลือ ้ี ก
่ นไหวอ ันน่ามห ัศจรรย์นถ ้ โดย
ู สร้างขึน
พระพุทธเจ้าเมือ ึ ต่อความไม่คงตัวของวัตถุ การกลับ
่ 2,500 ปี มาแล ัว” …ด ้วยความรู ้สก
กายเปลีย
่ นแปลงบางอย่างไม่มท
ี ส ิ้ สุดของสงิ่ ต่าง ๆ พระพุทธองค์ทรงให ้กําเนิดแก่ปรัชญา
ี่ น
่ นแปลง พระองค์ทรงย่อยสลายสสารวัตถุ วิญญาณ อณูสงิ่ ต่าง ๆ ลงเป็ นแรง การ
การเปลีย
เคลือ
่ นไหว ลําดับ และกระบวนการ ทัง้ สร ้างแนวคิดเรือ ั จะในเชงิ พลวัต
่ งสจ
แผนภูมแ
ิ ห่งการเปลีย
่ นแปลงตามแบบลัทธิเต๋า แสดงการลืน
่ ไหล และ การ
เปลีย
่ นแปลงรูปลักษณ์ อันเป็ นเนือ
้ หาของโลกกายภาพ : ศตวรรษทีส ิ เอ็ด, คัดลอกจาก
่ บ
คัมภีรเ์ ต๋าจัง
12.2 ผูม
้ าและไป
ึ ษาคัมภีรข
ยิง่ เราศก ิ ดู พุทธ และเต๋ามากขึน
์ องฮน ั เจน
้ เท่าใด เราก็ยงิ่ ประจักษ์ชด
ขึน
้ ว่าในทุกศาสนานัน
้ ถือว่าโลกมีลักษณะแห่งการเคลือ
่ นไหว เลือ
่ นไหลเปลีย
่ นแปลง
ื่ มโยง
นักปราชญ์ตะวันออกเห็นว่าจักรวาลเป็ นข่ายใยอันไม่อาจแยกจากกันได ้ และความเชอ
ภายในข่ายในนัน
้ มีลักษณะ เคลือ
่ นไหว เติบโต และเปลีย
่ นแปลงอย่างต่อเนือ ่ เดียวกับ
่ งเชน
ิ สส
วิชาฟิ สก ์ มัยใหม่ก็เห็นว่าจักรวาลเป็ นข่ายใยแห่งสม
ั พันธ์ซงึ่ มีลักษณะเคลือ
่ นไหวโดย
เนือ
้ หา พลวัตแห่งสสารวัตถุเกิดขึน
้ ในทฤษฎีควอนตัมโดยเป็ นผลเนือ
่ งมาจากคุณสมบัต ิ
ความเป็ นคลืน ั พันธ์มากยิง่ ขึน
่ ของอนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอม และยิง่ มีความสม ้ ในทฤษฎี
ั พัทธภาพ ซงึ่ การรวมเป็ นหนึง่ เดียวของอวกาศและเวลาได ้แสดงนั ยทีว่ า่ การดํารงอยูข
สม ่ อง
สสารวัตถุไม่อาจแยกได ้จากกิจกรรมของมัน ดังนั น
้ คุณสมบัตข
ิ องอนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอม
นัน ึ ษาเข ้าใจในแง่การเคลือ
้ เราจะต ้องศก ่ นไหว ในปฏิกริ ย
ิ า และการเปลีย
่ นแปลงของมัน
ิ สส
วิชาฟิ สก ์ มัยใหม่ จึงมองภาพของสสารวัตถุ มิใชส
่ งิ่ ซงึ่ เฉื่อยชา ไร ้การกระทํา
แต่เป็ นสงิ่ ทีม
่ ก
ี ารร่ายรํา และเคลือ ั่ สะเทือนอย่างต่อเนือ
่ นไหวสน ่ ง โดยทีจ
่ ังหวะการเคลือ
่ นที่
ของมัน ถูกกําหนดโดยโครงสร ้างของโมเลกุล อะตอมและนิวเคลียส และนีก
่ ็เป็ นวิธท
ี ี่
นักปราชญ์ตะวันออก มองโลกแห่งวัตถุ โดยต่างเน ้นให ้เห็นว่า ต ้องเข ้าใจจักรวาลในเชงิ
พลวัต เนือ
่ งจากมันเคลือ ั่ ไหว และร่ายรําตลอดเวลา เน ้นให ้เห็นว่า ธรรมชาติอยูใ่ น
่ นที่ สน
ดุลยภาพอันเคลือ ่ ยุดนิง่ ในคัมภีรข
่ นไหว มิใชห ์ องเต๋ากล่าวไว ้ว่า
่ วามสงบนิง่ ทีแ
“ความสงบนิง่ ในความสงบนิง่ มิใชค ่ ม้จริง แต่เมือ
่ มีความ
สงบนิง่ ในท่ามกลางการเคลือ
่ นไหวเท่านน
ั้ ท่วงทํานองแห่งจิตวิญญาณจึงปรากฏ
ทงในสวรรค์
ั้ และบนโลกพิภพ”
ิ ส ์ เราตระหนักถึงลักษณะอันเคลือ
ในวิชาฟิ สก ่ นไหวของจักรวาลไม่เพียงแต่ในมิต ิ
ของสงิ่ มีชวี ต ่ อะตอมหรือนิวเคลียสเท่านั น
ิ ขนาดเล็ก เชน ิ องสงิ่ ทีม
้ แต่รวมถึงในมิตข ่ ข
ี นาด
่ อาณาจักรแห่งดวงดาวและดาราจักร (galaxies) เราสงั เกตเห็นว่าจักรวาลกําลัง
ใหญ่ เชน
่ นที่ ทัง้ นีโ้ ดยอาศัยกล ้องโทรทัศน์ซงึ่ มีขนาดกําลังขยายมาก กลุม
เคลือ ่ เมฆของก๊าซ
่ นไปในท ้องฟ้ าได ้รวมตัวและหดตัวลงเป็ นดวงดาว ซงึ่ ก่อให ้เกิดความ
ไฮโดรเจนหมุนเคลือ
ร ้อนขึน
้ ถึงจุดหนึง่ ทําให ้มันลุกไหม ้ขึน
้ เป็ นดวงไฟในท ้องฟ้ า เมือ
่ ถึงสภาวะนั น
้ มันก็ยังคง
ิ้ สว่ นของมันหลุดออกมาในอวกาศ หมุนคว ้างออกไป
หมุนไป ดาวบางดวงได ้สลัดเอาชน
ิ้ สว่ นเหล่านัน
และชน ้ ได ้รวมตัวเข ้าเป็ นดาวเคราะห์โคจรรอบ ๆ ดาวดวงนั น
้ ในทีส
่ ด
ุ นั บจาก
่ ก๊าซไฮโดรเจนซงึ่ เป็ นเชอ
เวลาผ่านไปนับด ้วยล ้าน ๆ ปี เมือ ื้ เพลิงนั น
้ สว่ นใหญ่ถก ้
ู ใชหมดไป
ดวงดาวก็ขยายตัวออก และแล ้วก็หดตัวเข ้าอีกครัง้ หนึง่ ด ้วยอํานาจแรงโน ้มถ่วง การยุบตัวนี้
อาจทําให ้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงสุดประมาณ หรืออาจทําให ้ดวงดาวนัน
้ กลายเป็ นหลุม
ดํา (Black Hole) ไป สงิ่ ต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่วา่ จะเป็ นการก่อตัวขึน
้ เป็ นดวงดาวจากกลุม
่ ก๊าซ
ซงึ่ ลอยอยูร่ ะหว่างหมูด
่ าว การหดตัว การขยายตัวของมันในเวลาต่อมา และการยุบตัวใน
ท ้ายทีส ุ เป็ นสงิ่ ทีเ่ รามารถสงั เกตเห็นได ้ในอาณาบริเวณต่าง ๆ ในท ้องฟ้ า
่ ด
12.4 อวกาศไม่แบนแต่โค้ง
เพือ
่ ทีจ
่ ะให ้เข ้าใจการขยายตัวของจักรวาลได ้ดีขน
ึ้ เราจะต ้องระลึกถึงโครงร่างใน
ึ ษาเกีย
การศก ่ วกับจักรวาลในระดับกว ้างของไอน์สไตน์ตามทฤษฎีนอ ่ งิ่
ี้ วกาศไม่ใชส
ที่ “แบน” แต่ “โค้ง” และความโค ้งของมันขึน
้ อยูก
่ ับการกระจายตัวของสสารวัตถุตาม
ทฤษฎีไอน์สไตน์ นับเป็ นจุดเริม
่ ต ้นของวิทยาสมัยใหม่
เมือ
่ เราพูดถึงการขยายตัวของจักรวาลในโครงร่างของทฤษฎีทั่วไป เราหมายถึง
การขยายตัวในมิตท
ิ ส ่ เดียวกับภาพอวกาศทีโ่ ค ้งตัวเราจะเข ้าใจภาพการขยายตัว
ี่ งู กว่า เชน
ของจักรวาลโดยอาศัยข ้อเปรียบเทียบ 2 มิต ิ ลองนึกถึงลูกโป่ งทีม
่ จ
ี ด
ุ เล็ก ๆ อยูท
่ ั่วผิวหน ้า
้ แทนดาราจักรซงึ่ กระจายอยูท
ของมัน และจุดเล็ก ๆ เหล่านัน ่ ั่วอวกาศ เมือ
่ ลูกโป่ งถูกเป่ าให ้
พองขึน
้ ระยะห่างระหว่างจุดเล็ก ๆ แต่ละจุดให ้เพิม
่ ขึน
้ ไม่วา่ คุณจะอยูด
่ าราจักรใดดาราจักร
อืน
่ ๆ ก็จะเคลือ
่ นออกจากคุณ
คําถามเกีย
่ วกับการเคลือ
่ นตัวของจักรวาลจะเกิดขึน
้ อย่างแน่นอนทัง้ หมดนีเ้ ริม
่ ต ้น
ั พันธ์ระยะทางระหว่างดาราจักรและความเร็วของมัน ตามทฤษฎี
มาได ้อย่างไร จากความสม
ของฮับเบิล (Hubble’s Law) เราก็จะคํานวณจุดเริม
่ ต ้นของการขยายตัวได ้ กับอีกนั ยหนึง่
คือคํานวณอายุของจักรวาลได ้ สมมติวา่ ไม่มก ่ นแปลงในอัตราการขยายตัว ซงึ่
ี ารเปลีย
แน่นอนไม่มท
ี างเป็ นไปได ้ เราจะคํานวณอายุของจักรวาลได ้ประมาณ 10,000 ล ้านปี ใน
ปั จจุบันนักจักรวาลวิทยาสว่ นใหญ่เชอ
ื่ กันว่าจักรวาลเริม
่ ต ้นเมือ
่ 10,000 ล ้านปี ทแ
ี่ ล ้ว โดย
มวลสารทัง้ หมดของมันระเบิดออกมาจากลูกไฟดวงแรก ซงึ่ มีขนาดเล็ก การขยายตัวของ
จักรวาลทีย
่ ังคงเป็ นอยูใ่ นปั จจุบัน แสดงถึงแรงระเบิด ทีย
่ ังหลงเหลืออยูต
่ ามแบบจําลอง
หากเราต ้องการจะรู ้ว่า ก่อนขณะนัน
้ เรามีอะไรเกิดขึน ิ กับความยุง่ ยากอย่าง
้ เราจะต ้องเผชญ
ฉกาจฉกรรจ์ ในทางความคิดและภาษาอีกครัง้ หนึง่ เซอร์เบอร์นาร์ด โลเวลส ์ ได ้กล่าวไว ้ว่า
“เราได้มาถึงอุปสรรคอ ันมหึมาของความคิดเนือ
่ งจากเราเริม ้ ับ
่ ต่อสูก
ความคิดเรือ
่ งเวลาและอวกาศก่อนทีจ
่ ะมีอยู่ ในความหมายอย่างทีเ่ ราประสบใน
ประจําว ันของเรา ข้าพเจ้ารูส ึ เหมือนก ับว่าได้ข ับรถเข้าไปในหมอกอ ันหนาทึบทีส
้ ก ่ ด
ุ
ซงึ่ โลกทงโลกที
ั้ เ่ คยคุน
้ ได้มลายไป”
แต่ข ้าไม่ผก
ู ยึดอยูก
่ ับงานสร ้างสรรค์อันใหญ่หลวงนี้ ข ้า เป็ น
และ ข ้าเฝ้ าดูการดําเนินแห่งการงานนัน
้
่ ําคัญทีส
ตัวอย่างทีส ่ ด ื สมการของไอน์สไตน์ซงึ่ เป็ นทีร่ ู ้จักกันดี
ุ ก็คอ
ั พันธ์ของพลังงานและมวลสาร ซงึ่ เป็ น 2 แนวคิดทีด
E=mc2 แสดงความสม ่ เู หมือนว่า ไม่
ั พันธ์กันได ้ พลังงานคือความสามารถในการทํางาน เชน
น่าจะสม ่ เมือ
่ เราต ้มนํ้ าให ้เดือด เรา
ต ้องอาศัยพลังงานความร ้อน ทีอ
่ าจเปลีย
่ นแปลงมาจากพลังงานไฟฟ้ า หรือพลังงานเคมี
และความสําคัญขัน
้ พืน
้ ฐานของมัน อยูท
่ ข
ี่ ้อเท็จจริงทีว่ า่ พลังทัง้ หมดทีเ่ กีย
่ วข ้องในกระบาน
การหนึง่ นัน
้ จะต ้องไม่สญ
ู หาย มันอาจจะเปลีย
่ นรูปด ้วยกลวิธท
ี ซ ั ซอน
ี่ บ ้ และยังไม่เคยมีสงิ่ ที่
อยูน
่ อกกฎนีป
้ รากฏขึน
้
ความคิดในเรือ
่ งสนาม ถูกเสนอเข ้ามาอธิบายถึงแรงระหว่างประจุไฟฟ้ าและ
กระแสไฟฟ้ า โดยฟาราเดย์และแมกซเ์ วลสใ์ นศตวรรษทีส ิ เก ้า สนามไฟฟ้ า คือสภาพการณ์
่ บ
ในทีว่ า่ งรอบประจุอันหนึง่ ซงึ่ ก่อให ้เกิดแรงกระทําบนประจุอน
ื่ ทีป
่ รากฏในทีว่ า่ งนัน
้ ดังนั น
้
สนามไฟฟ้ าจึงเกิดจากประจุไฟฟ้ า และจะมีผลต่อประจุไฟฟ้ าอันอืน
่ สนามแม่เหล็กเกิดจาก
ประจุไฟฟ้ าซงึ่ กําลังเคลือ
่ นที่ นั่นคือจากกระแสไฟฟ้ า และแรงแม่เหล็กจะมีผลเฉพาะต่อ
ประจุซงึ่ เคลือ
่ นที่ ในทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้ าดัง้ เดิม ทีเ่ สนอโดยฟาราเดย์และแมกซเ์ วลสน
์ ัน
้
ิ สข
สนามเป็ นสภาพจริงทางฟิ สก ์ น
ั ้ ปฐมภูม ิ ซงึ่ อาจศก
ึ ษาได ้โดยไม่จําเป็ นต ้องอิงอาศัยตัว
วัตถุ สนามแม่เหล็กและไฟฟ้ า สามารถเคลือ
่ นทีผ
่ า่ นอวกาศในรูปของวิทยุ คลืน
่ แสงหรือใน
ี ม่เหล็กไฟฟ้ าชนิดอืน
รูปรังสแ ่
ความคิดในเรือ
่ งสนามมิได ้เกีย
่ วข ้องกับแรงแม่เหล็กไฟฟ้ าเท่านั น ั พันธ์
้ หากยังสม
กับแรงอันสําคัญในโลก นั่นคือแรงโน ้มถ่วง สนามความโน ้มถ่วงมีผลต่อวัตถุซงึ่ ทรงมวล
้ โดยต่างจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้ าซงึ่ มีผลต่อเฉพาะ
ทัง้ หลายทุกชนิด โดยดึงดูดวัตถุนัน
ประจุไฟฟ้ าและอาจเป็ นแรงผลักหรือแรงดูดก็ได ้ ทฤษฎีสนามซงึ่ กล่าวถึงสนามความโน ้ม
ถ่วงได ้อย่างถูกต ้องทีส
่ ด ั พัทธภาพทั่วไป และในทฤษฎีนม
ุ คือทฤษฎีสม ี้ ก
ี ารกล่าวถึงอิทธิพล
ของวัตถุซงึ่ ทรงมวล ต่อทีว่ า่ งโดยรอบตัวของมันอย่างละเอียดลออ มากกว่าอิทธิพลของ
วัตถุซงึ่ มีประจุในวิชาพลศาสตร์ไฟฟ้ า อีกครัง้ หนึง่ ทีท ู “กําหนด
่ วี่ า่ งรอบ ๆ วัตถุถก
สภาพ” ในลักษณะทีว่ ต
ั ถุอน ึ ถึงแรงของมัน ทว่าในครัง้ นีม
ื่ จะรู ้สก ้ ผ
ี ลต่อโครงสร ้างอวกาศ
13.1 สนามของสสาร
ั พันธ์ระหว่างสสารวัตถุและสภาพแวดล ้อมของมัน
เอกภาพและความประสานสม
ซงึ่ แสดงออกในระดับมหภาคในทฤษฎีสม
ั พัทธภาพทั่วไป ปรากฏในระดับอนุภาคทีเ่ ล็กกว่า
ั เจนและน่าสนใจยิง่ กว่า ความคิดทฤษฎีสนามดัง้ เดิมได ้ถูกรวมเข ้ากับทฤษฎี
อะตอมอย่างชด
ควอนตัมเพือ
่ ทีจ
่ ะอธิบายปฏิกริ ย
ิ าระหว่างอนุภาคทีเ่ ล็กกว่าอะตอม การรวมกันของสอง
ทฤษฎีเพือ
่ ทีจ ิ าโน ้มถ่วงยังไม่ปรากฏผลสําเร็จ เนือ
่ ะอธิบายปฏิกริ ย ั ซอนทาง
่ งจากความซบ ้
สมการคณิตศาสตร์ ของทฤษฎีความโน ้มถ่วงของไอน์สไตน์ แต่ในแง่ของวิชาพลศาสตร์
ไฟฟ้ าได ้รวมเข ้ากับทฤษฎีควอนตัมเป็ นทฤษฎีใหม่ทเี่ รียกว่า “ควอนต ัมอิเล็ กโตร
ไดนามิกส”์ ซงึ่ สามารถอธิบายปฏิกริ ย
ิ าทางแม่เหล็กไฟฟ้ าทัง้ หมดระหว่างอนุภาคทีเ่ ล็ก
ั ัทธ์” ของฟิ สก
กว่าอะตอมได ้เป็ นอย่างดีนับเป็ นแบบแผน “ควอนต ัม-สมพ ิ สส
์ มัยใหม่ชน
ิ้
แรก และยังคงประสบผลสําเร็จเป็ นอย่างมากเรือ
่ ยมา
ด ังนนเราอาจกล่
ั้ าวได้วา ื อวกาศบางสว่ นซงึ่ สนามมีความ
่ สสารว ัตถุคอ
เข้มข้นสูงมาก …ไม่มท
ี วี่ า ํ หร ับทงสนามและสสารว
่ งสา ั้ ัตถุพร้อมก ันในฟิ สก ์ ย่าง
ิ สอ
ใหม่น ี้ เนือ ั้ เ่ ป็นสงิ่ จริงแท้
่ งจากสนามเท่านนที
13.2 สุญญตา
พรหมันคือชวี ต
ิ พรหมันคือความร่าเริง พรหมันคือความว่าง…
สงบ จงบูชามัน
จากสงิ่ นัน
้ ทีเ่ ขามา
่ งิ่ นัน
สูส ้ ทีเ่ ขาจักต ้องมลายไป
ด ้วยสงิ่ นัน
้ ทีเ่ ขาหายใจ
13.3 ฉี้
ดังนัน
้ จึงรวบรวมเข ้าและกระจัดกระจายออกสลับกันไป ก่อกําเนิดแก่รป
ู ทัง้ มวล
ซงึ่ ในทีส
่ ด ่ วามว่าง จังไซกล่าวว่า
ุ ก็มลายไปสูค
ความว่างอันมหึมานัน
้ ย่อมประกอบด ้วยฉี้ ฉี้ยอ
่ มรวบรวมหนาแน่นเข ้าก่อตัวเป็ น
สรรพสงิ่ และสรรพสงิ่ ย่อมกระจัดกระจายออกเพือ ่ วามว่างอันมหึมา (อีกครัง้ )
่ กลับสูค
ิ สส
ทฤษฎีของวิชาฟิ สก ์ มัยใหม่ ได ้นํ าความคิดของเราเกีย
่ วกับแก่นแท ้ของสสาร
่ อบเขตทีต
วัตถุไปสูข ่ า่ งไปจากเดิม มันได ้นํ าเราจากสงิ่ ทีเ่ ห็นได ้คือ อนุภาค ไปสูส
่ งิ่ ทีร่ องรับ
มันอยูค
่ อ
ื สนาม การปรากฏของวัตถุเป็ นเพียงการรบกวนต่อสภาพทีส
่ มบูรณ์ของสนาม ณ ที่
้ เป็ นสงิ่ ทีเ่ กิดโดยไม่คาดฝั น เราอาจจะกล่าวได ้ว่าเป็ นเพียง “มลทิน” อันหนึง่ ของ
แห่งนัน
สนาม และไม่มก
ี ฎเกณฑ์งา่ ย ๆ ทีอ
่ ธิบายแรงกระทําระหว่างอนุภาคพืน
้ ฐาน…ระเบียบและ
สมมาตรพึงหาได ้จากสนามซงึ่ รับมันอยู่