Professional Documents
Culture Documents
Yoga Saratta - May 2552 (Vol.0905)
Yoga Saratta - May 2552 (Vol.0905)
คุยกันกอน 2
ปฏิทินกิจกรรม 2
โยคะวิวาทะ 3
เรื่องประจําฉบับ 5
ชีวิตกับความตาย 5
เลงเลาเรื่อง 7
จิตสิกขา 9
เกร็ดความรูโยคะ 10
แนะนําหนังสือใหม 13
ตําราโยคะดั้งเดิม 14
สถาบันโยคะวิชาการ มูลนิธิหมอชาวบาน
201 ซอยรามคําแหง 36/1 บางกะป กทม.10240
โทรศัพท 02 732 2016-7, 081 407 7744
โทรสาร 02 732 2811
อีเมล yogasaratta@yahoo.co.th
เว็บไซท www.thaiyogainstitute.com
สิ่งตีพิมพ
0905 1
สวัสดีครับ ขณะเขียนตนฉบับนี้ สายฝนกระหน่ําลงมาอยางชุมฉ่ํา สับสนเหมือนกันวา ตกลงภาคกลางของประเทศ
ไทยมีกี่ฤดู ฤดูรอนมันหมดเดือนไหน แลวฤดูฝนมันเริ่มเดือนไหน?
สถาบันฯ ทําการปรับปรุงเวบไซท เรานํา สารัตถะ ขึ้นเวบ ใหดาวนโหลดไปอานกันไดเลย พวกเราที่เปนสมาชิกรับจุล
สารนี้ทางไปรษณีย หากมีโอกาสลองแวะเขาไปดูบางนะครับ ใครที่ตั้งใจจะหัดใชอินเตรเนท ลุยเลยครับ ไมตองอิดเอื้อน ใหลูก
เราสอนนี่แหละ สะดวกสุด เทคโนโลยีเหลานี้ เปนเครื่องมือชวยการทํางานเผยแพรโยคะของเราไดเปนอยางดี นี่อีกไมนาน
ขอมูลขาวสารมันจะไปอยูบนโทรศพทมือถือกันหมดแลวนะ บางคนยังใชพีซีไมคลองเลย ☺
เมื่อ 2 วันกอน ทางหมอชาวบาน องคกรตนสังกัดเรา เปรยขึ้นมาวา สถาบันฯ ก็ดําเนินกิจกรรมตางๆ พอสมควรนะ
ทํากันทุกภูมิภาคเลย แตคนไมคอยรูขาวคราว ความเคลื่อนไหว เทาไร ชวนวาใหเราเขียนเปนขาว เลาเรื่อง เพื่อไปลงนิตยสาร
หมอชาวบาน กําลังนัดจะไปคุยรายละเอียด แลวจะรีบมาแจงพวกเรา เหลาเครือขายโยคะทั้งหลาย ผมวาดีนะ ถาสังคมรับรู
ความเปนไปของโยคะเชิงวิชาการที่พวกเรากําลังทํากัน ก็จะมีความเขาใจในแกนของโยคะมากขึ้น และ ที่สําคัญ เราจะไดมีแนว
รวมผูสนใจในการพัฒนาจิตมากขึ้นดวยไง
0905 2
ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน
วิวาทะวาดวย “สูรยนมัสการ”
วิวาทะในภาษาสันสกฤตมาจากคําวา วิ ซึ่งมาจากคําวา “วิเศษ” แปลวา “เฉพาะ พิเศษ” รวมกับคําวา วาทะ ซึ่งแปลวา “คําพูด ถอยคํา
(การแสดง)ความคิดเห็น”
คอลัมน “โยคะ-วิวาทะ” จึงเปนเชนเวทีสาธารณะใหผูอานโยคะสารัตถะรวมทั้งผูที่เขาชมเว็บไซตของสถาบันโยคะวิชาการทุกทาน ไดบอก
เลาหรือแลกเปลีย่ นแงคิดมุมมอง ความเห็น และประสบการณเกี่ยวกับ(การฝก)โยคะในทุกๆ มิติ อีกทั้งยังมุงหมายใหเปนพื้นทีใ่ นการปุจฉาวิสัชนา
ประเด็นตางๆ เกี่ยวกับโยคะดวย
กองบรรณาธิการโยคะสารัตถะและสถาบันโยคะวิชาการขอเชิญชวนทุกทานเขียนมาบอกเลาแลกเปลีย่ นมุมมองและประสบการณเกี่ยวกับ
โยคะ หรือหากมีขอสงสัยใดๆ ก็สามารถถามไถได เพื่อใหเพื่อนพองนองพี่ในแวดวงโยคะไดรวมกันวิสัชนาในปุจฉาที่ทานถามไถไป
การ “วิวาทะ” และ “ปุจฉา-วิสัชนา” ในวงกวางนาจะมีสวนชวยขยายมุมมองและความรับรูที่มีตอโยคะใหลึกซึ้งและรอบดานขึ้น
คงไมผิดนัก หากจะบอกวา “โยคะ-วิวาทะ” คือคอลัมนใหผูที่สนใจในโยคะผลัดกันเขียนเวียนกันอาน เพื่อให “สายธารแหงโยคะ” ไหล
เลื่อนเคลื่อนไปอยางถวนทั่วและสืบเนื่อง
“มีครูโยคะทานหนึ่งบอกวาสูรยนมัสการไมใชอาสนะ คุณหมอคิดวาอยางไรครับ”
เย็นย่ําวันหนึ่งของเมื่อหกปกอน กัลยาณมิตรรุนพี่ที่สนิทกับผม ซึ่งชวนเพื่อนพองนองพี่กลุมเล็กๆ มาแลกเปลี่ยนเรื่อง
การฝกอาสนะกันมาระยะหนึ่งแลว ถามคําถามนี้หลังจากเสร็จสิ้นการฝกอาสนะในวันนั้น
พลันที่ฟงคําถามจบ ผมคิดออกามาดังๆ ตั้งแตฝกอาสนะมาผมไมเคยนึกสงสัยวาสูรยนมัสการเปนอาสนะหรือไม
หลังจากครุนคิดอยูครูหนึ่ง ผมตอบคําถามดวยการยอนถามวา มันขึ้นอยูกับวาเราใหคําจํากัดความของอาสนะวาอะไร
และเพราะเหตุใดครูทานนั้นจึงมองวาสูรยนมัสการไมใชอาสนะ
แกบอกวาครูใหเหตุผลวาสูรยนมัสการไมใชอาสนะ เพราะอาสนะจะตองนิ่ง ในขณะที่สูรยนมัสการจะมีการเคลื่อนไหว
อยูตลอด
ผมก็เลยบอกวา ถาคิดวาอาสนะจะตองเปนการหยุดนิ่งอยูในทวงทา สูรยนมัสการก็ยอมไมใชอาสนะอยางที่ครูวา
จากนั้นผมจึงแลกเปลี่ยนมุมมองของตัวเองวา เวลาเราคางอยูในอาสนะ อาจดูเหมือนวา เราหยุดนิ่งอยูในทวงทานั้นๆ
ทวาหากสํารวจใหลึกลงไป ผมคิดวายังคงมีการเคลื่อนไหวอยูนั่นเอง
อยางนอยๆ ก็ยังมีการหายใจเขา-ออก ซึ่งหมายถึงวาโครงสรางรางกายสวนที่เกี่ยวของกับการหายใจตองขยับเขยื้อน
ไปตามจังหวะการหายใจ
ไมนับการคอยๆ เหยียดยืดรางกายมากขึ้นในการหายใจรอบตอไป เพื่อที่จะเขาถึงทวงทาใหลึกซึ้งขึ้น
อยาวาแตจะกอเกิดเปนอาสนะหนึ่งได ใชหรือไมวาเราตองเคลื่อนไหวรางกายสวนตางๆ ที่จะทําใหไปสูอาสนะนั้นได
เชน จะทําอุตตานาสนะ 1 เราจะตองเริ่มจากการยืนตรง ยกแขนขึ้น จากนั้นจึงเหยียดยืดรางกายดานหลังโดยการกมไปขางหนา
กระทั่งหลังจากคางอยูในทากมตัวนานเทาที่ตั้งใจแลว ก็ตองยืดตัวขึ้นกลับสูทายืนตรงอีกครั้ง
สําหรับผม อาสนะจึงไมใชการหยุดนิ่งอยางสมบูรณ หรือไรการเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง พูดใหถึงที่สุด ตราบใดที่ชีวิตยัง
ดํารงอยูหรือสืบเนื่องตอไป ตราบนั้นยังคงมีการเคลื่อนไหว ไมวาจะในการฝกอาสนะหรือในกิจกรรมตางๆ ในชีวิต
บางการคลื่อนไหวเปนการเคลื่อนไหวของโครงสรางภายนอกที่มองเห็นหรือรูสึกไดชัดเจน ในขณะที่บางการ
เคลื่อนไหวก็เปนการเคลื่อนไหวภายในที่ละเอียด
อยางเชนในการฝกอาสนะ คงไมมีใครปฏิเสธวา มาจากการขับเคลื่อนของจิตใจที่ตองการจะทําอาสนะ จากนั้นรางกาย
จึงเคลื่อนไหวตามเจตจํานง พรอมๆ ไปกับการหายใจที่สอดคลองกับทิศทางการเหยียดยืดสอาสนะนั้นๆ
เมื่อถึงอาสนะปลายทาง เราจึงนิ่งคางอยูในทวงทานั้น กอนจะเคลื่อนไหวกลับสูทาเริ่มตนอีกครั้ง
1
อุตตานาสนะ มาจาก อุต แปลวาเต็มที่ ตานะ แปลวา เหยียดยืด และอาสนะ แปลวา ทวงทา อุตตานาสนะจึงหมายถึงทวงทาที่รางกายเหยียดยืดอยางเต็มที่ แตใน
การฝกอาสนะ อุตตานาสนะจะใชเรียกทายืนกมตัว นอกจากนี้คําวาอุตตานาสนะยังสามารถนําไปตอทายคําอื่นๆ เพือ่ แสดงนัยถึงการเหยียดยืดรางกายอยางเต็มที่
เชน ปารศวอุตตานาสนะ ใชเรียกทายืนกมตัวที่เหยียดยืดรางกายทีละขาง เปนตน
0905 3
พูดอีกอยาง ผมคิดวาอาสนะหาใชทวงทาสุดทายของอาสนะนั้นๆ หากเปนกระบวนการหรือการกระทําแหงการ
เคลื่อนไหวที่ตอเนื่อง โดยมีการประสานสัมพันธกันของรางกายทั้งภายในภายนอก ลมหายใจ และจิตใจ
หัวใจของการฝกอาสนะจึงอยูที่การเคลื่อนไหวไปสู ดํารงอยู และออกจากอาสนะ โดยใหรางกาย ลมหายใจและจิตใจ
ประสานกลมกลืนกัน
หรือจะบอกวาทําใหเสนใยแหงรางกาย ลมหายใจ และจิตใจ ควั่นกันเปนเสนดายที่ราบเรียบไปตลอดเสนสายของ
อาสนะก็คงไมผิดนัก
ขอกลับมาที่ประเด็นที่ผมมองวา อาสนะคือกระบวนการของการเคลื่อนไหวที่ตอเนื่องอีกที เวลาที่เรานิ่งคางอยูใน
อาสนะ อาจกลาวไดวาในระหวางการเคลื่อนไหวที่ตอเนื่องนั้น รางกายอาจรั้งอยูในบางตําแหนงแหงที่ – นานกวาการเขาสูและ
ออกจากทวงทา จนดูราวกับวาหยุดนิ่งไมเคลื่อนไหว
ทวาที่จริงแลวยังคงมีการเคลื่อนไหวอันละเอียดดําเนินอยูภายใน หรือจะบอกวาในความนิ่งมีความเคลื่อนไหวก็คงไม
ผิดนัก
ในทํานองเดียวกัน ระหวางที่เราเคลื่อนไหวไปสูและออกจากอาสนะ หรือฝกอาสนะในลักษณะของการเคลื่อนไหวที่
ตอเนื่อง เชน หายใจเขา(หรือออก)พรอมกับเคลื่อนไหวไปสูอาสนะ จากนั้นหายใจออก(หรือเขา)พรอมกับออกจากอาสนะนั้น
กลับสูทวงทาเริ่มตน โดยไมคางอยูในอาสนะนั้น หรือเคลื่อนไหวจากอาสนะหนึ่งไปสูอีกอาสนะหนึ่งอยางตอเนื่อง หากการ
เคลื่อนไหว ลมหายใจและจิตใจหลอมรวมหรือประสานกันอยางกลมกลืน ก็อาจเรียกไดวาในความเคลื่อนไหวมีความมั่นคง หรือ
ความนิ่ง – ในแงที่รางกาย ลมหายใจ และจิตใจยังคงเกาะเกี่ยวกันอยูอยางแนบสนิท
ดวยมุมมองอยางที่กลาวมา ผมจึงคิดวาการทําสูรยนมัสการก็เปนเฉกเชนเดียวกับการทําอาสนะ นั่นคือสูรยนมัสการก็
คือกระบวนการหรือการกระทําแหงการเคลื่อนไหวอยางตอเนื่อง ที่ถูกจุดประกายจากเจตจํานง และมีการประสานสัมพันธกับ
โครงสรางทั้งภายนอกภายในและลมหายใจ
เพียงแตวาในสูรยนมัสการ เราไมรั้งอยูในอาสนะใดอาสนะหนึ่งเทานั้น หรือพูดอีกอยางวาในสูรยนมัสการ เราอาจตอง
คนหาและเขาถึงความสงบนิ่งภายในทามกลางการเคลื่อนไหวของรางกายภายนอก
ในขณะที่เวลาคางอยูในอาสนะใดอาสนะหนึ่ง เราอาจคนพบและเขาถึงการเคลื่อนไหวภายในอันประณีต
แตพูดก็พูดเถอะ ผมไมเคยนึกสงสัยวาสูรยนมัสการเปนอาสนะหรือไม แมจะถูกถามไถดวยคําถามเดียวกันนี้อีก
มากกวาหนึ่งครั้ง ผมก็ยังคงไมติดใจในประเด็นนี้อยูนั่นเอง
ตอนที่ถูกถามเรื่องนี้ในคราวหลังๆ ผมกลับอดกังขาไมไดวา คําตอบสําหรับคําถามวาสูรยนมัสการเปนอาสนะหรือไม
มันนําเราไปสูอะไรกระนั้นหรือ
ใชหรือไมวา ตอใหเราอยากรูวาสูรยนมัสการเปนอาสนะหรือไม และรูวามันเปนอาสนะหรือไม ไมวาจะจากมุมมองใด
หรือจากคําจํากัดความของอาสนะแบบไหน ถึงที่สุดแลว เราควรฝกสูรยนมัสการโดยใหมีการประสานกันอยางกลมกลืนระหวาง
รางกาย ลมหายใจ และจิตใจ ซึ่งคือความหมายของโยคะอยางหนึ่ง
ซึ่งเปนทิศทางอยางเดียวกับการฝกอาสนะที่ผูฝกพึงมุงไปนั่นเอง
0905 4
ไดมองเห็นและซึมซับอยูกับฉากของธรรมชาติและปรากฏการณรอบตัว ทําใหผมนึกเปรียบเทียบกับเรื่องของอาสนะ
และสูรยนมัสการที่ตัวเองครุนคิดและเขียนออกมา
เครื่องบินบินอยางราบเรียบจนรูสึกราวกับวามันลอยนิ่ง ทั้งที่มันยังคงเคลื่อนไปดวยความเร็วสูง ไมนับการเคลื่อนไหว
ที่เกิดขึ้นภายในตัวเครื่องตลอดเวลา ดูแลวไมตางกับการทําอาสนะที่เราพึงเขาถึงความสงบนิ่งในทามกลางการเคลื่อนไหว
นึกไมถึงวาเดินทางไปดูไบเปนครั้งแรก ผมไดเห็นเครื่องบินทําวิมานาสนะกับตาและหัวใจ
โยคะทาไหน จะ ... ?
John Kimbrough เขียน ธํารงดุล แปล
แปล และเรียบเรียงจาก Yoga and Total Health Vol.LIV No.4 November2008
เมื่อ 2-3 ปกอน ผมไดรับเชิญมาออกรายการโทรทัศนที่กรุงเทพฯ เพื่อสนทนาเกี่ยวกับโยคะ ซึ่งออกอากาศเปนเวลา
30 นาที ชวงหลังอาหารกลางวัน สําหรับผูชมที่มีเวลาอยูบานชวงนั้น ซึ่งเปนประสบการณที่สนุกและนาสนใจ
พิธีกรรายการเปนสาวไทยหนาตานารักอายุราวสามสิบตนๆ ซึ่งเคยเปนดาราภาพยนตรมากอน เมื่อเราถกกันถึงเรื่อง
โยคะ กอนหนาที่จะบันทึกเทปรายการ เธอถามผมเกี่ยวกับโยคะวา “โยคะทาไหนที่จะทําใหคงความสวยไวไดคะ ?“
จากการอาศัยอยูในประเทศไทย และความเขาใจในอาชีพของเธอ ทําใหผมไมแปลกใจเลยที่เธอถามผมแบบนั้น แตนา
เสียดายที่คําตอบของผมไมไดทําใหเธอพอใจสักเทาไร ผมบอกเธอวาสิ่งที่เธอตองการไมสามารถเกิดขึ้นไดจากโยคะเพียงทา
เดียว หลังจากนั้นเธอดูจะหมดความสนใจตอผมและโยคะไปเลย ผมมักจะถูกถามดวยคําถามเดียวกันในประเด็นเรื่องความงาม
ทั้งจากคนไทยและคนจีนในประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่นๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต
คําถามประเภทนี้บงบอกถึงความยึดติดที่แตกตางกันไปของแตละคน แสดงใหเห็นวาคนเราใหความสําคัญกับสิ่งใดใน
ชีวิต ซึ่งเปนเหมือนกันทั้งที่นี่และประเทศในแถบตะวันตก
หลายครั้งแตละคนตองการรูวามีทาหรือเทคนิคใดที่เฉพาะเจาะจงที่จะแกปญหาที่มีหรือใหเกิดผลอยางที่ตองการ
ความจริงแลวในโรงเรียนหฐโยคะรุนใหมมีการปราศรัยถึงประเด็นเหลานี้ลึกลงไปในรายละเอียด โดยมุงเนนในแงของ
รางกาย และจิตใจ แตโยคะเปนศาสตรแบบองครวมทั้งในแงของวิทยาศาสตรและการปฏิบัติ ซึ่งลึกซึ้งกวาจะพูดถึงเพียงแงของ
ผลที่ตรงกับความตองการ โดยเฉพาะอยางยิ่งถาเรื่องนั้นดูเหมือนกับวาจะปราศจากประโยชน
เราเริ่มลองดูถึงการปฏิบัติโยคะ ที่ไมใชเพียงแคทําทาไหนแลวจะทําใหเกิดผลอยางนี้ หรืออยางนั้น แตเราสนใจวาเรา
ไดเรียนรูและทําอะไรบางในวันนี้ที่จะเติมเต็มชีวิตใหกับเราหรือผูอื่นแทน ซึ่งมีแนวทางที่หลากหลายที่เราสามารถที่จะทําได
ทางหนึ่ง คือการแบงปนสิ่งที่เราไดเรียนรูจากการฝกฝนโยคะของเรา อีกทางหนึ่งมาจากการชี้แนะถึงที่มาและตนทุน
ภายในของแตละคนที่จะชวยใหเขาสามารถคนหาและสรางแนวทางการฝกฝนเฉพาะตัว สวนอีกทางหนึ่งมาจากความชวยเหลือ
จากพวกเราที่จะรับฟง ใหคําแนะนํา และเสริมสรางกําลังใจ
มีหลายทางที่เราสามาถทําไดในชีวิตประจําวันที่จะรัก และอยูรวมกับผูอื่น อยางผาสุก แลวโยคะทาไหนที่ดีที่สุด
สําหรับเรา การไดรับในสิ่งที่เราตองการ? อะไรคือสิ่งที่เราตองการละ? ความสมดุล ความผสานกลมกลืน และสันติภาพ? การ
มองเห็นจากภายใน การเจริญเติบโต และ ความเขาใจ? ความผอนคลาย ความมั่นคง และ ความสงบเยือกเย็น? ความไม
เปลี่ยนแปลง พลังงาน และ ความจดจอ? จิตใจที่เต็มเปยม และความสุข? เหลานี้คือสิ่งที่เราควรจะไดรับทั้งหมด
ดล เกตนวิมุต
บทที่ 6
“เขาใจความเปนจริงของชีวิตจากความตาย”
ในการลงพื้นที่ฝกงานดูแลผูปวยทางดานจิตใจ ไดมีโอกาสพบกรณีศึกษาของครอบครัวหนึ่งที่มีลูกปวยอยูในระยะ
สุดทายในหอง ICU คุณพอมีตองการการตอบสนองของลูกวัย 12 ที่อยูหอง ICU ที่ไดมีโอกาสเขาไปเยี่ยมลูกตามที่ไดรับ
0905 5
อนุญาต ดวยความเปนหวงในอาการของลูกที่เปราะบาง ออนเพลีย คุณพอมักจะถามลูกวาสูไหม สูไหมลูก ถาสูยักคิ้วใหพอ
หนอย เมื่อเราเห็นวาควรทําหนาที่เปนกระจกสะทอนใหคุณพอเห็นวาความเปนจริงที่เกิดขึ้นวา นองนาจะเหนื่อย ลืมตายังไม
ขึ้นเลย จึงไดชวนคุณพอคิดถึงคําถามที่ตองการคําตอบจากนอง อาจไปเพิ่มภาระ หรือรบกวนเวลาพักของนองหรือเปลา ดังนั้น
เราอาจเปลี่ยนคําถามเปนการใหกําลังใจซึ่งกันและกันแทนวา สูนะลูก พอสูอยูขาง ๆ กับลูกนะ เปนความหมายเดียวกัน ตางกัน
ที่เปนประโยคคําถามแลวตองการคําตอบ กับเปนประโยคบอกเลาใหกําลังใจผูปวย และใหกําลังผูพูดใหเขมแข็งไปดวย คุณพอ
คุณแมรูสึกขอบคุณมาก ในฐานะที่เราไปชวยเปนกระจกสะทอนใหเห็นวา กรณีนี้ ผูดูแลและผูปวยใกลกันมากจนเกินไป
ตองการการตอบสนองในเวลาที่อาจรบกวนการพักผอนของผูปวย สุดทายหลังจากนั้นไมกี่วัน นองไดผานชวงเวลาอันสําคัญ
ที่สุดของชีวิตอยางงดงามเทาที่เด็กอายุ 12 คนหนึ่งจะมีได สัญญาณชีพของนองดับลงในทันทีที่เสียงสวดมนตสุดทายโดย
พระคุณเจาที่ทานดูแลนองมาแตตนจบลง ทําใหพื้นที่ของความเสียใจอยางใหญหลวงไมไดครอบคลุมหัวใจที่แตกสลายไป
ทั้งหมดแตยังมีพื้นที่พิเศษที่เปนมรณกรรมอันงดงามของลูกใหไดเห็นตอหนาตอตาเก็บไวเปนความทรงจําที่ดีตอพอแมทั้งตอน
ที่วินาทีแรกที่แกลืมตาดูโลก และวินาสุดทายที่แกปดเปลือกตาลง
ในตอนเชาถัดจากวันที่นองจากพวกเราไป ขาพเจาไดมีโอกาสไปชวยรับศพนองกับพระคุณเจาเพราะทานมีความ
ประสงคจะนําศพนองกลับบานที่จังหวัดตราดตามที่คุณพอคุณแมไดนิมนตทานใหชวย เมื่อไปถึงที่รับศพ เห็นสภาพศพนอง
สวยงาม ใบหนาดูสงบ ในชวงตอนรับศพผานพิธีกรรมจุดธูปบูชาพระรัตนตรัย นิมนตพระคุณเจาสวดบังสุกุล จุดธูปขอทางเจาที่
เจาทาง เรียกวิญญาณใหตามพระไป ตลอดทางดูแลตะเกียงไมใหดับ ระหวางทางพอแมโปรยเหรียญเมื่อผานสะพาน ทางโคง
ขอเจาที่เจาทาง ถึงทางแยก เลี้ยวซาย เลี้ยวขวาใหบอกตลอดทางจากกรุงเทพ-ตราด ชวงเวลาที่อยูในรถตู พระคุณเจานั่งหนาคู
คนขับ พอแมปานั่งเบาะแถวแรก และมีเกาอี้ 1 ตัวอยูขา งโลงศพของนอง เปนที่ที่ขาพเจานั่ง เมื่อรถเริ่มเคลื่อน พอแมจะเหลียว
หลังมาดูลูกตลอดเปนระยะ ๆ ดวยความที่รถขับเร็วมากดวย และทุกครั้งที่ผานแยก เลี้ยวซายขวา ขึ้นสะพาน ผานอุโมงค จิตใจ
พอแมจะจดจออยู เหลียวหนา พะวงหลัง ตลอดเวลา ขาพเจาจึงเอามือขางขวาวางไวบนโลง เหมือนคอยประคองไวและนั่งอยู
ในอาการสงบตลอดทาง รูสึกพอแมอุนใจขึ้นบาง มีพระนําทาง มีคนประคองหลัง ตอนนั้นไมตองมีคําพูดใดใดมาปลอบประโลม
เพียงแตใหอยูกับเขาขาง ๆ ในสิ่งที่เขาเปน นั่นคือ เหรียญที่เตรียมมาเริ่มหมด เพราะระยะทางไกลมาก ขาพเจาสังเกตเห็น
อาการวิตกกังวลของคุณพอ เริ่มคํานวณวาเหรียญจะพอไหม ขาพเจาจึงหาเหรียญในกระเปาที่มีทั้งหมดสมทบไปให ที่ใหไป
ไมไดเชื่อตามความเชื่อวาโปรยใหเจาที่เจาทางเพื่อขออนุญาตใหศพผาน แตใหไปเพราะเขาใจตามความเปนจริงในสิ่งที่พอแมผู
สูญเสียลูกในตางถิ่น ที่ไมใชบานเกิดเมืองนอน แลวตองทุลักทุเลนําลูกนําลูกกลับบานในสภาพที่ไมมีชีวิตดวยหัวใจอันปวดราว
จนกระทั่งการเดินทางสิ้นสุดลงที่บานเปนไปตามความประสงคของนองที่พอไดสัญญาไววาจะพากลับบาน คุณพอจึงทําพิธี
บําเพ็ญกุศลศพลูกที่บาน ไดมีโอกาสไดสัมผัสขาวของเครื่องใช รูปถาย หองนอน ของนองเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู และเมื่อมีโอกาส
คุยพอไดคุยเรื่อยพิธีกรรม ความเชื่อ ในเรื่องการโปรยเหรียญกับพระคุณเจาจนคุณพอมีความเขาใจในที่สุด เพราะตอนนั้นใคร
ใหทําอะไรก็ทําตาม ๆ ที่เขาบอก ทําใหเกิดกระบวนการปรับทัศนคติเกี่ยวกับความตาย โดยพระคุณเจาทานไดชวนคิดวาการที่
โปรยเหรียญไปตามทางแยก ทางโคง ขึ้นสะพานเปนกุศโลบายที่เปนการเตือนตัวไมใหประมาท จะไดเดินทางถึงบานโดยสวัสดิ
ภาพ ขาพเจาเห็นเพิ่มเติมในเรื่องของพิธีกรรมความเชื่อหากเรามองวาเปนกุศโลบายที่ภูมิปญญาโบราณมอบไวใหนั่นคือ ใน
ตลอดทางเกือบ 4 ชั่วโมง พื้นที่ของความเสียใจไดถูกแบงเบาไปกับการที่คุณพอคุณแมไดมีสติจดจอกับถนนหนทาง บดบัง
พื้นที่ของความเจ็บปวดจากความสูญเสียใหเบาบางลงไดบาง สิ่งที่ไดเรียนรูอีกอยางคือ จิตใจของขาพเจาไดถูกขัดเกลา ความ
อยากได อยากมี ปลงในความเปนอนิจจังมากขึ้น
จากกรณีที่เราเห็นถึงความใกลกันระหวางผูปวยกับญาติกันมากเกินไป ก็มีกรณีที่เห็นถึงความหางกันมาก ๆ ของ
ผูปวยกับญาติดวยเชนกัน คุณยายทานหนึ่งใชชีวิตอยูตัวคนเดียวมาตลอดจนกระทั่งมีอาการปวยและทรุดลงจนอยูในขั้นสุดทาย
จึงถูกนําตัวสงโรงพยาบาล มีลูกสาวที่อยูตางประเทศแตไมมีความผูกพันกันเพราะแยกกันอยูตั้งแตเด็ก ๆ เมื่อทราบวาแมปวย
ระยะสุดทายแลวก็ไดบินกลับมาทําหนาที่สุดทายที่พึงทําดวยจิตสํานึกตอผูใหกําเนิด สําหรับขาพเจาแวบแรกที่รูสึกขึ้นมาจาก
การที่ไดพบคุณยายครั้งแรก คือรูสึกตกใจเพราะไมคิดวาจะมีมนุษยที่ยังมีลมหายใจอยูแตสภาพรางกายนาทุกขเวทนาไดถึง
เพียงนี้ หากจะใหเทียบสิ่งที่เห็นตรงกับความรูสึกจริง ๆ คงตองบอกวาเหมือนเห็นซากศพที่ยังมีลมหายใจอยูอยางรวยริน
รางกายเหี่ยวยน ดํา นันยตาเหลือกเปนระยะ ๆ กลามเนื้อใบหนาเกร็งตัวบงบอกถึงอาการวิตก กังวลใจอะไรบางอยางอยู
ตลอดเวลา พูดไมได ไดแตรองเสียงครางในลําคอ ฟนบนยื่นออกมาครอบริมฝปากลาง มือขวาจับราวเตียงไวแนน และมีลูกอยู
0905 6
ขางเตียง ขาพเจาเขาไปพูดคุยใกล ๆ ดวยความออนโยน คุณยายอยากสื่อสารดวยไดแตสงเสียงคราง ๆ ใบหนาสะทอนถึง
ความหวงวิตกกังวลบางอยางใหเห็นตลอดเวลา จึงชวนลูกสาวคุณยายคุยถึงอาการหวงวิตกกังวังวลของคุณยายที่ปรากฎอยาง
ชัดเจน ลูกสาวก็รูสึกเหมือนกัน ที่ผานมาก็ไดแตพูดปลอบบอย ๆ เหมือนกันวาไมตองหวงนะ ไมตองหวงอะไรทั้งสิ้น ทําใจให
สบาย แตก็ไมเห็นอาการวิตกกังวลลดลงเลย ก็เลยลองถามวาคุณยายนาจะหวงอะไรอยู ลูกสาวพยายามนึกก็ไมเห็นมีอะไร
ทรัพยสมบัติก็ไมมี ก็มีแตบานที่แมเคยอยู กับแมวที่เลี้ยงไว ขาพเจาจึงชวนลูกสาวคุณยายเลาใหคุณยายเห็นเปนภาพวาที่บาน
ใครดูแลทําความสะอาด ใครรดน้ําตนไม ใครคลุกขาวใหแมวกิน ลองคลี่คําวาไมตองหวงใหคุณยายมองเห็นเปนภาพชัดเจนมาก
ขึ้น ลูกสาวรับคําวาไวจะลองคุยดู ขาพเจาไมรอชาชวนลูกสาวลองทําเดี๋ยวนี้เลยดีไหม ปรากฎวาเห็นผลทันทีตอหนาตอตากับ
สิ่งที่เรียกวากรรม หรือการกระทํา ใบหนาคุณยายผอนคลายลงทันที สงบลง มือที่จับราวเตียงปลอยวางลง สงเสียงตอบรับ
แสดงการรับรู ลูกสาวแสดงความขอบคุณขาพเจาทั้งที่ขาพเจาไมไดทําอะไรเลย เราอยูตรงนั้นในฐานะแคเปนกระจกสะทอน
ความเปนจริงแลวพลิกใหเห็นศักยภาพทั้งตัวผูปวยและผูดูแลในอันที่จะปลดเปลื้องงานคางใจเพื่อจะไดมีโอกาสทําตามหนาที่
อยางสมบูรณ และเห็นทิศทางการเยียวยาซึ่งกันและกัน หลังจากนั้นไมกี่วันคุณยายก็จากไปตามวาระของชีวิต
ล.เลงเสียงกระดิ่งหยก (ไมใชมังกรบิน)
เรา (ยัง) มีทางเลือก
๑. ปวดหัว
ก. กินยาพาราฯ ๒ เม็ด ดื่มน้ําตาม ในกรณีรีบดวน
ข. ไปสระผมที่รานตัดผม ปลอยใหมือนุมๆ ของชางสระผม ดําเนินการปลดปลอยความเครียด และ อาการเกร็งตัวของ
กลามเนื้อ เสนเลือด เสนประสาท...ใหคลายออก ใหน้ําเย็นๆ ชําแรกผานเสนผมไปยังหนังศีรษะ ปลอยตัว...ปลอยใจ
ใหสบาย (ราคาไมเกิน ๑๐๐ บาท)
ค. ไปนวดหนาที่รานเสริมสวย หรือที่เคานเตอรเครื่องสําอางในหางสรรพสินคา แลวแตวาที่ใดจะใกลกวา (ที่หางเอมพอ
เรียม สุขุมวิท ๒๔ มีหองนวดหนาเฉพาะ อยูที่ชั้นใตดิน) เผลอๆ ไดหลับไปสัก ๑ งีบ กอนกลับมาโหมงานที่นอนรอ
เปนตั้งอยูบนโตะทํางาน (ราคาก็เปนไปตามยี่หอ เครื่องสําอาง ถาเปนคลาเร็นของฝรั่งเศส ก็แพงหนอย แตหอมดี
คนขายเอสเต ลอเดอรก็นวดเกง แตถาเจอคนขายที่นวดไปก็พูดไป...ไมยอมหยุด...ก็แยหนอยนะ)
ง. นั่งรถไฟฟา ไปหาหมอจีนชื่อหยาง ฉวน หยวน ที่ รพ.หัวเฉียว – แผนจีน ตรงขามตลาดโบเบ นวดหัว - บา - ไหล
แลวเอางานที่คางอยูกลับไปทําตอที่บาน โชคดีไดเจานายใจดี ใหสงงานกลับมาทางอีเมลl ได (ราคา ๕๐๐ บาท
โดยประมาณ)
จ. เอาใบยานาง(ที่กินกับหนอไม) และ ใบหมอนอย (ใบรูปหัวใจ มีขน) ขยํากับน้ําเปลา แลวเอาน้ําที่ไดมาโปะหัว...ทา
ผมใหทั่วๆ...เอาผาคลุมผม จากนั้นไปนอนพัก ๓๐ นาที กากที่เหลือเอามาโปะหนาผาก หรือที่เปลือกตา (ถามีตนไม
ทั้ง ๒ อยูในบานแลว ก็ไมเสียเงินสักบาท ...ถาไปซื้อที่ตลาดมีแตยานางกําละ ๕ บาท หมอนอยไมมีขาย...ถาหาอะไร
ไมไดเลย เอาแตงกวา กับผักบุง..ตําเอา หรือใสเครื่องปนก็นาจะได...ยังไมเคยใช...ใครใชแลวชวยมารายงานผลดวย)
อยากศึกษาธรรมะ จะเริ่มยังไง?
กวี เรียบเรียง
มีคําถามเขามาจากเพื่อน อยากศึกษาธรรมะ และฝกวิปสสนา จะเริ่มยังไง? ผมลองเสนอดังนี้
เมื่อตอนที่เราสนใจที่จะดูแลตนเอง มีประกาศเรื่องการอบรมโยคะเต็มไปหมด เราเริ่มสนใจโยคะละ ก็หาหนังสือมา
อาน บางทีไปสัมนาตางจังหวัด เขาฝกโยคะกัน เราก็ไปรวมฝก ไปลองชิม จนบอกกับตัวเองวา เออ ชอบแฮะ คราวนี้ก็ศึกษา
จริงจัง ตัดสินใจเลือกคอรสอบรมที่นาจะเหมาะกับตัวเอง ไปเรียน กลับบานก็ฝกสม่ําเสมอ เริ่มใหความสําคัญกับโยคะมากขึ้นๆ
จนเริ่มนําโยคะมาเปนตัวตั้งในชีวิต จะตัดสินใจอะไร โยคะมากอน อยางอื่นไวทีหลัง สนใจโยคะมากขึ้น ขวนขวายศึกษามากขึ้น
ไปอบรมเพิ่มเติม ยิ่งถาเจอครูที่ถูกคอ ยิ่งกาวหนา พบวาตนเองมีพัฒนาการเชิงกาวกระโดดเปนชวงๆ จนโยคะกลายเปนนิสัย
หลักของชีวิต และก็ดําเนินวิถีโยคะตอเนื่องไป ... (จนกวาจะถึงโมกษะมั้ง)
เมื่อสนใจที่จะพัฒนาจิตก็เชนกัน ในสังคมมีพระผูปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเต็มไปหมด อยูมาวันนึง เราเริ่มสนใจ ก็เริ่มหา
ขอมูล คุย อานหนังสือ ฟงซีดี อาจมีโอกาสไดปฏิบัติธรรมกับเขาบาง จนบอกกับตัวเองวา เออ นาสนใจแฮะ นาจะมีประโยชน
กับชีวิตเรานะ คราวนี้ก็เริ่มศึกษาจริงจัง หาแนวทางปฏิบัติที่นาจะเหมาะกับตนเอง (ซึ่งจะกลาวตอไป) แลวก็เริ่มฝก เริ่มให
ความสําคัญกับการพัฒนาจิตมากขึ้น จนเอาการปฏิบัติธรรมมาเปนตัวตั้งของชีวิต จะตัดสินใจทําอะไร ใหสิทธิ์การพัฒนาจิต
0905 9
กอน อยางอื่นเริ่มผัดผอน ถาชนกัน ตองติดทิ้งก็ยอม สนใจพัฒนาจิตมากขึ้น ขวนขวายศึกษามากขึ้น อบรมเพิ่มเติม ยิ่งถาเจอ
พระ เจอหนังสือ เจอศูนยปฏิบัติธรรมที่ถูกคอ ยิ่งกาวหนา พบวาตนเองมีพัฒนาการเชิงกาวกระโดดเปนชวงๆ จนการพัฒนาจิต
กลายเปนนิสัยหลักของชีวิต ยึดวิถีธรรมเปนเครื่องดําเนินไปอยางตอเนื่อง ในระหวางนั้น เกิดฉุกใจ นี่เราประมาทอยูหรือเปลา
เมื่อไตรตรองอยางถี่ถวน โอ เราประมาทมาก ก็เรงความเพียร จนกวาจะถึงนิพพาน
ถาจะวาไป การเริ่มตนปฏิบัติธรรม ไมตางไปจากการเริ่มตนฝกโยคะ จริงๆ แลว การเริ่มตนทํากิจกรรมที่เปนการเดิน
ทางเขาสูดานในทั้งหลาย ก็ลวนเปนเชนนี้ พูดงายๆ ก็คือ ลุยไปไดเลย เราเคยเริ่มโยคะไดสําเร็จ เราก็เริ่มปฏิบัติธรรมไดใน
ทํานองเดียวกัน
โยคะมีหลายครู หลายโรงเรียน ตอนเริ่มเลือกเราก็งงๆ การปฏิบัติธรรมมีหลายอาจารย หลายนิกาย เราก็งงๆ เชนกัน
แตสังเกตดูสิ ทําไมเราไมไปเรียนโยคะกับอาจารยคนนั้นคนนี้ ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็พูดถึง เพราะเคมีมันไมตรงกัน เชนกัน เริ่มปฏิบัติ
ธรรม ไมตองไปกังวล ยกตัวอยางเชน ไมเห็นพวกเราไปปฏิบัติธรรมที่นั่นที่โนนเลย คนไปกันเยอะแยะ เพราะแนวคิดไมตรงกัน
เราตองเชื่อมั่นตัวเองในระดับนึงวา เรามีฐาน มีทุนเดิมที่จะศึกษาธรรมะ ในแนวนี้แหละ
เมื่อรูแนวแลว คราวนี้บางคนอาจกังวล อยากไดครูที่ดีที่สุดของสายนี้ คือกลัววาครูนอยจะสูครูใหญไมได อะไรทํานอง
นั้น จริงหรือ ลองพิจารณาดูพฤติกรรมการเรียนรูของเราสิ เรามีเพื่อนครูคนนึง ฝกโยคะแนวพุทธกับอาจารยทานนึง พอมาเจอ
สายไกวัลย แกก็มาศึกษาสายนี้จริงจัง ขณะที่พรรคพวกแกไมมีใครมาสักคน เหตุการณนี้บอกอะไรเรา มันบอกวา พวกเราเปน
ชุมชนที่ไมยึดตัวบุคคล เราไมยึดครูฮิโรชิ ไมยึด ดร.กาโรเต เรายึดหลักการโยคะ ในการปฏิบัติธรรมก็เชนกัน เมื่อไดแนวทาง
ปฏิบัติที่ตรงจริตแลว เริ่มไปไดเลย ไมตองไปสนใจวา จะตองเปนคําสอนจากพระรูปนี้รูปนั้นเทานั้น ลองดูอีกตัวอยางสิ พระ
อาจารยปราโมทยศึกษาธรรมะกับอาจารยราว 40 รูป และพวกเราไมไดยึดตัวอาจารยปราโมทยนะ เรายึดแนวทางของทาน
ตางหาก ผมเห็นวา สําหรับพวกเรา เรายึด “การรูและเขาใจตนเอง” เปนสําคัญ พวกเราไมใชนักเรียนที่ใชครูพร่ําเพรื่อนะ
ในการเริ่มปฏิบัติโยคะ มันเปนรูปธรรมมาก คือเริ่มจากอาสนะ เมื่อเวลาผานไป เราเขาใจมากขึ้น เราก็ขยับจากเปลือก
ไปที่แกน ซึ่งไดแกสมาธิ ในการเริ่มปฏิบัติวิปสสนา ก็เชนกัน เราเริ่มจากการนั่งหลังตรงนิ่งๆ เมื่อเวลาผานไป เราเขาใจมากขึ้น
เราก็ขยับจากรูปธรรมไปที่แกน ซึ่งไดแก การ “เห็นตามความเปนจริง”
อยากจะตอบผูถามคําถามขางตนนี้วา จริงๆ คุณไดเริ่มไปแลว ยกเทากาวแลว เดินเลยครับ มีรูปธรรมอะไรในการฝก
วิปสสนาบางละ ก็คือ มรรค 8 ของพุทธศาสนานั่นเอง เริ่มไดหมด รูปธรรมในการมองของพุทธเปนอยางไร ก็เริ่มมองอยางนั้น
รุปธรรมในการคิดแบบพุทธเปนอยางไร ก็เริ่มคิดอยางนั้น รูปธรรมในการพูดแบบพุทธเปนอยางไร ก็หัดพูดอยางนั้น รูปธรรม
ชีวิตประจําวันแบบพุทธเปนอยางไร ก็หัดใชชีวิตอยางนั้น รูปธรรมในอาชีพแบบพุทธเปนอยางไร ก็ทํางานอยางนั้น รูปธรรมใน
ความเพียรของพุทธเปนอยางไร ก็เพียรใปในแนวทางนั้น รูปธรรมในการระลึกรูแบบพุทธเปนอยางไร ก็ใหัระลึกรูอยางนั้น
รูปธรรมในความตั้งมั่นแบบพุทธเปนอยางไร ก็หัดตั้งมั่นเชนนั้น ไมยากครับ ลุยเลย
0905 11
ขณะที่คุณกําลังรูสึกนิ่งสงบและมหัศจรรยเมื่อคางอยูในทานั้น แตคุณจะไมเขาถึงความรูสึกนั้นจริงๆถาคุณไมรูวาคุณ
อยูในทานั้นไดอยางไรและกําลังจะเคลื่อนไหวตอไปในทาไหน ถาคุณเคลื่อนไหวจากทาสูทาอยางรวดเร็ว คุณจะเดินทางโดยไม
รูสึกสนุกกับมัน ซึ่งการเดินทางนี้สําคัญเทากับจุดหมายปลายทางเลยทีเดียว ดังนั้นควรเคลื่อนไหวเขาสูทาและออกจากทาอยาง
ชาๆและรูสึกตัวตลอดเวลา ขณะที่คุณกําลังเคลื่อนไหวใหสํารวจรางกายตั้งแตศีรษะจนถึงปลายเทา, สํารวจมือ ขอมือ แขนชวง
ลาง ขอศอก แขนชวงบน และหัวไหล, สํารวจเทา ขอเทา ขา หัวเขา ตนขา และสะโพก, สํารวจเชิงกราน ชองทอง หนาอก คอ
และศีรษะ คุณจะพัฒนาการรับรูหนาที่ตางๆในรางกายและจะสังเกตเห็นถึงอาการแปลกๆและไมตอเนื่องขณที่กําลังฝก ซึ่งจะ
ชวยใหคุณแกปญหานั้นไดตอไป ทายที่สุดขณะที่คุณเรียนรูการเคลื่อนไหวอยางนุมนวลนั้น คุณจะขจัดความยากของการฝกทา
นั้นได
รับรูอาการปวดอยางตรงไปตรงมา
คุณเคยรับฟงหรือปฏิเสธอาการปวดที่เกิดขึ้นหรือไม ถาคุณมีอาการปวดหลังคุณไดปรับทาหรือกิจกรรมตางๆเพื่อลด
ความรูสึกปวดนั้นหรือไม แลวคุณเคยมองสํารวจรางกายของคุณ หรือทํากิจกรรมอื่นๆจนกระทั่งลืมความปวดนั้นไปหรือเปลา
ถาคุณไมยอมฟงอาการตางๆที่เกิดขึ้นในตัวคุณ คุณก็มีโอกาสที่จะเปนโรคเอ็นอักเสบ, เสนประสาทกดทับ และหมอนรอง
กระดูกสันหลังแตกได สําหรับหฐโยคะนั้นคุณตองพัฒนาและเคารพการรับรูภายในตัวคุณเองเพื่อหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บที่จะ
เกิดขึ้น
คุณควรเริ่มโปรแกรมการฝกดวยความตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ ถาคุณเริ่มฝกฝนมาเปนปโดยที่ไมรูวากําลังทํา
อะไรอยู เทากับวาคุณกําลังผลักตัวคุณเองใหเขาสูอาการบาดเจ็บ ซึ่งไมเพียงแตเปนการบาดเจ็บชั่วคราวเทานั้น แตจะเปนการ
สรางความรูสึกกลัวและกังวลใหกับคุณในการที่จะฝกตอ ระบบประสาทในรางกายจะจดจําการบาดเจ็บนั้นและจะตอตานการฝก
ทานั้นซ้ําอีก การบาดเจ็บนั้นถือวาเปนของขวัญที่บอกเราใหแกปญหาตางๆ เราควรวิเคราะหธรรมชาติของปญหาที่เกิดขึ้นแทน
การไมใสใจ เมื่อคุณรับรูดวยตนเองประกอบกับคําแนะนําของครูผูสอนแลว คุณจะสามารถฝกทาอื่นๆที่ยากขึ้นได
ฝกฝนอยางสม่ําเสมอ ดวยความกระตือรือรน และความระมัดระวัง
ฝกฝนในเวลาเดิมและสถานที่เดิมทุกวันจนเปนนิสัย จะชวยใหคุณเห็นการเปลี่ยนแปลงไดวันตอวัน การฝกในเวลาเชา
เปนเวลาที่ดีที่สุดสําหรับพัฒนาสุขภาพ รางกายที่แข็งอยูในตอนเชาบอกใหคุณรูวาตองฝกดวยความระมัดระวังและตั้งใจ ใน
ระหวางวันคุณอาจจะรับรูความรูสึกไดชาลงและเสี่ยงตอการบาดเจ็บได ฝกดวยความกระตือรือรนอยางสนุกสนานในตอนเชาจะ
ชวยกระตุนใหลดความแข็งของรางกายคุณได และฝกดวยความระลึกรูในชวงบายจะชวยหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ และไมวาคุณ
ฝกในเวลาใดก็ตามแลวรูสึกถึงความไมปกติ, ไมแข็งแรง, ไมยืดหยุน ใหระมัดระวังรางกายดวย
รับผิดชอบตอตนเอง
ถึงแมคุณจะฝกกับครูที่มีความรูเพียงพอ ในขณะเดียวกันคุณตองรับผิดชอบในการตัดสินใจและการกระทําดวยตัวคุณ
เองดวย ครูผูสอนอาจจะแข็งแรง แข็งขัน และเปนแรงกระตุนใหคุณทําตาม แตคุณตองตัดสินดวยตัวคุณเองวาสามารถทําได
หรือไม เพราะในหลายทาของหฐโยคะจะมีทาที่ไมธรรมชาติ ซึ่งแสดงใหเห็นถึงจุดออนของรางกาย ซึ่งขึ้นอยูกับตัวคุณวาจะมี
ฝกทานั้นไดหรือไมและอยางไร เกณฑวัดอยางหนึ่งคือไมใชแคคุณรูสึกสบายตัวแค 1 ชั่วโมงหลังจากการฝก แตคุณจะตองรูสึก
ดีตอไปอีก 24 ชั่วโมงหลังจากนั้นดวย สุดทายใหสังเกตถึงการตอตานขณะที่ฝกแตละทาในแตละชั่วโมงเรียนดวย ถามีปญหาให
ปรึกษาครูผูสอนตอไป
ฝกฝนดวยความอดทน
เรียนรูจากการเคลื่อนไหวชาๆจะฝกฝนความอดทนในการเคลื่อนไหวอยางมั่นคง จําไววาประโยชนของการฝกหฐ
โยคะคือความแข็งแรงมากขึ้นและการยืดหยุนที่มากขึ้น แตถาคุณดูขอบเขตจากการฝกคุณอาจจะผิดหวังได คุณตองมีความ
อดทนเพื่อใหไดประโยชนตางๆจากการฝก ความผิดพลาดหลักที่เกิดขึ้นเพราะคุณตองการที่จะฝกใหสําเร็จโดยไมคํานึงถึง
ความพยายามที่สอดคลองกัน ซึ่งทําใหเกิดผลเสีย 2 อยาง สิ่งแรกคือจะทําใหคุณเปลี่ยนความตั้งใจของการฝกกอนที่คุณจะรู
ความจริงทั้งหมด อยางที่สองคือจะเปนการสรางความเปนไปไมไดในการเรียนรูและความรูสึกที่ดีจากการฝก ดังนั้นใหคุณฝก
ดวยประสบการณในปจจุบันขณะ ฝกดวยความสนุกสนานภายในตัวคุณเอง
0905 12
กวี คงภักดีพงษ
สแกนกรรม
โดย กฤษณา สุยะมงคล 220 บาท สํานักพิมพ ดีเอ็มจี
0905 13
ไวราคยะ : การบรรลุถึงการดับการปรุงแตงของจิต
วีระพงษ ไกรวิทย และจิรวรรณ ตั้งจิตเมธี แปลและเรียบเรียง
ขอเทาความในฉบับที่แลวกันสักนิด ฉบับกอนไดพูดถึงการบรรลุถึงการดับการปรุงแตงของจิตซึ่งปตัญชลีแนะนําใหทํา
๒ วิธีคือ อภยาสะและไวราคยะ (หรือการฝกปฏิบัติและการถอดถอน/ละวาง) และไดอธิบายถึงอภยาสะโดยละเอียด สรุปก็คือ
อภยาสะเปนความเพียรที่จะฝกฝนปฏิบัติซ้ําแลวซ้ําเลาเพื่อใหเขาถึงสภาวะที่มีเสถียรภาพอันเปนที่ปรารถนาของผูฝกโยคะ
ทั้งหลาย และการฝกปฏิบัติซ้ําแลวซ้ําเลาเหลานั้นจะตั้งมั่นไดก็ดวยเงื่อนไข ๓ อยางคือ ๑) การฝกตอเนื่องเปนระยะเวลา
ยาวนาน ๒) การฝกเปนประจําสม่ําเสมอ และ ๓) การมีทัศนคติหรือจิตใจที่เปดวางและพึงพอใจ
ฉบับนี้จะอธิบายถึงไวราคยะซึ่งปรากฏอยูในโยคะสูตรบทที่ ๑ ประโยคที่ ๑๕ กลาววา “ทฤษฏานุศรวิกวิษยะ
วิตฤษณสยะ วศีการสัมชญา ไวราคยัม” มี ๒ ความหมายคือ ๑) ไวราคยะหรือการถอดถอน(ละวาง) ของผูที่ไมสนใจในทุกๆ
สิ่งที่ไดเห็นหรือไดยินจากภายนอก เรียกวา “วศีการะ” หรือ ๒) ไวราคยะคือสิ่งซึ่งมีความตระหนักรูในการกาวพนจากความ
ตองการ(ตัณหา) ทางวัตถุหรือทุกๆ สิ่งที่ไดเห็นหรือไดยินจากภายนอก
ปตัญชลีไมไดอธิบายไวราคยะตามความหมายดังกลาวขางตน และไมไดใหความสําคัญกับไวราคยะขั้นพื้นฐานมากนัก
แตเนนอธิบายถึงขั้นที่สูงมากๆ ของไวราคยะซึ่งมีความหมายและความสําคัญในแงของการปฏิบัติโยคะ เหตุผลอาจจะเปนไปได
วาคําวาไวราคยะมีคําอธิบายในตัวเองอยูแลว โดยคํานี้เปนคํานามมาจาก “วิ” แปลวา ไม หรือปราศจาก และคําวา “ราคะ” (มา
จากคํากริยา รชะ แปลวา ชอบ หรือ ดึงดูด) คือ ความชอบ ความรัก หรือ การยึดติดผูกพัน สวนคําวา “ยะ” เปนคําปจจัย(ลง
ทาย) เพื่อทําใหเปนคํานามบงบอกถึงสภาวะ ดังนั้นความหมายของคําวา ไวราคยะ โดยตรงแลวจึงหมายถึง การไมยึดติด
ผูกพัน หรือการถอดถอน ละวางนั่นเอง
คําวา “สัมชญา” มีสองความหมายที่แตกตางกัน ถาสัมชญาที่แปลวา การตั้ง การระบุ ตามความหมายนี้ไดมีการ
จัดแบงการพัฒนาไวราคยะออกเปน ๔ ขั้น ไดแก ๑) ยตมานะ (สัมชญา หรือ สัมชญกะ) ๒) วยติเรกะ ๓) เอเกนทริยะ ๔) วศีกา
ระ
ทั้ง ๔ คําหรือขั้นตอนนี้คอนขางจะมีคําอธิบายในตัวเอง อยางคําแรก “ยตมานะ” ยตะ แปลวา พยายาม + มานะ
แปลวา ผูที่มี ผูที่เปนเจาของ นี่คือขั้นแรกสุดของการพัฒนาไวราคยะ สําหรับการพัฒนาไวราคยะนั้นผูฝกตองเขาใจความสําคัญ
และความจําเปนของโยคะหรือการพัฒนาจิตวิญญาณ นั่นคือในเบื้องตนผูฝกตองปลุกความตองการที่จะพัฒนาการถอดถอน/ละ
วางจากวัตถุหรือสิ่งตางๆ ใหมีขึ้นในตัวเสียกอน จากนั้นเขาจึงเริ่มที่จะพยายามพัฒนาทัศนะเชนนี้ และทันทีที่เขาเริ่มพยายามที่
จะพัฒนาทัศนะของการถอดถอน/ละวางนี้ เขายอมอยูในสภาวะของยตมานะ ก็คือ ผูประกอบความเพียร
ตอมาในขณะที่ผูฝกเริ่มลงมือปฏิบัติความเพียรนั้น ทัศนะของการถอดถอน/ละวางก็จะคอยๆ เติบโตขึ้นทีละเล็กละ
นอย ผูฝกจะเกิดประสบการณในลักษณะเดียวกันคือ ภาวะความชอบหรือการยึดติดผูกพันกับสิ่งตางๆ ของบุคคลนั้นจะ
แปรเปลี่ยนไปตามแรงหรือกําลังที่ยึดติดกับมัน ดังนั้นผูฝกอาจสามารถขจัดบางสิ่งบางอยางออกไปไดงายเพราะสิ่งนั้นมีกําลังที่
จะดึงดูดใจเขาไดนอย แตสําหรับสิ่งยึดติดผูกพันอยางอื่นๆ ที่ลึกซึ้งหรือมีกําลังมากกวาอาจยากที่จะขจัดออก ฉะนั้นในขั้นที่สอง
ของไวราคยะผูฝกไดถอดถอน/ละวางการยึดติดหรือความตองการตอสิ่งเหลานั้นออกไปบางแตยังไมทั้งหมด เพราะยังไม
สามารถถอดถอน/ละวางสิ่งอื่นๆ บางอยางได ในขั้นนี้เรียกวา “วยติเรกะ” ซึ่งหมายถึง การขจัดออกไปบางสวน
โดยปกติคนเราเมื่อรับรูวัตถุหรือสิ่งตางๆ จะรูสึกสนุกเพลิดเพลินกับมันโดยผานประสาทสัมผัสในชองทางตางๆ (๕
ชองทาง) ความเพลิดเพลินนี้จะนําไปสูการยึดติดผูกพัน ในขั้นตอนที่สามนี้ผูฝกจะเชี่ยวชาญจนสามารถควบคุมประสาทสัมผัส
ไดสี่ชองทางยกเวนอีกเพียงหนึ่งชองทางที่ยากจะควบคุมได ในขั้นนี้ความเพลิดเพลินในสิ่งตางๆ ผานทางประสาทสัมผัสทั้งสี่
นั้นจะหมดไป แตเขายังคงเพลิดเพลินยินดี(ยินราย) กับสิ่งตางๆ ที่รับรูผานทางประสาทสัมผัสที่เหลืออีกหนึ่งชองทาง ซึ่ง
ประสาทสัมผัสหนึ่งชองทางนั้นจะเปนดานสุดทายที่ยากที่สุดที่จะขจัดออกไปได และประสาทสัมผัสอยางสุดทายที่ยากที่สุดนี้ก็
จะแตกตางกันไปตามธรรมชาติของแตละบุคคล ตัวอยางเชน คนหนึ่งอาจพบวาความเพลิดเพลินในรสชาติเปนสิ่งที่ยากที่สุด
0905 14
สําหรับเขาที่จะควบคุมได แตสําหรับอีกคนหนึ่งอาจจะเปนความเพลิดเพลินในการมองเห็น หรือการไดยินไดฟงสิ่งตางๆ ก็ได
ดังนั้นขั้นที่สามของการพัฒนาไวราคยะจึงไดชื่อวา “เอเกนทริยะ” ซึ่งหมายถึง เหลืออีกเพียงหนึ่งประสาทสัมผัสที่ยังทํางาน
ตามปกติอยู ยังไมสามารถควบคุมได
ในขั้นที่สี่ซึ่งเปนขั้นสุดทายตามลําดับของการพัฒนาไวราคยะคือ “วศีการะ” ซึ่งหมายถึงมีความเชี่ยวชาญอยาง
สมบูรณหรือสามารถขจัดความอยาก(ตัณหา) ที่เคยเพลิดเพลินผานทางประสาทสัมผัสทั้งหลายออกไปไดอยางหมดจด ผูที่
เขาถึงไวราคยะในขั้นนี้เรียกไดวาเปนผูตัดกิเลสไดดั่งใจ ในขั้นสุดทายของไวราคยะนี้เปนขั้นที่โยคีมีความเชี่ยวชาญมาก
จนกระทั่งเขาไมไดรูสึกเพลิดเพลินยินดีกับวัตถุหรือสิ่งตางๆ ที่เขาเห็นหรือไดยิน เหตุที่ปตัญชลีกลาวถึงเฉพาะขั้นสุดทายของ
ไวราคยะในประโยคที่ ๑๕ นี้อาจเปนเพราะขั้นนี้เปนขั้นที่สําคัญมากของการพัฒนาในโยคะ ไมตองสงสัยเลยวาทั้งสามขั้นแรก
นั้นผูฝกโยคะทุกคนจําเปนตองกาวผานมาแลว และแมวาตอนนี้พวกเขาจะพัฒนามาถึงขั้นที่สี่ซึ่งเปนขั้นที่สูงมากของการพัฒนา
ไวราคยะ แตก็ยังไมถือวาเปนระดับที่กาวหนาและใหความพึงพอใจสูงสุดไดซึ่งจะมีการอธิบายประเด็นนี้ในประโยคถัดไป
ในความหมายที่สองของคําวา “สัมชญา” นั้นแปลวา การตระหนักรู ในประโยคนี้ของโยคะสูตรกําลังชี้ใหเห็นวา มีเพียง
ขั้นนี้เทานั้นที่โยคีจะมีความเชื่อมั่นวาเขาสามารถควบคุมประสาทสัมผัสทั้งหมดไดจนถึงขนาดที่วาเขาไมรูสึกเพลิดเพลินยินดี
กับสิ่งตางๆ ที่รับรูผานทางสัมผัสทั้งหลาย ดังนั้นโยคีจึงขจัดความอยากทั้งปวงออกไปได ในขัน้ นี้จึงเปนเปาประสงคของ
ความกาวหนาในโยคะตามการนําเสนอของปตัญชลี
โยคีตองขจัดความยินดีในความอยากทั้งปวงหมายถึงทั้งความอยากในสิ่งที่มองเห็นสัมผัสไดและในสิ่งที่มองไมเห็นแต
เชื่อวามีอยู ดังที่ปตัญชลีกลาวถึงในคําวา “ทฤษฏะ” (เห็น) หมายรวมถึงทุกสิ่งที่ปรากฏในโลกซึ่งมีใหโยคีไดเพลิดเพลิน สวนคํา
วา “อนุศรวิกะ” หมายถึงสิ่งซึ่งไมสามารถมองเห็นไดแตอาจจะมีอยูถาเขาเชื่อวามันมีอยูตามที่เคยไดยินไดฟงมา เชน สวรรค
เปนตน แมโยคีจะไมเพลิดเพลินยินดีกับสิ่งที่สัมผัสไดแลวแตหากยังติดของอยูกับความอยากในสิ่งที่สัมผัสไมได เชนตองการ
ไปสูสวรรค หรืออยากบรรลุภูมิธรรมใดๆ ก็ตาม ความอยากเชนนี้ก็ควรถอดถอนละวางหรือขจัดออกดวยเชนกัน
ถัดไปในประโยคที่ ๑๖ กลาวไววา “ตัตปะรัม ปุรุษะขยาเตรคุณไวตฤษณยัม” หมายความวา ขั้นสูงสุดในการ
2
ตระหนักรูของปุรุษะจะเกิดขึ้นเมื่อความตองการ(ตัณหา) ในคุณะทั้งสาม หมดไปอยางสิ้นเชิง
ขั้นสูงสุดของไวราคยะคือขั้นที่ภาวะไรตัณหาไดเกิดขึ้นในโยคี แมแตสภาวะของคุณะทั้งสามซึ่งเปนรูปเดิมของ
ประกฤติก็ไมสงผลตอโยคีเชนกัน ในวศีการะสัมชญาไวราคยะนั้นแมวาโยคีจะควบคุมอินทรียประสาททั้งหมดไวไดแลว ก็ยังมี
ความเปนไปไดที่การยึดติดผูกพันกับวัตถุตางๆ ไมไดถูกกําจัดออกไปทั้งหมดแตจะกลับขึ้นมาทํางานใหมได เพราะวา
ความรูสึกตางๆ นั้นมีพลังเหนียวแนนมาก การเผลอเพียงเล็กนอยของโยคีอาจนําไปสูสถานการณซึ่งความอยากที่จะสนุก
เพลิดเพลินกับวัตถุตางๆ ที่กระตุนความรูสึกอาจเงยหัวทะยานขึ้นมาอีกครั้ง เหตุการณนี้เปนสิ่งที่เกิดขึ้นบอยมาก โยคีที่ครั้ง
หนึ่งเคยพัฒนาสภาวะที่ไรความอยากในวัตถุหรือสิ่งตางๆ ที่เขามากระทบอาจรูสึกวาตอนนี้วัตถุเหลานั้นไมอาจทําใหเขาเกิด
ความยินดี(ยินราย) หรือทําอันตรายใดใดตอเขาได เพราะเขาเขาไปเกี่ยวของหรือสัมพันธกับวัตถุเหลานั้นดวยอาการที่ไมยึดติด
หรือผูกพันทางใจ อยางไรก็ตามเมื่อความไมยึดติดหรือผูกพันทางใจคอยๆ ลดนอยถอยลงจากการเขาไปสัมผัสกับวัตถุเหลานั้น
บอยๆ จนโยคีคอยๆ เริ่มเกิดความพึงพอใจในความเพลิดเพลินกับวัตถุเหลานั้น ดังนั้นการยึดติดผูกพันกับวัตถุจึงกลับมาอีก
ครั้งในขณะที่ไวราคยะ(การถอดถอน/ละวาง) ก็หายไป มีตัวอยางที่เกิดขึ้นเชนนี้เปนจํานวนมากที่สามารถพบเห็นไดในชีวิตจริง
โดยมีเรื่องเลามากมายของธรรมชาติที่เกิดขึ้นดังกลาวปรากฏอยูในคัมภีรชื่อวา “เปาราณิกะ (Pauranika)”
ความสมบูรณแบบของไวราคยะที่บรรลุถึงนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อผูฝกเกิดความตระหนักรูในปุรุษะหรือธรรมชาติเดิมแทของ
ตัวผูรู หรืออาจกลาวไดวา การเขาถึงสภาวะสูงสุดของไวราคยะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อบรรลุถึงเปาหมายสูงสุดของโยคะ การตระหนักรู
ในปุรุษะก็คือการบรรลุถึงสภาวะของไกวัลยนั่นเอง หรือพูดอีกอยางหนึ่งคุณะไวตฤษณยะ ไวราคยะ ก็เปนคําที่มีความหมาย
3
เหมือนกับคําวา บรมธรรม หรือ summum bonum ตามมรรคาแหงโยคะของปตัญชลี อยางไรก็ตามตราบเทาที่บุคคลยังมีกาย
2
คุณะทั้ง ๓ คือ สัตตวะ รชัส และตมัส (โปรดดูเพิม่ เติมเชิงอรรถที่ ๑ ในฉบับ “โยคะสูตรวาดวย การปรุงแตงของจิต ๕ ประการ (๔)”)
3
คําวา summum bonum เปนคําที่ทานพุทธทาสภิกขุไดเคยแปลไววา “บรมธรรม” ซึ่งหมายถึง สิ่งสูงสุดหรือเปาหมายสูงสุดที่มนุษยคนหนึ่งเมื่อเกิด
มาแลวควรจะบรรลุใหถึง คํานี้จึงมีความหมายกวางและใชไดกับผูปฏิบัติในทุกลัทธิศาสนา (ผูแปล)
0905 15
และจิตอยูก็ยังมีการเชื่อมโยงสัมพันธกันระหวางปุรุษะกับประกฤติอยู (เพราะในขั้นที่ละเอียดแลวกายและจิตก็เปนสวนที่เกิด
จากประกฤติ) ดังนั้นดูเหมือนวาขั้นสูงสุดของไวราคยะหรือคุณะไวตฤษณยะจะไมสามารถบรรลุถึงไดในชีวิตนี้(เพราะยังมีกาย
และจิตอยู) คําถามที่เกิดขึ้นในใจก็คือ อะไรคือเปาหมายของการกลาวถึงไวราคยะในที่นี้ซึ่งมันเปนไปไมไดที่จะบรรลุถึงในขณะ
มีชีวิตอยู
อาจเปนเพราะวัตถุประสงคของโศลกนี้ตองการเตือนใหโยคีหรือผูฝกกระตือรือรนอยูเสมอ และไมยอหยอนตอการ
ฝกฝนพัฒนาตนเองใหกาวหนายิ่งๆ ขึ้น หรืออยางนอยที่สุดก็ใหรักษาระดับของไวราคยะที่บรรลุถึงไวใหได(ไมถอยหลัง) เพราะ
หากโยคีประมาทแมเพียงเล็กนอยโดยเริ่มรูสึกเพลิดเพลินยินดีเมื่อรับรูวัตถุหรือสิ่งตางๆ จากภายนอก เขาก็อาจจะพัฒนาการ
ยึดติดผูกพันกับสิ่งเหลานั้นขึ้นมาอีก ดังนั้นเขาควรจะระมัดระวังไมใหสภาพเชนนี้เกิดขึ้น ในอีกแงหนึ่งภายหลังจากไวราคยะ
ไดรับการพัฒนาขึ้นมาจนถึงระดับสูงแลว ยมะในขออปริคระหะ 4 ก็ยังจําเปนตองไดรับการฝกฝนอยางจริงใจและพิถีพิถันอยู
เสมอ
สรุปวาทั้งสองประโยคของโยคะสูตรขางตนนี้ดูเหมือนวาปตัญชลีจะไมไดอธิบายรายละเอียดของไวราคยะขั้นพื้นฐาน
และก็ไมไดระบุชัดหรืออธิบายรายละเอียดของการฝกปฏิบัติเพื่อพัฒนาไวราคยะในขั้นตางๆ ใหเกิดขึ้น เพียงแตบอกวาการ
พัฒนาไวราคยะในระดับสูงมากนั้นเปนสิ่งเดียวที่สําคัญยิ่งตอการฝกฝนพัฒนาดานโยคะอยางแทจริง
4
อปริคระหะ เปนหนึ่งในยมะ ๕ ขอที่กลาวถึงการฝกฝนตนเองดวยการไมรับ ไมครอบครอง และไมสะสมกักตุนสิ่งตางๆ เพื่อไมใหเกิดความรูสึก
เพลิดเพลินยินดี(ราคะ) กับวัตถุตางๆ ที่ไดมา (ผูแปล)
เอกสารอางอิง :
Karambelkar, P. V., (1986). PATANJALA YOGA SUTRAS Sanskrta Sutras with Transliteration, Translation &
Commentary. Lonavla : Kaivalyadhama.
เชิญชวนชวยกันเขียนบทความมายังจดหมายขาวฯ
0905 16