Professional Documents
Culture Documents
๑๐๑)
ผศ. ดร. กิตติศักดิ์ ปรกติ
๒. การตีความการแสดงเจตนา
อุทาหรณประกอบการพิจารณา
ก) ก. ทําพินัยกรรมยกที่ดินพรอมสิ่งปลูกสรางแปลงโฉนดเลขที่ ๑๐๑ ใหแก ข. หลังจาก ก.
ถึงแกความตายแลว ข. ไดรับแจงจาก บ. บุตรของ ก. วา ก. มีที่ดิน ๒ แปลงแปลงหนึ่งติดถนน คือแปลง
โฉนดเลขที่ ๑๐๑ สวนอีกแปลงหนึ่งเลขที่ ๑๑๑ ไมติดถนน และที่จริง ก. ตองการยกที่ดินแปลงเลขที่ ๑๑๑
ใหแก ข. ดังที่ปรากฏวา ก. ไดเคยกลาวแกญาติมิตรหลายคนกอนตายวาตนไดทําพินัยกรรมยกที่ดินแปลง
ไมติดถนนใหแก ข. ดังนี้ ข. จะมีสิทธิไดรับที่ดินแปลงใด
ข) ก. ตกลงจะซื้อที่ดินจาก ข. โดยไดไปดูที่ดินจนเปนที่ตกลงกันและทําสัญญาจะซื้อจะขาย
ไวเปนหนังสือ ปรากฏวาเมื่อถึงกําหนดวันโอนที่ดิน ข. ไดแจงให ก. ทราบวา โฉนดที่ดินแปลงที่ระบุใน
หนังสือสัญญาไมใชท่แี ปลงที่ไปดูและตกลงจะซื้อจะขายกัน การระบุเลขที่โฉนดเปนไปโดยสําคัญผิด จึง
ขอให ก. รับโอนที่ดินแปลงที่ไปดูกันไวซึ่งเล็กกวาแปลงที่ระบุในสัญญาครึ่งหนึ่ง ดังนี้ ก. จะมีสิทธิเรียก
ให ข. โอนที่ดินแปลงใดใหแกตน
ค) กรณีจะเปนอยางไร ถาปรากฏวา ข. ไดระบุทั้งในการเจรจา และในการทําสัญญาจะซื้อขาย
วาประสงคจะขายที่ดินแปลงเลขที่ ๑๐๑ มาโดยตลอด และปรากฏวา ก. ไดตรวจดูโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๑
และ และไดดูที่ดินแปลงดังกลาวดวย
ง) ก. กับ ข. เปนทันตแพทย เปดคลีนิคทันตกรรมอยูในหางสรรพสินคาคนละแหง ก. อยู
สาขาบางแค ข. อยูสาขารังสิต ตอมา ก. และ ข. ยายที่อยูจึงตกลงแลกสถานประกอบการกัน แตหลังจาก
นั้นเพียง ๑ เดือน ก. กลับมาเปดคลีนิคอยูในหางสรรพสินคาเดียวกันกับ ข. อีกแหงหนึ่งเปนเหตุใหคนไข
เดิมของ ก. ซึ่งโอนมาอยูกับ ข. กลับไปทําฟนกับ ก. ดังนั้น ข. จึงเกิดพิพาทกับ ก. ขึ้น โดย ข. อางวา ก. ไม
มีสิทธิเปดคลีนิคแขงขันกับตน สวน ก. ก็อางวาไมมีการตกลงหามเปดคลีนิคแขงขันระหวางกัน ดังนี้ทาน
จงวินิจฉัยสิทธิหนาที่ของคูกรณีทั้งสอง
จ) ก. ตกลงให ข. เชากิจการรานขายของชําขายบุหรี่ หนังสือพิมพ และเครื่องอุปโภคบริโภค
เล็ก ๆ นอย ๆ ของตนมีกําหนด ๕ ป ในสัญญาเชามีขอตกลงดวยวา ก. ตกลงไมเปดรานขายของชําแขงขัน
กับ ข. ในระยะรัศมี ๑๐๐ เมตรจากรานที่เชา แตตอมา ก. กลับมาตั้งแผงลอยขายบุหรี่หนังสือพิมพอยูบน
ริมถนนฝงตรงขามรานขายของชํา ดังนี้ ก. เปนฝายผิดสัญญาหรือไม
ช) ก. ขอแบงซื้อที่ดินสวนหนึ่งจาก ข. โดยทั้งสองฝายตกลงกันไวในสัญญาซื้อขายวา ก.
จะตองไมสรางอาคารโดยเจาะชองหนาตางหันหนามาทางที่ดินแปลงของ ข. ตอมา ก. ไดใหชางใชแผน
บลอกทําจากแกวโปรงแสงกอเปนกําแพงดานที่ติดกับที่ดินของ ข. เพื่อใหแสงสวางลอดไปสูอาคารของ
ตัว ดังนี้ ข. จะอางวา ก. ผิดสัญญาไดหรือไม
๒๗
ในวงวิชานิติศาสตรนั้น การตีความมีความสําคัญอยางยิ่ง ไมวาจะเปนการตีความกฎหมาย
หรือการตีความนิติกรรม การตีความนั้นยอมมีวัตถุประสงคที่จะนําเอาสิ่งที่ผูรางกฎหมาย หรือ
เจตนาที่บุคคลแสดงออก(ไดแกบทกฎหมาย หรือนิติกรรม) มาตีแผ เพื่อหาความมุงหมายที่แทจริง
นอกจากนั้น บทกฎหมายก็ดี นิติกรรมก็ดียังอาจมีชองวาง คือไมไดแสดงเจตนาหรือตกลงกันไวใน
ประเด็นที่เกิดพิพาทขัดแยงกันในภายหลัง ดังนั้น จึงอาจจําเปนตองตีความเพื่ออุดชองวางอีกดวย
ดวยเหตุนี้ เราจึงอาจแบงการตีความการแสดงเจตนาและการตีความนิติกรรมออกเปนสองประเภท
ใหญ ๆ คือการตีความตามธรรมดาอยางหนึ่ง และการตีความเพื่ออุดชองวาง อีกอยางหนึ่ง
๑. การตีความเพื่อหาความหมายตามธรรมดา
๑.๑ ความมุงหมายของการตีความ
ก) นิติกรรมเปนผลของการแสดงเจตนาที่มุงโดยตรงตอผลทางกฎหมาย โดยที่ปกติ
เมื่อบุคคลแสดงเจตนาออกมาใหปรากฏ คนทั่วไปก็ยอมเขาใจไดวาเจตนาที่แสดงออกนั้นยอม
เปนไปตามเจตนาแทจริงที่อยูภายใน แตก็มีกรณีจํานวนมากที่การแสดงเจตนาที่ปรากฏออกมา
ภายนอกหาไดตองตรงกับเจตนาที่แทจริงของผูแสดงเจตนาแตประการใด หรือตองตรงกันเพียง
บางสวนเทานั้น ดังนั้นการตีความตามธรรมดาจึงเปนการตีความการแสดงเจตนาที่แสดงออก
เพื่อใหเขาใจเจตนาที่แทจริง การที่ตองสืบหาเจตนาที่แทจริงก็เพราะกฎหมายถือวาบุคคลยอม
ผูกพันตนตามเจตนาโดยอิสระของเขาเอง ภายใตหลักเสรีภาพสวนบุคคลนั่นเอง ดังนั้นหากบุคคล
กระทําการอยางใดอยางหนี่งโดยหาไดมีเจตนาที่จะผูกพันตน เขายอมไมควรถูกบังคับใหตอง
ผูกพันตามกฎหมาย
การที่จําเปนตองมีการตีความการแสดงเจตนาก็เพราะ การแสดงเจตนานั้นอาจมีความ-
หมายไดหลายนัย (เชนคําเสนอขายสินคาโดยใชหนวยเงินฟรังก โดยมิไดระบุวาเปนฟรังกสวิส,
ฝรั่งเศส หรือเบลเยี่ยม หรือใชหนวยเงินดอลลารโดยไมไดระบุแนนอนวาเปนสิงคโปรดอลลาร
หรืออเมริกันดอลลาร เปนตน) แมในกรณีที่การแสดงเจตนานั้นปรากฏชัดเจน (เชน คําเสนอขาย
ในราคา ๘๙๐ เหรียญ ทั้ง ๆ ที่แทจริงผูขายตองการเสนอในราคา ๙๘๐ เหรียญ แตในขณะทําคํา
เสนอไดพูดผิด หรือพิมพผิดไป เปนตน) หรือในการแสดงเจตนานั้นหากปรากฏวา ผูแสดงเจตนา
เขาใจความหมายของสิ่งที่ตนแสดงออกผิดไปจากที่คนทั่วไปเขาใจ เชน เขาใจวา ลอ (สัตวลูกผสม
ระหวางลากับมา) เรียกวา ลา หรือออกเสียงผิดโดยเขาใจวา “หมา” หมายถึง “มา” ดังนี้เปนตน
ตัวอยาง คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๔๓/๒๕๒๕ โจทกเปนผูเอาประกันภัยรถยนตคันพิพาทไว
กับจําเลย แตกรมธรรมประกันภัยระบุชื่อผูเอาประกันภัยผิดพลาดไป กรณีถือไดวาจําเลยกับโจทก
๒๘
มีเจตนาอันแทจริงที่จะผูกพันตอกันในฐานะคูสัญญาประกันภัย เมื่อรถยนตที่เอาประกันไวไดรับ
ความเสียหาย โจทกยอมมีอํานาจฟองได
ข) การตีความเพื่อสืบคนเจตนาที่แทจริงนั้นตองตั้งตนจากการตีความเจตนาที่แสดง-
ออก แตจะพิจารณาเพียงเจตนาที่แสดงออกแตเพียงอยางเดียวไมได มิฉะนั้นอาจจะไมไดความจริง
โดยเฉพาะในกรณีที่ผูแสดงเจตนา ไดแสดงเจตนาออกมาโดยไมตองตรงกับเจตนาที่แทจริง เชน
พูดผิด หรือเขียนผิด ดวยเหตุนี้เอง มาตรา ๑๗๑ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยจึงไดวาง
หลักในการตีความการแสดงเจตนาไววา
“ในการตีความการแสดงเจตนานั้น ใหเพงเล็งถึงเจตนาที่แทจริงยิ่งกวาถอยคําสํานวนหรือ
ตัวอักษร”
อยางไรก็ดี การเขาถึงเจตนาที่แทจริงนี้จะเปนไปไดก็ตอเมื่อผูตีความการแสดงเจตนาได
พิเคราะหขอเท็จจริงแวดลอมประกอบดวยเทานั้น ดังนั้นในการตีความจึงตองพิเคราะหถึง ความรู
ความเขาใจทางภาษาของผูแสดงเจตนา การแสดงออกของเขาตอหนาบุคคลอื่น ๆ เอกสารที่
เกี่ยวของ เนื้อหาของการเจรจา ธรรมเนียมปฏิบัติระหวางคูกรณี และปกติประเพณีทางการคาอีก
ดวย
ตัวอยางเชน: ถาผูแสดงเจตนาเปนคนชาติฝรั่งเศส และขายสินคาที่มีแหลงกําเนิดใน
ฝรั่งเศส ดังนี้ก็อาจสรุปไดวา เมื่อเขากลาวถึงเงินฟรังก เขายอมหมายถึงฟรังกฝรั่งเศส ในกรณีมี
การบอกราคาผิดก็ตองพิเคราะหบัญชีราคาสินคาประกอบวา ผูบอกราคามุงกลาวถึงราคา ๙๘๐
เหรียญ ไมใช ๘๙๐ เหรียญ หรือหากผูซื้อตองการซื้อสัตวพาหนะสําหรับบรรทุกสัมภาระในเขต
ทุรกันดาร ดังนั้นก็สันนิษฐานไดวาเขาประสงคจะซื้อลอ ยิ่งกวาซื้อลา ดังนี้เปนตน
ผูทรงคุณวุฒิบางทานกลาววา การตีความจะจําเปนก็ตอเมื่อเจตนาที่แสดงออกมานั้น
เคลือบคลุมไมชัดเจน หรือมีขอสงสัยอาจมีความหมายไดเปนหลายนัย และการตีความการแสดง
เจตนาที่ชัดเจนแลวเปนของตองหาม ทําไมได๑ ดังนี้หากพิเคราะหใหลึกซื้งลงไปแลวจะพบวา ยัง
๑ ดู ประกอบ หุตะสิงห, นิติกรรมและสัญญา, พ.ศ. ๒๕๑๙, หนา ๖๗; และโปรดดู จําป โสตถิพันธุ, นิติ
กรรมสัญญา, พิมพครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๔๒, หนา ๑๐๙-๑๑๐ และคําพิพากษาฎีกาที่ ๒๒๑๐/๒๕๒๖ ซึ่ง
วินิจฉัยวา โจทกจําเลยทําสัญญาเชาที่ดินเปนหนังสือ เจตนาที่แทจริงของคูสัญญายอมเห็นไดจากเอกสาร
หรือหนังสือ ถาขอความในสัญญาชัดแจงยอมไมมีความจําเปนที่จะตองมีการตีความการแสดงเจตนาและจะ
นําสืบพยานบุคคลวาคูสัญญามีเจตนาอันแทจริงยิ่งกวาขอความในสัญญาหาไดไม อยางไรก็ดีตาม
ความเห็นของผูเขียนแลว แทจริงคดีนี้เปนกรณีที่นําสืบใหศาลเชื่อไมไดมากกวา นอกจากนี้ยังมีฎีกาที่ ๓๒๑
- ๓๒๒/๒๕๓๘ ซึ่งศาลวินิจฉัยวา สัญญาที่โจทกจําเลยทํากันไวมีขอความชัดแจงวาเปนสัญญาซื้อขาย จึง
ไมตองตีความ; แตผูเขียนเห็นวาแทจริงแลวในฎีกานี้ ศาลไดตีความสัญญาเรียบรอยแลววาเปนสัญญาซื้อ
๒๙
ไมถูกตองทีเดียวนัก เพราะเจตนาที่แสดงออกอยางแนนอนชัดเจนนั้นอาจแตกตางจากเจตนาที่
แทจริงก็ได หากไดพิเคราะหถึงพฤติการณแวดลอมอยางถี่ถวนแลววาผูแสดงเจตนามีเจตนาที่
แทจริงตางจากเจตนาที่แสดงออก ก็ตองถือเอาเจตนาที่แทจริงเปนหลัก๒ กรณีเจตนาลวง นิติกรรม
อําพราง และสําคัญผิดที่กฎหมายรับรองใหมีผลทางกฎหมายตางจากเจตนาที่แสดงออกได จะ
เกิดผลก็ตอเมื่อมีการตีความการแสดงเจตนาที่แสดงออกแลวพบวาเจตนาที่แสดงออกนั้น ๆ ตาง
จากเจตนาที่แทจริงนั่นเอง
ตัวอยางเชน: ข. เสนอขายเปยนโนจํานวน ๑๐๐ หลังแก ก. ในราคาหลังละ ๑๐๐,๐๐๐
บาท หากปรากฏขอเท็จจริงวาอันที่จริงคูกรณี ก. กับ ข. ไดเจรจาซื้อขายอาวุธสงครามคือปนกล
หนัก โดยใชคําวาเปยนโนในเอกสารเพื่ออําพรางความจริง ดังนี้ การแสดงเจตนาเสนอขาย
“เปยนโน ๑๐๐ หลัง” นั้น ก็ตองแปลความวาเปนการเสนอขาย “ปนกลหนักจํานวน ๑๐๐
กระบอก” ตามเจตนาที่แทจริง
หรือในกรณีที่ ก. ทําพินัยกรรมโดยระบุวาตนยก “หนังสือทั้งหมดในหองสมุด” ของตน
ใหแก ข. และในการสอบถามญาติสนิทมิตรสหายของ ก. ไดความวา อันที่จริง ก. ใชคําวา
“หองสมุด” เปนชื่อเลนสําหรับเรียกหองเก็บสะสมเหลาองุนของตัว ดังนี้ยอมตองตีความวา ก.
ประสงคจะทําพินัยกรรมยกเหลาองุนที่ตนสะสมไวในหองสะสมเหลาองุนนั้นแกผูรับพินัยกรรม
ฎีกาที่ ๑๐๔๕/๒๔๙๑ สัญญาขนสงขาวสารทางเรือระบุวา ถาของที่บรรทุกขาดจํานวน
หรือเปยกน้ํา ผูรับขนจะใชคาเสียหาย หากถูกพายุหรืออุบัติเหตุใด ๆ ตางยกเลิกสัญญานี้ทั้งสิ้น
ปรากฏวาเรือที่รับขนถูกเรืออื่นชนโดยไมใชความผิดของผูรับขน นับวาเปนอุบัติเหตุตามสัญญา
ผูรับขนไมตองรับผิด
๓๐
ค) ในการตีความนั้น สิ่งแรกที่ตองพิเคราะหก็คือ มีการแสดงเจตนาผูกพันหรือไม
ตัวอยางเชน: การที่ ก. กลาวกับ ข. วา “ตกลง” จะถือวาเปนการแสดงเจตนาไดหรือไม
จะตองพิจารณาตอไปดวยวา ข. ไดกลาวกับ ก. วาอยางไร เชนหาก ข. ถาม ก. วา จะซื้อหนังสือของ
ตนในราคา ๕๐๐ บาทหรือไม ดังนี้คํากลาวตกลงของ ก. ก็ถือไดวาเปนการแสดงเจตนาซื้อ แตถา
ข. ถาม ก. วา จะไปเที่ยวสวนสัตวดวยกันหรือไม คําตอบวาตกลงก็ไมนับเปนการแสดงเจตนาทํา
นิติกรรมผูกพัน เพราะเปนคําตอบที่เพียงแตแสดงออกซึ่งความประสงคเพื่ออัธยาศัยไมตรีในทาง
สมาคม มิไดประสงคตอผลทางกฎหมายแตประการใด
ยิ่งไปกวานั้น ในการพิเคราะหวาสัญญาเกิดขึ้นหรือไมนั้น จะตองพิจารณาเสียกอนวา การ
แสดงเจตนาของคูกรณีทั้งสองฝายมีเนื้อหาในทางเสนอสนองตองตรงกันหรือไม ดังนั้นกอนจะ
สรุปไดวาคําเสนอสนองตองตรงกันหรือไม จะตองมีการสืบคนวาเจตนาที่แทจริงของคูกรณีมีวา
อยางไรเสียกอน
ตัวอยางเชน: หากมีการทําสัญญาซื้อขายในประเทศไทย โดยตกลงกําหนดราคาซื้อขาย
เปนเงิน ๑,๐๐๐ ฟรังก ถาปรากฏวาฝายหนึ่งแสดงเจตนาโดยมุงหมายถึงฟรังกสวิส อีกฝายหนึ่งมุง
หมายถึงฟรังกฝรั่งเศส ดังนี้แมวาเจตนาที่แสดงออกจะตองตรงกันอยางชัดแจง แตเมื่อพิเคราะหถึง
เจตนาที่แทจริงก็จะพบวาคูกรณีมิไดมีเจตนาตองตรงกันเลย
นอกจากนี้ เมื่อสัญญาเกิดขึ้นแลว หรือเมื่อนิติกรรมฝายเดียวสําเร็จเปนผลขึ้นแลว ก็ยัง
ตองมีการตีความตอไป เพื่อวินิจฉัยวาผลทางกฎหมายของสัญญาหรือนิติกรรมนั้น ๆ เปนอยางไร
ตัวอยางเชน: คูกรณีในสัญญาไดใชถอยคําในสัญญาตามที่นิยมใชกันอยูทั่วไปเชน เมื่อใช
คําวา “net price” ก็หมายความวาเมื่อผูซื้อไดรับสินคา ผูซื้อผูกพันที่จะชําระราคาเปนเงินสดเต็ม
จํานวน หรือในกรณีที่ผูเชาเขียนจดหมายถึงผูใหเชาวา ตนไดหองใหมในราคาถูกกวา และจะยาย
ออกเมื่อสิ้นเดือน ดังนี้ก็ตีความไดวาผูเชาไดบอกเลิกสัญญาเชาโดยใหมีผลเมื่อสิ้นเดือน ดังนี้เปน
ตน
ฎีกาที่ ๒๐๙๘/๒๕๑๘ ตามกรมธรรมประกันภัยระบุใหความคุมครองทรัพยสินของผูเอา
ประกันภัยในกรณีที่คนรายบุกรุกเขาปลนทรัพยในสถานที่โดยใชกําลัง และวิธีการรุนแรง ปรากฏ
วาผูเอาประกันภัยปดประตูรานคาโดยมีประตูเหล็กกั้น ใสกุญแจและเอาโซลามกุญแจอีกชั้นหนึ่ง
คนรายเปดประตูเขาไปลักทรัพยโดยโซและกุญแจหายไปดวย ดังนี้ศาลวินิจฉัยวาคนรายเขาไปโดย
ใชกําลังและวิธีการรุนแรงแลว
๑.๒ วิธีการตีความเพื่อหาความหมายของเจตนา
ในการตีความนิติกรรมผูตีความจะตองคํานึงถึงผลประโยชนไดเสียของคูกรณีที่เกี่ยวของ
ทั้งสองฝายคือฝายผูแสดงเจตนาและผูรับการแสดงเจตนาดวย ในการพิเคราะหเจตนาที่แสดงออก
๓๑
นั้น หากตีความโดยคํานึงถึงประโยชนไดเสียของผูแสดงเจตนาเปนสําคัญ ก็ตองสืบคนเจตนาที่
แทจริงของผูแสดงเจตนา ในทางตรงกันขาม หากจะตีความโดยคํานึงถึงประโยชนไดเสียของผูรับ
การแสดงเจตนาเปนสําคัญก็ตองใหน้ําหนักแกเจตนาตามที่วิญูชนพึงเขาใจเปนหลัก เจตนาที่พึง
เขาใจนี้อาจจะไมตองตรงกับเจตนาที่แทจริงก็ได
การตีความเพื่อสืบคนเจตนาที่แทจริงนั้นอาจเรียกไดวาเปนการตีความตามปกติเพื่อหา
เจตนาที่แทจริง (natural or normal interpretation) สวนการตีความเพื่อสืบคนเจตนาที่วิญูชนพึง
เขาใจนี้อาจเรียกวาเปนการตีความตามมาตรฐานวิญูชน (normative interpretation)
๑) การตีความตามปกติเพื่อหาเจตนาที่แทจริง
การตีความตามปกตินั้นจะคํานึงถึงสวนไดเสียของผูแสดงเจตนาวาเขาประสงคตอผลเชน
ไร โดยไมตองคํานึงถึงประโยชนสวนไดเสียของผูรับการแสดงเจตนา การตีความทํานองนี้ใชได
ในกรณีที่ไมมีบุคคลอื่นใดควรไดรับความคุมครองนอกจากผูแสดงเจตนาเอง หรืออาจใชไดใน
กรณีที่แมโดยทั่วไปยังมีบุคคลอื่นที่ควรไดรับการคุมครอง แตมีเหตุยกเวนที่ทาํ ใหเขาไมควรไดรับ
การคุมครองในกรณีนี้
ก) นิติกรรมบางประเภทเปนนิติกรรมที่จะตองคํานึงถึงผลประโยชนไดเสียของผูแสดง
เจตนาเทานั้น ตัวอยางที่สําคัญไดแกพินัยกรรม ในการทําพินัยกรรมไมมีประโยชนไดเสียของ
บุคคลอื่นใดที่ควรไดรับการคุมครองพิเศษ แมผูรับพินัยกรรม หรือทายาท ก็หาไดเปนบุคคลที่ควร
ไดรับการคุมครองประโยชนไดเสียในขอความที่ปรากฏในพินัยกรรมแตประการใด ทั้งนี้เพราะ
ผูรับพินัยกรรมก็ดี ทายาทก็ดีลวนแตเปนผูไดรับประโยชนโดยไมเสียคาตอบแทน ดังนั้นในการ
ตีความพินัยกรรม จึงตองคํานึงถึงผลประโยชนไดเสียของผูแสดงเจตนาเปนสําคัญ จึงจําเปนตอง
สืบคนเจตนาที่แทจริงของผูทําพินัยกรรม โดยไมตองคํานึงถึงวาเจตนาดังกลาวจะไดปรากฏให
เห็นในถอยคําที่ใชในการทําพินัยกรรมหรือไมก็ตาม
ดวยเหตุนี้ในอุทาหรณขอ ก) หากปรากฏวา ก. ประสงคจะทําพินัยกรรมยกที่ดินแปลงไม
ติดถนนใหแก ข. ก็ตองบังคับใหเปนไปตามเจตนาอันแทจริงของ ก. โดยไมตองคํานึงถึงวา ก. จะ
ไดระบุขอความไวในพินัยกรรมเปนอยางไร ในกรณีเชนนี้ ข. ยอมไดรับที่ดินแปลงโฉนดเลขที่
๑๑๑ ซึ่งไมติดถนนตามเจตนาที่แทจริงของผูทําพินัยกรรม แตถาไมไดความวา ก. มีเจตนาที่
แทจริงแตกตางจากถอยคําสํานวนตามตัวอักษร ดังนี้ยอมตองบังคับไปตามเจตนาที่แสดงออกเปน
ลายลักษณอกั ษรเปนสําคัญ
ในทํานองเดียวกัน หากปรากฏวาในการทําพินัยกรรมมุงใชคําวา “หนังสือในหองสมุด”
โดยหมายถึงเหลาไวนที่เก็บสะสมไว ดังนี้ผูรับพินัยกรรมยอมไดรับเหลาไวนเปนมรดก มิใช
หนังสือในหองสมุดตามความหมายตามตัวอักษร
๓๒
ข) อยางไรก็ตามในการตีความนิติกรรมสวนใหญ นอกจากจะตองคํานึงถึงประโยชนได
เสียของผูแสดงเจตนาแลว ยังตองคํานึงถึงประโยชนไดเสียของผูรับการแสดงเจตนาอีกดวย การ
แสดงเจตนาที่ตองมีผูรับการแสดงเจตนา เชน การบอกเลิกสัญญา คําเสนอ คําสนอง เหลานี้ เปน
การแสดงเจตนาที่มีผลกระทบประโยชนไดเสียของผูรับการแสดงเจตนาโดยตรง เพราะในกรณี
เหลานี้ ผูรับการแสดงเจตนามีประโยชนไดเสียในอันที่จะสามารถรูและเขาใจสถานภาพทาง
กฎหมายของตนอยางชัดเจน ดังนั้นหากเจตนาที่ผูแสดงเจตนาแสดงออกมานั้นแตกตางไปจาก
เจตนาที่แทจริง เชนผูขายบอกราคาสินคาวา ๘๙๐ เหรียญ ทั้ง ๆ ที่แทจริงตองการบอกราคา ๙๘๐
เหรียญ ก็ยอมมีปญหาไดวา หากผูไดรับการแสดงเจตนาเชื่อถือโดยสุจริตในราคาตามที่บอก ดังนี้
เขาควรจะไดรับการคุมครองตามในความเชื่อถือโดยสุจริตเชนนั้นหรือไม โดยทั่วไปเรากลาวไดวา
ผูรับการแสดงเจตนาควรไดรับการคุมครอง อยางไรก็ตามการคุมครองเชนนั้นยอมไมจําเปนใน ๒
กรณีตอไปนี้
(๑) หากเจตนาที่แทจริงไมตรงกับเจตนาที่แสดงออก แตผูรับการแสดงเจตนาลวงรูถึง
เจตนาที่แทจริงอันซอนอยูในใจของผูแสดงเจตนา ดังนี้เขายอมไมควรไดรับความคุมครอง ทั้งนี้
โดยไมตองคํานึงถึงขอเท็จจริงวา ผูแสดงเจตนาจะไดแสดงเจตนานั้นออกมาโดยจงใจ หรือโดย
สําคัญผิด หากผูรับการแสดงเจตนารูถึงเจตนาที่แทจริงของผูแสดงเจตนา เขายอมจะมิไดเชื่อตาม
เจตนาที่แสดงออก ดังนั้นเจตนาที่มีผลก็คือเจตนาที่แทจริง ดังเราจะเห็นไดจากกรณีที่กฎหมาย
รับรองไวในมาตรา ๑๕๔ ปพพ. หรือในกรณีที่การแสดงเจตนากระทําโดยสําคัญผิด และอีกฝาย
หนึ่งลวงรูถึงความสําคัญผิดนั้น หรือตางสําคัญผิดดวยกันและตางมีเจตนาที่แทจริงตรงกัน ดังนี้
ตองถือวาเจตนาที่แทจริงมีผลบังคับ
ตัวอยางเชน: คูกรณีใชคําวา "เปยนโน" เปนรหัสหมายถึงอาวุธปน หรือ ก. กับ ข. ตกลง
ซื้อขายที่ดินโดยระบุวาเปนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๑ โดยทั้งสองเขาใจตรงกันวาหมายถึงที่ดินที่ทั้งคู
ไดไปชี้เขตมา ทั้ง ๆ ที่แทจริงแลวที่ดินแปลงที่ทั้งสองไปชี้เขตมานั้นคือที่ดินแปลงเลขที่ ๑๑๐ ดังนี้
ที่ดินที่ตกลงซื้อขายกันคือที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ ๑๑๐ ไมใชที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ ๑๑๑ แต
ประการใด๓
ในอุทาหรณขอ ข) เราจึงวินิจฉัยไดวาแมคูกรณีจะระบุเลขที่ดินในสัญญาผิดไป สัญญาที่
เกิดขึ้นคือสัญญาซื้อขายที่ดินแปลงที่ไดไปดูและตกลงกัน แมวาที่ดินแปลงดังกลาวจะเล็กกวา
แปลงที่ระบุไวเปนลายลักษณอักษรในสัญญาก็ตาม
๓๓
ในกรณีที่ผูซื้อสินคาพูดผิดไปวาตองการซื้อกาแฟปลอดนิโคติน ๑ ขวด และผูขายเขาใจได
วาหมายถึงกาแฟปลอดกาเฟอีน ๑ ขวด ดังนี้สัญญาที่เกิดขึ้นคือสัญญาซื้อขายกาแฟปลอดกาเฟอีน
ดังนั้นเราจึงอาจสรุปไดวา การเรียกชื่อผิดไมทําใหสัญญาเสียไป หากคูกรณีทั้งสองฝาย
ตางเขาใจความมุงหมายที่แทจริงตองตรงกัน ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เขาใจตรงกันนั้นจะมีชื่อตางจากชื่อที่
คูกรณีใชกต็ าม กรณีนี้ในภาษิตกฎหมายละตินเรียกวา “falsa demonstratio non nocet” ประเด็น
สําคัญอยูที่วาผูรับการแสดงเจตนาเขาใจไดวาผูแสดงเจตนาอีกฝายหนึ่งนั้นประสงคอะไร ในกรณี
เชนนี้ตองถือเจตนาที่แทจริงเปนสําคัญ เพราะในกรณีนี้ไมมีเหตุที่จะคุมครองประโยชนไดเสียของ
ผูรับการแสดงเจตนาแตประการใด๔
(๒) แมในบางกรณีผูรับการแสดงเจตนาจะไมรูถึงเจตนาที่แทจริงของผูแสดงเจตนาก็ตาม
แตหากวาความไมรูนั้นเปนไปเพราะความประมาทเลินเลอของผูรับการแสดงเจตนา ผูรับการ
แสดงเจตนายอมไมควรไดรับการคุมครอง
ตามปกติผูรับการแสดงเจตนายอมมีหนาที่ที่จะตีความการแสดงเจตนาตามหลักสุจริต และ
หลักถอยทีถอยปฏิบัติตอกัน ในกรณีมีเหตุควรเชื่อไดวาผูแสดงเจตนามิไดประสงคเชนที่
แสดงออก หรือมีเหตุควรสงสัยวาผูแสดงเจตนามุงหมายอยางอื่น ดังนี้ผูรับการแสดงเจตนาก็ควร
จะสอบถามผูแสดงเจตนาเสียใหกระจาง ในกรณีเหลานี้ผูรับการแสดงเจตนาไมมีสิทธิตีความเอา
ประโยชนแกตนเองตามอําเภอใจ
ตัวอยางเชน ก. ประสงคจะทําคําเสนอขายสินคาแก ข. แตกลับทําหนังสือ “เสนอซื้อ”
สินคาจาก ข. โดยระบุวาเปนการ “เสนอซื้อ” ตามรายการสินคาที่แนบมา ดังนี้หาก ข. ใช
วิจารณญาณตามมาตรฐานวิญูชน ข. ยอมสามารถรูไดวา แทจริง ก. ประสงคจะ “เสนอขาย”
สินคาตามรายการสินคาที่แนบมา ไมใชประสงคจะ “เสนอซื้อ” ดังนี้หากปรากฏวา ข. เพียงแต
ตอบไปยัง ก. วา “ตกลง” ก็ตองวินิจฉัยวา ข. ตกลงซื้อ ไมใชตกลงขาย
กรณีที่ ก. ทําหนังสือเสนอขายสินคาไปยัง ข. โดยระบุราคาเปนเงินฟรังก ดังนี้หากไมมี
ปกติประเพณี หรือพฤติการณแวดลอมอยางหนึ่งอยางใดพอที่จะสรุปไดวาเปนฟรังกเบลเยี่ยม
หรือฟรังกฝรั่งเศส หรือฟรังกสวิส ดังนี้เปนกรณีที่คําเสนอมีขอความไมชัดเจน หรือมีความหมาย
ไดหลายนัย กรณีเชนนี้ ข. จะตีความเอาตามใจชอบตามที่จะเปนประโยชนแกตนถายเดียวไมได
๓๔
๒) การตีความตามมาตรฐานวิญูชน (normative interpretation) หรือการตีความทาง
ภาววิสัย (objective interpretation)
การตีความทางภาววิสัยหมายถึงการตีความเพื่อหาความหมายที่วิญูชนพึงเขาใจวาเจตนา
ที่แสดงออกมานั้นหมายความอยางไร การตีความชนิดนี้มิไดมุงถึงเจตนาที่แทจริงของผูแสดง
เจตนา แตมุงพิจารณาความหมายของเจตนาที่แสดงออกตามมาตรฐานของวิญูชน
(๑) ความมุงหมายของการตีความทางภาววิสัยนี้ก็เพื่อคุมครองประโยชนของผูรับการ
แสดงเจตนา โดยทั่วไปผูรับการแสดงเจตนายอมเปนผูตีความเจตนาที่สงมาถึงตนซึ่งก็ยอมตอง
เปนไปตามหลักการตีความเจตนาวาตองตีความโดยเพงเล็งถึงเจตนาที่แทจริงตามมาตรา ๑๗๑
ปพพ. นั่นเอง หมายความวาผูรับการแสดงเจตนายอมตองสืบคนเจตนาที่แทจริงโดยอาศัยถอยคํา
สํานวนและพฤติการณแวดลอมเทาที่จะหาได แตในหลายกรณีผูรับการแสดงเจตนาก็ไมอยูใน
ฐานะที่จะรูชัดถึงเจตนาที่แทจริงได ดังนั้นผูรับการแสดงเจตนายอมชอบที่จะถือเอาเจตนาที่แสดง
ออกเปนเจตนาที่แทจริงตามมาตรฐานความรูสึกนึกคิดของวิญูชน
ในกรณีที่เจตนาที่แทจริงของผูแสดงเจตนาแตกตางจากเจตนาที่แสดงออก และไมมี
พฤติการณหรือถอยคําสํานวนใด ๆ ใหผูรับการแสดงเจตนาเขาใจไดวาเจตนาที่แทจริงนั้นแตกตาง
จากเจตนาที่แสดงออก ดังนี้ผูรับการแสดงเจตนายอมถือเอาเจตนาที่แสดงออกเปนหลักและอาจเขา
ผูกพันตามเจตนาที่แสดงออกนั้น ในกรณีเชนนี้จะเห็นไดวาเจตนาที่แสดงออกนั้นก็ยังคงตางจาก
เจตนาที่แทจริง และเจตนาของคูกรณีทั้งสองฝายก็ยอมไมตองตรงกัน
ตัวอยางเชน ก. เสนอขายสินคารายการหนึ่งแก ข. ในราคา ๘๙,๐๐๐ บาท ทั้ง ๆ ที่ตองการ
เสนอขายในราคา ๙๘,๐๐๐ บาท ดังนี้หากไมมีพฤติการณแวดลอมหรือขอเท็จจริงอยางอื่นให
สามารถรูวาเจตนาที่แทจริงของ ก. ตางจากเจตนาที่แสดงออกแลว แม ข. จะตีความคําเสนอนี้ดวย
ความระมัดระวังเพียงใด ข. ยอมไมมีทางรูถึงเจตนาที่แทจริงของ ก. ได ดังนี้หาก ข. สนองรับคํา
เสนอของ ก. สัญญายอมเกิดขึ้นตามเจตนาที่ ก. แสดงออก ทั้ง ๆ ที่ขัดตอเจตนาที่แทจริงของ ก.
และเจตนาของ ก. กับ ข. ไมตองตรงกันเลยก็ตาม
ในกรณีนี้หากปรากฏวาเคยมีหนังสือเจรจาตอรองกันมากอน โดย ก. เคยแสดงใหปรากฏ
วาตนประสงคจะขายสินคารายนี้ในราคา ๙๘,๐๐๐ บาท หรือปรากฏในรายการราคาสินคา หรือ
เอกสารโฆษณาสินคาที่แนบมา อันจะชวยให ข. สามารถลวงรูถึงเจตนาที่แทจริงของ ก. ได หรือ
เห็นไดชัดวา ก. พิมพตัวเลขราคาสับกัน ดังนี้ตองถือตามเจตนาที่แทจริง จัดเปนกรณี falsa demon-
stratio non nocet แตหากไมมีพฤติการณหรือขอเท็จจริงแวดลอมเปนเหตุอันควรสงสัยเลย ข. ยอม
ตองถือวา ก. ประสงคจะเสนอขายสินคารายนี้ในราคา ๘๙,๐๐๐ บาท ตามมาตรฐานความรูสึกนึก
คิดของวิญูชน
๓๕
(๒) หากไมมีพฤติการณแวดลอมหรือขอเท็จจริงอื่นใดที่จะชวยใหผูรับการแสดงเจตนา
สามารถเขาถึงเจตนาที่แทจริงของผูแสดงเจตนาไดแลว ก็เปนธรรมดาอยูเองที่ผูรับการแสดง
เจตนายอมจะเชื่อถือเจตนาที่แสดงออกเปนสําคัญ ดังนี้หากเราชั่งน้ําหนักประโยชนไดเสียของทั้ง
สองฝาย และพิจารณากรณีที่เกิดขึ้นอยางละเอียดก็จะเห็นไดวาเหตุแหงกรณีที่เจตนาที่แสดงออก
ตางจากเจตนาที่แทจริงนี้เปนเหตุที่เกิดจากฝายผูแสดงเจตนา ดังนี้ในระหวางผูสุจริตดวยกัน
กฎหมายก็ควรจะคุมครองประโยชนของผูรับการแสดงเจตนาอันเกิดจากความเชื่อถือในเจตนาที่
แสดงออกยิ่งกวาประโยชนแหงความสําเร็จตามเจตนาที่แทจริงของฝายผูแสดงเจตนา
การคุมครองประโยชนในความเชื่อถือของผูรับการแสดงเจตนาเปนสําคัญนี้ ปรากฏให
เห็นไดจากความในมาตรา ๓๖๘ ปพพ. ซึ่งบัญญัติใหตีความสัญญาไปตามความประสงคในทาง
สุจริต โดยพิเคราะหถึงปกติประเพณีดวย และกรณีตามมาตรา ๑๕๖, ๑๕๗ และ ๑๕๘ ปพพ. ซึ่ง
วางหลักวาการแสดงเจตนาโดยสําคัญผิดในสาระสําคัญแหงนิติกรรมเปนโมฆะ (มาตรา ๑๕๖)
และการแสดงเจตนาโดยสําคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลและทรัพยซึ่งปกติเปนสาระสําคัญแหง
นิติกรรมยอมเปนโมฆียะ (มาตรา ๑๕๗) แตถาเปนกรณีที่ผูแสดงเจตนาไดแสดงเจตนาโดยสําคัญ
ผิดเหลานั้นโดยประมาทเลินเลออยางรายแรง ดังนี้ กฎหมายวางหลักวาผูแสดงเจตนาจะถือเอา
ความสําคัญผิดมาใชเปนประโยชนแกตนมิได (มาตรา ๑๕๘) จะเห็นไดวาในกรณีเหลานี้หาก
เจตนาที่แทจริงของผูแสดงเจตนาแตกตางจากเจตนาที่แสดงออก กฎหมายถือวาในกรณีมีเหตุให
ผูอื่นเชื่อถือในเจตนาที่แสดงออกนั้น ก็ใหถือเอาเจตนาที่แสดงออกเปนที่รับรูเขาใจของวิญูชน
เปนเจตนาที่มีผลบังคับ
ในกรณีที่ ก. ผูขายตองการบอกราคาขาย ๙๘,๐๐๐ บาท แตบอกผิดพลาดเปน ๘๙,๐๐๐
บาท และไมมีสิ่งอื่นใดใหสงสัยไดวาเจตนาที่แสดงออกมาตางจากเจตนาที่แทจริง ดังนี้หาก ข. ผู
ซื้อตกลงสนองรับคําเสนอตามราคาที่เสนอมา ก็ตองถือวาสัญญาซื้อขายสินคารายนี้เกิดขึ้นตาม
เนื้อหาทางภาววิสัยแหงเจตนาที่แสดงออก หรือตามมาตรฐานที่วิญูชนพึงเขาใจไดคือในราคา
๘๙,๐๐๐ บาท ทั้งนี้เปนไปตามหลัก normative or objective interpretation นั่นเอง
จะเห็นไดวาในกรณีขางตนนี้ ระหวางประโยชนของฝายผูแสดงเจตนา กับประโยชนของ
ผูรับการแสดงเจตนานั้น ประโยชนของฝายหลังอันเกิดจากความเชื่อถือในเจตนาที่แสดงออกควร
ไดรับการคุมครองยิ่งกวาประโยชนของฝายแรก ดังนั้นกฎหมายจึงถือวาหากผูแสดงเจตนาได
แสดงเจตนาโดยประมาทเลินเลออยางรายแรง เจตนาที่แสดงออกยอมมีผลเสมือนวาผูแสดงเจตนา
มีเจตนาแทจริงตรงตามเจตนาที่แสดงออกดวย ดังจะเห็นไดจากหลักในมาตรา ๑๕๘ ปพพ.
ในปญหาขอ ค. เมื่อปรากฏวา ข. ผูขายไดระบุเลขที่ที่ดินแปลงที่จะขายและระบุเลขที่ใน
การจดทะเบียนขายเปนแปลงที่ ๑๐๑ มาโดยตลอด และยังปรากฏวา ก. ผูซื้อไดตรวจดูที่ดินตาม
๓๖
โฉนดเลขที่ ๑๐๑ ดวย ดังนี้แม ข. จะประสงคขายที่ดินแปลงอื่น และไดระบุเลขที่ที่ดินแปลง ๑๐๑
ในสัญญาโดยสําคัญผิด ข. ก็ไมอาจหยิบยกความสําคัญผิดขึ้นอางเปนประโยชนแกตนได
จําเปนตองถือวาสัญญาซื้อขายที่ดินแปลง ๑๐๑ มีผลบังคับ กรณีนี้เปนกรณีที่ตองคุมครองความ
เชื่อถือในเจตนาที่แสดงออก๕
(๓) ปญหานาคิดอาจเกิดขึ้นไดในกรณีที่มีการกระทําอยางใดอยางหนึ่งซึ่งคนทั่วไปเขาใจ
ไดวาเปนการแสดงเจตนา แตตัวผูกระทํามิไดประสงคจะแสดงเจตนาเลย ดังนี้เราจะนําเอา
หลักการตีความตามเจตนาที่แสดงออกมาใชหรือไม เพียงใด
ตัวอยางเชน ก. เดินเขาไปในสถานที่ประมูลขายสินคาซึ่งทําการสูราคาประมูลดวยการชู
มือ หากปรากฏวา ก. ไมรูวา ขณะที่ตนเขาไปนั้นกําลังมีการประมูลอยู และ ก. ชูมือทักทายเพื่อน
ของตนคนหนึ่งซึ่งเปนกรรมการจัดการประมูล จะเห็นไดวา กรณีนี้ ก. มิไดประสงคจะแสดง
เจตนาเลย แตหากพิจารณาจากคนทั่วไปที่อยูในสถานที่นั้น เขายอมเขาใจวา ก. แสดงเจตนาโดย
การชูมือแลว ในกรณีนี้ผูรับการแสดงเจตนายอมเกิดความไววางใจในการกระทําของ ก. วาเปน
การแสดงเจตนา และยอมไววางใจดวยวาเจตนาที่ปรากฏนั้นยอมตรงกับเจตนาแทจริง เราอาจเห็น
ไดวาการที่ผูแสดงเจตนาแสดงเจตนาออกมาแลว แมเจตนานั้นไมตรงกับเจตนาแทจริง เจตนาที่
แสดงออกยังมีผลบังคับไดฉนั ใด การกระทําที่มิไดประสงคใหเปนการแสดงเจตนาเลย หากมีเหตุ
ใหผูอื่นเชื่อไดวาการกระทํานั้นเปนการแสดงเจตนา การกระทํานั้นยอมมีผลเปนการแสดงเจตนา
และยอมมีผลบังคับตามกฎหมายไดในทํานองเดียวกันดวย
กรณีเชนนี้ตองพิเคราะหประโยชนไดเสียของทั้งสองฝาย คือประโยชนในความเชื่อถือ
และความแนนอนทางการคาพาณิชยอันเปนประโยชนฝายผูรับการแสดงเจตนาที่ควรไดรับการ
คุมครอง และประโยชนของฝายที่กระทําการเปนเหตุใหเกิดเขาใจกันวาไดแสดงเจตนา ในกรณี
ทั่วไปเปนกรณีที่เห็นไดวา หาก ก. ใชความระมัดระวังเพียงเล็กนอย ก. ยอมควรไดรูวากําลังมีการ
ชุมนุมประมูลสินคาในสถานที่นั้น ดังนั้น การกระทําของ ก. ถือไดวาเปนการกระทําโดยประมาท
เลินเลออยางรายแรง และ ก. ควรจะตองรับผิดชอบในการกระทําของตน กรณีจึงอาจปรับใชหลัก
กฎหมายในมาตรา ๑๕๘ ปพพ. มาปรับใชได แตหากปรากฏเหตุอันควรอภัย หรือควรเชื่อไดวา ก.
ไมมีเหตุอันควรรูไดวากําลังมีการประมูลสินคา เชน ก. เปนคนตางดาว ไมรูภาษา และไมเคยพบ
๕ อยางไรก็ดี หากปรากฏวาที่ดินแปลงที่ระบุในสัญญามีขนาดตางจากที่ระบุเลขที่โฉนดไวอยางเห็นไดชัด
หรือราคาที่ซื้อขายกันต่ํากวาราคาตลาดของที่แปลงนั้นอยางมาก จนผิดสังเกต ถึงขนาดพอใหคนทั่วไป
สันนิษฐานไดวาผูขายโดยทั่วไปคงจะมิไดมีเจตนาขายที่ดินแปลงนั้นในราคาต่ําจนผิดสังเกตเชนนั้น ดังนี้
อาจนับเปนเหตุใหอางหลักสุจริตขึ้นไดวา เมื่อผูซื้อควรไดรูวาเจตนาที่แสดงออกนั้นแสดงออกโดยสําคัญ
ผิด ดังนี้ผูซื้อยอมไมมีสิทธิอางความผูกพันตามนิติกรรมที่สําคัญผิดนั้นได
๓๗
เห็นการประมูลเชนนั้นมากอน และ ก.ไมมีเหตุควรคาดหมายไดวานั่นเปนการประมูล ดังนี้ยอมถือ
ไมไดวา ก. ประมาทเลินเลออยางรายแรง และ ก. ยอมไมตองผูกพันในการกระทําของตน
เคยมีตัวอยางเกิดขึ้นในกรณีที่มีผูลงชื่อในสัญญากูในฐานะผูกู โดยสําคัญผิดวาเปนการลง
ชื่อในฐานะพยาน หรือลงชื่อในหนังสือเสนอขายในสัญญาซื้อขายโดยสําคัญผิดวาเปนการลงชื่อ
ในบัตรอวยพร ดังนี้ผูไดรับการแสดงเจตนายอมเขาใจวาเปนการทําสัญญากู หรือเปนการเสนอขาย
ดังนี้ปญหาจึงอยูที่ขอเท็จจริงวา การที่ ก. ไดแสดงเจตนาโดยสําคัญผิดนั้น ก. กระทําไปโดย
ประมาทเลินเลออยางรายแรงหรือไม คือหาก ก. ไดใชความระมัดระวังเพียงเล็กนอย ก. ก็ควรไดรู
ถึงเหตุแหงความสําคัญผิดนั้นไดแลว ดังนี้ถือไดวา ก. ประมาทเลินเลออยางรายแรง และยกเหตุที่
สําคัญผิดขึ้นอางเปนประโยชนแกตนไมได หากอีกฝายหนึ่งไดทําคําสนองแลว ดังนี้สัญญายอม
เสมือนมีผลบังคับไดตามมาตรา ๑๕๘ ปพพ.
๒. การตีความเพื่ออุดชองวาง
๒.๑ ความหมายของการตีความเพื่ออุดชองวาง
การตีความเพื่ออุดชองวางมุงหมายอุดชองวางซึ่งอาจมีไดในนิติกรรมตาง ๆ ทั้งในสัญญา
หรือในนิติกรรมฝายเดียว เชนตีความพินัยกรรม เปนตน
ชองวางจะมีไดก็ตอเมื่อไดมีการตีความตามปกติเพื่อหาเจตนาที่แทจริง หรือตีความตามที่
วิญูชนพึงเขาใจแลวสรุปไดวามีนิติกรรม หรือสัญญาเกิดขึ้นแลว แตยังไมปรากฏวา คูกรณีใน
สัญญา หรือผูแสดงเจตนาในนิติกรรมนั้น ๆ ไดตกลงกันหรือไดแสดงเจตนาไวในประเด็นที่เปน
กรณีพิพาทหรือเปนประเด็นสงสัยขึ้นในภายหลัง การที่ไมไดตกลงกันหรือไมไดแสดงเจตนาไวนี้
อาจเปนเพราะคูกรณีที่เกี่ยวของหรือผูแสดงเจตนาจงใจปลอยไวไมตกลงกัน หรือจงใจปลอยวาง
ไวเพราะคาดไมถึงวาจะเกิดปญหาขึ้นในภายหลังก็ได ดังนั้นกอนที่จะใชวิธีตีความอุดชองวาง
จะตองมีการพิเคราะหใหแนเสียกอนวาเปนกรณีที่มีชองวางเกิดขึ้นแลว
โดยทั่วไป ถามีบทกฎหมายวางขอสันนิษฐานเจตนาของผูเกี่ยวของไว โดยเฉพาะในกรณี
ที่กฎหมายบัญญัติหลักเกณฑตาง ๆ อาทิเชน กรณีเอกเทศสัญญา หรือเรื่องมรดก ซึ่งในกรณี
เหลานี้กฎหมายมักบัญญัติไวในลักษณะเปนบทไมบังคับตายตัว (jus dispositivum) ดังนี้เทากับ
กฎหมายวางหลักเกณฑสําหรับอุดชองวางไวแลว หากคูสัญญาหรือผูแสดงเจตนามิไดตกลงหรือ
แสดงไวตางจากที่กฎหมายบัญญัติไว ก็ตองปรับใชหลักเกณฑที่กฎหมายบัญญัติใชแกกรณีนั้น ๆ
๓๘
ตัวอยางเชน ก. ตกลงซื้อทรัพยเฉพาะสิ่งชิ้นหนึ่งจาก ข. ในราคา ๕,๐๐๐ บาท โดยคูกรณี
มิไดตกลงกันวา หากทรัพยสินที่ซื้อขายกันเกิดชํารุดบกพรองจะทําอยางไร ทั้งนี้เพราะคูกรณีทั้ง
สองฝายตางเขาใจวาของที่ซื้อขายกันนี้มีคุณภาพดี ไมมีขอบกพรอง ดังนี้หากปรากฏวาทรัพยสินที่
ซื้อขายกันรายนี้ชํารุดบกพรอง หรือขาดตกบกพรองไปก็ตองนําเอาหลักเกณฑในเรื่องความรับผิด
เพื่อชํารุดบกพรองในมาตรา ๔๗๒ หรือมาตรา ๔๖๕, ๔๖๖ ปพพ. มาบังคับ จะเห็นไดวากรณีนี้
แมมีชองวางในสัญญา แตก็มีกฎหมายวางหลักสันนิษฐานเจตนาของคูกรณีสําหรับปรับใชอยูแลว
ไมใชกรณีที่จะตองตีความสัญญาเพื่ออุดชองวางแตอยางใด
อยางไรก็ดี อาจมีกรณีที่ไมมีบทสันนิษฐานของกฎหมายจะนํามาปรับใชใหตองแกกรณีได
ดังนี้ก็เปนกรณีที่ตองมีการตีความเพื่ออุดชองวางขึ้น ในกรณีเชนนี้ศาลไมควรนําเอาหลักเกณฑ
หรือบทบัญญัติใด ๆ มาปรับใชตามใจชอบ แตตองใชวิธีตีความสัญญาหรือเจตนานั้นเอง เพื่ออุด
ชองวางที่เกิดขึ้น
หลักสําคัญในการตีความเพื่ออุดชองวางก็คือ ผูตีความตองหาหลักเกณฑซึ่งหากคูกรณี
หรือผูแสดงเจตนาไดคาดถึงปญหาหรือชองวางที่เกิดขึ้นแลว เขายอมวางหลักเกณฑแกปญหานั้น
ๆ ไวเชนนั้น เชนในกรณีชํารุดบกพรอง ปกติคูกรณีฝายผูซื้อยอมประสงคไดทรัพยสินและผูขาย
ยอมประสงคไดเงิน ดังนี้หากคาดหมายไดวาอาจมีความชํารุดบกพรอง ทั้งสองฝายยอมตกลงใหผู
ซื้อเปลี่ยนสินคาที่ซื้อไปได หรือยอมมีการรับประกันคุณภาพกันไว และแมไมไดกลาวไววา
รับประกันอะไร ก็อาจสันนิษฐานไดวาปกติยอมมุงหมายถึงการประกันการซอมสินคาใหมีสภาพ
ปกติ ดังนี้เปนตน
๒.๒ ชองวาง
ไดกลาวแลววา การตีความเพื่ออุดชองวางจะมีไดก็ตอเมื่อปรากฏชองวางเสียกอน การที่จะ
รูวาเปนกรณีที่มีชองวางหรือไม ก็ยอมตองมีการตีความนิติกรรมนั้นเสียกอนวามีชองวางหรือไม
แตการตีความในกรณีเชนนี้ไมควรจํากัดอยูเฉพาะที่เจตนาทํานิติกรรมของคูกรณีเทานั้น แตควรจะ
พิเคราะหครอบคลุมไปถึงมูลเหตุจูงใจ วัตถุที่ประสงคแหงนิติกรรม และพฤติการณแวดลอมอื่น ๆ
ที่เปนเครื่องชักนําใหมีการแสดงเจตนานั้น ๆ ดวย กรณีที่จะถือไดวาเปนกรณีมีชองวางนั้น จะตอง
เปนกรณี หรือพฤติการณอยางหนึ่งอยางใดที่ผูแสดงเจตนา (เชนผูทําพินัยกรรม) หรือคูสัญญามิได
คํานึงถึง หรือไดคาดหมายผิดพลาดไป ทั้งนี้ไมวาพฤติการณที่ไมไดคาดหมายไวนั้น จะเปนกรณีที่
มีอยูในขณะทํานิติกรรมอยูแลว หรือเปนกรณีที่มิไดคาดเห็นถึงพฤติการณที่เกิดขึ้นในภายหลังก็
ตาม
กรณีในขอ ง) ในเรื่องทันตแพทย หากคูกรณีคาดหมายไดอยูแลวในขณะที่ทําสัญญากัน
นั้น วา ก. อาจมีเหตุจําเปนอยางหนึ่งอยางใดใหตองกลับมาทําคลีนิคที่รังสิตอีกก็ได หรือ ก. ได
๓๙
แสดงออกอยางใดอยางหนึ่งให ข. ทราบหรือควรไดทราบแลวในขณะทําสัญญาวา มีความเปนไป
ไดที่ ก. อาจจะกลับมาตั้งคลีนิคที่รังสิตอีกก็ได ดังนี้ก็เปนกรณีที่ไมมีชองวางของสัญญาใหตีความ
เพราะสามารถตีความจากเจตนาของคูกรณีไดอยูแลววา ข. ยอมให ก. กลับมาเปดคลีนิคที่รังสิตอีก
ได
แตถาเปนกรณีที่ในขณะทําสัญญานั้น คูกรณีมิไดคาดหมายเลยวา ก. อาจกลับมาเปดคลีนิค
ที่รังสิตอีก ดังนี้ก็เปนกรณีที่เกิดชองวางขึ้นและจําเปนตองมีการตีความ
สําหรับกรณีในขอ จ) นั้น จะเห็นไดวา คูกรณีมีเจตนาที่จะตกลงหามมิใหทําการคาแขงกัน
กรณีจึงขึ้นกับขอเท็จจริงวา ในขณะทําสัญญาคูกรณีทั้งสองฝายคาดหมายไดหรือไมวา การคาขาย
แขงกันนั้นอาจทําไดโดยการตั้งแผงลอยขายสินคาชนิดเดียวกันดวย กรณีชองวางจะมีไดก็เฉพาะ
กรณีที่ทั้งสองฝายมิไดคิดถึงกรณีตั้งแผงลอยขายแขงกันเทานั้น
สวนในกรณีปญหาขอ ช) เรื่องขอตกลงหามเจาะชองหนาตางนั้น ถาคูกรณีมิไดคาดหมาย
วา อาจใชวัสดุกอสรางอยางอื่นมากอกําแพง เพื่อใหแสงลอดเขาสูอาคารของ ก. ได และเขาใจวา
การเปดชองแสงยอมทําไดเฉพาะโดยการเจาะหนาตางเทานั้น ดังนี้ยอมเปนกรณีที่มีชองวางใหตอง
ตีความเพื่ออุดชองวางขึ้น กรณีเชนนี้ไมสําคัญวา เหตุที่คาดไมถึงนี้จะเปนเพราะเหตุที่ขณะที่ตกลง
กันนั้นยังไมมีการผลิตบล็อกกระจกออกจําหนายในทองตลาด หรือจะเปนเพราะเหตุที่คูกรณีมิได
คาดหมายถึงตามธรรมดา
๒.๓ การอุดชองวาง
หลักสําคัญในการอุดชองวางก็คือ หากสัญญามีชองวาง ศาลยอมมีหนาที่ตีความสัญญาเพื่อ
อุดชองวางนั้น ๆ ในกรณีเชนนี้ ศาลตองสืบคนเจตนาของคูกรณีวา หากคูกรณีไดรูถึงพฤติการณ
อันเปนชองวางที่มิไดตกลงกันไวนั้นแลว แตละฝายจะมีเจตนาอยางไร ดังนั้นสิ่งที่ชี้ขาดในการอุด
ชองวางจึงมิใชเจตนาที่แทจริง แตคือเจตนาที่พึงคาดหมาย (hypothetic will) ของคูกรณี การจะ
สืบคนดูวาคูกรณีมีเจตนาอันพึงคาดหมายไดเปนอยางไรตามวิสัยและพฤติการณที่เกิดชองวางนั้น
ขึ้น ซึ่งยอมตองพิเคราะหจากวัตถุที่ประสงคแหงสัญญานั้นเองวา หากคูกรณีรูถึงพฤติการณ
เชนนั้น เขาจะตัดสินใจเลือกตกลงใจและตกลงกันอยางไร
ตัวอยางที่อาจหยิบยกมาประกอบการพิจารณา ปรากฏใหเห็นไดในประมวลกฎหมายแพง
และพาณิชยอยูแลว เชนกรณีสงมอบทรัพยสินที่ซื้อขายขาดตกบกพรอง ดังนี้ผูซื้อยอมมีสิทธิลด
ราคาลงตามสวน หรือบอกปดไมรับการสงมอบ (มาตรา ๔๖๕) เปนตน
กรณีตามอุทาหรณในขอ ง) อาจพิจารณาไดวา หากคูกรณีไดคํานึงถึงกรณีที่ ข. อาจมีเหตุ
ตองกลับมาอยูที่รังสิตอีก ดังนี้ทั้งสองฝายก็คงจะคาดเห็นไดวา ก. ยอมไมอาจมีความสัมพันธกับ
คนไขเดิมของ ข. ไดในระยะเวลาสั้น ๆ และหาก ข. กลับมาเปดคลีนิคในสถานที่เดียวกันอีก ก.
๔๐
ยอมไดรับความเสียหาย และยอมกระทบตอวัตถุที่ประสงคในการตกลงแลกเปลี่ยนสถาน
ประกอบการคลีนิคระหวางกัน ขอสรุปเชนนี้นําไปสูขอยุติวา หากทั้งสองฝายคาดหมายวา ก.
อาจจะกลับมาทําคลีนิคในที่เดียวกันอีก คูกรณีก็ยอมจะตกลงกันกําหนดเวลาหามไมให ก. กลับมา
ตั้งคลีนิคแขงขันกับ ข. ดังนี้ศาลยอมตองตีความอุดชองวางของสัญญาโดยกําหนดเวลาหาม ก. ทํา
คลีนิคแขงขันกับ ข. มีระยะเวลาพอสมควรที่ ข. จะไดทํางานของตนจนรับความไววางใจจาก
คนไขตามสมควรแลว จึงอนุญาตให ก. มาตั้งคลีนิคแขงกันได
ในกรณีอุทาหรณขอ จ) ก็ตองพิจารณาวาวัตถุที่ประสงคแหงสัญญาคือการหามเปดราน
หรือประกอบกิจการคาขายแขงกัน ดังนี้หาก ก. ไมไดตั้งรานขายของชํา แตตั้งแผงลอยคาขาย
สินคาชนิดเดียวกันกับ ข. ดังนี้ยอมตองหามเชนเดียวกัน
สําหรับกรณีตามอุทาหรณในขอ ช) นั้น ตองพิจารณาวาวัตถุที่ประสงคแหงสัญญาระหวาง
กันนั้นคืออะไร การตกลงหามสรางอาคารโดยเจาะชองหนาตางหันหนามาทางที่ดินของ ข. นั้น
หากมีวัตถุประสงคเพียงเพื่อการปองกันการรบกวนจากการมองเห็นกันและกัน ปองกันลมหรือ
ปองกันไมใหเกิดเสียงรบกวนกัน ดังนี้การกอกําแพงโดยใชบล็อกโปรงแสงจึงไมขัดตอวัตถุที่
ประสงคอันแทจริงแหงสัญญานี้ แตหากวัตถุประสงคที่แทจริงแหงสัญญาเปนไปเพื่อปองกัน
ไมใหแสงสวางลอดจากที่ดินของ ก. ไปยังที่ดินของ ข. ดังนี้การกอกําแพงโดยใชบล็อกโปรงใส
ยอมขัดกับวัตถุประสงคแหงสัญญา และดังนั้นจะตองตีความสัญญาไปในทางที่สอดคลองกับ
วัตถุประสงคแหงสัญญา
๔๑