Professional Documents
Culture Documents
ก่อนวันสิ้นโลก มนุษย์ควรใช้ชีวิตอย่างไร?
ก่อนวันสิ้นโลก มนุษย์ควรใช้ชีวิตอย่างไร?
มนุษย์ควรใช้ชีวิต
อย่างไร
ภัยธรรมชาติหลากหลายที่เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้น
ตลอดจนการกระพือข่าวของสื่อต่างๆ ได้ทำาให้คนไม่นอ ้ ย
เริ่มเชื่อว่าเหตุการณ์วันสิ้นโลกปี ๒๐๑๒ ดังที่เห็นใน
ภาพยนต์ของฮอลลีว้ดคงต้องเป็ นจริง และทำาให้คนไม่
น้อยหวาดกลัวต่อความตาย เหมือนยมบาลกำาลังวิ่งไล่จ่อ
อย่้ข้างหลัง และกำาลังจะตะปบเราทันแล้ว
ดิฉน
ั อยากจะพ้ดฟั นธงว่า ไม่มีใครสามารถร้้ได้อย่าง
แน่ ชัดล้านเปอร์เซนต์ว่าเหตุการณ์วันสิ้นโลกอันเกิดจาก
แกนโลกพลิกนั้นจะเกิดจริงหรือไม่ นี่ เป็ นข้อเท็จจริงที่ไม่มี
ใครร้้แน่ ชัดจนกว่าเหตุการณ์จริงจะเกิดขึ้น เมื่อไร ก็เมื่อนั้น
เหมือนเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆที่เกิดในอดีต เช่น ผ้้ก่อการ
ร้ายเอาเครื่องบินชนตึกเวิรล์เทรด อุบัติเหตุของเจ้าหญิง
ไดอาน่ า แผ่นดินไหวใต้ท้องทะเลที่อินโดนี เซียจนก่อให้เกิด
คลื่นยักษ์สึนามิกลืนคนไปถึง ๒๖๐,๐๐๐ ชีวิต เป็ นต้น หลัง
จากที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว มักจะมีคนออกมาพ้ดว่า ได้ร้
ถึงหรือฝั นถึงเหตุการณ์น้ันนี้ บ้าง แต่ก็ไม่มีผลเพียงพอที่จะ
ป้ องกันไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายนั้นเกิดได้ คนก็ยังตายอย่้
นั่นเอง เพราะถึงแม้พ้ดไป ก็คงไม่มีใครเชื่อ ถึงขนาดจะหา
ทางป้ องกันไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิด ซึ่งคงจะเหมือนกับ
เหตุการณ์วันสิ้นโลกซึ่งคาดว่าจะเกิดในวันที่ ๒๑ เดือน ๑๒
ปี ๒๐๑๒ ใครอยากเชื่อ ก็เชื่อไป ใครไม่อยากเชื่อ ก็ไม่ต้อง
เชื่อ เหตุการณ์น้ี อาจจะต่างจากเหตุการณ์เลวร้ายอื่นๆในแง่
ที่ว่า เป็ นเหตุการณ์อนาคตที่พ้ดถึงกันอย่างกว้างขวาง
มากกว่าเรื่องอื่นๆที่ได้ยกตัวอย่างไปแล้ว เพราะเป็ น
เหตุการณ์ท่ีจะกระทบคนทั้งโลกนั่นเอง
ภัยของคุกชีวิตเป็นเรื่องธรรมดา
ในส่วนตัวของดิฉน ั นั้น ไม่ได้เห็นว่า มหันตภัยที่กำาลัง
เกิดขึ้นนี้ เป็ นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด เพราะเข้าใจ
ชัดเจนด้วยปั ญญาทางธรรมว่า นี่ เป็ นเรื่องธรรมดาของโลก
ของจักรวาลอันเป็ นส่วนหนึ่ งของคุกชีวิตที่กำาลังกักขังมนุษย์
ผ้้เป็ นนักโทษที่ดีและนักโทษไม่ดีท้ังหลายเหมือนกันหมด
พ้ดง่ายๆว่าเป็ นมหันตภัยจากธรรมชาติเหล่านี้ ล้วนเป็ นภัย
ของสังสารวัฏ (คุกชีวิต)นั่นเอง จะให้เป็ นนักโทษอย่้ในคุก
โดยไม่เจอภัยอันตรายต่างๆย่อมเป็ นไปไม่ได้ ดิฉน ั ไม่
จำาเป็ นต้องร้้คำาตอบว่าเหตุการณ์วันสิ้นโลกจะเกิดจริงหรือ
ไม่ เพราะดิฉน ั เห็นมหันตภัยที่ร้ายแรงมากกว่าเหตุการณ์
วันสิ้นโลกที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกวันเวลา แต่มนุษย์ส่วนมาก
มักมองไม่เห็นภัยที่น่ากลัวเหล่านั้น นั่นคือ ภัยจากการเกิด
แก่ เจ็บ ตาย หรือ เกิดขึ้น ตั้งอย่้ เปลี่ยนแปลง และดับไป
ซึ่งเป็ นภัยที่กำาลังเบียดเบียนมนุษย์ตลอดเวลาอย่างแนบ
เนี ยนมาก ปั ญญาหางอึ่งของมนุษย์จึงมองไม่เห็น การ
หัวเราะและร้องไห้หรือสุขทุกข์ของมนุษย์ในแต่ละวันล้วน
เป็ นผลของภัยอันตรายที่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอด
เวลา เปรียบเหมือนลมมรสุมที่มีความรุนแรงในระดับ
ต่างๆ มีความสามารถพัดพา เปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้เกิด
ขึ้น ตั้งอย่้ และหายไปเสมอ ตราบใดที่มีลมมรสุมใหญ่นอ ้ ย
พัดพาอย่้เช่นนี้ จึงไม่มีอะไรเที่ยงแท้ถาวรที่จะพึ่งพาได้
ตลอดไป นักโทษของคุกชีวิตคือมนุษย์จึงต้องวนเวียนอย่้
กับการหัวเราะและร้องไห้เสมอ สุขมา ก็ไม่ได้อย่้นาน
เดีย๋ วก็หายไป ทุกข์มา มักจะอย่้นานกว่าสุขหน่ อย แล้ว
มันก็ต้องหายไปในที่สุด แต่ก่อนที่ทุกข์จะหายไปนั้น
นักโทษไม่นอ้ ยที่ทนกับความเจ็บปวดของความทุกข์ไม่ได้
ไปทำาร้ายตัวเองจนตายเสียก่อนที่ความทุกข์จะหายไป ก็มี
มากมาย
นี่ คือข้อเท็จจริงของโลกมนุษย์อันเป็ นห้องหนึ่ งของคุก
ชีวิตที่ทก ุ คนจะต้องมองด้วยปั ญญาทางธรรมที่พระบรม
ศาสดาได้ป้ทางให้ จึงจะสามารถเห็นภัยที่แท้จริงต่างๆที่มี
อย่้ทุกหย่อมหญ้า คนที่ยังมีอวิชชา ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ จะ
มองภัยที่แนบเนี ยนเหล่านี้ ไม่ออก
ทำาไมคนยุคนี้ต้องคิดเรื่องไปนิ พพาน
เมื่อเข้าใจเรื่องภัยอันตรายที่เกิดในคุกชีวิตแล้ว ก็จะ
เข้าใจต่อไปว่า ทำาไมดิฉน ั จึงต้องการพาคนยุคนี้ ไปนิ พพาน
เพราะนิ พพานคือ ชีวิตอิสระนอกคุกนั่นเอง ใครที่ไปถึง
นิ พพานได้ จะไม่ต้องเจอภัยมรสุมต่างๆที่มาพัดพาให้ทุก
อย่างเปลี่ยนแปลงจนทำาให้หัวเราะร้องไห้ ใครไปถึง
นิ พพานได้ ก็จะปลอดภัย ทุกคนสามารถไปถึงนิ พพานได้
ในขณะที่ยังมีชีวิต หายใจอย่้ ไม่ใช่ว่าต้องตายก่อน จึงจะไป
นิ พพานได้ นั่นเป็ นเรื่องเข้าใจผิด อันเป็ นผลจากการสอนที่
ผิด
ฉะนั้น เราจะมาสมมุติกันก่อนว่า เหตุการณ์วน ั สิ้น
โลกจะเกิดขึ้นจริงๆ คำาถามต่อไปคือ ชาวโลกควรจะใช้ชีวิต
อย่างไรในช่วงระหว่าง “รอความตาย” หรือ “รอรอด
ชีวต
ิ ” จำาเป็ นต้องตกลงกันก่อนว่า คำาแนะนำาที่ดิฉน ั กำาลัง
จะให้ในบทความนี้ มีความต่อเนื่ องกับบทความเรื่อง “ทำาไม
คนยุคนี้ ต้องคิดเรื่องไปนิ พพาน” เป็ นคำาแนะนำาสำาหรับ
คนที่ร้แน่ ชัดแล้วว่ามหันตภัยที่กำาลังเกิดขึ้นตามจุดต่างๆ
ของโลกเหล่านี้ เป็ นภัยของคุกชีวิต และต้องการจะออกจาก
คุกชีวต ิ อย่างถาวร คือ ไปนิ พพานอันเป็ นสภาวะเดียวที่จะ
รอดพ้นจากภัยของสังสารวัฏได้อย่างแท้จริง ฉะนั้น บุคคล
กลุ่มนี้ จึงกำาลังให้ความสนใจกับการปฏิบัตส ิ ติปัฏฐานสี่
วิปัสสนา หรือ การพาตัวใจกลับบ้าน อันเป็ นทางสาย
ตรงทีจ ่ ะพาคนแหกคุกชีวิตนี้ ดิฉน ั ได้เปรียบเทียบความ
ร้้เรื่องสติปัฏฐานของยุคนี้ ว่าเป็ น “รถไฟขบวนสุดท้าย”
ที่จะพาคนออกจากคุกชีวิตไปนิ พพาน ใครที่กำาลังฝึ กฝน
เรื่องพาตัวใจกลับบ้านอย่้จะสามารถเข้าใจคำาแนะนำาที่ดิฉน ั
จะให้ แต่คนที่ไม่ได้ปฏิบต ั ิเรื่องการเอาสติมาตรึงที่ฐานหรือ
พาตัวใจกลับบ้านอาจจะอ่านบทความนี้ อย่างงงงวย ไม่
เข้าใจ เพราะยังขาดปั ญญาทางธรรม จึงทำาไม่ได้ในภาค
ปฏิบัติ แต่คนที่กลัวภัยธรรมชาติและกลัวตายก็ยังสามารถ
อ่านเอาใจความได้ และอาจจะเริ่มให้ความสนใจเรื่อง
การพาตัวใจกลับบ้านก็ได้
จำานวนประชากรโลก
ก่อนที่จะเข้าส่้คำาแนะนำาว่าควรจะใช้ชีวิตอย่างไรก่อน
วันสิ้นโลก เราควรมาด้ตัวเลขของประชากรโลกเสียก่อน
และเทียบเคียงกับขนาดของการทำาลายล้าง หากยุคนี้ เป็ น
ยุคมิคสัญญีจริง
(มิคสัญญีคือยุคที่มนุษย์เข้าใจผิดว่า เพื่อนมนุษย์กันเอง
พระพุทธเจ้าได้บอกไว้ชัดเจนว่า หลังจากการทำาลาย
ล้างซึ่งกันและกันซึ่งจะเกิดขึ้นอย่้ ๗ วัน คนดีมีศีลธรรม จะ
หนี ไปอย่้ในป่ าลึก และมีชีวิตรอด ฉะนั้น แม้หลังยุคมิคสัญญี
แล้ว ก็จะยังคงมีคนเหลืออย่้ในโลกนี้ โลกนี้ ยังไม่ได้แตก
สลายระเบิดเป็ นจุณแต่อย่างใด
ขณะนี้ มีมนุษย์อาศัยบนพื้นผิวโลกอย่้ ๖.๖ พันล้านคน
เพื่อให้ง่ายต่อการคำานวน เรามาคิดกันแบบตัวเลขถ้วนๆคือ
๖ พันล้านคน ถ้ามีมหันตภัยรวมทั้งมนุษย์ฆ่ากันเองเหมือน
ผักปลาจริง หากมนุษย์หายสาบส้ญจากโลกนี้ ถึงครึ่งหนึ่ ง ก็
ยังเหลือมนุษย์อย่้ถึง ๓ พันล้านคน ก็ยังนับว่ามากโขอย่้ ถ้า
มนุษย์ตายไปถึง ๙๐ % และเหลือเพียง ๑๐ % ของ
ประชากรโลกในขณะนี้ ก็ยังมีมนุษย์อย่้ถึง ๖๐๐ ล้านคน
น้อยกว่าอินเดียทั้งประเทศอย่้ เกือบ ๔๐๐ ล้านคน ถึงแม้ฟัง
ด้โหรงเหรง แต่ก็ยังมากอย่้ ครานี้ มาด้ประชากรไทยที่มี
๗๐ ล้านคนขณะนี้ หากตายไป ๙๐% ก็ยังเหลือคนไทยราว
๑๐ ล้านคน ตอนที่ดิฉน ั เรียนในระดับประถมนั้น คนไทยมี
ประมาณ ๓๐ ล้านคน ถ้าย้อนหลังไปสักร้อยปี คนไทยก็คง
อย่้ท่ีประมาณ ๑๐ ล้านคน ฟั งด้โหรงเหรงจริง แต่ใครที่เคย
อย่้ในประเทศที่มีประชากรมาก และมีโอกาสไปในประเทศ
ที่มีประชากรน้อยแต่มีเนื้ อที่มาก เช่น เดนมารก์ นอร์เวย์
ซึ่งมีประชากรทั่วประเทศเพียง ๕ ล้านคน จะเห็นว่ามันสงบ
น่ าอย่้ ง่ายต่อการบริหารจัดการระบบสังคม คงจะเป็ น
สาเหตุน้ี กระมังที่กลไกของชีวิต โลก และจักรวาล ต้องมี
การทำาลายล้างมนุษยชาติกันสักครั้งหนึ่ งเพื่อเริ่มต้นการจัด
ระบบสังคมใหม่
ฉะนั้น ถ้าเอาตามที่กล่าวไว้ในพระไตรปิ ฎกที่เนื่ องกับ
ยุคมิคสัญญีแล้วละก็ จะยังคงมีมนุษย์หยิบมือหนึ่ งเหลือใน
โลกนี้ แน่ นอน ซึ่งอาจจะอย่้ท่ีประมาณ ๗๐๐ ถึง ๑๐๐๐ ล้าน
คนทั่วโลก อาจจะเหลือคนไทยอย่้ประมาณ ๕-๑๐ ล้านคน
ซึ่งเรา “อาจจะเป็นหรือไม่เป็น” คนหนึ่ งในจำานวน
ประชากรหยิบมือหนึ่ ง เป็ นไปได้ท้ังนั้น ที่จริงแล้ว
ประชากรโลกเคยตายเป็ นหม่้ใหญ่มาแล้ว ในปี ค.ศ. ๑๙๑๗
แดนกัลปพฤกษ์)
ฉะนั้น ดิฉน
ั จึงอยาก “เดา” ว่าหลังจากเหตุการณ์
วันสิ้นโลกของปี ๒๐๑๒ นั้น ยังน่ าจะมีประชากรโลกเหลืออย่้
หลายร้อยล้านคน การดำารงชีวิตก็จะยังคงมีอย่้ต่อไป
เพียงแต่ว่าเราอาจจะไม่ได้เป็ นคนหนึ่ งในจำานวนประชากรที่
เหลือหยิบมือหนึ่ งเท่านั้น ซึ่งไม่น่าจะเป็ นปั ญหาสำาหรับคน
ที่จะต้องตายในเหตุการณ์มหันตภัยล้างโลก สำาหรับคนที่
ตายไปแล้ว ย่อมต้องมีเรื่องใหม่ให้เป็ นห่วงแน่ นอน ไม่ว่าจะ
ไปส่้สุคติภ้มิ เช่นสวรรค์ พรหมโลก หรืออบายภ้มิ เช่น
เปรต นรก ล้วนเป็ นเรื่องน่ าห่วงทั้งนั้น เพราะล้วนยังไม่ได้
หมดสถานะของการเป็ นนักโทษในคุกชีวต ิ ยังต้องถ้กเหวี่ยง
ไปมาระหว่างปี กซ้ายและขวาของคุกชีวิตต่อไป ฉะนั้น ใคร
ที่ไม่อยากเอาความวิตก กังวล ห่วงใยและความกลัวติดตัว
ไปตอนหลังตายนั้น ก็ควรต้องทำาความเข้าใจเรื่องการออก
จากคุกชีวิตเพื่อไปนิ พพานให้ชัดเจนแจ่มแจ้งเสียก่อนที่จะ
ตายไป ต้องให้แน่ ใจว่าได้เอาปั ญญาเรื่องการไปนิ พพาน
ติดตัวไปด้วย จึงจะเรียกว่า “หมดเรื่อง” อย่างแท้จริง มิ
เช่นนั้นแล้ว ยังมีโอกาสมุดกลับมาเผชิญมหันตภัยของวัน
สิ้นโลกอีกในอนาคตอันไกลโพ้น รวมทั้งเจอภัยมรสุมที่แนบ
เนี ยนของชีวิตอย่างแน่ นอน ไม่มีทางหมดเรื่องได้อย่าง
แท้จริง
ฉะนั้น เราจะมาตีวงแคบขึ้นโดยสมมุติต่อว่าจะมี
ประชากรโลกเหลืออย่้ประมาณ๖๐๐ ถึง ๑๐๐๐ ล้านคนคือ
๑๐% ของประชากรโลกในขณะนี้ หมายความว่า ทุกท่านที่
กำาลังอ่านประโยคนี้ อย่้มีสิทธิท
์ ่ีจะอย่้หรือจะตายทั้งนั้น ถ้า
ประชากรเหลือ ๑๐% จริงละก็ โอกาสตายจะมีมากกว่า
โอกาสอย่้รอดที่สถิติเท่าไร ก็ลองหาคนเก่งสถิติคำานวนให้
เมื่อเข้าใจตามนี้ แล้ว ก็จะเข้าส่้เรื่องควรใช้ชีวิตอย่างไรก่อน
วันสิ้นโลก
หยุดวางแผนการณ์อนาคตในระยะยาว
เป็ นเรื่องพ้ดง่าย แต่เข้าใจยาก และทำายากหรือทำาไม่
ได้เลยสำาหรับคนที่ไม่ได้ฝึกฝนพาตัวใจกลับบ้าน หลายคน
คงสงสัยว่า แล้วโครงการต่างๆที่กำาลังทำาอย่้ซึ่งล้วนเป็ น
เรื่องระยะยาวทั้งสิ้น และเป็ นส่วนหนึ่ งของงานประจำาที่มี
รายได้ ควรทำาอย่างไร
คำาตอบคือ ถ้ายังต้องรับผิดชอบภาระหน้าที่ของโครง
การใหญ่ๆ ก็ยังคงทำาไปเหมือนเดิม ทำาอย่างดีท่ีสุด ไม่ว่า
จะมีเหตุการณ์วันสิ้นโลกหรือไม่ก็ตามโดยฝึ กฝนเรื่องพาตัว
ใจกลับบ้านในขณะที่กำาลังทำางานนั้นๆ ซึ่งจะผิดกับคนที่
ไม่ร้เรื่องการไปนิ พพาน และไม่ได้ปฏิบัติพาตัวใจกลับบ้าน
เขาจะไม่มีกำาลังใจทำางาน เพราะจะถ้กความคิด (เจอรี่) ใน
หัวถล่ม ทำาให้คิดมาก วิตกกังวล หวาดกลัว และหมดกำาลัง
ใจที่จะทำางานต่อไป จึงอาจจะต้องบังคับให้ตนเองไม่เชื่อใน
สิ่งที่”อาจจะ”เกิดขึ้น เพื่อสร้างเงื่อนไขให้ตนเองมีกำาลังใจ
ทำางานต่อไป ซึ่งต่างจากผ้้ท่ีได้วางเป้ าหมายเรื่องการไป
นิ พพานอย่างชัดเจน และกำาลังปฏิบัติการเอาสติมาตรึงที่
ฐาน คนกลุ่มที่มีเป้ าหมายชีวิตชัดเจนนี้ จะร้้เรื่องการใช้ชีวิต
อย่้กับที่น่ี เดีย
๋ วนี้ จะสามารถรับร้้ผัสสะอย่าง บริสุทธิ ์ ร้้วิธี
การขจัดความคิด (เจอรี่) ฝ่ ายลบที่มารบกวนตัวใจ จึง
สามารถฝึ กฝนการพาตัวใจกลับบ้านในขณะที่กำาลังปฏิบัติ
หน้าที่ของชีวิตประจำาวันอย่้ แม้จะกำาลังทำางานอันมีราย
ละเอียดเกี่ยวข้องกับโครงการใหญ่ท่ีวางแผนอานาคตในอีก
๑๐, ๒๐ หรือ ๓๐ ปี ข้างหน้าก็ตาม เช่น กำาลังสร้างถนน
หนทาง เขื่อน ทำาเรื่องพลังงานทางเลือก วิจัยเรื่องยาที่จะ
ช่วยรักษาและป้ องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ วิจัยเรื่องอาหาร
และการสร้างผลผลิตทางการเกษตรเพื่อเลี้ยงด้ชาวโลก
เป็ นต้น เพราะแม้มีประชากรโลกเหลือเพียง ๑๐% เท่านั้น
คนที่เหลือก็ยังคงได้รับประโยชน์จากงานที่ทำาอย่้
เรื่องนี้ คงจะทำาง่ายสำาหรับผ้้ปฏิบัติสติปัฏฐานที่เป็ น
ล้กจ้างและกินเงินเดือนของนายจ้าง แต่สำาหรับนายจ้าง
หรือเจ้าของโครงการใหญ่ๆที่มีเรื่องได้เรื่องเสียเข้ามา
เกี่ยวข้องมากนั้น ย่อมเป็ นเรื่องยากมากขึ้น จึงอาจจะทำาให้
คนไม่นอ ้ ยเลือกไม่เชื่อเรื่องวันสิ้นโลก ปิ ดห้ปิดตาต่อภัย
ธรรมชาติต่างๆ และเอาหัวมุดทราย ยังคงดันทุรังคิดเรื่อง
การสร้างโครงการอนาคตอย่างเอาเป็ นเอาตาย ซึ่งจะแตก
ต่างกว่าคนที่ได้ตัดสินใจเลือกการเดินทางออกจากคุกชีวิต
แล้ว คนกลุ่มนี้ แม้ต้องรับผิดชอบโครงการใหญ่ๆ ก็จะทำา
แบบเต็มที่ เผื่อว่าโลกไม่ได้สิ้นสุดจริง ก็ยังได้รับประโยชน์
จากงานที่ตนเองทำาอย่้ หรือแม้มนุษยชาติอาจจะหายไป
จริง ก็ยังไม่เป็ นไร เพราะเข้าใจเรื่องสรรพสิ่งล้วนตกอย่้
ในกฏที่เกิดขึ้น ตั้งอย่้ ดับไป เข้าใจสถานะที่เล็กกระจิดริด
ของมนุษย์และของโลก เข้าใจเรื่องอนัตตา หรือความไม่มี
อะไร We are Nothing. ของมนุษย์ทุกคนตั้งแต่ยาจกไล่
ขึ้นไปถึงผ้้นำาประเทศ จนถึงพระมหากษัตริย์ ราชินี ไม่ว่า
ใครจะอย่้ในสถานะส้งส่งเพียงใดก็ตาม ล้วนมีสถานะที่เป็ น
ส่วนประกอบอันเล็กกระจิดริดที่กำาลังล่องลอยตุุบป่ อง อย่้ใน
จักรวาลอันยิ่งใหญ่เหมือนกันหมดทั้งสิ้น ไม่มีความสำาคัญ
แต่อย่างใด เหมือนเรากำาลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้ าที่มีดวง
ดาวมากมาย นอกจากพระอาทิตย์กับพระจันทร์แล้ว เราก็
ไม่ได้มองดาวดวงอื่นๆอย่างให้ความสนใจมากเป็ นพิเศษ
เพราะคิดว่า ดาวดวงนี้ มีมนุษย์ท่ีมีบทบาทสำาคัญอาศัยอย่้
ซึ่งเหมือนกับมนุษย์ต่างดาวกำาลังมองด้โลกของเรา ซึ่งอย่า
ว่าแต่มนุษย์ท่ีกำาลังยืนบนโลกเลย แม้โลกทั้งโลกที่เราคิด
ว่าใหญ่โตนั้น เมื่อเปรียบเทียบในระดับจักรวาลแล้ว ก็ถ้ก
ลดขนาดเหลือเพียงเสี้ยวหนึ่ งของทรายหนึ่ งเม็ดเท่านั้น
แล้วมนุษย์ท้ังหลายที่กำาลังยืนอย่้บนโลกจะเปรียบกับอะไร
ได้ นี่ คือความหมายของคำาว่า อนัตตา หรือไม่มีตัวตน ใน
พระพุทธศาสนาซึ่งครอบคลุมเรื่องกายภาพด้วย We are
happiness ให้มากทีส
่ ุดเท่าทีจ
่ ะทำาได้ ซึ่งเป็ นเรื่องที่ทำา
ยากมากสำาหรับคนที่กลัวตายด้วยและไม่มีทักษะเรื่องพาตัว
ใจกลับบ้านด้วย เพราะจะถ้กเจอรี่ตัวความกลัวกับความ
เศร้ารุมเร้าเอา จนมองข้ามความสุขเล็กๆน้อยๆที่สามารถ
กอบโกยได้ท้ังๆที่มันก็อย่้เบื้องหน้าเรานี่ เอง ความสุข
เล็กๆน้อยๆเหล่านี้ จะทำาให้สมบ้รณ์ได้ก็โดยหัดมองมันอย่าง
เป็ นผัสสะบริสุทธิ ์ ซึ่งเป็ นเรื่องเดียวกับการฝึ กฝนธรรมานุ
ปั สสนาสติปัฏฐาน ตัวอย่างของความสุขเล็กๆน้อยๆที่ดิฉน ั
ใคร่แนะนำาในที่น้ี คือ
มองหน้าคนใกล้ชิด
มองหน้าคนคุ้นเคยที่เรารักที่อย่้รอบข้างเราอย่างเต็ม
อิ่มและด้วยรอยยิ้มเสมอ เหมือนเป็ นการมองครั้งสุดท้าย
เช่น หน้าของพ่อแม่ พี่นอ ้ ง ล้ก ป่ ้ย่าตายาย เป็ นต้น ใบหน้า
เหล่านี้ อาจจะด้จำาเจ คนที่ยังอายุนอ ้ ย ขาดประสบการณ์
ชีวิตอาจจะมองหน้าผ้้ส้งอายุท่ีเหี่ยวย่นด้วยความเบื่อหน่ าย
ไม่สวยงาม แต่คนที่เคยผ่านเหตุการณ์ของการพลัดหลงไป
อย่้ท่ีอ่ ืนอย่างโดดเดี่ยว เช่น ตามสนามบินในต่างประเทศ
(ซึ่งดิฉน
ั ไปติดอย่้บ่อย) ก็จะร้้คุณค่าของใบหน้าที่คุ้นเคย
จำาเจเหล่านั้นว่ามันยิ่งใหญ่และมีคุณค่ามากแค่ไหน คน
หลงทางทุกคนต้องการเห็นใบหน้าของคนที่เรารักและคุ้น
เคยทั้งนั้น เมื่อได้เห็นจะดีใจมากกว่าได้เงินทองเสียอีก มัก
จะโผเข้าโอบกอดด้วยความตื่นเต้นดีใจเสมอ นี่ คือ
ขุมทรัพย์ท่ีซ่อนอย่้เบื้องหน้าของคนทุกคนที่มีครอบครัวทั้ง
สิ้น คนที่มีทักษะการพาตัวใจกลับบ้านโดยเฉพาะร้้เรื่อง
การรับผัสสะบริสุทธิจ์ ะทำาได้อย่างง่ายดาย
ให้อภัย
คนที่น่าเห็นใจคือคนที่ไม่สามารถมองคนใกล้ชิดด้วย
รอยยิ้มและตักตวงความสุข เพราะอาจจะมีปัญหาที่ไม่ลง
รอยกันหรือถึงขั้นเกลียดกัน ก็คงทำาไม่ได้ ใครที่มีปัญหา
กับคนใกล้ชิด ก็ควรหาทางยุติปัญหาโดยเอาธรรมมาเป็ น
เครื่องยุติ ฝึ กให้อภัย และมองข้อเท็จจริงของโลกว่าใกล้
วินาศกันแล้ว อาจจะต้องจากกันอย่างไม่มีวันเห็นหน้ากัน
อีก จึงไม่มีประโยชน์อันใดที่จะโกรธขึ้งกันอย่้ พยายามมอง
ส่วนดีของเขา ให้อภัยแก่กันและกัน แผ่เมตตา พยายามคิด
ว่า จิตใจของเขาก็เป็ นทุกข์ด้วยปั ญหาต่างๆจิปาถะเหมือน
ของเราเช่นกัน ฉะนั้น เราอย่าไปเพิ่มความทุกข์ให้แก่กัน
และกันเลย เมื่อเอาความไม่พอใจหรือความโกรธออกจาก
ใจได้แล้ว จิตใจก็จะร้้สึกเบามากขึ้น และสามารถมองหน้า
คนใกล้ชิดด้วยรอยยิ้มได้ง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้ จะทำาได้ง่ายมาก
หากร้้ทักษะการพาตัวใจกลับบ้าน
อยากหนี
แม่ล้กอ่อน ล้กเล็กที่แม้อย่้ภายใต้เหตุการณ์
ธรรมดา ฮอร์โมนในร่างกายก็เพียงพอที่จะทำาให้อารมณ์
ความร้้สึกของหญิงกลุ่มนี้ ขึ้นลง เหวี่ยงไปมาจนทำาให้
หงุดหงิด โศกเศร้า เป็ นทุกข์ได้ เมื่อมาเจอเหตุการณ์โลก
ที่เต็มไปด้วยภัยพิบัติรอบด้านเช่นนี้ ย่อมต้องมีความหวั่น
ไหว วิตกกังวลมากเป็ นพิเศษ พ่อแม่ท่ียังไม่มีทักษะการพา
ตัวใจกลับบ้านย่อมต้องถ้กความกลัวคุมคาม เพราะโดย
ธรรมชาติและสัญชาตญาณของพ่อแม่ย่อมต้องการปกป้ อง
ล้กน้อย ให้แน่ ใจว่าล้กปลอดภัยที่สุด แต่หากมีเหตุการณ์
เช่นวันสิ้นโลกเกิดขึ้นจริงแล้ว แม้ต้องการจะป้ องกันล้กเมีย
ให้ปลอดภัยอย่างไร ก็อาจจะเหลือวิสัยที่พ่อบ้านจะทำาได้
ฉะนั้น พ่อแม่ท่ีตกอย่้ในสถานการณ์เช่นนี้ ต้องใจกล้ามาก
เป็ นพิเศษ ซึ่งจะทำาได้ก็ต้องเข้าใจเรื่องการเป็ นนักโทษของ
คุกชีวติ และภัยของสังสารวัฏ และเริ่มต้นฝึ กฝนทักษะ
การพาตัวใจกลับบ้านอย่างจริงจัง จึงจะสามารถเอาชนะ
ความหวาดกลัวได้ ใครที่ยังไม่สนใจเรื่องการปฏิบัติธรรม
เพื่อไปนิ พพานละก็ ควรปิ ดห้ปิดตาต่อข่าวมหันตภัยจะดี
กว่า คือ เอาหัวมุดดินไปเลย ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องเชื่อว่า
ใครจะพ้ดอะไร จึงจะอย่้อย่างไม่หวาดกลัวได้
แต่สำาหรับคุณแม่ล้กอ่อนและล้กเล็กที่ร้ทักษะการพา
ตัวใจกลับบ้านแล้ว ควรใช้เวลาที่เหลือนี้ กับล้กให้มากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็ นการรอตายหรือรออย่้รอด การใช้เวลากับล้ก
เล็กเป็ นเรื่องสำาคัญมากสำาหรับคุณแม่ท้ังหลาย แม้ใน
สถานการณ์ปกติกค ็ วรทำาอย่้แล้ว แต่เศรษฐกิจทุนนิ ยมไม่
ได้เปิ ดโอกาสให้แม่ๆทั้งหลายทำาได้ จำาเป็ นต้องออกไป
ดิ้นรนหาเงินแล้วเอาล้กเล็กให้ป่้ย่าตายายหรือพี่เลี้ยงด้แล
แทน ซึ่งเป็ นเรื่องน่ าเศร้ามาก เพราะงานด้แลเด็ก ถึงแม้
จะเหนื่ อยกาย แต่ธรรมชาติก็ได้ตบรางวัลให้กับแม่ของล้ก
ทุกคนแล้ว คนเป็ นแม่เท่านั้นจึงจะเห็นความรำ่ารวยของ
ตนเองและร้้คุณค่าที่แท้จริงของการได้เป็ นแม่คน เพราะ
เด็กทารกตั้งแต่แรกคลอดจนถึงวัย ๓ ขวบที่ยังไร้เดียงสา
มากนั้น ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความบริสุทธิผ ์ ุดผ่อง เพียง
มองหน้าที่ไร้เดียงสาของล้กเท่านั้น หัวใจก็จะท่วมท้นด้วย
ความสุข สามารถยิ้มได้เสมอ ทุกเวลานาทีของล้กล้วน
เป็ นขุมทรัพย์กองใหญ่ท่ีคนเป็ นแม่สามารถขุดได้เพื่อทำาให้
ชีวิตเต็มเปี่ ยมด้วยความสุขเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ เป็ นความสุข
ที่ไม่ต้องแลกด้วยเงิน พ่อแม่ท่ีร้ทักษะการรับผัสสะอย่าง
บริสุทธิจ์ ะเรียนร้้ธรรมะในระดับลึกซึ้งได้จากเด็กที่ไร้เดียง
สาเหล่านี้ เพราะธรรมะที่ลึกซึ้งที่สุดก็คือเรื่องนิ พพานหรือ
ผัสสะบริสุทธิน ์ ่ันเองซึ่งเด็กเล็กๆไร้เดียงสาได้จุ่มอย่้กับมัน
แล้ว
หญิงตัง
้ ครรภ์
สิ่งที่หญิงตั้งครรภ์หวาดกลัวที่สุด คือ ส้ญเสียสามี
เพราะอย่้ในสภาวะที่ช่วยตัวเองมากไม่ได้ จำาเป็ นต้องพึ่ง
สามี เมื่อมาเจอเหตุการณ์โลกที่กำาลังพ้ดถึงมหันตภัยเช่นนี้
ย่อมต้องมีความวิตก กังวล หวาดกลัวมากกว่าคนทั่วไป
หลายเท่านัก อยากจะคลอดล้กให้เสร็จเร็วๆก่อนวันสิ้นโลก
มาถึง เรื่องนี้ ก็ยังพอจะเตรียมตัวกันได้อย่้
หญิงตั้งครรภ์ต้องหมั่นฝึ กฝนทักษะการพาตัวใจกลับ
บ้าน เพื่อจะได้มีกำาลังต่อส้้กับเจอรี่ฝ่ายลบที่มารังควาญตัว
ใจ เมื่อตัวใจแข็งแกร่งเพราะมีพลังจากการฝึ กฝนแล้ว จะ
ไม่หวาดกลัวต่อเหตุการณ์ นอกจากนั้น การพาตัวใจกลับ
บ้านนับเป็ นการทำาบุญหนักที่สุดที่จะพาไปนิ พพาน ย่อมมี
อานิ สงส์มาก จะทำาให้เทวดาคุ้มครอง ไม่พาไปตกอย่้ใน
สภาวะที่ล่อแหลม ต่ออันตราย
คนป่ วย คนแข็งแรง
คนที่มีปัญหาสุขภาพเจ็บไข้ได้ป่วย อาจจะเป็ นโรคที่
รักษาหายขาดไม่ได้ เช่น เป็ นมะเร็ง ก็คงจะไม่เดือดร้อนกับ
เหตุการณ์วันสิ้นโลกเท่าไรนัก เพราะถึงอย่างไรชีวิตของ
ตนเองก็อย่้ในขั้นตอนที่นับถอยหลังแล้ว แต่คนที่มีสุขภาพดี
แข็งแรงนี่ สิ กลับจะกลายเป็ นกลุ่มที่อดคิดมากไม่ได้ เพราะ
ไม่ต้องการตายเร็ว แต่ท้ังคนป่ วยใกล้ตายและคนมีสุขภาพ
ดีล้วนลงเรือลำาเดียวกันถ้าหากยังมีอวิชชา ไม่ร้เรื่องการ
เป็ นนักโทษคุกชีวิตและการกอบก้้อิสรภาพของตนเอง เมื่อ
วันสิ้นโลกมาถึงจริง ทั้งสองกลุ่มนี้ ก็ยังคงเท่าเทียมกัน คือ
ล้วนต้องกลับไปท่องเที่ยวในคุกชีวิตต่อไป
ส่วนคนที่ร้ข่าวดีเรื่องการหนี ภัยของสังสารวัฏอย่าง
ถาวรโดยเลือกทางเดินไปนิ พพานนั้น แม้เขาจะมีโรคภัยไข้
เจ็บหรือมีสุขภาพที่แข็งแรงก็ตาม เขาจะไม่หวั่นไหวต่อ
เหตุการณ์มหันตภัยที่อาจจะเกิด รวมทั้งไม่หวั่นไหวต่อ
ความตายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเขา แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือ
สุขภาพแข็งแรง เขาก็ร้ว่าทุกคนล้วนหนี ความตายไม่พ้น
คนไข้และคนปกติท่ีร้จักทักษะการพาตัวใจกลับบ้านจะ
สามารถใช้ชีวิตอย่้กับ “ปั จจุบันขณะ” คือ อย่้กับลมหายใจ
การเคลื่อนไหว และความร้้สึกส่วนกายของตนเอง ซึ่งเป็ น
ของจริง เป็ นสัจธรรมในตัวมันเองอย่้แล้ว แม้ยังคงเจ็บไข้
ได้ป่วย ก็ยังสามารถใช้ชีวิตที่เป็ นอมตะได้ในขณะนั้นๆ คน
กลุ่มนี้ จะเข้าใจดีว่า ความตายทางร่างกายไม่ได้เป็ นความ
ตายที่แท้จริง เพราะถ้ายังไม่ได้ออกจากคุกชีวิต เดีย ๋ วก็
ต้องมุดกลับมาเกิดใหม่ มาเจอภัยของคุกชีวิตอันมีเกิด แก่
เจ็บ ตาย และภัยธรรมชาติอีก ไม่ได้หมดเรื่องจริงๆ แม้
สุขภาพไม่ดี ก็ยังพยายามฝึ กฝนทักษะตรึงสติให้อย่้กับฐาน
ใช้ชีวิตอย่้กับสัจธรรม อย่้กับนิ พพาน อย่้กับพระเจ้า ซึ่ง
เป็ นการใช้ชีวิตที่เป็ นอมตะอย่างแท้จริง และยอมรับความ
ตายทางร่างกายอย่างกล้าหาญ นี่ คือชัยชนะของผ้้ท่ีเจ็บไข้
ป่ วยที่ร้เรื่องทักษะการพาตัวใจกลับบ้าน ซึ่งมีความยิ่งใหญ่
มากกว่าคนแข็งแรงแต่ยังไม่ร้เรื่องการออกจากคุกชีวิต
อย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้
เตรียมตัวตาย
หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิท่ีญ่ีปุ่น ดิฉน
ั ได้ด้
ข่าวของพยาบาลหญิงคนหนึ่ งที่ทำางานในโรงพยาบาลแห่ง
หนึ่ งที่เมืองเซนได Sendai อันเป็ นเมืองที่ใกล้จุดแผ่นดิน
ไหวมากที่สุด พยายามคนนี้ ให้สัมภาษณ์นักข่าวด้วยใบหน้า
ที่เจิ่งนองด้วยนำ้าตาว่า ในวันที่ ๑๑ มีนาคม ๕๔ ในขณะที่
เกิดแผ่นดินไหวนั้น เธอกำาลังทำางานด้แลคนไข้อย่้ในวอรด์
หลังแผ่นดินไหว ทุกอย่างก็ชุลมุนไปหมด เตียงของคนไข้
ก็ไม่ได้อย่้ท่ีเดิมแล้ว เธอพยายามช่วยเหลือ ปลอบประโลม
คนไข้ท่ีช่วยตนเองไม่ได้และกำาลังตระหนกตกใจอย่างสุดขีด
ในช่วงนั้นเอง ทุกคนก็ตะโกนให้มองออกไปทางหน้าต่างซึ่ง
หันหน้าเข้าส่้ทะเล ทันใดนั้นเอง เธอก็เห็นคลื่นยักษ์ท่ีมี
ความส้งอย่้ท่ีประมาณตึกชั้นที่สองของโรงพยาบาล และ
คลื่นนั้นกำาลังวิ่งด้วยความเร็วส้ง เหมือนจะมากลืนทั้งโรง
พยาบาลที่เธอกำาลังยืนอย่้ ในขณะนั้น วอรด์ของเธออย่้ท่ี
ชั้นล่าง ทั้งหมอและพยาบาลล้วนตะโกนลั่นว่า ขอให้ทุกคน
รีบวิ่งขึ้นชั้นบนของตึกโดยเร็ว
พยาบาลคนนี้ เล่าด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า เธอเอี้ยว
คอมองไปที่คลื่นยักษ์แล้ว ก็รีบหันกลับมามองหน้าคนไข้
ที่นอนตกใจอย่้บนเตียงแต่ยังไม่เห็นคลื่นยักษ์ เธอไม่ร้จะ
บอกคนไข้อย่างไรว่า เธอไม่มีเวลาที่แม้จะอุ้มคนไข้หนี ขึ้น
ไปชั้นบนได้ เพราะคนไข้แต่ละคนล้วนอ่อนแอเกินกว่าจะ
ลุกขึ้นนั่ง อย่าว่าแต่เดินหรือวิ่งเลย เธอได้แต่ร้องไห้ และ
บอกคนไข้ว่า “ฉันขอโทษด้วยนะ ที่ไม่สามารถช่วยเธอได้
ขอโทษด้วย ขอโทษด้วยๆๆๆๆๆ ฉันต้องไปแล้ว” และแล้ว
เธอต้องทิ้งคนไข้ และวิ่งขึ้นชั้นส้งของโรงพยาบาลเหมือน
กับเจ้าหน้าที่พยาบาลคนอื่นๆที่ล้วนวิ่งหนี คลื่นยักษ์กันอย่าง
จ้าละหวั่น เธอเล่าว่า นั่นเป็ นการตัดสินใจที่เจ็บปวดมาก
ที่สุดในชีวิต แต่เธอไม่มีทางเลือก มาบัดนี้ เธอรอดชีวิตมา
ได้ แต่ส่ิงที่เธอต้องแบกอย่้ทุกเวลานาทีคือ ความร้้สึก
สำานึ กผิด guilt ที่เธอต้องทิ้งคนไข้ของเธอเผชิญกับคลื่น
ยักษ์เพียงลำาพัง เธอเล่าต่อว่า เหตุการณ์ของวันนั้นและ
ความร้้สึกสำานึ กผิดนี้ จะต้องหลอนเธอไปจนวันตายอย่าง
แน่ นอน ข่าวได้รายงานต่อไปว่า มีหมอ พยาบาลหลาย
คนในโรงพยาบาลเซนไดที่ได้ถ้กคลื่นยักษ์กลืนกินไปพร้อม
กับคนไข้ท่ีไม่มีทางหนี ได้เลย
ดิฉนั ก็คงเหมือนคนอื่นๆที่ฟังเรื่องนี้ ด้วยความเศร้า
สลดมาก นี่ เป็ นเหตุการณ์จริงที่จะเกิดกับใครก็ได้ ฉะนั้น
ภายใต้สถานการณ์ท่ีคับขันเช่นนี้ ใครที่เคย “ฝึ กตายอย่าง
มีสติอย่้กับฐาน” มาก่อน ก็จะร้้วิธีการเตรียมตัวตายอย่าง
ไม่หวาดกลัวและสงบได้ แม้ตายไป ก็รับประกันว่าจะต้อง
ไปที่ดีแน่ นอน แต่คนที่ไม่เคย “ฝึ กตายอย่างมีสติอย่้กับ
ฐาน” ย่อมต้องเจอความหวาดกลัวอย่างยิ่ง ทำาให้แม้หลัง
ตาย ตัวใจซึ่งเป็ นตัวจริงก็จะต้องลำาบากในทุคติภ้มิ
ฉะนั้น ในช่วงที่กำาลัง “รอตาย” หรือ “รอการอย่้รอด”
ทุกคนควร “ฝึ กตายอย่างมีสติอย่้กับฐาน” เพื่อจะได้ใช้
ทักษะนี้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ท่คี ับขันจริงๆ และไม่มีทางรอด
แล้ว ดิฉน ั ได้สอนการ “ฝึ กตายอย่างมีสติอย่้กับฐาน” ใน
งานอบรมธรรมรอบ “ผัสสะบริสุทธิ”์ และได้อธิบายเรื่องนี้
ในหนังสือเรื่อง ค่้มือชีวิตภาคศีลธรรม และเรื่อง ใครกลัว
ตาย ฟั งทางนี้ ใครสนใจ สามารถหาอ่านได้
สรุป
หากตั้งสมมุติฐานว่ามหันตภัยวันสิ้นโลกจะเกิดขึ้น
อย่างแน่ นอนในปี ๒๐๑๒ จนทำาให้ประชากรโลกลดลงเหลือ
เพียงครึ่งหนึ่ ง ซึ่งหมายความว่าทุกคนมีโอกาสตายด้วย
สถิติครึ่งต่อครึ่ง ๕๐/๕๐ แต่หากประชากรโลกเหลือเพียง
สิบเปอร์เซนต์ของจำานวนประชากรโลกในขณะนี้ ย่อม
หมายความว่า มนุษย์ทุกคนของวันนี้ ล้วนมีโอกาสตาย
มากกว่าอย่้รอด คือ มีโอกาสตาย ๙ ส่วน โอกาสอย่้รอด
เพียง ๑ ส่วนเท่านั้น คนที่อย่้รอดต้องเผชิญกับหายนะและ
ความส้ญเสียอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์
ของมนุษยชาติในช่วง ๕๐๐๐ ปี ที่ผ่านมาอย่างแน่ นอน
ฉะนั้น ในช่วงที่กำาลังรอหายนะภัยของวันสิ้นโลกนี้ ซึ่ง
เป็ นเรื่องเดียวกับการ “รอตาย” หรือ “รอการรอดตาย”
นั้น สิ่งที่คนทั้งหลายสามารถทำาได้ในขณะนี้ คือ
1) ต้องรีบหาความร้้เรื่องการหนี ภัยของสังสารวัฏ
ไม่ใช่ไปไล่อ่านเรื่องหนี ภัยแผ่นดินไหว นำ้าท่วม หรือ
หนี คลื่นยักษ์สึนามิ เพราะภัยธรรมชาติเหล่านี้ หนี ไม่
หมด เนื่ องจากมันเป็ นส่วนหนึ่ งของภัยอันตรายที่
เกิดในคุกชีวิต (สังสารวัฏ) ถ้ายังไม่ได้ออกจากคุก
ชีวิตอย่างถาวร ก็จะต้องมุดกลับมาเจอภัยเหล่านี้
อีกในอนาคตอย่างแน่ นอนและนับครั้งไม่ถ้วนด้วย
2) หาความสุขเล็กๆน้อยๆให้มากที่สุด ซึ่งล้วนเป็ น
ความสุขที่อย่้รอบตัวของเราแล้ว ไม่ว่าจะเป็ น
ธรรมชาติรอบด้าน หรือคนที่เรารักที่อย่้ใกล้ชิดเรา
แล้ว รวมทั้งงานบ้าน ความสุขเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ จะ
มีคุณค่า มีความเป็ นไปได้ และเป็ นความจริง
มากกว่าการสร้างจินตนาการถึงความสุขอันเกิด
จากโครงการใหญ่ๆของอนาคต เป็ นความสุขที่
สามารถเติมชีวิตให้เต็มได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ
3) จะหาความสุขเล็กๆน้อยๆได้ก็โดยฝึ กทักษะการเอา
สติมาตรึงที่ฐาน หรือพาตัวใจกลับบ้าน หรือ ทำา
วิปัสสนา ซึ่งเป็ นเรื่องเดียวกัน แต่จำาเป็ นอย่างยิ่งที่
ต้องร้้เรื่องการฝึ กฝนฐานที่ส่ี คือ การรับผัสสะ
์ ้วย จึงจะสามารถต่อกรกับความคิด(เจอรี่)ที่
บริสุทธิด
นำาปั ญหาทุกร้ปแบบมากระหนำ่ าตัวใจของเรา โดย
เฉพาะในช่วงนี้ ย่อมมีเจอรี่ตัวหวาดกลัวต่อ
มหันตภัยของวันสิ้นโลกซำ้าเติมเข้ามาด้วย
http://www.youtube.com/watch?
v=RP4abiHdQpc&NR=1
http://www.youtube.com/watch?
v=N9oxmRT2YWw&feature=related
hahaha
http://www.youtube.com/watch?
v=5P6UU6m3cqk&feature=related
http://www.youtube.com/watch?
v=_OBlgSz8sSM&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=ku3oIyFA1WM
7) ทำาความเข้าใจให้ถ้กต้องว่า ความตายทางร่างกาย
ไม่ใช่เป็ นการตายที่แท้จริง หากยังไม่ได้ออกจากคุก
ชีวิต ก็ยังต้องกลับมาเจอภัยของคุกชีวิตนี้ อีกอย่างไม่
จบสิ้น
8) คำาสอนเรื่องสติปัฏฐานของยุคนี้ เปรียบเหมือน
“รถไฟขบวนสุดท้าย” ที่จะพาคนออกจากคุกชีวิต
ไปนิ พพาน คนมีปัญญา เมื่อฟั งแล้วจะรีบขวนขวาย
หาความร้้และปฏิบัติตาม แต่จะมีคนที่แม้อ่านแล้ว
ก็ยังไม่ร้เรื่อง ยังอยากใช้ชีวิตอย่างประมาทต่อไป
ไม่สนใจที่จะขวนขวายหาความร้้ จึงต้องเข้าใจด้วย
ว่าคนกลุ่มนี้ ยังไม่มีบุญบารมีเพียงพอเพราะ
บุพกรรมเก่า ถ้าช่วยเขาไม่ได้ คนช่วยก็ต้องไม่
เสียใจ จำาเป็ นต้องปล่อยเขาไปเพื่อใช้กรรมต่อไป ที่
สำาคัญคือ คนที่ร้เรื่องแล้ว ต้องรีบช่วยตัวเองให้รอด
ด้วย ช่วยคนที่ยอมให้ช่วย ถ้าเขาไม่อยากให้เราช่วย
ก็ปล่อยเขาไป แต่ยังเมตตาเขาอย่้ ไม่ต้องเสียใจ ขอ
ให้อ่านคำานำาของค่้มือชีวิตภาคกฏแห่งกรรม ดิฉน ั
ได้พ้ดเผื่อให้กับคนที่ไม่มีบุญบารมีท่ีจะร้้เรื่องการ
ออกจากคุกชีวิตแล้ว
9) การสอนของศุภวรรณ กรีน ทั้งหมด ล้วนเน้นเรื่อง
การพาคนออกจากคุกชีวิตไปนิ พพานทั้งสิ้น โดยใช้
วิธีฝึกฝนทักษะการเอาสติมาตรึงที่ฐานหรือพาตัวใจ
กลับบ้าน ผ้้สนใจสามารถหาหนังสือมาอ่าน หรือเอา
ซีดีมาด้ มาฟั งให้เข้าใจ แต่ให้ดีท่ีสุด ควรหาโอกาส
เข้าอบรมธรรมกับดิฉน ั สักครั้ง
ศุภวรรณ กรีน
๖ เมษายน ๒๕๕๔