You are on page 1of 5

บททีส ิ สอง มรรคก ับผลเกิดแล้ว แต่นพ

่ บ ิ พานย ังไม่เกิด

แมวเริม ่ ตะปบหนูได้เก่งขึน ้
สภาวะแมวจับหนูซงึ่ ได ้กลายเป็ นส่วนหนึง่ ของชีวต ิ เรานัน
้ ได ้ค่อย ๆ พัฒนาความ
ชานาญของตนเองโดยทีเ่ ราไม่มส ่
ี วนเข ้าไปยุง่ ด ้วยเลย มันเกิดของมันเอง หลังจากที่
เราเริม
่ เห็นสภาวะแมวจับหนูเป็ นครัง้ แรกในปี ๒๕๓๐ นัน ้ ในช่วง ๔ หรือ ๕ ปี แรกนัน ้
เป็ นสภาวะทีแ ่ มวต ้องจับทัง้ แม่หนู (ความคิด) และลูกหนู (ความรู ้สึก) ตัวใหญ่ ๆ
หมายความว่าใจยังถูกจิตข่วนอย่างรุนแรงบ ้าง ยังมีความทุกข์ทเี่ ข ้ามาคุกคามใจ
หลังจากนัน ้ เราก็เริม ่ สังเกตเห็นว่าแมว (สติ) ตัวนี้มค ี วามไวในการจับหนู (ความคิด)
มากขึน ้ กว่าแต่กอ ่ น
มันเริม่ จากการทีล ่ ก
ู คนเล็กชอบถามแม่วา่
แม่คดิ อะไรไม่ดห ี รือจึงพูด “อย่าลูก” What was your bad mind, mummy?
เราจึงต ้องสารวจย ้อนหลัง ถึงความคิดทีเ่ พิง่ หายไปนัน ้ และบอกลูกว่า แม่กาลัง
คิดอะไรอยู่ บางครัง้ ก็บอกลูกได ้อย่างชัดเจนว่าคิดอะไรอยู่ แต่บางครัง้ ก็บอกลูกไม่ได ้
เพราะแม ้เราเองก็ไม่เห็นความคิดอันนัน ้ ซึง่ เป็ นอีกขัน ้ ตอนหนึง่ ของการปฏิบัตวิ ป ิ ั สสนา ที่
เป็ นเช่นนัน ้ เพราะ สติหรือแมวตัวนี้เริม ่ มีฝีเท ้าเร็วขึน
้ กว่าแต่กอ ่ นมาก นอกจากมัน
สามารถจับแม่หนู (ความคิด) ก่อนทีม ่ ันจะคลอดลูกหนู (ความรู ้สึก) ได ้แล ้ว มันยังวิง่ ขึน ้
หน ้าไปไกลกว่านัน ้ อีก คือ ไปดักทีข ่ นั ้ ตอนก่อนแม่หนูจะถูกคลอดออกมาจากท ้องของ
แม่มันอีกทีหนึง่ ด ้วยซ้าไป เราจึงไม่เห็นแม ้แต่แม่หนู(ความคิด)ทีแ ่ มวเข ้าไปตะปบ นับว่า
เป็ นความอัศจรรย์ทางใจอีกขัน ้ ตอนหนึง่ ก็ได ้

สงขารั เจตสก ิ จิต


ปรากฏการณ์อันพิสดารนี้ ทาให ้เราสามารถเข ้าใจการทางานของจิตและเจตสิก
ได ้อย่างชัดเจน ทีจ ่ ริงแล ้ว เรือ่ งรูป จิต เจตสิก และนิพพาน เป็ นข ้อธรรมทีเ่ ราไม่เคยให ้
ความสนใจมาก่อนเลย ไม่เคยพูดถึง เพิง่ จะมาพูดอย่างเข ้าใจเมือ ่ ต ้นปี ๒๕๔๔ นี่เอง
เพราะมันสามารถอธิบายเหตุการณ์ทางใจทีเ่ กิดกับเราได ้
ถ ้าจะอธิบายให ้คนเข ้าใจอย่างง่าย ๆ ก็ต ้องบอกให ้เขาดูจต ิ ว่าเป็ นความคิด จิต
กับความคิดคือสิง่ เดียวกัน ซึง่ เราเปรียบเทียบให ้เป็ นแม่หนูมาตลอด แม่หนูตัวนี้มันก็
ต ้องคลอดออกจากท ้องของแม่ของมันอีกที แม่ของแม่หนูตัวนี้ก็คอ ื เจตสิกนัน ้ เอง นัก
อภิธรรมมักเรียกเจตสิกว่าเป็ นดวง ๆ เราก็ไม่รู ้ละว่ามันเป็ นดวงหรือเปล่า เจตสิกก็คอ ื

ชินส่วนเล็ก ๆ น ้อย ๆ ทีเ่ มือ ่ รวมตัวกันเข ้าแล ้วก็กลายเป็ นจิตหรือความคิดนั่นเอง จะ
เปรียบเทียบตัวเจตสิกให ้เป็ นโมเลกุลอันเป็ นส่วนย่อยทีป ่ ระกอบขึน ้ มาเป็ นเซลหรือ
ความคิดก็ได ้
เมือ ่ พูดคาว่าเจตสิกแล ้ว ก็ควรพูดถึงสังขารด ้วย เพราะสังขารกับเจตสิกทางาน
ร่วมกันเสมอ สังขารเปรียบเทียบเหมือน บริษัทก่อสร ้างทีม ่ ท
ี งั ้ นักสถาปั ตยกร นักวิศวกร
และนายช่างก่อสร ้างพร ้อม ส่วนเจตสิก คือ วัสดุกอ ่ สร ้าง เช่น ไม ้ หิน อิฐ กรวด ทราย
ซีเมนต์ น้ า ทีส ่ งั ขารหรือบริษัทก่อสร ้างต ้องนามาเพือ ่ สร ้างบ ้าน ถ ้าไม่มวี ัสดุกอ ่ สร ้างแล ้ว
บ ้านก็สร ้างไม่ได ้ บ ้านทีส ่ ร ้างเสร็จออกมาก็คอ ื ตัวจิตหรือตัวความคิดนี่เอง ฉะนัน ้ จึงเรียง
ออกมาเป็ น สังขาร เจตสิก จิต คือ มีบริษัทก่อสร ้าง (สังขาร) ทีน ่ าเอาวัสดุกอ ่ สร ้างมา
รวมกัน (เจตสิก) จนสร ้างออกมาเป็ นบ ้าน (จิตหรือความคิด) ได ้
ฉะนัน ้ ก่อนทีแ ่ ต่ละความคิด (แม่หนู) จะก่อร่างสร ้างตัวขึน ้ มาได ้นัน ้ จะต ้องมีการ
รวมตัวของเจตสิกเสียก่อน เป็ นช่วงทีส ่ งั ขารกาลังก่อตัว หรืออยูใ่ นภาวะทีก ่ าลังสร ้าง
บ ้านนั่นเอง พอเจตสิกรวมตัวกันได ้เมือ ่ ใด จิต หรือ ความคิด หรือ แม่หนู ก็จะสาเร็จเป็ น
รูปเป็ นร่าง ฉะนัน ้ เมือ ่ แมวหรือสติมค ี วามไวมากขึน ้ แล ้ว แทนทีจ ่ ะจับตัวความคิด (แม่
หนู) ทีก ่ อ่ ร่างสร ้างตัวเสร็จแล ้ว มันกลับสามารถวิง่ ไปตะปบเอาตอนทีเ่ จตสิกทัง้ หลาย
กาลังก่อร่างสร ้างตัวอยู่ ตัวความคิดหรือแม่หนูจงึ ยังไม่ได ้สาเร็จออกมาเป็ นชิน ้ เป็ นอัน
นี่จงึ เป็ นสาเหตุวา่ ทาไมเราจึงไม่รู ้ว่ากาลังคิดอะไรอยู่ เพราะบ ้านยังสร ้างไม่
เสร็จดีนั่นเอง กาลังถูกสร ้างอยู่ สติก็เข ้าไปทาลายมันเสียแล ้ว สิง่ ทีเ่ ห็นได ้มีแต่เพียง
สภาวะวั๊บ ๆ แวม ๆ เหมือนมีอะไรกาลังจะเกิด แต่ยงั ไม่ทันได ้เกิดเต็มที่ แมว (สติ) ก็วงิ่
ไปตะปบและเขมือบมันเสียก่อนแล ้ว แสดงให ้เห็นถึงความชานาญอย่างยิง่ ยวดของสติ
หรือแมวตัวนี้ ทีส ่ ามารถเข ้าไปจัดการกับเรือ ่ งทีล
่ ะเอียดละออมากอย่างตัวเจตสิก หรือ
สภาวะสังขารทีก ่
่ าลังปรุงแต่งอยู่ สังขารซึงเป็ นลูกโซ่ทส ี่ องของปฏิจสมุปบาท คนทีจ่ ะ
เข ้าใจการอธิบายนี้ได ้ดี คือ ผู ้ทีก
่ าลังฝึ กวิปัสสนาอยู่

่ ส
ทาลายสายโซท ี่ องของปฏิจจสมุปบาท ไม่ธรรมดาแล้ว

ฉะนัน ้ ราวปี ๒๕๓๕ เป็ นต ้นมา สภาวะใจของเราก็ได ้ดาเนินมาอยูใ่ นขัน ้ ตอนทีส ่ ติ


ต่อสู ้กับตัวสังขารมาตลอด สายโซ่ปฏิจสมุปบาทในจิตใจของเราถูกตัดเหลือเพียงสอง
ห่วงเป็ นส่วนมาก คือ อวิชชาเป็ นปั จจัยให ้เกิดสังขารเท่านัน ้ พอสังขารกาลังเกิดอยู่ สติ
ก็ไล่ทันเสียแล ้ว ทาลายทัง้ สังขารและอวิชชาทันที อีก ๑๐ ห่วงทีเ่ หลือของสายโซ่จงึ
ไม่มโี อกาสก่อตัวได ้ ทุกข์จงึ ไม่ม ี
เมือ ่ สภาวะนี้เกิดขึน ้ ก็หมายความว่า ได ้อยูก ่ บ
ั ความว่างหรือความสงบมากขึน ้ ใน
ชีวต ิ ประจาวัน แต่เพราะยังอยูก ่ บ
ั โลกสมมุตโิ ดยเฉพาะครอบครัวและสังคมทีม ่ แ
ี ต่คนมืด
บอด บางครัง้ ก็ต ้องเจอผัสสะบางชนิดทีส ่ กปรกมากจนน่าใจหาย จึงมีบ ้างเหมือนกันที่
สายโซ่แห่งปฏิจสมุปบาทวิง่ ตลอดสายของมัน ใจถูกข่วนเข ้าไปอย่างจังบ ้าง แต่ก ้อน
ทุกข์กอ ็ ยูไ ่ ม่นาน การปรับตัวของใจจะเกิดทันที ก ้อนทุกข์คลายตัวทันที
ทุกครัง้ ทีส ่ ายโซ่แห่งปฏิจจสมุปบาทได ้วิง่ เต็มทีน ่ ัน
้ ก็ไม่ใช่วา่ จะถูกความโง่
หัวเราะเยาะเอาถ่ายเดียวก็ไม่เชิง เพราะปั ญญามักเข ้ามาผสมโรงแปรเหตุการณ์นัน ้ เป็ น
อีกบทเรียนหนึง่ ให ้เรียนรู ้เสมอ ทาให ้สามารถเทียบเคียงความหยาบและความละเอียด
ของจิตใจได ้ดีขน ึ้
เมือ ่ ใจเข ้าสูส่ ภาวะทีล ่ ะเอียดอยูน ่ าน มันก็กลายเป็ นเรือ ่ งธรรมดาของเราไป
ไม่ได ้คิดว่าเป็ นสิง่ วิเศษวิโสอะไร ซึง่ ทีจ ่ ริง การทาลายห่วงโซ่ทส ี่ องของปฏิจสมุปบาท
ได ้นัน้ ไม่ใช่เป็ นเรือ ่ งธรรมดาแล ้ว เพราะกาลังยืนอยูห ่ น ้าประตูพระนิพพานแล ้ว แต่
เพราะนี่คอ ื ความรู ้ทีเ่ กิดขึน ้ จริงในหัวจิตหัวใจของเรา เราจึงไม่รู ้สึกอะไรนอกจากเห็นเป็ น
เรือ
่ งการทางานทีเ่ ป็ นธรรมดาของจิตใจเท่านัน ้ เพราะมันเป็ นหนทางทีถ ่ ก
ู ต ้อง เป็ น
ความรู ้ทีแ ่ ท ้จริง เป็ นองค์มรรคทีพ ่ ระพุทธเจ ้าได ้ทรงวางไว ้ดีแล ้ว จึงไม่มก ี ารแอบอ ้าง
ความเป็ นเจ ้าของความรู ้ทีว่ เิ ศษและมหัศจรรย์อย่างยิง่ ยวดนัน ้

เหลือแต่ผ ัสสะบริสท ุ ธิเ์ ป็นสว ่ นมาก


ฉะนัน้ การทีไ่ ด ้เจอก ้อนทุกข์บ ้างเป็ นครัง้ คราวจึงกลายเป็ นประโยชน์แก่เราในแง่
การเปรียบเทียบสภาวะของใจทีห ่ ยาบและละเอียด ทาให ้สามารถเข ้าใจความรู ้สึกของ
คนทีอ่ ยูใ่ นโลกอันมืดบอดได ้ชัดขึน ้ เพราะการอยูใ่ นโลกแห่งความว่างนาน ๆ นัน ้ เริม ่ จะ
ลืมความรู ้สึกทุกข์ของคนหมูม ่ าก ลืมไปว่าความเจ็บปวดเมือ ่ ใจถูกบดขยีน้ ัน
้ มันเป็ น
อย่างไร มันควรรู ้สึกอย่างไร
อย่างไรก็ตาม เมือ ่ แมวหรือสติสามารถจัดการกับตัวสังขารได ้ในปี ๒๕๓๕ แล ้ว
การวิง่ ของสายโซ่แห่งปฏิจสมุปบาทเต็มสาย หรือ สภาวะทีใ่ จถูกข่วนเต็มทีน ่ ัน
้ ก็ม ี
น ้อยลงตามลาดับ
ตัง้ แต่ปีนัน
้ เป็ นต ้นมา ความคิดทีเ่ ข ้ามาในหัวจะหลุดและร่อนออกไปง่ายมาก มัน
หลุดร่อนของมันเอง เมือ ่ ใจว่างจากจิตหรือความคิดแล ้ว มันก็ยอ ่ มว่างจากความรู ้สึกทีม
่ ี
อัตตาตัวตนด ้วย สิง่ ทีเ่ หลืออยูจ ่ งึ มีแต่ผัสสะทีบ
่ ริสท
ุ ธิ์ innocent perception เท่านัน

เล่นไปตามบทบาทของโลกสมมุต ิ
เราได ้เห็นความสงบของใจและรู ้ว่ามันมีหน ้าตาอย่างไรมาตัง้ แต่เริม ่ ฝึ กสมาธิใน
สมัยทีเ่ ป็ นนักศึกษาแล ้ว จึงรู ้แน่ชด ั ว่า ความสงบของใจเป็ นสรณะทีพ ่ งึ่ พาได ้อย่าง
แท ้จริง ทีพ ่ ระพุทธเจ ้าสอนให ้คนพึง่ ตัวเองก็คอ ื พึง่ สภาวะใจทีส ่ งบนี้เอง และเราก็รู ้ด ้วย
ว่า ความสงบตัวนี้จะมีให ้ครองได ้ก็ตอ ่ เมือ
่ มีการปฏิบัตต ิ ามแนวทางแห่งศีล สมาธิ และ
ปั ญญา หรือ พูดให ้แคบกว่านัน ้ คือ การปฏิบัตต ิ ามแนวทางแห่งสติปัฏฐานสีห ่ รือ
วิปัสสนานั่นเอง
แม ้ได ้รู ้จักความสงบของใจมาเนิน ่ นานก็จริงอยู่ โดยเฉพาะหลังจากทีส ่ ภาวะแมว
จับหนูได ้กลายเป็ นส่วนหนึง่ ของชีวต ิ ประจาวันของเราจนสติสามารถจับเข ้าไปถึงตัว
เจตสิก ทาลายการปรุงแต่งของสังขารได ้แล ้วก็ตาม การปฏิบัตข ิ องเราในช่วงนัน ้ เหมือน
ไม่มอ ี ะไรต ้องทาอีกแล ้ว แมวยังต ้องจับหนูอยู่ แต่มันก็เกิดขึน ้ อย่างเป็ นอัตโนมัต ิ ทา
ของมันเอง ไม่รู ้สึกว่ามีตัวเราทีต ่ ้องเข ้าไปยุง่ กับการทางานอันเป็ นอัตโนมัตน ิ ัน

ความรู ้สึกแห่งความมีตัวตนจึงน ้อยลงไปมาก ทาให ้ความดิน ้ รนกระสับกระส่ายทีอ ่ ยาก
ได ้โน่นได ้นี่ เป็ นโน่นเป็ นนี่ก็น ้อยมากตามไปด ้วย
ชีวต
ิ ในแต่ละวันก็คอ ื การเล่นบทบาทและทาสิง่ ต่าง ๆ ตามหน ้าทีท ่ ถี่ ก
ู กาหนด
โดยโลกของสมมุต ิ คือ เล่นบทบาทของภรรยา แม่ และครูสอนไท ้เก็ก แต่โลกภายใน
ของเรามันก็อก ี เรือ่ งหนึง่ ทีเ่ ป็ นส่วนตัว ไม่มใี ครรู ้เห็น เป็ นโลกทีอ ่ งิ อยูก
่ บ
ั ความสงบ มีใจ
ทีไ่ ม่ซด ั ส่ายไปตามคลืน ่ ลมของโลกธรรม แต่แม ้จะทาสิง่ เหล่านี้ได ้อย่างง่ายดายก็ตาม
เรารู ้ว่า เหมือนมีอะไรบางอย่างทีย ่ ังรู ้ไม่ชด ั เจนนัก และรู ้ด ้วยว่า ความสงบนัน ้ ยังไม่
เหมือนกับสภาวะพิสดารทางใจทีเ่ กิดขึน ้ ทีบ ่ ้านพรานนก แต่ก็ยังนามาประสานกันไม่ได ้

ม่านบ ังตาบาง ๆ สภาวะก่อนเกิดญาณขนสุ ั้ ดท้าย


จาได ้แม่นยาถึงวัน ๆ หนึง่ เรานั่งอยูร่ ม ิ หน ้าต่างในห ้องนอน กาลังเขียนงาน
ภาษาอังกฤษเล่มแรกอยู่ ราวปี ๒๕๓๔ มีชวงขณะหนึง่ ทีห ่ ่ ยุดเขียนและทอดสายตา
ออกไปนอกหน ้าต่างเห็นภาพวิวของสวนหลังบ ้านทีม ่ ต ี ้นไม ้และสนามหญ ้าเขียวสด เรา
มองภาพเหล่านัน ้ ด ้วยสภาวะใจทีส ่ งบ ราบเรียบ เหมือนทะเลสาปทีป ่ ราศจากคลืน ่ ลม ทัง้
สายตาและใจตรึงอยูก ่ บั ภาพนัน ้ อยูค ่ รูห
่ นึง่ ครูน่ ัน
้ เอง เหมือนกับรู ้ว่า มีมา่ นบาง ๆ ผืนหนึง่
กาลังกัน ้ ระหว่างใจของเรากับสิง่ ทีเ่ รามองเห็นอยูเ่ บือ ้ งหน ้า คือ เหมือนกับรู ้ว่า คาตอบที่
สาคัญของทุกสิง่ ทุกอย่างต ้องอยูใ่ นภาพทีเ่ ราเห็นเบือ ้ งหน ้าแน่นอน แต่ไม่รู ้ว่ามันคือ
อะไร
พอไม่รู ้ว่ามันคืออะไร จึงต ้องโน ้มเอาปั ญญาของพระพุทธเจ ้ามาคิดเทียบเคียงว่า
ภาพของสวนทีเ่ ห็นเบือ ้ งหน ้ามันก็เป็ นอย่างนัน ้ เอง หรือ ตถตา ซึง่ มันก็มองได ้ มองออก
แต่ก็ยังเป็ นการมองชนิดทีม ่ องตามสิง่ ทีพ ่ ระพุทธเจ ้าได ้ทรงแนะไว ้ ยังไม่ใช่เป็ นการมอง
ทีเ่ กิดจากญาณรู ้ของตนเองอย่างแท ้จริง
ถ ้าจะเปรียบเทียบเหมือนทีไ่ ด ้เปรียบไว ้ในใบไม ้กามือเดียวคือ เรือ ่ งการเห็นภาพ
สามมิตท ิ ซ
ี่ อ่ นอยูใ่ นภาพสองมิตน ิ ั่นเอง ภาพของสวนหลังบ ้านทีเ่ รามองจากริมหน ้าต่าง
ห ้องนอนตอนนัน ้ เหมือนกาลังเห็นภาพสองมิตอ ิ ยู่ และในขณะทีเ่ รากาลังมองภาพสอง
มิตน ิ ัน
้ เหมือนกับรู ้ว่า ต ้องมีอะไรซ่อนอยูใ่ นภาพสองมิตน ิ ัน
้ อย่างแน่นอน แต่ตอนนัน ้ ไม่รู ้
ว่ามันคืออะไร จึงมองภาพของสองมิตโิ ดยการคิดเทียบเคียงตามไปด ้วยว่านี่คอ ื ภาพสาม
มิตห ิ รือพระนิพพาน แต่เป็ นเพราะยังรู ้ไม่จริงว่าภาพสามมิตห ิ รือพระนิพพาน หรือ
สภาวะตถตาจริง ๆ นัน ้ มันมีหน ้าตาอย่างไร จึงเกิดความรู ้สึกเหมือนกับรู ้ว่า ยังไม่รู ้อะไร
บางอย่าง ยังมีสงิ่ หนึง่ ทีข
่ าดด ้วนอยู่
จาความรู ้สึกของวันนัน ้ ได ้ชัดมาก และมันก็เกิดอีกเป็ นครัง้ คราวบ่อยขึน ้ หลังจาก
นัน
้ ทาให ้เราต ้องถามตัวเองเสมอว่า อะไร คือ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อะไรคือ ธรรม
ตัวนัน
้ ทีจ
่ ะเป็ นฐานของการเพ่ง นี่ก็เป็ นสภาวะทีแ ่ ปลกมาก จะเรียกว่าเป็ นสภาวะก่อนการ
เกิดญาณขัน ้ สุดท ้ายก็ได ้ เหมือนกับดวงอาทิตย์กาลังจะขึน ้ ทีข
่ อบฟ้ าแล ้ว แสงเงินแสง
ทองเริม่ ทอออกมาให ้เห็น รออยูอ ่ ย่างเดียวคือ ดวงอาทิตย์นั่นเอง

มีแต่มรรคก ับผล ย ังไม่มน ี พิ พาน


ม่านบาง ๆ ผืนนี้ได ้อยูก ่ บ
ั เราหลายปี นับตัง้ แต่เกิดสภาวะแมวจับหนู ตอนนี้จงึ
มองออกว่า สิง่ ทีข ่ าดไปคือ ความสามารถในการมองเห็นภาพใหญ่ของชีวต ิ และจักรวาล
นั่นเอง หรือถ ้าจะพูดในแง่ มรรค ผล นิพพาน สภาวะใจของเราในช่วงนัน ้ มีทงั ้ มรรคและ
ผลแล ้ว แต่ยังไม่มน ี พ ิ พาน จึงรู ้สึกว่าไม่มอ ี ะไรต ้องทาอีก เพราะทัง้ มรรคและผลได ้เกิด
แล ้ว แต่นพ ิ พานคืออะไรล่ะ เราไม่รู ้ รู ้แต่วา่ นิพพานเป็ นสิง่ ทีเ่ ร่งไม่ได ้ นักปฏิบัตธิ รรมทุก
คนรู ้เหมือนกันหมดว่า นิพพานเป็ นเรือ ่ งทีเ่ กิดขึน ้ เอง จะไปฉุดรัง้ หรือเร่งมันไม่ได ้ทัง้ นัน ้
แต่หน ้าตามันเป็ นอย่างไร มีใครรู ้ไม๊ เราก็ไม่รู ้ แต่เพราะมันยังไม่เกิดนี่แหละ ความรู ้สิง่
หนึง่ จึงขาดไป
หนังสือภาษาอังกฤษเรือ ่ ง Can a Caterpillar be perfect? ของเราเป็ นงาน
เขียนทีเ่ กิดขึน ้ ในช่วงปี เหล่านัน ้ คือ ก่อนปี ๒๕๔๐ เมือ ่ อ่านหนังสือเล่มนัน ้ แล ้ว จะเห็น
ว่า เราสามารถอธิบายเรือ ่ งราวต่าง ๆ ทีเ่ กีย ่ วเนื่องกับจิตประภัสสร ความเป็ นมายา เรือ ่ ง
สติวงิ่ ไล่ความคิด หรือ แมวจับหนู ได ้ชัดเจนพอสมควร แต่เนื้อหาเหล่านัน ้ ล ้วนแต่เป็ น
ภาพเล็กทีอ ่ ยูใ่ นภาพใหญ่อก ี ทีหนึง่ เท่านัน
้ เอง หรือพูดในเรือ ่ งรายละเอียดทีซ ่ นตามจุด
่ อ
ต่าง ๆ ของโครงสร ้างใหญ่ของชีวต ิ เท่านัน
้ เป็ นวิธก ี ารเขียนทีย ่ ังแตกแยกอยู่ ปราศจาก
โครงสร ้างใหญ่ เพราะเรายังไม่ได ้รู ้แจ ้งแทงตลอด การเน ้นถึงเป้ าหมายอันสูงสุดของ
ชีวต ิ จึงยังไม่เกิด ไม่สามารถบอกคนด ้วยคาพูดทีอ ่ อกจากหัวใจว่า นิพพานเป็ นเป้ าหมาย
ทีส่ งู สุดของชีวต ิ ขาดน้ าหนักในคาพูดทุกครัง้ ทีพ ่ ูดถึงนิพพาน จึงยังต ้องพูดตาม
พระพุทธเจ ้าอยู่ ทีจ ่ ริง งานเขียนของเราด ้วยวิธก ี ารเขียนเช่นนั น ้ ยังมีมากพอทีจ ่ ะพิมพ์
เป็ นหนังสืออีกเล่มหนึง่ แต่เราตัดสินใจลบออกจากคอมพิวเตอร์หมดเมือ ่ ต ้นปี ๒๕๔๔
นี่เอง เพราะอ่านแล ้ว เห็นชัดว่าขาดสิง่ สาคัญทีส ่ ด ุ ของชีวต ิ ไป

แม่เสย ี จิตกาเริบ
ถ ้าจะถามว่าในโลกนี้ เรารักใครมากทีส ่ ด
ุ ต ้องตอบว่ารักแม่มากทีส ่ ด
ุ ตอนที่
ตัดสินใจแต่งงานมาอยูอ ่ ังกฤษนัน ้ รู ้ว่าต ้องจากแม่ไปไกล แต่ก็ไม่ได ้คิดว่ามันเป็ นปั ญหา
เพราะก่อนแต่งงานก็ตะลอนไปโน่นนี่อยูเ่ สมอ คิดอย่างเพ ้อฝั นว่า ยังไม่ต ้องรีบมีลก ู
ทางานเก็บเงินได ้แล ้ว ก็กลับมาหาแม่ มาอยูก ่ บ
ั แม่ ไม่เคยรู ้ว่า ภายใน ๕ ปี หลังแต่งงาน
นอกจากจะถูกมัดมือมัดเท ้าแล ้ว ยังมีบว่ งแขวนคออยูอ ่ ก
ี ถึงสามบ่วง เงินทองในกระเป๋ า
ก็มน ี ้อย ความอยากจะกลับมาใช ้เวลาอยูก ่ บ
ั แม่นาน ๆ จึงเป็ นเพียงความฝั นทีเ่ กิดจริงได ้
ยาก ได ้กลับเมืองไทยมาเยีย ่ มพ่อแม่ทงั ้ หมด ๘ ครัง้ ในช่วงเวลา ๑๕ ปี ของชีวต ิ แต่งงาน
กลับมาอยูไ ่ ด ้ก็เพียงไม่กอี่ าทิตย์แล ้วก็ต ้องรีบกลับไปดูแลครอบครัวตัวเอง จึงฝั นต่อว่า
เมือ่ ลูกโต จะขอกลับมาอยูก ่ บั แม่นาน ๆ ใช ้เวลาคุยกับแม่และดูแลแม่บ ้าง บางครัง้ ก็ลม ื
ไปว่า เมือ ่ ลูกเราโต มันหมายความว่าแม่เราก็แก่เฒ่าชราตามไปด ้วย ท่านจะจากเราไป
เมือ
่ ไรก็ได ้
เมือ ่ ได ้ข่าวว่าพ่อเสียในเดือนธันวาคม ๒๕๓๘ นัน ้ เรารับข่าวนัน
้ ได ้อย่างสงบ
เพราะความผูกพันกับพ่อนัน ้ มีน ้อย ตอนกลับมางานศพพ่อ เห็นแม่ซงึ่ บัดนัน ้ อายุใกล ้ ๘๐
และไม่ได ้เป็ นแม่คนเดิมทีแ ่ ข็งแรง ชอบหิว้ ของหนัก ๆ ขึน ้ รถเมล์แล ้ว รู ้สึกใจหายว๊าบ
กลับมาเมืองไทยแล ้ว ไม่เห็นพ่อนัน ้ รู ้สึกธรรมดามาก พ่ออยูต ่ า่ งจังหวัด และเราก็ไม่
เคยอยูก ่ บ ั พ่อ แต่มาคิดว่า หากกลับมาเมืองไทยแล ้วไม่มใี บหน ้าทีค ่ ุ ้นเคยมากทีส ่ ดุ ที่
ยิม ้ แย ้มและอบอุน ่ ของแม่ให ้เราเห็นแล ้ว เราจะรู ้สึกอย่างไร นี่เป็ นสิง่ ทีเ่ ราไม่กล ้าคิด
กลัวมาก
ประมาณ ๓ หรือ ๔ ปี ก่อนหน ้าทีพ ่ ่อแม่จะเสียชีวต ้ สิง่ ทีเ่ ราพอทาได ้คือ การ
ิ นัน
ภาวนาให ้พ่อแม่ชราสามารถละสังขารได ้อย่างง่ายดายโดยไม่ต ้องทนทุกข์ทรมานกับ
ความเจ็บป่ วยใด ๆ ทัง้ สิน ้ ซึง่ คาภาวนาของเราก็เป็ นจริง ทัง้ พ่อกับแม่สน ิ้ ชีวต ิ อย่างเป็ น
ธรรมชาติโดยไม่ต ้องเข ้าโรงพยาบาลเลย
๑๐ เดือนหลังจากทีไ่ ด ้กลับมางานศพพ่อ เราก็พาลูกคนเล็กตอนนัน ้ อายุ ๑๐
ขวบกลับมาหายาย เหมือนมีความรู ้สึกว่าจะได ้อยูก ่ บั แม่เป็ นครัง้ สุดท ้ายแล ้ว พอกลับไป
อังกฤษได ้เพียง ๗ อาทิตย์เท่านัน ้ แม่ก็เสียชีวต ิ ในวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๐ ประมาณ ๕
วันก่อนแม่เสีย เราได ้คุยกับแม่ทางโทรศัพท์ เล่าให ้แม่ฟังเรือ ่ งทีเ่ ราพานักศึกษาราว ๓๐
คนมาราไท ้เก็กทีส ่ วนสาธารณะแถวบ ้าน และพาพวกเขากลับมาบ ้านกินข ้าวราดแกง แม่
ฟั งแล ้วก็อนุโมทนากับงานทีเ่ ราทากับนักศึกษา อดห่วงลูกสาวไม่ได ้ว่าคงเหนื่อยมาก
เมือ ่ รู ้ว่าเรารับผิดชอบงานทัง้ หมดคนเดียวตัง้ แต่การสอนตลอดจนการทากับข ้าวเลีย ้ งลูก
ศิษย์
เมือ ่ ได ้ยินว่าแม่ของคนอืน ่ เสีย ดูออกว่าเป็ นเรือ ่ งธรรมดาของชีวต ิ แต่พอแม่
ตัวเองเสีย ใจทีเ่ คยราบเรียบกลับกาเริบเหมือนกาลังเดินฝ่ ามรสุมทีเ่ ต็มไปด ้วยเมฆดา
ก ้อนใหญ่ มองอะไรไม่เห็นนอกจากความเจ็บปวดอันเกิดจากความพลัดพรากจากสิง่ ที่
รักและหวงแหนอย่างสูงสุด ความรู ้สึกสูญเสียแม่ผู ้มีพระคุณและทีร่ ักยิง่ อย่างไม่มวี ัน
กลับเป็ นอย่างนี้เองหรือ เหมือนมีรโู หว่อยูใ่ นหัวใจ ทีจ ่ ริง การจากแม่มาอยูเ่ มืองไกล ทุก
ครัง้ ทีค ่ ด ิ ถึงแม่มาก แต่ไม่สามารถอยูใ่ กล ้แม่ได ้ ทาให ้เคยหัดคิดว่ามันก็เหมือนกับการ
คิดว่าแม่ตายแล ้ว เพราะมันคือการไม่ได ้เห็นหน ้าแม่เท่าเทียมกันหมด แต่มันจะ
เหมือนกันไม่ได ้ เพราะอยูไ่ กลแม่นัน ้ เรายังสามารถยกหูโทรศัพท์ขน ึ้ มาคุยกับแม่ได ้ แต่
แม่ตายนัน ้ เราคุยด ้วยไม่ได ้แม ้ทางโทรศัพท์ เมือ ่ แม่ตายไปจริง ๆ จึงรู ้รสชาดของการ
สูญเสียของสุดทีร่ ก ั อย่างแท ้จริงในชีวต ิ เป็ นครัง้ แรก เจ็บปวดถึงขัว้ หัวใจ ยิง่ เจ็บมากขึน ้
เมือ ่ หวนคิดถึงความเพ ้อฝั นเมือ ่ หลาย ๆ ปี กอ ่ นหน ้านัน ้ ว่า เมือ
่ ลูกโต จะมาอยูใ่ กล ้แม่
นอนคุยกับแม่ให ้นาน ๆ จะอยูซ ่ ะ ๖ เดือนหรือปี หนึง่ ไม่ใช่เพียงแค่ไม่กอ ี่ าทิตย์อย่างที่
เคยทา แล ้วก็ต ้องตะลอนกลับอังกฤษอีก ทีเ่ จ็บปวดมากเพราะรู ้ว่าความฝั นของเราไม่
เคยเกิดและไม่มวี ันได ้เกิดอีกแล ้ว อดคิดไม่ได ้ว่า เมืองไทยจะไม่มวี ันเหมือนเดิมอีก
หากกลับมาแล ้วไม่เห็นหน ้าแม่ จึงร ้องไห ้มากในงานศพของแม่ แม ้ทุกวันนี้ เมือ ่ จะพูด
ถึงแม่แล ้ว ยังเรียกน้ าตาได ้เสมอ
เมือ ่ ความโศกเศร ้าจากการสูญเสียแม่ได ้ผ่านพ ้นไปแล ้ว สิง่ ทีเ่ ราไม่เคยคิดว่าจะ
รู ้สึกคือ ความรู ้สึกหมดห่วงอย่างสิน ้ เชิง เมือ ่ ตอนทีพ ่ ่อแม่ยังมีชวี ต ิ อยูน ่ ัน้ ทัง้ ๆ ทีร่ ู ้ดีวา่ มี
พีน ่ ้องอีกถึง ๖ คนดูแลท่านอยู่ แต่ในฐานะทีเ่ ป็ นลูก ก็อดห่วงพ่อแม่ทแ ี่ ก่เ ฒ่าไม่ได ้ จึง
ได ้แต่แผ่เมตตาและภาวนาให ้ท่านมีสข ุ ภาพร่างกายทีแ ่ ข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข ้ หากท่านถึง
วาระของอายุขัยแล ้วไซร ้ ก็ขอให ้ท่านละสังขารอย่างง่ายดาย ไม่ต ้องทุกข์ทรมาน ซึง่
เป็ นความห่วงใยอันเป็ นความรู ้สึกทีห ่ ้อยอยูใ่ นใจเรานานนับปี แต่เมือ ่ พ่อแม่เสียชีวต ิ
หมดแล ้ว และหลังจากความโศกเศร ้าได ้คลายตัวไปตามกฎแห่งอนิจจังแล ้ว ความรู ้สึก
ห่วงใยเหล่านัน ้ ก็อันตรธานหายไปเป็ นปลิดทิง้ ตัง้ แต่บัดนี้เป็ นต ้นไป ไม่มพ ี ่อกับแม่ให ้
เราห่วงใยอีกแล ้ว จิตใจจึงเหลือแต่ความโล่ง โปร่งเบา ปราศจากน้ าหนักอะไรถ่วงอยู่

You might also like