You are on page 1of 30

ก่อนวันสิ้นโลกมาถึง...

มนุษย์ควรใช้ชีวิต
อย่างไร
ภัยธรรมชาติหลากหลายที่เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้น
ตลอดจนการกระพือข่าวของสื่อต่างๆ ได้ทำาให้คนไม่นอ ้ ย
เริ่มเชื่อว่าเหตุการณ์วันสิ้นโลกปี ๒๐๑๒ ดังที่เห็นใน
ภาพยนต์ของฮอลลีว้ดคงต้องเป็ นจริง และทำาให้คนไม่
น้อยหวาดกลัวต่อความตาย เหมือนยมบาลกำาลังวิ่งไล่จ่อ
อย่้ข้างหลัง และกำาลังจะตะปบเราทันแล้ว
ดิฉน
ั อยากจะพ้ดฟั นธงว่า ไม่มีใครสามารถร้้ได้อย่าง
แน่ ชัดล้านเปอร์เซนต์ว่าเหตุการณ์วันสิ้นโลกอันเกิดจาก
แกนโลกพลิกนั้นจะเกิดจริงหรือไม่ นี่ เป็ นข้อเท็จจริงที่ไม่มี
ใครร้้แน่ ชัดจนกว่าเหตุการณ์จริงจะเกิดขึ้น เมื่อไร ก็เมื่อนั้น
เหมือนเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆที่เกิดในอดีต เช่น ผ้้ก่อการ
ร้ายเอาเครื่องบินชนตึกเวิรล์เทรด อุบัติเหตุของเจ้าหญิง
ไดอาน่ า แผ่นดินไหวใต้ท้องทะเลที่อินโดนี เซียจนก่อให้เกิด
คลื่นยักษ์สึนามิกลืนคนไปถึง ๒๖๐,๐๐๐ ชีวิต เป็ นต้น หลัง
จากที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว มักจะมีคนออกมาพ้ดว่า ได้ร้
ถึงหรือฝั นถึงเหตุการณ์น้ันนี้ บ้าง แต่ก็ไม่มีผลเพียงพอที่จะ
ป้ องกันไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายนั้นเกิดได้ คนก็ยังตายอย่้
นั่นเอง เพราะถึงแม้พ้ดไป ก็คงไม่มีใครเชื่อ ถึงขนาดจะหา
ทางป้ องกันไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิด ซึ่งคงจะเหมือนกับ
เหตุการณ์วันสิ้นโลกซึ่งคาดว่าจะเกิดในวันที่ ๒๑ เดือน ๑๒
ปี ๒๐๑๒ ใครอยากเชื่อ ก็เชื่อไป ใครไม่อยากเชื่อ ก็ไม่ต้อง
เชื่อ เหตุการณ์น้ี อาจจะต่างจากเหตุการณ์เลวร้ายอื่นๆในแง่
ที่ว่า เป็ นเหตุการณ์อนาคตที่พ้ดถึงกันอย่างกว้างขวาง
มากกว่าเรื่องอื่นๆที่ได้ยกตัวอย่างไปแล้ว เพราะเป็ น
เหตุการณ์ท่ีจะกระทบคนทั้งโลกนั่นเอง
ภัยของคุกชีวิตเป็นเรื่องธรรมดา
ในส่วนตัวของดิฉน ั นั้น ไม่ได้เห็นว่า มหันตภัยที่กำาลัง
เกิดขึ้นนี้ เป็ นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด เพราะเข้าใจ
ชัดเจนด้วยปั ญญาทางธรรมว่า นี่ เป็ นเรื่องธรรมดาของโลก
ของจักรวาลอันเป็ นส่วนหนึ่ งของคุกชีวิตที่กำาลังกักขังมนุษย์
ผ้้เป็ นนักโทษที่ดีและนักโทษไม่ดีท้ังหลายเหมือนกันหมด
พ้ดง่ายๆว่าเป็ นมหันตภัยจากธรรมชาติเหล่านี้ ล้วนเป็ นภัย
ของสังสารวัฏ (คุกชีวิต)นั่นเอง จะให้เป็ นนักโทษอย่้ในคุก
โดยไม่เจอภัยอันตรายต่างๆย่อมเป็ นไปไม่ได้ ดิฉน ั ไม่
จำาเป็ นต้องร้้คำาตอบว่าเหตุการณ์วันสิ้นโลกจะเกิดจริงหรือ
ไม่ เพราะดิฉน ั เห็นมหันตภัยที่ร้ายแรงมากกว่าเหตุการณ์
วันสิ้นโลกที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกวันเวลา แต่มนุษย์ส่วนมาก
มักมองไม่เห็นภัยที่น่ากลัวเหล่านั้น นั่นคือ ภัยจากการเกิด
แก่ เจ็บ ตาย หรือ เกิดขึ้น ตั้งอย่้ เปลี่ยนแปลง และดับไป
ซึ่งเป็ นภัยที่กำาลังเบียดเบียนมนุษย์ตลอดเวลาอย่างแนบ
เนี ยนมาก ปั ญญาหางอึ่งของมนุษย์จึงมองไม่เห็น การ
หัวเราะและร้องไห้หรือสุขทุกข์ของมนุษย์ในแต่ละวันล้วน
เป็ นผลของภัยอันตรายที่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอด
เวลา เปรียบเหมือนลมมรสุมที่มีความรุนแรงในระดับ
ต่างๆ มีความสามารถพัดพา เปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้เกิด
ขึ้น ตั้งอย่้ และหายไปเสมอ ตราบใดที่มีลมมรสุมใหญ่นอ ้ ย
พัดพาอย่้เช่นนี้ จึงไม่มีอะไรเที่ยงแท้ถาวรที่จะพึ่งพาได้
ตลอดไป นักโทษของคุกชีวิตคือมนุษย์จึงต้องวนเวียนอย่้
กับการหัวเราะและร้องไห้เสมอ สุขมา ก็ไม่ได้อย่้นาน
เดีย๋ วก็หายไป ทุกข์มา มักจะอย่้นานกว่าสุขหน่ อย แล้ว
มันก็ต้องหายไปในที่สุด แต่ก่อนที่ทุกข์จะหายไปนั้น
นักโทษไม่นอ้ ยที่ทนกับความเจ็บปวดของความทุกข์ไม่ได้
ไปทำาร้ายตัวเองจนตายเสียก่อนที่ความทุกข์จะหายไป ก็มี
มากมาย
นี่ คือข้อเท็จจริงของโลกมนุษย์อันเป็ นห้องหนึ่ งของคุก
ชีวิตที่ทก ุ คนจะต้องมองด้วยปั ญญาทางธรรมที่พระบรม
ศาสดาได้ป้ทางให้ จึงจะสามารถเห็นภัยที่แท้จริงต่างๆที่มี
อย่้ทุกหย่อมหญ้า คนที่ยังมีอวิชชา ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ จะ
มองภัยที่แนบเนี ยนเหล่านี้ ไม่ออก
ทำาไมคนยุคนี้ต้องคิดเรื่องไปนิ พพาน
เมื่อเข้าใจเรื่องภัยอันตรายที่เกิดในคุกชีวิตแล้ว ก็จะ
เข้าใจต่อไปว่า ทำาไมดิฉน ั จึงต้องการพาคนยุคนี้ ไปนิ พพาน
เพราะนิ พพานคือ ชีวิตอิสระนอกคุกนั่นเอง ใครที่ไปถึง
นิ พพานได้ จะไม่ต้องเจอภัยมรสุมต่างๆที่มาพัดพาให้ทุก
อย่างเปลี่ยนแปลงจนทำาให้หัวเราะร้องไห้ ใครไปถึง
นิ พพานได้ ก็จะปลอดภัย ทุกคนสามารถไปถึงนิ พพานได้
ในขณะที่ยังมีชีวิต หายใจอย่้ ไม่ใช่ว่าต้องตายก่อน จึงจะไป
นิ พพานได้ นั่นเป็ นเรื่องเข้าใจผิด อันเป็ นผลจากการสอนที่
ผิด
ฉะนั้น เราจะมาสมมุติกันก่อนว่า เหตุการณ์วน ั สิ้น
โลกจะเกิดขึ้นจริงๆ คำาถามต่อไปคือ ชาวโลกควรจะใช้ชีวิต
อย่างไรในช่วงระหว่าง “รอความตาย” หรือ “รอรอด
ชีวต
ิ ” จำาเป็ นต้องตกลงกันก่อนว่า คำาแนะนำาที่ดิฉน ั กำาลัง
จะให้ในบทความนี้ มีความต่อเนื่ องกับบทความเรื่อง “ทำาไม
คนยุคนี้ ต้องคิดเรื่องไปนิ พพาน” เป็ นคำาแนะนำาสำาหรับ
คนที่ร้แน่ ชัดแล้วว่ามหันตภัยที่กำาลังเกิดขึ้นตามจุดต่างๆ
ของโลกเหล่านี้ เป็ นภัยของคุกชีวิต และต้องการจะออกจาก
คุกชีวต ิ อย่างถาวร คือ ไปนิ พพานอันเป็ นสภาวะเดียวที่จะ
รอดพ้นจากภัยของสังสารวัฏได้อย่างแท้จริง ฉะนั้น บุคคล
กลุ่มนี้ จึงกำาลังให้ความสนใจกับการปฏิบัตส ิ ติปัฏฐานสี่
วิปัสสนา หรือ การพาตัวใจกลับบ้าน อันเป็ นทางสาย
ตรงทีจ ่ ะพาคนแหกคุกชีวิตนี้ ดิฉน ั ได้เปรียบเทียบความ
ร้้เรื่องสติปัฏฐานของยุคนี้ ว่าเป็ น “รถไฟขบวนสุดท้าย”
ที่จะพาคนออกจากคุกชีวิตไปนิ พพาน ใครที่กำาลังฝึ กฝน
เรื่องพาตัวใจกลับบ้านอย่้จะสามารถเข้าใจคำาแนะนำาที่ดิฉน ั
จะให้ แต่คนที่ไม่ได้ปฏิบต ั ิเรื่องการเอาสติมาตรึงที่ฐานหรือ
พาตัวใจกลับบ้านอาจจะอ่านบทความนี้ อย่างงงงวย ไม่
เข้าใจ เพราะยังขาดปั ญญาทางธรรม จึงทำาไม่ได้ในภาค
ปฏิบัติ แต่คนที่กลัวภัยธรรมชาติและกลัวตายก็ยังสามารถ
อ่านเอาใจความได้ และอาจจะเริ่มให้ความสนใจเรื่อง
การพาตัวใจกลับบ้านก็ได้
จำานวนประชากรโลก
ก่อนที่จะเข้าส่้คำาแนะนำาว่าควรจะใช้ชีวิตอย่างไรก่อน
วันสิ้นโลก เราควรมาด้ตัวเลขของประชากรโลกเสียก่อน
และเทียบเคียงกับขนาดของการทำาลายล้าง หากยุคนี้ เป็ น
ยุคมิคสัญญีจริง

(มิคสัญญีคือยุคที่มนุษย์เข้าใจผิดว่า เพื่อนมนุษย์กันเอง

เป็ นสัตว์ หรือผักปลา สามารถเด็ดชีวิตได้โดยไม่ร้สึกอะไร)

พระพุทธเจ้าได้บอกไว้ชัดเจนว่า หลังจากการทำาลาย
ล้างซึ่งกันและกันซึ่งจะเกิดขึ้นอย่้ ๗ วัน คนดีมีศีลธรรม จะ
หนี ไปอย่้ในป่ าลึก และมีชีวิตรอด ฉะนั้น แม้หลังยุคมิคสัญญี
แล้ว ก็จะยังคงมีคนเหลืออย่้ในโลกนี้ โลกนี้ ยังไม่ได้แตก
สลายระเบิดเป็ นจุณแต่อย่างใด
ขณะนี้ มีมนุษย์อาศัยบนพื้นผิวโลกอย่้ ๖.๖ พันล้านคน
เพื่อให้ง่ายต่อการคำานวน เรามาคิดกันแบบตัวเลขถ้วนๆคือ
๖ พันล้านคน ถ้ามีมหันตภัยรวมทั้งมนุษย์ฆ่ากันเองเหมือน
ผักปลาจริง หากมนุษย์หายสาบส้ญจากโลกนี้ ถึงครึ่งหนึ่ ง ก็
ยังเหลือมนุษย์อย่้ถึง ๓ พันล้านคน ก็ยังนับว่ามากโขอย่้ ถ้า
มนุษย์ตายไปถึง ๙๐ % และเหลือเพียง ๑๐ % ของ
ประชากรโลกในขณะนี้ ก็ยังมีมนุษย์อย่้ถึง ๖๐๐ ล้านคน
น้อยกว่าอินเดียทั้งประเทศอย่้ เกือบ ๔๐๐ ล้านคน ถึงแม้ฟัง
ด้โหรงเหรง แต่ก็ยังมากอย่้ ครานี้ มาด้ประชากรไทยที่มี
๗๐ ล้านคนขณะนี้ หากตายไป ๙๐% ก็ยังเหลือคนไทยราว
๑๐ ล้านคน ตอนที่ดิฉน ั เรียนในระดับประถมนั้น คนไทยมี
ประมาณ ๓๐ ล้านคน ถ้าย้อนหลังไปสักร้อยปี คนไทยก็คง
อย่้ท่ีประมาณ ๑๐ ล้านคน ฟั งด้โหรงเหรงจริง แต่ใครที่เคย
อย่้ในประเทศที่มีประชากรมาก และมีโอกาสไปในประเทศ
ที่มีประชากรน้อยแต่มีเนื้ อที่มาก เช่น เดนมารก์ นอร์เวย์
ซึ่งมีประชากรทั่วประเทศเพียง ๕ ล้านคน จะเห็นว่ามันสงบ
น่ าอย่้ ง่ายต่อการบริหารจัดการระบบสังคม คงจะเป็ น
สาเหตุน้ี กระมังที่กลไกของชีวิต โลก และจักรวาล ต้องมี
การทำาลายล้างมนุษยชาติกันสักครั้งหนึ่ งเพื่อเริ่มต้นการจัด
ระบบสังคมใหม่
ฉะนั้น ถ้าเอาตามที่กล่าวไว้ในพระไตรปิ ฎกที่เนื่ องกับ
ยุคมิคสัญญีแล้วละก็ จะยังคงมีมนุษย์หยิบมือหนึ่ งเหลือใน
โลกนี้ แน่ นอน ซึ่งอาจจะอย่้ท่ีประมาณ ๗๐๐ ถึง ๑๐๐๐ ล้าน
คนทั่วโลก อาจจะเหลือคนไทยอย่้ประมาณ ๕-๑๐ ล้านคน
ซึ่งเรา “อาจจะเป็นหรือไม่เป็น” คนหนึ่ งในจำานวน
ประชากรหยิบมือหนึ่ ง เป็ นไปได้ท้ังนั้น ที่จริงแล้ว
ประชากรโลกเคยตายเป็ นหม่้ใหญ่มาแล้ว ในปี ค.ศ. ๑๙๑๗

– ๑๙๒๐ ขณะนั้นประชากรโลกมีเพียง ๑.๘ พันล้าน ได้เกิด

โรคหวัดที่เรียก Spanish flu คร่าชีวิตของมนุษย์ระหว่าง

๕๐ – ๑๐๐ ล้านคน ซึ่งเป็ นจำานวน ๓-๖ เปอร์เซนต์ของ


ประชากรโลกทั้งหมด แต่มีคนที่ติดเชื้อโรคนี้ ถึง ๑ ส่วน ๔
ทั่วโลก คือ ราว ๕๐๐ ล้านคน ซึ่งเป็ นเรื่องที่ฟังน่ ากลัวมาก
ในยุคนั้น แต่หลังจากที่ล้างมนุษย์ในโลกไปส่วนหนึ่ งแล้ว
ประชากรในโลกก็อย่้ ออกล้กออกหลานกันต่อไปอีก เพียง
๙๐ ปี เท่านั้น ประชากรโลกก็เพิ่มจำานวนถึง ๖.๖ พันล้านคน
ดังที่มีอย่้ในทุกวันนี้ ฉะนั้น คนที่ตายก็ตายไป แต่คนที่อย่้ ก็
ต้องต่อส้้ชีวิตกันต่อไป และย่อมอย่้ได้แน่ นอน ความยาก
ลำาบากของชีวิตจะช่วยกระตุ้นภ้มิปัญญาของมนุษย์ให้
ขวนขวายที่จะอย่้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ถ้าเอาตามพ
ระคัมภีร์ของชาวพุทธเราแล้วละก็ มนุษย์ก็จะค่อยๆมีอายุ
ยืนมากขึ้น เพราะคนเลวที่ได้ช่วยกันสร้างสังคมเลวๆให้ชาว
โลกก็ถก ้ ทำาลายล้างไป เหลือคนดีๆ ก็จะเริ่มสร้างสังคมโลก
ที่ดีมีศีลธรรม การมีศีลธรรมของคนได้กลายเป็ นปั จจัยที่
ทำาให้อายุของมนุษย์ยืดยาวขึ้นด้วย เมื่ออายุยืดถึง ๘ หมื่นปี
พระโพธิสัตว์เมตตรียะจึงจะลงมาตรัสร้้เป็ นพระสัมมาสัม
พุทธเจ้าและนำาพาชาวโลกออกจากคุกชีวิต (อ่านเรื่องดิน

แดนกัลปพฤกษ์)

ฉะนั้น ดิฉน
ั จึงอยาก “เดา” ว่าหลังจากเหตุการณ์
วันสิ้นโลกของปี ๒๐๑๒ นั้น ยังน่ าจะมีประชากรโลกเหลืออย่้
หลายร้อยล้านคน การดำารงชีวิตก็จะยังคงมีอย่้ต่อไป
เพียงแต่ว่าเราอาจจะไม่ได้เป็ นคนหนึ่ งในจำานวนประชากรที่
เหลือหยิบมือหนึ่ งเท่านั้น ซึ่งไม่น่าจะเป็ นปั ญหาสำาหรับคน
ที่จะต้องตายในเหตุการณ์มหันตภัยล้างโลก สำาหรับคนที่
ตายไปแล้ว ย่อมต้องมีเรื่องใหม่ให้เป็ นห่วงแน่ นอน ไม่ว่าจะ
ไปส่้สุคติภ้มิ เช่นสวรรค์ พรหมโลก หรืออบายภ้มิ เช่น
เปรต นรก ล้วนเป็ นเรื่องน่ าห่วงทั้งนั้น เพราะล้วนยังไม่ได้
หมดสถานะของการเป็ นนักโทษในคุกชีวต ิ ยังต้องถ้กเหวี่ยง
ไปมาระหว่างปี กซ้ายและขวาของคุกชีวิตต่อไป ฉะนั้น ใคร
ที่ไม่อยากเอาความวิตก กังวล ห่วงใยและความกลัวติดตัว
ไปตอนหลังตายนั้น ก็ควรต้องทำาความเข้าใจเรื่องการออก
จากคุกชีวิตเพื่อไปนิ พพานให้ชัดเจนแจ่มแจ้งเสียก่อนที่จะ
ตายไป ต้องให้แน่ ใจว่าได้เอาปั ญญาเรื่องการไปนิ พพาน
ติดตัวไปด้วย จึงจะเรียกว่า “หมดเรื่อง” อย่างแท้จริง มิ
เช่นนั้นแล้ว ยังมีโอกาสมุดกลับมาเผชิญมหันตภัยของวัน
สิ้นโลกอีกในอนาคตอันไกลโพ้น รวมทั้งเจอภัยมรสุมที่แนบ
เนี ยนของชีวิตอย่างแน่ นอน ไม่มีทางหมดเรื่องได้อย่าง
แท้จริง
ฉะนั้น เราจะมาตีวงแคบขึ้นโดยสมมุติต่อว่าจะมี
ประชากรโลกเหลืออย่้ประมาณ๖๐๐ ถึง ๑๐๐๐ ล้านคนคือ
๑๐% ของประชากรโลกในขณะนี้ หมายความว่า ทุกท่านที่
กำาลังอ่านประโยคนี้ อย่้มีสิทธิท
์ ่ีจะอย่้หรือจะตายทั้งนั้น ถ้า
ประชากรเหลือ ๑๐% จริงละก็ โอกาสตายจะมีมากกว่า
โอกาสอย่้รอดที่สถิติเท่าไร ก็ลองหาคนเก่งสถิติคำานวนให้
เมื่อเข้าใจตามนี้ แล้ว ก็จะเข้าส่้เรื่องควรใช้ชีวิตอย่างไรก่อน
วันสิ้นโลก
หยุดวางแผนการณ์อนาคตในระยะยาว
เป็ นเรื่องพ้ดง่าย แต่เข้าใจยาก และทำายากหรือทำาไม่
ได้เลยสำาหรับคนที่ไม่ได้ฝึกฝนพาตัวใจกลับบ้าน หลายคน
คงสงสัยว่า แล้วโครงการต่างๆที่กำาลังทำาอย่้ซึ่งล้วนเป็ น
เรื่องระยะยาวทั้งสิ้น และเป็ นส่วนหนึ่ งของงานประจำาที่มี
รายได้ ควรทำาอย่างไร
คำาตอบคือ ถ้ายังต้องรับผิดชอบภาระหน้าที่ของโครง
การใหญ่ๆ ก็ยังคงทำาไปเหมือนเดิม ทำาอย่างดีท่ีสุด ไม่ว่า
จะมีเหตุการณ์วันสิ้นโลกหรือไม่ก็ตามโดยฝึ กฝนเรื่องพาตัว
ใจกลับบ้านในขณะที่กำาลังทำางานนั้นๆ ซึ่งจะผิดกับคนที่
ไม่ร้เรื่องการไปนิ พพาน และไม่ได้ปฏิบัติพาตัวใจกลับบ้าน
เขาจะไม่มีกำาลังใจทำางาน เพราะจะถ้กความคิด (เจอรี่) ใน
หัวถล่ม ทำาให้คิดมาก วิตกกังวล หวาดกลัว และหมดกำาลัง
ใจที่จะทำางานต่อไป จึงอาจจะต้องบังคับให้ตนเองไม่เชื่อใน
สิ่งที่”อาจจะ”เกิดขึ้น เพื่อสร้างเงื่อนไขให้ตนเองมีกำาลังใจ
ทำางานต่อไป ซึ่งต่างจากผ้้ท่ีได้วางเป้ าหมายเรื่องการไป
นิ พพานอย่างชัดเจน และกำาลังปฏิบัติการเอาสติมาตรึงที่
ฐาน คนกลุ่มที่มีเป้ าหมายชีวิตชัดเจนนี้ จะร้้เรื่องการใช้ชีวิต
อย่้กับที่น่ี เดีย
๋ วนี้ จะสามารถรับร้้ผัสสะอย่าง บริสุทธิ ์ ร้้วิธี
การขจัดความคิด (เจอรี่) ฝ่ ายลบที่มารบกวนตัวใจ จึง
สามารถฝึ กฝนการพาตัวใจกลับบ้านในขณะที่กำาลังปฏิบัติ
หน้าที่ของชีวิตประจำาวันอย่้ แม้จะกำาลังทำางานอันมีราย
ละเอียดเกี่ยวข้องกับโครงการใหญ่ท่ีวางแผนอานาคตในอีก
๑๐, ๒๐ หรือ ๓๐ ปี ข้างหน้าก็ตาม เช่น กำาลังสร้างถนน
หนทาง เขื่อน ทำาเรื่องพลังงานทางเลือก วิจัยเรื่องยาที่จะ
ช่วยรักษาและป้ องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ วิจัยเรื่องอาหาร
และการสร้างผลผลิตทางการเกษตรเพื่อเลี้ยงด้ชาวโลก
เป็ นต้น เพราะแม้มีประชากรโลกเหลือเพียง ๑๐% เท่านั้น
คนที่เหลือก็ยังคงได้รับประโยชน์จากงานที่ทำาอย่้
เรื่องนี้ คงจะทำาง่ายสำาหรับผ้้ปฏิบัติสติปัฏฐานที่เป็ น
ล้กจ้างและกินเงินเดือนของนายจ้าง แต่สำาหรับนายจ้าง
หรือเจ้าของโครงการใหญ่ๆที่มีเรื่องได้เรื่องเสียเข้ามา
เกี่ยวข้องมากนั้น ย่อมเป็ นเรื่องยากมากขึ้น จึงอาจจะทำาให้
คนไม่นอ ้ ยเลือกไม่เชื่อเรื่องวันสิ้นโลก ปิ ดห้ปิดตาต่อภัย
ธรรมชาติต่างๆ และเอาหัวมุดทราย ยังคงดันทุรังคิดเรื่อง
การสร้างโครงการอนาคตอย่างเอาเป็ นเอาตาย ซึ่งจะแตก
ต่างกว่าคนที่ได้ตัดสินใจเลือกการเดินทางออกจากคุกชีวิต
แล้ว คนกลุ่มนี้ แม้ต้องรับผิดชอบโครงการใหญ่ๆ ก็จะทำา
แบบเต็มที่ เผื่อว่าโลกไม่ได้สิ้นสุดจริง ก็ยังได้รับประโยชน์
จากงานที่ตนเองทำาอย่้ หรือแม้มนุษยชาติอาจจะหายไป
จริง ก็ยังไม่เป็ นไร เพราะเข้าใจเรื่องสรรพสิ่งล้วนตกอย่้
ในกฏที่เกิดขึ้น ตั้งอย่้ ดับไป เข้าใจสถานะที่เล็กกระจิดริด
ของมนุษย์และของโลก เข้าใจเรื่องอนัตตา หรือความไม่มี
อะไร We are Nothing. ของมนุษย์ทุกคนตั้งแต่ยาจกไล่
ขึ้นไปถึงผ้้นำาประเทศ จนถึงพระมหากษัตริย์ ราชินี ไม่ว่า
ใครจะอย่้ในสถานะส้งส่งเพียงใดก็ตาม ล้วนมีสถานะที่เป็ น
ส่วนประกอบอันเล็กกระจิดริดที่กำาลังล่องลอยตุุบป่ อง อย่้ใน
จักรวาลอันยิ่งใหญ่เหมือนกันหมดทั้งสิ้น ไม่มีความสำาคัญ
แต่อย่างใด เหมือนเรากำาลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้ าที่มีดวง
ดาวมากมาย นอกจากพระอาทิตย์กับพระจันทร์แล้ว เราก็
ไม่ได้มองดาวดวงอื่นๆอย่างให้ความสนใจมากเป็ นพิเศษ
เพราะคิดว่า ดาวดวงนี้ มีมนุษย์ท่ีมีบทบาทสำาคัญอาศัยอย่้
ซึ่งเหมือนกับมนุษย์ต่างดาวกำาลังมองด้โลกของเรา ซึ่งอย่า
ว่าแต่มนุษย์ท่ีกำาลังยืนบนโลกเลย แม้โลกทั้งโลกที่เราคิด
ว่าใหญ่โตนั้น เมื่อเปรียบเทียบในระดับจักรวาลแล้ว ก็ถ้ก
ลดขนาดเหลือเพียงเสี้ยวหนึ่ งของทรายหนึ่ งเม็ดเท่านั้น
แล้วมนุษย์ท้ังหลายที่กำาลังยืนอย่้บนโลกจะเปรียบกับอะไร
ได้ นี่ คือความหมายของคำาว่า อนัตตา หรือไม่มีตัวตน ใน
พระพุทธศาสนาซึ่งครอบคลุมเรื่องกายภาพด้วย We are

Nothing จริงๆ ฉะนั้น หากเกิดการทำาลายล้างมนุษยชาติ


อย่างแท้จริง คนมีปัญญาทางธรรมก็สามารถเห็นเป็ นเรื่อง
ธรรมดาของโลก ไม่ได้ร้สึกว่าโครงการใหญ่ๆที่กำาลังทำาอย่้
ต้องหยุดชงักเพราะมหันตภัยจะเป็ นเรื่องเสียหาย หรือ
ขาดทุนแต่อย่างใด เพราะล้วนเป็ นการเล่นเกมชีวิตทั้งสิ้น
จึงสามารถทำางานต่อไปได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากผ้้ปฏิบัติสติปัฏฐานท่านใดที่ไม่
สามารถต่อส้้กับความคิดที่สร้างความกดดันให้ตนเองมาก
เกินไป ก็ควรตัดสินใจไม่ทำางานนั้นๆ จะดีกว่า หากเกิด
ความคิดที่จำาเป็ นต้องเลือกระหว่างการเดินทางออกจากคุก
ชีวิต และการเอาเป็ นเอาตายกับโครงการใหญ่โตต่างๆเพื่อ
อนาคตละก็ ควรเลือกทางเดินไปนิ พพานดีกว่า เพราะ
นอกจากเป็ นเป้ าหมายส้งสุดอันเดียวของชีวิตแล้ว นิ พพาน
ยังเป็ นเรื่องถาวรที่สุด โครงการใหญ่โตต่างๆล้วนเป็ นเรื่อง
ชั่วคราว ประเดีย ๋ วประด๋าว และเป็ นทางผ่านทั้งสิ้น ไม่ใช่
สิ่งที่ควรเกาะเกี่ยว และเอาเป็ นเอาตายกับมัน แต่คนที่จะตี
โจทย์เช่นนี้ ได้แตก คือ คนที่มีปัญญาทางธรรมอันเกิดจาก
การพาตัวใจกลับบ้านเท่านั้น คนที่ไม่ได้ปฏิบัติ แม้ฟัง
เข้าใจตามหลักเหตุผล แต่จะไม่เข้าถึงใจอย่างแท้จริง ยัง
อดไม่ได้ท่ีจะวิตก กังวล เอาเป็ นเอาตายกับงานทางโลกที่
ตนเองทำาอย่้
ควรปฏิบัตต
ิ ่อเงินอย่างไร
หากเราสามารถร้้แน่ ชัดว่ามนุษยชาติจะสิ้นสุดจริงๆ ก็
คงง่ายต่อการตัดสินใจว่าควรเก็บสะสมเงินไว้หรือไม่ แต่
เพราะไม่มีใครสามารถฟั นธงได้ คนที่มีอวิชชาทั้งหลายจึง
ยังคงเอาเป็ นเอาตายกับการหาและกักตุนทรัพย์สินเงินทอง
ไว้ โดยลืมไปว่า สวรรค์นรกไม่ได้ใช้ระบบเงินตราเหมือน
โลกมนุษย์ ถ้าเขาใช้ มนุษยชาติคงวินาศไปนานแล้ว
ขณะเอาเงินติดตัวไปไม่ได้ คนบางคนของทุกวันนี้ ก็ยัง
กักตุนเงินชนิ ดใช้สิบชาติก็ยังไม่หมด ลืมอย่างสนิ ทว่า
เมื่อตายแล้ว ไม่สามารถเอาเงินทองติดตัวไปด้วย ทั้งๆที่
เห็นคนรวยตายและไปตัวเปล่า แต่ก็ยังตีโจทย์เลขชีวิตข้อนี้
ไม่ออก ถ้กเจอรี่หลอกลวงต่อไป
หากมีมหันตภัยในระดับลดประชากรโลกเหลือเพียง
๑๐ เปอร์เซนต์หรือแม้เพียงครึ่งหนึ่ งก็ตาม สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ
ระบบเศรษฐกิจทุนนิ ยมของโลกต้องล้มละลาย (melt

down) แน่ นอน เงิน (อันเป็ นเพียงวัตถุกลางเพื่อการแลก

เปลี่ยน) ไม่ว่าจะอย่้ในร้ปแบบใดๆก็จะหมดคุณค่า กลาย


เป็ นเศษกระดาษและแผ่นพลาสติกที่ไม่มีประโยชน์ บิน
ว่อนเกลื่อนกลาดเป็ นเศษขยะบนท้องถนนเหมือนที่
ถ่ายทอดในภาพยนต์ฮอลลีว้ด กลับไปส่้สังคมดั้งเดิมที่ต้อง
อาศัยแรงงานมนุษย์หาปั จจัยสี่เพื่อการอย่้รอด คนจนที่อย่้
รอดจะไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เพราะเขาชินกับการเอาแรงงาน
แลกปั จจัยสี่แล้ว แต่คนรวยที่ชินกับการเอาเงินซื้อความ
สะดวกสบายนั้น เมื่อต้องอย่้ในสังคมที่ไม่สามารถเอาเงิน
มาแลกเปลี่ยนกับความสุขสบายนั้น เขาจะเคว้ง ไม่
สามารถปกป้ องตัวเองได้ อาจจะต้องตายเร็วกว่าคนจนก็
เป็ นได้
ฉะนั้น คนที่กำาลังฝึ กฝนสติปัฏฐานจะมีปัญญา เข้าใจ
เรื่องเงินอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงไม่กักตุนเงินมากเกินความ
จำาเป็ น มีเก็บบ้างเผื่ออนาคตถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในยุคนี้
หากมีเงินส่วนเกินแล้ว ควรเอาออกมาช่วยเหลือคนที่ตก
ทุกข์ได้ยากเพื่อชีวิตของเขาจะได้ไม่ลำาบากมากจนเกินไป
หรือเอาเงินมาทำาบุญโดยเฉพาะการพิมพ์หนังสือธรรมะเพื่อ
แจกเป็ นธรรมทานให้คนร้้เรื่องการออกจากคุกชีวิตไป
นิ พพาน ใครทำาได้เช่นนี้ เท่ากับเอาเงินของสกุลมนุษย์มา
แลกเป็ นเงิน “สกุลสังสารวัฏ" ที่เขาเรียก “บุญ” “เงินสกุล

บุญ” นี่ มีประโยชน์มาก เป็ นสกุลเงินสากลที่ใช้ได้ทุกที่ (ภพ

ภ้ม)ิ ในคุกชีวิต (สังสารวัฏ) ไม่ว่าจะไปสุคติภ้มิหรือ


อบายภ้มิ ล้วนต้องมีบุญติดตัวไปทั้งนั้น มากน้อยต่างกัน
คนไปสวรรค์หรือเมืองพรหม คือคนที่เอาบุญใส่โอ่งติดตัวไป
ด้วย จึงอย่้สบาย คนที่ไปอบายภ้มิ แสดงว่า เอาบุญติดลบ
ไป คือ ไม่ได้ทำาบุญมากตอนเป็ นมนุษย์ จึงอย่้ลำาบาก ต้อง
คอยรับ “ส่วนบุญ” จากมนุษย์ท่ีเคยเป็ นญาติกับเขามาก่อน
และแผ่บุญกุศลให้ เปรตญาติของมนุษย์ท่ีไม่เคยแผ่ส่วน
บุญให้ ก็จะหิวโหย อย่้ไม่เป็ นสุขในภพภ้มิของเขา ได้แต่รอ
คอยให้ญาติของตนแผ่ส่วนบุญให้เท่านั้น จึงจะอย่้เป็ นสุข
คนที่ไม่รีบเอาเงินมาแลกเป็ นบุญ ก็จะไม่มีทรัพย์ติดตัวไปใช้
หลังตาย จึงอาจจะต้องไปเยือนปี กขวาของคุกชีวิตเมื่อจาก
โลกนี้ ไปแล้ว แต่บุญที่ดีและยิ่งใหญ่ท่ีสุด คือ การทำาบุญ
แบบไม่เอาบุญ ฟั งแล้วอาจจะไม่มีเหตุผล แต่เป็ นเหตุผลที่
ถ้กต้องสำาหรับคนที่ต้องการออกจากคุกชีวิตไปนิ พพาน
เพราะคนจะไปนิ พพานต้องปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างของคุกชีวิต
รวมทั้งเงินสกุลบุญ ก็เอาติดตัวไปไม่ได้ ซึ่งสามารถทำาได้
โดยการปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ วิปัสสนา หรือพาตัวใจกลับ
บ้าน (โดยไม่ต้องบริกรรม) นี่ เป็ นบุญหนักที่สุดที่จะช่วย
ให้ออกจากคุกชีวิตได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าสติปัฏฐานเป็ น
ทางสายเอกหรือสายตรงที่จะพาคนไปนิ พพาน
การปฏิบัตต
ิ ่อคนทีเ่ รารัก
หากเกิดเหตุการณ์มหันตภัยขนาดลดประชากรโลกถึง
ครึ่งหนึ่ งนั้น สิ่งที่คนกลัวมากที่สุดคือ การพลัดพรากจาก
คนที่เรารักมาก เพราะเห็นตัวอย่างอย่้บ่อยๆ ทุกครั้งที่เกิด
แผ่นดินไหวและสึนามิ ล่าสุดก็ท่ีญ่ีปุ่น คนมากมายล้วนเดิน
หาสมาชิกในครอบครัวของตนเองทั้งสิ้น เด็กๆเดินหาพ่อ
แม่ พ่อแม่ก็เดินหาล้กกันอย่างจ้าละหวั่นด้วยใบหน้าที่
ตกใจและสิ้นหวัง เป็ นภาพที่ชวนให้หวาดกลัวเป็ นอย่างยิ่ง
ครั้นจะหาทางป้ องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดกับเราก็ไม่
ได้ เพราะหากมหันตภัยมาถึงตัวจริงๆละก็ ทุกคนล้วนต้อง
ฝากชะตาชีวิตกับบุญบาปของตนเองทั้งสิ้น สัตว์โลกย่อม
เป็นไปตามกรรมดีกรรมชัว ่ ของตนเอง คนที่ไม่ได้
ฝึ กฝนทักษะพาตัวใจกลับบ้านนั้น ตัวใจของเขาก็จะหลง
ทางอย่้ในป่ าดำาของความคิดตนเอง ออกไม่ได้ คิดขึ้นมา
คราใด หรือด้ข่าวภัยภิบัติ ก็จะมีอารมณ์โศกเศร้า หวาด
ผวากลัวอย่้ในใจเสมอ กลัวจะเกิดกับตนเอง หากเป็ นผ้้นำา
ครอบครัว ก็ไม่สามารถปลอบประโลมล้กบ้านด้วยคำาพ้ดที่
มีปัญญา เพราะตนเองยังกลัวอย่้
คนที่จะได้เปรียบมากในยุคนี้ คือ คนที่ร้ทักษะ
การพาตัวใจกลับบ้านแล้ว ซึ่งวลีน้ี ก็ได้อธิบายในตัวมันเอง
อย่างชัดเจนว่า ตัวใจซึ่งเป็ นตัวจริงของเราทุกคน ไม่ได้หลง
ทางอย่้ในป่ าดงดิบของความคิดตนเองอีกต่อไปแล้ว เพราะ
หาตนเองพบแล้ว ร้้จักตัวใจซึ่งเป็ นตัวจริงแล้ว ไม่เพียง
เท่านั้น ยังสามารถพาตัวใจกลับไปส่้บ้านที่ปลอดภัยได้อีก
ด้วย ตรงนี้ เป็ นความรำ่ารวยของคนที่ร้จักการเอาสติมาตรึง
ที่ฐานหรือพาตัวใจกลับบ้านเป็ นแล้ว เพราะคนกลุ่มนี้ จะไม่
หวาดกลัวต่อมหันตภัยที่จะมาเยือน เนื่ องจากเข้าใจโลก
และความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แม้
ครอบครัวตนเอง ก็สามารถใช้หลักการ “รักลูกอย่ากอด”
ได้ ซึ่งมีความหมายลึกซึ้งหมายถึงการไม่กอดรัดทางจิตใจ
ตัวกายยังกอดล้กอย่้และรับผิดชอบตามหน้าที่ แต่ตัวใจไม่
กอดรัดกับสิ่งใดๆแม้ล้กซึ่งเป็ นสมบัติของคนที่ติดคุกชีวิต
ต้องร้้จักปล่อยวางเสมอ เพราะนี่ คือเงื่อนไขที่ต้องทำาหาก
ต้องการหนี ภัยของสังสารวัฏและออกจากคุกชีวิตอย่าง
ถาวร
ในคืนที่พระนางพิมพาให้กำาเนิ ดพระโอรสนั้น
พระพุทธเจ้าซึ่งขณะนั้นเป็ นเจ้าชายสิทธัตถะจึงอุทานออก
มาว่า “บ่วงได้เกิดแล้ว” จึงตั้งชื่อพระโอรสว่า “ราหุล” แปล
ว่าบ่วง การเห็นพระโอรสทำาให้พระโพธิสัตว์เห็นความทุกข์
อันเนื่ องกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ชัดเจนขึ้น เห็นได้ว่า เด็ก
ที่เกิดมาทุกคน แม้พ่อแม่จะดีใจอย่างไร เด็กทารกนั้นก็พก
ใบมรณบัตรมากับตัวแล้วทั้งสิ้น จึงเป็ นสาเหตุท่ีทำาให้ท่าน
ต้องการหาทางพ้นทุกข์จนกระทั่งตรัสร้้เป็ นพระสัมมาสัม
พุทธเจ้าที่เปี่ ยมล้นด้วยความร้้ ๑๐ อย่าง (ทศพลญาณ)
สามารถช่วยเหลือมนุษย์และเทวดาให้ออกจากคุกชีวิตตาม
ท่านได้
กอบโกยความสุขเล็กๆน้อยๆ
ในขณะที่กำาลังรอความตายหรือรอการอย่้รอดหลัง
มหันตภัยของวันสิ้นโลกนั้น คนที่ร้ทก ั ษะการรับผัสสะอย่าง
บริสุทธิจ์ ะได้เปรียบมากกว่าเพื่อน สิ่งที่รับประกันได้คือ
ทุกอย่างที่มีอย่้ เป็ นอย่้ในขณะนี้ ย่อมเปลี่ยนแปลงและไม่มี
วันเหมือนเดิมอย่างแน่ นอน ฉะนั้น สิง
่ ทีค
่ วรทำาอย่างยิง

ในขณะนี้ คือ การกอบโกยความสุขเล็กๆน้อยๆ small

happiness ให้มากทีส
่ ุดเท่าทีจ
่ ะทำาได้ ซึ่งเป็ นเรื่องที่ทำา
ยากมากสำาหรับคนที่กลัวตายด้วยและไม่มีทักษะเรื่องพาตัว
ใจกลับบ้านด้วย เพราะจะถ้กเจอรี่ตัวความกลัวกับความ
เศร้ารุมเร้าเอา จนมองข้ามความสุขเล็กๆน้อยๆที่สามารถ
กอบโกยได้ท้ังๆที่มันก็อย่้เบื้องหน้าเรานี่ เอง ความสุข
เล็กๆน้อยๆเหล่านี้ จะทำาให้สมบ้รณ์ได้ก็โดยหัดมองมันอย่าง
เป็ นผัสสะบริสุทธิ ์ ซึ่งเป็ นเรื่องเดียวกับการฝึ กฝนธรรมานุ
ปั สสนาสติปัฏฐาน ตัวอย่างของความสุขเล็กๆน้อยๆที่ดิฉน ั
ใคร่แนะนำาในที่น้ี คือ
มองหน้าคนใกล้ชิด
มองหน้าคนคุ้นเคยที่เรารักที่อย่้รอบข้างเราอย่างเต็ม
อิ่มและด้วยรอยยิ้มเสมอ เหมือนเป็ นการมองครั้งสุดท้าย
เช่น หน้าของพ่อแม่ พี่นอ ้ ง ล้ก ป่ ้ย่าตายาย เป็ นต้น ใบหน้า
เหล่านี้ อาจจะด้จำาเจ คนที่ยังอายุนอ ้ ย ขาดประสบการณ์
ชีวิตอาจจะมองหน้าผ้้ส้งอายุท่ีเหี่ยวย่นด้วยความเบื่อหน่ าย
ไม่สวยงาม แต่คนที่เคยผ่านเหตุการณ์ของการพลัดหลงไป
อย่้ท่ีอ่ ืนอย่างโดดเดี่ยว เช่น ตามสนามบินในต่างประเทศ
(ซึ่งดิฉน
ั ไปติดอย่้บ่อย) ก็จะร้้คุณค่าของใบหน้าที่คุ้นเคย
จำาเจเหล่านั้นว่ามันยิ่งใหญ่และมีคุณค่ามากแค่ไหน คน
หลงทางทุกคนต้องการเห็นใบหน้าของคนที่เรารักและคุ้น
เคยทั้งนั้น เมื่อได้เห็นจะดีใจมากกว่าได้เงินทองเสียอีก มัก
จะโผเข้าโอบกอดด้วยความตื่นเต้นดีใจเสมอ นี่ คือ
ขุมทรัพย์ท่ีซ่อนอย่้เบื้องหน้าของคนทุกคนที่มีครอบครัวทั้ง
สิ้น คนที่มีทักษะการพาตัวใจกลับบ้านโดยเฉพาะร้้เรื่อง
การรับผัสสะบริสุทธิจ์ ะทำาได้อย่างง่ายดาย
ให้อภัย
คนที่น่าเห็นใจคือคนที่ไม่สามารถมองคนใกล้ชิดด้วย
รอยยิ้มและตักตวงความสุข เพราะอาจจะมีปัญหาที่ไม่ลง
รอยกันหรือถึงขั้นเกลียดกัน ก็คงทำาไม่ได้ ใครที่มีปัญหา
กับคนใกล้ชิด ก็ควรหาทางยุติปัญหาโดยเอาธรรมมาเป็ น
เครื่องยุติ ฝึ กให้อภัย และมองข้อเท็จจริงของโลกว่าใกล้
วินาศกันแล้ว อาจจะต้องจากกันอย่างไม่มีวันเห็นหน้ากัน
อีก จึงไม่มีประโยชน์อันใดที่จะโกรธขึ้งกันอย่้ พยายามมอง
ส่วนดีของเขา ให้อภัยแก่กันและกัน แผ่เมตตา พยายามคิด
ว่า จิตใจของเขาก็เป็ นทุกข์ด้วยปั ญหาต่างๆจิปาถะเหมือน
ของเราเช่นกัน ฉะนั้น เราอย่าไปเพิ่มความทุกข์ให้แก่กัน
และกันเลย เมื่อเอาความไม่พอใจหรือความโกรธออกจาก
ใจได้แล้ว จิตใจก็จะร้้สึกเบามากขึ้น และสามารถมองหน้า
คนใกล้ชิดด้วยรอยยิ้มได้ง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้ จะทำาได้ง่ายมาก
หากร้้ทักษะการพาตัวใจกลับบ้าน
อยากหนี

แต่จะมีคนอย่้กลุ่มหนึ่ งในโลกนี้ ท่ีไม่สามารถอย่้กับคน


ใกล้ชิดในครอบครัวเดียวกันได้ อยากหนี ไปให้ไกลๆเสีย
ด้วยซำ้า เนื่ องจากฝ่ ายหนึ่ งฝ่ ายใดถ้กปฏิบัติจากอีกฝ่ ายหนึ่ ง
อย่างโหดร้าย ทารุณ ถ้าไม่ใช่เป็ นการทารุณทางกาย ก็
เป็ นการทำาร้ายจิตใจอย่างรุนแรงจนอีกฝ่ ายหนึ่ งต้องการ
หนี ไปให้ไกลที่สุด ซึ่งมักเป็ นสามีภรรยากัน กรณีส่วนมาก
แล้ว มักจะเป็ นเพศหญิงที่ถ้กเพศชายข่มข่้ ทำาร้ายร่างกาย
หรือจิตใจ ในทางตรงกันข้าม ก็มีเพศชายที่ถ้กฝ่ ายหญิง
ทำาร้ายจิตใจ บางกรณีหนี ได้ยากมากเพราะถ้กข่มข่้ถึง
ขนาดจะฆ่าทิ้ง หากฝ่ ายหญิงพยายามจะหนี นี่ เป็ นเรื่องที่
น่ าเห็นใจมาก คนเข้าใจกฏแห่งกรรม ก็จะร้้ว่านี่ เป็ นการ
ใช้หนี้ กรรมเก่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องอย่้ให้เขา
ทำาร้ายเช่นนี้ จนตาย เพราะมีองค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือ
หญิงที่ตกอย่้ในสถานการณ์เช่นนี้ หากโลกกำาลังจะวินาศ
ในปี ๒๐๑๒ จริง หญิงที่ตกอย่้ในเหตุการณ์ท่ีขมขื่นและเจ็บ
ปวดเช่นนี้ ควรหาทางรอดให้แก่ตัวกายโดยเร็ว โดยขอ
ความช่วยเหลือจากองค์กรการกุศลก่อน และเร่งรีบหา
โอกาสศึกษาธรรมะ ให้ร้จักตัวใจซึ่งเป็ นตัวจริงของตนเอง
และร้้สถานะความเป็ นนักโทษในคุกชีวิตของตนเอง เมื่อได้
ฝึ กฝนเรื่องพาตัวใจกลับบ้านและเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรม
แล้ว ก็จะสามารถให้อภัยและอโหสิกรรมต่อค่้ครองที่ได้
ทำาร้ายร่างกายหรือจิตใจของตนเองอย่างโหดร้ายทารุณ
คนกลุ่มนี้ จะเข้าใจเรื่องการติดคุกชีวิตได้ดี และร้้พิษสงของ
การเป็ นนักโทษคุกชีวิตที่เจอมรสุมของเจ้ากรรมนายเวร
จึงไม่ต้องการมุดกลับมาเกิดเป็ นมนุษย์อีก ล้วนต้องการ
แหกคุกชีวิตไปนิ พพานทั้งสิ้น ฉะนั้น หากคนกลุ่มนี้ มี
โอกาสได้ฝึกทักษะพาตัวใจกลับบ้านแล้ว จะมีความ
ก้าวหน้าทางธรรมอย่างรวดเร็ว
การปฏิบัตต
ิ ่อธรรมชาติรอบด้าน
ถ้าใครอย่้ในสภาพแวดล้อมที่พอมีธรรมชาติอัน
สวยงาม เช่น สวนที่มีต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า ก็จะสามารถ
ตักตวงความสุขเล็กๆน้อยๆได้ง่ายขึ้น ใช้เวลาด้ใบไม้ท่ีเพิ่ง
แตกใบอ่อนที่ยังไร้เดียงสา ด้ดอกไม้ ด้สสี ันและลวดลาย
ของมัน หากใครไม่ได้อย่้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ก็ควร
พยายามหาเวลาไปเดินในสวนสาธารณะ อุทยานแห่งชาติ
หรือยกธรรมชาติมาไว้ใกล้ตัว โดยหาดอกไม้มาใส่แจกัน
หรือวางกระถางต้นไม้ในบ้าน นอกจากนั้นยังมีท้องฟ้ า
ก้อนเมฆ ดวงดาว สายฝน อันเป็ นธรรมชาติสวยงามที่เรา
สามารถชื่นชมได้โดยไม่ต้องเสียเงิน เพียงแค่โผล่หน้าต่าง
ออกไป ก็เห็นแล้ว ใครที่รับผัสสะบริสุทธิไ์ ด้จะสามารถเห็น
ความอัศจรรย์ของธรรมชาติรอบข้างเหล่านี้ ทำาให้สามารถ
ตักตวงความสุขเล็กๆน้อยๆได้อย่างดีย่ิง เป็ นการใช้ชีวิตที่ดี
ที่สุดในช่วงระหว่างการรอคอยความตายหรืออย่้รอด
ในมหาปรินิพพานส้ตร ได้กล่าวถึงการเดินทางครั้ง
สุดท้ายของพระพุทธเจ้าไปส่้เมืองกุสินาราอันเป็ นสถานที่
ท่านเสด็จส่้พระปรินิพพาน ซึ่งจะต้องผ่านเมืองเวสาลี เมือง
หลวงของแค้วนวัชชี ตอนที่ออกจากเวสาลีน้ัน พระบรม
ศาสดาซึ่งทรงตระหนักแล้วว่าท่านจะต้องจากโลกมนุษย์น้ี
ไปอย่างไม่มีวันกลับ ท่านได้หน ั กลับมามองเมืองเวสาลี
ตลอดจนธรรมชาติโดยรวม และรำาพึงออกมาว่า “โลกนี้
ช่างสวยงามยิง ่ นัก” ดิฉน
ั อยากจะตีความว่า พระบรม
ศาสดาหมายถึงโลกมนุษย์และธรรมชาติของโลกที่มนุษย์
อย่้โดยส่วนรวม ไม่ได้หมายเฉพาะเจาะจงเพียงเมืองเวสาลี
เท่านั้น และการมองโลกและธรรมชาติของท่านย่อมเป็ น
ผัสสะบริสุทธิ ์ จึงเห็นความสวยงามชนิ ดที่คนทั่วไปจะมอง
ไม่เห็นเมื่อมองอย่างเป็ นผัสสะที่ไม่บริสุทธิ ์
ฉะนั้น ใครที่สามารถมองสรรพสิ่งต่างๆในธรรมชาติ
อย่างพินิจพิเคราะห์ ให้เวลากับมัน และมองมันอย่างเป็ น
ผัสสะบริสุทธิไ์ ด้แล้วละก็ จะเห็นความอัศจรรย์ของสรรพสิ่ง
ได้อย่างง่ายดาย และจะเข้าใจสิ่งที่ดิฉน
ั พ้ดว่า มนุษย์ไม่เคย
ออกจากสวนอีเดนของพระเจ้าเลย เราได้อย่้ในสวนอีเดนที่
สวยงามของพระเจ้าตลอดเวลา แต่มาถ้กความคิด (เจอรี่)
อันเป็ นมิจฉาทิฏฐิครอบตาใจของเราไว้ จึงไม่สามารถ
ตระหนักชัดถึงสถานะที่แท้จริงของตนเองว่ายังอย่้ในสวนอี
เดนของพระเจ้าที่มีแต่ส่ิงสวยงามและอัศจรรย์ย่ิงนัก จึงไป
ทำาลายธรรมชาติ (สวนอีเดน) จนโลกทั้งใบกำาลังเสียสมดุล
อย่างรุนแรง อันเป็ นสาเหตุท่ีทำาให้ดิฉน ั ต้องมาเขียน
บทความนี้ ซึ่งเป็ นเรื่องน่ าเศร้าของชาวโลกทั้งมวล ฉะนั้น
ใครที่ยังไม่เคยร้้เรื่องนี้ มาก่อน อ่านบทความนี้ แล้วเข้าใจ
และอยากฝึ กฝนทักษะการพาตัวใจกลับบ้านต่อเนื่ องไปถึง
ทักษะการรับผัสสะบริสุทธิแ ์ ล้วละก็ ยังไม่สายเกินไป แม้มี
เวลาเบ็ดเสร็จประมาณสิบกว่าเดือนที่กำาลังรอตายหรือรอ
การอย่้รอด ก็ยังเป็ นเวลามากพอที่จะฝึ กฝนเรื่องนี้ ได้ ขอ
ให้เอาจริงกับตนเองเท่านั้น
หาความสุขเล็กๆน้อยๆกับงานบ้าน
ความสุขเล็กๆน้อยๆที่กอบโกยง่ายที่สุดคือ การ
หาความสุขกับงานบ้านเล็กๆน้อยๆ คนส่วนมากที่ยังมีมิจฉา
ทิฏฐิมักมองงานบ้านเป็ นเรื่องน่ าเบื่อ เป็ นงานหนักที่ไม่
อยากทำา ต้องจ้างคนรับใช้มาทำาแทน แต่สำาหรับคนที่ร้
เรื่องการพาตัวใจกลับบ้านจะมองต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เพราะงานจุุกจิก ๊ ในบ้านล้วนเป็ นเครื่องมือที่ดีท่ีสุดที่จะ
ปฏิบัติการเอาสติมาตรึงที่ฐานหรือพาตัวใจกลับบ้าน ชาว
สัมมาทิฏฐิท่ีร้หลักการว่าจะทำาอย่างไรแล้ว เขาจะมีความ
สุขมากกับการล้างถ้วยชาม เช็ด เก็บ เปิ ดต้้ หั่นผัก ปอกผล
ไม้ ถ้บ้าน รีดผ้า เช็ดห้องนำ้า ฯลฯ เพราะงานเหล่านี้ ล้วน
เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว (ฐานหรือบ้านที่ ๑) และความ

ร้้สึกส่วนกาย (ฐานหรือบ้านที่ ๒) เพียงการทำาความร้้สึกตัว


ทั่วพร้อมกับสิ่งที่เรากำาลังทำาอย่้อย่างจดจ่อจริงๆโดยไม่คิด
เรื่องใดๆในหัวเท่านั้น ก็จะเกิดปี ติสุขจากการทำางานง่ายๆ
เหล่านั้น ความสุขเล็กๆน้อยๆที่หาได้ในชีวิตประจำาวัน
เหล่านี้ ต้องจัดเป็ นความลับของชีวิต เป็ นเรื่องอัศจรรย์ท่ี
น้อยคนร้้เพราะขาดปั ญญาทางธรรม คนหม่้มากจึงมัวไป
คลำาหาความสุขก้อนใหญ่ๆที่เกิดจากการทำางานอันเป็ น
โครงการใหญ่ ต้องตะเกียกตะกายไขว่คว้าแข่งขันเพื่อ
หาความสุขก้อนใหญ่ตามที่ตนคาดหวังไว้ ซึ่งบ่อยครั้งก็ไม่
ได้เป็ นไปตามที่ตนคาดหวังเลย ล้มเหลวก่อน หรือแม้ทำา
ถึงจุดที่คิดว่านั่นคือการประสบความสำาเร็จในหน้าที่การ
งานก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เจอความสุขก้อนใหญ่ๆตามที่คาดหวัง
ไว้เช่นกัน เพราะความสุขก้อนใหญ่ๆชนิ ดนั้นไม่คงทนถาวร
จึงไม่นับว่ามีอย่้จริง เพราะทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์ใน
จักรวาลนี้ ล้วนถ้กสนิ มอนิ จจังกัดแทะอย่้ตลอดเวลานั่นเอง
แต่ความสุขเล็กๆน้อยๆจากงานจำาเจของชีวิตประจำาวัน
ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับการหายใจ การเคลื่อนไหว และความ
ร้้สึกของกาย ซึ่งมีอย่้ในทุกอิริยาบท เดิน ยืน นั่ง นอน ต่าง
หากเล่าที่ซ่อนความสุขเล็กๆน้อยๆให้คนตักตวงได้ตลอด
เวลา เพียงร้้วิธีการพาตัวใจกลับบ้านเท่านั้น ก็จะสามารถ
กอบโกยอริยทรัพย์ท่ีอย่้เบื้องหน้าเหล่านี้ ได้อย่างเต็มที่ ไม่มี
วันหมด เป็ นการหาความสุขง่ายๆที่ไม่ต้องเครียด หรือ
แข่งขันกับใครเลย ใครทำา คนนั้นก็ได้ไป ในความเห็นของ
ดิฉน ั นั้น นี่ เป็ นการใช้ชีวิตที่ดท
ี ่ีสุดในขณะที่กำาลังรอวันสิ้น
โลก
แม่ลูกอ่อน

แม่ล้กอ่อน ล้กเล็กที่แม้อย่้ภายใต้เหตุการณ์
ธรรมดา ฮอร์โมนในร่างกายก็เพียงพอที่จะทำาให้อารมณ์
ความร้้สึกของหญิงกลุ่มนี้ ขึ้นลง เหวี่ยงไปมาจนทำาให้
หงุดหงิด โศกเศร้า เป็ นทุกข์ได้ เมื่อมาเจอเหตุการณ์โลก
ที่เต็มไปด้วยภัยพิบัติรอบด้านเช่นนี้ ย่อมต้องมีความหวั่น
ไหว วิตกกังวลมากเป็ นพิเศษ พ่อแม่ท่ียังไม่มีทักษะการพา
ตัวใจกลับบ้านย่อมต้องถ้กความกลัวคุมคาม เพราะโดย
ธรรมชาติและสัญชาตญาณของพ่อแม่ย่อมต้องการปกป้ อง
ล้กน้อย ให้แน่ ใจว่าล้กปลอดภัยที่สุด แต่หากมีเหตุการณ์
เช่นวันสิ้นโลกเกิดขึ้นจริงแล้ว แม้ต้องการจะป้ องกันล้กเมีย
ให้ปลอดภัยอย่างไร ก็อาจจะเหลือวิสัยที่พ่อบ้านจะทำาได้
ฉะนั้น พ่อแม่ท่ีตกอย่้ในสถานการณ์เช่นนี้ ต้องใจกล้ามาก
เป็ นพิเศษ ซึ่งจะทำาได้ก็ต้องเข้าใจเรื่องการเป็ นนักโทษของ
คุกชีวติ และภัยของสังสารวัฏ และเริ่มต้นฝึ กฝนทักษะ
การพาตัวใจกลับบ้านอย่างจริงจัง จึงจะสามารถเอาชนะ
ความหวาดกลัวได้ ใครที่ยังไม่สนใจเรื่องการปฏิบัติธรรม
เพื่อไปนิ พพานละก็ ควรปิ ดห้ปิดตาต่อข่าวมหันตภัยจะดี
กว่า คือ เอาหัวมุดดินไปเลย ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องเชื่อว่า
ใครจะพ้ดอะไร จึงจะอย่้อย่างไม่หวาดกลัวได้
แต่สำาหรับคุณแม่ล้กอ่อนและล้กเล็กที่ร้ทักษะการพา
ตัวใจกลับบ้านแล้ว ควรใช้เวลาที่เหลือนี้ กับล้กให้มากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็ นการรอตายหรือรออย่้รอด การใช้เวลากับล้ก
เล็กเป็ นเรื่องสำาคัญมากสำาหรับคุณแม่ท้ังหลาย แม้ใน
สถานการณ์ปกติกค ็ วรทำาอย่้แล้ว แต่เศรษฐกิจทุนนิ ยมไม่
ได้เปิ ดโอกาสให้แม่ๆทั้งหลายทำาได้ จำาเป็ นต้องออกไป
ดิ้นรนหาเงินแล้วเอาล้กเล็กให้ป่้ย่าตายายหรือพี่เลี้ยงด้แล
แทน ซึ่งเป็ นเรื่องน่ าเศร้ามาก เพราะงานด้แลเด็ก ถึงแม้
จะเหนื่ อยกาย แต่ธรรมชาติก็ได้ตบรางวัลให้กับแม่ของล้ก
ทุกคนแล้ว คนเป็ นแม่เท่านั้นจึงจะเห็นความรำ่ารวยของ
ตนเองและร้้คุณค่าที่แท้จริงของการได้เป็ นแม่คน เพราะ
เด็กทารกตั้งแต่แรกคลอดจนถึงวัย ๓ ขวบที่ยังไร้เดียงสา
มากนั้น ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความบริสุทธิผ ์ ุดผ่อง เพียง
มองหน้าที่ไร้เดียงสาของล้กเท่านั้น หัวใจก็จะท่วมท้นด้วย
ความสุข สามารถยิ้มได้เสมอ ทุกเวลานาทีของล้กล้วน
เป็ นขุมทรัพย์กองใหญ่ท่ีคนเป็ นแม่สามารถขุดได้เพื่อทำาให้
ชีวิตเต็มเปี่ ยมด้วยความสุขเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ เป็ นความสุข
ที่ไม่ต้องแลกด้วยเงิน พ่อแม่ท่ีร้ทักษะการรับผัสสะอย่าง
บริสุทธิจ์ ะเรียนร้้ธรรมะในระดับลึกซึ้งได้จากเด็กที่ไร้เดียง
สาเหล่านี้ เพราะธรรมะที่ลึกซึ้งที่สุดก็คือเรื่องนิ พพานหรือ
ผัสสะบริสุทธิน ์ ่ันเองซึ่งเด็กเล็กๆไร้เดียงสาได้จุ่มอย่้กับมัน
แล้ว
หญิงตัง
้ ครรภ์
สิ่งที่หญิงตั้งครรภ์หวาดกลัวที่สุด คือ ส้ญเสียสามี
เพราะอย่้ในสภาวะที่ช่วยตัวเองมากไม่ได้ จำาเป็ นต้องพึ่ง
สามี เมื่อมาเจอเหตุการณ์โลกที่กำาลังพ้ดถึงมหันตภัยเช่นนี้
ย่อมต้องมีความวิตก กังวล หวาดกลัวมากกว่าคนทั่วไป
หลายเท่านัก อยากจะคลอดล้กให้เสร็จเร็วๆก่อนวันสิ้นโลก
มาถึง เรื่องนี้ ก็ยังพอจะเตรียมตัวกันได้อย่้
หญิงตั้งครรภ์ต้องหมั่นฝึ กฝนทักษะการพาตัวใจกลับ
บ้าน เพื่อจะได้มีกำาลังต่อส้้กับเจอรี่ฝ่ายลบที่มารังควาญตัว
ใจ เมื่อตัวใจแข็งแกร่งเพราะมีพลังจากการฝึ กฝนแล้ว จะ
ไม่หวาดกลัวต่อเหตุการณ์ นอกจากนั้น การพาตัวใจกลับ
บ้านนับเป็ นการทำาบุญหนักที่สุดที่จะพาไปนิ พพาน ย่อมมี
อานิ สงส์มาก จะทำาให้เทวดาคุ้มครอง ไม่พาไปตกอย่้ใน
สภาวะที่ล่อแหลม ต่ออันตราย
คนป่ วย คนแข็งแรง
คนที่มีปัญหาสุขภาพเจ็บไข้ได้ป่วย อาจจะเป็ นโรคที่
รักษาหายขาดไม่ได้ เช่น เป็ นมะเร็ง ก็คงจะไม่เดือดร้อนกับ
เหตุการณ์วันสิ้นโลกเท่าไรนัก เพราะถึงอย่างไรชีวิตของ
ตนเองก็อย่้ในขั้นตอนที่นับถอยหลังแล้ว แต่คนที่มีสุขภาพดี
แข็งแรงนี่ สิ กลับจะกลายเป็ นกลุ่มที่อดคิดมากไม่ได้ เพราะ
ไม่ต้องการตายเร็ว แต่ท้ังคนป่ วยใกล้ตายและคนมีสุขภาพ
ดีล้วนลงเรือลำาเดียวกันถ้าหากยังมีอวิชชา ไม่ร้เรื่องการ
เป็ นนักโทษคุกชีวิตและการกอบก้้อิสรภาพของตนเอง เมื่อ
วันสิ้นโลกมาถึงจริง ทั้งสองกลุ่มนี้ ก็ยังคงเท่าเทียมกัน คือ
ล้วนต้องกลับไปท่องเที่ยวในคุกชีวิตต่อไป
ส่วนคนที่ร้ข่าวดีเรื่องการหนี ภัยของสังสารวัฏอย่าง
ถาวรโดยเลือกทางเดินไปนิ พพานนั้น แม้เขาจะมีโรคภัยไข้
เจ็บหรือมีสุขภาพที่แข็งแรงก็ตาม เขาจะไม่หวั่นไหวต่อ
เหตุการณ์มหันตภัยที่อาจจะเกิด รวมทั้งไม่หวั่นไหวต่อ
ความตายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเขา แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือ
สุขภาพแข็งแรง เขาก็ร้ว่าทุกคนล้วนหนี ความตายไม่พ้น
คนไข้และคนปกติท่ีร้จักทักษะการพาตัวใจกลับบ้านจะ
สามารถใช้ชีวิตอย่้กับ “ปั จจุบันขณะ” คือ อย่้กับลมหายใจ
การเคลื่อนไหว และความร้้สึกส่วนกายของตนเอง ซึ่งเป็ น
ของจริง เป็ นสัจธรรมในตัวมันเองอย่้แล้ว แม้ยังคงเจ็บไข้
ได้ป่วย ก็ยังสามารถใช้ชีวิตที่เป็ นอมตะได้ในขณะนั้นๆ คน
กลุ่มนี้ จะเข้าใจดีว่า ความตายทางร่างกายไม่ได้เป็ นความ
ตายที่แท้จริง เพราะถ้ายังไม่ได้ออกจากคุกชีวิต เดีย ๋ วก็
ต้องมุดกลับมาเกิดใหม่ มาเจอภัยของคุกชีวิตอันมีเกิด แก่
เจ็บ ตาย และภัยธรรมชาติอีก ไม่ได้หมดเรื่องจริงๆ แม้
สุขภาพไม่ดี ก็ยังพยายามฝึ กฝนทักษะตรึงสติให้อย่้กับฐาน
ใช้ชีวิตอย่้กับสัจธรรม อย่้กับนิ พพาน อย่้กับพระเจ้า ซึ่ง
เป็ นการใช้ชีวิตที่เป็ นอมตะอย่างแท้จริง และยอมรับความ
ตายทางร่างกายอย่างกล้าหาญ นี่ คือชัยชนะของผ้้ท่ีเจ็บไข้
ป่ วยที่ร้เรื่องทักษะการพาตัวใจกลับบ้าน ซึ่งมีความยิ่งใหญ่
มากกว่าคนแข็งแรงแต่ยังไม่ร้เรื่องการออกจากคุกชีวิต
อย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้
เตรียมตัวตาย
หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิท่ีญ่ีปุ่น ดิฉน
ั ได้ด้
ข่าวของพยาบาลหญิงคนหนึ่ งที่ทำางานในโรงพยาบาลแห่ง
หนึ่ งที่เมืองเซนได Sendai อันเป็ นเมืองที่ใกล้จุดแผ่นดิน
ไหวมากที่สุด พยายามคนนี้ ให้สัมภาษณ์นักข่าวด้วยใบหน้า
ที่เจิ่งนองด้วยนำ้าตาว่า ในวันที่ ๑๑ มีนาคม ๕๔ ในขณะที่
เกิดแผ่นดินไหวนั้น เธอกำาลังทำางานด้แลคนไข้อย่้ในวอรด์
หลังแผ่นดินไหว ทุกอย่างก็ชุลมุนไปหมด เตียงของคนไข้
ก็ไม่ได้อย่้ท่ีเดิมแล้ว เธอพยายามช่วยเหลือ ปลอบประโลม
คนไข้ท่ีช่วยตนเองไม่ได้และกำาลังตระหนกตกใจอย่างสุดขีด
ในช่วงนั้นเอง ทุกคนก็ตะโกนให้มองออกไปทางหน้าต่างซึ่ง
หันหน้าเข้าส่้ทะเล ทันใดนั้นเอง เธอก็เห็นคลื่นยักษ์ท่ีมี
ความส้งอย่้ท่ีประมาณตึกชั้นที่สองของโรงพยาบาล และ
คลื่นนั้นกำาลังวิ่งด้วยความเร็วส้ง เหมือนจะมากลืนทั้งโรง
พยาบาลที่เธอกำาลังยืนอย่้ ในขณะนั้น วอรด์ของเธออย่้ท่ี
ชั้นล่าง ทั้งหมอและพยาบาลล้วนตะโกนลั่นว่า ขอให้ทุกคน
รีบวิ่งขึ้นชั้นบนของตึกโดยเร็ว
พยาบาลคนนี้ เล่าด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า เธอเอี้ยว
คอมองไปที่คลื่นยักษ์แล้ว ก็รีบหันกลับมามองหน้าคนไข้
ที่นอนตกใจอย่้บนเตียงแต่ยังไม่เห็นคลื่นยักษ์ เธอไม่ร้จะ
บอกคนไข้อย่างไรว่า เธอไม่มีเวลาที่แม้จะอุ้มคนไข้หนี ขึ้น
ไปชั้นบนได้ เพราะคนไข้แต่ละคนล้วนอ่อนแอเกินกว่าจะ
ลุกขึ้นนั่ง อย่าว่าแต่เดินหรือวิ่งเลย เธอได้แต่ร้องไห้ และ
บอกคนไข้ว่า “ฉันขอโทษด้วยนะ ที่ไม่สามารถช่วยเธอได้
ขอโทษด้วย ขอโทษด้วยๆๆๆๆๆ ฉันต้องไปแล้ว” และแล้ว
เธอต้องทิ้งคนไข้ และวิ่งขึ้นชั้นส้งของโรงพยาบาลเหมือน
กับเจ้าหน้าที่พยาบาลคนอื่นๆที่ล้วนวิ่งหนี คลื่นยักษ์กันอย่าง
จ้าละหวั่น เธอเล่าว่า นั่นเป็ นการตัดสินใจที่เจ็บปวดมาก
ที่สุดในชีวิต แต่เธอไม่มีทางเลือก มาบัดนี้ เธอรอดชีวิตมา
ได้ แต่ส่ิงที่เธอต้องแบกอย่้ทุกเวลานาทีคือ ความร้้สึก
สำานึ กผิด guilt ที่เธอต้องทิ้งคนไข้ของเธอเผชิญกับคลื่น
ยักษ์เพียงลำาพัง เธอเล่าต่อว่า เหตุการณ์ของวันนั้นและ
ความร้้สึกสำานึ กผิดนี้ จะต้องหลอนเธอไปจนวันตายอย่าง
แน่ นอน ข่าวได้รายงานต่อไปว่า มีหมอ พยาบาลหลาย
คนในโรงพยาบาลเซนไดที่ได้ถ้กคลื่นยักษ์กลืนกินไปพร้อม
กับคนไข้ท่ีไม่มีทางหนี ได้เลย
ดิฉนั ก็คงเหมือนคนอื่นๆที่ฟังเรื่องนี้ ด้วยความเศร้า
สลดมาก นี่ เป็ นเหตุการณ์จริงที่จะเกิดกับใครก็ได้ ฉะนั้น
ภายใต้สถานการณ์ท่ีคับขันเช่นนี้ ใครที่เคย “ฝึ กตายอย่าง
มีสติอย่้กับฐาน” มาก่อน ก็จะร้้วิธีการเตรียมตัวตายอย่าง
ไม่หวาดกลัวและสงบได้ แม้ตายไป ก็รับประกันว่าจะต้อง
ไปที่ดีแน่ นอน แต่คนที่ไม่เคย “ฝึ กตายอย่างมีสติอย่้กับ
ฐาน” ย่อมต้องเจอความหวาดกลัวอย่างยิ่ง ทำาให้แม้หลัง
ตาย ตัวใจซึ่งเป็ นตัวจริงก็จะต้องลำาบากในทุคติภ้มิ
ฉะนั้น ในช่วงที่กำาลัง “รอตาย” หรือ “รอการอย่้รอด”
ทุกคนควร “ฝึ กตายอย่างมีสติอย่้กับฐาน” เพื่อจะได้ใช้
ทักษะนี้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ท่คี ับขันจริงๆ และไม่มีทางรอด
แล้ว ดิฉน ั ได้สอนการ “ฝึ กตายอย่างมีสติอย่้กับฐาน” ใน
งานอบรมธรรมรอบ “ผัสสะบริสุทธิ”์ และได้อธิบายเรื่องนี้
ในหนังสือเรื่อง ค่้มือชีวิตภาคศีลธรรม และเรื่อง ใครกลัว
ตาย ฟั งทางนี้ ใครสนใจ สามารถหาอ่านได้
สรุป
หากตั้งสมมุติฐานว่ามหันตภัยวันสิ้นโลกจะเกิดขึ้น
อย่างแน่ นอนในปี ๒๐๑๒ จนทำาให้ประชากรโลกลดลงเหลือ
เพียงครึ่งหนึ่ ง ซึ่งหมายความว่าทุกคนมีโอกาสตายด้วย
สถิติครึ่งต่อครึ่ง ๕๐/๕๐ แต่หากประชากรโลกเหลือเพียง
สิบเปอร์เซนต์ของจำานวนประชากรโลกในขณะนี้ ย่อม
หมายความว่า มนุษย์ทุกคนของวันนี้ ล้วนมีโอกาสตาย
มากกว่าอย่้รอด คือ มีโอกาสตาย ๙ ส่วน โอกาสอย่้รอด
เพียง ๑ ส่วนเท่านั้น คนที่อย่้รอดต้องเผชิญกับหายนะและ
ความส้ญเสียอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์
ของมนุษยชาติในช่วง ๕๐๐๐ ปี ที่ผ่านมาอย่างแน่ นอน
ฉะนั้น ในช่วงที่กำาลังรอหายนะภัยของวันสิ้นโลกนี้ ซึ่ง
เป็ นเรื่องเดียวกับการ “รอตาย” หรือ “รอการรอดตาย”
นั้น สิ่งที่คนทั้งหลายสามารถทำาได้ในขณะนี้ คือ
1) ต้องรีบหาความร้้เรื่องการหนี ภัยของสังสารวัฏ
ไม่ใช่ไปไล่อ่านเรื่องหนี ภัยแผ่นดินไหว นำ้าท่วม หรือ
หนี คลื่นยักษ์สึนามิ เพราะภัยธรรมชาติเหล่านี้ หนี ไม่
หมด เนื่ องจากมันเป็ นส่วนหนึ่ งของภัยอันตรายที่
เกิดในคุกชีวิต (สังสารวัฏ) ถ้ายังไม่ได้ออกจากคุก
ชีวิตอย่างถาวร ก็จะต้องมุดกลับมาเจอภัยเหล่านี้
อีกในอนาคตอย่างแน่ นอนและนับครั้งไม่ถ้วนด้วย
2) หาความสุขเล็กๆน้อยๆให้มากที่สุด ซึ่งล้วนเป็ น
ความสุขที่อย่้รอบตัวของเราแล้ว ไม่ว่าจะเป็ น
ธรรมชาติรอบด้าน หรือคนที่เรารักที่อย่้ใกล้ชิดเรา
แล้ว รวมทั้งงานบ้าน ความสุขเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ จะ
มีคุณค่า มีความเป็ นไปได้ และเป็ นความจริง
มากกว่าการสร้างจินตนาการถึงความสุขอันเกิด
จากโครงการใหญ่ๆของอนาคต เป็ นความสุขที่
สามารถเติมชีวิตให้เต็มได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ
3) จะหาความสุขเล็กๆน้อยๆได้ก็โดยฝึ กทักษะการเอา
สติมาตรึงที่ฐาน หรือพาตัวใจกลับบ้าน หรือ ทำา
วิปัสสนา ซึ่งเป็ นเรื่องเดียวกัน แต่จำาเป็ นอย่างยิ่งที่
ต้องร้้เรื่องการฝึ กฝนฐานที่ส่ี คือ การรับผัสสะ
์ ้วย จึงจะสามารถต่อกรกับความคิด(เจอรี่)ที่
บริสุทธิด
นำาปั ญหาทุกร้ปแบบมากระหนำ่ าตัวใจของเรา โดย
เฉพาะในช่วงนี้ ย่อมมีเจอรี่ตัวหวาดกลัวต่อ
มหันตภัยของวันสิ้นโลกซำ้าเติมเข้ามาด้วย

4) หากใครสามารถพาตัวใจกลับบ้านที่ ๑-๒ ได้แล้ว ก็


เท่ากับกำาลังฝึ กใช้ชีวิตอย่้กับ “ปั จจุบันขณะ” แล้ว
ซึ่งเป็ นเรื่องเดียวกับการใช้ชีวิตอย่้กับของจริง หรือ
สัจธรรม หรือ นิ พพาน หรือ พระเจ้าแล้ว เป็ นเรื่อง
เดียวกันหมด เพราะสัจธรรมส้งสุดในจักรวาลย่อมมี
เพียงหนึ่ งเดียว และสัจธรรมนั้นย่อมอย่้เบื้องหน้า
ของทุกคน และทุกคนสามารถเข้าถึงสัจธรรมนั้นได้
อย่างง่ายๆ นั่นคือ เพียงการฝึ กฝนให้ตัวใจอย่้กับลม
หายใจ การเคลื่อนไหว ความร้้สึกส่วนกายของ
ตนเองแล้ว ก็เท่ากับได้อย่้กับปั จจุบันขณะ เท่ากับได้
อย่้กับสัจธรรมแล้ว เมื่อทำาได้เช่นนี้ ความคิดหวาด
กลัวของอนาคตและความโศกเศร้าของอดีตก็จะหาย
ไป ทำาให้ไม่เป็ นทุกข์แม้กำาลังอย่้ในช่วงวิกฤตการณ์
ของโลกก็ตาม นี่ คือ ความอัศจรรย์ของการได้อย่้กับ
นิ พพาน พระเจ้า หรือสัจธรรมส้งสุด
5) ขอให้ร้ว่าการ “ไม่คิดมาก” หรือ “หยุดคิดมาก” ที่
คนชอบแนะนำาให้ทำากันนั้น ในภาคปฏิบัติเป็ นเรื่อง
ที่ทำาไม่ได้ถ้าไม่ร้วิธีการ จำาเป็ นต้องให้ “วิธีการไม่
คิดมาก” แก่เขาด้วย ทักษะพาตัวใจกลับบ้าน
คือวิธีการโดยตรงทีจ ่ ะช่วยให้คนไม่คิดมากได้
อย่างแท้จริง ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย สามารถ
ฝึกทักษะนี้ ได้

6) มีคลิปวีดีโอใน Youtube มากมายที่เกี่ยวข้องกับเด็ก


ไร้เดียงสา สามารถเปิ ดด้ได้เพื่อหาความสุขเล็กๆ
น้อยๆ ภาษาของเด็กไร้เดียงสาเป็ นภาษาสากล ไม่
จำาเป็ นต้องแปล ทุกชาติทุกภาษาจะฟั งเข้าใจเหมือน
กันหมด คลิปเหล่านี้ เหมาะกับคนที่ไม่มีเด็กเล็กใน
ครอบครัวที่จะเก็บเกี่ยวความสุขเล็กๆน้อย หากมี
อินเทอร์เน็ต ก็สามารถเปิ ดด้ได้ คลิปเด่นๆที่น่าด้
มากมี ๕ เรื่อง คือ

Baby laughing hysterically at ripping paper

http://www.youtube.com/watch?

v=RP4abiHdQpc&NR=1

Emerson: mummy’s nose is scary

http://www.youtube.com/watch?

v=N9oxmRT2YWw&feature=related
hahaha

http://www.youtube.com/watch?

v=5P6UU6m3cqk&feature=related

Charlie bit me…again

http://www.youtube.com/watch?

v=_OBlgSz8sSM&feature=related

Twin babies boys talking about kung fu

http://www.youtube.com/watch?v=ku3oIyFA1WM

7) ทำาความเข้าใจให้ถ้กต้องว่า ความตายทางร่างกาย
ไม่ใช่เป็ นการตายที่แท้จริง หากยังไม่ได้ออกจากคุก
ชีวิต ก็ยังต้องกลับมาเจอภัยของคุกชีวิตนี้ อีกอย่างไม่
จบสิ้น
8) คำาสอนเรื่องสติปัฏฐานของยุคนี้ เปรียบเหมือน
“รถไฟขบวนสุดท้าย” ที่จะพาคนออกจากคุกชีวิต
ไปนิ พพาน คนมีปัญญา เมื่อฟั งแล้วจะรีบขวนขวาย
หาความร้้และปฏิบัติตาม แต่จะมีคนที่แม้อ่านแล้ว
ก็ยังไม่ร้เรื่อง ยังอยากใช้ชีวิตอย่างประมาทต่อไป
ไม่สนใจที่จะขวนขวายหาความร้้ จึงต้องเข้าใจด้วย
ว่าคนกลุ่มนี้ ยังไม่มีบุญบารมีเพียงพอเพราะ
บุพกรรมเก่า ถ้าช่วยเขาไม่ได้ คนช่วยก็ต้องไม่
เสียใจ จำาเป็ นต้องปล่อยเขาไปเพื่อใช้กรรมต่อไป ที่
สำาคัญคือ คนที่ร้เรื่องแล้ว ต้องรีบช่วยตัวเองให้รอด
ด้วย ช่วยคนที่ยอมให้ช่วย ถ้าเขาไม่อยากให้เราช่วย
ก็ปล่อยเขาไป แต่ยังเมตตาเขาอย่้ ไม่ต้องเสียใจ ขอ
ให้อ่านคำานำาของค่้มือชีวิตภาคกฏแห่งกรรม ดิฉน ั
ได้พ้ดเผื่อให้กับคนที่ไม่มีบุญบารมีท่ีจะร้้เรื่องการ
ออกจากคุกชีวิตแล้ว
9) การสอนของศุภวรรณ กรีน ทั้งหมด ล้วนเน้นเรื่อง
การพาคนออกจากคุกชีวิตไปนิ พพานทั้งสิ้น โดยใช้
วิธีฝึกฝนทักษะการเอาสติมาตรึงที่ฐานหรือพาตัวใจ
กลับบ้าน ผ้้สนใจสามารถหาหนังสือมาอ่าน หรือเอา
ซีดีมาด้ มาฟั งให้เข้าใจ แต่ให้ดีท่ีสุด ควรหาโอกาส
เข้าอบรมธรรมกับดิฉน ั สักครั้ง

ศุภวรรณ กรีน
๖ เมษายน ๒๕๕๔

You might also like