Professional Documents
Culture Documents
การศึกษาวิเคราะห์
กรณีศึกษา
แนวทางและวิธีวิจัยทางด้านสื่อสารมวลชนใน
ประเทศไทย
บทเรียนจาก Milestones in Mass Communication
โดย
นายสุระชัย ชูผกา
เลขทะเบียน 5007300030
เสนอ
งานวิจัยทางด้านสื่อสารมวลชนในประเทศไทย บทเรียนต่อแนวทาง
และระเบียบวิจัย
ความนำา
จากการศึกษาทบทวนงานวิจัยใน Milestones in Mass
Communication ทำาให้ข้าพเจ้าตระหนั กและเล็งเห็นถึงวิธีการศึกษาวิจัย
ตลอดจนบทเรียนในระเบียบวิธีวิจัยต่างๆ อันเป็ นข้อคิดและแนวทางในการ
ค้นหางานวิจัยทางด้านสื่อสารมวลชนจนหยิบยกออกมาใน 3 ชิ้นงาน คือ
1. วิทยานิ พนธ์เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการสื่อสารกับ
กระบวนการสังคมประกิตทาง
การเมืองของประชาชนในท้องที่บางชัน เขตมีนบุร ี กทม. ของเจตศักดิ์ แสง
สิงแก้ว คณะนิ เทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เสร็จสมบูรณ์ในปลาย
ปี พ.ศ. 2523 ซึ่งเป็ นงานวิจัยที่เปิ ดประเด็นในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการ
สื่อสารกับการเมืองอย่างเป็ นระบบและมีความละเอียดชัดเจนในวิธีวิจัยเชิง
ปริมาณและใช้หลักการแนวทางใกล้เคียงกับงานวิจัยเรื่อง The People’
Choice และซึ่งถือเป็ น Milestones สำาคัญในยุคบุกเบิกงานวิจัยด้านสื่อสาร
มวลชน
3
2. งานวิจัยเรื่องบทบาทของสื่อมวลชนที่มีผลต่อพัฒนาการสตรีและ
ปรากฏในสื่อมวลชน ของอารยา
ถาวรวันชัย คณะนิ เทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2539 ซึ่งถือ
เป็ นวิทยานิ พนธ์ฉบับแรกของประเทศที่มีการใช้นำาเอาทฤษฎีวัฒนธรรม
ศึกษาของ Stuart Hall มาศึกษาบทบาทของสื่อมวลชน และเป็ นงานวิจัยที่
เปิ ดทางการศึกษาบทบาทในเรื่อง social construction of reality ของไทย
ในเวลาต่อมา อันเป็ นประเด็นสำาคัญที่บทสรุปจาก Milestone ได้ท้ ิงประเด็น
และชี้แนะทิศทางการศึกษาวิจัยเอาไว้
การศึกษาเปรียบเทียบเพื่อแสวงหาแง่คิดมุมมองต่อระเบียบวิธีวิจัย
ข้าพเจ้าได้สรุปเป็ นสาระสำาคัญของงานวิจัยด้วยหัวข้อสำาคัญได้แก่
วัตถุประสงค์การวิจัยและสมมติฐานการวิจัย ตัวแปรการวิจัย ระเบียบวิธีวิจัย
การวัดตัวแปร ผลการวิจัย และความสอดคล้องของการวิจัยรวมถึงปั ญหา
เชิงระเบียบวิธีวิจัยเชิงเปรียบเทียบ มีผลดังนี้
1. ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการสื่อสารกับกระบวนการสังคมประกิต
ทางการเมืองของประชาชน ฯ
วิทยานิ พนธ์ฉบับนี้ ของเจตน์ศักดิ์ แสงสิงแก้วมุ่งศึกษาเปรียบเทียบ
อิทธิพลจากพฤติกรรมการสื่อสาร
4
2. งานวิจัยเรื่องบทบาทของสื่อมวลชนที่มีผลต่อพัฒนาการสตรีและเด็กใน
เชียงใหม่
งานวิจัยของจงจิต เทียมทอง มุ่งศึกษาอิทธิพลของสื่อมวลชนที่มีต่อ
การพัฒนาเด็กและสตรีในจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงปี พ.ศ. 2526 หนึ่ งปี หลัง
จากการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 ที่มี
ประเด็นในเรื่องการส่งเสริมให้มีการพัฒนาเด็กและสตรี ดังนั้ นงานวิจัยชิ้นนี้
จึงมุ่งวิจัยเพื่อแสวงหาคำาตอบและทิศทางในการใช้ส่ ือเพื่อการส่งเสริมเด็ก
และสตรีตามทิศทางของแผน
เนื่ องจากเป็ นงานวิจัยแรกๆ ในด้านอิทธิพลด้านการสื่อสารกับการ
พัฒนาเด็กและสตรี ทำาให้จงจิตมีความสนใจอย่างกว้างขวางซึ่งน่าจะเป็ น
เหตุผลสำาคัญให้มีการ ตั้งสมมติฐานวิจัยไว้ถึง 5 ประเด็นในทิศทางที่แตก
ต่างกัน ได้แก่ หนึ่ ง) การสื่อสารระหว่างบุคคลยังคงมีความสำาคัญต่อการให้
ความรู้ทางด้านสุขภาพอนามัยสังคมและวิชาชีพแก่สตรีมากกว่าจาก
สื่อมวลชน สอง) สื่อมวลชนเสนอข่าวสารที่หนุ นเสริมการพัฒนาเด็กสตรี
น้อยกว่าด้านความบันเทิงของหนุ่มสาว สาม) โทรทัศน์ยังคงเป็ นที่นิยมของ
เด็กวัย 2-5 ขวบในการเลียนแบบ
สี่) เด็กสนใจรายการวิทยุสำาหรับเด็กน้อยกว่ารายการการ์ตูนทางโทรทัศน์
ห้า) การเล่านิ ทานจากบิดามารดาและครูมีส่วนปลูกฝั งคุณธรรมเด็กมากกว่า
ที่ได้จากโทรทัศน์ หรือวิทยุกระจายเสียง
ตัวแปรการวิจัย ในงานวิจัยนี้ ไม่ได้มีการกำาหนดตัวแปรเพื่อการวัดที่
ชัดเจนนั กแต่พอจำาแนกได้เป็ นตัวแปรอิสระได้แก่ เนื้ อหาข่าวสารใน
สื่อมวลชนทางด้านวิทยุโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ในจังหวัดเชียงใหม่ (ทั้งนี้ ผู้
วิจัยอาจหมายรวมถึงการเล่านิ ทานและการสื่อสารระหว่างบุคคลด้วย)
ตัวแปรตามได้แก่ ความคิดเห็นของสตรีผู้เป็ นแม่ของเด็กๆ กลุ่มตัวอย่าง
ระเบียบวิธีวิจัย การวิจัยแบ่งเป็ น 2 ส่วนคือ หนึ่ งใช้วิธี Content
Analysis เพื่อดูสัดส่วนเนื้ อหาของสื่อมวลชนโดยใช้วิธีวัดพื้ นที่การนำาเสนอ
ข่าวสารด้านเด็กและสตรีในหนั งสือพิมพ์ท้องถิ่น และวิเคราะห์เนื้ อหา
8
รายการวิทยุและโทรทัศน์ท่ีเกี่ยวข้องกับเรื่องของเด็กและสตรีซ่ึงรวมถึง
การ์ตูนด้วย และสองใช้วิธsี urvey แจกแบบสอบถามต่อ สตรีผู้ปกครองเด็ก
อายุ 2-5 ขวบ โดยแบ่งเป็ นกลุ่มผู้มีฐานะรำ่ารวยและยากจนจำาแนกตามค่า
เทอมของสถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุ บาล ได้แก่ ศูนย์เด็กเล็กภาครัฐ
ตอบกลับ 41 คน ภาคเอกชน 45 คน โรงเรียนอนุ บาลภาครัฐ ตอบกลับ
175 คน อนุ บาลเอกชนตอบกลับ 51 โดยเป็ นการถามถึงทัศนคติและความ
คิดเห็นของแม่เด็กต่ออิทธิพลสื่อมวลชน และสื่อบุคคล ที่มีต่อประโยชน์ใน
การพัฒนาตนเองและผลกระทบต่อเด็กแล้วนำามาแจกแจงความถี่เทียบกับ
สมมติฐานที่ต้ ังไว้ โดยมีจุดเด่นของคำาถามในเรื่องผลของการเลียนแบบ
จากโทรทัศน์ท่ช
ี ัดเจนคือ ให้แม่ช่วยยืนยันว่ารายการการ์ตูนทำาให้เด็กร้อง
เพลงตามได้ จำาภาษาในโฆษณาได้ หรือไม่เพียงใด
ผลการวิจัย ได้ผลสอดคล้องกับสมมติฐานที่ต้ ังไว้คือการสื่อสาร
ระหว่างบุคคลมีความสำาคัญต่อการพัฒนาเด็กและสตรีมากกว่าสื่อมวลชน
(ยืนยันด้วยจำานวนความคิดเห็นจากผลสำารวจ) และพบว่าวิทยุโทรทัศน์นำา
เสนอรายการด้านเด็กและสตรีน้อยมาก(จากจำานวนความถี่รายการ) แต่
รายการการ์ตูนทางโทรทัศน์มีอิทธิพลให้เด็กเลียนแบบตามอย่างมาก พร้อม
กับค้นพบว่า สตรีเชียงใหม่นิยมอ่านหนั งสือพิมพ์ท้องถิ่นมากกว่า
หนั งสือพิมพ์จากส่วนกลาง ในอีกด้านหนึ่ งพบว่าสตรีให้ความสำาคัญข้อคำา
ปรึกษาด้านสุขภาพและอาชีพจากแหล่งข่าวสารคือพ่อแม่ ญาติ เพื่อน หมอ
พยาบาลมากกว่าสื่อมวลชน และสรุปด้วยว่า การเล่านิ ทานจากพ่อมมีผลดี
ต่อความกล้าหาญและความรับผิดชอบได้มากกว่าการับนิ ทานจากสื่อมวลชน
ความสอดคล้องในการวิจัย แม้ว่าข้อสรุปงานวิจัยนี้ ได้เริม
่ ต้นการชี้
ประเด็นโดยรวมให้เห็นว่าสื่อมวลชนมีการนำาเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็ น
ประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กและสตรีน้อยอันเป็ นการเปิ ดประเด็นด้านมิติด้าน
การสื่อสารที่เชื่อมกับนโยบายรัฐ แต่จากการมีสมมติฐานที่มีความหลาก
หลายเกินไปทำาให้ทิศทางการวิจัยและการแสวงหาข้อสรุปไม่ชัดเจนว่ามุ่ง
ศึกษาไปในเรื่องใดกันแน่ระหว่างอิทธิพลของสื่อต่อเด็ก หรือต่อสตรี ซึ่งแตก
9
ต่างจากงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องอิทธิพลของสื่อภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ท่ีมีต่อ
เด็กมักมีการกำาหนดประเด็นที่ชัดเจนว่ามีผลกระทบด้านใด อาทิ งานของ
Herbert Blumber ที่มุ่งดูผล Movie and Conduct ซึ่งเป็ นส่วนหนึ่ งของ
The Payne Fund Studies ดูว่าภาพยนตร์มีอิทธิพลต่อเด็กและเยาวชนใน
ด้านแฟชัน
่ ความรัก ความมีวินัยในตนเอง แฟชัน
่ การเลียน หรือแม้แต่ใน
งานวิจัยเรื่อง Seduction of the Innocent ของ Dr Frederic Wertham ก็
เน้นศึกษาเรื่องอิทธิพลของการ์ตูนกับเรื่องความก้าวร้าวของเด็ก ซึ่งแม้มีผล
สรุปที่ไม่ชัดแต่การมีประเด็นที่ชัดเจนสามารถนำาไปสู่ข้อถกเถียงอันเป็ น
ประโยชน์ในการศึกษาลงลึกต่อไป แต่งานของจงจิตแตะเพียงกว้างๆ จนหา
จุดเน้นไม่ได้
ปั ญหาระเบียบวิธีวิจัย การวิจัยของจงจิตมีความไม่ชัดเจนในด้านการ
วิธีการวัดตัวแปรในการวิจัยที่ใช้แบบสอบถามในการด้านการสอบถามความ
คิดเห็นของผู้ปกครองที่เป็ นแม่ของเด็ก ซึ่งเป็ นการถามเพียงความคิดเห็น
ว่าคิดเห็นและความรู้สึกว่าสื่อใดมีอิทธิพลในด้านต่างๆ อย่างไร แล้วนำามา
เป็ นข้อสรุป จากรายงานการวิจัยแยกส่วนจากการสรุปผลการวิเคราะห์
เนื้ อหา โดยไม่ปรากฏว่ามีการถามในเชิงการวัดตัวแปรอิทธิพลของ
สื่อมวลชนหรือสื่อบุคคลดังคำาถามที่มุ่งวัดอิทธิพลที่ชัดเจนในงานวิจัยเรื่อง
Personal Influence: The Two-step Flow of Communication
ใน Milestone ที่มีคำาถามถึงช่วงเวลาที่มาได้พบปะใคร ได้รบ
ั คำาแนะนำาจาก
ใครในเรื่องอะไรแล้วทำาตามหรือไม่ และไปให้คำาแนะนำาจากใคร ซึ่งเป็ นการ
วัดถึงอิทธิพลของสื่อต่างๆ ในด้านนั้ นๆ ได้เป็ นอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
การถามความรู้สึกความคิดเห็นเท่านั้ น
ขณะเดียวกันงานวิจัยของจงจิต ไม่ได้แบ่งการวัดหรือศึกษาเปรียบ
เทียบระหว่างผลทัศนคติความคิดเห็นของแม่ท่ีมีฐานะยากจนกับฐานะรำ่ารวย
ในเรื่องต่างๆ ตามที่ได้แบ่งกลุ่มตัวอย่างในการเก็บข้อมูลไว้แล้ว แต่สรุปผล
รวมทีเดียวทั้งๆ ที่ฐานจำานวนตัวอย่าง(N) มาจากสถานะทางสังคมที่แตก
ต่างซึ่งมีต่อการพึงพิงต่อสื่อทีวีแตกต่างกันเช่นในการทบทวนงานวิจัย
10
ยิ้ม และสุรย
ิ ัน ศักดิไธสง พร้อมกับผู้ผลิตรายการ พิธีกร ตลอดจนคนเขียน
บท หรือตัวนั กข่าวที่ผลิตเนื้ อหานั้ นถึงจุดประสงค์ และทัศนคติความ
ต้องการ พร้อมกับใช้วิธวี ิเคราะห์เนื้ อ (content analysis) เพื่อดูรูปแบบ วิธี
การเปิ ดเรื่อง ดำาเนิ นเรื่อง ปิ ดเรื่อง จากนั้ นจึงใช้วิธท
ี ำา Focus group 4 กลุ่ม
อาชีพ ได้แก่ กลุ่มครู นั กเรียน พระ และผู้คุมนั กโทษ โดยให้ดูเทปรายการ
โทรทัศน์ของกรณี ศึกษา เพื่อสังเกตพฤติกรรมและทำาการสนทนาร่วมกันถึง
ทัศนคติ ความเห็นต่อเรื่องดังกล่าว
ผลการวิจัย พบว่า ผ้ส
ู ่งสารแม้หลากหลายสื่อต่างมีวัตถุประสงค์เพื่อชี้
ให้เห็นถึงผลแห่งการกระทำาเพื่อเป็ นอุทาหรณ์ให้กับคนรุ่นหลังไม่เอาเป็ น
แบบอย่าง โดยมีรูปแบบละครหรือเรื่องเล่าเพื่อย้อนความ และมีเทคนิ ควิธี
การต่างๆ คอยเตือนถึงการไม่ควรเอาเป็ นอย่าง ทั้งการพูดยำ้าของพิธีกรตอน
เริม
่ และปิ ดเรื่องและอักษรตัววิ่งใต้ภาพ โดยเน้นนำาเสนอช่วงที่มีพฤติกรรม
เบี่ยงเบนที่ไม่ดีเป็ นส่วนใหญ่ และกล่าวถึงสาเหตุและผลที่ได้รบ
ั น้อยมาก ไม่
สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
ขณะเดียวกันพบว่ากลุ่มผู้รบ
ั สารทั้งนั กเรียน ครู พระสงฆ์ และเจ้า
หน้าที่ผู้คุมขังนั กโทษต่างมีความเข้าใจในสารตรงตามจุดมุ่งหมายของผู้ส่ง
สาร แต่ผู้รบ
ั สารแต่ละกลุ่มก็มีการถอดรหัสต่างกันไปตามภูมิหลังของกลุ่ม
โดยเจ้าหน้าที่ผู้คุมนั กโทษมีมุมมองในทางลบต่อการกลับใจของกรณี ศึกษา
ตรงข้ามกับกลุ่มพระสงฆ์
ความสอดคล้องในการวิจัย การวิจัยชิ้นนี้ เป็ นการเปิ ดแนวทางการ
ศึกษาแบบใหม่ในงานวิทยานิ พนธ์ท่ีมีการศึกษาตลอดระบบการสื่อสาร S-M-
C-R ไม่ได้ศึกษาแยกส่วนและที่สำาคัญเป็ นการศึกษาที่มีความสำาคัญอย่างยิ่ง
ต่อการเปลี่ยนทิศทางและมุมมองการศึกษาในเวลาต่อมาที่ศึกษาในเชิงการ
ประกอบสร้างความจริงทางสังคมโดยสื่อ (Social Construction of Reality)
อันเป็ นทิศทางที่สอดรับการค้นพบประเด็นนี้ ในการศึกษาทวนงานวิจัยใน
Television and Behavior, Ten Years of Progress ใน Milestone in Mass
Communication ที่พบว่า โทรทัศน์มีบทบาทในการก่อรูป(shape) ความคิด
12
ความเข้าใจของคนในเรื่องทางสังคม และยังมีบทบาทในการให้ภาพลักษณ์
ต่อเรื่องต่างๆ (Portray) และหนุ นนำาให้เกิดความคิดเหมารวมต่อเรื่องต่างๆ
และยังเป็ นการเปิ ดประเด็นแนวทางการศึกษาวิจัยที่พิจารณาในเรื่อง Form
and Codes ของรายการทีวใี นการสร้างผลกระทบต่อผู้รบ
ั สารด้วยเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้ นงานวิจัยชิ้นนี้ ทำาให้เกิดความตระหนั กในแวดวงการศึกษา
สื่อสารมวลชนมากขึ้นในเรื่องของความแตกต่างในบทบาทของผู้รบ
ั สารที่มี
ศวามสามารถในการถอดรหัสสารตามฐานทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตความ
เป็ นอยู่ของตนตามแนววัฒนธรรมศึกษา
ปั ญหาระเบียบวิธีวิจัย การวิจัยนี้ ค่อนข้างรวบรัดในการสรุปผลเกินไป
ที่ระบุวา่ เนื่ องจากวัฒนธรรมแตกต่างกันทำาให้ผู้รบ
ั สารเลือกตีความถอดรหัส
สารต่างกันตรงกับแนวคิดของ Stuart Hall ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการวิจัย
The Invasion from Mars: Radio Panics America ที่พบข้อสังเกตว่า คนที่
มีbackground ต่างกันก็มี critical ability แตกต่างกัน แต่อาจไม่ใช่อิทธิพล
จากวัฒนธรรมที่ต่างกันก็ได้ ซึ่งเมื่อศึกษาจากวิธีวิจัยของอารยาแล้วพบว่า
ไม่มีการวัดทัศนคติ ความคิดรู้สึกในมุมเกี่ยวเรื่องการเป็ นผู้ร้ายกลับใจของ
ผู้รบ
ั สารที่เข้าร่วมทำาสนทนากลุ่มก่อน ตลอดจนไม่ได้ศึกษาว่าผู้รบ
ั สารเหล่า
นั้ นอาจได้รบ
ั รู้เรื่องนั้ นมาก่อนอยู่แล้ว เพราะทั้งสองกรณี ศึกษาเป็ นเรื่องที่
โด่งดังในช่วงเวลานั้ นมาก่อนแล้ว ตลอดจนมีการกล่าวขวัญถึงอย่างกว้าง
ขวางอยู่แล้วเช่นเดียวกับในเรื่อง The Invasion from Mars ที่ไปเก็บข้อมูล
หลังเหตุการณ์
ยิ่งไปกว่านั้ นพบว่าข้ออ่อนในการศึกษาของอารยาคือในส่วนที่ไม่ได้
พยายามวัดอิทธิพลความน่าเชื่อถือระหว่างสื่อสิ่งพิมพ์ กับสื่อโทรทัศน์หรือ
ตัวพิธีกรในแง่มุม Expertness and Trustworthiness ที่มีผลกระทบต่อการ
ยอมรับของผู้รบ
ั สารดังที่เช่นที่เคยมีการทดลองหาความสัมพันธ์เมื่อเทียบ
เคียงกับการวิจัยเรื่อง Communication and Persuasion. The Search for
the Magic Keys และอารยาเองไม่ได้ท้ ิงระยะในการวัดผลความรู้สึกหรือ
ความคิดเห็นกับกลุ่มผู้รบ
ั สารภายหลังการสนทนากลุ่มที่อาจมี sleeper
13