Professional Documents
Culture Documents
เรื่อง เทคโนโลยีการศึกษา
เสนอ
โดย
นายภูมิพฒ
ั น์ แป้งใส เลขที่ 4
นางสาวกิ่งกาญจน์ พันมะวงค์ เลขที่ 8
นางสาวสุณี เทิดสกุลธรรม เลขที่ 25
นางสาวสุวรรณา บุญแก้ว เลขที่ 28
นางสาวชุลีพร มากเมือง เลขที่ 35
คำำนำำ
สำรบัญ
คำำนำำ ก
สำรบัญ ข
เทคโนโลยีกำรศึกษำ
ควำมหมำยเทคโนโลยีกำรศึกษำ 1
ประวัตขิ องเทคโนโลยีกำรศึกษำ 5
พัฒนำกำรของเทคโนโลยีกำรศึกษำในยุคต่ ำง ๆ 8
พัฒนำกำรของเทคโนโลยีกำรศึกษำ ค.ศ.1700-1900 10
( พ.ศ.2243-พ.ศ.2443 ) ก่ อนปี ค.ศ.1800
พัฒนำกำรของเทคโนโลยีกำรศึกษำ ค.ศ.1900-ปัจจุบัน 14
( พ.ศ.2443-ปัจจุบัน )
พัฒนำกำรเทคโนโลยีกำรศึกษำในประเทศไทย 18
นักเทคโนโลยีทำงกำรศึกษำของไทย 20
สภำพปัจจุบันของเทคโนโลยีกำรศึกษำในประเทศไทย 21
เทคโนโลยีสำรสนเทศเพือ่ กำรศึกษำ 23
นโยบำยทีเ่ กีย่ วข้ องกับเทคโนโลยีสำรสนเทศของประเทศไทย 24
ควำมสำ ำคัญของเทคโนโลยีกำรศึกษำ 26
เทคโนโลยีและสื่ อสำรเพือ่ กำรศึกษำ 31
ขอบข่ ำยของเทคโนโลยีทำงกำรศึกษำ 32
เอกสำรอ้ ำงอิง 38
1
เทคโนโลยีกำรศึกษำ
เทคโนโลยีกำรศึกษำ
คำำ ว่ำ "เทคโนโลยี”(Technology) มำจำกรำกศัพท์ "Technic" หรื อ "Techno" ซึ่ งมีควำมหมำยว่ำ วิธีกำร
หรื อกำรจัดแจงอย่ำงเป็ นระบบ รวมกับ "logy" ซึ่ งแปลว่ำ “ศำสตร์ ” หรื อ “วิทยำกำร” ดังนั้น คำำว่ำ "เทคโนโลยี"
ตำมรำกศัพท์จึงหมำยถึง ศำสตร์ วำ่ ด้วยวิธีกำรหรื อศำสตร์ ที่ว่ำด้วยกำรจัดกำร หรื อกำรจัดแจงสิ่งต่ำง ๆ เข้ำด้วยกัน
อย่ำงเป็ นระบบ เพื่อให้เกิดระบบใหม่และเป็ นระบบที่สำมำรถนำำไปใช้ตำมวัตถุประสงค์หรื อเจตนำรมณ์ที่ต้ งั ใจไว้
ได้ ซึ่ งก็มีควำมหมำยตรงกับควำมหมำยที่ปรำกฏในพจนำนุ กรม คือ วิทยำศำสตร์ ประยุกต์ ดังนั้น เทคโนโลยีกำร
ศึกษำจึงเป็ นกำรจัดแจงหรื อกำรประยุกต์หลักกำรทำงวิทยำศำสตร์ กำยภำพมำใช้ในกระบวนกำรของกำรศึกษำ ซึ่ ง
เป็ นพฤติ ก รรมศำสตร์ โครงสร้ ำ งมโนมติ ข องเทคโนโลยี ก ำรศึ ก ษำจึ ง ต้อ งประกอบด้ ว ย มโนมติ ท ำง
วิทยำศำสตร์ กำยภำพ มโนมติทำงพฤติกรรมศำสตร์ โดยกำรประสมประสำนของมโนมติอื่นที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่ำง
เช่ น กำรประยุกต์หลักกำรทำงวิ ทยำศำสตร์ กำยภำพทำงวิ ศวกรรมและทำงเคมี ไ ด้เ ครื่ อ งพิ ม พ์แ ละหมึ ก พิ ม พ์
สำมำรถผลิตหนังสื อตำำรำต่ำงๆ ได้ และจำกกำรประยุกต์หลักพฤติกรรมศำสตร์ ทำงจิตวิทยำ จิตวิทยำกำรเรี ยนรู ้
ทฤษฎีกำรเรี ยนรู ้และหลักควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคล ทำำให้ได้เนื้อหำในลักษณะเป็ นโปรแกรมขั้น ย่อย ๆ จำก
ง่ำยไปหำยำก เมื่อรวมกันระหว่ำงวิทยำศำสตร์ กำยภำพและพฤติกรรมศำสตร์ ในตัวอย่ำงนี้ ทำำให้เกิดผลิตผลทำง
เ ท ค โ น โ ล ยี ก ำ ร ศึ ก ษ ำ ขึ้ น คื อ "ตำำ ร ำ เ รี ย น แ บ บ โ ป ร แ ก ร ม "
อีกตัวอย่ำงหนึ่งกำรประยุกต์วิทยำศำสตร์ กำยภำพเกี่ยวกับแสง เสี ยงและอิเล็กทรอนิกส์บนพื้นฐำนทำง
คณิ ตศำสตร์ ใช้ระบบเลขฐำนสองทำำให้ได้เครื่ องคอมพิวเตอร์ เมื่อประสมประสำนกับผลกำรประยุกต์ทำง
พฤติกรรมศำสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยำกำรเรี ยนรู ้ ทฤษฎีกำรเรี ยนรู ้ หลักควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคล
หลักกำรวิเครำะห์งำน และทฤษฎีสื่อกำรเรี ยนกำรสอนแล้วทำำให้ได้ผลผลิตทำงเทคโนโลยีกำรศึกษำ คือ
คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI)
จำกข้อพิจำรณำดังกล่ำวข้ำงต้นจะเห็นได้วำ่ ควำมหมำยของเทคโนโลยีกำรศึกษำมีสองลักษณะที่เน้นหนักแตกต่ำง
กัน คือ
1. เทคโนโลยีกำรศึกษำ หมำยถึง กำรประยุกต์หลักกำรวิทยำศำสตร์ กำยภำพและวิศวกรรมศำสตร์ ให้เป็ น
วัสดุ เครื่ องมือ และอุปกรณ์ต่ำง ๆ ที่สำมำรถนำำมำใช้ในกำรเสนอ แสดง และถ่ำยทอดเนื้อหำทำงกำรศึกษำได้อย่ำง
มีประสิ ทธิ ภำพ ควำมหมำยนี้พฒั นำมำจำกควำมคิดของกลุ่มนักโสต-ทัศนศึกษำ
2. เทคโนโลยีกำรศึกษำมีควำมหมำยโดยตรงตำมควำมหมำยของเทคโนโลยี คือ ศำสตร์ แห่ งวิธีกำร หรื อ
กำรประยุกต์วิทยำศำสตร์ มำใช้ในกำรศึกษำ โดยคำำว่ำ”วิทยำศำสตร์ ”ในที่น้ ีมุ่งเน้นที่วิชำพฤติกรรมศำสตร์ เพรำะ
ถือว่ำพฤติกรรมศำสตร์ เป็ นวิทยำศำสตร์ แขนงหนึ่งเช่นเดียวกับวิชำฟิ สิ กส์ เคมี ชีววิทยำ เป็ นต้น
แผนภูมิแนวคิดของเทคโนโลยีกำรศึกษำ
แนวคิดของเทคโนโลยีกำรศึกษำจึงประกอบด้วยส่ วนสำำคัญ 5 กลุ่ม คือ กำรออกแบบ(design) กำรพัฒนำ
(Development) กำรใช้(utilization)กำรจัดกำร (management)และกำรประเมิน(evaluation)ซึ่งแต่ละกลุ่มจะโยงเข้ำ
สู่ศนู ย์กลำงของทฤษฏีและปฏิบตั ิดงั นั้นเทคโนโลยีกำรศึกษำจึงเป็ นผสมผสำนกันระหว่ำงควำมรู ้ดำ้ นวิทยำศำสตร์
และสังคมศำสตร์ เป็ นกำรประยุกต์เอำแนวคิดควำมคิด เทคนิค วิธีกำร วัสดุอุปกรณ์ และสิ่งต่ำงๆ อันสื บเนื่องมำ
จำกเทคโนโลยีมำใช้ในวงกำรศึกษำนั้นเอง
เห็นได้ชดั เจนว่ำ "เทคโนโลยีกำรศึกษำ" ครอบคลุมควำมหมำยกว้ำงขวำง ซึ่งในภำษำสำกลนั้น คำำว่ำ
Educational Technology มีควำมหมำยรวมถึงเทคโนโลยีกำรสอน(Instructional Technology) เทคโนโลยีกำรเรี ยน
รู ้ (Learning Technology) สื่ อกำรศึกษำ (Educational Media) และคำำอื่นๆ ที่มีควำมหมำยอย่ำงเดียวกันเข้ำไว้ดว้ ย
แต่คำำ ว่ำ Educational Technology) และ Instructional Technology ดูจะได้รับกำรยอมรับมำกที่สุด โดยมักจะถูกใช้
ในควำมหมำยอย่ำงเดียว
5
ประวัติและพัฒนำกำรของเทคโนโลยีกำรศึกษำ
1. ประวัตขิ องเทคโนโลยีกำรศึกษำ
เทคโนโลยีได้ถูกนำำมำใช้ทำงกำรศึกษำนับตั้งแต่สมัยก่อนคริ สตกำล มีกำรกล่ำวถึงนักเทคโนโลยีทำงกำร
ศึกษำพวกแรก คือกลุ่มโซฟิ สต์ (The Elder sophist) ที่ใช้วธิ ี กำรสอนกำรเขียน เช่น กำรใช้มือวำด กำรเขียนสลักลง
บนไม้ ส่ วนกำรใช้ชอล์คเขียนบนกระดำนดำำได้เริ่ มขึ้นในทศวรรษที่ 1800 สำำหรับกำรใช้เทคโนโลยีทำงสื่ อโสต
ทัศน์(audio visual) นั้น สำมำรถนับย้อนหลังไปได้ถึงต้นทศวรรษที่ 1900 ในขณะที่โรงเรี ยนและพิพิธภัณฑ์
หลำยๆ แห่ งเริ่ มมีกำรจัดสภำพห้องเรี ยนและกำรใช้สื่อกำรสอนประเภทต่ำงๆ เช่น ใช้สื่อกำรสอนประเภทต่ำงๆ
เช่น ใช้สื่อภำพ ภำพวำด ภำพระบำยสี สไลด์ ฟิ ล์ม วัตถุ และแบบจำำลองต่ำงๆ และแบบจำำลองต่ำงๆ เพื่อเสริ มกำร
บอกเล่ำทำงคำำพูด
ต่อ Thomas A. Edison ได้ผลิตเครื่ องฉำยภำพยนตร์ ข้ นึ ในปี ค.ศ. 1913 เขำได้เล็งเห็นประโยชน์ของ
ภำพยนตร์ ในกำรเรี ยนกำรสอนเป็ นอย่ำงมำก จนถึงขั้นเขียนไว้เป็ นหลักฐำนว่ำ "ต่อไปนี้ หนังสื อจะกลำยเป็ นสิ่ งที่
หมดสมัยในโรงเรี ยน เพรำะเรำสำมำรถใช้ภำพยนตร์ ในกำรสอนควำมรู ้ทุกสำขำได้ ระบบโรงเรี ยนจะต้อง
เปลี่ยนแปลงโดยสิ้ นเชิงภำยในสิ บปี ข้ำงหน้ำ" แต่ปัจจุบนั แม้มีเทคโนโลยีสมัยใหม่กย็ งั ไม่สำมำรถล้มล้ำง
เทคโนโลยีด้ งั เดิมเช่น กำรใช้หนังสื อในกำรเรี ยนกำรสอนได้
ในช่วงทศวรรษที่ 1920 - 1930 เริ่ มมีกำรใช้เครื่ องฉำยภำพแบบข้ำมศีรษะ (overhead projector) เครื่ อง
บันทึกเสี ยง วิทยุกระจำยเสี ยง และภำพยนตร์ เข้ำมำเสริ มกำรเรี ยนกำรสอนวิทยุกระจำยเสี ยงจึงเป็ นสื่ อใหม่ที่ได้รับ
ควำมนิยม สำำหรับกิจกำรกระจำยเสี ยงในประเทศสหรัฐอเมริ กำนั้นได้เริ่ มขึ้นตั้งแต่รำวปี ค.ศ.1921 กำรเริ่ มขอ
อนุญำตประกอบกิจกำรกระจำยเสี ยงในยุคแรก ๆ มีวตั ถุประสงค์เพื่อกำรศึกษำ และเริ่ มมีกำรใช้วิทยุกระจำยเสี ยง
เพื่อกำรสอนทำงไกลช่วงทศวรรษที่ 1930 แต่ต่อมำระบบธุรกิจเข้ำครอบงำำมำกขึ้นจนวิทยุเพื่อกำรศึกษำใน
ประเทศสหรัฐอเมริ กำอยูใ่ นสภำวะที่ตกต่ำลงำ
ในช่วงทศวรรษที่ 1950 วิทยุโทรทัศน์เกิดเป็ นปรำกฏกำรณ์ใหม่ในสังคมตะวันตกซึ่งสำมำรถใช้เป็ นสื่ อเพื่อ
กำรศึกษำได้อย่ำงมีประสิ ทธิ ภำพ วิทยุโทรทัศน์จึงมีบทบำทสำำคัญและกลำยเป็ นเทคโนโลยีแถวหน้ำของสังคมนับ
แต่บดั นั้น นักวิชำกำรบำงท่ำนถือว่ำช่วงระหว่ำงทศวรรษที่ 1950 ถึง 1960 นี้ เป็ นกำรเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน
แวดวงเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำเนื่องจำกกำรก่อกำำเนิดของวิทยุโทรทัศน์ และยังได้มีกำรนำำเอำทฤษฎีทำงด้ำน
สื่ อสำรมวลชนและทฤษฎีระบบเข้ำมำใช้ในวงกำรเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำอีกด้วย ดังนั้น ในช่วงต้นทศวรรษที่
1950 จึงมีกำรใช้คำำ ว่ำ "กำรสื่ อสำรทำงภำพและเสี ยง" หรื อ "audio-visual communications" แทนคำำว่ำ "กำรสอน
ทำงภำพและเสี ยง" หรื อ "audio-visual instruction" ซึ่งย่อมเป็ นเครื่ องชี้ชดั ประกำรหนึ่งว่ำ เทคโนโลยีกำรสื่ อสำร
นั้น คือเครื่ องมือสำำคัญในกำรถ่ำยทอดกำรเรี ยนกำรสอนนัน่ เอง
6
เป็ นครั้งแรกในปี 1977 ที่ประเทศสหรัฐอเมริ กำ เมื่อบริ ษทั APPLE ได้ประดิษฐ์เครื่ อง APPLE II ขึ้น โดยกำรใช้
ในระยะแรกนั้นมีวตั ถุประสงค์หลักเพื่อกำรบริ หำรจัดกำร ต่อมำได้มีกำรพัฒนำโปรแกรมต่ำงๆ เพื่อให้ใช้ได้ง่ำย
และสำมำรถช่วยในกำรเรี ยนกำรสอนได้มำกขึ้น คอมพิวเตอร์ จึงเป็ นสิ่ งที่ครู และนักเรี ยนคุน้ เคย และมีกำรใช้กนั
อย่ำงแพร่ หลำยจนทุกวันนี้
ยุคของมัลติมีเดียเพื่อกำรศึกษำได้เริ่ มขึ้นในปี 1987 เมื่อบริ ษทั APPLE ได้เผยแพร่ โปรแกรมมัลติมีเดียครั้ง
แรกออกมำ คือโปรแกรม HyperCard แม้วำ่ โปรแกรมนี้จะต้องใช้เครื่ องที่มีกำำ ลังสู ง ต้องใช้เวลำในกำรฝึ กหัดมำก
แต่ผลงที่ได้รับก็น่ำประทับใจ กำรพัฒนำมัลติมีเดียเพื่อกำรศึกษำได้มีกำรดำำเนินไปอย่ำงต่อเนื่อง มีกำรพัฒนำ
โปรแกรม Hyper Studio มำใช้ และได้รับควำมนิยมมำกขึ้นในหลำยๆ โรงเรี ยน อย่ำงไรก็ตำม เพียงภำยในสองปี
มัลติมีเดียเพื่อกำรศึกษำก็ถูกแทนที่โดยสิ่งที่น่ำตื่นเต้นมำกกว่ำ นัน่ ก็คือ อินเทอร์ เน็ต (Internet) นัน่ เอง
ปั จจุบนั นี้ อินเทอร์ เน็ตมีอตั รำกำรเติบโตอย่ำงรวดเร็ ว The Department of Commerce's Census Bureau ของ
ประเทศสหรัฐอเมริ กำ ได้ทำำ กำรสำำรวจในเดือนกันยำยน พ.ศ. 2544 พบว่ำในช่วงไม่กี่ปีที่ผำ่ นมำ จำำนวนคน
อเมริ กนั ที่ใช้อินเทอร์ เน็ตมีจำำ นวนเพิ่มขึ้นถึงเดือนละสองล้ำนคน ซึ่งทำำให้ตวั เลขประชำกรที่ออนไลน์มีจำำ นวน
กว่ำครึ่ งหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริ กำผลกำรสำำรวจรำยงำนว่ำ ปั จจุบนั นี้ คนอเมริ กนั ที่ใช้คอมพิวเตอร์ มีจำำ นวน
ถึง 174 ล้ำนคน (หรื อร้อยละ 66 ของจำำนวนประชำกรทั้งประเทศ) และมีชำวอเมริ กนั ใช้อินเทอร์ เน็ตทั้งสิ้ น
ประมำณ 143 ล้ำนคน (รำว ๆ ร้อยละ 54 ของประชำกร) ส่ วนในประเทศไทยนั้นบริ ษทั ACNielsen ซึ่งเป็ นบริ ษทั
วิจยั กำรตลำดระดับนำนำชำติ ได้ทำำ กำรสำำรวจผูใ้ ช้อินเทอร์ เน็ตในเขตเมืองใหญ่ในแต่ละภำคของประเทศไทยเมื่อ
เดือนพฤษภำคม 2544 และพบว่ำครอบครัวในเมืองใหญ่ที่มีคอมพิวเตอร์ เป็ นของตนเองมีเพียงร้อยละ 24 เท่ำนั้น
ส่ วนจำำนวนผูใ้ ช้อินเทอร์ เน็ตทั้งประเทศมีจำำ นวนประมำณ 10 ล้ำนคน (รำวๆ ร้อยละ 16.6 ของประชำกร) ใน
จำำนวนนี้ ส่ วนใหญ่เป็ นผูใ้ ช้ในเขตกรุ งเทพมหำนคร นอกจำกนั้นศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์
แห่ งชำติ (NECTEC) ก็ได้ทำำ กำรสำำรวจผูใ้ ช้อินเทอร์ เน็ตในประเทศไทยในช่วงเดือนกันยำยน - ตุลำคม 2544 เช่น
กัน พบว่ำผูใ้ ช้อินเทอร์ เน็ตร้อยละ 52 อยูใ่ นกรุ งเทพมหำนคร เป็ นเพศชำยร้อยละ 48.8 และเพศหญิงร้อยละ 51.2
ในจำำนวนผูท้ ี่ใช้อินเทอร์ เน็ตนี้ส่วนใหญ่เป็ นผูท้ ีมีอำยุระหว่ำง 20-29 ปี (ร้อยละ 49.1) และเป็ นผูม้ ีกำรศึกษำระดับ
ปริ ญญำตรี (ร้อยละ 60.3) อย่ำงไรก็ตำม กำรวิจยั ทั้งสองให้ผลที่ตรงกันว่ำ คนไทยส่ วนใหญ่ใช้อินเทอร์ เน็ตเพื่อส่ ง
e-mail ค้นหำข้อมูล ติดตำมข่ำวสำร และสนทนำ (chat) นอกจำกนั้นยังมีกำรสรุ ปด้วยว่ำกำรใช้อินเทอร์ เน็ตใน
ประเทศไทยแพร่ หลำยมำกขึ้น เพรำะค่ำใช้จ่ำยถูกลง และมีอินเทอร์ เน็ตคำเฟมำกขึ้น
กำรพัฒนำอันน่ำมหัศจรรย์ใจของของอินเทอร์ เน็ตในฐำนะที่เป็ นเครื อข่ำยแห่ งเครื อข่ำยทำำให้มีกำรเชื่อม
โยงกันได้อย่ำงเสรี ไม่มีกำรปิ ดกั้น ดังนั้นคนทุกคนจึงสำมำรถเผยแพร่ ขอ้ มูลของตนบนอินเทอร์ เน็ตได้อย่ำง
ง่ำยดำย พอ ๆ กับกำรที่สำมำรถสื บค้นข้อมูลได้จำกแหล่งควำมรู ้ต่ำงๆ ทัว่ โลก และจำกคุณสมบัติดงั กล่ำวนี้ อันเท
อร์ เน็ตจึงมีประโยชน์อย่ำงยิง่ ในกำรศึกษำรู ปแบบต่ำงๆ เพรำะนักเรี ยนและครู สำมำรถสื่ อสำรถึงกันได้โดยผ่ำน
ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อีเมล์ กำรแลกเปลี่ยนควำมรู ้ผำ่ นระบบ bulletin board และ biscussion groups ต่ำงๆ ตล
งอดจนกำรใช้เทคโนโลยีที่ทนั สมัยยิง่ ขึ้นในกำรโทรศัพท์หรื อประชุมทำงไกลผ่ำนอินเทอร์ เน็ต อินเทอร์ เน็ตจึงเพิ่ม
8
1. กำรสอนควำมจำำด้วยกำรท่องจำำเนื้อหำ
2. กำรฝึ กแบบมีพี่เลี้ยง
3. กำรควบคุม
4. กำรจัดกลุ่ม
5. กำรทดสอบ
6. กำรจัดดำำเนินกำรหรื อบริ หำร
ภำยใต้กำรจัดดำำเนินกำรอย่ำงมีประสิ ทธิ ภำพ ครู คนหนึ่ง ๆ จะสำมำรถสอนกลุ่มหัวหน้ำนักเรี ยนได้ถึง 50
คน (หัวหน้ำนักเรี ยนคือพี่เลี้ยง) และหัวหน้ำนักเรี ยนแต่ละคนจะสำมำรถฝึ กนักเรี ยนได้ 10 คน ดังนั้นครู คนหนึ่ง ๆ
ก็จะสำมำรถสอนนักเรี ยนจำำนวน 500 คนหรื อมำกกว่ำนั้นได้ในเวลำเดียวกัน วิธีน้ ีได้ปฏิบตั ิต่อกันมำ จนกระทัง่ ค้น
พบวิธีสอนแบบแก้ปัญหำ (Problem Solving) ในภำยหลัง
2. เทคโนโลยีกำรศึกษำของเปสตำลอสซี
Johann Heinrich Pestalozzi (1746-1827) เกิดที่เมืองซูริค ประเทศสวิสเซอร์ แลนด์ ชีวิตกำรศึกษำของเขำ
ในเบื้องต้นนั้น มุ่งที่จะออกไปเป็ นนักกฎหมำยแต่ดว้ ยอิทธิ พลของสังคมและควำมคิดทำงกำรศึกษำของ Jean
12
1. กำรเล่นเกมและร้องเพลง
2. กำรสร้ำง
3. กำรให้ส่ิ งของและใช้งำน
4. เทคโนโลยีกำรศึกษำของแฮร์ บำร์ ท
ที่ถูกต้องนั้นมำเชื่อมต่อ (Connect) เข้ำกับสิ่ งเร้ำอย่ำงเหมำะสม หรื อกำรเรี ยนรู ้จะเกิดขึ้นได้กโ็ ดยกำรสร้ำงสิ่ งเชื่อม
โยง (Bond) ระหว่ำงสิ่ งเร้ำกับกำรตอบสนองให้เกิดขึ้น ดังนั้นเรำจึงเรี ยกทฤษฎีกำรเรี ยนรู ้ของธอร์ นไดค์วำ่ ทฤษฎี
เชื่อมโยงระหว่ำงสิ่ งเร้ำกับตอบสนอง (S-R Bond Theory) หรื อทฤษฎีสมั พันธ์เชื่อมโยง (Conectionism Theory)
จำกกำรทดลองและแนวควำมคิดต่ำง ๆ ที่เกี่ยวกับกำรเรี ยนรู ้ของธอร์ นไดค์ ดังกล่ำวมำข้ำงต้น เขำได้เสนอ
กฎกำรเรี ยนรู ้ที่สำำ คัญขึ้นมำ 3 กฎ อันถือว่ำเป็ นหลักกำรเบื้องต้นที่นำำ ไปสู่เทคโนโลยีทำงกำรศึกษำและกำรสอน
กฎทั้ง 3 ได้แก่
1. กฎแห่ งกำรฝึ กหัดหรื อกำรกระทำำซ้ำำ (The Law of Exercise or Repetition) ซึ่งเขำได้ช้ ีให้เห็นว่ำ กำรก
ำ อกำรฝึ กหัดนี้ หำกได้ทำำ บ่อย ๆ ซ้ำำ ๆ ซำก ๆ จะทำำให้กำรกระทำำนั้น ๆ ถูกต้องสมบูรณ์และมัน่ คง
ระทำำซ้ำหรื
2. กฎแห่ งผล (The Law of Effect) เป็ นกฎที่มีชื่อเสี ยงและได้รับควำมสนใจมำกที่สุด ใจควำมสำำคัญของกฎ
นี้กค็ ือรำงวัลหรื อควำมสมหวัง จะช่วยส่ งเสริ มกำรแสดงพฤติกรรมนั้นมำกขึ้น แต่กำรทำำโทษหรื อควำมผิดหวังจะ
ลดอำกำรแสดงพฤติกรรมนั้นลง
3. กฎแห่ งควำมพร้อม (The Law of Readiness) กฎนี้หมำยถึงควำมพร้อมของร่ ำงกำย ในอันที่จะแสดง
พฤติกรรมใด ๆ ออกมำ
2. เทคโนโลยีกำรศึกษำของดิวอี้
เทคโนโลยีกำรศึกษำและกำรสอนของ จอห์น ดิวอี้ มีควำมสำำคัญต่อระบบกำรศึกษำของสหรัฐอเมริ กำเป็ น
อย่ำงมำก โดยเฉพำะอย่ำงยิง่ แนวควำมคิดในกำรแก้ปัญหำ (Problem-Solving) ดิวอี้ได้ศึกษำเรื่ องนี้กบั ฮอลล์ ที่
มหำวิทยำลัย จอห์น ฮอบกิน ซึ่งเป็ นมหำวิทยำลัยที่เขำได้รับปริ ญญำดุษฎีบณ ั ฑิต หลังจำกที่ดิวอี้ จบจำก
มหำวิทยำลัยแห่ งนี้ เขำได้สอนที่มหำวิทยำลัยมิชิแกน มินิโซตำ และชิคำโก จำกนั้นเขำได้ไปสอนที่มหำวิทยำลัย
โคลัมเบียในปี ค.ศ.1904 นักจิตวิทยำกำรเรี ยนรู ้ของจอห์น ดิวอี้ ตรงกับข้ำมกับ ธอร์ นไดค์ ดิวอี้ เชื่อว่ำสิ่ งเร้ำกับ
ปฏิกิริยำตอบสนอง ไม่สำมำรถแยกออกจำกกันได้อย่ำงชัดเจน แต่มีควำมสัมพันธ์กนั อย่ำงใกล้ชิด ดิวอี้ ได้โจมตี
พวกมีควำมเชื่อในเรื่ องมโนภำพแบบสะท้อนกลับ (The Reflect Arc Concept) ซึ่งยืนยันกำรเรี ยนรู ้รวมเอำกำรมี
ผลกระทบต่อกัน ระหว่ำงผูเ้ รี ยนกับสิ่งแวดล้อมของเขำเข้ำไว้ดว้ ยจำกกำรทดลองของดิวอี้ที่มีต่อเทคโนโลยีกำร
ศึกษำนั้น น่ำจะได้แนะแนวควำมคิดของเขำที่เกี่ยวกับกำรสอน ซึ่งเป็ นวิธีกำรทำงวิทยำศำสตร์ สำำ หรับดิวอี้ ควรคิด
ที่ให้ผลคุม้ ค่ำก็คือวิธีกำรไตร่ ตรอง (Reflective Method) หรื อกำรพิจำรณำอย่ำงรอบคอบและแน่นอน เกี่ยวกับ
ควำมเชื่อหรื อแบบแผนของควำมรู ้ที่เกิดขึ้น สำระของวิธีกำรแบบไตร่ ตรองของดิวอี้ มีอยูใ่ นหนังสื อชื่อ How We
Think ซึ่งได้กล่ำวถึงกำรไตร่ ตรองในฐำนะที่เป็ นควำมเคลื่อนไหวทำงจิตวิทยำ โดยมีข้ นั ตอนดังนี้
1. ผูเ้ รี ยนปะทะกับปั ญหำ เขำจะต้องรู ้จุดมุ่งหมำยบำงอย่ำง และรู ้สึกถูกกีดกันจำกอุปสรรคที่สอดแทรกเข้ำมำ ดัง
นั้นเขำจำำเป็ นต้องทำำให้มีควำมต่อเนื่องกัน
2. หลังจำกได้ปะทะกับปั ญหำ หรื อรู ้สึกว่ำข้อมูลที่รู้มำขัดแย้งกัน เขำจะตั้งสมมติฐำนขึ้นเพื่อกำำหนดคำำตอบลองดู
ซึ่งอำจจะเป็ นกำรแก้ปัญหำที่ใช้ได้
16
4.เทคโนโลยีกำรศึกษำของเลวิน
จำกกำรศึกษำค้นคว้ำทดลองของ Kurt Lewin ที่มหำวิทยำลัยแห่ งเบอร์ ลิน ประมำณปลำยปี ค.ศ.1920
ทำำให้เกิดหลักกำรทฤษฎีที่สำำ คัญขึ้นมำทฤษฎีหนึ่ง และถึงแม้ทฤษฎีน้ ีจะได้ทดลองปฏิบตั ิอย่ำงใกล้ชิดกับจิตวิทยำ
เกสตัลท์ ในกรุ งเบอร์ ลินก็ตำม แต่ทฤษฎีของเลวิน มีควำมสัมพันธ์กบั นักจิตวิทยำกลุ่มเกสตัลท์ตำมที่คนทัว่ ๆ ไป
เข้ำใจอยูเ่ พียงเล็กน้อยเท่ำนั้นเอง
ทฤษฎีทว่ั ๆ ของเลวิน ถึงแม้กำรกล่ำวถึงทฤษฎีทว่ั ๆ ไป ของเลวินจะไม่ใช่จุดมุ่งหมำยของเรำในกำร
ศึกษำเรื่ องพัฒนำกำรของเทคโนโลยีกำรศึกษำ แต่กำรได้ทรำบถึงจุดเริ่ มของกำรศึกษำค้นคว้ำและทฤษฎีของเขำ
จะช่วยให้เรำเข้ำใจมูลฐำนของกำรสร้ำงทฤษฎีกำรเรี ยนรู ้ของเขำแจ่มแจ้งขึ้น ทฤษฎีของเลวินมีลกั ษณะคล้ำยกับ
ทฤษฎีกลุ่มเกสตัลท์ ในแง่ที่วำ่ เขำได้เน้นในเรื่ องกำรจัดสถำนกำรณ์เพื่อกำรตอบสนองในลักษณะรวมทั้งหมด (As
a whole) ไม่ใช่กำรพิจำรณำส่ วนย่อยของสถำนกำรณ์หรื อสิ่ งนั้น ๆ แต่ทฤษฎีของเลวินก็ต่ำงไปจำกเกสตัลท์ใน
เรื่ องเกี่ยวกับกำรจูงใจ โดยเขำได้เน้นในเรื่ องเกี่ยวกับกำรจูงใจเป็ นหลักกำรสำำคัญ
Life Space หรื อที่เรำเรี ยกกันว่ำ อวกำศแห่ งชีวิตตำมแนวคิดของเลวินนั้น เขำใช้คำำ นี้ เพื่อต้องกำรหมำยถึง
อวกำศหรื อห้วงแห่ งชีวิตอันเป็ นเสมือนโลกอีกโลกหนึ่งต่ำงหำก ซึ่งเป็ นโลกทำงควำมคิดหรื อโลกของจิต
(Rsychological World) ของแต่ละบุคคล อวกำศแห่ งชีวิตจะมีอิทธิ พลหรื อควำมสัมพันธ์กบั พฤติกรรมของบุคคล
แต่ละคน ตำมแต่เขำจะมีอวกำศแห่ งชีวิตอย่ำงไร
ส่ วนควำมคิดรวบยอดเกี่ยวกับ Topological ของเลวินนั้น เขำใช้เพื่ออธิ บำยโครงสร้ำงเกี่ยวกับกำรรับรู ้
และปฏิกิริยำต่ำง ๆ ที่ควรจะดำำเนินกำรไปได้ของอวกำศแห่ งชีวิตในลักษณะของย่ำน (Regions) และอำณำเขตหรื อ
ขอบเขต (Boundaries) เช่น ในอวกำศแห่ งชีวิตของคน ๆ หนึ่ง สมมติวำ่ เขำกำำลังคิดถึงเรื่ องของ "กำรกินในตอนนี้
เป็ นเรื่ องของย่ำน (Regions) ควำมคิดเขำจะมีปฏิกิริยำในขอบเขต (Boundaries) ต่ำง ๆ กันออกไปตำม แต่วำ่ ใน
ขณะนั้น เขำหิ วหรื ออิ่ม เป็ นต้น
5. ทฤษฎีกำรศึกษำของสกินเนอร์
ทฤษฎีกำรวำงเงื่อนไขแบบอำกำรกระทำำ (Operant Conditioning) หรื อพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ของ B.F.
Skinner จัดว่ำเป็ นทฤษฎีที่เสริ มต่อจำกทฤษฎีจิตวิทยำ S-R หรื อทฤษฎีสมั พันธ์เชื่อมโยงของธอร์ นไดค์และทฤษฎี
พฤติกรรมของ Watson โดยรวมเอำแนวคิดของทฤษฎีท้ งั สองเข้ำด้วยกัน กล่ำวคือ เขำมีควำมเห็นว่ำมนุษย์เรำนั้นมี
ลักษณะที่เป็ นกลำงและอยูน่ ่ิงเฉย (Man is neutral and passive) ดังนั้น พฤติกรรมทั้งหลำยของมนุษย์จึงสำมำรถ
อธิ บำยได้ดว้ ยเรื่ องของกลไก (Mechanistic) ในกำรควบคุมพฤติกรรม จำกกำรทดลองสกินเนอร์ จึงได้เกิดเป็ น
ทฤษฎีทำงจิตวิทยำที่เขำเรี ยกว่ำ ทฤษฎีเงื่อนไขแบบอำกำรกระทำำ (Operant Conditioning) พอสรุ ปได้ดงั นี้ คือ
"กำรกระทำำใด ๆ ถ้ำได้รับกำรเร้ำด้วยกำรเสริ มแรง อัตรำควำมเข้มแข็งของกำรตอบสนองจะมีโอกำสสู งขึ้น"
อย่ำงไรก็ตำม กำรเสริ มแรงมีท้ งั ทำงบวกและทำงลบ ตลอดจนตัวเสริ มแรงปฐมภูมิและทุติยภูมิ (Primary
and Secondary Reinforces) ดังนั้นพฤติกรรมในด้ำนกำรตอบสนองต่อตัวเสริ มแรง จึงมีแตกต่ำงกันออก
ไปตำมแต่ชนิดของกำรเสริ มแรง
18
นักเทคโนโลยีกำรศึกษำของไทย
นักเทคโนโลยีทำงกำรศึกษำของไทย ตั้งแต่ยคุ แรกเริ่ มจนถึงปั จจุบนั ที่สำำ คัญได้แก่
1. พ่อขุนรำมคำำแหงมหำรำช ผูป้ ระดิษฐ์อกั ษรไทย
2. พระมหำธรรมรำชำลิไทย ผูน้ ิพนธ์ "ไตรภูมิพระร่ วง"
3. พระโหรำธิ บดี ผูแ้ ต่ง "จินดำมณี " ซึ่งเป็ นแบบเรี ยนเล่มแรกของไทย
4. พระบำทสมเด็จพระนัง่ เกล้ำเจ้ำอยูห่ วั "บิดำสำขำวิทยำศำสตร์ และให้แนวคิดมหำวิทยำลัยเปิ ดของไทย
5. พุทธทำสภิกขุ ในฐำนะที่ได้นำำ เทคโนโลยีมำใช้ในกำรเผยแพร่ ธรรม
6. ศำส ตรำจำรย์สำำ เภำ วรำงกูล ในฐำนะผูร้ ิ เริ่ มและบุกเบิก นวัตกรรมและเทคโนโลยีทำงกำรศึกษำสมัยใหม่ใน
ไทย
7. รองศำสตรำจำรย์ ดร.เปรื่ อง กุมุท ผูค้ ิดวิธีสอนแบบเบญจขันธ์
8. ศำสตรำจำรย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ นักเทคโนโลยีกำรศึกษำ ที่เน้นแนวคิดทำงพฤติกรรมศำสตร์ ผลงำนที่
สำำคัญได้แก่ ระบบกำรเรี ยนกำรสอน แบบศูนย์ กำรเรี ยน ระบบแผนจุฬำ แบบ มสธ.. ฯลฯ
9. อำจำรย์ธนู บุณยรัตพันธ์ นักเทคโนโลยีกำรศึกษำที่มีผลงำนทั้งด้ำนวัสดุอุปกรณ์ กำรสอนโดยเฉพำะในด้ำน
วัสดุอุปกรณ์ในท้องถิ่น
10. ศำสตรำจำรย์ ดร. วีรยุทธ วิเชียรโชติ นักจิตวิทยำและเทคโนโลยีกำรศึกษำที่ได้ประยุกต์หลักธรรมทำงพุทธ
ศำสนำมำใช้ประโยชน์ในกำรเรี ยนกำรสอน ผลงำนที่สำำ คัญ ได้แก่ ระบบกำรเรี ยนกำรสอน แบบสื บสวนสอบสวน
11. รองศำสตรำจำรย์ โช สำลีฉนั นักเทคโนโลยีทำงกำรศึกษำที่มีผลงำนเด่นในด้ำนกำรผลิตวัสดุอุปกรณ์กำรสอน
วิทยำศำสตร์ จำกทรัพยำกรพื้นบ้ำน
12. ศำสตรำจำรย์ ดร.วิจิตร ศรี สะอ้ำน ผูร้ ิ เริ่ มตั้งมหำวิทยำลัยเปิ ดโดยกำรสอนทำงไกลของมหำวิทยำลัยสุ โขทัยธร
รมมำธิรำช
มุมมองเทคโนโลยีที่สมัยเก่ำมองเป็ นภำพของโสตทัศนศึกษำเปลี่ยนไป ปรับเป็ น เทคโนโลยีสำรสนเทศ
และกำรสื่ อสำร แนวคิดของเทคโนโลยีกำรศึกษำยังอยูแ่ ต่เน้นกำรนำำเอำเทคโนโลยีสื่อสำรและกำรสนเทศ
(Information and Communication Technology) มำใช้เพื่อควำมทันสมัยและทันกับควำมก้ำวหน้ำของกำรสื่ อสำร
21
สภำพปัจจุบันของเทคโนโลยีกำรศึกษำในประเทศไทย
เทคโนโลยีสำรสนเทศเพื่อกำรศึกษำ
1. เทคโนโลยีสำรสนเทศเพื่อกำรศึกษำ" หมำยถึง กำรนำำเอำเทคโนโลยีสำรสนเทคซึ่งประกอบด้วย
เทคโนโลยีทำงด้ำนคอมพิวเตอร์ และเครื อข่ำยโทรคมนำคมที่ต่อเชื่อมกัน สำำหรับส่ งและรับข้อมูลและมัลติมีเดีย
เกี่ยวกับควำมรู ้โดยผ่ำนกระบวนกำรประมวลหรื อจัดทกให้อยูใ่ นรู ปแบบที่มีควำมหมำยและควำมสะดวก มำใช้
ประโยชน์สำำ หรับกำรศึกษำในระบบ กำรศึกษำนอกระบบ และกำรศึกษำตำมอัธยำศัย เพื่อให้คนไทยสำมำรถเรี ยน
24
เพื่อประโยชน์ในกำรจัดสรรคลื่นควำมถี่ให้ภำคประชำชนได้ใช้ และกำรสนับสนุนกำรใช้คลื่นควำมถี่ให้
ประชำชนใช้และกำรสนับสนุนกำรใช้เคลื่นควำมถี่ของประชำชน ให้ กสช. กำำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับลักษณะ
ของภำคประชำชนที่พึงได้รับกำรจัดสรรและสนับสนุนให้ใช้คลื่นควำมถี่ รวมทั้งลักษณะกำรใช้คลื่นควำมถี่ที่ได้
รับจัดสรร โดยอย่ำงน้อยประชำชนนั้นต้องดำำเนินิกำรโดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อประโยชน์สำธำรณะและไม่แสวงหำ
กำำไรในทำงธุรกิจ
มำตรำ 27 กำรกำำหนดเกณฑ์และกำรพิจำรณำออกใบอนุญำตให้ใช้คลื่นควำมถี่และใบ อนุญำตให้
ประกอบกิจกำรกระจำยเสี ยงหรื อกิจกำรโทรทัศน์ให้คำำ นึงถึงประโยชน์สำธำรณะตำมที่บญั ญัติไว้ในมำตรำ 25
เป็ นสำำคัญ
2. พระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่ งชำติ พ.ศ. 2542 หมวด 9 ว่ำด้วยเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ มีสำระสำำคัญ
สรุ ปได้ดงั นี้
1.มำตรำ 63 รัฐต้องจัดสรรคลื่นควำมถี่ สื่ อตัวนำำและโครงสร้ำงพื้นฐำนอื่นที่จำำ เป็ นต่อกำรส่ ง
วิทยุกระจำยเสี ยง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรคมนำคม และ กำรสื่ อสำรในรู ปอื่น เพื่อใช้ประโยชน์สำำ หรับกำรศึกษำใน
ระบบ กำรศึกษำนอกระบบ กำรศึกษำตำมอัธยำศัย กำรทะนุบำำ รุ งศำสนำ ศิลป และวัฒนธรรมตำมควำมจำำเป็ น
2.มำตรำ 64 รัฐต้องส่ งเสริ มและสนับสนุนให้มีกำรผลิต และพัฒนำแบบเรี ยนตำำรำหนังสื อทำง
วิชำกำร สื่ อสิ่ งพิมพ์อื่นๆ วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำอื่น โดยเร่ งรัดพัฒนำขีดควำมสำมำรถในกำร
ผลิตจัดให้มีเงินสนับสนุนกำรผลิตและมีกำรให้แจงจูงใจแก่ผผู ้ ลิต จัดให้มีเงินสนับสนุนกำรผลิตและมีกำรให้แรง
จูงใจแก่ผผู ้ ลิต และพัฒนำเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ ทั้งนี้ โดยเปิ ดให้มีกำรแข่งขันโดยเสรี อย่ำงเป็ นธรรม
3.มำตรำ 65 ให้มีกำรพัฒนำบุคลำกรทั้งด้ำนผูผ้ ลิต และผูใ้ ช้เทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ เพื่อให้มีควำมรู ้
ควำมสำมำรถและทักษะในกำรผลิต รวมทั้งกำรใช้เทคโนโลยีที่เหมำะสม มีคุณภำพ และประสิ ทธิ ภำพ
4.มำตรำ 66 ผูเ้ รี ยนมีสิทธิ ได้รับกำรพัฒนำขีดควำมสำมำรถในกำรใช้เทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำใน
โอกำสแรกที่ทำำ ได้ เพื่อให้มีควำมรู ้และทักษะเพียงพอที่จะใช้เทคโนโลยเพื่อกำรศึกษำในกำรแสวงหำควำมรู ้ดว้ ย
ตนเองได้อย่ำงต่อเนื่องตลอดชีวิต
5.มำตรำ 67 รัฐต้องส่ งเสริ มให้มีกำรวิจยั และพัฒนำ กำรผลิตและกำรพัฒนำเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ
รวมทั้งกำรติดตำม ตรวจสอบ และประเมินผลกำรใช้เทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ เพื่อ ให้เกิดกำรใช้เกิดกำรใช้ที่คุม้ ค่ำ
และเหมำะสมกับกระบวนกำรเรี ยนรู ้ของคนไทย
6.มำตรำ 68 ให้มีกำรระดมทุน เพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนำเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ จำกเงินอุดหนุนของ
รัฐ ค่ำสัมปทำนและผลกำำไรได้จำกกำรดำำเนินกิจกำรด้ำนสื่ อมวลชน เทคโนโลยีสำรสนเทศ และโทรคมนำคมจำก
ทุกฝ่ ำยเกี่ยวข้องทั้งภำครัฐ ภำคเอกชน และองค์กรประชำชน รวมทั้งให้มีกำรลดอัตรำค่ำบริ กำรเป็ นพิเศษในกำรใช้
เทคโนโลยีดงั กล่ำว เพื่อกำรพัฒนำคนและสังคมหลักเกณฑ์และวิธีกำรจัดสรรวเงินกองทุนเพื่อผลิต กำรวิจยั และ
กำรพัฒนำเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ ให้เป็ นไปตำมที่กำำ หนดในกฎกระทรวง
26
2. บทบำทของเทคโนโลยีกำรศึกษำ
บทบำทของเทคโนโลยีกำรศึกษำในกำรเรียนกำรสอนจึงมีอยู่ 4 บทบำท ดังนี้
1. บทบำทด้ำนกำรจัดกำร
2. บทบำทด้ำนกำรพัฒนำ
3. บทบำทด้ำนทรัพยำกร
4. บทบำทด้ำนผูเ้ รี ยน
จำก Domain of Education Technology จะเห็นได้วำ่ แนวโน้มของเทคโนโลยีทำงกำรศึกษำ คือ กำรจัดระเบียบ
(organizing) และกำรบูรณำกำร (integrating) องค์ประกอบต่ำงๆ ทั้งหลำยที่จะเอื้ออำำนวยให้ผเู ้ รี ยนเกิดกำรเรี ยนรู ้
อย่ำงมีประสิ ทธิ ภำพและประสิ ทธิ ผล หรื อกล่ำวได้วำ่ เป็ นกำรเอื้ออำำนวยต่อกำรเรี ยนรู ้ องค์ประกอบต่ำงๆ ทั้ง
หลำยนั้น ประกอบด้วย
1. กำรจัดกำรทำงกำรศึกษำ (Educational Management Functions) เป็ นหน้ำที่ที่มีจุดมุ่งหมำย เพื่อควบคุม
หรื อกำำกับกำรพัฒนำกำรศึกษำ/กำรสอน หรื อกำรจัดกำรทำงกำรศึกษำ/กำรสอน (กำรวิจยั กำรออกแบบ กำรผลิต
กำรประเมนผล กำรให้ควำมช่วยเหลือกำรใช้) เพื่อเป็ นหลักประกันประสิ ทธิ ผลกำรปฏิบตั ิงำน ซึ่งแบ่งเป็ น 2
ประกำรใหญ่ ๆ คือ
1.1 กำรจัดกำรหรื อบริ หำรด้ำนหน่วยงำนหรื อองค์กำร (Organization Management) เพื่อให้ดำำ เนินงำนตำม
วิธีระบบและบรรลุวตั ถุประสงค์ จะเกี่ยวข้องกับงำนสำำคัญ ๆ ดังนี้คือ
1.1.1) กำรกำำหนดจุดมุ่งหมำยและนโยบำย เกี่ยวกับบทบำท วัตถุประสงค์ กำรเรี ยนกำรสอน
ผูเ้ รี ยน ทรัพยำกรกำรเรี ยน ฯลฯ จะต้องให้มีควำมเหมำะสมและสอดคล้องกัน
1.1.2) กำรให้กำรสนับสนุน จะต้องมีกำรวำงแผน กำรจัดหำข้อมูล ตลอดจนสิ่งอำำนวยควำม
สะดวกในกำรพิจำรณำและตัดสิ นใจ และกำรวำงแผนปฏิบตั ิงำนและกำรประเมินผลงำนที่ดี
1.1.3) กำรจัดบริ กำรที่มีประสิ ทธิ ภำพ
1.1.4) กำรสร้ำงควำมประสำนสัมพันธ์ ให้มีกำรร่ วมมือในกำรปฏิบตั ิงำนของทุกฝ่ ำย ตลอดจน
วิธีกำรเผยแพร่ ข่ำวสำร และกำรติดต่อสื่ อสำรเพื่อให้กำรปฏิบตั ิงำนดำำเนินไปด้วยควำมเรี ยบร้อยและสำำเร็ จตำม
วัตถุประสงค์
สุ รวัฒนบูรณ์ (2528) และ วไลพร ภวภูตำนนท์ ณ มหำสำรคำม (ม.ป.ป. : 125) ที่กล่ำวว่ำ กำรที่จะเกิดกำร
เรี ยนรู ้ได้น้ นั จะต้องอำศัยกำรรับรู ้ที่เกิดจำกกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็ นผลมำจำกกำรได้รับประสบกำรณ์
กำรรับรู ้มีขบวนกำรที่ทำำ ให้เกิดกำรรับรู ้ โดยกำรนำำควำมรู ้เข้ำสู่สมองด้วยอวัยวะสัมผัส และเก็บรวบรวมจดจำำไว้
สำำหรับเป็ นส่ วนประกอบสำำคัยที่ทำำ ให้เกิดมโนภำพและทัศนคติ ดังนั้นกำรมีส่ิ งเร้ำที่ดีและมีองค์ประกอบของกำร
รับรู ้ที่สมบูรณ์ถูกต้อง ก็จะทำำให้เกิดกำรเรี ยนรู ้ที่ดีดว้ ยซึ่งกำรรับรู ้เป็ นส่ วนสำำคัญยิง่ ต่อกำรรับรู ้
นอกจำกนี้ กระบวนกำรรับรู ้ยงั สำมำรถใช้ประโยชน์ในกำรเรี ยนกำรสอนด้วย ซึ่ง Fleming (1984: 3) ให้ขอ้ เสนอ
แนะว่ำมีเหตุผลหลำยประกำรที่นกั ออกแบบเพื่อกำรเรี ยนกำรสอนจำำต้องรู ้และนำำหลักกำรของกำรรับรู ้ไปประยุกต์
ใช้กล่ำวคือ
1. โดยทัว่ ไปแล้วสิ่ งต่ำง ๆ เช่น วัตถุ บุคคล เหตุกำรณ์ หรื อสิ่งที่มีควำมสัมพันธ์กนั ถูกรับรู ้ดีกว่ำ มันก็
ย่อมถูกจดจำำได้ดีกว่ำเช่นกัน
2. ในกำรเรี ยนกำรสอนจำำเป็ นต้องหลีกเลี่ยงกำรรับรู ้ที่ผิดพลำด เพรำะถ้ำผูเ้ รี ยนรู ้ขอ้ ควำมหรื อเนื้อหำผิด
พลำด เขำก็จะเข้ำใจผิดหรื ออำจเรี ยนรู ้บำงสิ่งที่ผิดพลำดหรื อไม่ตรงกับควำมเป็ นจริ ง
3. เมื่อมีควำมต้องกำรสื่ อในกำรเรี ยนกำรสอนเพื่อใช้แทนควำมเป็ นจริ งเป็ นเรื่ องสำำคัญที่จะต้องรู ้วำ่ ทำำ
อย่ำงไร จึงจะนำำเสนอควำมเป็ นจริ งนั้นได้อย่ำงเพียงพอที่จะให้เกิดกำรรับรู ้ตำมควำมมุ่งหมำยกฤษณำ ศักดิ์ศรี
(2530: 487) กล่ำวถึง บทบำทของกำรรับรู ้ที่มีต่อกำรเรี ยนรู ้วำ่ บุคคลจะเกิดกำรเรี ยนรู ้ได้ดี และมำกน้อยเพียงใด
ขึ้นอยูก่ บั กำรรับรู ้และกำรรับรู ้ส่ิงเร้ำของบุคคล นอกจำกจะขึ้นอยูก่ บั ตัวสิ่ งเร้ำและประสำทสัมผัสของผูร้ ับรู ้แล้ว
ยังขึ้นอยูก่ บั ประสบกำรณ์เดิมของผูร้ ู ้และพื้นฐำนควำมรู ้เดิมที่มีต่อสิ่ งที่เรี ยนด้วย
จิตวิทยำกำรเรียนรู้
เมื่อทรำบถึงควำมสัมพันธ์ของกำรรับรู ้ ที่จะนำำไปสู่กำรเรี ยนรู ้ที่มีประสิ ทธิ ภำพแล้ว ผูบ้ รรยำยจึงต้องเป็ นผู ้
กระตุน้ หรื อเสนอสิ่ งต่ำง ๆ ให้ผเู ้ รี ยน เพรำะกำรเรี ยนรู ้เป็ นกระบวนกำรที่เกิดขึ้นในตัว ผูเ้ รี ยนซึ่ง จำำเนียร ช่วงโชติ
(2519) ให้ควำมหมำยไว้วำ่ "…กำรเรี ยนรู ้ หมำยถึง กำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเกิดจำกประสบกำรณ์ที่มี
ขอบเขตกว้ำง และสลับซับซ้อนมำกโดยเฉพำะในแง่ของกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม…"
วรกวิน (2523: 56-60) กำรเรี ยนรู ้ หมำยถึง กระบวนกำรเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งหมำยถึง กิจกรรมที่ผเู ้ รี ยนแสดงออก
และสำมำรถสังเกตและวัดได้ กำรศึกษำกระบวนกำรเรี ยนรู ้จึงต้องศึกษำเรื่ องของพฤติกรรมมนุษย์ที่เปลี่ยนไปใน
ลักษณะที่พึงประสงค์ กำรศึกษำพฤติกรรมต่ำง ๆ จะต้องมีระบบระเบียบ วิธีกำร และอำศัยควำมรู ้ต่ำง ๆ เช่น
จิตวิทยำ กำรศึกษำ สังคมวิทยำ มำนุษยวิทยำ เศรษฐศำสตร์ รัฐศำสตร์ กระบวนกำรสื่ อควำมและสื่ อควำมหมำย
และสื่ อควำมหมำย กำรพิจำรณำกำรเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยนจำำเป็ นต้องสังเกตและวัดพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป กำรศึกษำ
พฤติกรรมต่ำง ๆ นำำไปสู่กำรกำำหนดทฤษฎี กำรเรี ยนรู ้ต่ำง ๆ ทฤษฎีกระบวนกำรกลุ่มพฤติกรรมร่ วมกันระหว่ำงครู
และผูเ้ รี ยนรวมทั้งวิธีกำรจัดระบบกำรเรี ยนกำรสอนที่จะช่วยทำำให้ผเู ้ รี ยนเปลี่ยนพฤติกรรมกำรเรี ยนรู ้ไปตำม
วัตถุประสงค์ กำรเรี ยนรู ้เป็ นพื้นฐำนของกำรดำำเนินชีวิต มนุษย์มีกำรเรี ยนรู ้ต้ งั แต่แรกเกิดจนถึงก่อนตำย จึงมีคำำ
34
กล่ำวเสมอว่ำ "No one too old to learn" หรื อ ไม่มีใครแก่เกินที่จะเรี ยน กำรเรี ยนรู ้จะช่วยในกำรพัฒนำคุณภำพชีวิต
ได้เป็ นอย่ำงดี
กำรเรี ยนรู ้ของคนเรำ จำกไม่รู้ไปสู่กำรเรี ยนรู ้ มี 5 ขั้นตอนดังที่ กฤษณำ ศักดิ์ศรี (2530) กล่ำวไว้ดงั นี้
"…กำรเรี ยนรู ้เกิดขึ้นเมื่อสิ่ งเร้ำ (stimulus) มำเร้ำอินทรี ย ์ (organism) ประสำทก็ตื่นตัว เกิดกำรรับสัมผัส หรื อ
เพทนำกำร (sensation) ด้วยประสำททั้ง 5 แล้วส่ งกระแสสัมผัสไปยังระบบประสำทส่ วนกลำง ทำำให้เกิดกำรแปล
ควำมหมำยขึ้นโดยอำศัยประสบกำรณ์เดิมและอื่น ๆ เรี ยกว่ำ สัญชำน หรื อกำรรับรู ้ (perception) เมื่อแปลควำม
หมำยแล้ว ก็จะมีกำรสรุ ปผลของกำรรับรู ้เป็ นควำมคิดรวบยอดเรี ยกว่ำ เกิดสังกัป (conception) แล้วมีปฏิกิริยำตอบ
สนอง (response) อย่ำงหนึ่งอย่ำงใดต่อสิ่ งเร้ำตำมที่รับรู ้เป็ นผลให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงพฤิตกรรม แสดงว่ำกำรเรี ยน
รู ้ได้เกิดขึ้นแล้วประเมินผลที่เกิดจำกกำรตอบสนองต่อสิ่งเร้ำได้แล้ว…"
กำรเรี ยนรู ้เป็ นพื้นฐำนของกำรดำำเนินชีวิต มนุษย์มีกำรเรี ยนรู ้ต้ งั แต่แรกเกิดจนถึงก่อนตำย จึงมีคำำ กล่ำวเสมอว่ำ
"No one too old to learn" หรื อ ไม่มีใครแก่เกินที่จะเรี ยน กำรเรี ยนรู ้จะช่วยในกำรพัฒนำคุณภำพชีวิตได้เป็ นอย่ำงดี
ลำำดับขั้นของกำรเรียนรู้
ในกระบวนกำรเรี ยนรู ้ของคนเรำนั้น จะประกอบด้วยลำำดับขั้นตอนพื้นฐำนที่สำำ คัญ 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ
(1) ประสบกำรณ์ (2) ควำมเข้ำใจ และ (3) ควำมนึกคิด
1. ประสบกำรณ์ (experiences) ในบุคคลปกติทุกคนจะมีประสำทรับรู ้อยูด่ ว้ ยกันทั้งนั้น ส่ วนใหญ่ที่เป็ นที่
เข้ำใจก็คือ ประสำทสัมผัสทั้งห้ำ ซึ่งได้แก่ ตำ หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง ประสำทรับรู ้เหล่ำนี้จะเป็ นเสมือนช่องประตู
35
ทฤษฎีกำรสื่ อสำร
กำรสื่ อสำร (communication )คือกระบวนกำรแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่ำวสำรระหว่ำงบุคคลต่อบุคลหรื อบุคคล
ต่อกลุ่ม โดยใช้สญ ั ญลักษณ์ สัญญำน หรื อพฤติกรรมที่เข้ำใจกัน โดยมีองค์ประกอบดังนี้
ผู้ส่งสำร คือผูท้ ี่ทำำ หน้ำที่ส่งข้อมูล สำรไปยังผูร้ ับสำรโดยผ่ำนช่องทำงที่เรี ยกว่ำสื่ อ ถ้ำหำกเป็ นกำรสื่ อสำร
ทำงเดียวผูส้ ่ งจะทำำหน้ำที่ส่งเพียงประกำรเดียวแต่ถำ้ เป็ นกำรสื่ อสำร 2 ทำง ผูส้ ่ งสำรจะเป็ นผูร้ ับในบำงครั้งด้วย
ผูส้ ่ งสำรจะต้องมีทกั ษะในกำรสื่ อสำร มีเจตคติต่อตนเอง ต่อเรื่ องที่จะส่ ง ต้องมีควำมรู ้ในเนื้อหำที่จะส่ งและอยู่
ในระบบสังคมเดียวกับผูร้ ับก็จะทำำให้กำรสื่ อสำรมีประสิ ทธิ ภำพ
ข่ำวสำรในกำระบวนกำรติดต่อสื่ อสำรก็มีควำมสำำคัญ ข่ำวสำรที่ดีตอ้ งแปลเป็ นรหัส เพื่อสะดวกในกำรส่ ง
กำรรับและตีควำม เนื้อหำสำรของสำรและกำรจัดสำรก็จะต้องทำำให้กำรสื่ อควำมหมำยง่ำยขึ้น
สื่ อ หรื อช่องทำงในกำรรับสำรคือ ประสำทสัมผัสทั้งห้ำ คือ ตำ หู จมูก ลิ้น และกำยสัมผัส และตัวกลำงที่
มนุษย์สร้ำงขึ้นมำเช่น สิ่ งพิมพ์ กรำฟิ ก สื่ ออิเลกทรอนิกส์
ผู้รับสำร คือผูท้ ี่เป็ นเป้ ำหมำยของผูส้ ่ งสำร กำรสื่ อสำรจะมีประสิ ทธิ ภำพ ผูร้ ับสำรจะต้องมีประสิ ทธิ ภำพ
ในกำรรับรู ้ มีเจตคติที่ดีต่อข้อมูลข่ำวสำร ต่อผูส้ ่ งสำรและต่อตนเอง
38
เอกสำรอ้ ำงอิง
วสันต์ อติศพั ท์,"ทิศทำงใหม่ของนวัตกรรมทำงเทคโนโลยีกำรศึกษำ : กระบวนทัศน์ใหม่ของนัก
เทคโนโลยีกำรศึกษำและกำรเตรี ยมครู แห่ งอนำคต", เอกสำรประกอบกำรสัมมนำ โสตฯ-เทคโนสัมพันธ์ ครั้ง
ที่ 16, มหำวิทยำลัยเชียงใหม่, 2544,