Professional Documents
Culture Documents
๑๐๑)
ผศ. ดร. กิตติศักดิ์ ปรกติ
สวนที่ ๒
การเกิดขึน้ แหงสัญญา
อุทาหรณ
๕๘
ตอบตกลงซื้อและแจงไปยัง ก. จดหมายดังกลาวถึง ก. เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ดังนี้สัญญาดังกลาว
เกิดขึ้นหรือไม?
๕๙
สวนที่ ๒ การเกิดขึน้ แหงสัญญา
บทที่ ๑ คําเสนอและคําสนอง
สัญญาคือความผูกพันตามกฎหมายซึ่งเกิดจากเจตนาผูกพันซึ่งกันและกันดวยใจสมัครของ
บุคคลอยางนอยสองฝายโดยทําคําเสนอสนองตองตรงกัน การแสดงเจตนาของฝายแรกเรียกวาการ
ทําคําเสนอ สวนการแสดงเจตนาของฝายทีส่ องเรียกวาการทําคําสนอง
ในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยนั้นมิไดมีการบัญญัติหลักเกณฑไวโดยตรงวาสัญญา
จะเกิดขึ้นเมื่อคําเสนอสนองตองตรงกัน อยางไรก็ดี เราก็สามารถอนุมานไดจากการพิจารณา
หลักเกณฑวาดวยการเกิดขึน้ ของสัญญาซึ่งไดรับการบัญญัติไวในประมวลกฎหมายแพงและ
พาณิชยนั่นเอง ดังจะเห็นไดจากหลักสําคัญในมาตรา ๓๕๔, ๓๕๕ ปพพ. ซึ่งวางหลักวาดวยความ
ผูกพันของคําเสนอ ไววา คําเสนอนั้นจะถอนเสียกอนเวลาที่กําหนดไว หรือจะถอนกอนเวลาที่
ควรคาดหมายไดวาจะไดรับคําบอกกลาวสนองมิได ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งมาตรา
๓๕๙ ปพพ. ก็วางหลักวาดวยความมีผลของคําสนองตอไปวา “คําสนองอันมีขอความเพิ่มเติม มี
ขอจํากัด หรือมีขอแกไขอยางอื่นประกอบดวยนั้น ทานใหถือวาเปนคําบอกปดไมรับ ทั้งเปนคํา
เสนอขึ้นใหมดวยในตัว” แปลความกลับกันไดวา คําสนองที่ตองตรงกับคําเสนอโดยมิไดแกไข
เพิ่มเติมคําเสนอยอมสมบูรณเปนคําสนอง และทําใหเห็นไดวา ความผูกพันอันจะกอใหเกิดสิทธิ
หนาที่ตามสัญญาระหวางกันไดนั้นจะตองเปนกรณีที่คําสนองตองรับกันกับคําเสนออยาง
เหมาะเจาะ หรือที่มักจะกลาวกันวาสัญญาจะเกิดขึน้ ไดดจะตองปรากฏวา “คําเสนอสนองตอง
ตรงกัน” หรือที่ภาษาละตินเรียกวา “concensus ad idem” นั่นเอง
๑. คําเสนอ
๑.๑ ความหมายของคําเสนอ
คําเสนอเขาทําสัญญา (offer) เปนการแสดงเจตนาชนิดทีต่ อ งมีผูรับการแสดงเจตนา จะ
เจาะจงผูรับหรือไมก็ได โดยคําเสนอนั้นจะตองมีเนื้อหาเปนการเสนอตนเขาผูกพันกับคูกรณีอีก
ฝายหนึ่งเมื่อคูก รณีอีกฝายหนึ่งนั้นตกลงทําคําสนอง
๖๐
ก) ที่วาการทําคําเสนอเปนการแสดงเจตนาชนิดที่ตองมีผูรับนั้น หมายความวา คําเสนอ
ยอมมีผลเปนคําเสนอก็ตอเมื่อการแสดงเจตนาเสนอนัน้ อยางนอยไดไปถึงผูรับแลว (มาตรา ๑๖๘,
๑๖๙) เมื่อเจตนาทําคําเสนอนั้นมีผลคือเมื่อไปถึงผูรับแลว ผูเสนอยอมผูกพันตนตามคําเสนอนั้น
คือจะถอนคําเสนอเสียมิได จนกวาจะพนเวลาอันควรคาดหมายวาอีกฝายหนึ่งจะไดทาํ สนอง
(มาตรา ๓๕๔, ๓๕๕, ๓๕๖)
ข) โดยที่สัญญายอมเกิดขึ้นเมื่อคูกรณีอีกฝายหนึ่งตกลงสนองรับคําเสนอ ดังนั้นคําเสนอ
จึงจําตองมีเนือ้ หาแนนอนถึงขนาดที่หากคูกรณีอีกฝายหนึ่งตอบตกลงตามคําเสนอสัญญายอม
เกิดขึ้นทันที หมายความวา คําเสนอจะตองมีลักษณะแนนอนถึงขนาดที่หากอีกฝายหนึ่งตอบ “ตก
ลง” สัญญายอมเกิดขึ้นทันที เชนในกรณีทาํ สัญญาซื้อขายกันจะตองมีการตกลงกันเกีย่ วกับตัว
สินคาที่ซื้อขาย และราคา โดยมีการกําหนดตัวสินคาและราคาแนนอนแลว๑ หรือมิฉะนั้นก็ตองเปน
กรณีที่อาจกําหนดราคาไดตามสมควร หรือโดยปริยาย เชนมีราคาตลาด หรือปกติประเพณีที่อาจใช
เปนฐานในการคํานวณราคาไดจึงจะสันนิษฐานไดวาคูกรณีตกลงกันตามราคาตลาดหรือตามราคา
สมควร (โปรดเทียบกรณีตามมาตรา ๔๘๗ วรรคสอง) สวนกรณีซื้อขายมือเปลาในทองตลาดนัน้
หากมิไดตกลงราคากันไวใหแนนอนลงไป และไมมีเหตุใหสันนิษฐานวาตกลงกันโดยวิธีอยางอื่น
หรือเปนกรณีที่อาจกําหนดราคาไดตามสมควร ดังนีย้ อมเปนกรณีที่คําเสนอยังไมแนนอนเพียงพอ
ดังนั้นหากการชําระราคาเปนสาระสําคัญของสัญญา สัญญายอมไมเกิดขึ้นจนกวาจะไดตกลงราคา
กันแลว (มาตรา ๓๖๖)
ตัวอยางเชน ก. นํานาฬิกาของตนซึ่งชํารุดไปใหชางนาฬิกาซอมแซม ดังนี้การสง
มอบนาฬิกาใหชางซอมก็จดั เปนการทําคําเสนอวาจางใหชางนาฬิการับจางทําของโดยการซอม
๖๑
นาฬิกานั้นจนสําเร็จ แมวาทัง้ สองฝายจะยังมิไดตกลงกันเรื่องราคาคาตอบแทนก็พอจะสันนิษฐาน
วาตกลงทําคําเสนอสนองตองตรงกันแลว ทั้งนี้เพราะอนุมานไดวาหากชางนาฬิกาตกลงรับซอม
นาฬิกานั้นคาซอมนาฬิกายอมเปนไปตามอัตราที่รับรูกันในทองตลาดโดยปริยาย
สําหรับกรณีตามอุทาหรณ ๑) และ อุทาหรณ ๒) นั้น จะเห็นไดวาคําสนองในทั้งสอง
กรณียังไมปรากฏวาไดมกี ารตกลงเรื่องราคากันแนนอนแลว อยางไรก็ตามในอุทาหรณ ๒) นั้น
ราคาอาจกําหนดกันไดโดยปริยาย โดยหมายถึงการเสนอขายหนังสือตามราคาปกหรือราคาหนา
ราน สวนในอุทาหรณ ๑) นั้น โดยที่เปนการยาก หรือเปนกรณีไมอาจกําหนดแนไดวาหนังสือเกา
และหายากดังกลาวควรเปนราคาเทาใด ดังนี้ยอมเห็นไดวา การแสดงเจตนาในอุทาหรณ ๑) นั้นยัง
เรียกไมไดวาแนนอนถึงขนาดที่จะเปนคําเสนอได ดวยเหตุนี้เองผูซื้อจึงไมมีสิทธิเรียกรองตอผูขาย
ดวยประการใด ๆ สวนกรณีตามอุทาหรณ ๒) นั้นถือไดวา สัญญาซื้อขายรายนี้เกิดขึ้นแลวตามราคา
ทองตลาด
โดยทั่วไปการจะถือวาคําเสนอมีความแนนอนชัดเจนเพียงพอได ยังตองเปนกรณีที่
คูกรณีแตละฝายรูวาคูกรณีอกี ฝายหนึ่งเปนใครดวย ทั้งนี้เพราะการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะเขาทํา
สัญญาผูกพันกับบุคคลใด บุคคลนั้นยอมประสงคจะรูตัวคูสัญญา และยอมถือวาคุณสมบัติ
เฉพาะตัวของคูกรณีอีกฝายหนึ่งเปนสาระสําคัญ โดยเฉพาะสัญญาที่ตองปฏิบัติตางตอบแทนกัน
เปนระยะเวลานาน เชนสัญญาเชา คูกรณีตองมีความไวเนื้อเชื่อใจกันจึงจะตกลงผูกพันกัน
คุณสมบัติเฉพาะตัวของคูสญ ั ญาจึงนับเปนสาระสําคัญ อยางไรก็ดีมสี ัญญาบางประเภทที่ผูเขาทํา
สัญญาไมถือเอาคุณสมบัติเฉพาะตัวของคูส ัญญาเปนสาระสําคัญ และไมประสงคจะคัดเลือกบุคคล
เฉพาะรายเปนคูสัญญา เชนการประกาศขายของในตลาดสาธารณะแกผเู ดินผานไปมา หรือการ
ติดตั้งเครื่องจําหนายเครื่องดืม่ อัตโนมัติโดยใหผูซื้อหยอดเหรียญเลือกซื้อเอาเอง หรือในบางกรณีก็
เปนกรณีทกี่ ารทําคําเสนอแกบุคคลเฉพาะรายเปนสิ่งที่ยากจะกระทําได หรือเปนไปไมไดเอา
เสียเลย ในกรณีเชนนี้ อาจมีกรณีที่บุคคลอาจทําคําเสนอตอสาธารณชนได เราเรียกกรณีเชนนีว้ า
การทําคําเสนอแบบ ad incentas personas
ตัวอยาง เชนการติดตั้งเครื่องขายสินคาอัตโนมัติถือวาเปนการทําคําเสนอขายสินคา
ตอสาธารณชนโดยไมเลือกหนา แตทั้งนีค้ วรเขาใจดวยวาคําเสนอนั้น ๆ เปนคําเสนอขายสินคา
โดยมีขอจํากัด คือเสนอขายเฉพาะเทาที่มีอยูในชองเก็บสินคาของเครื่องอัตโนมัตินั้นและเทาที่
เครื่องจะยังอยูใ นสภาพใชงานไดเทานั้น นอกจากนี้ การใหบริการรถเมลหรือรถรางโดยนําเอารถ
ออกวิ่งรับคนโดยสารจัดเปนการทําคําเสนอทําสัญญารับขนตอสาธารณชนทัว่ ไปโดยไมเจาะจง
เชนเดียวกัน
๖๒
ค) ในการพิจารณาการแสดงเจตนาแตละครั้งวาจะเปนคําเสนอหรือไม จะตองพิเคราะห
เสียกอนวา กรณีนั้น ๆ เปนกรณีที่ผูแสดงเจตนาประสงคผูกพันตนเมื่อคูกรณีอีกฝายหนึ่งแสดง
เจตนาสนองรับหรือไม หรือเพียงแตเปนการแสดงเจตนาที่มุงเชิญชวนใหอีกฝายหนึ่งทําคําเสนอ
(invitio ad offerendum) เทานั้น การเชิญชวนใหทําคําเสนอนั้นตางจากคําเสนอ เพราะคําเชิญชวน
เปนแตเพียงการเชื้อเชิญใหอกี ฝายหนึ่งทําคําเสนอโดยฝายที่เชิญชวนจะเปนผูเลือกวาตนจะทําคํา
สนองหรือไมเทานั้น๒
การประกาศแจงความแกสาธารณะ เชนการลงแจงความโฆษณาขายสินคาใน
หนังสือพิมพ การสงคําโฆษณาเชิญชวนใหซื้อสินคาทางไปรษณีย การสงบัญชีหรือรายการสินคา
ไปให เชนการสงรายชื่อหนังสือพรอมแจงราคากํากับไว หรือการนําสินคาออกแสดงในหองแสดง
สินคานั้น ลวนแลวแตเห็นไดวาเปนการแสดงเจตนาโดยผูแสดงเจตนานั้น ๆ มิไดประสงคที่จะ
ผูกพันทันทีทคี่ ูกรณีอีกฝายหนึ่งตกลงตามที่โฆษณา และยังถือไมไดวาเปนคําเสนอ ถาหากจะถือ
วาคําบอกกลาวเชนนัน้ เปนคําเสนอก็เทากับเปดชองใหบคุ คลจํานวนมากเขาทําสัญญากับผูทําคํา
บอกกลาวดังกลาวไดโดยเพียงแตสงคําสนองมายังผูบอกกลาวนั้นๆ ดังนี้อาจเกิดสัญญาขึ้น
มากมายนับไมถวนในคราวเดียวก็ได หากผูทําคําบอกกลาวตอสาธารณชนไมสามารถจัดหาสินคา
มาสงมอบแกอีกฝายหนึ่งได ผูทําคําบอกกลาวอาจตองตกเปนผูละเลยไมชําระหนี้ของตน และตอง
รับผิดตอคูสัญญาเหลานั้นเพือ่ การไมชําระหนี้และอาจตองชดใชคาสินไหมทดแทนแกบุคคลเปน
จํานวนมากได นอกจากนั้นผูทําคําเสนอโดยทั่วไปยอมถือวาความสามารถชําระหนีข้ องคูกรณีเปน
คุณสมบัติอันเปนสาระสําคัญในการทําสัญญา ดังนั้นหากเขาทําคําบอกกลาวแกคนทั่วไปแลวเรา
ถือวาเปนเพียงการเชิญชวนใหทําคําเสนอก็ยอมสมประโยชนแกผูทําคําบอกกลาว เพราะในชั้น
แรกนี้ เขาก็ยอมไมจําเปนตองคํานึงถึงคุณสมบัติของอีกฝายหนึ่งจนกวาอีกฝายหนึ่งนัน้ จะทําคํา
เสนอมายังผูทําคําบอกกลาวเสียกอน และผูทําคําบอกกลาวรายแรกยอมมีสิทธิเลือกวาจะรับคํา
เสนอเชนนั้นหรือไมอีกทอดหนึ่ง
ตามอุทาหรณ ๓) นั้น ค. จะมีสิทธิเรียกรองใหผูขายสงมอบเสื้อได หากปรากฏวา
สัญญาซื้อขายระหวาง ค. กับ ก. เกิดขึน้ แลว แตกรณีนหี้ าไดมีสัญญาระหวาง ค. กับ ก. ผูขายแต
อยางใดไม ทัง้ นี้เพราะการนําเสื้อออกแสดงในหองแสดงสินคาเปนแตเพียงการเชิญชวนใหผูพบ
เห็นทําคําเสนอซื้อเทานั้น ในกรณีตามอุทาหรณนี้ ค. ไดทําคําเสนอเมื่อไดพบเห็นและเดินเขามา
๖๓
ในรานของ ก. และแสดงเจตนาเสนอซื้อเสื้อที่แสดงอยู เมื่อ ก. ไดปฏิเสธคําเสนอของ ค. สัญญา
ซื้อขายยอมไมเกิดขึ้น ในทํานองกลับกัน สัญญาซื้อขายเสื้อรายนี้เกิดขึน้ ระหวาง ก. กับ ข. แลว
โดย ข. เปนฝายเสนอซื้อทางโทรศัพทและ ก. เปนฝายสนอง อยางไรก็ดี ผลทางกฎหมายอาจตาง
ออกไป หากถือวาการตั้งแสดงสินคาในตูแ สดงสินคาเปนการทําคําเสนอ ผลก็จะกลายเปนวาการที่
ข. บอกกลาวมายัง ก. เพื่อขอซื้อเสื้อทางโทรศัพทก็ดี หรือการที่ ค. เขาไปในรานและบอกกลาวขอ
ซื้อเสื้อโดยตรงก็ดี ลวนแตทําใหสัญญาซื้อขายเกิดขึน้ ทัง้ สิ้น แตการที่ ก. มีเสื้ออยูเพียงตัวเดียว
ยอมมีผลให ก. สามารถปฏิบัติตามสัญญาโดยสงมอบเสื้อแกเจาหนีไ้ ดเพียงรายเดียว และอาจตอง
รับผิดเพื่อการชําระหนีแ้ กเจาหนี้รายอื่น ๆ เชน ค. ได
ขอแตกตางในผลทางปฏิบัติระหวางคําเสนอกับคําบอกกลาวเชิญชวนใหทําคําเสนอ
นั้นจะเห็นไดชัดขึ้นในกรณีที่มีการแจงหรือแสดงราคาผิดพลาด
ตัวอยางเชน ในการแจงราคาเสื้อผาที่แสดงไวในตูแสดงสินคา หากมีการแจงราคา
หรือติดปายราคาผิด เชนเสื้อราคา ๙๐๐ บาท แตกลับแจงเปน ๗๐๐ บาท ดังนี้ถาเปนกรณีทําคํา
เสนอและลูกคาตกลงซื้อเสื้อในราคาที่แสดงไว ดังนี้สัญญายอมเกิดขึน้ กรณีเชนนี้ผูขายมีทางปด
ความผูกพันไดโดยอางวา แจงราคาพลาดไปโดยสําคัญผิดในสาระสําคัญ (มาตรา ๑๕๖ ปพพ.)
เวนเสียแตวาผูขายประมาทเลินเลออยางรายแรง ผูขายจะอางโมฆะกรรมไมได (มาตรา ๑๕๘
ปพพ.) อยางไรก็ดี โดยที่กรณีดังกลาวเปนกรณีเชิญชวนใหทําคําเสนอ ดังนี้หากมีผูตองการซื้อผู
ซื้อยอมเปนฝายทําคําเสนอ และผูขายยอมมีสิทธิปฏิเสธไมขายตามราคาปายได ในกรณีเชนนี้
สัญญาซื้อขายยอมไมเกิดขึ้นและไมจําเปนตองมีการบอกลางการแสดงเจตนาหรืออางโมฆะกรรม
แตประการใด
๑.๒ ผลของคําเสนอ
ก) คําเสนอยอมผูกพัน
หลักคําเสนอยอมผูกพันหมายความวาผูทําคําเสนอไมอาจบอกถอนคําเสนอเสียได
จนกวาจะพนเวลาอันควรคาดหมายไดวาอีกฝายหนึ่งจะทําคําสนอง๓ หลักการขอนี้ใชไดทั้งกรณี
ทําคําเสนอตอผูอยูเฉพาะหนา และผูอยูหางโดยระยะทาง (มาตรา ๓๕๕, ๓๖๖ ปพพ.) ตราบเทาที่
๖๔
คําเสนอยังคงมีผลผูกพันผูเสนอใหไมอาจบอกถอนคําเสนอไดอยูนี้ ผูร ับคําเสนอยอมมีสิทธิเลือก
คือจะเลือกสนองรับคําเสนอ หรือจะเลือกบอกปดคําเสนอก็ได
คําเสนอที่จะมีผลผูกพันผูทําคําเสนอใหไมอาจบอกถอนไดนั้น จะตองปรากฏดวยวา
๑) ไดมีการสงคําเสนอไปยังผูรับแลว และ
๒) คําเสนอนั้นไดไปถึงผูรับแลว
แตถาปรากฏวา คําเสนอยังขาดองคประกอบขอใดขอหนึง่ คําเสนอนั้นยอมยังไมมีผล
ผูกพันใหผูทําคําเสนอไมอาจถอนคําเสนอเสียได และในกรณีเชนนี้ ผูทําคําเสนอยอมมีสิทธิบอก
ถอนคําเสนอเสียได
อยางไรก็ดี มีบางกรณีที่กฎหมายยอมใหผทู ําคําเสนอบอกถอนคําเสนอไดเปนกรณี
ยกเวนเฉพาะกรณี เชน ในการขายทอดตลาดนั้น ผูขายทอดตลาดจะเชิญชวนใหมีผูทําคําเสนอซื้อ
ทรัพยสินที่ขายทอดตลาด ผูท ําคําเสนอนี้เรียกวาผูสูราคา ปกติผูขายทอดตลาดจะตกลงขาย
ทรัพยสินแกผูสูราคาสูงสุดดวยการเคาะไม หากมีการเคาะไมก็ถือวาผูขายทอดตลาดทําคําสนองคํา
เสนอของผูสูราคาและสัญญายอมเกิดขึน้ แตกอนที่ผูขายทอดตลาดจะเคาะไมกฎหมายกําหนด
ขอยกเวนหลักคําเสนอยอมผูกพันไวเปนกรณีพิเศษโดยกําหนดวา ผูสูราคาในการขายทอดตลาดจะ
บอกถอนคําสูราคาของตนเสียเมื่อใดก็ได (มาตรา ๕๐๙ ปพ พ.)
ข) คําเสนอนั้นอาจจํากัดเวลาผูกพัน หรือจะกําหนดขอยกเวนความผูกพันไวแตแรกก็ได
๑) การแสดงเจตนาทําคําเสนอโดยยกเวนหรือสงวนความผูกพันอาจมีได ไดแก
กรณีที่การแสดงเจตนาทําคําเสนอนั้นกําหนดขอยกเวนหรือสงวนสิทธิบอกปดความผูกพันไวแต
ตน หรือกรณีมีทําเสนอแลวแตตอมาผูเสนอไดบอกกลาวเพิกถอนคําเสนอไปถึงผูรับคําเสนอกอน
หรือพรอมกับคําเสนอ
ตัวอยางเชน ในทางการคาผูประกอบกิจการคาอาจทําคําเสนอไปยังคูคาในรูป
non-binding clause หรือ non obligo ก็ได ซึ่งหมายถึงคําบอกกลาวเสนอที่ผูเสนอขอสงวนสิทธิที่
จะปฏิเสธความผูกพันเมื่ออีกฝายหนึ่งทําคําสนองมายังตน ซึ่งจะมีผลใหสัญญาไมเกิดขึ้น แตกรณี
เชนนี้ผูทําคําเสนอจะตองบอกกลาวปดคําสนองทันที่ที่ตนไดรับคําสนอง หากผูทําคําเสนอมิได
บอกปดคําสนองทันที ยอมถือไดวาสัญญาเกิดขึ้น ขอความที่มีลักษณะสงวนสิทธิที่จะผูกพันหรือ
ปดความผูกพันดังกลาวนั้น อาจแสดงออกในรูปสิทธิบอกเลิกสัญญาฝายเดียวก็ได โดยถือวา non-
obligo เปนสวนหนึ่งของขอสัญญา ดังนี้คําเสนอยอมผูกพันผูทําคําเสนอ หากอีกฝายหนึ่งทําคํา
สนองสัญญายอมเกิดขึ้น แตฝายที่ทําคําเสนอยอมมีสิทธิฝายเดียวที่จะบอกกลาวเลิกสัญญานั้นได
ทันที (มาตรา ๓๘๖ ปพพ.)
๖๕
๒) การที่คําเสนอมีผลผูกพันผูทําคําเสนอนี้ หากเปนการทําคําเสนอโดยไม
กําหนดเวลา ยอมเปนไปตามหลักที่วา คําเสนอยอมผูกพันแตไมอาจผูกพันตลอดไป ดวยเหตุนี้
ผูทําคําเสนอยอมมีสิทธิที่จะปลดความผูกพันไดเสมอ ดวยการทําใหคาํ เสนอของตนสิ้นผลไปได
ดังจะไดกลาวตอไป
๑.๓ คําเสนอสิ้นความผูกพัน
ก) คําเสนอยอมสิน้ ผลเมื่อคูกรณีอีกฝายหนึง่ บอกปดและคําเสนอยอมสิ้นผลไปเมื่อพน
กําหนดเวลาใหทําคําสนอง (มาตรา ๓๕๗ ปพพ.) แตคําเสนอนั้นโดยทัว่ ไปยอมไมสิ้นผลไปเพราะ
เหตุที่ผูทําคําเสนอตาย หรือถูกศาลสั่งใหเปนคนไรความสามารถ (มาตรา ๑๖๙ วรรคสอง ปพพ.)
ทั้งนี้เปนไปตามหลักวาดวยความศักดิ์สิทธิแ์ หงเจตนานัน่ เอง
๖๖
๒) ในกรณีที่ผูรับคําเสนอมิไดทําคําสนองภายในกําหนด คําเสนอนั้นยอมสิน้ ความ
ผูกพันเชนกัน (มาตรา ๓๕๗ ปพพ.)
(ก) กรณีคําเสนอมีกําหนดเวลา ผูท ําคําเสนออาจกําหนดเวลาใหทําคําสนอง โดย
กําหนดเวลาแนนอนใหทําคําสนองเชน ระบุกําหนดเวลาไววาคําเสนอมีผลจนถึงวันใด เชนถึงวันที่
๑๐ ธันวาคม หรือกําหนดระยะเวลาวามีผลเปนเวลา ๑ สัปดาหก็ได
โดยที่ผูทําคําเสนอยอมประสงคจะรูแนวาสัญญาเกิดขึ้นหรือไม และตนยังตอง
ผูกพันตามคําเสนอของตนอยูหรือไม ดังนีก้ ารกําหนดเวลาทําคําเสนอจึงตองตีความตามเจตนาที่
แทจริงของผูทําคําเสนอ เชนหากกําหนดวาคําเสนอมีผล ๑ สัปดาห การเริ่มนับเวลาในกรณีเชนนี้
อาจมีปญหาวาจะเริ่มนับตั้งแตวันที่ทําคําเสนอ หรือวันทีป่ รากฏในคําเสนอ หรือจะนับตั้งแตวนั ที่
คําเสนอไปถึงผูรับ ในกรณีนี้หากถือเอาเจตนาของผูทําคําเสนอเปนเกณฑกจ็ ะเห็นไดวา วันที่ทําคํา
เสนอยอมเปนคุณแกผูทําคําเสนอใหรูกําหนดแนนอนไดยิ่งกวาวันที่คําเสนอไปถึงผูรับคําเสนอ
และกําหนดสิน้ สุดระยะเวลาก็ตองนับเวลาที่คําสนองมาถึงผูรับเปนเกณฑ ไมใชนับวันที่มีการสง
คําสนองมายังผูรับ เชนกําหนดใหคําเสนอมีผล ๗ วัน ก็ตองนับตั้งแตวันที่ทําคําเสนอ และคํา
สนองจะตองสงถึงผูรับภายใน ๗ วัน หากคําสนองมาถึงภายหลังยอมตองสันนิษฐานวาคําเสนอสิ้น
ความผูกพันไปแลว๕
อยางไรก็ตามผูทําคําเสนออาจกําหนดไวเปนอยางอื่นก็ได เชนกําหนดวา ใหสง
คําสนองภายในเวลาที่กําหนด ดังนี้ตองนับวันที่สงคําสนองเปนเกณฑ นอกจากนี้ ถาไมไดตกลง
กัน กําหนดเวลายังอาจอนุมานไดจากพฤติการณแวดลอมดวย เชนในคําเสนอไดกลาวไววา
“โปรดตอบทางโทรเลข” ดังนี้ยอมตีความเจตนาของผูทําคําเสนอไดวากําหนดเวลาผูกพันตามคํา
เสนอยอมตองสั้นกวากําหนดเวลาปกติในการสนองรับโดยสงคําบอกกลาวทางจดหมายหรือทาง
ไปรษณียธรรมดา
(ข) ในกรณีที่ผูทําคําเสนอไมไดกําหนดระยะเวลาไว ดังนี้ระยะเวลาผูกพันตามคํา
เสนอยอมเปนไปตามที่กฎหมายกําหนด
จะเห็นไดวากรณีมีการทําคําเสนอตอผูอยูเฉพาะหนานั้น โดยที่ผูอยูเฉพาะหนา
หมายถึงผูที่สามารถสื่อสารกันใหรับรูเขาใจกันไดในทันที หากอีกฝายหนึ่งจะทําคําสนองก็จะตอง
ทําคําสนองทันที มิฉะนั้นคําเสนอยอมสิ้นผลไป (มาตรา ๓๕๖, ๓๕๗ ปพพ.)
๖๗
อนึ่ง ถาผูรับคําเสนอทางโทรศัพทตอบไปยังผูเสนอวา ตนเองขอเวลาไตรตรอง
กอน โดยจะโทรศัพทติดตอกลับไปภายในเวลาที่แนนอน เชนภายใน ๑ ชั่วโมง และหากผูทําคํา
เสนอตอบตกลง ดังนี้ยอมถือไดวาคําเสนอดังกลาวแปรสภาพไปจากคําเสนอที่ไมมีกาํ หนดเวลา
และปกติตองสนองรับทันที และกลายเปนคําเสนอที่มีกําหนดเวลาใหทาํ คําสนองภายใน ๑ ชัว่ โมง
ตามที่ตกลงกัน
แตถาการทําคําเสนอนั้นเปนการทําคําเสนอแกผูอยูห างโดยระยะทาง ดังนี้ผู
รับคําเสนอยอมทําคําสนองไดภายในระยะเวลาอันควรคาดหมายไดวาจะทําคําสนอง การจะคิด
คํานวณวาระยะเวลาอันควรคาดหมายเชนนั้นกินเวลานานเพียงใด ตองคิดคํานวณจากระยะเวลาที่
คําเสนอเดินทางไปถึงผูรับชวงหนึ่ง และระยะเวลาที่ผูรบั คําเสนอจะใชในการใครครวญ
ประกอบการตัดสินใจอีกชวงหนึ่ง และระยะเวลาที่เสียไปในการสงคําสนองมายังผูรับอีกชวงหนึ่ง
รวมเวลาเปน ๓ ชวงเวลา
ในการคํานวณระยะเวลาขางตนนี้ เราตองคํานึงถึงเวลาตามปกติในการสงคํา
เสนอทางไปรษณีย หรือการสงคําเสนอโดยทางอื่น คํานึงถึงกรณีที่คําเสนอไปถึงสถานที่
ประกอบการของผูรับในวันหยุดประกอบกิจการตามปกติ คํานึงถึงเวลาที่ผูรับจะตองใชในการ
ไตรตรองกอนตัดสินใจตามระดับความสําคัญ ขนาด และพฤติการณของเรื่องแตละเรือ่ ง ดังนี้ใน
อุทาหรณ ๔) เราอาจถือไดวาการสงคําเสนอไปในวันที่ ๓ และหากตามปกติจดหมายยอมไปถึง
ภายใน ๑ วัน ก็สันนิษฐานไดวาจดหมายจะไปถึงผูรับในวันรุงขึ้นคือวันที่ ๔ และถาผูรับคําเสนอ
ตอบจดหมายในวันเดียวกันและสงกลับมายังผูทําคําเสนอภายในวันรุงขึน้ คือวันที่ ๕ จดหมายนั้น
ยอมมาถึงผูทําคําเสนอภายในวันที่ ๖ รวมเวลา ๓ วัน ดังนั้นระยะเวลาที่ควรคาดหมายไดวาจะได
รับคําบอกกลาวสนองในกรณีนี้คือ ๓ วัน และคําเสนอยอมผูกพัน ๓ วัน
ในกรณีที่มีเหตุการณผิดปกติเกิดขึ้น เชนมีการนัดหยุดงาน มีการประทวง หรือ
คูกรณีอีกฝายหนึ่งเกิดเจ็บปวยตองเขารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และผูทําคําเสนอรูวามี
เหตุการณเชนนั้น ดังนีก้ ําหนดระยะเวลาควรคาดหมายวาจะไดรับคําบอกกลาวสนองยอมสะดุด
หยุดอยูจนกวาเหตุการณไมปกตินั้นจะผานพนไป
จากตัวอยางตาง ๆ ที่ไดกลาวแลวนี้ เราควรสังเกตวา กฎหมายไมอาจกําหนด
ระยะเวลาใหแนนอนตายตัวลงไปได และอาจกอใหเกิดความไมแนนอนขึ้น ทําใหสง สัยไดวา
๖๘
ระยะเวลาที่ควรคาดหมายในแตละกรณีนั้นควรกินเวลานานเพียงใด๖ ดวยเหตุนี้ จึงยอมรับกันวา
การทําคําเสนอที่สําคัญ ๆ นั้น ควรกําหนดเวลาใหทําคําสนองที่แนนอนชัดเจนกํากับไวดว ยเสมอ
๓) ความตายหรือความไรความสามารถไมทําใหคําเสนอที่สง ไปแลวสิ้นความ
ผูกพัน (มาตรา ๑๖๙ วรรคสอง ประกอบกับมาตรา ๓๖๐ ปพพ.)
ดวยเหตุนี้หากผูทําคําเสนอถึงแกความตายระหวางที่สงคําเสนอไปแลว ดังนี้คํา
เสนอนั้นยอมมีผลอยู และผูรับคําเสนอยอมทําคําสนองโดยมีผลกอใหเกิดสัญญาได กรณีที่ผูทํา
คําเสนอตายหลังจากสงคําเสนอไปแลวนี้ ไมวาจะตายกอนหรือหลังเวลาที่คําเสนอไปถึงผูรับก็ตาม
คําเสนอนั้นก็ยอ มมีผลอยู และคูกรณีอีกฝายหนึ่งยอมทําคําสนองใหเกิดสัญญาขึ้นได ในกรณี
เชนนี้ผูทําคําสนองตองทําคําสนองไปยังทายาท หรือกรณีที่ผูเสนอกลายเปนคนไรความสามารถ ก็
ตองทําคําสนองไปยังผูแทนโดยชอบธรรมของคนไรความสามารถ อันไดแกผพู ิทักษ หรือผู
อนุบาลแลวแตกรณี
อยางไรก็ดี ถาปรากฏวาการที่คําเสนอไมสิ้นผลไปนั้น ขัดกับเจตนาที่ผูทําคําเสนอได
แสดงออก หรือเห็นไดวาขัดตอความประสงคผูกพันตนของผูทําคําเสนอ ดังนี้หลักที่วาคําเสนอไม
สิ้นผลไปยอมไมใชบังคับ และตองถือวาคําเสนอยอมสิ้นผลไป (มาตรา ๓๖๐ ปพพ.) แตในเมื่อ
ผูทําคําเสนอนั้นโดยปกติยอมไมรูวาตนอาจจะถึงแกความตาย หรือกลายเปนผูไรความสามารถ
ดังนั้นการจะพิจารณาวาการที่คําเสนอไมสิ้นผลไปจะขัดตอเจตนาของผูทําคําเสนอหรือไมจึงตอง
พิจารณาจากเจตนาอันพึงสันนิษฐานได (hypothetic will) ของผูทําคําเสนอเปนสําคัญ คือตอง
พิเคราะหวา หากผูทําคําเสนอรูวาตัวจะตายหรือกลายเปนผูไรความสามารถ เขายังประสงคจะทํา
คําเสนอเชนนัน้ หรือไม เชนเราอาจอนุมานไดวา ผูเสนอยอมไมสั่งซื้อของใชสวนตัว หรือ
ทรัพยสินที่ใชเฉพาะตัว แตอาจจัดหาทรัพยสินหรือของใชในกิจการปกติ อยางไรก็ดี เรายังตอง
คํานึงถึงประโยชนไดเสียของคูกรณีอีกฝายหนึ่งดวยเสมอ กลาวคือตองเปนกรณีที่ผูไดรับคําเสนอ
ยอมคาดเห็นไดดวยวาหากผูเ สนอรูตัววาจะตายก็คงไมแสดงเจตนาเชนนั้น ในกรณีเชนนี้จึงจะถือ
ไดวาคําเสนอนั้นสิ้นผลไปแลวตั้งแตเวลาที่ผูทําคําเสนอถึงแกความตาย หรือกลายเปนผูไร
ความสามารถ
สวนกรณีที่ผเู สนอมิไดถึงแกความตาย แตฝายผูรับคําเสนอถึงแกความตายเสียเอง มี
กรณีที่ตองแยกพิจารณาดังตอไปนี้
๖๙
ถาผูรับคําเสนอตายกอนคําเสนอมาถึง คําเสนอยอมมาไมถึงผูรับ และตองพิจารณา
ดวยวา ผูทําคําเสนอประสงคจะทําคําเสนอตอผูรับโดยเฉพาะตัว หรือประสงคจะทําคําเสนอตอ
ทายาทของผูรับคําเสนอดวย ถามิไดประสงคจะทําคําเสนอเฉพาะตัวผูร ับ แตหมายรวมไปถึง
ทายาทดวย ดังนี้ยอมถือไดวา คําเสนอยอมมีผลตอทายาทของผูรับคําเสนอดวย
ถาผูรับคําเสนอตายหลังคําเสนอไปถึงผูรับแลว ดังนีต้ องพิจารณาวา ทายาทเปนผูมี
สิทธิทําคําสนองหรือไม ซึ่งตองพิจารณาจากเจตนาของผูเสนอวาประสงคจะผูกพันกับทายาทของ
ผูรับหรือไมเชนเดียวกัน
แตถาผูรับคําเสนอตายหลังจากผูรับไดสงคําสนองไปยังผูเสนอแลว แตกอนที่จะทํา
คําสนองจะไปถึงผูรับ ดังนี้ก็ตองกลับไปพิจารณาตามหลักความมีผลแหงเจตนา คือเจตนาที่
สงออกไปแลวยอมไมสิ้นผลไปแมผูแสดงเจตนาจะถึงแกความตาย (มาตรา ๑๖๙ วรรคสอง ปพพ.)
ดังนี้คําสนองนั้นยอมมีผล ดังนั้นเมื่อคําสนองไปถึงผูรับภายในกําหนด สัญญายอมเกิดขึ้น
ข) โดยที่คําเสนอยอมสิ้นผลไปเมื่อพนกําหนดเวลาทําคําสนอง ดังนั้นหากคําเสนอสิ้น
ผลไปแลว แมจะมีการทําคําสนอง คําสนองนั้นก็ไมอาจจะตองตรงกับคําเสนอที่สิ้นผลไปแลวได
และไมมีทางกอใหเกิดสัญญาขึ้นไดอีก
กรณีที่มีการทําคําสนองภายในกําหนดและสงไปยังผูรับภายในกําหนดอันควร
คาดหมายใหทาํ คําสนอง แตเกิดเหตุลาชาขึน้ ในระหวางการสงเจตนา เปนเหตุใหคําสนองไปถึง
ผูรับเมื่อพนเวลาทําคําสนองแลว เปนกรณีคําสนองมาถึงลวงเวลา ในกรณีเชนนีก้ ฎหมายถือหลักวา
ผูเสนอควรไดรับการคุมครอง กลาวคือกรณีที่คําสนองมาถึงลวงเวลา กฎหมายถือวาคําสนองนั้น
กลายเปนคําเสนอขึ้นใหม และสัญญายอมไมเกิดขึ้น (มาตรา ๓๕๙ ปพพ.) แตในกรณีที่เห็น
ประจักษวาคําบอกกลาวนัน้ ไดสงทางการซึ่งตามปกติควรจะมาถึงภายในกําหนด แตกลับมาถึง
ลวงเวลา ดังนีแ้ มตามหลักทัว่ ไปสัญญายอมไมเกิดขึ้น แตกฎหมายก็ยังใหความคุมครองผูทําคํา
สนองดวยการกําหนดหนาทีใ่ หผูทําคําเสนอตองบอกกลาวแกอกี ฝายหนึ่งโดยพลันวาคําสนอง
มาถึงลวงเวลาหรือเนิ่นชา (มาตรา ๓๕๘ วรรคแรก ปพพ.) มิฉะนั้นกฎหมายจะถือวาคําสนองนั้น
มิไดลวงเวลา (มาตรา ๓๕๘ วรรคสอง ปพพ.) และสัญญายอมเกิดขึน้ ทั้งนี้เปนไปตามหลักการชั่ง
น้ําหนักประโยชนไดเสียของผูเกี่ยวของใหสมดุลกันนัน่ เอง
๗๐
๒. คําสนอง
๒.๑ ความหมายของคําสนอง
ก) คําสนอง (acceptance) เปนการแสดงเจตนาที่ตองการผูรับ ซึ่งมุงแสดงความประสงค
สนองรับคําเสนอของผูเสนอเพื่อกอความผูกพันทางสัญญาระหวางกัน
(๑) โดยที่การทําคําสนองเปนการแสดงเจตนาที่ตองการผูรับ ดังนั้นความมีผลของ
คําสนองยอมเปนไปตามหลักการแสดงเจตนา คือไมวาจะเปนคําสนองตอผูอยูเฉพาะหนา หรือตอ
ผูอยูหางโดยระยะทาง คําสนองนั้นยอมมีผลก็ตอเมื่อไปถึงผูรับแลว
(๒) นอกจากเรื่องกําหนดเวลานทําคําสนองแลว ผูทําคําเสนออาจตั้งเงื่อนไขอื่น ๆ
มาพรอมกับคําเสนอก็ได เชนกําหนดใหทาํ คําสนองโดยใหพนักงานเจาหนาที่หรือพนักงานกงสุล
(ในกรณีอยูต างประเทศ)รับรองลายมือชื่อ (Legalization) ของผูสนอง หรือกําหนดใหผูสนองตอง
ยื่นคําสนองดวยตนเอง แมวา กฎหมายจะมิไดกําหนดใหตองกระทําก็ตาม
(๓) คําสนองตองเปนการแสดงเจตนาตอบตกลงรับคําเสนอ ดังนั้นคําสนองตองได
แสดงออกโดยเชื่อมโยงกันกับคําเสนอดวย ดังนั้นถาตางฝายตางแสดงเจตนาตองตรงกันโดย
เอกเทศ (cross offers)๗ โดยมิไดเปนการแสดงเจตนา “เสนอ-สนอง” กันดังนี้สัญญายอมไมเกิดขึ้น
หรือหากผูรับคําเสนอมิไดมเี จตนาสนองเลย แมผูทําคําเสนอจะไดกระทําการตามความประสงค
ของผูเสนอก็ไมอาจเกิดสัญญาขึ้นได๘
(๔) เนื้อหาแหงคําสนองจะตองตรงกันกับคําเสนอ จึงจะเรียกไดวาเปนกรณี “เสนอ-
สนองตองตรงกัน” หากคําเสนอสนองไมตองตรงกันสัญญายอมเกิดขึ้นไมได
๗ คดี cross offers ที่มีชื่อเสียงมากของโลกคดีหนึ่งคือคดี Tin v. Hoffmann & Co. (1873), 29 L.T. 271 ในคดี
ดังกลาวนี้ปรากฏวา จําเลย คือบริษัท Hoffmann ไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๗๑ ถึง
โจทกเสนอขายเหล็ก ๘๐๐ ตัน ราคาตันละ ๖๙ ชิลลิ่ง และในวันเดียวกันนั้นเอง โจทกก็ไดมีหนังสือเสนอ
ขายเหล็กจํานวน ๘๐๐ ตัน ราคาตันละ ๖๙ ชิลลิ่งใหแกจําเลย ปรากฏวาจดหมายทั้งสองฉบับสวนทางกัน
ทางไปรษณีย ตอมาโจทกจึงฟองวาเกิดสัญญาซื้อขายเหล็ก ๘๐๐ ตัน ราคาตันละ ๖๙ ชิลลิ่ง ปรากฏวาคดีนี้
ศาลอังกฤษตัดสินวาสัญญาไมเกิดขึ้นเพราะไมปรากฏวามีคําเสนอสนองตองตรงกัน
๘ ฎีกาที่ ๘๓๕/๒๕๒๑ ๒๕๒๑ ฎ.๕๑๒ ก. ใหการตอกรรมการชวยเหลือชาวนาชาวไรวาหาก ข. จะซื้อที่
พิพาทก็จะขายใหในราคา ๔๐,๐๐๐ บาท และกรรมการไดบันทึกไว ตอมาอีก ๓ วัน ข. บอกกลาวแก
กรรมการวาตนยินดีซื้อที่พิพาทในราคา ๔๐,๐๐๐ บาท กรรมการก็บันทึกไว ดังนี้กรรมการไมใชตัวแทน
ของ ก. และ ข. คําใหการของ ก. และ ข. ตามบันทึกไมใชคําเสนอสนอง ไมมีสิญญาเกิดขึ้น
๗๑
ข) แมวาคําสนองจะเปนการแสดงเจตนาชนิดที่ตองมีผูรับ ซึ่งปกติคําสนองจะมีผลได
เมื่อสงไปถึงผูรับเสียกอน (มาตรา ๓๖๑ วรรคแรก ปพพ.) แตก็มีกรณีทกี่ ฎหมายยกเวนวาสัญญา
อาจเกิดขึ้นไดแมจะมิไดมีคําบอกกลาวสนองไปถึงผูรับ
(๑) ถามีปกติประเพณีวา การแสดงเจตนาสนองรับนั้นไมจําเปนตองทําเปนคําบอก
กลาวสนองสงไปถึงผูทําคําเสนอ หรือถาเปนกรณีที่ผูทําคําเสนอไดแสดงเจตนาสละสิทธิที่จะเรียก
ใหคูกรณีทําคําบอกกลาวสนอง ดังนี้สัญญายอมเกิดขึ้นเมื่อมีการแสดงเจตนาสนองแลว แมจะมิได
มีการทําคําบอกกลาวสนองไปยังผูเสนอก็ตาม ประเด็นสําคัญอยูที่ ผูสนองไดแสดงเจตนาสนองคํา
เสนอแลวหรือไม ซึ่งจะตองแสดงออกใหปรากฏเห็นประจักษ ไมใชเปนแตเพียงเจตนาภายใน
เทานั้น อยางไรก็ตามหากมีการอยางใดอยางหนึ่งเกิดขึ้นอันพอจะใหสันนิษฐานไดวาเปนการ
แสดงเจตนาสนองรับ ก็ถือไดวามีการแสดงออกใหปรากฏซึ่งเจตนาสนองรับคําเสนอแลว (มาตรา
๓๖๑ วรรคสอง ปพพ.)๙
กรณีที่มีปกติประเพณีวาไมจําเปนตองทําคําบอกกลาวสนองนี้ มีตัวอยางเชน
การจองหองพักในโรงแรม เพียงแตเจาหนาที่ของโรงแรมรับคําขอจองไว หรือจดบันทึกชื่อผูจอง
ลงสมุดรับจอง หรือจัดเตรียมหองไวให เทานี้ก็เพียงพอจะใหเกิดสัญญาจองหองพักแลว โรงแรม
ไมจําเปนตองบอกกลาวสนองมายังผูจอง หากผูจองไมเขาพักก็ตองผูกพันชําระคาทีพ่ ักแลว หรือ
กรณีการเสนอใหโดยเสนหา ดังนี้หากผูรับการแสดงเจตนาทําการอันหนึ่งอันใดอันพึงสันนิษฐาน
ไดวาเปนการแสดงเจตนาสนองรับให เชนเมื่อมีผูเสนอใหหนังสือโดยสงหนังสือมาทางไปรษณีย
หากผูรับรับหนังสือไวแลวเพียงแตทําเครื่องหมายหรือบันทีกขอความหรือวันที่ไวในปกหนังสือ
หรือขีดเขียนลงไปที่ใดทีห่ นึง่ หรือทําการอยางใด ๆ ใหพอเห็นไดวาผูรบั ถือเอาหนังสือนั้น ก็ถือได
วาเปนการอยางใดอยางหนึ่งซึ่งอาจนับวาไดสนองรับใหตามมาตรา ๓๓๖๑ วรรคสอง ปพพ. แลว
โดยไมตองทําเปนคําบอกกลาวสนองการใหไปยังผูเสนอใหแตอยางใด หรือกรณีการแจกหรือแถม
สิ่งของหรือสินคาทางไปรษณีย ผูแจกหรือใหอาจกําหนดใหผูรับทําการอยางใดอยางหนึ่งเชนการ
ขีดเครื่องหมายกากบาทลงไปในเอกสารทีแ่ นบมา ดังนี้ถือไดวาสัญญานั้น ๆ เกิดแลว แมวาผูทําคํา
เสนอจะยังไมไดทันรับรูถึงการทําคําสนองนั้น ๆ เลยก็ตาม
ดังนี้ในกรณีจองที่พักในโรงแรม ถาแขกไมเขาพัก แขกที่จองหองพักไวอาจตอง
รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน (คือคาโรงแรม) หรือในขณะเดียวกันก็อาจเรียกรองใหโรงแรมตอง
รับผิดฐานไมชําระหนี้ได ในกรณีทีโรงแรมเอาหองที่จองไวไปใหผูอนื่
๗๒
นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ไมจําเปนตองทําคําบอกกลาวสนองไปยังผูเสนอ ในกรณี
ที่ผูเสนอไดแจงวาคูกรณีไมตอ งบอกกลาวสนอง หรือสละสิทธิที่จะรอใหคําบอกกลาวสนองมาถึง
เสียกอน เชนในกรณีที่ทรัพยสินที่ซื้อขายเปนสิ่งที่มีราคาเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา ดังนี้การตกลง
ซื้อขายจึงตองการความ “ดวน” รวดเร็ว และไมตองรอใหสงคําบอกกลาวไปถึงผูเสนอเสียกอน ใน
กรณีเชนนี้ หากผูทําคําบอกกลาวสนอง หรือผูขายไดเจาะจงตัวทรัพยสนิ หรือแยกทรัพยสินที่ขาย
ออกมาบรรจุหีบหอ และจัดสงสินคาไปยังผูซื้อ ดังนี้ยอมถือไดวามีคําสนองและสัญญายอมเกิดขึน้
แลว แมวาผูซื้อจะยังไมทันไดรับคําบอกกลาวสนองหรือไดรับสินคาเลย
ในกรณีที่ถือวาสัญญาสําเร็จลงทันทีที่ไดแยกสินคาออกบรรจุหีบหอก็ยอมมีผล
ตอไปวา ผูรับคําเสนอและทําคําสนองผูกพันที่จะสงมอบสินคานั้นแกผซู ื้อเทานั้น ไมอาจจําหนาย
จายโอนทรัพยสินโดยขายทรัพยนั้นแกบุคคลอื่นอีกตอไป มิฉะนั้นผูขายจะตองรับผิดฐานผิด
สัญญา ในกรณีเชนนี้ผูสั่งซือ้ สินคายอมมีสิทธิเรียกใหผขู ายสงมอบสินคานั้นแกตนตามสัญญา
(หลักคุมครองผูทําคําเสนอ) อยางไรก็ดี หากสินคาที่สงไปยังผูสั่งซื้อเกิดหายไประหวางการขนสง
ดังนี้ผูขายซึ่งไดสงสินคาไปแลวยอมไดชื่อวาไดทําการทุกอยางเพื่อการสงมอบเรียบรอยแลว และมี
สิทธิเรียกใหผซู ื้อชําระราคา (มาตรา ๔๖๓ ประกอบมาตรา ๓๗๐ ปพพ.) ฝายผูสั่งซื้อสินคาไมอาจ
อางวาสัญญายังไมเกิดขึ้น เพราะคําเสนอของตนยังไมไดรับการสนองจากผูรับคําเสนอ เนื่องจากยัง
ไมมีการทําคําบอกกลาวสนองไปถึงผูเสนอ ทั้งนี้เพราะสัญญาซื้อขายไดสําเร็จลงแลวทันที่ที่ผูขาย
สงสินคาไปยังผูสั่งซื้อ (หลักคุมครองผูรับคําเสนอ)
ตัวอยางดังกลาวขางตนแสดงใหเห็นไดวา กรณีเหลานี้เปนเรื่องการทําคําสนอง
และการชําระหนี้พรอม ๆ กันไป (เชนการสํารองหองพักในโรงแรม, การสงสินคาตามสั่ง) และ
การเขาถือเอาหรือนําสินคาไปใช (เชนนําหนังสือที่เสนอขายไปให หรือนําหนังสือไปอาน)
๗๓
หรือเมื่อผูขายทอดตลาดถอนทรัพยสินจากการขายทอดตลาด ดังนี้คําเสนอของผูสูราคาก็สิ้นความ
ผูกพันเชนกัน (มาตรา ๕๑๔ ปพพ.)
๒.๒ ผลของคําสนอง
ก) เมื่อคําสนองมีเนื้อหาตองตรงกับคําเสนอ หากคําเสนอนัน้ ยังมิไดสิ้นผลไป คําเสนอ
สนองตองตรงกันยอมมีผลใหสัญญายอมเกิดขึ้น
๗๔
ตามทางการซึ่งปกติควรจะมาถึงภายในเวลากําหนด และผูเสนอมิไดบอกกลาวโดยพลันวาคํา
สนองนั้นมาถึงเนิ่นชา ดังนี้ กฎหมายวางขอยกเวนใหถือวาคําสนองนัน้ มิไดลวงเวลา (มาตรา
๓๕๘ วรรคสอง ปพพ.) และสัญญายอมเกิดขึ้น หากไมเขาขอยกเวนดังกลาว คําสนองที่มาถึง
ลวงเวลายอมไมกอใหเกิดสัญญาขึ้นได ทั้งนี้เนื่องจากคําเสนอเปนอันสิน้ ผลเพราะพนกําหนดเวลา
และสิ้นความผูกพันไปแลว ในกรณีเชนนี้ การทําคําสนองที่ลวงเวลาดังกลาวยอมกลายเปนคํา
เสนอขึ้นใหม
๒.๓ หนาที่ทําคําสนอง
ก) หลักสําคัญของหลักเสรีภาพในการทําสัญญาก็คือคูกรณีที่เจรจาตอรองกันนั้นยอมมี
อิสระที่จะรับหรือไมรับความผูกพันใด ๆ ดังนั้นผูรับคําเสนอยอมมีอิสระที่จะเลือกสนองหรือบอก
ปดคําเสนอก็ได
ข) อยางไรก็ดี มีขอยกเวนบางกรณีที่ทําใหผูรับคําเสนออาจมีหนาที่ทําคําสนองก็ได
อยางนอยในสองกรณีสําคัญ คือ
๑) ในกรณีที่คูกรณีทําสัญญาจะซื้อจะขาย โดยคูสัญญาตกลงผูกพันกันโดยสัญญา
ฉบับหนึ่งวา ทัง้ สองฝายตกลงผูกพันจะไปทําสัญญาอีกฉบับหนึ่งในภายหนา ทั้งนี้โดยฝานหนึ่งมี
สิทธิทําคําเสนอตอคูกรณีอีกฝายหนึ่ง โดยอีกฝายหนึ่งตกลงจะทําคําสนองเพื่อใหสัญญาฉบับหลัง
เกิดขึ้น ดังนี้เปนกรณีที่ผูรับคําเสนอมีหนาทีท่ ําคําสนอง ตัวอยางเชนสัญญาจะซื้อขายทีด่ ิน ชนิดที่
มีการตกลงเกีย่ วกับการโอนขายไวชดั เจนแลว สัญญาจะซื้อขายที่ดินชนิดนี้เปนสัญญาผูกพันวาจะ
เขาทําสัญญาซื้อขายที่ดินโดยจดทะเบียนซื้อขายกันอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งยอมมีขึ้นไดตามหลักเสรีภาพ
ในการทําสัญญา อยางไรก็ตาม นอกจากสัญญาจะซื้อจะขาย หรือจะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
เกี่ยวกับทีด่ ินแลว สัญญาผูกพันจะเขาทําสัญญาอีกฉบับหนึ่งนัน้ ยังมีใชในทางปฏิบัติไมมากนัก
๒) หนาที่ทําคําสนองโดยผลของกฎหมายอาจมีไดในกรณีทกี่ ฎหมายกําหนดใหผู
ประกอบกิจการบางประเภทที่มีวัตถุประสงคที่จะใหบริการสาธารณะมีหนาที่ใหบริการโดยทําคํา
สนองเมื่อมีผูขอใชบริการโดยไมเลือกหนา เชน บริการรถโดยสารสวนบุคคลรับจาง (มาตรา ๙๓
พรบ. จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒) และบริการขนสงมวลชน (มาตรา ๑๐๔, ๑๐๕ พรบ. ขนสงทาง
บก พ.ศ. ๒๕๒๒) หรือทํานองเดียวกันบริการรถไฟ, ไปรษณีย และการพลังงานอื่น ๆ เหลานี้
ผูประกอบการใหบริการสาธารณะเหลานั้นยอมมีหนาทีเ่ ขาทําสัญญากับผูขอใชบริการโดยผลของ
กฎหมายหรือขอบังคับเฉพาะในเรื่องนั้น ๆ หรือตามหลักวาดวยหนาที่ดําเนินงานใหสอดคลองกับ
วัตถุประสงคในการใหบริการสาธารณะ ในกรณีทกี่ ารปฏิเสธไมเขาทําสัญญาเปนการใชสิทธิ
๗๕
อันมีแตจะทําใหผูอื่นเสียหาย ดังนี้ผูประกอบการอาจตองรับผิดฐานละเมิดได (มาตรา ๔๒๑
ปพพ.)
๓. คําเสนอสนองในกรณีพิเศษ
๓.๑ คํามั่น
ในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยมีการกลาวถึงคํามั่นอยูหลายทีอ่ าทิเชน คํามั่นวาจะ
ใหรางวัล (มาตรา ๓๖๒ ปพพ.) คํามั่นในการซื้อขายทรัพยสิน (มาตรา ๔๕๖ วรรคสอง ปพพ.)
คํามั่นวาจะใหทรัพยสิน (มาตรา ๕๒๖ ปพพ.) การนําทรัพยออกใหเชาและใหคํามั่นวาจะขาย
ทรัพยนั้น ในสัญญาเชาซื้อ (มาตรา ๕๗๒ ปพพ.)
ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ไดวางหลักเกณฑเกี่ยวกับเรื่องคํามัน่ ไวเฉพาะเรื่อง
คํามั่นจะใหรางวัล (มาตรา ๓๖๒ ปพพ.) ซึ่งหากมีผูทําการตามที่ใหคาํ มั่นไว ดังนี้ผใู หคํามั่นจําตอง
ใหรางวัลแกผทู ําการนั้น ถาเปนกรณีโฆษณาจะใหรางวัลเพื่อการทําการใด ก็ตองใหรางวัลแกผูทํา
การนั้น แมวาผูนั้นจะไดกระทําโดยมิไดเห็นแกรางวัล (มาตรา ๓๖๒ ปพพ.) สวนถาเปนกรณีให
คํามั่นจะใหรางวัลในการประกวดชิงรางวัล ผูเขาประกวดทําการสําเร็จตามเงื่อนไขภายในกําหนด
ยอมมีสิทธิไดรับรางวัล (มาตรา ๓๖๒ ประกอบมาตรา ๓๖๕ ปพพ.) จะเห็นไดวาความผูกพันของ
ผูใหคํามั่นที่จําตองใหรางวัล ยอมเกิดขึน้ โดยอาศัยความสําเร็จของการอยางหนึ่งอยางใดตามคํามั่น
โดยไมตองใหผูทําการสําเร็จ หรือผูชนะประกวดแสดงเจตนาอะไรเพิ่มขึ้นอีก
คํามั่นจึงเกิดจากการแสดงเจตนาฝายเดียวที่มุงกอความผูกพันหรือกอใหเกิดสัญญาขึน้
ภายใตเงื่อนไขหรือกําหนดอยางใดอยางหนึ่ง ซึ่งยอมผูกพันผูใหคํามั่นฝายเดียวเมื่อไดทําคํามั่น
สําเร็จลง โดยคูกรณีอีกฝายหนึ่งเปนแตผูรับคํามั่น และผูร ับคํามั่นยอมมีสิทธิตามคํามั่นโดยไมตอง
แสดงเจตนาผูกพันดวยแตประการใด
ดวยเหตุขางตน คํามั่นจึงแตกตางจากคําเสนอตรงที่คําเสนอจะกอใหเกิดสัญญาไดก็ตอ เมื่อ
มีคําสนองจากคูกรณีอีกฝายหนึ่งสนองรับคําเสนอนั้น แตคํามั่นไมตอ งมีการแสดงเจตนาสนอง
หรือบอกกลาวสนองคํามั่นก็เกิดขึน้ แลว และหากมีการกระทําสําเร็จตามเงื่อนไขทีต่ ั้งไวในคํามั่น
คูกรณีในคํามัน่ ยอมมีสิทธิตามคํามั่นนั้น
สิทธิตามคํามั่นนั้น เปนสิทธิที่มักตั้งอยูบนหลักอันเนื่องมาจากมีการใหคํามั่นระหวางกัน
หรือมีขอตกลงกันไวกอนในการกอตั้งสิทธิเชนนั้น
๗๖
ตัวอยางเชน สัญญาเชาโดยทัว่ ไปเปนสัญญามีกําหนดสิ้นสุด แตอาจมีการตกลงกันวา เมื่อ
สัญญาเชาระงับลงแลวหากผูเ ชาประสงคจะตอสัญญาก็ใหแสดงเจตนาไปยังผูใหเชา ดังนี้หากมี
การแสดงเจตนาของผูเชา สัญญาเชายอมเกิดขึ้น๑๐
โดยนิตินยั นัน้ คํามั่นจึงเปนสัญญาฝายเดียวที่มีเงื่อนไขบังคับกอนนั่นเอง กลาวคือเมื่อการ
ใดอันเปนเงื่อนไขตามคํามั่นสําเร็จลง สัญญายอมมีผลและผูใหคํามัน่ ยอมผูกพันตองทําการตามที่
ตัวใหคํามั่นไว
ผลของคํามั่นนี้มีลักษณะใกลเคียงกับคําเสนอแบบไมมีกาํ หนด (ซึ่งปกติมักตั้งคําเสนอเปด
ไวเปนเวลานานหลาย ๆ ป) และหากผูรับคําเสนอบอกกลาวสนองก็ทําใหเกิดสัญญาขึ้น แตคํามั่น
นั้นมีขอแตกตางจากคําเสนอตรงที่ การแสดงเจตนาใดถาเปนคําเสนอก็ตองมีคําสนองสัญญาจึงจะ
เกิดขึ้นได ถากฎหมายกําหนดใหการทําสัญญาใดตองทําตามแบบ การทําคําเสนอสนองก็ตอง
เปนไปตามแบบที่กําหนดไวดวย สัญญาจึงจะเกิดขึ้นได สวนคํามั่นนัน้ ถาจะใหมีผลจะตองทํา
คํามั่นนั้นใหเปนไปตามแบบมาแตตนเสียกอน เมื่อคํามัน่ มีผลแลว หากอีกฝายหนึ่งใชสิทธิโดย
แสดงเจตนาหรือปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือกําหนดเงื่อนเวลาสําเร็จลงตามคํามั่น การใชสิทธิหรือการ
ปฏิบัติตามคํามั่นยอมไมจําเปนตองอยูใตบังคับเรื่องแบบอีกตอไป
อยางไรก็ดี คํามั่นจะซื้อขายอสังหาริมทรัพยนั้น มาตรา ๔๕๖ วรรคสอง ปพพ. กําหนดให
มีหลักฐานเปนหนังสือจึงจะฟองรองบังคับคดีกันได ดังนี้ควรเขาใจวา หากอีกฝายหนึ่งบอกกลาว
วาจะทําสัญญาซื้อขายใหสําเร็จตลอดไป ผลของการกระทําเชนนั้นยอมมีคาเปนสัญญาจะซื้อขาย
หากจะทําเปนสัญญาซื้อขายยอมตองทําตามแบบในมาจรา ๔๕๖ วรรคแรก ปพพ. อีกทอดหนึ่ง
๗๗
๓.๒ การนิ่งจัดเปนการบอกกลาวสนองไดเพียงใด
๓.๑ โดยหลักแลวการนิ่งไมอาจถือเปนการบอกกลาวสนองคําเสนอได แตตอ งถือวาเปนการ
ปฏิเสธคําเสนอ เวนเสียแตวา คูกรณีไดตกลงกันไวใหถือวาการนิ่งเปนการบอกกลาวสนอง หรือมี
กฎหมายกําหนดไวโดยเฉพาะใหถือการนิง่ ในบางกรณีเปนการบอกกลาวสนองได
ตัวอยางเชน กรณีตามบทบัญญัติมาตรา ๓๖๑ ปพพ. ที่กําหนดไววา
“ถาตามเจตนาอันผูเสนอไดแสดง หรือตามปกติประเพณีไมจําเปนจะตองมีคําบอกกลาว
สนองไซร ทานวาสีญญานั้นเกิดเปนสัญญาขึ้นในเวลาเมื่อมีการอันใดอันหนึ่งขึ้น อันจะ
พึงสันนิษฐานไดวาเปนการแสดงเจตนาสนองรับ”
๗๘
เอกสารประกอบการศึกษา
วิชากฎหมายลักษณะนิติกรรมสัญญา (น.๑๐๑)
ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ
สวนที่ ๒
การเกิดขึ้นแหงสัญญา
บทที่ ๒
ปญหาคําเสนอสนองไมตรงกัน
อุทาหรณ
ก) ข.ประสงคจะขายรถจักรยานใหแก ก. ในราคา ๙,๘๐๐ บาท แตในการเขียนจดหมายทําคํา
เสนอ ข.เขียนตัวเลขสับกัน โดยเสนอราคาขายเปนเงิน ๘,๙๐๐ บาท ก. ซึ่งไดเคยเจรจาเรื่องนี้กับ ข.
ดวยวาจาไวแลว เขาใจดีวา ก. เจตนาขายที่ราคา ๙,๘๐๐ บาท และ ข. เองก็ยินดีจะซื้อที่ราคา
๙,๘๐๐ บาท ก.จึงตอบจดหมาย ข. ไปวาตกลงซื้อจักรยานที่เสนอในราคา ๙๘๐ บาท และเมื่อ ข.
ไดรับหนังสือจาก ก. ข.ก็เขาใจวา ก.ระบุราคาผิดไป ดังนี้ทานจงพิจารณาวาสัญญาซื้อขายจักรยาน
ระหวาง ก. กับ ข. เกิดขึ้นหรือไม
๗๙
บทที่ ๒
ปญหาคําเสนอสนองไมตองตรงกัน
๑. คําเสนอสนองตองตรงกัน
๑.๑ ความหมายของคําเสนอสนองตองตรงกัน
คําเสนอสนองตองตรงกันหมายถึงกรณีที่เจตนาของคูกรณีที่แสดงออกในการตกลงผูกพัน
กันในรูปของคําเสนอและคําสนองนั้นตองตรงกัน เจตนาเสนอสนองตองตรงกันโดยมุงผูกพันกัน
นี้เปนเงื่อนไขสําคัญของการเกิดขึ้นของสัญญา เมื่อใดที่คําเสนอสนองไมตองตรงกัน เมื่อนั้น
สัญญายอมเกิดขึ้นไมได โดยที่สัญญาเกิดจากคําเสนอสนองตองตรงกัน ดังนั้นเจตนาของทั้งสอง
ฝายจึงตองเปนเจตนาที่แสดงออกโดยมุงผูกพันซึ่งกันและกันอีกดวย ถาเปนแตเพียงตางผายตาง
แสดงเจตนาในเรื่องเดียวกัน หรือมีเนื้อหาเหมือนกัน หากเจตนาที่แสดงออกนั้นมิไดเปนเจตนาที่
แสดงออกเพื่อเสนอและสนองตอกันก็ยังถือไมไดวาคูกรณีทั้งสองไดแสดงเจตนาผูกพันกันโดยมี
คําเสนอสนองตองตรงกัน เชน ตางฝายตางยื่นคํารองตอเจาหนาที่ในเรื่องเดียวกัน๑๑ หรือแสดง
เจตนาในเรื่องที่เกี่ยวของกัน หรือตางฝายตางทําคําเสนอตอกัน โดยอีกฝายหนึ่งยังมิไดแสดงเจตนา
สนองรับคําเสนอเลย ดังนี้ไมถือวาคูกรณีไดแสดงเจตนาเสนอสนองตองตรงกัน เมื่อเจตนาที่มุง
ผูกพันกันยังไมตองตรงกัน ดังนี้สัญญายอมไมเกิดขึ้น
แมในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยมิไดมีการบัญญัติไวโดยตรงวาสัญญาจะเกิดขึ้น
เมื่อคําเสนอสนองตองตรงกัน แตเราก็สามารถอนุมานไดจากหลักเกณฑวาดวยการเกิดขึ้นของ
สัญญาซึ่งไดรับการบัญญัติไวในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยนั่นเองดังจะเห็นไดจากหลัก
สําคัญในมาตรา ๓๕๔ , ๓๕๕ ปพพ. ซึ่งวางหลักวาดวยความผูกพันของคําเสนอ และมาตรา ๓๕๙
ปพพ. ก็วางหลักวาดวยความมีผลของคําสนองตอไปวา “คําสนองอันมีขอความเพิ่มเติม มีขอจํากัด
หรือมีขอแกไขอยางอื่นประกอบดวยนั้น ทานใหถือวาเปนคําบอกปดไมรับ ทั้งเปนคําเสนอขึ้น
ใหมดวยในตัว” แปลความในทางกลับกันไดวา คําสนองที่ไมแกไขเพิ่มเติมคําเสนอยอมสมบูรณ
เปนคําสนอง และทําใหเห็นไดวา ความผูกพันอันจะกอใหเกิดสิทธิหนาที่ตามสัญญาระหวางกันได
๑๑ โปรดดู จิ๊ด เศรษฐบุตร, นิติกรรมและสัญ ญา (แกไขเพิ่ม เติม โดยจิตติ ติงศภั ทิย) พิม พค รั้ งที่ ๕, พ.ศ.
๒๕๒๘, น. ๒๖๘ ซึ่งอางฎีกาที่ ๑๓๐๘/๒๕๑๕ ๑๕๑๕ ฎ.๑๐๕๑ใ
๘๐
นั้นจะตองเปนกรณีที่คําสนองตองรับกันกับคําเสนออยางเหมาะเจาะหรือที่มักจะกลาวกันวาสัญญา
จะเกิดขึ้นไดจะตองปรากฏวา “คําเสนอสนองตองตรงกัน” นั่นเอง
๑.๒ การตีความการแสดงเจตนาในการพิจารณาปญหาคําเสนอสนองตองตรงกันหรือไม
เมื่อมีปญหาวาคําเสนอสนองตองตรงกันหรือไม สิ่งแรกที่ตองพิจารณาก็คือ เจตนาที่
บุคคลไดแสดงออกมานั้น ตองตรงตามเจตนาที่แทจริงของตนหรือไม และเจตนาที่แสดงออกมา
นั้นมีความหมายอันคนทั้งหลายพึงเขาใจวาอยางไร ในการพิจารณาปญหาเหลานี้มีกรณีที่ตองแยก
ศึกษาดังนี้
ก) ถาปรากฏวา เจตนาที่คูกรณีแสดงออกในรูปของคําเสนองสนองตองตรงกันแลว
สิ่ ง ที่ ต อ งพิ จ ารณาต อ ไปก็ คื อ เจตนาภายในของผู แ สดงเจตนาต อ งตรงกั น กั บ เจตนาที่ ผู นั้ น
แสดงออกหรือไม หากเจตนาภายในของคูกรณีตองตรงกันแลว ก็ไมมีปญหาขอสงสัยเรื่องเจตนา
เสนอสนองไมตองตรงกันอีก แมในกรณีที่เจตนาที่แสดงออกของคูกรณีทั้งสองฝาย จะแตกตาง
จากเจตนาที่แทจริงของคูกรณี ถาปรากฏวาเจตนาภายในหรือเจตนาที่แทจริงของคูกรณีตองตรงกัน
(ซึ่งรูจักกันในกฎหมายโรมัน เปนสุภาษิตละตินวา falsa demonstration non nocet) ดังนี้ก็ยังถือได
วาเจตนาเสนอสนองตองตรงกัน ทั้งนี้เพราะการแสดงเจตนาที่ ปรากฏออกมาภายนอก แมจ ะ
แตกตางจากเจตนาภายใน แตเมื่อทั้งสองฝายเขาใจตองตรงกัน และมีเจตนาภายใน หรือเจตนาที่
แทจริงตองตรงกันแลว สัญญายอมเกิดขึ้นตามเจตนาแทจริง หรือตามเจตนาภายในของคูกรณีทั้ง
สองฝาย การเกิดขึ้นของสัญญาในลักษณะนี้ยอมเปนไปตามเจตนาที่แทจริง และยอมไมกอผล
เสียหายใหแกคูกรณีฝายใดเลย๑๒
กรณีตามอุทาหรณ ก) นั้นเราเห็นไดชัดวาคูกรณีทั้งสองฝายมีเจตนาที่แทจริงตอง
ตรงกัน ดังนั้นสัญญายอมเกิดขึ้นตามเจตนาที่แทจริงของทั้งสองฝาย คือตกลงซื้อขายกันดวยราคา
๘๑
๙,๘๐๐ บาท โดยไมตองคํานึงถึงวาเจตนาที่แดงออกจะปรากฏตรงกันหรือไมก็ตามและเรายอม
สรุปไดวา หากเจตนาที่แทจริงของคูกรณีที่แสดงเจตนาเสนอสนองออกมานั้นตองตรงกันแลว ดังนี้
คําเสนอสนองยอมตองตรงกัน และสัญญายอมเกิดขึ้น ในกรณีเชนนี้เจตนาที่แสดงออกยอมไมใช
สาระสําคัญ กฎหมายยอมรับรองวาสัญญาเกิดขึ้นและคุมครองใหความผูกพันตามสัญญาเปนไป
ตามเจตนาที่แทจริง
๑.๓ ผลทางกฎหมายของการที่เจตนาเสนอสนองตองตรงกัน
ก) กรณีที่คําเสนอสนองตองตรงกัน สัญญายอมเกิดขึ้น และคูสัญญายอมมีสิทธิและ
หนาที่ตามที่ตกลงกันในสัญญา
ข) ถาคําเสนอสนองตองตรงกันโดยเจตนาภายในก็ตองตรงกันดวย ดังนี้คูกรณีทั้ง
สองฝายยอมตองผูกพันตามสัญญาที่เกิดขึ้น แมวาการแสดงเจตนาที่ปรากฏตอภายนอกจะแตกตาง
จากเจตนาที่แทจริงก็ตาม ในเมื่อคูกรณีมีเจตนาแทจริงตองตรงกัน ก็ยอมผูกพันกันตามเจตนานั้น
ๆ ในกรณีเชนนี้ เราจะเห็นไดวาไมมีเหตุผลที่กฎหมายจะพึงคุมครองคูกรณีฝายหนึ่งฝายใดเปน
พิเศษ กฎหมายจึงรับรองและคุมครองใหสญ ั ญามีผลตามเจตนาที่แทจริง
๘๒
กรณีตามอุทาหรณในขอ ก) สัญญายอมเกิดขึ้นโดยมีเนื้อหาตามที่คูกรณีทั้งสอง
ฝ า ยต อ งการ กล า วคื อ สั ญ ญาซื้ อ ขายจั ก รยานที่ ร าคา ๙,๘๐๐ บาท ในกรณี เ ช น นี้ แ ม เ จตนาที่
แสดงออกจะตางจากเจตนาภายใน ก็ไมมีเหตุใหตองอางสําคัญผิดลบลางการแสดงเจตนาที่ได
แสดงไวแตประการใด
ค) ในกรณีที่คําเสนอสนองตองตรงกัน โดยผลของการตีความเจตนาที่แสดงออกได
ความวาเจตนาที่แสดงออกนั้นตองตรงกัน แตหากปรากฏวาเจตนาที่คูกรณีฝายหนึ่งฝายใดได
แสดงออกนั้นแตกตางจากเจตนาที่แทจริง ดังนี้ยอมเกิดปญหาที่ควรพิจารณาวาการแสดงเจตนานั้น
ๆ มีผล หรือตองเสียไปเพราะเหตุสําคัญผิดหรือไม กรณีนี้กฎหมายวางหลักไววาการแสดงเจตนา
โดยสําคัญผิดในสาระสําคัญยอมตกเปนโมฆะ แตหากความสําคัญผิดนั้นเกิดจากความประมาท
เลินเลออยางรายแรงของผูแสดงเจตนา ผูแสดงเจตนานั้นไมอาจอางเปนโมฆะกรรมได (มาตรา
๑๕๘ ปพพ.)
ในอุทาหรณขอ ข) สัญญาซื้อขายยอมเกิดขึ้นตามเจตนาที่คูกรณีทั้งสองฝายได
แสดงออกตองตรงกันคือตกลงซื้อขายจักรยานกันดวยราคา ๘,๙๐๐ บาท แตโดยที่ ข.แสดงเจตนา
โดยสําคัญผิดในสาระสําคัญ คือแสดงเจตนาออกไปโดยไมตรงกับเจตนาที่แทจริง ดังนี้ ข.ยอมอาง
โมฆะกรรมได แต หาก ก.นํ าสื บวาความสําคัญผิดของ ข.เกิดจากความประมาทเลิน เลออยาง
รายแรงของ ข. เอง ข.ยอมถูกกฎหมายปดปากไมใหอางโมฆะกรรมนั้นเปนประโยชนแกตนตาม
มาตรา ๑๕๘ ปพพ.๑๓
๒. คําเสนอสนองไมตองตรงกัน
๒.๑ ขอพิจารณาเบื้องตน
คําเสนอสนองไมตองตรงกัน (dissensus) หมายถึงกรณีที่เจตนาที่แทจริงของคูกรณีไมตอง
ตรงกัน และเจตนาที่แสดงออกมาก็ไมตองตรงกันดวย
ในกรณี มี เ หตุ ส งสั ย ว า เจตนาของคู ก รณี ไ ม ต อ งตรงกั น ต อ งตี ค วามเจตนาของคู ก รณี
เสียกอน วาเจตนาที่แทจริงของคูกรณีหรือเจตนาที่แสดงออกอยางหนึ่งอยางใดตองตรงกันหรือไม
๘๓
เมื่อสรุปแนไดวาเจตนาที่แทจริงและเจตนาที่แสดงออกไมตองตรงกันแลว จึงจะสรุปไดวาเปน
กรณีคําเสนอสนองไมตองตรงกัน
ข) เจตนาที่แสดงออกมีความหมายหลายนัย
กรณีที่เจตนาที่แสดงออกมีความหมายไดหลายนัยนี้ แมเจตนาที่แสดงออกจะดูเหมือนวา
ตองตรงกัน หากพิเคราะหดูดวยความระมัดระวัง ก็อาจพบวา เจตนาที่ดูเผิน ๆ เหมือนกับวาตอง
ตรงกันนั้น แทจริงแลวอาจเปนกรณีที่คําเสนอสนองไมตองตรงกันได
ตัวอยางที่สําคัญในกรณีทํานองนี้ไดแกกรณีใชชื่อสกุลเงินที่อาจมีความหมายไดหลายนัย
เชนสัญญาซื้อขายจักรยานมูลคา ๑,๐๐๐ ฟรังก การระบุราคาเปนสกุลเงินฟรังกนี้ ก็อาจหมายถึง
เงินฟรังกฝรั่งเศส ฟรังกเบลเยี่ยมหรือฟรังกสวิสก็ได ถาคูกรณีมีเจตนาตองตรงกันก็ยอมไมมีปญหา
หรือหากสามารถอนุมานไดจากเหตุการณแวดลอม เชนคูกรณีทําสัญญากันในประเทศฝรั่งเศส เปน
เหตุใหอาจตีความคําวาฟรังกที่ใชวาหมายถึงฟรังกฝรั่งเศสได แตถาไมใชเปนกรณีที่คูกรณีมีเจตนา
ตองตรงกัน หรือไมอาจตีความการแสดงเจตนาตามความหมายที่วิญูชนพึงเขาใจไดตามปกติได
เชน ทําสัญญากันในประเทศไทย และไมมีพฤติการณใหอนุมานไดวาคูกรณีหมายถึงเงินสกุลใด
ดังนี้ยอมเปนกรณีที่เจตนาที่แสดงออกนั้นมีความหมายไดหลายนัยคําเสนอสนองจึงไมตองตรงกัน
ตัวอยางในทํานองนี้อาจเห็นไดจากคดีดังเรื่องหนึ่งของอังกฤษซึ่งปรากฏวาในสัญญาซื้อ
ขายฝายจากอินเดียรายหนึ่ง คูกรณีตกลงซื้อขายฝายในเรือเที่ยวหนึ่ง ซึ่งบรรทุกลงเรือเดินทะเลชื่อ
วา Peerless ซึ่งออกจากเมืองบอมเบยมายังอังกฤษ ปรากฏวาเรือชื่อ Peerless เหมือนกันมีอยู ๒ ลํา
และบังเอิญเรือทั้งสองลําก็บรรทุกฝายออกจากบอกเบยเหมือนกัน แตออกเรือกอนหลังกันเปนเวลา
๒ เดือน ผูขายนั้นทําสัญญาขายฝายในเรือลําที่ออกมาเตือนตุลาคม แตผูซื้อนั้นตองการซื้อฝายใน
๘๔
เรือลําที่ออกเดือนธันวาคม เมื่อเรือลําแรกมาถึงอังกฤษผูขายก็เรียกเก็บเงิน แตผูซื้อปฏิเสธ จึงเกิด
พิพาทกันขึ้น คดีนี้ศาลตัดสินวาสัญญาซื้อขายรายนี้ไมเกิดขึ้นเพราะคําเสนอสนองไมตองตรงกัน๑๔
๒.๒ กรณีที่คําเสนอสนองไมตองตรงกันชนิดเห็นประจักษและชนิดไมเห็นประจักษ
ในกรณีที่คําเสนอสนองไมตองตรงกันและคูกรณีที่เกี่ยวของรูวาเจตนาเสนอสนองไมตอง
ตรงกัน ดังนี้เปนกรณีที่เห็นประจักษ แตถาคูกรณีกรณีสําคัญผิดไปวา คําเสนอสนองนั้นตอง
ตรงกันทั้ง ๆ ที่แทจริงแลว คําเสนอสนองของทั้งสองฝายไมตองไมตองตรงกัน หรือนาสงสัยวายัง
มิไดตกลงกันหมดทุกขอ ดังนี้เปนกรณีที่คําเสนอสนองไมตองตรงกันโดยไมเห็นประจักษ และใน
กรณีเชนนี้ การตีความการแสดงเจตนายอมตองเปนไปตามหลักในมาตรา ๓๖๖, ๓๖๗ ปพพ.
มาตรา ๓๖๖ ขอความใด ๆ แหงสัญญาแมเพียงฝายเดียวไดแสดงไววาเปน
สาระสําคัญอันจะตองตกลงกันหมดทุกขอนั้น หากคูสัญญายังไมตกลงกันไดหมด
ทุกขออยูตราบใด เมื่อกรณีเปนที่สงสัย ทานนับวายังมิไดมีสัญญาตอกัน การที่ไดทํา
ความเขาใจกันไวเฉพาะบางสิ่งบางอยาง ถึงแมวาจะไดจดลงไวก็หาเปนการผูกพัน
ไม
ถาไดตกลงกันวาสัญญาอันมุงจะทํานั้นจะตองทําเปนหนังสือไซร
เมื่ อ กรณี เ ป น ที่ ส งสั ย ท า นนั บ ว า ยั ง มิ ไ ด มี สั ญ ญาต อ กั น จนกว า จะได ทํ า ขึ้ น เป น
หนังสือ
มาตรา ๓๖๗ สัญญาใดคูสัญญาไดถือวาเปนอันไดทํากันขึ้นแลว แตแทจริง
ยังมิไดตกลงกันในขอหนึ่งขอใดอันจะตองทําความตกลงใหสําเร็จ ถาจะพึงอนุมาน
ไดวาถึงหากจะไมทําความตกลงกันในขอนี้ได สัญญานั้นก็จะไดทําขึ้นไซร ทานวา
ขอความสวนที่ไดตกลงกันแลวก็ยอมเปนอันสมบูรณ
ก) กรณีคําเสนอสนองไมตองตรงกันชนิดที่เห็นประจักษ คือกรณีที่คูกรณีตางรูดีวา
คําเสนอสนองไมตองตรงกัน หรือยังตกลงกันไมไดนั่นเอง
ตัวอยางเชน ข.เสนอขายเครื่องจักรแก ก.เครื่องหนึ่ง มูลคา ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต ก. แจง
ให ข. ทราบวาตนประสงคจะซื้อเครื่องจักรนี้ในราคา ๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท ดังนี้เปนกรณีที่ ก. บอก
ปดคําเสนอของ ข. และทําคําเสนอใหม โดยเสนอซื้อเครื่องจักรเปนเงิน ๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท
(๑) ในกรณีที่คูกรณีมิไดตกลงกันในขอสาระสําคัญ (essentialia negotii) ดังนี้สัญญา
ยอมไมเ กิด ขึ้น ขอสาระสํ าคั ญนี้อาจมี ไดทั้งที่ คูก รณี ถือเปนข อสาระสําคัญ และกรณีที่เ ปน ขอ
๘๕
สาระสําคัญตามกฎหมาย ขอสาระสําคัญตามกฎหมายไดแกบรรดาพฤติการณทั้งหลายอันเปน
เครื่องกําหนดลักษณะแหงนิติกรรมสัญญานั้น ๆ ตามกฎหมายนั่นเอง
ตั ว อย า ง เช น ในสั ญ ญาซื้ อ ขาย สาระสํ า คั ญ ของสั ญ ญาก็ ไ ด แ ก ทรั พ ย สิ น ที่
ประสงคจะซื้อขายกัน และราคาซื้อขายตามมาตรา ๔๕๓ ปพพ. นั่นเอง ดังนั้นหากยังไมไดตกลง
กันวาจะซื้อขายกันในราคาเทาใด หรือยังไมไดตกลงกันใหรูแนวาทรัพยที่ซื้อขายกันคือทรัพยสิ่ง
ใด และจะคัดเลือกตัวทรัพยอยางไร สัญญายอมไมเกิดขึ้น หรือในกรณีสัญญาเชา สาระสําคัญของ
สัญญายอมไดแกทรัพยสินที่เชา และคาเชาตามมาตรา ๕๓๗ ปพพ. หากยังไมไดตกลงกันวาจะเชา
ทรัพยชนิดหรือประเภทใด หรือยังไมไดตกลงราคา หากไมมีราคาตลาด สัญญายอมไมเกิดขึ้น
(๒) ในกรณีที่คูกรณีมิไดตกลงกันในขอที่มิใชสาระสําคัญ (accidentalia negotii) การ
พิจารณาวาสัญญาจะเกิดขึ้นหรือไม ยอมตองพิจารณาจากเจตนาของคูสัญญาวาประสงคจะตกลง
กันทุกขอเสียกอนหรือไม หรือจะถือวาสัญญานั้นเกิดขึ้นแลวแมจะยังมิไดตกลงกันหมดทุกขอ
ขอตกลงอันมิใชสาระสําคัญนี้อาจมีไดหลายกรณี ขึ้นอยูกับเจตนาของคูกรณีเปนสําคัญ เชนเรื่อง
กําหนดเวลา และสถานที่ชําระหนี้ เรื่องภาระคาใชจายในการขนสงทรัพยสิน ฯลฯ อาจเปนเรื่องที่
ไมสําคัญ แตขณะเดียวกันกรณีเหลานี้ อาจเปนเรื่องที่คูกรณีถือวาเปนสาระสําคัญที่ตองตกลงกัน
ใหไดเสียกอนจึงจะถือวามีสัญญาเกิดขึ้นแลวก็ได และในทางกลับกัน ก็อาจเปนเรื่องที่คูสัญญาเห็น
วาเปนเรื่องเล็กนอย และถือวาสัญญาเกิดขึ้นแลว แมวาจะยังตกลงกันในเรื่องเหลานี้ไมไดหมดทุก
ขอก็ตาม ทั้งหมดนี้ขึ้นอยูกับเจตนาของคูกรณี ซึ่งตองอาศัยหลักการตีความการแสดงเจตนามาใช
ในการพิจารณา
ตามอุทาหรณในขอ ค) เราเห็นไดวา ข.ตกลงรับขอเสนอของ ก.โดยยอมให ก.
ผอนชําระราคาจักรยานเปนงวด ๆ ได แตขอตกลงวาจะผอนชําระกี่งวด งวดละเทาใด และกําหนด
ชําระในวันใด เหลานี้เปนประเด็นที่ยังมิไดตกลงกัน ประเด็นที่ตองพิจารณาในที่นี้ก็คือ ก. และ ข.
ถื อ ว า สั ญ ญาเกิ ด ขึ้ น แล ว หรื อ ไม ซึ่ ง ต อ งพิ จ ารณาจากเจตนาของทั้ ง สองฝ า ยที่ แ สดงออกมา
พฤติการณที่อาจนํามาประกอบการพิจารณาวา ก. และ ข. ถือวาสัญญาเกิดขึ้นแลว และขอที่ยัง
ไมไดตกลงกันเปนเพียงรายละเอียดปลีกยอยที่ไมจําเปนตองตกลงกันหมดทุกขอเสียกอน อาจ
อนุมานไดจากพฤติการณตาง ๆ ที่พอจะใหเชื่อแนไดวาคูกรณีตกลงผูกพันกันแลว เชนมีการสง
มอบจักรยานใหอกกันแลว หรือมีการชําระเงินบางสวนแกกันแลว เปนตน อยางไรก็ดี ถาไมอาจ
ตีความการแสดงเจตนาของคูกรณีใหปรากฏจนปราศจากขอสงสัยวา คูกรณีประสงคจะถือวา
สัญญาเกิดขึ้นแลวแมจะมิไดตกลงกันทุกขอ ดังนี้เปนกรณีอันเปนที่สงสัย ซึ่งมาตรา ๓๖๖ ปพพ.
กําหนดใหถือวาสัญญายังไมเกิดขึ้น เพราะคําเสนอสนองไมตองตรงกันหมดทุกขอ
ในกรณีที่อนุมานไดวา คูสัญญาถือวาสัญญาเกิดขึ้น แมจะยังมิไดตกลงกันหมดทุก
ขอ ก็จะเกิดปญหาวา ขอที่ยังไมไดตกลงกันนั้นจะกําหนดแนไดอยางไรวาคูกรณีตกลงผูกพันกัน
๘๖
อยางไร ดังนี้ตองใชวิธีตีความอุดชองวางเจตนาของคูกรณีโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง เชนพิเคราะหจาก
เจตนาที่ แ ท จ ริง ปกติ ประเพณี หรือการกระทํ ากอ น ๆ ของคู กรณี หรื อปรั บ ใช บ ทกฎหมายที่
เกี่ยวของแทนการแสดงเจตนาของคูกรณี
มาตรา ๓๖๖ ยังวางหลักเกณฑในการตีความเจตนาตอไปอีก ๒ ประการกลาวคือ
ในกรณีอันเปนที่สงสัยวาสัญญายังไมเกิดขึ้น ดังนี้เรื่องที่ไดทําความเขาใจกันไว แมวาจะไดจดลง
ไวก็ยังถือไมไดวาผูกพัน ประการหนึ่งและถาคูสัญญาไดตกลงจะทําสัญญากันเปนหนังสือ ดังนี้
สัญญานั้นยอมไมอาจมีขึ้นไดจนกวาจะไดทําสัญญากันเปนหนังสือแลว๑๕
ข) กรณีคําเสนอสนองไมตองตรงกันโดยไมเห็นประจักษ ไดแกกรณีที่คูกรณีเขาใจวา
คําเสนอสนองตองตรงกันแลว ทั้ง ๆ ที่แทจริงแลวไมตรงกัน ดังตัวอยางตอไปนี้
ก.ข.ค. ตกลงกอตั้งหางหุนสวนขึ้น โดยไดทําสัญญากอตั้งหางกันไวเปนลายลักษณอักษร
และไดลงชื่อไว คูกรณีทุกคนเขาใจวาไดตกลงกันสําเร็จหมดทุกขอแลว โดยหลงเขาใจไปวาไดตก
ลงกันในเรื่องการสิ้นสุดของสัญญาหางหุนสวนดวยแลว ทั้ง ๆ ที่แทจริงแลวทั้ง ก.ข.ค. ยังมิไดตก
ลงกันในเรื่องดังกลาวเลย ดังนี้จะเห็นไดวาคําเสนอสนองไมตองตรงกัน อนึ่งจากอุทาหรณในขอ
ง) เราจะเห็นไดวาเจตนาของคูกรณีในสัญญาซื้อขายที่แสดงใหปรากฏนั้นตรงกันแลว แตตางฝาย
ตางเขาใจวาตนเปนผูขายและอีกฝายหนึ่งเปนผูซื้อ ในกรณีดังกลาวนี้แมจะใชหลักการตีความการ
๘๗
แสดงเจตนาตามพฤติการณที่วิญูชนพึงเขาใจไดตามปกติมาใชก็ไมอาจสรุปไดวาคําเสนอสนอง
ตองตรงกันแลวเพราะไมอาจสรุปไดวาใครเปนผูซื้อใครเปนผูขาย
โดยนัยขางตนนี้ หากปรากฏวา
(๑) คูกรณีไมไดตกลงกันในขอสัญญาอันเปนสาระสําคัญ ดังนี้สัญญายอมไมเกิดขึ้น
(๒) คูกรณีมิไดตกลงกันในขอสัญญาอันมิใชขอสาระสําคัญ ดังนี้ตองพิจารณาตอไป
วาแมเจตนาเสนอสนองยังไมตองตรงกันเสียทั้งหมดทีเดียว หากคูกรณีถือวาไดทําสัญญากันขึ้น
แลว ดังนี้กฎหมายไดวางหลักการตีความการแสดงเจตนาไวในมาตรา ๓๖๗ ปพพ. โดยใหถือวา
ขอตกลงอื่นที่ไดตกลงกันไวแลวยอมไมเสียไป
ปญหาวา ในกรณีที่คูกรณียังมิไดตกลงกันในขอสัญญาอันมิใชขอสาระสําคัญ
หมดทุกขอนั้น เราจะรูไดอยางไรวา คูกรณีถือวาไดทําสัญญากันแลวหรือไม กรณีนี้ยอมตองอาศัย
หลักการตีความการแสดงเจตนาเขาชวย เมื่อไดความวาคูกรณีถือวาสัญญาเกิดขึ้นแลวจึงนําเอา
หลักการตีความเสริมเจตนาที่แทจริง หรือการตีความเพื่ออุดชองวางในสัญญามาปรับใชหรืออาจ
นําเอาบทกฎหมายที่บัญญัติสันนิษฐานเจตนาของคูกรณีมาใชบังคับแกกรณีที่ยังมิไดตกลงกันไวก็
ไดแลวแตกรณี
ตัวอยางเชน ในกรณีที่คูกรณีในสัญญาหางหุนสวนมิไดตกลงกันในเรื่องการเลิก
หาง ดังนี้หากไมปรากฏขอเท็จจริงใดใหสันนิษฐานเจตนาของคูสัญญาเปนอยางอื่น ก็อาจนําเอา
หลักเกณฑที่กฎหมายบัญญัติเปนบทสันนิษฐานเจตนาของคูสัญญาไวตามมาตรา ๑๐๕๕ ปพพ.มา
ปรับใชได กลาวคือหางหุนสวนสามัญยอมเลิกกันดวยเหตุดังกลาวตอไปนี้
(๑) ถาในสัญญาทําไวมีกําหนดกรณีอันใดเปนเหตุที่จะเลิกกัน เมื่อมีกรณีนั้น
(๒) ถาสัญญาทําไวเฉพาะกําหนดกาลใด เมื่อสิ้นกําหนดกาลนั้น
(๓) ถาสัญญาทําไวเฉพาะเพื่อทํากิจการอยางหนึ่งอยางใดแตอยางเดียว เมื่อ
เสร็จการนั้น
(๔) เมื่อผูเปนหุนสวนคนใดคนหนึ่งใหคําบอกกลาวแกผูเปนหุนสวนอื่น ๆ
ตามกําหนดดั่งบัญญัติไวในมาตรา ๑๐๕๖
(๕) เมื่ อผูเ ปน หุ น สว นคนใดคนหนึ่ ง ตาย หรือล ม ละลาย หรื อ ตกเป น ผูไ ร
ความสามารถ
consensus01
๘๘