Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 2
บทที่ 2
บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้ อง
ตารางที่ 1: องค์ประกอบคุณภาพชีวิต
องค์ประกอบคุณภาพ WHO Seedsman Diener and Inoguchi Chang
ชีวิต (1997) (2002) Seligman and Fujii and Lin
(2004) (2012) (2015)
สุ ขภาพกาย / / / / /
สุ ขภาพจิต / / / / /
ความสัมพันธ์ ทางสังคม / / / /
สิ่งแวดล้อม เช่ น รายได้ / / / /
วัฒนธรรม /
จากการทบทวนวรรณกรรมข้างต้น จึ งสรุ ปได้ว่าโดยรวมแล้วคุณภาพชี วิตเป็ นตัวชี้วดั ที่
แสดงถึงการรับรู้ถึงสภาวะของตนเอง 4 ด้านอันได้แก่ สุ ขภาพกาย สุ ขภาพจิ ต ความสัม พันธ์ทาง
สังคม และสิ่ งแวดล้อมที่รวมถึงระดับรายได้
16
ช่วงอายุ 70-79 ปี เป็ นช่วงที่เริ่ มเจ็บป่ วย การเข้าร่ วมกิ จกรรมและสังคมน้อยลง กลุ่มวัยสู งอายุมาก
ช่วงอายุ 80-89 ปี เป็ นช่วงปรับตัวเข้ากับสิ่ งแวดล้อมยากขึ้น มีความเป็ นส่วนตัวมากขึ้น และต้องการ
ความช่วยเหลือจากผูอ้ ื่น กลุ่มวัยสู งอายุมากๆ ช่วงอายุ 90-99 ปี เป็ นช่วงที่มีปัญหาสุ ขภาพมาก ทา
กิ จ กรรมที่ ต นพอใจและอยากท า เป็ นระยะแห่ งความสงบพอใจในตนเอง ในขณะที่ Tempest,
Barnatt, and Coupland (2011) แบ่งกลุ่มคนทางานวัยสู งอายุออกเป็ น 4 ประเภทตามฐานะทางการ
เงิน และสุ ข ภาพ ตามภาพที่ 3 ได้แ ก่ กลุ่ ม ที่ ร่ ารวยและสุ ข ภาพแข็ งแรง เป็ นกลุ่ ม ผู ้สู งอายุที่ ไ ม่
จาเป็ นต้องท างานแต่ ยงั อยากที่ จะท างานเนื่ อ งจากยังมี สมรรถภาพเพี ยงพออยู่ กลุ่ มที่ ร่ ารวยแต่
สุขภาพไม่ดี ไม่จาเป็ นต้องทางานและไม่มีสมรรถภาพในการทางานด้วย กลุ่มที่ยากจนแต่ยงั สุขภาพ
แข็งแรง จึงต้องการทางานและยังมีกาลังในการทางาน กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่ท้ งั ยากจนและสุขภาพ
ไม่ดี เป็ นกลุ่มผูส้ ูงอายุที่ยงั ต้องการทางานแต่สุขภาพไม่อานวย
นอกจากนี้ Moschis and Pettigrew (2011) ยังระบุว่าวิถีในการดารงชี วิต หรื อ ที่เรี ยกว่าวิถี
ชี วิต (Lifestyle) ของแต่ล ะคน เป็ นปั จจัยที่ส่ งผลต่อ คุณ ภาพชี วิตในช่ วงบั้น ปลายชี วิต ผูค้ นมัก มี
ความสุขเมื่อได้ทาในกิจกรรมที่ตนเองรู้สึกว่าทาได้ สามารถจัดการได้ กิจกรรมต่างๆสามารถเยียวยา
ความรู้สึกในด้านลบ เช่น ความซึมเศร้า และความเบื่อหน่าย ดังนั้นวิถีชีวิตที่คึกคัก ชอบทาสิ่ งต่างๆ
หลากหลายอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกิ จกรรมที่ได้มีส่วนร่ วม ปฏิสัมพันธ์กับสังคม เช่น การเป็ น
อาสาสมัคร การเข้าเรี ยนศึกษาผูใ้ หญ่ เป็ นต้น กิจกรรมเหล่านี้ ลว้ นแล้วแต่ส่งเสริ มความพึงพอใจใน
ชี วิต เนื่ องจากก่อ ให้ เกิ ดความรู้ สึ กบรรลุเป้ าหมาย และสิ่ งต่างๆ เช่ น สภาพแวดล้อ ม อยู่ในการ
ควบคุมของผูส้ ู งอายุ ซึ่ งผูส้ ู งอายุสามารถทาได้ผ่านการสวมบทบาทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ น อาสาสมัคร
นักเรี ยน หรื อ พนักงาน คนส่ วนใหญในวัยกลางคนหรื อ วัยสู งอายุชอบเรี ยนรู้ สิ่งใหม่ๆ เช่ น การ
ทางานอดิเรกใหม่ การเข้าเรี ยนในศาสตร์ใหม่ๆ
จากการทบทวนวรรณกรรมข้างต้น ผูว้ ิจยั สามารถสรุ ปได้ว่า การทากิจกรรมอะไรก็ตามที่
ตรงกับวิถีชีวิตของบุคคลนั้น จะช่วยเพิ่มความสุข ความพึงพอใจในชีวิต อันนาไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี
ขึ้น
กีฬา วัฒนธรรม
(Sport) (Culture)
การแบ่งประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามแนวคิดการวางแผนผลิตภัณฑ์นวัตกรรมแห่ ง
คุณค่า หรื อ ‘Value Innovation Product Planning’ (VIPP) (ไปรมา อิศรเสนา ณ อยุธยา, 2553) มี
การแบ่งประเภทโครงการตามเกณฑ์ระดับนวัตกรรมเชิงคุณค่า ทางเทคโนโลยี และตลาด (ภาพที่ 4)
ออกเป็ นนวัตกรรมแห่งคุณค่า 4 ระดับ คือ
1. การพัฒ นารู ปลักษณ์และสัมผัสใหม่ ( New look& feel) เป็ นการปรับปรุ งลักษณะ
ภายนอกของผลิตภัณฑ์เดิมให้มีความทัน สมัย เพื่อเจาะตลาดหรื อรักษาส่วนแบ่งตลาด
เดิ ม ( Market penetration) รวม ถึ ง ก ารวางต าแห น่ งให ม่ ใ น ตล าด ( Market
repositioning) เพื่ อ ให้ ก ลุ่ ม ลู ก ค้าที่ เกี่ ยวข้อ งเห็ น คุ ณ ค่ าและสนใจผลิ ต ภัณ ฑ์ การ
พัฒนาประเภทนี้ถือเป็ นนวัตกรรมแบบต่อเนื่อง (Incremental innovation)
2. การพัฒ นาวิธี การแก้ปั ญ หาใหม่ ( New solution) เป็ นการพัฒ นาวิธี แก้ปั ญ หาหรื อ
สนองความต้อ งการเดิ ม ด้ว ยวิ ธี ก ารใหม่ ที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพมากขึ้ น ทั้งวิ ธี ก ารเพิ่ ม
สายการผลิตใหม่ (New product line) และการปรับปรุ งสายการผลิตเดิม (Revision
or improvement of existing product line)
3. การพัฒ นาการใช้งานใหม่ ( New Usage, New Function and New Process) เป็ น
การพัฒนาที่ตอบสนองการใช้งานใหม่ หรื อการพัฒนากระบวนการใช้งานที่แตกต่าง
ออกไปจากเดิม ใช้เทคโนโลยีเดิมที่ได้รับการปรับ ปรุ งใหม่ ตอบสนองความต้องการที่
ยังไม่ได้รับการตอบสนอง (Unmet needs) ของผูใ้ ช้ มักทาให้เกิดผลิตภัณฑ์เสริ มและ
การใช้งานเสริ มในสายผลิตเดิม (extension to existing product line) สามารถขยาย
ตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายเดิมได้
4. การพัฒ นาคุ ณ ค่ า ผลิ ต ภัณ ฑ์ ใ หม่ ( New value) เป็ นการพัฒ นาแบบก้า วกระโดด
สามารถสร้ างตลาดใหม่ และมัก เกิ ด ผลิ ต ภัณ ฑ์ ป ระเภทใหม่ ( New product class
หรื อ New product category) ที่เปลี่ยนกรอบแนวคิดจากสิ่ งที่มีอยูเ่ ดิมโดยสิ้นเชิง
26
ตารางที่ 5: ตารางเปรียบเทียบการจัดประเภทความใหม่ของบริการและผลิตภัณฑ์
ประเภทบริการใหม่ ประเภทโครงการตามเกณฑ์ ระดับนวัตกรรม-
(Johnson et al., 2000) เชิงคุณค่า ทางเทคโนโลยี และตลาด
(ไปรมา อิศรเสนา ณ อยุธยา, 2553)
การเปลี่ยนรู ปลักษณ์ การพัฒนารู ปลักษณ์และสัมผัสใหม่
Style changes (New look& feel)
การปรับปรุ งบริ การ
Service improvements
การพัฒนาวิธีการแก้ปัญหาใหม่
ธุรกิจใหม่
(New solution)
Start-up business
บริ การใหม่สาหรับตลาดที่ได้รับบริ การอยู่
New services for the market presently
การพัฒนาการใช้งานใหม่
served
(New Usage, New Function and New
การขยายสายงานบริ การ
Process)
Service line extensions
การมีนวัตกรรมเป็ นหลัก การพัฒนาคุณค่าผลิตภัณฑ์ใหม่
Major innovation (New value)
ทางาน ยังขยายตลาดช่ วยตอบสนองผู ้สูง อายุที่ ไ ม่ ไ ด้มุ่ งเน้น รายได้จ ากการท างาน แต่ ต้อ งการ
ตอบสนองคุณ ค่าด้านจิ ตใจให้กับตนเองโดยการมีส่ วนร่ วมกับสั งคม เช่ น การร่ วมกิ จกรรมกับ
ชุมชน การเป็ นอาสาสมัคร เป็ นต้น
• ระยะการกาหนดทิศทาง (Direction)
1. ขั้นตอนกาหนดวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ของบริ การใหม่
(Formulation of new service objectives and strategy)
2. ขั้นตอนกาหนดแนวคิดใหม่ (Idea generation)
3. ขั้นตอนคัดกรองแนวคิดใหม่ (Idea screening)
• ระยะการออกแบบ (Design)
4. ขั้นตอนพัฒนาแนวคิด (Concept development)
5. ขั้นตอนทดสอบแนวคิด (Concept testing)
6. ขั้นตอนวิเคราะห์ทางธุรกิจ (Business analysis)
7. ขั้นตอนอนุมตั ิโครงการ (Project authorization)
8. ขั้นตอนออกแบบและทดสอบบริ การ (Service design and testing)
9. ขั้นตอนออกแบบและทดสอบกระบวนการและระบบ
(Process and system design and testing)
10. ขั้นตอนออกแบบและทดสอบโปรแกรมทางการตลาด
(Marketing program design and testing)
11. ขั้นตอนฝึ กอบรมผูใ้ ห้บริ การ (Personnel training)
• ระยะการทดสอบ (Testing)
12. ขั้นตอนทดสอบบริ การและทา pilot run (Service testing and pilot run)
13. ขั้นตอนทดสอบตลาด (Test marketing)
• ระยะการนาเข้าสู่ตลาด (Introduction)
14. ขั้นตอนนาออกสู่ตลาด (Full-scale launch)
15. ขั้นตอนวัดผลหลังนาออกสู่ตลาด (Post-launch review)
31
Develop a New
strategy 2
Service Strategy
2 Idea generation 3 Idea generation 2 Idea generation
3 Idea screening 3 Idea screening
4 Concept development Concept Development
4
5 Concept testing and Evaluation
Business
6 Business analysis 5 Business Analysis 4
Analysis
Formation of
7 Project authorization 5 cross-functional
team
DESIGN
8 Commercialization 10
15 Post-launch review on
33
- สร้างแบบจาลองบริ การแนะนา
Test marketing
งานตามวิถีชีวิตผูส้ ูงอายุ
- ทดสอบบริ การด้วยวิธีการทดสอบ
การใช้งาน (Usability Test:Test
UX)
37
ผูส้ ูงอายุ
- ทดสอบการยอมรับเทคโนโลยี
Post-launch review และการรับรูถ้ ึงแนวโน้มคุณภาพ
ชีวิตที่ดีข้ นึ
- ทดสอบการยอมรับนวัตกรรม
- วางแผนการใช้ประโยชน์
นวัตกรรมบริ การแนะนางานตาม
วิถีชีวิตในเชิงพาณิชย์
• เว็ป ไซต์ JOBSDB.COM โดยบริ ษทั จัดหางาน จ๊อ บส์ ดี บี (ประเทศไทย) จากัด
(https://th.jobsdb.com/th/th) (ภาพที่ 8)
1. การส ารวจและวิ เคราะห์ ข้อ มู ล (Explore Data Analysis: EDA) Hasan et al. (2019)
ระบุว่า ก่อนทาการเรี ยนรู้ของเครื่ องจักร ข้อ มูลจาเป็ นจะต้องถูกสารวจและวิเคราะห์
ก่อ นเสมอ ขั้นตอนนี้ ได้แก่ การเก็บข้อ มูล มาทาการสารวจและวิเคราะห์ข้อมูลด้วย
ค่าสถิติพรรณา
2. การเตรี ยมข้อ มู ล (Data Processing) ข้อ มู ล จะถู ก แปลงเป็ นตัว เลข (Coding) ข้อ มู ล
ทั้งหมด (Data Set) ต้อ งแบ่งเป็ น 2 ส่ วน ตามสัดส่ วนที่กาหนด ส่ วนใหญ่ กาหนดที่
80:20 ได้แก่ ข้อ มูล เรี ยนรู้ (Training Set) แบ่งสัดส่ วนร้ อ ยละ 80 ของข้อ มูลทั้งหมด
และข้อมูลทดสอบ (Testing Set) แบ่งสัดส่ วนร้อยละ 20 ของข้อมูลทั้งหมด ข้อมูลทั้ง
สองส่ วนถูกไปใช้ในการสร้างแบบจาลอง ข้อมูลเรี ยนรู้ (Training Set) ถูกใช้เพื่อสร้าง
ฝึ ก (Train) อัลกอริ ทึม ของตัวแบบ (Model Algorithm) ส่ วนข้อ มูลทดสอบ (Testing
Set) ถูกใช้เพื่อทดสอบ (Test) ตัวแบบ (Model) ในขั้นตอนประเมินแบบจาลองต่อไป
(Hasan et al., 2019)
45
3. การสร้างแบบจาลอง (Modelling)
การวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติคเป็ นเทคนิคการจาแนกประเภทข้อมูล (Classification) ใน
การวิเคราะห์ขอ้ มูลตัวแปรตามที่มีการวัดเป็ น Nominal Scale
การวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ
- ตัวแปรตามที่มีการวัดเป็ น Nominal Scale และแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม เรี ยกว่า การวิเคราะห์
การถดถอยโลจิสติกแบบไบนารี (Binary logistic regression analysis)
- ตัวแปรตามที่มีการวัดเป็ น Nominal Scale และแบ่งออกได้มากกว่า 2 กลุ่ม เรี ยกว่า การ
วิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกพหุกลุ่ม (Multinomial logistic regression analysis)
ส ม ก า ร Logistic Regression (Peduzzi, Concato, Kemper, Holford, & Feinstein, 1996)
คานวณจากอัตราส่วนความน่าจะเป็ น ดังนี้
P (y = 1) = eb0 + b1x1 +...+ bpXp
1 + eb0 + b1x1 +...+ bpXp
โดย P (y = 1) = ความน่าจะเป็ นของการเกิดเหตุการณ์ที่สนใจ
สาหรับ งานวิ จัยนี้ จะใช้ก ารวิเคราะห์ การถดถอยโลจิ สติ คแบบไบนารี (Binary Logistic
Regression Analysis) การวิ เคราะห์ มี เป้ าหมายเพื่ อ ท านายโอกาสที่ จะเกิ ดเหตุ การณ์ ที่ สนใจจาก
สมการถดถอยโลจิสติคที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจากชุดตัวแปรทานาย การวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก
แบบไบนารี คื อการวิเคราะห์ ก ารถดถอยที่ตัวแปรตามมี 2 ค่า คือ ไม่เกิ ดเหตุการณ์ (y = 0 หรื อ
Negative: N) หรื อเกิดเหตุการณ์ (y = 1 หรื อ Positive: P) (Kumar Ahuja, 2015; Vuk & Curk, 2006)
เมทริ ก ซ์ ค วามสั บ สน (Confusion Matrix) ดังตารางที่ 8 คื อ ตารางแสดงผลการจาแนก
ประเภทข้อมูล ซึ่งจะแสดงค่าไม่เกิดเหตุการณ์ (y = 0 หรื อ Negative: N) และค่าเกิดเหตุการณ์ (y = 1
หรื อ Positive: P)
ตารางที่ 8 เมทริ กซ์ ความสับสน (Confusion Matrix) (Vuk & Curk, 2006)
เหตุการณ์ทานาย (Predicted)
ไม่เกิดเหตุการณ์ เกิดเหตุการณ์
(Negative: N) (Positive: P)
เหตุการณ์จริ ง เกิดเหตุการณ์ (Positive: P) FN TP
(True) ไม่เกิดเหตุการณ์ (Negative: N) TN FP
46
จากนั้ น จึ ง วัด ประสิ ท ธิ ภ าพของแบบจ าลองจ าแนกข้อ มู ล ด้ว ยสถิ ติ ต่ างๆ ค่ า สถิ ติ ว ัด
ประสิ ทธิภาพของแบบจาลอง (Statistical Metrics) ที่ถูกนิยมใช้มากที่สุด ได้แก่ ค่าความถูกต้องของ
แบบจาลอง (Accuracy) ค่าความแม่นยาของแบบจาลอง (Precision) ค่าความระลึกของแบบจาลอง
(Recall) และค่ า ความเหวี่ ย งของแบบจ าลอง (F-Score) (Villmann, Kaden, Lange, Stürmer, &
Hermann, 2014) มีสูตรการคานวณตามภาพที่ 14 ทั้งนี้ ค่าความแม่นยาของแบบจาลอง (Precision)
แสดงให้เห็ นว่าจากผลการทานายเหตุการณ์ที่เกิด (Positive) แบบจาลองสามารถทานายได้ถูกต้อง
อย่างไร ค่าความระลึกของแบบจาลอง (Recall) เป็ นค่าที่สามารถตอบสนองไวต่อการจาแนกข้อมูล
ที่ทานายเหตุการณ์ที่เกิด(Positive) ในขณะที่ค่าความเหวี่ยงของแบบจาลอง (F-Score) เป็ นค่าที่นิยม
ใช้อย่างแพร่ หลายที่สุดในการวัดประสิ ทธิภาพการทานายของแบบจาลองการจาแนกข้อมูล แบบไบ
นารี (Binary Classification Model) เนื่ องจากค่าความเหวี่ยงของแบบจาลอง (F-Score) เป็ นค่าเฉลี่ย
ระหว่างค่าความแม่นยาของแบบจาลอง (Precision) และค่าความระลึกของแบบจาลอง (Recall)
2.8 กระบวนการแนวคิดในการดาเนินงานวิจัย
จากการทบทวนวรรณกรรม สามารถสรุ ปกระบวนการแนวคิดในการดาเนิ นงานวิจยั เรื่ อง
ตัวแบบนวัตกรรมบริ การเพื่อคุณภาพชีวิตผูส้ ู งอายุ โดยอาศัยกรณี ศึกษาบริ การแนะนางานตามวิถี
ชีวิตผูส้ ูงอายุ ได้ดงั ภาพที่ 15 นี้
48