Professional Documents
Culture Documents
่ บ ิ พานย ังไม่เกิด
แมวเริม ่ ตะปบหนูได้เก่งขึน ้
สภาวะแมวจับหนูซงึ่ ได ้กลายเป็ นส่วนหนึง่ ของชีวต ิ เรานัน
้ ได ้ค่อย ๆ พัฒนาความ
ชานาญของตนเองโดยทีเ่ ราไม่มส ่
ี วนเข ้าไปยุง่ ด ้วยเลย มันเกิดของมันเอง หลังจากที่
เราเริม
่ เห็นสภาวะแมวจับหนูเป็ นครัง้ แรกในปี ๒๕๓๐ นัน ้ ในช่วง ๔ หรือ ๕ ปี แรกนัน ้
เป็ นสภาวะทีแ ่ มวต ้องจับทัง้ แม่หนู (ความคิด) และลูกหนู (ความรู ้สึก) ตัวใหญ่ ๆ
หมายความว่าใจยังถูกจิตข่วนอย่างรุนแรงบ ้าง ยังมีความทุกข์ทเี่ ข ้ามาคุกคามใจ
หลังจากนัน ้ เราก็เริม ่ สังเกตเห็นว่าแมว (สติ) ตัวนี้มค ี วามไวในการจับหนู (ความคิด)
มากขึน ้ กว่าแต่กอ ่ น
มันเริม่ จากการทีล ่ ก
ู คนเล็กชอบถามแม่วา่
แม่คดิ อะไรไม่ดห ี รือจึงพูด “อย่าลูก” What was your bad mind, mummy?
เราจึงต ้องสารวจย ้อนหลัง ถึงความคิดทีเ่ พิง่ หายไปนัน ้ และบอกลูกว่า แม่กาลัง
คิดอะไรอยู่ บางครัง้ ก็บอกลูกได ้อย่างชัดเจนว่าคิดอะไรอยู่ แต่บางครัง้ ก็บอกลูกไม่ได ้
เพราะแม ้เราเองก็ไม่เห็นความคิดอันนัน ้ ซึง่ เป็ นอีกขัน ้ ตอนหนึง่ ของการปฏิบัตวิ ป ิ ั สสนา ที่
เป็ นเช่นนัน ้ เพราะ สติหรือแมวตัวนี้เริม ่ มีฝีเท ้าเร็วขึน
้ กว่าแต่กอ ่ นมาก นอกจากมัน
สามารถจับแม่หนู (ความคิด) ก่อนทีม ่ ันจะคลอดลูกหนู (ความรู ้สึก) ได ้แล ้ว มันยังวิง่ ขึน ้
หน ้าไปไกลกว่านัน ้ อีก คือ ไปดักทีข ่ นั ้ ตอนก่อนแม่หนูจะถูกคลอดออกมาจากท ้องของ
แม่มันอีกทีหนึง่ ด ้วยซ้าไป เราจึงไม่เห็นแม ้แต่แม่หนู(ความคิด)ทีแ ่ มวเข ้าไปตะปบ นับว่า
เป็ นความอัศจรรย์ทางใจอีกขัน ้ ตอนหนึง่ ก็ได ้
่ ส
ทาลายสายโซท ี่ องของปฏิจจสมุปบาท ไม่ธรรมดาแล้ว
เล่นไปตามบทบาทของโลกสมมุต ิ
เราได ้เห็นความสงบของใจและรู ้ว่ามันมีหน ้าตาอย่างไรมาตัง้ แต่เริม ่ ฝึ กสมาธิใน
สมัยทีเ่ ป็ นนักศึกษาแล ้ว จึงรู ้แน่ชด ั ว่า ความสงบของใจเป็ นสรณะทีพ ่ งึ่ พาได ้อย่าง
แท ้จริง ทีพ ่ ระพุทธเจ ้าสอนให ้คนพึง่ ตัวเองก็คอ ื พึง่ สภาวะใจทีส ่ งบนี้เอง และเราก็รู ้ด ้วย
ว่า ความสงบตัวนี้จะมีให ้ครองได ้ก็ตอ ่ เมือ
่ มีการปฏิบัตต ิ ามแนวทางแห่งศีล สมาธิ และ
ปั ญญา หรือ พูดให ้แคบกว่านัน ้ คือ การปฏิบัตต ิ ามแนวทางแห่งสติปัฏฐานสีห ่ รือ
วิปัสสนานั่นเอง
แม ้ได ้รู ้จักความสงบของใจมาเนิน ่ นานก็จริงอยู่ โดยเฉพาะหลังจากทีส ่ ภาวะแมว
จับหนูได ้กลายเป็ นส่วนหนึง่ ของชีวต ิ ประจาวันของเราจนสติสามารถจับเข ้าไปถึงตัว
เจตสิก ทาลายการปรุงแต่งของสังขารได ้แล ้วก็ตาม การปฏิบัตข ิ องเราในช่วงนัน ้ เหมือน
ไม่มอ ี ะไรต ้องทาอีกแล ้ว แมวยังต ้องจับหนูอยู่ แต่มันก็เกิดขึน ้ อย่างเป็ นอัตโนมัต ิ ทา
ของมันเอง ไม่รู ้สึกว่ามีตัวเราทีต ่ ้องเข ้าไปยุง่ กับการทางานอันเป็ นอัตโนมัตน ิ ัน
้
ความรู ้สึกแห่งความมีตัวตนจึงน ้อยลงไปมาก ทาให ้ความดิน ้ รนกระสับกระส่ายทีอ ่ ยาก
ได ้โน่นได ้นี่ เป็ นโน่นเป็ นนี่ก็น ้อยมากตามไปด ้วย
ชีวต
ิ ในแต่ละวันก็คอ ื การเล่นบทบาทและทาสิง่ ต่าง ๆ ตามหน ้าทีท ่ ถี่ ก
ู กาหนด
โดยโลกของสมมุต ิ คือ เล่นบทบาทของภรรยา แม่ และครูสอนไท ้เก็ก แต่โลกภายใน
ของเรามันก็อก ี เรือ่ งหนึง่ ทีเ่ ป็ นส่วนตัว ไม่มใี ครรู ้เห็น เป็ นโลกทีอ ่ งิ อยูก
่ บ
ั ความสงบ มีใจ
ทีไ่ ม่ซด ั ส่ายไปตามคลืน ่ ลมของโลกธรรม แต่แม ้จะทาสิง่ เหล่านี้ได ้อย่างง่ายดายก็ตาม
เรารู ้ว่า เหมือนมีอะไรบางอย่างทีย ่ ังรู ้ไม่ชด ั เจนนัก และรู ้ด ้วยว่า ความสงบนัน ้ ยังไม่
เหมือนกับสภาวะพิสดารทางใจทีเ่ กิดขึน ้ ทีบ ่ ้านพรานนก แต่ก็ยังนามาประสานกันไม่ได ้
แม่เสย ี จิตกาเริบ
ถ ้าจะถามว่าในโลกนี้ เรารักใครมากทีส ่ ด
ุ ต ้องตอบว่ารักแม่มากทีส ่ ด
ุ ตอนที่
ตัดสินใจแต่งงานมาอยูอ ่ ังกฤษนัน ้ รู ้ว่าต ้องจากแม่ไปไกล แต่ก็ไม่ได ้คิดว่ามันเป็ นปั ญหา
เพราะก่อนแต่งงานก็ตะลอนไปโน่นนี่อยูเ่ สมอ คิดอย่างเพ ้อฝั นว่า ยังไม่ต ้องรีบมีลก ู
ทางานเก็บเงินได ้แล ้ว ก็กลับมาหาแม่ มาอยูก ่ บ
ั แม่ ไม่เคยรู ้ว่า ภายใน ๕ ปี หลังแต่งงาน
นอกจากจะถูกมัดมือมัดเท ้าแล ้ว ยังมีบว่ งแขวนคออยูอ ่ ก
ี ถึงสามบ่วง เงินทองในกระเป๋ า
ก็มน ี ้อย ความอยากจะกลับมาใช ้เวลาอยูก ่ บ
ั แม่นาน ๆ จึงเป็ นเพียงความฝั นทีเ่ กิดจริงได ้
ยาก ได ้กลับเมืองไทยมาเยีย ่ มพ่อแม่ทงั ้ หมด ๘ ครัง้ ในช่วงเวลา ๑๕ ปี ของชีวต ิ แต่งงาน
กลับมาอยูไ ่ ด ้ก็เพียงไม่กอี่ าทิตย์แล ้วก็ต ้องรีบกลับไปดูแลครอบครัวตัวเอง จึงฝั นต่อว่า
เมือ่ ลูกโต จะขอกลับมาอยูก ่ บั แม่นาน ๆ ใช ้เวลาคุยกับแม่และดูแลแม่บ ้าง บางครัง้ ก็ลม ื
ไปว่า เมือ ่ ลูกเราโต มันหมายความว่าแม่เราก็แก่เฒ่าชราตามไปด ้วย ท่านจะจากเราไป
เมือ
่ ไรก็ได ้
เมือ ่ ได ้ข่าวว่าพ่อเสียในเดือนธันวาคม ๒๕๓๘ นัน ้ เรารับข่าวนัน
้ ได ้อย่างสงบ
เพราะความผูกพันกับพ่อนัน ้ มีน ้อย ตอนกลับมางานศพพ่อ เห็นแม่ซงึ่ บัดนัน ้ อายุใกล ้ ๘๐
และไม่ได ้เป็ นแม่คนเดิมทีแ ่ ข็งแรง ชอบหิว้ ของหนัก ๆ ขึน ้ รถเมล์แล ้ว รู ้สึกใจหายว๊าบ
กลับมาเมืองไทยแล ้ว ไม่เห็นพ่อนัน ้ รู ้สึกธรรมดามาก พ่ออยูต ่ า่ งจังหวัด และเราก็ไม่
เคยอยูก ่ บ ั พ่อ แต่มาคิดว่า หากกลับมาเมืองไทยแล ้วไม่มใี บหน ้าทีค ่ ุ ้นเคยมากทีส ่ ดุ ที่
ยิม ้ แย ้มและอบอุน ่ ของแม่ให ้เราเห็นแล ้ว เราจะรู ้สึกอย่างไร นี่เป็ นสิง่ ทีเ่ ราไม่กล ้าคิด
กลัวมาก
ประมาณ ๓ หรือ ๔ ปี ก่อนหน ้าทีพ ่ ่อแม่จะเสียชีวต ้ สิง่ ทีเ่ ราพอทาได ้คือ การ
ิ นัน
ภาวนาให ้พ่อแม่ชราสามารถละสังขารได ้อย่างง่ายดายโดยไม่ต ้องทนทุกข์ทรมานกับ
ความเจ็บป่ วยใด ๆ ทัง้ สิน ้ ซึง่ คาภาวนาของเราก็เป็ นจริง ทัง้ พ่อกับแม่สน ิ้ ชีวต ิ อย่างเป็ น
ธรรมชาติโดยไม่ต ้องเข ้าโรงพยาบาลเลย
๑๐ เดือนหลังจากทีไ่ ด ้กลับมางานศพพ่อ เราก็พาลูกคนเล็กตอนนัน ้ อายุ ๑๐
ขวบกลับมาหายาย เหมือนมีความรู ้สึกว่าจะได ้อยูก ่ บั แม่เป็ นครัง้ สุดท ้ายแล ้ว พอกลับไป
อังกฤษได ้เพียง ๗ อาทิตย์เท่านัน ้ แม่ก็เสียชีวต ิ ในวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๐ ประมาณ ๕
วันก่อนแม่เสีย เราได ้คุยกับแม่ทางโทรศัพท์ เล่าให ้แม่ฟังเรือ ่ งทีเ่ ราพานักศึกษาราว ๓๐
คนมาราไท ้เก็กทีส ่ วนสาธารณะแถวบ ้าน และพาพวกเขากลับมาบ ้านกินข ้าวราดแกง แม่
ฟั งแล ้วก็อนุโมทนากับงานทีเ่ ราทากับนักศึกษา อดห่วงลูกสาวไม่ได ้ว่าคงเหนื่อยมาก
เมือ ่ รู ้ว่าเรารับผิดชอบงานทัง้ หมดคนเดียวตัง้ แต่การสอนตลอดจนการทากับข ้าวเลีย ้ งลูก
ศิษย์
เมือ ่ ได ้ยินว่าแม่ของคนอืน ่ เสีย ดูออกว่าเป็ นเรือ ่ งธรรมดาของชีวต ิ แต่พอแม่
ตัวเองเสีย ใจทีเ่ คยราบเรียบกลับกาเริบเหมือนกาลังเดินฝ่ ามรสุมทีเ่ ต็มไปด ้วยเมฆดา
ก ้อนใหญ่ มองอะไรไม่เห็นนอกจากความเจ็บปวดอันเกิดจากความพลัดพรากจากสิง่ ที่
รักและหวงแหนอย่างสูงสุด ความรู ้สึกสูญเสียแม่ผู ้มีพระคุณและทีร่ ักยิง่ อย่างไม่มวี ัน
กลับเป็ นอย่างนี้เองหรือ เหมือนมีรโู หว่อยูใ่ นหัวใจ ทีจ ่ ริง การจากแม่มาอยูเ่ มืองไกล ทุก
ครัง้ ทีค ่ ด ิ ถึงแม่มาก แต่ไม่สามารถอยูใ่ กล ้แม่ได ้ ทาให ้เคยหัดคิดว่ามันก็เหมือนกับการ
คิดว่าแม่ตายแล ้ว เพราะมันคือการไม่ได ้เห็นหน ้าแม่เท่าเทียมกันหมด แต่มันจะ
เหมือนกันไม่ได ้ เพราะอยูไ่ กลแม่นัน ้ เรายังสามารถยกหูโทรศัพท์ขน ึ้ มาคุยกับแม่ได ้ แต่
แม่ตายนัน ้ เราคุยด ้วยไม่ได ้แม ้ทางโทรศัพท์ เมือ ่ แม่ตายไปจริง ๆ จึงรู ้รสชาดของการ
สูญเสียของสุดทีร่ ก ั อย่างแท ้จริงในชีวต ิ เป็ นครัง้ แรก เจ็บปวดถึงขัว้ หัวใจ ยิง่ เจ็บมากขึน ้
เมือ ่ หวนคิดถึงความเพ ้อฝั นเมือ ่ หลาย ๆ ปี กอ ่ นหน ้านัน ้ ว่า เมือ
่ ลูกโต จะมาอยูใ่ กล ้แม่
นอนคุยกับแม่ให ้นาน ๆ จะอยูซ ่ ะ ๖ เดือนหรือปี หนึง่ ไม่ใช่เพียงแค่ไม่กอ ี่ าทิตย์อย่างที่
เคยทา แล ้วก็ต ้องตะลอนกลับอังกฤษอีก ทีเ่ จ็บปวดมากเพราะรู ้ว่าความฝั นของเราไม่
เคยเกิดและไม่มวี ันได ้เกิดอีกแล ้ว อดคิดไม่ได ้ว่า เมืองไทยจะไม่มวี ันเหมือนเดิมอีก
หากกลับมาแล ้วไม่เห็นหน ้าแม่ จึงร ้องไห ้มากในงานศพของแม่ แม ้ทุกวันนี้ เมือ ่ จะพูด
ถึงแม่แล ้ว ยังเรียกน้ าตาได ้เสมอ
เมือ ่ ความโศกเศร ้าจากการสูญเสียแม่ได ้ผ่านพ ้นไปแล ้ว สิง่ ทีเ่ ราไม่เคยคิดว่าจะ
รู ้สึกคือ ความรู ้สึกหมดห่วงอย่างสิน ้ เชิง เมือ ่ ตอนทีพ ่ ่อแม่ยังมีชวี ต ิ อยูน ่ ัน้ ทัง้ ๆ ทีร่ ู ้ดีวา่ มี
พีน ่ ้องอีกถึง ๖ คนดูแลท่านอยู่ แต่ในฐานะทีเ่ ป็ นลูก ก็อดห่วงพ่อแม่ทแ ี่ ก่เ ฒ่าไม่ได ้ จึง
ได ้แต่แผ่เมตตาและภาวนาให ้ท่านมีสข ุ ภาพร่างกายทีแ ่ ข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข ้ หากท่านถึง
วาระของอายุขัยแล ้วไซร ้ ก็ขอให ้ท่านละสังขารอย่างง่ายดาย ไม่ต ้องทุกข์ทรมาน ซึง่
เป็ นความห่วงใยอันเป็ นความรู ้สึกทีห ่ ้อยอยูใ่ นใจเรานานนับปี แต่เมือ ่ พ่อแม่เสียชีวต ิ
หมดแล ้ว และหลังจากความโศกเศร ้าได ้คลายตัวไปตามกฎแห่งอนิจจังแล ้ว ความรู ้สึก
ห่วงใยเหล่านัน ้ ก็อันตรธานหายไปเป็ นปลิดทิง้ ตัง้ แต่บัดนี้เป็ นต ้นไป ไม่มพ ี ่อกับแม่ให ้
เราห่วงใยอีกแล ้ว จิตใจจึงเหลือแต่ความโล่ง โปร่งเบา ปราศจากน้ าหนักอะไรถ่วงอยู่