You are on page 1of 6

‘ทุกขแท แปรผัน เนาเหม็น แตกดับ’

พระพุทธองคทรงตรัสไวในอังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาตวาที่เราติดใจตรึกนึกถึงกาม ก็ดวยอาการใสใจ มองกายโดยความเปนของสวยของงาม ถาหากเรามองเสียตามจริงวากายเปนของสกปรก ใสใจโดยแยบคายวาตั้งแต ศีรษะจรดเทาไมมีสวนใดสะอาดเลย อยางนี้ก็จะเปนการแกลํากลกามเสียได ฉันลองทําตามที่ยุคปจจุบันทํา กัน คือหาภาพศพนาสะอิดสะเอียนมาดู เผอิญฉันเปนคนไมมีจินตนาการแรง เห็นตับ ไตไสพุงแดงเถือกแลวไมคอยกลัว ไมคอยมีอารมณรวม เห็นตามจริงวานั่นภาพเลือด ภาพเนื้อเละเทะของคนอื่น เปน ความสกปรกของคนอื่น ไมเกี่ยวกับฉันที่ยังเนื้อตัวสะอาดสะอาน นั่งดูรูปศพอยูดวยความเฉยเมย หรือจะเปนเพราะแครูปภาพนั้นตางจากศพจริง ภาพไมมีกลิ่น ไมมีหนอเหม็นแนวเหม็น เพียงภาพสยดสยองจะไมติด ตาติดใจคนที่ขาดอารมณรวม และ บางคนแมมีภาพสยองติดจิตไปขยายผลตอเปนมโนภาพนาขนหัวลุก ก็ทําให เกิดความหวาดผวาเหมือนเห็นผีมากกวาจะทําใหเกิดความแหนงหนายคลาย ความกําหนัดอยางแทจริง แลวก็ยอนกลับไประลึกถึงมหาสติปฏฐานสูตร พระพุทธเจาสอนใหดูกายตนเองโดยความเปนปฏิกูลกอน จากนั้น จึงคอยขยับจิตไปพินจดูของคนอืน อีกประการหนึ่ง พระองคทานใหพิจารณาจากผิวนอกของกายอันไดแก ผม ขน ิ ่ เล็บ ฟน หนังกอน ไมใชใหกระโดดไปชําแหละกอนเลือดกอนเนื้อขางในออกมายลแตแรก ทบทวน วามีพระสูตรใดที่พระพุทธเจาตรัสสอนวิธดูกายเปนอสุภะไวเปนขั้นๆหรือไม แตนึกไปนึกมาพอทวนลําดับ ี มหาสติปฏฐานสูตรก็รองออกับตนเอง ถาตั้งสติรลมจนเปนสมาธิ เมือเปนสมาธิใหสติเกาะอยูกับอิริยาบถปจจุบันใน ู ่ ขณะนั้นๆ ก็จะเปนฐานใหเห็น ผม ขน เล็บ ฟน หนังตามตําแหนงทีปรากฏอยูจริงอยางไมยากลําบากนัก ่

แนวคิดนี้สามารถ ยืนยันไดจากตติยปาราชิกสิกขาบท เกี่ยวกับภิกษุหลายรูปที่วานกันฆา เรื่องมีอยูวาพระผูมีพระ ภาคประทับอยูในปามหาวัน ครั้งหนึ่งพระองคแสดงเทศนาธรรม สรรเสริญอสุภกรรมฐาน คือขอปฏิบัติดูกายโดย ความเปนปฏิกล ตลอดจนพรรณนาคุณของฌานสมาบัติอันมีอสุภะเปนตัวตั้ง จากนั้นพระองคทานก็หลีกเรนอยูเพียง ู ลําพังประมาณสองอาทิตยโดยไมทรง อนุญาตใหผูใดรบกวน เวนแตภิกษุผูนําบิณฑบาตไปถวายเพียงรูปเดียว เหลา ภิกษุฟงพระองคสรรเสริญอสุภกรรมฐานทิ้งทายไวแลวก็เลยประกอบความเพียรกัน อยางยิ่งยวด กระทั่งเกิด ความอึดอัดระอา และเกลียดชังรางกายของตนราวกับผูหญิงเนื้อตัวสะอาดโดนแกลงเอาซากศพงูหรือ ซากศพสุนัข มาคลองอยูที่คอ ดวยความรังเกียจถึงขีดสุด บรรดาภิกษุก็คิดสั้น ปลงชีพตนเองบาง วานกันปลงชีพใหบางเปนจํานวนมาก พอ พระพุทธเจาเสด็จออกจากที่เรน ทอดพระเนตรเห็นภิกษุบางตาลง ก็ตรัสถามความจากภิกษุผูปกติมีหนาที่ปรนนิบัติ รับใชถึงเหตุที่ภิกษุนอย ลง ก็ไดรับคําตอบวาเปนเพราะภิกษุจํานวนหนึ่งเจริญอสุภกรรมฐานแลวรังเกียจกาย ตนเอง จนทนไมไหว จึงสังหารตนเองดวยความสมัครใจ พระพุทธองคทราบความตามนั้นจึงเรียกประชุมสงฆแลวตรัสวา ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สมาธิในอานาปานสตินถาพวก ี้ เธอทําใหมากแลว ยอมเปนคุณสงบ ประณีต เยือกเย็น อยูเปนสุข และยังบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึนใหอันตรธาน ้ สงบไปโดยฉับพลัน ดุจละอองและฝุนที่ฟุงขึ้นในชวงทายฤดูรอนถูกฝนใหญกําจัดชะลางให อันตรธานหายไปได อยางฉับพลัน แนนอนวาอกุศลธรรมในที่นี้คือความคิด อยากตัดชองนอยแตพอตัว ลาโลกไปเพียงเพราะตระหนกวา รางกายนี้ที่แทนาสะอิดสะเอียนยิ่งกวาซากหมา เนา สมนัยกับที่พระพุทธองคทรงวางแนวปฏิบัติไวตามลําดับในหมวดกาย คือ ใหเจริญอานาปานสติและอาศัยอิริยาบถ เปนเครื่องรูใหดีเสียกอน เห็นลมหายใจและอิริยาบถโดยความเปนของเกิดดับ ไมใชตัวตนแลว จึงคอยเขยิบ ขึ้นมาพิจารณากายโดยความเปนของโสโครก ฉันจึงรูสึกวาเห็นแนวทางแลววาจะเริมเจริญอสุภกรรมฐานอยางไร ่ ฉัน ลงทุนเล็กนอย ปกติฉันจะสระผมทุกเชาก็ไมสระ แคอาบน้ําเพื่อใหเหมาะกับการไปทํางานรวมกับผูคน แตตกเย็น กลับบานไมไดอาบน้ําอยางเคย ปลอยใหกลไกธรรมชาติเปดเผยความเปนกายที่ปราศจากการขัดถูชําระลางโดยตัว เอง แถมใหอีกนิดหนึ่งคือออกไปวิ่งเอาเหงื่อมาพอประมาณ ค่ํานั้นไมทานขาวรวมกับคนอื่น เขาหองปดประตูขัง ตัวเองอยูกับอสุภะตามลําพัง ถอดเสื้อยืดออก ลงนั่งดูหัวใจสูบฉีดคอนขางเร็วและแรงหลังออกกําลังเหนื่อยๆ สําเหนียกรูถึงเม็ดเหงือที่เกาะพราว ่ ตามใบหนา ลําตัว และแขนขา การผุดชื้นของน้ําเหงื่อทําใหทราบการปรากฏของเนื้อหนังไดชัดกวาปกติมาก ฉันผูก สติตามรูผิวหนังอันมีน้ําผุดขึ้นเกาะซึมๆ หายใจออกรูผิวหนัง หายใจเขารูผิวหนัง เรื่อยไปนับสิบนับรอยครั้ง กระทั่ง จิตไมเหลืออะไรอื่นนอกจากความรูสึกในผิวหนัง ซึ่งเริ่มแหงเกรอะกรังดวยคราบเหงื่อคราบไคล อสุภะเริ่มออกฤทธิ์โชย เขาจมูกเมือสิบหานาทีผานไป นึกออกตามพระปาทานพูดเลยวาหนอเหม็นแนวเหม็นเปน ่ อยางไร เมื่อกําหนดอยูนานๆ ผิวหนังที่หอหุมอิริยาบถนั่งก็เริ่มปรากฏแปลกไป จิตอันตั้งมั่นเปนสมาธิรบรูไดคมชัด ั ขึ้น กวางรอบขึ้น เห็นทั่วพรอมทั้งผิวที่ใบหนา ผิวตนแขนดานในที่แนบติดกับลําตัว ผิวชวงหนาอกไปถึงทอง รวมทั้ง ผิวบริเวณตนขาและนอง บางครั้งรางกายเหมือนขยายใหญ ผิวหนังอันเกาะไปดวยคราบไคลปรากฏเปนเปลือกไม หยาบที่มีกลิ่นเหม็น สติ คมชัดเห็นอะไรไดเปนขณะๆ เมื่อตองกลืนน้ําลายก็รสึกถึงภาวะเริ่มเนาบูดหลังจากเคี้ยวศพสัตวมา เมื่อตอนเชา ู กับตอนกลางวันโดยยังไมเอายาสีฟนไปถูทําความสะอาด ฉันสําเหนียกถึงอาการเตนที่ออนลงของหัวใจ จากที่เมื่อครู

สูบฉีดแรง สิ่งเหลานีเ้ ปนภาวะที่คนชินมาเนิ่นนาน แตไมไดเห็นชัดๆตอเนื่องเหมือนอยางที่ตั้งใจกําหนดดูนานๆแบบ ุ นี้ รูป วัตถุที่ถูกรูเชนหัวใจและน้ําลายนั้น เปนของซอนเรน เปนของที่ตั้งอยูใตผิวหนัง ธรรมชาติจิตเมื่อกําหนดสติรสิ่งใด ู ไปนานๆก็เริ่มเห็น ‘ลักษณะ’ ของสิ่งนั้นขึ้นมารางๆ หัวใจเปนกอนเนื้อเตนตุบๆ ตั้งอยูในหวางโพรงกระดูกเปนซีๆ ่ สวนน้ําลายมีสณฐานที่แปรปรวนงาย มีคุณลักษณะเอิบอาบเชนธาตุน้ํา แตขณะเดียวกันก็เหนียวหนืด กลืนแลวไป ั ผสมกับเมือกเสลดในลําคอตอไป สติที่ตั้งมั่นทําใหกายปรากฏ ชัดอยางตอเนื่อง แตก็แหวงวิ่นเห็นเปนสวนๆบาง ชัดเต็มทั้งตัวบาง ตามสภาพอันไม เที่ยง แปรปรวนเปนธรรมดาของวิญญาณขันธ นั่งไปนั่งมาเหมือนจิตจะซึมลงสูความโงกงวงเพราะเพิ่งเหนื่อยวิ่งจน เหงื่อ ตกมาหยกๆ แตพองวงเชนนั้นก็นึกถึงความสวางแหงทิวากาล ก็รูสึกอุนและสวางรอบ เกิดความตื่นเต็มขยัน ขันแข็งขึ้นใหม ความ สวางในครั้งนี้ชวยใหเห็นลวงเขาไปในขอบเขตลับแลจากจักษุประสาท เหมือนเห็นกระดูกขาวๆและกอนเนื้อ แออัดคลายอุปาทาน เพราะสวางแวบวาบแลวเลือนลงไมคงที่ ฉันก็ไมไดพยายามเพงใหมเปนพิเศษ เพราะทราบดีวา อาการเพงคือการบีบจิตใหคับแคบเปลาประโยชน นอกจากไมเห็นอะไรแลวยังเปนทุกขฟรีๆอีกดวย ฉันเพียงกําหนด รูสิ่งที่พอรูไดตามกําลังจิตปจจุบันเชนการหายใจและ อิริยาบถ รอจนกําลังจิตเพิ่ม รูสึกถึงสภาพพลิกขึนสวางของจิต ้ เอง ก็คอยดูผิวหนังรอบตัวเทาที่สามารถทราบไดตอไป เกือบชั่วโมงแหงการ สลับสวางกับมืด เห็นกายบางสวนบาง หลายสวนบาง งวงทีก็นึกถึงความสวางในเวลากลางวันที พยุงสติใหผานดานความเพลียมาไดหลายครั้งหลายหน กระทั่งถึงจุดหนึ่งคลายจิตยอมหลับ แตเปนการหลับในภาวะ กําลังตั้งนิ่ง ภาวะดังกลาวยุบลงเหมือนยืนอยูบนทรายดูดที่มีพลังมหาศาล แลวพริบตาตอมาก็เกิดภาวะผุดเดนสวาง ไสวเต็มดวงเกินขอบเขตคับแคบของกายแบบ ฉับพลันทันใด กายเหมือนเปนกายเดิมที่ปรากฏอวัยวะครบถวน แตการแสดงรายละเอียดตอจิตอยางแจมแจงทําใหรูสึกราวกับเปน กายอื่น สรางขึ้นดวยแกว ขางในมีกะโหลก มีโครงกระดูก แออัดดวยกอนเนื้อ สภาวะของจิตรวมในครังนี้ไมเชิงวามี ้ ความคงที่แบบฌานแท เปนฌานแควูบเดียวในสองสามวินาทีแรก เหมือนไฟดวงใหญที่จุดติดแตไมมีฐานกําลัง แข็งแรงพอ ฉันรูสึกถึงความเพลียทางกายที่สงผลกระทบใหสภาพรูสวางโพลงแบบลมลุก พอจะดูกายใหชัดวา รูปพรรณสัณฐานแตละสวนเปนอยางไร ก็เหมือนกลายเปนภาวะเลือนหายวายวาง ไมมีกาลังพอจะประคองความรู ํ ใหตั้งมั่นอยูได แตอยางนอยฌานวูบ เดียวก็ทําใหรูเห็นความแปลกแยกแตกตางระหวางจิตกับกาย จิตในภาวะเดนดวงเปนอิสระ จากการครอบงําทางกาย เห็นกายเปนเพียงโพรงที่อาศัย ไมมีความนารังเกียจชิงชังหรือนารักนาใครในตนเอง ขึ้นอยู กับความกําหนดไวของจิตวามันเปนอยางไร ธรรมชาติความเปนมนุษยก็ชางนาพิศวงเหลือแสน มีความจริงรองรับ ทุกความเชื่อ ทุกมุมมอง อยากดูแคผิวนอกใหเห็นเปนของสวยงามก็ได อยากดูลึกเขาไปถึงตับไตไสพุงใหเห็นเปนของ นาคลื่นเหียนชวนใหอยาก อาเจียนก็ไดอีก สองมุมในหนึ่งเดียวแบบเบ็ดเสร็จจริงๆ พอเบื่อนั่งก็ ลุกขึ้นเดินจงกรม ฉันไมอาลัยฌานวูบเดียวเทาไหร เพราะแมนยําวาสิ่งที่ตองการคือความรูสึกในอสุภะ แหงกายตน เพื่อความไมตรึกนึกทางกาม สองนาทีแรกฉันเดินจงกรมแบบรูเทากระทบเฉยๆเพื่อเรียกสติให เขารองเขารอย แตพอจมูกเริมไดกลิ่นเหม็นหึ่งจากหนังศีรษะทีไมไดสระสางตามเวลา จิตก็เริ่มหมายรูในอสุภะ หรือ ่ ่ ที่เรียกวาเกิด ‘อสุภสัญญา’ ขึ้นมาอีก

ใน ความรูสึกถึงอิริยาบถเดินที่หัวกับเทาเดนพอกัน ฉันรูสึกถึงความสกปรกของหนังศีรษะผานกลิ่นเหม็นกระทบจมูก กอน แตจิตเริมนิ่งเขาที่ตั้งมั่น การรับรูจากภายในก็แปลกไป ตามธรรมชาติของจิตที่ปกแนวอยูกับอารมณเดียว จิต ่ ยอมตัดการรับรูทางประสาทตาออกไป เชนบัดนี้เหลือแตการรับรูทีกลุมผมบนหนังศีรษะ ก็เกิดนิมตขึนคลายตาเห็น ่ ิ ้ เศษผมที่กองบนพื้นในรานตัดผม แตเห็นครูหนึ่งก็แวบกลับมารับรูสิงแวดลอมในหองนอนตามเดิม ตอเมื่อจิตตั้งมั่น ่ แนวแนกับกลุมผมบนหนังศีรษะอีกครั้ง ก็เกิดนิมิตกลุมผมขึ้นอีกที อันเนื่องจากกลิ่นเหม็นยังติดจมูกเปน อสุภสัญญา เมื่อปรากฏนิมิตกลุม ผมตรงตามตําแหนงที่ตั้ง คือบนหนังศีรษะ ก็เกิดความเห็นกลุมผม เหม็นๆนั้นนารังเกียจ ยิ่งนิมตชัดกลิ่นยิ่งชัด หรือเมื่อจมูกไดกลิ่นชัดนิมิตก็ ิ พลอยชัดตาม คลายอยูๆก็เจอกองขยะเนาๆบนพื้นสกปรกอยางไรอยาง นั้น ธรรมดาคนเรา ไมชอบทนกับของโสโครก แตนี่ของโสโครกอยูบนกบาล ตนเอง เหมือนคนไมรูตัวยกเอาแพสวะมาเทินหัวเดินไปเดินมา คราวนี้จะ ใหทําอยางไรละ? ฉันชักใจไมดี ยายที่มั่นของสติเปลี่ยนมากําหนดรูเทา กระทบแทน แตก็ไดตระหนักในบัดนั้นวา ถาอสุภสัญญาปรากฏชัดแลว แมแตแวบเดียว จิตจะรูสึกถึงความสกปรกในกาย ณ ตําแหนงนั้นๆไม จางไปงายๆ อสุภสัญญาจะมีจังหวะยอนหวนกลับมาเรื่อยๆ เพราะจิต ที่นิ่งตั้งมั่นเปนสมาธิยอมมีธรรมชาติเห็นตามจริงเปนธรรมดา ก็ธรรมดาสิ่งใดเปนของสกปรก จิตยอมเห็นสิ่งนัน ้ แสดงความสกปรกชัด ไมอาจบิดเบือนเปนอื่นไปได ฉันกําหนดรูความอึดอัดระอา อันเปนทุกขเวทนาชนิดหนึ่ง ยอนกลับไปทบทวนจุดมุงหมายเมื่อเริ่มตนวาทําอะไร อยางนี้อยูทําไม ก็ตอบตนเองไดวา ‘เพื่อความดําริออกจากกาม’ เมื่อไดคําตอบชัดเจนกับตน เองก็กัดฟนกําหนดรูตอไปอีก เมื่อกําหนดตอก็เกิดความเห็นสลับกันระหวางเศษซากขยะ บนหัว กับนิมิตกลุมผมดําๆเปนเสนๆที่สงกลิ่นเหม็นออกมาจากฐานที่ตั้งคือหนัง ศีรษะ บางขณะจิตใหญขึ้นจนรูสึก และสํานึกตางไปจากตัวตนเดิมๆ คลายเปนคนปาดิบๆเถื่อนๆไรความศิวิไลซกําลังเดินทอมๆอยูในสถานที่อัน ไม คุนเคย หองนอนเดิม สิ่งแวดลอมเดิมๆนั่นแหละ แตความรูสึกผิดที่ผดทางเหลือเกิน ิ จากความเปนคนปาดงดิบ พอจิตวางเฉย ไมยินดียินรายนานเขา สํานึกก็แปรไปอีก คลายคุนเคยยิ่งกับการเดิน จงกรมพิจารณาความเปนอสุภะของกาย คุนเคยยิ่งกับการเห็นโหนกนูนและปุมปมตางๆที่ยดเนื้อหนังไวกับที่ เหมือน ึ มองผานกลองสามมิตเิ ห็นขุมขนและคราบไคลบนแผนหนัง เปนการเห็นที่อธิบายยาก ไมเหมือนสายตามองออกไป เห็นวัตถุภายนอก แตเหมือนรับรูออกมาจากจุดศูนยกลางอันเปนที่ตงของจิตพรอมกันโดยรอบ ไมถึงกับถวนทั่ว ั้ ละเอียดทุกกระเบียดเนื้อ ทวาก็คลุมๆคลายตระหนักวามีโครงกระดูกยัดทะนานกอนเนื้อกําลังเคลื่อน ไหวอยู โดยมี แผงผิวหนังปกคลุมขางนอกบังตาไวจากสิ่งอุจาดนาคลื่นเหียนภายใน ฉัน คุนภาวะเดินจงกรมรูอสุภะเหมือนเคยทํามากอนเมื่อไมนานมานี้ เพียงแตลืมไปชั่วคราว พอจิตเขาไปคลุกเคลา เปนอันเดียวกับความคุนนั้น ก็เกิดความรูสึกเหมือนจีวรพระเกาคร่ําคราหมคลุมแทนชุดเสื้อกางเกง ไมถึงกับตกใจ แตก็ทําใหรูสึกแปลกๆ เตือนสติตนเองวาจิตกําลังเขมขน เมื่อเกิดสัญญาใดปรากฏขึ้นในขณะนี้ สัญญายอมเขมขน และแนวนานเปนทวีคณไปดวย ู

ฉันไมเหลือบลงต่าเพื่อ ดูดวยประสาทตาวามีจีวรพระปรากฏแทนเสือกางเกงจริงหรือไม แคทําไมรูไมชี้ คิดวาสัญญา ํ ้ ไมเที่ยง สัญญาเปนเพียงพยับแดดที่เหมือนมีแตไมเคยมีตัวตนอยางแทจริง ขณะเดียวกันก็ไมเรงรัดใหสัญญานั้น สาบสูญ แครูแคดูเฉยๆอยูในอาการเดินจงกรมเชนนั้น เมื่อความรูสึกเกี่ยว กับความเปนพระปรากฏชัดขึ้นอีกนิดหนึ่ง การเดินและสิ่งแวดลอมก็เหมือนหายหนไปชั่วขณะ บังเกิดนิมิตชัดวารอบดานเปนราวปา ฉันกําลังอยูในอัตภาพซอมซอแบบพระธุดงคเดนตาย แสวงหาพระนิพพานอยู ในปาเขาแบบไมหวงชีวิต นี่กระมังการระลึกชาติแบบฟลุกๆ คือเคยทํากรรมฐานอยางใดมามากในชวงชีวิตกอน พอ มาทํากรรมฐานนั้นอีกก็ไดจิตแบบเดิมที่พอดีกัน เรียกสัญญาเกากลับคืนมาชั่วคราว ชั่วขณะที่จิตตั้งมันในกรรมฐาน ่ อันเคยคุนนั้นๆ กะพริบตาปริบๆ ภาพราวปาเลือนหายไป กลับมาเปนอัตภาพหนุมเมืองในเสื้อกางเกงคนเดิม ถอนใจยาวเหลือบมอง สภาพปจจุบัน นี่ก็แคอีกอัตภาพหนึ่ง นั่นก็แคอีกอัตภาพหนึ่ง ฉันยังไมนิ่งนานขนาดระลึกไดถูกวาตัวเดิมชื่อเสียงเรียง นามใด เกิดในสมัยไหน หรือกระทั่งเปนเพียงนิมิตอุปาทานไรแกนสารหรือไม แต รูแจงประการหนึ่งคือจิตสําคัญมั่น หมายอยางไร ภพหรือสภาวะแหงความเปนเชนนันก็ตองปรากฏขึนเปนธรรมดา ไมทางใดก็ทางหนึ่ง อาจจะไป ้ ้ ปฏิสนธิในภพภูมิที่มีความเปนเชนนั้น หรืออาจจะปรากฏนิมิตขึนในมโนทวาร ลอใหจิตสําคัญมั่นหมายวาเปน ้ ตน ตนเปนนั่นเปนนี่ เมื่อพิจารณาอยูเชนนั้นจิตก็คลายจากความถือมั่น เดินจงกรมตอโดยไมสนใจวากายใจนี้เปนใคร ชื่อนามสกุลใด เพราะ ความจริงยิ่งกวาชื่อเสียงเรียงนามคือรูปพรรณสัณฐานกายอันกําลังเคลื่อนไหว เปนอิริยาบถเดิน และใน อิริยาบถเดินนี้สกปรกตั้งแตศีรษะจรดเทา ขางในยัดทะนานอยูดวยตับไตไสพุงและขี้เยี่ยว หาความสะอาดไมได แมแตเทาปลายกอย เคยเห็นถุงใสอึแลวรูสึกรังเกียจอยางไร ตองรูสึกรังเกียจกายนี้ยิ่งกวานัน เพราะไมใชจะมีแค ้ อุจจาระ ยังคละปนอยูดวยปสสาวะและน้ําเลือดน้ําหนองเคลากันมั่วไปหมด ใน ระดับจิตขณะนั้นไมถึงกับเหมือนตาทิพยแทงทะลุปรุโปรง แตก็ ‘รูสึกชัดวามี’ คือเห็นโครงสัณฐานของรูปเดินชัด แลวก็มีความทรงจําเกี่ยวกับเครื่องในมนุษยประกอบอยูกับสติดวย ประโยชนไมขึนอยูกับระดับความเห็นที่หยาบ ้ หรือละเอียดเพียงใด ประโยชนตามเปาหมายสูงสุดของอสุภกรรมฐานคือทําใหเลิกตรึกนึกทางกาม ธรรมชาติ มี อยูอยางนั้น ขึ้นอยูกับจะตั้งจิตใหเกิดมุมมองเห็นอะไร และเห็นอะไรแลวเกิดสิ่งใดตามมา แนนอนจะไมมีใครวา หาก เราตั้งจิตไวเห็นแตผิวพรรณอันเรียบลื่น ดูประเสริฐกวาสัตวชนิดอื่นๆในโลก แตเห็นตามอัตโนมัตเิ ชนนั้นแลวยอมเกิด ราคะเปนธรรมดา ตรึกนึกถึงการเสพกามเปนธรรมดา ตอเมื่อเห็นตามจริงโดยความเปนอสุภะ ความฝอตัวทางราคะ ยอมปรากฏขึ้นแทน ชวงสามวันนี้ฉันตั้งหนาตั้งตาดู กายอยางเดียว เห็นหนอเหม็นแนวเหม็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอยางไมเคยเปนมากอน การ ปฏิบัติธรรมภาวนาเต็มอัตราก็เชนนี้เอง ยิ่งเวลาผานไปยิ่งเห็นอะไรทีไมเคยเห็นมากขึ้น เพื่อความลดลงของกิเลส ่ ตัณหา มานะจนกวาจะหมดสิ้นเด็ดขาด นั่นแหละถึงไมตองเพียรพยายามใดๆอีก พอ เพียรกําหนดกายจนเกิดอสุภสัญญาติดจิตเกือบตลอด ฉันจึงพบวาการไมมีรั้วปองกัน ปลอยใหราคะรดรั่วได ไมใชทางดําเนินอันเปนไปในสติปฏฐาน พอเกิดอสุภสัญญาเต็มขนาดแลวจึงเห็นวาทีผานมาฉันมีชองโหวใหญๆอันใด ่ อยู แตถาไมปฏิบัติก็จะนึกวาชางเถอะ มีบางนิดหนอยก็ไมเปนไร แครักษาศีล ๕ ก็นาจะพอ กับทั้งทึกทักแบบ เขาขางตัวเองอยูลึกๆวาแม แตโสดาบันบุคคลก็ยังมีราคะได มีสามีภรรยาได มีบุตรธิดาได การปฏิบัติเพื่อมรรค ผลชั้นตนก็คงปลอยใหกามยอมกายยอมจิตไดบาง ถาไมหมกมุนมากก็คงไมถึงกับขวางทาง แนวคิดทํานองนี้อาจ เปนที่ถกเถียงกันไมรูจบ ปุถุชนมักเขาขางความเชื่อของตัวเองโดยไมจําเปนตองมีหลักเกณฑ พิสูจน แตถามองใหชัดวาพระพุทธเจาตรัสถึงองคตางๆของมรรคแทๆไวอยางไรก็คง ไมตองเถียงกัน หากขาดดําริ

ออกจากกามเปนระยะเวลานานเพียงพอ อยางไรความตรึกนึกทางกามก็ตองหวนกลับมาวันยังค่ํา และอาจบอยอยาง นึกไมถึง เพราะเคยชินกับการขาดสติไมรูตัว แนววิธี การรักษาโรคทางใจของพระพุทธเจาจะเหมือนแพทยหัวกาวหนาในปจจุบัน ที่แนะนําใหประชาชนปองกันตัว กอนที่จะเกิดโรคภัยไขเจ็บใหตองตามแกกันที หลัง อสุภสัญญาเปนภูมิคุมกันความสวยและความมีสัดสวนเยายวนตา ของรูปหญิงได จริง บางขณะเมื่อจิตหนักแนนทรงกําลังแลวทอดตามองเห็นสาวๆ ฉันจะเห็นเกินประสาทตาเนื้อ อนุญาตใหเห็น เพราะอํานาจอสุภสัญญาแรงๆที่อยูในสมาธิจิตครอบงําการเห็นทางตาดวยนิมิตทาบ ซอน ซึ่งความ ปรากฏของนิมิตจะมีไดหลากหลาย เห็นตัวเองถึงระดับไหนก็จะเห็นคนอื่นโดยความเปนอยางนั้น เชนแทนการเห็น ผิวหนังขาวสวย ก็กลายเปนผิวหนังที่เหอขึ้นเปนผื่น เปนปนคราบไคลเหมือนคนไมไดอาบน้ํา ความรูสึกในจิตขณะ เห็นคือทุกจุดหมักหมมดวยเชื้อโรค เรื่องนิมิตซอน เห็นเราเปนปฏิกลอยางไร เห็นคนอื่นเปนปฏิกลอยางนั้น จัดเปนสิ่งที่พระพุทธเจาตรัสไวในมหาสติปฏ ู ู ฐานสูตร แตปจจุบันเปนที่วิพากษวิจารณกันกวางขวาง วาเปนความเห็นที่ไมถูกไมตรงเหมือนภาพหลอน ตรงนี้ก็ตอง ยอนกลับไปที่จดใหญใจความคือเราตองการเห็น ‘ความจริง’ แบบไหน ถาความจริงทางตาก็คือมนุษยถูกหอหุมดวย ุ ผิวหนังเรียบลื่น ทําความสะอาดกันเชาเย็นใหดูดเี รียบรอย แตถาจะเอาความจริงในกายก็ ตองวามันแออัดยัด ทะนานดวยสิ่งโสโครก หมักหมมกวาทอสวมทอขยะที่อุดตันทุกชนิด และนาสนใจวาการสองเขาไปเห็นความ จริงชนิดนันดวยจิต ผลคือจะทําใหลดภาวะทะยานอยากของใจ อันนําไปสู ‘ความจริงที่อริยเจาสนใจ’ คือรูเห็น ้ อริยสัจจ ๔ ในที่สุด จาก....”เจ็ดเดือนบรรลุธรรม” โดย ‘ดังตฤณ’ ประโยคทิ้งทาย : “เห็นคนตายก็หมายรูเดี๋ยวกูดวย อีกไมชาชราปวยแลวมวยสูญ ศพวางนอนอยางขอนไมคลายอิฐปูน รอขึ้นเผาใหเอาศูนยมานับกาย เหลือเพียงชื่อใหลือจําทําไมเลา เขาก็รอคอขึ้นเขียงเรียงจากหาย เหมือนกับเราเฝาจดจําแลวกลับตาย ซึ่งก็วายกายก็วางวางหมดกัน “
‘ดังตฤณ’

“อุบาสิกา...ณชเล”

You might also like