You are on page 1of 5

บันทึก (ไม) ลับ ของอุบาสกนิรนาม

อุบาสกนิรนาม (ปจจุบันคือ หลวงพอปราโมทย ปาโมชฺโช)

ผมลังเลใจอยูน านที่จะเลาถึงการปฏิบัติธรรมของตนเอง เพราะมันเปนเพียงเรื่องเล็กๆ


นอยๆ ซึ่งถาใครตั้งใจปฏิบัติก็ทํากันได แตดวยความเคารพในคําสั่งของครูบาอาจารยรูปหนึ่งคือ
หลวงพอพุธ ฐานิโย แหงวัดปาสาลวัน ที่ทานสั่งใหเขียนเรื่องนี้ออกเผยแพร ผมจึงตองปฏิบัติตาม
โดยเขียนเรื่องนี้ใหทานอาน

ผมเปนคนวาสนานอย ไมเคยรูเรื่องพระธุดงคกรรมฐานอยางจริงจังมากอน จนแทบจะละ


ทิ้งพระพุทธศาสนาไปแลว เพราะเกิดตื่นเตนกับลัทธิวัตถุนิยม แตแลววันหนึ่ง ผมไดพบขอธรรม
สั้นๆ บทหนึ่งของหลวงปูดลู ย อตุโล แหงวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร มีสาระสําคัญวา

"จิตสงออกนอกคือสมุทัย มีผลเปนทุกข จิตเห็นจิตอยางแจมแจงเปนมรรค มีผลเปนนิโรธ"

ผมเกิดความซาบซึ้งจับจิตจับใจ และเห็นจริงตามวา ถาจิตไมออกไปรับความทุกขแลว ใคร


กันละที่จะเปนผูทุกข จิตใจของผมมันยอมรับนับถือหลวงปูดูลยเปนครูบาอาจารยตั้งแตนั้น

ตอมาในตนป พ.ศ. 2525 ผมมีโอกาสดนดัน้ ไปนมัสการ หลวงปูดูลยทจี่ ังหวัดสุรินทร เมื่อ


ไปถึงวัดของทานแลว เกิดความรูสึกกลัวเกรงเปนที่สุด เพราะทานเปนพระเถระผูใหญและไมเคย
รูจักอัธยาศัยของทานมากอน ประกอบกับผมไมคุนเคยที่จะพบปะพูดจากับพระผูใ หญมากอนดวย
จึงรีรออยูหางๆ นอกกุฏิของทาน

ขณะที่รีรออยูค รูหนึ่งนั้น หลวงปูดูลยเดินออกมาจากกุฏขิ องทาน มาชะโงกมองดูผม ผมจึง


รวบรวมความกลาเขาไปกราบทาน ซึ่งถอยกลับไปนั่งเกาอี้โยกที่หนาประตูกุฏิ แลวเรียนทานวา
"ผมอยากภาวนาครับหลวงปู"

หลวงปูหลับตานิ่งเงียบไปเกือบครึ่งชั่วโมง พอลืมตาทานก็แสดงธรรมทันทีวา การภาวนา


นั้นไมยาก แตมันก็ยากสําหรับผูไมภาวนา ขั้นแรกใหภาวนา "พุทโธ" จนจิตวูบลงไป แลวตามดูจิต
ผูรูไป จะรูอริยสัจจ 4 เอง (หลวงปูทานสอนศิษยแตละคนดวยวิธีทแี่ ตกตางกันตามจริตนิสัย นับวา
ทานมีอนุสาสนีปาฏิหารยอยางสูง) แลวทานถามวาเขาใจไหม ก็กราบเรียนวาเขาใจ ทานก็บอกให
กลับไปทําเอา
พอขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพเกิดเฉลียวใจขึ้นวา ทานใหเราดูจิตนัน้ จะดูอยางไร จิตมันเปน
อยางไร อยูที่ไหนและจะเอาอะไรไปดู ตอนนั้นชักจะกลุมใจไมทราบวาจะทําอยางไร ก็ภาวนา
พุทโธไปเรื่อยๆ จนจิตสงบลงแลวพิจารณาวาจิตจะตองอยูในกายนี้แน หากแยกแยะเขาไปในขันธ 5
ถึงอยางไรก็ตอ งเจอจิต จึงพิจารณาเขาไปที่รูปวาไมใชจติ รูปก็แยกออกเปนสิ่งที่ถูกรูเ ทานั้น หันมา
มองเวทนาแลวแยกออกเปนอีกสวนหนึ่ง ตัวสัญญาก็แยกเปนอีกสวนหนึ่ง จากนั้นมาแยกตัวสังขาร
คือความคิดนึกปรุงแตง โดยนึกถึงบทสวดมนต เห็นความคิดบทสวดมนตผุดขึ้น และเปนสิ่งที่ถูกรู
ถึงตอนนี้ก็เลยจับเอาตัวจิตผูร ูขึ้นมาได

หลังจากนั้น ผมไดตามดูจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถรูวาขณะนั้นเกิดกิเลสขึ้นกับจิตหรือไม ถา


เกิดขึ้นและรูทัน กิเลสมันก็ดับไปเอง เหลือแตจิตผูรู ซึง่ รูค วามรูสึกนึกคิดปรุงแตงไปเรื่อยๆ อยาง
เปนอิสระจากกิเลสและอารมณตางๆ ตอมาภายหลังผมไดหาหนังสือธรรมะมาอาน จึงรูวาในทาง
ปริยัติธรรมจัดเปนการจําแนกรูปนาม จัดเปนการเจริญวิปสสนาแลว แตในเวลาปฏิบัตินั้น จิตไมได
กังวลสนใจวาเปนวิปสสนาญาณขั้นใด

ปฏิบัติอยู 3 เดือน จึงไปรายงานผลกับหลวงปูดูลยวา "ผมหาจิตเจอแลว จะตองปฏิบตั ิ


อยางไรตอไป"

คราวนี้ปรากฏวาทานแสดงธรรมอันลึกซึ้งมากมาย เกี่ยวกับการถอดถอนทําลายอุปาทาน
ในขันธ 5 ทานสอนถึงกําเนิดและการทํางานของจิตวิญญาณ จนถึงการเจริญอริยมรรค จนมีญาณ
เห็นจิตเหมือนมีตาเห็นรูป

ทานสอนอีกวา เมื่อเราดูจิต คือตามรูจิตเรือ่ ยๆ ไปนัน้ สิ่งปรุงแตงจะดับไปตามลําดับ จนถึง


ความวาง แตในความวางนั้นยังไมวา งจริง มันมีสิ่งละเอียดเหลืออยูคือ วิญญาณ ใหตามรูจิตเรื่อยๆ
ไป ความยึดในวิญญาณจะถูกทําลายออกไปอีก แลวจิตจริงแทหรือพุทธะ (หลวงปูเทสกเรียกวาใจ)
จึงปรากฎออกมา

คําสอนครั้งนี้ลึกซึ้งกวางขวางเหมือนฝนตกทั่วฟา แตภูมปิ ญญาของผมมีจํากัด จึงรองน้ําฝน


ไวไดเพียงถวยเดียว คือไดเรียนถามทานมา "ที่หลวงปูสอนมาทั้งหมดนี้ หากผมจะปฏิบัติดวยการดู
จิตไปเรื่อยๆจะพอไหม"
หลวงปูดูลยตอบวา "การปฏิบัติก็มีอยูเทานั้นแหละ แมจะพิจารณากายหรือกําหนดนิมิต
หมายใดๆ ก็เพือ่ ใหถึงจิตถึงใจตนเองเทานัน้ นอกจากจิตแลวไมมีสิ่งใดอีก พระธรรม 84,000 พระ
ธรรมขันธก็รวมลงที่จิตตัวเดียวนี้เอง”

หลังจากนัน้ ผมก็เพียรดูจิตเรือ่ ยๆ มา มีสติเมื่อใดดูเมื่อนั้นขาดสติแลวก็แลวกันไป นึกขึน้ ได


ก็ดูใหม เวลาทํางานก็ทําไป พอเหนื่อยหรือเครียดก็ยอนดูจิต เลิกงานแลวแมมีเวลาเล็กนอยก็ดูจิต ดู
อยูนั่นแหละ ไมนานก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอยางไมนาจะเปนไปได

วันหนึ่งของอีก 4 เดือนตอมา ขณะนัน้ เปนเวลาเย็นปลายเดือนกันยายน 2525 ไดเกิดพายุพัด


หนัก ผมออกจากที่ทํางานเปยกฝนไปทั้งตัวและไดเขาไปหลบฝนอยูในกุฏิพระหลังหนึ่งในวัดใกลๆ
ที่ทํางาน ไดนงั่ กอดเขากับพืน้ หองเพราะไมกลานั่งตามสบายเนื่องจากตัวเราเปยกมากกลัวกุฏิพระ
จะเลอะมาก พอนั่งลงก็เกิดเปนหวงรางกายวา รางกายเราไมแข็งแรง คราวนี้คงไมสบายแน

สักครูก็ตัดใจวา ถาจะปวยมันก็ตองปวย นีก่ ายยังไมทันปวยใจกลับปวยเสียกอนแลวดวย


ความกังวล พอรูตัววาจิตกังวลผมก็ดูจิตทันทีเพราะเคยฝกดูจนเปนนิสัยแลว

ขณะนัน้ นั่งกอดเขาลืมตาอยูแ ทๆ แตประสาทสัมผัสทางกายดับหายไปหมด โลกทั้งโลก


เสียงฝน เสียงพายุหายไปหมด เหลือแตสติที่ละเอียดออนประคองรูอยูเ ทานั้น (ไมรูวา รูอะไร เพราะ
ไมมีสัญญา) ตอมามันมีสิ่งละเอียดๆ ผานมาสูความรับรูของจิตเปนระยะๆ แตไมรูวา สิ่งนั้นคืออะไร
เพราะจิตไมมคี วามสําคัญมั่นหมายใดๆ

ตอมาจิตมีอาการไหวดับวูบลง สิ่งที่ผานมาใหรูดับไปหมดแลว แลวก็รูชัดเหมือนตาเห็นวา


ความวางที่เหลืออยูนั้น ถูกแหวกพรวดอยางรวดเร็วและนุมนวลออกไปอีก กลายเปนความวางที่
บริสุทธิ์หมดจดอยางแทจริง

ในความวางนัน้ จิตซึ่งเปนอิสระแลวไดอุทานขึ้นวา "เอะ จิตไมใชเรานี"่

จากนั้นจิตไดมีอาการปติยินดี ยิ้มแยมแจมใสขึ้น พรอมๆ กับเกิดแสงสวางโพลงขึ้นรอบ


ทิศทาง จากนัน้ จิตจึงรวมสงบลงอีกครั้งหนึ่ง แลวถอนออกจากสมาธิ เมื่อความรับรูตางๆ กลับมาสู
ตัวแลว ถึงกับอุทานในใจ (จิตไมไดอุทานอยางทีแรก) วา "ออ ธรรมะเปนอยางนี้เอง เมื่อจิตไมใชตวั
เราเสียแลว สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไมเปนตัวเราอีกตอไป"
เมื่อผมไปกราบหลวงปูดูลย และเลาเรื่องนีใ้ หทานทราบ พอเลาวาสติละเอียดเหมือนเคลิ้มๆ
ไป ทานก็อธิบายวา จิตผานฌานทั้ง 8

ผมไดแยงทานตามประสาคนโงวา ผมไมไดหัดเขาฌาน และไมไดตั้งใจจะเขาฌานดวย

หลวงปูดูลยอธิบายวา ถาตั้งใจก็ไมใชฌาน และขณะที่จิตผานฌานอยางรวดเร็วนั้น จิตจะ


ไมมานัง่ นับวากําลังผานฌานอะไรอยู การดูจิตนั้นจะไดฌานโดยอัตโนมัติ (หลวงปูไมชอบสอน
เรื่องฌาน เพราะเห็นเปนของธรรมดาที่จะตองผานไปเอง หากสอนเรื่องนี้ ศิษยจะมัวสนใจฌานทํา
ใหเสียเวลาปฏิบัติ)

พอผมเลาวาจิตอุทานไดเอง หลวงปูก็บอกอาการตางๆ ที่ผมยังเลาไมถึงออกมาตรงกับที่ผม


ผานมาแลวทุกอยาง แลวทานก็สรุปยิ้มๆ วา จิตยิ้มแลว พึ่งตัวเองไดแลว ถึงพระรัตนตรัยแลว
ตอไปนี้ไมจําเปนตองมาหาอาตมาอีก

แลวทานแสดงธรรมเรื่อง จิตเหนือเหตุ หรือ อเหตุกจิต ใหฟงมีใจความวา


อเหตุกจิต มี 3 ประการคือ
1. ปญจทวารวัชนจิต ไดแกความไหวตัวของจิตขึ้นรับรูอารมณทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย
2. มโนทวารวัชนจิต ไดแกความไหวตัวของใจขึ้นรับรูอารมณทางใจ
3. หสิตุปปาท หรือจิตยิ้ม เปนการแสดงความเบิกบานของจิตที่ปราศจากอารมณปรุงแตง
เพื่อแสดงความมีอยูของจิตซึ่งไมมีตัวตนใหปรากฏออกมาสูความรับรู
อเหตุกจิต 2 อยางแรกเปนของสาธารณะ มีทั้งในปุถุชนและพระอริยเจา แตจิตยิ้มเปน
โลกุตรจิต เปนจิตสูงสุด เกิดขึ้นเพียง 3 - 4 ครั้งก็ถึงที่สุดแหงทุกข

หลังจากนัน้ ผมก็ปฏิบัติดวยการดูจิตเรื่อยมา และเห็นวาเวลามีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น


และกาย จะมีคลื่นวิ่งเขาสูใจ หรือบางครั้งก็มีธรรมารมณเปนคลื่นเขาสูใจ หากขณะนั้นขาดสติ จิต
จะสงกระแสไปยึดอารมณนนั้ ตอนนั้นจิตยังไมละเอียดพอ ผมเขาใจวาจิตวิ่งไปยึดอารมณแลว
ขยับๆ ตัวเสวยอารมณอยูจ ึงไปเรียนใหหลวงปูดูลยทราบ

ทานกลับตอบวา จิตจริงแทไมมีการไป ไมมีการมา

ผมไดมาดูจิตตออีกสักครึ่งปตอมา วันหนึ่งจิตผานเขาสูอัปปนาสมาธิและเดินวิปสสนาคือมี
สิ่งใหรูผานมาสูจิต แตจิตไมมีความสําคัญมั่นหมายวาคือสิ่งใด จากนั้นเกิดอาการแยกความวางขึ้น
แบบเดียวกับเมื่อจิตยิ้ม คราวนี้จิตพูดขึ้นเบาๆ วา จิตไมใชเรา แตตอจากนั้นแทนที่จิตจะยิ้ม จิตกลับ
พลิกไปสูภูมิของสมถะ ปรากฏนิมิตเปนเหมือนดวงอาทิตยโผลผุดขึ้นจากสิ่งหอหุม แตโผลไมหมด
ดวง เปนสิ่งแสดงใหรูวายังไมถึงที่สุดของการปฏิบัติ

ปรากฏการณนี้เปนเครื่องพิสูจนวา การดําเนินของจิตในขั้นวิปสสนานัน้ หากสติออนลง จิต


จะวกกลับมาสูภูมิของสมถะ และวิปสสนูปกิเลสจะแทรกเขามา ตรงนี้ถาไมกําหนดรูใหชัดเจนวา
วิปสสนาพลิกกลับเปนสมถะไปแลว นักปฏิบัติจึงตองระวังใหมาก โดยเฉพาะผูที่ยังไมเคยพบกับจิต
ยิ้ม (สํานวนของหลวงปูดูลย) หรือใจ (สํานวนของหลวงปูเทสก) หรือจิตรวมใหญ (สํานวนของ
ทานอาจารยสงิ ห)

เมื่อผมนําเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปูดูลย ทานก็วา ดีแลว ใหดูจิตตอไป

ผมก็ทําเรื่อยๆ มา สวนมากเปนการดูจิตในชีวิตประจําวัน ไมคอยไดนงั่ สมาธิแบบเปนพิธี


การ ตอมาอีก 1 เดือน วันหนึง่ ขณะนั่งสนทนาธรรมอยูกับนองชาย จิตเกิดรวมวูบลงไป มีการแยก
ความวางซึ่งมีขันธละเอียด (วิญญาณขันธ) ออกอีกทีหนึ่ง แลวจิตก็หวั เราะออกมาเองโดยปราศจาก
อารมณ (รางกายไมไดหวั เราะ) มันเปนการหัวเราะเยาะกิเลสวา มันผูกมัดมานาน ตอๆ ไป จิตจะเปน
อิสระยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

เหตุการณนี้ทําใหไดความรูช ดั วา ทําไมเมื่อครั้งพุทธกาล จึงมีผูรูธรรมในขณะฟงธรรม


เกิดขึ้นไดเปนจํานวนมาก

ผมนําเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปูดูลย คราวนี้ทานไมไดสอนอะไรอีก เพียงแตใหกําลังใจวา


ใหพยายามทําใหจบเสียแตในชาตินี้ หลังจากนั้นไมนานทานก็มรณภาพ

หลวงพอพุธ ฐานิโย ซึ่งเปนครูบาอาจารยอีกรูปหนึ่ง เคยสั่งใหผมเขียนเรื่องการปฏิบัติของ


ตนเองออกเผยแพร เพราะอาจมีผูที่มีจริตคลายๆ กันไดประโยชนบาง ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้น เพื่อ
สนองคําสั่งครูบาอาจารย และเพื่อรําลึกถึงหลวงปูดูลย อตุโล ผูเปยมดวยอนุสาสนีปาฏิหารย รวมทัง้
หวังวาจะเปนประโยชนสักเล็กนอย สําหรับทานที่กําลังแสวงหาหนทางปฏิบัติอยู

เว็บไซตที่เกี่ยวของ http://www.wimutti.net

You might also like