You are on page 1of 7

บททีสอง
ทำไมผลจึงมำก่อนเหตุ?
่ ว
บททีแล้ ดิฉน ่
ั ได้เล่านิ ทานเพือให้ เห็นภาพพจน์ทช ี่ ัดเจนว่า
พระพุทธเจ้ามาบอกข่าวดีกบ ่ งแล้วพวกเราไม่ได้เป็ น
ั มนุ ษย ์ว่าทีจริ
่ กฤาษีแปลงร่างมาเป็ นเสือ ฉะนันเป้
เสือ แต่เป็ นคนทีถู ้ าหมายของ
มนุ ษย ์เราคือการแสวงหาทางทีจะกลั่ บกลายไปสู ่ความเป็ น
ธรรมชาติธรรมดาของชีวต ิ หรือความเป็ นพระอรหันต ์

ในบทนี้ ดิฉันจะเน้นเรื่องเป้ าหมาย (ผล) กับหนทาง (มรรค) การตรัสรูข้ องพระพุทธเจ้านัน้


หมายความว่า ท่านได้ เห็นผลก่อนทีจ่ ะเห็นทางหรือมรรค นี่เป็ นจุดสาคัญมากทีป่ ั ญญาชนควรทา
ความเข้าใจให้ถ่องแท้เพือ่ จะได้เห็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธมากขึน้

นิทานเรื่องนี้อาจจะทาให้เห็นภาพพจน์ชดั ขึน้ ชายคนหนึ่งหลงทางในป่ า ด้วยความบังเอิญ จู่ ๆ ก็


พลัดมาเจอสระน้ าอมฤตดื่มแล้วสามารถมีชวี ติ อมตะ เมื่อรูว้ ่าน้ านี้มปี ระโยชน์ต่อมนุษย์ จึงค่อย ๆ
ออกมาสารวจทางเข้าสระน้ าอมฤตว่าพอมีทางไหนเข้าไปได้บา้ ง เขาทาแผนทีเ่ อาไว้อย่างเด่นชัด
และถีย่ บิ เมื่อออกจากป่ าได้แล้ว เขาก็เริม่ บอกคนอื่นเกีย่ วกับสระน้ าอมฤตนี้ และแจกแผนทีบ่ อก
ทางให้กบั ผูท้ อ่ี ยากไป

ก่อนการตร ัสรู ้ของพระพุทธเจ้านัน ้ สังคมมนุ ษย ์อยู ่อย่างมืดบอด


ไม่มใี ครรู ้ว่าอะไรเป็ นอะไร เป้ าหมายของชีวต ิ คืออะไร สัจธรรมคือ
อะไร การหมดทุกข ์ทีแท้ ่ จริงเป็ นอย่างไร พระพุทธเจ้าเกิดมาในยุค
่ งคมอินเดียกาลังค้นหาสัจธรรมกันอย่างสะเปะสะปะ
ทีสั เสพกาม
บ้าง ทรมานตัวเองบ้าง ติดในความสงบขององค ์ฌานบ้าง แต่ไม่มี
ใครรู ้ว่าเป้ าหมายของชีวต ิ จริง ๆ คือ อะไรแน่ นอน เจ้าชายสิทธ ัต
ถะก็เข้าร่วมวัฒนธรรมแห่งการแสวงหาสัจธรรมนันด้ ้ วยเป็ นเวลา
ถึงหกปี ลองผิดลองถู กตามวิธก ่ อยู ่ในยุคนันจนตนเองเกื
ี ารทีมี ้ อบ
เอาชีวต ิ ไม่รอด ปรากฏการณ์ของสังคม (social landscape) อินเดียใน

ยุคนันเปรี ่
ยบเทียบเหมือนกับชายหลงป่ าทีหาทางออกจากป่ าไม่ได้

44
จะด้วยเหตุผลประการใดก็แล้วแต่1 การตร ัสรู ้ของพระพุทธเจ้านันก็้
เปรียบเหมือนกับชายหลงป่ าเจอสระน้ าอมฤตด้วยความบังเอิญ
หรือค้นพบความจริงว่า ่ เสือตัวนี ไม่
ทีแท้ ้ ได้เป็ นเสือแต่เป็ นคน
ธรรมดาดี ๆ นี่ เอง

การตร ัสรู ้ของพระพุทธเจ้าหมายความว่า ท่านได้พบสัจธรรมอัน


สู งสุดของธรรมชาติ เป็ นธรรมทีเด็ ่ ดขาด (absolute หรือ ultimate) อัน
ไม่มส ิ่
ี งใดไปพ้ ้
นจากนันได้ ่ านเรียกว่า พระนิ พพาน และธรรม
ซึงท่
้ ยวข้
นี เกี ่ ี่ ามันเป็ นเป้ าหมายของชีวต
องกับมนุ ษย ์ในแง่ ทว่ ิ ทุกชีวติ
ในสังสารวัฏนี ้ด้วย ้ นเรืองเดี
เป้ าหมายนี เป็ ่ ยวกับการหมดความ
ทุกข ์อย่างสินเชิ้ ง ก่อนหน้านันไม่้ ่ ก
มใี ครรู ้ว่าตนเองเป็ นเสือทีถู
ฤาษีแปลงร่างมาจากคน สภาวะแห่งพระนิ พพานหรือสัจธรรมอัน
้ นสภาวะทีมี
สู งสุดนี เป็ ่ อยู ่แล้วไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะเกิดมาหรือไม่ก็

ตาม มันก็อยู ่ของมันอย่างนันและจะอยู ่ตลอดไปอย่างนัน ้ เพียงแต่
ไม่มใี ครเห็น เปรียบเหมือนกับสระน้ าอมฤตทีมี ่ อยู ่แล้วในป่ าแต่ไม่
มีใครพบ นี่ แหละคือความโดดเด่นของพระพุทธเจ้าทีเข้ ่ าไปเจอสิง่
ๆ หนึ่ งทีไม่ ่ เคยมีใครพบเห็นมาก่อน จุดนี เป็ ้ นสิงที่ ปั่ ญญาชนต้อง
ทาความเข้าใจให้ดวี ่า การตร ัสรู ้ของพระพุทธเจ้านันมิ ้ ใช่
หมายความว่าท่านมาสร ้างแนวความคิดใหม่ทแตกต่ ี่ างจากนักคิด
คนอืน ่ การเห็นสภาวะของพระนิ พพานนันไม่ ้ ่
ได้เกียวข้ องกับการ
คิดนึ กแต่อย่างใดทังสิ ้ น้ การใช้ความคิดของท่านนันมาที ้ ่
หลังเมือ

ท่านเริมสอน ในขณะนันมี ้ แต่เพียง ธรรมนิ ยาม หมายความว่า
การร ับรู ้(acknowledgement)ต่อสภาวะนัน ้ ของธรรมชาติทพู ี่ ดไม่ออก
บอกไม่ได้ ว่ามันมีอยู ่ คาว่า พระนิ พพาน อาจจะยังไม่เกิดขึนก็ ้ ได้
ในขณะทีท่ ่ านกาลังเสวยวิมุตส ิ ุขอยู ่เพราะท่านยังไม่ได้สอนใคร

1เหตุผลทีแท ่ ้จริงแห่งการตร ัสรู ้ของพระพุทธเจ ้าคือ การทีท่


่ านได ้สังสมบารมี
่ ี่
ทปราถนา
จะเกิดมาเป็ นพระพุทธเจ ้ามาแล ้วอย่างมากมายนับชาติไม่ถ ้วน จนกระทั่งชาติสุดท ้าย
ี่
ได ้เกิดมาเป็ นเจ ้าชายสิทธัตถะ บารมีทปราถนาพุ ทธภูมไิ ด ้ถึงความสุกงอมจนเป็ นเหตุ
ปัจจัยทีน่ าไปสู่การตรัสรู ้ของพระพุทธเจ ้า

45
หลังจากทีพระพุ ่ ทธองค ์เห็นสภาวะแห่งพระนิ พพานและได้เสวยวิ
มุตส ิ ุขเป็ นเวลา ๔๙ วันแล้ว ท่านก็เริมคิ ่ ดว่าควรจะบอกให้คนรู ้ใน
่ ท่
สิงที ่ านเห็นหรือไม่ ตอนแรกท่านดาริทจะไม่ ี่ สอนเพราะเห็นว่า
มันยากมากมิใช่เป็ นวิสย ั ของคนธรรมดาสามัญจะเข้าใจได้ แต่
หลังจากทีครุ ่ น่ คิดแล้วจึงเห็นว่าคนเรานันมี ้ ปัญญาทีแตกต่่ างกัน
คนทีมี ่ ธุลใี นดวงตาแต่น้อยอาจจะเห็นได้ ด้วยความเมตตากรุณา
อย่างมหันต ์ ท่านจึงดาริทจะสอน ี่ หลังจากทีรู่ ้ด้วยญานว่าอาจารย ์

ทังสองท่ ่ ยชีวต
านเพิงเสี ิ ไป จึงคิดจะโปรดปั ญจวัคคีย ์ ในขณะที่
ท่านเดินทางจากต้นพระศรีมหาโพธิมุ ์ ่งสู ่ป่าอิสป
ิ ตนมฤคทายวัน
นัน้ พระพุทธองค ์ได้เดินผ่านอาชีวกคนหนึ่ งชือ ่ อุปกะ เขาเห็น
ผิวพรรณของนักพรตผู ท ี่ งเดิ
้ เพิ ่ นผ่านไปผ่องใสนัก อาการเยือง ้
ย่างของท่านก็ดูสงบและสง่ างามผิดจากนักพรตส่วนมากทีเขาเห็ ่ น
มา ด้วยความอยากรู ้จึงเดินกลับไปถามนักบวชหนุ่ มผู น ้ั า
้ นว่
ท่านนักพรต ฉวีวรรณของท่านหมดจด ขาวผ่อง อินทรีย ์ของท่าน
่ ก ท่านบวชในสานักของใคร ใครเป็ นครู บาอาจารย ์
ผ่องใสยิงนั
ของท่าน ? หรือว่าท่านนิ ยมคาสอนของใคร
พระผู ม
้ พี ระภาคตร ัสตอบอาชีวกผู น ้ั
้ นอย่ ่
างซือ ๆ ตรงไปตรงมา
่ นจริงว่า
ตามทีเป็
เราคือสยัมภู เป็ นผู ค ้ รอบงาได้หมดทุกสิงทุ ่ กอย่าง เป็ นใหญ่ใน
ตนเองเต็มที ่ เราเป็ นผู ร้ ู ้จบหมด ไม่เข้าไปเกียวข้
่ ่ งหลาย
องในสิงทั ้
ละได้แล้วซึงสิ่ งทั่ งปวง
้ หลุดพ้นแล้วเพราะสินตั ้ ณหา เราหักกง
กรรมแห่งสังสารจักรอันเป็ นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดด้วยตนเอง
่ นเช่นนี ้ จะพึงอ้างใครเล่าว่าเป็ นศาสดา อาจารย ์ของ
แล้ว เมือเป็
เราไม่ม ี ผู ท ี ่ นเหมือนเราไม่ม ี ผู จ้ ะเปรียบกับเราก็ไม่ม ี เราเป็ น
้ เป็
อรหันต ์ในโลก เราเป็ นครู ไม่มใี ครยิงกว่ ่ า เราผู เ้ ดียวเป็ นสัมมา
สัมพุทธะ เป็ นผู ด ้ บั แล้วเย็นสนิ ท จะไปสู ่เมืองแห่งชาวกาสีเพือแผ่่
พระธรรมจักร จะไปตีกลองแห่งอมตธรรมให้กก ้ 2
ึ ก้องขึน

2 ่ พุทธจริยา ของวศิน อินทศระ


คัดลอกจากนิ ยายธรรมะเรือง

46
่ ได้แสดงความยกย่อง
อุปกะชีวกฟั งพระพุทธเจ้าตร ัสด้วยสายตาทีมิ
แต่อย่างใดและกล่าวว่า
อาวุโส ท่านเป็ นผู ช
้ นะอย่างไม่มท ี ่ นสุ
ี สิ ้ ดและใหญ่โตปานนันเชี
้ ยว
หรือ
พระพุทธองค ์ตร ัสตอบว่า เราพู ดตามความเป็ นจริง
คงเป็ นไปได้นะ อาวุโส คนทีรู่ อ้ ะไร ๆ ได้เองโดยไม่มค ี รู อาจารย ์
ท่านวิเศษเกินไปเสียแล้ว
อุปกะชีวกพู ดอย่างเย้ยหยัน แลบลิน ้ ส่ายศรีษะ แล้วก็เดินหลีกไป
ด้วยความคิดว่าท่านโอ้อวดตัวเอง
่ งแล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้ตร ัสอะไรเกินความจริงเลย
ทีจริ สยัมภู
หมายถึง พระผู เ้ ป็ นเอง คือ ตร ัสรู ้ได้เองโดยไม่มใี ครสังสอน ่ คาว่า
พุทธะก็คอ ื ผู ร้ ู ้ ผู ต ื่ ผู เ้ บิกบาน ซึงก็
้ น ่ เป็ นลักษณะหรือคุณสมบัตทิ ี่
แท้จริงของท่าน อย่างไรก็ตาม การบอกเล่าของพระพุทธองค ์อัน

เกียวเนื ่ องกับสิงที ่ ท่ ่ านรู ้ในครงนั ้ั นต้
้ องนับว่าเป็ นสิงที
่ ขาด

ประสบการณ์มากกว่าจะเรียกว่าล้มเหลว

เหตุการณ์ครงนั ้ั นคงจะท
้ าให้พระพุทธเจ้าต้องคิดถึงวิธก ี ารสอนที่
จะให้คนรู ้ตามท่านได้ นี่ แหละจึงมาถึงขันตอนที ้ ่ านเริมใช้
ท่ ่
ความคิดว่าควรจะพู ดอย่างไร และใช้วธ ิ ก
ี ารอะไรอย่างไรจึงจะ
สามารถทาให้คนเห็นสภาวะนัน ้ ในธรรมชาติได้ หากไม่ได้พบอุป
กะชีวกก่อน ท่านอาจจะไม่ได้คด ิ วางแผนอะไรทังสิ ้ น ้ ท่านอาจจะ
ตร ัสกับปั ญจวัคคีย ์เหมือนทีท่่ านตร ัสกับอุปกชีวกก็ได้ อย่างไรก็
ตาม ท่านเริมเรี่ ยนรู ้จากความผิดพลาดทันที การวางแผนการ
สอนของท่านนัน ้ ฝรงจะเรี
่ั ยกว่าเป็ นการสร ้าง strategy นี่ เหมือนกับ

ขันตอนที ่
ชายในป่ าออกมาเขียนแผนทีที ่ จะให้
่ คนเข้าไปถึงสระน้ า
อมฤตได้ ฉะนัน ้ คาสอนทังหมดของพระพุ
้ ทธเจ้าก็คอ ื แผนทีบอก ่

ทางทีจะให้ คนเห็นสภาวะของพระนิ พพานหรือสัจธรรมอันสู งสุด
ตามท่านนั่นเอง จะต่างกันหน่ อยก็คอ ื นี่ เป็ นแผนทีชี ่ วติ และแผนที่
ฉบับแรกของท่านคือ ธรรมจักรกัปปวัตตนสู ตร ซึงท่ ่ านจะต้องคิด

47

วางแผนและเรียบเรียงการพู ดหลังจากทีแยกทางกั
บอุปกะชีวกและ

ก่อนทีจะพบกั
บปั ญจวัคคีย ์

การรูส้ ภาวะแห่งการหลุดพ้นซึง่ เหมือนกับรูว้ ่าสระน้าอมฤตอยู่ทไ่ี หนนัน้ การจะบอกทางผูอ้ ่นื ให้รู้


ตามนัน้ จาเป็ นต้องบอกบริเวณกว้างก่อนแล้วค่อย ๆ แคบลงมา เหมือนกับ บอกคนว่าถ้าจะไปวัดธาร
น้าไหลแล้ว ต้องไปทิศใต้ก่อน จังหวัดสุราษฏ์ธานี ไปให้ถงึ อาเภอไชยา จากไชยาก็ไปตามถนนสาย
ตะวันออกอีกหกกิโลก็จะเห็นวัดธารน้ าไหลอยู่ขวามือ หรือ เหมือนกับชายคนนัน้ ต้องบอกให้คนรูว้ ่า
สระน้ าอมฤตอยู่ทางทิศตะวันออกของป่ า ฉะนัน้ อย่าเดินไปทางทิศตะวันตก เหนือ หรือใต้ เพราะถ้า
หลงทิศแล้วละก็จะเสียเวลามากถึงแม้จะวกกลับมาได้ทหี ลังก็ตาม ฉะนัน้ ในบทธรรมจักรกัปปวัต
ตนสูตรนัน้ ก่อนทีท่ ่านจะเข้าสูเ่ รื่องอริยสัจสีน่ นั ้ ท่านเริม่ เตือนก่อนว่า ทางแห่งความสุดโต่งทัง้ สอง
ทางนัน้ ไม่ถูกต้อง คือการทรมานตนกับการเสพทีเ่ กินความจาเป็ น นี่เท่ากับบอกทิศก่อน ว่าพระ
นิพพานอยู่ทศิ ไหน และบอกต่อว่าทางทีถ่ ูกต้องต้องเป็ นทางสายกลาง ซึง่ ไม่ใช่หมายความว่าเดิน
ตรงกลาง แต่หมายถึงทางแห่งอริยมรรคมีองค์แปดประการทีเ่ ริม่ ต้นด้วยสัมมาทิฏฐิและจบลงด้วย
สัมมาสมาธิ พอท่านพูดเรื่องกว้างแล้ว ท่านจึงเข้าสูเ่ รื่องอริยสัจสี่ ซึง่ เป็ นขัน้ ตอนการบอกทางทีเ่ ริม่
แคบเข้ามาอีกหน่อยหนึ่ง เพราะว่าคนในยุคนัน้ ต่างต้องการรูว้ ่าจะเอาชนะความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
หรือความทุกข์ได้อย่างไร ฉะนัน้ เรื่องอริยสัจสี่ จึงเป็ นขัน้ ตอนของการเรียกความสนใจในสิง่ ทีค่ น
อยากรูจ้ ริง ๆ ในยุคนัน้ เพราะท่านได้เรียนรูจ้ ากอุปกชีวกแล้วว่า หากไม่พดู เรื่องในสิง่ ทีค่ นสนใจ
แล้ว เขาอาจจะเดินหนีอกี ก็ได้ ท่านจึงเอาจุดทีค่ นสนใจขึน้ มาพูด ฉะนัน้ เรื่องทุกข์และสาเหตุแห่ง
ทุกข์นนั ้ เท่ากับเป็ นการเกริน่ เรียกความสนใจ ซึง่ รายละเอียดนัน้ ท่านก็เริม่ จากวงกว้างอีกคือพูด
เรื่องเกิด แก่เจ็บตายเป็ นทุกข์ จนในทีส่ ุดพูดเรื่องอุปาทานขันธ์ทงั ้ ห้าก็เป็ นทุกข์ซง่ึ เป็ นเรื่องที่
ละเอียดมากขึน้ พอมาถึงอริยสัจข้อทีส่ ามหรือนิโรธสัจนัน้ พระพุทธองค์กน็ าเข้าเรื่องสัจธรรมทีท่ ่าน
พบทันที การเห็นสัจธรรมอันสูงสุดนัน้ หมายถึงการสามารถประสานกับเรื่อ งทุกเรื่องของจักรวาล
ฉะนัน้ ท่านจึงสามารถพูดให้สอดคล้องกับเรื่องทุกข์ทเ่ี กริน่ มาตัง้ แต่ตน้ โดยบอกว่าสภาวะแห่งการ
ดับทุกข์นนั ้ มีอยู่ซง่ึ ก็เป็ นสภาวะเดียวกับสัจธรรมอันสูงสุดนันเอง ่ หลังจากนัน้ ก็ย้าเรื่องวิถที างทีจ่ ะให้
ถึงการดับทุกข์นนั ้ อีกครัง้ หนึ่งอันเป็ นอริยสัจข้อทีส่ ่ี คืออริยมรรคมีองค์แปด

ในอริยสัจสีน่ นั ้ จะเห็นชัดว่าท่านวางผลมาก่อนเหตุ อริยสัจข้อทีส่ ามคือนิโรธมาก่อนอริยสัจข้อทีส่ ่ี


คือ มรรค ซึง่ ดูแล้วเหมือนกับผิดหลักวิทยาศาสตร์ทเ่ี หตุจะต้องมาก่อนผล มันจะผิดไม่ได้เพราะนี่
เป็ นประสบการณ์ของคน ๆ แรก (ชายหลงป่ าพบสระน้ าอมฤต) เพราะถ้าไม่มคี นแรกทีไ่ ปรูค้ วามจริง
ว่าเรามิใช่เป็ นเสือแล้ว การบอกทางจะไม่มี เราก็อยู่อย่างเสือ ๆและโง่ ๆ มืด ๆ ต่อไปตราบนานเท่า
นาน ท่านเห็นผลก่อน การบอกทางทีจ่ ะไปสูผ่ ลจึงเกิดตามมา ฉะนัน้ จาเป็ นอย่างยิง่ ทีจ่ ะต้องมีคน
แรกทีบ่ อกความจริงกับเราว่าเป้ าหมายอันสูงสุดของชีวติ คืออะไรกันแน่ และพระพุทธเจ้าคือบุคคล

48
แรกทีม่ าบอกข้อเท็จจริงเกีย่ วกับชีวติ ไม่เพียงแต่มนุษย์เราเท่านัน้ แต่คลุมไปถึงชีวติ ทีเ่ กิดในภพภูม
อื่นในสังสารวัฏนี้ดว้ ย การตรัสรูข้ องพระพุทธเจ้าจึงกระเทือนไปทัวสามโลก ่ คือ โลกสวรรค์ โลก
มนุษย์ และ ยมโลก ฉะนัน้ บทธรรมจักรกัปปวัตตนสูตรนัน้ นับว่าเป็ นแผนการ strategy หรือแผน
ทีช่ วี ติ ฉบับแรกทีเ่ ริม่ วางหลักบอกทางให้คนรูแ้ ละเข้าถึงสิง่ ทีท่ ่านได้พบ นี่เป็ นขัน้ ตอนทีท่ ่านต้องใช้
ความคิด ความสามารถของนักปราชญ์ คือจะต้องรูว้ ่าคนต้องการอะไร จะรับได้อย่างไร หลังจาก
แผนทีฉ่ บับแรกนัน้ แล้ว พระพุทธเจ้าก็เขียนแผนทีข่ องท่านเรื่อยมาจนในช่วงหลังนัน้ ท่านสามารถ
สร้างแผนทีท่ ล่ี ะเอียดถีย่ บิ เพือ่ กันให้คนหลงทางได้น้อยทีส่ ุด แผนทีช่ วี ติ ทีน่ บั ว่ามีความละเอียดมาก
ทีส่ ุดคือเรื่องมหาสติปัฏฐานสี่

ฉะนัน้ เมื่อยอมรับการตรัสรูข้ องพระพุทธองค์แล้ว ขัน้ ตอนของผูร้ ตู้ ามจะต้องสาวจากเหตุไปหาผล


เปรียบเสมือนการเดินตามแผนทีท่ ช่ี ายหลงป่ าบอกเพือ่ ไปให้ถงึ สระน้ าอมฤต ชาวพุทธจึงต้องเดิน
ตามทางแห่งอริยมรรคมีองค์แปดซึง่ เป็ นแผนทีช่ วี ติ เพือ่ ไปให้ถงึ พระนิพพาน ฉะนัน้ สาหรับสาวก
ของพระพุทธเจ้าแล้วจะต้องเป็ นเรื่องของ มรรค ผล นิพพาน คือ เดินตามองค์มรรค เพือ่ ไปสูผ่ ล

ผูท้ ม่ี ปี ั ญญาและมีธุลใี นดวงตาเพียงเล็กน้อยจะเข้าใจทันทีว่าการเกิดมาของพระพุทธเจ้านัน้ มี


ความสาคัญต่อชีวติ ทุกชีวติ มากเพียงไหน หากไม่ใช่เป็ นความเมตตากรุณาอย่างมหันต์ของพระ
พุทธองค์ทด่ี าริจะสอนแล้วไชร้ ชีวติ ทุกชีวติ ในสังสารวัฏนี้กต็ อ้ งอยู่อย่างมืดมนต่อไปอีกนานแสน
นาน ซึง่ เป็ นสิง่ ทีน่ ่ากลัวมากสาหรับคนเข้าใจเพราะเราจะต้องทนทุกข์ต่อไปอีกนานมาก มีคาพูดที่
คนไทยมักจะฟั งจนเฝือและไม่เข้าใจคือ พระมักจะบอกว่า การเกิดมาเป็ นมนุษย์และพบ
พระพุทธศาสนานัน้ มันยากแสนยาก หากไม่สนใจการปฏิบตั ธิ รรมแล้วก็จะเสียชาติเกิด ซึง่ เป็ น
ความจริงอย่างมาก แต่คนส่วนมากก็ไม่เข้าใจว่าทาไม

การจะเข้าถึงสัจธรรมได้อย่างไรนัน้ ในอริยมรรคมีองค์แปดเริม่ ต้นด้วยความเห็นชอบคือต้องเห็นและ


ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าพบสิง่ หนึ่งทีเ่ รายังไม่รไู้ ม่เห็น และจาเป็ นทีจ่ ะต้องฟั งคาแนะนาของท่านว่า
ต้องเดินทางอย่างไรจึงจะถึงเป้ าหมายนัน้ ถ้าหากไม่ยอมรับในเรื่องทีพ่ ระพุทธเจ้าค้นพบแล้วก็เป็ น
อันหมดเรื่องพูด เหมือนกับคนทีไ่ ม่ยอมเชื่อว่าเราไม่ใช่เป็ นเสือนะแต่เป็ นคน ถ้าไม่เชื่อก็ยนิ ดีใน
ความเป็ นเสือต่อไป คนฉลาดฟั งแล้วจะรีบขวนขวายหาความรู้ ผูท้ อ่ี ยากถึงเป้ าหมายจริง ๆ ต้อง
สนใจเรื่องสมาธิวปิ ั สสนาภาวนาให้มากโดยเฉพาะเรื่องสติปัฏฐานสี่ ซึง่ เป็ นแผนทีบ่ อกทางที่
พระพุทธเจ้าสร้างขึน้ ในระยะหลัง หลังจากทีม่ ปี ระสบการณ์ในการสอนมากขึน้ จึงสามารถบอกทาง
ทีล่ ดั สัน้ ทีส่ ุดได้ สติปัฏฐานสีค่ อื ทางลัดและเป็ นทางเอกทีจ่ ะไปถึงพระนิพพานได้เร็ว ในช่วงหลังของ
พุทธกาลนัน้ พระพุทธเจ้าจะเน้นเรื่องสติปัฏฐานสีม่ ากกว่าเรื่องอื่น ๆ ผูท้ ม่ี บี ุญบารมีอยู่บา้ งจะ
สามารถเข้าใจได้ทนั ทีว่าทาไมตนเองจึงโชคดีทไ่ี ด้มาพบพระพุทธศาสนา ควรจะเร่งรีบหาพระหรือผู้

49
ทีส่ ามารถสอนเรื่องสติปัฏฐานสีใ่ ห้ได้และพยายามเร่งรีบปฏิบตั จิ นบรรลุเป้ าหมายอันสูงสุดโดยเร็ว

ผูท้ ย่ี งั นิ่งนอนใจและคิดว่าตนเองไม่จาเป็ นต้องศึกษาพุทธศาสนาเพราะไม่มปี ั ญหาชีวติ ก็ตอ้ งจัดอยู่


ในประเภททีน่ ่าสมเพทและน่าสงสาร พระพุทธองค์เรียกสังสารวัฏนี้ว่าวัฏสงสาร คือการเวียนว่าย
ตายเกิดนี้มนั เป็ นสิง่ ทีน่ ่าสงสารมาก เพราะคนเหล่านี้ถงึ แม้ตอนนี้จะไม่ถูกความทุกข์รบกวน ทีจ่ ริง
ถูกความทุกข์รบกวนแล้วแต่ดว้ ยความโง่จงึ ไม่รู้ จึงใช้ชวี ติ อย่างมืดมนดิ้นรนหาเลีย้ งชีพเหมือนความ
เป็ นอยู่อย่างเสือ ไร้สาระ ขาดแก่นสาร เป็ นบุคคลทีเ่ รียกว่า เสียชาติเกิด เพราะชาติหน้ าอาจจะไม่
โชคดีมาเจอศาสนาพุทธอีกก็ได้ จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างไม่จบไม่สน้ิ

ผูท้ พ่ี อเข้าใจเรื่องนี้ได้จงึ ไม่ควรประมาท ควรเร่งรีบศึกษาและปฏิบตั ทิ นั ที หากไม่เข้าใจสัจธรรมที่


พระพุทธองค์คน้ พบแล้ว คนเราจะไม่มวี นั เข้าใจอะไรได้เลยถึงแม้จะได้ปริญญาทางโลกมากมาย

50

You might also like