Professional Documents
Culture Documents
ในฐานะมโนทัศน์ทางการบริหารรัฐกิจ
วสันต์ เหลืองประภัสร์*
ชาย ไชยชิต**
* ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจ�ำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
** นิสิตปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
บทคัดย่อ
ค�ำว่า governance ปรากฏในการศึกษาของหลากหลายสาขาวิชา ไม่วา่
จะเป็นการเมืองเปรียบเทียบ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงการบริหารรัฐ
กิจ กล่าวโดยทั่วไป ค�ำว่า governance มักใช้เพื่อกล่าวถึงทฤษฎีและแนวปฏิบัติ
ใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับการปกครอง ตลอดจนแบบแผนของการวางกฎเกณฑ์กติกาใน
ลักษณะใหม่ๆ อย่างไรก็ดี แต่ละสาขาวิชามักจะใช้ค�ำดังกล่าวด้วยนัยที่มีแง่มุม
เฉพาะของตัวเอง ในวงวิชาการด้านการบริหารรัฐกิจของไทยปัจจุบนั มีการแปล
ศัพท์ค�ำว่า governance เป็นวลีภาษาไทยหลายลักษณะ ซึ่งบ่งบอกถึงการไม่มี
ค�ำแปลในแบบใดแบบหนึ่งที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างมากที่สุด บทความนี้มี
วัตถุประสงค์เพือ่ แสดงให้เห็นถึงนัยของค�ำว่า governance ในฐานะมโนทัศน์ทาง
วิชาการ โดยส�ำรวจแบบแผนการใช้ค�ำดังกล่าวในโลกวิชาการภาษาอังกฤษ ซึ่ง
พบว่าในช่วงทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ค�ำดังกล่าวเริม่ ถูกน�ำกลับมาใช้ดว้ ยความ
หมายใหม่ เพือ่ สือ่ ถึงทฤษฎีและประเด็นการศึกษาเกีย่ วกับการจัดกลไกประสาน
บทบาทการท�ำงานและการปฏิสมั พันธ์ทางสังคม ตลอดจนสือ่ ถึงกระบวนการและ
ตัวแสดงต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือไปจากปริมณฑลของรัฐบาล ผู้เขียนเสนอว่าการ
สื่อความหมายของค�ำว่า governance ที่ผ่านมานั้น ยังไม่ปรากฏค�ำจ�ำกัดความ
ทีย่ อมรับร่วมกันโดยทัว่ ไป เนือ่ งจากนักวิชาการต่างเลือกแปลค�ำว่า governance
เป็นวลีภาษาไทยหลากหลายกันไป ผู้เขียนจึงเสนอให้ใช้ค�ำว่า “อภิบาล” เป็น
ค�ำทั่วไปแทนการต้องเลือกใช้ค�ำแปลแบบใดแบบหนึ่งในบรรดาที่มีอยู่แล้วนั้น
Abstract
The word ‘governance’ appears in diverse academic disciplines
including comparative politics, international relations and public administration.
Generally speaking, governance refers to various new theories and practice
of governing and patterns of rule. However, each discipline sometimes acts
as if it owns the word. In the current Thai public administration scholarship,
the existence of many translations of governance meant that there is no
agreement as to which term is the most widely accepted. The purpose
of this article is to give sense to the concept of governance by surveying
the ways in which it is used in the English world. It shows that during the
1980s the word ‘governance’ re-emerged with a new meaning. As a new
concept, governance now refers to theories and issues of social coordination
and interaction and to processes and actors outside the narrow realm of
government. The authors argue that so far, there is no common definition
of governance in Thai usages because ‘governance’ has been translated
into the various Thai terms. Instead of choosing any competing phrases,
the authors propose to use ‘a-pi-bann’ for ‘governance’ as the concept.
ความน�ำ
ค�ำว่า governance เป็นค�ำที่มีการน�ำมาใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ทั้งในแวดวงวิชาการและนักปฏิบัติ หากพิจารณาบริบทการใช้ค� ำโดยทั่วไป
ค�ำว่า governance ปรากฏให้เห็นในหลากหลายสาขาวิชา ไม่วา่ จะเป็นการศึกษา
การพัฒนา เศรษฐศาสตร์ ภูมศิ าสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การวางแผน
สังคมวิทยา รัฐประศาสนศาสตร์ และรัฐศาสตร์ นักวิชาการในแต่ละสาขาวิชาต่าง
น�ำค�ำว่า governance มาใช้ราวกับเป็นค�ำทีม่ นี ยั เฉพาะเจาะจงภายใต้บริบทของ
เรือ่ งทีต่ นศึกษา โดยมิได้ตระหนักว่านักวิชาการในสาขาวิชาอืน่ ๆ น�ำค�ำดังกล่าว
ไปใช้ด้วยนัยที่เหมือนหรือแตกต่างกันในลักษณะใดบ้าง1
ในขณะที่แวดวงนักปฏิบัติ ก็ใช้คำ� ว่า governance ด้วยวัตถุประสงค์
ที่แตกต่างกันไป เช่น ธนาคารโลก (World Bank) และองค์การกองทุนการเงิน
ระหว่างประเทศ (IMF) ใช้ค�ำว่า ‘good governance’ ส�ำหรับระบุถึงเงื่อนไขข้อ
หนึง่ ในการให้เงินกูแ้ ก่ประเทศต่างๆ ส่วนสหภาพยุโรป (EU) ก็มกี ารจัดท�ำเอกสาร
รายงานปกขาวว่าด้วย ‘Governance’ เพื่อเป็นกรอบแนวทางส� ำหรับรัฐบาล
ประเทศสมาชิกยึดถือปฏิบัติในการปรับปรุงกระบวนการบริหารงานภาครัฐให้
สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยในทุกมิติ หรือในกรณีประเทศสหรัฐอเมริกา
แนวคิด ‘collaborative governance’ ปรากฏให้เห็นเด่นชัดในแผนงานอนุรักษ์
พื้นที่ป่าสงวนของชาติโดยการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ เป็นต้น2
ส�ำหรับประเทศไทย ค�ำว่า governance เข้ามาสู่ประเทศไทยพร้อมกับ
ค�ำส�ำคัญใหม่ๆ อย่างค�ำว่า “โลกาภิวัตน์” (globalization) และค�ำอื่นๆ ภายใต้
คุณค่าแบบเสรีประชาธิปไตย อาทิ ความรับผิดชอบต่อสาธารณะ ความโปร่งใส
การมีสว่ นร่วม การกระจายอ�ำนาจ ฯลฯ ซึง่ เป็นค�ำทีแ่ พร่หลายตัง้ แต่ในช่วงปลาย
ทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุทอี่ งค์ความ
รูท้ างวิชาการเกีย่ วกับ governance ในประเทศไทยขณะนัน้ อยูใ่ นสภาวะยุง่ เหยิง
ไม่เป็นระบบระเบียบ การน�ำมโนทัศน์เรือ่ ง governance เข้ามาในสังคมการเมือง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่านักวิชาการแต่ละคนจะเลือกถ่ายทอดศัพท์ค�ำว่า
governance ในภาษาอังกฤษ มาเป็นค�ำทางวิชาการในภาษาไทยในแบบใด
สิ่งส�ำคัญที่สุดย่อมอยู่ที่ความเข้าใจถึงนัยของการใช้ค�ำดังกล่าวในการศึกษา
ปรากฏการณ์ทางสังคม หากผูค้ นมีความเข้าใจตรงกันในความหมายภายใต้บริบท
ของการใช้คำ� ในแต่ละบริบทแล้ว การใช้คำ� ภาษาไทยเพือ่ สือ่ นัยของค�ำก็นา่ จะมีขอ้
ยุตไิ ด้ เพราะฉะนัน้ การศึกษามโนทัศน์ governance ในบริบทการศึกษาด้านการ
บริหารรัฐกิจ จึงควรเริม่ ต้นจากการความเข้าใจความหมายของค�ำว่า governance
ที่ปรากฏในแวดวงวิชาการในโลกภาษาอังกฤษเป็นเบื้องต้น
สาระส� ำ คั ญ ของบทความนี้ เริ่ ม ต้ น จากการทบทวนพั ฒ นาการ
ความหมายตามตัวอักษรของค�ำว่า governance และการใช้ค�ำดังกล่าวของ
ผู ้ ค นในสั ง คมตะวั น ตกในแต่ ล ะบริ บ ทยุ ค สมั ย จากนั้ น จึ ง ท� ำ ความเข้ า ใจถึ ง
บริบทของการน�ำค�ำว่า governance มาใช้ในแวดวงวิชาการรัฐศาสตร์และ
รัฐประศาสนศาสตร์สากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาถึงสภาพความสลับ
ซับซ้อนของการตีความค�ำว่า governance ภายใต้มโนทัศน์ชุดต่างๆ ที่ปรากฏ
ในแวดวงวิชาการในช่วงหลังทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ซึ่งค�ำว่า governance
ถูกใช้ในฐานะมโนทัศน์เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนบทบาทของรัฐในช่วงปลาย
ศตวรรษที่ 20 และต้นศตวรรษที่ 21
ค�ำและความหมาย
หากพิจารณาพัฒนาการของการใช้ค�ำว่า ‘governance’ ในแวดวง
วิชาการในโลกภาษาอังกฤษ จะพบว่า ค�ำว่า governance ที่ใช้กันทุกวันนี้เป็น
ค�ำที่มีความเก่าแก่ และมีพัฒนาการของความหมายไปในแต่ละยุคสมัย ตามค�ำ
อธิบายของ Anne Mette Kjær (2004) ค�ำว่า governance เป็นหนึ่งในค�ำเก่าแก่
ที่ปรากฏในการอธิบายท�ำความเข้าใจเรื่องรัฐ ในความหมายดั้งเดิม ค�ำนี้ถูกใช้
กล่าวถึงเรือ่ งทีเ่ กีย่ วข้องกับความอยูด่ กี นิ ดีของพลเมือง และการอยูร่ ว่ มกันอย่าง
ผาสุกของสังคม12
รูปที่ 2 Effects of Good Government in the City and the Country (ในเมือง)
(ที่มา: Drechsler, 2001: 14)
ส่วนผลจากการปกครองทีด่ ที เี่ กิดขึน้ ในชนบท ปรากฏผ่านภาพต่อเนือ่ ง
ในพื้นที่ถัดจากก�ำแพงเมืองออกไป แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตประจ�ำวันของชาวนา
ชาวไร่ ซึง่ ก�ำลังขุดดินเพาะปลูกเลีย้ งสัตว์ ผืนดินบริเวณเนินเขาและทีร่ าบ ปกคลุม
ด้วยแปลงนาและสวนที่อุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลผลิต และ
บรรทุกผลผลิตเดินทางไปขายในเมือง
รูปที่ 3 Effects of Good Government in the City and the Country (ในชนบท)
(ที่มา: Drechsler, 2001: 18)
151
17
Drechsler, “Good and Bad Government,” 5-6.
152
ภาพวาดดังกล่าวเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า ภายใต้บริบทสังคมในยุคกลาง
ของยุโรป ค�ำว่า governance และค�ำว่า government ถูกใช้สื่อความหมายถึง
สิ่งเดียวกัน กล่าวคือ ค�ำว่า governance ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก
ภาษาละตินค�ำว่า gubernare ถูกใช้เพื่อหมายความถึงการด�ำเนินกิจกรรมการ
ปกครองโดยการบังคับใช้อำ� นาจของเจ้าหน้าที่รัฐ ในขณะที่คำ� ว่า government
หมายถึง การใช้อ�ำนาจหน้าที่ในการควบคุมบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย
กฎเกณฑ์ และระเบียบต่างๆ ของรัฐ
การให้ความหมายด้วยนัยทีเ่ หลือ่ มซ้อนกันในลักษณะดังกล่าว ส่งผลให้
ค�ำว่า governance ในภาษาอังกฤษ กลายมาเป็นค�ำทีม่ คี วามหมายพ้องกับค�ำว่า
government หรือ “การปกครอง” ในความเข้าใจของคนทัว่ ไปในโลกภาษาอังกฤษ
ดังนัน้ หลังจากยุคกลางเป็นต้นมา จึงมักปรากฏให้เห็นการใช้ค�ำว่า governance
ในความหมายที่เชื่อมโยงกับค�ำว่า “การปกครอง” (government) อยู่เสมอ โดย
เฉพาะในการกล่าวถึงการใช้อ�ำนาจของผู้ปกครองหรือการท�ำหน้าที่ของรัฐบาล
ผลคือ ค�ำว่า governance และ government กลายมาเป็นค�ำที่มีนัย
เหลื่อมซ้อนกัน แต่โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงการท�ำหน้าที่ของรัฐบาลในการบริหาร
ประเทศ ผู้คนมักจะไม่นิยมใช้คำ� ว่า governance แต่จะใช้ค�ำว่า government
153
เกิดขึ้นจากความร่วมมือที่ตัดข้ามเส้นแบ่งระหว่างองค์กรภาครัฐกับองค์กรภาค
ส่วนอื่นๆ ในสังคม เช่น ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาสังคม ส่วนระดับของ
การประสานความร่วมมือเพือ่ ขับเคลือ่ นกิจการสาธารณะในรูปเครือข่ายนัน้ อาจ
ปรากฏทัง้ ให้เห็นได้ทงั้ ในรูปเครือข่ายระหว่างตัวแสดงในเวทีระหว่างประเทศ และ
เครือข่ายของตัวแสดงภายในประเทศด้วยกันเอง19
ความหมายใหม่ของค�ำว่า governance ซึ่งเริ่มก่อรูปชัดเจนในช่วง
ทศวรรษที่ 1980 นั้น เป็นผลที่ตามมาจากการเปลี่ยนแปลงบทบาทและรูปแบบ
การบริหารงานภาครัฐภายใต้กระแสการปฏิรูประบบบริหารงานภาครัฐ (public
sector reforms) ที่เกิดขึ้นในประเทศซีกโลกตะวันตก มาตรการปฏิรูปภาครัฐที่
ส�ำคัญ ได้แก่ การแปรรูปกิจการรัฐวิสาหกิจให้เป็นของภาคเอกชน (privatiza-
tion) การน�ำหลักการจัดการสมัยใหม่ขององค์กรธุรกิจมาปรับใช้ในการบริหาร
งานภาครัฐ รวมไปถึงการกระจายอ�ำนาจหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐในส่วน
กลางไปยังองค์กรในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น นอกจากนี้ อ�ำนาจทางการเมือง
บางส่วนของรัฐบาลในหลายประเทศก็ยังถูกผ่องถ่ายขึ้นไปยังองค์กรเหนือรัฐ
ชาติ (supranational organization) หรือองค์กรก�ำกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและ
การเมืองระหว่างประเทศอีกด้วย20
นอกเหนือจากการกระจายอ�ำนาจหน้าที่และบทบาทของรัฐส่วนกลาง
ไปยังองค์กรการปกครองระดับรองลงมาภายในรัฐ และองค์กรระดับเหนือรัฐ
ชาติดังกล่าวมาแล้ว กระบวนการบริหารกิจการสาธารณะในความรับผิดชอบ
ของรัฐในหลายประเทศ ก็เริ่มเปิดพื้นที่และช่องทางให้องค์กรภาคประชาสังคม
(civil society) เข้ามาแสดงบทบาทร่วมด�ำเนินการอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะ
การจัดท�ำบริการสาธารณะด้านต่างๆ ที่แต่เดิมอยู่ใต้อ�ำนาจหน้าที่และบทบาท
ของหน่วยงานภาครัฐแต่เพียงฝ่ายเดียวอีกด้วย
สภาพการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ระบบการเมืองการปกครองของประเทศ
เหล่านั้นมีลักษณะแตกตัวแยกย่อยออกเป็นส่วนๆ (fragmentation of political
systems) การมีระบบและกลไกขับเคลื่อนกิจการสาธารณะที่มิได้รวมศูนย์อยู่
19
Ibid., 4.
20
Ibid.
155
ภายใต้โครงสร้างการสั่งการของรัฐทั้งหมด ส่งผลให้นักวิชาการรัฐศาสตร์เริ่มหัน
มาให้ความส�ำคัญต่อสภาพความหลากหลายของตัวแสดงและองค์กรจากภาค
ส่วนต่างๆ ในสังคม ทีเ่ ข้ามาร่วมมีบทบาทขับเคลือ่ นกิจกรรมอันมีเป้าหมายเพือ่
ประโยชน์สุขของส่วนรวมมากขึ้น21
ภายใต้มโนทัศน์ governance ในความหมายใหม่นี้ มุมมองเกี่ยวกับ
กระบวนการบริหารจัดการภาครัฐ มิได้ตั้งอยู่บนการแบ่งแยกอาณาเขตระหว่าง
บทบาทของภาครัฐกับภาคเอกชนออกจากกันอย่างเด็ดขาดตายตัว ดังเช่นมุม
มองในการบริหารงานภาครัฐดั้งเดิม กล่าวคือ กระบวนการบริหารงานภาครัฐมี
ความหมายกว้างไกลไปกว่าเรือ่ งของการปกครอง หรือการบริหารงานของรัฐบาล
ผ่านกลไกระบบราชการและตัวแสดงภาครัฐ
กล่าวโดยสรุปคือ ภายใต้บริบทที่เส้นแบ่งระหว่างภาครัฐและภาคส่วน
อืน่ ๆ ในสังคมเริม่ สลายหรือพร่าเลือนมากขึน้ เรือ่ ยๆ นี้ ค�ำว่า governance จึงถูก
ใช้เพือ่ หมายความถึงกระบวนการก�ำกับควบคุมทิศทางการบริหารจัดการกิจการ
สาธารณะ ให้มุ่งไปสู่เป้าหมายอันเป็นประโยชน์สุขของสังคมโดยรวม โดยรัฐมี
บทบาทหน้าทีใ่ นการเอือ้ อ�ำนวยให้ตวั แสดงทีเ่ กีย่ วข้องจากทุกภาคส่วนในสังคม
เกิดการประสานการท�ำงานร่วมกัน รวมทั้งก�ำกับให้ตัวแสดงเหล่านั้นเข้ามาร่วม
กันวางกฎเกณฑ์กติกาส�ำหรับด�ำเนินกิจกรรมสาธารณะต่างๆ ในสังคม (rules of
the games)22
บริบทการเปลี่ยนแปลงของรัฐในศตวรรษที่ 20
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ค�ำว่า governance ที่ใช้กันแพร่หลายใน
แวดวงการบริหารรัฐกิจนับแต่ช่วงทศวรรษ 1980 เป็นต้นมานั้น เป็นค�ำที่ก่อรูป
ความหมายขึน้ ใหม่ ภายใต้บริบททีร่ ฐั ในประเทศต่างๆ ในโลกตะวันตกมีการปรับ
รูปแบบการบริหารงานไปในทิศทางที่ต่างไปจากเดิม การท�ำความเข้าใจการก่อ
รูปความหมายใหม่ของค�ำว่า governance ซึ่งเป็นการน�ำศัพท์ดั้งเดิมมาใช้ในสื่อ
ความหมายในบริบทใหม่ จึงจ�ำเป็นต้องพิจารณาถึงภูมหิ ลังการพัฒนาการของรัฐ
21
Ibid., 4-5.
22
Ibid., 7.
156
ต่อไป แต่การแสดงบทบาทของรัฐกลับถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาต่างๆ ใน
สังคม อาทิ ความล้มเหลวในการด�ำเนินนโยบายเศรษฐกิจ การสูญเสียขีดความ
สามารถของรัฐในการก�ำกับควบคุมระบบเศรษฐกิจ ความผันแปรไม่แน่นอนของ
ทุนระหว่างประเทศ รวมไปถึงวิกฤตการณ์ทางการเงินของรัฐ ปัญหาผลกระทบ
ด้านสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากนโยบายส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม ปัญหาความไร้
ประสิทธิภาพในการจัดบริการสาธารณะของรัฐ ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าวจึงมีกระแสแนวคิดและความพยายามที่
จะหยุดยั้งการเติบโตและขยายบทบาทของภาครัฐ เพื่อเปิดช่องให้ตลาดเข้ามา
มีบทบาทขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจแทน ปรากฏการณ์ในลักษณะดังกล่าว
สะท้อนให้เห็นได้ชดั เจนทีส่ ดุ ในช่วงรัฐบาลสมัยนายกรัฐมนตรี มากาเร็ต แธชเชอร์
(Margaret Thatcher) ของสหราชอาณาจักร และในรัฐบาลสมัยประธานาธิบดี
โรนัลด์ เรแกน (Ronald Regan) ของสหรัฐอเมริกา26
การจ�ำกัดลดทอนบทบาทของภาครัฐในการน�ำสังคม เริม่ ปรากฏเด่นชัด
โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร
โดยแต่ละประเทศต่างมีแนวทางการด�ำเนินการแตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้ว
นักวิชาการเรียกกระแสการเปลี่ยนแปลงในบทบาทของรัฐในลักษณะดังกล่าว
ว่า “การจัดการภาครัฐแนวใหม่” (New Public Management)27 ซึ่งปรากฏผ่าน
การด�ำเนินมาตรการต่างๆ ได้แก่ การแปรรูปกิจการรัฐวิสาหกิจ การผ่อนปรน
กฎเกณฑ์การก�ำกับควบคุมการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การตัดลดงบประมาณราย
จ่ายของภาครัฐ การลดอัตราภาษี การด�ำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจบนฐานของ
การขับเคลือ่ นด้วยภาคการเงิน การปรับโครงสร้างเชิงสถาบันขนานใหญ่และการ
ปฏิรปู ระบบบริหารงานภาครัฐ และการน�ำหลักการบริหารจัดการในระบบตลาด
มาใช้ในกระบวนการผลิตและให้บริการสาธารณะของรัฐ28
ช่วงที่สี่ เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา ถือเป็นจุด
เปลี่ยนของการปรับรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคมที่เด่นชัดอีกช่วง
หนึ่ง ปรากฏผ่านกระแสความพยายามในการสร้างตัวแบบใหม่ในกระบวนการ
ปกครองของรัฐบาล (new model of government) ซึ่งตั้งอยู่บนฐานการมีแนว
ความคิดใหม่เกี่ยวกับขอบเขตการแสดงบทบาทหลักของภาครัฐ รวมถึงบทบาท
ที่ควรเป็นของภาครัฐในความสัมพันธ์กับสังคม มีการมองกระบวนการน�ำแผน
งานและโครงการต่างๆ ของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติด้วยมุมมองใหม่ รวมถึงการ
มองว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้ง ควรจะมีบทบาทในการเป็นตัวกลางประสาน
เชือ่ มโยงความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในสังคม ไปพร้อมกับการปล่อยให้
กลไกตลาดท�ำงานขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ29
การคลีค่ ลายและปรับตัวของภาครัฐทีเ่ กิดขึน้ ในช่วงดังกล่าว ปรากฏให้
เห็นผ่านการเปลีย่ นบทบาทของภาครัฐ จากการปกครองเหนือสังคม มาเป็นการ
เปิดให้กลุม่ พลังและตัวแสดงทางสังคม รวมถึงตัวแสดงในระบบตลาดก้าวเข้ามา
แสดงบทบาทแทนภาครัฐในการขับเคลือ่ นทิศทางการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ
ให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างกลไกการบริหารงานภาครัฐเพื่อลด
ทอนบทบาทของรัฐให้น้อยลง ในขณะเดียวกันก็มุ่งเปิดพื้นที่ให้ตัวแสดงในภาค
ธุรกิจเอกชนและภาคประชาสังคม ก้าวเข้ามามีบทบาทในการจัดบริการสาธารณะ
แก่ประชาชนอย่างกว้างขวางมากขึ้น นักวิชาการเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “การ
ท�ำให้รัฐกลวง” (‘Hollowing out’ of the state)30
28 ปรากฏการณ์ในลักษณะดังกล่าวอาจมีข้อยกเว้นในบางประเทศ อาทิ ฝรั่งเศส เยอรมนี
และญี่ปุ่น ซึ่งมิได้เดินตามแนวทางการปรับบทบาทภาครัฐภายใต้แนวคิดการจัดการภาค
รัฐแนวใหม่ดังกล่าวเสียทีเดียว ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยด้านบริบทภายในประเทศ
เช่น วัฒนธรรมการเมือง ธรรมเนียมปฏิบตั ติ า่ ง ๆ ซึง่ มีผลให้เกิดความแตกต่างในการตัดสิน
ใจเลือกแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างรัฐ ดู Owen Hughes, Public Administration and
Management (London: Macmillan, 1998); Brendan C. Nolan, Public Sector Reform:
An International Perspective (London: Palgrave, 2001).
29
Pierre, “Introduction: Understanding Governance,” 2-3; Peters and Pierre, “Gover-
nance, Government and the State,” 209.
30 H. Brinton Milward and Keith G. Provan, “Governing the Hollow State,” Journal of
Public Administration Research and Theory 10, No. 2 (2000): 359 – 380.
160
31
ดู Adam Przeworski, Susan C. Stokes and Bernard Manin, eds., Democracy, Accoun-
tability, and Representation (Cambridge: Cambridge University Press, 1999); Mark
Bevir, Democratic Governance (Princeton: Princeton University Press, 2010).
32
ดู Yves Mény and Yves Surel, eds., Democracies and the Populist Challenge (New
York: Palgrave, 2002); Klaus von Beyme, “Representative Democracy and the Populist
Temptation,” in The Future of Representative Democracy, ed. Sonia Alonso, John
Keane and Wolfgang Merkel (Cambridge: Cambridge University Press, 2011), 50-
73.
161
การก้าวขึ้นมามีบทบาทในเวทีนโยบายสาธารณะและการจัดบริการ
สาธารณะของตัวแสดงต่างๆ ที่อยู่นอกภาครัฐ ดังปรากฏในช่วงเวลาดังกล่าว
ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากแนวคิดและหลักการประชาธิปไตยกระแสใหม่ๆ ที่ก่อตัว
และแพร่หลายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน อาทิ แนวคิดประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
(participatory democracy) ซึ่งมุ่งสร้างช่องทางเพิ่มอ�ำนาจและบทบาทของภาค
ประชาชนในกระบวนการตัดสินใจก�ำหนดนโยบายสาธารณะให้มากขึน้ 33 แนวคิด
ประชาธิปไตยทีม่ งุ่ เน้นบทบาทของกลุม่ องค์กรเครือข่ายในระดับชุมชนและกลุม่
พลังทางสังคมในการมีส่วนร่วมดูแลรับผิดชอบกระบวนการบริหารนโยบาย
สาธารณะมากขึน้ (associative democracy)34 รวมไปถึงแนวคิดทีม่ งุ่ เน้นบทบาท
ของพลเมืองในการร่วมกันแลกเปลี่ยน ถกเถียง ปรึกษาหารือ (deliberative
democracy)35 ตลอดจนการมีส่วนร่วมตัดสินใจในประเด็นสาธารณะโดยอาศัย
กลไกประชาธิปไตยทางตรงสมัยใหม่ (direct democracy) ทั้งในระดับชาติและ
ระดับท้องถิ่น36
ในช่วงเวลาดังกล่าว แม้ว่ารัฐจะเริ่มมีขีดความสามารถของในการผลัก
ดันเจตจ�ำนงความต้องการในเรื่องต่างๆ เหนือสังคมลดน้อยถอยลง อันเนื่อง
มาจากการเผชิญกับการท้าทายของเครือข่ายนโยบายที่มีความแข็งแกร่งเหนียว
แน่นยิ่งขึ้น แต่กระนั้นก็มิได้หมายความว่าการเผชิญหน้ากับแรงกดดันดังกล่าว
จะท�ำให้รฐั หมดบทบาทความส�ำคัญลงไปเสียทีเดียว เพราะถึงแม้วา่ กระบวนการ
บริหารกิจการบ้านเมืองจะแปรเปลีย่ นไปเพียงใด รัฐก็ยงั คงต้องมีบทบาทหลักใน
33 ดู Benjamin Barber, Strong Democracy: Participatory Politics for a New Age (Berkeley:
University of California Press, 1984).
34
ดู Paul Hirst, Associative Democracy: New Forms of Economic and Social Gover-
nance (Cambridge: Polity Press, 1993).
35
ดู James S. Fishkin, Democracy and Deliberation: New Directions for Democratic
Reform (London: Yale University Press, 1991); John S. Dryzek, Deliberative Democracy
and Beyond: Liberals, Critics, Contestations (Oxford: Oxford University Press,
2002).
36 ดู Graham Smith, Democratic Innovations: Designing institutions for citizen
participation (New York: Cambridge University Press, 2009).
162
การปกครองสังคมอยู่เช่นเดิม แต่ก็มิใช่การยึดกุมบทบาทการใช้อ�ำนาจปกครอง
ทัง้ หมดฝ่ายเดียวภายใต้โครงสร้างรวมศูนย์ทสี่ ว่ นกลางอย่างแข็งแกร่งเช่นในอดีต
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปรากฏการณ์ดังกล่าว ก็คือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐไป
จากเดิม (state transformation) มิใช่การเสื่อมถอยบทบาทของรัฐไปจากสังคม
(state decline) แต่อย่างใด37
กล่าวโดยสรุป แรงกดดันของภาคประชาชนทีม่ ตี อ่ ภาครัฐในช่วงเวลาดัง
กล่าว น�ำไปสู่การปรับเปลี่ยนแบบแผนการแสดงบทบาทของภาครัฐในประเทศ
ต่างๆ จากเดิมทีต่ วั แสดงภาครัฐมุง่ ท�ำหน้าทีป่ กครองควบคุมสังคมและเศรษฐกิจ
เป็นหลัก ไปสู่การแสดงบทบาทเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับบทบาทของตัวแสดงอื่นๆ
ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคธุรกิจ องค์กรไม่
แสวงผลก�ำไร (NPOs) องค์กรอาสาสมัคร ไปจนถึงองค์กรชุมชน ภายใต้บริบทดัง
กล่าว ค�ำว่า governance ถูกน�ำมาใช้สื่อความหมายในทางการวิชาการในฐานะ
มโนทัศน์เกีย่ วกับแบบแผนอันหลากหลายของกฎเกณฑ์ก�ำกับการด�ำเนินกิจการ
สาธารณะ (pluralistic pattern of rule) ซึง่ มิให้รวมศูนย์ความสนใจทีก่ ระบวนการ
ปกครองและสถาบันภาครัฐเป็นหลัก หากแต่มุ่งให้ความส�ำคัญต่อกระบวนการ
และปฏิสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ที่ร้อยรัดเชื่อมโยงตัวแสดงภาครัฐและตัวแสดง
ภาคประชาสังคมเข้าด้วยกัน38
วิถีใหม่ในการแสดงบทบาทของรัฐ
ในช่วงทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ค�ำว่า governance ถูกใช้ในการกล่าว
ถึงการวิถีทางในการแสดงบทบาทของภาครัฐในลักษณะใหม่ ซึ่งมีนัยกว้างกว่า
ความหมายของค�ำว่า government ซึง่ เป็นเรือ่ งทีเ่ กีย่ วข้องกับการบริหารราชการ
โดยรัฐบาลเท่านั้น กล่าวคือ ภายใต้นัยของค�ำว่า governance กระบวนการ
ก�ำกับควบคุมทิศทางการขับเคลื่อนของสังคมและเศรษฐกิจให้บรรลุเป้าหมายที่
พึงปรารถนานั้น มีความหมายครอบคลุมการแสดงบทบาทของสถาบันทั้งหมด
37
ดู Jon Pierre and B. Guy Peters, Governing Complex Societies: Trajectories and
Scenarios (Basingstoke: Palgrave Macmillan, 2005).
38
Bevir, Democratic Governance, 1-2.
163
การเปิดให้ตัวแสดงภาคส่วนอื่นเข้ามาปฏิสัมพันธ์กับตัวแสดงภาครัฐ
ในการบริหารกิจการสาธารณะมากขึ้นนั้น แสดงให้เห็นว่า ภาครัฐเริ่มตระหนัก
ถึงขีดจ�ำกัดของกลไกการปกครองที่ตั้งอยู่บนการควบคุมและสั่งการโดยอ�ำนาจ
รัฐฝ่ายเดียวในแบบเดิม (public command-and-control) มากขึ้น อีกทั้งภาครัฐ
ยังตระหนักถึงความจ�ำเป็นในการปรับตัวเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อปัญหา
ต่างๆ ในสังคม ซึ่งต้องอาศัยกลไกและเครื่องมือการจัดการที่มีรูปแบบวิธีการ
หลากหลายกว้างขวางยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วย44
อาจสรุปได้ว่า ภายใต้แรงกดดันจากกระแสโลกาภิวัตน์ และแรงกดดัน
จากพลังทางสังคมทีม่ าพร้อมกับกระแสประชาธิปไตยแนวใหม่โดยเฉพาะในช่วง
ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ภาครัฐยังคงมีบทบาทส�ำคัญในการก�ำกับทิศทางการ
ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคมให้ด�ำเนินไปสู่เป้าหมายร่วมกันของสังคม
โดยภาครัฐมีหน้าที่หลักอย่างน้อย 3 ประการ คือ45
ประการแรก สถาบันในภาครัฐมีบทบาทในการสร้างความเห็นพ้อง
ต้องกันระหว่างตัวแสดงทุกระดับและทุกภาคส่วนในกระบวนการบริหารกิจการ
สาธารณะ ตลอดจนการสร้างทางเลือกและจัดล�ำดับความส�ำคัญของนโยบาย
สาธารณะ โดยยึดเป้าหมายร่วมของสังคมเป็นหลัก สถาบันต่างๆ ในภาครัฐ
จึงเป็นเสมือนแกนกลางในการขับเคลื่อนกระบวนการบริหารกิจการสาธารณะ
เพราะตัวแสดงทางการเมือง และตัวแสดงทางสังคมทั้งหลาย ต่างก็มีเป้าหมาย
หลากหลายที่ต้องการจะให้สังคมบรรลุถึง และต่างก็ต้องการให้มีการใช้อำ� นาจ
หน้าที่ รวมถึงทรัพยากรและงบประมาณของรัฐ เพือ่ ผลักดันให้เป้าหมายเหล่านัน้
เกิดขึ้นให้ได้ แต่ด้วยเหตุที่ทรัพยากรของสาธารณะเป็นสิ่งที่มีจ�ำกัด รัฐจึงจ�ำเป็น
จะต้องสร้างกลไกจัดล�ำดับความส�ำคัญของแต่ละเป้าหมายเหล่านัน้ บนฐานของ
การมีส่วนร่วมของตัวแสดงที่มีบทบาทเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนอย่างกว้างขวาง
44 Ibid.
45 Guy Peters, “Globalization, Institutions, and Governance,” in Governance in the
Twenty-first Century (Montreal & Kingston, London, Buffalo: Canadian Centre for
Management Development, 2000), 29-57; Peters and Pierre, “Governance, Govern-
ment and the State,” 215-217.
166
ฝ่ายเดียวอีกต่อไป แต่บทบาทของภาครัฐก็มิได้ลดทอนความส�ำคัญไปโดย
สิน้ เชิง ในลักษณะทีภ่ าครัฐถูกจ�ำกัดบทบาทให้นอ้ ยทีส่ ดุ เพือ่ เปิดพืน้ ทีใ่ ห้ตวั แสดง
ในระบบตลาดก้าวเข้ามามีบทบาทจัดสรรทรัพยากรและการตัดสินใจสาธารณะ
แทน ในทางตรงกั น ข้ า ม รั ฐ ยั ง คงเป็ น ตั ว แสดงที่ มี บ ทบาทแกนกลางใน
กระบวนการบริหารกิจการบ้านเมืองอยู่ เพราะถึงแม้ว่าการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
ภาคส่วนต่างๆ ในสังคมกับภาครัฐ จะเป็นเงือ่ นไขส�ำคัญยิง่ ต่อความส�ำเร็จในการ
บริหารงานภาครัฐในบริบทปัจจุบนั แต่ทว่าตัวแสดงเหล่านัน้ ก็มอิ าจเข้ามาแทนที่
การใช้อำ� นาจหน้าทีต่ ามกฎหมายขององค์กรของรัฐได้ทงั้ หมด โดยเฉพาะอย่างยิง่
ในแง่การจัดการความขัดแย้งและอ�ำนวยความเป็นธรรมแก่ทกุ ภาคส่วนในสังคม49
ส�ำหรับเหตุผลที่ทำ� ให้สถาบันของรัฐยังคงมีบทบาทส�ำคัญในการสร้าง
ฐานความชอบธรรมแก่การด�ำเนินการของตัวแสดงทั้งหลายในกระบวนการ
บริหารกิจการบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นกลไกตลาด องค์กรธุรกิจเอกชน ไปจนถึง
องค์กรภาคประชาสังคมและชุมชน ก็เนื่องจากการด�ำเนินการใดๆ ของกลุ่ม
บุคคล องค์กร หรือเครือข่ายต่างๆ ในเรื่องอันเกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ
ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นภายใต้บริบทของกระบวนการใช้อำ� นาจของรัฐ หรือมีความ
เกี่ยวข้องกับบทบาทของภาครัฐในมิติใดมิติหนึ่งเสมอ ไม่ว่าจะเป็นในมิติการ
ตัดสินใจสาธารณะ การจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ รวมตลอดจนมิติการบังคับ
ใช้กฎหมายในเรื่องต่างๆ
เหตุผลส�ำคัญอีกประการหนึ่งที่ท�ำให้ภาครัฐยังคงมีบทบาทส�ำคัญใน
กระบวนการบริหารกิจการบ้านเมือง ก็คือ สถาบันต่างๆ ในภาครัฐมีโครงสร้าง
ที่ออกแบบมาเพื่อท�ำหน้าที่จัดการความขัดแย้งในสังคมเป็นหลัก ในขณะกลไก
ตลาดหรือตัวแสดงภาคเอกชน มิได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ท�ำหน้าที่เช่นนั้น
หากแต่ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ตัวแสดงทางเศรษฐกิจที่มีอำ� นาจทรงพลังที่สุด
ในตลาดเท่านั้นที่จะสามารถเป็นฝ่ายชนะและมีความชอบธรรมในการจัดสรร
ทรัพยากรต่างๆ ส่วนเครือข่ายต่างๆ ในภาคประชาสังคม แม้จะมีสมมติฐาน
ที่เชื่อมั่นในเรื่องการประสานความร่วมมือ และการท�ำงานแบบไม่มุ่งแก่งแย่ง
49 ดู Martin van Creveld, The Rise and Decline of the State (Cambridge: Cambridge
University Press, 1999), chap. 6.
169
ต่อรองและพลังการขับเคลื่อนประเด็นนโยบายที่มีผลต่อประโยชน์ได้เสียของ
ภาคีสมาชิกเป็นส�ำคัญ เครือข่ายจ�ำนวนมากจึงอาจแสดงบทบาทหน้าที่ใน
ลักษณะกีดกันกลุม่ คนบางกลุม่ หรือบางฝ่ายออกจากกระบวนการผลักดันประเด็น
สาธารณะที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของเครือข่ายตนเอง55
ปัญหาที่ส�ำคัญคือ เครือข่ายต่างๆ มักจะด�ำเนินกิจกรรมโดยมุ่งพิทักษ์
ผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ซึ่งอาจมิใช่ผลประโยชน์ของสาธารณชนที่สะท้อน
เจตจ�ำนงร่วมของสังคม ฉะนั้น การท�ำหน้าที่ของรัฐในกระบวนการอภิบาล
ภาคสาธารณะ จึงมิใช่การบริหารกิจการสาธารณะด้านต่างๆ โดยมุ่งให้ความ
ส�ำคัญกับการจัดการเครือข่ายเท่านั้น แต่ยังจ�ำเป็นต้องมุ่งแก้ไขจุดอ่อนในการ
ท�ำงานของเครือข่ายอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการแก้ไขปัญหาความ
เป็นประชาธิปไตยในกระบวนการท�ำงานของเครือข่าย โดยอาศัยเครื่องมือ
การสร้างความรับผิดชอบต่อสาธารณะในรูปแบบต่างๆ อาทิ การสร้างกลไก
การก�ำกับความรับผิดชอบต่อสาธารณะ โดยดึงบทบาทของสถาบันและองค์กร
ภายนอกเครือข่าย องค์กรสมาคมวิชาชีพ สถาบันวิชาการ รวมถึงกลุม่ ผูร้ บั บริการ
สาธารณะในฐานะพลเมืองผูอ้ อกเสียงเลือกตัง้ ให้เข้ามาท�ำหน้าทีก่ ำ� กับตรวจสอบ
ความรับผิดชอบของการด�ำเนินกิจการสาธารณะในระดับพื้นที่56
นอกจากนี้ ยังรวมถึงการจัดให้มีเวทีสาธารณะ (advisory deliberative
forum) เพือ่ รับฟังข้อเสนอและข้อเรียกร้องต้องการของประชาชนทัว่ ไปในประเด็น
สาธารณะที่เกี่ยวข้องกับชุมชน รวมไปถึงการจัดเวทีประชาหารือ (deliberative
polls) เพื่อเปิดพื้นที่ให้ประชาชนกลุ่มต่างๆ สามารถเข้ามาร่วมกันเสนอข้อโต้
แย้งถกเถียงและรับฟังเหตุผลจากมุมมองและจุดยืนของคนทุกกลุ่มอย่างเปิด
กว้างและเท่าเทียม ก่อนที่ภาครัฐจะด�ำเนินการตัดสินใจในนโยบายสาธารณะที่
มีผลกระทบต่อชุมชน เป็นต้น บทบาทของประชาชนในฐานะพลเมือง จึงมีความ
ส�ำคัญยิ่งต่อการถ่วงดุลการท�ำงานของเครือข่ายการจัดการกิจการสาธารณะ
ซึ่งประชาชนมีฐานะเป็นเพียง “ผู้รับบริการ” หรือ “ลูกค้า” ในการจัดท�ำบริการ
สาธารณะของเครือข่าย57
55 Ibid., 55.
56
Ibid., 56.
57
Ibid., 57.
172
ภายใต้บริบทการบริหารกิจการสาธารณะในปัจจุบัน ตัวแสดงภาครัฐ
ยังคงมีบทบาทหลักในการจัดการปัญหาความขัดแย้งระหว่างตัวแสดงต่างๆ ให้
สามารถยุตลิ งภายใต้กระบวนการทีช่ อบธรรม เนือ่ งจากสถาบันของรัฐมีบทบาท
หลักในการระงับยุติข้อขัดแย้งภายในสังคมด้วยอ�ำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย โดย
เฉพาะกรณีที่ความขัดแย้งในสังคมอยู่ในระดับเข้มข้นรุนแรง สถาบันของรัฐ
เท่านั้นที่มีอ�ำนาจในการบังคับใช้กฎกติกาอันชอบธรรมส�ำหรับจัดการคลี่คลาย
ความขัดแย้งนัน้ ให้ยตุ ลิ งได้58 นอกจากนี้ ภายใต้กระบวนการบริหารกิจการบ้าน
เมืองในปัจจุบัน ซึ่งมีตัวแสดงต่างๆ ที่มิใช่ภาครัฐเข้ามามีบทบาทมากขึ้นนั้น
ภาครัฐยังต้องมีบทบาทในการสร้างกลไกก�ำกับควบคุมการบริหารจัดการภาค
สาธารณะตามกลไกการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (democratic control)
เพื่อท�ำให้ตัวแสดงจ�ำนวนหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการสาธารณะ
สามารถแสดงความรับผิดชอบต่อสาธารณชนในวงกว้างอีกด้วย59
Governance ในฐานะมโนทัศน์เกี่ยวกับการบริหารงาน
ภาครัฐ
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า ความหมายใหม่ของค�ำว่า gover-
nance ซึ่งก่อรูปขึ้นในโลกภาษาอังกฤษช่วงทศวรรษที่ 1980 นั้น เกิดขึ้นภายใต้
บริบทการเปลี่ยนแปลงบทบาทและรูปแบบการบริหารงานภาครัฐในประเทศ
ซีกโลกตะวันตก ดังเห็นได้จากกระแสการปฏิรูประบบบริหารงานภาครัฐ (public
sector reforms) ที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในหลายประเทศ การใช้ค�ำว่า gover-
nance เพือ่ สือ่ ความหมายถึงแบบแผนใหม่ในการแสดงบทบาทของตัวแสดงภาค
รัฐภายใต้ปฏิสมั พันธ์กบั ตัวแสดงภาคส่วนอืน่ ในสังคม ไม่มนี ยั บ่งถึงการท�ำหน้าที่
ของรัฐในฐานะที่อยู่เหนือกว่าตัวแสดงอื่นๆ ในความสัมพันธ์แนวดิ่ง และเป็น
ฝ่ายมีบทบาทควบคุมบังคับบัญชาฝ่ายเดียว60
58 Peters and Pierre, “Governance, Government and the State,” 217.
59 Paul Hirst, “Democracy and Governance,” in Debating Governance, ed. Jon Pierre
(Oxford: Oxford University Press, 2000), 19-22.
60 ดู Mark Bevir, and R.A.W. Rhodes, “The Stateless State,” in The SAGE Handbook
of Governance, ed. Mark Bevir (London: Sage, 2011), 203-217.
173
ในเรื่องต่างๆ ซึ่งออกแบบมาเพื่อท�ำให้เป้าหมายที่ได้ก�ำหนดไว้บรรลุถึงได้62
แต่ถึงกระนั้น governance ก็เป็นกระบวนจัดระบบกฎเกณฑ์กติกา
ต่างๆ ในสังคมเพื่อธ�ำรงรักษาระเบียบสังคมและประโยชน์สุขร่วมกันของคนใน
สังคมโดยไม่ใช่การใช้อ�ำนาจปกครองฝ่ายเดียวของรัฐบาล (governance without
government) ดังนั้น หากพิจารณาอย่างถึงที่สุดแล้ว governance จึงมีนัยถึง
การสร้างเงื่อนไขต่างๆ ที่เอื้อต่อการจัดระบบระเบียบกฎเกณฑ์ และการด�ำเนิน
กิจกรรมของส่วนรวม ผลลัพธ์ของ governance จึงไม่ต่างจากผลลัพธ์ของ
government แต่สงิ่ ทีท่ ำ� ให้ governance ต่างจาก government ก็คอื “กระบวนการ”
ที่ด�ำเนินไป
Stoker ชี้ว่า หากส�ำรวจงานศึกษาต่างๆ จะพบว่าค�ำว่า governance
ถูกในหลากหลายกรณี และใช้ในความหมายที่มีมิติแตกต่างหลากหลายกันไป
ฐานความเข้าใจที่งานเหล่าเห็นสอดคล้องกัน คือ governance ถูกใช้ในการ
กล่าวถึงรูปแบบวิถที างในการปกครองทีพ่ ฒ ั นาขึน้ ใหม่ บนฐานการมองว่า ภาครัฐ
ภาคเอกชน หรือสังคม ไม่มีเส้นแบ่งอาณาเขตเด็ดขาดจากกัน หรือพร่าเลือนไป
เรื่อยๆ สาระส�ำคัญอันเป็นแก่นของ governance ก็คือ การมุ่งเน้นความส�ำคัญ
ของกลไกการปกครองที่มิได้ตั้งอยู่บนการอาศัยอ�ำนาจหน้าที่และการบังคับ
ควบคุมลงโทษของรัฐบาลเป็นหลักแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป63 มโนทัศน์ว่าด้วย
governance มุ่งชี้ให้เห็นถึงการจัดโครงสร้าง หรือระบบระเบียบต่างๆ ที่ไม่ได้
ถูกครอบลงมาจากภายนอกของสังคม แต่เป็นผลจากการเข้ามาปฏิสัมพันธ์กัน
ระหว่างตัวแสดงฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการปกครอง โดยตัวแสดง
เหล่านั้น ต่างก็ส่งอิทธิพลซึ่งกันและกัน64
62
Stoker, “Governance as theory: five propositions,” 17.
63 Ibid., 18.
64
งานศึกษา governance ในฐานะมโนทัศน์ที่มุ่งวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแสดงต่างๆ
ในกระบวนการบริหารกิจการสาธารณะ (interactive governance) ดู Jan Kooiman,
Governing as Governance (London: Sage, 2003); Ralf-Eckhard Türke, Governance:
Systemic Foundation and Framework (Zürich: Physica-Verlag, 2008); Jacob Torfing,
B. Guy Peters, Jon Pierre and Eva Sørensen, Interactive Governance: Advancing
the Paradigm (Oxford: Oxford University Press, 2012).
175
พัฒนาการ ดังนี68 ้
ช่วงทีห่ นึง่ เป็นช่วงทีก่ ระบวนการนโยบายสาธารณะและการจัดบริการ
สาธารณะด�ำเนินไปภายใต้กรอบแนวคิดว่าด้วย “การบริหารรัฐกิจดัง้ เดิม” (Public
Administration: PA) ซึ่งเป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างแพร่หลายและยาวนาน นับ
ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เรื่อยมาจนถึงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 กระทั่ง
เริ่มเสื่อมคลายลงในช่วงปลายทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 1980
ช่วงที่สอง เป็นช่วงที่กระแสแนวคิด “การจัดการภาครัฐแนวใหม่”
(New Public Management: NPM) ก้าวเข้ามาแทนที่แนวคิดการบริหารรัฐกิจ
ในแบบดั้งเดิม69 กระแสแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (NPM) จึงปรากฏ
ขึ้นและด�ำรงอยู่ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างวิวัฒนาการจาก
กระแสแนวคิดการบริหารรัฐกิจแบบดั้งเดิม (PA) ที่ตั้งอยู่บนการมองรัฐเป็น
ศูนย์กลาง และยึดถือจารีตปฏิบัติในระบบราชการเป็นส�ำคัญไปสู่สิ่งที่เรียกว่า
New Public Governance ที่ก�ำลังก่อรูปขึ้นในแวดวงวิชาการและการปฏิบัติ
นับตั้งแต่ช่วงเริ่มศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า “การอภิบาล
สาธารณะแนวใหม่”
ช่วงทีส่ าม เป็นช่วงการปรากฏของกรอบแนวคิด “การอภิบาลสาธารณะ
แนวใหม่” (New Public Governance: NPG) ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับที่กระแส
แนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (NPM) เริ่มเสื่อมคลายลง หลังจากปรากฏ
ขึ้นและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเวลาอันรวดเร็ว โดยปรับเปลี่ยนมา
สู่วิถีปฏิบัติภายใต้แนวคิดการบริหารกิจการบ้านเมืองซึ่งตั้งอยู่บนแนวคิดพหุ-
นิยม (pluralist tradition) และมุง่ ให้ความส�ำคัญต่อบทบาทของตัวแสดงทีม่ คี วาม
แตกต่างหลากหลายภายในสังคม70
หากพิจารณากระแสแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาการบริหารงานภาครัฐ
ในเชิงพัฒนาการ จะสามารถสรุปจ�ำแนกกระแสแนวคิดที่ส�ำคัญในช่วงศตวรรษ
ที่ 20 ได้เป็น 3 กระแสแนวคิด ได้แก่ แนวคิดการบริหารรัฐกิจแบบดั้งเดิม (PA)
แนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (NPM) และแนวคิดการอภิบาลสาธารณะแนว
ใหม่ (NPG) หากพิจารณาในมิตเิ ชิงทฤษฎี กรอบแนวคิดแต่ละกระแสดังกล่าว ต่าง
ท�ำหน้าทีเ่ ป็นกรอบก�ำหนดระบบ ระเบียบ และกรอบวิถที างด�ำเนินการ (regimes)
เกีย่ วกับการน�ำนโยบายสาธารณะไปปฏิบตั แิ ละการจัดบริการสาธารณะของภาค
รัฐในแต่ละบริบทช่วงเวลา แบบแผนการปฏิบัติที่แตกต่างกันจึงสะท้อนให้เห็น
ถึงการอยู่ภายใต้กรอบแนวคิดที่ก�ำกับระบบระเบียบการบริหารงานภาครัฐที่
แตกต่างกันไปด้วย กล่าวคือ
กรอบแนวคิดการบริหารรัฐกิจแบบดั้งเดิม (PA) มีสาระส�ำคัญอยู่
ที่การมุ่งบริหารงานภาครัฐโดยยึดมั่นในอ�ำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย มุ่งเน้นการ
73 Ibid., 5.
181
จัดการแบบภาคเอกชนมาปรับใช้ในการน�ำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติและการ
จัดบริการสาธารณะแล้ว ก็จะส่งผลให้การด�ำเนินงานของภาครัฐมีประสิทธิภาพ
และประสิทธิผลสูงขึ้นกว่าเดิมได้โดยอัตโนมัติ สมมติฐานดังกล่าวสะท้อนให้
เห็นได้ชัดเจนที่สุดในแนวนโยบายการปฏิรูปภาครัฐของรัฐบาลอังกฤษในช่วง
ทศวรรษ 1980
แนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ มีสาระส�ำคัญคือ การให้ความ
ส�ำคัญกับการน�ำประสบการณ์ความส�ำเร็จในการขององค์กรภาคเอกชนมาปรับ
ใช้กับหน่วยงานภาครัฐ การมุ่งเน้นการผ่องถ่ายภารกิจโดยมอบหมายให้องค์กร
ภายนอกจัดการแทน และการจัดตั้งองค์กรอิสระในก�ำกับของรัฐ (arm's length)
ขึน้ มาจัดการภารกิจแทนหน่วยงานในโครงสร้างล�ำดับชัน้ ของระบบราชการ เพือ่
ให้องค์กรที่น�ำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ แยกออกจากบทบาทขององค์กรที่
เป็นผู้ก�ำหนดนโยบายสาธารณะในเรื่องนั้นๆ ซึ่งต่างจากการแบ่งแยกบทบาท
ระหว่างฝ่ายการเมืองทีเ่ ป็นผูก้ ำ� หนดนโยบาย กับข้าราชการทีเ่ ป็นฝ่ายน�ำนโยบาย
ไปปฏิบัติ ดังแนวคิดการบริหารรัฐกิจดั้งเดิม74
นอกจากนี้ แนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ ยังมุ่งสร้างภาวะผู้น�ำใน
แบบผูป้ ระกอบการให้เกิดขึน้ ในองค์กรภาครัฐทีท่ ำ� หน้าทีจ่ ดั บริการสาธารณะ โดย
เฉพาะอย่างยิ่ง การมุ่งให้ข้าราชการแสดงบทบาทในฐานะนักจัดการมืออาชีพ
การสร้างระบบการบริหารจัดการที่ให้ความส�ำคัญต่อการควบคุมปัจจัยน�ำเข้า
และผลงานที่เกิดขึ้น รวมทั้งมุ่งสร้างระบบการประเมินผลสัมฤทธิ์ของงาน การ
ชี้วัดผลการปฏิบัติงาน และการตรวจสอบภายในองค์กรภาครัฐ ในขณะเดียวกัน
ก็มุ่งแบ่งภารกิจการจัดบริการสาธารณะในขั้นตอนต่างๆ ให้เหมาะสมกับการจัด
โครงสร้างหน่วยงานแต่ละหน่วยให้มากทีส่ ดุ เพือ่ มุง่ ควบคุมการจัดการต้นทุนให้
คุม้ ค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด และทีส่ �ำคัญคือการน�ำกลไกระบบตลาดเข้ามาใช้
ในการจัดสรรทรัพยากรเพือ่ การจัดบริการสาธารณะของภาครัฐ ไม่วา่ จะเป็นการ
สร้างกลไกการแข่งขัน และการน�ำระบบสัญญามาใช้ส�ำหรับว่าจ้างบุคลากรหรือ
จ้างเหมาในการจัดบริการสาธารณะ75
74 Ibid., 3.
75 Ibid., 4.
182
การก่อเกิดกระแสแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ ส่งผลให้ทิศทาง
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการบริหารงานภาครัฐในแวดวงวิชาการตะวันตก หันเห
จากการมุ่งศึกษากระบวนการนโยบายสาธารณะในมิติต่างๆ มาสู่การให้ความ
สนใจในเรื่องเกี่ยวกับทักษะการจัดการด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ
จั ด บริ ก ารสาธารณะ และการจั ด การองค์ ก ารสาธารณะ กล่ า วอี ก นั ย หนึ่ ง
ในขณะทีก่ รอบแนวคิดการบริหารรัฐกิจดัง้ เดิม (PA) พุง่ ความสนใจไปทีก่ ารศึกษา
กระบวนการนโยบายสาธารณะเป็นหลัก การศึกษาภายใต้กรอบแนวคิดการ
จัดการภาครัฐแนวใหม่ (NPM) กลับให้ความสนใจลงลึกไปในระดับการจัดการ
ภายในองค์การที่ท� ำหน้าที่น�ำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติและจัดท� ำบริการ
สาธารณะ ด้วยเหตุนี้ กรอบแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ จึงน�ำมาสูม่ มุ มอง
ทีว่ า่ "การบริหารรัฐกิจ" (public administration) เป็นคนละเรือ่ งกันกับ "การจัดการ
ภาครัฐ" (public management) และมีหัวข้อการศึกษาที่แยกต่างหากจากกัน76
ในทางปฏิ บั ติ แนวคิ ด การจั ด การภาครั ฐ แนวใหม่ น� ำ ไปสู ่ ค วาม
เปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญ คือ การเปลี่ยนบทบาทขององค์กรภาครัฐ จากการมุ่งท�ำ
หน้าที่บริหารภารกิจตามระบบระเบียบราชการ และยึดถือการใช้อำ� นาจหน้าที่
ของหน่วยงานอย่างเคร่งครัด มาสู่การท�ำหน้าที่ในเชิงการจัดการภารกิจเพื่อ
ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นส�ำคัญ ภายใต้หลักการจัดการภาค
รัฐแนวใหม่ ทุกหน่วยงานภายในองค์กรภาครัฐต่างก็มีบทบาทหน้าที่ในเชิงการ
จัดการด้วยกันทั้งสิ้น ต่างจากวิธีการปฏิบัติงานในองค์กรภาครัฐแบบดั้งเดิม ซึ่ง
มีการแบ่งแยกบทบาทบทบาทหน้าทีข่ องหน่วยงานต่างๆ ตามสายงานอย่างเด็ด
ขาดชัดเจน นัน่ คือ การแบ่งแยกระหว่างหน่วยปฏิบตั กิ าร และหน่วยอ�ำนวยการที่
มีบทบาทในเชิงการบริหาร ดังนัน้ แนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ จึงมีจดุ แข็ง
อยู่ที่การเสนอมุมมองการวิเคราะห์เพื่อท�ำความเข้าใจถึงกระบวนการย่อยๆ ที่
เกิดขึน้ ภายในกระบวนการนโยบายสาธารณะ โดยมุง่ ให้ความสนใจต่อการจัดการ
ความเปลี่ยนแปลงและการสร้างนวัตกรรมการจัดการใหม่ๆ ขึ้นในหน่วยงาน
ภาครัฐ
76 Ibid.
183
สภาวะดังกล่าวน�ำมาสู่การพยายามสร้างมุมมองที่ละเอียดซับซ้อนยิ่ง
ขึ้น ส�ำหรับการอธิบายมิติความซับซ้อนของการบริหารงานภาครัฐในปัจจุบัน
และเป็นกรอบแนวคิดที่ไม่ติดอยู่ภายใต้ตรรกะการแบ่งขั้วตรงข้ามระหว่าง “การ
บริหารราชการ” (administration) กับ “การจัดการ” (management) ดังเช่นแนวคิด
การบริหารรัฐกิจ และการจัดการภาครัฐแนวใหม่ที่ได้กล่าวมา รวมถึงเป็นกรอบ
แนวคิดทีค่ รอบคลุมการท�ำความเข้าใจการน�ำนโยบายสาธารณะไปปฏิบตั แิ ละการ
จัดบริการสาธารณะในมิตติ า่ งๆ ได้อย่างรอบด้านและเชือ่ มโยงกัน ทัง้ ในมิตกิ าร
ศึกษาทางวิชาการ และมิติการปฏิบัติจริง80
ส�ำหรับกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีที่ก�ำลังได้รับความสนใจในฐานะกรอบ
การศึกษาและการปฏิบัติในการจัดบริการสาธารณะที่สอดคล้องกับบริบทของ
สังคมในปัจจุบัน ก็คือ “กรอบแนวคิดการอภิบาลสาธารณะแนวใหม่” (NPG) ซึ่ง
เป็นกรอบแนวคิดทีก่ อ่ เกิดขึน้ บนฐานการด�ำรงอยูข่ องกรอบแนวคิดการบริหารรัฐ
กิจดั้งเดิม และกรอบแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ มิใช่กระบวนทัศน์ใหม่ที่
เข้ามาแทนที่กรอบแนวคิดที่ด�ำรงอยู่มาก่อนเหล่านั้นแต่ประการใด81 ดังนั้น จึง
มิอาจกล่าวได้วา่ กรอบแนวคิดการอภิบาลสาธารณะแนวใหม่ เป็นกรอบแนวคิด
ที่ดีที่สุดเพียงชุดเดียว ในการท�ำความเข้าใจและรับมือกับสิ่งท้าทายต่างๆ ของ
การน�ำนโยบายสาธารณะไปปฏิบตั แิ ละการจัดบริการสาธารณะในศตวรรษที่ 21
หากแต่อาจพิจารณาได้วา่ กรอบแนวคิดการอภิบาลแนวใหม่ เป็นเพียงเครือ่ งมือ
เชิงมโนทัศน์อนั หนึง่ ทีส่ ามารถช่วยขยายความเข้าใจของเราทีม่ ตี อ่ มิตคิ วามสลับ
ซับซ้อนทีป่ รากฏ รวมถึงช่วยเปิดมุมมองของเราให้เห็นถึงสภาพความเป็นจริงของ
วิถกี ารปฏิบตั งิ านของบุคลากรในภาครัฐปัจจุบนั ได้คมชัดและมิตทิ ซี่ บั ซ้อนยิง่ ขึน้
นอกจากนี้ กรอบแนวคิดการอภิบาลสาธารณะแนวใหม่ มิใช่แนวคิด
ใหม่ทเี่ พิง่ ริเริม่ พัฒนาขึน้ แต่ประการใด หากเป็นกรอบแนวคิดทีต่ งั้ อยูบ่ นรากฐาน
ของกรอบทฤษฎีและชุดความคิดที่ด�ำรงอยู่ก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น กล่าวคือ วลี “การ
อภิบาลแนวใหม่” (new governance) มิใช่ค�ำที่เพิ่งคิดขึ้นมาใหม่ แต่มีที่มาจาก
80 Ibid., 5.
81 Ibid., 6.
187
สภาพการณ์ของรัฐในศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องเผชิญกับสภาพความแตกต่างหลาก
หลายของตัวแสดงที่เกี่ยวข้องกับการท�ำงานของภาครัฐ ความสลับซับซ้อนของ
สังคมพหุลักษณ์ ตลอดจนความหลากหลายของหน่วยงานและองค์กรต่างๆ
ภายในโครงสร้างของรัฐเอง
หากพิจารณาในมิติทางทฤษฎี กรอบแนวคิดการบริหารกิจการบ้าน
เมืองแนวใหม่ (NPG) นับเป็นวาทกรรมทางเลือกอีกแนวคิดหนึ่ง (alternative
discourse) ซึ่งก่อเกิดขึ้นภายใต้บริบทของรัฐที่ประกอบด้วยโครงสร้างองค์การ
และหน่วยงานหลายรูปแบบและหลายระดับทีแ่ ตกต่างกันในตัวเอง และบริบทที่
ภาครัฐต้องเผชิญกับสภาพสังคมทีม่ คี วามแตกต่างหลากหลายในมิตติ า่ งๆ กรอบ
แนวคิดดังกล่าวมีเป้าหมายเพือ่ ท�ำความเข้าใจพัฒนาการความเปลีย่ นแปลงของ
กระบวนการน�ำนโยบายสาธารณะไปปฏิบตั ิ และการจัดบริการสาธารณะทีด่ ำ� เนิน
ไปภายใต้บริบทแวดล้อมในลักษณะดังกล่าวโดยเฉพาะ87
หากพิจารณาในเชิงเปรียบเทียบ กรอบแนวคิดการบริหารภาครัฐดัง้ เดิม
(PA) ในฐานะกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี พุง่ ความสนใจหลักไปทีก่ ารก�ำหนดนโยบาย
และการน�ำนโยบายไปปฏิบตั ทิ เี่ กิดขึน้ ภายใต้โครงสร้างรัฐเป็นการเฉพาะ โดยมอง
ว่ากระบวนการดังกล่าวด�ำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นล�ำดับขั้นในแนวดิ่งภายใต้
โครงสร้างการบริหารงานของรัฐบาลซึ่งมีลักษณะเป็นระบบปิด กรอบการศึกษา
การบริหารภาครัฐดั้งเดิมจึงให้ความสนใจในวงจรกระบวนการก�ำหนดนโยบาย
และการน�ำนโยบายสาธารณะไปปฏิบตั เิ ป็นส�ำคัญ บนสมมติฐานทีว่ า่ การบริหาร
ภาครัฐทีม่ ปี ระสิทธิผล จะเกิดขึน้ ได้กต็ อ่ เมือ่ ข้าราชการหรือเจ้าหน้าทีร่ ฐั สามารถ
น�ำนโยบายสาธารณะที่ก�ำหนดขึ้นโดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งตาม
ระบอบประชาธิปไตยไปปฏิบตั ไิ ด้อย่างประสบผลส�ำเร็จ ภายใต้กลไกการบริหาร
งานภาครัฐที่เป็นระบบปิด88
เมื่อกระบวนการก�ำหนดนโยบายและการน�ำนโยบายสาธารณะไป
ปฏิบัติ ด�ำเนินไปภายใต้โครงสร้างแนวดิ่งภายในระบบการปกครอง แนวคิดการ
บริหารภาครัฐดั้งเดิมจึงให้ความส�ำคัญต่อโครงสร้างการควบคุมบังคับบัญชา
ตามล�ำดับชั้นจากบนลงล่างของรัฐ ในฐานะกลไกหลักในการจัดสรรทรัพยากร
สาธารณะ โดยมองว่า กลไกการบริหารงานในแนวดิ่งจะช่วยให้รัฐบาลสามารถ
ควบคุมความรับผิดชอบต่อการใช้จา่ ยงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐทุกระดับ
ทีเ่ กีย่ วข้องกับการน�ำนโยบายสาธารณะไปปฏิบตั ไิ ด้อย่างเคร่งครัด ดังนัน้ กรอบ
แนวคิดการบริหารภาครัฐแบบดัง้ เดิม จึงตัง้ อยูบ่ นค่านิยมหลักคือ การให้คา่ และ
ความส�ำคัญต่อบทบาทและอ�ำนาจหน้าทีข่ องตัวแสดงภาครัฐเป็นหลักในการน�ำ
นโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ และการจัดบริการสาธารณะ
ส่วนกรอบแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (NPM) เป็นแนวคิดที่ก่อ
เกิดขึน้ บนฐานทฤษฎีเศรษฐศาสตร์นโี อคลาสสิค (neo-classical economics) โดย
เฉพาะอย่างยิ่ง ทฤษฎีทางเลือกสาธารณะและการเลือกอย่างเป็นเหตุเป็นผล
(rational/public choice theory) ดังนั้น กรอบแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่
จึงมีหลักการส�ำคัญอยู่ที่การมุ่งสร้างแรงผลักดันให้การจัดบริการสาธารณะของ
ภาครัฐเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยอาศัยกลไกในระบบตลาดเพื่อการสร้างการ
แข่งขันให้เกิดขึ้นระหว่างองค์กรที่มีบทบาทในการจัดบริการสาธารณะ ในขณะ
เดียวกัน กรอบแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ ก็พจิ ารณาโครงสร้างการบริหาร
งานภาครัฐในลักษณะที่ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ที่มีการแบ่งแยกกระบวนการ
ท�ำงานออกจากกัน (disaggregated state)89
ภายใต้กรอบแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ การก�ำหนดนโยบาย
และการน�ำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ ถือเป็นกระบวนการที่แยกต่างหากจาก
กัน แม้จะมีส่วนเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันอยู่บ้างก็ตาม ในขณะเดียวกันก็มองว่า
กระบวนการน�ำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติด�ำเนินไปภายใต้บทบาทของหน่วย
จัดบริการสาธารณะในแต่ละระดับและรูปแบบองค์การที่แตกต่างกันออกไป ซึ่ง
มีการบริหารงานในบทบาทหน้าทีข่ องตนเองแยกจากกันเป็นเอกเทศ รวมถึงอาจ
มีการแสดงบทบาทในเชิงแข่งขันซึ่งกันและกัน ภายใต้กระบวนการดังกล่าว รัฐมี
บทบาทส�ำคัญในการก�ำกับควบคุมกฎเกณฑ์การแข่งขันระหว่างหน่วยงานและ
องค์กรที่ท�ำหน้าที่จัดบริการสาธารณะภายใต้บริบทความสัมพันธ์ในเชิงเจ้าของ
ภารกิจกับผู้รับมอบหมายด�ำเนินภารกิจ (principal-agent context)90
89
Ibid.
90
Ibid.
191
93 Ibid.
193
สรุป
กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีทเี่ รียกว่า “การอภิบาลภาคสาธารณะแนวใหม่”
(NPG) มีฐานะเป็นทั้งผลผลิตและปฏิกิริยาตอบสนองต่อสภาพการน�ำนโยบาย
สาธารณะไปปฏิบัติ และการจัดท� ำบริการสาธารณะภายใต้บริบทของรัฐใน
ศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีลักษณะทวีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น กล่าวคือ การอภิบาล
เป็นการแสดงบทบาทของภาครัฐโดยเกี่ยวข้องกับบทบาทของตัวแสดงแตกต่าง
หลากหลาย เป็นกระบวนการปฏิสมั พันธ์ทไี่ ม่ได้มรี ปู แบบเดียว แต่สามารถด�ำเนิน
ไปในหลายรูปแบบและวิธีการ และสามารถมีกระบวนการย่อยๆ แยกต่างหาก
จากกันภายใต้การด�ำเนินนโยบายสาธารณะหนึง่ ๆ หรือการจัดบริการสาธารณะ
หนึง่ ๆ ฉะนัน้ กรอบแนวคิดการอภิบาลสาธารณะแนวใหม่จงึ เป็นฐานความเข้าใจ
ที่ส�ำคัญในการศึกษาถึงการริเริ่มรูปแบบและวิธีการปฏิบัติใหม่ๆ ในแวดวงการ
บริหารภาครัฐในปัจจุบนั ตัวอย่างเช่น ตัวแบบการอภิบาลโดยเครือข่าย (network
governance) และตั ว แบบการอภิ บ าลแบบร่ ว มคิ ด ร่ ว มท� ำ (collaborative
governance) เป็นต้น
บรรณานุกรม
ภาษาไทย
ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร. 2549. รัฐ-ชาติ กับความไร้ระเบียบโลกชุดใหม่.
กรุงเทพฯ: วิภาษา.
ทศพร ศิริสัมพันธ์. 2549. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบริหารราชการแนวใหม่.
กรุงเทพฯ: ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ.
ปกรณ์ ศิริประกอบ. 2558. 3 พาราไดม์ทางรัฐประศาสนศาสตร์: แนวคิด
ทฤษฎี และการน�ำไปปฏิบัติจริง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
สิริพรรณ นกสวน และ เอก ตั้งทรัพย์วัฒนา, บรรณาธิการ. 2546. ค�ำและ
ความคิดในรัฐศาสตร์ร่วมสมัย. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
อัมพร ธ�ำรงลักษณ์, บรรณาธิการแปล. 2546. แปลงรูป เปลีย่ นราก: บริหารรัฐกิจ
ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ.
________. บรรณาธิการ. 2553. การบริหารปกครองสาธารณะ: การบริหารรัฐกิจ
ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ภาษาอังกฤษ
Barber, Benjamin. 1984. Strong Democracy: Participatory Politics for a New
Age. Berkeley: University of California Press.
Bevir, Mark. 2010. Democratic Governance. Princeton: Princeton University
Press.
Bevir, Mark., ed. 2011. The SAGE Handbook of Governance. London: Sage.
Bevir, Mark and Rhodes, R.A.W. 2011. “The Stateless State.” In The SAGE
Handbook of Governance. Mark Bevir, ed. London: Sage.
pp. 203-217.
195
McLaughlin, Kate, Osborne, Stephen P. and Ferlie, Ewan, eds. 2002. New
Public Management: Current Trends and Future Prospects. New
York: Routledge.
Mény, Yves and Surel, Yves, eds. 2002. Democracies and the Populist
Challenge. New York: Palgrave.
Milward, H. Brinton and Provan, Keith G. 2000. “Governing the Hollow
State.” Journal of Public Administration Research and Theory 10
(2): 359 – 380.
Nolan, Brendan C. 2001. Public Sector Reform: An International
Perspective. London: Palgrave.
Osborne, David and Gaebler, Ted. 1992. Reinventing Government: How the
Entrepreneurial Spirit Is Transforming the Public Sector. Reading,
MA: Addison Wesley.
Osborne, Stephen P. 2010. “Introduction The (New) Public Governance:
a suitable case for treatment?.” In The New Public Governance:
Emerging perspectives on the theory and practice of public
governance. Stephen P. Osborne, ed. London: Routledge. pp.
1-16.
Peters, B. Guy. 2000. “Globalization, Institutions, and Governance.” In
Governance in the Twenty-first Century. Montreal & Kingston,
London, Buffalo: Canadian Centre for Management Development.
pp. 29-57.
________. 2000a. “Governance and Comparative Politics.” Debating
Governance. Jon Pierre, ed. Oxford: Oxford University Press.
pp. 35-53.
Peters, B. Guy and Pierre, Jon. 2006. “Governance, Government and the
State.” In The State: Theories and Issues. Colin Hay, Michael
Lister and David Marsh, eds. New York: Palgrave Macmillan. pp.
209-246.
198