Professional Documents
Culture Documents
๑ ประวัติและความสาคัญของพระพุทธศาสนา
๑.) การพัฒนาทางกาย
๒.) การพัฒนาศีล
๓.) การพัฒนาจิตใจ
๔.) การพัฒนาปัญญา
๑.) การพัฒนาทางกาย
คือ การรักษาสุ ขภาพร่ างกายให้แข็งแรง มีสุขภาพดี
มีความเป็ นอยูท่ ี่ถูกสุ ขลักษณะ รวมไปถึงการรู ้จกั ปรับตัวให้เข้า
กับสิ่ งแวดล้อมทางวัตถุได้อย่างถูกต้องและเกิ ดประโยชน์ดว้ ย
เช่น กินอาหารเพื่อมุ่งให้ร่างกายมีกาลัง มีสุขภาพดี มิใช่กินเพื่อ
ความเอร็ ดอร่ อย หรื อเพื่อความหรู หราฟุ่ มเฟื อย
๒.) การพัฒนาศีล
คื อ การควบคุ มกาย วาจา ไม่ ใ ห้มี พฤติ ก รรม
ออกมาในทางเบียดเบียนตนเองและคนอื่น เช่น ทางกาย ก็
ไม่ทาร้ ายข่มเหงรังแกคนอื่น ทางวาจา ก็ไม่พูดเท็จไม่พูด
คาหยาบ ไม่พูดส่ อเสี ยด ที่ จะทาให้คนอื่นเสี ยหายและเสี ย
ประโยชน์ คือ ให้อยูร่ ่ วมกันด้วยดีในสังคม
๓.) การพัฒนาจิตใจ
คือ การทาจิตใจให้มีคุณสมบัติที่ดีงามพรั่งพร้อมใน ๓ ด้านดังนี้
Think Good
Feel Good
Do Good
Live Good
ทดสอบความเข้ าใจ
..... 1.ในทางพระพุทธศาสนาการพัฒนากาย คือ การรักษาสุ ขภาพร่ างกายให้แข็งแรงและ
รู ้จกั ปรับตนเองให้เข้ากับสิ่ งแวดล้อม
….. 2.การฝึ กอบรมตนให้งอกงามหรื อการพัฒนาตนให้งอกงาม ตรงกับคาศัพท์ภาษาบาลีวา่
“สิ กขา”
….. 3. การกินเพื่อความอร่ อยและเพื่อความหรู หรา ถือเป็ นการพัฒนากายที่ดีอีกทางหนึ่ง
….. 4. การจะพัฒนาศีลต้องรู ้จกั ควบคุมกาย วาจา ไม่ให้มีพฤติกรรมเบียดเบียนตนเองและผูอ้ ื่น
….. 5. การพัฒนากายจะช่วยให้ผคู ้ นในสังคมอยูร่ ่ วมกันอย่างสงบสุ ข
…..6. การที่ทุกคนในสังคมมีความเมตตากรุ ณาเอื้ออาทรต่อกันก็ถือเป็ นการพัฒนาจิตใจด้านความดีงาม
แล้ว
….. 7. การพัฒนาด้านปั ญญา คือ การรู ้จกั ขวนขวายใฝ่ หาความรู ้อยูเ่ สมอและรู ้จกั ใช้ปัญญาในการแก้ไข
ปั ญหาชีวติ ด้านต่าง ๆ
….. 8. การพัฒนาจิตใจด้านความแข็งแกร่ ง คือ ต้องรู ้จกั การต่อสู ้กบั บุคคลอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่ ง
ชัยชนะของตนเอง
โจทย์ คาถามข้ อที่ 1 (O-Net 2562)
พิจารณา เหตุผล
องค์ประกอบภายใน
หมายถึง การได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีจาก
พ่อแม่ ครู บาอาจารย์ รวมจนไปถึ ง หนังสื อ
หรื อสิ่ ง ต่ า งๆ ที่ ใ ห้ ข่ า วสารและความรู ้ ที่
ถูก ต้อ งและดี งาม องค์ป ระกอบภายนอกนี้
เรี ยกว่า “ปรโตโฆสะ”
ศีล
ไตรสิ กขา
ปัญญา สมาธิ
ในแง่ อริยมรรคมีองค์ ๘ สรุ ปได้ ดังนี้
อธิปัญญา
คือ การฝึ กปรื อให้เกิดมีสมั มาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ จนมี
สิ กขา
ความพร้อมทางด้านปั ญญารู ้จกั คิดและแก้ปัญหาเป็ น
๒. พระพุทธศาสนาเน้ นความสั มพันธ์ ของเหตุปัจจัยและวิธีการแก้ ปัญหา
“เหตุ” “ปัจจัย”
คื อ การที่ ปั จ จัย ใด ปั จ จัย หนึ่ งมี ค วาม คื อ เงื่ อ นไข หรื อองค์ ป ระกอบต่ า งๆ
เด่นชัดกว่า หรื อเป็ นตัวนาในกรณี หรื อ ที่ รวมตัวกันขึ้น ต่างก็มีความสาคัญเท่ า
เป็ นที่มาของเรื่ องราวนั้นๆ เทียมกันและต่างก็อาศัยซึ่ งกันและกัน
ถ้าพูดในแง่ “ปัจจัย”
ถ้าพูดในแง่ “เหตุ” ก็ จ ะได้ว่ า “ต้น ไม้เ กิ ด และงอกงามได้
ก็จะได้วา่ “เมล็ดเป็ นเหตุให้ตน้ ไม้น้ นั เกิ ด เพราะมี ปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน
ปละงอกงาม” เช่น ดิน น้ า อุณหภูมิ ปุ๋ ย เป็ นต้น”
ทดสอบความเข้ าใจ
ข้ าวในนาของชาวนา
เจริ ญงอกงาม ออกรวงดี
ให้ ผลผลิตเต็มที่
ทดสอบความเข้ าใจ
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า
“ผูท้ ี่เข้าใจเหตุปัจจัยก็ยอ่ มสามารถมองอะไร
ได้กว้างไกลและลึกซึ้ งกว่าคนอื่น”
๓) ทาให้ เป็ นคนมีใจกว้ าง
๔. เข้าใจขั้นตอนในการแก้ไขปั ญหา
ต่างๆ ว่าควรปฏิบตั ิอย่างไรจึงถูกต้อง
สมบูรณ์
การที่ จะรู ้ ทุ กขั้นตอนอย่า งทะลุ ปรุ โปร่ ง ได้ย่อมอาศัย ปั ญ ญาเป็ นตัว ชี้ บ อก ถ้าไม่ มี
ปั ญญา หรื อปั ญญาไม่ชดั แจ้งแล้ว จะทาให้กระบวนการแก้ปัญหาบกพร่ องได้
๒) กรรม (การลงมือกระทา)
I Know I Can Do
กรรม วิริยะ
(การกระทา) (ความพากเพียรและความต่ อเนื่องแห่ งการกระทา)
โจทย์ คาถามข้ อที่ 2 (O-Net 2562)
๒) ในกรณีที่ทางานเสร็จแล้ ว
คนที่ ประมาทจะคิดหาเวลาพักผ่อนหลังจากทางานเสร็ จ โดยยังไม่นึกถึงงานที่ตอ้ งทาใน
ส่ วนต่อไป ส่ วนคนที่ไม่ประมาทจะคิดถึงงานที่ยงั มีอยูอ่ ีกมาก ไม่ควรเกียจคร้านและรี บเร่ งทางานต่อ
ดังนั้น คนไม่ประมาทจึงมักจะมีบุคลิกเป็ นคนขยัน มีฉนั ทะในการทางานหนักเอาเบาสู ้และในที่สุดเขา
จะฟันฝ่ าอุปสรรคจนประสบความสาเร็ จได้
ในชาดกเรื่ องหนึ่ ง พระพุทธเจ้าตรัสเล่าว่า มีพระราชาสองเมืองทาสงครามกัน ไม่มี
ใครแพ้ใครชนะ เมื่ อถึงฤดู ฝนก็พกั รบชั่วคราว หมดฤดู ฝนก็มารบกันใหม่ วันหนึ่ งพระอิ นทร์
กล่าวกับฤๅษีตนหนึ่งว่า ในที่สุดพระราชาเมือง ก. จะชนะ
กามฉันทะ (ความพอใจในกาม)
พยาบาท (ปองร้าย ผูอ้ ื่น)
ถีนมิทธะ (ความหดหู่และความง่วง)
อุทธัจจกุกกุจจะ (ความคิดฟุ้งซ่านและราคาญ)
วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
๑.๓) ความสุ ขเกิดจากพระนิพพาน ความสุ ขระดับคิหิสุขไม่ใช่ความสุ ขที่แท้จริ ง เ พ ร า ะ
เป็ นสุ ขของผูบ้ ริ โภคกาม เป็ นความสุ ขเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความสุ ขที่เกิดจากการได้รู้แจ้งเห็นจริ ง จน
ลดละกิเลสอาสวะได้โดยสิ้ นเชิง อันเรี ยกว่า “พระนิพพาน” มิได้
พระพุ ท ธศาสนาได้ส อนวิ ธี ก ารสร้ า งความสุ ข ทั้ง สุ ข ทางกาย และสุ ข ทางใจตั้ง แต่
ระดับพื้นฐานจนถึงระดับสู งสุ ด
๒.) หลักการสร้ างสั นติภาพ
หลักคาสอนที่เป็ นไปเพื่อสันติภาพของบคุคล สังคม และโลกมีมากมาย ในที่ น้ ี ขอยกมา
เพียงบางประการ ดังต่อไปนี้