Professional Documents
Culture Documents
ราชการสงครามกับพม่าสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
หลังจากกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าตีแตก พระบาทสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือสมเด็จพระเจ้าตากสิน
มหาราชได้ทรงกอบกู้เอกราชของไทยไว้ได้และทรงตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี และมีราชการสงครามเกือบ
ตลอดรัชกาล ต่อมาสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ทรงปราบดาภิเษกเป็นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกมหาราช สถาปนาราชวงศ์จักรี และย้ายเมืองหลวงมาฝั่งบางกอก ตั้งเป็นกรุงรัตนโกสินทร์หรือ
กรุงเทพมหานครนั่นเอง
นับตั้งแต่กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีของไทย ราชอาณาจักรไทยได้ทาสงครามกับพม่ารวม
ทั้งหมดสิบครั้งด้วยกันเป็นสงครามฝ่ายพม่ารุกรานไทย๕ครั้ง ไทยไปโจมตีพม่า๕ครั้ง ในสิบครั้งนี้เป็น
สงครามในรัชกาลที่หนึ่ง๗ครั้ง รัชกาลที่สอง๑ครั้ง รัชกาลที่สาม๑ครั้ง และรัชกาลที่สี่๑ครั้งส่วนในรัชกาลที่
ห้า เป็นเพียงการขับไล่พวกพม่ามิได้ถึงกับรบพุ่งกัน และในการรบกันแต่ละครั้งเป็นสงครามใหญ่อยู่แต่ใน
สมัยรัชกาลที่๑ ส่วนในรัชกาลอื่นๆต่อมาเป็นเพียงการปะทะกันตามแนวชายแดน ไม่ได้เป็นการรบพุ่งกัน
จริงจังแต่อย่างใด
ในสมัยรัชกาลที่๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงใช้เวลาสร้างกรุง
รัตนโกสินทร์เป็นเวลาสามปี ที่มีเวลาพอสร้างก็เพราะว่าพม่ามีปัญหาการเมืองภายใน พอแก้ปัญหาได้ ข้าง
ฝ่ายไทยก็ลงหลักปักฐานมั่นคงเสียแล้ว ประเจ้าปดุงกษัตริย์พม่าจึงหมายยกทัพมาปราบไทยให้ราบคาบจึง
เป็นที่มาของสงครามครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ หรือที่รู้จักกันในนามสงครามเก้าทัพ ซึ่งในสงครามครั้ง
นี้ไทยได้ใช้ยุทธวิธีใหม่ไม่เหมือนที่ผ่านมาแต่เก่าก่อน กล่าวคือ ในสมัยอยุธยา ไทยได้ใช้ตัวพระนครเป็น
ปราการตั้งรับพม่า รอจนฤดูน้าหลากให้พม่าถอยทัพไปเองแต่ในสงครามคราวนี้ไทยได้ใช้ยุทธวิธีใหม่คือไม่
ใช้ตัวพระนครตั้งรับแต่ยกทัพไปออกมาตั้งรับจนถึงชายแดน เรียกว่ากลยุทธ์ปิดตรอกตีพม่า ซึ่งจะได้กล่าว
รายละเอียดในบทต่อๆไป หลังจากที่ไทยรบชนะพม่าหลายครั้งหลายครั้งก็คิดจะยกทัพไปตีพม่าบ้าง แต่ก็ไม่
สาเร็จได้แต่หัวเมืองลื้อ เขิน ของพม่ามาเป็นของไทยบ้างเท่านั้น
ในสมัยรัชกาลที่๒ พม่าก็ยกทัพมาตีไทยอีกแต่มีเหตุขัดข้อง เลยเพียงแค่ปล้นหัวเมืองฝ่ายใต้พอทัพ
หลวงยกไปปราบก็พ่ายแพ้ไป ในรัชกาลที่๓อังกฤษชวนไทยไปตีพม่า ไทยได้รบกับพม่าบ้างประปราย แต่
ไม่ได้ช่วยอังกฤษรบอย่างจริงจัง เพียงแต่ตั้งทัพคอยอยู่เท่านั้นเนื่องด้วยมีการขัดกันด้านผลประโยชน์ไม่ลงตัว
ในรัชกาลที่๔ไทยไปตีเมืองเชียงตุง เนื่องด้วยพม่ามักใช้เชียงตุงเป็นฐานมาตีหัวเมืองเหนือของไทยเสมอ ฝ่าย
ไทยจึงใคร่อยากได้เชียงตุงมาเป็นของไทยเพื่อเป็นการตัดทางพม่าแต่กระทาการไม่สาเร็จเพราะไม่ชานาญภูมิ
ประเทศ และเหตุการณ์ครั้งนี้ก็เป็นการรบครั้งสุดท้ายกับพม่าเพราะหลังจากนี้อังกฤษได้ครอบครองหัวเมือง
มอญของพม่าทั้งหมด ต่อมาพระเจ้ามินดงพยายามจะทาสัมพันธไมตรีกับไทยแต่พระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงรับ
ในสมัยรัชกาลที่๕ พวกพม่าที่อพยพมาอยู่เมืองเชียงแสนเกิดกระด้างกระเดื่อง ร.๕จึงโปรดเกล้าฯให้
กองทัพเจ้านายในมณฑลพายัพยกขึ้นไปขับไล่พม่า พวกพม่าจึงหนีกลับเมืองพม่ากันหมด การรบครั้งนี้เป็น
เพียงการปราบปรามพวกพม่าที่อพยพมาเชียงแสนจานวนพันเศษเท่านั้นไม่นับว่าเป็นการทาสงครามกับ
ประเทศพม่า อีกอย่างหนึ่งคือพม่าในขณะนั้นเสียเอกราชแก่อังกฤษแล้ว ไม่มีกาลังจะมารบกับไทยได้อีก
ต่อไป
สาเหตุของการเกิดสงครามเก้าทัพ
ก่อนจะเกิดสงครามเก้าทัพในเมืองพม่าเกิดเหตุการณ์วุ่นวายตามที่พงศาวดารพม่าบันทึกไว้ ดังนี้
เมื่อพระเจ้าอลองพญาสิ้นพระชนม์ มังลอกราชบุตรองค์โตขึ้นครองราชต่อมา พระเจ้ามังลอกมีราชบุตรกับ
มเหสีองค์หนึ่งชื่อมังหม่อง เมื่อพระเจ้ามังลอกสิ้นพระชนม์ราชสมบัติตกแก่มังระอนุชา เมื่อมังหม่องโต
ขึ้นมังระมีดาริจะฆ่ามังหม่องแต่นางราชชนนีผู้ย่าขอชีวิตไว้ให้บวชเรียนตลอดชีวิตมิให้ยุ่งเกี่ยวราชการ พระ
เจ้ามังระมีราชบุตรสององค์ องค์โตชื่อจิงกูจาเป็นลูกมเหสี องค์รองชื่อแชลงจาเป็นลูกพระสนม จิงกูจามี
ประพฤติเสเพล พระเจ้ามังระมิใคร่เต็มใจให้เป็นรัชทายาท
การจัดทัพของทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายพม่า
การจัดกาลังทัพของฝ่ายพม่า
ทัพที่ ๓ หวุ่นคยีสะโดะศิริมหาอุจจะนาเจ้าเมืองตองอูเป็นแม่ทัพถือพลสามหมื่นยกมาทางเชียงแสนมาตีเมือง
ลาปาง สวรรคโลก สุโขทัย พิษณุโลกลงมาบรรจบกับทัพใหญ่ที่กรุงเทพนายทัพย่อยมี เนมโยสีหซุย,ปันยีตะ
จองโบ,ลุยลั่นจองโบ,ปลันโบ,มัดชุนรันโบ,มิกอุโบ,แยจอนระทา,สาระจอซู
ทัพที่ ๙ จอข่องนรทาเป็นแม่ทัพ(พงศาวดารฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ว่าซุยจองเวระจอแทงเป็นแม่ทัพ ) ยก
เข้ามาทางด่านแม่ละเมา มาตีเมืองตาก เมืองกาแพงเพชรลงมาบรรจบทัพหลวงที่กรุงเทพ แบ่งเป็นสองทัพคือ
๑.ทัพหน้ามีซุยจองเวระจอแทง,ซุยจองนรทา,ซุยจองสิริยะจอจะวา ๒.ทัพหลังมีจอข่องนรทา1
ทัพพม่าทั้งเก้านี้มีแผนที่จะตีหัวเมืองต่างๆของไทยทั้งทางทิศเหนือ ทิศตะวันตกและทิศใต้โดยจะมาบรรจบ
กัน๕ทัพที่กรุงเทพมหานคร หมายจะปิดล้อมจากสามทิศและเข้าตีให้ราบพนาสูรในคราวเดียวเหมือนเมื่อครั้ง
กรุงศรีอยุธยา ส่วนที่เหลืออีกสี่ทัพแบ่งตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ๒ทัพและหัวเมืองฝ่ายใต้สองทัพ