You are on page 1of 7

บททีส ิ ประสบการณ์พส

่ บ ิ ดารทางใจครงที
ั้ ส่ าม: เห็นแมวจ ับหนูได้เอง

อุดมคติก ับของจริงไม่เหมือนก ัน
การคิดอย่างมีอด ุ มคติกบ ั การใช ้ชีวต ิ จริงเพือ ่ ให ้บรรลุอด ุ มคตินัน ้ เป็ นคนละเรือ ่ ง
กันราวฟ้ ากับดิน อุดมคติเป็ นเรือ ่ งการคิดอย่างสวยหรู คิดเพือ ่ ให ้ตัวตนรู ้สึกดีขน ึ้ เป็ น
เรือ่ งทีม
่ แ
ี ต่ลม แต่การใช วต ้ชี ิ ตามอุดมคติทส ี่ วยหรูนัน ้ เป็ นความจริงทีร่ ู ้สึกได ้จริง ๆ เป็ น
ของจริงทีท ่ ก
ุ ๆ เซลในร่างกายและจิตใจจะต ้องเข ้าไปรับรู ้ถึงความรู ้สึกทุกอย่างทีผ ่ า่ น
เข ้ามาในทุกลมหายใจของชีวต ิ ไม่วา่ จะเป็ นความทุกข์หรือสุข ซึง่ เป็ นเรือ ่ งทีท ่ ายากกว่า
การคิดอย่างลม ๆ แล ้ง ๆ หลายล ้านเท่าตัวนัก
ไม่เคยมีใครบอกว่าชีวต ิ แต่งงานเป็ นเรือ ่ งง่าย มันจะง่ายไม่ได ้ เพราะแม ้อยูต ่ ัวคน
เดียวก็ยังทะเลาะกับความคิดและความรู ้สึกของตัวเองอย่างนับครัง้ ไม่ถ ้วนจนต ้องเข ้าวัด
โน ้นออกวัดนี้เพือ ่ หาความสงบใจมาแล ้ว ฉะนัน ้ การมาใช ้ชีวต ิ กินอยูห ่ ลับนอนกับคนอีก
คนหนึง่ จะง่ายขึน ้ ได ้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิง่ ได ้เลือกมาอยูไ ่ กลบ ้านกับคนทีพ ่ ูดต่าง
ภาษาและต่างวัฒนธรรมกัน การปรับตัวเข ้าหากันและกันย่อมยากมากขึน ้ เป็ นธรรมดา
ยิง่ กว่านัน้ ภายใน ๕ ปี แรกของชีวต ิ แต่งงาน เราก็มล ี ก
ู เล็กเข ้าไปถึงสามคน ถึงตอนนัน ้
เราจึงมองออกว่า การพร่าบ่นถึงความทุกข์ในอดีตทีย ่ ังเป็ นโสดอยูน ่ ัน้ ช่างเป็ นเรือ ่ ง
เล็กน ้อยเสียจริง เพราะการเป็ นแม่คนนัน ้ มันหนักกว่ามากนัก
การคิดตามอุดมคติทจ ี่ ะเลือกคนจนและอยูอ ่ ย่างจน ๆ นัน ้ ในชีวต ิ แห่งความเป็ น
จริงแล ้วไม่ได ้เป็ นไปอย่างสวยหรูดังทีค ่ ดิ ไว ้เลย เป็ นเรือ่ งทีต ่ ้องอดทนและต่อสู ้อย่าง
มากมาย

เฝ้าดูกอ ้ นทุกข์อยู่ ๕ ปี
ในช่วง ๕ ปี แรกของชีวต ิ แต่งงาน เมือ ่ ถูกความทุกข์กระหน่าแล ้ว จิตใจมักอ่อน
ปวกเปี ยก หมดเรีย ่ วแรงทีจ ่ ะต่อสู ้ ประสบการณ์ทางธรรมในอดีตทีเ่ คยดืม ่ ด่ากับความสงบ
กลายเป็ นความฝั นทีไ่ กลสุดเอือ ้ ม ความทุกข์ในช่วงนัน ้ ได ้สรุปให ้ตัวเองว่า เรานัน ้ ยังเป็ น
ปุถชุ นคนธรรมดาทีห ่ นาแน่นไปด ้วยกิเลส จึงถูกความทุกข์คม ุ คามมากมายเช่นนัน ้ รอให ้
เวลาเยียวยา สิง่ ทีท ่ าได ้คือ การพยายามเอาปั ญญามาบอกตัวเองว่า หน ้าตาความทุกข์
มันเป็ นอย่างนี้หนอ เห็นจัง ๆ เข ้าแล ้ว หากไม่เกาะธรรมให ้แน่น ต ้องถูกความทุกข์ถล่ม
ตายแน่ คิดได ้เช่นนัน ้ จึงพยายามหาเวลาทาสมาธิแบบหลับตาบ ้าง เพราะเหมือนกับรู ้ว่า
มันจะช่วยเสริมพลังใจ ทาให ้มีแรงต ้านทานความทุกข์ได ้ดีขน ึ้ หลังจากลืมตาขึน ้ แล ้ว แต่
พอหลับตาทาสมาธิ ก็มักเห็นก ้อนทุกข์ในใจทีห ่ นักอึง้ อย่างชัดเจน มีบางครัง้ ทีส ่ ามารถ
เห็นก ้อนทุกข์คลายตัวจนเห็นความโล่ง เบา และสงบอยูช ่ วั่ ขณะหนึง่ แม ้จะเป็ นขณะหนึง่
ทีส
่ นั ้ มาก ก็ทาให ้เห็นทางออกของชีวต ิ และมีกาลังใจทีจ ่ ะต่อสู ้ขึน ้ มาบ ้าง ฉะนั น ้ ทัง้ ๆ ที่
ยังทุกข์มากในขณะทีล ื ตาและใช ้ชีวต
่ ม ิ ประจาวันอยูน ่ ัน
้ ก็ยังพยายามโน ้มเอาปั ญญาเข ้า
มาพูดกับตัวเองเสมอว่า เอานะ เฝ้ าดูความก ้อนทุกข์ในใจอยูอ ่ ย่างนี้แหละ ต ้องอดทนดู
จนมันคลายตัวหายไปเอง เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่า ความทุกข์อยูท ่ ไี่ หน ความดับทุกข์
ก็อยูท ่ น
ี่ ั่น พยายามบอกกับตัวเองว่า เราได ้เปรียบคนอืน ่ ทีเ่ ห็นก ้อนทุกข์อยูต ่ าตาเช่นนี้
แม ้จะเจ็บปวดยังไงก็ต ้องทน เพราะความหมดทุกข์มันต ้องอยูแ ่ ถวนี้ จะอยูไ ่ กลไม่ได ้

ปฏิบ ัติจต ิ ตานุปส


ั สนาสติปฏ ั ฐานโดยไม่รต ู ้ ัว
้ อยู่ ๕ ปี ซงึ่ เป็ นช่วงชีวต
เราทาเช่นนัน ิ ทีใ่ ห ้กาเนิดลูก ๓ คนสาละวนวุน ่ อยูก
่ บ
ั การ
เลีย
้ งลูกเล็กและทางานบ ้าน ในช่วง ๕ ปี นัน ้ เหมือนกับไม่มค ี วามก ้าวหน ้าทางธรรมเลย
ชีวติ ก็เหมือนกับปุถช
ุ นธรรมดาทั่วไป ทุกข์บ ้าง สุขบ ้าง แต่เพราะมีพน ื้ ฐานทางธรรมมา
จึงเห็นทุกข์มากกว่าสุข เมือ ่ เห็นทุกข์แล ้ว ก็เอาปั ญญาเข ้าสู ้อดทนพยายามดู ความทุกข์
สามารถผ่อนคลายความทุกข์ได ้บ ้างจากการทาสมาธิแบบหลับตา
ตอนนี้ มาย ้อนดูสถานการณ์ในช่วง ๕ ปี นัน ้ ในขณะทีเ่ ราคิดว่าไม่มค ี วามก ้าวหน ้า
ในทางธรรมเลยนัน ้ ทีจ่ ริง มันก็เป็ นความก ้าวหน ้าอย่างหนึง่ ทีเ่ ราไม่รู ้ตัว โดยเฉพาะอย่าง
ยิง่ การทีส ่ ามารถโน ้มเอาปั ญญามาคุยกับตัวเองว่า นี่คอ ื ก ้อนทุกข์ และมีความอดทน
เฝ้ าดูมันจนกว่ามันจะคลายตัวไปเอง แม ้ไม่คลาย ก็จ ้องมองความทุกข์อยูอ ่ ย่างนัน

ตอนนี้ถงึ รู ้ว่านั่นเป็ นการปลุกปล้าอยูใ่ นฐานทีส ่ าม คือ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานชนิดที่
เราเองก็ไม่รู ้ตัว เป็ นขัน้ ตอนทีเ่ จ็บปวดมาก ซึง่ ถ ้าไม่ผา่ นขัน
้ ตอนทีเ่ จ็บปวดเช่นนี้แล ้ว การ
ก ้าวไปข ้างหน ้าจะไม่เกิด

เริม
่ เห็นความเป็นอ ัตโนม ัติของจิตใจ
เมือ
่ ลูกคนเล็กอายุได ้ ๘ เดือน ปี ๒๕๓๐ เราเริม ่ ไปทาความสะอาดบ ้านอาทิตย์
ละครัง้ ให ้คุณป้ าทวดของลูกซึง่ มีอายุ ๘๐ ปี เธออยูก ่ บ
ั สามีอายุ ๘๒ ปี วันหนึง่ เรากาลัง
ดูดฝุ่ นอยูท
่ ห ี่ ้องนั่งเล่น ในขณะทีล ่ งุ กับป้ ากาลังนั่งอยูห ่ ้องครัว จู่ ๆ เราก็สงั เกตเห็น
ความคิดหนึง่ โผล่เข ้ามาในหัว ทันใดนัน ้ เอง เราก็ได ้ยินตัวเองตะโกนออกมาอย่างดังว่า
“Oh…no” และเห็นตัวสติเข ้าไปจัดการกับความคิดทีก ่ าลังจะปรุงนัน ้ อย่างเป็ นอัตโนมัต ิ
และแล ้ว สภาวะจิตทีก ่ าลังจะฟูขน ึ้ มาก็ดับวูบหายไปทันทีตอ ่ หน ้าต่อตาเรา เสียงตะโกน
ของเราดังมากจนคุณลุงรีบเดินมาดูวา่ อะไรเกิดขึน ้ กับเรา จาได ้ว่าต ้องหาคาแก ้ตัวเพราะ
ไม่รู ้จะอธิบายให ้คุณลุงฟั งอย่างไร และในช่วงนัน ้ เราก็กาลังตะลึงอยูก ่ บั ปรากฏการณ์
ทางใจทีเ่ พิง่ เกิดขึน ้ และเสร็จสิน ้ ไปหยก ๆ มันไม่ใช่เป็ นประสบการณ์ทอ ี่ ศั จรรย์เหมือนที่
เราเคยมีเมือ ่ ครัง้ ทีย ่ ังเป็ นนักศึกษา แต่ก็มค ี วามประหลาดและวิเศษอยูใ่ นตัวมันไม่น ้อย
เลย

ไม่ม ี “ต ัวเรา” มีแต่แมวจ ับหนู


ตอนนัน ้ เรารู ้ทันทีวา่ ประสบการณ์นัน ้ เป็ นสิง่ ทีไ่ ม่เคยเกิดขึน ้ กับเรามาก่อน นี่เป็ น
ประสบการณ์ทแ ี่ ปลกใหม่ เป็ นการกระโดดก ้าวไปข ้างหน ้าอีกก ้าวใหญ่ทเี ดียว ถ ้าเปรียบ
ความคิดทีโ่ ผล่เข ้ามาในหัวเหมือนกับหนู และสติทเี่ ข ้าไปรู ้ความคิดนัน ้ เป็ นแมว พอหนู
เข ้ามา แมวก็วงิ่ เข ้าไปจัดการกับหนูเองทันทีอย่างเป็ นอัตโนมัต ิ โดยทีไ่ ม่ม ี “ตัวเรา” เข ้า
ไปยุง่ เกีย ่ วหรือบงการเลย ซึง่ มันก็ถก ู แล ้ว เพราะในทีส ่ ดุ “ตัวเรา” จริง ๆ มันไม่ม ี มีแต่
สภาวะทีเ่ ป็ นเหตุเป็ นปั จจัยเท่านัน ้
เริม่ ข ้าใจว่าเพราะเราได ้สร ้างปั จจัยต่าง ๆ โดยการปฏิบัตส ิ มาธิภาวนามาก่อน
ตัง้ แต่สมัยเป็ นนักศึกษาจนกระทั่งถึงก่อนหน ้านัน ้ เหตุปัจจัยเหล่านัน ้ จึงส่งให ้เกิดผลทาง
ธรรมทีน ่ าให ้เรามาถึงขัน ้ ตอนทีเ่ ป็ นอัตโนมัตน ิ ัน
้ ฉะนัน ่
้ สิงทีเ่ ราเห็นคือ สองสภาวะล ้วน ๆ
ทีจ ่ ัดการกันเองอย่างเป็ นธรรมชาติของมัน คาอุทานของเราทีว่ า่ Oh…no หรือ อย่านะ ก็
คือสติหรือแมวนั่นเอง เป็ นคาอุทานทีอ ่ อกมาเองโดยไม่มก ี ารบังคับ เกิดขึน ้ เองอย่างเป็ น
อัตโนมัต ิ มันเป็ นสิง่ เดียวกับสติทเี่ กิดขึน ้ พร ้อมกัน ก็ไม่รู ้ว่าทาไมเราจึงต ้องอุทานเช่นนัน ้
ไม่รู ้ว่าคนอืน ่ จะเป็ นเหมือนเราหรือไม่ รู ้แต่วา่ นี่เป็ นการบังคับไม่ได ้ เหมือนตากระพริบเอง
หรือ การสะอึก ทีร่ า่ งกายทาของมันเองเพือ ่ การปรับตัวของร่างกายบางอย่าง บังคับมัน
ไม่ได ้ คาอุทานของเราก็คอ ื ตัวสติทม
ี่ ันเกิดเองเพราะต ้องไปปรับอะไรบางอย่างในใจ นั่น
คือ ความคิดหรือสังขารทีเ่ ปรียบเหมือนกับหนู ฉะนัน ้ เมือ ่ แมวเห็นหนู แมวก็วงิ่ เข ้าจัดการ
กับหนูทันที แต่กว่าแมว(สติ)ตัวนี้จะวิง่ ได ้เองเช่นนัน ้ มันก็ใช ้เวลาถึง ๑๒ ปี คือตัง้ แต่ปี
๒๕๑๘ เริม ่ เข ้าวัดปฏิบัตธิ รรม ฝึ กสมาธิ ฝึ กสติเป็ น จนถึงวันแรกทีเ่ กิดปรากฏการณ์
อัตโนมัตท ิ างใจซึง่ เกิดในปี ๒๕๓๐
เหมือนธรรมชาติทแ ี่ ม่ปกป้องลูก
การทางานของใจ เมือ ่ มาถึงจุดทีส ่ ติทางานเป็ นอัตโนมัตน ิ ัน
้ จิตหรือความคิด
หรือหนูก็เหมือนกับเด็กเล็กทีม ่ ธี รรมชาติซก ุ ซนมาก เล่นโน่น จับนี่อยูต ่ ลอดเวลา แม่ท ี่
ดูแลลูกอยูใ่ กล ้ ๆ เห็นว่าลูกกาลังจะทาอะไรผิดพลาด จึงรีบเตือนลูกก่อน บอกลูกว่า
อย่าทานะลูก ถ ้าทาแล ้วลูกจะเป็ นอันตราย เจ็บตัวได ้ การทาผิดของใจ คือ การปล่อย
ให ้สภาวะของสังขารปรุงแต่งขึน ้ มาเป็ นความคิดนั่นเอง การสร ้างภพสร ้างชาติจนเกิด
ก ้อนทุกข์ในใจนัน ้ มันเกิดทีจ ่ ด
ุ นี้เอง จุดทีต ่ ัวสังขารเริม่ ปรุงเป็ นความคิดหรือหนู เมือ ่
สังขารปรุงเป็ นความคิดหรือหนูแล ้ว หากปล่อยให ้มันปรุงต่ออีกตามลูกโซ่
ของปฏิจจสมุปบาทแล ้วไซร ้ หนูตัวนัน ้ ก็จะคลอดลูกหนูออกมาเป็ นเวทนาหรือความรู ้สึก
ทีข่ ว่ นใจและกลายเป็ นภพ เป็ นชาติ เป็ นทุกข์ ร่าไรราพันอันเป็ นห่วงสุดท ้ายของสายโซ่
แห่งปฏิจจสมุปบาทนัน ้ แม่ก็คอ ื ตัวสติหรือแมวในทีน ่ ี้ เมือ
่ แม่เห็นลูกคือสังขารเริม่ ปรุง
แม่ก็จะรีบวิง่ เข ้ามาหาลูกและบอกลูกว่าอย่าทา หรืออย่าปรุงต่อไป อย่างไรก็อย่างนัน ้

“อย่าลูก” เกิดเพราะเหตุน ี้
ฉะนัน
้ คาว่า Oh…no หรือ อย่านะทีเ่ ราพูดอุทานในครัง้ แรกสุดทีบ ่ ้านป้ าทวดนัน ้ ก็
คือ คาดุของแม่(สติ)ทีม ่ ต
ี อ
่ ลูก(สังขาร)นั่นเอง จาได ้ว่าเราอุทานคานี้อยูน ่ านพอสมควร
พอดีชว่ งนัน
้ เป็ นช่วงเวลาทีเ่ รามีลก ู เล็กตัง้ แต่ ๑ ถึง ๖ ขวบอยูถ่ งึ สามคน การดุลก ู บอก
ลูกว่าอย่าทาโน่นทานี่จงึ เกิดขึน ้ เสมอ พอเวลาผ่านไป คาว่า “อย่าลูก” นอกจากจะเป็ น
คาทีเ่ ราบอกลูกเล็กของเราแล ้ว คา ๆ นี้ยังเป็ นคาทีโ่ พล่งออกมาเมือ ่ เกิดสภาวะของแมว
จับหนูในใจของเราด ้วย บางครัง้ หนูทเี่ ข ้ามาตัวใหญ่มาก แมวเห็นแล ้วต ้องวิง่ ไล่ตะครุบ
หนูอย่างสุดแรง ฉะนัน ้ ทันทีทแ ี่ มวเห็นหนูตัวใหญ่ คาอุทาน “อย่าลูก” ของเราจึงออกมา
ดังมากจนกลายเป็ นการตะโกน เหมือนเห็นลูกกาลังเอือ ้ มมือจับเตารีดทีย ่ ังร ้อนอยู่ แม่
ต ้องรีบตะโกนออกมาอย่างดังมากว่า “อย่าลูก” ฉันนัน ้

อธิบายให้ลก ู ฟัง ง่ายมาก


เมือ่ เหตุการณ์เป็ นเช่นนัน ้ แล ้ว ความสับสนเริม ่ เกิดในหมูล ่ กู ๆ ทีย ่ ังเล็กอยูท่ งั ้
สามคน เมือ ่ ลูกเล็กอยู่ เราพยายามพูดภาษาไทยกับลูก ฉะนัน ้ “อย่าลูก” จึงกลายเป็ นคา
ทีเ่ ราใช ้ดุลกู จริงกับลูกหนูในใจเราด ้วย ความสับสนเริม ่ เกิดเมือ่ เราตะโกนดุลก ู หนูในใจ

ด ้วยเสียงอันดังซึงอาจจะเกิดขึน ้ ทีไ่ หนก็ได ้ บางครัง้ กาลังทากับข ้าวอยูใ่ นครัว ล ้างจาน
ดูดฝุ่ น อาบน้ า นั่งบนโถส ้วม กินข ้าว เดินซือ ้ ของ หรือแม ้แต่กาลังนั่งดูโทรทัศน์อยูก ่ บั
ครอบครัว คาว่า “อย่าลูก” จะออกมาเมือ ่ ไรก็ได ้ ยกเว ้นตอนทีก ่ าลังแปรงฟั นอยู่ พูด
“อย่าลูก” ไม่ได ้ ก็จะอุทานเป็ น “เออ” ออกมาเท่านัน ้ บางครัง้ ถ ้าเป็ นหนูตัวเล็กทีเ่ ข ้ามา
ในใจ แมวจะวิง่ ไปแตะหนูเบา ๆ และหนูก็หายไป คาอุทานของเราก็ออกมาแบบค่อย ๆ
เหมือนกระซิบกับตัวเอง ไม่มใี ครได ้ยิน บางครัง้ ก็ดังออกมาแบบเรียบ ๆ แต่บางครัง้ ที่
เห็นหนูตัวใหญ่ เราก็เห็นตัวเองตะโกนคาว่า “อย่าลูก” ออกมาดังมากจนทุกคนรอบข ้าง
ตกใจ
ในช่วง ๓ ปี แรกทีเ่ กิดเหตุการพิสดารทางใจนี้ ก็มล ี ก
ู ๆ เท่านัน ่ งั เกตเห็นแม่
้ ทีส
พูดกับตัวเองเช่นนัน ้ หลายครัง้ ทีค ่ าว่า “อย่าลูก” ออกมาเพือ ่ ดุลกู หนูในใจ ตัดสายโซ่
ของปฏิจจสมุปบาทเพือ ่ ไม่ให ้มันปรุงต่อ แต่เพราะมันดังมาก ลูกโตสองคนมักจะวิง่ เข ้า
ไปในครัวด ้วยหน ้าตาตกใจ ถามแม่วา่ what have we done wrong, mummy? เขาทา
อะไรผิดหรือ แม่ถงึ ดุเขา ช่วงนัน ้ จึงต ้องอธิบายเป็ นวรรคเป็ นเวรกับลูก โดยพูดกับลูก
ตรง ๆ ว่า ทีแ ่ ม่พูด “อย่าลูก” กับตัวเองนัน ้ เป็ นเพราะแม่กาลังมีความคิดทีไ่ ม่ด ี bad
mind แม่จงึ ต ้องดุใจตัวเองเพือ ่ แม่จะได ้ไม่คด ิ ต่อ คุยกับเด็กมันก็งา่ ยไปอย่าง ไม่ซก ั
มาก ยอมรับคาอธิบายของแม่อย่างง่ายดาย รับรู ้ว่าถ ้าแม่พูด “อย่าลูก” กับตัวเองแล ้ว แม่
ต ้องมีความคิดไม่ด ี bad mind ดังนัน ้ แม่ต ้องดุ bad mind ให ้มันหยุดทางาน หลังจาก
ทีล ่ ก ู เข ้าใจได ้เช่นนัน
้ แล ้ว จึงกลายเป็ นข ้อเท็จจริงของครอบครัวทีเ่ รากับลูกเท่านัน ้ ทีร่ ู ้
เรือ ่ งกัน แม ้สามีก็ยังไม่รู ้ในช่วงสามปี แรก เพราะทาแต่งาน กลับบ ้านมืดค่า ถ ้าครัง้ ไหน
ทีล่ ก ู ๆ เห็นเราพูด “อย่าลูก” อยูใ่ นครัวหรือห ้องน้าอย่างเงียบ ๆ เขาก็ไม่สนใจ รู ้ว่าแม่
กาลังดุใจตัวเอง นอกจากครัง้ ไหนทีน ่ ั่งด ้วยกัน เช่น ดูโทรทัศน์อยู่ และแม่อท ุ านออกมา
ดัง ๆ เท่านัน ้ สายตาทัง้ สามคูจ ่ ะหันขวับมาทีแ ่ ม่ทันทีเพือ
่ ดูวา่ แม่ดใุ ครกันแน่ ถ ้าแม่ยม
ิ้
พวกเขาจะรู ้ทันทีวา่ แม่ดใุ จตัวเอง เขาก็จะสัน ่ หัวเล็กน ้อยอย่างโล่งอกและหันกลับไปดู
โทรทัศน์อก ี โดยไม่สนใจแม่

อธิบายให้สามีฟง ั ยากมาก
เหตุการณ์ได ้เป็ นไปเช่นนัน ้ ถึงสามปี เย็นวันหนึง่ ในขณะทีพ ่ วกเรา ๕ คนนั่ งดู
โทรทัศน์อยูด ่ ้วยกันในห ้องนั่งเล่นนัน ้ ถึงแม ้สายตาเราจะดูโทรทัศน์ แต่สติในส่วนทีเ่ ป็ น
อัตโนมัตน ิ ี้กย็ ังทางานอย่างขมักเข ้มนเหมือนทีท ่ ามาแล ้วเป็ นเวลาสามปี จู่ ๆ หนูตัวใหญ่
คงจะโผล่เข ้ามาในหัว จาไม่ได ้ว่ามันคือความคิดอะไร แมววิง่ ตะครุบหนูตัวใหญ่นัน ้ ทันที
คาอุทาน “อย่าลูก” ออกมาดังมากชนิดตะโกนสุดเสียง ทุกคนในห ้องตกใจ ลูก ๆ ที่
กาลังนอนเกยคางดูโทรทัศน์หันขวับมามองแม่แล ้วก็สน ั่ หัว ลูกคนหัวปี บน ่ ว่า “Mummy
has bad mind again.” แล ้วพวกเขาก็ไม่สนใจ หันกลับไปดูโทรทัศน์เหมือนไม่มอ ี ะไร
เกิดขึน ้ เพราะนี่เป็ นปรากฏการณ์ในครอบครัวทีล ่ กู ๆ ชินและโตมากับมันแล ้ว
แต่นั่นเป็ นครัง้ แรกทีส ่ ามีเห็นความไม่ปกติของเราอย่างชัดเจน เพราะเขาตกใจ
กับคาอุทานของเราทีต ่ ะโกนออกมาอย่างดังมาก จึงเค ้นเอาคาอธิบายจากเรา อธิบายให ้
เด็กนัน้ ง่ายกว่าอธิบายให ้ผู ้ใหญ่ฟังมากมายนัก เราจึงต ้องอธิบายเพิม ่ เติมว่า นี่เป็ นเรือ
่ ง
การทาสมาธิของเรา เพราะนอกจากทาสมาธิแบบหลับตาอย่างทีเ่ ขาเคยเห็นเราทาแล ้ว
พอลืมตา เรายังต ้องทาสมาธิอยูโ่ ดยการดูใจตัวเองตลอดเวลา ถ ้าเห็นความคิดไม่ดเี ข ้า
มา เราต ้องหยุดมันทันที จึงต ้องดุใจตัวเองโดยใช ้คาว่า “อย่าลูก”
พยายามพูดให ้สามีเข ้าใจว่า ทุกครัง้ ทีค ่ าว่า “อย่าลูก” หลุดออกมา มันเป็ น
สัญญาณทีด ่ ี ไม่ใช่ไม่ด ี ถ ้าเราทาอย่างนัน ้ ได ้ ใจเราจะปลอดภัย สามีฟังแล ้วงงมาก ไม่รู ้
เรือ
่ งเลยว่าเราพูดถึงอะไร แต่ก็พยักหน ้าทาเหมือนเข ้าใจ เมือ ่ เขาเริม่ สังเกตเห็นครัง้ แรก
แล ้ว ก็เห็นเรือ ่ ยมาจนถึงบัดนี้

จาก “อย่าลูก” ถึง “papa”


คาอุทานของเราได ้เปลีย ่ นไปตามกาลเวลา เพราะเป็ นสภาวะทีเ่ หมือนกับดุใคร
สักคนหนึง่ คาอุทานจึงเหมือนกับคาดุคน ๆ นัน ้ ในช่วง ๑๐ ปี แรกนัน ้ มีคาอุทานอืน ่ ๆ
ออกมาอีกมากมาย คาอุทานนัน ้ ก็ขน ึ้ อยูก
่ บ
ั เนื้อหาของความคิดทีเ่ ข ้ามาในหัวด ้วย ถ ้า
เป็ นคาขู่ คาดุ ทีเ่ ด่น ๆ และใช ้อยูน ่ านหลายปี คือ “อย่าลูก” บางครัง้ ก็ใช ้คาว่า “ไม่เอา”
บ่อยครัง้ ทีอ ่ ท
ุ าน “อย่าลูก” แล ้วก็ตอ ่ ด ้วยประโยคภาษาอังกฤษ เช่น I hate you. (ฉัน
เกลียดเธอ) Please don’t do that to me. (อย่าทาอย่างนัน ้ กับฉันอีก) บางครัง้ ก็เป็ น
I hate you และต่อด ้วยประโยคว่า I don’t like you.หรือ I never like you. บางครัง้ ก็
เป็ นคารับรู ้ เช่น OK…I know มีชว่ งหนึง่ จะทาเสียงจุ๊ ๆ เหมือนกับคนทาอะไรเสียงดัง
และจุ๊ ๆให ้เขาเงียบ ๆ หน่อย บ่อยครัง้ มักต่อท ้ายด ้วยคาว่า sorry เป็ นเชิงขอโทษขอ
โพยคนรอบข ้างทีท ่ าเสียงดัง มีอก ี หลายคาทีจ ่ าไม่ได ้ ทุกวันนี้ คาทีใ่ ช ้อยูค
่ อ
ื คาว่า Papa
ซึง่ เกิดเมือ
่ เราเพิง่ กลับจากเมืองไทยครัง้ ล่าสุดนี้ ๒๕๔๔ ก็ไม่รู ้เหมือนกันว่ามันมาได ้
อย่างไร การอุทานว่า I hate you. ก็ยังเกิดอยูท ่ กุ วันนี้เช่นกัน แต่น ้อยลงมากแล ้ว บางที
ห่างออกไปเป็ นวัน ๆ กว่าจะได ้ยินสักครัง้ หนึง่
หญิงเพีย ้ นคนนีม ้ าจากเมืองไทย
เมือ่ คาอุทานเหล่านี้เกิดในบ ้านก็ไม่มป ี ั ญหา เพราะทุกคนชินกับมันแล ้วหลังจาก
ทีไ่ ด ้ยินมา ๑๔ ปี เต็ม ทัง้ สามีและลูกล ้วนสรุปว่าเราเป็ นคนเพีย ้ น ไม่เหมือนชาวบ ้าน
ปั ญหาเริม ่ เกิดเมือ
่ มีแขกมาบ ้านโดยเฉพาะแขกมาพักทีบ ่ ้าน สามีและลูก ๆ เป็ นห่วงมาก
ว่าถ ้าเราหลุดคาว่า I hate you ออกมาต่อหน ้าแขกแล ้ว เขาจะอธิบายอย่างไร ทีจ ่ ริง เรา
ได ้หลุดคาว่า “อย่าลูก” แบบธรรมดาออกมานับครัง้ ไม่ถ ้วนต่อหน ้าแม่สามี แต่ทา่ นก็ไม่ได ้
สังเกตเห็น บางครัง้ ทีม ่ ันออกมาดังหน่อย ลูก ๆ หรือสามีก็จะพยายามกลบเกลือ ่ นให ้เรา
จึงไม่คอ ่ ยมีใครสังเกตเห็น
วันหนึง่ เพือ ่ นคนไทยมาพักทีบ ่ ้าน เราล ้างชามอยู่ในครัวในขณะทีเ่ พือ ่ นนั่งคุยกับ
สามีและลูกอยู่ คาว่า “อย่าลูก” ของเราออกมาดังมากจนเพือ ่ นได ้ยิน ทาเอาเธอตกใจ
ถามสามีวา่ เกิดอะไรขึน ้ กับเรา ก็ไม่รู ้ว่าเขาอธิบายให ้เพือ ่ นฟั งอย่างไร เพียงได ้ยินเพือ ่ น
พูดแว่ว ๆ ว่า “แปลกมาก เคยเห็นคนคุยกับตัวเอง แต่คย ุ ดัง ๆ อย่างนี้ ไม่เคยเห็น” ครัง้
หนึง่ เราขับรถพาลูกชายคนโตกับเพือ ่ นของเขาไปมหาวิทยาลัยด ้วย ขับไป เราก็อท ุ าน
“อย่าลูก” ออกมาบ ้าง ได ้ยินลูกชายตอนนัน ้ อายุ ๑๑ ขวบ อธิบายให ้เพือ ่ นฟั งอย่างเป็ น
วรรคเป็ นเวรว่า แม่กาลังดูใจตัวเองแม ้ขับรถอยู่ ถ ้าแม่เห็นความคิดไม่ด ี bad mind แล ้ว
แม่ต ้องพูด “อย่าลูก” เพือ ่ หยุดมัน เรานั่งฟั งลูกแล ้วก็ขา
เหตุการณ์ทก ี่ อ
่ ให ้เกิดความขายหน ้ามากคือเมือ ่ ต ้องออกไปข ้างนอกกับ
ครอบครัว บางครัง้ คาว่า “อย่าลูก” และ I hate you ออกมาดังพอสมควร พอทีค ่ นรอบ
ข ้างได ้ยิน สามีกบ ั ลูก ๆ กลัวทีส ่ ด
ุ พวกเขาจึงตกลงกันว่า หากแม่ตะโกน “อย่าลูก”
ออกมา เขาจะเดินออกห่างทันที และแสร ้งทาเป็ นว่าเขาไม่รู ้จักผู ้หญิงต่างด ้าวคนนี้ ถ ้ามี
ใครถามว่าทาไมผู ้หญิงคนนี้จงึ เพีย ้ น พวกเขาก็จะบอกว่า She comes from
Thailand!!! (เป็ นเพราะเขามาจากเมืองไทย)

เห็นแม่หนูคลอดลูกหนู เห็นปฏิจสมุปบาทฝ่ายเกิด
จากเหตุการณ์ครัง้ แรกทีส ่ งั เกตเห็นสภาวะแมวจับหนูเองทีบ ่ ้านป้ าทวดในวันนัน ้
มันก็เกิดขึน ้ อีกทุกวัน และหลาย ๆ ครัง้ ต่อวัน ขึน ้ อยูก่ บ
ั ความมากน ้อยของปั ญหาทีเ่ ข ้ามา
ในชีวต ิ ประจาวัน ตอนช่วงปี แรก ๆ ก็ไม่คอ ่ ยเข ้าใจว่าทาไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนัน ้ ในใจ
เรา แต่พอเห็นสภาวะบ่อยขึน ้ จึงเกิดการเรียนรู ้มากขึน ้
เริม
่ รู ้ว่าใจสามารถเข ้าไปรับรู ้เรือ ่ งทีล ่ ะเอียดมากขึน ้ จนสามารถเห็นช่วงต่อระหว่าง
ความคิดกับความรู ้สึกอย่างชัดเจน เห็นได ้ว่า หนูนัน ้ คือความคิดทีเ่ หมือนเป็ นแม่ และ
คลอดลูกหนูคอ ื ความรู ้สึกออกมา ถ ้าพูดภาษาพระคือสังขารก่อให ้เกิดเวทนาซึง่ เป็ น
ลูกโซ่ของปฏิจจสมุปบาทฝ่ ายเกิด สามารถเห็นสภาวะต่อเนื่องได ้ชัดมาก ทันทีท ี่
ความคิดเข ้ามา ความรู ้สึกก็จะก่อตัวขึน ้ ทันที สิง่ ทีแ่ ปลกมากคือ แมวซึง่ เราสามารถมอง
ออกว่าเป็ นทัง้ ตัวสติและปั ญญาควบคูไ ่ ปพร ้อมกันจะเลือกสรรของมันเองว่า เมือ ่ หนูก่อ
ตัวขึน
้ มาแล ้ว หนูตัวไหนให ้ผ่านเข ้ามาในใจได ้ และหนูตัวไหนผ่านไม่ได ้ ไม่ใช่หนูทก ุ ตัว
ทีแ
่ มวจะเข ้าไปเขมือบกิน แมวจะรู ้เองว่าต ้องจัดการกับหนูตัวไหน เป็ นการเลือกสรรไป
ในตัวเสร็จสรรพโดยไม่มค ี วามรู ้สึกว่ามีเราทีเ่ ป็ นเจ ้าของผู ้บงการ พูดได ้อย่างเดียวว่า
แปลกมาก

แมวจ ับหนูในขนตอนต่
ั้ าง ๆ
ตอนแรก ๆ สังเกตเห็นว่า บางครัง้ แมวตัวนี้ก็เก่งและว่องไวมาก สามารถจับ
หนู(ความคิด)ได ้อย่างทันทีทันใดทีม่ ันโผล่เข ้ามาในหัว ทาให ้ลูกหนูหรือความรู ้สึกไม่
สามารถก่อตัวได ้เลย แต่บางครัง้ ความไวของมันก็น ้อยลง แมวจับหนูได ้ตอนทีม ่ ันกาลัง
คลอดลูกหนูอยู่ คือความรู ้สึกกาลังก่อตัวอยู่ แมวก็จับหนูตัวทีก่ าลังคลอดลูกอยูท ่ าให ้
ทัง้ แม่และลูกอ่อนตายคาตีนแมว ก็เหมือนกับว่าใจเราถูกข่วนเข ้าไปเพียงนิดเดียว
เท่านัน
้ แล ้วความรู ้สึกก็หายไปทันทีทแ ี่ มวหรือสติมาทัน ถ ้าน ้อยกว่านัน ้ คือ แมวจะวิง่ จับ
หนูได ้ตอนทีม ่ ันคลอดลูกหนูแล ้ว คือความรู ้สึกได ้ก่อตัวเต็มทีแ ่ ละข่วนทีใ่ จเราแล ้ว แต่
แม ้กระนัน้ ถ ้าแมวจับทัง้ แม่หนูและลูกหนูและเขมือบมันได ้หมดทันที เราก็ยงั พอรอดตัว
ได ้ นั่นคือ ใจของเราจะถูกข่วนเข ้าไปนานหน่อย แต่นานอันนี้หมายถึงแค่เสีย ้ วของ
วินาทีเท่านัน ้ เอง หลังจากนัน ้ ใจก็โล่งและเป็ นอิสระทันที เป็ นการเห็นการต่อสู ้ระหว่าง
ความมืดกับความสว่างอย่างชัดเจนในใจ เป็ นการเฝ้ าดูเรือ
่ งราวภายในใจเหมือนนั่งดู
หนังอยูห่ า่ ง ๆ และเกิดความสนุกสนานไม่น ้อยเลย โดยเฉพาะเมือ ่ เห็นแมวสามารถ
เขมือบหนูได ้ทุกครัง้ ไป

้ บบหม ัดต่อหม ัดอยู่ ๙ ปี


ต่อสูแ
จากวันนัน ้ เป็ นต ้นมา สภาวะของแมวจับหนูเองก็ได ้กลายเป็ นส่วนหนึง่ ของชีวต ิ
เราจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็เป็ นการพัฒนาอย่างค่อยเป็ นค่อยไป ช่วงปี แรก ๆ นัน ้ แม ้แมวจะ
จับหนูทัน แต่บอ ่ ยครัง้ ก็มาจับเอาได ้ตอนทีล ่ กู หนู (ความรู ้สึก)ได ้คลอดออกมาเต็มตัว
แล ้ว ต ้องเขมือบกินทัง้ แม่หนูและลูกหนู ซึงเป็ นเรือ ่ ่ งทีย
่ ากกว่าการกินแม่หนูตัวเดียว
ช่วงนัน
้ เวลาทีใ่ จถูกหนูขว่ นอย่างเต็มทีน ่ ับว่ามีไม่น ้อยทีเดียว เป็ นการต่อสู ้แบบหมัดต่อ
หมัดอยูต ่ ลอดเวลาทีห ่ นูเข ้ามาในสนามรบของใจ บางครัง้ ในช่วงเวลาเพียง ๑ นาที
สามารถนับคาว่า “อย่าลูก” ได ้ถึง ๘๐ ครัง้ พูดออกมาทีก็ขด ี ใส่กระดาษทีหนึง่ เหมือน
การยิงปื นกลทีม ่ กี ระสุนออกมาเป็ นตับ ๆ ติดต่อกัน เป็ นการต่อสู ้ทีเ่ หนื่อยมาก
โดยเฉพาะอย่างยิง่ หากมีวันไหนทีไ่ ปประสบเหตุการณ์อันไม่น่าพอใจ มีปัญหาเข ้ามาให ้
คิดมากแล ้ว การต่อสู ้ทางใจเช่นนี้จะเป็ นมากและรุนแรง คาว่า “อย่าลูก” จะออกมาดัง
มาก
บางครัง้ สัญญาหรือความทรงจาเก่า ๆ ก็กาเริบได ้โดยไม่มป ี ระสบการณ์สด ๆ
เลย เรือ
่ งอาจจะเกิดในอดีตนานแล ้ว จู่ ๆ ก็คด ิ ถึงเรือ
่ งนัน้ หรือคาพูดทีเ่ จ็บปวดของคน ๆ
้ และภาพพจน์ตา่ งๆ ก็ทะลักเข ้ามาในหัว ใจก็กาเริบ ก่อให ้เกิดการต่อสู ้อย่างรุนแรง
นัน
เช่นกัน
ปรากฏการณ์ทางใจเช่นนี้ เราเรียกว่าเป็ นการต่อสู ้แบบหมัดต่อหมัด เป็ นช่วงเวลา
แห่งการห้าหั่นกับกิเลสแบบซึง่ ๆ หน ้า เจ็บปวดมาก ถ ้าไม่มผ ี ัสสะมาก หรือ สัญญาเก่า
ไม่กาเริบแล ้ว การต่อสู ้ก็จะอยูใ่ นขัน ้ ตอนของแมวจับหนูเฉย ๆ คาว่า อย่าลูก ก็เป็ นเพียง
การกระซิบกับตัวเอง คนอืน ่ ไม่ได ้ยิน เหตุการณ์เป็ นเช่นนี้อยู่ ๑๐ ปี คือตัง้ แต่ปี ๒๕๓๐
ถึง ๒๕๔๐

เริม่ อยูใ่ นโลกอ ันโดดเดีย ่ วของตนเอง


หลังจากทีส ่ ภาวะอัตโนมัตใิ นใจได ้กลายเป็ นส่วนหนึง่ ของชีวต ิ ประจาวันนัน้ เริม ่
สังเกตเห็นว่าตนเองกาลังอยูใ่ นโลกทีโ่ ดดเดีย ่ วทีค ่ นรอบข ้างไม่เข ้าใจ เพราะโลกภายใน
ของเราคือ การเห็นการก่อตัวและล ้มสลายของโลกสมมุตท ิ เี่ กิดขึน
้ อยูต ่ ลอดเวลา ทุก
ครัง้ ทีค
่ วามคิดก่อตัวขึน ้ มา โลกสมมุตก ิ จ
็ ะติดมากับความคิดและความรู ้สึกนัน ้ สภาวะ
แมวจับหนูของเราก็คอ ื การสามารถหยุดโลกสมมุตอ ิ ย่างทันทีทันใด จึงเห็นความไร ้
สาระและความเป็ นมายาของทุกสิง่ ทุกอย่างทีอ ่ อกกาย ซึง่ เกิดขึน
่ ยูน ้ อย่างถี่ ๆ อยู่
ตลอดเวลา ในขณะทีเ่ ราเห็นความไร ้สาระของทุกอย่างนัน ้ คนทัง้ โลกกลับให ้
ความสาคัญอย่างเอาเป็ นเอาตาย และโลกทัง้ โลกก็หมุนเหวีย ่ งไปตามแรงของสมมุตน ิ ัน

ช่องว่างเริม
่ เกิดเมือ ่ มีการพูดคุยสนทนากัน บางครัง้ เหมือนต ้องพูดในสิง่ ทีไ่ ม่ตรง
กับใจ ใจไม่ได ้เห็นด ้วยกับคุณค่าทีโ่ ลกสมมุตใิ ห ้ แต่เมือ ่ คุยกับคนทีอ ่ ยูใ่ นโลกสมมุตแ ิ ล ้ว
ก็ต ้องเออออห่อหมกไปกับเขา ทาให ้รู ้สึกอึดอัดมากในบางครัง้ เพราะเหมือนตนเอง
กาลังพูดเพ ้อเจ ้อ พูดเรือ ่ งไร ้สาระ ถ ้าพูดเหมือนคนในโลกพูด ๆ กัน นั่นเป็ นครัง้ แรกที่
่ เข ้าใจคาว่า พูดเพ ้อเจ ้อ อย่างลึกซึง้ แม ้คนทีช
เริม ่ าวโลกเห็นว่าฉลาด มีการศึกษาสูง
คนเหล่านี้เราก็ดอ ู อกว่าเขาพูดเพ ้อเจ ้อเช่นกัน ซึง่ เป็ นเรือ ่ งดูยากขึน ้ แต่เราก็เริม ่ ดูออก
ได ้ชัดเจน คนทีพ ่ ด ู เรือ่ งสมมุตอ ิ ย่างเป็ นตุเป็ นตะนีเ่ ป็ นเรือ่ งเพ ้อเจ ้อทัง้ นัน ้ ทาให ้เข ้ากับ
คนได ้ยาก เพราะความทีไ่ ม่อยากพูดเหมือนคนอืน
่ ไม่อยากพูดเพ ้อเจ ้อเหมือนคนอืน
่ จึง
ไม่คอ
่ ยสนิทสนมกับใครมากเป็ นพิเศษ คุยเท่าทีจ
่ าเป็ นกับคนรอบข ้างในครอบครัว
เท่านัน

You might also like