Professional Documents
Culture Documents
อริยะสัจ
4 เกิดอยู่ในจิตของเราตลอดเวลในชวชี ่ ั วติ ของมนุ ษย ์ทุกคนบนโลกใบนี ต่ ้ างตอ้ งเผชิญกับความทุกข ์และ
่
ความสุขทีปะปนกั ่
นไป ไม่มใี ครทีพบเจอแต่ ่
เฉพาะเรืองเลวร ้
้ายหรือมีแต่ความทุกข ์แบบนี ตลอดไป
และในขณะเดียวกันก็ไม่มผ ่ อ้ งประสบพบเจอแต่ความสุขอยู่ตลอดเวลา
ี ใู ้ ดทีต
เพราะความทุกข ์และความสุขเป็ นของทีคู ่ ่กน
ั เสมอ ๆ
เปรียบเสมือนสภาวะต่างขัว้ ของขัวบวกและขั
้ ้
วลบ
้
ขึนอยู ้ ับมือกับสภาวะปัญหาทีก
่กบั ว่ามนุ ษย ์ทุกคนจะตังร ่ าลังเผชิญเกิดขึนนี ้ ได้ อ้ ย่างไร
่
ซึงตามหลั ่
กธรรมคาสังสอนของทางพระพุ ทธศาสนา
่ องค ์พระสัมมาสัมพุทธเจ ้าผูท้ รงเป็ นพระศาสดาเอก เป็ นผูก้ อ
ทีมี ้
่ ตังศาสนาพุ ่ อายุยน
ทธทีมี ื ยาวนาน
่
จากคาสังสอนของหลั ่
กธรรม อริยสัจ 4 ทีพระองค ์ทรงแสดงพระธรรมเทศนามาก่อน ปี พุทธศักราช
2,500 ปี เกียวกั ่ บความหมาย เรืองของหลั
่ กความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ อริยสัจ
4 สามารถทาความเข ้าใจได ้ไม่ยากนัก แต่ในบางครงแล ั้ ว้ สาหร ับมนุ ษย ์ปุถุชนทัว่ ๆไป
่
เรืองของการท ่ ยากที
าใจให ้ยอมร ับกับความเป็ นจริงเป็ นสิงที ่ สุ่ ด ทาให ้ไม่ว่าจะผ่านไปกียุ่ คกีสมั
่ ยแลว้
่
สาหร ับเรืองของหลั กอริยสัจนั้น
หลักอริยสัจ 4
้ ยั
ทังนี ้ งเป็ นเส ้นทางทีพระพุ
่ ่
ทธองค ์ทรงตร ัสรู ้และนามาสังสอน เทศนา
เผยแพร่ให ้แก่พระสาวกและพุทธบริษท ั ทัง้ 4 (ภิกษุ, ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
เป็ นหลักธรรมของความจริงอันประเสริฐ “อริยะสัจ 4” คือ แนวทางของการดับทุกข ์
การปฏิบตั ติ ามหลักธรรมอริยสัจ4 อยู่เป็ นประจาเสมอๆนั้น จะช่วยทาให ้ รู ้เข ้าใจ
เกิดสภาวะของการไตร่ตรองตามสถานการณ์จริงของหนทางดับทุกข ์ได ้
อริยสัจ 4 คือ
ทุกข ์ คือ
สัญญา คือ ความนึกคิดสิงต่ ่ าง ๆ นอกจากกาย ( สมปฤดี ) ทังจั ้ บตอ้ งไดแ้ ละจับตอ้ งไม่ได ้
่ ความนึ กคิด “ รูป ”จะดับ “ สัญญา “ จะเกิด ความรู ้สึกนึ กคิดให ้เราจาว่ายัง จาอะไรได ้
เมือมี
้ เป็
ทังที ่ นรูปธรรมและนามธรรม ทีเกิ่ ดจากตา หู จมูก ลิน้ กาย และใจ ไดส้ ม ่ รส
ั ผัสกับ รูป เสียง กลิน
สัมผัส และนึ กคิด
ความรู ้สึกสุข หรือ ความพอใจอย่างหนึ่ ง เรียกว่า สุขเวทนา เช่น การร ับรู ้ข่าวดี ๆ เกิดความสุข
ความรู ้สึกทุกข ์ หรือความไม่พอใจอย่าง เรียกว่า ทุกข ์เวทนา เช่น นั่งนาน ๆ เกิดความเมือย ้
ความรู ้สึกไม่สุขไม่ทุกข ์ พอใจ และไม่พอใจ เรียกว่า อุเบกขาเวทนา เช่น
่ เกียวกั
การฟังข่าวทีไม่ ่ บตัวเรา
สังขาร คือ ส่วนประกอบส่วนหนึ่งในนามธรรรม คือ ความคิด การคิด มีหลาย ๆ อย่างรวมกัน
ทาให ้เกิดเป็ นผล อันใดอันหนึ่งขึน้ การทีจิ่ ตของคนเราคิดปรุงแต่งไปในทางทีดี ่ และในทางทีไม่ ่ ดี ตัวอย่าง
ความคิด คือ การคิดจะทา คิดจะพูด อาจจะทาให ้เกิดการกระทาทีไม่ ่ ได ้ หรือ การพูดไม่ได ้ ก็ได ้ ตามทีคิ
่ ด
่ นขันตอนที
ซึงเป็ ้ ่ อให ้เกิดพฤติกรรมทังทางดี
ก่ ้ และทางชว่ ั หรือ
เป็ นแรงจูงใจหรือกระตุน้ ผลักดันให ้คนเราทากระทาการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลิน้ ได้ลิมรสที
้ ่ ดี เกิดความทุกข ์ทางใจ
ไม่ ลิน้ ได้ลิมรสที
้ ดี่ เกิดความสุขทางใจ
่ ไม่
กายได้สมั ผัสสิงที ่ ดี เกิดความทุกข ์ทางใจและทางกาย ่ ดี
กายได้สมั ผัสสิงที ่ เกิดความสุขทางใจและ
่ ไม่
ใจได้นึ กคิดถึงสิงที ่ ดี เกิดความทุกข ์ทางใจ ่ ดี
ใจได้นึ กคิดถึงสิงที ่ เกิดความสุขทางใจ
่ ดขึน้
ทุกข ์ ยกตัวอย่างสาเหตุ และผลกระทบทีเกิ
สมุท ัย
้ อยากได ้กลินในสิ
มีรสอร่อยๆต่อลิน, ่ ่ มี
งที ่ ความหอมละมุนต่อจมูก,
่ ความไพเราะมากระทบต่อหู เป็ นตน้
อยากได ้ฟังเสียงทีมี
ภวตณ ั หา คือ ความอยากได ้ ความอยากมี ความอยากเป็ น เช่น
การอยากได ้ยศไดต้ าแหน่ งหน้าทีการงานที่ สู่ งๆขึน,
้
การอยากมีคู่ชวี ต ่ ๆไม่เจ ้าชูนอกใจและร
ิ ทีดี ้ ักเดียวใจเดียว,
การอยากเป็ นมหาเศรษฐีทได ี่ ร้ ับเงินรางวัลพิเศษ เป็ นตน้
วิภวตณั หา คือ ความไม่อยากได ้ ความไม่อยากมี ความไม่อยากเป็ น เช่น
การไม่อยากไดท้ างานวันหยุดเนื่องจากไม่ไดร้ ับค่าตอบแทน,
การไม่อยากมีคู่ชวี ต ่ ยจคร ้านในหน้าทีการท
ิ ทีเกี ่ างาน,
ี่ กนายจ ้างเลิกสัญญาจ ้างออกจากการทางาน เป็ นตน้
การไม่อยากเป็ นผูท้ ถู
นิ โรธ คือ
่ าไปสู่การดับทุกข ์
นิ โรธ คือ การดับทุกข ์ หมายถึง การดับ หรือการละตัณหา 3 ประการ หลักธรรมทีน
นิ โรธ 5 ดังนี ้
้ั ขนต
มีตงแต่ ้ั ่าสุดไปจนถึงสูงสุด คือ นิ พพาน
่ ดขึน้
นิ โรธ คืออะไร ยกตัวอย่างสาเหตุ และผลกระทบทีเกิ
มรรค คือ
บุพพนิ มต ่ เป็
ิ แปลว่า สิงที ่ นเครืองหมายให
่ ่ บ่
ร้ ู ้ หมายถึง สิงที ่ งบอกล่วงหน้าก่อนทีอริ
่ ยมรรคมีองค ์ 8
้
จะเกิดขึนในตั
วของผู ้ปฏิบตั ิ บุพพนิ มต
ิ ของมัชฌิมาปฏิปทา มี 7 ประการ
่
1. การมีกลั ยาณมิตร คือ การมีเพือนที ่ ทแนะน
ดี ี่ าประโยชน์ เรียกว่า กัลยาณมิตตตา
2. ความถึงพร ้อมดว้ ยศีล คือ การมีวน ิ ัย มีระเบียบในชีวต
ิ ของตนและการอยู่รว่ มกันในสังคม เรียกว่า
สีลสัมปทา
3. ความถึงพร ้อมดว้ ยฉันทะ คือ ความพอใจใฝ่ ร ักในปัญญา ในจริยธรรม
ใฝ่ รู ้ในความจริงและใฝ่ ในความดี เรียกว่า ฉันทสัมปทา
4. ความถึงพร ้อมดว้ ยการทีจะฝึ่ กฝนพัฒนาตน คือ การรู ้จักฝึ กฝนพัฒนาตน เรียกว่าอัตตสัมปทา
5. ความถึงพร ้อมดว้ ยทิฏฐิ คือ การยึดถือ
่ อในหลักการและมีความเห็นความเข ้าใจพืนฐานที
เชือถื ้ ่
มองเห็ ่ งหลายตามเหตุ
นสิงทั ้ ผล เรียกว่า
ทิฏฐิสม ั ปทา
6. ความถึงพร ้อมดว้ ยความไม่ประมาท คือ มีความกระตือรือร ้นอยู่เสมอ เห็นคุณค่าของกาลเวลา
่
เห็นความเปลียนแปลงเป็ ่ กระตุ
นสิงที ่ ้นเตือนให ้เร่งร ัดการคน้ หาให ้เข ้าถึงความจริงหรือในการทาชี
่
วิตทีดีงามให ้สาเร็จ เรียกว่า อัปปมาทสัมปทา
่ กวิธี คิดเป็ น คิดอย่างมีระเบียบ รู ้จักคิดพิจารณา
7. การรู ้จักใช ้ความคิดทีถู
่ ามาใช ้พัฒนาตนให ้ก ้าวหน้ายิงๆขึ
เพือน ่ นไป
้ เรียกว่า โยนิ โสมนสิการ
้
อริยมรรคมีองค ์ 8 แปลว่า ทางอันประเสริฐทางนันมีทางเดียวแต่มอ ่ งต่อไปนี ้
ี งค ์ประกอบ 8 ประการ ซึงดั
เบญจธรรม 5
1. เว ้นจากการทาลายชีวต ิ สัตว ์
2. เว ้นจากการลักทร ัพย ์โดยวิธกี ารต่างๆ
3. เว ้นจากการประพฤติผด ิ ในสามี ภรรยา บุตร ธิดาของผูอ้ น ื่
4. เว ้นจากการพูดเท็จ
5. เว ้นจากาการน้าเมาและสิงเสพติ
่ ้
ดทังหลาย
การงดเว้นจากความชว่ ั หมายถึง การไม่กระทาสิงที ่ ไม่
่ ดี สิงที
่ ท ่ าให ้จิตใจเศร ้าหมองเดือดร ้อน
้
มีผลเป็ นทุกข ์ทังทางกาย วาจาและใจ โดยอกุศลกรรมบถ 10 ต ้นตอแห่งความชว่ ั เรียกว่าอกุศลมูล มี 3
ประการ
่ ดขึน้
มรรค คืออะไร ยกตัวอย่างสาเหตุ และผลกระทบทีเกิ
มรรค คือ ” วิธพี น้ ทุกข ์ วิธก
ี ารดับทุกข ์ หนทางของการดับทุกข ์ ” มรรคในอริยสัจ4
่
คือเป็ นสาเหตุของนิ โรธ เป็ นหลักธรรมทีควรเจริ ญตามหลักอริยสัจ 4 สาหรบั มรรค
ื ยกอีกอย่างหนึ งว่า อริยมรรคมีองค ์แปด เนื่องจากมรรคมีองค ์ประกอบด ้วยของ มรรค ๘ ประการ
่
มีชอเรี ่
่ นเส ้นทางแห่งการพ้นทุกข ์ มีศล
ด ้วยกัน ทีเป็ ี มีสมาธิ และมีปัญญา
มรรค 8 คือ
่
ทางสายกลางทีปรากฏในข ้อคาสอนของพระพุทธศาสนานั้นคือ “มรรคมีองค ์ 8” หรือ “อัฏฐังคิกมรรค”
อันประกอบดว้ ย
่
อริยสัจ คือ หลักธรรมคาสังสอนของพระสั มมาสัมพุทธเจ ้าทียั่ งคงเป็ นอมตะ
ทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์น้น ่
ั การทีคนเรามีความทุกข ์เกิดขึนอยู้ ่เป็ นประจาแบบสม่าเสมอ ๆ
่
ต ้องหาต ้นเหตุแห่งความทุกข ์ หรือทีมาของความทุ ้
กข ์นันๆที
ได่ เ้ ข ้ามากระทบจิตใจ
่ าไปสู่หนทางหรือแนวทางของการดับทุกข ์ ทีเรี
เพือน ่ ยกกันว่า มรรคมีองค ์ 8
สรุป อริยสัจ 4
สรุป อริยสัจ 4
่
เป็ นหลักธรรมทีพระพุ ่
ทธเจ ้าทรงคน้ พบเป็ นหลักเกียวกั
บความจริงอันประเสริฐทีน ่ าไปสู่การดับทุกข ์ประกอ
่
บไปด ้วยความจริง 4 ประการตามชือของหลั กธรรม คือ 1 ทุกข ์ 2 สมุทยั 3 นิ โรธและ 4มรรค โดย
่
มีปัญญา หลักธรรมทีสามารถช่ วยยุตถ
ิ อนจากกิเลสและตณ
ั หาได้ คือ
่
มิจฉาทิฏฐิ เช่น มีความเชือในคติ ธรรมทีว่่ า “บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได ้ผลเช่นนั้น
ผู ้ทากรรมดี ย่อมไดร้ ับผลดี และผูท้ ากรรมชว่ ั ย่อมไดร้ ับผลชว”
่ั
สัมมาสังกัปปะ หมายถึง ” การดาริชอบ การมีความตังใจท ้ ่ ดี่ งาม ”
าในสิงที
การทาในสิงที่ ชอบธรรม
่ การคิดไปในทางสุจริต เช่น การตังใจท้ างาน
่ ่
ทาในสิงทีชอบคือการไม่ไปทางานสายและไม่เลิกทางานก่อนเวลา
่
และมีความเลือมใสศร ัทธาในการทาความดีอยู่เสมอ
มีศล ่
ี หลักธรรมทีสามารถช่วยข่มจิตใจจากสภาวะของกิเลสได้ คือ
อริยสัจ-4 ทุกข ์ สมุทยั นิ โรธ มรรค หลักธรรม ทีว่่ าดว้ ยความจริงมีเหตุและผลเป็ นเครืองรองร
่ ับ
่
เป็ นธรรมะที ช่วยข่มจิตใจ ละกิเลสกาจัดตัณหา และสามารถยุตถ ิ อนกิเลสตัณหาไดอ้ ย่างแยบคาย
้ ่
หลักธรรมนี เป็ นสัจธรรมทีอยู่คู่กบั พระพุทธศาสนามาตลอด
สามารถนามาใช ้ประยุกต ์ไดก้ บั ทุกๆเหตุการณ์ในการดาเนิ นชีวต ิ ประจาวัน
่
ส่วนหนึ งเป็ นการช่วยทาให ้ปุถุชนไดม้ ค ่ ้ามากระทบและความสุขทีเดิ
ี วามเข ้าใจถึงความทุกข ์ทีเข ่ นทางเข ้า
มาทักทายในชีวิตไดอ้ ย่างง่ายดายมากยิงขึ ่ น้
่ วนเป็ นความจริงทัง้ 4 ประการ
ในหลักธรรมอริยสัจ 4 คือ ธรรมะทีล้
ตวั อย่างที่ ๑
คือเป็ นข ้อควรประพฤติและปฏิบตั ท ี่
ิ พอดี ของทางสายกลางไม่หย่อนหรือหนักมากจนเกินไป
่ ่
ซึงสามารถทีจะเป็ นวิธกี ารนาไปสู่เสน้ ทางของความหลุดพ้นได ้
เป็ นการตัดพบตัดชาติของการเกิดในวงจรเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
นั่นคือการทีไม่
่ มที างกลับชาติมาเกิดใหม่ได ้ในทีสุ่ ด แต่สาหร ับมนุ ษย ์ปุถุชนทีนั
่ บถือศาสนาพุทธแลว้
เพียงการนาหลักธรรมในกรอบอริยสัจ-4 มาประยุกต ์ใช ้ในชีวต ิ ประจาวันของการทางาน
ของการใช ้ชีวต ่ งคงมีลมหายใจอยู่ และของการดารงอยู่รว่ มกันในสังคมไดอ้ ย่างสงบสุข
ิ ในทุกๆวันทียั
่ั
ตลอดจนการเร่งสร ้างทาความเพียรในการทาความดีไม่กระทาความชวตามแนวทางของมรรคแปด
สะสมกุศลกรรมธรรมอันดี ดา้ นทาน ด ้านศีล และดา้ นการเจริญภาวนา