You are on page 1of 7

มรณธมโมมหิ มรณ อนตีโต

ณ บัดนี ้อาตมภาพจักได้ แสดงพระธรรมเทศนา เพื่อเป็ นคติเตือนใจในเรื่ องมรณธรรม อันจักเป็ น


เครื่ องประดับสติปัญญาบารมีของท่านสาธุชนผู้ใฝ่ ธรรม
วันนี ้พวกเราทังหลายได้
้ มาประชุมพร้ อมกัน ณ ที่นี ้ด้ วยความผูกพันและระลึกถึงท่านผู้หญิงพูน
ศุข พนมยงค์ ซึง่ ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ าสรี ระของท่านก็จะสลายกลายเป็ นอังคารหรื อเถ้ าธุลี
ก่อนที่จะกลับคืนสูธ่ รรมชาติ อันเป็ นธรรมดาของสรรพสิ่ง
ครัง้ หนึง่ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ได้ เคยมีชีวิตและเดินเหินอยู่บนโลกนี ้เช่นเดียวกับเรา ได้
เคยโอภาปราศรัยและพูดคุยกับเรา ได้ เคยพบสุขและประสบทุกข์เช่นเดียวกับเราทุกคน แต่ใน
ที่สดุ ท่านก็ต้องละจากโลกนี ้ไป แม้ จะทิ ้งร่างเอาไว้ แต่ร่างอันเป็ นรูปขันธ์ของท่านนัน้ ก็ต้อง
เสื่อมสลายเช่นกัน อย่างไรก็ตามสิ่งหนึง่ ที่ยงั คงอยูก่ ็คือคุณงามความดีของท่าน ซึง่ ไม่เพียง
ประทับแน่นในใจของพวกเราเท่านัน้ แต่ยงั ถูกบันทึกไว้ ในประวัติศาสตร์ ของชาติ ในฐานะภริ ยา
ผู้ที่ทงอยู
ั ้ เ่ บื ้องหลังและเคียงบ่าเคียงไหล่กบั ท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรี ดี พนมยงค์ ผู้มีคณ
ุ ปู การ
อย่างสูงต่อประเทศและประชาชนไทย
คุณงามความดีของท่านนันมิ ้ ได้ บำเพ็ญเมื่อยังมีชีวิตอยูเ่ ท่านัน้ แม้ เมื่อสิ ้นลมแล้ ว
สรี ระที่ทา่ นอุทิศให้ ยงั สร้ างสรรค์คณุ ประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ตอ่ ไปด้ วยการเป็ น “อาจารย์
ใหญ่”ให้ แก่นิสิตแพทย์ เพื่อนำความรู้ไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในวันข้ างหน้ า
บัดนี ้ภารกิจในการเป็ นอาจารย์ใหญ่ของท่านผู้หญิงพูนศุขได้ ลลุ ว่ งแล้ ว ถึงเวลาที่เราทังหลายจะ

ร่วมกันทำหน้ าที่ของผู้ที่ยงั อยู่ ได้ แก่การปลงสรี ระของท่าน พร้ อมกับร่วมกันบำเพ็ญบุญกุศล
อุทิศให้ ทา่ นตามประเพณี เพราะสำหรับผู้ที่วายชนม์นนั ้ ไม่มีอะไรเป็ นที่พงึ่ พาได้ ในสัมปรายภพ
นอกจากบุญกุศลเท่านัน้
อย่างไรก็ดีตามประเพณีของชาวพุทธ การบำเพ็ญกุศลในงานศพนันนอกจากมุ ้ ง่ ประโยชน์แก่ผ้ ู
วายชนม์แล้ ว ยังมุง่ ให้ เกิดประโยชน์แก่ผ้ ทู ี่ยงั อยูด่ ้ วย นัน่ คือการเตือนใจให้ ทกุ คนระลึกถึง
สัจธรรมของชีวิตที่ไม่มีผ้ ใู ดหนีพ้น ได้ แก่ความจริ งที่วา่ เมื่อเกิดมาแล้ วก็ต้องแก่ เจ็บ และตาย
สัจธรรมดังกล่าวได้ ปรากฏแก่เราทุกคนในที่นี ้โดยมีสรี ระของท่านผู้หญิงเป็ นเครื่ องแสดง มองใน
แง่นี ้ความเป็ นอาจารย์ใหญ่ของท่านผู้หญิงพูนศุขจึงยังไม่สิ ้นสุด เป็ นแต่วา่ ผู้ที่พงึ ศึกษาน้ อมรับ
บทเรี ยนจากท่านในบัดนี ้มิใช่นกั ศึกษาแพทย์ แต่เป็ นพวกเราทุกคน ณ ที่นี ้
ความตายเป็ นธรรมดาของชีวิต ดังมีพทุ ธภาษิตย้ำเตือนว่า มรณธมโมมหิ มรณ อนตีโตแปลว่า
“เรามีความตายเป็ นธรรมดา หาล่วงพ้ นความตายไปได้ ไม่” ความจริ งข้ อนี ้แม้ ไม่มีใครปฏิเสธ
แต่น้อยคนที่ให้ เวลากับการครุ่นคำนึงถึงความตายของตนอย่างจริ งจัง การพูดถึงความตายของ
ตนมักถือกันว่าเป็ นเรื่ องอัปมงคล ดังนันคนส่
้ วนใหญ่จงึ มีชีวิตอยูร่ าวกับลืมตาย หรื อหลงคิดว่า
ตนเองจะไม่ตาย ไม่มีการเตรี ยมตัวเตรี ยมใจไว้ รับมือกับความตาย ดังนันเมื้ ่อความตายเข้ ามา
ประชิดตัว จึงทุกข์ทรมาน หวาดวิตก คิดแต่จะหาทางหนี แต่เมื่อหนีไม่พ้น จึงสิ ้นลมด้ วยความ
ทุรนทุราย ซึง่ ในทางพุทธศาสนาถือว่าส่งผลถึงถึงทุคติได้
แท้ จริ งแล้ วความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าคือความกลัวตายต่างหาก ความกลัว
ตายทำให้ เรานอกจากเป็ นทุกข์แล้ ว ยังทำให้ เราปฏิเสธที่จะเตรี ยมรับมือกับความตาย การ
ปฏิเสธดังกล่าวในที่สดุ ย่อมนำความทุกข์ทรมานแสนสาหัสมาให้ เมื่อวันนันมาถึ ้ ง แต่หากเรา
ยอมรับว่าเราเองต้ องตายไม่ช้าก็เร็ ว เราย่อมตระหนักว่าแทนที่จะวิ่งหนีความตายไปจนตลอด
ชีวิต จะเป็ นการดีกว่าหากเราหันมาเตรี ยมใจให้ พร้ อมรับมือกับความตาย เพราะนี ้คือวิธีเดียว
เท่านันที
้ ่เราจะพบกับความสงบเมื่อวาระสุดท้ ายมาถึง
มีผ้ รู ้ ูกล่าวว่า “ในโลกนี ้ไม่มีอะไรน่ากลัว มีแต่สิ่งที่ต้องทำความเข้ าใจ” ความจริ งข้ อนี ้ครอบคลุม
ถึงความตายด้ วยเช่นกัน สาเหตุที่เรากลัวความตายก็เพราะเราไม่ร้ ูจกั ความตายดีพอ ความ
ตายนันแม้ ้ จะเป็ นวิกฤตที่นำความแตกดับมาสูช่ ีวิต แต่ในเวลาเดียวกันก็สามารถเป็ นโอกาสใน
ทางจิตวิญญาณได้ ในพระไตรปิ ฎกมีเรื่ องราวเกี่ยวกับผู้คนเป็ นอันมากทังบรรพชิ ้ ตและคฤหัสถ์
ที่บรรลุธรรมเป็ นอริ ยบุคคลขณะที่กำลังจะสิ ้นลมในสถานการณ์ตา่ ง ๆ กัน ทังนี ้ ้เพราะท่านเหล่า
นันได้
้ เห็นความไม่เที่ยงและเป็ นทุกข์ของสังขารอย่างชัดเจน จนจิตปล่อยวางจากความยึดติด
ถือมัน่ อย่างสิ ้นเชิง
ด้ วยเหตุนี ้ท่านอาจารย์พทุ ธทาสจึงกล่าวว่า ช่วงขณะที่กำลังจะตายนันเป็
้ น “นาทีทอง”ของชีวิต
เราทุกคนสามารถใช้ ความตายให้ เกิดประโยชน์ในทางจิตวิญญาณได้ แม้ จะไม่ถงึ ขันบรรลุ ้ ธรรม
เป็ นอริ ยบุคคล แต่ก็อาจอาศัยความตายเป็ นเครื่ องกระตุ้นใจให้ ปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ที่มิใช่สาระ
ของชีวิตหรื อที่เคยเป็ นภาระแก่จิตใจ ทำให้ จิตใจเข้ าถึงความสงบโปร่ งเบา ขณะเดียวกันก็หนั
เข้ าหาธรรมจนพบแสงสว่างของชีวิตอันเป็ นเครื่ องนำทางให้ ผา่ นพ้ นความตายไปได้ โดยสวัสดี
มีผ้ คู นเป็ นอันมากที่สามารถเผชิญความตายได้ ด้วยใจสงบ แม้ มีทกุ ขเวทนาทางกายบีบคัน้
ก็ตาม ทังนี ้ ้ก็เพราะยอมรับได้ วา่ ความตายเป็ นธรรมดาของชีวิต ไม่ปฏิเสธ ผลักไส หรื อขัดขืน
ต่อสู้กบั ความตายอีกต่อไป ขณะเดียวกันก็ไม่มีสิ่งใดค้ างคาใจ ที่ทำให้ วิตกกังวลหรื อห่วงใย มีก็
แต่ความภาคภูมิใจในความดีที่ได้ กระทำมา ทำให้ มนั่ ใจในคติภพข้ างหน้ า ไม่หวาดกลัวในสิ่งที่
จะต้ องประสบหลังตาย
ผู้ที่จะทำใจเช่นนี ้ได้ จำเป็ นต้ องมีการฝึ กฝนจิตใจอยูเ่ ป็ นประจำ โดยเฉพาะการหมัน่ เจริ ญมรณ
สติอยูเ่ นือง ๆ ได้ แก่การพิจารณาว่าความตายจะต้ องบังเกิดขึ ้นกับตนอย่างแน่นอน ไม่วา่ จะ
ร่ำรวย ยิ่งใหญ่ ทรงอำนาจเพียงใด ในที่สดุ ก็ต้องตาย แต่ในความแน่นอนเที่ยงแท้ ของความ
ตายนัน้ ก็เต็มไปด้ วยความไม่แน่นอนว่า ความตายจะมาถึงตนเมื่อใด อาจจะเป็ นสิบปี ข้ างหน้ า
ปี หน้ า เดือนหน้ า พรุ่งนี ้ หรื อแม้ แต่คืนนี ้ก็ได้ ไม่มีผ้ ใู ดเลยที่ลว่ งรู้ได้ ดังมีภาษิตธิเบตกล่าวว่า
“ระหว่างวันพรุ่งนี ้กับชาติหน้ า ไม่มีใครรู้ได้ วา่ อะไรจะมาก่อน”
เมื่อพิจารณาเช่นนี ้แล้ ว ก็ต้องถามต่อไปว่า หากเราต้ องตายในวันนี ้หรื อคืนนี ้ เราพร้ อมจะตาย
หรื อยัง เราได้ สร้ างสมคุณงามความดีมากพอหรื อยัง เราได้ ใช้ เวลาในโลกนี ้อย่างมีคณ ุ ค่ามาก
พอแล้ วหรื อ มีภารกิจสำคัญอันใดที่ยงั คัง่ ค้ างอยูบ่ ้ าง และมีสิ่งใดบ้ างที่เรายังเป็ นห่วงกังวลหรื อ
ค้ างคาใจที่ทำให้ ไม่พร้ อมที่จะตาย
การเจริ ญมรณสติดงั กล่าวจะช่วยให้ เราตระหนักว่าเรามีเวลาอยูใ่ นโลกนี ้อย่างจำกัด ดังนันใน ้
ขณะที่ยงั มีเวลาและสุขภาพดีอยู่ จึงต้ องเร่งทำภารกิจที่สำคัญและมีความหมายต่อชีวิตให้ แล้ ว
เสร็จ ไม่วา่ การบำเพ็ญคุณงามความดี การฝึ กฝนพัฒนาจิตใจ ตลอดจนการทำหน้ าที่ตอ่ บุคคล
ที่มีความสำคัญในชีวิตของเรา กิจเหล่านี ้คนส่วนใหญ่มกั ผัดผ่อนทอดธุระ เพราะเห็นว่าไม่ใช่
เรื่ องเร่งด่วนและไม่มีเส้ นตายที่จะต้ องทำให้ เสร็จ แต่การเตือนตนอยูเ่ สมอว่าความตายจะมาถึง
เราเมื่อไรก็ได้ จะกระตุ้นให้ เราขวนขวายทำกิจเหล่านี ้ ไม่ผดั ผ่อนทอดธุระอีกต่อไป เรี ยกว่า
เป็ นการมีชีวิตอยูอ่ ย่างไม่ประมาท
มีหลายคนที่เมื่อจินตนาการว่าความตายกำลังจะเกิดขึ ้นกับตนในวันนี ้หรื อคืนนี ้ เขาพบว่ามี
หลายคนและหลายสิ่งที่ตนยังยึดติดผูกพันหรื อห่วงใยอยู่ ตราบใดที่ยงั มีความยึดติดผูกพันดัง
กล่าวอยู่ ก็ยากที่เราจะจากโลกนี ้ด้ วยใจสงบได้ เพราะจะมีแต่ความอาลัยอาวรณ์และเศร้ าโศก
ท่วมท้ นใจ การเจริ ญมรณสติจงึ เป็ นสิ่งกระตุ้นเตือนให้ เราเห็นถึงความสำคัญของการรู้จกั ปล่อย
วางบุคคลและสิ่งต่าง ๆ ไม่วา่ ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียงเกียรติยศ รวมทังความหวงแหนอาลั
้ ยใน
ชีวิต แม้ ในการดำเนินชีวิตประจำวันจะปล่อยวางได้ ยาก แต่ก็ควรฝึ กใจให้ พร้ อมปล่อยวางอย่าง
ทันท่วงทีเมื่อวาระสุดท้ ายของชีวิตมาถึง
สิ่งที่เรายึดติดนันมิ
้ ได้ มีเพียงสิ่งอันเป็ นที่รักที่พอใจ เช่น บิดามารดา บุตรธิดา ทรัพย์สมบัติ หรื อ
ชีวิตเท่านัน้ แม้ สิ่งอันไม่เป็ นที่รักที่พอใจเราก็มกั ยึดติดโดยไม่ร้ ู ตวั เช่น ความโกรธเกลียดหรื อ
พยาบาทต่อคนบางคน รวมถึงความรู้สกึ ผิดที่ทำไม่ดีกบั ผู้อื่น อารมณ์เหล่านี ้ก็เป็ นสิ่งที่เราควร
รู้จกั ปล่อยวางเช่นกัน ไม่เช่นนันก็ ้ อาจจะรบกวนจิตใจให้ เป็ นทุกข์ หม่นหมอง หรื อเร่าร้ อนใน
เวลาใกล้ ตายได้
การปล่อยวางดังกล่าวเกิดขึ ้นได้ สว่ นหนึง่ ก็จากการขวนขวายทำภารกิจต่าง ๆ ให้ เสร็จสิ ้นจน
ไม่มีอะไรค้ างคาใจ เช่น การตอบแทนบุญคุณบิดามารดา การเลี ้ยงดูบตุ รธิดา การจัดการ
ทรัพย์สินหรื อมรดก ส่วนอารมณ์ฝ่ายอกุศลก็สามารถปล่อยวางได้ ด้ วยการขอขมาหรื อปรับ
ความเข้ าใจผิดกับผู้ที่เคยมีเรื่ องบาดหมางกัน รวมทังการให้
้ อภัยตนเอง และยอมรับความผิด
พลาดของตนโดยไม่เก็บกดไว้ ในใจ
การระลึกว่าความตายอาจมาถึงเราเมื่อไรก็ได้ ยังทำให้ เราเห็นถึงคุณค่าของแต่ละวันที่เรามี
ชีวิตอยูใ่ นโลกนี ้ เพราะเราไม่ร้ ูเลยว่าวันพรุ่งนี ้จะมีหรื อไม่ ทำให้ เราเห็นถึงคุณค่าของแต่ละวันที่
คนรักยังอยูก่ บั เรา เพราะเราไม่ร้ ู เลยว่าวันพรุ่งนี ้จะได้ พบกันอีกหรื อไม่ ทำให้ เราชื่นชมกับสิ่งดี ๆ
ที่มีอยูก่ บั ตัวและรอบตัว เพราะเราไม่ร้ ูเลยว่าวันพรุ่งนี ้เราจะมีโอกาสชื่นชมสิ่งเหล่านันหรื
้ อไม่
ทำให้ เราติดต่อสัมพันธ์กบั ผู้อื่นด้ วยความใส่ใจ เพราะเราไม่ร้ ูเลยว่าพรุ่งนี ้จะได้ พบกันอีกหรื อไม่
กล่าวโดยสรุปการเจริ ญมรณสติอยูเ่ สมอช่วยกระตุ้นให้ เราขวนขวายในสิ่งที่ชอบผัดผ่อน ปล่อย
วางในสิ่งที่ชอบยึดติด และเห็นคุณค่าของทุกสิ่งที่มีอยูห่ รื อกระทำอยูใ่ นปั จจุบนั ทังหมดนี
้ ้ไม่
เพียงเอื ้ออำนวยให้ เราสามารถตายอย่างสงบเท่านัน้ แต่ยงั ช่วยให้ อยูอ่ ย่างมีความสุขด้ วย
ชีวิตกับความตายเป็ นสิ่งที่ไม่ได้ แยกจากกัน ความข้ อนี ้นอกจากจะหมายความว่าชีวิตกับความ
ตายเป็ นของคูก่ นั แล้ ว ยังหมายความอีกว่าเราอยูอ่ ย่างไร เราก็ตายอย่างนัน้ ถ้ าหากเราต้ องการ
“ตายดี” ก็ต้องมีชีวิตที่ดีงาม กล่าวคือสร้ างสมคุณงามความดีหรื อบุญกุศล ถึงพร้ อมด้ วย
ประโยชน์ตนและประโยชน์ทา่ น นอกจากการหมัน่ บำเพ็ญทาน และรักษาศีลตลอดจนช่วย
เหลือเกื ้อกูลผู้อื่นแล้ ว ที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การเจริ ญภาวนาเป็ นนิจ หมายถึงการฝึ กฝนใจให้ บงั เกิด
ความสงบและความสว่าง รู้เท่าทันความเป็ นจริ งของชีวิต จนไม่เผลอเป็ นทุกข์เพราะความ
ผันผวนปรวนแปรต่าง ๆ ที่ผา่ นเข้ ามาในชีวิต
ในชีวิตของคนเรานัน้ ย่อมต้ องประสบกับสิ่งที่พอใจและสิ่งที่ไม่พอใจอยูเ่ สมอ ผู้คนทัว่ ไปมัก
พยายามยึดสิ่งที่พอใจเอาไว้ และปฏิเสธผลักไสสิ่งที่ไม่พอใจ แต่ในความเป็ นจริ งย่อมเป็ นไปไม่
ได้ เลยที่เราจะควบคุมสิ่งต่าง ๆ ให้ เป็ นไปดังใจได้ เสมอไป สิ่งที่พอใจนันไม่
้ วา่ เราอยากยึดเพียง
ใด ในที่สดุ ก็ต้องแปรเปลี่ยนหรื อพรากจากเราไป ส่วนสิ่งที่ไม่พอใจก็ยากที่จะหนีพ้น ไม่วา่ จะมา
จากภายนอกหรื อเกิดกับกายและใจของเราเอง ยิ่งความแก่ ความเจ็บ และความตายด้ วยแล้ ว
ไม่มีทางที่จะหนีพ้นเลย
ผู้ที่พยายามยึดติดสิ่งที่พอใจ และปฏิเสธผลักไสสิ่งที่ไม่พอใจ จึงเต็มไปด้ วยความทุกข์ ความไม่
สมหวังอยูเ่ นือง ๆ แต่เมื่อใดที่เราตระหนักถึงความเป็ นจริ งว่าสิ่งทังปวงย่
้ อมแปรเปลี่ยนเป็ นนิจ
ไม่จิรังยัง่ ยืน และไม่สามารถควบคุมให้ เป็ นไปดังใจได้ เราก็จะยึดติดถือมัน่ หรื อปฏิเสธผลักไส
สิ่งต่าง ๆ น้ อยลง สามารถวางใจเป็ นกลางได้ มากขึ ้น ในยามที่ได้ ทรัพย์ ได้ เกียรติยศ ได้ รับคำ
สรรเสริ ญ หรื อประสบสุข ก็ไม่หลงใหลปลาบปลื ้ม เพราะรู้ดีวา่ สิ่งเหล่านี ้ล้ วนไม่เที่ยง ดังนันเมื
้ ่อ
ต้ องสูญเสียทรัพย์ สูญเสียเกียรติยศ ถูกตำหนิติฉิน หรื อประสบทุกข์ ก็ไม่คร่ำครวญหรื อคับ
ข้ องใจ เพราะรู้ดีวา่ นี่เป็ นธรรมดาโลก ซึง่ พุทธศาสนาเรี ยกว่าโลกธรรม
การเจริ ญภาวนาคือการฝึ กฝนจิตใจให้ เห็นถึงความผันแปรของโลกธรรม รวมไปถึงสิ่งทังปวงที ้ ่
เรี ยกว่าสังขาร เริ่ มจากการฝึ กจิตให้ เห็นถึงอาการขึ ้นลงแปรเปลี่ยนของความรู้สกึ นึกคิด โดย
วางใจเป็ นกลางต่อสิ่งเหล่านันได้้ ไม่ฟู-แฟบ ยินดี-ยินร้ าย หรื อมีทา่ ทีชอบ-ชัง เมื่อมีสติเป็ น
เครื่ องรักษาใจไม่ให้ หวัน่ ไหวไปกับอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ ้นในใจ ต่อไปก็สามารถวางใจเป็ นกลาง
ต่อความผันผวนปรวนแปรของโลกธรรมได้
เราทุกคนไม่สามารถหลีกหนีโลกธรรมได้ แต่เมื่อใดที่โลกธรรมเกิดขึ ้น โดยเฉพาะโลกธรรมฝ่ าย
บวก นอกจากวางใจเป็ นกลางแล้ ว เราควรใช้ โอกาสนี ้พิจารณาถึงความไม่เที่ยงของลาภ ยศ สุข
สรรเสริ ญ จนเห็นว่าสิ่งเหล่านี ้ยึดถือไม่ได้ และไม่น่ายึดถือ เพราะนอกจากจะไม่จิรังแล้ ว มันยัง
ไม่ช่วยให้ พ้นทุกข์หรื อเป็ นสุขได้ อย่างยัง่ ยืน เมื่อใดก็ตามที่เผลอยึดมัน่ ถือมัน่ ว่าลาภ ยศ สุข
สรรเสริ ญเป็ นของเรา เราก็จะตกเป็ นทาสของมันและเป็ นทุกข์เพราะมัน เพราะได้ เท่าไรก็ไม่ร้ ูจกั
พอ และไม่วา่ ได้ เท่าไรก็ต้องเป็ นทุกข์เพราะต้ องหวนแหนรักษามันไว้ แต่ไม่วา่ จะหวนแหนและ
พยายามรักษาเพียงใด ก็ต้องสูญเสีย พลัดพรากหรื อถูกแย่งชิงไปในที่สดุ ปั ญญาที่เห็นโทษของ
ความยึดมัน่ ถือมัน่ ดังกล่าว ย่อมเปลื ้องจิตให้ เป็ นอิสระจากโลกธรรม แทนที่จะเป็ นทาสมัน ก็
กลับเป็ นนายมัน คือรู้จกั ใช้ มนั ให้ เกิดประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ และเมื่อถึงคราวที่มนั ต้ องแปร
เปลี่ยนไป ก็หาได้ เป็ นทุกข์กบั มันไม่
ปั ญญาที่ร้ ูเท่าทันในโลกธรรม ย่อมช่วยให้ เราวางใจเป็ นกลางได้ มากขึ ้นต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่
ผ่านเข้ ามาในชีวิต ไม่วา่ บวกหรื อลบ ดีหรื อร้ าย และเมื่อมีความผันผวนปรวนแปรเกิดขึ ้นกับ
ตนเอง เช่น ความแก่ ความเจ็บป่ วย และความตาย ก็สามารถยอมรับได้ ด้วยใจสงบ เพราะรู้ดี
ว่ามันเป็ นธรรมดาของชีวิต สำหรับผู้ที่มีปัญญา แม้ ขณะที่ยงั เป็ นหนุ่มสาว มีสขุ ภาพดี ก็เตรี ยม
ใจไว้ แล้ วว่าความเป็ นหนุ่มสาวและความไม่มีโรคนันเป็ ้ นของชัว่ คราว ไม่จิรังยัง่ ยืน ดังนันเมื
้ ่อ
เกิดความแปรเปลี่ยนกับตนเอง จึงยอมรับสิ่งที่เกิดขึ ้นได้
ควรกล่าวย้ำในที่นี ้ว่าการเจริ ญภาวนานันไม่้ ได้ หมายถึงการปลีกตัวหลีกเร้ นหรื อนัง่ หลับตาตาม
ลมหายใจเท่านัน้ แต่ยงั รวมไปถึงการไตร่ตรองเพ่งพินิจชีวิตไม่วา่ ในยามขึ ้นหรื อลง ได้ หรื อเสีย
เจริ ญหรื อเสื่อม แทนที่จะปล่อยใจเคลิบเคลิ ้มหรื อคร่ำครวญ เราควรใคร่ครวญเหตุการณ์ที่เกิด
ขึ ้นด้ วยสติและปั ญญา สำหรับผู้ที่เคยมัง่ คัง่ แต่ภายหลังกลับยากไร้ ที่เคยสูงส่งด้ วยยศศักดิ์ แต่
ภายหลังกลับตกต่ำ ที่เคยได้ รับการยกย่องแต่ภายหลังกลับถูกหยามเหยียด ความผันผวนเหล่า
นี ้สามารถเป็ นบทเรี ยนสอนใจให้ เห็นแจ้ งในสัจธรรมว่าสิ่งทังปวงไม่
้ เที่ยงโดยแท้
ในทำนองเดียวกันความเจ็บป่ วยและทุพพลภาพก็สามารถสอนธรรมแก่เราได้ เป็ นอย่างดีว่า
ร่างกายนอกจากจะไม่เที่ยงแล้ ว ยังไม่ใช่ของเรา ไม่อยูใ่ นอำนาจบังคับบัญชาของเราได้ จะว่า
ไปแล้ วไม่มีอะไรเลยที่เป็ นของเราสักอย่าง ไม่เว้ นแม้ แต่ชีวิตนี ้ เพราะเมื่อตายไปแล้ วก็เอาอะไร
ไปไม่ได้ แม้ แต่อย่างเดียว ผู้ที่มีปัญญาเห็นแจ้ งในความจริ งข้ อนี ้ ย่อมยอมรับความตายได้ ด้วย
ใจสงบ เพราะปล่อยวางแล้ วจากทุกสิ่ง ยิ่งผู้ที่บำเพ็ญภาวนาจนประจักษ์ แจ้ งในมายาภาพของ
ตัวตน และละวางจากความยึดถือในตัวตน จนตัวตนไม่มีที่ตงั ้ ดังท่านอาจารย์พทุ ธทาสเรี ยกว่า
“ตายก่อนตาย” สำหรับบุคคลเช่นนี ้ ความตายย่อมไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะมีแต่ความ
ตายแต่ไม่มีผ้ ตู าย
การที่เรามาบำเพ็ญกุศลในวันนี ้ถือว่าเป็ นการเปิ ดโอกาสให้ เราได้ มาเรี ยนรู้สจั ธรรมของชีวิตอัน
มีความตายเป็ นที่สดุ โดยมีผ้ วู ายชนม์คือท่านผู้หญิงพูนศุขเป็ นครูสอน แต่ในความเป็ นจริ ง ท่าน
ผู้หญิงพูนศุขไม่ได้ เป็ นเพียงอาจารย์ใหญ่ที่สอนสัจธรรมแก่เราในยามที่ท่านสิ ้นลมไปแล้ ว
เท่านัน้ หากท่านยังเป็ นแบบอย่างในทางจริ ยธรรมแก่เราเมื่อครัง้ ที่ทา่ นยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้
แสดงให้ เราประจักษ์ ถงึ ความเสียสละ ความกล้ าหาญ ความกตัญญู และจิตใจอันเปี่ ยมด้ วย
เมตตาที่สามารถให้ อภัยแก่ผ้ มู งุ่ ร้ ายได้
ยิ่งไปกว่านันท่้ านยังเป็ นแบบอย่างของผู้มีสติมนั่ คง ไม่หวัน่ ไหวในโลกธรรม มีน้อยคนที่จะ
ประสบความผันผวนปรวนแปรอย่างรุนแรงมากเท่ากับท่าน จากหญิงสูงศักดิ์สตรี หมายเลขหนึง่
กลายเป็ นผู้ต้องคดีในข้ อหากบฏ จากเสรี ชนกลายเป็ นนักโทษ จากธิดาขุนนางชันผู ้ ้ ใหญ่กลาย
เป็ นผู้พลัดถิ่น จากชีวิตที่สขุ สบายกลายมาอยูอ่ ย่างยากลำบาก ท่านต้ องประสบกับความสูญ
เสียและพลัดพรากจากสิ่งอันเป็ นที่รักมากมาย ไม่วา่ สามี บุตรธิดา บ้ านเกิดเมืองนอน
สถานภาพ อิสรภาพ และความสุขสบาย ทัง้ ๆ ที่ความผันผวนดังกล่าวเกิดจากเหตุปัจจัย
ภายนอกโดยเฉพาะสถานการณ์บ้านเมืองที่เข้ ามากระทบกระแทกชีวิตของท่านอย่างหนักหน่วง
และต่อเนื่องยาวนาน สร้ างความทุกข์นบั ครัง้ ไม่ถ้วน ท่านไม่เพียงยืนหยัดมัน่ คงในธรรม ด้ วย
เชื่อมัน่ ว่า “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม” ในที่สดุ ท่านยังสามารถรักษาจิตให้ เป็ นปกติ ไม่
พลอยกระเทือนไปกับสิ่งที่มากระแทก ทังนี ้ ้เพราะท่านเข้ าใจในสัจธรรมของชีวิตว่าไม่มีอะไรจิรัง
ยัง่ ยืน จึงสามารถปล่อยวางและปลดปลงได้ ทังไม่ ้ ถือโทษโกรธเคืองผู้ใด และไม่ถือเอาเหตุร้าย
ในอดีตมาเป็ นอารมณ์รบกวนใจ ท่านจึงมีชีวิตในบันปลายอย่้ างสงบสุข และเมื่อละจากโลกนี ้
ไป ก็ไม่อาลัยในสิ่งใด รวมทังไม่ ้ ปรารถนาเกียรติยศใด ๆ ทังสิ ้ ้น แม้ สถานะของท่านจะคูค่ วรกับ
เกียรติยศอันสูงส่งก็ตาม
เมื่อครัง้ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อปั ญญานันทภิกขุได้ แสดงธรรมในพิธีฌาปนกิจศพท่านปรี ดี
พนมยงค์ ท่านได้ ยกพุทธภาษิตบทหนึง่ ว่า รูป ชีรติ มจจาน นมโคตต น ชีรติ แปลความว่า “รูป
กายของมนุษย์ เป็ นสิ่งที่ต้องแตกดับไป แต่คณ ุ งามความดีนนเป็ั ้ นสิ่งที่ไม่อาจจะสูญสลายได้ ”
พุทธภาษิตนี ้ไม่ได้ เหมาะกับท่านปรี ดี พนมยงค์เท่านัน้ แต่ยงั คูค่ วรกับท่านผู้หญิงพูนศุข พนม
ยงค์ในวาระเช่นนี ้ด้ วยเช่นกัน แม้ สรี ระของท่านผู้หญิงพูนศุขกำลังจะกลายเป็ นเถ้ าธุลี แต่คณ

งามความดีของท่านจะยังอยูใ่ นใจของเราทุกคน เป็ นที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ ชาติไทย อีกทัง้
บุญกุศลที่ทา่ นบำเพ็ญยังจะตามติดท่านไปในสัมปรายภพ อำนวยให้ ประสบสุขและวิบาก
สมบัติอย่างแน่นอน
ในท้ ายที่สดุ นี ้ด้ วยอำนาจบุญทักษิณานุประทานที่ทกุ ท่านได้ ร่วมบำเพ็ญ ขอจงสำเร็จเป็ นวิบาก
ราศี อำนวยสุขสมบัติแก่ทา่ นผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ตามสมควรแก่คติวิสยั ในสัมปรายภพ สม
ดังมโนปณิธานของท่านทุกประการ

You might also like