Professional Documents
Culture Documents
โอวาทสี่ของท่านเหลี่ยวฝาน
โอวาทสี่ของท่านเหลี่ยวฝาน
ฉบับสมบูรณ
โอวาทสี่ของทานเหลี่ยวฝาน
๑๐มงคลธรรมแหงชีวิตของจีนโบราณ
เซี่ยว
ความกตัญnูกตเวที
ตี้
ความรักความเกรงใจในสายเลือดเดียวกัน
จง
ความจงรักภักดีตอชาติศาสนกษัตริยซื่อสัตยตอผูบังคับบัญชา
รักษาหนาที่และความรับผิดชอบไวดวยชีวิต
ซิ่น
ความมีสัจจะทั้งกายวาจาใจความมั่นใจที่จะทําแตความดีงาม
ทั้งกับตนเองและผูอื่นการตรงตอเวลาพูดอยางไรทําอยางนั้น
หลี่
ความมีระเบียบวินัยอยูในกรอบประเพณีอันดีงามความมีคารวะตอผูอื่น
การวางตนสุภาพออนโยนตามควรแกฐานะของแตละบุคคล
อี้
การยึดหลักคุณธรรมในการรับผิดชอบตอตนเองและตอผูอื่นเสียสละแม
แตชีวิตเพื่อผดุงความถูกตองไวชวยเหลือถวนหนาไมนําพาตอความมีจน
หรือดีเลวของแตละบุคคลมีน้ําใจโดยไมเลือกที่รักมักที่ชัง
เหลียน
ความสันโดษกระทําแตสิ่งที่ถูกตองดีงามยอมรับสภาพความเปนจริง
ไมอยากไดในสิ่งที่ไมควรไดซึ่งจะนําไปสูการทุจริต
โดยตองคํานึงถึงสิทธิหนาที่และความรับผิดชอบ
ฉื่อ
ความมีหิริโอตตัปปะ
เหยิน
ความมีพรหมวิหารสี่พรอมที่จะชวยเหลือไมวาคนหรือสัตว
ไมวามิตรหรือศัตรู
จื้อ
ความมีปญญาที่เห็นปญญาความมีปญญาที่จะใชปญญาใหถูกตอง
ไมสันโดษในการแสวงหาคุณธรรมใหยิ่งๆขึ้นไป
โดยเฉพาะบานเมืองในยุคตนรัตนโกสินทรกับปจจุบัน ไฉนจึงตาง
กันนัก ในเมื่อชาวไทยหรือชาวจีน ตางก็มีพระพุทธศาสนาเปนเรือนใจดวย
กันทั้งนั้น
ปญหานี้มิไดผิดที่คนใดคนหนึ่งผิดที่ระบบของสังคมถูกแปรผันดวย
แรงผลักดันอันเปน กระแสของโลกตามกฎแหงไตรลักษณและกฎแหง
กรรมที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาทรงสอนใหมองโลกตามความเปนจริง
จึงไมควรเพงโทษกันและกันเปนการขาดเมตตาธรรม
เราควรชวยกันแกไขที่ระบบ ใหการอบรมจากพอแมและครูอาจารย
ประสานตอเนื่องกันอยางรอบคอบและไมหยุดยั้ง เพียงแคศีลหาเทานั้น ถา
ประพฤติเปนปรกติวิสัยกันแลวภาวะแวดลอมและชีวิตจิตใจของชาวไทยยุค
รัตนโกสินทรสองรอยปก็จะถึงซึ่งความพอใจดวยกันทุกฝาย
ขอสรรพชีวิตจงมีสวนในผลดีอันพึงไดในธรรมพลีนี้เทอญ
เจือจันทนอัชพรรณ
(มิสโจ)
๑๗-๙-๒๐๐
วันสารทไทยในปทองฉลองกรุงรัตนโกสินทรสองรอยป
คุยกับทานผูอาน
คุณจรูญสงหนังสือชีวประวัติของทานเหลี่ยวฝานและทานอวิ๋นกุเถระ
มาให จึงไดยอมาเปน อภินันทนาการแดทานผูอานในโอกาสปทองฉลอง
ความเปนเอกราชของชาติไทย ที่ยืนยงอยูและจะคงอยูคูโลก เพราะชาติ
ไทยใฝธรรม ชาวไทยสวนมากยังคงประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คุณงาม
ความดีของทุกทานเมื่อรวมกันแลวยอมเปนเกราะปองกันผองภัยเปนพลัง
กําจัดอธรรม เปนกุศลวิบากที่ส งผลใหประเทศไทย บังเกิดความผาสุกและ
ไพรฟาหนาใสอีกวาระหนึ่งอยางแนนอน
ชีวประวัติทานเผิงซาวเซิง
ทานผูจารึกชีวประวัติของทานเหลี่ยวฝานมีนามวาเผิงซาวเซิง ทาน
เปนพุทธศาสนิกที่เครงครัดในศีล จริงจังในการฝกกรรมฐาน ชอบอยูตาม
ปาเขาลําเนาไพรและวัดวาอารมทานแตงตําราทางพระพุทธศาสนาไวมาก
มาย ทานเกิดและสอบจิ้นซื่อไดในสมัยพระเจาเฉียนหลงฮองเต ระหวาง
พ.ศ. ๒๒๗๕ - ๒๓๓๘ (ค.ศ. ๑๗๓๒ - ๑๗๙๕) ทานมีความมุงมั่นจะ
ประกอบวี รกรรมให ชื่ อเสี ยงเกี ยรติ คุ ณปรากฏในประวั ติ ศาสตร เหมื อน
บรรพชนทั้งหลาย ตอมาทานกลับเห็นวาทางธรรมดีกวาทางโลก หาก
ปฏิบัติไดตามที่รูแจงเห็นจริงแลว ยอมจะเปนผูที่ไมตองวกกลับ ทานจึงถือ
ศีลกินเจ กลางคืนนอนวัด กลางวันเขียนหนังสือธรรม วันที่ทานจะจากโลก
ไป ทานสวดมนตหันหนาสูทิศตะวันตก สวดจนหมดลมไปดวยอาการนั่ง
อยางสงบ ทานมีชีวิตในโลกนี้เพียง ๕๗ ป แตเปน ๕๗ ปที่ทรงคุณคา ผล
งานของทานเปนประโยชนตอชนรุนหลังอยางมหาศาล ผูดอยปญญาขอ
นอมคารวะตอทานและกราบขออนุญาตที่จะนําประวัติทานมายอไวณที่นี้
ชีวประวัติทานเหลี่ยวฝาน
แมทานจะกลับมาอยูถิ่นเดิมในบั้นปลายของชีวิต ทานก็ไมนั่งดูดาย
คอยชวยเหลือดูแลทุกขสุขของชาวบานอยางใกลชิด คิดคนวิธีทําไรไถนา
ใหกาวหนายิ่งๆขึ้นใหแผวถางพื้นดินรกชัฎจนเกิดประโยชน แกผูที่ไมมีที่
ดินเปนของตนเอง นอกจากทานจะสอนใหชาวบานมีความรูกวางขวาง มี
รายไดเพิ่มพูนแลวทานยังสอนใหชาวบานรักกันชวยเหลือกันเสียสละและ
หมั่นบริจาคจนเปนนิสัย แตละวันทานจะทําตารางการทํางานสวนตัวและ
สวนที่จะทําเพื่อผูอื่นไวลวงหนา ทานไมเคยอยูนิ่ง ทํางานตลอดวันอยางมี
ระเบียบ ทานฝกสมาธิเปนเวลาสม่ําเสมอจนบรรลุฌาน และเจริญวิปสสนา
กรรมฐานจนบรรลุญาณ
ทานถึงแกอนิจกรรมเมื่ออายุ ๗๔ ป ในขณะที่บุตรของทานอายุ ๔๒
ปแลว คือป พ.ศ. ๒๓๖๖ (ค.ศ.๑๖๒๓) ผิดจากที่ผูเฒาขงพยากรณไวถึง
๒๑ป โดยมิตองบนบวงตอฟาดินและทานผูศักดิ์สิทธิ์ มิตองสะเดาะเคราะห
ปลอยนกปลอยปลา
อันคุณงามความดีนี้ชางมีอานุภาพตอชีวิตมนุษยปานนี้หนอ
ภรรยาของทานก็ใจบุญสุนทรียะธรรม ไมยิ่งหยอนกวากันเลย เปนคู
ชีวิตที่คอยส งเสริมแตในทางที่ดีงาม เปนปจจัยในการทําดีเพื่อกันและกัน
ตลอดเวลา
บทนํา
ตนฉบับดั้งเดิมของหนังสือนี้ เปนภาษาจีนโบราณสมัยราชวงศหมิง
(ค.ศ.๑๓๖๘-๑๖๔๔หรือพ.ศ.๑๙๑๑-๒๑๘๗)ทานผูนิพนธมีนามวาเหลี่ยว
ฝาน
(สังเกตจากที่ทานเลาใหลูกฟง ทานคงเกิดในราว ค.ศ.๑๕๔๙ หรือ
พ.ศ. ๒๐๙๒ ทานเขียนหนังสือนี้เมื่ออายุ ๖๙ หนังสือนี้จึงมีอายุประมาณ
๓๖๓ป)
แรกเริ่มเดิมที ท านมีนามวา เอวี๋ยนเสวียหาย ทานเปนขุนนางจีนใน
แผนดินหมิง กอนที่จะไดเขารับราชการ ทานไดพบพระเถระที่ทรงคุณ
วิเศษทานหนึ่ง ไดสอนใหทานเขาถึงพระพุทธศาสนาอยางแทจริง ทาน
เหลี่ยวฝานจึงตั้งปณิธาน ที่จะหลุดพนจากความเปนปุถุชนใหได โดย
พัฒนาตนเองดวยวิธีของพระผูมีพระภาค คือการปฏิบัติอยางจริงจังในศีล
สมาธิและปญญาแลวเปลี่ยนชื่อตนเองเสียใหมวา “เหลี่ยวฝาน” ซึ่งมี
ความตรงตามปณิธานที่ตั้งไว
เมื่อการปฏิวัติราชวงศแมนจูของทานซุนยัดเซ็นผานไปได ๓๐ ป
(ค.ศ.๑๙๔๒หรือพ.ศ.๒๔๘๕)เปนขณะที่วัฒนธรรมตะวันตกไดไหลหลั่ง
เขามาทวมทนวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนอยางนากลัวนักปราชญชาวพุทธจีน
ทานหนึ่งมีนามวา ฮวางจื้อหาย ทานเห็นวาหนังสือของทานเหลี่ยวฝานนี้ มี
คุณคาตอชีวิตของทานอยางลนเหลือจึงใครจะใหอนุชนรุนตอๆไปไดศึกษา
และถือเปนแบบฉบับในการประพฤติดีปฏิบัติชอบอยางทั่วถึง เพื่อหยุดยั้ง
กระแสแหงวัฒนธรรมตะวันตก เพื่ออนุรักษความเปนคนจีนดั้งเดิมที่เต็ม
เปยมดวยคุณธรรมความดีความงามตามหลักธรรมคําสอนของสมเด็จพระ
สัมมาสัมพุทธเจาใหคงอยูตอไป
โดยที่ตนฉบับเปนหนังสือจีนโบราณ มีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก ยากที่
คนรุนปจจุบันจะเขาถึงอรรถรสไดทั้งหมด ความจริง ทานฮวางตองการ
อนุรักษหนังสือจีนโบราณไวเพื่อใหชาติจีนคงอยู ถึงกับสอนหนังสือจีน
โบราณตั้ งแต ชั้ นเล็ กๆในโรงเรี ยนของท านภาษาสมั ยใหม พี ยงแต ใช
ประกอบการอธิบาย ใหนักเรียนเขาถึงอรรถรสของหนังสือจีนโบราณยิ่งขึ้น
เทานั้น แตมีผูขอรองทานวา การอานหนังสือที่ดี ถาไมสามารถเขาใจได
โดยงาย ทําใหผูอานขาดความกระตือรือรน และเมื่อหมดความสนใจเสีย
แลว ก็ยอมไมไดผลสมเจตนารมณที่ทานตั้งไว ทานจึงเห็นดวยและเริ่ม
เรียบเรียงเสียใหมเมื่อ ค.ศ. ๑๙๔๒ หรือ พ.ศ.๒๔๘๕ พิมพดวยหนังสือจีน
ปจจุบันที่เปนภาษาพูดของชาวบาน เพื่อเปดโอกาสใหผูที่ไมรูหนังสือเลย
เมื่อมีคนอานใหฟง ก็จะเขาใจสามารถนําไปปฏิบัติใหไดผลดั่งที่รูหนังสือ
เชนกัน
สาธุนักปราชญที่เขาใจพุทธรรมยอมไมถือความเห็นของตนเองเปน
ใหญ เสมอไป ทานยอมโอนออนตามความจําเปน เพื่อประโยชนสุขของคน
หมูมากเปนที่ตั้ง ซึ่งขาพเจาก็เปนผูหนึ่งที่ไดรับประโยชนนี้เปนอยางยิ่ง จึง
ขอกราบขอบพระคุณทานฮวางมาณที่นี้ดวย
เมื่ อท านเรี ยบเรี ยงดี แล วก็ นําไปขอให ท านอาจารยเจี่ ยงเอว ยเฉี ยว
ตรวจแกอีกทีหนึ่งดวยความไมประมาท เพราะทานตองการใหหนังสือนี้มี
ความขาดตกบกพรองนอยที่สุด
ทานเจี่ยงก็เปนอีกทานกนึ่ง ที่ไดรับอิทธิพลอันดีงามจากหนังสือเลมนี้
มากมาย ทานเขียนเลาไววาเมื่อทานอายุได ๑๕-๑๖ ปนั้น รางกายออนแอ
มักเจ็บไขไดปวย ทําใหทานขาดเรียนเสมอ ทานบิดาจึงนําหนังสือนี้มาให
ทานอาน ทานยิ่งอานก็ยิ่งชอบใจ ถึงกับปฏิบัติตามคําแนะนําในหนังสือทัน
ที โดยทําบัญชีบันทึกความดีความชั่วของทานเองที่เปนความนึกคิดและ
พฤติกรรมในแตละวัน โดยไมเขาขางตนเอง จากวันเปนเดือน จากเดือน
เปนป บันทึกอยางละเอียดละออ ไมวาจะเปนการแสดงออกทางกายวาจา
หรือใจ เมื่อเวลาไดผานไป ๒-๓ ป ปรากฏวาความชั่วไดลดนอยถอยลง
ความดีปรากฏมากขึ้น นิสัยใจรอนขี้โกรธก็หายไป จิตใจสงบเยือกเย็นเปน
สุข หายจากโรคภัยไขเจ็บ ดวยคุณความดีของหนังสือนี้โดยแท ทําใหทาน
พัฒนาไปเปนคนละคนตรงขามกับแตกอน ทานอาศัยแนวทางของหนังสือ
นี้ดุจเข็มทิศ ดําเนินชีวิตไปไดอยางสงบสุขราบรื่น ไมมีอันตองตกต่ําเปน
อันธพาล เพราะมิไดกออกุศลกรรม ที่ทําใหเกิดความเดือดรอนทั้งกายและ
ใจแตอยางใด ทานจึงรับตรวจแกใหดวยความเต็มอกเต็มใจยิ่ง เพื่อบูชา
พระคุณของทานเหลี่ยวฝาน เพื่อประโยชนสุขของอนุชนรุนหลัง เพื่อความ
ผาสุกของประชาชาติทั้งมวลในโลกนี้
ในขณะที่หนังสือนี้ออกสูสายตาของชาวโลกอีกวาระหนึ่ง ไมทราบ
วาฮวางอายุเทาใด แตทานเจี่ยงนั้นอายุ ๗๑ ป และยังเปนอาจารยสอนที่
มหาวิทยาลัยแหงหนึ่ง ถาทานอายุยืนถึงวันนี้ ก็จะมีอายุ ๑๐๙ ปแลว
สําหรับทานเหลี่ยวฝานนั้น ถาทานมีอายุจนถึงวันนี้ ก็คงจะ ๔๓๒ ปโดย
ประมาณอยางไรก็ตามไมวาทานทั้ง๓จะสถิตณภพใดขาพเจาผูออนทั้ง
คุณและวุฒิ ขอกราบคารวะทานดวยความเคารพอยางสูง และกราบขอ
อนุญาตทานทางจิตที่บังอาจคิดถอดความหนังสือนี้เปนภาษาไทยอีกทั้งขอ
ขอบพระคุณสมาคมพุทธรรมแหงฮองกง (เซียงกางฝูจิงหลิวทงชู) ดวยกุศล
เจตนาของทานทั้งหลายที่กลาวมานี้ และดวยแรงกระตุนของมิสเตอรและ
มิสซิสโฮ ที่มีเจตนารมณเชนเดียวกับทาน เพียงปรารถนาใหพี่นองชาวไทย
ไดรูจักหนังสือเลมนี้ มีโอกาสนําไปประพฤติปฏิบัติได เพื่อใหถึงพรอมดวย
คุณธรรมความดีงาม อันเปนนิสัยของบรรพชนไทย ที่ไดรับอิทธิพลของ
พระพุทธศาสนาชาวไทยรุนตอๆไปควรรับไวเปนแบบอยางไมใชถูกคลื่น
แหงวัฒนธรรมตะวันตก พัดพาไปตามยถากรรม จนคนไทยไมเปนตัวของ
ตั วเอง ไดโปรดหยุดทําตัวเปนฝรั่ง ดึงความเปนไทยกลับคืนมา ชวยกันยัง
ความผาสุกใหเกิดขึ้นแกประเทศไทย ชาติอันเปนที่รักของเราชาวไทยเถิด
หากจากการถอดความทั้งหมดนี้ จะมีขอบกพรองประการใด ขอทานได
โปรดอภัยแกขาพเจาผูรูนอยดวยเถิดจักเปนพระคุณอยางยิ่ง
เจือจันทนอัชพรรณ
วันวิสาขบูชา
(จันทรที่๑๘พฤษภาคมพ.ศ.๒๕๒๔)
กอนเริ่มเรื่อง
ลัทธิอิทธิพลอยางยิ่งในประเทศจีน ก็คือลัทธิของทานขงจื่อกับทาน
เหลาจื่อ
เจือจันทนอัชพรรณ
อังคารที่๑๙พฤษภาคมพ.ศ.๒๕๒๔
โอวาทขอที่หนึ่ง
การสรางอนาคต
คําพยากรณทานผูเฒาขง
พอนั้นกําพราทานบิดามาตั้งแตอายุยังไมถึง ๒๐ ทานยาของลูกใน
เวลานั้นก็มีอายุมากแลว ทานไดบอกใหพอเลิกคิดที่จะเปนขุนนางเสีย หัน
มาเรียนแพทยดีกวา ทานบอกพอวาการเปนแพทยนั้น นอกจากจะยึดเปน
อาชีพไดแลวยังจะชวยคนยากจนไดอีกถามีความสามารถดีก็จะเปนแพทย
ที่มีชื่อเสียงซึ่งเปนความปรารถนาของทานบิดาที่ไดเสียชีวิตไปแลว
ตอมาพอพบผูเฒาทานหนึ่งที่วัดฉืออวิ๋นจื้อทานมีเครายาวราศีผอง
ใสยิ่งนักรูปรางสูงใหญสงางามราวกับเทพยดาพอจึงคารวะทานดวยความ
เคารพ
ทานพูดกับพอวา
ทานผูเฒาขงตองการจะถายทอดวิชานี้ใหแกพอพอจึงพาทานมาบาน
เพื่อพบทานยาของลูก ทานกําชับใหพอตอนรับทานผูเฒาใหดี แลวทดลอง
ใหทานพยากรณดู ปรากฏวาแมนยําไปเสียทุกอยาง แมแตเรื่องเล็กๆ
นอยๆก็ไมผิ ดพลาดเลย
ทานผูเฒาขงไดพยากรณพอไววา
ตอมาทานก็พยากรณอนาคตของพอไววา
“ปใดจะสอบไดเปนนักเรียนหลวง ไดขาวพระราชทานเปนจํานวน
เทานั้นถัง ปใดจะสอบขั้นสุดทาย ปใดจะไดเปนนายอําเภอ เมื่อเปนนาย
อําเภอแลว สามปครึ่ง ก็ควรลาออกจากราชการ เพราะอายุ ๕๓ ก็จะสิ้น
อายุขัย จะนอนตายอยางสงบในวันขึ้น ๑๕ ค่ําเดือน ๘ เวลาตี ๑-๓ นาเสีย
ดายจะไมมีบุตรไวสืบสกุล”
ในการตอมาคําพยากรณของทานผูเฒาขงก็ยังคงแมนยําเสมอมา มี
อยูครั้งหนึ่ง ทานพยากรณไววาจะไดรับพระราชทานขาวหลวงครบจํานวน
หนึ่งแลว จึงจะไดสอบขั้นสุดทายเพื่อเตรียมตัวเขาเมืองหลวงนั้น ยังไมทัน
ที่พอจะไดรับพระราชทานขางหลวงครบตามจํานวนที่ทานพยากรณไว พอ
ก็ไดรับคําสั่งใหไปสอบ คราวนี้สอบตก พอเริ่มสงสัยในคําพยากรณอยูใน
ใจ
แตแลวในปตอมา มีอาจารยทานหนึ่งที่เคยเปนกรรมการตรวจขอ
สอบใหพอทานชมพอวา
“คําตอบทั้ง๕ขอของทานนั้นเขียนไดดีเหมือนขุนนางผูใหญที่เขียน
ทูลเกลาฯ ถวายความเห็นตอฮองเตนั่นเทียว ทานวา ถาคนไมมีความรูจริง
ยอมเขียนไมไดเชนนี้ ความสามารถของพอยอมจักเปนประโยชนตอแผน
ดิน ไฉนจึงถูกทําลายอนาคตเสียเลา” ทานจึงสั่งใหพอไปทํางานกับทาน
และใหพระราชทานขาวหลวงยอนหลัง จนครบจํานวนที่ขาดไป ปรากฏวา
เทาจํานวนที่ทานผูเฒาขงคํานวณไวพอดี
พบทานอวิ๋นกุเถระผูพลิกชีวิตทานเหลี่ยวฝาน
เมื่อเปนเชนนี้ ยิ่งทําใหพอเชื่อถือในคําพยากรณของทานผูเฒาขงยิ่ง
ขึ้น เพราะอุปสรรคที่เพิ่งผานพนไปนั้น ทําใหเห็นไดชัดเจนยิ่งขึ้นวา ชาตา
ชีวิตนั้นไดถูกลิขิตมาแลวอยางแนนอน จะชาจะเร็วจะมีใครเปนอุปสรรค
อยางใด ก็หนีไมพน พอจึงปลอยใจใหเปนไปตามยถากรรม ไมมีความคิด
กระตือรือรน ไมทะเยอทะยานขวนขวาย ไมดิ้นรนที่จะเอาดีไปกวานี้อีกตอ
ไปทําใหจิตใจสงบยิ่งนัก
พระเถระกลาวกับพอดวยความแปลกใจวา
“อันธรรมดาปุถุชนนั้นจิตใจวาวุนสับสนจึงไมสามารถบรรลุฌานได
สวนพอนั้นไฉนนั่งสามวันสามคืนแลวยังไมเห็นจิตใจวอกแวกเลย”
พอจึงเลาสาเหตุใหทานฟงวา
“ทานผูเฒาขงไดพยากรณอนาคตของพอไวแนนอนแลว คิดวุนวาย
ไปก็ไรประโยชนจึงทําใจใหสบายไรกังวลดีกวา”
ทานอวิ๋นกุเถระหัวเราะรองวา
“โธเอยนึกวาเปนผูวิเศษแลวเสียอีกที่แทก็ยังเปนปุถุชน”
ทานกลาววา
พอกราบเรียนทานวา
“ถาเชนนั้นชาตาชีวิตเปนสิ่งที่หลีกเลี่ยงไดหรือ”
ทานตอบวา
ชาตาชีวิตนั้นเปนสิ่งไมแนนอน อนาคตเราตองสรางของเราเอง คน
ทําดีชาตาก็ดี คนทําชั่วชาตาก็ชั่ว เมื่อตองการอนาคตดีก็ตองทําดี ถาทําแต
ความไมดี แมชาตาจะดีก็กลายเปนรายได ในพุทธรรมก็กลาวไววา ผูใด
ตองการลาภยศยอมไดลาภยศผูใดตองการบุตรธิดายอมไดบุตรธิดาผูใด
ตองการอายุยืน ยอมไดอายุยืน หากประกอบแตกรรมดียอมสมปรารถนา
แลพระผูมีพระภาคเจาตรัสไวเชนนี้
พอซักทานตอไปวา
นักปราชญทานเมิ่งจือไดกลาวไววา หากปรารถนาสิ่งใดยอมไดสิ่ง
นั้น ทานคงหมายถึงสิ่งที่กระทําไดทางนามธรรมละกระมัง คุณธรรมความ
ดีงามนั้นเปนสิ่งที่มนุษยสรางไดเองโดยไมตองลงทุน ไมตองไปแสวงหา
จากที่ไหน แตทางรูปธรรมนั้น ยศถาบรรดาศักดิ์ชื่อเสียงและความมั่งคั่งจะ
แสวงหาไดอยางไรถาไมมีผูหยิบยื่นให
ทานอวิ๋นกุเถระตอบพอวา
ทานเมิ่งจื่อกลาวไวไมผิดหรอก พอเองที่เขาใจคําสอนของทานผิดไป
ทานลั่กโจวเคยกลาวไววา ความสุขความเจริญทั้งมวล เกิดขึ้นที่ใจกอนทั้ง
สิ้น การแสวงหาใดๆ ก็ตามตองเริ่มที่ใจกอน ไมเพียงแตจะไดคุณธรรม
ความดีงามทางธรรมเทานั้น ความสุขความเจริญ ลาภยศ ชื่อเสียง เงินทอง
อันเปนความดีงามของโลก ก็จะติดตามมาเอง เพราะฉะนั้นการแสวงหาสิ่ง
ที่ดีงามนั้น ยอมไดสิ่งที่ดีงามตามปรารถนา ในทํานองเดียวกัน หากไม
สํารวจตนเองไมเริ่มตนทําความดีจากตัวเราเองกลับดิ้นรนคิดแสวงหาจาก
ภายนอกแมจะแสวงหามาไดก็เปนเพียงไดตามชาตากําหนดไวเทานั้นไม
ใชไดเพราะความดีของเรา เพราะการแสวงหาจากภายนอกนั้น อาจจะตอง
ใชความพยายามในทางที่ถูกบางผิดบาง ไมไดดวยเลหเอาดวยกล ไมได
ดวยมนตเอาดวยคาถา แสวงหาดวยแรงขับของกิเลสตัณหา จึงไมไดคํานึง
ถึงศีลธรรม เปนการสูญเปลาทั้งสองทาง ทางธรรมก็เสียหาย ทางโลกก็เสีย
หายอีกการแสวงหาจากภายนอกนั้นจึงไมไดผลดีเทาที่ควร
การฝกธรรมตองเริ่มสํารวจตัวเองกอน
พอคิดหาเหตุผลอยูนาน โดยสํารวจตนเองตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน
แลวจึงตอบทานวา
“เห็นทีจะสอบไมไดและคงจะไมมีบุตรอีกดวย”
พอใหเหตุผลทานวา
คนที่จะไดเปนขุนนางจะตองมีบุญวาสนาสวนพอนั้นบุญวาสนานอย
ตนเองก็ มิ ได สั่ งสมกุ ศลธรรมอั นใดไว ให เป นพื้ นฐานเพื่ อเสริ มสร างบุ ญ
บารมีใดๆนิสัยของพอก็ไมดีไมมีความอดทนงานหนักไมเอางานเบาไมสู
ใครทําใหไมถูกใจก็โกรธไมยอมใหอภัยใจคอคั บแคบบางครั้งยังอวดดีวา
มีความรูมากมาย ยกตนขมทาน ใจคิดอยางไรก็ทําอยางนั้น คนเชนพอนี้
ไมสมควรมาสอบเพื่อเปนขุนนางกับเขาเลย
แลวพอก็สาธยายใหทานฟงถึงเหตุผลที่คิดวา ตนเองไมสมควรมีบุตร
จริงดั่งคําพยากรณของทานผูเฒาขงใหทานอวิ๋นกุเถระฟงตอไปวา
ธรรมชาติสรรคสรางสรรพสิ่งใหสมดุล เพื่อใหชีวิตเจริญเติบโตดวยดี
แตพอมักโกรธทําใหรางกายและจิตใจเสียดุลอยูเปนนิตยยอมไมสามารถมี
บุตรไดนี่เปนเหตุผลประการที่สอง
ทานอวิ๋นกุเถระฟงพอพูดเสียยืดยาวแลวจึงกลาววา
ไมเพียงแตพอไมสมควรจะเขาสอบเปนขุนนางเทานั้น ยังมีอีก
หลายๆ สิ่งที่พอก็ไมสมควรจะไดรับดวย คนในโลกนี้แมจะอยูในภาวะแวด
ลอมเดียวกัน ในเวลาที่ไมตางกัน แตบางคนไดรับแตสิ่งที่ดีมีสุข บางคน
กลับไดรับแตความเดือดรอนเปนทุกขมีแตกตางกันมากมายผูรูยอมเขาใจ
ดีวา นั่นลวนแตเปนผลที ่เกิดจากใจตนเอง ทุกคนสรางเหตุที่จะทําใหเกิดผล
ดีผลชั่วจากใจตนเองทั้งสิ้น ผูไมรูยอมถือวาเปนชาตาชีวิตที่ลิขิตมาแลว
อยางแกไขไมได หารูไมวา ก็ทุกสิ่งเกิดจากใจตนเองแลว ทําไมตนเองจะ
แกไขไมไดเลาคนที่ทําบุญใหทานมากมายนั่นเขากําลังสรางเหตุปจจัยเพื่อ
ความเปนเศรษฐีมีเงินพันชั่งรอยชั่งตามความมากนอยที่เขาทําอยู บางคน
จนถึงขนาดอดตาย นั่นก็เพราะเขาสรางเหตุปจจัยมาเชนนั้น มีความ
ตระหนี่เหนียวแนน ไมยอมเกินใคร ทรมานกักขังสัตวใหอดอยากและอด
ตายมาแลวผลจึงเกิดแกเขาเชนนั้นหาใชฟาดินเกิดความลําเอียงไมฟาดิน
คือธรรมชาติ ยอมปราณีคนดี ลงโทษคนชั่ว เหมือนดั่งที่ปราณีตอพืชพันธุ
ธัญญาหาร คอยหลั่งฝนมาใหความชุมชื้น คอยสงความสวางมา ใหความ
เจริญเติบโต และธรรมชาติก็จะดุดันกับความไรคุณธรรม กระหน่ําทั ้งฝน
พายุและสายฟา ทั้งนี้ยอมขึ้นกับความดีความชั่วในตัวบุคคล ใครดีก็จะได
รับการสงเสริมใครเลวก็ลงโทษเสียบางเพื่อใหเกิดสมดุล
(นอกจากบางคนเทานั้นที่ไมไดขึ้นอยูกับเหตุผลดังที่กลาวมาแลว คือ
เปนผูไมมีหนี้กรรมกับผูใดมา ธรรมชาติแหงการมีบุตรธิดา ถามองตาม
ทัศนะของกฎแหงกรรมแลว ก็คือการเปดหนาบัญชีลูกหนี้เจาหนี้ขึ้นมา
สะสางกันอีกวาระหนึ่ง บุตรธิดาบางคนเกิดมาทวงหนี้ ก็ทําตัวดื้อรั้นอวดดี
กอความเดือดรอนวุนวายเสียหาย จนบิดามารดาไมมีความสุขตลอดเวลา
สวนบุตรธิดาที่เกิดมาใชหนี้บุญคุณที่ติดคางกันมาในภพกอนๆ ก็มีความ
กตัญnูกตเวทีวานอนสอนงายเปนที่พึ่งทางกายและทางใจของบิดามารดา
นําความปลื้มปติและความภาคภูมิใจมาใหบิดามารดามีความสุขความอิ่มใจ
เสมอ
กุศลกรรมและอกุศลกรรมในอดีตลวนเปนปจจัยใหชีวิตตองเวียนวาย
มาพบกันอีกตามแรงเหวี่ยงของวิบากกรรมมาเปนพอแมลูกกันตามกรรมดี
กรรมชั่ว ที่แตละคนไดกอใหเกิดความสัมพันธกันมาแตอดีต ผูใดมิไดกอ
หนี้กรรมไวกับใครเลย ก็ยอมไมมีใครตามมาใชหนี้หรือทวงหนี้ ก็ทําใหไม
มีบุตรธิดาในชาติปจจุบัน ซึ่งในกรณีเชนนี้มีนอยมาก ทานเหลี่ยวฝานจึงมิ
ไดกลาวไว-ผูถอดความ)
เรงสรางสมคุณธรรมความดีงาม
แลวทานก็บอกพอวา
เมื่อพอรูตัวเองวาไมดีอยางไรบางแลวเชนนี้ และเขาใจความเปนไป
ของฟาดินแลวไซร ก็จงเรงสั่งสมคุณธรรมความดีงามทันที ไมคอยแตจับ
ผิดผูอื่น สามารถใหอภัยได แมความผิดนั้นจะเทียบเทาภูเขาก็ตาม มีขันติ
อดทนตอความไมพอใจ ไมโกรธงายมีแตความเมตตากรุณา ไมพูดมาก
ไมดื่มสุรา รักษาสุขภาพใหดีทั้งทางกายและใจ สิ่งที่แลวมาแลว ก็ใหคิดวา
ตายไปแลวเมื่อวานนี้ มีชีวิตใหมเพื่อสรางสมคุณธรรมที่ดีใหม ไมใชชีวิต
เกาที่มีแตเลือดเนื้อและเต็มไปดวยความเปนปุถุชน พัฒนาชีวิตใหหลุดพน
จากการครอบงําของกิเลสตัณหาอุปาทานขันธหา สามารถพัฒนาตนเองให
บริสุทธิ์ผุดผอง แลวชีวิตก็จะมีคุณคาผิดแผกแตกตางจากชาตาชีวิตที่ได
กําหนดไวแลวในคําพยากรณ
“มนุษยตองคอยสํารวจตนเองเสมอ
เพื่อจักไดดําเนินชีวิตตามครรลองคลองธรรม
เมื่อกระทําแตความดีงามแลวไซร
ไฉนจักไมไดรับความดีอันเปนผลเลา”
ความดีความชั่ว จึงลวนแตขึ้นอยูกับพฤติกรรมของมนุษยเองทั้งสิ้น
การที่ทานผูเฒาขงพยากรณไวใหนั้น เปนเพียงชาตาชีวิตที่ลิขิตจากฟาดิน
ยอมมีทางแกไขไดจงรีบสรางคุณธรรมความดีงามเริ่มดวยการชวยเหลือผู
อื่นโดยไมเห็นแกตัว เสียสละเพื่อผูอื่นโดยไมหวังการตอบแทน อยามุงหวัง
แตชื่อเสียง ทําอยางเงียบๆ การปดทองหลังองคพระปฏิมานั้นกลับไดบุญ
มากกวา ถามีคนรูเห็นกันมากพากันสรรเสริญอนุโมทนาสาธุการ ความมี
ชื่อเสียงก็จะแบงความดีงามไปเสียมาก บุญก็จะนอยลงเพราะไดผลใน
ปจจุบันไปบางแลว แลวถาทําแลวไมโมโออวดในความดีนั้น ผลบุญก็จะ
เต็มดุจวารีที่เต็มฝง ใครเลาจะแยงบุญของเราไปได นอกจากเราจะยินดี
แบงบุญใหเขาเองการทําดีเชนนี้มีหรือจะไมไดเสวยผลแหงความดีนี้
ทานถามพอวาเชื่อทานหรือไมเลา
ทานอวิ๋นกุเถระเห็นพอมีความตั้งใจทําความดีถึงปานนี้ จึงเอาตัว
อยางบัญชีกรรมดีกรรมชั่วมาใหพอดู แลวสอนพอใหจดบัญชีพฤติกรรม
ของตนเองแตละวันอยางละเอียดถี่ถวนโดยไมเขาขางตนเองถาเปนกรรมดี
ก็จดไวขางหนึ่งเหมือนบัญชีรับจายตองนํากรรมชั่วไปลบกรรมดีใหเหลือ
กรรมดีสามพันครั้งโดยไมมีกรรมชั่วที่ไมไดหักกลบลบหนี้แลวจึงจะนับวา
ทําดีไดครบสามพันครั้งตองนําบัญชีมาทบทวนดูทุกวันเพื่อเตือนใจใหรูวา
ในวันหนึ่งๆ เราไดทําอะไรผิดอะไรถูกจักไดแกไขปรับปรุงตนเอง ไมทํา
ความผิดซ้ําแลวซ้ําเลาอีก กรรมชั่วเบาๆ ก็ตองมาลบกรรมดีออกเสียครั้ง
หนึ่งกรรมชั่วหนักๆ ก็ตองมาลบความดีออกหลายๆ ครั้ง จนกวาความดีจะ
ครบสามพันครั้งดังที่ไดอธิษฐานไว แลวสอนพอสวดมนตบริกรรมคาถา
เพื่อชวยใหจิตใจมั่นคง โดยอาศัยอํานาจคุณพระศรีรัตนตรัยเปนสรณะ
เพื่อใหคําอธิษฐานหนักแนนสัมฤทธิ์ผลเร็ววัน
ฮูศักดิ์สิทธเพราะจิตมั่นคง
ทานยังเลาใหพอฟงตอไปวา
เคล็ดลับในการบริกรรม
การบริกรรมก็ตองทําสม่ําเสมอขาดไมไดเชนกัน ตองบริกรรมจนแม
ปากไมบริกรรมแลว แตใจยังคงบริกรรมอยู บริกรรมจนไมรูสึกวา ตัวเรา
เปนผูบริกรรมเพราะมนตก็ดีการบริกรรมก็ดีตัวเราผูบริกรรมก็ดีไดผสม
ผสานเปนอันหนึ่งอันเดียวกันเสียแลว จนแยกไมออกเมื่อใด เมื่อนั้นการ
บริกรรมก็ศักดิ์สิทธิ์
นักปราชญทานเมิ่งจื่อไดกลาวไววา อันวาอายุยืนหรืออายุสั้นหามี
ความแตกตางกันไม ใหมั่นฝกฝนตนเองไปจนกวาจะถึงวันนั้น วันนั้นคือ
วันที่เราจะพบความจริงวา ใดๆ ในโลกนี้หามีความแตกตางกันไม ลวนแต
เปนสภาวะธรรมที่มนุษยสมมติกันขึ้นมา ผูที่ฝกฝนตนเองจะไมเห็นความ
แตกตางของสภาวะธรรม ผูนั้นก็เขาถึงสภาวะธรรม และไมถูกความไมรู
ไมเขาใจหลอกหลอนเบียดเบียน หลุดพนจากการรอยรัดของกิเลสตัณหา
อุปาทานขันธหาไดหมดสิ้น
ถาคิดโดยผิวเผินก็จะรูสึกแปลกใจ เพราะความมีอายุสั้นและอายุยืน
นั้น แตกตางกันอยางตรงกันขามทีเดียว แตถาคิดใหลึกซึ้งแลวก็จะเห็นได
วา ทานพูดไวไมผิดเลย ทุกสิ่งในโลกนี้ลวนเปนสภาวะธรรมหนึ่งๆ เทานั้น
มนุษยมักจัดเขาพวกกันบาง แยกประเภทใหบาง จนดูสับสนสลับซับซอน
กันไปหมด ธรรมดาทารกที่เกิดมาใหมๆ นั้นหารูไมวาอายุยืนมีความหมาย
อยางไรกัน ตอเมื่อเติบโตแลว จึงสามารถแยกแยะความหมาย เลือกคุณคา
ของสรรพสิ่งโดยคําสอนของผูใหญบาง จิตที่ไดรับการอบรมมาแตชาติปาง
กอนเปนเชนนี้บางความแตกตางจึงบังเกิดขึ้นดวยประการฉะนี้
ฉะนั้น ถาเราไมใหความแตกตางระหวางความรวยกับความจน
ความสุขกับความทุกขความตกต่ํากับความรุงเรืองหรือความมีอายุยืนกับ
อายุสั้น จึงจะสามารถสรางสรรคชีวิตใหเปนไปตามความตองการของเรา
ได
ถาเราไปใหความแตกตางกับสิ่งเหลานี้เสียแตกอนแลว เราจะไม
สามารถสรางชีวิตใหดีตามความตองการของเราไดเลย
ถาเราแยกแยะความรวยความจนเชนนี้ก็จะเปนคนดีไปไมไดเลย แต
ถาไมคิดวาเรารวยจะทําอะไรก็ระมัดระวังมิใหกระทบกระเทือนถึงผูอื่น คิด
แตจะชวยเหลือเจือจานไปทั่วหนา ใชเงินที่ตัวมีมากใหเปนประโยชนแกผูมี
นอยอาศัยความรวยที่ตนเองไดเปรียบผูอื่นโดนสภาวธรรมมาเกื้อกูลผูอื่น
ที่มีนอยถึงกับขาดแคลนตามสภาวธรรม ความเมตตากรุณาที่เกิดความรู
จริงในสภาวะธรรมนี้ ก็จะหลอหลอมใหชองวางระหวางความรวยความจน
นั้นเชื่อมสนิทไมสามารถเกิดความแตกตางไดเลยสวนเด็กที่เกิดมายากจน
อันเปนสภาวธรรมอีกอยางหนึ่งนั้น ถาไมใหความแตกตางในความรวย
ความจนแลวก็จะไมมีความรูสึกนอยเนื้อต่ําใจรูจักขยันหมั่นเพียรสันโดษ
ในความเปนอยู ซื่อตรงในความประพฤติ รูจักใชแรงกายชวยเหลือผูอื่น
แทนแรงเงินที่ตนขาดแคลน ไมคอยคิดใหผูอื่นมาชวยตน แตไมรังเกียจที่
จะชวยผูอื่นตั้งหนาทํามาหากินหนักเอาเบาสูอดออมถนอมตนไมนานนัก
คนจนก็จะไมจนคนรวยก็ไมจนอยูแลวเมื่อถึงวันนั้นความแตกตางจักมีได
อยางไร
แมอายุสั้นยาวก็เชนกัน ถาเราไมเชื่อชาตาชีวิตไดลิขิตใหเรามีอายุ
สั้น เราก็ไมพะวงถึงความตาย ตั้งหนาประกอบกรรมดี ไมใชอยูรอความ
ตายไปวันหนึ่งๆ ผูที่ไมเชื่อวาชาตาชีวิตไดลิขิตมาใหอายุยืน ก็จะไมทะนง
ตนวายังมีชีวิตอยูอีกยาวนาน เกิดความประมาทเกียจครานที่จะประกอบ
กรรมดี ผัดวันประกันพรุง ดื่มสุรานารี เลนพาชีกีฬาบัตร เผลาผลาญชีวิต
ไปทุกวันๆอายุจักยืนนานไปไดอยางไร
ความเกิดความตายเปนสิ่งสําคัญที่สุดของมนุษย ถาเราไมใหความ
แตกตางในสิ่งที่กลาวมาแลวไซร เราจะเกิดในสภาวธรรมใดก็ตาม ยอมจัก
ดําเนินชีวิตอยูไดดวยจิตใจที่ปราศจากความกดดัน รูจักดํารงชีวิตดวยดี
ตายดีและไปเกิดในสภาวธรรมที่ดีตอไป ทําไมหรือ เพราะความชั่วรายมิ
ไดอยูที่ความรวยความจน มิไดอยูที่ความอายุสั้นหรือยาว ความสุขความ
ทุกขนั้น ยอมขึ้นอยูที่เราจะสามารถประกอบคุณงามความดีไดมากนอยเทา
ใดตางหากเลา
การฝกฝนตนเองใหรูจักประกอบกรรมดีทําดีนั้น ยอมเปนการสั่งสม
บุญบารมีโดยแท เราจะตองหมั่นสังเกตพฤติกรรมของเราเอง มีสิ่งใดผิด
พลาดก็พยายามแกไขเหมือนดั่งหมอที่พยายามรักษาคนไขใหหายจากโรค
ฉะนั้น การสั่งสมบุญบารมี ตองพยายามมอยูทุกขณะจิตคอยทําคอยไป ไม
หวังผลจนเกินกําลังไมหยอนยานจนไมกาวหนาเมื่อจิตไดรับการอบรมที่ดี
แลวนั่นคือความสําเร็จที่จะไดรับในการประพฤติดีปฏิบัติชอบ
ทานบอกกกับพอวา
จิตนั้นเกิดดับอยูทุกขณะ ขอใหหมั่นบริกรรมอยาไดหยุดยั้งจะขาด
การสืบตอ เมื่อบริกรรมจนเกิดความชํานาญแลวก็จะกลายเปนนิสัย ไมวา
ปากจะบริกรรมหรือไม จิตก็จักทําไปเองโดยอัตโนมัติ เมื่อจิตดิ่งเปน
เอกัคตาแลวไซร ยอมรวมมนตคาถาที่บริกรรม ตัวคนบริกรรม และจิตที่
บริกรรมเปนอันหนึ่งอันเดียวกันไมแยกออกจากกัน เมื่อนั้นการบริกรรมก็
จะประสบความสําเร็จทันทีอธิษฐานไวเชนใดก็จะสมปรารถนาเชนนั้น
ทานเหลี่ยวฝานเปลี่ยนชื่อ
เมื่อกาลเวลาผานไปอีกหนึ่งป พอไดโอกาสเขาทําการสอบไลอีกครั้ง
คราวนี้สอบไดที่หนึ่ง พลิกความคาดหมายของทานผูเฒาขงที่พยากรณไว
วาจะสอบไดที่สาม ทานวาหลังจากสอบครั้งนี้แลว ตอไปจะสอบไมไดอีก
แตเมื่อพอไปสอบก็สอบไดอีก เปนอันวาคําพยากรณไมสามารถกุมวิถีชีวิต
ของพอไดอีกตอไป
เวลาใดที่พอไดกระทําความดีทางกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี
มโนกรรมก็ดี พอจะใชพูกันบันทึกไวทันที แตแมเจาเขียนหนังสือไมเปน
เมื่อไดชวยพอกระทําความดีครั้งใด ก็ใชกานขนหานจิ้มชาด กดวงไวบน
ปฏิทิน บางวันใหทานคนยากจนหลายครั้ง ปลอยสัตวมีชีวิตมาก วันหนึ่งๆ
แมเจาวงไวถึงสิบกวาวงดวยกัน เพียงสองปกวาก็ทําใหไดครบสามพันครั้ง
อีก คราวนี้พอนิมนตพระเถระรูปกอนมาทําพิธีอุทิศบุญกุศลที่บานเราเอง
และเริ่มอธิษฐานขอใหสอบตําแหนงจิ้นซื่อได จะทําความดีใหครบหนึ่ง
หมื่นครั้ง ตอมาสามป พอก็สอบไดและไดเปนนายอําเภอในปนั้นเอง
(ประมาณค.ศ.๑๕๘๖พ.ศ.๒๑๒๙)
สมุดบริหารใจ
ลดภาษีกุศลยิ่งใหญ
ทานตอบวา
ทานผูเฒาขงเคยพยากรณพอไววาพอจะมีอายุได๕๓ปเทานั้นพอก็
มิไดอธิษฐานใหตนเองมีอายุยืนยาวแตอยางใด แตปนั้นพอก็ไมเปนไรอยู
มาจนบัดนี้ พอมีอายุ ๖๙ ปแลว โบราณทานกลาวไววา ฟาดินนั้นสุดที่จะ
หยั่งรูได ชาตาชีวิตจึงเอาแนไมได ชีวิตของใครคนนั ้นก็ตองสรางอนาคต
เอาเอง จะใหคนอื่นสรางใหหาไดไม คําพูดนี้เปนความจริงที่พอพิสูจนได
ดวยตนเอง พอจึงเชื่อมั่นดวยความประจักษแจงแกใจของพอเองวา ความ
สุขความทุกข ลวนแตเกิดจากการกระทําของตนเองทั้งสิ้น ทําดีก็ดี ทําชั่วก็
ชั่ว เปนคําที่ทานนักปราชญโบราณกลาวกันตอๆ มาจนถึงบัดนี้ ถาใครยัง
เชื่อวาสุขทุกขเปนสิ่งที่ถูกลิขิตมาแลวอยางแนนอน แกไขไมไดแลวไซร
แมผูนั้นจะแสนฉลาดปราดเปรื่องอยางใด เขาก็ยังเปนปุถุชนอยู หาความ
กาวหนามิไดเลย
สําหรับตัวของลูกนั้น พอก็ยังไมทราบวาอนาคตจะเปนอยางใด แต
ขอใหลูกจําไววา แมลูกจะมีบุญวาสนาชาตาสูง ก็อยายึดมั่นวาจะเปนเชน
นั้นเสมอไป อาจจะมีวันที่ตกต่ําลงมาได ถาลูกไมรูจักการระวังตัว ยามใดที่
ลูกรูสึกชีวิตมีแตความราบรื่นปลอดโปรงสะดวกสบายไปทุกสิ่ง ลูกก็อยายึด
มั่นวาจะเปนเชนนั้นตลอดไป อาจจะมีวันที่ตองประสบความยุงยากเดือด
รอน ถาลูกไมตั้งตนอยูในศีลในธรรมอยูเสมอ ยามใดที่ลูกมีความเปนอยู
เหลือเฟอ เงินทองไหลมาเทมามีความสมบูรณพูนสุขทุกประการ ก็อยายึด
มั่นวาจะเปนเชนนั้นเสมอไป อาจจะมีสักวันหนึ่งที่ลูกจะตองตกระกําลําบาก
ระหกระเหิน แมที่จะคางกายสักคืนก็ทั้งยาก หากลูกไมรูจักใชเงินใหเปน
ประโยชนในทางที่ถูกที่ควร ทั้งแกตนเองและผูอื่น ยามใดที่มีคนนิยมชม
ชอบเคารพนบนอบตอลูกลูกจะตองทําตนใหเปนที่นาเคารพยิ่งๆขึ้นถอม
เนื้อถอมตัวดวยความจริงใจ มิใชเสแสรงแกลงทํา ปากอยางใจอยาง อวดดี
วางอํานาจ ยามใดที่ลูกไดรับยศถาบรรดาศักดิ์อันสูงสง ลูกก็อยายึดมั่นใน
โลกธรรมนั้นวาจะแนนอนเสมอไป ตองเตือนสติตนเองอยูเสมอวา สักวัน
หนึ่งยศศักดิ์ ชื่อเสียงเงินทองและความสุขทั้งมวลอาจจะพังพินาศไปใน
พริบตาเดียวก็ได ถาลูกไมหมั่นประกอบความดีใหยิ่งๆ ขึ้นไป แมลูกจะมี
ความรูความสามารรถเพียงใด ก็จงอยาทะนงตนวาใครก็สูไมได ลูกจะตอง
หมั่นฝกฝนเพื่อใหความรูแตกฉานยิ่งขึ้นถาลูกทําไดเชนนี้ลูกก็จะเปนผูที่มี
คุณธรรมอันสูงสง และคงความสูงสงนั้นไวได ไมมีวันที่จะตกต่ํา นอกจาก
วิบากแหงกรรมเกาซึ่งไมมีใครรูวาในชาติปางกอนๆ นั้น ลูกไดเคยทํา
อกุศลกรรมอะไรไวบาง วิบากแหงกรรมเกานั้นยอมใหผลเมื่อถึงเวลา
เสมอ แตถาลูกมีความดีมากจริงๆ แลว อกุศลกรรมบางอยางก็จะกลายเปน
อโหสิกรรมไปคือกรรมตามไมทัน
ลูกตองเคารพบรรพชน สรรเสริญคุณงามความดีของบรรพชนใหแผ
ไพศาล ลูกจะตองปกปดความผิดพลาดของพอแมไว อยาใหเปนที่เสื่อมเสีย
แกวงศตระกูลได ชาติบานเมืองเปนสิ่งที่จะตองเทิดทูนรักษาไวดวยชีวิต
ตองมีความซื่อสัตยสุจริตจงรักภักดีตอองคฮองเตมิรูคลาย ลูกจะตองสราง
ครอบครัว ใหมีความสุขความอบอุ นใจตลอดจนคนรับใช ลูกจะตองชวย
เหลือเกื้อกูลผูที่ยากไรใหไดทันทวงที ลูกจะตองมีจิตสํารวมระวังอินทรียอยู
ตลอดเวลาเพื่อปองกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นทางกายวาจาและใจ
คําสั่งสอนของทานอวิ๋นกุเถระนั้น ชางล้ําลึกตรงตามสภาพธรรมและ
ความเปนจริงทุกประการ ซึ่งจะตองนํามาครุนคิด วิเคราะหวิจัยหาเหตุผล
เพื่ อให ประจั กษแจ งแก ใจของลู กเองและยึ ดถื อนํามาปฏิ บั ติ ตามคําสั่ งสอน
ของทานอยางเครงครัด ใหเกิดเปนจริงเปนจังขึ้นมาได จึงจะไมเสียแรงที่
เกิดมาแลวชาติหนึ่ง มิไดปลอยเวลาอันมีคาใหผานพนไปโดยไรประโยชน
เลย
โอวาทขอที่๒
วิธีแกไขความผิดพลาด
ธรรมดานิมิตหรือลางสังหรณนั้น มักจะเกิดทางใจแลวปรากฏใหเห็น
ทางอิริยาบถ บุคลิกลักษณะจึงเปรียบประดุจกระจกเงา ฉายใหเห็นบุญ
วาสนาหรือเคราะหกรรมที่บุคคลนั้นๆ จะตองไดรับในอนาคต ปุถุชนมัก
มองไมเห็นบุคลิกลักษณะอันนาศึกษานี้ กลับเห็นวาเปนการคาดคะเนไม
แนนอน
ขอ ๑. ลูกจะตองมีความละอายตอการทําชั่ว ไมวาจะอยูตอหนาหรือ
ลับหลังผูคน ลูกลองคิดดูสิ นักปราชญแตครั้งโบราณมา ทานก็เปนชายอก
สามศอกเชนลูก แตไฉนทานเหลานั้นจึงไดรับความเคารพบูชาเปนปูชนีย
บุคคล แมกาลเวลาจะผานไปแลวเปนรอยชั่วคนก็ตาม สวนลูกนั้นเลายังคง
เปนกระเบื้องที่แตกเปนเสี่ยงๆ ในชีวิตยังไมไดสรางอะไรเปนชิ้นเปนอัน
เปนแกนสารใหปรากฏเลย ทั้งนี้เพราะลูกมัวหลงละเลิงอยูกับความสุขทาง
โลก เหมือนผาขาวที่ถูกสีตางๆ แปดเปอนเสียแลว ยอมหมดความบริสุทธิ์
ผุดผอง มักจะทําอะไรที่ไมสมควรทํา แตคิดวาผูอื่นไมลวงรู ตอไปก็ยิ่งเหิม
เกริมทําผิดมากขึ้นทุกที โดยไมมีความละอายตอบาป ลงทายก็เหมือนกับ
สัตวเดรัจฉานที่ไมสามารถรูวาตนเองกําลังทําอะไรอยู ในโลกนี้ จะมีอะไร
อีกเลาที่จะนาละอายไปกวาการที่ตนเองไมรูดีรูชั่ว นักปราชญทานเมิ่งจื่อจึง
ไดกลาวไววาความละอายและเกรงกลัวตอบาปนั้น เปนความยิ่งใหญของ
มนุษยในโลกนี้ ผูใดมีไวยอมไดชื่อวาเปนปราชญ ผูใดมิไดมีไวยอม
เหมือนสัตวเดรัจฉาน ลูกจึงตองเริ่มตนแกไขความผิดพลาดของตนเองดวย
กุศลธรรมขอนี้กอน
ขอ๒.ลูกจะตองมีความเกรงกลัวตอการทําชั่วเทพยดาอยูเบื้องบนผี
สางวิญญาณลวนมีรางโปรงแสงมีอยูเกลื่อนกลาดทุกหนทุกแหง ซึ่งนัยนตา
ของมนุษยธรรมดายอมมองไมเห็น ไมวาลูกจะทําผิดอะไรที่คนไมรู ผีสาง
เทวดาก็รูหมด ถารูทําความผิดรายแรง ลูกก็จะตองไดรับเคราะหกรรมไม
เบาทีเดียวละ ถาลูกทําผิดเพียงนิดหนอย ก็จะทําใหลูกไดรับความสุขที่กําลัง
ใหผลอยูในปจจุบันนอยลงทันที ลูกจะไมกลัวไดหรือ ไมเพียงเทานั้น ลูกจะ
ปกปดความผิดไวดีเพียงใด แตจะปกปดผีสางเทวดาหาไดไม เพราะแมแต
ในตัวลูกมีไสกี่ขด ทานเหลานั้นก็มองเห็นทะลุปรุโปรงอยูแลว หากวันใด
บังเอิญมีคนแอบรูเห็นเขา ลูกก็จะกลายเปนคนไรคาไปทีเดียว อยางนี้ลูกยัง
จะไมกลัวอีกหรือ
ไมเพียงเทานั้น หากลูกยังมีลมหายใจอยูแมจะทําความผิดลนฟา ก็
ยังมีโอกาสแกตัวได ถาลูกสํานึกในความผิดนั้นไดทันทวงที กาลกอนมีชาย
คนหนึ่ง ตลอดชีวิตของเขาชอบทําแตความชั่ว ครั้นพอใกลตายไดสํานึกผิด
เพียงขณะจิตเดียวและจิตสุดทายที่รูจักผิดชอบชั่วดี ก็ยังสามารถทําใหจิตที่
เกิดจากจิตขณะสุดทาย (จุติจิต) ไดปฏิสนธิในสุคติภพทันทวงที รอดจาก
การไปสูทุคติภพอยางหวุดหวิด และเมื่อเขาไดไปสูสุขคติภพเสียกอนแลว
จิ ตที่ รู จั กผิ ดชอบชั่ วดี ในวิ นาที สุ ดท ายนี้ก็ยอมเปนปจจัยใหเขาประกอบแต
กรรมดี หากเขาสามารถสั่งสมความดีไดมากกวากรรมชั่วที่เคยกระทํามา
เปนหมื่นเทาพันทวีแลวไซรวิบากแหงกรรมชั่วที่มิใชกรรมหนักนัก จักติด
ตามมาใหผลไมทันเสียแลว ดุจในถ้ําที่มืดมิดมานานนับพันป เพียงแตจุด
ไฟใหสวางเพียงดวงเดียว ก็สามารถขับไลความมืดมิดมานาน ใหหมดสิ้น
ไปในพริบตาเดียว ฉะนั้นลูกจงจําไววา ความผิดที่ลูกไดกระทําไวนานแลว
หรือเพิ่งกระทํา ขอใหรูสํานึกและแกไขเสียทันที ไมตองไปสูทุคติภพที่มีแต
ความทุกขทรมาน
แตลูกจะตองจดจําไวใหดีวา แมความผิดนั้นจะเปนสิ่งที่แกไขได ก็
อยานอนใจที่จะกระทําผิดบอยๆ อยานึกวาวันนี้เราทําผิดแคนี้ไมเปนไร
พรุงนี้เราจะแกไขไมทําอีกก็แลวกัน ถาคิดเชนนี้ก็ผิดจากวัตถุประสงคที่พอ
พร่ําสอนลูกมา อันความผิดที่เกิดจากรูวาผิดแลวยังจงใจทํา เปนมโนกรรม
ที่มีโทษหนัก แมลูกตั้งใจจะแกไขในวันพรุงนี้ก็อาจจะสายไปเสียแลวเพราะ
ในโลกแหงความวุนวายนี้ ใครจะรับประกันไดวาเราจะมีชีวิตอยูจนถึงวัน
พรุงนี้ มนุษยมีชีวิตอยูไดดวยลมหายใจ ถาลูกขาดลมหายใจเพียงครั้งเดียว
ชีวิตนี้ก็ไมใชของลูกเสียแลว ทุกสิ่งลูกก็นําติดตัวไปดวยไมได เพราะทุกสิ่ง
เปนรูปธรรม ไมมีใครเปนเจาของรูปธรรมไดชั่วนิรันดร สิ่งที่ติดตามลูกไป
มีเพียงกรรมดีกรรมชั่วเทานั้น อันเปนนามธรรมที่มนุษยมองไมเห็น จะ
สัมผัสไดดวยใจเทานั้น หากบุญยังมีเหลือพอไดกลับมาเกิดเปนมนุษยอีก ก็
จะเปนคนที่มีชื่อเสียงไมดีรอยปพันป แมจะมีลูกหลานที่ดีก็ไมสามารถชวย
ลูกไดหากกรรมหนักไมสามารถมาเกิดเปนมนุษยไดอีกก็ตองตกนรกหมก
ไหมทนทุกขทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป แมพระพุทธองคก็ทรงโปรดไมได
เพราะผูใดทํากรรมไว ผูนั้นเองเปนผูไดรับผลแหงกรรมนั้น ลูกยังไมกลัว
ไดหรือ
ขอ ๓. ลูกจะตองมีความกลาที่จะแกไขตนเอง มีกําลังที่จะแกไขอยาง
จริงจังไมทอถอย มีความเพียรอยางสม่ําเสมอไมใชทําบางหยุดบาง ความ
ผิดเล็กๆ นอยๆ เปรียบประดุจหนามตําอยูในเนื้อ ถารีบเรงบงออกเสียก็จะ
หายเจ็บทันทีหากเปนความผิดใหญหลวงก็เปรียบประดุจถูกงูพิษที่รายแรง
ขบกัดเอาที่นิ้วถาลูกไมกลาตัดนิ้วทิ้งพิษก็จะลุกลามไปถึงหัวใจและตายเอา
ไดงายๆ ลูกจะตองมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวกลาเผชิญความจริง รูตัววาผิดตรง
ไหนตองแกตรงนั้นทันทีอยาลีลอลังเลจะเสียการในภายหลังลูกจงศึกษา
วิชาปากวา (โปยกวย) ที่วาดวยความแข็งแกรงของฟา ความออนโยนของ
ดิน ความมีพลังของไฟ ความเยือกเย็นของน้ํา ความกึกกองของเสียงฟา
รอง ความแรงกลาของลม ความมั่นคงของขุนเขา และความเปนกระแส
ของสายธาร แลวลูกจะเขาใจถึงธรรมชาติแปดประการนี้ตางก็เปนปจจัยให
กันและกัน ในยามที่พายุมา เสียงฟารอง ลมก็เปนปจจัยใหฟารองดังยิ่งขึ้น
ฟาก็จะชวยลมใหมีกําลังพัดรุนแรงขึ้น ตัวอยางเหลานี้ถาลูกศึกษาใหเขาใจ
แลว ก็จะสามารถนําวิชาโปยกวยนี้มาประยุกตใชในชีวิตประจําวันใหเกิด
ประโยชนสุขแกลูกเองความผิดถูกชั่วดีลวนเปนปจจัยแกกันและกันเมื่อรู
วาผิดรีบแกไขเสียความถูกก็จะกลับคืนมาเมื่อทําดีอยูความชั่วไหนเลยจะ
มากล้ํากลาย ทั้งหมดนี้ขึ้นอยูกับความเด็ดเดี่ยวกลาหาญของลูกเองเทานั้น
จงจําไว
หิริโอตตัปปะ
การแกไขจึงตองแกกอนที่จะมีการกระทําผิดเกิดขึ้น คือตองรูเหตุที่
จะกอใหเกิดความผิดไดเสียกอนเชน การฆาสัตว ถาเราเขาใจเสียกอนวา
ชีวิตใคร ใครก็รัก ไฉนจึงฆาสัตวอื่นเพื่อเลี้ยงชีวิตเราใหยืนยาวเลา ถามี
ใครทํากับเราบางอยางนี้ ลูกจะยอมหรือ อนึ่งการฆาสัตวนั้นทําใหเกิดความ
ทรมานเจ็บปวดแสนสาหัส นําสัตวมาตมในกระทะรอนๆ กวาจะตายก็แสบ
รอนไปทุกขุมขน แมเราจะบริโภคอาหารสัตวเอร็ดอรอยเพียงไร เมื่อเขา
ไปอยูในทองเราแลวก็จะเปลี่ยนเปนปฏิกูลตอไปถาเราบริโภคแตพืชผักผล
ไม เราก็อยูไดอยางเปนสุขเชนกัน ไมเดือดรอนอะไรไฉนจึงตองไปทําลาย
ชีวิตผูอื่นเพื่อความอิ่มเพียงชั่วยาม แตตองทําลายบุญที่มีอยูแลวใหนอยลง
และเพิ่มบาปใหมากขึ้นดวยเลา
ชีวิตที่ประกอบดวยเลือดเนื้อนั้น ยอมมีวิญญาณความรูสึกนึกคิดเชน
เดียวกับเรา ถาเราไมสามารถทําใหสัตวเหลานั้นมารักนับถือเราไววางใจ
เรา และอยากอยูใกลเราแลว เราก็อยาสรางความเคียดแคนชิงชังจนถึงขั้น
จองเวรจองกรรมกันขึ้นเลย ถาลูกคิดไดเชนนี้แลว ลูกก็จะกลืนเนื้อสัตว
เหลานั้นไมลงคอ เมื่อสมัยโบราณกาลในยุคหินใหม เรามีผูนําที่ทรงเปยม
ดวยพระเมตตากรุณา และทรงปรีชาสามารถยิ่งพระองคหนึ่ง ซึ่งมีพระนาม
วา ตี้ซุน กอนเสวยราชยโดยราษฎรพรอมใจกันเลือกทาน ทานเปนชาวนา
ระหวางที่ทํานาอยูนั้น จะมีชางมาชวยทานไถนา มีนกมาชวยทานถอนหญา
ซึ่งปจจุบันนี้ภาพเชนนี้หาดูไมไดอีกแลว ก็เพราะมนุษยขาดความเมตตา
การุณอยางใจจริงนั่นเอง
เรื่องความโกรธก็เชนกันถาเรารูจักคิดสักนิดวา คนนั้นแตกตางกัน
ทั้งทางนิสัยและสติปญญา ภูมิหนาภูมิหลังของแตละคนจึงไมเหมือนกัน
บางอยางเขาสูเราไมได บางอยางเราสูเขาไมได เมื่อเขาพลาดพลั้งไป ก็
ดวยความรูเทาไมถึงการณ เปนความโงเขลาเบาปญญา นาเห็นใจมากกวา
นาใหอภัยมากกวา ถึงแมเขาจะใหรายเรา ก็เปนเรื่องที่เขาทําผิดเอง เราไม
เดือดรอนนักก็จะไมเกิดความโกรธขึ้นมาไดเลย
ถามีคนนินทาวารายลูก ลูกก็จะตองคิดใหไดวาเหมือนคนจุดกองไฟ
เผาฟา แมกองไฟจะมหึมาเพียงใด แตฟานั้นวางเปลาไมมีเชื้อที่จะติดไฟ
ได กองไฟจะลุกโชติชวงสักเพียงใด ก็จะไหมและมอดไปขางเดียวในที่สุด
คนที่วารายลูกเห็นลูกอยูในความสงบ ไมโกรธตอบไมตอบโต เขาก็จะหยุด
ไปเองเชนกัน เพราะการนินทาวารายนั้น เหมือนนําสีไปปายที่ผาขาว ผา
นั้นยอมยากที่จะขาวไดดังเดิม แมลูกจะมีเหตุผลดีอยางใด ก็ไมสามารถจะ
โตแยงใหขาวกระจางได เปรียบประดุจตัวไหมในฤดูใบไมผลิ หลงกินใบ
หมอนไปดิ้นไปยิ่งกระดุกกระดิกมากเทาไร ใยไหมก็ยิ่งผูกมัดตัวเองมาก
เทานั้น ความโกรธก็เชนกัน มีแตโทษหามีคุณไม ถาลูกสามารถใชเหตุผล
ใครครวญดูแลว ทุกสิ่งก็จะไมนาโกรธ ความโกรธก็จะไมเกิดขึ้นกับลูกอีก
เลย
แกไขที่ใจ
วิธีแกไขความผิดพลาดที่พูดไปแลว มีแกไขเมื่อเกิดความผิดขึ้นแลว
และแกไขเมื่อยังมิไดกระทําความผิด วิธีที่ดีที่สุดก็คือการแกไขที่ใจนั่นเอง
โบราณทานวาไว กิเลสพันหาตัณหารอยแปดก็ลวนเกิดที่ใจทั้งสิ้น ถาเรา
หามใจมิใหเกิดกิเลสตัณหาได ความผิดใดๆ ก็เกิดขึ้นไมไดทั้งสิ้น ดุจดั่ง
ดวงตะวันสาดแสงสองมาทางใด ความมืดก็หมดไป ปศาจยังตองหลบๆ
ซอนๆไมกลาออกมาเพนพ านเปรียบไดกับการโคนลมตนไมที่มีพิษลูกจะ
ตองขุดรากถอนโคนใหหมดสิ้นไปไมใชคอยๆลิดกิ่งปลิดใบซึ่งไมทันการ
สรุปแลวการแกที่ใจจึงจะเขาถึงความบริสุทธิ์ผุดผองไดอยางแทจริง
เพียงเกิดความรูสึกวาจะทําผิด ก็จะรูสึกตัวเสียกอนแลวดวยสติสัมปชัญญะ
ความผิดจึงเกิดขึ้นไมได นี่คือการยับยั้งชั่งใจที่ตองอบรมบมเพาะ ใหสติ
ประคองใจเราไวตลอดเวลา ทั้งหมดนี้ลูกจะตองใชวิจารณญาณใหถูกตอง
วาคราใดที่จะใชวิธีใด จึงจะเหมาะจะควร ถาลู กนําวิธีมาใชไมเหมาะไม
ควรก็จะไมทันการแลวลูกก็จะตองตกอยูในความโงตอไปไมมีทางไดดี
การตั้งปณิธานอันแนวแน ที่จะแกไขความผิดพลาดของตนเองก็ดี
การอธิษฐานอยูบอยๆ ตลอดคืนก็ดี ลวนแตจะชวยกระชับความหนักแนน
ใหแกลูก นอกจากนี้ยังตองมีกัลยาณมิตรคอยชวยเหลือตักเตือน มีผีสาง
เทวดาคอยดลใจ จิตใจของลูกตองเด็ดเดี่ยวแนวแนทั้งกลางวันกลางคืน ทุก
ขณะจิตทุกลมหายใจเขาออกเพียงสักหนึ่งหรือสองสัปดาหอยางชาก็ไม
เกินสามเดือนยอมปรากฏผลอยางแนนอน
ใจสงบกายสบาย
ลูกจงคอยสังเกตถึงจิตใจที่สงบขึ้น สติปญญาแจมใสสมองโปรง ไม
ปวดศีรษะ ทําอะไรก็ดูจะงายขึ้นเร็วขึ้นไมผิดพลาด ไมเครียดจนหงุดหงิด
ถาลูกพบคนที่ไมถูกโรคกันมากอน กลับรูสึกเฉยๆ แทนที่จะเกิดความอิด
หนาระอาใจอยางที่เคยเปนมา กลางคืนอาจจะฝนวาตนเองไดอาเจียนของ
ดําๆ ออกมา บางทีก็จะฝนเห็นนักปราชญโบราณมาสั่งสอนแนะนํา บางทีก็
จะฝนวาไดบินไปเที่ยวบนทองฟา บางทีก็จะเห็นเครื่องบูชาพระพุทธเจา
ลวนเปนนิมิตที่ดี เพื่อใหลูกรูวา บาปกรรมนั้นไดลดนอยลงแลว แตลูกอยา
ไดลําพองใจเปนอันขาด เพราะความเพียรของลูกจะหยุดกาวหนาไดทันทีที
เดียว
แตกอนนี้สมัยชุนชิว มีขุนนางในแควนเอวยทานหนึ่งเมื่ออายุไดยี่สิบ
ป ทานก็รูสึกตัววาตนเองไดทําผิดอะไรมาบาง และสามารถแกไขไดหมด
สิ้น ครั้นเมื่อทานอายุได ๒๑ ป ทานก็รูอีกวาที่คิดวาแกไขหมดแลวนั้น ที่
แทยังไมหมดจดดี ครั้นเมื่อทานอายุได ๒๒ ป ทานก็ยังเห็นอีกวายังเหลือ
ความผิดอะไรอยูบางเชนนี้ทุกปมาจนเมื่อทานอายุ๕๐ปก็ยังรูวาเมื่อทาน
อายุ ๔๙ ปนั้น มีความผิดที่ยังไมไดแกไขอะไรมาบาง ลูกจงดูไวเปนตัว
อยางวา คนโบราณนั้น ทานมีความจริงใจตอการแกไขเพื่อพัฒนาตนเอง
เพียงใด
พวกเราสมัยนี้ลวนแตเปนคนหยาบคาย มีความผิดติดตัวกันมากมาย
ราวกับตัวเหลือบที่เกาะเต็มไปหมด แตเราก็ไมเห็น ไมรูสึกวาอดีตนั้นเรา
ไดกระทําอะไรผิดพลาดมาบาง นี่ก็เพราะความหยาบของจิต มีดวงตาก็หา
มีแววไมนั่นเอง
ลูกจงสังเกตคนที่บาปหนา มักจะปรากฏบุคลิกที่อาภัพใหเห็นไดงายๆ
เชน เปนคนขี้หลงขี้ลืม ปวดหัวมึนงง งวงเหงาหาวนอน แมไมมีเรื่องราย
แรงอะไรเกิดขึ้น ก็มีจิตใจที่หงุดหงิด เศราซึมเลื่อนลอย ขี้หวาดกลัวหา
ความสุขความรื่นเริงไมได เห็นคนก็ไมกลาสบตาดวย ไมชอบฟงเทศนฟง
ธรรม บางทีทําดีกับใครก็กลับไดผลในทางตรงกันขาม กลางคืนนอนก็ฝน
ราย พูดจาเลอะเลือนจิตใจทอแท เหลานี้ลวนเปนนิมิตของคนบาปหนาทั้ง
สิ้น ถาลูกรูสึกตัววาเปนเชนนี้ ก็จงรีบหาทางแกไขโดยดวน อยาไดรั้งรออยู
เลย
โอวาทขอที่๓
วิธีสรางความดี
(โอวาทขอที่สองนั้น ทานเหลี่ยวฝานไดสอนวิธีแกไขความผิดในชีวิต
ปจจุบันแตการที่ไมทําผิดในชาตินี้ยังไมสามารถที่จะทําใหชีวิตเสวยผลดีมี
สุขตลอดไป เพราะเหตุวา แมชาตินี้จะมิไดกอกรรมทําเข็ญเพิ่มขึ้น แตเรา
จะรูไดอยางไรวา ชาติกอนๆ นี้เราทําความไมดีอะไรไวบาง ก็จะตองมี
แนๆ เพียงแตมากหรือนอยเทานั้น ที่เราไมอาจทราบได ซึ่งจะตองได รับ
วิบากแหงกรรมในชาตินี้ตอไป ฉะนั้น ไมเพียงแตเราจะตองละการทําชั่ว
แลว ยังตองสรางกรรมดีใหเพิ่มพูนขึ้น เพื่อหนีวิบากที่ไมดีในชาติปาง
กอนๆโอวาทขอที่สามนี้ทานเหลี่ยวฝานจึงสอนใหลูกทานรูจักสรางความ
ดี)
อดีตเปนตัวอยางอันดี
ลูกจะตองอานคัมภีรอี้จิงใหเขาใจอยางทะลุปรุโปรง เพราะเปนคัมภีร
ที่ดีมากเลมหนึ่ง เพียงหนาแรกก็ใหกําลังใจแกผูอานอยางมหาศาล โดย
กลาวไววาครอบครัวที่สั่งสมแตความดี ไมเพียงแตหัวหนาครอบครัวจะได
รับผลดีเทานั้น แมแตลูกหลานเหลนโหลนก็พลอยไดเสวยผลแหงความดี
นั้นดวย เพราะเหตุนี้ทานตาของทานขงจื่อนักปราชญอันเลื่องชื่อของจีน
ทานจึงยกลูกสาวของทานใหกับทานพอของทานขงจื่อ เพราะทานได
พิจารณาอยางถี่ถวนแลววา ชายที่จะมาเปนบุตรเขยของทานนั้น ไมเพียง
แตจะเปนผูประพฤติดีปฏิบัติชอบแลว ยังตองมีบรรพชนที่ประพฤติดีปฏิบัติ
ชอบมาหลายชั่วคนดวย และก็เปนความจริง ตระกูลนี้ไดกําเนิดนักปราชญ
ที่ชาวจีนทั้งประเทศตองสักการะบูชา เปนปูชนียบุคคลที่หายากในโลกผู
หนึ่ง คือทานขงจื่อไงละลูก ตอมา ทานขงจื่อไดสรรเสริญทานตี้ซุนวาเปนผู
มีความกตัญnู อยางยอดเยี่ยมหาใครเปรียบไดยาก บรรพชนของทานตี้ซุน
จะตองยินดีปรีดาที่มีลูกหลานที่ดีเชนนี้มาเซนไหวบูชาดวยลูกศึกษาประวัติ
ศาสตรสมัยชุนชิวแลว ลูกก็จะเขาใจวา ลูกหลานของทานตี้ซุนก็คือแควน
เฉินทั้งหมดไดมีความรุงเรืองอยูนานหลายชั่วคนทีเดียว
อดีตจึงเปนตัวอยางอันดีที่ลูกจะไดศึกษา ทําความเขาใจใหรูแจงเห็น
จริงและจดจํามาแตสิ่งที่ดีงามเพื่อประยุกตใชในชีวิตประจําวันของลูกเอง
ชวยแตคนไมสนทรัพยสิน
มีขุนนางทานหนึ่งมีหนาที่ถวายอักษรฮองเต เมื่อยังทรงพระเยาว
ทานผูนี้มีบรรพชนที่ยึดอาชีพแจวเรือจางมาหลายชั่วคน มีอยูครั้งหนึ่ง ตั้ง
แตพระอาจารยยังไมเกิดฝนตกนานจนน้ําทวมตลิ่งกระแสน้ําไดพัดพา
ชีวิตผูคนและทรัพยสินลอยตามน้ํามามากมาย ชาวเรือจางตางก็สาละวน
เก็บทรัพยสินขึ้นเรือเปนของตนมีแตทานทวดและทานปูของอาจารยทานนี้
เทานั้น ที่ไมยอมแตะตองสิ่งของใดๆ เลย ตั้งหนาตั้งตาช วยชีวิตคนที่ลอย
ตามกระแสน้ําอันเชี่ยวกรากมา ใครๆ ก็พากันหัวเราะเยาะวาทานทั้งสอง
เปนคนโงไมรูจักฉวยโอกาสหาความร่ํารวยใสตนแตการณหาเปนเชนนั้น
ไม เมื่อทานปูไดลูกชาย คือทานบิดาของพระอาจารยนี้ ความเปนอยูของ
ทานกลับไมลําบากดังแตกอน ครอบครัวมีความสุขสบายขึ้น ทานทวดสิ้น
บุญไปแลว ตอมาทานปูก็ถึงแกกรรมลง มีเตาหยินทานหนึ่งซึ่งเชื่อกันมาวา
เปนเทวดาแปลงรางมาปรากฏ ไดแนะนําใหทานพอของพระอาจารยนําศพ
ของทานทวดและทานปูไปฝงรวมกันในที่แหงหนึ่งใกลบานซึ่งเปนชัยภูมิที่
ดีมาก เปนมงคลแกลูกหลานตอไป ทุกวันนี้ฮวงจุยกระตายขาวนี้เปนที่เลื่อง
ลือกลาวขวัญกันทั่วทุกทิศ สดุดีในเกียรติคุณของคนแจวเรือจางที่เปนทาน
ทวดและทานปูของพระอาจารย เมื่อพระอาจารยถือกําเนิด พออายุได ๒๐
ป ก็สอบไลไดตามขั้นตอนทั้งหมด ไดรับราชการเปนขุนนาง จนไดเปน
พระอาจารยถวายอักษรแดฮ องเต เมื่อฮองเตทรงทราบถึงคุณงามความดี
ของทานทวดและทานปูของพระอาจารย ก็ไดโปรดเกลาฯ พระราชทานยศ
ขุนนางใหกับทานทวดทานปูของพระอาจารยอีกดวย เพื่อเปนการแสดงให
ปรากฏวาการทําความดีงามนั้นยอมไดรับสิ่งที่ดีงาม สมควรเปนแบบอยาง
แกบุคคลทั่วไปแมชีวิตหาไมแลวก็ตามอนึ่งลูกหลานของพระอาจารยก็ได
รับราชการเปนใหญเปนโตตราบจนทุกวันนี้มากมาย
จิตที่เปยมดวยเมตตาสยบความดุรายได
เสมียนอําเภอทานนี้ฐานะยากจนมาก เพราะมีแตเงินเดือนขั้นต่ํา ไม
เคยขูดรีดราษฎรไมยอมรับของกํานัลจากใคร มีแตชวยนักโทษ วันหนึ่ง มี
ผูตองหาหลายคนที่อดอยากมาตลอดทางจากหัวเมืองไกล หนาตาซีดเซียว
หมดเรี่ยวหมดแรง หนาหาสีเลือดไมไดแลว เปนที่สังเวชใจยิ่งนัก บังเอิญที่
บานของเสมียนอําเภอทานนี้ ขาวสารก็กําลังจะหมด เหลืออยูมื้อสุดทายเทา
นั้นถานํามาใหผูตองหาเหลานี้แลวทานและภรรยาก็ตองอดขาวมื้อนั้นดวย
ทานจึงปรึกษากับภรรยาเพื่อใหภรรยาเปนผูตัดสินใจ ตกลงทั้งสองยอมสละ
ความมื้อนั้น นํามาตมขาวตมเลี้ยงผูตองหาทั้งหมด ตอมาภรรยาของทานก็
ใหกําเนิดบุตรชายสองคน ลวนแตไดเปนขุนนางผูใหญในเวลาตอมา และ
หลานของทานอีกสองคนก็ไดเปนขุนนางผูใหญเชนกัน
คุณธรรมล้ําเลิศเพราะปญญา
ใหทานตองไมอิดหนาระอาใจ
ที่เมืองฝูเจี้ยน มีตระกูลหนึ่งแซหลินบรรพสตรีทานหนึ่งเปนผูใจบุญ
มากชอบทําขนมเลี้ยงคนจนใครมาขอขนมก็รีบกุลีกุจอตักใหไมเคยแสดง
สีหนารังเกียจเดียดฉันทตอมามีเทวดาแปลงรางเปนเตาหยินมาขอขนม
คุณยายทานนี้ทุกเชาและขอมากๆเสียดวยทานก็ไมเคยบนวาตักใหมากๆ
ทุกวันเปนเวลาสามป ตลอดระยะสามปนี้ไมเคยขาดเลยแมแตวันเดียว ไม
เคยใหนอย ไมเคยเบื่อหนายตอการให สามปประดุจหนึ่งวัน เตาหยินแอบ
ชมเชยนางอยูในใจวา จะหาใครใหทานไดสม่ําเสมอโดยไมอิดหนาระอาใจ
เชนนี้ไมไดอีกแลว ทานจึงพูดกับนางวา อาตมาฉันขนมของทานมาเปน
เวลาสามปแลว จึงใครจะขอตอบแทนพระคุณทานเสียที ที่หลังบานของ
ทานมีที่วางอยู ถาทานทําฮวงจุยในบริเวณนี้ได ตอไปลูกหลานอีกหลายๆ
ชั่วคนของทานจะไดเปนขุนนาง ถาจะเปรียบก็พูดไดวา จะเปนขุนนางมาก
มายเทากับเมล็ดงาหนึ่งถังใหญทีเดียว ทานลองคิดดูแลวกันเมล็ดงานั้นเล็ก
เพียงไร อยูในถังใหญๆ จะมีปริมาณมากเพียงไร ตอมานางไดถึงแกกรรม
ลง บุตรชายจึงนําไปฝงไวในที่นี้ อีกไมนาน ตระกูลนี้เขาสอบครั้งแรก ก็
สอบไดถึงเกาคน และไดเปนขุนนางทั้งหมดเชนกัน ไดเปนขุนนางทุกชั่ว
คน จนมีคําร่ําลือกันไปทั่ววา ไมเคยมีครั้งใดที่การสอบไลจะไมมีคนใน
ตระกูลหลินติดอันดับ
ชวยชีวิตตองฉับพลัน
อีกตระกูลหนึ่งคือตระกูลเฝง บุตรชายรับราชการในกองประวัติ
ศาสตรแหงชาติกอนหนานั้นบิดาสอบไดเปนที่ซิ่วฉาย ทุกเชาจะตองไป
เรียนตอที่อําเภอ อยูมาวันหนึ่งอากาศหนาวจัดมาก ทานเดินไปตามทาง
พบคนนอนหนาวจมหิมะอยู คลําดูปรากฏวาแข็งไปครึ่งตัวแลว ทานรีบ
ถอดเสื้อหนาวออกใสให พยุงใหลุกขึ้นพากลับมาบานของทาน ชวยประคบ
ประหงมจนพื้นดีดังเดิม คืนนั้นทานฝนไปวา มีเทวดาองคหนึ่งมาพูดกับ
ทานวา
“เปนการยากยิ่งนัก ที่เจาสามารถชวยเหลือคนใหฟนจากรอดตายได
อยางหวุดหวิดเราจะใหหานฉีมาเกิดในตระกูลของเจา”
ตอมาบุตรชายที่ทํางานกองประวัติศาสตรอยูในเวลานี้ก็เกิดมา จึง
ขนานนามวาฉี ตามที่ฝนไป หานฉีทานเกิดในสมัยราชวศซง (ซอง)
(ค.ศ. ๙๖๐ - ๑๑๒๗ หรือ พ.ศ. ๑๕๐๓ - ๑๖๗๐) เปนขุนนางในตําแหนง
ไจเซี่ยงถึงสองรัชกาล คือพระเจาอิงจงฮองเต (ค.ศ. ๑๐๖๘ -๑๐๘๕ หรือ
พ.ศ.๑๖๑๑-๑๖๒๘)เปนที่รักของคนทั่วไปและเปนที่เกรงขามของชาว
ตางประเทศยิ่งนัก เกียรติคุณของทานแผไพศาล เมื่อถึงแกอนิจกรรมแลว
พระเจาสินจงฮองเตไดโปรดเกลาสถาปนาเปนที่จงเซี่ยนกง เปนเกียรติยศ
อันสูงสุดที่ไดรับการขนานนามวา เปนผูที่อุทิศตนเองเพื่อความจงรักภักดี
และรักชาติยิ่ง
ชวยเหลือทั่วหนา
อยูมาอีกคืนหนึ่งทานแซอิ้งก็ไดยินปศาจพูดวา
“ฉันนะจะมีคนตายแทนแลวเชียวนาแตซิ่วฉายนี่ทําเสียเรื่องหมด”
ปศาจอีกตนหนึ่งก็พูดขึ้นวา“งั้นเราก็ชวยกันฆาเสียเถอะ”
ชวยตองทันที
“แมจะพูดสักพันครั้งหรือสักหมื่นครั้ง ขาพเจาขอยืนยันวาเปนความ
จริงที่ซิ่วฉายในตระกูลสวี๋ยนี้จะไดเปนจวี่ยเหยินแลว”
การใหความยุติธรรมเปนความยิ่งใหญ
มีขุนนางอีกทานหนึ่งแซถู รับราชการอยูในเรือนจําที่เมืองเจียฟาง
ทานพักอยูในเรือนจํา มีเวลาวางทานก็จะไปคุยกับพวกนักโทษ เพื่อจะไดรู
ความจริงวานักโทษนั้นทําผิดจริงหรือเปลา ปรากฏวามีนักโทษหลายคนที่
ไมไดกระทําผิดตามที่ถูกกลาวหา ทานจึงทําบันทึกไปมอบใหผูบังคับบัญชา
การพิจารณาโทษในสมัยนั้นก็ตองผานการพิจารณาคดีสามขั้นตอนดวยกัน
เมื่อสอบสวนไดความอยางใด ในทองที่ที่เกิดเหตุแลว ก็สงตัวนักโทษมายัง
คณะกรรมการอีกชุดหนึ่งที่จะสอบสวนอีกครั้งหนึ่ง เมื่อไดความอยางไร
แลวก็นําทูลเกลาฯถวายฮองเตใหทรงวินิจฉัยอีกทีหนึ่ง โดยแยกเสนอนัก
โทษออกเปนสามประเภท คือประเภทที่หนึ่ง กระทําผิดจริง ประเภทที่สอง
เปนนักโทษที่รอลงอาญาได ประเภทที่สาม เปนนักโทษที่ควรใหอภัยโทษ
ทั้งหมดนี้สุดแลวแตฮองเตจะทรงวินิจฉัยอยางใดอยางหนึ่ง ถารับสั่งให
ประหารก็ประหารทันที สวนพวกที่รอลงอาญา ถาโชคดีก็อาจจะไดรับพระ
ราชทานอภัยโทษในวันสําคัญของฮองเต ทานแซถูนี้ เมื่อทานสอบสวนได
ความจริงจากนักโทษแลว ทานก็ทําบันทึกสงใหผูบังคับบัญชา ธรรมเนียม
ในสมัยนั้น ถาผูใดสามารถสืบไดความจริงวานักโทษไมผิดแตถูกปรักปรํา
ก็จะไดความดีความชอบ แตทานแซถูนี้ ทานมิไดคิดเอาดีเอาชอบ กลับยก
ความดีความชอบนั้น ใหแกผูบังคับบัญชาของตน มีความประสงคแตจะ
ชวยแกทุกขใหกับนักโทษเทานั้น นักโทษถูกปลดปลอยเพราะทานในขณะ
นั้นสิบกวาคน ราษฎรตางพากันชื่นชมยินดี โดยไมทราบวาที่แทเปนการ
ปดทองหลังพระของทานแซถูนั่นเอง ทานแซถูยังเสนอตอผูบังคับบัญชาวา
ในเมืองหลวงแทๆ ยังมีผูถูกปรักปรํามากมายเชนนี้ ถาหัวเมืองที่ไกลปน
เที่ยงออกไป จะไดรับความอยุติธรรมขนาดไหน ควรที่จะแตงตั้งคนดีมี
ความยุติธรรมเปนผูตรวจการไปรื้อฟนคดีมาพิจารณาวา ไดพิพากษาลง
โทษสมควรแก โทษหรือเปลา ถาหนักไปก็ควรผอนใหเบาลง ถาเบาไปก็
ตองเพิ่มใหหนักขึ้นไปอีก เพื่อทรงความยุติธรรมไว ผูใดมิไดกระทําผิดก็
สมควรปลอยตัวไปเสีย ฮองเตทรงเห็นชอบดวยจึงทรงแตงตั้งขุนนางแยก
ยายกันไปตามหัวเมืองนอยใหญ ทานแซถูก็ไดรับการแตงตั้งดวย อยูมาคืน
หนึ่งทานฝนไปวามีเทวดามาชมเชยทานวาการกระทําของทานเปนที่ถูกใจ
ฟาดินมาก ความจริงทานแซถูมีชาตาชีวิตที่ไรบุตรสืบสกุล แตเนื่องจาก
ความดีครั้งนี้ใหญหลวงนัก ฟาดินจึงประทานบุตรชายใหทานสามคน ตอ
ไปจะไดเปนขุนนางผูใหญทั้งสิ้นตอมาความฝนนั้นก็กลายเปนความจริง
จาคะดวยเมตตาการุณ
ยุติธรรมค้ําจุนโลก
ขอคิดพิจารณา
๑.ดีจริงหรือดีปลอม
๒.บริสุทธิ์ใจหรือไมบริสุทธิ์ใจ
๓.ทําแลวมีคนรูเห็นหรือไมมีคนรูเห็น
๔.ทําถูกหรือผิด
๕.ทําดวยความรูเทาถึงการณหรือไม
๖.ทําครึ่งๆกลางๆหรือทําอยางสมบูรณ
๗.ทําใหญหรือเล็ก
๘.ทํายากหรือทํางาย
ทั้งหมดนี้จะตองใครครวญใหถองแท หากการกระทําความดีโดยไม
อาศัยเหตุผลแลวไซรความดีนั้นอาจจะใหผลรายเปนบาปไปก็ได เปนการ
สูญเปลาไมไดประโยชนอันใดเลยทีนี้พอจะมาพูดใหฟงทีละขอ
ขอแรกการทําดีนั้นดีจริงหรือดีปลอม
อยูมาวันหนึ่ง มีพวกนักศึกษาลัทธิขงจื่อไดพากันไปนมัสการทาน
กราบถามทานถึงปญหาหนึ่งวา
“พระพุทธศาสนานั้นเนนหนักในเรื่องกฎแหงกรรม ใครทําดีไดดีทํา
ชั่วไดชั่ว ดุ จเงาตามตัว บัดนี้ปรากฏวาบางคนทําความดีแตลูกหลานไม
เจริญรุงเรือง สวนคนที่ทําชั่วนั้นเลา กลับไดดีมีหนามีตา เชนนี้แลวจะเชื่อ
คําสอนของพระพุทธศาสนาไดอยางไรกัน”
พระเถระจงฟงกลาวตอบวา
แลวทานก็ใหพวกนักศึกษาลัทธิขงจื่อ ยกตัวอยางที่พวกเขาเห็นวาดี
และไมดีออกมาจะไดเขาใจความหมายของความดีถองแทขึ้น บางคนก็ยก
ตัวอยางวา การตีคนดาคนไมดี การออนนอม มีมารยาทดีจึงจะดี บางคนก็
ยกตัวอยางวา การละโมบอยากไดของเขาอื่นไมดี การไมละโลภถือสันโดษ
เปนความดี
ทานจงฟงเถระก็ไดสายหนาวาไมใชอยางวาเสมอไปทานอธิบายวา
ความดีขอที่สองคือการทําความดีนั้นบริสุทธิ์ใจหรือไมบริสุทธิ์ใจ
สมัยนี้คนสวนมากชอบคนที่มีนิสัยไมดื้อรั้นวาเปนคนดี แตนัก
ปราชญทานมักจะชอบคนที่เปนตัวของตัวเอง เพราะคนชนิดนี้ มักจะสอน
งาย แตหาไดยากมาก คนที่วานอนสอนงาย ชักจูงอยางไรก็ไปอยางนั้น ถึง
แมใครตอใครพากันชมเชยวาเปนคนดีนักหนาก็ตามที แตทานนักปราชญ
กลับเห็นวาคนชนิดนี้เปนผูรายในคุณธรรม สอนใหดีไดยาก หาความกาว
หนาไมได เพราะฉะนั้น ความดีความไมดี ชาวโลกมักเห็ นตรงกันขามกับ
นักปราชญเสมอ สวนเทวดาฟาดินนั้น มีความเห็นตรงกับปราชญ ดังนั้น
การทําความดีจึงมิไดอาศัยที่ตาดู หูฟง แตตองเริ่มที่ใจของตนเอง เริ่ม
ไตรตรองสํารวจตนเองอยางระแวดระวังอาศัยกําลังใจของเราเองซักฟอก
จิตใจใหใสสะอาด ไมวาจะทําอะไรก็ใหคิดถึงประโยชนสุขของผูอื่นกอน
แลวทําดวยความบริสุทธิ์ใจ ไมแฝงไวดวยเจตนาที่จะตองการตอบแทนจาก
ใคร จึงจะเปนความดีโดยบริสุทธิ์ หากเราทําดีเพื่อเอาใจผูอื่นก็ดี หวังการ
ตอบแทนก็ดี ก็ไมใชความดีที่เกิดจากความบริสุทธิ์ใจเสียแลว เปนการเส
แสรงเพทุบายเพื่อหวังประโยชนตนเปนที่ตั้ง เปนเจตนาที่ไมบริสุทธิ์ จะถือ
เปนความดีแทไมได
ความดีขอที่สามคือการทําความดีนั้นทําแลวมีคนรูเห็นหรือไมมีคน
รูเห็น
ความดีทางธรรมซึ่งฟาดินยอมประทานผลดีให สวนความดีทางโลก
ก็จะไดรับแตชื่อเสียงเกียรติยศความมั่งคั่งเปนผลตอบแทน การมีชื่อเสียง
โดงดังนั้น ชาวโลกมักจะเห็นวาเปนผูมีบุญวาสนา แตทางธรรมแลวเห็นวา
ผูนั้นมิไดทําความดีมากพอกับการมีชื่อเสียง จึงมักจะไดรับผลไมดีในบั้น
ปลาย แตคนดีที่ไดรับการปรักปรําจนเสียชื่อเสียงนั้น ลูกหลานกลับรุงเรือง
ไดดีมีสุข เพราะผูที่ไดรับการปรักปรํา สามารถอดทนตอการถูกประณาม
หยามเหยียดหวานอมขมกลืน กมหนารับความขมขื่นอยูดวยอาการสงบ
เปนการสั่งสมกุศลกรรมอยางใหญหลวง ลูกหลานจึงมีโอกาสไดดี เพราะ
ฉะนั้น ลูกจะตองเห็นความสลับซับซอนอันล้ําลึกของการทําความดีที่ดีแท
และดีปลอมจึงจะทําความดีไดถูกตอง
ความดีขอที่สี่คือการทําความดีนั้นทําถูกหรือทําผิดกาละเทศะ
ในแควนหลูราษฎรถูกจับไปเปนเชลยในแควนอื่นเมื่อมีคนไถมาได
สงคืนแควนหลูไป ก็จะไดรับเงินจํานวนหนึ่งเปนการตอบแทน เพราะสมัย
ชุนชิวนั้น ตางก็ตั้งตัวเปนอองกัน รบราฆาฟนชวงชิงเขตแดนกัน จับเชลย
ศึกไดก็นําไปเปนขาทาสทั้งชายหญิง แควนหลูเปนแควนเล็กๆ ไมคอยจะมี
กําลังไปสูรบกับใครนัก จึงมักถูกแควนอื่นบุกเขามาจับราษฎรไปเปนทาส
เสมอ ใครใจบุญอยากทําความดีก็นําเงินไปไถมาคืนเจาผูครองแควนหลูก็
จะไดรับรางวัลทันที ตอมาทานจื่อกงซึ่งเปนศิษยเอกของทานขงจื่อ ทานได
ไปไถเชลยศึกมาคืนแควนหลู แตไมยอมรับเงินรางวัล เพราะทานมีฐานะดี
อยูแลว ทําไปโดยมิหวังผลตอบแทนใดๆ แตเมื่อทานขงจื่อทราบเรื่องเขา
ทานก็โกรธลูกศิษยของทานมาก ทานบอกวา แควนหลูนั้นคนจนมากคน
รวยมีนอย ตอไปนี้คงจะไมมีใครกลาไปไถเชลยศึกมาอีกแลว เพราะทาน
จื่อกงไปทําตัวอยางเอาไวเชนนั้น ก็มีแตคนที่ฐานะดีจึงกลาเอาอยางทานจื่อ
กงได สวนคนที่โลภเงินรางวัลก็ดี คนที่ไมคอยจะมีเงินนักก็ดี ตางก็ไมทํา
ความดีอีกตอไป เพราะไมไดเงินรางวัลจะทําไปทําไม ดังนี้จึงเห็นไดวานัก
ปราชญนั้น ไมวาจะทําอะไรก็จะเปนเยี่ยงอยางแกผูอื่น จึงตองระมัดระวัง
จะทําอะไรผิดไมได คนก็จะพากันทําตามอยางผิดๆ ไปดวย ความดีก็เลย
เปนความดีปลอมไป
(มีทานผูอานแยงมาวา พระพุทธศาสนาสอนมิใหทําความดีเพื่ออามิส
สินจางทานเหลี่ยวฝานหมายถึงวาเมื่อมีเจตจํานงจะทําความดีสวนผลตอบ
แทนนั้น ถาพึงไดโดยชอบธรรม แมตนเองไมตองการ ก็สามารถนําไปทํา
ความดีเพื่อผูอื่นอีกตอไปได เชนทานจื่อกง เมื่อทานรับเงินมาแลว ทาน
สามารถนําเงินไปไถคนมาใหกับแควนหลูไดอีก เปนการทําความดีที่ตอ
เนื่องไปสูประโยชนสุขของผูอื่นไดอีกมากมาย และไมเสียธรรมเนียมของ
แควนหลู เปนการไมเสียหายทั้งทางโลกและทางธรรม จึงไมขัดกับคําสอน
ของพระพุทธศาสนาเลย-ผูถอดความ)
ทานจื่อลูซึ่งก็เปนศิษยเอกของทานขงจื่อเชนกัน อยูมาวันหนึ่งทานจื่อ
ลูไดชวยคนตกน้ําไวได ชายคนนั้นใหวัวตัวหนึ่งเปนการตอบแทนที่ไดชวย
ชีวิตไว ทานจื่อลูก็รับเอาวัวนั้นมา ทานขงจื่อเมื่อทราบเรื่องก็ดีใจมาก ทาน
พูดวาตอไปนี้แควนหลูของเรานี้ จะมีคนชอบชวยเหลือผูอื่นเพิ่มขึ้นอีก
เพราะเมื่อทําความดีแลว มีคนเห็นความดีและไดรับการตอบแทนทันที
ใครๆ ก็อยากจะทําความดีเชนนี้กันมากขึ้น แตในสายตาของชาวโลกแลว
จะตองมองในทัศนะกลับกันกับทานขงจื่อเปนแน ชาวโลกจะตองเห็นวา
ทานจื่อกงดีชวยคนแลวไมหวังสิ่งตอบแทนสวนทานจื่อลูนั้นไมดีชวยแลว
ก็ไมปฏิเสธการตอบแทน แตนักปราชญทานมองการณไกล การทําความดี
ที่มีคนนําไปเปนเยี่ยงอยางใหเกิดประโยชนตอสวนรวมได จึงจะเปนความ
ดีแท
ความดีขอที่หาคือการทําความดีนั้นทําดวยความรูเทาถึงการณหรือ
ไม
ครั้นแลวมีชายขี้เมาคนหนึ่งมาดาทานซึ่งๆหนาทานเห็นเปนคนเมา
ก็ไมถือโกรธกลับมาบอกคนรับใชวา อยาไปเอาเรื่องกับคนเมาเลย ปด
ประตูเสียเถิด
ตอมาชายขี้เมาคนนี้ไดรับโทษประหารชีวิต
เมื่อทานอดีตไจเซี่ยงรูเขาก็เสียใจมากรําพึงวา
“ถาเราเอาเรื่องเสียแตแรกที่ดาเรา จับไปทําโทษสถานเบาเสียที่
อําเภอ เขาจะไมตองรับโทษประหารในวันนี้ เพราะเราแทๆ กรุณาเขาผิด
กาละไปดวยความรูเทาไมถึงการณทําใหเขาเหิมเกริมทําชั่วจนตัวตาย”
นี่คือตัวอยางของความใจดีแตกลับทําใหผูอื่นไดรับผลชั่วตอบแทน
สวนการกระทําที่เห็นวาชั่วแตกลับเปนผลดีนั้นก็มีตัวอยางเชนกัน
ความดีขอที่หกคือการทําความดีนั้นทําครึ่งๆกลางๆหรือทําอยาง
สมบูรณ
แตกอนนี้มีเด็กสาวคนหนึ่งเขาไปในวัดเพราะอยากทําบุญแตมีเงิน
เพียงสองอีแปะ ความจริงราคาของเงินนั้นนอยนิด แตคาของความมีใจ
อยากทําบุญนั้นเหลือหลาย ทานเจาอาวาสจึงกลาวอนุโมทนาคาถาเอง ให
ศีลใหพรเอง
ตอมาหญิงนั้นไดเปนพระสนมของฮองเตมีเงินมากมาย จึงนําเงิน
หลายพันตําลึงมาที่วัดนั้นอีกเพื่อทําบุญ คราวนี้เจาอาวาสใหพระลูกวัดกลาว
อนุโมทนาคาถาและใหศีลใหพรแทน
พระสนมเกิดความสงสัยยิ่งนักจึงกราบถามทานวา
ทานเจาอาวาสกลาววา
ตอมาทานจงหลีไดสอนใหทานลื่อโจวรูจักผสมยาวิเศษ เพียงแตเอา
ยานั้นหยดลงไปที่เหล็กเหล็กนั้นก็จะกลายเปนทองสามารถนําไปชวยเหลือ
ความยากจนของผูคนได
ทานลื่อโจวจึงกราบถามทานอาจารยวา
“เมื่อเปลี่ยนไปเปนทองแลวจะกลับเปนเหล็กดั่งเดิมอีกไหม”
ทานจงหลีบอกวา
“เมื่อครบหารอยปแลวจะกลับสภาพเดิมได”
ทานลื่อโจวจึงปฏิเสธไมยอมทําเหล็กใหเปนทอง เพราะทานเห็นวา
เมื่อครบหารอยปแลวก็จะทําใหผูคนเสียหายมากมายเพราะอยูๆทองในมือ
ก็กลายเปนเหล็กไปเสียแลว ยอมนํามาซึ่งความสูญเสียอยางมากมาย เปน
การใหรายผูอื่นโดยไมเปนธรรม
การที่ทานจงหลีลองใจทานลื่อโจวครั้งนี้ ทําใหทานภูมิใจในลูกศิษย
ของทานเปนอยางยิ่งเพราะคําพูดเพียงคําเดียวก็แสดงใหเห็นความเปนคน
ของทานลื่อโจววาสูงสงเพียงใด
ทานจึงกลาวกับศิษยรักของทานวา
“การจะบรรลุความเปนเซียนนั้น จะตองสั่งสมคุณธรรมใหไดถึงสาม
พันอยางคําพูดของเจาเพียงคําเดียวก็เทากับไดสรางคุณธรรมครบสาม
พันอยางแลวในพริบตา”
ความดีขอที่เจ็ดคือการทําความดีนั้นทําใหญหรือเล็ก
ทําเพื่อผูอื่นนั้นบุญหนัก
มีขุนนางผูหนึ่งมีนามวาเอี้ยมจุนรับราชการอยูในกองประวัติศาสตร
พญายมสั่งใหคนนําตาชั่งมาชั่ง ปรากฏวาบัญชีความดีนั้นแมจะเล็ก
นิดเดียวแตกลับมีน้ําหนักมากกวาบัญชีความชั่วที่รวมกันแลวทั้งหมด
ทานเอวยมีความสงสัยเปนอันมากจึงถามพญายมวา
“ขาพเจามีอายุยังไมถึงสี่สิบปไฉนจึงมีความชั่วมากมายเชนนี้”
พญายมตอบวา
“เพียงแตจิตคิดมิชอบเทานั้นก็เปนบาปแลวเชนเห็นผูหญิงสาวสวยก็
มีจิตปฏิพัทธจิตที่คิดมิชอบเชนนี้ก็จะถูกบันทึกในบัญชีความชั่วทันที”
ทานเอวยถามตอไปวา
“ถาเชนนั้นในบัญชีความดีอันนอยนิดไดบันทึกไววาอยางไร”
พญายมตอบวา
“มีอยูครั้งหนึ่งฮองเตทรงดําริจะซอมสะพานหินที่เมืองฝูเจี้ยน ทาน
เกรงวาราษฎรจะเดือดรอนจึงถวายความเห็นเพื่อยับยั้งพระราชดํารินั้นเสีย
บัญชีความดีนั้นก็คือสําเนาที่ทานทูลเกลาฯถวายฮองเตนั่นเอง”
ทานเอวยก็แยงวา
“แมขาพเจาจะกระทําดังกลาวจริงแตก็ไมเปนผลสําเร็จ พระองคทรง
ดําเนินการไปแลวไมนาเลยที่บัญชีความดีเพียงอยางเดียวจะมีน้ําหนักมาก
กวาบัญชีความชั่วที่กองอยูเต็มหองนี้”
พญายมจึงพูดวา
“การที่ทานมีเมตตาจิตตอราษฎร เกรงจะไดรับความลําบากกันมาก
มาย กุศลจิตเชนนี้ใหญหลวงนัก ถาหากทานยับยั้งไดสําเร็จ ก็จะยิ่งเพิ่มน้ํา
หนักมากขึ้นอีกพลังแหงกุศลกรรมนี้จะยิ่งใหญอีกหลายเทานัก”
ขอที่แปดคือการทําความดีนั้นทํายากหรือทํางาย
สมัยกอน ทานผูคงแกเรียนมักจะพูดวา ถาจะเอาชนะใจตนเองใหได
ตองเริ่มจากจุดที่ขมใจไดยากที่สุดเสียกอน ถาสามารถเอาชนะได จุดอื่นๆ
ก็ไมสําคัญเสียแลวยอมจักเอาชนะไดโดยงาย
ลูกศิษยของทานขงจื่อชื่อฝานฉือไดถามอาจารยวา
“เมตตาธรรมนั้นเปนอยางไร”
ทานขงจื่อตอบวา
พอจะยกตัวอยางใหลูกฟงลูกจะไดเขาใจงายเขา
ทานผูเฒาซูเกิดความเห็นใจสามีภรรยาคูนี้ยิ่งนัก จึงยอมสละเงินที่
เก็บออมไวไดจากการสอนหนังสือเปนเวลาสองป นํามาใชหนี้แทนชายผู
นั้นทําใหสามีภรรยาคูนี้ไมตองแยกจากกัน
ทั้งทานผูเฒาซูและทานผูเฒาจาง ลวนแตไดกระทําในสิ่งที่ทําไดยาก
ยิ่ง เงินที่ทานสะสมไวคนละสองปและสิบปนั้น ทานก็หวังวาเมื่อทํามาหากิน
ไมไดแลว ก็จะไดพึ่งเงินจํานวนนี้ประทังชีวิตตอไป เปนเงินที่ตองใชเวลา
อันยาวนานสะสมไววันละเล็กละนอย แตทานทั้งสองก็สามารถตัดใจชวย
เหลือคนที่ไมรูจักกันเลยแมแตนิดในพริบตาเดียว นี่คือการทําความดีที่ยาก
ยิ่งจริงๆ
สวนเด็กสาวนั้นอายุไมถึงยี่สิบ ควรจะไดสามีที่มีวัยไลเลี่ยกันทานจึง
ไมควรที่จะไปทําลายความสุขและอนาคตของเด็กสาวนี้เสีย ดวยความเห็น
แกตัวเพียงเพื่อจะมีบุตรไวสืบสกุลเปนการไมสมควรอยางยิ่ง
ทานผูเฒาทั้งสามทานนี้ลวนแตทําในสิ่งที่ยากเย็นจริงๆ ฟาดินทรง
ประทานความสุขความเจริญใหกับทานทั้งสาม ทั้งในโลกนี้และโลกหนา
เปนแนแท สวนคนที่มีเงินมีอํานาจนั้น ถาจะกระทําความดีก็ยอมงายกวาผู
ที่ไมมีทั้งเงินและอํานาจ แตพวกนี้ก็ไมคอยชอบทําความดี นาเสียดายผูที่มี
โอกาสพรอมกลับไมชอบทําความดีสวนผูที่ดอยโอกาสกวาจะทําความดีได
ก็ดวยความยากลําบากยิ่งนี่คือความแตกตางกันในคุณคาของความดี
การทําความดีตอผูอื่นนั้น ตองแลวแตโอกาสจังหวะเวลาซึ่งมีความ
สําคัญเชนกัน การชวยเหลือผูอื่นนั้น มีวิธีการมากมาย ประมวลแลวก็
สามารถแยกออกได๑๐วิธีดวยกันคือ
๑.ชวยเหลือผูอื่นทําความดี
๒.รักและเคารพทุกคนอยางเสมอหนา
๓.สนับสนุนผูอื่นใหเปนผูมีความดีพรอม
๔.ชี้ทางใหผูอื่นทําความดี
๕.ชวยเหลือผูที่อยูในความคับขัน
๖.กระทําสิ่งที่เปนประโยชนตอสาธารณะ
๗.อยาทําตนเปนปูโสมเฝาทรัพยตองหมั่นบริจาค
๘.ธํารงไวซึ่งความเปนธรรม
๙.เคารพผูมีอาวุโสกวา
๑๐.รักชีวิตผูอื่นดุจรักชีวิตตนเอง
ขอ๑.การชวยเหลือผูอื่นทําความดีนั้นเปนอยางไร
เมื่อครั้งทานตี้ซุนยังมิไดเปนพระเจาแผนดินจีนสมัยโบราณ (กอน
ค.ศ.๒๒๕๕-๒๒๐๘หรือพ.ศ.๑๗๑๒-๑๖๖๕)ทานไปยังหนองน้ําแหง
หนึ่ง เห็นชาวบานกําลังจับปลากันอยูคนที่แข็งแรงก็พากันไปยังที่ที่มีน้ําลึก
ปลาชุม สวนพวกที่ไมแข็งแรงและผูชราถูกกันใหไปจับปลายังที่ที่กระแส
น้ําไหลเชี่ยวและที่มีน้ําตื้น ซึ่งปลาจะไมชอบมาในบริเวณนั้น ทําใหจับปลา
ไมได ทานตี้ซุนเห็นดังนั้น ก็บังเกิดความเห็นใจ ทานจึงเขาไปชวยคนที่ไม
แข็งแรงและผูชราหาปลาใครที่เห็นแกตัวชอบแยงที่น้ําลึกทานก็นิ่งเสียไม
ไปวาเขา ใครที่ไมเห็นแกตัว ทานก็นําพฤติกรรมของเขาไปสรรเสริญจน
ทั่วทานเองก็ทําตัวอยางอันดีใหเปนที่ปรากฏอยูทุกวันๆ
จนกาลเวลาไดผานไปหนึ่งป ชาวบานพากันสํานึกในความเห็นแกตัว
ของตนตางทําดีตอกันและกัน
ในที่นี้พอจะตองบอกใหรูวา พอไมสนับสนุนในเรื่องการจับปลามา
เปนอาหารเพราะการฆาสัตวตัดชีวิตนั้นเปนบาปอยางยิ่ง
แตพอยกเรื่องนี้มาเปนอุทาหรณก็เพื่อใหลูกเขาใจวา การชวยเหลือผู
อื่นทําความดีนั้น ตองใชความอดทนพยายามเพียงไร ทานตี้ซุนนั้นเปนผู
ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก เพียงแตทานใชคําพูดกลอมเกลาจิตใจ ผูคนก็จะเชื่อ
ทานเพราะตางก็มีความเคารพทานอยูแลว แตทานอุตสาหใชเวลาถึงหนึ่งป
เต็ม ก็เพื่อใหทุกคนกลับตัวกลับใจไดหมดและจะไมกลับไปเปนคนเห็นแก
ตัวอีกไมวากรณีใด และเปนไปดวยความสมัครใจ ไมใชดวยบังคับหรือขอ
รอง ใหทุกคนตระหนักถึงความดีที่ตองกระทํารวมกัน เพื่อความผาสุกของ
พวกเขาเองพอจึงสรรเสริญในความอุตสาหะของทานยิ่งนัก
พอและลูกตางก็มีชีวิตอยูในยุคแหงความมืดมน ผูคนไมคอยมีศีล
ธรรมเหมือนดังยุคกอน เพราะฉะนั้น ลูกจะตองเจียมเนื้อเจียมตัว อยาได
อวดดีวาวิเศษกวาผูอื่น อยานําความสามารถของลูกไปขมผูอื่นที่ดอยกวา
ใหเขาไดอายจงเก็บความรูความสามารถของเจาไวในใจอยาไดแสดงออก
ใหปรากฏแกสายตาผูอื่นโดยไมจําเปน ใครพลาดพลั้งลวงเกินลูก ก็จงรูจัก
ใหอภัย อยาไดแพรงพรายความไมดีออกไป เพื่อใหโอกาสเขากลับตัวกลับ
ใจ และเมื่อไมมีใครรู ก็ทําใหเขาไมกลากําเริบเสิบสาน เพราะทุกคนยอม
รักหนารักตา ไมอยากเปนคนเสียชื่อเสียง เมื่อไมวิจารณใหความลับของ
เขาเปนที่เปดเผยออกไป เขาจึงไมกลาที่จะทําผิดอีก บางคนนั้น เมื่อมีคนรู
วาเขาเปนคนไมดีเสียแลว เขาก็ทําตัวเหลวแหลกยิ่งขึ้น เมื่อเปนคนดีไมได
ก็เปนคนชั่วเลย คนเชนนี้ก็มีใหเห็นๆ อยู ลูกจะตองคอยสังเกตวา ผูอื่นนั้น
เขามีความสามารถอะไรบางถาเปนสิ่งที่ลูกยังไมมีก็จงรีบเอาความดีนั้นมา
ใสตนเถิด อยาไดรีรอเลย ลูกจะตองรูจักชมเชยสรรเสริญความดีงามและ
ความสามารถของผูอื่นใหแผไพศาลไปอยาไดมีจิตริษยาในชีวิตประจําวัน
ของลูกไมวาจะพูดสักคําจะทําอะไรสักอยางจงอยาทําเพื่อประโยชนตนเอง
กอนตองถือวาประโยชนสวนรวมเปนสําคัญลูกจงจําไวใหดี
ขอ๒.รักและเคารพทุกคนอยางเสมอหนานั้นเปนอยางไร
ผูดีนั้น คือคนที่มีคุณงามความดีและกระทําแตความดีงามอยาง
สม่ําเสมอ สวนคนเลวนั้น บางทีก็ซอนอยูในคราบของผูดี ปะปนกันจนบาง
ทีก็ดูไมออก แตถาลูกสังเกตใหดีแลว ก็จะเห็นความแตกตางราวกับขาว
และดําทีเดียว ผูดีที่มีขอแตกตางจากคนทั่วไปนั้น คือมีน้ําใจรักและเคารพ
ทุกคนอยางเสมอหนากัน ธรรมดาคนที่เราไดพบเห็นในชีวิตประจําวันนั้น
บางคนเราก็เคยใกลชิดดวย บางคนก็หางเหินไป บางคนสูงศั กดิ์ บางคนก็
ต่ําตอย บางคนฉลาดหลักแหลม บางคนโงเขลาเบาปญญา บางคนมีคุณ
ธรรมประจําใจบางคนก็รายจนไดชื่อวาเปนคนพาล แมทุกคนจะมีสถาน
ภาพและจิตใจไมเหมือนกัน แตทุกคนก็เปนมนุษยที่ตองเกิดแกเจ็บตาย
ดวยกันนักปราชญทั้งปวงจึงไมชอบใหคนเกลียดกันดูถูกกัน ตองรักเคารพ
กันอยางเสมอหนาจึงจะมีสันติสุขเกิดขึ้นได
ขอ๓.สนับสนุนผูอื่นใหเปนผูมีความดีพรอมอยางไร
คนก็เชนกัน ถามีกัลยาณมิตรคอยชวยเหลือใหคําแนะนําที่ดี คน
ธรรมดาๆ ก็จะกลายเปนคนดีพรอมไปได เพราะฉะนั้น ลูกจงใสใจในคนที่
รักดี มุงมั่นจะเปนคนดี ลูกจงใหความชวยเหลือสนับสนุน ใหกําลังใจ
ประคับประคองเพื่อใหเขาเปนคนดีพรอมใหได แมเขาจะถูกผูอื่นปรักปรํา
ก็จงชวยชี้แจงปกปอง และยอมรับขอปรักปรํานั้นวาลูกก็มีสวนผิดอยูดวย ก็
นับวาลูกไดพยายามจนถึงที่สุดแลว
ขอ๔.ชี้ทางใหผูอื่นทําความดีนั้นอยางไร
เกิดมาเปนมนุษยทุกคนยอมมีศีลธรรมประจําใจอยูบางมากบางนอย
บาง ที่จะไมมีเลยนั้นคงหายาก นอกจากมนุษยจะมัวสาละวนอยูกับการ
แสวงหาลาภยศเงินทองชื่อเสียงโดยไมคํานึงถึงศีลธรรม ทําใหตองตกอยูใน
ความหายนะ ถาลูกพบคนเชนนี้ ลูกจงพยายามชวยเขา ฉุดเขาใหพนจาก
ความหายนะใหจงไดดุจคนฝนรายลูกปลุกเขาใหตื่นจากความฝนใหความ
รูความคิดที่ดีงามแกเขา เขาก็จะตื่นจากฝนรายกลายเปนคนดีได เมื่อครั้ง
ราชวงศถัง(ค.ศ.๖๑๘-๙๐๗หรือ๑๑๖๑-๑๔๕๐)มีขุนนางทานหนึ่งทาน
เขียนหนังสือสอนใจคนไดดีมาก เปนที่แพรหลายไปทั่วประเทศจีน ชาวจีน
มีความเคารพนับถือทานมาก เมื่อทานถึงอนิจกรรม ยังไดรับเกียรติยศอัน
สูงสง ไดรับการสถาปนาจากฮองเตเปนที่ “เอวิ๋น” เปนการเชิดชูแกผลงาน
อันมีทั้งรอยแกวรอยกรองที่เยี่ยมยอดนั่นเอง ชาวบานพากันเรียกทานวา
หานเอวิ๋นกง
ทานหานเอวิ๋นกงเคยกลาวไววา
ขอที่๕.จะชวยเหลือผูที่อยูในความคับขันไดอยางไร
ขอ๖.การกระทําสิ่งที่เปนประโยชนตอสาธารณะอยางไร
ไมวาลูกจะอยูในชนบทเล็กๆหรือในเมืองใหญๆหากเปนเรื่องที่เกี่ยว
กับประโยชนสุขของสวนรวมแลว ลูกจะตองไมทอถอยในการเปนอาสา
สมัคร เชน ขุดคูสงน้ํา เพื่อไวใชในนายามหนาแลง หรือสรางทํานบเพื่อ
ปองกันน้ําทวม หรือซอมสะพานที่ชํารุด เพื่อใหการสัญจรไปมาสะดวกและ
ปลอดภัยยิ่งขึ้นหรือใหทานอาหารแกคนอดอยาก หรือใหน้ําแกคนกระหาย
แล วลู กก็ ควรชั กชวนชาวบ านให ร วมแรงร วมใจกั นกระทําความดี ร วมกั น
ใครมีเงินก็ออกเงิน ใครมีแรงก็ออกแรง ผนึกกําลังใหเขมแข็ง จะไดชวย
เหลือคนไดมากขึ้น หากใครวารายลูก ก็จงอยาใสใจ ถาเราทําดีโดยสุจริต
แลว ใครๆ ก็ยอมเขาใจและชวยปกปองลูกเสียอีก ลูกจงอยาทอถอย ไมวา
จะประสบอุปสรรคใดๆก็อยาวางมือเปนอันขาด
ขอ๗.อยาทําตนเปนปูโสมเฝาทรัพยใหหมั่นบริจาคอยางไร
คําสอนในพระพุทธศาสนานั้นมากมาย พระผูมีพระภาคเจาทรงแนะ
นําใหรูจักใหทานเสียกอน การใหคือการเสียสละ ทานที่บรรลุธรรมแลว
ทานเสียสละใหหมด ทั้งอวัยวะภายในหรือภายนอกและทรัพยสินเงินทอง ก็
สิ่งที่ระกอบดวยกันขึ้นมาเปนชีวิตทานยังเสียสละไดเรื่องทรัพยสินเงินทอง
ของนอกกายไฉนจักสละไมไดเลา
ถาเราสามารถเสียสละไดทุกอยางเชนนี้แลว เราก็จะรูสึกวาเรามิได
แบงภาระอันใดไวทําใหจิตใจปลอดโปรง ไมหวงหนากังวลหลัง ใครทําของ
เราเสีย ใครขโมยของเราไปก็ไมเดือดรอนเลยแมแตนิดเพราะเราเสียสละ
ใหหมดจริงๆ ผูที่ไมสามารถเสียสละไดทั้งหมด ก็ตองเริ่มตนดวยการให
ทานบริจาคทรัพยเสียกอน คนในโลกนี้เห็นวาปจจัยสี่นั้นเปนสิ่งสําคัญของ
ชีวิต และเงินเทานั้นที่จะบันดาลใหไดมาซึ่งปจจัยสี่ เพราะฉะนั้น คนสวน
มากจึงใหความสําคัญแกเงินเทาชีวิต หาไดคิดสักนิดวา หากยังมีลมหายใจ
ก็ดีอยูหรอก ถาหมดลมเมื่อใด มีใครเอาอะไรติดตัวไปไดบางไหม ผูที่รัก
เงินยิ่งชีวิตมักเปนคนตระหนี่ ใจคอคับแคบ แตถาหมั่นบริจาคก็จะเกิดเปน
นิ สัยอันดีงามขึ้นสามารถบริจาคไดมากขึ้นและไมนึกเสียดายดังแตแรก
ขอที่๘.ธํารงไวซึ่งความเปนธรรมไดอยางไร
ธัมมะคือประทีปที่สองวิถีทางแหงชีวิต เมื่อหนทางขางหนาสวางไสว
ชีวิตยอมดําเนินไปตามทิศทางอันถูกตอง ดุจดั่งคนที่มีนัยนตาดียอม
สามารถเลือกทางเดินที่สะดวกที่สุดและดีที่สุดได โบราณทานจึงวาธัมมะคือ
การธํารงไวซึ่งฟาดินและมนุษย ใหเกิดความสมดุลผสมผสานกลมกลืนเปน
อันหนึ่งอันเดียวกัน จะขาดไปแมแตสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็มิได ตองเปนปจจัยอิง
อาศัยซึ่งกันและกัน ทําใหเกิดสรรพสิ่งที่รวมเรียกวาธรรมชาติ ธัมมะทําให
ชีวิตหลุดพนจากหวงแหงความทุกขมีอิสระเสรีที่จะอยูในโลกตอไปก็ไดจะ
ไปใหพนโลกเสียก็ได
ฉะนั้นเมื่อลูกเห็นศาลที่บูชานักปราชญราชบัณฑิต หรือเห็นคัมภีร
โบราณที่เปนธัมมะอันสูงสงลูกจะตองถนอมดวยความเคารพหากมีขาดตก
บกพรอง ลูกจะตองซอมแซมใหอยูในสภาพดีดังเดิม เพื่อประโยชนแก
อนุชนรุนหลังตอไปลูกจะตองเผยแผธัมมะธํารงไวซึ ่งธัมมะปฏิบัติตนดวย
ธัมมะ และสอนใหผูอื่นรูจักธัมมะ จึงจะเรียกวาเปนพุทธศาสนิกที่รูซึ้งใน
พระกรุณาคุณพระปญญาคุณและพระบริสุทธิคุณของพระผูมีพระภาคเจา
ถาลูกทําไดเชนนี้ จึงจะไดชื่อวาเปนผูรูพระคุณของพระองคอยางแทจริง
และไดถวายความกตัญnูกตเวทีแดพระองคอยางถูกตองแลว
ขอ๙.เคารพผูมีอาวุโสกวาอยางไร
ขอ๑๐.รักชีวิตผูอื่นดุจรักชีวิตตนเองอยางไร
มีอยูขอหนึ่งทานกําหนดไววา
“เดือนแรกของป เปนเวลาที่พืชพันธุธัญญาหารมีโอกาสเจริญเติบโต
สรรพสัตวก็งายแกการตั้งครรภ ฉะนั้นการเซนสรวงบูชาในเดือนนี้ หาม
ฆาสัตวตัวเมีย เพราะเกรงวากําลังตั้งครรภอยู” นี่ก็เปนความเมตตากรุณา
ของทาานโจวกง
ทานปราชญเมิ่งจื่อไดกลาวไววา
“ผูดียอมอยูหางไกลจากโรงครัวที่มีการฆาสัตว เพราะเพียงแตไดยิน
เสียงผูอื่นฆาสัตวก็ทําใหจิตใจหดหูเศราหมองได”
ทานผูใหญแหงกาลกอนจึงไมยอมบริโภคเนื้อสัตวสี่ประเภทคือ
๑.ไดยินเสียงสัตวที่กําลังถูกฆา
๒.เห็นเขาฆาสัตว
๓.สัตวที่เลี้ยงอยูเอง
๔.สัตวที่เขาจงใจฆาเพื่อใหเราบริโภค
เริ่มฝกเสียแตเดี๋ยวนี้ ความกาวหนาในการปฏิบัติธรรมยอมติดตาม
มา เมื่อกระแสจิตไดถูกฝกฝนใหเจริญดวยเมตตาธรรมและกรุณาธรรม
แลวไซรก็จะไมนึกอยากฆาสัตวอีกเลย
สัตวทั้งมวลลวนมีจิตใจเชนเราเหมือนกัน การนําตัวไหมลงไปตมใน
น้ํารอนๆ เพื่อทําเครื่องนุงหมที่นิยมกันวาสวยงามมีคามาก ที่แทเปน
บาปกรรมโดยไมรูตัว ความจริงผาไหม มิใชเปนสิ่งจําเปนสําหรับชีวิต
มนุษยเรานาจะใชผาฝายที่ไมตองเบียดเบียนสัตวจะมิดีกวาหรือแมกระทั่ง
การถางดินฆาหนอนก็ลวนแตเปนบาปกรรมทั้งสิ้น
“เพราะรักหนูจึงเก็บขาวไวใหกิน เพราะสงสารแมลงจึงไมจุด
ตะเกียง”
ดูเถิดวาคนโบราณนั้นทานมีเมตตากรุณาเพียงไร
โอวาทขอที่๔
ความถอมตน
(โอวาททั้งสามขอที่เขียนจบไปแลวนั้น ลวนแตสอนใหละชั่วทําดี
สวนโอวาทขอสุดทายนี้ ทานสอนใหรูจักวางตน ในการคบหาสมาคมกับ
บุคคลทั่วไป โดยใหยึดคุณธรรมขอนี้ไว คือการถอมตน ไมอวดวาตนเอง
วิเศษกวาผูอื่น ก็ยอมจะไมมีเรื่องกับใคร ไมกลาทําความชั่ว สํานึกอยูเสมอ
วา ตนเองยังทําความดีไมเพียงพอ ก็จะมีความกาาวหนาในการฝกตนไม
เพียงแตจะหาความรูเพิ่มเติมอยูตลอดเวลา ยังตองรูจักฝกตนใหเขากับคน
ในสังคมได จะไดไมมีศัตรูทั้งตอหนาและลับหลัง ไมมีอุปสรรคในการสั่ง
สมคุณธรรมความดีงาม)
เมื่อตอนที่พอเขามาสอบในเมืองหลวง มีเพื่อนนักศึกษารวมเดินทาง
มาดวย รวมทั้งหมดสิบคนดวยกัน พอสังเกตดู เห็นมีคนที่อายุนอยที่สุดมี
ชื่อวาปงคนเดียวที่มีความสงบเสงี่ยมเจียมตนมีความถอมตนอยูเปนนิจ
พอจึงบอกกับเพื่อนวา
“คนคนนี้จะตองสอบไลไดอยางแนนอน”
เพื่อนถามวาทําไมพอจึงรูลวงหนาไดเลา
พอบอกเขาวา
“ความถอมตนยอมนํามาซึ่งความเจริญ ในหมูพวกเราทั้งสิบคนนี้ มี
ใครบางที่ซื่อและจริงใจเหมือนเขา คอยเอาใจเพื่อนฝูง ไมเคยเอาเปรียบ
ใครเลย แมใครจะหยอกลอ ก็ไมโกรธตอบ ใครนินทาวาราย ก็ไมโตเถียง
สํารวมระวังไมยอมปลอยตัวปลอยใจไปตามอารมณเหมือนคนอื่น คนเชน
นี้แมแตผีสางเทวดาฟาดินก็ยังตองใหความคุมครองและชวยเหลือ”เมื่อผล
การสอบไลครั้งนั้นปรากฏออกมาก็เปนจริงดังที่พอคาดไวทุกประการ
พอจึงบอกเขาวา
“นิสัยอันดีงามของเขานี้ ยอมเปนปจจัยนําเขาไปสูความมีบุญวาสนา
สวนคนที่ตองประสบเคราะหกรรม ก็เปนเพราะเขาสรางนิสัยไมดีมาเปน
เหตุปจจัยนําเขาไปสูความหายนะเชนกัน สําหรับเพื่อนนั้น แมฟาดินก็ตอง
ประทานการสนับสนุนปนี้เพื่อนจะตองสอบไลไดอยางแนนอน
ตอมาก็เปนจริงดังที่พอพูดกับเขาไว
ความถอมตนนํามาซึ่งความสําเร็จ
มีเด็กหนุมคนหนึ่งแซจาว สอบไลไดในภูมิลําเนาของตนเมื่ออายุยัง
ไมถึง ๒๐ ป แตจากนั้นไปจะสอบกี่ครั้งก็ไมเคยสอบไลไดอีกเลย ตอมาได
ติดตามทานบิดาซึ่งตองยายไปรับราชการที่อําเภออื่น
ในอําเภอนั้นมีบัณฑิตที่มีความรูสูงอยูทานหนึ่งมีนามวาเฉียนหมิงอู
สติปญญาควบคุมอารมณได
พอกลับจากเขาเฝาไดเลาใหเพื่อนๆฟงวา
“หากฟาจะประทานความเจริญรุงเรืองแกใคร มักจะประทานสติ
ปญญาใหกอน เมื่อมีสติปญญาแลว คนที่เจาอารมณก็จะเปลี่ยนเปนคนที่
ควบคุมอารมณได คนที่อวดดีก็กลายเปนคนถอมตนได เมื่อพัฒนาตนเอง
ไดแลวฟายอมประทานความเจริญรุงเรืองมาให”
และก็เปนจริงดังวาเขาสอบไลไดปนั้นเอง
ออนนอมถอมตนไมตองใชเงิน
เมื่อปค.ศ.๑๕๓๔(พ.ศ.๒๐๗๗)มีนักศึกษาแซจางคนหนึ่งมีความ
รูดี เขียนบทความก็ดี เปนคนเดนคนหนึ่งในบรรดานักศึกษาทั้งหมด เขา
เดินทางมานานกิงเพื่อเขาสอบพักอยูที่วัดๆหนึ่ง
เมื่อผลการสอบประกาศออกมาปรากฏวาสอบตก แทนที่จะโทษตน
เองวาความรูยังไมถึงจึงสอบไมไดแตกลับโกรธกรรมการคุมสอบ หาวาไม
ยุติธรรมมีตาก็หามีแววไมบทประพันธดีๆก็หาวาไมดี
หลวงจีนในวัดทานหนึ่งไดยินเขาจึงยืนยิ้มอยู เขาก็เลยพาลโกรธ
หลวงจีนไปดวยหลวงจีนจึงกลาวกับเขาวา ดูๆ แลวเห็นทีบทประพันธของ
ทานไมดีจริง
เขายิ่งโกรธใหญตวาดหลวงจีนวา
“ยังไมทันเห็นบทประพันธจะรูวาดีไมดีไดอยางไร”
หลวงจีนพูดตอบวา
นักศึกษาจางไดสติจึงคุกเขาขอขมาและมอบตัวเปนศิษย
หลวงจีนจึงสอนวา
นักศึกษาจางกราบถามทานวา
“หากขึ้นอยูกับชาตาชีวิตแลวจะแกไขไดหรือ”
หลวงจีนพูดวา
นักศึกษาจางจึงปรารภวา
“ขาพเจาเปนคนจนจะมีปญญาชวยเหลือคนอื่นไดอยางไร”
ทานชี้แจงวา
“ทําไมบัญชีรายชื่อนักศึกษาที่สอบไดแลวจึงมีการคัดออกอีกเลา”
ไดรับคําตอบวา
“เนื่องจากผูที่สอบไลไดแลว จะตองผานการตรวจสอบในยมโลกทุกๆ
๓ปถาใครมีความประพฤติไมดีไมอยูในธรรมก็จะถูกคัดชื่อออกจะสอบ
อีกอยางไรก็สอบไมได แลวชี้ไปที่วางบนสมุดนั้นวา สามปมานี้ เจาตั้งใจ
ฝกตนใหกาวหนาไปมาก ก็จะเอาชื่อเจาไวตรงนี้ ขอใหเจารักตนสงวนตัว
อยาไดวูวามทําผิดเหมือนดังแตกอนอีกปนั้นเขาก็สอบไดที่๑๐๕”
นักปราชญทานเมิ่งจื่อพูดกับพระเจาฉีเซวียนอองวา
เมื่อลูกตองการสอบไลไดเปนขุนนาง ลูกก็ตองตั้งความปรารถนาไว
ดุจรากแกวของตนไม แนวแนที่จะทําความดีไมทอถอย สั่งสมความดีงาม
ใหไดทุกๆวันลดความถือดีอวดดีใหหมดสิ้นไปสรางอนาคตดวยตัวลูกเอง
ชาตาชีวิตจักทําอะไรได ขอใหลูกจงเพียรพยายามตอไปเถิด ความสําเร็จ
ยอมรอลูกอยูแลวอยางแนนอน
จบ
ขอใหทานผูอานที่ตั้งใจจะทําดีละชั่วอยางนอยจงเพิ่ม๑ตัด๑ใหได
ทุกวันไปถาเพิ่มความดีใหมากกวา๑และตัดความไมดีไดมากกวา๑ก็ยิ่ง
จะประสบความสําเร็จในการสรางอนาคตไดเร็วขึ้น
ระดับการสอบไลของจีนโบราณ
ซิ่งฉาย(ซิวจาย)
นักศึกษาที่สอบไลไดครั้งแรกในภูมิลําเนาของตน หมายถึงนักศึกษา
ที่คัดมาแลว
จวี่ยเหยิน(กือหยิน)
ซิวจายที่สอบไดอีกครั้งหมายถึงผูฉลาดที่สมควรสนับสนุนตอไป
จิ้นซื่อ(จิ้นสือ)
กื อหยิ นที่ สอบไล ได อี กครั้ งเป นบั ณฑิ ตที่ ควรส งเสริ มให เข าสอบรั บ
ราชการไดทานเหลี่ยวฝานสอบไดจิ้นสือแลวก็สอบเขารับราชการเลยจึงมิ
ไดเขาสอบชิงตําแหนงจอหงวนอีก และเปนเพราะความสันโดษของทาน
ดวย เมื่อนักศึกษาไดผานบันได ๓ ขั้น เปนบัณฑิตแลว ถาจะสอบตอไปก็
ตองเดินทางเขาเมืองหลวงเขาสอบในพระราชวัง ฮองเตทรงคัดเลือกดวย
พระองคเอง
จวงเอวี่ยน(จอหงวน)
ผูที่มีลักษณะเปนเลิศ ตอบขอสอบเปนที่รูใจกรรมการเปนที่สุด ได
เปนที่หนึ่ง
ปงเอี่ยน(ปงหงัน)
ผูที่พลาดไปนิดแมเปนรองก็มีสองตาที่ฉลาดไดเปนที่สอง
ถานฮวา(ถัมฮวย)
ผูเขาใจเก็บดอกไมไดเปนที่สามสมัยราชวงศถังผูสอบจิ้นสือไดแลว
จะไดรับพระราชทานเลี้ยง เรียกวางานเก็บดอกไม โดยคัดเลือกจิ้นสือที่มี
อายุนอย ๒ ทาน ไปเลือกเก็บดอกไมงามและมีชื่อในอุทยานตางๆ เพื่อมา
เปนหัวขอในการแตงโคลงฉันทกาพยกลอนของบัณฑิตในงานเลี้ยงตอมาผู
ที่สอบไลไดที่สามก็จะไดรับพระราชทานนามนี้จนถึงสมัยราชวงศเช็ง(ชิง)
ฉวนหลู(ถวนหลู)
ผูที่สอบไดที่สี่ ไมไดเขาเฝา หมายถึงผูที่รับทราบวา สอบไลไดโดย
พระบรมราชโองการที่ขุนนางประกาศตอๆกันออกมาจากทองพระโรง
หานหลิน(ฮั่นหลิน)
หมายถึงเปน ตําแหนงขาราชการ บัณฑิตที่สอบไลไดในขั้นนี้มาก
มายประดุจไมยืนตนตระหงานในปาเปรียบประดุจกําลังของแผนดิน
คําอธิบายอายตนะโดยยอ
ชีวิตมี๒ระบบคือ
ระบบรูปธรรม ไดแกวิถีชีวิตทางกาย
ระบบนามธรรม ไดแกวิถีชีวิตทางจิต
ทานเปรี ยบธรรม๒กลุมนี้ไววา
อายตนะภายใน๖กลุม
คือขบวนการสื่อความหมายทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เสมือนวิถีทางที่นําอาคันตุกะไปสูการพบปะอยางมีเงื่อนไข
อายตนะภายนอก๖กลุม
คือขบวนการรุกเราจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธัมมารมณ
เสมือนแขกผูมาเยือน
ที่วามีเงื่อนไขก็เพราะตองผานวิถีทางตาเทานั้นจึงจะเขาถึงศูนยการ
เห็นไดอยางมีระเบียบ รูปที่อยูนอกทัศนวิสัยก็ดี ไมมีเหตุปจจัยที่เหมาะสม
สนับสนุนก็ดี ยอมไมอยูในเงื่อนไขที่จะเกิดขึ้นไดอยางเปนขบวนการ
อายตนะอีก ๔ คูก็เชนกัน เสียงตองผานวิ ถีทางหูจึงจะเขาถึงศูนยการไดยิน
กลิ่นตองโชยเขาวิถีทางจมูกรสตองมาเยือนตามวิถีทางลิ้นโผฏฐัพพะคือสิ่ง
เราที่ตองสัมผัสผานวิถีทางกายเขาสูศูนยกายสัมผัส ธัมมารมณคือสรรพสิ่ง
ทั้งปวงที่ผานวิถีทางใจเราใหเกิดความนึกคิดจิตไมวาง
กลุมธรรมทั้ง๖คูนี้มาประจวบกันที่จุดบรรจบคราใดก็เปนปจจัยให
เกิดขันธ๕คือรูปเวทนาสั ญญาสังขารวิญญาณทุกครั้งไปขันธ๕ก็เปน
ปจจัยใหระบบทั้ง ๒ ของชีวิต แสดงบทบาทออกมาทางกาย วาจา ใจ เปน
กุศลกรรมบาง เปนอกุศลกรรมบาง เปนกลางบาง สุดแตระดับการฟงรู ดู
ออก บอกถูก ทําเปน เห็นแจง แสดงออก ฯลฯ ของแตละบุคคล ยอมแตก
ตางกันตามแรงขับของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ฯลฯ ขบวนการดังกลาวจัก
เกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป ดวยความไมคงทน แปรปรวนไปตามเหตุปจจัย คือ
อนิจจตา เปนปญหาเดือดรอน วุนวาย คือทุกขตา กําหนดตามความ
ตองการของเราเสมอไปไมได คืออนัตตา ชีวิตตองเปนไปตามกฎแหงไตร
ลักษณนี้ตลอดเวลาที่ยังไมสิ้นชาติภพ
ทานผูอานที่มีจิตใจเปนไปตามมาตรการและสูงถึงมาตรฐานสามารถ
เขาสูวิปสสนากรรมฐานแลวไซร ยอมแจมแจงในความหมายของอายตนะ
ที่ละเอียดออนลึกซึ้งซับซอนยิ่งกวานี้ไดดวยตนเอง
ชวงเวลาของชีวิตนั้นมีจํากัดนัก ชีวิตตองขึ้นอยูกับปจจัยภายนอก
มากวาที่จะมีโอกาสเปนตัวกําหนดความเปนไปของตัวเอง พระบรมศาสดา
จึงทรงพร่ําสอนตลอด๔๕พรรษาของพระองคแมในปจฉิมพจนวา
“จงตั้งตนอยูในความไมประมาท”
เจือจันทนอัชพรรณ
(มิสโจ)
จันทรที่๒๘/๐๙/๒๕๒๔
ตัดวิจิกิจฉาเพื่อบรรลุโสดา
ทานลื่อโจว
ธรรมะพระอริยะจี้กง
จิตเหนือสํานึก
มนุษยนั้นมีพฤติกรรมไปตามที่จิตใตสํานึกจะสั่งการจิตที่อยูใตสํานึก
ยอมอยูลึก และไกลกวาจะคืนกลับ จิตใตสํานึกยอมทับถมตัวมันเอง ไมวา
ใครผูใด สํานึกยอมเปนใหญกวาจิต จิตจึงถูกสํานึกกดทับไวใตบังคับบัญชา
สํานึกที่วาคือ กิเลส ตัณหา อุปาทานทั้งปวง สํานึกจึงเปนหวงลามจิตมิให
แสวงหาสิ่งอื่นใด นอกไปจากคําบัญชา จิตอันถูกสํานึกจึงเปนหวงลามจิตมิ
ใหแสวงหาสิ่งอื่นใด นอกไปจากคําบัญชา จิตอันถูกสํานึกยึดเหนี่ยวไว นั้น
คือจิตอันเปนทุกข คือจิตอันเปนทาส คือจิตอันปราศจากแสงสวางแหงพระ
ธรรมเปนจิตที่มืดดํา เปนจิตที่ต่ําชา เปนจิตที่หาประโยชนใดๆ มิได ดังนี้
แลวจิตใตสํานึกจึงเปนพลังกดดันหันมนุษยเขาหาอาสวกิเลสทั้งมวล
จิตอันอยูใตสํานึกจึงเปนผลึกของสันดานนิสัย อันใฝอยูในความชั่ว
ความกลัวความขลาดเขลาจิตใตสํานึกจึงเปนจิตที่เศราหมองยากที่จะเห็น
ธรรมะ ขอชักนําพวกเราทั้งหลายจงมารวมกันแปลงกายเปลี่ยนใจ พาจิตให
ผองใสดวยการทําจิตใหอยูเหนือสํานึก ตรึกตรอง ศีล สมาธิปญญา ใหเห็น
แมอริยสัจสี่ก็พึงหวังใหเห็นโดยแจมชัดขจัดเสียซึ่งความมืดดําแหงจิตแลว
ชีวิตของเราก็จะสบาย เปนชีวิตที่ใกลถึงธรรมอันประเสริฐ บรรเจิดกวาสิ่ง
ทั้งปวง
ธรรมะกระเบียดนิ้ว
ธรรมะกระเบียดนิ้ว ยังคลายหิวดับกระหาย
เปนธรรมอันงายงาย ไมยักยายใจโลเล
ธรรมะกระเบียดนิ้ว ยังดับกริ้วดับโทสา
นั่นแหละคือธรรมา ธรรมดาในตัวเรา
ธรรมกระเบียดนิ้ว ใชเล็กจิ๋วไรคุณคา
แทธรรมมารดา เปนคุณคายิ่งใหญเอย
บัญชีบริหารกายวาจาใจ
บัญชีนี้จะชวยกระตุนเตือนใหเรามีสติสัมปชัญญะ เมื่อยามที่จะโนม
เอียงไปในทางมิชอบ ทําบัญชีนี้ใหไดสม่ําเสมอ ความดีจะเพิ่มขึ้น ความชั่ว
จะลดนอยลง จนในที่สุดเหลือแตความดีลวนๆ การบรรลุธรรมยอมบังเกิด
ขึ้นตามขั้นตอนของการประพฤติปฏิบัติชอบอยางแนนอน