Professional Documents
Culture Documents
แกะเทป haemodynamics
แกะเทป haemodynamics
จากรูป เปนการทดลองงายๆจากสมการ จุด X มันมี cross sectional area มันเล็ก velocity มันก็จะเร็ว แตถาจุด Y
cross sectional area มันใหญ velocity มันก็จะชา ก็จะบอกไดวา velocity มันจะเพิ่มขึ้น ถาหลอดเลือดมันแคบ
แตเนื่องจากวา เวลาเราคิด velocity ผาน capillary bed อยาสับสนนะ เพราะเวลาเราคิด cross sectional area ของ
หลอดเลือดแตละชนิด เราจะคิดเปน total cross sectional area (เอา capillary ในรางกาย มาเรียงตอกัน จะไดประมาณ
เทาสนามฟุตบอล) เพราะฉะนั้น พื้นทีม่ ันเยอะมาก อันนี้เปนสิ่งมหัศจรรยของรางกายเรา เลือดมันจะไหลเร็วตรงนี้ไมได เพราะเวลาเลือด
วิ่งไปถึง tissue ที่จะเอา O2 เอาอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ มันก็ไมทันไดเอามาใชสิ ∴ เมื่อมันไหลถึง capillary มันจะตองไหลชา
มาก แมกระทั้ง เสนผานศูนยกลางของ capillary มันยังเล็กกวา เสนผานศูนยกลางของ Red blood cell เลย เพือ่ ใหมันลอดเล็ด
ไป ทีละเม็ด ๆ แลวก็ถาย O2 กับอาหารไปให อันนี้ฝงหลอดเลือดแดง พอฝงหลอดเลือดดํา venous มันก็ดูดกลับ CO2 กับ
waste product
สรุป ... เวลาเราคิด cross sectional area เราตองคิดแบบ total ของหลอดเลือดชนิดนั้นๆ
เอามา plot หาความสัมพันธ จะไดดงั กราฟ จะเห็นวา จาก aorta มาจนถึง capillary (อยูต รงกลาง) แลวก็มาระบบของหลอดเลือด
ดํา ดู aorta เห็นมั้ยวา velocity มันสูงสุด มันทอใหญก็จริง แตมันสั้น เพราะฉะนั้น area มันก็ไมเยอะ
ดู Artery ตรง ความเร็วมันคอยๆ ลดลง pressure มันจะคอยๆลดลง พื้นที่มันคอยๆเพิ่มขึ้น จนกระทั่งมาถึง arteriole มีการ
change อยางมาก ดูกราฟความเร็วมันจะ ไมคอยเปลีย่ นแปลง แตตรงพื้นที่ จะเห็นวามันมี variation เยอะ เจาตัวนี้แหละ ที่ ΔP
มันสูงมากๆ แลวพอมาถึงตรง capillary เนี่ย พื้นที่มันจะสูงสุด เพราะงั้น ความเร็วมันก็ชามากเลย (เกือบ 0) แตมันก็ไหลอยูนะ -*-
พอมาถึง venule ก็เริ่ม กลับลงมา จะเห็นวา pressure ฝงหลอดเลือดดํา มันนอยกวาหลอดเลือดแดงอยางมาก เพราะวา ฝงหลอด
เลือดแดงเนี่ย มันเปนสวนของ systemic circulation ที่จะตอง สงผานเลือด ไปยังอวัยวะตางๆ
และยังตองมีการ ตานแรงโนมถวงอีก (เวลาเรานั่ง ยืน เดิน ในชีวิตประจําวันอะ) เลยตองมี pressure สูง เพื่อไลเลือดลงไปสวนลาง
หรือขึ้นมาสวนบนๆ ได สวนหลอดเลือดดํานะหรอ เปนแคจุดที่รับเลือดกลับเขาสูหัวใจเอง แถมหลอดเลือดดํา มันยังมีลิ้น คอยรีดๆๆ
เลือด กลับขึ้นไปหัวใจอีกตางหาก pressure มันเลยไมจําเปนตองสูง ก็ไปเรื่อยๆๆ จนถึงทอใหญสุด คือ vena cava ซึ่ง
pressure จะสูงสุดที่ vana cava แตอยางไรก็ตาม ก็ยังนอยกวา ระดับของ aorta อยูป ระมาณ 1 ใน 3 (aorta ประมาณ
93-100) สรุป...อัตราการไหลต่ําสุด >>> capillary
อัตราการไหลที่เร็วๆ>>> aorta
จากรูปก็คือ flow มันขึ้นกับ ΔP ไมใช absolute P ซึ่งปกติ เราจะปรับ flow ใหมัน equal ไมวาจะเขาหรือออก
(ดูจากรูปอะ มัน 25 mmHg เทากัน)
สวนความตานทาน (resistance) นี่ตัวสําคัญเลย มันจะแปรไปตามทอของหลอดเลือด ทอเล็กก็จะความตานทานสูง
เพระาวา resistance มันแปรผกผันกับ รัศมี(radius) กําลัง 4 จากรูป resistance B มันมากกวา A 2 เทา flow มันก็
ตางกัน 16 เทาเลย ตรงนี้ มักเปนขอสอบ NL อยูเรื่อยๆ เชน คนนี้ๆ ออกกําลังกาย หลอดเลือดขยาย 2 เทา ไรงี้ flow จะเปนยังไง ?
ก็ flow เพิ่มขึ้น 16 เทา
สรุป... R α r -4
Q α R -1
พอเอามา plot หา resistance ของแตละ หลอดเลือด .... ทําไมเราตองเอา หลอดเลือดแดง ? ก็เพราะวา หลอดเลือดแดงมันมี
variety มากๆเลย ตั้งแตขนาดใหญที่สุด ก็คือ aorta , small artery , arteriole จะเห็นวา ΔP สูงสุดตรง arteriole
เพราะฉะนั้น หลอดเลือดที่คุม resistance การไหลของเลือดของเรา ก็คือ arteriole นั่นเอง เชน คนทีค่ วามดันเลือดสูง แตคา
cardiac output เทาเดิม มันสูงไดก็เพราะ resistance มันสูง นั่นเอง (จากกฎของโอหม ไง แลวก็ BP = CO x TPR อะ)
แลวถาหัวใจมันพยายามปมให cardiac output มันคงที่ match กับ tissue แลวความดันมันสูงไดยังไง ? ก็คือมันสูงเพราะ
resistance มันสูง ..... แลว resistance มันสูงไดยังไง ? มันนาจะสูงได เพราะ arteriole มันแคบลงมาก
สานกราฟลางก็ plot แคบอกวา R = ΔP/Q (ยายขางอะ)
สวนแบบ ขนาน(parallel) 1/Rt = 1/R1+ 1/R2 + 1/R3 + ...... ∴ Rtotal < Rindividual
Artery มันจะไหลไปตามปมของหัวใจ หัวใจมัน expand แลวมันก็ บีบ-คลาย บีบ-คลาย ตาม electrical activity ที่ขน
สงไปใหกับ ventricle เวลาซายบีบ ขวาก็บีบนะ โดยซายบีบไป systemic ขวาบีบไป pulmonary เพราะฉะนั้น blood
flow เนี่ย มันไหลเปนแบบ pulsatile manner ตาม cardiac cycle เวลา systole มันก็ ปบบบ ออกไป พุงออกไปที่
root ของ aorta แลวมันมีการขับเคลื่อนแรงขึ้น เมื่อมันเจอกับ aortic arch พอมัน ปบบบ ขึ้นไปนะ มันก็มีแรงขับเคลื่อนขนสง
ลงไปอีก จากที่มันหัก งอลง หลอดเลือด aorta ปกติมันกลมๆ มันก็ปองขึ้นมาเหมือนไสกรอกเลย เสร็จแลว มันจะไหลไปตอทวม
ตําแหนงถัดไปได ตรงนี้มันตองมี recoil แลวก็ไลเปนลูกคลื่น ตามการบีบ-คลายของหัวใจ เลยเกิดเปน pulsatile flow
ถาเราจับชีพจรได กับหลอดเลือดแดง ที่ตรง surface area ของเรา นั่นคือ หลอดเลือดที่มนั ขนาดใหญพอ ไดรับอิทธิพลแรง
ขับเคลื่อนจากหัวใจ เราเลยไดเปน pulse ขึ้นมาตาม cardiac cycle ฉะนั้น เวลาเราจับชีพจร ก็เหมือนเรานับ heart rate ได
จากรูป ปกติเลือดเราจะไหลแบบ laminar flow ไมเกิดเสียง แตถาเมือ่ ไร ที่ไหลแบบ turbulent flow มันจะเกิดเสียงขึน้ มา
คือมันจะไหลแบบปนปวน หรือไหลพลาน นึกถึงเวลาเรา vortex สารละลาย (ใน biochem) มันจะไหลแบบนั้นอะ เสียงทีเ่ กิดขึ้นก็
คือเสียงกระทบกระทั่งระหวางเม็ดเลือดดวยกันเอง แลวก็ที่มันกระทบกับผนัง ถามวา ใน normal physiologic condition
- โปรแกรมหนา วิญญาณอาฆาต รอบสุดทาย คืน Halloween มีเพื่อนๆเรา(sec 2) ใสชุดนศ.ไปดูดวย (ไดขาววาเรียน Lab gross นะ)
- พุธที่ 5 พ.ย. นี้ อยาลืมไปดูนองป 1 presentation กันนา นองรหัสใครจะไดเกิดงานนีก้ ันมั่ง หุหุ
- มีราน PB books มาตั้งในงานมหกรรมหนังสือ ที่ complex ถึงวันที่ 10 พ.ย. นี้ เทานานน (มาอีกทีก็ชวง summer)
เนี่ย เราจะเจอเลือดไหลแบบ turbulent flow ไดมั้ย ? ...... ไดนะ ตรง aortic arch นึกถึง มันวิ่งแลวกระแทกผนังตรงนั้น
เปนจุดเสียงอันตรายของหลอดเลือดโปงพอง (incident ตรงนี้อะสูงที่สดุ )
ถาเราจะหา TPR ของ systemic circulation เราตองหาทั้งจุดออกไป (aorta) แลวจุดกลับ (right atrium) ได
คาประมาณ เปน 100 mmHg ..... แลวอัตราการไหลของเลือดที่ออกไปจากหัวใจ ก็ประมาณ 100 ml/sec TPR ก็เทากับ
100/100 เทากับ 1 PRU
เมื่อเกิด vasodilation , TPR จะลดลง เพราะวาหลอดเลือดมันขยาย resistance มันจะลดลง (นอยกวา 1)
แตถา vasoconstriction , TPR จะเพิ่มขึ้น เพราะวาเลือดมันหดตัว (มากกวา 1) ที่เห็นตัวเลข 0.2 กับ 4 ใน slide มัน
เปนคาประมาณ (ใหเทียบจาก 1 เอา วาลดลง หรือ เพิ่มขึ้น)
คราวนี้มาดูของ pulmonary circulation เลือดไหลจาก right หรือ left ventricle เวลาบีบ มันบีบเหมือนกัน
output เหมือนกัน เพราะงั้น flow มันก็ประมาณ 100 ml/sec ..... ของ pulmonary circulation เนี่ย จุดออกคือ
right pulmonary , จุดเขาคือ left atrium เพราะงั้น pressure ตรงนั้น ประมาณ 16 กะ 2 ลบกันคือ 14
หนังสือแตละเลมก็ไมเทากัน ดังนั้น Total pulmonary resistance(TPR – แตคนละ TPR กับอันกอนนะ)
จะประมาณ 0.14 PRU
คือ ทาง systemic circulation จะเรียก วา Total peripheral resistance
- พี่ราน 25th copy ถาม .... เพิ่งเปดเทอมไมใชหรอนอง ทําไมแกะเทปออกเร็วจัง แปววว > <
- อาววว ที่หมดแลว -_-” ขอใหมีความสุขกับลอยกระทงปนี้ทุกคนเดอ !!
แตทาง pulmonary circulation จะเรียกวา Total pulmonary resistance
ตัวยอ เหมือนกัน คือ TPR นั่นแหละ แตเวลาที่เราวัดความดัน 120/ 80 ไรงี้ หมายถึง TPR ตรง systemic circulation นะ
Law of Laplace
เปน wall tension คือการหาความตึงของผนังหลอดเลือด เทากับ trasmural pressure คูณดวย radius
T = PtR
Pt = trasmural pressure ก็คือ internal pressure + external pressure ที่กระทําตอผนังหลอดเลือด
R = radius(รัศมี)
เพราะฉะนั้น wall tension จะมากขึ้น ถาหากวา Pt เพิ่มขึ้น ผนังหลอดเลือดมีชนาดใหญขึ้น (มี pressure มากขึ้น)