You are on page 1of 4

จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขาติ

บัดนี ้ อาตมภาพจะรับประทานแสดงพระธรรมเทศนาใน สุคติกถา ว่าด้วยการไปสู่สุคติ สู่สวรรค์ เพื่อเป็ นเครื่องประคับประคอง ฉลอง


ศรัทธา ประดับปั ญญาบารมี อนุโมทนากุศลบุญราศีส่วนทักษิณานุประทาน ในการบำเพ็ญกุศลศพสวดอภิธรรม อุทิศให้ เด็ก
ชาย........................................................................... ผู้ล่วงลับไปแล้วนัน

การบำเพ็ญกุศลศพในคืนนีเ้ ป็ นคืนที่ ๓ คืนสุดท้าย การจากไปอย่างไม่มีวันกลับ หลับอย่างไม่มีวันตื่น " ของน้อง.............. วันนีญ


้ าติพ่อแม่ ลุงป้ า
ปู ่ย่าตายาย และบรรดาแขกเหรื่อที่ร้จ
ู ักกันกับเจ้าภาพ ก็มาประชุมกันที่ศาลาธรรมสังเวชแห่งนี ้ มาฟั งการสวดอภิธรรม มาร่วมไว้อาลัย มาเพื่อ
แสดงน้ำใจให้ปรากฎ ในยามสูญเสียอย่างกระทันหันของครอบครัว...............................

โดยทุกๆท่านที่ร่วมงานศพ มิใช่แต่มาฟั งพระสวดแล้วกลับ ลองพิจารณาถึงเป้ าประสงค์ของการมางานศพนีด


้ ู ท่านกล่าววัตถุประสงค์ของผู้ที่มา
ร่วมงานศพนัน
้ ว่า มี ๓ ประการ คือ

๑.มาเพื่อแสดงน้ำใจแก่ผู้สูญเสีย ๒.มาเพื่อให้ได้ธรรมะ ๓.มาเพื่อทักษิณานุประทาน ซึ่งเป็ นการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้วายชนม์

ข้อแรก มาเพื่อเเสดงน้ำใจนัน
้ ในฐานะพ่อแม่ ลุงป้ า น้าอา ปู ่ย่า ตายาย ในฐานะญาติ ในฐานะครอบครัว ในฐานะคนรู้จัก และที่สำคัญมา
แสดงออกต่อการสูญเสียครัง้ สำคัญของครอบครัว สูญเสียแบบยังไม่ทันตัง้ ตัวเพราะเกิดขึน
้ อย่างกระทันหัน นำมาซึ่งความเศร้าโศก ความเศร้า
โศกนีพ
้ อจะลดได้บ้างเพราะน้ำใจของพวกเราที่มาร่วมงาน อันแสดงถึงความเป็ นกัลยาณมิตร ผู้ปรารถนาดีต่อกัน ในยามมีความสุขกัลยาณมิตร
เพิ่มความสุขเป็ นหลายเท่า แต่ในยามเศร้านัน
้ กัลยาณมิตรลดความเศร้าให้น้อยลง โดยเฉพาะคนที่ยังอยู่ เป็ นการแบ่งเบาความเศร้า

ข้อสอง มาแล้วยังได้ธรรมะไปด้วย โดยเฉพาะความไม่เที่ยงของชีวิต ความไม่ประมาทในการดำรงชีวิต และคติธรรมที่เราพึงจะได้จาก


น้อง................ โดยเฉพาะความไม่เที่ยงของชีวิต เราไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าอะไรรอเราอยู่ข้างหน้า ท่านเรียกว่า "ความลับของแต่ละชีวิต" ที่
เจ้าของชีวิตไม่มีโอกาสทราบล่วงหน้า แม้แต่น้อง.......ก็ไม่ทราบ ชีวิตของคนเราไม่มีนิมิตบอกล่วงหน้า ที่เรียกว่า ความลับของชีวิต อยู่ ๕
ประการ
ประการที่หนึ่ง คือ "เราไม่ร้ว
ู ่าจะอยู่ในโลกนีอ
้ ีกกี่ปี" ท่านทราบไหมว่าเราจะอยู่อีกกี่ปี ชีวิตของน้อง........... อายุ .... ปี ...... เดือน บาง
คนอาจจะอายุยืนเป็ นร้อยๆปี บางคนอาจอายุสน
ั ้ ก็แล้วแต่คุณภาพของชีวิต มีคำที่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า..."ต่อให้อยู่ร้อยปี แต่ถ้าเป็ นชีวิตที่
ประมาท ก็สู้อยู่แค่วันเดียวอย่างมีธรรมะไม่ได้" " ชีวิตที่ไม่ประมาทอยู่เพียงวันเดียวก็มีค่ากว่าชีวิตของผู้ประมาทที่อยู่เป็ นร้อยปี " เราอาจไม่รู้
ล่วงหน้าว่าจะอยู่กี่ปี แต่ถ้ายังมีลมหายใจก็ต้องอย่าเป็ นผู้ประมาท สร้างคุณค่าให้กับชีวิตต่อไป

ประการที่สอง คือ "เราไม่อาจรู้ว่าจะตายด้วยวิธีการใด" หรือ อุบัติเหตุ แต่การจากไปของน้อง.......... ไม่ใช่เรื่องแปลกในประเทศไทย


เลย เพราะประเทศไทยได้รับการจัดอันดับโลกเมื่อปี ๒๕๖๐ โดยการทำวิจัย ๑๙๓ ประเทศทั่วโลก ว่าประเทศใดมีอุบัติเหตุบนท้องถนนมาก
ที่สุดในโลก ประเทศที่ชีวิตของประชากรไม่มีความปลอดภัยบนท้องถนนมากที่สุด อันดับหนึ่งของโลกคือ ประเทศนาบิเบีย คนประสบ
อุบัติเหตุในปี หนึ่งๆ ๔๕ คนใน ๑๐๐,๐๐๐ คน จัดว่าอันตรายที่สุดในโลก อันดับสองของโลก คนประสบอุบัติ ๔๔ คนใน ๑๐๐,๐๐๐ คน โปรด
ทราบว่า นั่นคือประเทศไทย ส่วนประเทศที่มีความปลอดภัยที่สุดในการขับรถ คือ "มัลดีฟส์" มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ๒
รายต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน อุบัติเหตุที่เกิดแต่ละครัง้ ต้องเป็ นคติสอนใจและแก้ไข เวลาเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินแต่ละครัง้ ประเทศที่
พัฒนา เขาไม่ปล่อยให้สูญเปล่า ทำไมเครื่องถึงตก เขาจะมีทีมศึกษา และรู้สาเหตุ สอบสวนอุบัติเหตุของเครื่องบิน แล้วก็หามาตรการป้ องกันไม่
ให้เกิดขึน
้ อีก ทำให้การเดินทางด้วยเครื่องบินปลอดภัยยิ่งขึน
้ ไม่มีการนิ่งนอนใจ ฉะนัน
้ ความสูญเสียต้องเป็ นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ ให้ความ
สูญเสียครัง้ นี ้ เป็ นเครื่องสะกิดใจคนใช้รถใช้ถนน เริ่มจากภายในชุมชนของเรา รณรงค์ให้มากขึน
้ ให้มีการขับขี่อย่างมีสติ ไม่ประมาท สวม
หมวกกันน็อคทุกครัง้ และที่สำคัญคือเมาไม่ขับ

ประการที่สาม คือ "เป็ นความลับว่าเราจะจากโลกนีไ้ ปในเวลาใด" จะเป็ นเวลาเช้า สาย บ่าย ค่ำ เห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน ทำให้นึกถึงที่
รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า

"เห็นหน้าอยู่เมื่อเช้า สายตาย สายอยู่สุขสบาย บ่ายม้วย


บ่ายสดชื่นรื่นราย เย็นดับ ชีพแฮ เย็นอยู่หยอกลูกด้วย ค่ำม้วย อาสัญ" ทุกชีวิตก็เป็ นเช่นนีไ้ ม่มีข้อยกเว้น เมื่อเป็ นอย่างนีเ้ ราจงใช้
เวลาทุกนาที ทุกวินาทีให้คุ้มค่า เพราะใครจะรู้ เห็นกันอยู่หลัดๆ ผลัดอีกวันตายเป็ นผีเสียแล้ว ยังไม่ทันได้ร่ำลากัน เราจึงต้องเร่งทำความดีต่อ
กันตอนยังมีชีวิตอยู่ให้มากๆ และเผื่อใจไว้ให้ความไม่แน่นอนเสียบ้าง

ประการที่สี่ คือ "เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าว่าจะทอดร่างลงดับจิตในสถานที่ใด" จะเป็ นที่บ้าน โรงพยาบาล หรือ กลางถนน ไม่มีสิทธิร์ ู้


ไม่มีสิทธิเ์ ลือก เป็ นความลับของแต่ละชีวิต

ประการที่ห้า คือ "ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน" เราไม่อาจคาดล่วงหน้าได้ ขึน


้ อยู่ว่าขณะดับจิตเรานึกถึงสิ่งใด เราทำบุญทำบาปไว้
มากมาย เราจะไปเกิดโดยใช้บุญหรือใช้บาป ขึน
้ อยู่สุดท้ายเรียกว่า " จุติจิต " นึกถึงอะไร มีอยู่ ๓ เรื่อง คือ ๑.กรรม เราทำกรรมทัง้ ดีทงั ้ ชั่ว
นึกถึงกรรมใด ในวาระสุดท้ายก็ไปเกิดตามกรรมนัน
้ ๒.ไม่ได้นึกถึงกรรม นึกถึงกรรมนิมิต เครื่องมืออุปกรณ์ในการทำกรรม เช่น ตักบาตร
นึกถึงขันข้าว นึกถึงทัพพีที่เคยตักอาหารใส่บาตร สร้างกุฏิ สร้างวิหาร เห็นกุฏิเห็นวิหาร วาระสุดท้ายจะกลายเป็ นวิมานให้เราไปอยู่ในภพภูมิ
ต่อไป ๓.คตินิมิต ฝั นเห็นล่วงหน้า เป็ นนิมิตเห็นสวรรค์ เห็นวิมาน รอรับเพื่อไปเกิดเป็ นสุขคติ ฝั นถึงภพภูมิที่จะไปเกิด

ทำให้นึกถึงเรื่องในพระไตรปิ ฎก ที่ท้าวสักกะเทวราชถามนางเทพธิดาอุบัติขน
ึ ้ ในสวรรค์ชน
ั ้ ดาวดึงส์ มีวิมานเป็ นสีทอง ท้าวสักกะถาม
ว่า เธอ ทำบุญอะไรมา นางเทพธิดาตอบว่า ดิฉันไม่ได้ทำบุญอะไรหรอก เพราะเป็ นคนยากจน ตอนที่อยู่ในโลกมนุษย์ เห็นเขาฉลองพระเจดีย์
บรรจุพระสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝั นเหลือเกินอยากไปไหว้พระเจดีย์เป็ นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ แต่ไม่มีอะไร
จะบูชา จนวันหนึ่งไปเก็บผัก จึงเห็นดอกบวบขมสีเหลืองงดงามมาก จึงดีใจมากที่จะได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้สีเหลือง จึงเก็บดอกบวบขม
๔ ดอก ตาจ้องพระเจดีย์ด้วยความศรัทธา ในขณะนัน
้ วัวบ้ามันหลุดมาวิ่งไล่ขวิดคนไปทั่ว ไม่ทันได้ระวังว่าวัวกำลังวิ่งเข้ามา เพราะจิตผูกพันกับ
พระเจดีย์มาก ทำให้วัวขวิดสิน
้ ใจ แม้ว่าตัวยังไปไม่ถึงพระเจดีย์ แต่จิตที่บูชาพระพุทธองค์นัน
้ จิตผ่องใส ทำให้ดิฉันได้มาเกิดในสวรรค์ชน
ั้
ดาวดึงส์ นี่เป็ นเรื่องที่บันทึกไว้ในพระไตรปิ ฎก ถ้าจิตแน่วแน่อะไรก็ขวางกัน
้ ไม่ได้ แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะนิพพานไปแล้วหรือมีชีวิตอยู่ ถ้าจิตของ
ผู้บูชา เลื่อมใสแน่วแน่ผลแห่งการบูชาเท่ากัน ฉะนัน
้ การที่เราไหว้พระด้วยจิตใจเลื่อมใสมีผลเท่ากันกับพระพุทธองค์มีชนม์ชีพอยู่ พระพุทธเจ้า
ตรัสว่า..."บุญกุศลเป็ นที่พึ่งในปรโลกของผู้จากโลกนีไ้ ป" เพราะ บุญเป็ นเงาเฝ้ าตามติด บุญเป็ นมิตรในทุกที่ คอยช่วยเหลือเอื้ออารี จากโรคี
ปลอดโพยภัย บุญพิทักษ์บุญรักษา บุญนำพาพบสุขใส แม้ล่วงลับดับชีพไป บุญส่งให้สู่สวรรค์สุขาวดี เป็ นที่แน่นอนว่าบุญที่เราอุทิศไปให้
น้อง............นัน
้ ย่อมจะเป็ นพลังบุญให้น้อง................ไปสู่สุคติสัมปรายภพสืบไป

ท่านทัง้ หลายที่มางานในคืนนี ้ ขอให้ได้ธรรมะในเรื่องการสู่สุคตินี ้ ติดใจกลับไปบ้านเพื่อเอาไว้ใช้สอนตัวเองต่อไป ก็จะเป็ นธัมมัสวนมัย บุญสำเร็จ


จากการฟั งธรรม แล้วอย่าลืมทำหน้าที่สุดท้ายของผู้ที่มาในงานศพ คืออุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ไปให้แก่ผู้ล่วงลับ คือเด็ก
ชาย......................................... เรียกว่าทำทักษิณานุประทาน อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ผู้วายชนม์

เพราะฉะนัน
้ ในที่สุดนี ้ อิมินา กตปุญฺเญน ด้วยอำนาจกุศลผลบุญที่เกิดจากการฟั งพระธรรมเทศนาก็ดี การถวายทานก็ดี การรักษาศีลก็ดี ขอจง
มารวมกันเป็ นตบะเดชะพลวปั จจัย อุทิศเป็ นส่วนบุญส่วนกุศลไปให้แด่เด็กชาย................... มิว่าสถิตอยู่ภพภูมิใดก็ตาม ขอให้ได้รับส่วนบุญนัน

เพื่อสำเร็จเป็ นสุขสมบัติ ทิพยสมบัติ ในสัมปรายภพ สมดังเจตนาปรารภของท่านเจ้าภาพทุกประการ

รับประทานแสดงพระธรรมเทศนาในสุคติกถา พอสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติ ยุติลง คงไว้แต่เพียงเท่านี ้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี ้

You might also like