Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 11เทววิทยาเรื่องความตาย
บทที่ 11เทววิทยาเรื่องความตาย
เทววิทยาเรื่องความตาย
๑๑
ไม่ว่าจะอ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์ หรือฟังข่าวจากวิทยุ โทรทัศน์ เรารับรู้เรื่องคนตายเกือบ
ทุกๆ วัน เราไม่ค่อยชอบพูดถึงความตายเลย แต่เป็นประโยชน์ ที่จะมาศึกษาเรื่องความตายตามความ
เชื่อของคริสตชน เพื่อช่วยเราให้รู้จักดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความหมาย
เราจึงมาศึกษาค้นคว้าความหมายของความตายดังต่อไปนี้
1) เทววิทยาเรื่องความตายในพระคัมภีร์
2) ความตายในธรรมประเพณีทางเทววิทยา
3) ความตายตามคำสอนของนักเทววิทยาร่วมสมัย
4) การภาวนาเพื่อผู้ล่วงหลับกับพระคริสตเจ้า
1. เทววิทยาเรื่องความตายในพระคัมภีร์
แม้เรื่องความตายไม่ใช่คำสอนที่เป็นประเด็นหลักของพระคัมภีร์ แต่เรายังพบคำสอนเรื่อง
นี้อยู่บ้าง ชาวยิวสมัยโบราณตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตในโลกนี้มากกว่าที่จะคำนึงถึงความตายและ
ชีวิตหน้า ดังนั้น ก่อนอื่น เราจึงควรทำความเข้าใจความหมายของคำว่า “ชีวิต” ตามความคิดของ
216
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
217
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
218
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
219
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
220
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
หลังจากความตาย ความคิดในสมัยก่อนเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ในลักษณะเป็นเงาในแดนผู้ตายสำหรับ
ทุกคน ไม่ว่าเป็นคนดีหรือคนชั่วนั้นได้เปลี่ยนไป คนดีหวังจะได้รับการตอบแทนและคนชั่วจะได้รับ
การลงโทษ ความคิดนี้ยังพัฒนาต่อไปอีกจนกว่ามีความหวังที่พระเจ้าจะบันดาลให้คนตายกับคืนชีพ
(เทียบ สดด 16:10; 73:23-28; ดนล 12:2; 2 มคบ 7:9) ความคิดเรื่องการกลับคืนชีพนี้จึงเป็น
สัญลักษณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งแสดงความหวังว่าพระเจ้าจะทรงฟื้นฟูโลกขึ้นใหม่
1.3 ความตายในพันธสัญญาใหม่
ก) คำสอนในพระวรสารสหทรรศน์
ความคิดและรูปแบบของการไตร่ตรองเรื่องความตายที่เราพบในพันธสัญญาเดิมก็
ยังต่อเนื่องในพันธสัญญาใหม่ เราจึงต้องเข้าใจเรื่องชีวิตและความตายไม่เพียงฝ่ายกายเท่านั้น แต่
ในลักษณะชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าตามพระสัญญา หรือชีวิตที่แยกตัวออกจากพระองค์ พระ-
คริสตเจ้าทรงเรียกมนุษย์ให้กลับใจเปิดตนรับพระเจ้า มนุษย์ต้องยอมรับพระประสงค์ที่ทรงแสดงแก่
ทุกคนในเหตุการณ์ของชีวิต ผู้ใดที่ยอมกลับใจ คือ ยอมเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการยึดมั่นในตนเองมา
รับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ด้วยใจกว้าง ย่อมพบชีวิตแท้จริง “พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนและ
บรรดาศิษย์เข้ามา ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เขาเลิกนึกถึงตนเอง ให้แบกไม้กางเขน
ของตน และติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น จะต้องสูญเสียชีวิตนั้น แต่ถ้าผู้ใดเสีย
ชีวิตของตนเพราะเรา และเพราะข่าวดี ก็จะรักษาชีวิตได้” (มก 8:34-35)
ความตายไม่เป็นเรื่องที่หนังสือพระวรสารเน้นเป็นพิเศษ เพราะในพันธสัญญาใหม่
เรื่องความตายได้สูญเสียความสำคัญที่มีในพันธสัญญาเดิม แต่เรื่องสำคัญ ก็คือ ชีวิตนิรันดรและ
การกลับคืนชีพ ดังที่พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่า
วิญญาณได้จงกลัวผู้ที่ทำลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไปในนรก” (มธ 10:28) เราต้องเข้าใจ
พระวาจานี้ในบริบทของการเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า ผู้ที่อยากเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า จะต้อง
เลือกพระองค์เหนือสิ่งใดในโลกนี้ และไม่หวังค่าตอบแทนในชีวิตนี้อีกด้วย ความตายเป็นที่ยอมรับ
ในฐานะเรื่อ งจริง ของชีวิต หนัง สือพระวรสารไม่ยอมรับ ความเชื่อโบราณที่ว่า ความตายที่เป็น
221
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
222
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
223
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
224
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
2. ความตายในธรรมประเพณีทางเทววิทยา
2.1 ความตายและบาป
ธรรมประเพณีด้านเทววิทยาถือกันมาช้านานแล้วว่า ประสบการณ์เกี่ยวกับความตาย
ของมนุษย์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับบาป คำสอนของพระศาสนจักรในเอกสารต่างๆ ได้
ยืนยันความจริงนี้หลายครั้ง แต่ไม่ได้อธิบายในรายละเอียด พื้นฐานทางพระคัมภีร์ของคำสอนนี้มีอยู่
ในหนังสือปฐมกาล (ปฐก 2:16ฯ; 3:19) และจดหมายถึงชาวโรม (รม 5:12) แต่พระศาสนจักรไม่เคย
ตีความหมายของข้อความเหล่านี้อย่างละเอียดในลักษณะที่เป็นกฎเกณฑ์บังคับ
รายละเอียดในข้อความเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหามากมายสำหรับผู้ตีความและสำหรับ
นักเทววิทยาสมัยใหม่ที่ต้องการใช้ในการอธิบายความเชื่อ แต่ผู้เขียนหนังสือคู่มือเทววิทยาโดยทั่วไป
มักจะตีความหมายอย่างง่ายๆ เพื่อสนับสนุนคำสอนของพระศาสนจักร และคิดว่าเป็นความหมายที่
ชัดเจนตรงไปตรงมา เขาสรุปความหมายของข้อความเหล่านี้ว่า ถ้ามนุษย์คู่แรกได้รักษาสภาพดั้งเดิม
แห่งความชอบธรรมโดยไม่ทำบาป มนุษย์ทุกคนคงจะไม่ต้องตาย เพราะเขาไม่สูญเสียพระคุณเหนือ
ธรรมชาติของพระเจ้า
นั ก บุ ญ ออกั ส ติ น คิ ด ว่ า พระพรของความเป็ น อมตะไม่ ห มายความว่ า มนุ ษ ย์ โ ดย
ธรรมชาติตายไม่ได้ แต่หมายความว่า มนุษย์อาจไม่ต้องตายเพราะฤทธิ์อำนาจของพระหรรษทาน
จากพระเจ้า ดังนั้น มนุษย์ไม่ได้เป็นอมตะโดยธรรมชาติ แต่หลุดพ้นจากความตายอาศัยพระพรเหนือ
ธรรมชาติของพระเจ้า ทัศนะของนักบุญออกัสตินมีอิทธิพลต่อเทววิทยาทางตะวันตกอย่างกว้างขวาง
ตลอดหลายศตวรรษ จึงนำไปสู่ความคิดทางเทววิทยาแบบทั่วไปว่า ถ้าไม่มีบาป มนุษย์จะไม่ตายใน
แง่ที่เป็นเหตุการณ์ทางชีวภาพ
225
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
226
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
ความเข้าใจของเพลโตและอาริสโตเติลในเรื่องธรรมชาติมนุษย์ เป็นพื้นฐานของนักเทววิทยาในความ
เข้าใจถึงความหมายของความตาย อิทธิพลของอาริสโตเติลแผ่ขยายไปในคริสตชนทางตะวันตก
ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับวิญญาณที่เคยเป็นความสัมพันธ์หละหลวมตามแนวคิดของ
เพลโต กระชับขึ้นโดยคำสอนของอาริสโตเติลว่า ร่างกายเป็นวัสดุเหตุและวิญญาณเป็นรูปเหตุของ
มนุษย์ นักบุญโทมัส อาไควนัส จึงเรียกวิญญาณว่า เป็นรูปเหตุของร่างกาย รูปเหตุเป็นตัวกำหนด
สสารให้เป็นร่างกายของมนุษย์โดยเฉพาะ เราต้องเข้าใจว่าวิญญาณเป็นองค์ประกอบพืน้ ฐานของความ
เป็นอยู่ของมนุษย์ซึ่งมีร่างกายเป็นวัสดุเหตุ
ความคิดเรื่องความตายของนักเทววิทยาโดยทั่วไป ทั้งที่มาพื้นฐานทางธรรมประเพณี
ของเพลโตและอาริสโตเติลก็เชือ่ ว่า ความตายป็นการแยกของวิญญาณออกจากร่างกาย นักเทววิทยา
ได้เสวนากับนักปรัชญาแนวอาริสโตเติลถึงความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขความคิดเรื่อง “รูปเหตุ” เพื่อ
สร้างแนวความคิดใหม่ คือ ความเป็นไปได้ที่วิญญาณแยกออกจากร่างกายชั่วคราวและยังคงอยู่ต่อไป
เพราะตามปรัชญาของอาริสโตเติล รูปเหตุโดยทั่วไปเป็นอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีวัสดุเหตุเป็นองค์ประกอบ
ภายใน รูปเหตุจึงเกิดขึ้นพร้อมกับวัสดุเหตุ อาริสโตเติลเข้าใจว่า วิญญาณเป็นรูปแบบของร่างกาย
วิญญาณจึงสูญสลายไปเมื่อความเป็นอยู่ของมนุษย์สิ้นสุดลง จากมุมมองนี้ รูปเหตุที่ทำให้สสารเป็น
มนุษย์ก็สูญสลายไปเมื่อบุคคลตาย ศพไม่เป็นมนุษย์ และรูปแบบของศพก็ไม่ใช่วิญญาณของมนุษย์
ปรัชญาของอาริสโตเติลไม่คำนึงถึงความเป็นไปได้ที่วิญญาณมนุษย์จะรอดพ้นจากความตายในทางใด
ทางหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ นักเทววิทยาคริสตชนซึ่งปรารถนาที่จะใช้ทฤษฏีสสารและรูปแบบของอาริส-
โตเติล จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงความเข้าใจเรื่อง “รูปเหตุ” เพื่อจะนำมาใช้อธิบายข้อความเชื่อ
ตามธรรมประเพณีของพระศาสนจักร การดัดแปลงทฤษฏีเรือ่ งรูปแบบนีน้ ำไปสูค่ วามคิดทีว่ า่ วิญญาณ
เป็นรูปแบบในความหมายใหม่ กล่าวคือ เป็นรูปแบบที่มีความสัมพันธ์ที่จำเป็นกับสสาร แต่ความ
สัมพันธ์นี้ ไม่ได้หมายความว่า “รูปเหตุ” จำเป็นต้องร่วมกับสสารตลอดเวลา เพราะ “รูปเหตุ”
สามารถคงอยู่ได้ชั่วคราวโดยปราศจากสสาร แม้ยังมีแนวโน้มที่จะร่วมกับสสารอยู่เสมอ
227
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
วิญญาณที่แยกออกจากร่างกายยังมีความต้องการที่จะร่วมกับร่างกายสักวันหนึ่ง เพราะตามทฤษฎีนี้
วิญญาณเป็น “รูปเหตุ” ซึ่งมีความสัมพันธ์ภายในกับสสาร เมื่อวิญญาณแยกจากร่างกายจึงทำหน้าที่
2 ประการคือ
1) เป็นพื้นฐานสำหรับความเข้าใจว่า เอกลักษณ์ของมนุษย์ยังคงอยู่หลังจากความ
ตาย
2) เป็นพื้นฐานสำหรับความเข้าใจว่า เหตุใดมนุษย์ยังไม่สมบูรณ์จนกว่าร่างกายจะ
กลับคืนชีพ
2.3 ความตายเป็นการสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ส่วนตัวของมนุษย์แต่ละคน
ธรรมประเพณีทางเทววิทยาสอนโดยทั่วไปว่า ความตายไม่เป็นเหตุการณ์ทางร่างกาย
เท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ จึงเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่งของมนุษย์
ทั้งหมด เพราะความตายของแต่ละบุคคลเป็นการสิ้นสุดทางประวัติศาสตร์ของตน
แม้วิชาการแพทย์อาจกำหนดความตายไว้ด้วยวิธีหลายอย่าง นักเทววิทยาเข้าใจถึง
ความตายของมนุษย์วา่ เป็นจุดจบของชีวติ ที่ไม่มวี นั หวนกลับมาอีก เราอาจจะไม่รอู้ ย่างแน่นอนว่าจุดจบ
ของชีวิตเกิดขึ้นอย่างไรและเมื่อไร และอาจจะไม่ตรงกับความตายที่การแพทย์กำหนดไว้จากข้อมูล
ทางชีวภาพ แต่สำหรับเทววิทยาของคริสตชน ความตายเป็นการสิ้นสุดทางประวัติศาสตร์ของมนุษย์
อย่างแท้จริง ไม่ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร ก็จะไม่เป็นชีวิตที่หวนกลับมาสู่ประสบการณ์ด้านเวลาและ
สถานที่เดิมในโลกนี้อย่างแน่นอน และจะไม่เป็นชีวิตที่เวียนว่ายตายเกิด เวลาที่มนุษย์ดำเนินชีวิตโดย
เลือกกิจการอย่างอิสระไม่มีอีกต่อไปแล้ว แต่จะจบลงพร้อมกับความตาย
ประสบการณ์ของบางคนที่ดูเหมือนตายแล้ว แต่การแพทย์ช่วยเขาให้กลับมามีชีวิต
อีกครั้ง เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากในสมัยของเรา เมื่อพิจารณาจากมุมมองทางเทววิทยาแล้ว
ก็ต้องสรุปว่าประสบการณ์ดังกล่าวไม่ใช่ประสบการณ์ของผู้ที่ตายแล้ว แต่เป็นเพียงประสบการณ์
ของผู้ที่ใกล้จะตายเท่านั้น เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ประสบการณ์ดังกล่าวพิสูจน์ไม่ได้ว่า มนุษย์
ยังมีชีวิตหลังจากความตาย แม้ผู้ที่มีประสบการณ์นี้ได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่ประสบการณ์ใกล้
228
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
229
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
3. ความตายในเทววิทยาร่วมสมัย
ความเข้าใจเรื่องความตาย นับเป็นหัวใจของวิชาอนันตวิทยาส่วนบุคคล นักเทววิทยาร่วม
สมัยตั้งคำถามว่า “อะไรจะเกิดขึ้นกับบุคคลเมื่อเขาตาย” บรรดานักเทววิทยาร่วมสมัยมีความคิด
หลากหลาย แต่ทุกคนมั่นใจว่า การอธิบายความตายเป็นการแยกกันระหว่างร่างกายกับวิญญาณนั้น
ไม่เป็นการเพียงพอ จะต้องค้นหาความหมายให้ลึกซึ้งมากกว่านี้
การพัฒนาความคิดหลักในเรื่องความตายมีนักเทววิทยาสำคัญ 3 ท่าน ที่ให้แนวคิดแบบ
ใหม่ไว้ คือ คาร์ล ราห์เนอร์ (K. Rahner) ทรัวฟังแตนส์ (R. Troisfontaines) โบรอส (L. Boros)
ทรัวฟังแตนส์ ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปรัชญาของมาแซล (G.Marcel) แต่ราห์เนอร์และโบรอส
ได้ใช้ปรัชญาเชิงอุตรภาพเป็นพื้นฐาน เขาทั้งสามคนพยายามหาเหตุผลสนับสนุนความคิดที่ว่า ความ
ตายของมนุษย์ไม่เป็นเพียงเหตุการณ์ที่เขาเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว แต่เขาเป็นผู้กระทำอีกด้วย ความ
ตายจึงเป็นการกระทำส่วนตัวของแต่ละคน ผลงานของราห์เนอร์มีอิทธิผลต่อนักเทววิทยาอื่นๆ หลาย
คน ในที่นี้ เราจะพิจารณาถึงทัศนะของราห์เนอร์ และผลกระทบของเขาที่มีต่องานของโบรอส
เท่านั้น
3.1 ความคิดของราห์เนอร์
ความคิดหลักของราห์เนอร์มาจากความมั่นใจที่ว่า ความตายไม่เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นกับ
บุคคลภายนอก หรือเป็นชะตากรรมซึ่งมีสาเหตุที่มนุษย์ไม่อาจควบคุมได้ แต่ยังมีความหมายมากกว่า
นี้คือ ความตายเป็นการกระทำของมนุษย์ที่จำเป็นต้องทำ ความตายไม่เพียงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
กับเราเองเท่านั้น แต่เป็นกิจการของเราอีกด้วย เพื่อจะเข้าใจความคิดของราห์เนอร์ เราจำเป็นที่จะ
มาพิจารณาความเข้าใจเรื่องชีวิตมนุษย์ตามที่ราห์เนอร์สั่งสอน
ราห์เนอร์มีความคิดว่ามนุษย์แสวงหาความหมายของชีวิตและพยายามที่จะได้ชีวิต
อย่างสมบูรณ์ ในทัศนะนีช้ วี ติ มนุษย์เป็นกระบวนการอย่างต่อเนือ่ งของการกระทำสองฝ่าย คือ ระหว่าง
การกระทำของแต่ละบุคคลกับการกระทำของผู้อื่น และระหว่างการกระทำของแต่ละคนกับสิ่งต่างๆ
ซึ่งเป็นบริบทของชีวิตของตน แต่ละบุคคลถูกกระทำจากผู้อื่นและในทางตรงกันข้ามเขามีปฏิกิริยาต่อ
230
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
231
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
232
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
233
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
ประสบการณ์ของผู้ที่สังเกตบุคคลที่กำลังสิ้นใจพบว่า ปฏิพัฒนาการ
เช่ น นี้ เ กิ ด ขึ้ น ในผู้ ที่ ต าย เทววิ ท ยาเรื่ อ งการตั ด สิ น ใจครั้ ง สุ ด ท้ า ย
พยายามวิเคราะห์ประสบการณ์นี้อย่างลึกซึ้ง ถ้ากระบวนการของผู้ที่
กำลังจะตายเป็นการกระทำส่วนบุคคล ความตายจึงจะเป็นโอกาสที่
ผู้ตายบรรลุถึงความสมบูรณ์โดยการกระทำของตนเอง ความตายจึง
เป็นจุดสิ้นสุดของกระบวนการแห่งชีวิต
2) ความตายเป็นการยอมจำนนตนเองเป็นครั้งสุดท้าย นี่คือความหมาย
ของความตายตามอุดมการณ์ แต่อาจจะไม่เป็นความจริงสำหรับทุกคน
เพราะเขาไม่ยอมรับชะตากรรมของตน ความตายควรจะเป็นกิจการ
สุดท้ายของผู้ที่ดำเนินชีวิตโดยพยายามที่จะรักและอุทิศตนแก่ผู้อื่น แต่
ประสบการณ์ของมนุษย์คลุมเครืออยู่เสมอ ไม่ชัดว่าอนาคตสำหรับเรา
เมือ่ ตายและหลังจากความตายจะเป็นอย่างไร เราจะพบความว่างเปล่า
หรือจะพบธรรมล้ำลึกอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่อยู่ในโลกนี้ซึ่งยังไม่มีประสบ-
การณ์เกี่ยวกับความตายจึงตอบคำถามนี้ไม่ได้ ความรู้สึกล้มเหลวใน
เวลาแห่งความตายเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าเรากำลังจะสูญสลายไป
หรือว่าความรู้สึกว่างเปล่าเป็นเพียงเงื่อนไขเพื่อจะได้รับชีวิตอย่างถาวร
เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงชีวิต โดยลำพังตนเองมนุษย์ไม่สามารถ
ที่จะตอบคำถามดังกล่าวนี้ แต่เมื่อเรามองการสิ้นพระชนม์และการ
กลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า ในพระองค์เราพบตัวอย่างของ
มนุษย์ผู้หนึ่งซึ่งยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าเป็นครั้ง
สุดท้าย และได้บรรลุถึงชีวิตที่ส มบูรณ์อย่างรุ่งโรจน์ ดังนั้น เรารู้
ความหมายของความตาย คือ การเป็นมนุษย์หมายถึงการยอมจำนน
โดยสิ้นเชิงต่อพระเจ้า เป็นการมอบชีวิตของตนแด่พระเจ้าด้วยความ
234
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
4. การภาวนาเพื่อผู้ล่วงหลับกับพระคริสตเจ้า
คริสตชนใช้สำนวนว่า “ผู้ล่วงหลับ” ไม่ใช่ “ล่วงลับ” หมายถึงผู้ตาย เป็นการเปรียบเทียบ
ความตายว่าเป็นการนอนหลับ เราพบสำนวนนี้บ่อยๆ ในพันธสัญญาเดิม พันธสัญญาใหม่และ
วรรณคดีกรีก ทำนองเดียวกัน “การกลับคืนชีพ” จึงเปรียบได้กับ “การตื่นจากหลับ” ความเชื่อของ
คริสตชนถือว่า ความตายเป็นการหลับพักผ่อนในพระคริสตเจ้า นักบุญเปาโลใช้สำนวนนี้บ่อยๆ (1 คร
15:6, 18, 20, 51; 1 ธส 4:13)
แนวความคิดใหม่เรื่องความตายชวนให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความเลื่อมใสศรัทธาของคริสตชน
ที่มีต่อผู้ล่วงหลับ คำสอนทางการของพระศาสนจักรได้แสดงความมั่นใจว่าผู้ล่วงหลับไปแล้วอาจจะ
235
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
ได้รับความช่วยเหลืออย่างใดอย่างหนึ่งจากคำภาวนาและกิจการดีงามของผู้เป็น คำสอนตลอดหลาย
ศตวรรษมานี้ ได้รับการยืนยันใหม่จากเอกสารของคณะกรรมการเทววิทยาระหว่างประเทศ เมื่อ
ปี ค.ศ.1991 เอกสารนี้เตือนสัตบุรุษให้อธิษฐานภาวนาอุทิศแก่ผู้ตายว่า “สำหรับเรื่องวิญญาณของ
บรรดาผู้ตายที่ยังต้องการชำระให้บริสุทธิ์ “นับตั้งแต่แรกเริ่มของคริสตศาสนา พระศาสนจักรของผู้ที่
กำลังดำเนินชีวติ ในโลกนี้ ได้อธิษฐานภาวนาและทำบุญอุทศิ แก่พวกเขา” พระศาสนจักรเชือ่ ว่าวิญญาณ
ที่กำลังชำระตนให้บริสุทธิ์ “จะได้รับความสดชื่นจากคำภาวนาและการทำบุญของสัตบุรุษที่ยังมีชีวิต
อยู่ เช่น จากการถวายพิธีบูชาขอบพระคุณ การอธิษฐานภาวนา การให้ทาน และการกระทำกิจ
ศรัทธาอืน่ ๆ ตามธรรมเนียมทีส่ ตั บุรษุ ต้องถวายเพือ่ สัตบุรษุ คนอืน่ ตามข้อกำหนดของพระศาสนจักร”
(7:3)
คำสอนเรื่องไฟชำระมีความสัมพันธ์กับความหมายของคำภาวนาเพื่อผู้ล่วงหลับ และกับ
ความเข้าใจทางเทววิทยาเรื่องสหพันธ์นักบุญ และความหวังในการกลับคืนชีพ คำสอนเรื่องสหพันธ์
นักบุญเป็นข้อความเชื่อ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพอย่างลึกซึ้งในหมู่คริสตชน ความ
สมานฉันท์ของมนุษย์หยัง่ รากลึกในพระคัมภีร์ และเป็นข้อเท็จจริงสำคัญในคำสอนของพระศาสนจักร
เรื่องบาปกำเนิดและการไถ่บาป ความเข้าใจทางเทววิทยาเรื่องความสมานฉันท์นี้อาจจะชัดเจนขึ้น
ถ้าใช้ปรัชญามานุษยวิทยา ในด้านปรัชญา ความสมานฉันท์เป็นลักษณะสำคัญของธรรมชาติมนุษย์
ที่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม ในด้านเทววิทยา คำสอนเรื่องพระหรรษทานและความ
รอดพ้นของมนุษย์ส่งเสริมลักษณะดังกล่าวของธรรมชาติมนุษย์
พระคัมภีร์และคำสอนของบรรดาปิตาจารย์แสดงความคิดนี้โดยใช้คำอุปมาว่า มนุษย์ท่ีได้
รับพระหรรษทานและความรอดพ้นเป็นประชากรของพระบิดาเจ้า เป็นพระวรกายของพระคริสตเจ้า
และเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้า เมื่อเรานำความคิดนี้มาร่วมกับความเชื่อในชีวิตนิรันดรกับพระตรี-
เอกภาพ เราสรุป ได้ว่า ความสมานฉันท์ของมนุษย์ในโลกนี้จะต้องคงไว้และต่อเนื่องไปในชีวิต
หลังจากความตาย ถ้ามนุษย์มีความสัมพันธ์กันโดยธรรมชาติและโดยพระหรรษทานเมื่อมีชีวิตอยู่ใน
โลกนี้แล้ว ความสัมพันธ์นี้จะไม่หมดสิ้นไปพร้อมกับความตาย
236
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
ตามความคิดเห็นของราห์เนอร์ พื้นฐานทางเทววิทยาของการภาวนาเพื่อผู้ล่วงหลับอยู่ใน
ความคิดที่ว่า แม้ความตายเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของมนุษย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าการตัดสินใจ
นั้นจะเกิดผลอย่างสมบูรณ์ในทันทีทันใด เราอาจคิดว่า การเจริญเติบโตทั้งหมดบุคคลหนึ่งไม่สำเร็จ
ลงในช่วงเวลาแห่งความตาย แต่ยังมีการเจริญเติบโตที่เกิดขึ้นหลังจากความตายจนถึงมนุษย์บรรลุ
ความสมบูรณ์ นี่คือความหมายของ “ไฟชำระ” ความคิดนี้ของราเนอร์ไม่สามารถอธิบายอย่างชัดเจน
ว่า คำภาวนาและกิจการดีของผู้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้มีอิทธิพลต่อกระบวนการการเติบโตใน “ไฟชำระ”
อย่างไร
กระนั้นก็ดี ปรัชญาของราห์เนอร์ให้แนวความคิดและมุมมองที่พัฒนาได้ต่อไป มานุษยวิทยา
ของราห์เนอร์เน้นเอกภาพพืน้ ฐานของมนุษยชาติ และความสัมพันธ์ของแต่ละคนกับมนุษยชาติทง้ั หมด
ถ้าเรามีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในชีวิตนี้ น่าจะสรุป ได้ว่า ความสัมพันธ์ต่อกันยังคงอยู่หลังจาก
ความตายในรูปแบบใหม่ ความสมานฉันท์ของมนุษย์นำเราข้ามพ้นเขตแดนแห่งความตาย ความ
สัมพันธ์ที่เรามีกับผู้อื่นเป็นลักษณะสำคัญของชีวิตของเราแต่ละคน ความจริงนี้ชัดเจนอยู่แล้วสำหรับ
มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เราอาจนำความคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับชีวิตหลังจากความตายอีกด้วย
เพราะชีวิตนิรันดรไม่มีลักษณะลำพังเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า มนุษย์แต่ละคนจะมีความสัมพันธ์กับ
ผู้อื่น เพราะความสัมพันธ์กับผู้อื่นทำให้เขาเป็นบุคคลอย่างที่เขาเป็น ถ้า “ไฟชำระ” หมายถึงขบวน-
การรักษาให้หายและการเจริญเติบโตของผู้ล่วงหลับ
พระคาร์ดินัล รัทซิงเกอร์ (Ratzinger) ได้เสนอความคิดเดียวกันว่า การเผชิญหน้ากับพระ-
คริสตเจ้าในความตายเป็นการพบปะกับพระวรกายของพระคริสตเจ้า ดังนัน้ จึงเป็นการพบปะระหว่าง
แต่ละคนที่ได้กระทำผิดต่อสมาชิกอื่นๆ ในพระวรกายของพระเยซูคริสตเจ้าและทำให้เขาต้องรับทน
ทุกข์ทรมาน กับพระคริสตเจ้า ศรีษะของพระวรกาย ซึ่งแสดงความรักที่ให้อภัย คำสอนเรื่อง “ไฟ
ชำระ” และการภาวนาอุทศิ ให้ผลู้ ว่ งหลับแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพของมนุษยชาติในความหมาย
กว้างที่สุด คำสอนนี้แสดงความเชื่อของพระศาสนจักรในพลังแห่งความรักที่ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นและ
237
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑๑ ... เทววิทยาเรื่องความตาย
238
อ นั น ต วิ ท ย า